Professional Documents
Culture Documents
ปัญหาแห่งมนุษยภาพ
ปัญหาแห่งมนุษยภาพ
ของ
พุทธทาสภิกขุ
ธรรมทำนมูลนิธิ
จัดพิมพ์ดว้ ยศรัทธำบริ จำคของ
ลูก ๆ หลำน ๆ ของ นำยโรจน์ – นำงทองล้วน ดำรงรัตน์
ร่ วมกับดอกผลทุน “ธรรมทำนปริ วรรตน์”
เป็ นกำรจัดพิมพ์ครั้งแรก ของหนังสื อธรรมโฆษณ์ หมวดที่ ๒ ชุด ปกรณ์พิเศษ
หมำยเลขประจำเล่ม ๑๗.ฉ บนพื้นแถบสี แดง จำนวน ๑,๕๐๐ เล่ม
๒๗ พฤษภำคม พ.ศ. ๒๕๔๙
หนั ง สื อ เล่ ม นี้ จัด เข้าเป็ นชุ ด ธรรมโฆษณ์ หมวดที่ ๒ ชุ ด ปกรณ์ พิ เศษ
หมายเลขประจาเล่ม ๑๗.ฉ บนพื้นแถบสี แดง ลาดับพิมพ์ออกเล่มที่ ๗๖, พิมพ์ข้ ึนด้วย
ศรัทธาบริ จาคของทานบดี คือ ลูก ๆ หลาน ๆ ของ นายโรจน์ – นางทองล้วน ดารงรัตน์
ตามวัตถุประสงค์ที่ได้กล่าวไว้ในคาอุทิศแล้ว.
คณะธรรมทำน ไชยำ
๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
สารบาญ
ปั ญหาแห่ งมนุษยภาพ
หน้า
๑. สิ่ งประเล้ าประโลมใจ ในฐานะเป็ นปัจจัยที่ ๕ …. …. …. …. ๑
๒. ความแน่ ใจในสิ่ งที่ถือเอาเป็ นที่พึ่ง …. …. …. …. …. ๓๗
๓. ความรู้สึกแห่ งมิตรภาพ …. …. …. …. …. …. ๖๓
๔. ความถูกต้ องแห่ งไตรทวาร …. …. …. …. …. …. ๘๗
๕. ความรู้สึกที่เพียงพอตามที่ควรจะรู้ …. …. …. …. …. ๑๑๑
๖. ความมีผ้ นู าทางวิญญาณ …. …. …. …. …. …. ๑๔๙
๗. ความมีสุขภาพอนามัยทางจิต …. …. …. …. …. …. ๑๗๗
๘. ความมีอาหารใจหล่ อเลีย้ งอย่ างเพียงพอ …. …. …. …. ๒๑๓
๙. ความมีนิสัยน้ อมเอียงไปสู่ ความสงบ …. …. …. …. …. ๒๔๑
๑๐. การรู้ จักใช้ สัญชาตญาณแห่ งความกลัว …. …. …. …. …. ๒๖๙
๑๑. ความมีวิญญาณแห่ งการต่ อสู้ …. …. …. …. …. …. ๓๐๓
๑๒. การบาเพ็ญบารมีที่ถูกแนวทาง …. …. …. …. …. …. ๓๓๓
๑๓. ความมีจิตมุ่งต่ อที่สุดทุกข์ อยู่ตลอดเวลา …. …. …. …. ๓๖๙
[๑]
สารบัญละเอียด
ปัญหาแห่ งมนุษยภาพ
หน้า
๑. สิ่ งประเล้ าประโลมใจ ในฐานะเป็ นปัจจัยที่ ๕
ฤดูฝนผ่านพ้นไปแล้ว เริ่ มบรรยายประจาวันเสาร์ กนั ใหม่ …. …. …. …. ๑
การบรรยายชุดนี้ใช้ชื่อว่า ปั ญหาแห่ งมนุษยภาพ …. …. …. …. …. …. ๒
ปั ญหาของมนุษย์แบ่งออกเป็ น ๒ ฝ่ าย : ๑. ฝ่ ายวัตถุ, ๒. ฝ่ ายวิญญาณ …. …. ๓
ปั ญหาทางฝ่ ายจิตฝ่ ายวิญญาณแก้ได้ดว้ ยเรื่ องศาสนา …. …. …. …. …. ๔
ถ้าทาถูกต้องในเรื่ องทางฝ่ ายจิตแล้ว ปั ญหาต่าง ๆ ก็หมดไป …. …. …. …. ๕
ครั้งแรกนี้มีหัวข้อบรรยายว่า สิ่ งประเล้ าประโลมใจในฐานะเป็ นปั จจัยที่ ๕ …. ๖
ที่ทุกคนต้องการสิ่ งประเล้าประโลมใจนั้น เป็ นสัญชาตญาณอันหนึ่ง …. …. ๗
ถ้าใช้ปัจจัยสี่ เกินจาเป็ น ก็เป็ นสิ่ งประเล้าประโลมใจได้…. …. …. …. …. ๘
สิ่ งมีชีวิตทุกชนิดต้องการสิ่ งประเล้าประโลมใจด้วยกันทั้งนั้น…. …. …. …. ๙
กามารมณ์ ไม่อาจจัดลงไปในปั จจัยสี่ แต่เป็ นสิ่ งประเล้าประโลมใจสู งสุ ด …. ….
๑๐
การสนองสิ่ งประเล้าประโลมใจเกินไป จะเกิดปั ญหาทางเศรษฐกิจตามมา …. …. ๑๑
สิ่ งประเล้าประโลมใจ เป็ นยาเสพติดที่แรงกว่ายาเสพติดทุกชนิด…. …. …. …. ๑๒
กามารมณ์น้ นั มันเป็ นค่าจ้าง ให้มนุษย์ทนลาบากเพื่อการสื บพันธุ์ …. …. …. ๑๓
“สงบสุ ข” หมายถึงจิตสงบ เพราะไม่มีอะไรมากระตุน้ …. …. …. …. …. ๑๔
แม้พระอริ ยเจ้าก็ยงั รู ้สึกต้องการให้อะไรมาประเล้าประโลมใจ …. …. …. ๑๕
[๒]
[๓]
สิ่ งประโลมใจจาเป็ นต้องมี แต่ตอ้ งมีในทางที่ไม่บาป ไม่ชวั่ ก็แล้วกัน …. …. ๑๖
สิ่ งประเล้าประโลมใจละได้ยาก และเป็ นต้นเหตุของทุกปั ญหา …. …. …. ๑๗
อันธพาล ก็ตอ้ งการสิ่ งประเล้าประโลมใจโดยวิธีอนั ธพาล …. …. …. …. ๑๘
ศาสนาช่วยกาจัดสิ่ งประเล้าประโลมใจอย่างกิเลส …. …. …. …. …. ….
๑๙
โลกแห่ งสมัยวัตถุนิยม เป็ นโลกที่ไร้ศีลธรรมละทิ้งศาสนา …. …. …. …. ๒๐
ศีลธรรม ช่วยควบคุมไม่ให้คนไปหลงใหลในสิ่ งประเล้าประโลมใจจนเกินไป …. ๒๑
คนที่ลุ่มหลงรสของกามารมณ์อยู่ ไม่อาจได้รู้รสความสุ ขจากพระธรรม …. …. ๒๒
เปลี่ยนสิ่ งประเล้าประโลมใจที่ไม่ดี มาเป็ นสิ่ งที่มีประโยชน์แก่มนุษย์ …. …. ๒๓
สิ่ งประเล้าประโลมใจ แยกออกเป็ น ๒ อย่าง : ๑. วัตถุนิยม, ๒. มโนนิยม…. …. ๒๔
ทาไมจึงเรี ยกว่า ปั ญหาแห่ งมนุษย์ ? …. …. …. …. …. …. …. …. ๒๕
มนุษย์กบั คน มีความหมายต่างกัน, ศาสนาทาให้คนกลายเป็ นมนุษย์ …. …. ….
๒๖
คนคดโกงต้องการเอาประโยชน์ให้มาก เพื่อไปซื้ อหาสิ่ งประเล้าประโลมใจ …. ๒๗
อัสสาทะ –เสน่ห์ ของสิ่ งประเล้าประโลมใจ : มันรุ นแรง, ลึกลับ, ซ่อนเร้น …. ๒๘
การศึกษาสมัยปั จจุบนั ไม่สอนศีลธรรม ซึ่ งควบคุมการใช้สิ่งประเล้าประโลมใจ …. ๒๙
อาทีนวะ –โทษความเลวทราม ของสิ่ งประเล้าประโลมใจ …. …. …. …. ๓๐
นิสสรณะ –หนทางออกมาเสี ยจาก อานาจของสิ่ งประเล้าประโลมใจ …. …. ๓๑
หนทางที่ประเสริ ฐที่สุด คือ อริ ยมรรคมีองค์ ๘ จะแก้ปัญหาของโลกได้ …. …. ๓๒
อริ ยมรรคเป็ นเครื่ องคุม้ ครอง ไม่ให้ตกไปเป็ นทาสของสิ่ งประเล้าประโลมใจ …. ๓๓
ปี ใหม่น้ ี ขอให้มีสิ่งประเล้าประโลมใจใหม่ ที่สะอาด ไม่มีอนั ตราย…. …. …. ๓๔
ขอให้ทุกคนศึกษาพระรัตนตรัยให้มากกว่าปี เก่า …. …. …. …. …. …. ๓๔
“พร” ต้องทาให้ถูกต้องในเรื่ องของความรู ้ …. …. …. …. …. …. …. ๓๕
จัดการปั จจัยที่ ๕ ถูกต้อง จิตจะอยูเ่ หนือสิ่ งประเล้าประโลมใจ …. …. …. ๓๖
[๔]
๒. ความแน่ ใจในสิ่ งที่ถือเอาเป็ นที่พึ่ง
บรรยายปั ญหาแห่ งความเป็ นมนุษย์ ครั้งที่ ๒ …. …. …. …. …. …. ๓๗
ปั จจัยในส่ วนรู ปธรรม เรี ยกว่าปั จจัยสี่ ปั จจัยในส่ วนนามธรรม เรี ยกว่าปั จจัยที่หา้ ๓๘
ปั จจัยที่ ๕ อันดับที่ ๒ คือ ความแน่ ใจในสิ่ งที่ถือเอาเป็ นที่พึ่ง …. …. …. ….
๓๙
ความเชื่อในสิ่ งที่ถือเอาเป็ นที่พ่ ึงได้ มันเนื่องมาจากสัญชาตญาณ …. …. …. ๔๐
ความแน่ใจในสิ่ งเป็ นที่พ่ ึงนี้ เป็ นเหตุให้เกิดการถือที่พ่ ึง …. …. …. …. ….
๔๑
ต้นไม้และสัตว์ก็ตอ้ งการความแน่ใจในที่พ่ ึง เพื่อความปลอดภัย …. …. …. ๔๒
มนุษย์มีปัญหาความแน่ใจในที่พ่ ึง ทาให้เกิดระบบศาสนา …. …. …. …. ๔๓
จิตสงบเย็นเป็ นนิพพาน เมื่อมีความแน่ใจในสิ่ งที่เป็ นที่พ่ ึง …. …. …. …. ๔๔
อยากจะมีที่พ่ ึงในสิ่ งใด ต้องมีความรู ้แจ้งในสิ่ งนั้นอย่างถูกต้อง …. …. …. ๔๕
คนรู ้จกั ที่พ่ ึงแต่ทางวัตถุ ไม่สนใจในที่พ่ ึงทางจิตใจให้เพียงพอ …. …. …. ๔๖
ตถาคตโพธิ สัทธา –ความเชื่อในการตรัสรู ้ของพระพุทธเจ้า …. …. …. …. ๔๗
ระบบอยูเ่ หนือกรรม หมดกรรม เพิ่งจะมีเมื่อมีพุทธศาสนา …. …. …. …. ๔๘
“กรรม” เป็ นไปตามกฎของการปรุ งแต่งในนามรู ป ที่ประกอบอยูด่ ว้ ยอวิชชา …. ๔๙
สั ทธา –ทรงไว้อย่างแน่นแฟ้นและครบถ้วน ในความปลอดภัยและความสุ ข …. ๕๐
ศรัทธาที่จะพอกพูน ต้องมาจากยถาภูตสัมมัปปั ญญา …. …. …. …. …. ๕๑
ปั ญญาสร้างศรัทธา คือ รู ้จริ งในสิ่ งใดจะมีความเชื่อเกิดขึ้นมาในสิ่ งนั้น …. …. ๕๒
โลกียศรัทธา กับ โลกุตตรศรัทธา แตกต่างกัน …. …. …. …. …. …. ๕๓
ในโลกนี้จะต้องมีศรัทธาสาเร็ จรู ป สาหรับคนที่ไม่อาจจะมีปัญญา …. …. …. ๕๔
ปั ญหาเกี่ยวกับศรัทธาของมวลชน …. …. …. …. …. …. …. …. ๕๕
เมื่อยังศึกษาทางศาสนาไม่พอ คนก็ตอ้ งอาศัยศรัทธางมงายไปก่อน …. …. …. ๕๖
ศาสนาอาจแบ่งได้เป็ น ๒ ส่ วน คือเนื้อในกับเปลือกของศาสนา …. …. …. ๕๗
[๕]
สรุ ปความ ปั ญหาของมนุษย์เกี่ยวกับศรัทธา …. …. …. …. …. …. ๕๘
วัตถุอย่างเดียวยังเป็ นที่พ่ ึงไม่ได้ ถ้ายังขาดเรื่ องทางจิตใจ …. …. …. …. ๕๙
เลื่อนชั้นของศรัทธาให้สูงขึ้นไปเป็ นเรื่ องของปั ญญา …. …. …. …. …. ๖๐
ถ้ามีปัญญาเข้ามาควบคุมแล้ว ศรัทธาจะไม่มีเกิน ไม่มีขาด …. …. …. …. ๖๑
๕. ความรู้ ที่เพียงพอตามที่ควรจะรู้
ยังคงกล่าวเรื่ องปั ญหาแห่ งมนุษยภาพต่อไปตามเดิม …. …. …. …. …. ๑๑๑
คาว่า ปั จจัย ไม่ได้หมายถึงเงิน แต่หมายถึงสิ่ งเกื้อกูลแก่สิ่งที่จะต้องเกื้อกูล …. ….
๑๑๒
ถ้ารู ้จกั แต่ปัจจัยสี่ ของร่ างกาย ความเป็ นมนุษย์จะไม่สมบูรณ์ …. …. …. …. ๑๑๓
มนุษย์มีปัญหา เพราะไม่มีความถูกต้องในทางวิญญาณ …. …. …. …. ๑๑๔
กีฬาสมัยนี้มนั คดโกงกันจนไม่ทาคนให้เป็ นคน …. …. …. …. …. …. ๑๑๕
การเต็มไปด้วยมิตรภาพ เป็ นสัญลักษณ์ของศาสนาพระศรี อาริ ย ์ …. …. …. ๑๑๖
ชาวโลกกาลังตกเป็ นทาสความเอร็ ดอร่ อย จนเกลียดธรรมะและศาสนา …. …. ๑๑๗
สงครามไม่สามารถแก้ปัญหาของมนุษย์ได้…. …. …. …. …. …. …. ๑๑๘
มนุษย์สร้างโลกเองได้ โดยไม่ตอ้ งไปรบกวนพระเจ้า, ครู คือผูส้ ร้างโลก …. …. ๑๑๙
การศึกษาที่สมบูรณ์ตอ้ งมี : ๑. เรี ยนหนังสื อ, ๒. เรี ยนอาชีพ, ๓ เรี ยนธรรมะ …. ๑๒๐
ต้องรู ้ธรรมะให้เพียงพอ ตามที่มนุษย์คนหนึ่ง ๆ ควรจะรู ้ …. …. …. …. ๑๒๑
พวกเด็ก ๆ ถามปั ญหาที่ขงจื๊อก็ตอบไม่ได้ …. …. …. …. …. …. …. ๑๒๒
เรารู ้จกั แต่จะทาให้เราดีใจ แต่เราไม่รู้จกั ทาให้ใจดี …. …. …. …. …. ๑๒๓
บุญชนิดที่ทาให้ดีใจ อาจเพิ่มบาป แต่บุญชนิดที่ทาให้ใจดี มันล้างบาป …. …. ๑๒๔
ความรู ้ที่ทาให้ชีวิตหมดปั ญหา คือ รู ้เท่าที่ควรรู ้ …. …. …. …. …. …. ๑๒๕
[๘]
ถ้าเรารู ้สิ่งควรรู ้ จะมีชีวิตที่ เกลีย้ ง หยุด ยิม้ หย่ อน ใหญ่ ยอดเยี่ยม…. …. …. ๑๒๖
เรี ยนธรรมะต้องเรี ยนอย่างวิทยาศาสตร์ คือต้องเรี ยนเมื่อมีของจริ ง …. …. …. ๑๒๗
จะเรี ยนเรื่ องกิเลส ต้องเรี ยนเมื่อกิเลสเกิดอยูใ่ นใจ …. …. …. …. …. ….
๑๒๘
อริ ยสัจจ์สี่ เป็ นความรู ้ที่ตอ้ งศึกษาและปฏิบตั ิเพื่อดับทุกข์ …. …. …. …. ๑๒๙
วิธีออกมาเสี ยได้จากความทุกข์ คืออริ ยมรรคมีองค์ ๘ …. …. …. …. …. ๑๓๐
“ที่ควรรู ้” คือรู ้ตามที่เป็ นจริ งด้วยวิปัสสนา …. …. …. …. …. …. …. ๑๓๑
“รู ้ตามที่เป็ นจริ ง” คือดูจนเห็นแล้วก็เชื่อได้วา่ ถูกต้องตามที่เป็ นจริ ง …. …. …. ๑๓๒
“ธาตุ” ในภาษาธรรม หมายถึง ทุกสิ่ งเป็ นธาตุตามธรรมชาติ ไม่ยกเว้นอะไร …. ๑๓๓
คาว่า ธาตุ กับคาว่า ธรรม ใช้แทนกันได้ แต่คาว่าธรรมมีความหมายดีกว่า…. …. ๑๓๔
เมื่อเห็นธาตุตามธรรมชาติแล้ว ก็จะเห็นว่าไม่มีตวั ตนไม่ใช่ตวั ตน …. …. …. ๑๓๕
การที่พระธรรมดับทุกข์ได้น้ นั คือปาฏิหาริ ยส์ ู งสุ ด…. …. …. …. …. …. ๑๓๖
ความรู ้เกี่ยวกับสิ่ งที่มองไม่เห็นตัว (เรื่ องโลกหน้า)…. …. …. …. …. …. ๑๓๗
ผีสาง เทวดา โลกหน้า โลกอื่น ที่ยงั ไม่มีความรู ้สึกในใจได้ ยังไม่ใช่ของจริ ง …. ๑๓๘
ความรู ้ที่ควรรู ้และเพียงพอนั้น ต้องมาทันเวลาด้วยจึงจะใช้ได้ …. …. …. ….
๑๓๙
ความหมายคาว่า “ความรู ้เต็มที่เพียงพอถึงที่สุด” …. …. …. …. …. …. ๑๔๐
ความรู ้ที่เกิดมาจากปฏิบตั ิแล้ว นี่คือความรู ้ในพุทธศาสนา …. …. …. …. ๑๔๑
ที่มาของคาว่า “ใบไม้กามือเดียว” …. …. …. …. …. …. …. …. ๑๔๒
คนที่ไม่ฉลาดแต่เป็ นคนตรง ก็จะได้รับผลจากธรรมะได้ …. …. …. …. ๑๔๓
ยิ่งเรี ยนยิ่งรู ้ว่าไม่ตอ้ งเรี ยนมากถึงอย่างนั้น ก็พอจะดับทุกข์ได้ …. …. …. ….
๑๔๔
ให้ความเป็ นมนุษย์ของเรา มีความหมาย “๖ ย” ก็พอแล้ว…. …. …. …. …. ๑๔๕
ให้มีชีวิตอยูด่ ว้ ยการแวดล้อม ของความรู ้ที่ถูกต้องและเพียงพอเท่าที่ควรรู ้ …. ….
๑๔๖
[๙]
สมควรแก่เวลาขอยุติการบรรยาย …. …. …. …. …. …. …. …. ๑๔๗
๖. ความมีผ้ ูนาทางวิญญาณ
ความมีผนู ้ าทางวิญญาณ เป็ นปั จจัยฝ่ ายจิตชนิดที่ ๖ …. …. …. …. …. ๑๔๙
ทบทวนความหมายของคาว่า “ปั ญหาแห่ งมนุษยภาพ” …. …. …. …. …. ๑๕๐
ครู คือผูน้ าทางฝ่ ายวิญญาณ, พระพุทธเจ้าคือดวงประทีปของโลก …. …. …. ๑๕๑
ใครที่กาลังต้องการดวงประทีปของโลกบ้าง ? …. …. …. …. …. …. ๑๕๒
สังคมผูส้ นใจเรื่ องทางจิตทางวิญญาณ เกิดขึ้นมาในโลกเมื่อไร ? …. …. …. ๑๕๓
ความลึกลับของแสงสว่าง มีท้ งั แสงของกิเลสและแสงของพระธรรม …. …. ๑๕๔
ประทีปที่ถูกต้อง เป็ นเรื่ องของสัมมาทิฏฐิ …. …. …. …. …. …. …. ๑๕๕
เรื่ องของพระพุทธศาสนา ไม่มีเรื่ องอะไรมากไปกว่าเรื่ องดับทุกข์ …. …. …. ๑๕๖
ความหมายของข้อที่ว่า “มนุษย์ไม่มีดวงประทีป สาหรับโลกมนุษย์” …. …. ๑๕๗
เดี๋ยวนี้เกิดการศึกษา ชนิดยัว่ ใจคนให้หลงใหลทางวัตถุ …. …. …. …. …. ๑๕๘
ถ้ามีธรรมะ จะรู ้สึกเป็ นสุ ขตลอดเวลาที่ทางาน …. …. …. …. …. …. ๑๕๙
หางที่ใช้บงั คับเรื อให้เดินถูกทาง เปรี ยบประทีปทางวิญญาณสาหรับคน …. …. ๑๖๐
ปฐมเหตุของคาว่า “อปฺปรชกฺขชาติกา” …. …. …. …. …. …. …. ๑๖๑
ยุคที่ธุลีในดวงตาหนา ปั จจัย ๔ กลายเป็ นเหยื่อหลอกลวงคน …. …. …. …. ๑๖๒
การมีสถานที่ส่งเสริ มกิเลส คือการขุดหลุมฝังดวงจิตดวงวิญญาณของคนให้จมลง ๑๖๓
พวกอื่นเขามีพรหมลิขิต พวกชาวพุทธมีธรรมลิขิต เรี ยกว่า กฎอิทปั ปั จจยตา …. ๑๖๔
ความมีผนู ้ าทางวิญญาณ เป็ นปั จจัยให้มนุษย์เต็มเปี่ ยมและสมบูรณ์ …. …. …. ๑๖๕
การนาทางวิญญาณ มีรากฐานตั้งอยูท่ ี่ใดบ้าง ? …. …. …. …. …. …. ๑๖๖
๑. พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวก …. …. …. …. …. …. ๑๖๗
๒. กัลยาณมิตรที่แท้จริ ง หมายถึงบุคคลก็ได้ ตัวธรรมะก็ได้ …. …. ๑๖๘
๓. ครู บาอาจารย์ คนแก่คนเฒ่า พระเจ้าพระสงฆ์ …. …. …. …. ๑๖๙
[ ๑๐ ]
๔. บิดามารดาที่มีไม้เรี ยวอยูใ่ นมือ …. …. …. …. …. …. ๑๗๐
๕. ขนบธรรมเนียมประเพณี วฒ ั นธรรมสาเร็ จรู ปประจาชาติ …. …. ๑๗๑
๖. ธรรมชาติ ในความหมายทัว่ ไป …. …. …. …. …. …. ๑๗๓
ขึ้นอยูท่ ี่บุคคลนั้นว่าต้องการรับเอาและพอใจ จึงจะเดินไปในทางที่ถูกต้องได้ …. ๑๗๔
พยายามทาตนให้เป็ นคนมีสติ ก็จะเกิดการนาในทางวิญญาณที่ถูกต้อง …. …. ๑๗๕
ให้นาไปพิจารณา สื บต่อจากปั จจัยต่าง ๆ อย่างที่แล้วมา …. …. …. …. ๑๗๖
๗. ความมีสุขภาพอนามัยทางจิต
ปั ญหาแห่ งมนุษยภาพ ต้องทาความเข้าใจไว้เรื่ อย ๆ …. …. …. …. …. ๑๗๗
พุทธศาสนา ต้องการมนุษย์ที่แท้จริ ง จึงจะให้บวชเป็ นพระได้ …. …. …. ๑๗๘
คนเราเกิดมาทีหนึ่ง ต้องให้ได้เจริ ญงอกงามไปตามลาดับ จนมีดอกมีผล …. …. ๑๗๙
ความหมายของคาว่า “เป็ นคนชนิดที่น่าละอายแมว” …. …. …. …. …. ๑๘๐
มีอนามัยทางจิต หมายความว่า จิตจะสดชื่นแจ่มใส มีสมรรถภาพ …. …. …. ๑๘๑
ปั จจัยทางฝ่ ายจิตพูดมาแล้ว ๖ ครั้ง ล้วนเป็ นเครื่ องส่ งเสริ มอนามัยทางจิต …. ….
๑๘๒
ความสาคัญของความมีสุขภาพอนามัย …. …. …. …. …. …. …. ๑๘๓
โรคทางวิญญาณ ต้องรักษากันที่โรงพยาบาลของพระพุทธเจ้า …. …. …. ๑๘๔
ยังไม่มีอารมณ์กระทบ ก็ยงั ไม่เกิดจิต…. …. …. …. …. …. …. …. ๑๘๕
ถ้าไม่มีสติเพียงพอ ปั ญญาจะเป็ นความโง่ข้ ึนมา …. …. …. …. …. … ๑๘๖
ถ้าขาดสติและปั ญญา โรคทางวิญญาณก็จะเกิดขึ้น …. …. …. …. …. ๑๘๗
บรรพบุรุษไม่ค่อยเป็ นโรคประสาท เพราะมีวฒ ั นธรรมมาจากพุทธศาสนา…. …. ๑๘๘
มีสุขภาพอนามัยดีที่สุด เมื่อไม่มีโรคทางกาย–จิต–วิญญาณ …. …. …. …. ๑๘๙
“กายนาจิต จิตนาสติปัญญา” ใครเชื่ออย่างนี้ ขอให้คิดดูใหม่ …. …. …. …. ๑๙๐
ความหมายของคาว่า “ปั ญญานามาโดยปลอดภัย ทั้งทางกายและทางจิต” …. …. ๑๙๑
[ ๑๑ ]
คนเรามิได้มีแค่ขา้ วปลาอาหารแล้วจะปลอดภัย …. …. …. …. …. …. ๑๙๒
พระธรรมช่วยให้เกิดการกระทา ที่ทาให้เป็ นมนุษย์โดยสมบูรณ์ …. …. …. ๑๙๓
ศาสนาเป็ นอาหารฝ่ ายวิญญาณ …. …. …. …. …. …. …. …. …. ๑๙๔
ยืน เดิน นัง่ นอน ให้ถูกต้องตามหลักของธรรมะก็จะสบาย …. …. …. …. ๑๙๕
กีฬาที่มีธรรมะกากับอยู่ จะคุม้ ครองรักษามนุษย์ …. …. …. …. …. …. ๑๙๖
รู ้จกั ทาให้จิตใจว่างจากกิเลส เมื่อนั้นเยือกเย็นเป็ นนิพพาน …. …. …. …. ๑๙๗
หลักปฏิบตั ิให้มีสุขภาพอนามัยทางจิต …. …. …. …. …. …. …. ๑๙๘
– ให้หมดปั ญหาเรื่ องโลกนี้ โลกอื่น และเหนือโลก …. …. …. …. ๑๙๙
– อย่าตกนรกที่นี่ ก็จะได้สวรรค์และนิพพานกันที่นี่ …. …. …. …. ๒๐๐
– ไม่มีการกระหื ดกระหอบเกี่ยวกับเรื่ องเวลา …. …. …. …. …. ๒๐๑
– ไม่หวาดผวาเกี่ยวกับเหตุการณ์ของโลก …. …. …. …. …. ๒๐๒
– ไม่มีความเศร้าโศก เมื่อสิ่ งทั้งปวงมันต้องเป็ นไปตามกฎของมัน …. ๒๐๒
– ไม่อวดดี ให้เปลืองดีและเหน็ดเหนื่อย…. …. …. …. …. …. ๒๐๓
– ไม่ชอบเมื่อยให้ใครนวด…. …. …. …. …. …. …. …. ๒๐๔
– ถ้าร่ างกายมันปวดจิตใจต้องไม่ปวด …. …. …. …. …. …. ๒๐๔
– อย่าฉุ ยฉายโฉงเฉงอยูแ่ ต่ภายนอก …. …. …. …. …. …. ๒๐๕
– อยูใ่ นคอกของศีลธรรม ดีกว่าอยูใ่ นคอกของจาเลย …. …. …. ….
๒๐๖
– เป็ นผูส้ ามารถวางเฉยต่อโลกธรรม …. …. …. …. …. …. ๒๐๖
– รู ้คิด รู ้พูด รู ้ทา โดยนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อน…. …. …. …. …. ๒๐๗
– บ้านเราไม่มีผี มีแต่มนุษย์ …. …. …. …. …. …. …. ๒๐๗
– เรามีพระพุทธที่เก็บไว้ในหัวใจทุกขณะจิต …. …. …. …. …. ๒๐๘
– มีชีวิตชนิดที่ไม่ตอ้ งละอายแมวอีกต่อไป …. …. …. …. …. ๒๐๘
– ใครเห็นแล้วพลอยชื่นใจและขอกระทาตาม…. …. …. …. …. ๒๐๙
อย่าเห็นแก่ปากท้องจะตายเร็ ว, ให้เห็นแก่ธรรมก็ไม่รู้จกั ตาย …. …. …. …. ๒๑๐
[ ๑๒ ]
ให้มีสุขภาพอนามัยทางจิต แล้วชีวิตจะสดชื่นแจ่มใส …. …. …. …. …. ๒๑๑
๑๒. การบาเพ็ญบารมีที่ถูกแนวทาง
เรากาลังพูดถึงเรื่ องปั จจัยแห่ งความเป็ นมนุษย์ในทางฝ่ ายจิตใจ …. …. …. ….
๓๓๓
บารมี แปลว่าการทาให้เต็มให้ถึงที่สุดที่มนั ควรจะเต็ม …. …. …. …. …. ๓๓๔
การบาเพ็ญบารมี คือการทาให้เต็มในทางฝ่ ายดี …. …. …. …. …. …. ๓๓๕
การบาเพ็ญบารมีให้ถึงระดับสู งสุ ดก็เพื่อนิพพาน …. …. …. …. …. …. ๓๓๖
การศึกษาปฏิบตั ิธรรมอย่างสุ ดความสามารถ คือการบาเพ็ญบารมีระดับสู งสุ ด …. ๓๓๗
การบาเพ็ญบารมีตอ้ งมีแนวทางที่ถูกต้อง โดยถือเอาพระพุทธเจ้าเป็ นหลัก…. …. ๓๓๘
[ ๑๘ ]
พิจารณาดูบารมีของพระพุทธเจ้า ว่าจะปฏิบตั ิตามได้สักเท่าไร …. …. …. ๓๓๙
ไปสังเกตดู “จิตที่คิดจะให้น้ นั สบายกว่าจิตที่คิดจะเอา” …. …. …. …. …. ๓๔๐
ทานบารมี จะช่วยลดความเห็นแก่ตวั ลดความตระหนี่ถี่เหนียว …. …. …. ๓๔๑
ศีลบารมี คือความมีระเบียบบังคับตนเอง ในด้านกายและวาจา …. …. …. ๓๔๒
ระเบียบโบราณ ต้องเคารพคนเฒ่าคนแก่ เป็ นต้นเหตุของความมีศีล …. …. ….
๓๔๓
ชวนกันให้มีศีล แล้วอบรมลูกเด็ก ๆ ให้มีศีลอยูใ่ นระเบียบที่มีประโยชน์ …. …. ๓๔๔
เนกขัมมะ คือการหลีกออกจากอานาจของสิ่ งที่เรี ยกว่ากามารมณ์ …. …. …. ๓๔๕
เมื่อจะบาเพ็ญบารมีเพื่อไปข้างหน้า ต้องไม่ตกจมลงในเปื อกตม …. …. …. ๓๔๖
การเข้าไปเกี่ยวข้องกับกามารมณ์อย่างถูกต้อง เมื่อจิตสู งขึ้นก็ถอนตัวออกมาได้ …. ๓๔๗
ปั ญญา คือความรู ้ทุกอย่างที่ควรจะรู ้, ถ้าทาให้ถูกต้องที่นี่แล้ว ก็ได้สวรรค์แน่ …. ๓๔๘
ปั ญหาเรื่ องตายแล้วเกิดหรื อไม่ ตอบได้ว่า แล้วแต่เหตุปัจจัยของมัน…. …. …. ๓๔๙
เด็ก ๆ ไม่มีศีลธรรม เพราะการศึกษามันบรรจุสิ่งที่ไม่ควรจะต้องรู ้ไว้มากเกินไป ….
๓๕๐
ปั ญญาตามแบบพุทธบริ ษทั จะมุ่งไปยังที่การดับทุกข์ได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ …. …. ๓๕๑
สัจจะ คือจริ งต่อตัวเอง จริ งต่อธรรมะ จริ งต่อความเป็ นมนุษย์ที่ถูกต้อง …. …. ๓๕๒
วิริยะ ต้องมีความหมายทั้งเข้มแข็งกล้าหาญและพากเพียรบวกกัน …. …. …. ๓๕๓
ความเป็ นมนุษย์ที่ถูกต้อง มีได้เพราะการทาหน้าที่ ไม่ใช่มีเพราะเงินเดือนสู ง …. ๓๕๔
ข้าราชการ แปลว่า ผูท้ างานของพระราชา, พระราชา แปลว่า พอใจ ๆ …. …. ๓๕๕
ข้าราชการที่กล้าหาญเข้มแข็งพากเพียร จึงเป็ นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า มีวิริยบารมี …. ๓๕๖
คนจะมีความสุ ขที่สุด ถ้ายกมือไหว้ตวั เองได้ …. …. …. …. …. …. ๓๕๗
ขันติ คือการอดทนได้ท้ งั ทางกายและทางจิต …. …. …. …. …. …. ๓๕๘
ทุกศาสนาสอนเรื่ องความอดทนในทางทาความดีดว้ ยกันทั้งนั้น …. …. …. ๓๕๙
อธิ ษฐานะ หมายความว่าจิตปั กใจมัน่ ลงไปในวัตถุประสงค์ที่ตนมี …. …. …. ๓๖๐
เมตตา –ความเป็ นมิตร คือความรักชนิดหนึ่ง ที่ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ …. …. ๓๖๑
[ ๑๙ ]
ให้ทาลายความรักแบบเนื้อหนัง แล้วให้มีความรักทางจิตทางวิญญาณให้มาก …. ๓๖๒
อุเบกขา –ความวางเฉยหรื อเพ่งเฉยอยู่ โดยไม่มีเวทนา …. …. …. …. …. ๓๖๓
บารมีท้ งั ๑๐ นี้ เรี ยกว่าเป็ นการบาเพ็ญบารมีที่ถูกแนวทาง …. …. …. …. ๓๖๔
ควรมีความรู ้ที่กา้ วหน้ามาพัฒนาจิต ให้มีความเต็มแห่ งมนุษย์โดยเร็ ว …. …. ๓๖๕
ขอให้ถือว่าทุกชีวิตต้องบาเพ็ญบารมีให้ถึงโดยเร็ ว ไม่เฉพาะพระพุทธเจ้าเท่านั้น ….
๓๖๖
ทุกคนมีเชื้อแห่ งความเป็ นพุทธะอยูใ่ นจิต ทุกคนจึงเหมาะสมที่จะบาเพ็ญบารมี …. ๓๖๗
_________________________
ปัญหาแห่งมนุษยภาพ
–๑–
๓ มกราคม ๒๕๒๔
อาตมาไม่ได้มุ่งหมายจะกล่าวแต่สิ่งเหล่านี้เท่านั้น; แต่กล่าวถึงสิ่ ง
เหล่านี้ก่อน ก็เพราะว่ามันกาลังเป็ นอยูจ่ ริ ง, มันกาลังถูกดัดแปลงให้เป็ นเช่นนั้นมาก
ขึ้น.
ที่จริงคาว่ า สิ่ งประเล้ าประโลมใจนั้น เราหมายถึงทุกสิ่ งเลย ที่เรา
กาลังแสวงหามาประเล้ าประโลมใจ. คนที่มนั อยากได้เงินเดือนมาก ๆ นั้นน่ะ มัน
ก็รู้ว่าเอามากินมาใช้มนั ไม่ตอ้ งมากถึงเท่านั้น; มันจะเอาเงินเดือนส่ วนเหลือไปหา
สิ่ งประเล้าประโลมใจ. ถึงอันธพาลตามท้องถนน มีเงินไม่พอใช้ ไม่หาสิ่ ง
ประเล้าประโลมใจได้ มันก็ตอ้ งจี้ ต้องปล้น ต้องขโมย; หรื อว่าเมื่อหาไม่ได้โดย
วิธีเหล่านั้น มันก็ข่มขืนเอาดื้อ ๆ ซึ่ งหน้า เพื่อหาสิ่ งประเล้าประโลมใจ. นี่มนั เป็ น
ความเลวร้ายอย่างไร ก็ขอให้คิดดู.
ศีลธรรมกลับมา โลกาสงบเย็น
เราโชคร้ายที่สุดอีกอย่างหนึ่งคือว่า การศึกษาในโลกยุคปัจจุบันนี้ ล้ วน
แต่ ส่งเสริ มสิ่ งประเล้ าประโลมใจ; เขาสอนแต่เรื่ องหนังสื อ กับเรื่ องอาชีพ เพื่อให้
๓๐ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
มีองค์ ๘ นี้ มันถูกต้ องไปถึง ๘ องค์ ; ก็ได้รับความสุ ขปี ใหม่ สมกับที่เรี ยกว่า
ปี ใหม่.
[ สรุ ป ]
๓๗
๓๘ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
[ ปรารภและทบทวน ]
ปัจจัยที่ ๕ ที่ ๖ และอาจจะมี ที่ ๗ ที่ ๘ ที่ ๙ ที่ ๑๐. ผูท้ ี่สนใจแต่เรื่ อง
ปั จจัย ๔ เขา
สนใจแต่ปัจจัยในทางฝ่ ายร่ างกาย.
ข้ อแรก ก็อยากจะพูดว่า ความต้ องการแน่ ใจสิ่ งเป็ นที่พงึ่ นี้ เป็ นเหตุ
ให้ เกิดการถือที่พงึ่ . มนุษย์ถือสิ่ งที่เป็ นที่พ่ ึงมาตั้งแต่ตน้ ของความมีมนุษย์; พอ
มนุษย์รู้จกั คิด รู ้จกั นึก รู ้จกั วัฒนธรรมในทางจิตแล้ว มนุษย์ก็คิดหาที่พ่ ึง. สิ่ งที่มี
ชีวิตมีความรู้ สึกแล้ ว ล้ วนแต่ ต้องการที่พึ่ง; คนป่ าครั้งกระโน้น กี่หมื่นปี มาแล้ว
เขาก็ตอ้ งการที่พ่ ึง, แล้วเขาก็หาที่พ่ ึง ไปตามแบบของคนป่ า ซึ่ งเป็ นเรื่ องของไสย-
ศาสตร์ ที่เหลือมาจนกระทัง่ ทุกวันนี้.
๔๒ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
ถ้ าไม่ ร้ ู จัก แล้ วก็ไปศรั ทธา, ก็หลับตาศรัทธา ก็เป็ นเรื่ องงมงาย; ไม่ ใช่
ศรัทธาในพระพุทธศาสนา. เราจะต้องศึกษาจนรู ้ว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู ้อะไร ?
เรื่ องมันก็สรุ ปอยูท่ ี่ว่า ท่ า นตรั ส รู้ เ รื่ อ งความจริ ง ของสิ่ ง ทั้ง ปวง โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง ที่
เกี่ ย วกั บ ความทุ ก ข์ และความดั บ ทุ ก ข์ ; ข้อนี้ท่านรู ้. ท่านรู ้ถึงข้อที่ว่า สิ่ งทั้งหลาย
เป็ นไปตามเหตุปัจจัย, เป็ นเช่ นนั้นเอง, ไปยึดถือเอามาเป็ นตัวตน – ของตน
ไม่ ได้ . เพราะรู ้ขอ้ นี้คนจึงไม่เป็ นทุกข์ คือไม่ยึดถือสิ่ งใดโดยความเป็ นตัวตน แล้ว
ก็เกิดกิเลสไม่ได้. เมื่อไม่เกิดกิเลสก็เป็ นนิพพาน คือเย็นอกเย็นใจอยูเ่ ป็ นปกติ. เรา
เชื่อการตรัสรู ้ของพระพุทธเจ้า โดยได้รับฟังแล้วมาพิจารณาดู ; เห็นว่าจะต้องเป็ น
อย่างนั้นจริ ง ก็ลองปฏิบตั ิดู, ปฏิบตั ิดูแล้วก็ได้ผลเป็ นเช่นนั้นจริ ง เราก็เชื่อ.
ทีน้ ี ต่อไปก็ถึง เรื่ องเกีย่ วกับกรรม ความรู้ เกี่ยวกับกรรม, ระบบ
เรื่ องกรรม ที่เราได้ ร้ ู ขนึ้ มาใหม่ ยิ่งไปกว่ าที่มีอยู่ก่อน ก่ อนพุทธศาสนา.
หมายความว่า ก่ อนพุทธศาสนาเกิดนี่ เขาก็มีความรู้ เรื่ องกรรม สอนเรื่ องกรรม
กันอยู่เหมือนกัน; แต่ ไม่ สมบูรณ์ ; แล้วก็มกั จะสอนไปทางมีตวั ตนเป็ นผูท้ ากรรม
เป็ นเจ้าของกรรม, ก็เลยดับทุกข์ไม่ได้ เพราะมันมาเป็ นทุกข์อยูท่ ี่ตวั ตน หรื อความ
ยึดถือว่าตัวตน.
เดี๋ยวนี้เรามารู ้เรื่ องกรรม ในพระพุทธศาสนาว่า เป็ นสิ่ งที่เป็ นไปตาม
การปรุ งแต่ งของเหตุของปัจจัย คือนามรู ปที่ประกอบไปด้วยอวิชชา ไม่มีสัตว์
บุคคล ตัวตน เราเขา ที่ทากรรม หรื อรับผลกรรม; แม้วา่ ตัวกรรมนั้นจะมี ผลกรรม
ก็มี การรับผลกรรมก็มี คือมันมีอยูท่ ี่นามรู ปที่ประกอบอยูด่ ว้ ยอวิชชา ไม่ใช่ตวั เรา;
อย่าเอาตัวเราไปเป็ นอวิชชา : อย่าเอาตัวเราไปเป็ นนามรู ปที่ประกอบอยูด่ ว้ ยอวิชชา.
ความแน่ใจในสิง่ ทีถ่ อื เอาเป็ นทีพ่ งึ ่ ในฐานะเป็ นปั จจัยที ่ ๖ ๔๙
ทีน้ ีก็ว่า จะศรัทธาในสิ่ งใด ต้ องรู้ แจ้ งในสิ่ งนั้น ๆ จริง; จะมีศรัทธา
จะปลงศรัทธา ลงไปในสิ่ งใด ต้องมีความรู ้แจ้งในสิ่ งนั้น ๆ จริ ง ๆ. เช่นว่า
ระบบการปฏิบตั ิมีอยูอ่ ย่างนี้ จะศรัทธาในระบบนี้ ก็ตอ้ งรู ้แจ้งในระบบนั้นจริ ง ๆ;
ก็มีหลักอยูท่ ี่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อีกนัน่ แหละ.
ปัญหาเกี่ยวกับศรัทธาของมวลชน
ทีน้ ีก็มาดูถึงตัวปัญหากันดีกว่า : ปัญหาแห่งมนุษย์ ปัญหาแห่ งความ
เป็ นมนุษย์ เกีย่ วอยู่กบั ศรัทธา; และศรัทธาของมวลชน มีอยู่อย่ างสลับซับซ้ อน
เหลือเกิน. ปัญหาของมวลชนในโลกทั้งโลกแก้ไม่ได้ เพราะว่าทาผิดในเรื่ อง
เกี่ยวกับปั ญญาและศรัทธา.
ดูให้ ดี ๆ ในโลกปัจจุบันทั่วไปนี้ ศรัทธาที่งมงาย กาลังทาหน้ าที่แทน
ศรัทธาที่แท้ จริง. ที่นี่ก็ดี ที่กรุ งเทพฯ ก็ดี ที่บา้ นเมืองไหนก็ดี เขาก็ยงั มีศรัทธาที่
งมงาย มาทาหน้าที่แทนศรัทธาที่แท้จริ ง ; ถือศาสนากันแต่ปาก; ในที่ประชุมก็
พูดถึงศาสนา แต่การปฏิบตั ิน้ นั มันไม่มี; ยิ่งไปกว่านั้น ศรัทธาที่งมงายนั่นแหละ
กลับมีอานาจเหนื อศรั ทธาที่แท้ จริ ง : ความเล่าลือกันอย่างงมงาย รับถือปฏิบตั ิ
ความแน่ใจในสิง่ ทีถ่ อื เอาเป็ นทีพ่ งึ ่ ในฐานะเป็ นปั จจัยที ่ ๖ ๕๗
[ สรุ ป ความ ]
๖๓
๖๔ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
มิตรมีท้ังอย่ างภาษาคนและภาษาธรรม
เอ้า, ทีน้ ีดูกนั เรื่ อย ๆ ไป ถึงคาว่ามิตรนี่; มิตร คือความรู้ สึกว่ าเป็ นมิตร
ตรงกันข้ามกับความรู ้สึกว่าศัตรู . นีเ้ รามีมิตรอยู่หลายชนิด อยากจะให้มองดูให้ครบ
ให้ถว้ นทุกชนิด ว่ามันมีมิตรอะไรบ้าง ? มิตร ความหมายในทางภาษาคน ก็มี,
ความหมายในทางภาษาธรรม ก็มี.
ความรูส้ กึ แห่งมิตรภาพ ในฐานะเป็ นปั จจัยที ่ ๗ ๗๑
อานิสงส์ ของมิตรภาพ
เอ้า, ทีน้ ี ดูอานิสงส์ กันบ้าง, อานิสงส์ ของมิตรภาพ ความรู้ สึกแห่ ง
มิตรภาพ : ถ้าเราอยูก่ นั อย่างมีมิตรภาพ มันเจริญได้ โดยง่ าย เพราะมันร่ วมมือกัน
ทุกด้าน.
หลักธรรมมันก็มีเรื่ องทิศทั้ง ๖; ทิศทั้ง ๖ น่ะก็คือว่า ข้างหน้าเราเป็ น
บิดามารดา, ข้างหลังเราเป็ นบุตรภรรยา, ข้างซ้ายมือของเราเป็ นเพื่อน, ข้างขวามือ
ของเราเป็ นครู บาอาจารย์, บนหัวเรามีพระเจ้าพระสงฆ์, ใต้ขา้ งล่างของเราลงไปมี
ความรูส้ กึ แห่งมิตรภาพ ในฐานะเป็ นปั จจัยที ่ ๗ ๗๙
นี้คานวณดูเถิดขนบธรรมเนียมโบราณประเพณี ให้ความหมายแก่คาว่า
มิตรอย่างนี้. ขออย่ างมิตรให้ หมดทั้งเกวียน ดูเหมือนจะมอบตัวเป็ นคนใช้ เป็ น
ทาสอะไรไปด้วยเลย; ขออย่ างพ่ อได้ หัวใจมา; ขออย่ างพี่ได้ เนื้อล่า ๆ มา; ขอ
อย่ างคนจองหองก็ได้ พังผืดมา.
คาว่ า มิตร นี้ มีความหมายยิ่งกว่ าพ่ อยิ่งกว่ าพี่, เรื่ องเป็ นอย่างไร
อาตมาก็อธิ บายไม่ได้; แต่ดูจะเป็ นเรื่ องวัฒนธรรมของภาษา ของขนบธรรมเนียม
ประเพณี มันเป็ นอย่างนั้น. ที่เอามาเล่าให้ฟังนี้ ก็เพื่อจะขอให้ สนใจในความหมาย
ของคาว่ ามิตรน่ ะ ให้ มันมากเข้ าไว้ เพราะมันไม่สูงเกินไป ไม่ต่าเกินไป ไม่
เป็ นไปทางเพื่อกิเลส และก็ไม่ได้เป็ นไปเพื่อทางแข็งกร้าว แห้งแล้ง; มันอยูใ่ น
ลักษณะที่พอดี จึงมีความหมายมาก เลยได้เนื้อหมดทั้งเกวียน หรื อได้คนที่เป็ น
เจ้าของเกวียน มาเป็ นบ่าวด้วย ด้วยความสมัครใจ เพราะว่าคนมันชอบคาว่ามิตร
เหลือประมาณ.
มิตรโดยภาษาคน, ภาษาธรรม
เอาละ, ทีน้ ีจะมีอะไรอีก ก็วา่ มาถึงมิตรโดยตรง : คาว่ามิตรมีหลักเกณฑ์
อย่างไร กันดีกว่า. มิ ต รอย่ างภาษาโลก ก็คือคนที่เป็ นมิตร; ทีน้ ี มิ ต รในทางภาษา
ธรรม มันก็กลายเป็ นธรรม ตัวธรรมเป็ นมิตร, นี้คือมิตรแท้จริ งกว่า มิตรที่ดีกว่า.
มิตรที่แท้จริ งในภาษาธรรมนั้น, ดีกว่ามิตรในภาษาโลก คือเป็ นคนที่คนรัก คนที่
ความรูส้ กึ แห่งมิตรภาพ ในฐานะเป็ นปั จจัยที ่ ๗ ๘๓
[ สรุ ป ]
ต้ นไม้ ต้นไล่ นี่อย่าไปทาลายมันเสี ย, สร้ างมิ ตรภาพกับสั ตว์ เดรั จฉาน นับตั้งแต่มด
แมลง เป็ นต้นขึ้นไป อย่าไปฆ่าไปฟันมัน, แม้ ศัตรู ก็พยายามทาให้ เป็ นมิ ตร เช่นว่า
นอนกับเสื อก็ได้ ถ้าสามารถทาศัตรู ให้เป็ นมิตร; ก็เลยไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความ
ปลอดภัย.
เป็ นอันว่า สิ่ งที่เรียกว่ามิตรภาพนั้น ไม่ ใช่ เรื่ องเล็กน้ อย เป็ นสิ่งหล่อเลีย้ ง
ชีวิตให้ ปกติ ให้ เยือกเย็น ให้ เป็ นสุ ข; ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ก็พอแล้ว. นี้อย่า
หวังแต่เพียงปัจจัย ๔ : เรื่ องอาหาร เรื่ องเครื่ องนุ่งห่ม เรื่ องที่อยูอ่ าศัย เรื่ องยาแก้
โรค. ถ้าหวังเพียงเท่านั้นแล้ว มันเป็ นเรื่ องร่ างกายเท่านั้น; บางทีจะไม่ดีกว่าสัตว์
เดรัจฉาน. สัตว์เดรัจฉาน เขาก็มีอาหารกิน, มีขน มีหนัง มีอะไร, มีรู มีเลี้ยวอยู,่
แล้วก็รักษาโรคภัยไข้เจ็บมาโดยธรรมชาติ ไม่ได้กินยาที่ตลาดแม้แต่สักเม็ดเดียว;
๘๖ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
[ ปรารภและทบทวน ]
๘๗
๘๘ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
ฝ่ ายวิญญาณ; ไม่นบั รวมปั จจัย ๔ ทางฝ่ ายร่ างกาย ซึ่ งเป็ นที่รู้จกั กันดี. กล่าวคือ
อาหาร เครื่ องนุ่งห่ ม ที่อยูอ่ าศัย และยาแก้โรค, นั้น ๔ อย่างนั้น เรี ยกว่าปั จจัย ๔
สาหรับร่ างกาย; ทีน้ ีเหลือจากนั้นก็เป็ นปั จจัยสาหรับจิต สาหรับวิญญาณ เรี ยกว่า
ปั จจัยที่ ๕, แต่ก็มีหลายอย่าง. ควรจะพูดว่ าปัจจัยที่ ๕ อย่ างที่ ๑, ปัจจัยที่ ๕
อย่ างที่ ๒, ปัจจัยที่ ๕ อย่ างที่ ๓, อย่างนี้เป็ นลาดับไป; แต่เราก็มาพูดรวมไป
เสี ย ต่อกันไปเสี ยว่า ปั จจัยที่ ๖ ที่ ๗ ที่ ๘ ที่ ๙, อาจจะทาความยุง่ ยากให้แก่
บุคคลบางคนก็ได้; ที่แท้ ก็อยากจะเรียกว่ า ปัจจัยที่ ๕ คือให้มนั นอกไปจาก
ปั จจัย ๔ ที่คนเขารู ้จกั กัน.
ที่มารู ้จกั เรี ยกกาย วาจา ใจ ว่าเป็ นประตูน้ ี มันเป็ นเรื่ องทีหลังมาก. คือสมัยเมื่อ
มนุษย์รู้จกั ธรรมะมากลึกซึ้ งพอที่จะเรี ยกกาย วาจา ใจ ว่าทวาร หรื อประตู, แล้วก็
ยืมเอาชื่อประตูที่รู้จกั กันดี – ประตูบา้ น ประตูเรื อน ประตูร้ ัว เอาเป็ นประตูน้ ี คานี้
มาเรี ยกเป็ นชื่อไตรทวาร.
สมมติจิตเป็ นศู นย์ กลาง, แล้วก็ เอากาย วจี มโน เป็ นทวาร คือเป็ นประตูสาหรับ
จะติดต่อกับจิตนั้น.
ทีน้ ีถดั ไปว่า ไม่ สร้ างปัญหาใหม่ ขึ้นมา. ปั จจุบนั นี้มีปัญหามาก; ที่มนั
ไม่เคยเกิดแต่กาลก่อน เดี๋ยวนี้มนั ก็เกิดมาก : เป็ น ปัญหาทางเศรษฐกิจ วุ่นวาย
๑๐๐ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
ปัจจัยของความถูกต้ องทางไตรทวาร
ความถูกต้ องแห่ งไตรทวาร ในทางบุคคล และในทางสั งคม มีอยู่
อย่ างนี้; นี้เป็ นปั จจัยแก่จิตใจอย่างไรต่อไป, พิจารณากันต่อไป. เป็ นปั จจัยที่ ๘
เมื่อนับเรี ยงหมด; แล้วมันเป็ นปั จจัยที่ ๔ ของ ปัจจัยชุ ดที่ ๕ – ปัจจัยแห่ งจิต.
มันเป็ นปั จจัย ทาหน้าที่ปัจจัย; ญาติโยมพอได้ยินคาว่า ปั จ จั ย ก็หมายความว่า
สตางค์ แหละ มาควักสตางค์อีกแล้ว, ถ้าปัจจัย ๆ เอาปัจจัยไปทาบุญนี่. ที่จริ งคา
ว่าปั จจัยนี้ มันไม่ใช่แปลว่าเงินที่จะเอาไปซื้ อของ หรื อเอาไปทาบุญ.
อาตมาพยายามจะพูด ด้วยถ้อยคาที่ญาติโยมทั้งหลายจะจาได้ง่าย จะ
เข้าใจได้ง่าย. นี่ถา้ พูดเป็ นบาลี ตามศัพท์บาลีเดิม ๆ เขาแล้ว คงจะไม่เข้าใจเท่านี้;
ไม่เข้าใจเท่าที่เข้าใจแล้ว. เดี๋ยวนี้พยายามจะพูดให้เป็ นคาชาวบ้านธรรมดา มันจะ
ฟังแปลกหู ไปบ้าง; แต่มนั ก็ช่วยให้เข้าใจง่าย จาง่ายว่า จิตมันหยุด ไม่วิ่ง, ว่า จิต
มันเย็น มันไม่ร้อน, ว่า จิตมันยิม้ เพราะมันเสวยความสุ ข, ว่า จิตมันยอม เพราะ
มันไม่มีอหังการ ยกหู ชูหาง, ว่า จิตมันใหญ่ มันไม่มีมมังการ มันเอื้อเฟื้ อ เผื่อแผ่
เสี ยสละ, แล้ว จิตมันโยน โยนกลับ คืนกลับให้แก่เจ้าของเดิม ซึ่ งไปเอาของเขามา
มาเป็ นของตน ไม่ใช่ของตนเอามาเป็ นของตนนั้น ไม่เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
เอามาเป็ นของตน เดี๋ยวนี้เห็นแล้ว เอ้า โยน ๆ คืนให้เจ้าของเดิม, แล้ว จิตมัน
หย่ อน มันไม่เครี ยดอยูด่ ว้ ยการขึง ด้วยอานาจของอุปาทาน หรื อด้วยสังโยชน์เป็ น
ต้น จิตมันก็หย่อน สบาย, แล้ว จิตมันก็เยี่ยมยอด หลุดพ้น มีวิมุตติ – หลุดพ้น
อยูเ่ หนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง.
[ สรุ ป ]
๑๑๑
๑๑๒ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
[ ปรารภและทบทวน ]
สติอยูไ่ ด้, มีสติอยู่ ก็ไม่รัก หรื อไม่เกลียด นี่เรี ยกว่าความรู ้น้ นั มันมาทันแก่เวลา.
หรื อว่า
นักเรี ยนจะสอบไล่ ถ้านึกไม่ออก ความรู ้มาไม่ทนั แก่เวลา มันก็สอบตกแหละ,
แม้มนั จะเคยรู ้อยู่ จาได้อยู่ แต่มนั ไม่มาทันทีทนั เวลา, มันก็ตอ้ งใช้ไม่ได้. ต้องมา
ทันเวลาด้วย : สิ่ งที่ควรรู ้อย่างเพียงพอนั้น ต้องมาทันเวลาด้วย.
ดีกว่า : นัน่ แหละจะถูกต้อง; คือเราเรี ยน ๆ ยิ่งเรี ยนยิ่งรู ้ว่า โอ้ ! ไม่ตอ้ งรู ้ก็ได้;
เพราะว่าเราไม่ตอ้ งการสิ่ งนี้, เราไม่ตอ้ งการสิ่ งเหล่านี้ ที่เขาต้องการกัน.
เราต้องการแต่ที่จะให้ใจดี ไม่ใช่ตอ้ งการให้ดีใจ; ถ้าต้องการให้ดีใจก็
เรี ยนไม่จบหรอก. ถ้ าต้ องการเพียงให้ ใจดีแล้ วก็ไม่ ต้องเรียนมาก; คือไม่ตอ้ งการ
อะไร ไม่หลงใหลในอะไร, ทาไปตามเท่าที่จาเป็ นจะต้องทา : จะหากินก็ดี จะ
บริ หารกายก็ดี อะไรก็ดี ทาไปเท่าที่จาเป็ นเถอะ มันไม่มากนะ. ไปคิดดูเถอะ ที่
จะหากินให้รอดอยูไ่ ด้ บริ หารร่ างกายให้รอดอยูไ่ ด้สบายดี ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เป็ น
มนุษย์ที่ดีน้ ี มันไม่ตอ้ งการอะไรมาก; แต่ ก็มันต้ องการความถูกต้ อง ตามเรื่ อง
ของธรรมะ.
[ สรุ ป ]
ความรูท้ เี ่ พียงพอตามทีค่ วรจะรู้ ในฐานะเป็ นปั จจัยทางจิต ทางวิญญาณ ชนิดที ่ ๕ ๑๔๗
ความมีผู้นาทางวิญญาณ
ในฐานะเป็ นปัจจัยที่ ๑๐
๑๔๙
๑๕๐ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
ปั จ จัย ฝ่ ายวิญ ญาณมีอ ยู ใ่ นโลกนี้ ซึ่ ง เป็ น หน้า ที ่ที ่ท างฝ่ ายศาสนา
เกี ่ย วข้อ งหรื อ จัด หาให้. เรามีศ าสนากัน ท าไม ? ก็ต อบได้ห ลายอย่า ง แต่ที่
มองเห็น ได้โดยตรงก็คือ เพื่อให้มีปัจจัยทางฝ่ ายวิญญาณได้โดยง่าย โดยสะดวก
เพราะว่าเรื่ องของศาสนานั้น ก็เป็ นเรื่ องทางฝ่ ายจิต ฝ่ ายวิญ ญาณนัน่ เอง, จึงเป็ น
ภาระหน้าที่ของทางฝ่ ายศาสนา ที่จะจัดหาปั จจัยทางฝ่ ายจิต ฝ่ ายวิญญาณดังกล่าว
แล้ว. แต่บดั นี้ก็ได้มีการละเลย ซึ่ งจะเป็ นเพราะฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ง หรื อทั้งสองฝ่ ายก็
ได้; คือว่าประชาชนไม่ได้สนใจปั จจัยทางฝ่ ายจิต ทางฝ่ ายวิญญาณ, หรื อว่าทาง
ฝ่ ายศาสนาก็มีอนั เป็ นไป ในทางที่จะไม่ได้สนใจ ที่จะอานวยปั จจัยทางฝ่ ายจิต ฝ่ าย
วิญญาณให้แก่ชาวโลก. ดู ๆ มันก็จะสมน้ าสมเนื้อกันอยูใ่ นสมัยนี้.
ประที ปทางจิ ต ทางวิ ญ ญาณ. จึง จ าเป็ นที ่ว า่ มนุษ ย์จ ะต้อ งมีแ สงสว่า งในทาง
วิญญาณ เป็ นเครื่ องส่ องทาง ให้เราเดินถูกทางตั้งแต่ตน้ จนถึงที่สุด; เรี ยกว่าตั้งแต่
เกิด มา จนถึง ที ่สุ ด คือ ดับ ทุก ข์ไ ด้. ใครรู ้จ กั พระพุท ธเจ้า ในฐานะว่า เป็ นดวง
ประทีปของโลกบ้าง ? ใครกาลังต้องการดวงประทีปของโลก ?
อยากจะเปรี ยบเทียบเหตุการณ์ อนั หนึ่ ง เมื่อผูห้ ญิ งไทยคนหนึ่ ง เขาไป
ได้รั บ เลื อ กเป็ นนางงามจัก รวาล ของจัก รวาลที่ เมื อ งนอก กลับ มาเมื อ งไทย ;
แตกตื ่น กัน ใหญ่ มีค นแสดงความยิน ดีต อ้ นรับ เนือ งแน่น ตั้ง แต่ด อนเมือ งถึง
กรุ งเทพฯ เขาว่าสองข้างถนนเต็มไปด้วยคน. นี้คนเหล่านี้ยินดีในนางงามจักรวาล;
แม้ไ ม่ใ ช่ลูก หลาน แม้ไม่ ใช่ อะไรกัน ก็ยงั อุ ตส่ าห์ ม ายืน รอ เหมื อ นกับรั บ เสด็ จ
ตั้งแต่ดอนเมืองถึงกรุ งเทพฯ.
มีมาแล้วนมนาน. คือมีบุคคลที่เห็น ว่า เรื่ องทางฝ่ ายวัตถุ ทางฝ่ ายร่ างกายนี้ ยัง
ไม่ทาความพอใจให้; สมบูรณ์ดว้ ยปั จจัยทางวัตถุ ทางร่ างกายแล้ว ก็ยงั มีค วาม
ทุกข์โศก ยังต้องร้องไห้ ยังเบียดเบียนกัน ยังอะไรอยูน่ ัน่ เอง. คนเหล่านี้ ก็หลีก
ไปสู ่ ป่ า ค้น หาว่า อะไรดีก ว่า นี้ ? อะไรดีก ว่า นี้ ? จนเกิด เป็ นประโยคขึ้ น มา
ประโยคหนึ่ งในวงการอันนี้ ว่า อะไรเป็ นกุศ ล ? อะไรเป็ นกุศ ล ? พูดกัน ติดปาก
อย่างนี้. หมายความว่าอะไรที่มนั ดีกว่าอย่างที่มนุษย์เรามี ๆ กันอยูน่ ้ ี . ท่านก็มีเงิน
ซึ่ งอาจจะอานวยความสะดวกทางวัตถุ ทางร่ างกายได้ทุกอย่าง แล้วก็ไปตายด้าน
อยูเ่ พียงนั้น แล้วก็ถลาลึกจนมีปัญหามากมาย มืดมนธ์ ทนทรมาน; ไปจบลงด้วย
ความทุกข์ทนทรมาน. คนเขาจึงคิดว่า นี้ ไม่ใช่สิ่งที่เป็ นกุศลเลย ไม่ควรจะเรี ยกว่า
เป็ นกุศลเลย; ก็เลยแสวงหาว่าอะไรเป็ นกุศล เที่ยวแสวงหาว่าอะไรเป็ นกุศล นี่
พวกเข้าป่ าคิดนึก พิจารณา พิสูจน์ ด้วยจิตใจของตนเอง เพราะมันเป็ นการค้นคว้า
ทดลอง ด้วยจิตใจของตนเอง; แล้วก็พิสูจน์ว่า ถูกต้องหรื อยัง นี้ ก็ดว้ ยจิตใจของ
ตนเอง. เขาก็พบมากขึ้น ๆ เป็ นลาดับ ตามยุคตามสมัยว่า อย่างนั้นดีกว่า อย่าง
นั้นดีกว่า อย่างนั้นดีกว่า เรื่ อย ๆ มา; จนเกิดบุคคลประเภทที่เรี ยกกันว่า พระอริ ย
เจ้า เป็ นพระพุทธเจ้า เป็ นปั จเจกพุทธะ เป็ นสัมมาสัมพุทธะ กระทัง่ มีลูกศิษย์เป็ น
อนุพ ุทธะ เป็ น สังคมใหญ่ม ากสังคมหนึ่ ง : เป็ นสั งคมผู้สนใจเรื่ องทางจิต ทาง
วิญญาณ จึงเกิดขึ้นมาในโลก เรี ยกกันว่า เป็ นธรรมะหนึ่ ง ๆ ตามลัทธิ นิกายนั้น .
อย่างพุทธศาสนานี้ ก็เป็ นธรรมะสายหนึ่ ง, แล้วสื บทอดกันมา ตั้งแต่พุทธกาลมา
จนถึงทุกวันนี้; เป็ นเรื่ องทางจิต ทางวิญญาณ.
ประที ปที่ ถูกต้ อง จึงเป็ นเรื่ องของสั มมาทิ ฏฐิ ซึ่ งเป็ น หลัก สาคัญ ใน
พระพุทธศาสนา จนมีพระบาลีว่า บุค คลจะล่ ว งพ้ น จากความทุกข์ ทั้ ง ปวงได้ เพราะ
สมาทานสั ม มาทิ ฏฐิ . นี่ถา้ ถือเอาสัมมาทิฏฐิเป็ นหลักปฏิบตั ิอย่างถึงที่สุด คนก็ล่วง
จากความทุกข์ท้ งั ปวงได้. นี่คือแสงแห่ งสัมมาทิฏฐิ ซึ่ งเป็ นดวงประทีปทางฝ่ ายจิต
ฝ่ ายวิญญาณ.
ดวงประทีป ทางฝ่ ายวัต ถุน้ี คือ ตะเกีย งที ่เราไปซื้ อ หามาจุด หรื อ ว่า
ไฟฟ้าอะไรก็สุ ด แท้ ที ่ม นั มีแ สงสว่างทางฝ่ ายวัต ถุ. แสงสว่า งทางฝ่ ายจิต ฝ่ าย
วิญ ญาณนั้น ไม่ใช่ตะเกียงทานองนั้น, ไม่ใช่อุปกรณ์แสงสว่างอย่างวัตถุทานอง
นั้น; มันเป็ นเรื่ องของจิตใจ มีจิตใจเป็ นดวงสาหรับจะให้เกิดแสงสว่าง เป็ นที่เกิด
๑๕๖ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
แห่ งแสงสว่าง. ถ้าจะเปรี ยบเหมือ นตะเกียงธรรมดา มัน ก็ต อ้ งเติม น้ ามัน ให้แ ก่
จิตใจ คือความรู ้ที่ถูกต้องหรื อสัมมาทิฏฐิ , เติมไส้หรื อที่จะให้ลุกขึ้นมาที่จิตใจ เป็ น
สติปัญญาที่อานวยแสงสว่างนั้น ๆ. เรามีตะเกียงหรื อดวงประทีปในทางฝ่ ายจิตใจ
กันอย่างนี้ ; พระพุทธเจ้ าตรั สรู้ สิ่งนี้ แล้วก็ทรงสอนสิ่ งนี้ ให้คนกาจัดปั ญหาหรื อ
ค ว า ม ท ุก ข์
ของตน ๆ ได้ คือดับทุกข์ได้นนั่ เอง.
เรี ย กว่า หน้าที่ก ารงาน; แล้ วก็มีธรรมะไว้ สาหรั บป้ องกัน ไม่ ให้ เกิดความทุ กข์
ขึน้ มา จากการกระทานั้น ๆ. เดี๋ยวนี้ เราจะเห็นได้ชดั ๆ ว่า คนเป็ นโรคประสาท
มากขึ้นทุกที คนเป็ นโรคจิตมากขึ้นทุกที; อีกทางหนึ่ งคนก็เป็ นอันธพาลมากขึ้น
ทุกที. อันธพาลนั้นเขาไม่มีความสามารถ ที่จะหาทรัพย์สมบัติโดยถูกต้อง; เขาก็
หาอย่างรวบรัด หรื อลัดเอา คือขโมย ปล้น จี้.
ถ้า การศึก ษามีค รบทั้ง ๓ ส่ ว นอย่า งนี้ เรี ย กว่า สมบูร ณ์; คือ เรี ยน
หนั งสื อ, เรี ยนวิ ชาชี พ , แล้ว ก็เรี ยนธรรมะ ส าหรั บเป็ นมนุ ษย์ ให้ ถู กต้ อง. ถ้า
อย่างที่ ๓ มันขาดไปเสี ย การศึกษานั้นไม่สมบูรณ์ เรี ยกว่าเป็ นการศึกษาที่ดว้ น
จะเรี ยกว่าหางด้วนก็ได้ มันก็เปะปะ ๆ เปะปะไปเพราะไม่มีหาง ไม่มีการควบคุม;
เหมือ นนกไม่ม ีห างก็บ ิน ไปไหนไม่ไ ด้, เรื อ บิน หรื อ ว่า เรื อ ธรรมดา ไม่ม ีห าง
สาหรับบังคับเรื อ มันก็ไปไม่ได้. ทุกอย่ างมันต้ องมีเครื่ องบังคับ ให้ เดินไปถูกทาง
คื อธรรมะนั้นเอง; ถ้าเดิน ไม่ถูกทางแล้ว มันก็ก ลายเป็ นอัน ตรายไปหมด : ไอ้
ความรู ้ฉลาดก็เป็ นอันตราย, ทรัพย์สมบัติที่มีมากก็เป็ นอันตราย, อานาจวาสนาที่มี
มากก็กลายเป็ นอันตราย เพราะไม่มี “หาง” บังคับให้มนั เดินถูกต้อง. สิ่ งที่เรียกว่ า
“หาง ๆ” นั้ นก็คื อ ประที ป ดวงประที ป หรื อแสงสว่ างในทางวิ ญ ญาณ ดัง ที่
กล่าวมาแล้ว.
ความมีผนู้ าทางวิญญาณ ในฐานะเป็นปั จจัยที ่ ๑๐ ๑๖๑
นี้ เรี ยกว่า แทนที่จะเป็ นปั จจัย บารุ งชีวิตให้ปกติสุขอยูไ่ ด้, มันเปลี่ยน
สภาพไปเป็ นเหยื่อ ล่อ ให้ค นตกเป็ นทาสของกิเลสอย่า งสุ ด เหวี่ย ง. นี ่เรี ย กว่า
การศึ ก ษาไม่ ส มบู ร ณ์ ชวนกัน กระท าไปได้ใ นลัก ษณะที ่ม นั ไม่ค วรจะท า;
ความก้าวหน้าทางวัตถุน้ ี มันเป็ นเมฆหมอก หรื อควันดา หุ ้มห่ อจิตใจไว้ ไม่ให้
ประทีปหรื อแสงสว่างแห่ งพระธรรมเข้าถึงจิตใจนั้นได้. ขอให้มองดูเถอะ มองดู
ด้วยจิตใจที่เป็ นอิสระ หรื อจิตใจที่ซื่อตรง; เราจะเห็นได้ดว้ ยตนเองว่า สถานที่ที่
ส่ งเสริ ม กิ เลส และกามารมณ์ เหล่ านั้ น มั น ก็ คื อ การขุ ด หลุ ม ฝั งดวงจิ ต ดวง
วิ ญ ญาณ ของคนในโลกนี้ ให้ ติ ด จมลงไป อย่ างไม่ ร้ ู จั กผุ ด จั ก เกิ ด . นี ่ข อให้
นักเรี ยนทั้งหลายจานวนมาก พิจารณาดูให้เห็นความจริ งข้อนี้ ; อย่าเข้าไปติดกับ
ติดบ่วง ติดความหลอกลวงของสิ่ งเหล่านี้ ซึ่ งกาลังมีมากขึ้นทุกที.
เดี ๋ยวนี้ มีสิ่ ง ที ่น่ากลัว อีก อย่า งหนึ่ ง จะบอกให้ คือ ประชาธิ ปไตยผี สิ ง
ของคนวัยรุ่ น. วัยรุ่ นทั้งหญิงทั้งชายแหละ เขาเริ่ มนิยมประชาธิ ปไตย ตามเหตุผล
ของเขาเอง; เขาก็เรี ยกร้องอะไร ตามแบบประชาธิ ปไตยผีสิงของเขาเอง. บางที
จะเรี ยกร้องเอาอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างโน้น โรงเรี ยนปฏิบตั ิตามไม่ไหว เขาก็ชวน
กันสไตรค์ ปิ ดโรงเรี ยนเสี ยเท่านั้นแหละ. ประชาธิ ปไตยผีสิงอย่างนี้ มันกาลังจะ
๑๖๔ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
เป็ น อัน สรุ ปความเสี ยสัก ทีห นึ่ งก่อนว่า ชี วิตนี้มั นต้ องเดินให้ ถูกทาง
มันต้ องมีแสงสว่ างที่ถูกต้ องและเพียงพอ ส่ องให้ เห็นทาง แล้วก็เดิน ไปอย่างถูก
ทาง. ความมีแสงสว่างนี้ นับว่าเป็ นสิ่ งสาคัญ ; เหมือนกับว่าเราไม่มีแสงสว่าง
แสงอาทิตย์อย่างนี้ เราทาอะไรไม่ได้ นี้มนั เห็นได้ง่าย ๆ, แต่เป็ นเรื่ องทางวัตถุ.
เรื่ องทางจิต ทางวิญญาณนั้น ถ้าไม่มีแสงสว่างแห่ งพระธรรมแล้ว เราก็
เดินไปในทางดับทุกข์ไม่ได้ ฉะนั้น เราจึงต้องมี. เป็ นอันว่า เราจะต้องมีแสงสว่าง
ส่ องทางวิญญาณ; ในเมื่อเรายังมีดว้ ยตนเองไม่ได้ เราก็มีผูน้ าในทางวิญญาณ ซึ่ ง
เป็ น หัวข้อของการบรรยายในครั้ งนี้ ว่า ความมีผ้ ูนาทางวิญญาณ; ถ้ามีแล้วจะ
เป็ นปั จจัยอันสาคัญ ที่จะให้ความเป็ นมนุษย์ของเรา เต็มเปี่ ยมและสมบูรณ์.
รากฐานของความมีผ้ ูนาในทางวิญญาณ
ทีนี้ ก ็จ ะพูด ให้ล ะเอีย ดลงไปอีก สัก หน่อ ย ถึง เรื ่ อ งความมีผู น้ าทาง
วิญญาณ ให้ทุกคนเห็นได้ว่า มันเป็ นสิ่ งที่ไม่เหลือวิสัย เป็ นสิ่ งที่มีได้ เป็ นสิ่ งที่เรา
จะจัดหาเอาได้, ถ้าเราต้องการ. ถ้าเราเป็ นคนซื่ อตรงต่อตัวเอง ไม่คดโกง ต้องการ
จะทาในสิ่ งที่ควรทา แล้วมันก็ไม่เหลือวิสัย. อาตมาพยายามอย่างยิ่ง ที่จะช่ วยเหลือ
ให้ ทุกคน พบผู้นาในทางวิญญาณ; โดยจะแสดงที่ต้ งั แห่ งผูน้ าทางวิญ ญาณ ว่า
การนาทางวิญญาณ มีรากฐานตั้งอยู่ ณ ที่ใด.
เด็ก เล็ก ๆ ทารกในครรภ์อ ย่างนี้ . มั นตั้ งต้ นจากเล็ก ๆ; เราอย่ าดูถู กสิ่ งเล็ก ๆ.
ที่ว่า “ไม่มากก็นอ้ ย” น่ะ ขอให้ถือว่า มันสามารถที่จะทาให้มากได้.
เมื่อเรามีพระพุทธ มีพระอริ ยสาวก ตลอดถึงสถานที่และวัตถุ , แม้เช่น
พระพุทธรู ปอย่างนี้; ถ้าเราเข้าใจเรื่ องนี้ รู ้จกั ใช้เรื่ องนี้ เอามาทาให้ถูกกับเรื่ องแล้ว,
ก็จะดึงจูงจิตใจไปในทางที่ถูกต้องได้; ดังนั้น จึงเรี ยกว่า มันก็เป็ นแสงสว่างด้วย
เหมือ นกัน คือ สามารถจะนาทางให้ แก่ ดวงวิญญาณ ได้เหมือนกัน . ขอให้รู้จกั
กระทาต่อปูชนียบุคคล ต่อปูชนียสถาน ต่อปูชนียวัตถุเป็ นต้นนี้ ให้ถูกต้อง แล้ว
สิ่ งเหล่านั้นก็จะมีการนาในทางวิญญาณ ให้เราเดินถูกทางในทางวิญญาณ.
ทีน้ ี เรื่ องถัดไปก็คือ กัลยาณมิตรที่แท้ จริง. นี้ เป็ นคาสอนในพระพุทธ-
ศาสนา ในพระบาลี; กัลยาณมิตรที่แท้จริ งนี้ สาคัญมาก ที่จะช่วยเป็ นผูน้ าในทาง
วิญญาณ. เด็ก ๆ อาจจะพูดขึ้นมาว่า เรามีกลั ยาณมิ ตร คือมิตรที่ ดีดว้ ยกันทั้งนั้น
แหละ แต่มนั เป็ นมิตรที่ไม่พอ ที่จะนาในทางวิญญาณ เพื่อนเล่นฟุตบอล เพื่อน…
กระทั ง่ เพื ่อ นสู บ เฮโรอีน อย่า งนี้ ก็ม นั เป็ นเพื ่อ นดีทั้ ง นั้ น แหละ; เขาไม่ไ ด้
หมายความอย่างนั้น.
ด้าน คือเหี่ ยวตาย เน่าตาย อะไรตาย เสี ยตั้งแต่ยงั เป็ นเม็ดเล็ก ๆ ก็มี เป็ นหน่อเพิ่ง
โผล่ออกมาจากเม็ดก็มี โตขึ้นมาได้นิดหน่อยแล้วก็ตายเสี ยก็มี. ดูตน้ ไม้พืชพันธุ์
อะไรที่มนั ตายเสี ยตั้งแต่เล็ก ๆ มันเป็ นต้นไม้สมบูรณ์ไม่ได้ เพราะมันมีอะไรเข้ามา
ขัด ขวาง. นัน่ แหละขอให้รู้เถิด ว่า ไม่ไ ด้รับการคุ ม้ ครอง จากบิด ามารดาอย่าง
ถูกต้อง และบางทีก็เพราะความเย่อหยิง่ จองหองของเด็ก ๆ นัน่ เอง. ขอให้ถือบิดา
มารดาเป็ นผูน้ าในทางวิญญาณ เป็ นบุคคลแรก ๆ ในโลก; ผู้นาทางวิญญาณคน
แรกในโลก คือบิดามารดา.
เอ้า, ทีน้ ี อนั สุ ดท้าย จะระบุว่า ไอ้ ธรรมชาติที่เรารู้ จักดู หรื ออ่ านออก
นี้ก็อาจจะเป็ นผูน้ าทางวิญญาณ. ธรรมชาติในที่น้ ีก็หมายถึง ธรรมชาติในความหมาย
ทัว่ ไป คือสิ่ งต่าง ๆ ที่เราเห็นอยู;่ อย่างที่นัง่ อยูต่ รงนี้ ก็เห็นต้นไม้บา้ ง ก้อนหิ น
บ้าง ดินทรายกรวดอะไรต่าง ๆ ที่เป็ นธรรมชาติ ตลอดถึงกว้างขวางออกไป เป็ น
แผ่น ดิน เป็ นภูเขา เป็ นทะเล เป็ นท้องฟ้า เป็ นดวงดาวดวงอาทิตย์ ทั้งหมดนี้ ก็
เรี ยกว่าธรรมชาติ. ถ้าเรารู ้จกั ดู หรื ออ่านออก มันก็เป็ นการช่ วยให้ เดินถู กต้ อง
ในทางวิญญาณได้ เหมื อนกัน; ถ้าเรารู ้จกั จริ ง เราก็ไม่หลง ในธรรมชาติ. แล้ว
เราก็จะรู้ จักอุดมคติ อะไรที่มันแฝง ๆ อยู่ในเรื่ องของธรรมชาติ เช่น ธรรมชาติ
โดยแท้จริ งมันเป็ นไปเพื่อความสงบ, ธรรมชาติโดยแท้จริ งไม่ได้เป็ นไปเพื่อกิเลส,
ธรรม-ชาติที ่แ ท้จ ริ ง จะสัน โดษ จะกิน อยู แ่ ต่พ อดี เช่น ต้น ไม้นี้ ม นั ไม่ก ิน เกิน
หรื อไม่นอ้ ยเกิน มันจะกินอยูแ่ ต่พอดี มันไม่ละโมบโลภลาภ เหมือนคนมัง่ มีที่ขูด
ความมีผนู้ าทางวิญญาณ ในฐานะเป็นปั จจัยที ่ ๑๐ ๑๗๕
ความมีสุขภาพอนามัยทางจิต
[ ทบทวนคาบรรยายครั้ ง ก่ อ น ]
๑๗๗
๑๗๘ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
ความสาคัญของความมีสุขภาพอนามัย
สิ่ งที่เรี ยกว่า “จิ ต” นี้ ถ้ าตามหลั กธรรมะในพุทธศาสนา เป็ นของที่ เกิ ด
จากการกระทบทางอารมณ์ ; ถ้ายังไม่มีอารมณ์กระทบ ก็ยงั ไม่เกิดจิตใดเลย. ต้องมี
ความถูกต้องในทางอารมณ์ คือสิ่ งที่จะมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจด้วย. มี
อะไรมากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ, เราจัดหรื อทาให้มนั ถูกต้อง ไม่ให้เกิดเป็ น
ปั ญหาขึ้นมา จึงจะเรี ยกว่า มีความถูกต้องทางระบบจิต คือ :–
จัดการกับอารมณ์ถูกต้อง, จัดการกับระบบประสาทที่รับอารมณ์ถูกต้อง,
จัดการกับความคิดนึก ที่มนั คิดขึ้นมา จากระบบประสาทนั้น ๆ ได้โดยถูกต้อง,
ไม่มีปัญหาผิดพลาดอันใดเกิดขึ้นแล้ว ก็ เรียกว่ า มีความถูกต้ องในระบบจิต; ก็
เลยไม่มีโรคทางจิต ไม่ตอ้ งไปหาหมอที่โรงพยาบาลโรคจิต.
เรี ยกว่า สติ สาหรับจะขนเอาปัญญา คือความรู้น้ นั มาให้ ทันท่ วงที ทันเวลา ถูกต้ อง
ตามกาลเทศะ และในทุก ๆ กรณี .
คนสมัยนี้ไม่มีระบบวัฒนธรรมของพุทธศาสนาเหมือนอย่างคนสมัยก่อน
มี. แล้วมันก็เปลี่ยนแปลงไปตามยุคตามสมัยของโลก; ยิ่งคนมากขึ้นมันก็ควบคุม
กันไม่ทนั แล้วมันก็เฮกันไปทางไหนก็เป็ นไปทางนั้น จนดึงไว้ไม่อยู.่ ปัญหามัน
จึงเกิดขึ้นแก่คนไทยเราในยุคปั จจุบนั ชนิดที่ไม่เคยเกิดแก่คนไทยเราในยุคโบราณ.
นี่ขอให้ดูความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ว่ามันเกี่ยวข้องกันกับมนุษย์
อย่างไร ควรจะหยิบมาพิจารณากันเสี ยใหม่ให้ดี ๆ. ศาสนาที่มาอยู่ในรู ปของ
วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี มันคุ้มครองได้ มาก คือให้คนนัน่ แหละ
มันถูกต้องอยูท่ างกาย ทางจิต ทางวิญญาณ โดยไม่ได้รู้สึกตัว; นี้เขาจะเรี ยกว่า
อัตโนมัติก็พอจะได้. เขาจึงไม่ค่อยมีปัญหาเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้.
เดี๋ยวนี้การศึกษาไม่สมบูรณ์ ไม่ได้สอนให้คนกลัวบาป กลัวความชัว่ ,
คาว่าบาปไม่มีสาหรับคนสมัยนี้, คาว่าบุญก็ไม่มี; อร่ อยก็แล้วกัน สนุกสนานก็
แล้วกัน. ถ้าจะให้มีคาว่าบุญ ก็ไปอยูท่ ี่ความสนุกสนานเอร็ ดอร่ อยมาก; ขนทราย
ไปก่อพระเจดียท์ รายนี้ ไม่บุญเสี ยแล้ว ไม่ใช่บุญเสี ยแล้ว สาหรับเด็กสมัยนี้ ; ไม่
เหมือนกับเด็กโง่ ๆ สมัยอาตมา. สมัยโน้นเพียงแต่ว่าได้ขนทรายก่อพระเจดีย ์ ก็
เป็ นสุ ขเหลือเกินแล้ว เป็ นบุญเหลือเกินแล้ว, และคาว่าบาปก็ยงั มี แม้จะไปสู บยา
บุหรี่ อย่างนี้ เด็ก ๆ ก็สันนิษฐานลงเอาเองว่ามันบาป; เพราะได้ความหมายรวม ๆ
กันว่า มันชัว่ มันไม่ควรกระทา, ผูใ้ หญ่เขาห้ามแล้ว มันก็บาปแหละ.
สมัยนี้มนั ไม่มีบาปอย่างนี้ แก่เด็ก ๆ สมัยนี้ หรื อวัยรุ่ นสมัยนี้. เขาจึง
พลัดตกลงไปในอบายมุข แล้วถอนตัวไม่ข้ ึน ก็ได้เป็ นโรคครบทั้งสามอย่าง : เป็ น
โรคทางกาย เป็ นโรคทางจิต เป็ นโรคทางวิญญาณ; แล้วโรคประสาทมันจะไม่
มากได้อย่างไรเล่า ? ลองคิดดูเถิด. เมื่อโรคประสาทมันมากหนักเข้าแล้ว โรคจิต
มันก็ตอ้ งพลอยมากตาม เพราะมันเป็ นพี่นอ้ งกัน.
๑๙๐ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
พิจารณาดูว่าสติปัญญานากายและจิต
ที่ว่า กายนาจิ ต นั้ น มั น นาได้ แ ต่ จิ ต ที่เ นื่ อ งอยู่ กั บ กาย. จิตนี้ตอ้ งแบ่ง
ออกเป็ นสองซี ก; จิตซีกหนึ่งมันเนื่องกันอยูก่ บั กาย เช่นระบบประสาท เป็ นต้น,
อย่างนี้จริ ง ถ้ากายดี จิตมันก็จะพลอยดี; เช่นว่าเมื่อคนกินข้าวอิ่ม แล้วอารมณ์มนั
ก็ดี, พอคนหิ วข้าว อารมณ์ก็เสี ย. อย่างนี้เรี ยกว่ากายนาจิตจริ ง แต่ว่ามันส่ วนน้อย
ส่ วนที่มนั เนื่องอยูก่ บั กาย. ส่ วนที่ เ ป็ นจิ ต ล้ วน ๆ นั้ น มั น แยกตั ว ออกไป ไม่ ไ ด้ อ ยู่ ใ ต้
อานาจของกาย, แล้วมันจะเป็ นฝ่ ายนากายเสี ยอีก.
หลักการปฏิบัติให้ มีสุขภาพอนามัยทางจิต
เอ้า, ถ้ายังไม่เบื่อจะฟัง ก็จะยกตัวอย่าง เป็ นอย่าง ๆ ต่อไปอีก ขอให้
ตั้งใจฟังให้ดี; เดี๋ยวนี้จะเป็ นเพียงยกตัวอย่างแต่ละอย่าง ประกอบระบบใหญ่น้ นั .
ข้ อแรก อยากจะพูดถึงว่า เราเดี๋ยวนี้ รู ้สึกว่าหมดปัญหาเกี่ยวกับโลกนี้
เกี่ยวกับโลกอื่น และเกี่ยวกับเหนือโลก. จาคาไว้ส ามคาว่า โลกนี้ โลกอื่น แล้วก็
ความมีสุขภาพอนามัยทางจิต ๑๙๙
ระหว่ า งจุ ด ตั้ ง ต้ น แห่ ง ความต้ อ งการของเรา กั บ ความสาเร็ จ ที่ เ ราหวั ง จะได้ . มันมี
ช่องว่างอยูร่ ะหว่างความต้องการของเราเมื่อตั้งต้นกับความสาเร็ จ คือได้สิ่งนั้น;
ช่องว่าง
ตรงนั้นเราเรี ยกว่าเวลา มัน เต็มไปด้ วยตัณหาคือความต้ องการ. ถ้าเราเกิดไม่
ต้องการอะไรขึ้นมานี้เวลาไม่มี, เวลาจะไม่มีสาหรับเรา; เราก็ไม่ตอ้ งเดือดร้อน
ด้วยเวลา ไม่ตอ้ งกระหื ดกระหอบด้วยเวลา.
เราควบคุมความต้องการไว้ให้ได้ แล้วเวลาก็จะไม่ย่ายีหัวใจของเรา.
เรารู ้จกั ต้องการแต่ที่ควรต้องการ, แล้วจัดแล้วทาให้มนั เป็ นไปได้ ตามหลักของการ
กระทา, ทาไปได้ตามสบาย ๆ ไม่ตอ้ งกระหืดกระหอบเกี่ยวกับเวลา ว่างานที่ทานี้
ไม่เสร็ จทันเวลาบ้าง หรื อเสี ยหายอย่างอื่นบ้าง เลยเดือดร้อนเหลือประมาณ
เกี่ยวกับงานไม่เสร็ จทันเวลา. ต้องกระหื ดกระหอบเกี่ยวกับเวลา เป็ นสมบัติของ
คนโง่, ยกไว้ให้พวกคนโง่ ที่ทาอะไร ๆ ก็ตอ้ งร้อนใจเกี่ยวกับเรื่ องของเวลา. ถ้า
มันเป็ นไปตามธรรมชาติ มันไม่ทนั เวลา ก็ไม่เป็ นไร ก็ช่างหัวมันซิ มันก็เป็ นเรื่ อง
ของธรรมชาติ; แต่ถา้ เราจัดได้ทาได้ เราก็ทาให้มนั ทันแก่เวลา. เราจะมีใจคอปกติ
ไม่ ให้ ตัณหาคือความอยาก มาบีบคั้นใจเรา, แล้ วเวลาก็ทาอะไรเราไม่ ได้ . เราจะ
ไม่มีการกระหื ดกระหอบเกี่ยวกับเวลา.
เดี๋ยวนี้คนมันกระหืดกระหอบเกี่ยวกับเวลาอยูเ่ รื่ อยไป; มันรวยไม่ทนั ใจ,
มันสาเร็ จอะไรไม่ทนั ใจ เพราะว่าความโง่ของเขานัน่ เอง; ชีวิตนี้ก็ซูบซีดเศร้าหมอง
ไม่มีสุขภาพทางจิต ทางวิญญาณเสี ยเลย สาหรับคนที่ตอ้ งกระหื ดกระหอบเกี่ยวกับ
เวลาอยูเ่ ป็ นประจา.
ความมีสุขภาพอนามัยทางจิต ๒๐๓
ข้อต่อไป รู้ คิด รู้ พูด รู้ ทา โดยนึกถึงพระพุทธเจ้ าก่ อน แวบหนึ่ งก็
ยังดี; จะคิด จะพูด จะทาอะไรลงไป ให้มีขณะที่หยุดนึกถึงพระพุทธเจ้าก่อนเสมอ
แม้แต่แ วบหนึ่ งก็ยงั ดี. เราจะคิด ดี พูดดี ทาดี กว่าที่เราจะไม่นึกถึงพระพุทธเจ้า
ก่อน. โบราณเขาว่า “ทาอะไรตั้งนะโมก่ อน” นั้นน่ะ; เด็กสมัยนี้ ไม่รู้ความหมาย
ว่า ตั้งนะโมก่อนทาไม ? เด็กที่ประพฤติปฏิบตั ิตามขนบธรรมเนียมประเพณี จะ
๒๐๘ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
ข้อ ต่อ ไป เรามี พระพุ ทธที่ เก็ บไว้ ในหั วใจทุ กขณะจิ ต, เรามีพ ระ
พุท ธที่เราเก็บไว้ในหัวใจของเราทุกขณะจิต. เขาเอาพระพุทธไว้ที่วดั อย่างดีก็
แขวนไว้ที่คอ ยกแก้วเหล้าข้ามหัวอยูท่ ุกวันทุกเวลา มีพระพุทธแขวนอยูท่ ี่คอ. เรา
ไม่เอาอย่างนั้น พระพุทธของเราอยู่ในจิตของเรา เก็บไว้ ในตัวเอง. หมายความ
ว่า ทัว่ ตัวเรามีพระพุทธ ในเลือดในเนื้ อ ในชีวิต ในร่ างกาย ในวาจา ในใจของเรา
มีพระพุทธคุม้ ครองอยู่ เป็ นตัวเราเลย. เดี๋ยวนี้เรามีพระพุทธกันแต่ปาก ฝากคนอื่น
ไว้ก็มี เก็บ ไว้ที่ว ดั ก็มี; มัน ไม่เข้าไปในจิต ใจของเราได้แ ล้วมัน ไม่มีป ระโยชน์
หรอก.
พระพุทธคือปัญญาที่ร้ ู ว่า จะดับทุกข์ กันอย่ างไร ? มีความถูกต้องอยู่
เสมอ จนความทุกข์เกิดไม่ได้; นัน่ แหละคือพระพุทธ. ต้องมีอยูใ่ นตัว ในเนื้ อ
ในตัว ไม่อยูน่ อกตัว; มีพระพุทธที่เก็บไว้ในตัวเองทุกขณะจิต.
ข้อต่อไป มีชีวติ ชนิดที่ไม่ ต้องละอายแมวอีกต่ อไป. ข้อนี้สาคัญมาก
ใครมีชีวิตชนิดที่ไม่ตอ้ งละอายแมวอีกต่อไป คนนั้นมีสุขภาพอนามัยดีที่สุด. คน
นอนไม่หลับ คนปวดหัว คนเป็ นโรคประสาท คนเป็ นโรคจิต มีชีวิตที่น่าละอาย
แมว, แสดงว่ามันไม่มีสุขภาพอนามัยดีที่ตรงไหน.
นี้ เป็ น ตัว อย่างแต่ล ะอย่าง ๆ ยกมาให้ดู มัน จะมีกว่านี้ อีกมาก มัน ไม่
จาเป็ น เท่านี้ มนั ก็เกินพอแล้ว; ปั จจัยเหล่านี้ เป็ นปั จจัยแห่ งสุ ขภาพอนามัยทางจิต
อย่างสู งสุ ด. ผู้ใดมีปัจจัยสุ ขภาพอนามัยอย่ างนี้แล้ ว ก็ไม่ เป็ นโรคทางกาย ทางจิต
ทางวิญญาณ; เป็ นผูท้ ี่ไม่มีโรค เป็ นลาภอย่างยิ่ง : ไม่มีโรคทั้งสามประการนั้น.
ดูให้ดีจะเห็ นว่า เรารู ้จกั จัดรู ้จกั ทาให้ถูกต้องเกี่ ยวกับปั จจัยแห่ งมนุ ษย-
ภาพ คือความเป็ นมนุษย์ตอ้ งการเหตุปัจจัยอย่างไร เราทาได้ครบถ้วน, ความเป็ น
มนุษย์ของเราก็บริ สุทธิ์ ก็ถูกต้อง ก็ผ่องใส ก็ชุ่มชื่น ก็สงบเย็น; นี่เรี ยกว่า เป็ น
มนุ ษ ย์ กั น จริ ง ๆ ส าเร็ จได้ เพราะสั มมาทิ ฏ ฐิ . ธรรมะเรี ย กว่า สัม มาทิฏ ฐิ คือ
ความมีสุขภาพอนามัยทางจิต ๒๑๑
ความถูก ต้อ งทางปั ญ ญา, ท าให้เกิด ความถูก ต้อ งทางจิต , แล้ว ท าให้เกิด ความ
ถูกต้องทางกาย; ถูกต้องทั้งสามอย่างแล้ว มันก็ไม่เหลืออะไรไว้สาหรับให้ทาผิด.
และ ส่ วนจิต. ส่ วนร่ างกาย ก็ตอ้ งการปั จจัย ไปตามเรื่ องของร่ างกาย; ส่ วนจิต ก็
ต้องการปั จจัยไปตามเรื่ องของจิต. ถ้ าไม่ ได้ ปัจจัยอย่ างถูกต้ อง ครบถ้ วนทั้ง ๒
เรื่ อง, ความเป็ นมนุษย์ ก็ไม่ สมบูรณ์ จะมีสมรรถภาพน้อย, หรื อว่าจะไม่มีเลย,
หรื อจะประกอบอยูด่ ว้ ยความยากลาบากต่าง ๆ นานา; จึงต้องจัดให้ได้รับปั จจัย
เครื่ องบารุ งครบถ้วนถูกต้องทั้ง ๒ ฝ่ าย.
สาหรับฝ่ ายร่ างกายนั้น ต้องการปั จจัย ๔ คือ อาหาร เครื่ องนุ่งห่ ม ที่อยู่
อาศัยใช้สอย และเครื่ องบาบัดโรค เป็ น ๔ อย่าง; นี้ไม่ได้พูด เพราะเป็ นเรื่ อง
ทางร่ างกาย. แต่จะพูดเรื่ องทางฝ่ ายจิต ซึ่ งไม่ได้ตอ้ งการอาหารชนิดนั้น; มันเป็ น
ฝ่ ายจิต มันต้องการอาหารตามแบบของจิต, ต้องการปัจจัยอย่างอื่น, เราจึงบรรยาย
กันเฉพาะปัจจัยทางฝ่ ายจิต.
ปัจจัยที่ ๕ อย่ างที่ ๒ คือ ความแน่ ใ จในสิ่ ง ที่ ต นถื อเอาเป็ นที่ พึ่ง ,
ปัจจัยที่ ๕ อย่ างที่ ๓ ก็คือ ความรู้ สึ ก แห่ ง มิ ต รภาพที่ แ วดล้ อ มอยู่ ,
ปัจจัยที่ ๕ อย่ างที่ ๔ คือ ความเป็ นอยู่ อ ย่ า งถู ก ต้ อ งโดยไตรทวาร,
ปัจจัยที่ ๕ อย่ างที่ ๕ คือ ความรู้ ที่ เ พีย งพอเท่ า ที่ ค วรจะรู้ ,
ปัจจัยที่ ๕ อย่ างที่ ๖ นั้นคือ ความมีผู้ นาในทางวิ ญ ญาณ,
ปัจจัยที่ ๕ อย่างที่ ๗ นั้นก็คือ ความมีสุ ขภาพอนามัยทางจิต อย่ างเพียงพอ,
ส่ วน ปัจจัยที่ ๕ อย่ างที่ ๘ ในวันนี้ ก็คือ ความมี อ าหารใจหล่ อเลี้ ย ง
อย่ างเพีย งพอ.
นี่ฝ่ายจิตต้องการปัจจัยหล่อเลี้ยงอย่างนี้; ในวันนี้เราก็มาถึงปั จจัยที่ ๘
สาหรับหล่อเลี้ยงจิต มีหวั ข้อว่า ความมีอาหารใจหล่ อเลีย้ งอย่ างเพียงพอ.
เท่าไร, หรื ออย่างไร. ในวันนี้ ก็จะพูดถึงปั จจัยที่ ๘ ซึ่ งเป็ นปั จจัยสาหรับบารุ งใน
ฝ่ ายจิตใจ. ฝ่ ายจิตใจต้องการอาหาร – อาหารประเภทจิตใจ, ฝ่ ายร่ างกายก็ตอ้ งการ
อาหารฝ่ ายร่ างกาย ประเภทร่ างกาย. เมื่อได้ถูกต้องทั้ง ๒ ฝ่ าย จึงจะมีความเป็ น
มนุ ษย์ที่หมดปั ญหา; ตลอดเวลาที่ยงั ไม่ได้ครบถ้วน ก็เรี ยกว่ายังเป็ นปั ญหา คือ
ความเป็ นมนุษย์น้ นั ไม่สมบูรณ์ ไม่เป็ นที่น่าพอใจเลย.
ทบทวนที่ แ ล้ ว มานิ ด หน่ อ ยก็ว่ า ส่ ว นร่ างกายนั้น แตกต่ า งจากส่ ว นจิ ต ใจ.
ส่ ว นร่ างกาย มัน เป็ นโครงสร้ างภายนอก เป็ นที่ ตั้ง ที่ อ าศัย แห่ ง จิ ต ใจ คุ้ ม ครองให้ เ รื่ อ ง
ทางฝ่ ายจิ ต ใจได้ เ ป็ นไปโดยสะดวก หรื อ ปลอดภัย ; นี่ส่ ว นโครงสร้ างภายนอกเป็ น
อย่ างนี ;้ ตลอดถึ งเป็ นส่ วนที่ จะเคลื่ อนไหวในทางฝ่ ายร่ างกาย.
เรื่ องจิตกับเรื่ องวิญญาณ นี้ เอามาเรี ยกรวมกันเสี ยว่าเรื่ องฝ่ ายใจ; เราเลย
ได้เรื ่ อ ง ๒ เรื ่ อ ง คือ เรื ่ อ ง ฝ่ ายกาย และเรื ่ อ ง ฝ่ ายใจ, เรี ย กเป็ นบาลี หน่อ ยก็
ความมีอาหารหล่อเลี้ยงใจอย่างเพียงพอ ๒๑๗
เรี ยกว่า เรื่ อ งรู ป เรื่ อ งนาม. กายกับใจ หรื อ รู ป กับ นาม นี้ ต้ อ งไปด้ ว ยกัน ; พอ
แยกออกจากกัน ก็เป็ นอันว่าล้มเหลวหมด ไม่อาจจะตั้งอยูไ่ ด้, ไม่อาจจะเป็ นไปได้,
ไม่อาจจะทาหน้าที่ใด ๆ ได้.
จะพูดทางภาษาศาสนา เขาเรี ยกว่า เรื่ องเนื้ อหนัง, พูดตรงกว่ านั้น ก็เรี ยกว่า เรื่ อง
กามารมณ์ , พูดตรงกว่ านั้นอีก ก็เรี ยกว่า เรื่ องทางเพศ. เรื่ องทางเพศนี้ เป็ นเรื่ อ ง
ฝ่ ายเนื้อหนัง เป็ นเรื่ องฝ่ ายร่ างกาย มันขึ้นอยูก่ บั ร่ างกาย.
อยากจะแยกกัน ให้เป็ นที่เข้าใจสักหน่อยว่า ถ้าเรื่ องของ ความรั กโดย
บริ สุ ท ธิ์ เป็ นเรื่ อ งจิ ต ใจ; ถ้า เป็ น เรื่ อ งของกามารมณ์ นั้ น มัน เป็ นเรื่ อ งทาง
ร่ างกาย. ถ้าเป็ นเรื่ องของความรักบริ สุ ทธิ์ อยากจะรวมเป็ นอันเดียวกันโดยจิตใจ;
ร่ างกายไม่ตอ้ งแตะต้องกันเลยก็ได้ ถ้ามันเป็ นเรื่ องของความรักอันบริ สุทธิ์ . แต่ถา้
เป็ น เรื่ องของ กามารมณ์ แล้ว มัน เป็ นเรื่ องของร่ างกาย มัน ต้ องมีการแตะต้ อง
ทางร่ างกาย อย่างเป็ นบ้าเป็ นหลัง. เรามารู ้จกั แยก เรื่ องจิตกับเรื่ องกาย ออกจากกัน
ให้ไ ด้ว ่า เรื่ องเนื้ อหนั ง นั้ น มัน เป็ นข้า ศึก ของธรรมะ ของฝ่ ายความถูก ต้อ ง
เรี ยกว่าเป็ นพญามาร; แต่ถา้ เป็ น เรื่ องความรั กบริ สุทธิ์ ไม่เกี่ยวกับเรื่ องเนื้ อหนัง
ทางร่ างกาย นี้มนั ก็ไม่ใช่กิเลส, มันก็ไม่ใช่พญามาร.
อาหารของใจคือบุญ
การบาเพ็ญบุญอันถูกต้ อง นั้นคือชาระบาปได้
ทีน้ ีก็มาดูกนั ถึงเรื่ องการบาเพ็ญบุญ, คือบุญที่เป็ นเหตุน่ะ; บุญในฐานะ
ที ่เ ป็ น เหตุน ่ะ คือ การกระท าที ่เรี ย กกัน ว่า ท าบุญ . การบ าเพ็ ญ บุ ญ มี รู ป ร่ าง
เหมื อนกันก็ได้ : บุ ญที่เมาได้ กับบุ ญที่ ไม่ เมาน่ ะ มันมีรูปร่ างเหมื อนกันก็ได้ ;
แล้วมันก็ลาบากแก่คนที่ไม่มีความรู ้เพียงพอ. คือบุญเพื่อให้อิ่มใจเป็ นสุ ขใจ กับ
บุญที่ชาระบาป, นี่มนั มีรูปร่ างเหมือนกันได้. แล้วมันยังมีผลร่ วมกันก็ได้ : บุญ
อิ่มใจ มันก็อิ่มใจ; แม้บุญชาระบาปให้ใจสะอาด มันก็ยงั อิ่มใจได้เหมือนกัน. เอา
แต่ค วามอิ่ม ใจมาเป็ นหลักนี้ ก็ยงั ไม่แ น่น กั ; จะต้อ งดูที่ว่า มัน ล้างบาปหรื อ ไม่
เสมอไป.
จะพูด กัน ถึงข้อ ที่ว ่า มัน มีรู ป ร่ า งเหมือ นกัน แต่ มัน เป็ นคนละชนิด ก็ไ ด้ ;
เช่น การ ให้ ทาน การ รั กษาศี ล การ เจริ ญภาวนา; แต่ละอย่างเหล่านี้ เรี ยกว่า
ปุญญกิริยาวัตถุ คือ ที่ต้งั แห่ งการบาเพ็ญบุญ.
ทีน้ ี ดูให้ทานเป็ นเรื่ องแรกว่า ให้ ทานแล้ วก็อิ่มใจ พอใจ ยินดีแก่ตวั เอง
แล้วก็ไปสวรรค์, รู ้สึกว่าเหมือนกับได้ไปสวรรค์ หรื อเชื่อว่าได้ไปสวรรค์; อย่าง
นี้คือบุญที่ทาให้เกิดความอิ่มใจ มีความหมายไปในทางอิ่มใจ.
ที น้ ี เรา เจริ ญ ภาวนา เพื่ อ ท าจิ ต ให้ เป็ นสมาธิ ก็ ล้ า งนิ ว รณ์ ทั้ ง ๕
ออกไป; สิ่ งรบกวนจิตประจาวันคือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุก
กุจจะ วิจิกิจฉา ห้าอย่างนี้ เรี ยกว่านิวรณ์. ถ้าทาภาวนาประเภทสมถะ มันก็ลา้ ง
นิวรณ์ออกไป; จิตมันก็สะอาด. ทีน้ี ถา้ ทา เจริ ญภาวนา ในส่ วนวิปัสสนาหรื อ
ปั ญญา มันก็ กาจัดกิเลสออกไป กาจัดมูลเหตุของกิเลสออกไป กาจัดต้นตอของ
ก ิเ ล ส
ทั้งหมด คืออวิชชาออกไป; อย่างนี้ก็ ได้ สติปัญญา ล้างทิฏฐิ ให้ สะอาด.
อาหารของใจควรเป็ นบุญที่ชาระบาปได้
นี้ เรี ย กว่า บ าเพ็ ญบุ ญ ด้ วยทาน ก็ดี ด้ วยศี ล ก็ดี ด้ วยภาวนา ก็ดี ถ้า
เป็ นเพียงฉาบฉวย มันก็สบายใจเป็ นสุ ข ; เหมือนกับกินของเมาก็ได้. แต่ถา้ ทา
อย่ างถูกต้ องแล้ ว จะชาระให้ สะอาด : ชาระกายให้สะอาด, ชาระจิตให้สะอาด,
ชาระวิญญาณจิตใจให้สะอาด ให้สติปัญญาสะอาด, รวมทั้งทาให้ร่างกายนี้ก็สะอาด.
ถ้า เป็ นอยู่อ ย่างถู ก ต้อ งอย่างนี้ แล้ว แม้แ ต่ ร่างกายนี้ ก็ ส ะอาด, จิ ต ก็ ส ะอาด, แล้ว
วิญญาณ คือทิฏฐิ ความคิดความเห็นก็ถูกต้องและสะอาด.
ความสุ ขแท้ จริง ไม่ ต้องใช้ สตางค์ , ยิง่ แท้จริ งเท่าไรยิง่ ไม่ตอ้ งใช้สตางค์เท่านั้น;
เพราะว่าบุญนั้นมันช่วยทาให้สะอาด, มันมีความสุ ขที่สะอาด. ถ้าความสุ ขสกปรก
แล้วเป็ นบาปทั้งนั้น; ความสุ ขยิ่งสกปรกเท่าไร ยิ่งต้องใช้เงินมากเท่านั้น.
ความสุ ขที่สะอาดเท่าไร ยิ่งใช้เงินน้อยเท่านั้น หรื อถึงกับไม่ใช้เงินเลย.
ขอยุติการบรรยายนี ไ้ ว้ เพีย งเท่ านี ้ เปิ ดโอกาสให้ พระคุณเจ้ าทั้ งหลาย ได้
สวดบทพระธรรมเป็ นคณสาธยาย มีเนื ้อความส่ งเสริ มกาลังใจ ความเชื่ อ ความ
เลื่ อมใส ความกล้ าหาญ ในการปฏิ บัติธรรมะ ตามหน้ าที่ ของตน ๆ สื บต่ อ ไป.
ปัญหาแห่งมนุษยภาพ
–๙–
๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔
[ ปรารภและทบทวน ]
กัน เรี ยกว่า อุปนิสัย, คือ เคยชินที่เก็บไว้ เกี่ยวกับการทา การคิด การพูด การทา
หรื อเกี่ยวกับนิสัยนั้นเอง. อะไรทาอยูเ่ ป็ นนิสัย ก็เป็ นนิสัย; ความเคยชินที่จะเป็ น
อย่างนั้น มันก็เรี ยกว่าอุปนิสัย.
หรื อเรื่ องร้าย เรื่ องได้ เรื่ องเสี ย เรื่ องแพ้ เรื่ องชนะ. อย่าไปหลงใหลเรื่ องอย่างนั้น
หลงใหลแต่ในเรื่ องของความสงบ มันยังปลอดภัยกว่า.
สงบต้ องอยู่เหนือดีอีก
ได้แก่ อาหาร เครื่ องนุ่งห่ ม ที่อยูอ่ าศัย ใช้สอย และเครื่ องบาบัดโรค รวมเป็ น ๔
อย่างด้วยกัน นี้เป็ นปั จจัยในด้านร่ างกาย. เนื่องจากคนเราไม่ได้มีแต่ร่างกาย
เพราะว่ามี ส่ วนที่เป็ นจิตเป็ นวิญญาณ อีกส่ วนหนึ่ง ซึ่ งเรี ยกว่าส่ วนจิตใจ ซึ่ งเป็ น
ส่ วนสาคัญ; ส่ วนนี้ก็ไม่ได้ตอ้ งการปั จจัยอย่างเดียวกับร่ างกาย, ต้องการปั จจัย
เฉพาะของมันเองต่างหาก คือทางฝ่ ายจิตใจ.
สั ญชาตญาณแห่ งความกลัว
คู่กันมากับ สั ญชาตญาณแห่ งความมีตัวตน
ท่านทั้งหลายคงจะนึกล่วงหน้าได้บา้ งแล้วกระมังว่า อาตมาจะพูดเรื่ อง
อะไร. ถ้าเป็ นนักธรรมะกันสักหน่อย เมื่อพูดถึงความกลัว ก็จะต้องนึกได้ถึงหิ ริ
และโอตตัปปะ; แล้วก็จริ งอย่างนั้น คืออาตมาจะชี้ให้เห็น การมีหิริโอตตัปปะ
ในฐานะเป็ นปัจจัยฝ่ ายวิญญาณ. ผูศ้ ึกษาจะต้องฉลาดในเรื่ องของปั จจัย คือว่า
อะไรจะเป็ นปั จจัยได้ และเป็ นได้อย่างไร เท่าไร ที่ไหน เมื่อไรนี้ เขาจะต้องเป็ น
ผูฉ้ ลาด เป็ นผูร้ ู ้จกั กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ อันเกี่ยวกับเรื่ องนี้.
เดี๋ยวนี้ยกเอาเรื่ องของความกลัว มาเป็ นปั จจัยสาคัญ สาหรับความเป็ น
มนุษย์ที่สมบูรณ์ดา้ นจิต ด้านวิญญาณ. สิ่ งที่เรี ยกว่าความกลัวนั้น มันมีความหมาย
เป็ นกลาง ๆ อยู่ คือกลัวในทางที่เป็ นประโยชน์ก็มี, กลัวในทางที่ไม่เป็ นประโยชน์
ก็มี; แต่ ว่าความกลัวนี้เป็ นสั ญชาตญาณของสิ่ งที่มีชีวิต.
เรื่ องมีตัวเป็ นเรื่ องเบือ้ งต้ น, เรื่ องหมดตัวเป็ นเรื่ องเบื้องปลาย; หรื อ
จะพูดโดยคาพูดอย่างอื่นก็ว่า ท่านสอนให้ละชัว่ แล้วก็มาอยูท่ ี่ดี, ครั้นเบื่อดีจึงจะ
สอนเรื่ องเหนือดี คือหมดตัว ไม่ตอ้ งมีตวั คือเป็ นนิพพาน. สอนให้เว้นชัว่ ให้ละ
ชัว่ หมดก็กลายเป็ นดี; ถ้าซ้ าซากอยูแ่ ต่กบั ความดี มันก็มีความทุกข์อนั ละเอียดอ่อน
อีกแบบหนึ่ง เพราะความยึดถือ จึงเลิ กความยึดถือเสี ยไม่ตอ้ งมีดี ไม่ตอ้ งมีตวั ว่าง
ไปหมดไม่มีตวั ไม่มีดี ไม่มีชวั่ มันก็เป็ นเรื่ องของนิพพาน. นี่เรื่ องไม่มีตวั เหนือดี
เหนือชัว่ มันอยูอ่ ย่างนี้.
เมื่อยุวชนมีหิริโอตตัปปะ โลกจึงจะมีสันติภาพได้
การรูจ้ กั ใช้สญ
ั ชาตญาณแห่งความกลัว ๒๙๕
๓๐๓
๓๐๔ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
อบายที่มาในรู ปของสวรรค์
คนที่ยงั โง่เขลา ไม่สามารถจะรู ้จกั ว่า นี้ขา้ ศึก หรื อนี้เป็ นมิตร. คน
โดยมากเห็นพระธรรมว่าเป็ นข้ าศึก เพราะว่าทาให้ลาบากยุง่ ยาก จะต้องปฏิบตั ิอด
กลั้นอดทน. ได้สังเกตเห็นเณร พวกเณรหนุ่ม, พระน้อย เณรหนุ่มอะไรนี้ เขา
เห็นระเบียบวินยั ธรรมวินยั เป็ นของไม่สนุก ไม่น่าพอใจ เกลียดชังอึดอัดอยู่
ตลอดเวลา; เห็นพระธรรมเป็ นยักษ์ เป็ นมาร.
เหลือ มันก็ตอ้ งทาอย่างนั้น. ดูเรื่ องศัตรู ที่เป็ นภายนอก ที่เป็ นบุคคลเป็ นคน ๆ ที่
เขากระทาต่อกัน เขาก็ยงั ใช้วิธีการเหล่านี้ว่า บางทีก็ป้องกัน บางทีก็แก้ไข บางทีก็
ทาลายล้างกันเสี ยเลย. เมื่อนั้นเรี ยกว่าเป็ นการต่อสู ้ หรื อทาลายล้างข้าศึก.
เอร็ดอร่ อย จนเราไม่ คิดสู้ มันหรอก; เช่ นกามารมณ์ ท้งั หลาย มันมาในรู ปที่
สวยงาม เอร็ ดอร่ อย เราไม่คิดสู้ ไม่คิดต่อต้าน สมัครเลย ๆ; นัน่ มันมาอย่างนั้น.
ของอร่ อยซึ่งเป็ นเครื่ องมือของกิเลสนั้น มันมาในรู ปความสวยงาม
ยั่วยวน ผูท้ ี่พบเห็นเข้าก็สมัครเลย สมัครเป็ นบ่าวเป็ นทาสเป็ นบริ วารของพญามาร
ไปเลย นี้มนั ก็น่าเห็นใจ และมันก็เป็ นปัญหา. ทาให้คนยอมแพ้เสี ยตั้งแต่ตน้ ไม่ได้
คิดสู ้ ไม่ได้คิดต่อสู ้ เพราะความยัว่ ยวนสวยงาม; หรื อความเอร็ ดอร่ อยนัน่ แหละ
ในเหยื่อเหล่านั้น มันทาให้คนยอมแพ้ ไม่คิดต่อสู ้ ก็เป็ นบริ วารสมุนของพญามาร
กันหมด. โดยเฉพาะลูกหลานของเรา ซึ่ งเป็ นเด็กวัยรุ่ นเวลานี้ สมัยนี้ ช่วยไปดูให้
ดี ว่าเขาไม่ได้คิดต่อสู ้พญามารดอก. พอพญามารมาก็สมัครเป็ นลูกน้องพญามาร
ชวนกันไปหาความสนุกสนานเอร็ ดอร่ อยเพลิดเพลินทางเนื้อทางหนัง ทางอบายมุข
ทุก ๆ ชนิด. นี้คือปั ญหาที่ลูกหลานของเราที่เป็ นวัยรุ่ นนี้ ไม่มีทางที่จะต่อสู ้พญา
มาร สมัครเป็ นลูกน้อง เป็ นสมุนของพญามาร แล้วมาหลอกเอาเงินของพ่อแม่ไป
ถลุง ไปถลุงเพื่อประโยชน์แก่การเป็ นสมุน เป็ นลูกน้องของพญามาร; นี้เป็ นเรื่ อง
จริ ง ขอให้ดูเถอะว่ามันมีอยูท่ วั่ ไป.
ทั้งหมดนี้ เราเรี ยกว่าปัญหา ที่ทาให้เราเอาชนะไม่ได้; ถ้าเราไม่เอาชนะ
ปั ญหานี้ได้ เรื่ องก็เป็ นไปไม่ได้ มันก็แพ้กนั อยูต่ ลอดเวลา. ทีน้ ีเราจะทาอย่างไร
กันดี ? จะเอาความเข้มแข็งมาจากไหน ? ก็ขอให้พินิจพิจารณาดูเถิดว่า เราเป็ น
มนุษย์นะโว้ย; นี้ให้ทุกคนพยายามมองดูตนให้เห็นในขั้นต้นที่สุด ว่าเราเป็ น
มนุษย์นะโว้ย. ถ้าเราทาอะไรไม่ได้เสี ยเลยเราก็ไม่เป็ นมนุษย์; เพราะคาว่ามนุษย์น้ ี
ไม่ใช่คน คนอาจจะทาอะไรไม่ได้ แต่มนุษย์น้ ีควรจะทาอะไรได้ เพราะว่ ามนุษย์
มีจิตใจสู งคือมีปัญญานั่นเอง.
๓๒๘ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
การบาเพ็ญบารมีที่ถูกแนวทาง
๓๓๓
๓๓๔ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
การบาเพ็ญบารมี คืออะไร
วันนี้ระบุวา่ การบาเพ็ญบารมีที่ถูกแนวทาง, เป็ นปัจจัยที่ ๕ อันดับ
ที่ ๑๒. การบาเพ็ญบารมีที่ถูกแนวทาง ก็ตอ้ งถือว่า อาศัยอานาจสัญชาตญาณด้วย
เหมือนกัน – สัญชาตญาณแห่งการวิวฒั นาการ, คือมันต้องการจะดีกว่าเดิมอยู่
เรื่ อยไป จึงมีการดิ้นรนหรื อการเปลี่ยนแปลงให้ดีกว่าเดิม. เราจึงเอาสัญชาตญาณ
อันนี้มาเป็ นกาลัง อาศัยที่ต้งั ที่สัญชาตญาณอันนี้ คือความต้องการจะดีกว่าเดิมอยู่
เรื่ อยไป ซึ่ งได้ทาให้โลกนี้วิวฒั นาการในทางด้านจิตใจมาแล้วเป็ นอย่างยิ่ง.
สาหรับคาว่า บารมี คานี้แปลว่า การทาให้ เต็ม ให้ ถึงที่สุดที่มันควร
จะเต็ม. อาจจะมีผแู ้ ปลคาว่าบารมีเป็ นอย่างอื่นก็ได้; แต่สังเกตดูตวั หนังสื อแล้ว
ควรจะแปลว่าการทาให้เต็ม คือให้ถึงที่สุด ตามที่มนั ควรจะมี; มันเป็ นวิวฒั นาการ
ที่เรารู ้สึกได้.
การบาเพ็ญบารมีทถี ่ ูกแนวทาง ๓๓๕
เมื่อเขาเอาปัญญาตามแบบของพุทธบริษัทแล้ ว มันก็จะมุ่งไปยังที่ดับ
ทุกข์ ได้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้; ต้องดูที่ตวั ความทุกข์ เรี ยนที่ตวั ความทุกข์ เกิดมาจาก
อะไร ทาลายต้นเหตุอนั นั้นเสี ยให้ได้ ไม่ตอ้ งมีความทุกข์ที่นี่และเดี๋ยวนี้. นี่เรี ยกว่า
ความรู ้ที่ถูกต้อง และต้องมีให้เพียงพอ; ที่รู้เกิน จนเด็กเดี๋ยวนี้จะต้องหาบหนังสื อไป
โรงเรี ยนแล้วนะ เด็กเล็ก ๆ กระเป๋ าหนักอึ้งแทบจะเอาไม่ไหวแล้ว. มันเรี ยนหมด
นั้นมันก็ไม่ มีเรื่ องดับทุกข์ เลย; มันไม่มีเรื่ องให้รู้ว่า พ่อแม่น้ ีคืออะไรเลย, เด็ก ๆ
๓๕๒ ปั ญหาแห่งมนุษยภาพ
ทีน้ ี บารมีข้อที่ ๕ เรี ยกว่า สั จจะ. สัจจะแปลว่า จริง ว่า เที่ยง ว่า
ไม่ หลอก : มีความจริ งต่อความเป็ นมนุษย์ของตนเอง. ถ้าใครไม่เคยได้ยนิ อย่างนี้
ก็ช่วยได้ยินเดี๋ยวนี้เถอะว่า อาตมาบอกว่า สั จจะความจริงนั้น ให้ มันจริงต่ อความ
เป็ นมนุษย์ ของตัวเอง; จริ งอย่างอื่นไม่สาคัญเท่า แล้วจริ งอย่างอื่น มันก็มาขึ้น
รวมเป็ นบริ วารของจริ งนี้ท้งั นั้นแหละ : พูดจริ ง ทาจริ ง จริ งต่อเวลา จริ งต่อหน้าที่
การงาน จริ งต่อเพื่อนมนุษย์ จริ งต่ออะไรก็ตามใจ มันจะมารวมอยูท่ ี่จริ งต่อความ
เป็ นมนุษย์ของตัว. ถ้าตัวรู ้จกั ความเป็ นมนุษย์วา่ มีค่าสู งสุ ด จริ งต่อความเป็ นมนุษย์
แล้ว มันก็ตอ้ งทาให้ชีวิตของเขาเป็ นมนุษย์ที่ดีที่สุด ที่มีค่าที่สุด; ฉะนั้น เขาต้อง
จริ งอย่างยิง่ จริ งที่สุดกับความเป็ นมนุษย์ของเขา. เมื่อพระพุทธเจ้าท่านจะเป็ น
พระพุทธเจ้า ท่านก็จริ งต่อความเป็ นพระพุทธเจ้า หรื อจริ งต่อการที่จะเป็ น
พระพุทธเจ้า : ท่ านบาเพ็ญบารมี.
เครื่ องเอาเปรี ยบอีกฝ่ ายหนึ่ง; เป็ นเรื่ องยุง่ ไปหมด. เรื่ องทานาด้วยเครื่ องจักรนี้
เขาว่าดี; เดี๋ยวนี้ก็ชกั จะรู ้สึกแล้วว่าสู ้ทานาด้วยควายไม่ได้; บางทีทานาด้วยคน
อย่างสมัยดึกดาบรรพ์ยงั จะดีกว่าเสี ยอีก มันจะมีงานทาเต็มมือกันทุกคน มีกินมีใช้
สม่าเสมอไม่เหลื่อมล้ าต่าสู ง มันยังมีความดีอย่างนี้.
นั้นเสี ย. รู้จักเมตตา รู้ จักสอนให้ เมตตา รู้ จักทาไปด้ วยเมตตา ไม่ หวังอะไรที่จะ
ตอบแทนเป็ นวัตถุ มันเป็ นความรักโดยบริสุทธิ์ โดยธรรมะ.
เมตตาค านี้ แ หละที ่เป็ นต้น เหตุข องค าว่า พระศรี อ าริ ย เมตไตรย.
เมตไตรยน่ะคือมีเมตตา แปลว่าเป็ นรากฐานของเมตตา : ศาสนาพระเมตไตรย
นั้นเต็มไปด้ วยเมตตา; เลยไม่มีการเบียดเบียนไม่มีอะไรหมด มีแต่การช่วยเหลือ
มีแ ต่ค วามรัก อย่างมิตร, เป็ นโลกที่ผาสุ กอย่ างยิ่ง เป็ นศาสนาที่สูงสุ ดแหละ คื อ
สมบูรณ์ ท้ังทางวัตถุและจิตใจ ไม่ มีเรื่ องกิเลสเข้ ามาเกี่ยวข้ อง.
[ สรุ ป ]
ตั้งอยู่ ทุกข์ เท่ านั้ นดับไป, นอกจากทุกข์ แล้ วหามีอ ะไรเกิ ดขึ ้น ไม่ หามีอะไรตั้งอยู่ไม่
หามีอะไรดับไปไม่ ”. นี่ หมายความว่า อะไร ๆ ที่มนั เกิดขึ้นในโลก ในชีวิตของ
คนเรานั้น เป็ นตัวความทุกข์ เพราะมันเป็ นการปรุ งแต่งแห่ งสังขาร มันไม่เที่ยง,
เพราะมันไม่เที่ยง มันก็มีลกั ษณะแห่ งความทุกข์; หรื อการมีอยูด่ ว้ ยความยึดถือ
ชนิดนี้ เป็ นคนชนิดนี้ มันก็คือการทนทุกข์อยูน่ นั่ เอง. เมื่อเขาพิจารณาเห็นว่า
ชีวิตนี้มนั เป็ นกระแสแห่ งความทุกข์, ก็ตอ้ งการจะให้สิ้นสุ ดแห่ งความทุกข์. ตัว
ชีวิตนั้น มันประกอบอยูด่ ว้ ยความยึดมัน่ ถือมัน่ ว่าเป็ นตัวเรา ว่าเป็ นของเรา, นี้
เรี ยกว่าชีวิตธรรมดาของบุถุชน มันประกอบอยูด่ ว้ ยความยึดมัน่ ถือมัน่ ว่าเป็ นตัวเรา
ว่าเป็ นของเรา; ดังนั้น ชีวิตนั้นก็เป็ นของหนัก แก่จิตใจนั้น อยูต่ ลอดเวลา. นั่น
แหละคือความทุกข์ ที่มีอยู่ตลอดเวลา.
นั้น เป็ นของกู, อย่างนี้เป็ นต้น. นี้เรี ยกว่า มันเกิดแล้ ว เป็ นความทุกข์ . เพราะ
อุปาทาน ยึดมัน่ ในสิ่ งใดโดยความเป็ นตัวกู – ของกู ก็เกิดภพ เกิดชาติ เกิดชรา
มรณะ โสกะ เหล่านี้; หมายความว่า สิ่ งเหล่านี้ที่ไม่มีความหมายอะไรเลย มันเกิด
มีความหมายขึ้นมาเป็ นตัวทุกข์, ชาติ ชรา มรณะ เกิดมีความหมายเป็ นของกู เป็ น
ความทุกข์ข้ ึนมา; ก่อนนี้มนั ไม่ได้ถูกยึดถือว่าเป็ นตัวกู – ของกู เพราะมันไม่มีตวั
กู–ของกูเกิดขึ้นยึดถือ. พอมีตวั กู – ของกู เกิดขึ้นแล้ว มันก็ยึดถือสิ่ งเหล่านี้ โดย
ความเป็ นของกู, มันก็เป็ นทุกข์ : กระแสมันปรุ งแต่งไปสุ ดปลายแล้ว อย่างนี้แล้ว
ก็เป็ นความทุกข์. นี้เราไม่ ให้ มันเป็ นความทุกข์ อีกต่ อไป ก็ไม่ ให้ ปรุ งแต่ งอย่ างนี้.
จะหยุดมันเสี ยที่ตรงไหน ? ก็หยุดมันเสี ยตรงที่เวทนานั้นเอง.
[ สรุ ป ]
– มีสิ่งประเล้าประโลมใจที่ประกอบไปด้วยธรรมะ;
– เขาจะต้องมีความแน่ใจในสิ่ งที่ได้ยึดถือเอาเป็ นสรณะที่พ่ ึง;
– เขาต้องมีความรู ้สึกเป็ นมิตรภาพอยูร่ อบด้านรอบตัว;
– เขาจะต้องมีการประพฤติกระทาที่ถูกต้องโดยไตรทวาร ทางกาย วาจา จิต;
– เขาจะต้องมีความรู ้เพียงพอ ตามที่มนุษย์ที่สมบูรณ์ควรจะรู ้ ;
– เขาจะต้องมีผนู ้ าในทางวิญญาณที่ถูกต้องและครบถ้วน;
– เขาจะต้องมีสุขภาพอนามัยในทางจิต ;
– เขาจะต้องมีอาหารใจหล่อเลี้ยงอย่างเพียงพอ;
– เขาจะต้องมีนิสัยสร้างขึ้นมาน้อมเอียงไปสู่ ความสงบ, รักความสงบ;
– เขาจะต้อ งรู ้จ กั ใช้ส ัญ ชาตญาณแห่ ง ความกลัว ให้เป็ นความกลัว ที ่มี
ประโยชน์, คือกลัวต่อความทุกข์;
– เขาจะต้องมีวิญญาณแห่ งการต่อสู ้ อย่ายอมแพ้กบั มัน, เรื่ องความทุกข์น้ ี
มันต่อสู ้ได้;
– เขาจะต้องมีการบาเพ็ญ บารมี ที่ถูกแนวทาง อย่างที่ พระพุทธเจ้าเคยทรง
บาเพ็ญมาแล้ว , แม้เราจะปฏิ บัติได้ไม่เท่ าไม่ เที ยม เพราะไม่ จาเป็ น, เราก็ปฏิ บัติ
ตามที่สมควรแก่เรา ให้ถูกตามแนวทางของท่าน;
– และในที่สุด เราจะเป็ นผูม้ ีจิตมุ่งต่อที่สุดแห่ งความทุกข์ อยูต่ ลอดเวลาทุก
ลมหายใจเข้าออก; เหมือนชายหนุ่มหญิงสาวที่มีความรักต่อกัน เขามีความนึ กถึง
กันตลอดเวลา ทุกครั้งที่หายใจ, ฉันใดก็ฉันนั้น.