Professional Documents
Culture Documents
พระเจ้าคือความรัก Deus Caritas Est May 2009
พระเจ้าคือความรัก Deus Caritas Est May 2009
พระเจ้าคือความรัก Deus Caritas Est May 2009
สารบัญ หน้ า
อารัมภบท ........................................................................................................................................................... 1
ภาค 1 – เอกภาพของความรั กในการสร้ างและในประวัติศาสตร์ แห่ งการไถ่ ก้ ู .................................................... 2
ปัญหาเรื่ องภาษา.................................................................................................................................... 2
“Eros” และ “Agape” ต่างกันแต่เป็ นหนึ่ งเดียวกัน ................................................................................. 2
ความใหม่แห่งความเชื่อในพระคัมภีร์ ................................................................................................... 7
พระเยซูคริ สตเจ้า – องค์ความรักอวตารของพระเจ้า ............................................................................. 9
รักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์ ............................................................................................................ 11
ภาค 2 - การปฏิบัติความรักของพระศาสนจักรในฐานะทีเ่ ป็ น “ชุ มชนแห่ งความรัก” ...................................... 13
กิจเมตตาธรรมของพระศาสนจักรในฐานะที่เป็ นการแสดงออกซึ่ งความรักแห่งพระตรี เอกภาพ........ 13
เมตตากิจในฐานะที่เป็ นความรับผิดชอบของพระศาสนจักร .............................................................. 14
ความยุติธรรมและเมตตาธรรม ............................................................................................................ 17
โครงสร้างหลากหลายของงานเมตตาธรรมในบริ บทสังคมปัจจุบนั .................................................... 20
ความแตกต่างในกิจเมตตาธรรมของพระศาสนจักร ............................................................................ 22
ผูท้ ี่มีหน้าที่รับผิดชอบต่องานเมตตาธรรมของพระศาสนจักร ............................................................. 24
สรุ ป .................................................................................................................................................................. 27
เอกสารอ้างอิง ................................................................................................................................................... 30
“พระเจ้ าคือความรั ก”
ชน: เป็ นภาพลัก ษณ์ ของพระเจ้า ซึ่ งสื บ เนื่ อ งต่ อ ไปถึ งภาพลัก ษณ์ แ ละเป้ าหมายสุ ด ท้ายของมนุ ษ ย์ ในประโยค
เดียวกันนี้ นักบุญยอห์นยังกล่าวสรุ ปถึงชีวิตคริ สตชนด้วยว่า:“เราได้เข้ามารู ้จกั และเชื่อในความรักของพระเจ้าที่ทรง
มีต่อเรา”
เราเชื่อในความรักของพระเจ้า : คากล่าวประโยคนี้ คริ สตชนสามารถแสดงออกถึงการตัดสิ นใจที่สาคัญใน
ชี วิต การที่เราเป็ นคริ สตชนไม่ใช่ เพราะผลแห่ งการเลื อกหรื อเพราะความคิดเลอเลิศอะไรของเราเอง แต่เป็ นการ
เผชิญกับเหตุการณ์หรื อบุคคลซึ่ งเปิ ดมิติใหม่และแนวทางที่แน่ นอนใหม่แห่ งชีวิตให้แก่เรา พระวรสารของนักบุญ
ยอห์ นอธิ บ ายเหตุ การณ์ ณ์ ดังกล่ าวด้วยคาพูดที่ ว่า “พระเจ้าทรงรั กโลกถึ งกับ ประทานพระบุ ตรแต่ องค์เดี ยวของ
พระองค์ เพื่อคนที่เชื่อในพระองค์ สมควรที่จะ...มีชีวิตนิ รันดร์ ” (3:16) ในการยอมรั บแก่นแท้แห่ งความรัก ความ
เชื่ อ คริ ส ตชนยึด ถื อแก่ นความเชื่ อ ของชน ชาติ อิ ส ราเอล ในขณะเดี ยวกันก็ให้ความหมายที่ ลุ่มลึ ก และกว้างขึ้ น
ชาวยิวที่มีใจศรัทธาจะสวดทุกวันด้วยพระวาจาจากหนังสื อ เฉลยธรรมบัญญัติ (Deuteronomy) ซึ่ งไขแสดงหัวใจใน
การมีชีวิตของพวกเขา: “จงฟั งเถิด ชนชาติอิสราเอลเอ๋ ย พระเจ้าของเรามีพระเจ้าเดียว เจ้าจงรักพระเจ้าของเจ้าด้วย
สิ้ นสุ ดจิตใจ สิ้ นสุ ดวิญญาณและสิ้ นสุ ดกาลังของเจ้า” (6:4-5) พระเยซูทรงรวมบัญญัติที่ให้รักพระเจ้าและรักเพื่อน
มนุษย์เป็ นหนึ่งเดียวกันดังที่ปรากฏในหนังสื อ เลวีนิติ (Leviticus) : “ท่านจงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” (19:18;
เที ยบ มก 12:29-31) เพราะว่าพระเจ้าได้ทรงรั กเราก่อน (เทียบ ยน 4:10) รั กจึ งไม่เป็ นเพียงแค่ “คาสั่ง” แต่ เป็ นการ
ตอบสนองต่อความรักที่พระเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ชิดกับเรา
ในโลกของเราที่พระนามของพระเจ้าบางครั้งถูกนาเอาไปเชื่อมโยงเข้ากับการแก้แค้น ความเกลียดชัง และ
การใช้ความรุ นแรง สาสน์น้ ี ถือว่าเหมาะแก่กาลเวลาและมีความสาคัญยิง่ ด้วยเหตุน้ ี ในสมณสาสน์ฉบับแรกเราจึ ง
อยากกล่าวถึงความรักที่พระเจ้าประทานอย่างท่วมท้นมายังเรา และเราจะต้องแบ่งปั นความรักนี้ กบั ผูอ้ ื่นด้วย นี้ คือ
เรื่ องใหญ่ใจความที่สมณสาสน์สองภาคฉบับนี้ กล่าวถึง และเอกสารทั้งสองภาคนี้ มีความเกี่ยวโยงกันอย่างลึกซึ้ งด้วย
ภาคแรกของสมณสาสน์ค่อนข้างจะเจาะจง เพราะในวาระเริ่ มต้นสมณสมัยของเรา เราต้องการชี้ ให้เห็นความจริ ง
สาคัญอย่างชัดเจน เกี่ยวกับความรักที่พระเจ้าประทานให้มนุ ษย์อย่างเร้นลับและแบบให้เปล่า อีกทั้งการเชื่อมโยง
ภายในระหว่างความรักนั้นกับความรักของมนุ ษย์ ภาคสองของสมณสาสน์จะเป็ นรู ปธรรมมากกว่า เพราะมีการพูด
ถึงการปฏิบตั ิของพระศาสนจักร ในเรื่ องพระบัญญัติของความรั กที่มีต่อเพื่อนมนุ ษย์ ประเด็นนี้ ค่อนข้างซับซ้อน
และมี ขอ้ โต้เถี ยงกันมาก ซึ่ งหากจะพู ด กันให้ ยืด เยื้อ แล้ว ก็คงจะเลยกรอบสมณสาสน์ ฉบับ นี้ เราต้อ งการเน้น
ปั จจัยพื้นฐานเพียงบางประเด็นเท่านั้น เพื่อเป็ นการเรี ยกร้องให้โลกฟื้ นฟูพลังและปณิ ธานขึ้นใหม่ที่จะตอบสนองต่อ
ความรักของพระเจ้า
1
ภาค 1
เอกภาพของความรักในการสร้ างและในประวัติศาสตร์ แห่ งการไถ่ ก้ ู
ปัญหาเรื่องภาษา
2. ความรั กของพระเจ้าที่ มีต่อเรามนุ ษย์เป็ นสิ่ งจาเป็ นขั้นพื้ นฐานสาหรั บชี วิตเรา ซึ่ งความรั กนี้ ก่อให้เกิ ดมี
คาถามสาคัญว่า พระเจ้าเป็ นใครและเราเป็ นใคร เมื่อพูดกันถึงประเด็นนี้ เกิดมีปัญหาเรื่ องภาษาขึ้นมาทันที ทุกวันนี้
คาว่า “รัก” กลายเป็ นคาที่มกั จะใช้กนั บ่อยที่สุด และใช้กนั อย่างผิดๆมากที่สุดเช่นกัน เพราะเป็ นคาที่เราตีความไม่
เหมื อนกัน แม้ว่าสมณสาสน์ ฉบับ นี้ จะพูดถึ งความรั ก ตามความเข้าใจและการปฏิ บ ัติ ที่ มีอ ยู่ในพระคัมภี ร์และ
ขนบธรรมเนี ยมปฏิ บตั ิ ของพระศาสนจักรเป็ นหลัก เราก็ไม่ สามารถที่จะตัดความหมายของคาๆ นี้ ออกไป จาก
ความหมายที่วฒั นธรรมต่างๆ ใช้กนั อยูท่ ุกวันนี้ได้
ก่อนอื่น เราต้องคานึ งถึงความหมายต่างๆ ของคาว่า “รัก” เราพูดถึงความรั กต่อประเทศชาติ ความรักต่อ
อาชี พ ความรั กระหว่างเพื่อน ความรั กต่องาน ความรั กระหว่างบิดามารดากับบุตร ความรั กระหว่างสมาชิ กใน
ครอบครัว ความรักต่อเพื่อนบ้าน และความรักของพระเจ้า ท่ามกลางความหมายที่หลากหลายเหล่านี้ มีความรักอยู่
อย่างหนึ่ งที่ มีความโดดเด่ นเป็ นพิเศษ นั่นคือ ความรั กระหว่างชายและหญิ ง ซึ่ งกายและวิญญาณรวมเป็ นหนึ่ ง
เดี ยวกันจนไม่สามารแยกออกจากกัน และมนุ ษย์สองคนนี้ ดูเหมื อนมีแรงผลักดันจนห้ามใจไม่ ได้ที่จะมีความสุ ข
ร่ วมกัน ความรักนี้ ดูเหมือนจะเป็ นบทสรุ ปความรัก ทาให้ความรักแบบอื่นๆ ที่เมื่อนามาเปรี ยบแทบกันแล้ว ดูจะ
จืดจางและด้อยลงไป ดังนั้นเราจาเป็ นต้องถามว่า ความรักในรู ปแบบต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ โดยพื้นฐานแล้ว
เป็ นความรักอันเดียวกันหรื อเปล่า เพื่อว่าความรั กที่มีการแสดงออกในรู ปแบบต่างๆ นั้น ในที่สุดแล้ว ก็คือความ
จริ งสิ่ งเดียวกัน หรื อว่าเราเพียงแต่ใช้คาคาเดียวกันเพื่อหมายถึงความจริ งมากมายที่มีความแตกต่างกันโดยสิ้ นเชิง?
ด้วยการกล่าวว่า พระศาสนจักรซึ่ งมีท้ งั ออกบัญญัติและห้ามโน่ นห้ามนี่ มิได้เปลี่ยนไปเป็ นศัตรู กบั สิ่ งที่มีคุณค่ามาก
2
ที่สุดในชีวิตดอกหรื อ? ทาไมพระศาสนจักรจึงออกมาเป่ านกหวีดห้าม ในเมื่อความชื่นชมยินดีอนั เป็ นพระพรของ
พระผูส้ ร้างนั้น มอบความสุ ข ซึ่ งในตัวมันเองเป็ นการลิ้มรสล่วงหน้าถึงความสุ ขที่จะมาจากพระเจ้า?
“ศักดิ์ สิ ทธิ์ ” ซึ่ งแพร่ หลายในวิหารหลายแห่ ง จึ งมีการเฉลิมฉลอง eros ในฐานะที่ มน ั คืออานาจของเทพ ในฐานะที่
เป็ นสิ่ งสัมพันธ์กบั เทพเจ้า
พระคัมภีร์เก่าต่อต้านศาสนาในรู ปแบบนี้อย่างจริ งจัง มันเป็ กลลวงร้ายกาจมากต่อความเชื่อที่นบั ถือพระเจ้า
แต่องค์เดียว ถึงกับโจมตีว่ามันเป็ นศาสนาที่บิดเบือนและมัวเมาในกิเลศตัณหา แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ eros ในตัวของมัน
เอง มีแต่ประกาศสงครามกับรู ปแบบที่บิดเบือนและทาลายล้างของมัน เพราะว่าการทา eros เป็ นพระเท็จเทียมนั้น
ทาลายศักดิ์ศรี ของมันและทาให้ความเป็ นมนุ ษย์ของคนไร้ค่า ที่จริ งแล้ว โสเภณี ในวิหารที่ยอมถูกมอมเมาว่าเกี่ยว
โยงกับเทพนั้น ไม่ได้รับการปฏิบตั ิเยีย่ งมนุ ษย์หรื อเยีย่ งบุคคล แต่ถูกใช้ให้เป็ นเครื่ องมือในการปลุกเร้า “ความบ้า
ของเทพเจ้า” โสเภณี พวกนั้นไม่ใช่เป็ นเทพเจ้า เป็ นเพียงมนุษย์ที่ถูกหลอกและถูกเอารัดเอาเปรี ยบ ดังนั้น eros ที่ถูก
มอมเมาอย่างไร้ระเบียบและไร้การควบคุม มิได้นาพามนุ ษย์ให้เข้าไปในความ “บรมสุ ข” ที่นาไปสู่ พระเจ้า แต่เป็ น
การทาให้มนุษย์ทาผิดและตกต่าลง จึงเป็ นสิ่ งแน่ชดั ว่า eros จาเป็ นต้องมีกฎระเบียบ และมีการชาระให้สะอาด หาก
ไม่ตอ้ งการที่จะให้มนั เป็ นแค่ความสุ ขชัว่ แล่น แต่เป็ นการลิ้มรสบางอย่างแห่ งความสุ ขสุ ดยอดในการมีชีวิตของเรา
ลิ้มรสกับบุญลาภที่ความเป็ นมนุษย์ของเราไฝ่ หา
5. มีสองมิติดว้ ยกันที่ เผยออกมาให้เราเห็ นจากการพิจารณาคา eros ทั้งในอดี ตและปั จจุ บนั กาล มิ ติแรก มี
ความเกี่ยวโยงกันบางอย่างระหว่างความรั กและพระเจ้า ความรั กให้สัญญาว่าจะไม่มีวนั สิ้ นสุ ด มีความเป็ นนิ จนิ
รันดร์ เป็ นความจริ งที่ยงิ่ ใหญ่กว่า และเป็ นสิ่ งที่อยูเ่ หนือโดยสิ้ นเชิงจากการมีชีวิตอยูแ่ บบประจาวันของเรา แต่เราก็
ได้เห็ นแล้วว่า วิธีที่จะได้มาซึ่ งเป้ าหมายนี้ ไม่ได้อยูท่ ี่การปล่อยตัวเองไปตามสัญชาตญาณ มีการเรี ยกร้ องให้มีการ
ชาระล้างและเติบโตขึ้นในวุฒิภาวะ และสิ่ งดังกล่าวจาต้องผ่านหนทางแห่ งการปฏิเสธตน มันไม่ได้เป็ นการปฏิเสธ
หรื อ “วางยาพิษ” ให้แก่ eros เลย มันเป็ นการรักษาและฟื้ นฟูมนั ให้สู่ ความสง่างามที่แท้จริ งของมันต่างหาก
ที่เป็ นเช่นนี้ ได้ก็เพราะความจริ งมีอยูว่ ่า มนุ ษย์ประกอบด้วยร่ างกายและวิญญาณ มนุ ษย์เป็ นตัวตนเองเมื่อ
กายและวิญญาณของเขาเป็ นหนึ่งเดียวกันอย่างใกล้ชิด การท้าทายไปในทางเสื่ อมของ eros กล่าวได้ว่าพ่ายแพ้อย่าง
สิ้ นเชิ ง หากมนุ ษย์สามารถเป็ นหนึ่ งเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์ระหว่างกายและวิญญาณ หากมนุ ษย์ต้ งั หน้าตั้งตารั ง
แต่จะแสวงหาความบริ สุทธิ์ ฝ่ ายวิญญาณ แล้วปล่อยปะละเลยกายไว้ตามลาพัง ค่าที่ มนั มี ธรรมชาติ ของสัตว์ ทั้ง
วิญญาณและกายของผูน้ ้ นั จะสู ญเสี ยศักดิ์ศรี ไปทั้งสองฝ่ าย ในทางตรงกันข้าม หากเขาปฺฏิเสธเรื่ องของจิตวิญญาณ
แล้วสาละวนเอาแต่เรื่ องวัตถุ ถือว่าเขามี แต่กายอย่างเดี ยว เขาก็จะสู ญเสี ยความยิ่งใหญ่ ของตนเองไปด้วยเช่ นกัน
3
Gassendi อาจารย์ท่านหนึ่ งที่ชอบกินชอบดื่มมักจะทักทาย Descartes นักปรัชญาที่มีชื่อเสี ยงด้วยอารมณ์ขนั ว่า “โอ้
วิญญาณ!” แล้ว Descartes ก็จะตอบว่า “โอ้ เนื้ อหนังมังสา!” แต่กไ็ ม่ใช่จิตวิญญาณหรื อกายแต่เพียงลาพังที่รัก เป็ น
3
คนที่ รัก เป็ นบุ คคลที่ รัก เป็ นสัตว์ที่ ประกอบด้วยกายและวิญญาณที่ รัก มี แต่ เมื่ อสองมิ ติน้ ี รวมเป็ นหนึ่ งเดี ยวกัน
เท่ านั้น ที่มนุ ษย์จะสามารถบรรลุ ถึงสภาพแห่ งความเป็ นมนุ ษย์ได้อย่างสมบูรณ์ มี แต่ วิธีน้ ี วิธีเดี ยวที่ เป็ นความรั ก
Eros สามารถเติบโตมีวุฒิภาวะและบรรลุถึงความงามสง่าที่แท้จริ งได้
ทุ ก วัน นี้ ศาสนาคาทอลิ ก ในยุค อดี ต มัก โดนต าหนิ ว่ า เป็ นปฏิ ปั ก ษ์ต่ อ ร่ า งกาย และก็ เป็ นความจริ ง ว่ า
แนวโน้มไปในทานองนี้ ยงั คงหลงเหลืออยู่ แต่วิธียกย่องกายในยุคร่ วมสมัยนี้ ก็เป็ นสิ่ งหลอกลวงด้วยเช่นกัน Eros
ถูกจัดให้เป็ นเพียง “เรื่ องเพศ” แต่เพียงอย่างเดี ยว เพศกลายเป็ นเสมื อนสิ นค้าหรื อเครื่ องอานวยความสะดวก เป็ น
เพียง “สิ่ ง” หนึ่ งที่ซ้ื อขายได้ หรื อมิฉะนั้นมนุ ษย์ก็กลายเป็ นสิ่ งที่ซ้ื อขายได้เช่ นกัน การทาเช่ นนี้ เท่ากับถือว่าร่ างกาย
และการมัว่ สุ มในเรื่ องเพศของเขา เป็ นเพียงส่ วนหนึ่งของด้านวัตถุของตัวเขา ที่จะใช้หรื อทาอย่างไรก็ได้ตามใจ เขา
จะไม่มองว่าร่ างกายของเขาเป็ นสนามประลองเสรี ภาพของตน เห็นเป็ นแต่เพียงวัตถุที่พยายามทาให้มนั เกิดมีความ
สนุ ก และไม่เกิ ดอันตรายตามแต่ ใจตนเองจะชอบ ณ จุ ดนี้ เรากาลังพูดกันถึงด้านต่าของร่ างกายมนุ ษย์ ซึ่ งมักไม่
ประสานกลมกลืนเข้าไปในกระบวนการเสรี ภาพที่เรามีอยูเ่ ลย และไม่ได้เป็ นการแสดงออกซึ่ งความเป็ นมนุ ษย์ของ
เราทั้ง ครบ มัน เป็ นแค่ ล ดขั้น ลงไปอยู่ในบริ บ ทของมิ ติ ชี ว วิ ท ยาล้ว นๆ การเทิ ด ทู น ร่ างกายอาจเปลี่ ยนไปและ
กลายเป็ นความจงเกลียดจงชังกายตนเองได้อย่างรวดเร็ ว ในอี กมุ มมองหนึ่ ง ความเชื่ อแบบคริ สตชนถื อเสมอว่า
มนุ ษย์เป็ นหนึ่ งเดียวในสองมิติ เป็ นความจริ งที่จิตและวัตถุรวมเป็ นสิ่ งเดี ยวกัน และในความเป็ นหนึ่ งเดียวกันของ
สองสิ่ งนี้ ทาให้แต่ละสิ่ งมีสถานภาพสู งส่ งขึ้น eros ที่ถ่องแท้มุ่งสู่ ที่สูงแห่ ง “บรมสุ ข” อันนาไปสู่ พระเจ้า นาพาเรา
ไปสู่ ที่สูงเหนื อตัวเราเอง และเพราะเหตุน้ ี เอง มันจึ งเรี ยกร้องให้เราเดิ นในหนทางที่จะทาให้เราขยับสู งขึ้น ให้รู้จกั
ปฏิเสธตัวเอง ให้รู้จกั ชาระตัวเองให้สะอาด และให้มีการบาบัดรักษา
4
ส่ วนหนึ่ งแห่ งการเจริ ญเติบโตสู่ ความสู งส่ งขึ้นและการชาระจิตภายในให้สะอาดนี่ เองที่เป็ นความหมายที่
ถูกต้อง และการที่ จะบรรลุ สิ่ งนี้ ได้ก็ด้วยสองสิ่ งด้วยกัน นั้นคือ ความเป็ นส่ วนตัวจาเพาะ (บุ คคลนี้ เท่ านั้น) และ
“ความยัง่ ยื น ถาวร ” ความรั ก จะต้อ งครอบคลุ ม ทุ ก มิ ติ ร วมถึ ง มิ ติ แ ห่ ง กาลเวลาด้ว ย จะเป็ นอย่า งอื่ น ไปไม่ ไ ด้
เนื่ องจากว่า สัญญาแห่ งรักนั้นมุ่งไปที่เป้ าหมายที่มีลกั ษณะแห่ งความหมายที่จากัดนี้ นัน่ คือ ความรักมุ่งสู่ ความเป็ น
นิรันดร์ ความรักเป็ น “บรมสุ ข” แท้จริ ง ไม่ใช่ในความหมายชัว่ แล่นแห่ งความมัวเมา แต่เป็ นการเดินทางต่อเนื่ องที่
ต้องพยายามออกไปจากความเป็ น “อัตตา” แล้วเข้าสู่ ความเป็ นอิสระโดยอาศัยการมอบตนเองแก่ผอู ้ ื่น ซึ่ งจะทาให้เกิด
มีการค้นพบตนเองอันยังจะเป็ นผลให้ได้พบพระเจ้าด้วย “ผูใ้ ดที่พยายามรั กษาชี วิตของตนไว้ ก็จะสู ญเสี ยชี วิตนั้น
และผูใ้ ดที่ เสี ยชี วิตของตน ก็จะรั ก ษาชี วิต นั้นไว้” (ลก 17:33) และพระเยซู ก็ได้กล่ าวในท านองนี้ ไว้มากมายใน
พระวรสาร (เทียบ มธ 10:39; 16:25; มก 8:35; ลก 9:24; ยน 12:25) ในคากล่าวต่างๆ เหล่านั้น พระเยซูเจ้าทรงแสดง
ให้เราเห็นถึงหนทางของพระองค์ซ่ ึ งจะนาพาเราไปสู่ การกลับเป็ นขึ้นมาโดยอาศัยไม้กางเขน เป็ นหนทางแห่ งเมล็ด
พันธุ์ขา้ วที่ตกลงไปยังพื้นดินแล้วตายไป จึงเกิดผลมากมาย อาศัยการเริ่ มจากความล้ าลึกแห่ งการบูชาของพระองค์
และความรักที่บรรลุถึงความสมบูรณ์ พระองค์ได้ทรงแสดงออกด้วยคากล่าวเหล่านั้นถึงแก่นแท้แห่ งความรักและ
แก่นแท้ของชีวิตมนุษย์ดว้ ย
ผลประโยชน์แห่ งตน
ในแวดวงวิวาทะของปรัช ญาและเทววิทยา ความแตกต่างของความหมายสองคานี้ ถึงกับมีการเสนอให้ต้ งั
ทฤษฎีให้ชดั เจนว่ามันอยูก่ นั คนละซี ก ความรั กแบบ agape คือความรั กแบบคริ สตชนที่ทาให้ชีวิตสู งส่ งขึ้น ส่ วน
ความรักแบบ eros นั้นเป็ นความรั กที่ เห็ นแก่ ต ัว ซึ่ งเป็ นความรั กของคนที่ ไม่ ใช่ คริ สตชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน
วัฒนธรรมของชาวกรี ก หากจะยึดถื อเอาทฤษฎีสุดขั้วของความรั กทั้งสองแบบกันอย่างจริ งจังแล้ว แก่นแท้ของ
คริ สต์ศาสนาคงจะต้องแยกออกจากความสัมพันธ์ข้ นั พื้นฐานที่มีความสาคัญมากที่ สุดในการมีชีวิตอยู่ของมนุ ษย์
ออกไป คงจะกลายเป็ นเรื่ อ งของโลกที่ อ ยู่ก ัน คนละซี ก อาจเป็ นสิ่ งน่ าพิ ศ วง แต่ ห ลุ ด ออกไปอย่างสิ้ น เชิ ง จาก
องค์ประกอบที่สานทอไว้อย่างสวยงามในชีวิตมนุ ษย์ แต่ eros และ agape ไม่อาจที่จะแยกออกจากกันโดยสิ้ นเชิ ง
อย่างเด็ดขาด ยิง่ ความรักทั้งสองรู ปแบบในมุมมองที่แตกต่างกันนั้นจะหันเข้าหาเป็ นหนึ่ งเดียวกันในความจริ งแห่ ง
ความรั กมากเท่าใด ธรรมชาติที่แท้จริ งของความรั กโดยทัว่ ไปก็ยิ่งจะประสบความบริ บูรณ์ เพิ่มขึ้นเท่านั้น ถึงแม้
5
eros จะดูเป็ นเรื่ องเห็นแก่ตวั ในขั้นแรก และค่อยสู งส่ งขึ้น ซึ่ งเป็ นความน่าพิศวงสาหรับความสุ ขอันยิง่ ใหญ่ที่สัญญา
ให้ไว้ สู งส่ งขึ้นเพราะมีการโน้มน้าวเข้าหากัน มีการห่ วงใยตนเองน้อยลง มีการมอบตนเองและต้องการที่จะ “อยู่ที่
นัน่ ” เพื่อผูอ้ ื่น ดังนั้นปั จจัยของ agape จึงเข้าไปอยูใ่ นความรักชนิ ดนี้ มิฉะนั้นแล้ว eros จะไร้สาระและแม้กระทัง่
สู ญเสี ยธรรมชาติของมันไป ในอีกมุมมองหนึ่ ง มนุ ษย์ไม่สามารถที่จะมีชีวิตโดยอาศัยความรักที่เป็ นเพียงความรัก
แบบต้อยต่าหรื อแบบสู งส่ งอย่างหนึ่ งอย่างใดได้แต่เพียงอย่างเดี ยว เขาไม่สามารถที่จะให้ฝ่ายเดี ยว เขาต้องได้รับ
ด้วยผูใ้ ดที่ อยากให้ความรั กจะต้องได้รับความรั กเป็ นของขวัญด้วย ดังที่ พระคริ สตเจ้าบอกเราว่า คนๆ หนึ่ งอาจ
กลายเป็ นต้นตอแห่ งธารน้ าชีวติ ได้ (เทียบ ยน 7: 37-38) แต่เพื่อที่จะเป็ นลาธารนั้นได้ ผูน้ ้ นั ต้องดื่มจากต้นตอแห่ งลา
ธารอยูเ่ ป็ นนิ จ ต้นตอนั้นคือพระคริ สตเจ้า ซึ่ งความรักแห่ งพระเจ้าไหลออกมาจากดวงใจที่ถูกทิ่มแทงของพระองค์
(เทียบ ยน 19:34)
ในเรื่ องราวบันไดของยาโคบ ปิ ตาจารย์แห่ งพระศาสนจักรมองเห็ นการเชื่ อมโยงระหว่างความรั กที่สูงขึ้น
และต่าลง ระหว่าง eros ที่แสวงหาพระเจ้า และ agape ซึ่ งถ่ายทอดพระพรที่ตนได้รับไปให้ผอู ้ ื่นโดยมีสัญลักษณ์ใน
รู ปแบบต่างๆ ว่า แยกออกจากกันไม่ได้ ในข้อความพระคัมภีร์เราอ่านพบว่ายาโคบนอนหลับโดยใช้กอ้ นหิ นเป็ น
หมอน ในความฝันท่านเห็นบันไดทอดสู งขึ้นไปยังสวรรค์ซ่ ึ งมีเทวทูตของพระเจ้าไต่ข้ ึนไต่ลงตามบันไดนั้น (เทียบ
ปฐก 28:12; ยน 1:51) การอธิ บายความหมายที่สาคัญมากของความฝันนี้ มีในสมณลิขิต Pastoral Rule ของสมเด็จ
พระสันตะปาปาเกรโกรี ผยู ้ งิ่ ใหญ่ ท่านบอกเราว่านายชุมพาบาลที่ดีตอ้ งมีรากฐานอยูบ่ นชีวิตที่มีจิตสมาธิ อาศัยวิธีน้ ี
เท่านั้นที่เขาจะสามารถรับความต้องการของผูอ้ ื่นมาใส่ ตนและทาให้ความต้องการเหล่านั้นเป็ นความต้องการของ
ตนเอง “per pietatis viscera in se infirmitatem caeterorum transferat” ในประเด็ นนี้ นัก บุ ญ เกรโกรี เมื่ อ กล่ าวถึ ง
4
6
ความใหม่ แห่ งความเชื่อในพระคัมภีร์
9. ประการแรก พระคัมภี ร์เผยให้เราได้เห็ น ภาพลักษณ์ ใหม่ ของพระเจ้า ในวัฒนธรรมต่ างๆ รอบตัวเรา
ภาพลักษณ์ของพระเจ้าและพระเล็กพระน้อยต่างๆ ไม่มีความชัดเจนเลย และมีความขัดแย้งกันในตัวด้วยซ้ าไป แต่
ว่าสิ่ งที่ปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่ อยๆ เป็ นลาดับในเรื่ องของความเชื่อที่ปรากฏอยูใ่ นพระคัมภีร์ บทสวดพื้นฐานของชาว
อิสราเอล Shema ยิง่ วันยิง่ ชัดเจนขึ้น “ชนชาติอิสราเอลเอ๋ ย จงฟังไว้ให้ดี พระผูเ้ ป็ นเจ้า พระเจ้าของเราเป็ นพระเจ้าแต่
องค์เดียว” (ฉธบ 6:4) มีพระเจ้าแต่พระองค์เดียว ผูท้ รงสร้างสวรรค์และแผ่นดิน ผูท้ รงเป็ นพระเจ้าของมนุษย์ทุกคน
มีความจริ งสาคัญอยู่สองประการในคาอ้างนี้ : พระอื่ นๆ ทุ กท่ านไม่ ใช่ พระเจ้า และจักรวาลที่ เราอาศัยอยู่น้ ี มี ตน้
กาเนิ ดมาจากพระเจ้าและถูกสร้างโดยพระองค์ แน่ นอนว่า ความรู ้เรื่ องการสร้างโลกนี้ มีอยู่ในตาราอื่นด้วย แต่ ณ
ที่น้ ี เท่ านั้น มีความชัดเจนที่ สุดว่าผูส้ ร้ างไม่ได้เป็ นพระองค์ใดองค์หนึ่ งท่ามกลางพระเจ้าหลากหลาย แต่ทรงเป็ น
พระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว ผูท้ รงเป็ นต้นกาเนิ ดของทุกสิ่ งทุกอย่างที่เป็ นตัวตน โลกทั้งปวงเกิดเป็ นตัวตนได้
อาศัยอานาจของพระวจนาตถ์ที่สร้างสรรค์ของพระองค์ ผลที่ตามมาคือ สิ่ งสร้างของพระองค์เป็ นที่โปรดปรานของ
พระองค์ เพราะเกิดมาจากพระประสงค์ของพระองค์เองและก็ถูกสร้ างขึ้นด้วยพระองค์เองอีกเช่นกัน จากนี้ ปัจจัย
สาคัญประการที่ สองก็เกิ ดตามมา นั่นคือพระเจ้าทรงรั กมนุ ษ ย์ อานาจเทพที่ อาริ สโตเติ้ลนักปรั ชญาชาวกรี กผูม้ ี
ชื่อเสี ยงโด่งดังที่สุด พยายามที่จะแสวงหาและทาความเข้าใจโดยอาศัยการไตร่ ตรองนั้น แท้จริ งแล้วสิ่ งสร้างทั้งมวล
ก็คือ เป็ นผลแห่ งพระประสงค์และความรักของพระเจ้า เป็ นผลของความรักของพระนี้ เองที่ทรงขับเคลื่อนโลกไป 6
ในตัวสิ่ งสร้ างนี้ น้ นั ไม่ขาดสิ่ งใดเลยและไม่รู้จกั รั กด้วย เป็ นเพียงแค่สิ่งที่ช้ ี บ่งถึงความรั ก พระเจ้าองค์เดี ยวที่ ชาว
อิสราเอลเชื่อนั้นพวกเขาจะรักด้วยความรักส่ วนตัว นอกจากนั้น ความรักของพระเจ้ายังเป็ นความรักแบบเลือกสรร
ท่ามกลางประเทศชาติต่างๆ พระองค์ทรงเลือกสรรอิสราเอลและทรงรักพวกเขา แต่การที่พระองค์ทรงกระทาเช่นนี้
ก็เพื่อที่จะบาบัดรักษามวลมนุษยชาติท้ งั ปวง พระเจ้าทรงรักและความรักของพระองค์อาจเรี ยกได้ว่า eros แต่ก็เป็ น
agape อย่างสิ้ นเชิง 7
7
10. เราเห็นแล้วว่า eros ของพระเจ้าต่อมนุ ษย์น้ นั เป็ น agape ด้วยอย่างสิ้ นเชิ ง นี่ ไม่ใช่เป็ นเพราะถูกมอบแบบ
ให้เปล่า ไม่มีบุญคุณเก่าอะไรกันเลยเท่านั้น แต่เป็ นเพราะว่าเป็ นความรักที่ทรงให้อภัย โฮเชอาได้แสดงให้เราเห็นว่า
มิติ agape แห่ งความรั กของพระเจ้าต่ อมนุ ษย์น้ ัน อยู่เกิ นเลยมิ ติแห่ งการให้เปล่ าเสี ยอี ก อิสราเอลได้ทาผิด “ล่วง
ประเวณี ” และได้ทาผิดต่อพันธสัญญา พระเจ้าควรที่จะพิพากษาและลงโทษ ตรงจุดนี้ เองที่พระเจ้าทรงเผยให้เรา
เห็นว่าพระองค์ทรงเป็ นพระเจ้า ไม่ใช่เป็ นมนุ ษย์ “เราจะทอดทิ้งเจ้าได้อย่างไร โอ้ เอฟราอิม! เราจะมอบตัวเจ้าแก่
ศัตรู ได้อย่างไร โอ้ อิ สราเอล! ดวงใจของเรารู ้ สึ กหดหู่ ความเห็ นอกเห็ นใจของเราทวีความร้ อนรนและมี ความ
อ่อนโยนมากขึ้น เราจะไม่ใช้พระพิโรธของเรา เราจะไม่ทาลายเอฟราอิมอีก เพราะเราคือพระเจ้าไม่ใช่มนุ ษย์ เรา
คือพระเจ้าผูศ้ กั ดิ์สิทธิ์ ท่ามกลางพวกเจ้า” (ฮชย 11:8-9) ความรักแบบหลงใหลของพระเจ้าต่อประชากรของพระองค์
และต่ อ มนุ ษ ยชาติ เป็ นความรั กที่ คอยให้อ ภัย ในเวลาเดี ยวกัน มันเป็ นความรั กยิ่งใหญ่ ชนิ ด ที่ ว่า พระองค์ท รง
ขัดแย้งกับพระองค์เอง นัน่ คือความรักของพระองค์ขดั แย้งกับความยุติธรรมของพระองค์ ณ จุดนี้ คริ สตชนพอที่จะ
เห็ นลางๆ ได้บา้ งเกี่ยวกับรหัสธรรมแห่ งไม้กางเขน ความรั กของพระเจ้าต่อมนุ ษย์น้ นั ยิง่ ใหญ่ จนกระทัง่ พระองค์
เสด็จมารับสภาพมนุ ษย์ พระองค์ทรงยืนหยัดมัน่ คงจนกระทัง่ สิ้ นพระชนม์ และทรงผนวกความยุติธรรมและความ
รักเข้ารวมกันด้วยประการฉะนี้
มิติแห่ งปรั ชญาที่ควรตั้งข้อสังเกตในวิสัยทัศน์ของพระคัมภีร์จากมุมมองของประวัติศาสตร์ ศาสนาต่างๆ
ตั้งอยู่บนความจริ งว่า ในด้านหนึ่ ง เราพบตนเองว่า เรากาลังอยู่ต่อหน้าภาพลักษณ์ ของพระเจ้าในเชิ งที่ อยู่เหนื อ
ธรรมชาติ พระเจ้าผูท้ รงเป็ นต้นก าเนิ ดสู งสุ ดแห่ งทุ ก สิ่ งทุ ก อย่าง แต่ เป็ นบ่ อ เกิ ด สากลแห่ งการสร้ างนี้ – Logos
(พระวจนาตถ์), ต้นเหตุเหนื อธรรมชาติ – ในขณะเดี ยวกัน ก็เป็ นผูท ้ ี่ทรงรักด้วยเสน่หาทั้งปวงแห่ งความรักที่แท้จริ ง
Eros จึ ง ได้รั บ เกี ย รติ แ ละศัก ดิ์ ศรี สู ง สุ ด และขณะเดี ย วกัน ก็ ไ ด้รั บ การช าระให้ บ ริ สุ ท ธิ์ จนกลายเป็ นอัน หนึ่ งอัน
เดี ยวกันกับ agape เราจึ งเห็ นว่ามีการยอมรั บ “เพลงซาโลมอน” ในหนังสื อพระคัมภีร์ ซึ่ งมีการอธิ บายถึงความคิด
เพลงรักเหล่านี้ในความหมายลึกๆ แล้วว่า เป็ นการบรรยายถึงความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับมนุษย์และความสัมพันธ์
ของมนุ ษย์กบั พระเจ้า ดังนั้น “บทเพลงซาโลมอน” ในวรรณคดี ของคริ สตชนและของชาวยิว จึ งเป็ นบ่อเกิ ดแห่ ง
ความรู้ และประสบการณ์ อนั ล้ าลึ ก เป็ นการแสดงออกซึ่ งแก่ นแห่ งความเชื่ อที่ มาจากพระคัมภีร์ กล่ าวคือ มนุ ษ ย์
สามารถเข้าไปอยูใ่ นสายสัมพันธ์กบั พระเจ้าได้ พระเจ้าผูท้ รงเป็ นความปรารถนาสุ ดท้ายของเขา แต่การรวมอยูใ่ น
สายสัมพันธ์น้ ี ไม่ได้เป็ นเพียงแค่เอามาเจื อปนกัน หรื อเป็ นการจมลงในมหาสมุทรแห่ งพระเจ้าเท่านั้น แต่คือความ
หนึ่ งเดี ยวที่ สร้ างความรั ก ความสั มพันธ์ที่ พ ระเจ้าและมนุ ษ ย์มารวมเป็ นหนึ่ งเดี ยวกันอย่างสมบูรณ์ แท้จริ ง ดังที่
นักบุญเปาโลกล่าวว่า “คนที่ผกู พันกับพระเจ้าก็เป็ นจิตใจอันเดียวกันกับพระองค์” (1 คร 6:17)
8
เป็ นผูแ้ สวงหา ผูซ้ ่ ึง “ทอดทิ้งบิดามารดา” เพื่อที่จะไปอยูก่ บั สตรี มีแต่การอยูร่ ่ วมกันเท่านั้น ทั้งสองคนจึงจะมีความ
เป็ นมนุษย์ที่สมบูรณ์และกลายเป็ น “คนเดียวกัน” มุมมองที่สอง ก็มีความสาคัญไม่แพ้กนั จากมุมมองของการสร้าง
eros ชักนาให้ชายแต่ งงาน ให้มีสายสัมพันธ์ซ่ ึ งมี ลก ั ษณะจาเพาะและเจาะจง ดังนี้ และโดยวิธีเท่านั้นที่ความรักจะ
บรรลุถึงเป้ าหมายสู งสุ ดของมัน ที่สอดคล้องกันกับภาพลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เดียว นั่นก็คือการแต่งงานที่มี
ผัวเดี ยวเมี ยเดี ยว การแต่ งงานที่ มีพ้ื นฐานอยู่บ นความรั กเดี ยวและมี ความจาเพาะเจาะจง กลายเป็ นรู ป แบบแห่ ง
ความสั มพัน ธ์ร ะหว่ างพระเจ้ากับ ประชากรของพระองค์แ ละในทางกลับ กัน ด้วย วิ ธี รัก ของพระเจ้ากลายเป็ น
มาตรฐานแห่ ง ความรั ก ของมนุ ษ ย์ การคาบโยงที่ ใกล้ชิ ด ระหว่ า ง eros และการแต่ ง งานในพระคัม ภี ร์ ห าที่
เปรี ยบเทียบไม่ได้เลยในวรรณกรรมนอกเหนือไปจากพระคัมภีร์
14. ถึงตรงนี้ เราจาต้องหันไปพิจารณากันอีกแง่หนึ่ ง นัน่ คือ “รหัสธรรมล้ าลึก” แห่ งศีลมหาสนิ ทนั้น มีลกั ษณะ
ของการเป็ นสังคม เนื่ องจากอาศัยความสัมพันธ์ทางศีลศักดิ์สิทธิ์ ข้าพเจ้ากลายเป็ นคนเดียวกันกับพระคริ สตเจ้า เฉก
เช่นคนอื่นที่ไปรับศีลมหาสนิ ททุกคน ดังที่นกั บุญเปาโลกล่าวไว้ว่า “เพราะมีปังก้อนเดียว เราซึ่ งมีหลายคนล้วนเป็ น
กายเดี ยวกัน เพราะเราทุกคนรับประทานปั งก้อนเดี ยวกัน” (1 คร 10:17) การเป็ นหนึ่ งเดี ยวกันกับพระคริ สตเจ้าคือ
การเป็ นหนึ่ งเดี ยวกันกับทุกคนที่พระคริ สตเจ้าทรงมอบพระองค์ให้แก่เขาเหล่านั้นด้วย ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยึด
เอาพระคริ สตเจ้าไว้เป็ นกรรมสิ ทธิ์ เพียงลาพัง ข้าพเจ้าจะเป็ นของของพระองค์ได้ก็ต่อเมื่อข้าพเจ้าเป็ นหนึ่ งเดียวกัน
กับทุกคน ที่ได้กลายหรื อจะกลายเป็ นของพระองค์ ศีลมหาสนิ ทผลักดันให้ขา้ พเจ้าออกไปจากตนเองให้เข้าไปหา
พระองค์ และไปสู่ ความเป็ นหนึ่ งเดี ยวกันกับพี่น้อง คริ สตชนทุกคน เรากลายเป็ น “กายเดียวกัน” ผนึ กอย่างเหนี ยว
แน่ นในการมี ชีวิตเดี ยวกัน ดังนั้นเราจึ งพอที่ จะเข้าใจได้ว่า agape เป็ นศัพ ท์ที่ ใช้กบั ศี ล มหาสนิ ท ได้ด้วย ณ ที่ น้ ี
agape ของพระเจ้ามาประทับ อยู่กบ ั เราด้วยกาย เพื่อทางานต่ อไปในตัวเราและโดยอาศัยเรา เพื่อเราจะสามารถมี
ความเข้าใจได้อย่างถูกต้องถึงคาสอนของพระเยซู เจ้าในเรื่ องความรัก เราต้องตระหนักอยูเ่ สมอถึงพื้นฐานที่มีพระ
คริ สตเจ้าและศีลศักดิ์ สิ ทธิ์ การที่พระองค์ทรงทาให้ธรรมบัญญัติและประกาศกสมัยก่อน ข้ามไปสู่ บญ ั ญัติที่สั่งให้
รักพระเจ้าและเพื่อนมนุ ษย์ อีกทั้งการที่พระองค์ทรงกาชับให้เจริ ญชี วิตในความเชื่ อเป็ นศูนย์กลางนั้น ไม่ใช่ เป็ น
เรื่ องของจริ ยธรรมเท่านั้น กล่าวคือเป็ นอะไรที่เกิดขึ้นต่างหากหรื อเพียงอยูเ่ คียงข้างไปกับความเชื่อในพระคริ สตเจ้า
และดาเนิ นชีวิตในศีลศักดิ์สิทธิ์ อย่างแท้จริ ง ความเชื่อ การนมัสการ และ ethos ล้วนสานทอเข้าเป็ นผ้าผืนเดียวกัน
ซึ่ งก่อตัวขึ้นในการที่ ได้สัมผัสกับ agape ของพระเจ้า “การนมัสการ” ในตัวมันเอง, การสนิ ทสัมพันธ์ในศี ลมหา
สนิ ท รวมความจริ งทั้งสองอย่างไว้ในตัว คือการถูกรักและรักผูอ้ ื่นเป็ นการตอบแทน ศีลมหาสนิ ทที่ไม่ก่อให้เกิดมี
การปฏิ บตั ิ ความรั กที่ เป็ นรู ปธรรมต่ อไป ย่อมบกพร่ องในตัวของมันเอง เราจะมี การอธิ บายประเด็นนี้ กนั ต่ อไป
“บัญญัติ” แห่ งความรักนี้ เป็ นไปได้ เพราะเป็ นอะไรที่มากไปกว่าข้อบังคับ รักเป็ น “บัญญัติ” เพราะรั กถูกมอบให้เรา
ก่อน
15. กฎนี้ เป็ นจุ ดเริ่ มต้นที่ จะทาให้เราเข้าใจนิ ทานเปรี ยบเทียบยิ่งใหญ่ ของพระเยซู เจ้า เรื่ องเศรษฐี (เที ยบ ลก
16:19-31) ที่ขอร้ องจากสถานที่ตนได้รับการทรมาน ให้ไปบอกกับบรรดาพี่นอ ้ งของเขาว่า อะไรมันเกิดขึ้นกับเขา
ที่ไม่ได้ให้ความสนใจต่ อคนยากคนจน พระเยซู เจ้าใช้เสี ยงเรี ยกร้ องนี้ เป็ นเครื่ องเตือนใจเราให้หันกลับเข้าไปใน
หนทางที่ถูกต้อง นิทานเรื่ องชาวซามาริ ตนั ผูใ้ จดี (เทียบลก 10:25-37) ให้บทสอนใจที่สาคัญสองประการ ก่อนสมัย
พระเยซู คาว่า “เพื่อนบ้าน” หมายถึงเพื่อนร่ วมชาติและชาวต่างชาติที่มาตั้งรกรากอยูใ่ นประเทศอิสราเอล หรื อพูดอีก
อย่างก็คือ หมายถึงชุมชนที่มีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิดแห่ งประเทศใดประเทศหนึ่ งหรื อชุมชนใดชุมชนหนึ่ ง บัดนี้
เขตแดนนี้ ถูกรื้ อออกไปแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่ตอ้ งการข้าพเจ้า และที่ขา้ พเจ้าช่วยได้ลว้ นเป็ นเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า
ทั้งสิ้ น ความคิดของคา “เพื่อนบ้าน” กลายเป็ นสากล แต่ก็ยงคงไว้ซ่ ึ งความเป็ นรู ปธรรม ถึงแม้ว่าความรักนี้ จะขยาย
ออกไปถึงมนุ ษย์ทุกคน ความหมายของมันก็ไม่ได้เลื่อนลอย ขาดความเป็ นรู ปธรรม และไม่เรี ยกร้องให้ตอ้ งมีการ
10
แสดงความรักก็หาไม่ กลับเรี ยกร้ องให้ขา้ พเจ้าต้องทากิจกรรมที่เป็ นรู ปธรรมเดี๋ ยวนี้ พระศาสนจักรมีหน้าที่ตอ้ ง
อธิ บายความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านที่อยูใ่ กล้และไกลอย่างสม่าเสมอให้สมาชิกของตนทราบเกี่ยวกับการดาเนิ น
ชีวิตประจาวันของพวกเขา ที่สุด เราควรพูดถึงนิ ทานเปรี ยบเทียบเรื่ องวันพิพากษาสุ ดท้าย (เทียบ มธ 25:31-46) ซึ่ ง
ความรั กจะเป็ นมาตรฐานในการตัดสิ นเกี่ ยวกับ คุ ณ ค่าชี วิต ว่าดี หรื อ ชั่ว พระเยซู เจ้าทรงท าให้พ ระองค์เป็ นพวก
เดียวกันกับคนยากจน กับคนที่หิวโหย คนกระหาย คนแปลกหน้า คนไร้เครื่ องนุ่ งห่ ม คนป่ วย และคนที่ถูกจาจอง
ั ิ กบั พี่ น้องต่ าต้อยที่ สุดของเราเช่ นไร ท่ านก็ปฏิ บตั ิ ต่อตัวเราเอง” (มธ 25:40) ความรั กต่ อพระเจ้าและ
“ท่ านปฏิ บ ต
เดียว - เป็ นที่ ยอมรั บกันดี ในบริ บทแห่ งความรั กที่ แท้จริ งที่ เชื่ อกันมาแต่โบราณกาล ความรั กในสองมิติน้ ี มีความ
คล้ายกัน และนาไปสู่ ชุมชนที่มีความปรารถนาและความคิดเดียวกัน เรื่ องราวความรั กของพระเจ้ากับมนุ ษย์ต้ งั อยู่
บนพื้นฐานความจริ งที่ ว่า ความเป็ นหนึ่ งเดี ยวกันในความปรารถนานี้ จะเพิ่มทวีความเข้มข้นขึ้นประสานกันกับ
ความคิดและความรู ้สึก จนทาให้ความปรารถนาของเราและของพระเจ้าโน้มน้าวเข้าหากันเรื่ อยๆ ความปรารถนา
หรื อพระประสงค์ของพระเจ้าจึงมิใช่ของแปลกประหลาดอะไรสาหรับข้าพเจ้า มันเป็ นอะไรที่บงั คับมาจากภายนอก
ด้วยบทบัญญัติหรื อคาสั่ง แต่บดั นี้ มนั ได้กลายเป็ นความต้องการของข้าพเจ้าเอง โดยมีพ้ืนฐานมาจากความตระหนัก
ว่า แท้ที่จริ งแล้วพระเจ้าทรงประทับและปรารถนาดี ต่อข้าพเจ้ามากยิ่งกว่าข้าพเจ้ามีต่อตัวข้าพเจ้าเอง ดังนั้นการ
10
12
จาเป็ นที่ถูกการเมืองบังคับ อาศัยการเห็ นด้วยสายตาของพระคริ สตเจ้า ข้าพเจ้าสามารถมอบอะไรๆ ให้มากไปยิ่ง
กว่าความต้องการที่ปรากฏออกให้เห็นภายนอกเสี ยอีก ข้าพเจ้าสามารถที่จะให้ความรักที่พวกเขาอยากได้ ณ ที่น้ ีเรา
จะเห็ นการคาบเกี่ยวกันระหว่างความรักของพระเจ้าและความรักต่อเพื่อนมนุ ษย์ ซึ่ งจดหมายฉบับแรกของนักบุญ
ยอห์นกล่าวถึงซ้ าแล้วซ้ าอีก หากข้าพเจ้าไม่ได้มีการสัมผัสใดเลยกับพระเจ้าในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะมองคน
อื่นเป็ นอะไรไปไม่ได้นอกจากเป็ นคนอื่น ซึ่ งจะไม่สามารถทาให้ขา้ พเจ้ามองเห็นภาพลักษณ์ของพระเจ้าในตัวเขาได้
เลย แต่หากในชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่เคยสนใจผูอ้ ื่นเลย เพราะต้องการที่จะเป็ นคน “ศรัทธา” และ “ปฏิบตั ิหน้าที่
ทางศาสนา ” อยู่อ ย่างเดี ยว หากเป็ นเช่ นนั้น แล้วความสั มพัน ธ์ ของข้าพเจ้ากับ พระเจ้าก็จ ะแห้ งแล้งสิ้ น ดี มันคง
กลายเป็ นแค่ “ก็ดีอยู”่ แต่ไม่มีความรักเลย มีแต่ความพร้อมเสมอที่จะเข้าไปสัมผัสกับพี่นอ้ งเพื่อแสดงความรักต่อเขา
เท่านั้น ที่จะทาให้ขา้ พเจ้ามีความสัมพันธ์กบั พระเจ้าได้ อาศัยการรับใช้เพื่อนมนุ ษย์เท่านั้นที่ดวงตาของข้าพเจ้าจะ
เปิ ดออกเห็นสิ่ งที่พระเจ้าได้ทรงปฏิบตั ิต่อข้าพเจ้า และเห็ นว่าพระองค์ได้ทรงรักข้าพเจ้าสักปานใด บรรดานักบุญ
ต่างๆ เช่น บุญราศีเทเรซาแห่ งกัลกัตตา ล้วนพยายามในการรื้ อฟื้ นขีดความสามารถที่จะรั กเพื่อนมนุ ษย์ โดยอาศัย
การสัมผัสกับพระคริ สตเจ้าในศีลมหาสนิ ท และการสัมผัสนี้ เองที่ทาให้พวกเขาได้มาซึ่ งความลึกล้ าและความร้อน
รนในการรับใช้ผอู ้ ื่น ความรักต่อพระเจ้าและความรักต่อเพื่อนมนุ ษย์จึงเป็ นสิ่ งที่จะแยกออกจากกันไม่ได้ ทั้งสอง
รวมเป็ นบัญญัติเดียวกัน แต่ท้ งั สองบัญญัติต่างก็ได้รับการถ่ายทอดชีวิตมากจากความรักของพระเป็ นเจ้าผูท้ รงรักเรา
ก่อน จึงไม่เป็ นปั ญหาอีกต่อไปในประเด็นของ “บัญญัติ” ที่บงั คับมาจากภายนอกและเรี ยกร้องสิ่ งที่เป็ นไปไม่ได้ แต่
เป็ นเรื่ องของประสบการณ์ในความรักที่เกิดขึ้นภายในอย่างอิสระเสรี เป็ นความรักที่โดยธรรมชาติของตัวมันเองแล้ว
จะต้องมีการแบ่งปั นให้แก่ผอู ้ ื่นด้วย รักเจริ ญงอกงามขึ้นโดยอาศัยความรัก รักเป็ นเรื่ องของ “พระเจ้า” เพราะมันมา
จากพระเจ้าและเชื่อมโยงเราให้เป็ นอันหนึ่ งอันเดียวกันกับพระเจ้า ซึ่ งอาศัยกระบวนการที่ทาให้เราเป็ นหนึ่งเดียวกับ
พระเจ้านี้ มันทาให้เราเลยข้ามการแตกแยก และทาให้เราเป็ นหนึ่ งเดียวกันจนกระทัง่ ในที่สุดแล้วพระเจ้าคือ “ทุกสิ่ ง
ในทุกคน” (1 คร 15:28)
ภาค 2
การปฏิบัติความรั กของพระศาสนจักร
ในฐานะที่เป็ น “ชุ มชนแห่ งความรัก”
ไตร่ ต รองข้างต้น เรามุ่ งประเด็ น หลัก ไปที่ พ ระเจ้าผูท้ ี่ ถู ก อาวุ ธ ทิ่ มแทง (เที ยบ ยน 19:37; อสค 12:10) ทราบถึ ง
แผนการของพระบิดา ผูท้ รงเพราะความรัก (เทียบ ยน 3:16) ได้ทรงส่ งพระบุตรแต่องค์เดียวของพระองค์มาบังเกิด
ในโลกเพื่อไถ่กูม้ นุ ษย์ อาศัยการสิ้ นพระชนม์บนไม้กางเขน ดังที่นักบุ ญยอห์นบอกเราว่า พระเยซู เจ้าทรง “มอบ
วิญญาณของพระองค์” (ยน 19:30) โดยหวังที่จะได้รับพระพรของพระจิตเจ้าที่พระองค์จะทรงก่อให้เกิดขึ้นหลังการ
กลับฟื้ นคืนชีพของพระองค์ (เทียบ ยน 20:22) ทั้งนี้ เพื่อให้สาเร็ จไปซึ่ งคาสัญญาแห่ ง “ลาธารแห่ งน้ าทรงชีวิต” ที่จะ
หลัง่ ไหลออกมาจากดวงใจของผูท้ ี่มีความเชื่อโดยอาศัยพระพรของพระจิตเจ้า (เทียบ ยน 7:38-39) อันที่จริ ง พระจิต
13
เจ้าคือพลังอานาจภายใน ที่ผนึ กดวงใจของพวกเขาให้เป็ นหนึ่ งเดียวกันกับดวงหทัยของพระคริ สตเจ้า แล้วผลักดัน
ให้พวกเขารักผูอ้ ื่นดังที่พระคริ สตเจ้าได้ทรงรักพวกเขา เมื่อพระองค์ทรงก้มลงล้างเท้าอัครสาวก (เทียบ ยน 13:1-13)
โดยเฉพาะอย่างยิง่ เมื่อพระองค์ทรงมอบชีวิตของพระองค์เองเพื่อเรา (เทียบ ยน 13:1, 15:13)
พระจิตเจ้ายังทรงเป็ นพลังที่เปลี่ยนดวงใจของชุ มชนคริ สตชนอีกด้วย เพื่อที่ชุมชนนั้นจะได้เป็ นประจักษ์
พยานต่อโลกในความรักของพระบิดา ผูท้ รงมีพระประสงค์ที่จะทาให้มนุ ษยชาติเป็ นครอบครัวเดียวกันในพระบุตร
ของพระองค์ กิจเมตตาธรรมทั้งปวงของพระศาสนจักรเป็ นการแสดงออกถึงความรักที่แสวงหาความดีส่วนรวมของ
มนุษย์ เป็ นการแสวงหาการประกาศพระวรสารของพระองค์โดยอาศัยพระวจนาถและศีลศักดิ์สิทธิ์ เป็ นการกระทา
สุ ดยอดแห่ งวีรกรรมในวิธีที่ได้กระทาตลอดช่วงเวลาแห่ งประวัติศาสตร์ เป็ นการแสวงหาหนทางในการส่ งเสริ ม
มนุ ษย์ในบริ บทต่างๆ ของชีวิตและกิจกรรมต่างๆ ของมนุ ษย์ เพราะฉะนั้น ความรักคือการรับใช้ที่พระศาสนจักร
ปฏิบตั ิไป เพื่อคอยดูแลเอาใจใส่ ความทุกข์ยากและความต้องการต่างๆ รวมถึงความต้องการฝ่ ายวัตถุดว้ ย และนี่ คือ
มุมมอง นี่คือ การรับใช้ดว้ ยความรัก ที่เราอยากจะเน้นในภาค 2 ของสมณสาส์น
รู ปธรรมของพระศาสนจักร
24. ตัวอย่างของจักรพรรดิ จูเลียโน (ค.ศ. 363) ผูล้ ะทิ้งความเชื่อพอจะเป็ นตัวอย่างแสดงให้เห็ นได้ว่า พระศา
สนจักรสมัยแรกๆ เล็งเห็นถึงความสาคัญของงานเมตตาธรรมที่จดั เป็ นองค์กรพร้อมทั้งมีการบริ หารจัดการที่ดีน้ นั มี
ความสาคัญอย่างไร ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ จูเลียโนอยูใ่ นเหตุการณ์ขณะที่บิดาพร้อมสมาชิกทุกคนในครอบครัวของเขา
ถูกฆ่าทั้งหมด ไม่ทราบผิดหรื อถูกที่เขาโยนความโหดร้ายนั้นไปที่จกั รพรรดิคอนแสตนซี อุส ซึ่ งในสายตาของคน
ทัว่ ไปถือว่าเป็ นคริ สตชนคนดีมีธรรมะ เมื่อได้ข้ ึนเป็ นจักรพรรดิ จูเลียโนตัดสิ นใจที่จะฟื้ นฟูการนับถือเทพเจ้าต่างๆ
ซึ่ งเป็ นศาสนาเก่ าของโรม พร้ อมทั้งทาการปฏิ รูป โดยหวังที่ จะให้ศาสนาใหม่ น้ ี เป็ นพลังแห่ งอาณาจัก รของตน
เกี่ยวกับประเด็นนี้ เขาได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากศาสนาคริ สต์ เขาสถาปนาฐานันดรสงฆ์เพื่อส่ งเสริ มความ
รักต่อเทพเจ้าและต่อเพื่อนมนุ ษย์ ในจดหมายฉบับหนึ่ ง เขาเขียนไว้ว่า จุดเดียวที่ศาสนาคริ สต์ประทับใจเขามาก
16
16
ความยุติธรรมและเมตตาธรรม
26. นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 เป็ นต้นมา ได้มีการหยิบยกข้อกังขาขึ้นมาเกี่ยวกับกิจเมตตาธรรมของพระ ศาสน
จักร ซึ่ งต่อมามีการตอกย้ าอย่างเข้มข้นจากลัทธิ ของมาร์ กซ์โดยอ้างว่า คนจนไม่ตอ้ งการความเมตตาแต่ตอ้ งการ
ความยุติธรรมต่ างหาก งานเมตตาธรรมอย่างเช่ นการท าบุ ญให้ท าน ผลของมันก็คือเป็ นวิธีหนึ่ งที่ ท าให้คนรวย
สานึกถึงหน้าที่ให้ตอ้ งแสวงหาความยุติธรรม และอีกด้านหนึ่งก็เป็ นการผ่อนคลายมโนธรรมของตน เนื่องเพราะมัว
แต่ รักษาสถานภาพของตนแล้วไปละเมิ ดสิ ท ธิ ของคนจน แทนที่ จะมอบความช่ วยเหลื อผ่านทางงานต่ างๆ ของ
องค์กรมนุ ษยธรรมเพื่อที่จะรั กษาสถานภาพเดิ มของตน เราจาต้องสร้างระบบสังคมที่เป็ นธรรม ซึ่ งทาให้ทุกคน
ได้รับส่ วนแบ่งของตนจากสมบัติโลกโดยที่ไม่ตอ้ งไปพึ่งทานจากผูใ้ ด เราต้องรับว่ามีความจริ งอยูบ่ า้ งเหมือนกันใน
ข้อโต้แย้งของฝ่ ายตรงข้าม แต่ก็มีความเข้าใจผิดพลาดอยูม่ ากเช่นกัน เป็ นความจริ งว่าการดารงไว้ซ่ ึ งความยุติธรรม
ต้องเป็ นมาตรการพื้นฐานของรั ฐ และเป้ าหมายของระเบี ยบสังคมชอบธรรมต้องเป็ นหลักประกันให้ทุกคนตาม
หลักการของความเอื้ออาทร คือทุกคนควรมีส่วนในสมบัติของชุ มชน ประเด็นนี้ ถูกนามาตอกย้าเสมอโดยคาสอน
ของพระศาสนจักรที่เกี่ยวกับสังคมและเป็ นหน้าที่ของรัฐ ตามประวัติศาสตร์ ประเด็นที่เกี่ยวกับระเบียบสังคมชอบ
ธรรมในโลก เกิ ดมีมิติใหม่ พร้ อมกับการปรั บเปลี่ยนของสังคม ที่กลายเป็ นสังคมอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19
อุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นมากมายนั้น เป็ นเหตุให้โครงสร้างสังคมเก่าล่มสลาย ขณะเดียวกันชนชั้นกรรมาชีพ
กิ น เงิ น เดื อ นที่ เพิ่ ม ขึ้ น อย่า งรวดเร็ ว ก่ อ ให้ เกิ ด มี ก ารแปรเปลี่ ยนชนิ ด ถอนรากถอนโคนในกระบวนการสั งคม
ความสัมพันธ์ระหว่างทุนนิยมกับแรงงานบัดนี้ได้กลายเป็ นประเด็นสะกิดใจทุกคน เป็ นประเด็นที่ไม่เคยมีใครเข้าใจ
มาก่อน ทุนและวิธีผลิตคือแหล่งของอานาจที่มีอยูใ่ นกามือของคนเพียงไม่กี่คนนั้น นาไปสู่ การกดขี่สิทธิของชนชั้น
กรรมาชีพจนเป็ นเหตุให้ชนชั้นกรรมาชีพต้องก่อการปฏิวตั ิ
17
สลับซับซ้อนของทุกวันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิง่ เป็ นเพราะการเจริ ญเติบโตแบบก้าวกระโดดของเศรษฐกิจยุคโลกาภิ
วัตน์ คาสอนด้านสังคมของพระศาสนจักรคือคู่มือแนะนาขั้นพื้นฐานที่มีประสิ ทธิ ภาพมาก กระทัง่ เหนื อเขตแดน
ปกครองของพระศาสนจักรด้วยซ้ า โดยเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับการพัฒนา คาแนะนาดังกล่าวจะต้องนามาใช้ใน
บริ บทแห่ งการเสวนากับทุกท่าน ที่มีความกังวลอย่างจริ งจังต่อมนุษยชาติและต่อโลกที่เราอาศัยอยู่
คาทอลิ กคือ อะไรเป็ นของซี ซ าร์ และอะไรเป็ นของพระเจ้า (เที ยบ มธ 22:21) หรื อ พูด อี ก แบบว่ า การ
แบ่งแยกให้ชดั เจนระหว่างพระศาสนจักรกับรัฐ หรื ออย่างที่สังคายนาวาติกนั ที่ 2 กล่าวว่า เป็ นอธิ ปไตย
ของฝ่ ายโลก รั ฐต้องไม่มาบีบบังคับศาสนา แต่จะต้องมีหลักประกันเสรี ภาพในการนับถือศาสนา และ
19
19
29. บัดนี้ เราสามารถแยกแยะได้ชดั เจนขึ้น ในชี วิตของพระศาสนจักร ความสัมพันธ์ระหว่างหน้าที่ในการจัด
ระเบี ยบยุติธรรมของรั ฐ และสังคมในมิ ติหนึ่ ง และการจัดตั้งองค์กรเมตตาธรรมอีกมิติหนึ่ ง เราเห็ นแล้วว่า การ
สร้างโครงสร้างชอบธรรมไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของพระศาสนจักร แต่เป็ นเรื่ องของโลกการเมือง เป็ นเรื่ องของการ
ใช้เหตุผลที่ถูกต้อง ณ จุดนี้ พระศาสนจักรมีหน้าที่ทางอ้อม คือได้รับการเรี ยกร้องให้มีส่วนชาระเหตุผลให้บริ สุทธิ์
และปลุ กพลังธรรมเหล่ านั้นให้ตื่นขึ้นมา หากปราศจากซึ่ งพลังธรรมดังกล่ าวโครงสร้ างที่ ชอบธรรมจะไม่ มีวนั
เกิดขึ้นได้ หรื อหากเกิดขึ้นก็ไม่มีประสิ ทธิภาพในระยะยาว
ในอีกมุมมองหนึ่ ง หน้าที่โดยตรงในการจัดระเบียบสังคมที่ชอบธรรมนั้น เป็ นหน้าที่จาเพาะของฆราวาส
ในฐานะที่ เป็ นพลเมื องของรั ฐ เขาถูกเรี ยกร้ องให้ตอ้ งมี ส่วนในชี วิตส่ วนรวมในฐานะที่ เป็ นบุ คคล ดังนั้นเขาจะ
ทอดทิ้ งไม่ ได้เลยต่ อการมี ส่วนร่ วม “ในสนามต่ างๆ ไม่ ว่าจะเป็ นเศรษฐกิ จ สังคม กฎหมาย การปกครอง และ
วัฒนธรรม ซึ่ งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ลว้ นมีจุดประสงค์ที่จะส่ งเสริ มความดีส่วนรวมทั้งสิ้ น” ดังนั้นพันธกิจของ
21
20
ในอีกมุมมองหนึ่ ง ตรงจุดนี้ เราเห็นการท้าทายใหม่ที่มีผลเชิงบวกของกระบวนการโลกาภิวตั น์ กล่าวคือ
เราสามารถที่จะใช้หนทางมากมายในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่บรรดาพี่นอ้ งของเราที่เดือดร้อน เป็ น
ต้นระบบสมัยใหม่ในการแจกอาหาร เครื่ องนุ่ งห่ ม ที่อยูอ่ าศัย และการดูแลเอาใจใส่ อื่นๆ อีกมากมาย ความห่ วงใย
ต่อเพื่อนมนุ ษย์อยู่เหนื อเครื อข่ายชุ มชนระดับชาติ ซึ่ งยิ่งวันยิง่ จะต้องขยายขอบข่ายไปสู่ มนุ ษย์ท้ งั โลก สังคายนา
วาติกนั ที่ 2 ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างถูกต้องว่า “ท่ามกลางเครื่ องหมายต่างๆ แห่ งกาลเวลาในยุคนี้ สิ่ งที่ควรได้รับความ
สนใจเป็ นพิ เศษคื อ ความรู ้ สึ ก แห่ งการเอื้ อ อาทรระหว่ างมนุ ษ ย์ที่ ก าลัง เพิ่ มมากขึ้ น ” หน่ ว ยงานภาครั ฐ และ
25
ข) สภาพการณ์ น้ ี ก่ อ ก าเนิ ด และการพัฒ นาเจริ ญ เติ บ โตของความร่ วมมื อ ในรู ป แบบต่ างๆ ระหว่างรั ฐและ
หน่ วยงานต่างๆ ของพระศาสนจักร ซึ่ งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดผลดีท้ งั สิ้ น หน่ วยงานต่างๆ ของพระศาสน
จัก รที่ ป ฏิ บ ัติ ง านด้ว ยความโปร่ ง ใสและสั ต ย์ซื่ อ ต่ อ การเป็ นประจัก ษ์พ ยานของความรั ก สามารถเป็ น
บทเรี ยนให้แก่องค์กรพลเรื อนต่างๆ ได้ดว้ ย โดยเฉพาะอย่างยิง่ การส่ งเสริ มให้มีการประสานงานกัน ซึ่ ง
ยังผลให้เกิดประสิ ทธิ ภาพในงานกุศล มีการตั้งองค์กรมากมายที่มีจุดประสงค์ประกอบกิจเมตตาธรรม
26
ที่น้ ี ที่มีส่วนร่ วมไม่ว่าจะเป็ นกิจกรรมชนิ ดใด สาหรั บคนหนุ่ มสาว การมี ส่วนร่ วมแบบกว้างขวางนี้ คือ
สถานที่ อบรมส าหรั บ ชี วิ ต ที่ ส อนพวกเขาถึ งการเอื้ อ อาทรและความพร้ อ มในการช่ วยเหลื อ ผูอ้ ื่ น ไม่
เพี ยงแต่ ช่วยในด้านวัต ถุ เท่ านั้น แต่ ด้วยชี วิต ของพวกเขาเอง วัฒ นธรรมแห่ งความตายที่ แสดงออกมา
ดัง เช่ น ในการใช้ยาเสพติ ด จะได้รั บ การต่ อ ต้า นด้ว ยความรั ก ที่ ไ ม่ เห็ น แก่ ต ัว ซึ่ งแสดงออกมาในรู ป
วัฒนธรรมแห่ งชีวิตด้วยการพร้อมที่จะ “สละชีวิต” (เทียบ ลก 17:33) เพื่อผูอ้ ื่น
ก) หากจะเอาแบบนิ ทานเรื่ องชาวซามาริ ตนั ผูใ้ จดี เมตตากิจของคริ สตชน ก่อนอื่นเป็ นการตอบสนองทันทีต่อ
ความต้องการในเหตุ การณ์ พิเศษต่างๆ ไม่ ว่าจะเป็ นการให้ขา้ วให้น้ าแก่ผทู ้ ี่ กาลังหิ วโหย ให้เสื้ อผ้าแก่ผูท้ ี่
เปลือยเปล่า เอาใจใส่ ดูแลรักษาคนป่ วย เยีย่ มเยียนผูท้ ี่ถูกจองจา ฯลฯ องค์กรเมตตากิจของพระศาสนจักร
เริ่ มจาก Caritas (ระดับสังฆมณฑล ระดับชาติ และระดับสากล) ควรที่จะทาทุกอย่างเท่าที่จะสามารถทาได้
ในการจัดหาทรั พยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุ คลากรอันจาเป็ นสาหรั บงานนี้ ปั จเจกชนที่ ทาหน้าที่ ดูแลผู ้
เดือดร้อน ต้องมีความรอบรู ้เชี่ยวชาญและมีความเป็ นมืออาชีพ ต้องได้รับการอบรมเป็ นอย่างดีในสิ่ งที่ตอ้ ง
ทาและจะทาอย่างไร และที่สาคัญ ต้องมีความตั้งใจที่จะทางานต่อไปอย่างต่อเนื่ อง แต่ถึงแม้ความเป็ นมือ
อาชี พจะเป็ นคุณสมบัติประการแรกและเป็ นเรื่ องพื้นฐาน ในตัวมันเองนั้นยังไม่เป็ นการเพียงพอ เรากาลัง
พูดกันถึ งคน คนมี ความต้องการอะไรที่ มากไปกว่าการเอาใจใส่ ดูแลด้านเทคนิ ค เขาต้องการความเป็ น
มนุ ษย์ เขาต้องการความห่ วงใยที่ออกมาจากใจ ผูท้ ี่ทางานในองค์กรมนุ ษยธรรมของพระศาสนจักรต้องมี
ความแตกต่างในมิติที่ว่า พวกเขาไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการในชัว่ ครู่ น้ นั เท่านั้น แต่พวกเขามอบ
ตนเองแก่ผอู ้ ื่นด้วยความห่ วงใยอย่างจริ งใจ จนทาให้พวกเขาสัมผัสได้กบั ความร่ ารวยแห่ งความเป็ นมนุ ษย์
ผลที่ ต ามมาก็คื อ นอกเหนื อ ไปจากการฝึ กฝนให้ มี ความเป็ นมื อ อาชี พ แล้ว ผูท้ างานสงเคราะห์ เหล่ า นี้
จาเป็ นต้องได้รับ “การอบรมจิ ตใจ” ด้วย พวกเขาต้องได้รับการอบรมให้ได้สัมผัสกับพระเจ้าในองค์พระ
คริ สตเจ้า ผูท้ ี่จะทรงเป็ นผูป้ ลุกความรักของเขาให้ตื่นขึ้นและทรงเปิ ดดวงใจพวกเขาสู่ ผอู ้ ื่น ผลที่ตามมาคือ
ความรั กต่อเพื่อนมนุ ษย์จะไม่เป็ นบัญญัติที่นามาบังคับพวกเขาอีกต่อไป แต่กลายเป็ นผลพวงที่ได้มาจาก
ความเชื่อของพวกเขา ความเชื่อที่อยูเ่ ฉยไม่ได้เนื่องเพราะความรัก (เทียบ กท 5:6)
ข) เมตตากิจของคริ สตชนต้องเป็ นอิสระไม่ข้ ึนกับพรรคการเมืองหรื ออุดมการณ์อื่น มันไม่ใช่ เครื่ องมือที่จะ
นามาเปลี่ยนโลกโดยอาศัยอุดมการณ์ และก็ไม่ใช่ มีไว้รับใช้กุศโลบายฝ่ ายโลก แต่เป็ นวิธีที่จะทาให้ความ
รักที่มนุ ษย์ตอ้ งการเกิดขึ้น ณ ที่น้ ีและบัดนี้ มนุษย์ยคุ สมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิง่ จากศตวรรษที่ 19 เป็ นต้น
มา ถูกครอบงาโดยปรัชญาต่างๆ ในเรื่ องของการพัฒนา ที่รุนแรงที่สุดคือลัทธิ มาร์ กซ์ มาร์ กซ์เสนอทฤษฎี
ความยากจนว่า ในสภาพการณ์ของอานาจที่ไม่เป็ นธรรม ใครก็ตามที่ทางานเมตตากิจคือผูท้ ี่รับใช้ระบบที่
ไม่ชอบธรรมนั่นเอง เพราะเป็ นการทาให้เห็ นว่าความไม่ยุติธรรมนั้นพอทนได้ การกระทาเช่ นนี้ เป็ นการ
ชะลอศักยภาพในการปฏิวตั ิ ซึ่ งเท่ากับเป็ นการสกัดกั้นการต่อสู ้เพื่อโลกที่ดีกว่าเดิ ม เมื่อคิดกันเช่นนี้ แล้ว
22
กิจเมตตาจึงถูกปฏิเสธและถูกโจมตีว่าเป็ นวิธีธารงไว้ซ่ ึ งสถานภาพเดิม (status quo) สิ่ งที่อา้ งมานี้ แท้จริ ง
แล้วไม่ใช่ปรัชญามนุ ษย์ มนุ ษย์ปัจจุบนั ถูกทาให้เป็ นเครื่ องบูชาแก่พระเท็จเทียมแห่ งอนาคต อนาคตที่หา
ความเป็ นจริ งไม่ได้ การปฏิเสธที่จะปฏิบตั ิในสิ่ งที่มนุ ษย์ควรปฏิบตั ิ ณ ที่น้ ี และเดี๋ยวนี้ ไม่มีมนุ ษย์คนไหน
ทาให้โลกดีข้ ึนกว่าเดิมได้ เราทาให้โลกดีข้ ึนได้ก็โดยอาศัยการทาดีดว้ ยตัวของเราเอง ณ บัดนี้ ด้วยสานึ ก
ในหน้าที่ และในทุกครั้งที่เรามีโอกาส และทาโดยเป็ นอิสระจากกลยุทธใดๆ ที่มีสิ่งอื่นแอบแฝง เราต้อง
ปฏิบตั ิโครงการของคริ สตชน โครงการของชาวซามาริ ตนั ผูใ้ จดี โครงการของพระเยซู ซึ่ งล้วนแล้วแต่เป็ น
เหมือน “ดวงใจที่ เห็ น” ดวงใจนี้ จะเห็ นว่าที่ ไหนต้องการความรั ก และก็ปฏิบตั ิ ไปตามนั้น อันที่จริ ง เมื่ อ
พระศาสนจักรกระทาเมตตากิจในฐานะที่เป็ นผลงานของชุมชน ทุกคนต้องพร้อมที่จะร่ วมมือกันในการ
วางแผน และประสานกับองค์กรอื่นๆ ที่ทางานประเภทเดียวกัน
ค) ยิ่งไปกว่านั้น ความรั กต้องไม่ นาไปใช้เป็ นเครื่ องมื อสาหรั บสิ่ งที่ สมัยนี้ เรี ยกว่า “เปลี่ ยนศาสนา” รั กเป็ น
อิสระ จะต้องไม่ใช้ความรักเป็ นวิธีการที่จะได้มาซึ่ งเป้ าประสงค์อื่น แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า เมตตากิจ
30
23
ผู้ที่มีหน้ าที่รับผิดชอบต่ องานเมตตาธรรมของพระศาสนจักร
32. ในที่สุด เราต้องหันกลับไปให้ความสนใจกันอีกครั้งหนี่งต่อผูท้ ี่ทาหน้าที่ปฏิบตั ิงานเมตตาธรรมของพระศา
สนจักร เราได้ไตร่ ตรองไปแล้ว่า ผูป้ ฏิบตั ิงานเมตตาธรรมต่างๆ ของพระศาสนจักร แท้จริ งก็คือ พระศาสนจักรเอง
ในทุกระดับนั้น ไม่ว่าจะเป็ นระดับวัด ระดับพระศาสนจักรแห่ งใดแห่ งหนึ่ ง หรื อแม้แต่ระดับพระศาสนจักรสากล
ด้วยเหตุน้ ี จึงเป็ นการเหมาะสมที่สุดที่สมเด็จพระสันตะปาปา ปอล ที่ 6 ได้ทรงสถาปนาสมณสภา Cor Unum ขึ้นให้
เป็ นหน่ วยงานของสันตะสานัก รั บผิดชอบในการปฐมนิ เทศและประสานงานกับหน่ วยงานต่ างๆ ผูท้ างานด้าน
เมตตาธรรม ที่ได้รับการสนับสนุ นจากพระศาสนจักรคาทอลิก เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างส่ วนกลางของสัน
ตะสานัก พระสังฆราชในฐานะที่ เป็ นผูส้ ื บตาแหน่ งจากอัครสาวก มีความรั บผิดชอบเบื้ องต้นในการปฏิ บตั ิ ตาม
โครงการต่ างๆ ของพระศาสนจักรท้องถิ่นดังที่มีกล่าวไว้ในหนังสื อกิ จการของอัครสาวก (เที ยบ กจ 2:42-44) ณ
วัน นี้ เฉกเช่ น กับ ในอดี ต พระศาสนจัก รในฐานะที่ เป็ นครอบครั ว ของพระเจ้า ต้อ งเป็ นสถานที่ ที่ คอยให้ ความ
ช่วยเหลือและได้รับความช่วยเหลือ และในขณะเดี ยวกันยังเป็ นสถานที่ที่ผคู ้ นพร้ อมที่จะรับใช้ ผูท้ ี่อยูน่ อกกรอบ
พระศาสนจักรที่ตอ้ งการความช่ วยเหลือ ในพิธีบวชพระสังฆราชก่อนการอภิเษก ผูส้ มัครต้องตอบหลายคาถามที่
เป็ นประเด็นสาคัญๆ ในหน้าที่ รวมถึงอธิ บายถึงหน้าที่ ต่างๆ แห่ งพันธกิจในอนาคตด้วย พระสังฆราชให้สัญญา
อย่างเปิ ดเผยว่า ในพระนามของพระคริ สตเจ้า ท่านจะให้การต้อนรับและมีใจเมตตาต่อคนยากคนจนและต่อทุกคนที่
ต้องการความบรรเทาและความช่ วยเหลื อ กฎหมายพระ ศาสนจักรในบทที่ เกี่ยวกับพันธกิจของพระสังฆราช
31
ไม่ ได้มี ก ารพู ด ถึ ง ความรั ก ไว้เป็ นบทต่ า งหากในภารกิ จ ของพระสั ง ฆราช แต่ ก ล่ า วด้ว ยค าพู ด ทั่ว ไปถึ ง ความ
รับผิดชอบของพระสังฆราชให้ประสานงานต่างๆ ของการแพร่ ธรรม โดยคานึ งถึงลักษณะจาเพาะของแต่ละงาน 32
33. เกี่ยวกับบุ คลากรที่ จะทาหน้าที่ ปฏิ บตั ิเมตตากิ จของพระศาสนจักรในระดับที่ เป็ นรู ปธรรมนั้น ได้มีการ
กล่าวกันไปแล้วถึงประเด็นสาคัญของมัน กล่าวคือ พวกเขาจะต้องไม่ได้รับแรงบันดาลใจจากอุดมการณ์ต่างๆ ที่มุ่ง
ไปในการพัฒนาโลกให้ดีข้ ึนเท่านั้น หากแต่จะต้องถูกนาโดยความเชื่อซึ่ งทางานโดยอาศัยความรัก (เทียบ กท 5:6)
ความสานึ กที่ว่า ในพระคริ สตเจ้า พระเจ้าได้ทรงมอบตนเองเพื่อเรา แม้กระทัง่ สิ้ นพระชนม์บนไม้กางเขน ต้องเป็ น
แรงบันดาลใจให้เรามี ชีวิตไม่ ใช่ เพื่อตัวเราเอง แต่ เพื่อพระองค์และพร้ อมกันกับพระองค์เพื่อผูอ้ ื่ น ใครที่ รักพระ
คริ สตเจ้าก็รักพระศาสนจักรด้วย พร้อมทั้งปรารถนาที่จะให้พระศาสนจักรเป็ นภาพลักษณ์และเครื่ องมือแห่ งความ
รักที่ไหลหลัง่ มาจากพระคริ สตเจ้า บุคลากรของหน่ วยงานคาทอลิกเมตตาธรรมทุกหน่วย จึงต้องทางานกับพระศา
สนจักรและกับพระสังฆราช เพื่อความรักของพระเจ้าจะได้สามารถแผ่กระจายไปทัว่ โลก โดยอาศัยการมีส่วนร่ วม
ในการปฏิบตั ิความรักของพระศาสนจักร พวกเขาปรารถนาที่จะเป็ นประจักษ์พยานของพระเจ้าและของพระคริ สต
เจ้า และด้วยเหตุน้ ี พวกเขาก็ปรารถนาที่จะทาดีแก่ทุกคนโดยอิสระเสรี ไม่ตอ้ งมีใครมาบังคับ
24
34. การเปิ ดใจกว้างภายในต่อมิติน้ ี ของพระศาสนจักร มีแต่จะช่ วยผูท้ ี่ทางานด้านเมตตาธรรมให้ทางานอย่าง
กลมเกลียวสมานฉันท์กบั องค์กรต่างๆ ในการรับใช้ความต้องการที่มาในรู ปแบบต่างๆ แต่ในแง่หนึ่ งต้องให้ความ
เคารพสิ่ งที่ เป็ นลักษณะจาเพาะเกี่ ยวกับ การรั บ ใช้ ซึ่ งพระคริ ส ตเจ้าทรงเรี ยกร้ องจากสานุ ศิษ ย์ของพระองค์ ใน
ข้อความเกี่ ยวกับ ความรั ก (เที ยบ 1 คร 13) นักบุ ญเปาโลสอนเราว่า เป็ นอะไรที่ มากไปกว่ากิ จกรรมล้วนๆ “หาก
ข้าพเจ้ามอบทุ กสิ่ งที่ ขา้ พเจ้ามี ให้แก่ผูอ้ ื่น ถ้าข้าพเจ้ายอมให้เอากายของข้าฯ ไปเผาไฟ แต่ถา้ ข้าพเจ้าไม่มีความรั ก
ข้าพเจ้าก็ไม่ได้อะไรเลย” (วรรค 3) ข้อความตอนนี้ ตอ้ งเป็ นแม่บทแห่ งการรับใช้ทุกชนิ ดของพระศาสนจักร สรุ ป
การไตร่ ตรองทุกอย่างเกี่ยวกับความรักที่เราได้ให้ไว้ตลอดสมณสาสน์ฉบับนี้ งานทุกอย่างจะขาดความสมบูรณ์เสมอ
นอกจากว่าเป็ นการแสดงออกอย่างเห็นได้ชดั เจนว่า เป็ นความรักต่อเพื่อนมนุ ษย์ เป็ นความรักที่ได้รับการหล่อเลี้ยง
จากการที่ได้สัมผัสกับพระคริ สตเจ้า การนาเอาตัวเองไปมีส่วนร่ วมอย่างลึกซึ้ งต่อความต้องการและความทุกข์ของ
ผูอ้ ื่น กลายเป็ นการแบ่งปั นชี วิตตัวเองแก่พวกเขา หากของขวัญของข้าพเจ้ามิได้บ่งว่า มาจากความสุ ภาพถ่อมตน
แล้ว ข้าพเจ้าต้องมอบให้ผอู ้ ื่นมิใช่แต่เพียงบางสิ่ งที่เป็ นของข้าพเจ้าเท่านั้น แต่มอบตัวข้าพเจ้าเองพร้อมกับของขวัญ
นั้นด้วย
26
หรื อหมายความว่า ในพระเจ้านั้น เกิดมีความผิดพลาด ความอ่อนแอ หรื อการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ก็หาไม่ สาหรับ
ผูท้ ี่มีความเชื่อ เป็ นไปไม่ได้ที่จะคิดว่าพระเจ้าสิ้ นแล้วซึ่ งพลานุภาพ หรื อคิดว่า “บางทีพระองค์ทรงนอนหลับ” (เทียบ
1 พกษ 18:27) ทว่า การร้ องของเรา เฉกเช่ นพระเยซู บนไม้กางเขน คือวิธีที่ดีที่สุดและลึกล้ าสุ ดในการยืนยันความ
39. ความเชื่ อ ความไว้ใจ และความรั กต้องดาเนิ นไปพร้ อมกัน เราปฏิบตั ิความไว้ใจโดยอาศัยฤทธิ์ กุศลแห่ ง
ความเพียรทน ซึ่ งจะก่อให้เกิดผลดีเสมอ แม้ท่ามกลางสิ่ งที่ดูเหมือนจะล้มเหลว และอาศัยฤทธิ์ กุศลแห่ งความสุ ภาพ
ถ่อมตน ซึ่ งยอมรับรหัสธรรมเร้นลับของพระเจ้าและวางใจในพระองค์ แม้ยามที่อยูใ่ นความมืดมิด ความเชื่อสอน
เราว่า พระเจ้าทรงมอบพระบุ ตรของพระองค์เพราะเห็ นแก่เรา และทรงมอบความแน่ นอนว่าเราจะได้รับชัยชนะ
พระเจ้าคือความรัก! ซึ่ งจะเปลี่ยนความอดทนและความสงสัยของเราให้กลายเป็ นความหวังว่า พระเจ้าทรงถือโลก
ไว้ในอุง้ พระหัตถ์ของพระองค์ และอย่างที่ตอนท้ายของหนังสื อวิวรณ์บนั ทึกไว้ว่า ถึงแม้จะมีความมืดมนรอบทิศ
สุ ดท้ายแล้วพระองค์จะทรงมีชยั ในพระสิ ริรุ่งโรจน์ ความเชื่ อที่มองเห็ นความรักของพระเจ้าที่ทรงเผยออกในดวง
หทัยของพระเยซูที่ถูกทิ่มแทงบนไม้กางเขนนั้นจะทาให้เกิดความรัก ความรักคือแสงสว่าง และในที่สุด แสงสว่าง
เดี ยวนี้ ที่ คอยส่ งความสว่างมายังโลกที่ กาลังมื ดมัวลง และที่ คอยให้ความกล้าหาญอันจาเป็ นแก่ เรา ที่ ท าให้เรา
สามารถดาเนิ นชี วิตต่ อไปและทางานต่ อไป ความรั กนั้นเกิดขึ้นได้ และเราสามารถปฏิ บตั ิ มนั ได้ เพราะว่าเราถูก
สร้างขึ้นมาตามภาพลักษณ์ของพระเจ้า นี่คือคาเชื้อเชิญที่เราปรารถนามอบให้ทุกคนในสมณสาส์นฉบับนี้ ขอให้ทุก
คนแสวงหาประสบการณ์ความรักกับพระเจ้า และอาศัยวิธีน้ ีขอให้นาความสว่างของพระเจ้าเข้ามาสู่ โลกของเราด้วย
สรุ ป
27
ทรงเป็ นองค์แห่ งความรัก นักพรตได้สัมผัสกับแรงบันดาลใจที่บงั คับให้พวกเขาเปลี่ยนชีวิตทั้งชีวิตของตน ให้คอย
รั บใช้เพื่อนบ้านนอกเหนื อไปจากรั บใช้พระเจ้า นี่ อธิ บายได้เป็ นอย่างดี ถึงการเน้นเป็ นพิเศษเกี่ ยวกับการให้การ
ต้อนรั บ ให้ที่พกั พิง และการเอาใจใส่ ดูแลผูท้ ี่เจ็บไข้ได้ป่วยที่ อยู่รอบๆ อาราม นอกนั้นยังเป็ นการอธิ บายได้เป็ น
อย่างดีถึงความคิดริ เริ่ มต่างๆ ในประเด็นที่เกี่ยวกับสวัสดิการของมนุ ษย์ และการอบรมแบบคริ สตชนที่มุ่งประเด็น
ไปที่คนจนเป็ นอันดับแรก ผูซ้ ่ ึ งเป็ นกลุ่มเป้ าหมายแรกของการดูแลเริ่ มต้นโดยอารามนักพรตและคณะนักบวช ที่ถือ
ความยากจนต่ างๆ และต่ อ มาโดยสถาบันนักบวชชายหญิ งต่ างๆ ตลอดเวลาแห่ งประวัติศาสตร์ พ ระ ศาสนจัก ร
บรรดานักบุญเหล่านั้นได้แก่ ฟรั งซิ สแห่ งอัสซี ซี อิกญาซี โอแห่ งโลโยลา ยอห์นแห่ งพระเจ้า คามิลโล เดอ เลลลิส
วินเซ็น เดอ ปอล หลุยส์ เดอ มารี ยคั ยิวเซปเป ก๊อตโตเลงโก ยอห์น บอสโก ลุยอียี โอรี โอเน เทเรซาแห่ งกัลกัตตา
ฯลฯ ท่านเหล่านี้ เป็ นเพียงบางตัวอย่างที่เป็ นประจักษ์พยาน และเป็ นแบบฉบับในรู ปของงานสังคมสงเคราะห์ที่ผมู ้ ี
น้ าใจดีควรนาไปเป็ นแบบอย่าง
28
ละเอียดสุ ขมุ ตอนที่แม่พระทรงมองเห็ นความต้องการของคู่บ่าวสาวที่เมืองคานาซึ่ งแม่พระนาไปบอกพระเยซูเจ้า
เราเห็นความสุ ภาพของแม่พระตอนที่แม่พระถอยไปอยูห่ ลังฉากในช่วงชีวิตสาธารณะของพระเยซูเจ้า โดยแม่พระ
ทราบดี ว่า พระบุตรของแม่พระจะต้องสร้างครอบครัวใหม่ อีกทั้งทราบดี ว่า เวลาของแม่พระจะมาอีกครั้ งพร้อม
กันกับไม้กางเขน ซึ่งเป็ นเวลาที่แท้จริ งของพระเยซูเจ้า (เทียบ ยน 2:4; 13:1) ตอนที่อคั รสาวกพากันหลบหนี ไป แม่
พระจะทรงประทับอยู่ ณ แทบเท้าไม้กางเขน (เทียบ ยน 19:25-27) และต่อมาในช่วงที่พระจิตเจ้าทรงเสด็จลงมา ก็
เป็ นพวกเขาที่หอ้ มล้อมแม่พระในขณะที่เฝ้ ารอการเสด็จมาของพระจิตเจ้า (เทียบ กจ 1:14)
29
เอกสารอ้ างอิง
30