มานุษยวิทยาและการเมืองของความตาย Anthropology and Necropolitics

You might also like

Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 7

มานุษยวิทยาและการเมืองของความตาย

Anthropology and Necropolitics

การเมืองแห่งมรณะในพรมแดนชีว ิต
Marcis (2019) ศึ ก ษาชี ว ต
ิ ของนั ก โทษในเร อื นจ า พบว่ า พื้ น ที่ ที่ เ ป็ น ห้ อ งขั ง คื อ
สัญลักษณ์ของการโดดเดี่ยวและการถูกแยกออกจากสังคม มนุษย์ที่เข้ามาอยู่ในห้องขังคือผู้ที่ไม่
มีคุณค่าทางสังคมและเป็นชีว ิตที่รัฐไม่สนใจว่าพวกเขาจะได้รับการปกป้ องคุ้มครองให้ปลอดภัย
อย่ า งไร ผู้ ต้ อ งขั ง และนั ก โทษในเร อื นจ าจึ ง เป็ น ผู้ ที่ อ ยู่ ใ นพื้ น ที่ ที่ ถู ก ลื ม อย่ า งไรก็ ต าม
ประสบการณ์ชีว ิตของผู้ต้องขังเป็นสิ่งที่น่าศึกษาเพื่อทาความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคนกลุ่ม
ต่าง ๆ ที่ดารงอยู่ในเร ือนจาซึ่งเป็นเรอื่ งราวที่คนภายนอกไม่เข้าใจและไม่ต้องการรับรู ้ สังคมใน
เร ือนจาเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์และการควบคุมที่เข้มงวด เจ้าหน้าที่เร ือนจาจะมีอานาจและมีฐานะ
เหนือกว่าผู้ต้องขั ง ในขณะที่กลุ่มผู้ ต้อ งขั งก็ มี การจั ดช่ ว งชั้น ที่ไ ม่เ ท่ า กัน ซึ่ งรั บ รู ้กัน แบบลั บ ๆ
เฉพาะนักโทษในเร ือนจาเท่านั้น ระบอบอานาจที่ปรากฏอยู่ในเร ือนจาจึงประกอบด้วย 2 ส่วน
ส่วนแรกเป็น การควบคุ ม ชีว ติ ของนั กโทษที่ ตัด ขาดจากสังคมภายนอก เป็ น ชีว ิตที่ไ ม่ มีค่า ถูก
ทอดทิ้ง ถูกรังเกียจและรอวันตายจากไป (necropolitics) (Mbembe 2003) ส่วนที่สองคือ
ระบอบอานาจของว ิทยาศาสตร์การแพทย์ที่เข้ามาสอดส่องตรวจตรา และเยียวยารักษานักโทษที่
ป่วยและมีสุขภาพที่อ่อนแอให้มีเรยี่ วแรงและลมหายใจต่อไปได้ (politics of life) (Fassin,
2009)
ภายใต้ ส ภาพแวดล้ อ มของเร อื นจ า การดิ้ น รนของนั ก โทษคื อ เร อื่ งราวเกี่ ย วกั บ ความ
พยายามของมนุษย์ ที่จะมีชีว ิตในสภาวะที่อึดอัด และไม่มีอิสรภาพ การศึกษาพื้นที่เร ือนจาและ
การควบคุมชีว ิตนักโทษ เท่าที่ผานมา นักว ิชาการส่วนใหญ่มักจะมองว่าเร ือนจา หร ือ “คุก” คือ
พื้ น ที่ ที่ แ ยกอยู่ โ ดดเดี่ ย วและถู ก ปิ ด ล้ อ ม (Bernault, 2003; Dikötter & Brown, 2007;
Jefferson 2014) ความเข้าใจดังกล่าวผลิตซ้าความคิดที่ว่าคุกคือสถานที่ที่ปราศจากเสร ีภาพ
และมีสภาวะอับจน Marcis (2019) เสนอว่าหากเร ือนจามีทั้งการควบคุมชีว ิตและการสร้างชีว ิต
ระบอบอ านาจที่ เ กิ ด ขึ้ น ในลั ก ษณะที่ ซ้ อ นทั บ กั น นี้ อ าจพบได้ ใ นพื้ น ที่ อื่ น ๆ นอกเหนื อ ไปจาก
เร ือนจา ดังนั้น การทาความเข้าใจชีว ิตในเร ือนจาจึงมิใช่การมองมิติของการหน่ วงเหนี่ยวกักขัง
เพียงอย่างเดียว หากแต่อาจมีมิติของการให้คุณค่าปรากฏอยู่ จากแนวคิดของ Appadurai
(1986) เรอื่ งการเมืองของการให้คุณค่า (Politics of value) ซึ่งชี้ให้เห็นปฏิสัมพันธ์ที่มนุษย์
ตอบโต้กันเพื่อสร้างคุณค่าบางอย่าง ถึงแม้ว่าการตอบโต้กันนั้นจะมีความเหลื่อมล้าเชิงอานาจก็
ตาม ในเชิงเศรษฐกิจ การแสดงปฏิสัมพันธ์ต่อกันหร ือการแลกเปลี่ยนวัตถุสิ่งของ ได้สร้างมูลค่า
บางอย่ า งขึ้ น แต่ มู ล ค่ า นั้ น มิ ใ ช่ สิ่ ง ที่ ค งที่ ถ าวร เนื่ อ งจากบร บ
ิ ทของการแลกเปลี่ ย นและการ
คาดหวังของบุคคลมีความแตกต่างและเปลี่ยนแปลงได้
ในพื้นที่ของเร ือนจา บร ิบทของการแลกเปลี่ยนและการสร้างปฏิสัมพันธ์ของคนผัน แปร
ไปตามระบอบอ านาจที่ ทั บ ซ้ อ นกั น ระหว่ า งการส่ ง เสร ม
ิ ชี ว ต
ิ และปิ ด กั้ น ชี ว ต
ิ ประเด็ น นี้
Rabinow and Rose (2006) เคยตั้งข้อสังเกตว่าการทาความเข้าใจแนวคิด “อานาจเหนือ
ชี ว ติ ” (Biopower) จ าเป็ น ต้ อ งเข้ า ใจกระบวนการเชื่ อ มโยงระหว่ า งการสร้ า งชี ว ติ และการ
ทาลายชีว ิตที่ดาเนินควบคู่กันไป ในกรณีของอานาจที่ทาลายชีว ิต Mbembe (2003) อธิบาย
ว่า ในโลกปัจจุบัน ว ิธีการทาลายชีว ิตได้ปรับตัวเข้ าไปอยู่ร่วมกับว ิธีการสร้า งชีว ิตทางสังคมซึ่ง
อาพรางตัวได้อย่างแนบเนียนเพื่อให้บุคคลเชื่อว่าชีว ิตของเขากาลังเดินไปสู่ ทางรอด แต่ในทาง
ตรงกันข้ามทางเดินของชีว ิตกลับแฝงไว้ด้วยความตายที่มองไม่เห็น ชีว ิตจึงดารงอยู่อย่าง “คน
ตายที่ยังมีลมหายใจ” (iving dead) คาอธิบายของ Mbembe ทาให้เห็นว่าชีว ิตและความตาย
มิไ ด้แยกจากกัน ในแง่นี้ การเมืองแห่งมรณะ (Necropolitics) ที่เกิดขึ้น ในเร ือนจา ในค่าย
กักกันผู้อพยพหร ือผู้ลี้ภัย ในโรงพยาบาลสนามของผู้ป่วยติดเชื้อร้ายแรงจึงดาเนินไปพร้อมกับ
การจรรโลงชี ว ติ ในพื้ น ที่ เ หล่ า นี้ คื อ ตั ว อย่ า งที่ บ่ ง บอกว่ า ชี ว ติ ของนั ก โทษ ผู้ ต้ อ งขั ง ผู้ อ พยพ
ผู้ลี้ภัย และผู้ป่วยติดเชื้อ คือร่างกายที่พร้อมจะถูกทาลาย ภายใต้อานาจรัฐสมัยใหม่ ชีว ิตของคน
กลุ่มนี้มิได้มีค่าสาหรับการส่งเสร ิมให้มีชีว ิตอย่างมีคุณภาพ ในทางตรงกันข้าม องค์กรด้านสิทธิ
มนุ ษ ยชนและองค์ ก รการกุ ศ ลพยายามเข้ า ไปส่ ง เสร มิ ชี ว ติ ของคนเหล่ า นี้ ใ ห้ อ ยู่ ใ นการดู แ ลที่
เพียงพอ

ประสบการณ์ตายทั้งเป็น
นักโทษที่เข้ า มาอยู่ ในเร ือนจาพบว่า สิ่ ง ที่ เคยเป็น เร อื่ งปกติ เ มื่อ ใช้ ชีว ติ อยู่ ในสั งคมกลั บ
กลายเป็นเรอื่ งที่เป็นไปไม่ได้เมื่ออยู่ในเร ือนจา สิ่งที่เคยมีค่ากลับกลายเป็นสิ่งที่ไร้ค่า สิ่งที่ไร้ค่า
กลั บ เป็ น สิ่ ง ที่ มี ค่ า ขึ้ น มา Jefferson (2014) อธิ บ ายว่ า ประสบการณ์ ข องผู้ ต้ อ งขั ง คื อ การ
ปรั บ ตั ว เพื่ อ การใช้ ชี ว ติ ที่ ไ ม่ เ หมื อ นเดิ ม โดยเฉพาะการอยู่ ใ นพื้ น ที่ ที่ ถู ก ปิ ด ล้ อ มและปราศจาก
อิสรภาพ ประสบการณ์ใหม่ของนักโทษคือการเร ียนรู ้ว่าสิ่งที่ดีและเลวที่เคยเชื่อมั่นและพบเจอใน
สั ง คมภายนอก ไม่ อ าจน ามาอธิ บ ายได้ ใ นเร อื นจ า ประสบการณ์ ชี ว ติ ของนั ก โทษได้ ส ร้ า งชุ ด
ความรู ้ แ ละระบบคุ ณ ค่ า ที่ ต่ า งไปจากเดิ ม เปร ยี บเสมื อ นการเผชิ ญ หน้ า กั บ การเปลี่ ย นระบบ
ศีลธรรมอย่างถอดรากถอนโคน (Marcis, 2019) นักโทษต้องเร ียนรู ้กฎกติกาแบบใหม่ที่ปฏิบัติ
ในเร อื นจ า เช่ น ต้ อ งซ่ อ นเงิ น ไว้ ใ นทวารหนัก หร อื กลื น เงิ น เข้ าไปในท้ อ งเมื่ อ ผู้ คุ ม เข้ า มาตรวจ
นักโทษใหม่ที่เข้ามาในเร ือนจาจะถูกตวจสอบจากคนหลายประเภทตั้งแต่ผู้คุม แพทย์ พยาบาล
และนั ก โทษด้ ว ยกั น เอง นั ก โทษหน้ า ใหม่ จึ ง ตกอยู่ ใ นสภาวะเสี่ ย งที่ จ ะถู ก กระท ารุ นแรงทาง
ร่างกายและจิตใจ ประสบการณ์ดังกล่าวถือเป็นกระบวนการเร ียนรู ้ชีว ิตที่ต่างไปจากเดิม
นั ก โทษมี ป ระสบการณ์ เ กี่ ย วกั บ เคร อื ข่ า ยสั ง คมภายใต้ ก ารพึ่ ง พา การอุ ป ถั ม ภ์ การ
ช่วยเหลือ และการเป็นเพื่อน เคร ือข่ายเหล่านี้ เกิดขึ้นในพื้นที่ที่ถูกกักกันซึ่งทาให้นักโทษสามารถ
ใช้ชีว ิตต่อไปได้ เพื่อนนักโทษเปร ียบเสมือนพี่น้องและเคร ือญาติที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน (Newell,
2006) ในทางตรงกัน ข้าม ความสัมพัน ธ์ระหว่างผู้คุมและนักโทษดาเนิน ไปด้วยความขัดแย้ง
และรุ นแรง เนื่ อ งจากผู้ คุ ม ด ารงอยู่ ใ นฐานะผู้ ใ ช้ อ านาจออกค าสั่ ง ควบคุ ม บั ง คั บ และลงโทษ
นักโทษจึงมักแสดงความขุ่นเคืองและไม่พอใจกับการกระทาของผู้คุม เช่น ผู้คุมใช้อาวุธทาร้าย

2
นักโทษที่ไม่เชื่อฟัง ปัญหานี้นาไปสู่การจราจลและการประท้วงในเร ือนจาซึ่งหลายครั้งมีการใช้
กาลั งต่อสู้และการจุดไฟเผา ในหลายกรณีนั กโทษจะถูกฆ่าเพื่อ ป้อ งกัน มิ ให้ เหตุการณ์ลุ ก ลาม
นั ก โทษที่ ไ ด้ รั บ บาดเจ็ บ จากการต่ อ สู้ กั บ ผู้ คุ ม พวกเขาก็ จ ะไม่ ไ ด้ รั บ การรั ก ษาอย่ า งทั น ที
นอกจากนั้น ในสภาวะที่เกิดโรคระบาดในเร ือนจา นักโทษจานวนมากต้องติดเชื้อเนื่องจากอาศัย
อยู่กับคนหมู่มากและในสภาพแวดล้อมที่สกปรก นักโทษจะไม่มีโอกาสเข้าถึงบร ิการด้านสุขภาพ
ถึงแม้บางกรณี นักโทษที่ป่วยจะถูกส่งไปรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่พวกเขาก็จะไม่ได้รับการ
ดูแลจากเจ้าหน้าที่ (Singh, 2008) ชีว ิตของนักโทษจึงเสมือนสิ่งที่ไร้ค่า ไม่ได้รับการเหลียวแล
และจะถูกกาจัดทิ้งได้เสมอ เร ือนจาจึงเป็นสภาวะที่ชีว ิตตกอยู่ในอันตรายซึ่งรัฐจะมองข้ามและไม่
เห็นความจาเป็นที่จะต้องปกป้องชีว ิตคนในเร ือนจา
การศึกษาของ Lopez (2020) พบว่าในเมืองซานฟรานซิสโกในประเทศสหรัฐอเมร ิกา
ถูกควบคุมด้วยระบอบอานาจที่ต่างกันสองลักษณะ คืออานาจที่สร้างความช่วยเหลือและอานาจ
ที่สร้างความโหดร้าย อานาจทั้งสองลักษณะนี้ส่งผลกระทบต่อชีว ิตของคนไร้บ้าน องค์กรด้าน
มนุษยธรรมและจิตอาสาพยายามเข้าไปช่ว ยเหลื อ ด้านสุขภาพของคนไร้บ้าน ซึ่งต้องการการ
เยียวยารักษาให้รอดพ้นจากความตายเนื่องจากติดยาเสพติด คนไร้บ้านซึ่งเป็นผู้หญิงใช้ชีว ิตบน
ท้ อ งถนนอย่ า งอั น ตรายและเสี่ ย งต่อ การถู ก ท าร้ า ย ภายใต้ ร ะบอบเสร นี ิ ย มใหม่ ที่ รั ฐ บาลของ
สหรัฐอเมร ิกาลดงบประมาณด้านสวัสิดการสังคมลง ทาให้คนจนจานวนมากต้องเผชิญกับความ
ทุกข์ยากและเข้าไม่ถึงความช่วยเหลือ (Goode & Maskovsky, 2001) ขณะเดียวกันรัฐก็เพิ่ม
กฎเกณฑ์ที่ใช้ควบคุมและเอาผิดกลุ่มคนยากจนมากขึ้น ส่งผลให้ชีว ิตคนจนในสังคมที่ข้ า มพ้น
สวัสดิการ (post-welfare) ต้องเผชิญกับความลาบาก กลไกของรัฐที่น้อยนิดที่เข้ามาดูแลคน
เหล่านี้ดาเนินไปบนว ิธีคิดของการดูแลเป็นครั้งคราวและไม่ยั่งยืน (Sangaramoorthy, 2018)
หน่วยงานด้านสังคมสงเคราะห์ทั้งหลายจะออกมาช่วยเหลือคนไร้บ้านและคนจนตามวาระและ
โอกาส ท าให้ ชี ว ติ ของคนไร้ บ้ า นย้ า ยที่ อ ยู่ ไ ปตามวงจรของหน่ ว ยงานที่ เ ข้ า มาช่ ว ยเหลื อ เช่ น
โรงพยาบาล สถานสงเคราะห์ ที่พักชั่วคราว หร ือแม้แต่เร ือนจา
Garcia (2014) ตั้งข้อสังเกตว่าในสังคมที่รัฐตัดงบประมาณด้านสวัสดิการสังคม กลุ่ม
คนจนและผู้ เ ปราะบางจ านวนมากต้ อ งเผชิ ญ หน้ า กั บ ระบบศี ล ธรรมแบบใหม่ นั่ น คื อ การถูก
ตัดสินจากองค์กรการกุศลว่าพวกเขาเป็นคนดีหร ือคนเลว หากถูกมองว่ามีพฤติกรรมที่เหมาะสม
เขาก็จะได้รับความช่วยเหลือ ในทางตรงกันข้ามหากถูกตัดสินว่าเป็นคนเลว พวกเขาก็จะถูกกีด
กั น จากความช่ ว ยเหลื อ สถานการณ์ ดั ง กล่ า วคื อ ความรุ นแรงที่ เ กิ ด ขึ้ น กั บ กลุ่ ม คนเปราะบาง
ส่งผลให้คนจน คนไร้บ้าน คนติดยา และคนที่ขาดที่พึ่งต้องต่อรองกับการช่วยเหลือที่เข้า มาหา
พวกเขา การศึกษาของ Ticktin (2011) พบว่าในประเทศฝรั่งเศส คนจนที่ป่วยและตกอยู่ใน
สภาพอ่อนแอจะถูกนาไปไว้ในสถานพักฟื้ น ในขณะที่คนจนที่ยังมีสุขภาพแข็งแรงจะไม่มีสิทธิเข้า
ไปอยู่ในสถานที่ดังกล่าว ระบบการดูแลช่วยเหลือในลักษณะนี้คือ การ “คัดคนออก” ซึ่งเป็นการ
ตอกย้าความไม่เท่าเทียมในหมู่ของคนที่ยากจนและเผชิญกับความเดือดร้อ น กฎเกณฑ์หลักที่รัฐ
นามาใช้ในกรณีนี้คือกฎด้านสุขภาพ ซึ่งคนจนที่ป่วยหนักเท่านั้นจะได้รับการช่วยเหลือ กฎด้าน

3
สุ ข ภาพจึ ง เป็ น เคร อื่ งมื อ ของอ านาจที่ ส ร้ า งความชอบธรรมส าหรั บ การสร้ า งช่ ว งชั้ น ของผู้ ที่
สมควรได้รับการดูแล (hierarchy of deservingness)
Fassin (2005) อธิบายว่าในรัฐที่ปกครองด้วยอานาจทางการแพทย์ จะสร้างร่างกาย
ของคนที่เจ็บป่วยให้กลายเป็น “ร่างที่ต้องดูแล” ซึ่งถือเป็นการใช้ความรู ้ว ิทยาศาสตร์เพื่อตัดสิน
ว่าชีว ิตของคนประเภทไหนที่สมควรได้รับการปกป้องเยียวยาถือเป็นความชอบธรรมที่รัฐมอบให้
(biolegitimacy) ในการศึกษาของ Knight (2015) พบว่าผู้หญิงไร้บ้านในซานฟรานซิสโก
เมื่อเธอตั้งท้องและติดยาเสพติ ด เจ้าหน้าที่รัฐ จะตัดสินว่า เป็นแม่ที่ล้ มเหลวและประพฤติตัวไม่
เหมาะสม ส่ ง ผลให้ เ ธอไม่ ไ ด้ รั บ ความช่ ว ยเหลื อ ภาพลั ก ษณ์ ข องคนติ ด ยาคื อ สิ่ ง ที่ รั ฐ ไม่ พึ ง
ปรารถนาและกลายเป็นตัวชี้วัดว่าใครควรได้รับการดูแล เมื่อหญิงไร้บ้านที่ตั้งครรภ์และติดยาถูก
ปฏิเสธจากความช่วยเหลือ ชีว ิตของเธอจึงตกอยู่ในสภาวะของผู้ที่กาลังจะตายหร ือเร ียกได้ว่าเป็น
“ชีว ิตที่ตายทั้งเป็น” (Mbembe, 2003)

การเมืองมรณะของการดูแล
ในสถานการณ์ที่รัฐใช้เกณฑ์ด้านสุขภาพมาตัดสินว่าคนใดคือผู้ที่สมควรได้รับการดูแล สิ่ง
ที่เกิดขึ้นคือคนตกทุกข์ได้ยากต้องดิ้นรนแสวงหาหนทางเอาตัวรอดด้วยตัวเอง สิ่งที่ผู้เดือดร้อน
และคนเปราะบางเลือกคือการพึ่งพาความช่วยเหลือหลากหลายรู ปแบบในเวลาเดียวกัน โดยไม่
ยึดติดอยู่กับความช่วยเหลือจากองค์กรใดองค์กรเดียว ในกรณีของคนไร้บ้านที่ติดยาเสพติด รัฐ
มักจะมองคนเหล่านี้เป็นอาชญากรและเป็น ผู้ประพฤติผิดทางศีลธรรม ทาให้การช่วยเหลื อคน
กลุ่มนี้เป็นเพียงการนาตัวมาบาบัดรักษาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งเปร ียบเสมือนการลงโทษ
แบบหนึ่งที่รัฐสมัยใหม่นาไปใช้ในหลายประเทศ การควบคุมและบาบัดผู้ติดยาถือเป็นกลไกที่ไร้
ความเป็นมนุษย์ที่กระทาต่อบุคคลที่ใช้ยาเสพติด (Zigon, 2018) คนไร้บ้านที่ติดยาเสพติด ซึ่ง
ถูกสังคมรังเกียจและรัฐมองเป็นภัยสังคม คนเหล่านี้จาเป็นต้องดิ้นรนหาว ิธีเอาตัวรอดตามลาพัง
โดยที่ไม่มีว ิธีการที่ตายตัว แต่พวกเขาปรับตัวไปตามสภาวะที่เอื้อให้ทาได้ การต่อสู้ดิ้นรนไปวันต่อ
วันทาให้ชีว ิตของคนเหล่านี้เสมือนเป็น “ชีว ิตที่รอความตาย”
การเมืองมรณะจึงหมายถึงระบอบอานาจที่กระทาต่อชีว ิตคนที่ถูกตีตราว่าชั่วร้ายซึ่งใช้
ชี ว ติ อยู่ ใ นสภาพที่ ทุ ก ข์ ย าก ไร้ ที่ พึ่ ง ดิ้ น รนตามล าพั ง ติ ด อยู่ กั บ สภาพที่ ไ ร้ ท างออก ซึ่ ง เป็ น
ประสบการณ์ของการถูกปิดกั้น ตัวอย่างที่ชัดเจนคือผู้ที่ยากจนและไร้บ้าน Sangaramoorthy
(2018) กล่าวว่า ระบบสวัสดิการและสังคมสงเคราะห์ของรัฐไม่ใช่คาตอบสาหรับการช่วยเหลือ
กลุ่ ม คนที่ ทุ ก ข์ ย ากเหล่ า นี้ สิ่ ง ที่ ค วรพิ จ ารณาคือ การไม่ ตี ต ราคนด้ว ยมายาคติ ที่ สั งคมสร้า งไว้
Fassin (2011) อธิบายว่าการช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ควรยึดหลักสานึกทางจร ิยธรรมมากกว่าจะยึด
หลักกฎหมาย สังคมปัจจุบัน คุณค่าทางจร ิยธรรมและมนุษยธรรมเกี่ยวข้องกับระบอบอานาจ
โดยตรง เห็นได้จากรัฐ ชาติสมัยใหม่ปฏิบัติต่อกลุ่ มผู้ยากไร้ ไม่ว่าจะเป็น ผู้อพยพ แรงงานข้า ม
ชาติ ผู้ประสบภัยสงคราม คนจนเมือง กลุ่มคนเปราะบาง และผู้ด้อยโอกาส Fassin เสนอว่า
หลักมนุษยธรรมคือการมองมนุษย์ทุกคนเท่ากัน ดังนั้น รัฐชาติต่าง ๆ จาเป็นต้องเปลี่ยนหลัก

4
คิดเรอื่ งสิทธิทางกฎหมายเป็นหลักมนุษยธรรมและจร ิยธรรมที่แสดงความเห็นอกเห็นใจผู้ที่กาลัง
ทุกข์ทรมาน
ในการศึ ก ษาของ Lopez (2020) ชี้ ว่ า ผู้ ห ญิ ง ไร้ บ้ า นและติ ด ยาต้ อ งดิ้ น รนตามล าพัง
เปลี่ยนที่นอนไปตามแหล่งอาศัยชั่วคราว ทั้งห้องเช่ารายวันราคาถูก บ้านพักของผู้ไร้บ้าน สถาน
สงเคราะห์ บ้ า นเพื่ อ น และนอนข้ า งถนน สภาพร่ า งกายของหญิ ง ไร้ บ้ า นที่ ติ ด ยาจะมี ค วาม
อ่อนแอและเสี่ยงต่อการป่วยหนัก หากพวกเธอมิได้รับการดูแลจากสถานพยาบาล หร ือถูกตีตรา
ว่าเป็นคนไม่ดีและถูกขับไล่ออกไป พวกเธอก็จะพบกับสภาวะเสี่ยงกับความตาย เมื่อถูกมองว่า
เป็นคนชั่ว คนกลุ่มนี้ก็มักจะไม่กล้าไปขอความช่วยเหลือจากองค์กรใด ๆ ประสบการณ์การถูกไล่
และถูกรังเกียจทาให้คนเหล่านี้ต่อสู้ชีว ิตตามลาพังและไร้ที่พึ่ง ตัวอย่างเช่น ชีว ิตของไลล่า ผู้หญิง
วัยกลางคนที่ไร้บ้านและติดยาเสพติด ถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวขโมยจึงถูกไล่ออกจากการักษาตัวใน
คลีนิกบาบัดยาเสพติด ทาให้เธอต้องพบกับปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะการป่วยเป็นโรคไตที่ต้อง
ดูแลเป็นพิเศษ Lopez (2020) กล่าวว่าไลล่าต้องซื้อยารักษาโรคที่ผิดกฎหมาย แต่ได้ยาที่ไม่มี
คุณภาพ ทาให้เธอต้องฉีดเฮโรอีนเพื่อระงับความเจ็บปวดและลืมเรอื่ งทุกข์ในชีว ิต การกระทา
ดังกล่าวส่งผลให้ร่างกายของเธอทรุ ดโทรมลงเรอื่ ย ๆ เมื่อมีอาการเจ็บป่วย ไลล่าพยายามรักษา
ตัวเองโดยไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร จนกระทั่งเธอไม่มีเงินเหลือติดตัวและไม่มีเงินจ่ายค่าห้อง
เช่า ทาให้เธอต้องออกไปนอนข้างถนนและไม่สามารถทางานขายบร ิการทางเพศได้เหมือนเดิม
เนื่องจากสภาพร่างกายที่อ่อนล้า
Lopez (2020) เล่าว่าเมื่อไลล่านอนหมดสติบนถนน เธอถูกนาตัวส่งไปยังโรงพยาบาล
เจ้าหน้าที่คิดว่าเธอเป็นคนว ิกลจร ิตจึงทาการมัดเธอไว้บนเตียง หลังจากผ่านไป 3 วัน เธอถูกส่ง
ตัวไปยังคลินิกบาบัดผู้ติดยาเสพติดและทาการรักษาขาที่บวมอักเสบ แต่เนื่องจากเธอว ิตกกังวล
ว่าเจ้าหน้าที่จะนาตัวเธอไปคุมขังข้อหาติดยาเสพติด เธอจึงร ีบเดินทางออกจากคลินิกและกลับไป
ใช้ชีว ิตอยู่ข้างถนน ผลการตรวจเลือ ดจากคลินิกพบว่าไลล่าป่วยด้วยอาการไตวายและเสี่ย งต่อ
ภาวะหัวใจหยุดเต้น ซึ่งหมายถึงเธอจะเสียชีว ิตทันที แต่เจ้าหน้าที่ของคลินิกไม่สามารถตามหาตัว
เธอได้ เธอจึงไม่มีโอกาสเข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่จึงติดต่อไปยังแม่ของไลล่ าที่
อาศัยอยู่ห่างจากซานฟรานซิสโกไปราว 100 ไมล์ เมื่อแม่ของเธอมาถึงได้พยายามตระเวนหา
ไลล่าตามท้องถนนจนพบเธอที่ร้านอาหาร แม่จึงพาตัวเธอไปรักษาที่คลินิกฟอกไตโดยทันที แต่ที่
คลินิกแห่งนั้นแพทย์และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติต่อเธออย่างเย็นชาและปราศจากความเห็นอกเห็นใจ
ประสบการณ์ป่วยของไลล่าซึ่งเป็นผลมาจากสภาวะไตล้มเหลว คือภาพสะท้อนของสังคม
ที่มีภาพจาและตีตราคนไร้บ้านที่ติดยาเสพติดว่าเป็นคนชั่วร้ายและเป็นอาชญากร ทาให้เจ้าหน้าที่
ปฏิบัติต่อเธออย่างไร้มนุษยธรรม ความเจ็บปวดทางร่างกายของไลล่า ถูกมองเป็นสัญลั กษณ์
ความชั่วที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมของคนติดยา สถาบันทางการแพทย์และหน่วยงานด้านสังคม
สงเคราะห์ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีว ิตของไลล่า ปฏิบัติต่อเธอด้วยความคิดที่มีอคติ ซึ่งตอกย้าว่า
ชีว ิตของไลล่าถูกมองเป็นเพียงเชื้อโรคและอาชญากร (Raikhel & Garriott, 2013) นาไปสู่
ความไม่แยแสและเพิกเฉยต่อความทุกข์ทรมานของผู้ที่กาลังเผชิญหน้ากับความตาย หลังจากที่

5
เธอเข้ารับการรักษาตัวไม่นาน ไลล่าก็เสียชีว ิตจากอาการไตวาย กรณีของไลล่าคือความโหดร้าย
ของระบบที่กระทาต่อมนุษย์
…………………………………………………………………………………………………………………………………………
ผู้เขียน
ดร.นฤพนธ์ ด้วงว ิเศษ
ผู้จัดการฝ่ายว ิจัยและส่งเสร ิมว ิชาการ ศูนย์มานุษยว ิทยาสิร ินธร

เอกสารอ้างอิง
Appadurai, A. ( 1 9 8 6 ) . Introduction: Commodities and the Politics of Value. In Arjun
Appadurai, (Ed.). The Social Life of Things. Commodities in a Cultural Perspective,
(pp.3–63). Cambridge: Cambridge University Press.
Bernault, F. (2003). The Politics of Enclosure in Colonial and Post-colonial Africa. In
Florence Bernault, (Ed.), A History of Confinement in Africa, (pp.1–53).
Portsmouth, NH: Heinmann.
Dikötter, F. & Brown, I. (Eds.). (2007). Cultures of Confinement. A History of the Prison
in Africa, Asia and Latin America. Ithaca, NY: Cornell University Press.
Fassin, D. (2005). Compassion and repression: The moral economy of immigration policies
in France. Cultural Anthropology, 20(3), 362–87.
Fassin, D. (2009). Another Politics of Life is Possible, Theory, Culture & Society, 26(5),
44–60.
Fassin, D. (2011). Humanitarian Reason: A Moral History of the Present. Berkeley:
University of California Press.
Garcia, A. (2014). The promise: On the morality of the marginal and the illicit. Ethos,
42(1), 51–64.
Goode, J., & J. Maskovsky. (2001). New Poverty Studies: The Ethnography of Power,
Politics, and Impoverished People in the United States. New York: New York
University Press.
Jefferson, A. M. ( 2014) . Conceptualising Confinement: Prisons and Poverty in Sierra
Leone. Criminology and Criminal Justice, 14(1), 44–60.
Knight, K. R. (2015). Addicted pregnant poor. Durham, NC: Duke University Press.
López, A. M. (2020) Necropolitics in the “Compassionate” City: Care/Brutality in San
Francisco. Medical Anthropology, DOI: 10.1080/01459740.2020.1753046
Marcis, F. L. (2019). Life in a Space of Necropolitics. Ethnos, 84(1), 74-95.
Mbembe, A. (2003). Necropolitics, Public Culture, 15(1), 11–40.
Newell, S. ( 2006) . Estranged Belongings: A Moral Economy of Theft in Abidjan.
Anthropological Theory, 6(2), 179–203.
Rabinow, P. & Rose, N. (2006). Biopower Today. BioSocieties, 1, 195–217.
Raikhel, E., & W. Garriott (2013). Addiction Trajectories. Durham, NC: Duke University
Press.

6
Sangaramoorthy, T. (2018). Putting band-aids on things that need stitches: Immigration
and the landscape of care in rural America. American Anthropologist, 120(3),
487–99.
Singh, S. ( 2008) . Prison Inmate Awareness of HIV and AIDS in Durban, South Africa.
Sociological Bulletin, 57(2), 193–210.
Ticktin, M. (2011). Casualties of Care: Immigration and the Politics of Humanitarianism
in France. Berkeley: University of California Press.
Zigon, J. (2018). A War on People: Drug User Politics and A New Ethics of Community.
Berkeley: University of California Press.

You might also like