Professional Documents
Culture Documents
Final Report
Final Report
Final Report
รายงานฉบับสุ ดท้ าย
สารบัญ
หน้ า
สารบัญ (ต่ อ)
หน้ า
สารบัญ (ต่ อ)
หน้ า
บทที่ 11 การนาเสนอรูปแบบการบริหารจัดการในระดับชุมชน
11.1 การบริ หารจัดการในระดับชุมชน 11-1
11.2 วัตถุประสงค์ 11-1
11.3 แนวทางการดาเนินการมีส่วนร่ วมของชุมชน 11-1
11.4 ผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นกับชุมชน 11-6
11.5 ประโยชน์ที่จะได้รับจากการดาเนินงานของกลุ่มผูผ้ ลิตปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมี 11-6
จากฟาร์มสุกร
11.6 การนาเสนอแนวทางและจัดทากลยุทธ์เพื่อส่งเสริ มในการจาหน่าย 11-7
ผลิตภัณฑ์ที่ได้ในเชิงพาณิ ชย์
บทที่ 14 สรุปผลการสัมมนาแถลงผลการดาเนินงาน
14.1 การรับสมัครผูเ้ ข้าร่ วมสัมมนา 14-1
14.2 การจัดเตรี ยมเอกสารประกอบการสัมมนา 14-5
14.3 การดาเนินการจัดสัมมนา 14-5
14.4 รายชื่อผูเ้ ข้าร่ วมสัมมนา 14-6
14.5 สรุ ปผลการประเมินสัมมนา 14-11
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก.
ภาคผนวก ข.
ภาคผนวก ค.
ภาคผนวก ง.
เอกสารอ้างอิง
บทที่ 1
ความเข้ าใจโครงการ
บาบัดจากระบบผลิตก๊าซชีวภาพฟาร์มสุกรตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์อย่าง
ครบถ้วนและเพิม่ ความสามารถในการพึ่งตนเองต่อไป
1.1 วัตถุประสงค์โครงการ
(1) ศึกษาถึงแนวทางการนาน้ าที่ผา่ นการบาบัดจากระบบผลิตก๊าซชีวภาพฟาร์มสุกรมาเพิ่ม
มูลค่าให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
(2) เพื่อสร้างแรงจูงใจในการใช้ระบบผลิตก๊าซชีวภาพฟาร์มสุกร
1.2 ขอบเขตการดาเนินโครงการ
เพื่อให้การดาเนิ นงานโครงการบรรลุวตั ถุป ระสงค์ของโครงการฯ ที่ปรึ กษาจะดาเนิ นการดัง
ขอบเขตงานต่อไปนี้
1.2.1 การศึกษาแนวทางการเพิ่มมูลค่าน้ าฯ
1.2.2 การศึกษาความเหมาะสมทางด้านเทคนิคและวิธีการจัดการ
1) ที่ปรึ กษาจะทาการประเมินความเหมาะสมทางเทคนิ ค เศรษฐศาสตร์ สิ่ งแวดล้อม
โดยการเปรี ยบเทียบ กับการใช้ประโยชน์ ในรู ปแบบอื่นๆ โดยใช้เครื่ องมือทาง
เศรษฐศาสตร์และสิ่ งแวดล้อม ที่ปรึ กษาจะนาเสนอรู ปแบบการบริ หารจัดการใน
ระดับชุมชน เพื่อให้เกิดประโยชน์และการมีส่วนร่ วมของชุมชน
2) ที่ ป รึ กษาจะน าเสนอแนวทางและจัด ทากลยุท ธ์เ พื่ อ ส่ ง เสริ มในการจ าหน่ า ย
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการเพิ่มมูลค่าน้ าที่ผา่ นการบาบัดจากระบบผลิตก๊าซชีวภาพใน
เชิงพาณิ ชย์
1.2.3 การจัดสัมมนาและสื่อประชาสัมพันธ์
1.4 ระยะเวลาดาเนินงาน
12 เดือน หลังจากวันลงนามในสัญญา
บทที่ 3
การคัดเลือกฟาร์ มสุ กรเข้ าร่ วมโครงการ
คานา
กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุ รักษ์พลังงาน (พพ.) เพื่อพิจ ารณาคัด เลือกฟาร์ มสุ กรที่ มีค วาม
เหมาะสมเข้าร่ ว มโครงการฯ จ านวนไม่น้อยกว่า 3 แห่ ง และด าเนิ น การเก็บตัวอย่างน้ าจากฟาร์ ม ที่
เข้าร่ ว มโครงการฯ จากนั้น นาตัว อย่างน้ ามาวิเคราะห์คุ ณ ภาพของน้ าในห้องปฏิบัติก าร เพื่อศึก ษา
คุณภาพของน้ าที่ใช้ในกิจกรรมต่างๆ ของฟาร์มสุกรต่อไป
3.1 การคัดเลือกฟาร์ มสุ กร
1. ศรี กิจฟาร์ ม นาย ณรงค์ ศรี กจิ เกษมวัฒน์ 105 หมู่ 7 ตาบลบ่อพลับ 034-243311
อาเภอเมือง จังหวัด
นครปฐม
1. ข้ อมูลทั่วไป
ชื่อผูป้ ระกอบการ นาย ณรงค์ ศรี กิจเกษมวัฒน์
สถานที่ต้งั ของฟาร์ม 105 หมู่ 7 ตาบลบ่อพลับ อาเภอเมือง
จังหวัดนครปฐม
โทรศัพท์ 034-243311
โทรสาร -
2. ข้ อมูลการผลิต
ขนาดของฟาร์ มสุกร ฟาร์มขนาดกลาง
จานวนสุกรทั้งหมด (คิดเทียบสุกรขุน) 1,762 ตัว (ประมาณ)
-สุกรพ่อพันธุ์ 10 ตัว
-สุกรแม่พนั ธุ์ 240 ตัว
-สุกรขุน 800 ตัว
-ลูกสุกร 800 ตัว
3. ข้ อมูลการใช้ นา้
ประเภทของน้ าที่ใช้ในระบบฟาร์ม น้ าบาดาล
-ปริ มาณน้ าเสียที่เกิดขึ้น(คานวณ) 46.5 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
4. ข้ อมูลด้ านการผลิตก๊าซชีวภาพ
-ปริ มาณก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ (คานวณ) 169.1 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
5. ข้ อมูลด้ านระบบบาบัดนา้ เสีย สถานการณ์ การใช้ งานในปัจจุบันและของเสียอืน่ ๆ
รู ปแบบระบบผลิตก๊าซชีวภาพ แบบบ่อโดมคงที่ (Fixed dome)
ขนาดของระบบบาบัดน้ าเสีย 100 ลูกบาศก์เมตร
สถานการณ์ใช้งานปัจจุบนั ใช้งานได้ปกติ แต่ใช้งานไม่สม่าเสมอ
บริ ษทั ทีม เอ็นเนอร์ยี่ แมเนจเมนท์ จากัด 3-4
SPK/EGY/RT5205/10P1508/RT003
โครงการศึ กษาการเพิ่มมูลค่ านา้ ที่ ผ่านการบาบัดจากระบบผลิตก๊ าซชี วภาพฟาร์ มสุ กรตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
รายงานฉบับสุ ดท้ าย
ข้ อมูลของศรีกจิ ฟาร์ ม
ศรี กิจฟาร์ม เป็ นฟาร์มสุกรขนาดกลาง มีจานวนสุกร ประมาณ 1,762 ตัว (จากการคานวณเป็ น
ปริ มาณสุ กรขุน) ติด ตั้งระบบบาบัดน้ าเสี ยแบบบ่อโดมคงที่ (Fixed Dome) ติดตั้งมานานแล้วกว่า 5 ปี
(ระบบที่ฟาร์ มใช้เป็ นระบบบาบัดน้ าเสี ยจากฟาร์ มสุ กรแบบผลิตก๊าซชีวภาพที่ได้รับการสนับสนุ นมา
จากกรมส่งเสริ ม) น้ าที่ใช้ในกิจกรรมการเลี้ยงสุกร (น้ ากินและน้ าล้างคอก) มาจากน้ าบาดาล กิจกรรม
การใช้น้ าของฟาร์ มมีการล้างคอกวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ปริ มาณน้ าเสี ยจากการคานวณ 46.5 ลูกบาศก์
เมตรต่ อวัน ส่ ว นของระบบบาบัด น้ าเสี ย มีรางรวบรวมน้ าเสี ย และถังแยกตะกอนหนัก (มูลสุ ก ร)
ออกจากน้ าเสียก่อนจะเข้าระบบบาบัด และนามูลที่แยกจะนาไปตากไว้ยงั ลานตากตะกอนและส่ งขาย
น้ าเสี ยผ่านการแยกของแข็งจะส่ งเข้าระบบบาบัด ฯ ฝั งอยู่ใต้ดิ น (แผนผังระบบบาบัดน้ าเสี ยผลิตก๊าซ
ชีวภาพแบบบ่อโดมคงที่แสดงในรู ปที่ 1-1) มีการนาก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้นาไปใช้งาน ส่วนน้ าทิ้งที่ผา่ นการ
บาบัด แล้ว จะส่ งไปยังบ่ อพัก น้ า ที่ เป็ นบ่ อ ซี เมนต์และมีก ารเติ มอากาศ เพื่อลดปริ มาณสารอิน ทรี ย์
และกลิน่ หลังจากนั้นจะมีการสูบนาไปใช้ในการรดน้ าต้นไม้ภายในฟาร์ม
บ่อเติมมูลสุ กร
ท่อก๊าซ บ่อล้น
ไบโอก๊าซ
ตะกอนสลัดจ์
(ก)
(ข)
รูปที่ 3-5 บริ เวณระบบบาบัดน้ าเสียแบบ Fixed dome ของศรี กิจฟาร์ม
1. ข้ อมูลทั่วไป
ชื่อผูป้ ระกอบการ นายพนม จิตรใจเย็น
สถานที่ต้งั ของฟาร์ม 75/1 หมู่ 11 ตาบลหนองงูเหลือม อาเภอเมือง
จังหวัดนครปฐม
โทรศัพท์ 081-372-4468
โทรสาร -
2. ข้ อมูลการผลิต
ขนาดของฟาร์ มสุกร ฟาร์มขนาดเล็ก
จานวนสุกรทั้งหมด (คิดเทียบสุกรขุน) ประมาณ 274 ตัว
-สุกรพ่อพันธุ์ 1 ตัว
-สุกรแม่พนั ธุ์ 40 ตัว
-สุกรขุน 100 ตัว
-ลูกสุ กร 200 ตัว
3. ข้ อมูลการใช้ ทรัพยากร
ประเภทของน้ าที่ใช้ในระบบฟาร์ม น้ าบาดาล
-ปริ มาณน้ าเสียที่เกิดขึ้น (คานวณ) 7.2 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
4. ข้ อมูลด้ านการผลิตก๊าซชีวภาพ
-ปริ มาณก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ (คานวณ) 26.3 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
5. ข้ อมูลด้ านระบบบาบัดนา้ เสีย สถานการณ์ การใช้ งานในปัจจุบันและของเสียอืน่ ๆ
รู ปแบบระบบผลิตก๊าซชีวภาพ แบบ พพ. 1
ปริ มาณน้ าเสียที่รองรับ (ค่าออกแบบ) 10 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
1. ข้ อมูลทั่วไป
ชื่อผูป้ ระกอบการ นายชัยวัฒน์ ธีรานุวฒั น์
สถานที่ต้งั ของฟาร์ม 29/1 หมู่ 2 ตาบลบ้านใหม่ อาเภอสามพราน
จังหวัดนครปฐม
โทรศัพท์ 086-985-8788
โทรสาร
2. ข้ อมูลการผลิต
ขนาดของฟาร์ มสุกร ฟาร์มขนาดกลาง
จานวนสุกรทั้งหมด (คิดเทียบสุกรขุน) ประมาณ 3,817 ตัว
-สุกรพ่อพันธุ์ 28 ตัว
-สุกรแม่พนั ธุ์ 700 ตัว
-สุกรขุน 1,200 ตัว
-ลูกสุกร 1,600 ตัว
3. ข้ อมูลการใช้ ทรัพยากร
ประเภทของน้ าที่ใช้ในระบบฟาร์ม น้ าบาดาล
-ปริ มาณน้ าเสียที่เกิดขึ้น (คานวณ) 100.8 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
4. ข้ อมูลด้ านการผลิตก๊าซชีวภาพ
-ปริ มาณก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ (คานวณ) 366.4 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
5. ข้ อมูลด้ านระบบบาบัดนา้ เสีย สถานการณ์ การใช้ งานในปัจจุบันและของเสียอืน่ ๆ
รู ปแบบระบบผลิตก๊าซชีวภาพ แบบ CD+UASB
ปริ มาตรของระบบบาบัดน้ าเสีย 1,000 ลูกบาศก์เมตร
ข้ อมูลของประชาฟาร์ ม
ฟาร์มประชา เป็ นฟาร์มสุกรขนาดกลาง มีจานวนสุกร ประมาณ 3,817 ตัว (จากการคานวณเป็ น
ปริ มาณสุกรขุน) ติดตั้งระบบบาบัดน้ าเสี ยแบบ CD+UASB (Channel Digester and Up flow Anaerobic
Sludge Blanket) ติดตั้งมาประมาณ 3 ปี (ระบบที่ฟาร์มใช้เป็ นระบบบาบัดน้ าเสียจากฟาร์ มสุ กรแบบผลิต
ก๊าซชีว ภาพที่ ได้รับการออกแบบและพัฒนาจาก มหาวิทยาลัย เชี ยงใหม่ ) เป็ นระบบที่ รองรั บน้ าเสี ย
ประมาณ 1,000 ลูกบาศก์เมตร น้ าที่ใช้ในกิจกรรมการเลี้ยงสุ กร (น้ ากิ นและน้ าล้างคอก) มาจากน้ าบ่ อ
ภายในฟาร์ม กิจกรรมการใช้น้ าของฟาร์ มมีการล้างคอกวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ปริ มาณน้ าเสี ยจากการ
คานวณ 100.8 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ส่ ว นของระบบบาบัด น้ าเสี ย มีร างรวบรวมน้ าเสี ย และบ่อแยก
ตะกอนหนัก (มูลสุกร) ออกจากน้ าเสี ยก่อนจะเข้าระบบบาบัด และนามูลที่แยกจะนาไปตากไว้ยงั ลาน
ตากตะกอนและส่ งขาย น้ าเสี ย ผ่านการแยกของแข็งจะส่ งเข้าระบบบาบัด ฯบ่ อคอนกรี ตบนผิว ดิ น
ด้านบนคลุมด้วยพลาสติกพีวีซี (PVC) ภายในบ่อจะมีท้งั บ่อหมักช้าแบบราง (Channel Digester) และบ่อ
หมักเร็ ว UASB น้ าที่ผา่ นการบาบัดแล้ว ทางด้านบนของบ่อหมัก (แผนผังระบบบาบัดน้ าเสี ยผลิตก๊าซ
ทั้งนี้ คณะที่ ปรึ ก ษาฯ ได้ลงพื้น ที่ เพื่อสารวจข้อ มูลภาคสนาม ณ ประชาฟาร์ ม เมื่อวัน ที่ 27
มีนาคม พ.ศ. 2552 ดังแสดงในรู ปที่ 3-16 ถึง 3-21 ดังนี้
1. ข้ อมูลทั่วไป
ชื่อผูป้ ระกอบการ นายเอื้ยง ห้วยหงษ์ทอง
สถานที่ต้งั ของฟาร์ม 73 หมู่ 7 ตาบลห้วยขวาง อาเภอกาแพงแสน
จังหวัดนครปฐม
โทรศัพท์ 089-915-3743
โทรสาร
2. ข้ อมูลการผลิต
ขนาดของฟาร์ มสุกร ฟาร์มขนาดเล็ก
จานวนสุกรทั้งหมด ประมาณ 17 ตัว
-สุกรพ่อพันธุ์ - ตัว
-สุกรแม่พนั ธุ์ 1 ตัว
-สุกรขุน 13 ตัว
-ลูกสุกร 5 ตัว
3. ข้ อมูลการใช้ ทรัพยากร
ประเภทของน้ าที่ใช้ในระบบฟาร์ม น้ าบ่อและน้ าบาดาล
-ปริ มาณน้ าเสียที่เกิดขึ้น (คานวณ) 0.5 ลูกบาศก์เมตร/วัน
4. ข้ อมูลด้ านการผลิตก๊าซชีวภาพ
-ปริ มาณก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้ (คานวณ) 1.7 ลูกบาศก์เมตร/วัน
5. ข้ อมูลด้ านระบบบาบัดนา้ เสีย สถานการณ์ การใช้ งานในปัจจุบันและของเสียอืน่ ๆ
รู ปแบบระบบผลิตก๊าซชีวภาพ แบบไฟเบอร์กลาส
ปริ มาณน้ าเสียที่รองรับ (ค่าออกแบบ) 5 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน
สถานการณ์ใช้งานปัจจุบนั ใช้งานได้ปกติ
ข้ อมูลเบือ้ งต้นของภาวนาฟาร์ ม
ภาวนาฟาร์ ม เป็ นฟาร์ มสุ กรขนาดเล็ก มีจ านวนสุ ก รประมาณ 17 ตัว (จากการค านวณเป็ น
ปริ มาณสุกรขุน) ติดตั้งระบบบาบัดน้ าเสียแบบไฟเบอร์ กลาส (ระบบที่ฟาร์ มใช้เป็ นระบบบาบัดน้ าเสี ย
จากฟาร์มสุกรแบบผลิตก๊าซชีวภาพที่ได้รับการสนับสนุนจาก พพ.) ซึ่งเป็ นระบบบาบัดน้ าเสียแบบผลิต
ก๊าซชีวภาพสาหรับฟาร์มสุ กรขนาดเล็ก รองรับปริ มาณน้ าเสียไม่เกิน 5 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน น้ าที่ใช้ใน
กิจกรรมการเลี้ยงสุกร (น้ ากินและน้ าล้างคอก) มาจากน้ าบาดาล กิจกรรมการใช้น้ าของฟาร์ มมีการล้าง
คอกวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ปริ มาณน้ าเสียจากการคานวณประมาณ 0.5 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ส่ วนของระบบ
บาบัดน้ าเสีย มีรางรวบรวมน้ าเสีย และถังแยกตะกอนหนัก (มูลสุ กร) ออกจากน้ าเสี ยก่อนจะเข้าระบบ
บาบัดฯ และนามูลสุกรที่แยกจะนาไปตากไว้ยงั ลานตากตะกอนและส่งขาย น้ าเสียผ่านการแยกของแข็ง
จะส่งเข้าระบบบาบัดฯ ซึ่งเป็ นบ่อหมักแบบถังกรองไร้อากาศ (Anaerobic filter tank) ซึ่งเป็ นถังวงขอบ
ซีเมนต์ทรงกลม มีการนาก๊าซชีวภาพที่ผลิตได้นาไปใช้งาน ส่วนน้ าทิ้งที่ผ่านการบาบัดแล้ว จะส่ งไปยัง
บ่อน้ าธรรมชาติในพื้นที่ของฟาร์ ม ซึ่งมีจานวน 1 บ่อ หลังจากนั้นจะน้ าในบ่อพักน้ าไปใช้ รดพืชไร่ และ
นาข้าว
การน าน้ าทิ้ งไปใช้ประโยชน์ เนื่ อ งจากฟาร์ มมี พ้ืน ที่ ทางการเกษตร น้ าทิ้ ง ในบ่ อพัก น้ าจึ ง
นาไปใช้ในการรดน้ าพืชไร่ และนาข้าวในบริ เวณพื้นที่ฟาร์ม ทางฟาร์ มมีการสูบตะกอนอย่างสม่าเสมอ
ตะกอนสลัด จ์ที่ ได้ จะน าไปตากไว้ยงั บ่ อ ตากตะกอนเพื่อ น าตะกอนแห้งที่ ได้ไ ปขายเป็ นปุ๋ ยทาง
การเกษตรและใช้สาหรับการปลูกข้าว
การนาก๊าซชีวภาพไปใช้ประโยชน์ เนื่องจากเป็ นฟาร์มขนาดเล็ก การนาก๊าซธรรมชาติที่ผลิตได้
จากระบบบาบัดน้ าเสียไปใช้งานจึงใช้เพียงแต่การหุ งต้มภายในครัวเรื อนเท่ านั้น โดยปล่อยก๊าซที่เหลือ
ทิ้งสู่บรรยากาศ
ทั้งนี้ คณะที่ ป รึ ก ษาฯ ได้ลงพื้น ที่ เพื่ อสารวจข้อ มูลภาคสนาม ณ ภาวนาฟาร์ ม เมื่อวัน ที่ 24
มีนาคม พ.ศ. 2552 ดังแสดงในรู ปที่ 3-22 ถึง 3-28 ดังนี้
1. ข้ อมูลทั่วไป
ชื่อผู้ประกอบการ นายณรงค์ ศรี กจิ เกษมวัฒน์ นายพนม จิตรใจเย็น นายชัยวัฒน์ ธี รานุวฒั น์ นายเอื้ยง ห้วยหงษ์ทอง
สถานทีต่ ้ังของฟาร์ ม 105 หมู่ 7 ตาบลบ่อพลับ 75/1 หมู่ 11 ตาบลหนองงู 29/1 หมู่ 2 ตาบลบ้านใหม่ 73 หมู่ 7 ตาบลห้วยขวาง
อาเภอเมือง เหลือม อาเภอเมือง จังหวัด อาเภอสามพราน อาเภอกาแพงแสน จังหวัด
จังหวัดนครปฐม นครปฐม จังหวัดนครปฐม นครปฐม
โทรศัพท์ 034-243311 081-372-4468 086-985-8788 089-915-3743
2. ข้ อมูลการผลิต
ขนาดของฟาร์ มสุ กร ฟาร์มขนาดกลาง ฟาร์มขนาดเล็ก ฟาร์มขนาดกลาง ฟาร์มขนาดเล็ก
จานวนสุ กรทั้งหมด ประมาณ 1,762 ตัว ประมาณ 274 ตัว ประมาณ 3,817 ตัว ประมาณ 17 ตัว
(เทียบสุ กรขุน)*
-สุ กรพ่ อพันธุ์ 10 ตัว 1 ตัว 28 ตัว - ตัว
3. ข้ อมูลการใช้ ทรัพยากร
ประเภทของนา้ ทีใ่ ช้ ใน น้ าบาดาล น้ าบาดาล น้ าบาดาล น้ าบ่อและน้ าบาดาล
ระบบฟาร์ ม
ปริมาณนา้ เสี ยทีเ่ กิดขึน้ 46.5 7.2 100.8 0.5
(ลบ.ม./วัน)**
4. ข้ อมูลด้ านการผลิตก๊ าซชีวภาพ
ปริมาณก๊าซชีวภาพที่ 169.1 26.3 366.4 1.7
ผลิตได้ (ลบ.ม./วัน)
5. ข้ อมูลด้ านระบบบาบัดน้าเสี ย สถานการณ์ การใช้ งานในปัจจุบันและของเสี ยอื่นๆ
รู ปแบบระบบผลิตก๊าซ แบบบ่อโดมคงที่ แบบ พพ. 1 แบบ CD+UASB แบบไฟเบอร์กลาส
ชีวภาพ (Fixed dome) UASB
ปริมาตรนา้ เสี ยทีร่ องรับ / 100 ลบ.ม. 10 ลบ.ม./วัน 1,000 ลบ.ม. 5 ลบ.ม./วัน
ขนาดรองรับนา้ เสี ย
(ค่าออกแบบ)
สถานการณ์ ใช้ งาน ใช้งานได้ปกติ แต่ใช้งานไม่ ใช้งานได้ปกติ วันที่ไป ใช้งานได้ปกติ มีการดูแล ใช้งานได้ปกติ มีการ
ปัจจุบัน สม่าเสมอ ขาดการชักตะกอน สารวจภาคสนาม ณ พื้นที่ สม่าเสมอ มีการชักตะกอน ชักตะกอนทุกวัน
ฟาร์ม พบว่ามีรอยรั่วของ ทุกวัน
ระบบผลิตก๊าซชีวภาพที่บาง
จุด รอการซ่ อมแซม
ปริมาณของเสี ยประเภท มูลสัตว์ มูลสัตว์, ตะกอนสลัดจ์ มูลสัตว์, ตะกอนสลัดจ์ มูลสัตว์, ตะกอน
อืน่ ๆ สลัดจ์
6. การนาไปใช้ ประโยชน์
การนาก๊าซชีวภาพไปใช้ จ่ายเครื่ องยนต์เพื่อขับเครื่ อง ใช้เป็ นก๊าซหุงต้ม และมีกา๊ ซ นาไปใช้ปั่นไฟฟ้ าสาหรับ ใช้เป็ นก๊าซหุงต้ม ละ
กาเนิดไฟฟ้ า และเครื่ องผสม ชีวภาพเหลือ ซึ่ ง กิจกรรมในฟาร์ม มีกา๊ ซชีวภาพเหลือ
อาหารสัตว์ ผูป้ ระกอบการปล่อยก๊าซ ซึ่ งผูป้ ระกอบการ
ส่ วนเกินทิ้งสู่บรรยากาศ ปล่อยก๊าซส่ วนเกินทิ้ง
สู่บรรยากาศ
การนานา้ หลังผ่ านการ นาไปรถน้ าต้นไม้ในฟาร์ม นาไปรดพืชไร่ ภายในฟาร์ม ปล่อยทิ้ง และนาไปรดต้น กักเก็บในบ่อน้ าฟาร์ม
บาบัดไปใช้ และพรมบนหลังคาโรงเลี้ยง เช่น รดต้นข้าวโพด รด ข้าวโพด และ ใช้รดน้ านาข้าว
สุ กรเพื่อระบายความร้อน แปลงผักสวนครัว
หมายเหตุ :
การคิดเทียบเป็ นจานวนสุกรขุน โดย สุกรพ่อพันธุ์ สุกรแม่พนั ธุ์ และลูกสุกร ตามตาราง 3-3
โดยมีเกณฑ์การคานวณดังนี้
จานวนสุกร 1 หน่วยปศุสตั ว์ (นปส.) หรื อเทียบเท่ าน้ าหนักสุ กรขุน (60 กิโลกรัม) = 8.3 ตัว มี
อัตราการเกิดน้ าเสียและก๊าซชีวภาพ ดังนี้
ปริ มาณน้ าเสียที่เกิดขึ้น เท่ากับ 0.22 ลบ.ม./วัน หรื อ 220 ลิตร/วัน
ปริ มาณก๊าซที่เกิดขึ้น เท่ากับ 0.8 ลบ.ม./วัน หรื อ 800 ลิตร/วัน
บทที่ 5
ผลการวิเคราะห์ คุณภาพน้า
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า ใส ไม่มีสี -
2 ความเป็ นกรดและด่าง (pH) 7.47 -
3 บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand , BOD) 0.2 มิลลิกรัมต่อลิตร
4 ซี โอดี (Chemical Oxygen Demand , COD) 5.5 มิลลิกรัมต่อลิตร
5 ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN) 2.5 มิลลิกรัมต่อลิตร
6 ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS) 4 มิลลิกรัมต่อลิตร
7 ค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) 255 มิลลิกรัมต่อลิตร
8 ปริ มาณโลหะ (Metals)
แคลเซี ยม (Ca) 197.513 มิลลิกรัมต่อลิตร
แคดเมียม (Cd) - มิลลิกรัมต่อลิตร
โครเมียม (Cr) 0.777 มิลลิกรัมต่อลิตร
ทองแดง (Cu) 0.294 มิลลิกรัมต่อลิตร
เหล็ก (Fe) 5.213 มิลลิกรัมต่อลิตร
โพแทสเซี ยม (K) 57.828 มิลลิกรัมต่อลิตร
ฟอสฟอรัส (P) - มิลลิกรัมต่อลิตร
แมกนีเซี ยม (Mg) 152.538 มิลลิกรัมต่อลิตร
ตะกัว่ (Pb) - มิลลิกรัมต่อลิตร
สังกะสี (Zn) 8.546 มิลลิกรัมต่อลิตร
9 การปนเปื้ อนของเชื้อแบคทีเรี ย ชนิด E. Coli ไม่พบ MPN/100 มิลลิลิตร
(2) น้ าเสียก่อนการบาบัด
ผลการวิเคราะห์น้ าเสี ย ก่ อนการบาบัด พบว่า น้ าเสี ย ก่อนการบาบัด มีสีน้ าตาลเข้ม
ลักษณะข้น เนื่องจากมีปริ มาณแข็งกึ่งเหลวอยูม่ าก ซึ่งเกิดจากการมีมูลสุ กรปนอยู่ในน้ าเสี ยเป็ นจานวน
มาก มีค่า pH 7.00 ซึ่งถือว่าน้ ามีค่า pH เป็ นกลาง มีค่า BOD เท่ากับ 1,695 มิลลิกรัมต่อลิตร มีค่า COD
เท่ากับ 3,330 มิลลิกรัมต่อลิตร ค่าไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า เท่ากับ 295 มิลลิกรัมต่อลิตร มีปริ มาณสาร
แขวนลอย เท่ ากับ 1,093 มิลลิกรั มต่อลิต ร และค่าความเป็ นด่ าง 900 มิลลิกรัมต่อลิตรของแคลเซียม
คาร์บอเนต ซึ่งถือว่าน้ าเสียก่อนการบาบัด มีปริ มาณอินทรี ยส์ ารอยูเ่ ป็ นจานวนมาก และมีความสกปรกสูง
ส่ วนปริ มาณโลหะที่พบในน้ าเสี ย ก่อนการบาบัด พบว่า มีแคลเซี ยม ทองแดง เหล็ก
โพแทสเซี ยม ฟอสฟอรัส แมกนี เซีย มและสังกะสี ปนอยู่ในน้ าในปริ มาณมาก ซึ่ งปริ มาณโลหะที่พบ
เหล่านี้ ส่ว นใหญ่ มาจากอาหารที่ให้สุก รกิ น และยาปฏิชีวนะที่ ใช้ในการป้ องกัน โรคให้แก่ สุกร เช่ น
วัตถุดิบที่ใช้ผสมในการทาอาหารสัตว์มีส่วนประกอบของเปลือกหอยป่ น กระดูกป่ น และแร่ ธาตุ ดังนั้น
ในการวิเคราะห์คุณภาพน้ าจึงมีโลหะพวกแคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ปนอยู่ในน้ าในปริ มาณมาก
นอกจากนี้ยงั มีการใช้สารเคมีบางชนิ ด เช่น สารประกอบออกไซด์ของ Zinc oxide (ZnO) และ Copper
sulfate (CuSO4) ผสมในอาหารสุกร เพื่อช่วยกระตุน้ การเจริ ญเติ บโตของสุ กร และเพิ่มระดับภูมิคุม้ กัน
ต่อเชื้อแบคทีเรี ย ชนิ ด E. coli ในลูกสุ กร ดังนั้นด้วยเหตุผลต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาทาให้สามารถตรวจ
วิเคราะห์พบปริ มาณโลหะต่างๆ ในน้ าเสีย เนื่องจากโลหะเหล่านี้ จะถูกขับออกมาทางเป็ นน้ าเสี ยและมูล
ของสุกร ซึ่งรายละเอียดของผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ าเสียก่อนการบาบัด แสดงในตารางที่ 5-2
(3) น้ าหลังผ่านการบาบัด
ผลการวิเคราะห์ คุณ ภาพน้ าหลังผ่านการบาบัด พบว่า น้ าหลัง ผ่านการบาบัดมีสี ด า
มีตะกอนปนอยูค่ ่อนข้างมาก มีค่า pH 7.01 ซึ่งถือว่าน้ ามีค่า pH เป็ นกลาง มีค่า BOD ลดลง เท่ากับ 795
มิลลิกรัมต่อลิตร มีค่า COD ลดลง เท่ากับ 2,255 มิลลิกรัมต่อลิตร มีค่าไนโตรเจนทั้งหมดในน้ าลดลง
เท่ากับ 435 มิลลิกรัมต่อลิตร และมีปริ มาณสารแขวนลอย ลดลงเท่ากับ 835 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่มีค่า
ความเป็ นด่างเพิ่มขึ้น ในส่วนของปริ มาณโลหะ พบว่า โลหะบางชนิด อาทิ แคลเซียม เหล็ก ฟอสฟอรัส
แมกนีเซียมและสังกะสีมีปริ มาณลดลง นอกจากนี้ยงั พบว่าปริ มาณการปนเปื้ อนของเชื้อแบคทีเรี ย ชนิ ด
E. Coli ก็ลดลง เนื่ องจากภายในของระบบบาบัดน้ าเสี ย มีความร้อนเกิดขึ้นทาให้เชื้อแบคทีเรี ยตายลง
บางส่วน ดังแสดงผลคุณภาพน้ าหลังผ่านการบาบัดในตารางที่ 5-3
ตารางที่ 5-3 ผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ าหลังผ่านการบาบัดของศรี กิจฟาร์ม
ผลการวิเคราะห์
ลาดับ พารามิเตอร์ ที่วิเคราะห์ คุณภาพน้าหลังผ่ าน หน่ วย
การบาบัด
เมื่อพิจารณาถึงประสิทธิภาพของระบบบาบัดน้ าเสียชนิดผลิตก๊าซชีวภาพแบบบ่อโดม
คงที่ (Fixed Dome) ของศรี กิจฟาร์ม พบว่า มีอายุการใช้งานมานาน 5 ปี แล้ว เป็ นระบบใช้งานได้ดี แต่ใช้งาน
ไม่สม่าเสมอ ดังนั้นในช่วงเวลาที่ทาการเก็บตัวอย่างมาวิเคราะห์ผลในห้องปฏิบตั ิการจึงพบว่า ระบบ
บาบัดน้ าเสียของศรี กิจฟาร์ม สามารถลดปริ มาณสารอินทรี ยท์ ี่มีอยู่ในน้ าเสี ยได้ในระดับปานกลาง โดย
ผลของการคานวณเพื่อเปรี ยบเทียบการเปลี่ยนแปลงของค่ าพารามิเตอร์ ต่างๆ ระหว่างน้ าเสี ยก่อนการ
บาบัด และน้ าหลังผ่านการบาบัด ดังสมการ
ประเภทของนา้
น้ าสี น้ าตาล
เข้ม มี
ลักษณะข้น น้ าสี ดา น้ าสี เหลือง
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า ใส ไม่มีสี ไม่ระบุค่า -
เนื่องจากมูล มีตะกอน ขุ่นเล็กน้อย
สัตว์ปนอยู่
มาก
- น้ าทิ้งฯ มีค่าความ
เป็ นกรดและด่าง (pH)
2 ความเป็ นกรดและด่าง (pH) 7.47 7.00 7.01 8.05 5.5-9* ไม่เกินเกณฑ์
มาตรฐานน้ าทิ้งจาก
ฟาร์ มสุ กร
ประเภทของนา้
- น้ าทิ้งฯ ไม่พบ
แคดเมียม (Cd) - - 0.008 - มิลลิกรัมต่อลิตร 0.03**
แคดเมียม
- น้ าทิ้งฯ ไม่พบ
โครเมียม (Cr) 0.777 0.391 - - มิลลิกรัมต่อลิตร 0.3*
โครเมียม
- น้ าทิ้งฯ มีค่า
ทองแดง (Cu) 0.294 13.269 19.468 0.947 มิลลิกรัมต่อลิตร 1.0** ทองแดง ไม่เกิน
เกณฑ์มาตรฐาน
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า ใส ไม่มีสี -
2 ความเป็ นกรดและด่าง (pH) 7.31 -
3 บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand , BOD) 0.35 มิลลิกรัมต่อลิตร
4 ซี โอดี (Chemical Oxygen Demand , COD) 5.5 มิลลิกรัมต่อลิตร
5 ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN) 1 มิลลิกรัมต่อลิตร
6 ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS) 1 มิลลิกรัมต่อลิตร
7 ค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) 175 มิลลิกรัมต่อลิตร
8 ปริ มาณโลหะ (Metals)
แคลเซี ยม (Ca) 163.715 มิลลิกรัมต่อลิตร
แคดเมียม (Cd) - มิลลิกรัมต่อลิตร
โครเมียม (Cr) - มิลลิกรัมต่อลิตร
ทองแดง (Cu) 0.379 มิลลิกรัมต่อลิตร
เหล็ก (Fe) 0.605 มิลลิกรัมต่อลิตร
โพแทสเซี ยม (K) 39.238 มิลลิกรัมต่อลิตร
ฟอสฟอรัส (P) - มิลลิกรัมต่อลิตร
แมกนีเซี ยม (Mg) 133.021 มิลลิกรัมต่อลิตร
ตะกัว่ (Pb) - มิลลิกรัมต่อลิตร
สังกะสี (Zn) 1.515 มิลลิกรัมต่อลิตร
9 การปนเปื้ อนของเชื้อแบคทีเรี ย ชนิด E. Coli ไม่พบ MPN/100 มิลลิลิตร
(2) น้ าเสียก่อนการบาบัด
ผลการวิเคราะห์น้ าเสียก่อนการบาบัด พบว่า น้ าเสี ยก่อนการบาบัดมีลกั ษณะเป็ นน้ าสี
น้ าตาลเทา ลักษณะข้นไปด้วยของแข็งกึ่งเหลว ซึ่งเกิดจากมีมลู สุกรปนอยูใ่ นน้ าเสียเป็ นจานวนมาก มีค่า
pH 8.15 ซึ่งถือว่าน้ ามีค่า pH ค่อนข้างเป็ นด่าง มีค่า BOD เท่ากับ 200 มิลลิกรัมต่อลิตร มีค่า COD เท่ากับ
1,680 มิลลิ ก รั ม ต่ อลิ ต ร ค่ าไนโตรเจนทั้ง หมดในน้ า เท่ า กับ 505 มิล ลิก รั มต่ อ ลิต ร มีป ริ มาณสาร
แขวนลอย เท่ ากับ 335 มิลลิกรั มต่ อลิต ร และค่าความเป็ นด่ าง 2,695 มิลลิกรัมต่อลิตรของแคลเซียม
คาร์บอเนต ซึ่งถือว่าน้ าเสียก่อนการบาบัด มีอินทรี ยส์ ารอยูเ่ ป็ นจานวนมาก และมีความสกปรกสูง
ส่ วนปริ มาณโลหะที่พบในน้ าเสี ยก่ อนการบาบัด พบว่า มีโ ลหะแคลเซียม โครเมียม
ทองแดง เหล็ก โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและสังกะสี ปนอยู่ในน้ าในปริ มาณมาก แต่ ไม่พบ
โลหะแคดเมียมและตะกัว่ ซึ่งปริ มาณโลหะที่พบเหล่านี้ ส่วนใหญ่เกิดขึ้นเนื่ องจากอาหารที่ให้สุกรกิน
และยาปฏิชีวนะที่ ใช้ในการป้ องกัน โรคให้แก่ สุก ร เช่น วัตถุดิ บที่ ใช้ผสมในการทาอาหารสัต ว์ ซึ่งมี
ส่วนประกอบของเปลือกหอยป่ น กระดูกป่ น และแร่ ธาตุ ดังนั้นในการวิเคราะห์คุณภาพน้ าจึงมีโลหะ
พวก แคลเซียม แมกนี เซียม ปนอยู่ในน้ าในปริ มาณมาก นอกจากนี้ ย งั มีก ารใช้สารเคมีบางชนิ ด เช่ น
สารประกอบออกไซด์ของ Zinc oxide (ZnO) และ Copper sulfate (CuSO4) ผสมในอาหารสุกร เพื่อช่วย
กระตุ ้นการเจริ ญเติ บโตของสุ กร และเพิ่มระดับภูมิคุม้ กันต่ อเชื้อแบคทีเรี ย ชนิ ด E. coli ในลูกสุ ก ร
ดังนั้นด้วยเหตุผลต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาทาให้สามารถตรวจวิเคราะห์พบปริ มาณโลหะต่างๆ ในน้ าเสี ย
เนื่ องจากโลหะเหล่ านี้ จะถูก ขับออกมาทางเป็ นน้ าเสี ย และมูลของสุ ก ร ซึ่ งรายละเอีย ดของผลการ
วิเคราะห์คุณภาพน้ าเสียก่อนการบาบัดแสดงดังตารางที่ 5-9
น้ าสี น้ าตาลเทา มี
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า -
ลักษณะข้น
2 ความเป็ นกรดและด่าง (pH) 8.15 -
3 บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand , BOD) 200 มิลลิกรัมต่อลิตร
4 ซี โอดี (Chemical Oxygen Demand , COD) 1680 มิลลิกรัมต่อลิตร
5 ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN) 505 มิลลิกรัมต่อลิตร
6 ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS) 335 มิลลิกรัมต่อลิตร
7 ค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) 2695 มิลลิกรัมต่อลิตร
8 ปริ มาณโลหะ (Metals)
แคลเซี ยม (Ca) 108.983 มิลลิกรัมต่อลิตร
แคดเมียม (Cd) - มิลลิกรัมต่อลิตร
โครเมียม (Cr) 1.029 มิลลิกรัมต่อลิตร
ทองแดง (Cu) 7.972 มิลลิกรัมต่อลิตร
เหล็ก (Fe) 49.033 มิลลิกรัมต่อลิตร
โพแทสเซี ยม (K) 497.761 มิลลิกรัมต่อลิตร
ฟอสฟอรัส (P) 24.000 มิลลิกรัมต่อลิตร
แมกนีเซี ยม (Mg) 295.814 มิลลิกรัมต่อลิตร
ตะกัว่ (Pb) - มิลลิกรัมต่อลิตร
สังกะสี (Zn) 65.508 มิลลิกรัมต่อลิตร
9 การปนเปื้ อนของเชื้อแบคทีเรี ย ชนิด E. Coli 1.5 x 107 MPN/100 มิลลิลิตร
(3) น้ าหลังผ่านการบาบัด
ผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ าหลังผ่านการบาบัด พบว่า น้ าหลังผ่านการบาบัดมีลกั ษณะ
เป็ นน้ าสี น้ าตาลเข้ม มีตะกอนปนอยู่ค่อนข้างมาก มีค่า pH 8.07 ซึ่งถือว่าน้ ามีค่า pH ค่อนข้างเป็ นด่าง
มีค่า BOD เท่ากับ 235 มิลลิกรัมต่อลิตร มีค่า COD ลดลง เท่ากับ 1,445 มิลลิกรัมต่อลิตร มีค่าไนโตรเจน
ทั้งหมดในน้ าลดลง เท่ า กับ 405 มิล ลิก รั ม ต่ อลิ ต ร และมีปริ ม าณสารแขวนลอยลดลง เท่ ากับ 168
มิลลิกรัมต่อลิตร แต่มีค่าความเป็ นด่างเพิ่มขึ้น ในส่ วนของปริ มาณโลหะ พบว่า โลหะบางชนิ ด อาทิ
แคลเซียม ทองแดง เหล็ก ฟอสฟอรัส แมกนี เซียมและสังกะสี มีปริ มาณลดลง ดังแสดงผลคุณภาพน้ า
หลังผ่านการบาบัดในตารางที่ 5-10
น้ าสี น้ าตาลเข้ม มี
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า -
ตะกอน
2 ความเป็ นกรดและด่าง (pH) 8.07 -
3 บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand , BOD) 235 มิลลิกรัมต่อลิตร
4 ซี โอดี (Chemical Oxygen Demand , COD) 1445 มิลลิกรัมต่อลิตร
5 ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN) 405 มิลลิกรัมต่อลิตร
6 ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS) 168 มิลลิกรัมต่อลิตร
7 ค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) 2,270 มิลลิกรัมต่อลิตร
8 ปริ มาณโลหะ (Metals)
แคลเซี ยม (Ca) 90.550 มิลลิกรัมต่อลิตร
แคดเมียม (Cd) - มิลลิกรัมต่อลิตร
โครเมียม (Cr) - มิลลิกรัมต่อลิตร
ทองแดง (Cu) 2.510 มิลลิกรัมต่อลิตร
เหล็ก (Fe) 13.359 มิลลิกรัมต่อลิตร
โพแทสเซี ยม (K) 483.410 มิลลิกรัมต่อลิตร
น้ าสี น้ าตาลเหลือง
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า -
ขุ่นเล็กน้อย
2 ความเป็ นกรดและด่าง (pH) 8.53 -
3 บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand , BOD) 215 มิลลิกรัมต่อลิตร
4 ซี โอดี (Chemical Oxygen Demand , COD) 1395 มิลลิกรัมต่อลิตร
5 ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN) 395 มิลลิกรัมต่อลิตร
6 ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS) 75 มิลลิกรัมต่อลิตร
7 ค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) 1785 มิลลิกรัมต่อลิตร
8 ปริ มาณโลหะ (Metals)
แคลเซี ยม (Ca) 112.685 มิลลิกรัมต่อลิตร
แคดเมียม (Cd) - มิลลิกรัมต่อลิตร
ประเภทของนา้
น้ าสี น้ าตาล
น้ าสี น้ าตาล น้ าสี น้ าตาล
เทา มี
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า ใส ไม่มีสี เข้ม เหลือง ไม่ระบุค่า -
ลักษณะข้น
มีตะกอน ขุ่นเล็กน้อย
จากมูลสัตว์
ประเภทของนา้
4. น้าทิ้งในบ่ อพักน้าสุ ดท้ าย - ผลการวิเคราะห์ พบว่า มีค่า BOD COD - ไม่ สามารถปล่ อยทิ้งลงสู่ แหล่ งน้า
และ TKN มากกว่ า เกณฑ์มาตรฐาน สาธารณะได้
คุณภาพน้ าทิ้งจากฟาร์ มสุ กร 2.15 3.48 - มีปริ มาณ ทองแดง และ สังกะสี
และ 1.97 เท่า ตามลาดับ มากกว่ า เกณฑ์มาตรฐานน้ าทิ้งลง
- มีธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อพืช คือ มีค่า ทางชลประทาน 2.00 และ 2.18 เท่า
ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซี ยม ตามลาดับ
เป็ นสัดส่ วน
N:P:K = 30:1:26
- มีปริ มาณ ทองแดง และสังกะสี มากกว่ าค่า
มาตรฐานน้ าทิง้ ลงทางชลประทาน
น้ าใส
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า -
มีตะกอน
2 ความเป็ นกรดและด่าง (pH) 7.24 -
3 บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand , BOD) 6 มิลลิกรัมต่อลิตร
4 ซี โอดี (Chemical Oxygen Demand , COD) 19 มิลลิกรัมต่อลิตร
5 ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN) 2.5 มิลลิกรัมต่อลิตร
6 ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS) 7 มิลลิกรัมต่อลิตร
7 ค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) 102 มิลลิกรัมต่อลิตร
8 ปริ มาณโลหะ (Metals)
แคลเซี ยม (Ca) 105.858 มิลลิกรัมต่อลิตร
แคดเมียม (Cd) - มิลลิกรัมต่อลิตร
โครเมียม (Cr) - มิลลิกรัมต่อลิตร
ทองแดง (Cu) 0.215 มิลลิกรัมต่อลิตร
เหล็ก (Fe) 3.575 มิลลิกรัมต่อลิตร
โพแทสเซี ยม (K) 61.943 มิลลิกรัมต่อลิตร
ฟอสฟอรัส (P) - มิลลิกรัมต่อลิตร
แมกนีเซี ยม (Mg) 130.708 มิลลิกรัมต่อลิตร
ตะกัว่ (Pb) - มิลลิกรัมต่อลิตร
สังกะสี (Zn) 6.057 มิลลิกรัมต่อลิตร
9 การปนเปื้ อนของเชื้อแบคทีเรี ย ชนิด E. Coli 4.3 x 102 MPN/100 มิลลิลิตร
(2) น้ าเสียก่อนการบาบัด
ผลการวิเคราะห์น้ าเสียก่อนการบาบัด พบว่า น้ าเสียก่อนการบาบัดมีสีดา มีลกั ษณะข้น
เนื่องจากมีปริ มาณแข็งกึ่งเหลวอยูม่ าก ซึ่งเกิดจากการมีมลู สุกรปนอยูใ่ นน้ าเสี ยเป็ นจานวนมาก มีค่า pH
7.10 ซึ่งถือว่าน้ ามีค่า pH เป็ นกลาง มีค่า BOD เท่ากับ 715 มิลลิกรัมต่อลิตร มีค่า COD เท่ากับ 1,630
มิลลิกรั มต่ อลิตร ค่าไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า เท่ ากับ 155 มิลลิกรั มต่ อลิต ร มีปริ มาณสารแขวนลอย
เท่ากับ 500 มิลลิกรัมต่อลิตร และค่าความเป็ นด่าง 710 มิลลิกรัมต่อลิตรของแคลเซียมคาร์ บอเนต ซึ่งถือว่า
น้ าเสียก่อนการบาบัด มีปริ มาณอินทรี ยส์ ารอยูเ่ ป็ นจานวนมาก และมีความสกปรกสูง
ส่ วนปริ มาณโลหะที่พบในน้ าเสี ย ก่อนการบาบัด พบว่า มีแคลเซี ยม ทองแดง เหล็ก
โพแทสเซี ย ม แมกนี เซี ย มและสังกะสี ปนอยู่ใ นน้ าในปริ มาณมาก ซึ่ ง ปริ ม าณโลหะที่ พ บเหล่ า นี้
ส่วนใหญ่มาจากอาหารที่ให้สุกรกิน และยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการป้ องกันโรคให้แก่สุกร เช่น วัตถุดิบที่ใช้ผสม
ในการทาอาหารสัตว์มีส่วนประกอบของเปลือกหอยป่ น กระดูกป่ น และแร่ ธาตุ ดังนั้นในการวิเคราะห์
คุณภาพน้ าจึงมีโลหะพวกแคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ปนอยูใ่ นน้ าในปริ มาณมาก นอกจากนี้ ยงั
มีก ารใช้สารเคมีบางชนิ ด เช่น สารประกอบออกไซด์ข อง Zinc oxide (ZnO) และ Copper sulfate
(CuSO4) ผสมในอาหารสุกร เพื่อช่วยกระตุน้ การเจริ ญเติบโตของสุ กร และเพิ่มระดับภูมิคุม้ กันต่อเชื้อ
แบคทีเรี ย ชนิด E. coli ในลูกสุกร ดังนั้นด้วยเหตุผลต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาทาให้สามารถตรวจวิเคราะห์
พบปริ มาณโลหะต่างๆ ในน้ าเสีย เนื่องจากโลหะเหล่านี้ จะถูกขับออกมาทางเป็ นน้ าเสี ยและมูลของสุ กร
ซึ่งรายละเอียดของผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ าเสียก่อนการบาบัด แสดงในตารางที่ 5-16
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า สี ดา ลักษณะข้น -
2 ความเป็ นกรดและด่าง (pH) 7.10 -
3 บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand , BOD) 715 มิลลิกรัมต่อลิตร
4 ซี โอดี (Chemical Oxygen Demand , COD) 1630 มิลลิกรัมต่อลิตร
5 ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN) 155 มิลลิกรัมต่อลิตร
6 ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS) 500 มิลลิกรัมต่อลิตร
7 ค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) 710 มิลลิกรัมต่อลิตร
8 ปริ มาณโลหะ (Metals)
แคลเซี ยม (Ca) 175.440 มิลลิกรัมต่อลิตร
แคดเมียม (Cd) - มิลลิกรัมต่อลิตร
โครเมียม (Cr) - มิลลิกรัมต่อลิตร
ทองแดง (Cu) 18.681 มิลลิกรัมต่อลิตร
เหล็ก (Fe) 50.350 มิลลิกรัมต่อลิตร
โพแทสเซี ยม (K) 483.777 มิลลิกรัมต่อลิตร
ฟอสฟอรัส (P) 54.500 มิลลิกรัมต่อลิตร
แมกนีเซี ยม (Mg) 294.495 มิลลิกรัมต่อลิตร
ตะกัว่ (Pb) - มิลลิกรัมต่อลิตร
สังกะสี (Zn) 71.221 มิลลิกรัมต่อลิตร
9 การปนเปื้ อนของเชื้อแบคทีเรี ย ชนิด E. Coli 9.3 x 106 MPN/100 มิลลิลิตร
(3) น้ าหลังผ่านการบาบัด
ผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ าหลังผ่านการบาบัด พบว่า น้ าหลังผ่านการบาบัดมีสีน้ าตาลเหลือง
มีตะกอนปนอยู่ค่อนข้างมาก มีค่า pH 7.35 ซึ่งถือว่าน้ ามีค่า pH เป็ นกลาง มีค่า BOD ลดลง เท่ากับ 46
มิลลิก รัมต่ อลิตร มีค่ า COD ลดลง เท่ ากับ 240 มิลลิกรั มต่อลิตร มีค่าไนโตรเจนทั้งหมดในน้ าลดลง
เท่ากับ 195 มิลลิกรัมต่อลิตร และมีปริ มาณสารแขวนลอย ลดลง เท่ากับ 76 มิลลิกรัมต่อลิตร แต่มีค่า
ความเป็ นด่างเพิ่มขึ้น ในส่วนของปริ มาณโลหะ พบว่า ไม่มีโลหะชนิ ด แคดเมียม โครเมียม และตะกัว่
ปนเปื้ อนอยู่ในน้ าหลังผ่านการบาบัด ส่ ว นโลหะบางชนิ ด อาทิ แคลเซียม ทองแดง เหล็ก ฟอสฟอรั ส
และสังกะสีมีปริ มาณลดลง ดังแสดงผลวิเคราะห์คุณภาพน้ าหลังผ่านการบาบัดในตารางที่ 5-17
ตารางที่ 5-17 ผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ าหลังผ่านการบาบัดของประชาฟาร์ม
ผลการวิเคราะห์
ลาดับ พารามิเตอร์ ที่วิเคราะห์ คุณภาพน้าหลังผ่ าน หน่ วย
การบาบัด
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า สี น้ าตาลเหลือง -
2 ความเป็ นกรดและด่าง (pH) 7.35 -
3 บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand , BOD) 46 มิลลิกรัมต่อลิตร
4 ซี โอดี (Chemical Oxygen Demand , COD) 240 มิลลิกรัมต่อลิตร
5 ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN) 195 มิลลิกรัมต่อลิตร
6 ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS) 76 มิลลิกรัมต่อลิตร
7 ค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) 1100 มิลลิกรัมต่อลิตร
8 ปริ มาณโลหะ (Metals)
แคลเซี ยม (Ca) 194.913 มิลลิกรัมต่อลิตร
แคดเมียม (Cd) - มิลลิกรัมต่อลิตร
โครเมียม (Cr) - มิลลิกรัมต่อลิตร
ทองแดง (Cu) 5.102 มิลลิกรัมต่อลิตร
เหล็ก (Fe) 17.766 มิลลิกรัมต่อลิตร
โพแทสเซี ยม (K) 253.981 มิลลิกรัมต่อลิตร
ฟอสฟอรัส (P) 31.000 มิลลิกรัมต่อลิตร
น้ าใส สี เหลือง มี
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า -
ตะกอน
2 ความเป็ นกรดและด่าง (pH) 7.47 -
3 บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand , BOD) 36.5 มิลลิกรัมต่อลิตร
4 ซี โอดี (Chemical Oxygen Demand , COD) 320 มิลลิกรัมต่อลิตร
5 ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN) 225 มิลลิกรัมต่อลิตร
6 ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS) 295 มิลลิกรัมต่อลิตร
7 ค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) 1115 มิลลิกรัมต่อลิตร
8 ปริ มาณโลหะ (Metals) 163.216
ซึ่ งเมื่อน าผลวิเคราะห์คุ ณ ภาพน้ าทิ้ ง ในบ่ อพัก น้ าสุ ด ท้า ย มาพิจ ารณาเปรี ย บเที ย บระหว่า ง
“มาตรฐานน้ าทิ้งจากฟาร์มสุกร สาหรับฟาร์มประเภท ข และ ค” (รายละเอียดแสดงในภาคผนวก ง) ซึ่ง
พิจารณาพารามิเตอร์ 5 ชนิด คือ (1) ค่าความเป็ นกรดและด่าง (pH) (2) ค่าบีโอดี (Biochemical Oxygen
Demand, BOD) (3) ซีโอดี (Chemical Oxygen Demand, COD) (4) ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า
(Total Kjeldahl Nitrogen, TKN) และ (5) ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS)
พบว่า น้ าทิ้งในบ่ อพักน้ าสุ ด ท้ายของประชาฟาร์ ม พบว่า มีค่ า pH BOD และCOD ไม่เกิ นเกณฑ์ค่ า
มาตรฐานน้ าทิ้งจากฟาร์มสุกร ที่กรมควบคุมมลพิษกาหนด แต่มีปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ าและ
ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด เกินเกณฑ์ค่ามาตรฐานน้ าทิ้งจากฟาร์มสุกร ที่กรมควบคุมมลพิษกาหนด
และเมื่อพิจารณาถึงผลวิเคราะห์ ปริ มาณโลหะในน้ าทิ้งในบ่อพักน้ าสุ ดท้าย พบว่า มีปริ มาณ
โลหะที่ปนเปื้ อนอยูใ่ นน้ าทิ้งดังกล่าว ซึ่ง “มาตรฐานน้ าทิ้งจากฟาร์ มสุ กร สาหรับฟาร์ มประเภท ข และ ค”
ไม่ได้กาหนดหรื อควบคุมพารามิเตอร์ดงั กล่าว แต่ในด้านของการนาน้ าทิ้งในบ่อพักน้ าสุ ดท้ายไปใช้ใน
กิจการอื่นๆ อาจต้องคานึงถึงความเหมาะสม ซึ่งในการนี้ที่ปรึ กษาได้นา “มาตรฐานการระบายน้ าลงทาง
น้ า ชลประทาน และทางน้ า ที่ ต่ อเชื่ อ มกับ ทางน้ าชลประทานในเขตพื้น ที่ โ ครงการชลประทาน”
(รายละเอียดแสดงในภาคผนวก ง) มาพิจารณาเปรี ย บเทียบกับผลวิเคราะห์คุณภาพน้ าทิ้งในบ่ อพัก
น้ าสุดท้าย พบว่า น้ าทิ้งในบ่อพักน้ าสุดท้ายของประชาฟาร์ม ไม่พบโลหะที่เป็ นอันตรายต่อสิ่ งแวดล้อม
กล่าวคือ ไม่พบปริ มาณโลหะโครเมียม แคดเมียม และตะกัว่ ในน้ าทิ้งฯ แต่พบปริ มาณทองแดง จานวน
14.35 มิลลิกรัมต่อลิตร และพบปริ มาณ สังกะสี จานวน 34.99 มิลลิกรัมต่อลิตร ซึ่งถือว่ามีค่าเกินกว่า
ค่าที่มาตรฐานฯ กาหนด 14 และ 7 เท่า ตามลาดับ (ค่ามาตรฐานควบคุมปริ มาณทองแดง ต้องไม่เกิน 1.0
มิลลิกรัมต่อลิตร และปริ มาณสังกะสี ต้องไม่เกิน 5.0 มิลลิกรัมต่อลิตร)
ทั้ง นี้ สามารถสรุ ปผลวิ เ คราะห์คุ ณ ภาพน้ า ทั้ง 4 ประเภท คื อ ผลวิ เคราะห์ คุ ณ ภาพน้ าดิ บ
น้ าเสียก่อนการบาบัด น้ าหลังผ่านการบาบัด และน้ าทิ้งในบ่อพักน้ าสุ ดท้าย ของประชาฟาร์ ม ดังแสดง
ในตารางที่ 5-20 และรู ปที่ 5-5
ตารางที่ 5-20 สรุ ปผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ าตามค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ของประชาฟาร์ม
*มาตรฐานน้าทิ้ง
จากฟาร์ มสุกร
สาหรับฟาร์ม เปรียบเทียบผลการ
ประเภท ข และ ค วิเคราะห์ คุณภาพนา้ กับค่ า
ลาดับ พารามิเตอร์ ทวี่ ิเคราะห์ ผลการวิเคราะห์ คุณภาพนา้ หน่ วย / มาตรฐานนา้ ทิง้ จากฟาร์ ม
** มาตรฐานการ สุ กร
ระบายน้าลงทาง
ชลประทาน
ประเภทของนา้
น้ าใส น้ าใส สี
สี ดา สี น้ าตาล
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า เหลือง มี ไม่ระบุค่า -
มีตะกอน ลักษณะข้น เหลือง
ตะกอน
- น้ าทิ้งฯ มีค่าความเป็ น
2 ความเป็ นกรดและด่าง (pH) 7.24 7.10 7.35 7.47 5.5-9* กรดและด่าง (pH) อยู่
ในเกณฑ์มาตรฐาน
ประเภทของนา้
- น้ าทิ้งฯ ไม่พบ
แคดเมียม (Cd) - - - - มิลลิกรัมต่อลิตร 0.03**
แคดเมียม
- น้ าทิ้งฯ ไม่พบ
โครเมียม (Cr) - - - - มิลลิกรัมต่อลิตร 0.3*
โครเมียม
- น้ าทิ้งฯ มีค่า ทองแดง
ทองแดง (Cu) 0.215 18.681 5.102 14.350 มิลลิกรัมต่อลิตร 1.0** เกินเกณฑ์มาตรฐาน
14.35 เท่า
เหล็ก (Fe) 3.575 50.350 17.766 60.146 มิลลิกรัมต่อลิตร ไม่ระบุค่า
โพแทสเซียม (K) 61.943 483.777 253.981 490.769 มิลลิกรัมต่อลิตร ไม่ระบุค่า
ฟอสฟอรัส (P) - 54.500 31.000 29.000 มิลลิกรัมต่อลิตร ไม่ระบุค่า
แมกนีเซียม (Mg) 130.708 294.495 320.746 311.218 มิลลิกรัมต่อลิตร ไม่ระบุค่า
ตะกวั่ (Pb) - - - - มิลลิกรัมต่อลิตร 0.1** - น้ าทิ้งฯ ไม่พบ ตะกวั่
- น้ าทิ้งฯ มีค่า สังกะสี
สังกะสี (Zn) 6.057 71.221 18.656 34.997 มิลลิกรัมต่อลิตร 5.0** เกินเกณฑ์มาตรฐาน
6.99 เท่า
การปนเปื้ อนของเชื้อ MPN/100
9 4.3 x 102 9.3 x 106 9.3 x 105 1.5 x 106 ไม่ระบุค่า
แบคทีเรี ย มิลลิลิตร
ตารางที่ 5-21 ผลการเปลี่ยนแปลงของน้ าหลังผ่านการบาบัด และน้ าทิ้งในบ่ อพักน้ าสุ ดท้าย เฉพาะ
พารามิเตอร์ BOD COD ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (N) ฟอสฟอรัส (P) และ
โพแทสเซียม (K) ของ “ประชาฟาร์ม”
ผลการวิเคราะห์ คุณภาพน้า ร้ อยละของการ
“ประชาฟาร์ ม” เปลี่ยนแปลง
ลาดับ พารามิเตอร์ ที่วิเคราะห์
น้าหลังผ่ านการ น้าทิ้งในบ่ อพัก
บาบัด น้าสุ ดท้ าย
4 น้าทิ้งในบ่ อพักน้าสุ ดท้ าย - มีค่า pH BOD และ COD อยูใ่ นเกณฑ์ - ไม่ สามารถปล่ อยทิ้งลงสู่ แหล่ งน้า
มาตรฐานคุณภาพน้ าทิ้งจากฟาร์ มสุ กร สาธารณะได้
ระบบบาบัดน้ าเสี ย - มีปริ มาณ ทองแดง และ สังกะสี
- TKN และ TSS มีค่า มากกว่ า เกณฑ์ มากกว่ า เกณฑ์มาตรฐานน้ าทิ้งลง
มาตรฐานคุณภาพน้ าทิ้งจากฟาร์ มสุ กร ทางชลประทาน 14.35 และ 6.99
(มากกว่าร้อยละ 1.12 และ 1.47 เท่า เท่า ตามลาดับ
ตามลาดับ)
- มีธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อพืช คือ มีค่า
ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซี ยม
เป็ นสัดส่ วน
N:P:K = 7:1:16
- มีปริ มาณ ทองแดง และสังกะสี เกินค่า
มาตรฐานน้ าทิ้งลงทางชลประทาน
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า ใส ไม่มีสี -
2 ความเป็ นกรดและด่าง (pH) 7.73 -
3 บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand , BOD) 1 มิลลิกรัมต่อลิตร
4 ซี โอดี (Chemical Oxygen Demand , COD) 20 มิลลิกรัมต่อลิตร
5 ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN) 3.5 มิลลิกรัมต่อลิตร
6 ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS) - มิลลิกรัมต่อลิตร
7 ค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) 200 มิลลิกรัมต่อลิตร
8 ปริ มาณโลหะ (Metals)
แคลเซี ยม (Ca) 132.838 มิลลิกรัมต่อลิตร
แคดเมียม (Cd) - มิลลิกรัมต่อลิตร
โครเมียม (Cr) - มิลลิกรัมต่อลิตร
ทองแดง (Cu) 0.279 มิลลิกรัมต่อลิตร
เหล็ก (Fe) 2.206 มิลลิกรัมต่อลิตร
โพแทสเซี ยม (K) 113.071 มิลลิกรัมต่อลิตร
ฟอสฟอรัส (P) - มิลลิกรัมต่อลิตร
แมกนีเซี ยม (Mg) 150.548 มิลลิกรัมต่อลิตร
ตะกัว่ (Pb) - มิลลิกรัมต่อลิตร
สังกะสี (Zn) 1.208 มิลลิกรัมต่อลิตร
9 การปนเปื้ อนของเชื้อแบคทีเรี ย ชนิด E. Coli 43 MPN/100 มิลลิลิตร
(2) น้ าเสียก่อนการบาบัด
ผลการวิเคราะห์น้ าเสียก่อนการบาบัด พบว่า น้ าเสียก่อนการบาบัดมีสีเทาดา ลักษณะข้น
มีตะกอนมาก เนื่องจากมีปริ มาณแข็งกึ่งเหลวอยูม่ าก ซึ่งเกิดจากการมีมลู สุกรปนอยูใ่ นน้ าเสียเป็ นจานวนมาก
มีค่า pH 6.29 ซึ่งถือว่าน้ ามีค่า pH เป็ นกลาง มีค่า BOD เท่ากับ 1,070 มิลลิกรัมต่อลิตร มีค่า COD เท่ากับ
2,395 มิ ลลิ ก รั ม ต่ อ ลิต ร ค่ า ไนโตรเจนทั้ง หมดในน้ า เท่ ากับ 120 มิ ล ลิก รั ม ต่ อ ลิต ร มี ปริ มาณสาร
แขวนลอย เท่ ากับ 780 มิลลิก รั มต่ อลิต ร และค่ าความเป็ นด่ าง 590 มิลลิก รั มต่ อลิต รของแคลเซี ยม
คาร์บอเนต ซึ่งถือว่าน้ าเสียก่อนการบาบัด มีปริ มาณอินทรี ยส์ ารอยูเ่ ป็ นจานวนมาก และมีความสกปรกสูง
ส่ ว นปริ มาณโลหะที่พบในน้ าเสี ย ก่อนการบาบัด พบว่า ไม่พบโลหะที่เป็ นพิษ เช่ น
ไม่พบแคดเมียม โครเมียม และตะกัว่ เป็ นต้น ส่วนปริ มาณโลหะชนิ ดอื่นๆ พบว่า มีแคลเซียม ทองแดง
เหล็ก โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและสังกะสี ปนอยู่ในน้ าในปริ มาณมาก ซึ่งปริ มาณโลหะที่
พบเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากอาหารที่ให้สุกรกิน และยาปฏิชีวนะที่ใช้ในการป้ องกันโรคให้แก่สุกร เช่น
วัตถุดิบที่ใช้ผสมในการทาอาหารสัตว์มีส่วนประกอบของเปลือกหอยป่ น กระดูกป่ น และแร่ ธาตุ ดังนั้น
ในการวิเคราะห์คุณภาพน้ าจึงมีโลหะพวกแคลเซียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม ปนอยู่ในน้ าในปริ มาณมาก
นอกจากนี้ยงั มีการใช้สารเคมีบางชนิ ด เช่น สารประกอบออกไซด์ของ Zinc oxide (ZnO) และ Copper
sulfate (CuSO4) ผสมในอาหารสุกร เพื่อช่วยกระตุน้ การเจริ ญเติบโตของสุ กร และเพิ่มระดับภูมิคุม้ กัน
ต่อเชื้อแบคทีเรี ย ชนิ ด E. coli ในลูกสุ กร ดังนั้นด้วยเหตุผลต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาทาให้สามารถตรวจ
วิเคราะห์พบปริ มาณโลหะต่างๆ ในน้ าเสีย เนื่องจากโลหะเหล่านี้จะถูกขับออกมาทางเป็ นน้ าเสี ยและมูล
ของสุกร ซึ่งรายละเอียดของผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ าเสียก่อนการบาบัด แสดงในตารางที่ 5-23
สี เทาดา มีตะกอน
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า -
มาก
2 ความเป็ นกรดและด่าง (pH) 6.29 -
3 บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand , BOD) 1070 มิลลิกรัมต่อลิตร
4 ซี โอดี (Chemical Oxygen Demand , COD) 2395 มิลลิกรัมต่อลิตร
5 ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN) 120 มิลลิกรัมต่อลิตร
6 ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS) 780 มิลลิกรัมต่อลิตร
7 ค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) 590 มิลลิกรัมต่อลิตร
8 ปริ มาณโลหะ (Metals)
แคลเซี ยม (Ca) 166.309 มิลลิกรัมต่อลิตร
แคดเมียม (Cd) - มิลลิกรัมต่อลิตร
โครเมียม (Cr) - มิลลิกรัมต่อลิตร
ทองแดง (Cu) 2.887 มิลลิกรัมต่อลิตร
เหล็ก (Fe) 7.926 มิลลิกรัมต่อลิตร
โพแทสเซี ยม (K) 344.082 มิลลิกรัมต่อลิตร
ฟอสฟอรัส (P) 31.000 มิลลิกรัมต่อลิตร
แมกนีเซี ยม (Mg) 307.433 มิลลิกรัมต่อลิตร
ตะกัว่ (Pb) - มิลลิกรัมต่อลิตร
สังกะสี (Zn) 5.186 มิลลิกรัมต่อลิตร
9 การปนเปื้ อนของเชื้อแบคทีเรี ย ชนิด E. Coli 2.4 x 107 MPN/100 มิลลิลิตร
(3) น้ าหลังผ่านการบาบัด
ผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ าหลังผ่านการบาบัด พบว่า น้ าหลังผ่านการบาบัดมีสีเหลือง
น้ าตาล มีตะกอนปนอยูค่ ่อนข้างมาก มีค่า pH 7.59 ซึ่งถือว่าน้ ามีค่า pH เป็ นกลาง มีค่า BOD ลดลง
เท่ากับ 100 มิลลิกรัมต่อลิตร มีค่า COD ลดลง เท่ากับ 410 มิลลิกรัมต่อลิตร มีค่าไนโตรเจนทั้งหมด
ในน้ าลดลง เท่ากับ 99 มิลลิกรัมต่อลิตร และมีปริ มาณสารแขวนลอย ลดลง เท่ากับ 185 มิลลิกรัมต่อลิตร
แต่มีค่าความเป็ นด่างเพิ่มขึ้น ในส่วนของปริ มาณโลหะ พบว่า โลหะบางชนิด อาทิ แคลเซียม แคดเมียม
เหล็ก ฟอสฟอรัส และสังกะสีมีปริ มาณลดลง ยกเว้นโพแทสเซียมและแมกนีเซียม มีปริ มาณเพิม่ ขึ้น
เมื่อเปรี ยบเทียบกับน้ าเสียก่อนการบาบัด ดังแสดงผลคุณภาพน้ าหลังผ่านการบาบัดในตารางที่ 5-24
ตารางที่ 4-24 ผลการวิเคราะห์คุณภาพน้ าหลังผ่านการบาบัดของภาวนาฟาร์ม
ผลการวิเคราะห์
ลาดับ พารามิเตอร์ ที่วิเคราะห์ คุณภาพน้าหลังผ่ าน หน่ วย
การบาบัด
มีสีเหลืองน้ าตาล มี
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า -
ตะกอน
2 ความเป็ นกรดและด่าง (pH) 7.59 -
3 บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand , BOD) 100 มิลลิกรัมต่อลิตร
4 ซี โอดี (Chemical Oxygen Demand , COD) 410 มิลลิกรัมต่อลิตร
5 ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN) 99 มิลลิกรัมต่อลิตร
6 ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS) 185 มิลลิกรัมต่อลิตร
7 ค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) 960 มิลลิกรัมต่อลิตร
8 ปริ มาณโลหะ (Metals)
แคลเซี ยม (Ca) 145.338 มิลลิกรัมต่อลิตร
แคดเมียม (Cd) 0.002 มิลลิกรัมต่อลิตร
โครเมียม (Cr) - มิลลิกรัมต่อลิตร
ทองแดง (Cu) 0.737 มิลลิกรัมต่อลิตร
เหล็ก (Fe) 1.853 มิลลิกรัมต่อลิตร
โพแทสเซี ยม (K) 499.052 มิลลิกรัมต่อลิตร
ประเภทของนา้
มีสีเหลือง
สี เทาดา มี
1 ลักษณะของตัวอย่างน้ า ใส ไม่มีสี น้ าตาล มี - ไม่ระบุค่า -
ตะกอนมาก
ตะกอน
ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดใน
น้ าทิ้งมี ค่า TKN อยู่ใน
5 น้ า (Total Kjeldahl Nitrogen 3.5 120 99 - มิลลิกรัมต่อลิตร 200*
เกณฑ์มาตรฐาน
, TKN)
ปริ มาณสารแขวนลอย
- ค่า TSS มีค่าอยู่ใน
6 ทั้งหมด (Total Solid - 780 185 - มิลลิกรัมต่อลิตร 200*
เกณฑ์มาตรฐาน
Suspension , TSS)
มีค่าอยู่ในเกณฑ์
แคดเมียม (Cd) - - 0.002 - มิลลิกรัมต่อลิตร 0.03**
มาตรฐาน
มีค่าอยู่ในเกณฑ์
โครเมียม (Cr) - - - - มิลลิกรัมต่อลิตร 0.3**
มาตรฐาน
ประเภทของนา้
มีค่าอยู่ในเกณฑ์
ทองแดง (Cu) 0.279 2.887 0.737 - มิลลิกรัมต่อลิตร 1.0**
มาตรฐาน
มีค่าอยู่ในเกณฑ์
ตะกวั่ (Pb) - - - - มิลลิกรัมต่อลิตร 0.1**
มาตรฐาน
มีค่าอยู่ในเกณฑ์
สังกะสี (Zn) 1.208 5.186 1.816 - มิลลิกรัมต่อลิตร 5.0**
มาตรฐาน
3 น้าหลังผ่ านการบาบัด - มีค่า pH BOD TKN และ TSS อยูใ่ น - สามารถปล่อยทิ้งลงสู่ แหล่งน้ า
เกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ าทิ้งจากฟาร์ ม สาธารณะได้
สุ กร ยกเว้น มีค่า COD มากกว่ าเกณฑ์
มาตรฐานฯ 1.02 เท่า
- มีธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อพืช คือ มีค่า
ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซี ยม
เป็ นสัดส่ วน
N:P:K = 7:1:37
- ไม่มีปริ มาณโลหะ เกินค่ามาตรฐานน้ าทิง้
ลงทางชลประทาน
2. ฟาร์ มนายพนม จิตรใจเย็น - ผลการวิเคราะห์ พบว่า มีค่า BOD COD และ - ไม่ สามารถปล่ อยทิ้งลงสู่ แหล่ งน้า
น้าทิ้งในบ่ อพักน้าสุ ดท้ าย TKN มากกว่ า เกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ าทิ้ง สาธารณะได้ เนื่องจากมีค่า BOD
จากฟาร์ มสุ กร 2.15 3.48 และ 1.97 เท่า COD และ TKN มากกว่ า เกณฑ์
ตามลาดับ มาตรฐานคุณภาพน้าทิ้งจากฟาร์ มสุ กร
- มีธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อพืช คือ มีค่า - มีปริ มาณ ทองแดง และ สังกะสี
ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซี ยม มากกว่ า เกณฑ์มาตรฐานน้ าทิ้งลงทาง
เป็ นสัดส่ วน ชลประทาน 2.00 และ2.18 เท่า
N:P:K = 30:1:26 ตามลาดับ
- มีปริ มาณ ทองแดง และสังกะสี มากกว่ าค่า - นาไปใช้ เป็ นแหล่ งพลังงานสาหรับ
มาตรฐานน้ าทิ้งลงทางชลประทาน สิ่ งมีชีวิตเซลเดียว เช่ น แบคทีเรีย ใน
การผลิตพลังงานได้
3 ประชาฟาร์ ม - มีคา่ pH BOD และ COD อยูใ่ นเกณฑ์ - ไม่ สามารถปล่ อยทิ้งลงสู่ แหล่ งน้า
น้าทิ้งในบ่ อพักน้าสุ ดท้ าย มาตรฐานคุณภาพน้ าทิ้งจากฟาร์ มสุ กรระบบ สาธารณะได้ TKN และ TSS มีค่า
บาบัดน้ าเสี ย มากกว่ า เกณฑ์ มาตรฐานคุณภาพน้า
- TKN และ TSS มีค่า มากกว่ า เกณฑ์ ทิ้งจากฟาร์ มสุ กร
มาตรฐานคุณภาพน้ าทิ้งจากฟาร์ มสุ กร - มีปริ มาณ ทองแดง และ สังกะสี
(มากกว่าร้อยละ 1.12 และ 1.47 เท่า มากกว่ า เกณฑ์มาตรฐานน้ าทิ้งลงทาง
ตามลาดับ) ชลประทาน 14.35 และ 6.99 เท่า
- มีธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อพืช คือ มีค่า ตามลาดับ
4 ภาวนาฟาร์ ม - มีค่า pH BOD TKN และ TSS อยูใ่ นเกณฑ์ - สามารถปล่อยทิง้ ลงสู่ แหล่งน้ า
น้าหลังผ่ านการบาบัด มาตรฐานคุณภาพน้ าทิ้งจากฟาร์ มสุ กร ยกเว้น สาธารณะได้
มีค่า COD มากกว่ าเกณฑ์มาตรฐานฯ 1.02 - นาไปใช้ ในการปลูกพืชได้
เท่า
- มีธาตุอาหารที่มีประโยชน์ต่อพืช คือ มีค่า
ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ โพแทสเซี ยม
เป็ นสัดส่ วน
N:P:K = 7:1:37
- ไม่มีปริ มาณโลหะ เกินค่ามาตรฐานน้ าทิ้งลง
ทางชลประทาน
บทที่ 6
แนวทางการเพิม่ มูลค่ าน้าทิง้ จากระบบบาบัดแบบผลิตก๊ าซชีวภาพ
จากฟาร์ มสุ กร
บทนา
แนวทางการจัดการของเสียจากฟาร์มสุกร แบ่งออกได้หลายแนวทางแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์
และความต้องการของผูจ้ ดั การฟาร์ม แนวทางการจัดการของเสี ยจากฟาร์มปศุสตั ว์ แสดงในรู ปที่ 6-1
ทางเลือกหนึ่งที่ให้ความสนใจอย่างกว้างขวางทั้งในประเทศ และต่างประเทศ คือการการนาน้ าเสียจาก
ฟาร์มสุกรไปผ่านการบาบัดน้ าเสียแบบผลิตก๊าซชีวภาพได้ (Biogas) วิธีการดังกล่าวจะทาให้ได้น้ าทิ้งที่มี
ค่าความสกปรกลดลง และพลังงานเป็ นผลพลอยได้จากการบาบัดน้ าเสียหมุนเวียนกลับไปใช้ในกิจกรรม
ต่างๆ ภายในฟาร์ม จะช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านพลังงานกับเจ้าของฟาร์มสุกรอย่างเป็ นรู ปธรรม
(1) การนาน้ าทิ้งฯไปใช้เป็ นปุ๋ ยอินทรี ยน์ ้ า – เพื่อเป็ นปุ๋ ยบารุ งดินสาหรับการปลูกพืช
พลังงาน (อาทิเช่น อ้อย ข้าวโพด และ มันสาปะหลัง) และ พืชเศรษฐกิจ (ข้าว)
(2) การนาน้ าทิ้งฯ ไปผลิตเป็ น ปุ๋ ยแคลเซียม-ฟอสเฟต (Calcium phosphate) หรื ออะพาไทท์
(Calcium hydroxyl apatite, HAP) – เป็ นปุ๋ ยที่ใช้ในการเพาะปลูกพืช หรื อเป็ นวัตถุดิบ
ตั้งต้นในการอุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ ย
(3) การนาน้ าทิ้งฯไปผลิตเป็ น ปุ๋ ยแมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต (Magnesium
ammonium phosphate, MAP) หรื อ สตรู ไวท์ (Struvite) – เป็ นปุ๋ ยละลายช้า (Slow
release fertilizer) ใช้ในเพาะปลูกพืช หรื อเป็ นวัตถุดิบตั้งต้นในการอุตสาหกรรมการ
ผลิตปุ๋ ย
(4) การนาน้ าทิ้งฯไปผ่านระบบเซลล์ชีวภาพ (Microbial Fuel Cell, MFC) – เพื่อบาบัดน้ า
เพื่อผลิตพลังงาน
(5) การนาน้ าทิ้งฯไปเพาะเลี้ยงสาหร่ าย – เพื่อบาบัดน้ าทิ้งขั้นหลังและได้สาหร่ ายเป็ น
ผลิตภัณฑ์
(6) การนาน้ าทิ้งฯไปเลี้ยงแหน – เพื่อบาบัดน้ าทิ้งขั้นหลังและได้แหนเป็ นผลิตภัณฑ์ที่
สามารถเป็ นแหล่งโปรตีนสาหรับอาหารสัตว์ และแหนเป็ นพืชที่มีศกั ยภาพในการผลิต
เอทานอล
(7) การนาน้ าทิ้งฯไปเลี้ยงไรแดง – ได้ผลิตภัณฑ์เป็ นไรแดง เป็ นแหล่งโปรตีนในการเลี้ยง
ปลา และสามารถจัดจาหน่ายทางการค้า
6.1 แนวทางที่ 1 : การนานา้ ทิง้ ฯไปใช้ เป็ นปุ๋ ยอินทรีย์นา้ (Wastewater as fertilizer and irrigation
water)
ข้ อจากัด
1) การขนส่งปุ๋ ยน้ าในระยะไกลทาได้ไม่สะดวก เนื่องจากเป็ นการขนส่งน้ าปริ มาณมาก
2) สิ่งเจือปนในน้ าเสียที่เป็ นอันตรายต่อมนุษย์ เช่น โลหะหนัก เชื้อโรค และพยาธิ
3) การปนเปื้ อนของธาตุอาหารลงสู่แหล่งน้ าใต้ดิน และแหล่งน้ าธรรมชาติ เนื่องจากธาตุ
อาหารอยูใ่ นรู ปละลายน้ า
6.2.1 หลักการและวิธกี าร
น้ าทิ้งจากระบบบาบัดทางชีวภาพของฟาร์มสุกร ทั้งระบบบาบัดน้ าเสียแบบใช้ออกซิเจน และ
แบบไม่ใช้ออกซิเจน ยังมีสิ่งเจือปนในน้ าทิ้งที่ไม่สามารถทาการบาบัดได้ดว้ ยวิธีการดังกล่าว เช่น
ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส ที่มีปริ มาณสูงหรื อเกินค่ามาตรฐานน้ าทิ้ง จึงต้องทาการบาบัดน้ าเสียต่อในขั้นที่
สาม (Tertiary treatment) หรื อ ขั้นหลัง (Post treatment) หรื อ การบาบัดเฉพาะด้าน (Advance
treatment) เพื่อกาจัดสารเจือปนที่เฉพาะเจาะจง เช่น การกาจัดไนโตรเจน และฟอสฟอรัส เป็ นต้น จาก
เทคโนโลยีการบาบัดน้ าเสียในปัจจุบนั พบว่าน้ าทิ้งเหล่านี้สามารถนาไปเพิ่มมูลค่าได้ โดยการแยกธาตุ
อาหารที่เป็ นประโยชน์ต่อพืชออกมาใช้ประโยชน์ (Nutrient recovery) ได้แก่ การแยกเอาฟอสฟอรัสที่
ละลายอยูใ่ นน้ าเสียออกมา (Phosphorus removal)
น้ าเสียที่ออกจากระบบบาบัดทางชีวภาพจากฟาร์มสุกร ที่มีฟอสเฟตปนเปื้ อนอยูใ่ นน้ า สามารถ
นามาแยกฟอสเฟตที่ละลายอยูใ่ นน้ าทิ้งให้กลับมาอยูใ่ นรู ปที่ใช้ประโยชน์ได้ โดยการตกตะกอนด้วย
แคลเซียม เช่น ปูนขาว ให้อยูใ่ นรู ปแคลเซียมฟอสเฟต (Calcium phosphate) (House et al., 1999;
Piekema, 2004; Bauer et al., 2007; van der Houwen and Valsami-Jones, 2007; Cao and Harris, 2008)
และกระบวนการนี้สามารถฆ่าเชื้อโรคในน้ าเสียได้ เนื่องจากการเกิดปฏิกิริยาต้องการค่าพีเอชสูง หรื อมี
สภาพความเป็ นด่างสูงจึงเป็ นการฆ่าเชื้อโรค (Disinfection) ในน้ าเสียไปพร้อมกัน
การตกตะกอนของ แคลเซียม (Ca2+) และ ฟอสเฟต (PO43-) สามารถตกตะกอนได้หลายรู ปแบบ
โดยปัจจัยการเกิดผลึกฟอสเฟตในรู ปแบบต่างๆจะขึ้นอยูก่ บั ค่าพีเอชของน้ า และ สภาวะการอิ่มตัว
(Supersaturation) สิ่งเจือปนในน้ าเสีย เป็ นต้น โดยผลึกไฮดรอกซีอะพาไทท์ (hydroxyapatite,
Ca5(PO4)3(OH)) เป็ นผลึกฟอสเฟตที่มีความเสถียร และเป็ นรู ปแบบผลึกที่นิยมใช้ในการกาจัด
ฟอสฟอรัสจากระบบบาบัดน้ าเสีย การตกผลึกแคลเซียมฟอสเฟต สามารถทาโดยการเติมปูนขาว หรื อ
แคลเซียมไฮดรอกไซด์ (Calclium hydroxide, [Ca(OH)2]) ซึ่งเป็ นวิธีนิยมใช้กนั ในระบบบาบัดน้ าเสีย
เพื่อการกาจัดฟอสฟอรัส
ดังนั้นการบาบัดน้ าเสียที่มีฟอสฟอรัสด้วยแคลเซียม จะทาให้ได้ตะกอนผลึกแคลเซียมฟอสเฟต
หรื ออะพาไทท์ ซึ่งเป็ นผลพลอยได้ที่มีมลู ค่าสาหรับใช้เป็ นปุ๋ ยในการทาเกษตรกรรม หรื อเป็ นวัตถุดิบใน
การผลิตเป็ นปุ๋ ย รู ปที่ 6-2 แสดงตะกอนแคลเซียมฟอสเฟตที่ได้จากระบบบาบัดน้ าเสียจากโรงบาบัดน้ า
เสียจากฟาร์มปศุสตั ว์ มลรัฐ นอร์ทคาโรไลน่า ประเทศสหรัฐอเมริ กา (Full-scale liquid manure
treatment facility, 4360-head finisher swine production unit in Duplin County, North Carolina, USA)
3) ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบ และถังปฏิกรณ์
4) ต้องการการควบคุมการเกิดปฏิกิริยาที่เหมาะสมต่อการตกผลึก
5) ต้องการการเติมตัวประสารตะกอน เช่น Bentonite
6.2.3 แนวทางการประยุกต์ใช้ พลังงาน
นาก๊าซชีวภาพเป็ นเชื้อเพลิงสาหรับอุปกรณ์ในถังปฏิกิริยา ได้แก่ เครื่ องสูบน้ าต่างๆ และเครื่ อง
กวนตะกอน เพื่อทดแทนพลังงานไฟฟ้ า
6.3 แนวทางที่ 3 : การนานา้ ทิง้ ฯ ไปทาปุ๋ ยแมกนีเซียม แอมโมเนียม ฟอสเฟต หรือ สตรูไวท์
(Magnesium ammonium phosphate, MAP or Struvite)
6.3.1 หลักการและวิธกี าร
จากในอดีตที่ผา่ นมาวิธีการกาจัดฟอสฟอรัสออกจากน้ าเสียมีอยูห่ ลายวิธีดว้ ยกัน ทั้งวิธีทาง
ชีวภาพ (Biological treatment) – การใช้จุลินทรี ยใ์ นการย่อยสลายฟอสฟอรัส และวิธีทางเคมี (Chemical
treatment) – การใช้สารเคมีเพื่อช่วยในแยกหรื อตกตะกอนฟอสฟอรัสออกจากน้ าเสีย อาทิเช่น การ
ตกตะกอนเคมี (Chemical precipitation) จะใช้สารเคมีที่ช่วยในการตกตะกอน (Precipitant) จับ
ฟอสฟอรัสที่อยูใ่ นรู ปละลายน้ าในน้ าเสียให้ตกตะกอนแยกออกจากน้ า เช่น การตกตะกอนด้วยเหล็ก-
แคลเซียม- หรื อ อลูมิเนียม- ฟอสเฟต (Iron-, Calcium- or Aluminium- phosphate) อย่างไรตามวิธีการ
ดังกล่าวไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายสูงจากการเติมสารเคมีจานวนมากเพื่อการ
กาจัดฟอสฟอรัส และตะกอนเคมีที่เกิดขึ้นไม่สามารถนาไปใช้ประโยชน์ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผา่ นมา
เทคโนโลยีการแยกฟอสฟอรัสออกจากน้ าเสียที่เป็ นที่ให้ความสนใจและทาศึกษาวิจยั กันอย่างกว้างขวาง
คือ การกาจัดฟอสฟอรัสด้วยการตกตะกอนผลึก (Phosphorus precipitation or crystallization) .ผลึกที่ได้
เรี ยกว่า แมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต (Magnesium ammonium phosphate, MAP) หรือ สตรู
ไวท์ (Struvite) (Miles and Ellis, 2001; Burns et al., 2002; Jaffer and Pearce, 2004; Battistoni et al.,
2005; Suzuki et al., 2006) รายละเอียดแสดงในบทที่ 10
การตกตะกอนผลึก แมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต หรื อ สตรู ไวท์ เป็ นการควบคุม
แมกนีเซียม (Magnesium, Mg2+) แอมโมเนีย (Ammonium, NH4+) และ ฟอสเฟต (Phosphate, PO43-) ที่
ละลายอยูใ่ นน้ าเสีย ให้รวมตัวเกิดเป็ นผลึกของแข็งและตกตะกอนแยกออกมา โดยทาความควบคุม
อัตราส่วนโมลของสารต่างๆ ค่าพีเอช หรื อ ค่าความเป็ นกรด-ด่างของน้ า และปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้มี
สภาพที่เหมาะสมต่อการตกผลึก วิธีการดังกล่าวกาลังเป็ นที่ให้ความสนใจทั้งในระดับห้องปฏิบตั ิการ
(Laboratory scale) ถังปฏิกรณ์ตน้ แบบ (Pilot scale) และโรงงานต้นแบบ (Full scale) ทั้งนี้เนื่องจากผลึก
สตรู ไวท์ที่แยกตกตะกอนลงมาหรื ออาจเรี ยกได้ว่าเป็ นผลพลอยได้ที่สร้างมูลค่าจากการน้ าเสีย สามารถ
นาไปใช้เป็ นปุ๋ ยละลายช้า (Slow release fertilizer) ในการทาการเกษตร หรื อ นาไปใช้เป็ นวัตถุดิบใน
อุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ ยแทนแร่ หินฟอสเฟต (Phosphate rock) นอกจากนี้วิธีการนี้ยงั สามารถกาจัด
ฟอสฟอรัสและแอมโมเนียออกจากน้ าเสียได้ในขั้นตอนเดียวอีกด้วย
กลับมาใช้ (Nutrient recovery) โดยกระบวนการตกผลึกสตรู ไวท์ (Burn et al., 2002; Hiroyuki and
Toni, 2003; de-Bashan and Bashan, 2004; Cheng et al., 2006; Choi, 2007) ดัง นั้น เนื่ อ งจากลัก ษณะ
ของน้ าเสี ย จากฟาร์ มสุ กร ทาให้ในสภาวะการเดิ นระบบปกติ ของระบบบาบัดน้ าเสี ย จากฟาร์ มสุ ก ร
โดยเฉพาะแบบไม่ใช้อากาศ จึงมีแนวโน้มของการสะสมของตะกอนผลึกสตรู ไวท์ได้ง่ายและกลายเป็ น
ตะกรัน (Scaling) สะสมและอุดตันอยูต่ ามเครื่ องสูบจ่ายน้ า อุปกรณ์ และท่อต่างๆ ที่จะเป็ นปัญหายุ่งยาก
ต่อการดูแลรักษาและซ่อมบารุ งตามมา
ดังนั้นการตกผลึกสตรู ไวท์จึงเป็ นเทคโนโลยีที่แยกและนาเอาสารอาหารของพืชที่อยู่ในน้ าเสี ย
กลับมาใช้ประโยชน์ เพื่อเป็ นปุ๋ ยที่ใส่ในการทาการเกษตรกรรมหรื อเป็ นวัตถุดิบตั้งต้นในการทาผลิตปุ๋ ย
ที่จะทดแทนแร่ หินฟอสเฟตที่กาลังจะหาได้ยากขึ้นในอนาคต ดังนั้นถ้าการตกผลึกสตรู ไวท์น้ นั ได้ผลดี
และมีการลงทุนและค่าใช้จ่ายสารเคมีและการติดระบบไม่สูงมากนัก จะมีความคุม้ ค่าทางเศรษฐศาสตร์
เนื่ องจากเป็ นการสร้างมูลค่าให้กบั ของน้ าเสี ย และช่ วยลดปั ญหามลภาวะทางสิ่ งแวดล้อมที่เกิด จาก
ปัญหาการปนเปื้ อนจากธาตุอาหารของพืชในแหล่งน้ าผิวดินและแหล่งน้ าใต้ดิน
6.4.1 หลักการและวิธกี าร
เซลล์เชื้อเพลิงแบคทีเรี ย หรื อเซลอิเล็กโทรไลซิสแบคทีเรี ย (Microbial Electrolysis Cell,
MEC) จัดเป็ นเซลล์เชื้อเพลิงที่ผลิตไฟฟ้ าอีกรู ปแบบหนึ่ง ซึ่งอาศัยหลักการของย่อยสลายมวลชีวภาพ
(Biomass) หรื อสารอินทรี ยด์ ว้ ยแบคทีเรี ย ในขั้นตอนการย่อยสลายมวลชีวภาพหรื อสารอินทรี ยน์ ้ นั จะ
ทาให้ได้พลังงานไฟฟ้ าและน้ าเป็ นผลิตภัณฑ์ ดังนั้นเซลล์เชื้อเพลิงแบคทีเรี ยจึงนับเป็ นอีกแนวทางเลือก
หนึ่งสาหรับการผลิตพลังงานสะอาด หรื อนามาใช้เป็ นพลังงานทดแทนพลังงานในรู ปแบบอื่นต่อไป
เซลล์เชื้อเพลิงแบคทีเรี ย (Microbial Electrolysis Cell, MEC) แบ่งออกได้หลายรู ปแบบ เช่น
เซลล์เชื้อเพลิงแบคทีเรี ยแบบห้องเดียว (Single Chamber Microbial Fuel Cell, SCMFC) หรื อ เซลล์
เชื้อเพลิงแบคทีเรี ยแบบห้องคู่ (Two Compartment Microbial Fuel Cell, TCMFC) เซลล์เชื้อเพลิงแบบ
เมมเบรนแลกเปลี่ยนโปรตรอน (Proton Exchange Membrane Fuel Cell, PEMFE) เซลล์เชื้อเพลิงแบบ
กรดฟอสฟอริ ก (Phosphoric Acid Fuel Cell, PAFE) และ เซลล์เชื้อเพลิงแบบป้ อน เมทานอลโดยตรง
(Direct Methanol Fuel Cell) เป็ นต้น
เซลล์เชื้อเพลิงแบคทีเรี ยแบบห้องเดียว จะมีลกั ษณะภายในประกอบด้วย ขั้วไฟฟ้ า 2 ขั้ว คือ
ขั้วแอโนด (Anode) และ ขั้วแคโทด (Cathode) และมีเยื่อบางๆ หรื อเรี ยกว่า เยือ่ เลือกผ่านโปรตรอน
(Proton exchange membrane: PEM) ซึ่งกั้นอยูร่ ะหว่างขั้วไฟฟ้ าทั้ง 2 ขั้ว (ดังรู ปที่ 6-3)
ส่วนเซลล์เชื้อเพลิงแบคทีเรี ยแบบห้องคู่ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ห้องแอโนด (Anodes) และ
ห้องแคโทด (Cathodes) (ดังรู ปที่ 6-4) โดยทัว่ ไปเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตพลังงานไฟฟ้ าจากเซลล์
เชื้อเพลิงแบคทีเรี ยนั้น มีความสัมพันธ์กบั อีกหลายปัจจัย ได้แก่ อุปกรณ์ที่ทาให้เกิดกระแสไฟฟ้ า อาทิ
เช่น ชนิดของโลหะที่ใช้ทาขั้วแอโนด (Anodes) และขั้วแคโทด (Cathodes) ซึ่งมีความสัมพันธ์กบั ขนาด
ของพื้นที่ผวิ สาหรับขั้วแอโนดและแคโทดร่ วมด้วย นอกจากนี้ปัจจัยอีกประการหนึ่งสาคัญ คือ
กระบวนการทางชีวภาพ โดยเฉพาะชนิดของแบคทีเรี ยที่มีความสามารถในการย่อยสลายสารอินทรี ย ์
และถ่ายเทอิเล็กตรอนระหว่างเซลล์ ซึ่งกลุ่มของแบคทีเรี ยที่นามาใช้มีหลายชนิด ที่ได้นามาใช้ในงาน
ศึกษากระบวนการผลิตก๊าซไฮโดรเจนของ MEC อาทิเช่น แบคทีเรี ยในกลุ่มของ -, -, - หรื อ -
protepbacteria ซึ่งเป็ นกลุ่มแบคทีเรี ยจากตะกอนก้นแม่น้ า หรื อแหล่งน้ าเสีย (Bruce E. Logan and John
M. Regan, 2006) ซึ่งก๊าซไฮโดรเจนที่ได้จากกระบวนการผลิตถือเป็ นพลังงานสะอาด สามารถนามาใช้
เป็ นพลังงานทดแทนน้ ามันเชื้อเพลิงได้ ดังแสดงในรู ปที่ 6-5
รูปที่ 6-3 เซลล์เชื้อเพลิงแบคทีเรี ยแบบห้องเดียว (Single Chamber Microbial Fuel Cell, SCMFC)
1) ขั้นตอนการทางานของเซลล์เชื้อเพลิงแบคทีเรีย
เซลล์เชื้อเพลิงแบคทีเรี ยสามารถผลิตกระแสไฟฟ้ าได้โดยการเปลี่ยนเซลลูโลส (Cellulose)
และสารอินทรี ยท์ ี่ยอ่ ยสลายได้ให้กลายเป็ นก๊าซไฮโดรเจน (H2) ได้โดยตรง ซึ่งขั้นตอนการทางานของ
เซลล์เชื้อเพลิงแบคทีเรี ย เริ่ มจากการนาวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ เช่น นาเศษพืชหรื อผัก เศษวัสดุต่างๆ
มาผ่านขั้นตอนการหมักและเกิดเป็ นกรดน้ าส้ม หรื อ กรดแอซิติก (Acetic acid) หรื อ นาน้ าตาลกลูโคส
หรื อเซลลูโลสมาหมักให้เปลี่ยนเป็ นกรดแอซิติกก็ได้ จากนั้นนามาใส่ลงในเซลล์อิเล็กโทรไลซิส ซึ่ง
ประกอบด้วยขั้นไฟฟ้ า 2 ขั้น คือ ขั้วแอโนด (Anode) และ ขั้วแคโทด (Cathode) ทั้งนี้ที่ข้วั แอโนด
(Anode) จะมีการยึดเกาะของแบคทีเรี ย หรื อ อาจผ่านขั้นตอนการเคลือบด้วยไบโอฟิ ลม์ (Biofilm) ที่
ภายในมีแบคทีเรี ยอาศัยอยูภ่ ายในไบโอฟิ ลม์ และเมื่อแบคทีเรี ยที่อยูท่ ี่ข้วั แอโนดเกิดการย่อยสลายกรด
แอซิติก จะทาให้ได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และแบคทีเรี ยจะเกิดการปลดปล่อยอิเล็กตรอน (e-)
ออกมา และได้โปรตอน (H+) อยูใ่ นสารละลาย ซึ่งอิเล็กตรอนเหล่านี้จะเคลื่อนที่เข้าจากขั้วแอโนดและ
ผ่านไปยังขั้วแคโทด โดยอาศัยทางเชื่อม (Bridge) ทาให้เกิดการหมุนเวียนของประจุไฟฟ้ า และเกิดเป็ น
กระแสไฟฟ้ าอ่อนๆ และโปรตอน (H+) ที่อยูใ่ นสารละลายจะทาหน้าที่รับอิเล็กตรอน (e-) และเกิดเป็ น
ก๊าซไฮโดรเจน (H2) หรื อบางเทคโนโลยีอาจใช้เยือ่ เลือกผ่าน (Porous Electron Membrane : PEM) ซึ่ง
ทาหน้าที่คดั กรองเฉพาะโปรตอน (H+) ในสารละลายให้ไหลผ่านไปยังขั้วแคโทด ก็จะทาให้เกิดก๊าซ
ไฮโดรเจน และได้กระแสไฟฟ้ าเช่นกัน ดังสมการ (รู ปที่ 6-6)
Anode: C6H12O6 + 2H2O 4H2 + 2 C2H4O2 + 2CO2
C2H4O2 + 2H2O 2CO2 + 8 e- + 8H+
Cathode: O2+ 4H+ + 4 e- 2H2O
8H+ + 8 e- 4H2 (no oxygen)
การไหลเวียนของอิเล็กตรอนและโปรตรอนในเซลล์เชื้อเพลิงแบคทีเรี ยจะทาให้เกิดกระแสไฟฟ้ า
อย่างอ่อนขึ้น ซึ่งจากการศึกษาพบว่าแบคทีเรี ยที่สามารถทนต่ออุณหภูมิสูง (Exothermic) สามารถผลิต
กระแสไฟฟ้ าได้ประมาณ 0.2 โวลต์ (เมื่อเปรี ยบเทียบกับไฮโดรเจนอิเล็กโทรดปกติ) ถึงแม้ว่าจะคานวณ
หักลบปริ มาณไฮโดรเจนที่ผลิต ได้บางส่ วนที่จะต้องใช้เป็ นแหล่งเชื้ อเพลิงเพื่อให้กระบวนการผลิต
ไฮโดรเจนเกิดขึ้นต่อไปได้ กระบวนการอิเล็กโทรไลซิสเซลล์แบคทีเรี ย (Microbial electrolysis cell
process) นี้ก็ยงั ให้พลังงานมากกว่าพลังงานไฟฟ้ าที่ใช้ในกระบวนการถึงร้อยละ 144 เมื่อเปรี ยบเทียบกับ
กระบวนการไฮโดรไลซิสของน้ า (Water hydrolysis) ซึ่งเป็ นกระบวนการทัว่ ไปที่ใช้ในการผลิต
ไฮโดรเจนซึ่งมีประสิทธิภาพเพียงร้อยละ 50-70
บริ ษทั ทีม เอ็นเนอร์ยี่ แมเนจเมนท์ จากัด 6-15
SPK/EGY/RT5205/10P1508/RT006
โครงการศึ กษาการเพิ่มมูลค่ านา้ ที่ ผ่านการบาบัดจากระบบผลิตก๊ าซชี วภาพฟาร์ มสุ กรตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
รายงานฉบับสุ ดท้ าย
6.5.1 หลักการและวิธกี าร
การใช้สาหร่ ายในการบาบัดน้ าเสียขั้นหลังนั้นมีการศึกษามาเป็ นระยะเวลานาน ในปัจจุบนั มี
ความพยายามที่จะพัฒนาสายพันธุส์ าหร่ ายที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้สามารถย่อยสลายค่าความสกปรก
ในน้ าเสียได้อย่างรวดเร็ว และทนทานต่อสภาวะแวดล้อมต่างๆได้ดี เช่น ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของ
อุณหภูมิ ทนต่อสภาพความเป็ นกรด-ด่าง ทนต่อสภาพความเป็ นพิษ เป็ นต้น ในปัจจุบนั แนวคิดการใช้
สาหร่ ายบาบัดน้ าเสีย ยังพิจารณาไปถึงผลพลอยได้ที่เป็ นมวลชีวภาพ (Biomass) หรื อสาหร่ าย และนาไป
จาหน่ายทางการค้า เนื่องจากเป็ นแหล่งโปรตีนในอาหารสัตว์ ตัวอย่างเช่น กรณีการศึกษาที่ผา่ นมาพบว่า
สาหร่ ายเกลียวทอง (Spirulina) เป็ นสาหร่ ายสายพันธุท์ ี่นิยมนามาใช้ในการบาบัดน้ า (Olguin, 2546)
ลักษณะของสาหร่ ายเกลียวทองแสดงในรู ปที่ 6-8 โดยพบว่าสาหร่ ายในตระกูลนี้มขี อ้ ดีดงั นี้
ที่มา http://www.rdi.ku.ac.th
2) ขั้นตอนในการเลีย้ งสาหร่ าย
นาหัวเชื้อใส่ประมาณ 1 ใน 10 ส่วน ได้แก่ น้ า 10 ลิตร หัวเชื้อ 1 ลิตร มาเลี้ยงในบ่ออนุบาล
ลักษณะเป็ นบ่อปูน เพื่อให้ควบคุมได้ในพื้นที่จากัด ทาให้เกิดประสิทธิภาพในการให้ปุ๋ยและดูแลได้
ทัว่ ถึง หลังจากระยะเวลาหนึ่งเดือนจึงขยายไปในบ่อที่มีพ้นื ที่ใหญ่กว่าและเลี้ยงต่อไปอีก ประมาณ 20 วัน
แต่ท้งั นี้จะขึ้นอยูก่ บั แสงแดดเป็ นองค์ประกอบหลัก เนื่องจากหากไม่มีแสงแดดการเจริ ญเติบโตของ
สาหร่ ายก็จะช้าลงไปด้วย เมื่อสาหร่ ายเติบโตเต็มบ่อใหญ่แล้วจึงเริ่ มเก็บเกี่ยว โดยใช้วิธีสูบเข้ามาในถุงกรอง
ที่มีลกั ษณะคล้ายถุงกาแฟ น้ าที่เหลือก็จะทาเป็ นหัวเชื้อได้ต่อไป จากนั้นนาตัวสาหร่ ายมาเกลี่ยให้เป็ น
แผ่นบางในถาด นาไปตากในห้องอบพลาสติก ทิ้งไว้สองวันให้แห้ง แล้วร่ อนออกมาเป็ นเกล็ด เก็บ
รวบรวมนาไปบรรจุขาย รู ปที่ 6-10 แสดงบ่อเลี้ยงสาหร่ ายและการเก็บเกี่ยวสาหร่ ายเกลียวทอง
6.6 แนวทางที่ 6: การนานา้ ทิง้ ฯ ไปเลีย้ งแหน เพือ่ เป็ นแหล่งโปรตีนในอาหารสัตว์ และแหนเป็ นพืชที่มี
ศักยภาพในการผลิตเอทานอล
6.6.1 หลักการและวิธกี าร
น้ าทิ้งที่ได้จากระบบบาบัดน้ าเสียแบบก๊าซชีวภาพ ส่งไปยังบ่อพักน้ าสามารถนาไปเลี้ยงพืชน้ า
จาพวกตระกูลแหน (Lemnaceae or duckweed) สาหรับการบาบัดน้ าเสียในขั้นที่ 3 (Tertiary treatment)
เพื่อบาบัดสิ่งเจือปนในน้ า เช่น สารอาหาร และผลิตภัณฑ์เป็ นแหน นาไปเลี้ยงสัตว์ หรื อ ผลิตเอทานอล
จากอดีตกระบวนการบาบัดน้ าเสียขั้นที่ 3 โดยใช้พืชน้ า เช่น จอก และ แหน เป็ นวิธีการที่นิยมใช้กนั มา
เป็ นระยะเวลานานกว่า 20 ปี แต่ว่าผลิตภัณฑ์ที่ได้ หรื อ แหน เป็ นผลิตภัณฑ์ที่ไม่สามารถสร้าง
ประโยชน์ทางการค้าเท่าที่ควร การนาไปใช้งานในอดีตจึงเป็ นเพียง การนาแหนไปใส่เป็ นปุ๋ ยพืชสดใน
การทาเกษตรกรรม หรื อ เป็ นอาหารเลี้ยงปลา เป็ นต้น
จากภาวะด้านพลังงานและโลกร้อน (Climate change) ในปัจจุบนั ทาให้เกิดการพัฒนาการศึกษา
ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานจากชีวมวล (Biomass) ที่เป็ นแหล่งเชื้อเพลิงทดแทนแหล่งคาร์บอนที่มาจากสาร
ปิ โตรเคมี โดยเฉพาะอย่างยิง่ กลุ่มพืชที่นามาผลิตพลังงาน มีขอ้ ถกเถียงกันหลายประการ อาทิ เมื่อเพิ่ม
พื้นที่การเพาะปลูกนั้นมีผลกระทบต่อการใช้ประโยชน์จากที่ดิน และ ความต้องการปุ๋ ยทางการเกษตรที่
จะต้องรองรับอย่างเพียงพอเมื่อทาการเพาะปลูกกันมากขึ้น นักวิจยั ชาวสหรัฐอเมริ กา (Cheng and
Stomp, 2009) ได้คน้ พบว่าพืชตระกูลแหน (Lemnaceae or duckweed) มีแป้ งและโปรตีนเป็ นองค์ประกอบ
อยูเ่ ป็ นจานวนมาก ซึ่งสามารถนาไปแหล่งโปรตีนสาหรับอาหารสัตว์ หรื อเป็ นแหล่งแป้ ง (Starch) สาหรับ
การผลิตเอทานอล นอกจากนี้น้ าเสียที่มาจากการเลี้ยงสัตว์สามารถเป็ นแหล่งอาหารอย่างดีให้พืชตระกูลนี้
เนื่องจากในน้ าเสียมีสารอาหารที่เป็ นประโยชน์ต่อพืช พืชจาพวกนี้จะใช้สารอินทรี ยแ์ ละแร่ ธาตุต่างๆ ในน้ า
โดยเฉพาะ ไนโตรเจน และฟอสฟอรัสในการเจริ ญเติบโต จึงเป็ นการลดค่าความสกปรกในน้ าได้อีกทางหนึ่ง
แหนกับพืชพลังงาน
จากข้อถกเถียงด้านพืชในอุดมคติที่เหมาะสาหรั บการนามาเป็ นแหล่งพลังงานทดแทน และ
ระบบการเพาะปลูก โดยพิจารณาปั จ จัยหลักๆ คื อ 1) พืชที่สามารถใช้สิ่งเจื อปนในน้ าเสี ยเป็ นแหล่ง
อาหารของพืช ซึ่งได้แก่ พืชจะต้องทนต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงของคุณภาพน้ าเสี ย เช่น แอมโมเนี ยใน
ปริ มาณสูง และพืชจะต้องสามารถใช้สิ่งเจือปนในน้ าในหลายรู ปแบบ เช่น ไนโตรเจน ไนเตรด และ
แอมโมเนีย เป็ นต้น 2) พืชที่สามารถให้ผลิตผลได้เป็ นจานวนมากที่เพียงพอต่อความต้องการสาหรับ
อุตสาหกรรม ซึ่งก็คือพืชที่สามารถให้ผลิตผลสูงสุ ด ทาการเก็บเกี่ยวได้ง่าย และมีตน้ ทุ นการผลิ ตต่ า
โดยต้น ทุ น การผลิ ต นั้น จะเกี่ ย วเนื่ อ งกับปริ มาณพื้น ที่ ดิ น ที่ ใ ช้ในการเพาะปลูก ด้ว ย 3) พืชจะต้อ ง
เจริ ญเติ บโตได้ดีให้ผลผลิตเร็ ว โดยใช้ปุ๋ยน้อย และสามารถทาเพาะปลูกได้ต ลอดปี นอกจากนี้ ปัจจัย
เสริ มอื่นๆ เช่น มีคุณสมบัติในการเป็ นแหล่งพลังงานได้ท้ งั ตลอดลาต้น ไม่ใช่ เพียงแต่ ผล ลาต้น และ
ราก การขนส่งทาได้ได้สะดวก ทาให้แห้งได้ง่ายเพื่อลดการสูญเสียพลังงาน เป็ นต้น
นักวิจยั ชาวสหรัฐอเมริ กา (Cheng and Stomp, 2009) จากมหาวิทยาลัย North Carolina State
University ได้คน้ พบว่าพืช ตระกูลแหน (Lemnaceae or duckweed) รู ปที่ 6-11 สามารถนาเป็ นพืช
พลังงานสาหรับการผลิตเอทานอลได้ โดยพืชตระกูลแหน มีสายพันธุม์ ากว่า 27 สายพันธุ์ และเป็ นพืชที่
มีการเจริ ญเติบโตเร็ ว โดย มีระยะเวลา Doubling time ประมาณ 2 ถึง 3 วัน จากการศึกษาในการเลี้ยง
แหนโดยใช้น้ าเสียเป็ นแหล่งอาหารในห้องปฏิบตั ิการพบว่า แหนมีอตั ราการเจริ ญเติบโต 0.2 กิโลกรัม
ของน้ าหนักแห้ง/ตารางเมตร/สัปดาห์ (kg/m2-wk) การเจริ ญเติบโตของแหนในแหล่งน้ าหรื อบ่อน้ า
กลางแจ้งนั้นมีการเจริ ญเติบโตได้ดีและลอยอยูผ่ วิ น้ าเพื่อรับแสงแดด (รู ปที่ 6-12) สร้างการเจริ ญเติบโต
ผ่านการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืช (Photosynthesis) และเมื่อปล่อยให้มีการเจริ ญเติบโตไปเรื่ อยๆโดย
ไม่มีการเก็บเกี่ยว แหนจะเจริ ญเติบโตและลอยอยูบ่ นผิวน้ าอย่างเต็มพื้นที่โดยมีบางส่วนจมอยูใ่ ต้ผวิ น้ า
(รู ปที่ 6-11) จึงเป็ นข้อดีในเรื่ องการทาการเก็บเกี่ยว นอกจากนี้แหนเป็ นพืชที่มีขนาดเล็กจึงมีพ้นื ที่ผวิ
มากเมื่อเทียบกับน้ าหนัก และยังเป็ นพืชที่ไม่มีสารเคลือบผิว (Waxy) เมื่อเปรี ยบเทียบกับพืชที่ปลูกบน
บกจะมีสารเคลือบผิวเพื่อป้ องกันการสูญเสียน้ า ด้วยข้อได้เปรี ยบที่กล่าวมาทาให้แหนสามารถทาให้
แห้งได้อย่างรวดเร็ วจึงเป็ นการช่วยประหยัดพลังงานได้มาก
ที่มา: http://www.okpond.com/
3) ศักยภาพผลิตภัณฑ์จากพืชตระกูลแหน
การเพิ่มมูลค่าแหนที่เป็ นผลิตภัณฑ์จากการบาบัดน้ าเสียไปใช้ แบ่งออกเป็ น 2 แนวทาง คือ
ก) แหนที่มีโปรตีนเป็ นองค์ประกอบ ประมาณร้อยละ 15 ถึง 45 สามารถนาไปใช้เป็ น
วัตถุดิบในการผลิตอาหารสัตว์เศรษฐกิจ และ อาหารปลา
ข) แหนสามารถนาไปเป็ นวัตถุดิบสาหรับการผลิตแป้ ง และ พลังงานจากเอทานอล
ก) แหนสาหรับการผลิตอาหารสัตว์
งานวิจยั ในอดีต ได้มกี ารนาแหนไปเป็ นแหล่งโปรตีนสาหรับการผลิตอาหารสัตว์
โดยองค์ประกอบของพืชตระกูลแหนที่น่าสนใจ คือ โปรตีน (ร้อยละ 15 ถึง 45 ของน้ าหนักแห้ง)
ซึ่งปริ มาณโปรตีนนั้นขึ้นอยูก่ บั สายพันธุ์ และ ปัจจัยการเจริ ญเติบโต โดยเมื่อเปรี ยบเทียบกับ
ถัว่ (Soy bean) จะมีประมาณ โปรตีน ประมาณ ร้อยละ 33 ถึง 49 ของน้ าหนักแห้ง
จากการศึกษาของ Cheng และ Stomp (2009) ได้ทาการคานวณปริ มาณโปรตีนที่
ได้จากการเพาะเลี้ยงแหนจากน้ าเสีย พบว่าองค์ประกอบโปรตีนในแหนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับร้อยละ
30 ของน้ าหนักแห้ง และแหนให้ผลิตผล 0.2 กิโลกรัม/ตารางเมตร/สัปดาห์ (kg/m2-wk) หรื อ
10,000 กิโลกรัม/เฮกแตร์/ปี (kg/hectare-yr) หรื อเท่ากับ 62,500 กิโลกรัม/ไร่ /ปี ซึ่งการเลี้ยง
แหนจากน้ าเสียนั้นสามารถให้ค่าโปรตีน ประมาณ 3,000 กิโลกรัม/เฮกแตร์/ปี ตลอดฤดูกาล
เพาะปลูก 12 เดือน เมื่อได้ทาการเปรี ยบเทียบกับผูว้ จิ ยั อืน่ Bhanthumnavin และ Mcgarry
(1971) ได้รายงานว่า พืชตระกูลแหน สายพันธ์ Wolffia globosa ในประเทศไทยสามารถ
ให้โปรตีน ประมาณ 2,000 กิโลกรัม/เฮกแตร์/ปี และเปรี ยบเทียบกับงานวิจยั อื่นๆ พบว่าพืช
ตระกูลถัว่ (Soy bean) ข้าว และข้าวโพด ผลิตโปรตีน ประมาณ 300 70 และ 180 กิโลกรัม/
เฮกแตร์/ปี ตามลาดับ จากการศึกษาวิจยั ที่ได้มีการนาแหนไปเป็ นแหล่งโปรตีนในการเลี้ยง
สัตว์เศรษฐกิจ ได้แก่ วัว สุกร แกะ แพะ เป็ ด ไก่ และ ปลา แต่อย่างไรก็ตามการศึกษาเหล่านี้
มิได้กล่าวถึงสารพิษในพืชต่อการผลิตเป็ นอาหารสัตว์
ข) แหนกับการผลิตเอทานอล
การผลิตเอทานอลจากพืชต่างๆหรื อวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร (Agricultural
residuals) มีวตั ถุดิบแตกต่างกันไป เพื่อที่จะสามารถเป็ นแหล่งพลังงานทดแทนอย่างยัง่ ยืน
สาหรับมนุษย์ต่อไปในอนาคต การสนับสนุนการะปลูกพืชพลังงานสาหรับการผลิตเอทานอล
ไม่ว่าจะเป็ น ข้าวโพด อ้อย และมันสาปะหลัง พืชเหล่านี้ลว้ นเป็ นแหล่งวัตถุดิบของ
อุตสาหกรรมอาหาร จึงอาจก่อให้เกิดการแข่งกันระหว่างตลาดอาหารและตลาดพลังงาน
ข้ อจากัด
1) การผลิตเอทานอลจากแหนยังอยูใ่ นระดับห้องปฏิบตั ิการ
2) การนาแหนไปผลิตอาหารสัตว์ตอ้ งคานึงถึงสิ่งปนเปื้ อน เช่น สารพิษและโลหะหนัก
3) เกษตรกรต้องมีพ้นื ที่สาหรับจัดสร้างบ่อพักน้ าเสียสาหรับการเลี้ยงแหน
6.7.1 หลักการและวิธกี าร
การเพาะเลี้ยงไรแดงในบ่อดิน เป็ นวิธีการที่ใช้ตน้ ทุนในระยะเริ่ มงานต่า และสามารถเพาะเลี้ยง
ไรแดงได้ครั้งละมากๆ ตามขนาดของที่ดิน แต่มขี อ้ เสียอยูเ่ หมือนกัน เพราะอาจมีสิ่งปนเปื้ อนหรื อศัตรู
ของไรแดงเข้ามาปะปนอยูไ่ ด้ง่าย และอาจก่อให้เกิดความเสียหายได้ครั้งละมากๆ เช่นกัน
การดาเนินการการเพาะเลี้ยงไรแดงในบ่อดิน
1) เตรี ยมบ่อดิน ขนาดประมาณ 200-800 ตารางเมตร จานวนกี่บ่อก็ได้ แล้วแต่เป้ าหมายในการผลิต
โดยกาจัดวัชพืชและสิ่งสกปรกภายในบ่อ ปรับพื้นบ่อให้เรี ยบ อัดดินให้แน่น แล้วตากบ่อ
ไว้ 2-3 วัน
2) สูบน้ าเข้าบ่อโดยกรองด้วยอวนมุง้ สีเขียวที่หวั ดูดน้ า และที่ปลายท่อส่งน้ าให้กรองด้วยผ้า
กรองแพลงตอน ให้น้ ามีระดับสูงประมาณ 25-40 เซนติเมตร แล้วเติมน้ าเขียวลงไปเพื่อเป็ น
หัวเชื้อประมาณ 2,000 ลิตร และสารเอนไซม์ชีวภาพคุณภาพดี ประมาณ 500 ซีซี หรื อ 2
แก้วน้ าดื่ม
3) ใส่ปุ๋ยและอาหารของไรแดงตามสูตรดังนี้
ถ้าไม่มีอามิ-อามิ ใช้ข้ ีไก่ ประมาณ 1 กิโลกรัม ต่อพื้นที่บ่อ 10 ตารางเมตร หลังจากนี้
ประมาณ 3-4 วัน น้ าจะเริ่ มมีสีเขียว
4) เติมเชื้อไรแดงมีชีวิตประมาณ 2 กิโลกรัม ถ้ามีเครื่ องปั๊มลมก็ควรให้อากาศแก่น้ าในบ่อเพาะ
ไรแดงด้วย
5) เริ่ มเก็บเกี่ยวผลผลิตไรแดงได้ต้งั แต่วนั ที่ 4 - 7 ซึ่งระยะนี้ไรแดงจะมีปริ มาณหนาแน่นมาก
ควรรี บเก็บเกี่ยวให้มากที่สุด หลังจากนี้ ปริ มาณไรแดงจะเบาบางลง จึงควรเติมอาหาร
ประเภทที่ถกู ย่อยสลายได้รวดเร็ ว เช่น น้ าถัว่ เหลือง น้ าเขียว รา เลือดสัตว์สดๆ ปุ๋ ย
วิทยาศาสตร์ และปุ๋ ยคอก โดยเติมเพียงครึ่ งหนึ่งของในตอนเริ่ มต้น ไรแดงจะเพิ่มจานวน
ขึ้นอีกภายใน 2 - 3 วัน เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตไรแดงได้ หลังจากนั้น 2 - 3 วัน ปริ มาณจะ
ลดลงก็เติมอาหารลงไปอีกในอัตราเดิม ไรแดงจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แต่เพิ่มในอัตราที่นอ้ ยกว่า
ครั้งที่ผา่ นมา เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตไรแดงแล้ว ควรล้างบ่อแล้วเริ่ มต้นเพาะในรอบใหม่ต่อไป
เพราะจากประสบการณ์ที่นกั วิชาการได้รับการเพาะไรแดงโดยวิธีน้ ี ไรแดงจะมีผลผลิตดีอยู่
ไม่เกิน 15 วัน
บทที่ 7
การผลิตปุ๋ ย แคลเซียม-ฟอสเฟต
(Calcium phosphate as Fertilizer)
อย่างไรก็ดีกระบวนการตกผลึกฟอสเฟตด้วยวิธีการนี้ มิได้เกิดขึ้นโดยอาศัยปฏิกิริยาข้างต้นเท่านั้น
สารประกอบฟอสเฟตในรู ปอื่นๆ เช่น โพลิฟอสเฟต อาจถูกกาจัดโดยกระบวนการดูดติดผิวของ
(Adsorption) ไฮดรอกซีอะพาไทท์ (Hydroxy zapatite) ที่เกิดขึ้นจากการตกผลึกฟอสเฟต และเมื่อค่าพีเอช
ที่มา: Bauer et al., 2007 ทีม่ า: Blue lagoon on pig farm (2005), www.nps.ars.usda.gov.
pH=7.5,8,9,10
Solution
analysis
-pH
-TKN
-PO43- or TP
-Alkalinity
-COD
-Metal &
ions, Ca2+,
Mg2+
Solid
analysis
-XRD
-SEM &EDS
วัตถุประสงค์
เพือ่ ศึกษาสภาวะที่เหมาะต่อการตกผลึกปุ๋ ยละลายช้า HAP (Calcium Hydroxyapatite
,Ca5(PO4)3(OH) ในน้ าเสียสังเคราะห์ (Synthesis wastewater)
เครื่องมือวิเคราะห์ และอุปกรณ์ต่างๆ
1) เครื่ องวัดความเป็ นกรดและด่าง (pH meter)
2) เครื่ องมือวิเคราะห์โครงสร้างผลึกด้วยเทคนิคการเลี้ยวเบนของรังสี เอ็กซ์ (X-ray Diffraction,
XRD)
3) เครื่ องมือถ่ายภาพขนาดไมโครเมตรโดยใช้กล้องจุลทรรศน์กาลังขยายสูง (Scanning Electron
Microscope, SEM)
4) UV spectrophotometer
5) เครื่ องกวนสารผสม (Magnetic stirrer)
6) ปั๊มดูดสุญญากาศ
7) ชุดกรองแยกสาร
8) ตูอ้ บความร้อน (Oven)
9) เครื่ องชัง่ 4 ตาแหน่ง
วัสดุและสารเคมี
1) Calcium Chloride - CaCl2 (Industrial grade)
2) Sodium di-hydrogen phosphate (Na2HPO4) (ACS grade)
3) Calcium hydroxide [Ca(OH)2] หรื อ ปูนขาว
4) Nitric acid (HNO3)
5) กระดาษกรองใยแก้ว
6) อุปกรณ์เครื่ องแก้วอื่นๆ
วิธีการทดลอง
1) เตรียมสารละลายแคลเซียม-ฟอสเฟต ในอัตราส่ วนโมล 1:1 (Molar ratio of Ca :PO4) เพือ่
สังเคราะห์ ผลึกแคลเซียมฟอสเฟต
ชัง่ น้ าหนักสาร Calcium Chloride (CaCl24H2O) และ Sodium di-hydrogen phosphate
(Na2HPO4) ให้มีสดั ส่วนโมลของแคลเซียม:ฟอสเฟต (Ca:P ratio) เท่ากับ 1:1 จากนั้น ละลายสารผสม
ในน้ าบริ สุทธิ์คุณภาพสูง 18 เมกะโอมห์ (M) ปริ มาตรสุทธิเท่ากับ 1 ลิตร ในขั้นตอนการผสมสารใช้
เครื่ องกวนสารผสม (Magnetic stirrer) กวนให้สารผสมละลายเข้าด้วยกัน ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
เพื่อให้ได้สารละลายผสมของแคลเซียมฟอสเฟต
ผลที่คาดว่าจะได้ รับ
1) ได้ลกั ษณะของโครงสร้าง และองค์ประกอบของผลึก HAP (Ca5(PO4)3(OH))
2) ได้ปริ มาณการเกิดตะกอนผลึก HAP (จากการคานวณน้ าหนักผลึกที่เกิดขึ้นในน้ าเสีย
สังเคราะห์)
3) ได้สภาวะที่เหมาะสมในการเกิดผลึก HAP เพื่อนาข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการตกตะกอน
ผลึก HAP จากน้ าทิ้งฯจากระบบก๊าซชีวภาพของฟาร์มสุกร
แผนผังการทดลอง
1) เตรียมสารละลายแคลเซียม-ฟอสเฟต ในอัตราส่ วนโมล 1:1 (Molar ratio of Ca2+: PO4)
ชัง่ สาร CaCl24H2O และ Na2HPO4 ให้มีอตั ราส่วนโมล Ca2+ : PO43- เท่ากับ 1:1
ละลายในน้ ากลัน่ บริ สุทธิ์ และปรับปริ มาตรสุทธิเป็ น 1 ลิตร
ตั้งพักสารละลายผสมทิ้งไว้ให้เกิดตะกอนผลึก
ใช้เวลาปริ มาณ 48 ชัว่ โมง
* ปรับ pH ของสารละลายเป็ น pH = 7.5 (น้ าเสียจริ ง), 8.0 , 9.0 และ 10.0 และทาการทดลองตามแผนผังการทดลองซ้ า
ผลการทดลอง
1. โครงสร้างผลึกและองค์ประกอบของผลึก HAP
2. ปริ มาณของผลึก HAP ที่ผลิตได้ โดยการเปรี ยบเทียบน้ าหนักที่สภาวะต่างๆ ของอัตราส่วน
โมล และค่าความเป็ นกรดและด่าง ที่แตกต่างกัน
3. สภาวะที่เหมาะสมสาหรับการผลิตปุ๋ ยละลายช้า HAP
วัตถุประสงค์
1) เพื่อศึกษาคุณภาพน้ าทิ้งจากระบบบาบัดน้ าเสียแบบผลิตก๊าซชีวภาพของฟาร์มสุกร
2) เพื่อศึกษาหาสภาวะ และปริ มาณสารเคมีที่เหมาะสมในการเติมลงในน้ าทิ้งสุดท้ายของ
ฟาร์มสุกร เพื่อให้เกิดการตกตะกอน ผลึก HAP (Ca5(PO4)3(OH)
3) เพื่อเปรี ยบเทียบองค์ประกอบและปริ มาณของตะกอนผลึก HAP ระหว่างการใช้น้ าเสีย
สังเคราะห์ (Synthetic wastewater) และน้ าทิ้งฯของฟาร์มสุกร (Effluent wastewater from
biogas)
เครื่องมือวิเคราะห์ และอุปกรณ์ต่างๆ
1) เครื่ องวัดความเป็ นกรดและด่าง (pH meter)
2) เครื่ องมือวิเคราะห์โครงสร้างผลึกด้วยเทคนิ คการเลี้ยวเบนของรังสี เอ็กซ์ (X-ray Diffraction,
XRD)
3) เครื่ องมื อถ่า ยภาพขนาดไมโครเมตรโดยใช้ก ล้องจุ ลทรรศน์ ก าลังขยายสู ง ( Scanning
Electron Microscope, SEM)
4) เครื่ องมือวิเคราะห์หาปริ มาณโลหะ (Atomic absorption spectroscopy ,AAS)
5) UV spectrophotometer
6) เครื่ องกวนสารผสม (Magnetic stirrer)
7) ชุดกรองแยกสาร
8) ตูอ้ บความร้อน (Oven)
9) อุปกรณ์เก็บตัวอย่างน้ า (Grab Sampling)
10) เครื่ องชัง่ 4 ตาแหน่ง
วัสดุและสารเคมี
1) Ammonium di-hydrogen phosphate (Na2HPO4) (ACS grade) – PO43-Source
2) Calcium hydroxide [Ca(OH)2] หรื อ ปูนขาว ‟ pH และ Ca2+ Source
3) Nitric acid (HNO3) ‟ pH
4) กระดาษกรองใยแก้ว
วิธีการทดลอง
1) ศึกษาคุณภาพนา้ ในบ่อพักนา้ ทิง้ สุดท้ ายของฟาร์ มสุ กร
ทาการเก็บตัวอย่างน้ าทิ้งในบ่อพักน้ าทิ้งสุดท้ายของฟาร์ มสุ กร มาวิเคราะห์หาคุณภาพของน้ าทิ้งฯ
โดยทาการศึกษาพารามิเตอร์ต่างๆ ดังนี้
(1) ความเป็ นกรดและด่าง (pH)
(2) บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand, BOD)
(3) ซีโอดี (Chemical Oxygen Demand, COD)
(4) ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN)
(5) ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS)
(6) ค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity)
(7) ปริ มาณของฟอสเฟตที่ละลายอยูใ่ นน้ า (Solubility phosphate, PO43-)
(8) ปริ มาณของฟอสเฟตทั้งหมด (Total phosphate as P)
(9) ปริ มาณของ Ca2+ และ Mg2+
แผนผังการทดลอง
1) ศึกษาคุณภาพนา้ ในบ่อพักนา้ ทิง้ สุดท้ ายของฟาร์ มสุ กร และศึกษาหาสภาวะ และปริมาณ
สารเคมีที่เหมาะสมในการเติมลงในนา้ ทิง้ สุดท้ ายของฟาร์ มสุ กร เพือ่ ให้เกิดการตกตะกอนผลึก
HAP โดยปรับให้ มอี ตั ราส่ วนโมลระหว่าง แคลเซียม ต่อ ฟอสเฟต เท่ ากับ 1:0
วิเคราะห์คุณภาพน้ าทิง้ ในบ่อพักน้ าสุ ดท้ายของฟาร์ มสุ กร
โดยวิเคราะห์หาค่า pH, BOD, COD, TKN, TSS, Alkalinity, PO43-, Ca2+และ Mg2+
ปรับอัตราส่ วนโมลของ Ca: PO4 ในน้ าทิ้งฯ ให้มีอตั ราส่ วน 1:0 หรื อโดยไม่ทาการเติม
ฟอสเฟต
ตั้งพักสารละลายผสมทิ้งไว้ให้เกิดตะกอนผลึก HAP
ใช้เวลาปริ มาณ 48 ชัว่ โมง
แผนผังการทดลอง
2) ศึกษาคุณภาพนา้ ในบ่อพักนา้ ทิง้ สุดท้ ายของฟาร์ มสุ กร และศึกษาหาสภาวะ และปริมาณ
สารเคมีที่เหมาะสมในการเติมลงในนา้ ทิง้ สุดท้ ายของฟาร์ มสุ กร เพือ่ ให้เกิดการตกตะกอนผลึก
HAP โดยปรับให้ มอี ตั ราส่ วนโมลระหว่าง แคลเซียม ต่อ ฟอสเฟต เท่ ากับ 1:1
วิเคราะห์คุณภาพน้ าทิ้งในบ่อพักน้ าสุ ดท้ายของฟาร์ มสุ กร
โดยวิเคราะห์หาค่า pH, BOD, COD, TKN, TSS, Alkalinity, PO43-, Ca2+ และ Mg2+
ปรับอัตราส่ วนโมลของ Ca: PO4 ในน้ าทิ้งฯ ให้มีอตั ราส่ วน 1:1 โดยเติมสารเคมี
Na2HPO4
ตั้งพักสารละลายผสมทิ้งไว้ให้เกิดตะกอนผลึก HAP
ใช้เวลาปริ มาณ 48 ชัว่ โมง
แผนผังการทดลอง
3) ศึกษาคุณภาพนา้ ในบ่อพักนา้ ทิง้ สุดท้ ายของฟาร์ มสุ กร และศึกษาหาสภาวะ และปริมาณ
สารเคมีที่เหมาะสมในการเติมลงในนา้ ทิง้ สุดท้ ายของฟาร์ มสุ กร เพือ่ ให้เกิดการตกตะกอนผลึก
HAP โดยปรับให้ มอี ตั ราส่ วนโมลระหว่าง แคลเซียม ต่อ ฟอสเฟต เท่ ากับ 2:1
วิเคราะห์คุณภาพน้ าทิ้งในบ่อพักน้ าสุ ดท้ายของฟาร์ มสุ กร
โดยวิเคราะห์หาค่า pH, BOD, COD, TKN, TSS, Alkalinity, PO43-, Ca2+ และ Mg2+
-
ปรับอัตราส่ วนโมลของ Ca: PO4 ในน้ าทิ้งฯ ให้มีอตั ราส่ วน 2:1 โดยเติมสารเคมี
Na2HPO4
ตั้งพักสารละลายผสมทิ้งไว้ให้เกิดตะกอนผลึก HAP
ใช้เวลาปริ มาณ 48 ชัว่ โมง
การน าน้าที่ผ่ า นการบ าบัด ฯ จากฟาร์ มสุ ก รมาผลิต ปุ๋ ยแคลเซี ย มฟอสเฟต หรื อ
ปุ๋ ยอะพาไทด์ (Apatite) ในระดับห้ องปฏิบัตกิ าร
เริ่ มจากการน าน้ าที่ ผ่านการบาบัด ฯ มาปรั บให้มี ค่ าพีเ อส (pH) 7-10 โดยการเติ ม
สารเคมี 2 ชนิ ด คื อ แคลเซี ย มคลอไรด์ (CaCl2 4H2O) และไดโซเดี ย มไฮโดรเจนฟอสเฟต
(Na2HPO46H2O) ในปริ ม าณที่ เ หมาะสม และท าการกวนผสมให้ส ารผสมละลายเข้ากัน ให้เ ป็ น
เนื้อเดียวกัน ซึ่งในขั้นตอนกวนผสมนี้จะทาให้สารเคมีและธาตุอาหารต่างๆ ที่ละลายอยู่ในน้ าเกิดการ
ทาปฏิกิริยาเคมีต่อกัน และทาให้เกิดสารประกอบเคมีอินทรี ยใ์ นรู ปแบบใหม่ ซึ่งประกอบไปด้วยธาตุ
อาหารที่เป็ นประโยชน์ต่อพืช ทั้งนี้ลกั ษณะของสารประกอบเคมีอินทรี ยท์ ี่เกิดขึ้นใหม่น้ ี จะอยูใ่ นรู ปของ
ตะกอนผลึกขนาดใหญ่และตะกอนขนาดเล็ก และเมื่อทาการแยกตะกอนของสารประกอบเคมีอินทรี ย ์
ที่ประกอบไปด้วยธาตุอาหารที่เป็ นประโยชน์ต่อพืช ออกจากน้ าที่ผ่านการบาบัดฯ โดยนามาทาให้แห้ง
ก็จะได้ผลิตภัณฑ์ คือ ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต หรื อเรี ยกว่าปุ๋ ยอะพาไทด์ นั่นเอง ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่เกิดขั้นนี้
สามารถนาไปใช้ในการเกษตรกรรมต่อไปได้
7.3.3 ผลการทดลองการผลิต ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต หรือ ปุ๋ ยอะพาไทด์ (Apatite) โดยใช้ นา้ เสียสัง เคราะห์
การออกแบบวิธีการทดลองในการผลิต “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” ในน้ าเสี ยสังเคราะห์มีข้ นั ตอน
ต่างๆ ที่ตอ้ งทาการควบคุมสภาวะและปั จจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต เพื่อให้ผลการศึกษาทดลอง
ที่ได้มีความถูกต้อง และสามารถนาข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการผลิต “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต ” จากน้ าที่ผ่าน
การบาบัดฯ จากฟาร์มสุกรได้ต่อไป
ทั้งนี้ในขั้นตอนการทดลองต้องทาการควบคุมสภาวะและปั จจัยต่างๆ ในการผลิต โดยเริ่ มจาก
การเตรี ยมน้ าเสียสังเคราะห์ ซึ่งก็คือ การนาน้ าที่มีความบริ สุทธิ์สูงมาเติมสารเคมี 2 ชนิ ด คือ แคลเซียม
คลอไรด์ (CaCl2 4H2O) และไดโซเดียมไฮโดรเจนฟอสเฟต (Na2HPO46H2O) ในปริ มาณที่เหมาะสม
จากนั้นใช้สารละลายของโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ปรับให้ค่าความเป็ นกรดและด่างน้ า และทา
การกวนผสมสารให้ละลายเข้าด้วยกันด้วยเครื่ องกวนผสมสารเคมี ซึ่งในขั้นตอนการทดลองนั้น ได้มี
การศึกษาถึงสภาวะต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการเกิดเป็ นผลิตภัณฑ์ “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” กล่าวคือ ศึกษา
ปริมาณธาตุ (%)
องค์ประกอบของตะกอน
O Ca P Cl Na
ผลการวิเคราะห์ ตะกอน
59.29 ± 6.86 8.64 ± 6.87 6.06 ± 4.37 6.91 20.01 ± 3.93
ผลึกปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต
7.3.3.2 ผลวิเคราะห์ ปริมาณ “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” หรือ “ปุ๋ ยอะพาไทด์ ” ที่เกิดขึน้ ในการทาปฏิกริ ิยา
เคมี
จากผลการวิเคราะห์ปริ มาณของ “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” หรื อ “ปุ๋ ยอะพาไทด์” ที่ผลิตได้ พบว่า
ในสภาวะที่สารละลายมีค่าความเป็ นกรดและด่า ง (pH) เพิ่มมากขึ้น คือ ที่ pH 7 , pH 8 , pH 9 และ pH 10 จะ
พบปริ มาณของปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟตมากขึ้นตามลาดับ คือ พบปริ มาณ “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต ” เท่ากับ
1.63 , 1.93 , 2.31 และ 2.39 กรัม ตามลาดับ ดังแสดงในตารางที่ 7-5
ตารางที่ 7-6 ผลการวิเ คราะห์คุ ณ ภาพของน้ าเสี ย สังเคราะห์ หลังจากตกตะกอนผลึ ก ของ “ปุ๋ ย
แคลเซียมฟอสเฟต” จากน้ าเสียสังเคราะห์
ผลการวิเคราะห์ คุณภาพของนา้ เสี ยสั งเคราะห์
อัตราส่ วน ปริมาณไนโตรเจนทั้งหมด ปริมาณฟอสฟอรัสทั้งหมด
pH โมล
ค่าความเป็ นด่ าง ปริมาณซีโอดี
ในนา้ ในนา้
(Total Kjeldahl
Ca:P (Alkalinity) (COD) (Total Phosphorus)
Nitrogen, TKN)
(mg/L) (mg/L) (mg/L) (mg/L)
ไม่ ปรับ
1:1 87 7 110 34
pH
pH 8 1:1 48 7 100 8
pH 9 1:1 110 7 100 0.2
pH 10 1:1 280 7 110 0.2
ทั้ง นี้ รายละเอี ย ดของผลวิ เ คราะห์ คุ ณ ภาพของน้ าเสี ย สัง เคราะห์ มี ร ายละเอี ย ดในแต่ ล ะ
พารามิเตอร์ต่างๆ ดังต่อไปนี้
7.3.4 ผลการทดลองการผลิต “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” หรือ “ปุ๋ ยอะพาไทด์ ” โดยใช้ นา้ ที่ผ่านระบบ
บาบัดการผลิตก๊าซชีวภาพจากฟาร์ มสุ กร
การออกแบบวิธีการทดลองในการผลิต “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” หรื อ “ปุ๋ ยอะพาไทด์” ในน้ า ที่
ผ่านระบบบาบัดการผลิตก๊าซชีวภาพจากฟาร์ มสุ กร มีข้ นั ตอนต่างๆ ที่ตอ้ งทาการควบคุมสภาวะและ
ปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต เพื่อให้ผลการศึกษาทดลองที่ได้มีความถูกต้อง และที่สาคัญคือนาผล
การทดลองไปใช้เพื่อการจัด สร้ างอุปกรณ์ ต ้น แบบ (Pilot scale) สาหรั บใช้ในการผลิต “ปุ๋ ยแคลเซี ยม
ฟอสเฟต” หรื อ “ปุ๋ ยอะพาไทด์” หรื อใช้สาหรับการผลิตในโรงงานต้นแบบ (Full scale) เพื่อต่อยอดการผลิต
ในระดับอุตสาหกรรมการผลิตปุ๋ ยในเชิงพาณิ ชย์ต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ในขั้นตอนการทดลองต้องทาการควบคุมสภาวะและปัจจัยต่างๆ ในการผลิต โดยเริ่ มจาก
การนาน้ าที่ผา่ นการบาบัดฯ มาเติมสารเคมี คือ โซเดียมไดไฮโดรเจนฟอสเฟต (NaH2PO4) จากนั้น ทาการ
กวนผสมสารให้ละลายเข้าด้วยกัน ด้ว ยเครื่ องกวนผสมสารเคมี ซึ่ งในขั้น ตอนการทดลองนั้น ได้มี
การศึกษาถึงสภาวะต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการเกิดเป็ นผลิตภัณฑ์ “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” หรื อ “ปุ๋ ยอะพาไทด์”
กล่าวคื อ ศึก ษาสภาวะของปริ มาณสารเคมีที่เติ มลงไป โดยค านวณเป็ นสัดส่ ว นโมลของแคลเซี ยม
ต่อฟอสเฟต (Ca:P) เท่ากับ 1:0 , 1:1 และ 2:1 และทาการปรับค่าความเป็ นกรดและด่าง (pH) ของน้ า โดยใช้
ปูนขาว (Ca(OH)2) ซึ่งค่าความเป็ นกรดและด่าง (pH) ของน้ าที่ทาการศึกษา มี 4 สภาวะ คือ (1) สภาวะที่
ไม่ได้ทาการปรับค่า pH ของน้ า (2) สภาวะที่ทาการปรับให้น้ ามี pH เท่ากับ pH 8 (3) สภาวะที่มีการปรับ
ให้น้ ามี pH เท่ากับ pH 9 และ (4) สภาวะที่มีการปรับให้น้ ามี pH เท่ากับ pH 10 โดยแสดงตารางสรุ ปผล
การศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่ใช้ในการผลิต “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” ในน้ าที่ผ่านระบบบาบัดฯ จากฟาร์ มสุ กร
ดังในตารางที่ 7-7
ตารางที่ 7-7 ตารางสรุ ปผลการศึกษาปัจจัยต่างๆ ที่ใช้ในการศึกษาการผลิต “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต”
หรื อ “ปุ๋ ยอะพาไทด์” ในน้ าที่ผา่ นระบบบาบัดฯ จากฟาร์มสุกร
ปัจจัยต่างๆ ทีศ่ ึกษา รายละเอียด
1. สารเคมีที่ใช้ในการสร้างผลิต “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” NaH2PO4
หรื อ “ปุ๋ ยอะพาไทด์”
2. สภาวะที่ศึกษา เพื่อหาสภาวะที่เหมาะสมในการเกิดผลึก
2.1 สัดส่วนโมล Ca : P 1:0 , 1:1 , 2:1
2.2 สารเคมีที่ใช้ปรับ pH ปูนขาว (Ca(OH)2)
2.3 ช่วง pH ที่ทดลอง ไม่ปรับ pH, pH 8, pH 9 และ pH 10
7.3.4.1 ลักษณะโครงสร้ างและองค์ประกอบของ “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” หรือ “ปุ๋ ยอะพาไทด์ ” จากนา้ ที่
ผ่านระบบบาบัดฯ จากฟาร์ มสุ กร
ผลจากการทาปฏิกิริยาเคมีระหว่างไอออนต่างๆ ที่อยู่ในของน้ าที่ผ่านระบบบาบัดฯ จากฟาร์ ม
สุ กร พบว่า มีตะกอนที่มีขนาดใหญ่และตะกอนขนาดเล็กเกิดขึ้นร่ วมกัน ซึ่งจากผลการวิเคราะห์ลกั ษณะ
โครงสร้ างและองค์ประกอบของตะกอน โดยการใช้ เครื่ องถ่ายภาพขนาดไมโครเมตรโดยใช้กล้อง
จุลทรรศน์ก าลังขยายสู ง (Scanning Electron Microscope, SEM) พบว่า ตะกอนที่ ได้มีลกั ษณะเป็ น
ตะกอนผงละเอียดและตะกอนที่มีลกั ษณะเป็ นผลึก ซึ่งตะกอนผลึกเป็ นสารประกอบของ “แคลเซียม-
ฟอสเฟต” หรื อก็คือ ผลึกของ “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” ดังแสดงในรู ปที่ 7-7
ตะกอนผงละเอียด ผลึกแบบเม็ดกลม
มากขึ้น เมื่อ pH ของน้ าสูงขึ้น นัน่ คือ ปริ มาณตะกอนของ ไม่ปรับ pH < pH 8 < pH 9 < pH 10 ดังแสดง
ในตารางที่ 7-9
7.3.4.3 คุณภาพของน้าที่ผ่ านการบ าบั ด ฯ จากฟาร์ มสุ ก รหลัง จากตกตะกอนผลึก “ปุ๋ ยแคลเซี ย ม
ฟอสเฟต” หรือ “ปุ๋ ยอะพาไทด์ ”
น าผลการศึ ก ษาคุ ณ ภาพของน้ าที่ ผ่านการบ าบัด ฯ จากฟาร์ ม สุ ก ร (รายละเอี ย ดแสดงใน
ภาคผนวก ค-1) มาวิเ คราะห์ เปรี ย บเที ย บกับ ผลการศึ ก ษาคุ ณ ภาพน้ า ที่ ผ่า นการบาบัด ฯ หลังจาก
ตกตะกอนผลึก “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” หรื อ “ปุ๋ ยอะพาไทด์” ซึ่งผลวิเคราะห์ค่าพารามิเตอร์ ต่างๆ ของ
น้ า มีดงั นี้
(1) ค่าความเป็ นด่างของน้ าเสี ยสังเคราะห์ (Alkalinity)
(2) ปริ มาณซีโอดี (Chemical Oxygen Demand, COD)
(3) ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมด (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN)
(4) ปริ มาณฟอสฟอรัสทั้งหมด (Total Phosphorus)
(1) ค่ าความเป็ นด่ าง (Alkalinity) ของน้าที่ผ่ านการบ าบัด ฯ จากฟาร์ มสุ ก ร หลัง จาก
ตกตะกอนผลึกของ “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต”
ผลการวิเคราะห์หาค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) ของน้ าที่ผ่านการบาบัดฯ จากฟาร์ ม
สุกร หลังจากตกตะกอนผลึกของ “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” พบว่า ประสิ ทธิภาพการกาจัดค่าความเป็ น
ด่างของน้ าที่ผา่ นการบาบัดฯ จากฟาร์ มสุ กร (% Removal) มีผลดีที่สุดในสภาวะของการปรับสัดส่ วน
โมลระหว่าง Ca : P เท่ากับ 1:1 กล่าวคือ เมื่อปรับให้น้ ามี pH เท่ากับ 7 สามารถลดค่าความเป็ นด่างของ
น้ าได้ร้อยละ 68.9 และเมื่อปรับให้ pH เท่ากับ 8 สามารถลดค่าความเป็ นด่างของน้ าได้ร้อยละ 28.3
และเมื่อปรับให้ pH เท่ากับ 9 สามารถลดค่าความเป็ นด่างของน้ าได้ร้อยละ 37.7 สุ ดท้ายเมื่อปรับให้
pH เท่ากับ 10 สามารถลดค่าความเป็ นด่างของน้ าได้ร้อยละ 71.7 ในทางตรงกันข้ามในสภาวะของการ
ปรับสัดส่ วนโมลระหว่าง Ca : P เท่ากับ 1:0 และ 2:1 สามารถลดค่าความเป็ นด่างของน้ าได้น้อยมาก
ดังแสดงในรู ปที่ 7-9
นอกจากนี้ หากพิ จ ารณาในส่ ว นของ “มาตรฐานคุ ณ ภาพน้ าทิ้ ง จากฟาร์ ม สุ ก ร”
(รายละเอียดแสดงในภาคผนวก ง-1) พบว่า ไม่มีการระบุค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) ของน้ าทิ้งจาก
ฟาร์มสุกร แต่ในการผลิตปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟตก็ควรคานึงถึงค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) ที่เพิ่มขึ้นด้วย
ซึ่งหากน้ า มีค่าความเป็ นด่างสู งอาจมีผลทาให้น้ ามีค วามต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลง pH ได้มาก
ไม่เหมาะนาไปใช้ในกิจกรรมอื่นๆ
รูปที่ 7-10 ประสิ ทธิภาพการกาจัดปริ มาณซีโอดี (Chemical Oxygen Demand, COD) ที่ผ่านการ
บาบัดฯ จากฟาร์มสุกร หลังจากตกตะกอนผลึกของ “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต”
รูปที่ 7-11 ประสิ ทธิ ภาพการกาจัดปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมด (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN)
ที่ผา่ นการบาบัดฯ จากฟาร์มสุกร หลังจากตกตะกอนผลึกของ “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต”
ตารางที่ 7-12 สรุ ปผลการผลิต “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” หรื อ “ปุ๋ ยอะพาไทด์” จากน้ าที่ผา่ นระบบบาบัด
ด้วยการผลิตก๊าซชีวภาพจากฟาร์มสุกร
รายละเอียด pH 7 pH 8 pH 9 pH 10
1. ลักษณะของตะกอนที่
เกิดขึน้
ตารางที่ 7-12 สรุ ปผลการผลิต “ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต” หรื อ “ปุ๋ ยอะพาไทด์” จากน้ าที่ผา่ นระบบบาบัด
ด้วยการผลิตก๊าซชีวภาพจากฟาร์มสุกร
รายละเอียด pH 7 pH 8 pH 9 pH 10
2.2 ทาให้ ปริมาณซีโอดี
(COD) ลดลง
2.3 ทาให้ ปริมาณ
ไนโตรเจนทั้งหมด
(TKN) ลดลง
2.4 ทาให้ ปริมาณ
ฟอสฟอรัสทั้งหมด
(TP) ลดลง
3. เปรียบเทียบคุณภาพน้าฯ
ต่ อ มาตรฐานน้ า ทิ้ง จาก
ฟาร์ ม สุ ก ร ประเภท ข
และ ค
9.1 ค่าความเป็ นกรด ไม่เกินเกณฑ์ ไม่เกินเกณฑ์ ไม่เกินเกณฑ์ ไม่เกินเกณฑ์
และด่ างของนา้ มาตรฐาน1 มาตรฐาน1 มาตรฐาน1 มาตรฐาน1
(pH) หลังจากแยก
ตะกอนของแข็ง
9.2 ค่าซีโอดี (COD) ไม่เกินเกณฑ์ ไม่เกินเกณฑ์ ไม่เกินเกณฑ์ ไม่เกินเกณฑ์
ของนา้ หลังจาก มาตรฐาน2 มาตรฐาน2 มาตรฐาน2 มาตรฐาน2
แยกตะกอน
ของแข็ง
บทที่ 8
การผลิตปุ๋ ย แมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต
(Magnesium Ammonium Phosphate as Fertilizer)
8.1 หลักการและทฤษฏี
จากในอดีตที่ผา่ นมาวิธีการกาจัดฟอสฟอรัสออกจากน้ าเสียมีอยูห่ ลายวิธีดว้ ยกัน ทั้งวิธีทางชีวภาพ
(Biological treatment) ‟ การใช้จุ ลิน ทรี ยใ์ นการย่อ ยสลายฟอสฟอรัส และวิธีทางเคมี (Chemical
treatment) ‟ การใช้สารเคมีเพื่อช่วยในการแยกหรื อตกตะกอนฟอสฟอรัสออกจากน้ าเสี ย อาทิเช่น การ
ตกตะกอนเคมี (Chemical precipitation) จะใช้สารเคมีที่ช่ ว ยในการตกตะกอน (Precipitant) จับ
ฟอสฟอรัสที่อยูใ่ นรู ปละลายน้ าในน้ าเสี ยให้ตกตะกอนแยกออกจากน้ า เช่น การตกตะกอนด้วยเหล็ก-
แคลเซียม- หรื อ อลูมิเนี ยม- ฟอสเฟต (Iron-, Calcium- or Aluminium- phosphate) อย่างไรตามวิธีการ
ดังกล่าวไม่ได้รับความนิ ยมเท่าที่ควร เนื่ องจากมีค่ าใช้จ่ายสูงจากการเติมสารเคมีจานวนมากเพื่อการ
กาจัดฟอสฟอรัส และตะกอนเคมีที่เกิดขึ้นไม่สามารถนาไปใช้ประโยชน์
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผา่ นมาเทคโนโลยีการแยกฟอสฟอรัสออกจากน้ าเสียที่เป็ นที่ให้ความสนใจ และ
ทาการศึกษาวิจยั กันอย่างกว้างขวาง คือ การกาจัดฟอสฟอรัสด้วยการตกตะกอนผลึก (Phosphorus
precipitation or crystallization) ผลึกที่ได้เรี ยกว่า แมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต (Magnesium
ammonium phosphate, MAP) หรือสตรูไวท์ (Struvite) (Miles and Ellis, 2001; Burns et al., 2002;
Jaffer and Pearce, 2004; Battistoni et al., 2005; Suzuki et al., 2006)
การตกตะกอนผลึก แมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต หรื อ MAP เป็ นการควบคุม แมกนีเซียม
(Magnesium, Mg2+) แอมโมเนีย (Ammonium, NH4+) และฟอสเฟต (Phosphate, PO43-) ที่ละลายอยู่ในน้ าเสี ย
ให้รวมตัวเกิดเป็ นผลึกของแข็ง และตกตะกอนแยกออกมา โดยทาความควบคุมอัตราส่ วนโมลของสาร
ต่างๆ ค่าพีเอช หรื อค่าความเป็ นกรด-ด่างของน้ า และปั จจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวจ้องให้มีสภาพที่เหมาะสมต่อ
การตกผลึก วิธีการดังกล่าวกาลังเป็ นที่ให้ความสนใจทั้งในระดับห้องปฏิบตั ิการ (Laboratory scale)
ถังปฏิก รณ์ต ้นแบบ (Pilot scale) และโรงงานต้น แบบ (Full scale) ทั้งนี้ เนื่ องจากผลึก MAP ที่ แยก
ตกตะกอนลงมาหรื ออาจเรี ยกได้ว่าเป็ นผลพลอยได้ที่ สร้ างมูลค่าจากน้ าเสี ย สามารถนาไปใช้เป็ นปุ๋ ย
ละลายช้า (Slow release fertilizer) ในการทาการเกษตร หรื อน าไปใช้เป็ นวัต ถุดิ บในอุตสาหกรรม
การผลิตปุ๋ ยแทนแร่ หินฟอสเฟต (Phosphate rock) นอกจากนี้วิธีการนี้ยงั สามารถกาจัดฟอสฟอรัส และ
แอมโมเนียออกจากน้ าเสียได้ในขั้นตอนเดียวอีกด้วย
ที่มา: http://www.paques.nl/
ที่มา : http://www.news.wisc.edu/15422
รูปที่ 8-4 การสะสมของผลึกสตรู ไวท์ในอุปกรณ์ของระบบบาบัดน้ าเสีย
ที่มา http://www.onrti.com/introduction3.htm
8.1.3 ปัจจัยของการเกิดผลึกแมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต
การก าจัด หรื อแยกฟอสฟอรั สออกจากน้ าเสี ย โดยการตกตะกอนผลึ ก MAP เป็ นการใช้
กระบวนการตกตะกอนหรื อตกผลึกทางเคมี (Precipitation / Crystallization process) มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
กาจัดฟอสเฟต (PO43-) และแอมโมเนี ยม(NH4+) ออกจากในน้ าเสี ย โดยใช้แมกนี เซีย ม (Mg2+) เป็ นตัว
ประสานให้เกิดเป็ นผลึกของแข็ง และตกตะกอนแยกออกจากน้ า
ปัจจัยในการควบคุมการเกิดปฏิกิริยาที่สาคัญ ได้แก่ ค่าพีเอชของน้ า อัตราส่ วนโมลที่เหมาะสม
สิ่งเจือปน และอื่นๆ
1) ค่าพีเอช (pH)
ค่าพีเอชของน้ านั้นมีผลต่อการละลายน้ า และการตกผลึกของ แมกนีเซียม แอมโมเนีย และ
ฟอสเฟต ดังนั้นในน้ าเสียที่มีสารเหล่านี้เป็ นองค์ประกอบอยูก่ ารเปลี่ยนแปลงของ ค่าพีเอชอาจทาให้เกิด
สารประกอบได้ในหลายรู ปแบบ นอกจากผลึก MAP (MgNH4PO4„6H2O) อาทิเช่น Mg2+, MgOH+,
MgH2PO4+, MgHPO4, H3PO4, H2PO4-, HPO42-, PO43-, MgPO4-, NH3 (aqueous) เป็ นต้น รู ปที่ 8-6 แสดง
ช่วงค่าพีเอชมีผลต่อการเกิดสารประกอบต่างๆ จะเห็นได้วา่ เมื่อค่าพีเอชของน้ ามีค่าน้อยกว่า 7 (pH < 7)
สารประกอบ แมกนีเซียม แอมโมเนีย และฟอสเฟต จะสามารถละลายน้ าได้ดีจึงไม่ จบั ตัวกันเป็ นผลึก
สตรู ไวท์ และเมื่อพีเอชมีค่าสูงมากว่า 10 (pH>10) ขึ้นไป จะเกิดสารประกอบในรู ปอื่น เช่น
Mg3(PO4)24H2O หรื อ Mg (OH)2 และเมื่อพีเอชมีค่าอยูใ่ นช่วง ประมาณ 7 ถึง 9 (pH 7 - 9) จะเป็ น
ช่วงที่เหมาะสมต่อการเกิดตะกอนผลึก MAP นอกจากนี้ที่สภาวะดังกล่าว และอาจเกิดการตกผลึกของ
แคลเซียมไฮดรอกซีอะพาไทท์ (Calcium hydroxyapatite, HAP) ถ้ามีสารประกอบแคลเซียม หรื อ
แคลเซียมไอออน (Ca2+) ละลายน้ าอยูใ่ นน้ าเสีย ดังนั้นในการสร้างตะกอนผลึกสตรู ไวท์จึงต้องการการ
ควบคุมพีเอชให้เหมาะสมเพื่อที่จะทาให้เกิดตะกอนผลึกสตรู ไวท์ เป็ นสัดส่วนมากที่สุด
MgHPO4 3H2O
เพิ่ม อุณหภูมิ
pH << 7 pH >> 10
No Precipitation Mg3(PO4)2 4H2O
Excess of PO43-
pH >> 10
Excess of PO42-
MgNH4PO4 6H2O Excess of PO4- Mg(OH)2
& others
MgNH4PO4 6H2O
Struvite
3) สิ่งเจือปนในนา้ เสีย
ปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับการตกตะกอนผลึก MAP ได้แก่ ปริ มาณสารแขวนลอย ปริ มาณ
ไอออนต่างๆ ในน้ า และปริ มาณสารเคมีที่ตอ้ งเติมลงไป ซึ่งปัจจัยต่างๆ นั้นล้วนมีผลต่อการตกตะกอน
ของผลึกชนิดต่างๆ ในน้ าเสีย
3 mm plastic tube
pH
V notch weir
Effluent
Centrate from
wet well
30 mm PVC pipe
Compressed air
pH
Treated Water
Separation Digestion
Zone Tank
Struvite Mg(OH)2 NaOH
Separation P StorageTank Digested
P Storage Tank
Sludge
Recovered
Struvite
Granule Fomation Zone
Dehydrator
Raw Water
Returned to
Struvite Granules
Hopper Formation Column
Struvite
B Dewatered
Blower P filrate
Storage
Feed Pump Tank
Sold as Raw Material for Fertilizer
-MgCl26H2O
adjust pH by adding NaOH
- NH4H2PO4
pH = 7.5,8,9,10
Solution
analysis
-pH
-TKN
-PO43- or TP
-Alkalinity
-COD
-Metal & ions,
Mg2+, Ca2+
Solid
analysis
-XRD
-SEM &EDS
วัตถุประสงค์
เพื่ อ ศึ ก ษาสภาวะที่ เ หมาะต่ อ การตกผลึ ก ปุ๋ ยละลายช้า MAP (Magnesium Ammonium
Phosphate : MAP (MgNH4PO46H2O)) ในน้ าเสียสังเคราะห์ (Synthesis wastewater)
เครื่องมือวิเคราะห์ และอุปกรณ์ต่างๆ
1) เครื่ องวัดความเป็ นกรดและด่าง (pH meter)
2) เครื่ องมือวิเคราะห์โครงสร้างผลึกด้วยเทคนิคการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์ (X-ray Diffraction,
XRD)
3) เครื่ องมือถ่ายภาพขนาดไมโครเมตรโดยใช้กล้องจุลทรรศน์กาลังขยายสูง (Scanning Electron
Microscope, SEM)
4) UV spectrophotometer
5) เครื่ องกวนสารผสม (Magnetic stirrer)
6) ปั๊มดูดสุญญากาศ (Vacuum pump)
7) ชุดกรองแยกสาร
8) ตูอ้ บความร้อน (Oven)
9) เครื่ องชัง่ 4 ตาแหน่ง
วัสดุและสารเคมี
1) Magnesium chloride (MgCl26H2O) (ACS grade)
2) Ammonium di-hydrogen phosphate (NH4H2PO4) (ACS grade)
3) Sodium hydroxide (NaOH)
4) Nitric acid (HNO3)
5) กระดาษกรองใยแก้ว
6) อุปกรณ์เครื่ องแก้วอื่นๆ
วิธีการทดลอง
1) เตรียมสารละลายแมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต ในอัตราส่ วนโมล 1:1:1 (Molar ratio of
Mg: NH4 :PO4) ‟ เพือ่ สังเคราะห์ ผลึกสตูรไวท์บริสุทธิ์
ชัง่ น้ าหนักสาร Magnesium chloride (MgCl26H2O) และสาร Ammonium di-
hydrogen phosphate (NH4H2PO4) ให้มีสดั ส่วนโมลของแมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต
เท่ากับ 1:1:1 จากนั้น ละลายสารผสมในน้ าบริ สุทธิ์คุณภาพสูง 18 เมกะโอมห์ (M) ปริ มาตร
สุทธิเท่ากับ 1 ลิตร ในขั้นตอนการผสมสารใช้เครื่ องกวนสารผสม (Magnetic stirrer) กวนให้
สารผสมละลายเข้าด้วยกัน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที เพื่อให้ได้สารละลายผสมของแมกนีเซียม-
แอมโมเนียม-ฟอสเฟต
2) เตรียมสารละลายแมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต ในอัตราส่ วนโมล 2:1:1 (Molar ratio of
Mg: NH4 :PO4)
ชัง่ น้ าหนักสาร Magnesium chloride (MgCl26H2O) และสาร Ammonium di-
hydrogen phosphate (NH4H2PO4) ให้มีสดั ส่วนโมลของแมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต
เท่ากับ 2:1:1 จากนั้น ละลายสารผสมในน้ าบริ สุทธิ์คุณภาพสูง 18 เมกะโอมห์ ปริ มาตรสุทธิ
เท่ากับ 1 ลิตร ในขั้นตอนการผสมสารใช้เครื่ องกวนสารผสม (Magnetic stirrer) กวนให้สาร
ผสมละลายเข้าด้วยกัน ใช้เวลาประมาณ 10 นาที เพื่อให้ได้สารละลายผสมของแมกนีเซียม-
แอมโมเนียม-ฟอสเฟต
3) การศึกษาสภาวะที่เหมาะสมในการตกตะกอนตะกอนผลึก MAP (MgNH4PO46H2O)
นาสารละลายผสมของแมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต ระหว่างอัตราส่วนโมล 1:1:1
และ 2:1:1 ของแมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต ที่ได้ไปทดสอบสภาวะที่เหมาะสมในการ
เกิดตะกอนผลึก MAP
นาสารละลายผสมที่ได้ไปทดสอบสภาวะที่เหมาะสมในการเกิดตะกอนผลึก MAP
โดยทาการปรับค่าความเป็ นกรด และด่าง (pH) ของน้ าตัวอย่าง ให้มีค่า pH ในสารละลาย
เท่ากับ 7.5 (พีเอชของน้ าเสียจริ ง), 8.0, 9.0 และ 10.0 ตามลาดับ โดยใช้กรดไนตริ ก (HNO3)
และสารลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) และนาสารละลายผสมไปทดสอบสภาวะในการเกิด
ตะกอนผลึก MAP ในสภาวะที่ไม่มีการปรับค่าความเป็ นกรดเป็ นด่าง ทั้งนี้ควบคุมสภาวะอื่นๆ
ในการทดลองให้คงที่ โดยทาการทดลองที่อุณหภูมิหอ้ ง (252 ซ) หลังจากปรับสารละลาย
ผสมให้มีค่าความเป็ นกรด และด่าง ที่ค่า pH ต่างๆ แล้ว นาสารลายผสมไปเข้าเครื่ องกวนผสม
สารละลาย เพื่อทาการผสมสารละลายให้เข้าเป็ นเนื้อเดียวกัน ใช้ระยะเวลาในการกวนผสมสารผสม
ผลที่คาดว่าจะได้ รับ
1) ได้ลกั ษณะของโครงสร้างและองค์ประกอบของผลึก MAP (MgNH4PO46H2O)
2) ได้ปริ มาณการเกิดตะกอนผลึก MAP (จากการคานวณน้ าหนักผลึกที่เกิดขึ้นในน้ าเสีย
สังเคราะห์)
3) ได้สภาวะที่เหมาะสมในการเกิดผลึก MAP เพื่อนาข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการ
ตกตะกอนผลึก MAP ของน้ าในบ่อพักจากระบบก๊าซชีวภาพของฟาร์มสุกร
แผนผังการทดลอง
1) เตรียมสารละลายแมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต ในอัตราส่ วนโมล 1:1:1 (Molar
ratio of Mg: NH4 :PO4)
ชัง่ สาร MgCl26H2O และ NH4H2PO4 ให้มีอตั ราส่วน Mg : NH4+ : PO43- เท่ากับ 1:1:1
ละลายในน้ ากลัน่ บริ สุทธิ์ และปรับปริ มาตรสุทธิเป็ น 1 ลิตร
ตั้งพักสารละลายผสมทิ้งไว้ให้เกิดตะกอนผลึก MAP
ใช้เวลาปริ มาณ 48 ชัว่ โมง
แยกส่วนของแข็งและส่วนที่เป็ นสารสารละลาย
* ปรับ pH ของสารละลายเป็ น pH = 7.5 (น้ าเสียจริ ง), 8.0 , 9.0 และ 10.0 และทาการทดลองตามแผนผังการทดลองซ้ า
ชัง่ สาร MgCl26H2O และ NH4H2PO4 ให้มีอตั ราส่วน Mg : NH4+ : PO43- เท่ากับ 2:1:1
ละลายในน้ ากลัน่ บริ สุทธิ์ และปรับปริ มาตรสุทธิเป็ น 1 ลิตร
ตั้งพักสารละลายผสมทิ้งไว้ให้เกิดตะกอนผลึก MAP
ใช้เวลาปริ มาณ 48 ชัว่ โมง
แยกส่วนของแข็งและส่วนที่เป็ นสารสารละลาย
* ปรับ pH ของสารละลายเป็ น pH = 7.5 (น้ าเสียจริ ง), 8.0 , 9.0 และ 10.0 และทาการทดลองตามแผนผังการทดลอง
ผลการทดลอง
1. โครงสร้างผลึกและองค์ประกอบของผลึก MAP
2. ปริ มาณของผลึก MAP ที่ผลิตได้ โดยการเปรี ยบเทียบน้ าหนักที่สภาวะต่างๆ ของอัตราส่วนโมล
และค่าความเป็ นกรดและด่าง ที่แตกต่างกัน
3. สภาวะที่เหมาะสมสาหรับการผลิตปุ๋ ยละลายช้า MAP
วัตถุประสงค์
1) เพื่อศึกษาคุณภาพน้ าทิ้งสุดท้ายของฟาร์มสุกร
2) เพือ่ ศึกษาหาสภาวะ และปริ มาณสารเคมีที่เหมาะสมในการเติมลงในน้ าทิ้งสุดท้ายของ
ฟาร์มสุกร เพื่อให้เกิดการตกตะกอนผลึก MAP (Magnesium Ammonium Phosphate :
MAP (MgNH4PO46H2O))
3) เพื่อเปรี ยบเทียบองค์ประกอบ และปริ มาณของตะกอนผลึก MAP ระหว่างการใช้น้ าเสีย
สังเคราะห์ (Synthetic wastewater) และน้ าทิ้งจากระบบบาบัดน้ าเสียแบบผลิตก๊าซชีวภาพ
ของฟาร์มสุกร (Finally wastewater pond of pig farm)
เครื่องมือวิเคราะห์ และอุปกรณ์ต่างๆ
1) เครื่ องวัดความเป็ นกรด และด่าง (pH meter)
2) เครื่ องมือวิเคราะห์โครงสร้างผลึกด้วยเทคนิคการเลี้ยวเบนของรังสีเอ็กซ์ (X-ray Diffraction)
3) เครื่ องมื อถ่า ยภาพขนาดไมโครเมตรโดยใช้ก ล้องจุ ลทรรศน์ ก าลังขยายสู ง ( Scanning
Electron Microscope)
4) เครื่ องมือวิเคราะห์หาปริ มาณโลหะ (Atomic absorption spectroscopy, AAS)
5) UV spectrophotometer
6) เครื่ องกวนสารผสม (Magnetic stirrer)
7) ชุดกรองแยกสาร
8) ตูอ้ บความร้อน (Oven)
9) อุปกรณ์เก็บตัวอย่างน้ า (Grab Sampling)
10) เครื่ องชัง่ 4 ตาแหน่ง
วัสดุและสารเคมี
1) Magnesium chloride (MgCl26H2O) (ACS grade) – Mg2+ Source
2) Ammonium di-hydrogen phosphate (Na2HPO4) (ACS grade) ‟ PO43-Source
3) Sodium hydroxide (NaOH) ‟ pH
4) Nitric acid (HNO3) ‟ pH
5) กระดาษกรองใยแก้ว
บริ ษทั ทีม เอ็นเนอร์ยี่ แมเนจเมนท์ จากัด 8-25
SPK/EGY/RT5205/10P1508/RT008
โครงการศึ กษาการเพิ่มมูลค่ านา้ ที่ ผ่านการบาบัดจากระบบผลิตก๊ าซชี วภาพฟาร์ มสุ กรตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง
รายงานฉบับสุ ดท้ าย
วิธีการทดลอง
1) ศึกษาคุณภาพนา้ ในบ่อพักนา้ ทิง้ สุดท้ ายของฟาร์ มสุ กร
ทาการเก็บตัวอย่างน้ าทิ้งในบ่อพักน้ าทิ้งสุดท้ายของฟาร์มสุกร มาวิเคราะห์หาคุณภาพของ
น้ าทิ้งฯ โดยทาการศึกษาพารามิเตอร์ต่างๆ ดังนี้
(1) ความเป็ นกรดและด่าง (pH)
(2) บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand, BOD)
(3) ซีโอดี (Chemical Oxygen Demand, COD)
(4) ปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมดในน้ า (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN)
(5) ปริ มาณสารแขวนลอยทั้งหมด (Total Solid Suspension, TSS)
(6) ค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity)
(7) ปริ มาณของฟอสเฟตที่ละลายอยูใ่ นน้ า (Solubility phosphate, PO43-)
(8) ปริ มาณของฟอสเฟตทั้งหมด (Total phosphate as P)
(9) ปริ มาณของแมกนีเซียม (Mg2+)
จากนั้นหยุดการกวนผสมสารละลายผสม โดยทาการพักสารผสมทิ้งไว้ประมาณ 48
ชัว่ โมง เพื่อให้ปฏิกิริยาการเกิดตะกอนผลึกเข้าสู่สภาวะสมดุล (Equilibrium Time)
ผลที่คาดว่าจะได้ รับ
1. ได้สภาวะ และปริ มาณสารเคมีที่เหมาะสมสาหรับเติมลงไปในน้ าทิ้งฯ ฟาร์มสุกร เพื่อทาให้
เกิดตะกอนผลึก MAP (MgNH4PO46H2O)
2. สามารถคานวณปริ มาณตะกอนผลึก MAP ที่เกิดขึ้นจากตะกอนในน้ าทิ้งฯ ทั้งหมด เพื่อนา
ข้อมูลที่ได้ไปใช้ในการทาเป็ นปุ๋ ยเม็ดสาหรับใช้เพื่อการเกษตรกรรมต่อไป
แผนผังการทดลอง
1) ศึกษาคุณภาพนา้ ในบ่อพักนา้ ทิง้ สุดท้ ายของฟาร์ มสุ กร และศึกษาหาสภาวะและปริมาณสารเคมี
ที่เหมาะสมในการเติมลงในนา้ ทิง้ สุดท้ ายของฟาร์ มสุ กร เพือ่ ให้เกิดการตกตะกอนผลึก MAP
โดยปรับให้ มอี ตั ราส่ วนโมลระหว่าง แมกนีเซียม ต่อ ฟอสเฟต เท่ ากับ 1:0
วิเคราะห์คุณภาพน้ าทิ้งในบ่อพักน้ าสุ ดท้ายของฟาร์ มสุ กร
โดยวิเคราะห์หาค่า pH, BOD, COD, TKN, TSS, Alkalinity, PO43-, Ca2+และ Mg2+
ปรับอัตราส่ วนโมลของ Mg: PO4 ในน้ าทิ้งฯ ให้มีอตั ราส่ วน 1:0 หรื อไม่เติม
สารประกอบฟอสเฟต
ตั้งพักสารละลายผสมทิ้งไว้ให้เกิดตะกอนผลึก MAP
ใช้เวลาปริ มาณ 48 ชัว่ โมง
แผนผังการทดลอง
2) ศึกษาคุณภาพนา้ ในบ่อพักนา้ ทิง้ สุดท้ ายของฟาร์ มสุ กร และศึกษาหาสภาวะและปริมาณสารเคมี
ที่เหมาะสมในการเติมลงในนา้ ทิง้ สุดท้ ายของฟาร์ มสุ กร เพือ่ ให้เกิดการตกตะกอนผลึก MAP
โดยปรับให้ มอี ตั ราส่ วนโมลระหว่าง แมกนีเซียม ต่อ ฟอสเฟต เท่ ากับ 1:1
วิเคราะห์คุณภาพน้ าทิ้งในบ่อพักน้ าสุ ดท้ายของฟาร์ มสุ กร
โดยวิเคราะห์หาค่า pH, BOD, COD, TKN, TSS, Alkalinity, PO43-, Ca2+และ Mg2+
ปรับอัตราส่ วนโมลของ Mg: PO4 ในน้ าทิ้งฯ ให้มีอตั ราส่ วน 1:1 โดยเติมสารเคมี
MgCl26H2O และ Na2HPO4
ตั้งพักสารละลายผสมทิ้งไว้ให้เกิดตะกอนผลึก MAP
ใช้เวลาปริ มาณ 48 ชัว่ โมง
แผนผังการทดลอง
3) ศึกษาคุณภาพนา้ ในบ่อพักนา้ ทิง้ สุดท้ ายของฟาร์ มสุ กร และศึกษาหาสภาวะ และปริมาณ
สารเคมีที่เหมาะสมในการเติมลงในนา้ ทิง้ สุดท้ ายของฟาร์ มสุ กร เพือ่ ให้เกิดการตกตะกอนผลึก
MAP โดยปรับให้ มอี ตั ราส่ วนโมลระหว่าง แมกนีเซียม ต่อ ฟอสเฟต เท่ ากับ 2:1
วิเคราะห์คุณภาพน้ าทิ้งในบ่อพักน้ าสุ ดท้ายของฟาร์ มสุ กร
โดยวิเคราะห์หาค่า pH, BOD, COD, TKN, TSS, Alkalinity, PO43-, Ca2+และ Mg2+
ปรับอัตราส่ วนโมลของ Mg: PO4 ในน้ าทิง้ ฯ ให้มีอตั ราส่ วน 2:1 โดยเติมสารเคมี
MgCl26H2O และ NaH2PO4
ตั้งพักสารละลายผสมทิ้งไว้ให้เกิดตะกอนผลึก MAP
ใช้เวลาปริ มาณ 48 ชัว่ โมง
(Total Kjeldahl
Mg:P (Alkalinity) (COD) (Total Phosphorus)
Nitrogen, TKN)
(mg/L) (mg/L) (mg/L) (mg/L)
ไม่ ปรับ
1:1 130 14 89 72
pH
pH 8 1:1 120 14 49 35
pH 9 1:1 94 7 23 33
pH 10 1:1 100 7 15 13
ทั้ง นี้ รายละเอี ย ดของผลวิ เ คราะห์ คุ ณ ภาพของน้ าเสี ย สัง เคราะห์ มี ร ายละเอี ย ดในแต่ ล ะ
พารามิเตอร์ต่างๆ ดังต่อไปนี้
ไม่ปรับ pH, pH 8, pH 9 และ pH 10 พบว่า ปริ มาณซี โอดี (Chemical Oxygen Demand, COD) ของน้ าเสี ย
สังเคราะห์ มีค่าเท่ากับ 14, 14, 7 และ 7 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลาดับ ซึ่งสามารถอธิบายได้ว่า การใช้ด่าง
ซึ่งก็คือ โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH) ในการตกตะกอน “ปุ๋ ยฟอสเฟตชนิดละลายช้า” จะช่วยทาให้น้ า
มีคุณภาพที่ดีข้ ึน สังเกตได้จากการที่ปริ มาณซีโอดี (COD) ในน้ าเสียสังเคราะห์มีค่าลดลงตามลาดับ เมื่อ
pH ของน้ าเพิ่มมากขึ้น
(1) ค่ าความเป็ นด่ าง (Alkalinity) ของน้าที่ผ่ านการบ าบัด ฯ จากฟาร์ มสุ ก ร หลัง จาก
ตกตะกอนผลึกของ “ปุ๋ ยฟอสเฟตชนิดละลายช้ า”
ผลการวิเคราะห์หาค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) ของน้ าที่ผ่านการบาบัดฯ จากฟาร์ ม
สุกร หลังจากตกตะกอนผลึกของ “ปุ๋ ยฟอสเฟตชนิ ดละลายช้า ” พบว่า ค่าความเป็ นด่างของน้ าที่ผ่าน
การบาบัดฯ จากฟาร์มสุกรเพิม่ ขึ้น เมื่อค่า pH ของน้ าสูงขึ้น และเมื่อทาการเปรี ยบเทียบค่าความเป็ นด่าง
(Alkalinity) ระหว่างน้ าที่ผา่ นการบาบัด ฯ ก่อนการตะกอนปุ๋ ยฟอสเฟต และน้ าหลังผ่านการตกตะกอน
ปุ๋ ยฟอสเฟต พบว่า ในสภาวะของน้ าที่มีค่า pH 7-pH 8 จะมีค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) ลดลง ร้อยละ
0.3-77 ซึ่งถือเป็ นสภาวะที่เหมาะจะนาไปใช้ผลิตปุ๋ ยฟอสเฟตละลายช้า แต่ในสภาวะของน้ าที่มีค่า pH 9-
pH10 ไม่เหมาะที่จะนามาใช้ผลิตปุ๋ ยฟอสเฟตละลายช้า เนื่ องจากค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity) ของน้ า
หลังผ่านการแยกตะกอนปุ๋ ยฟอสเฟต มีค่าสูงกว่าค่าความเป็ นด่ างของน้ าที่ผ่านการบาบัดฯ ก่อนการ
ตะกอน ร้อยละ 26-77 ดังแสดงในรู ปที่ 8-17
จากการพิจารณาในส่ วนของ “มาตรฐานคุณภาพน้ าทิ้งจากฟาร์ มสุ ก ร” (รายละเอีย ด
แสดงในภาคผนวก ง-1) พบว่า มาตรฐานคุ ณ ภาพน้ าทิ้ งจากฟาร์ มสุ ก รไม่ได้ร ะบุ ค่ าความเป็ นด่ า ง
(Alkalinity) แต่ในขั้นตอนการผลิตปุ๋ ยฟอสเฟตชนิ ดละลายช้าก็ควรคานึ งถึงค่าความเป็ นด่าง (Alkalinity)
ที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งหากน้ ามีค่าความเป็ นด่างสูงอาจมีผลทาให้น้ ามีความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงค่า
pH ได้มาก และไม่เหมาะนาไปใช้ในกิจกรรมอื่นๆ ต่อไป
รูปที่ 8-18 ประสิ ทธิภาพการกาจัดปริ มาณซีโอดี (Chemical Oxygen Demand, COD) ที่ผ่านการ
บาบัดฯ จากฟาร์มสุกร หลังจากตกตะกอนผลึกของ “ปุ๋ ยฟอสเฟตชนิดละลายช้า”
รูปที่ 18-19 ประสิ ทธิ ภาพการกาจัดปริ มาณไนโตรเจนทั้งหมด (Total Kjeldahl Nitrogen, TKN) ที่
ผ่านการบาบัดฯ จากฟาร์มสุกร หลังจากตกตะกอนผลึกของ “ปุ๋ ยฟอสเฟตละลายช้า”
ตารางที่ 8-12 สรุ ปผลการผลิต “ปุ๋ ยฟอสเฟตชนิดละลายช้า” หรื อ “ปุ๋ ยสตรู ไวท์” จากน้ าที่ผ่านระบบบาบัดด้วย
การผลิตก๊าซชีวภาพจากฟาร์มสุกร
รายละเอียด สรุปผลการผลิต “ปุ๋ ยฟอสเฟตชนิดละลายช้ า”
pH 7 pH 8 pH 9 pH 10
1. ลักษณะของตะกอนทีเ่ กิดขึน้
บทที่ 9
การผลิตปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟตและปุ๋ ยแมกนีเซียม แอมโมเนียม ฟอสเฟต จากอุปกรณ์ สาธิต
9.1 ระบบต้นแบบการผลิตปุ๋ ยอินทรีย์เคมีท้งั สองชนิด
รายการอุปกรณ์ระบบต้นแบบการผลิตปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีในโครงการดังแสดงในตาราง 9-1
ตาราง 9-1 แสดงรายการสาหรับอุปกรณ์ผลิตปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีขนาด 2,000 ลิตร
ลำดับที่ รำยกำร จำนวน หน่ วย รำคำวัสดุ รำคำค่ ำแรงรวมค่ ำวัสดุ รวมค่ ำแรง รวม (บำท)
1 ปรับพื้นที่ 1 lot 0 1,000 0 1,000 1,000
2 เสาเข็ม หกเหลี่ยมกลวง ขนาด 0.15*3.00 เมตร 15 Ea 400 240 6,000 3,600 9,600
3 ทรายหยาบอัดแน่ น 1 m3 300 300 300 300 600
4 ค่าไม้แบบ 1 lot 500 200 500 200 700
5 คอนกรี ต โครงสร้าง 1 M3 2,500 500 2,500 500 3,000
6 เหล็กเสริ ม ขนาด 6 มม. 16 kg 28 5 448 80 528
7 ตะปู,ลวดผูกเหล็ก 1 lot 100 0 100 0 100
รวม 15,528
8 ท่อ PVC ขนาด 1/2' 12 m 15 15 180 180 360
9 ท่อ PVC ขนาด 1' 8 m 25 25 200 200 400
10 ท่อ PVC ขนาด 2' 8 m 65 25 520 200 720
11 Ball vale pvc dia ขนาด 1/2" 4 Ea 150 60 600 240 840
12 Ball vale pvc dia ขนาด 1" 2 Ea 250 100 500 200 700
14 Ball vale pvc dia ขนาด 2" 1 Ea 350 140 350 140 490
15 Fitting 1 Lot 1,197 511 1,197 511 1,708
16 Support+Acc 1 Lot 1,222 517 1,222 517 1,739
รวม 6,957
17 Chemicle feed pump (3 LPM) 2 Ea 450 0 900 0 900
18 Chemicle feed pump (3 LPM) 2 Ea 450 0 900 0 900
19 Reactor Tank 2000 litre 1 Ea 30,000 0 30,000 0 30,000
20 Tank 100 litre 1 Ea 1,800 0 1,800 0 1,800
21 Tank 100 litre 2 Ea 1,100 0 2,200 0 2,200
22 PH meter 1 Ea 2,000 0 2,000 0 2,000
22 Centrifugal pump(Pastic blade&case) 5 m3/h 1 Ea 3,000 0 3,000 0 3,000
รวม 40,800
23 ตู้ control และระบบไฟฟ้ า และอื่น ๆ 1 Lot 15,000 0 15,000 0 15,000
รวม 15,000
Totol cost 78,285
ตู้ควบคุมการทางาน
ถังสารตกตะกอน
ถังสารละลายกรด-ด่าง
ผลการทดสอบปุ๋ ยแคลเซี ยมฟอสเฟต หรื อปุ๋ ยอะพาไทด์ จากตาราง 9-2 พบว่า แนวทางการ
ตกตะกอนปุ๋ ยอะพาไทด์ เป็ นการตกตะกอนไอออนของแคลเซียม และฟอสเฟตในน้ า ด้วยการเติม ปูนขาว
(แคลเซียมไฮดรอกไซด์) ให้อยูใ่ นรู ปของสารประกอบแคลเซียมฟอสเฟต ดังนั้น ปริ มาณธาตุอาหารที่พบ
ในปุ๋ ยส่วนใหญ่ คือ ฟอสฟอรัส ซึ่งเป็ นธาตุอาหารหลัก (พบในปริ มาณ 3.38 กรัม) และแคลเซียม ซึ่งเป็ น
ธาตุอาหารรองของพืช (พบในปริ มาณ 24.2 กรัม)
ตาราง 9-3 ผลการทดสอบปุ๋ ยแมกนีเซี ยม แอมโมเนียม ฟอสเฟต หรื อปุ๋ ยสตรู ไวท์ (เอกสารอ้างอิง)
จากตาราง 9-3 ผลการทดสอบปุ๋ ยแมกนีเซียม แอมโมเนียม ฟอสเฟต หรื อปุ๋ ยสตรู ไวท์ พบว่า แนว
ทางการตกตะกอนปุ๋ ยสตรู ไวท์ เป็ นการตกตะกอนไอออนของแมกนีเซียม แอมโมเนี ย และ ฟอสเฟต ที่มี
อยู่ใ นน้ าทิ้ ง ด้ว ยการเติ ม สารละลายโซดาไฟ (โซเดี ย มไฮดรอกไซด์ ) ให้อ ยู่ใ นรู ป ผลึ ก สตรู ไ วท์
(แมกนีเซียม แอมโมเนียม ฟอสเฟต) ดังนั้น ปริ มาณธาตุอาหารที่พบในปุ๋ ยส่ วนใหญ่ คือ ฟอสฟอรัส (พบ
ในปริ มาณ 14.24 กรัม) ไนโตรเจน ( พบในปริ มาณ 1.47 กรัม ในรู ปของแอมโมเนี ย) ซึ่งเป็ นธาตุอาหารหลัก
และแมกนีเซียม (พบในปริ มาณ 5.06 กรัม) ซึ่งเป็ นธาตุอาหารรอง ของพืช ส่ วนโพแทสเซียม แม้จะมีการ
ตรวจพบในน้ าทิ้ง แต่ทว่าวิธีการตกตะกอนทางเคมีไม่สามารถตกตะกอนโพแทสเซี ยม เนื่ องจากธาตุ
โพแทสเซียมสามารถละลายน้ าได้ดี
ใช้ ปรับปรุงดินโดยตรง
มีคุ ณ สมบัติ เป็ นปุ๋ ยปรั บ ปรุ งดิ น เหมาะสมกับ การเพาะปลูก ซึ่ งเป็ นลัก ษณะเด่ น ของปุ๋ ยที่ มี
ส่วนประกอบของแคลเซียม โดยสามารถใช้กบั ดินที่มีอินทรี ยว์ ตั ถุสูง (pH ต่ากว่า 5.5) ดินกรด ดินเปรี้ ยว
ดินแน่น ดินเหนียว เพื่อปรับปรุ งคุณภาพดิน
ผลการทดสอบตัว อย่างปุ๋ ยแคลเซี ย มฟอสเฟต หรื อปุ๋ ยอะพาไทด์ (ตาราง 9-1) ที่ ผลิต ได้ ณ
ประชาฟาร์ม โดย บริ ษทั ห้องปฏิบตั ิการกลาง (ประเทศไทย) จากัด พบว่า ในปริ มาณปุ๋ ยอะพาไทด์ 100
กรัม พบปริ มาณธาตุอาหารหลักของพืชในปริ มาณต่า และพบปริ มาณแร่ ธาตุแคลเซียมซึ่งเป็ นธาตุอาหาร
รองในปริ มาณสูง สามารถใช้เป็ นปุ๋ ยแคลเซียมในการปรับปรุ งคุณภาพดินได้
ดิน ทีม
่ ฟ
ี อสฟอรัสต่า 50-80
ดิน ทีม
่ โี พแ ทสเ ซีย มสูง 50-100
9.6 ประโยชน์ ของปุ๋ ยแมกนีเซียม แอมโมเนียม ฟอสเฟต หรือปุ๋ ยสตรูไวท์ และวิธกี ารนามีไปใช้ ให้
เกิดประโยชน์ทางการเกษตร
9.6.1 ประโยชน์ ของปุ๋ ยแมกนีเซียม แอมโมเนียม ฟอสเฟต หรือปุ๋ ยสตรูไวท์
ผลการทดสอบปุ๋ ยแมกนีเซียม แอมโมเนียม ฟอสเฟต หรื อปุ๋ ยสตรู ไวท์ (ตาราง 9-3 ) ที่ผลิตได้ ณ
ประชาฟาร์ ม แสดงให้เห็ น ว่า ปุ๋ ยแคลเซี ยมฟอสเฟส หรื อ ปุ๋ ยอะพาไทต์ มีธาตุ อาหารสาหรั บพืชอัน
ประกอบด้วยธาตุแคลเซียม และฟอสฟอรัส สามารถอธิบายบทบาทและหน้าที่ดงั แสดงในตาราง 9-6
ตาราง 9-6 บทบาทและหน้าที่ของธาตุแมกนีเซี ยม (Mg) และฟอสฟอรัส (P)
ธาตุอาหาร บทบาทและหน้ าที่
ฟอสฟอรัส (P) มีความสาคัญต่อยีนส์ การแบ่งเซลล์ และการสร้างเซลล์ในพืช นอกจากนี้ ยงั เป็ นส่ วนประกอบของ
ฟอสฟอไลปิ ด (Phospholipid), NADP และ ATP เป็ นตัวถ่ายทอดพลังงานระหว่างสารต่ อสารในระบบ
ต่างๆ เช่น การสังเคราะห์แสง การหายใจ การเคลื่อนย้ายสาร ช่วยในการเจริ ญเติบโตของราก จาเป็ น
สาหรับการออกดอกติดเมล็ด และการพัฒนาของเมล็ดหรื อผล
อนึ่ ง อัตราส่ ว นการผสมปุ๋ ยเคมี โดยใช้ปุ๋ยแมกนี เซียม แอมโมเนี ยม ฟอสเฟต หรื อปุ๋ ยสตรู ไวท์
ทดแทนแม่ปุ๋ยไดแอมโมเนียมฟอสเฟต ถือเป็ นแนวทางเบื้องต้น การขยายผลโครงการฯ เพื่อพัฒนาระบบ
ผลิ ต ปุ๋ ยอิ น ทรี ย์เ คมี ใ ห้เ หมาะสมกับ ปริ มาณน้ าทิ้ ง จากระบบผลิ ต ก๊ า ซชี ว ภาพ จะสามารถผลิ ต ปุ๋ ย
แมกนีเซียม แอมโมเนียม ฟอสเฟต หรื อปุ๋ ยสตรู ไวท์ ที่มีความเข้มข้นที่คงที่ และลดต้นทุนด้านสารเคมีใน
การผลิต ทั้งนี้แนวทางที่จะให้เกิดประโยชน์สูงสุ ดในด้านผลตอบแทนของการผลิตปุ๋ ย แบ่งได้เป็ นสอง
กรณี คือ
ตัวอย่างการคานวณสู ตรปุ๋ ย
ต้องการผลิตปุ๋ ยเคมี 16-16-8 (มีขายในท้องตลาด) ให้ได้น้ าหนักรวม 100 กิโลกรัม โดยใช้ปุ๋ยสตรู
ไวท์ซ่ึงในตัวอย่างนี้จะใช้ปริ มาณ 40 กิโลกรัม (น้ าหนักสตรู ไวท์ ที่เติมในแม่ปุ๋ย) ดังนั้นจะต้องใช้แม่ปุ๋ย
ชนิดต่างๆ อย่างละกี่กิโลกรัม
วิธีการคานวณ
รายละเอียดการคานวณมีดงั นี้
ปริมาณในโตรเจน = กิโลกรัม
= 0.59 กิโลกรัม
ปริมาณฟอสฟอรัส = กิโลกรัม
= 5.7 กิโลกรัม
ปริมาณฟอสฟอรัส = กิโลกรัม
= 0.12 กิโลกรัม
= 22.39 กิโลกรัม
2.3 คานวณหาปริมาณไนโตรเจนที่ต้องการ
= 11.38 กิโลกรัม
= 24.74 กิโลกรัม
= 13.13 กิโลกรัม
การใช้ปุ๋ยแมกนี เซียม แอมโมเนี ยม ฟอสเฟต หรื อปุ๋ ยสตรู ไวท์ ทดแทนบางส่ วน สามารถทาได้
โดยผสมร่ วมกับแม่ปุ๋ยเคมีเพื่อให้ปุ๋ยในปุ๋ ยเคมีในสูตรต่างๆ และสามารถทดแทนการใช้แม่ปุ๋ยเคมีในการ
ผสมปุ๋ ยดังนี้
สาหรับปุ๋ ยสูตรที่ 1 (16-20-0) ปริ มาณ 100 กิโลกรัม สามารถใช้ปุ๋ยสตรู ไวท์ผสมกับแม่ปุ๋ยเพื่อ
ผลิตปุ๋ ยสูตรนี้ ได้ประมาณ 30 - 50 เปอร์เซ็นต์
สาหรับปุ๋ ยสูตรที่ 2 (16-16-8) ปริ มาณ 100 กิโลกรัม สามารถใช้ปุ๋ยสตรู ไวท์ผสมกับแม่ปุ๋ยเพื่อ
ผลิตปุ๋ ยสูตรนี้ได้ประมาณ 20 - 40 เปอร์เซ็นต์
สาหรับปุ๋ ยสูตรที่ 3 (15-15-15) ปริ มาณ 100 กิโลกรัม สามารถใช้ปุ๋ยสตรู ไวท์ผสมกับแม่ปุ๋ยเพื่อ
ผลิตปุ๋ ยสูตรนี้ได้ประมาณ 10 - 30 เปอร์เซ็นต์
สาหรับปุ๋ ยสูตรที่ 4 (15-7-18) ปริ มาณ 100 กิโลกรัม สามารถใช้ปุ๋ยสตรู ไวท์ผสมกับแม่ปุ๋ยเพื่อ
ผลิตปุ๋ ยสูตรนี้ได้ประมาณ 15 - 35 เปอร์เซ็นต์
สาหรับปุ๋ ยสูตรที่ 5 (13-13-21) ปริ มาณ 100 กิโลกรัม สามารถใช้ปุ๋ยสตรู ไวท์ผสมกับแม่ปุ๋ยเพื่อ
ผลิตปุ๋ ยสูตรนี้ได้ประมาณ 5 - 25 เปอร์เซ็นต์
สาหรับปุ๋ ยสูตรที่ 6 (5-7-18) ปริ มาณ 100 กิโลกรัม สามารถใช้ปุ๋ยสตรู ไวท์ผสมกับแม่ปุ๋ยเพื่อผลิต
ปุ๋ ยสูตรนี้ได้ประมาณ 30 - 50 เปอร์เซ็นต์
นาข้าว ตั้งท้อง ปุ๋ ยสู ตรที่ 1 หรื อ ปุ๋ ยสู ตรที่ 4 50 กก. /ไร่ หว่านให้ทวั่ แปลง หลังปลูก 30-45 วัน
ต้นฝน ปุ๋ ยสู ตรที่ 3 0.5 กก./ต้น ควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง
ปลายฝน ปุ๋ ยสู ตรที่ 4 0.5 กก./ต้น ควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง
หากลาใยมีอายุปลูกขึ้นปี ที่ 4 ใช้ปุ๋ยดังนี้
ลาไย ควรแต่งกิ่ง โดยเฉพาะกิ่งกระโดงออกให้หมด
1. หลังเก็บเกี่ยว ปุ๋ ยสู ตรที่ 4 1 กก./ต้น
และลิ้นจี่ ก่อน
2. แตกใบอ่อน ปุ๋ ยสู ตรที่ 4 1-3 กก./ต้น อัตราการใช้หากทรงพุม่ ใหญ่ อาจเพิม่ อีก 0.5 กก.
4. ระยะผลอ่อน ปุ๋ ยสู ตรที่ 4 1-3 กก./ต้น หว่านให้ทวั่ ทรงพุม่
5. ระยะขยายผล ปุ๋ ยสู ตรที่ 5 1-3 กก./ต้น หว่านให้ทวั่ ทรงพุม่
หลังปลูก 30 วัน ปุ๋ ยสู ตรที่ 4 50 กก./ไร่ หว่านให้ทวั่ แปลง
ถัว่ ต่างๆ
หลังปลูก 45 วัน ปุ๋ ยสู ตรที่ 5 50-75 กก./ไร่ หว่านให้ทวั่ แปลง
นาข้าว ตั้งท้อง ปุ๋ ยสู ตรที่ 1 หรื อ ปุ๋ ยสู ตรที่ 4 50 กก. /ไร่ หว่านให้ทั่วทรงพุ
แปลง่มหลังปลูก 30-45 วัน
2. แตกใบอ่อน ปุยสูตรที่ 6 1-3 กก./ต้น
อัตราการใช้หากทรงพุ่มใหญ่ อาจเพิ่มอีก 0.5 กก.
มะม่วง ต้นฝน ปุ๋ ยสู ตรที่ 3 0.5 กก./ต้น ควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง
3. ระยะผลอ่อน ปุยสูตรที่ 4 1-3 กก./ต้น หว่านให้ทั่วทรงพุ่ม
ปลายฝน ปุ๋ ยสู ตรที่ 4 0.5 กก./ต้น ควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง
4. ระยะเปลี่ยนสีผล ปุยสูตรที่ 5 1-3 กก./ต้น หว่านให้ทั่วทรงพุ่ม
หากลาใยมีอายุปลูกขึ้นปี ที่ 4 ใช้ปุ๋ยดังนี้
กุลหาไย
ลาบและ ต้นฝน ปุยสูตรที่ 4 0.25 กก./ต้น ควรแต่งกิ่ง โดยเฉพาะกิ่งกระโดงออกให้หมด
1. หลังเก็บเกี่ยว ปุ๋ ยสู ตรที่ 4 1 กก./ต้น
ไม้
และลิตัด้ดอก
นจี่ ก่อน ทุก 15 วัน พร้อมให้ปุยทางใบ
ปลายฝน ปุยสูตรที่ 4 0.25 กก./ต้น ควรใส่
2. แตกใบอ่
หลั งปลูก 15อวันน ปุ๋ ยสู ตรที่ 4 1-3 กก./ต้
35-50 น
กก./ไร่ อัตาราการใช้
หว่ หากทรงพุม่ ใหญ่ อาจเพิ่มอีก 0.5 กก.
นให้ทั่วแปลง
มันฝรั่ง 4. ระยะผลอ่
หลั งปลูก 30 อวันน ปุปุ๋ ยสู
ยสูตตรที
รที่่ 44 1-3กก./ไร่
50 กก./ต้น หว่าานให้
หว่ ทรงพุม่
นให้ททั่ววั่ แปลง
5. ระยะขยายผล ปุปุ๋ ยสู
ยสูตตรที
รที่่ 55 1-3 กก./ต้
น หว่าานให้ ทรงพุม่
นให้ททั่ววั่ แปลง
หลั งปลูก 45 วัน 50-75 กก./ไร่ หว่
แตงโม หลังงปลู
หลั ปลูกก 60
30 วัวันน ปุปุ๋ ยสู
ยสูตตรที
รที่่ 74 50 กก./ไร่
50 กก./ไร่ หว่านให้ทวั่ แปลง
ถัว่ ต่างๆ
หลังปลูก 45 วัน ปุ๋ ยสู ตรที่ 5 50-75 กก./ไร่ หว่านให้ทวั่ แปลง
(อ้างอิงจากเวปไซด์ บริ ษทั ผลิตปุ๋ ยเคมี - บริ ษทั แกรนนูลาร์ โกรท์ จากัด)
การนาไปใช้ โดยผสมทางเคมี
การผลิตปุ๋ ยเคมี โดยใช้สตรู ไวท์ (MgNH4PO4„6H2O) ผสมกับกรดฟอสฟอริ ก (HPO4-) จะทาให้
ได้ปุ๋ยละลายช้า (Slow-release fertilizer: di-magnesium phosphate, MgHPO4) และปุ๋ ยละลายเร็ ว
(Fast-release fertilizer: di-ammonium phosphate, (NH4)2HPO4) ซึ่งวิธีการนี้ เป็ นวิธีการที่คุม้ ค่า
(Cost-effective) เมื่อเทียบกับการผลิตแบบเก่า
สตรู ไวท์ที่ไม่ได้ผา่ นการทาให้บริ สุทธิ์ (Untreated granular struvite) สามารถนาไปผสมกับถ่าน
(Peat) เพื่อใช้เป็ นวัสดุทางการเกษตรเพื่อการปรับปรุ งดิน
แมกนี เซี ยมที่ เป็ นส่ ว นประกอบในสตรู ไวท์ (MgNH4PO4„6H2O) เป็ นธาตุ อ าหารรองที่ มี
ประโยชน์ต่อพืชจาพวกตระกูลหัวใต้ดินบางชนิด เช่น Sugar beet (Gaterell et al.,2000) และข้าว
(Ueno and Fujii, 2003) เป็ นต้น
ในประเทศญี่ปุ่น โรงงานผลิตปุ๋ ยซื้อสตรู ไวท์ จะไม่นาสตรู ไวท์เพียงอย่างเดียวไปผลิตปุ๋ ย แต่จะ
นาไปผสมกับ สารอินทรี ย ์ และ อนินทรี ยต์ ่างๆ และทาการปรับอัตราส่ วน (%) ธาตุอาหารต่างๆ
เช่น ไนโตรเจน กรดฟอสฟอริ ก และ โพแทสเซียม รู ปที่ 9-1 แสดง ตัวอย่างปุ๋ ยที่มีส่วนผสมของ
สตรู ไวท์ (MAP) ที่วางจาหน่ายในประเทศญี่ปุ่น
การปลูกไม้สวนหย่อม
- ไม้ประดับ ใส่ ปริ มาณ 160-240 กก./ไร่ โดยปริ มาณขึ้นอยู่กบั ขนาดของต้นไม้ ทา
การใส่ รอบๆโคนต้น 3 ครั้งต่อปี ปริ มาณสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามขนาดของ
ต้นไม้
- แปลงดอกไม้ 3 กรัมต่อ 15 ตารางเซนติเมตร (ปริ มาณที่ใช้ต่อหนึ่ งต้น) หรื อ 3,200
กก./ไร่
บทที่ 10
การประเมินความเหมาะสมทางด้ าน เทคนิค เศรษฐศาสตร์ และสิ่ งแวดล้ อม
การเพิ่มมูลค่าให้กบั น้ าทิ้ งที่ ผ่านระบบบาบัด แบบผลิต ก๊าซชี ว ภาพจากฟาร์ มสุ ก รด้วย แนว
ทางการตกตะกอนปุ๋ ยแคลเซียม-ฟอสเฟต และ ทางการตกตะกอนแมกนี เซียม-แอมโมเนี ยม-ฟอสเฟต
ทั้ง 2 แนวทางนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแยกสารอาหารของพืชที่เจือปนอยู่ในน้ าเสี ยกลับมาใช้ประโยชน์ โดย
กระบวนการบาบัดน้ าเสียขั้นที่สามด้วยการตกตะกอนผลึกทางเคมี ที่ช่วยลดค่าความสกปรกของน้ าเสี ย
ให้มีคุณภาพน้ าทิ้งที่ดีข้ ึน มูลค่าที่จากวิธีการนี้ที่เห็นได้ชดั คือ ตะกอนสลัดจ์จากตกตะกอนที่แยกออกมา
ได้จะประกอบไปด้วยธาตุอาหารของพืช (อาทิเช่น ฟอสเฟต แอมโมเนีย แมกนีเซียม แคลเซียม เป็ นต้น )
ซึ่งสามารถนาไปใช้เป็ นปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีที่นาไปใช้ทางการเกษตรได้เป็ นอย่างดี หรื อเป็ นวัตถุดิบตั้งต้นใน
การผลิตปุ๋ ยเคมีที่จ ะทดแทนแร่ หินฟอสเฟตที่ ก าลังจะหาได้ย ากขึ้ นหากมี การจ ากัดการน ามาใช้ใน
อนาคต ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่าวิธีก ารดังกล่าวเป็ นการสร้างมูลค่ าให้กบั ของเสี ย กลับมาเป็ นประโยชน์
(Turn waste to gold)
ลัก ษณะของน้ าทิ้ ง จากฟาร์ ม สุ ก รมี ธ าตุ อ าหารที่ เ ป็ นประโยชน์ เ จื อ ปนอยู่ แม้ว่ า จะผ่า น
กระบวนการบาบัดน้ าเสียแบบผลิตก๊าซชีวภาพ (หรื อ กระบวนการบาบัดแบบไร้อากาศ) ก็ยงั ไม่สามารถ
กาจัดธาตุอาหารเหล่านี้ให้ลดลงได้มากนัก จากลักษณะดังกล่าวจึงเป็ นจุดเด่นของน้ าทิ้งฯจากฟาร์ มสุ กร
ที่เหมาะสมต่อการนามาเพิ่มมูลค่าโดยการตกตะกอนทางเคมี ถ้ากระบวนการตกตะกอนมีประสิ ทธิภาพ
มีการลงทุนในเรื่ องของสารเคมีและการติ ดตั้งระบบไม่สูงมากนัก จะเกิดความคุม้ ค่าทางเศรษฐศาสตร์
เนื่องจากเป็ นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กบั ของเสียโดยการแยกสารอาหารของพืชที่เจือปนอยู่ในน้ าเสี ยกลับมา
ใช้เป็ นปุ๋ ยทางการเกษตร และช่วยลดปั ญหามลภาวะทางสิ่ งแวดล้อมที่เกิดจากปั ญหาการปนเปื้ อนจาก
ธาตุอาหารของพืชสู่ สิ่งแวดล้อม หรื อแม้กระทั้งประโยชน์ต่ อฟาร์ มสุ ก รในการรองรั บมาตรการจาก
ภาครัฐหากมีการควบคุมค่ามาตรฐานน้ าทิ้งต่อไปในอนาคต
จากแนวทางในการแยกสารอาหารในน้ าเสี ย กลับ มาใช้ป ระโยชน์ โดยการตกตะกอน
แคลเซียม-ฟอสเฟต และ แมกนีเซียม-แอมโมเนียม-ฟอสเฟต ทั้ง 2 แนวทาง เป็ นการใช้สารเคมีเพื่อช่วย
จับธาตุอาหารของพืชที่ละลายเจือปนอยูใ่ นน้ า เช่น ฟอสเฟต แอมโมเนีย แมกนีเซียม ร่ วมกับการปรับค่า
พีเอชของน้ าให้เหมาะสมต่ อการตกตะกอนลงมาเป็ นผลึก ของแข็งแยกตัว ออกจากน้ า ทั้งนี้ การใช้
สารเคมีต่างชนิดกันจะทาให้ได้ผลิตภัณฑ์หรื อตะกอนที่มีองค์ประกอบแตกต่า งกัน ดังนั้นแนวทางการ
เพิ่มมูลค่าน้ าทั้งสองแนวทางนี้จึงแบ่งแยกออกจากกัน
สมการทางเคมีของการเกิดการตกตะกอนผลึกแคลเซียม-ฟอสเฟต แสดงดังนี้
ระบบผลิต น้ าทิ้ง
น้ าทิ้งฯ
ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต
ปุ๋ ยแคลเซียม
พีเอช 7-12
ฟอสเฟต
จากลักษณะและปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการผลิตปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟตจากการนาธาตุอาหาร
ของพืชที่อยู่ในน้ าเสี ยกลับมาใช้ประโยชน์โดยการตกตะกอนผลึกทางเคมี จะสามารถนามาจัดลาดับ
ความสาคัญ ของปั จจัยต่ างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาและคัดเลือกวิธีการที่เหมาะสมจากการศึกษาใน
ห้อ งปฏิบัติ ก าร ที่ จ ะสามารถน าไปปฏิ บัติ ใ ช้จ ริ ง ในการก าหนดค่ าพารามิเ ตอร์ เบื้ องต้น ส าหรั บ
แบบจาลองต้นแบบ
ในการคิ ด ค่ าใช้จ่ ายของการผลิต ปุ๋ ยฟอสเฟตชนิ ดละลายช้า : ปุ๋ ยแคลเซี ยมฟอสเฟต จากผล
การศึกษาในห้องปฏิบตั ิการจะนามาประเมินเพื่อศึกษาความเป็ นไปได้ทางเศรษฐศาสตร์ ทั้งนี้ การคิด
ค่าใช้จ่ายจะไม่นา ค่าใช้จ่าย ด้านพลังงาน ค่าการติดตั้งอุปกรณ์ และอื่นๆ เช่น ค่าน้ า เข้ามารวมอยู่ดว้ ย
จะมีเพียงแต่ค่าใช้จ่ายในเรื่ องของปริ มาณสารเคมีที่ใช้ในการศึกษาทดลองเท่านั้น
ตั้งแต่เริ่ ม สารเคมีที่นามาใช้ในการตกตะกอนผลึกทางเคมีน้ นั มีหลายชนิ ดแตกต่างกันออกไป
ตามแต่ จุด ประสงค์และผลของปฏิกิริ ยาที่ได้ เช่ น สารเคมีที่เติ มลงไปเพื่อการปรั บค่า ฟอสเฟต และ
แคลเซียมในน้ า สารเคมีที่เติมลงไปเพื่อปรับสภาพพีเอชของน้ า ทั้งนี้ปริ มาณสารเคมีที่ใช้เพื่อให้เกิดการ
ตกตะกอนอย่างมีประสิทธิภาพจะเป็ นตัวกาหนดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากกระบวนการนี้ และปริ มาณการ
เติมสารเคมีจะมีผลต่อปริ มาณและคุณภาพของตะกอนที่ได้รวมถึงคุณภาพน้ าทิ้งด้วยเช่นกัน
การคานวณด้านราคาค่าใช้ใช้ของสารเคมีแต่ละชนิด
เกณฑ์ดา้ นราคาค่าใช้จ่ายของสารเคมี
พิจ ารณาจากราคารวมของสารเคมีที่เ ติ มลงไปทั้ง หมด (แสดงในรู ปที่ 10-3) เพื่ อ
จุดประสงค์ในการปรับพีเอชและการช่วยสร้างตะกอน เกณฑ์ดา้ นราคาค่าใช้จ่ายของ
สารเคมี มีดงั นี้
ระดับคะแนน 1 ราคาสารเคมีสูงมาก
ระดับคะแนน 2 ราคาสารเคมีสูง
ระดับคะแนน 3 ราคาสารเคมีนอ้ ย
ระดับคะแนน 4 ราคาสารเคมีนอ้ ยมาก
การเลือกใช้สารเคมีเพื่อการปรับค่าพีเอชและช่วยการตกตะกอน มีผลต่อความยุ่งยาก
ในการใช้งาน รวมไปถึงความยากง่ายในการเก็บรักษา รายละเอียดของการเลือกใช้
สารเคมี มีดงั นี้
สารเคมีที่ใช้ :
จากหลักการของวิธีการนี้ คือ การเติม สารประกอบจาพวก แคลเซียม (Ca2+) ให้ไปจับ
กับฟอสเฟต (PO43-) รวมไปถึงไอออน อื่น ๆที่ละลายอยู่ในน้ า (Foreign ions) เช่ น
แมกนี เซี ยม แคลเซี ย ม เป็ นต้น รวมไปถึ งโลหะหนัก ให้ เช่ น เหล็ก ทองแดง แล ะ
สังกะสี ร่ วมกับการปรับค่าพีเอชของน้ าด้วยสารละลายด่าง (ปูนขาว พีเอช ในช่วง 8-
10) จะทาให้ไอออนในน้ ารวมตัวกันและตกตะกอนลงมา ดังนั้นสารเคมีที่ใช้ในการ
ตกตะกอนผลึกปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟตที่ใช้หลักๆจะได้แก่ ปูนขาว และ สารประกอบ
ฟอสเฟตละลายน้ า (ตารางที่ 10-2 แสดงชนิ ดของสารเคมีที่ใช้สาหรั บการผลิต ปุ๋ ย
แคลเซียมฟอสเฟตและราคาขายในท้องตลาด)
ข้อดีของการใช้ปูนขาว
- เป็ นการเติมสารเคมีที่ช่วยการตกตะกอน (แคลเซียม) และปรับค่าพีเอชของน้ าใน
ครั้งเดียว
- การใช้งานและการเก็บรักษาทาได้ง่าย (เมื่อเที ยบกับโซเดียมไฮดรอกไซด์หรื อ
โซดาไฟที่ตอ้ งการการเก็บรักษาอย่างระมัดระวังเนื่ องจากเป็ นสารที่เกิดปฏิกิริยา
รุ นแรง)
ข้อจากัดของการใช้ปูนขาว
- ปูนขาวสามารถละลายน้ าได้บางส่วน จึงต้องการระยะเวลากวนผสมสารเคมีนาน
และใช้ปริ มาณมากมากกว่าเพื่อเกิดการปฏิกิริยาหรื อการตกตะกอนปุ๋ ย
เกณฑ์ดา้ นการใช้งานและการเก็บรักษาสารเคมี
พิจารณาความยุง่ ยากในการใช้งานจากจานวนของสารเคมีที่ใช้เพื่อการตกตะกอนเช่น
หนึ่งชนิดจะมีความยุง่ ยากในการใช้งานและการเก็บรักษาน้อยกว่า และนอกจากนี้ชนิด
ของสารเคมี เช่น ปูนขาว จะมีความสะดวกในการใช้งานมากกว่าเนื่ อ งจากมีขอ้ ควร
ระวังในการใช้งานน้อยกว่า (เทียบกับ โซดาไฟ)
2.1) ปริมาณตะกอน
ปริ มาณตะกอนที่ได้หรื อปริ มาณปุ๋ ยที่ได้ มาจากการชัง่ น้ าหนักตะกอนที่ผา่ นการอบให้
แห้งที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส
ระดับคะแนน 1 น้ าหนักตะกอนน้อยมาก
ระดับคะแนน 2 น้ าหนักตะกอนปานกลาง
ระดับคะแนน 3 น้ าหนักตะกอนมาก
ระดับคะแนน 4 น้ าหนักตะกอนมากที่สุด
ระดับคะแนน 1 พบผลึกแคลเซียมฟอสเฟตน้อยมาก
ระดับคะแนน 2 พบผลึกแคลเซียมฟอสเฟตปานกลาง
ระดับคะแนน 3 พบผลึกแคลเซียมฟอสเฟตมาก
ระดับคะแนน 4 พบผลึกแคลเซียมฟอสเฟตมากที่สุด
Ca-10-1:0
Ca-10-1:1
Ca-10-2:1
Ca-7-1:0
Ca-8-1:0
Ca-9-1:0
Ca-7-1:1
Ca-8-1:1
Ca-9-1:1
Ca-7-2:1
Ca-8-2:1
Ca-9-2:1
ข้ อพิจารณา
ฟอสเฟต (NaH2PO4 )
0.5-0.7 กก.
ปริ มาณฟอสเฟตที่กาจัดได้(%)* - -
ปริ มาณไนโตรเจนที่กาจัดได้ (%) 31 - 36
ราคาสารเคมีรวม (บาท) 29 - 71
ปริ มาณฟอสเฟตที่กาจัดได้(%) 76 - 92 -
ปริ มาณไนโตรเจนที่กาจัดได้(%) 17 - 22
ราคาสารเคมีรวม (บาท) 11 - 26
วิธีการคานวณ
1) ระยะเวลาคืนทุน =
3) นาอัตราลดค่ามาหาผลต่าง แล้วหาอัตราผลตอบแทนของโครงการ
อัตราลดค่า ปัจจัยลดค่า (ตาราง PVIFAi,n) รายได้สุทธิ รายปี มูลค่าปัจจุบนั
8% 3.9927 19,800 บาท 79,055.46 บาท
9% 3.8897 19,800 บาท 77,016.06 บาท
1% ผลต่าง 2,039.40 บาท
pH 8-10 (NaOH)
- ฟอสเฟต (Na2HPO4 )
- แมกนีเซียม (MgCl2.6H2O)
ระบบผลิตปุ๋ ยแมกนีเซียม-
น้ าทิ้งฯ น้ าทิ้ง
แอมโมเนีย-ฟอสเฟต
พีเอช 8-10 ตะกอนปุ๋ ย แมกนีเซียม
แอมโมเนียม ฟอสเฟต
- โซเดียมไฮดรอกไซด์ (NaOH)
จากลัก ษณะและปั จ จัยต่ า งๆที่ เกี่ ยวข้องกับการตกตะกอน ปุ๋ ย แมกนี เซี ย ม-แอมโมเนี ยม-
ฟอสเฟต จากการนาธาตุอาหารของพืชที่อยู่ในน้ าเสี ยกลับมาใช้ประโยชน์โดยการตกตะกอนผลึกทาง
เคมี จะสามารถนามาจัดลาดับความสาคัญของปัจจัยต่างๆที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาและคัดเลือกวิธีการที่
เหมาะสมจากการศึกษาในห้องปฏิบตั ิการ ที่จะสามารถนาไปปฏิบตั ิใช้จริ งในการกาหนดค่าพารามิเตอร์
เบื้องต้นสาหรับแบบจาลองต้นแบบ
ในการคิด ค่ าใช้จ่ายของการผลิตปุ๋ ยฟอสเฟตชนิ ดละลายช้า : ปุ๋ ย แมกนี เซียม-แอมโมเนี ยม-
ฟอสเฟต จากผลการศึ ก ษาในห้อ งปฏิ บัติ ก ารจะน ามาประเมิ น เพื่ อ ศึ ก ษาความเป็ นไปได้ท าง
เศรษฐศาสตร์ ทั้งนี้ การคิดค่าใช้จ่ายจะไม่นา ค่าใช้จ่าย ด้านพลังงาน ค่าการติดตั้งอุปกรณ์ และอื่นๆ เช่น
ค่าน้ า เข้ามารวมอยู่ดว้ ย จะมีเพียงแต่ ค่าใช้จ่ายในเรื่ องของปริ มาณสารเคมีที่ใช้ในการศึก ษาทดลอง
เท่านั้น
ตั้งแต่เริ่ ม สารเคมีที่นามาใช้ในการตกตะกอนผลึกทางเคมีน้ นั มีหลายชนิ ดแตกต่างกันออกไป
ตามแต่ จุด ประสงค์และผลของปฏิกิริ ยาที่ได้ เช่ น สารเคมีที่เติ มลงไปเพื่อการปรั บค่า ฟอสเฟต และ
แมกนีเซียมในน้ า และสารเคมีที่เติมลงไปเพื่อปรับสภาพพีเอชของน้ า ทั้งนี้ ปริ มาณสารเคมีที่ใช้เพื่อให้
เกิ ด การตกตะกอนอย่างมีประสิ ทธิ ภาพจะเป็ นตัว กาหนดค่ าใช้จ่ายที่เกิ ดขึ้ น จากกระบวนการ และ
ปริ มาณการเติมสารเคมีจะมีผลต่อปริ มาณและคุณภาพของตะกอนที่ได้รวมถึงคุณภาพน้ าทิ้งด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเกณฑ์การพิจารณาจะประกอบด้วย ประเด็นดังนี้ (1) สารเคมีที่ใช้ (2) คุณภาพตะกอน
(3) คุณภาพนา้ ทิง้ และ (4) กฎหมาย โดยมีรายละเอียดดังนี้
การคานวณด้านราคาค่าใช้ใช้ของสารเคมีแต่ละชนิด
เกณฑ์ดา้ นราคาค่าใช้จ่ายของสารเคมี
พิจ ารณาจากราคารวมของสารเคมีที่ เ ติ มลงไปทั้ง หมด (แสดงในรู ปที่ 10-3) เพื่ อ
จุดประสงค์ในการปรับพีเอชและการช่วยสร้างตะกอน เกณฑ์ดา้ นราคาค่าใช้จ่ายของ
สารเคมี มีดงั นี้
ระดับคะแนน 1 ราคาสารเคมีสูงมาก
ระดับคะแนน 2 ราคาสารเคมีสูง
ระดับคะแนน 3 ราคาสารเคมีนอ้ ย
ระดับคะแนน 4 ราคาสารเคมีนอ้ ยมาก
การเลือกใช้สารเคมีเพื่อการปรับค่าพีเอชและช่วยการตกตะกอน มีผลต่อความยุ่งยาก
ในการน ามาใช้งาน รวมไปถึงความยากง่ายในการเก็บรั ก ษา รายละเอียดของการ
เลือกใช้สารเคมี มีดงั นี้
สารเคมีที่ใช้ :
สารเคมีที่ใช้ในการผลิตปุ๋ ยฟอสเฟตชนิดละลายช้า: แมกนี เซียม-แอมโมเนี ย-ฟอสเฟต
จากหลัก การของวิ ธี ก ารนี้ คื อ การเติ ม สารประกอบจ าพวก แมกนี เ ซี ย ม (Mg2+)
ฟอสเฟต (PO43-) หรื อแอมโมเนียม (NH4+) ให้จบั กับไอออนที่ตอ้ งการ ร่ วมกับการปรับ
ค่าพีเอชของน้ าด้วยสารละลายด่างด้วยโซดาไฟหรื อโซเดียมไฮดรอกไซด์ เพื่อให้เกิด
ผลึกแมกนีเซียม-แอมโมเนี ย-ฟอสเฟต (MgNH3PO46H2O) ดังนั้นสารเคมีที่ใช้หลักๆ
จะได้แก่ (ตารางที่ 10-8 แสดงชนิดของสารเคมีที่ใช้สาหรับการผลิตปุ๋ ยฟอสเฟตชนิ ด
ละลายช้า: แมกนีเซียม-แอมโมเนี ย-ฟอสเฟตและราคาสารเคมีที่ใช้) รู ปที่ 10-5 แสดง
ระบบการผลิตการผลิตปุ๋ ยฟอสเฟตชนิดละลายช้า: แมกนีเซียม-แอมโมเนีย-ฟอสเฟต
ข้อดีของการใช้โซดาไฟ
- ละลายน้ าได้ดีสามารถทาปฏิกิริยาได้อย่างรวดเร็ว
ข้อจากัดของการใช้โซดาไฟ
- ข้อควรระวังในการใช้งานและการเก็บรักษาสารเคมี เนื่องจากเป็ นสารเคมีที่
สามารถทาปฏิกิริยารุ นแรงและเกิดความร้อนเมื่อนาไปละลายน้ า
1.2) อัตราเร็วในการกวนผสม
อัตราเร็ วในการกวนผสมและระยะเวลาการตกตะกอน มีผลต่อการทาปฏิกิริยาระหว่าง
สารเคมีที่เติมลงไปกับไอออนในน้ าเสี ยที่ ตอ้ งการให้ตกตะกอนลงมา และการสร้าง
ขนาดผลึกหรื อตะกอน ในการศึกษาในห้องปฏิบตั ิการ ในแต่ละชุดการทดลองจะใช้
น้ าเสี ย 1 ลิต ร ใช้อตั ราการกวนเร็ ว เพื่ อให้สารเคมีท าปฏิ กิ ริ ยากัน เป็ น ระยะเวลา
20 นาที หลังจากนั้นปล่อยให้สารตกตะกอนลงมา จากผลการศึกษาพบว่าตะกอนที่ได้
จากการใช้สาระละลายโซเดียมไฮดรอกไซด์ มีระยะเวลาในการตกตะกอนช้ากว่าเทียบ
กับ ตะกอนที่ได้จากการใช้ปูนขาว-แนวทางของการผลิตปุ๋ ยแคลเซียม-ฟอสเฟต)
เกณฑ์ดา้ นการใช้งานและการเก็บรักษาสารเคมี
พิจารณาความยุง่ ยากในการใช้งานจากจานวนของสารเคมีที่ใช้เพื่อการตกตะกอนเช่น
หนึ่งชนิดจะมีความยุง่ ยากในการใช้งานและการเก็บรักษาน้อยกว่า และนอกจากนี้ชนิด
ของสารเคมี เช่น โซดาไฟ ใช้ปริ มาณน้อยกว่าเนื่องจากละลายน้ าได้ดี แต่ทว่าจะมีความ
สะดวกในการใช้งานน้อยกว่า เนื่องจากมีขอ้ ควรระวังที่ตอ้ งคานึ งถึง (เทียบกับ การใช้
ปูนขาว)
2.1) ปริมาณตะกอน
ปริ มาณตะกอนที่ได้หรื อปริ มาณปุ๋ ยที่ได้ มาจากการชัง่ น้ าหนักตะกอนที่ผา่ นการอบให้
แห้งที่อุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส
ระดับคะแนน 1 น้ าหนักตะกอนน้อยมาก
ระดับคะแนน 2 น้ าหนักตะกอนปานกลาง
ระดับคะแนน 3 น้ าหนักตะกอนมาก
ระดับคะแนน 4 น้ าหนักตะกอนมากที่สุด
2.2) ปริ มาณผลึก แมกนี เซี ย ม-แอมโมเนี ย -ฟอสเฟต ตะกอนสลัด จ์ที่ต กผลึก ได้จ ะน ามา
ศึก ษา ลัก ษณะของตะกอนและองค์ป ระกอบต่ า งๆที่ อ ยู่ในตะกอน จากภาพถ่ า ย
ก าลังขยายสู ง ด้ว ยอุป กรณ์ ถ่ ายภาพที่ ใ ช้ก ล้องก าลังขยายสู ง (SEM) และ การวัด
องค์ประกอบของธาตุต่างในตะกอน (EDS)
ระดับคะแนน 1 พบผลึกแมกนีเซียม-แอมโมเนีย-ฟอสเฟตน้อยมาก
ระดับคะแนน 2 พบผลึกแมกนีเซียม-แอมโมเนีย-ฟอสเฟต ปานกลาง
ระดับคะแนน 3 พบผลึกแมกนีเซียม-แอมโมเนีย-ฟอสเฟต มาก
ระดับคะแนน 4 พบผลึกแมกนีเซียม-แอมโมเนีย-ฟอสเฟต มากที่สุด
Na-10-2:1-
Na-10-1:0
Na-10-1:1
Na-7-1:0
Na-8-1:0
Na-9-1:0
Na-7-1:1
Na-8-1:1
Na-9-1:1
Na-7-2:1
Na-8-2:1
Na-9-2:1
ข้ อพิจารณา คะแนน
ปริ มาณฟอสเฟตที่กาจัดได้(%)* - -
ปริ มาณไนโตรเจนที่กาจัดได้ (%) 68
ราคาสารเคมีรวม (บาท) 21 - 32
ปริ มาณฟอสเฟตที่กาจัดได้(%)* 84
ปริ มาณไนโตรเจนที่กาจัดได้ (%) 26
ราคาสารเคมีรวม (บาท) 4 - 13
ตัวเลือ กที่ 2) การผลิตปุ๋ ยแมกนี เซี ยม-แอมโมเนี ย -ฟอสเฟต โดยไม่มีก ารเติ มสารประกอบ
ฟอสเฟต ตัวเลือกนี้แม้ว่าจะทาให้ได้น้ าหนักปุ๋ ยในปริ มาณที่นอ้ ยกว่า แต่ทว่าอาจเป็ นตัวเลือกที่เหมาะสม
สาหรับฟาร์มสุกรที่มีค่าความสกปรกในน้ าเสียที่ไม่สม่าสมอ ฟาร์มที่ไม่มีบ่อพักน้ า และทาการทิ้งน้ าเสีย
ที่ผา่ นการบาบัดแล้วลงสู่แหล่งน้ าธรรมชาติ โดยที่ตวั เลือกนี้มีขอ้ ได้เปรี ยบในค่าใช้จ่ายของสารเคมีที่ถูก
กว่า และการเก็บรักษาสารเคมีสะดวกว่า คือ ต้องการแต่การเติมโซดาไฟเพียงอย่างเดียวเพื่อให้ได้ปุ๋ย
ฟอสเฟตชนิดละลายช้า: แมกนีเซียม-แอมโมเนีย-ฟอสเฟต จึงทาให้ตวั เลือกนี้มีการควบคุมระบบในการ
ทางานสะดวกกว่า
โรงงานผลิตปุ๋ ยสตรู ไวท์ (ICI) ได้ผลิตจะจาหน่ายปุ๋ ยสตรู ไวท์ภายใต้ ยี่ห้อ “N-Mag” เนื่ องจาก
ปุ๋ ยชนิดนี้เป็ นปุ๋ ยที่ให้ธาตุไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และ แมกนีเซียม แบบละลายช้า จาหน่ ายให้กบั บริ ษทั
ที่มีความต้องการซื้อเพื่อนาไปผสมกับธาตุอาหารชนิดอื่น เช่น โพแทสเซียม และจัดจาหน่ายภายใต้ยหี่ อ้
อย่างไรก็ต ามหลายที่ พยายามที่ จ ะให้ชื่อที่ นิ ยาม ปุ๋ ยแมกนี เซี ยม-แอมโมเนี ยม-ฟอสเฟตว่า
“MAP” ซึ่งมาจาก Magnesium Ammonium Phosphate แต่ทว่าชื่อดังกล่าวทาให้เกิดความสับสนระหว่าง
ผูซ้ ้ือ เนื่ องจากเกิดความเข้าใจผิดกับปุ๋ ย โมโน-แอมโมเนี ยม ฟอสเฟต (Mono-ammonium phosphate)
ดังนั้นการใช้ชื่อปุ๋ ยชนิดนี้ว่าสตรู ไวท์อาจสร้างความเข้าใจได้ง่ายกว่า
- 464 €/tonne Australia. 2006 (according to Shu et al., 2006 “An economic evaluation of
phosphorus recovery as struvite from digester supernatant”, Bioresource Technology 97,
pages 2211-2216)
- 250 EUR/ton (11,250 บาท/ตัน - 45 บาท = 1 EUR) รวมค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ งแล้ว
2001. ถ้านา MAP ไปผสมกับผลิตภัณฑ์อื่นและโพแทสเซียมเพื่อให้ได้เป็ นปุ๋ ยที่มีสมบัติ
เฉพาะทางจะสามารถขายได้ 1,000 – 2,000 yen (27-55 บาท) ต่ อ 20กิโลกรั ม -ถุง
(according to Ueno &Fuji, 2002 “Three years experience of operating and selling
recovered struvite from full-scale plant”, Environmental Technology, Vol. 22. pp 1373-
1381)
- UK£ 217 – 865 = 320 – 1290 € UK (according to Gaterell et al., 2000 “An economic and
environmental evaluation of the opportunities for substituting phosphorus recovered from
waste water treatment works in existing UK fertilizer markets”, Environmental
Technology vol. 21 pages 1067-1084)
มีอนั ตรายต่ อพืชผลทางการเกษตร ยังพบว่าในปั จ จุ บัน ได้มีก ารน าปุ๋ ย มาจ าหน่ ายใน
รู ปแบบทางการค้า เช่น ในประเทศญี่ปุ่น (Ueno and Fuji, 2001)
(1) การนาไปใช้เป็ นปุ๋ ยอินทรี ยน์ ้ า (Wastewater as fertilizer and irrigation water)
(2) การนาไปใช้ในการผลิตพลังงานจากระบบเซลล์เชื้อเพลิงชีวภาพ (Microbial Fuel Cell,
MFC)
(3) การนาไปใช้ในการเพาะเลี้ยงพืชสาหรับผลิตเป็ นแหล่งโปรตีนในอาหารสัตว์และผลิต
เป็ นพลังงานทดแทน อาทิ การเพาะเลี้ยงสาหร่ าย และการเพาะเลี้ยงแหน
(4) การนาไปใช้ในเพาะเลี้ยงสัตว์น้ าสาหรับผลิตเป็ นแหล่งโปรตีนในอาหารสัตว์
แนวทางที่ 1 : การนาไปใช้ เป็ นปุ๋ ยอินทรีย์นา้ (Wastewater as fertilizer and irrigation water)
น้ าที่ผา่ นระบบบาบัดน้ าเสียแบบผลิตก๊าซชีวภาพ สามารถนาไปใช้เป็ นปุ๋ ยอินทรี ยแ์ บบน้ า เพื่อ
การเพาะปลูกพืชพลังงาน เช่น ข้าวโพด มันสาปะหลัง อ้อย และ ปาล์มน้ ามัน รวมทั้งใช้ในการเพาะปลูก
พืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว เนื่องจากน้ าที่ผ่านการบาบัดฯ นั้น มีปริ มาณสารอินทรี ย ์ สารอาหารและแร่ ธาตุ
ละลายอยู่ในรู ปที่พืชสามารถน าไปใช้ได้โดยตรง เช่ น ฟอสเฟต (PO43-) ไนเตรด (NO32-) แอมโมเนี ย
(NH4+) โพแทสเซียม (K+) แคลเซียม (Ca2+) และ แมกนี เซียม (Mg+) เป็ นต้น ทั้งนี้ น้ าที่ผ่านการบาบัดฯ
สามารถนาไปใช้เพื่อทดแทนหรื อลดปริ มาณการใช้ปุ๋ยเคมีในการเพาะปลูก ซึ่งถือเป็ นการช่วยลดต้นทุน
ข้ อดี
1) การนาไปใช้งานทาได้สะดวก โดยไม่ตอ้ งผ่านกระบวนการแปรรู ปใดๆ
2) พืชสามารถนาแร่ ธาตุอาหารไปใช้ได้โดยตรง เหมือนการใช้ปุ๋ยน้ า
3) ลดภาระค่าใช้จ่ายในการซื้อปุ๋ ยให้เกษตรกร
ข้ อจากัด
1) การขนส่งปุ๋ ยน้ าในระยะไกลทาได้ไม่สะดวก เนื่องจากเป็ นการขนส่งน้ าปริ มาณมาก
2) สิ่งเจือปนในน้ าเสียที่เป็ นอันตรายต่อมนุษย์ เช่น โลหะหนัก เชื้อโรคและพยาธิ
ขั้นตอนการทางานของเซลล์เชื้อเพลิงแบคทีเรีย
เซลล์เชื้อเพลิงแบคทีเรี ยสามารถผลิตกระแสไฟฟ้ าได้โดยการเปลี่ยนเซลลูโลส (Cellulose) และ
สารอินทรี ยท์ ี่ยอ่ ยสลายได้ให้กลายเป็ นก๊าซไฮโดรเจน (H2) ได้โดยตรง ซึ่งขั้นตอนการทางานของเซลล์
เชื้อเพลิงแบคทีเรี ย เริ่ มจากการนาวัสดุที่สามารถย่อยสลายได้ เช่น นาเศษพืชหรื อผัก เศษวัสดุต่างๆ มา
ผ่านขั้นตอนการหมักและเกิดเป็ นกรดน้ าส้ม หรื อ กรดแอซิติก (Acetic acid) หรื อ นาน้ าตาลกลูโคส
หรื อเซลลูโลสมาหมักให้เปลี่ยนเป็ นกรดแอซิติกก็ได้ จากนั้นนามาใส่ ลงในเซลล์อิเล็กโทรไลซิส ซึ่ง
ประกอบด้วยขั้นไฟฟ้ า 2 ขั้น คือ ขั้วแอโนด (Anode) และ ขั้วแคโทด (Cathode) ทั้งนี้ ที่ข้ วั แอโนด
(Anode) จะมีการยึดเกาะของแบคทีเรี ย หรื อ อาจผ่านขั้นตอนการเคลือบด้วยไบโอฟิ ลม์ (Biofilm) ที่
ภายในมีแบคทีเรี ยอาศัยอยูภ่ ายในไบโอฟิ ลม์ และเมื่อแบคทีเรี ยที่อยู่ที่ข้ วั แอโนดเกิดการย่อยสลายกรด
แอซิติก จะทาให้ได้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) และแบคทีเรี ยจะเกิดการปลดปล่อยอิเล็กตรอน (e-)
ออกมา และได้โปรตอน (H+) อยูใ่ นสารละลาย ซึ่งอิเล็กตรอนเหล่านี้จะเคลื่อนที่เข้าจากขั้วแอโนดและ
ผ่านไปยังขั้วแคโทด โดยอาศัยทางเชื่อม (Bridge) ทาให้เกิดการหมุนเวียนของประจุไฟฟ้ า และเกิดเป็ น
กระแสไฟฟ้ าอ่อนๆ และโปรตอน (H+) ที่อยู่ในสารละลายจะทาหน้าที่รับอิเล็กตรอน (e-) และเกิ ดเป็ น
ก๊าซไฮโดรเจน (H2) หรื อบางเทคโนโลยีอาจใช้เยื่อเลือกผ่าน (Porous Electron Membrane : PEM) ซึ่ง
ทาหน้าที่คดั กรองเฉพาะโปรตอน (H+) ในสารละลายให้ไหลผ่านไปยังขั้วแคโทด ก็จะทาให้เกิดก๊าซ
ไฮโดรเจน และได้กระแสไฟฟ้ าเช่นกัน
ข้ อดี
1) ได้พลังงานไฟฟ้ าเป็ นผลิตภัณฑ์จากกระบวนการย่อยสลายอินทรี ยใ์ นน้ าเสียของจุลินทรี ย ์
2) ได้น้ าสะอาดเป็ นผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต
3) น้ าเสียที่ผา่ นกระบวนการบาบัดมีความสกปรกน้อยลง
ข้ อจากัด
1) เทคโนโลยีน้ ีส่วนใหญ่เป็ นศึกษาวิจยั ในห้องปฏิบตั ิการ อุปกรณ์ตน้ แบบขนาดใหญ่ยงั
ไม่ได้รับความนิยมเนื่องจากค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูง
2) เนื่องจากเซลล์เชื้อเพลิงแบคทีเรี ยนี้ ยงั อยู่ระหว่างการวิจยั ในระดับห้องปฏิบตั ิการวิจยั
จึงสามารถผลิตปริ มาณไฟฟ้ าได้ไม่มากนัก
3) มีความซับซ้อนและยุง่ ยากในการควบคุมระบบเพื่อเลี้ยงจุลินทรี ย ์ และควบคุมชนิดและ
สายพันธุข์ องจุลินทรี ยท์ ี่จะนามาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้ า
4) ค่าใช้จ่ายสูงในการลงทุน และ ติดตั้งระบบ
ขั้นตอนในการเลีย้ งสาหร่ าย
นาหัวเชื้อใส่ ประมาณ 1 ใน 10 ส่ วน ได้แก่ น้ า 10 ลิตร หัวเชื้อ 1 ลิตร มาเลี้ยงในบ่ออนุ บาล
ลักษณะเป็ นบ่อปูน เพื่อให้ควบคุมได้ในพื้นที่จากัด ทาให้เกิดประสิ ทธิภาพในการให้ปุ๋ยและดูแลได้
ทัว่ ถึง หลังจากระยะเวลาหนึ่ งเดื อนจึงขยายไปในบ่ อที่ มีพ้ืนที่ ใหญ่ กว่าและเลี้ยงต่ อไปอีก ประมาณ
ข้ อดี
1) ผลผลิตมีมลู ค่าสูง และตลาดรองรับที่ดี
2) น้ าทิ้งฯที่ผา่ นกระบวนการบาบัดมีความสกปรกน้อยลง
ข้ อจากัด
1) มีค วามยุ่งยากในเตรี ย มน้ าที่ จะนามาใช้ในการเพาะเลี้ยงสาหร่ าย เนื่ องจาก
สาหร่ ายต้องการน้ าสะอาด และกึ่งน้ าเค็ม (ในบางสายพันธุ)์
2) เมื่อทาการเพาะเลี้ย งไประยะเวลาหนึ่ ง สาหร่ ายอาจมีก ารกลายพันธุ์ทาให้
ผลิตผลลดลง
ข้ อดี
1) วิธีการนาน้ าทิ้งไปใช้ ง่ายและสะดวก ได้แหนเป็ นผลิตภัณฑ์
2) การเลี้ยงแหน สามารถทาได้ง่าย และ เก็ยเกี่ยวได้ไม่ยงุ่ ยาก
3) แหนเป็ นผลิตภัณฑ์ที่สามารถให้เป็ นแหล่งโปรตีนในในอาหารสัตว์ และ
แหล่ง วัต ถุ ดิ บ (แป้ ง) สาหรั บ ผลิต เอทานอลเพื่อ เป็ นแหล่ งพลังงาน
ทดแทน
4) น้ าทิ้งที่ผา่ นระบบชนิดนี้ ทาให้มีค่าความสกปรกลดลง
ข้ อจากัด
1) การนาแหนไปผลิตเอทานอลนั้นยังอยูใ่ นระดับห้องปฏิบตั ิการ
2) การนาแหนไปผลิตอาหารสัตว์ ต้องคานึ งถึงสิ่ งปนเปื้ อน เช่น สารพิษในพืช
และโลหะหนัก
3) เกษตรกรต้องมีพ้นื ที่สาหรับจัดสร้างบ่อพักน้ าเสียสาหรับการเลี้ยงแหน
การดาเนินการการเพาะเลี้ยงไรแดงในบ่อดิน
1) เตรี ยมบ่อดิน ขนาดประมาณ 200-800 ตารางเมตร จานวนกี่บ่อก็ได้ แล้วแต่เป้ าหมายในการ
ผลิต โดยกาจัดวัชพืชและสิ่งสกปรกภายในบ่อ ปรับพื้นบ่อให้เรี ยบ อัดดินให้แน่น แล้วตาก
บ่อไว้ 2-3 วัน
2) สูบน้ าเข้าบ่อโดยกรองด้วยอวนมุง้ สี เขียวที่หัวดูดน้ า และที่ปลายท่อส่ งน้ าให้กรองด้วยผ้า
กรองแพลงตอน ให้น้ ามีระดับสูงประมาณ 25-40 เซนติเมตร แล้วเติมน้ าเขียวลงไปเพื่อเป็ น
ข้ อดี
1) ผลผลิตไรแดง สามารถขายได้
2) เป็ นแหล่งโปรตีนสาหรับอาหารเลี้ยงปลา
3) วิธีการเลี้ยงไรแดงง่ายไม่ยงุ่ ยาก
4) เงินลงทุนไม่สูง
ข้ อจากัด
1) ต้องการพื้นที่ในการสร้างบ่อเพื่อเลี้ยงไรแดง
2) อาจมีสิ่ง ปนเปื้ อน หรื อ ศัต รู ข องไรแดงเข้ามาปะปนอยู่ไ ด้ง่ าย และอาจ
ก่อให้เกิดความเสียหายได้ครั้งละมากๆ เช่นกัน
3) ความต้องการของตลาดมีนอ้ ย และจากัดเฉพาะกลุ่ม
ตารางสรุป การประเมินความเหมาะสมทางเทคนิ ค เศรษฐศาสตร์ สิ่ งแวดล้อม โดยใช้เครื่ องมือทางเศรษฐศาสตร์ และสิ่ งแวดล้อม (Cost and benefit
Analysis, CBA) ในการวิเคราะห์ตน้ ทุนและผลประโยชน์รวมของโครงการฯ
ข้ อดีและข้ อจากัด
แนวทาง การนานา้ ทีผ่ ่ านการบาบัดฯ การวิเคราะห์ ต้นทุน ของการดาเนินการในแต่ ละแนวทาง แนวทางการใช้ พลังงาน
ไปใช้ ประโยชน์
ข้ อดี ข้ อจากัด
แนวทางหลัก
การผลิตปุ๋ย - การใช้อุปกรณ์สาหรับการผลิตปุ๋ ยเคมีอินทรี ย์ - สามารถทาได้ง่าย โดยอ่าน - แนวทางนี้เหมาะสาหรับ
ฟอสเฟตชนิด
- เพื่อลดปริ มาณสาร คู่มือการผลิตปุ๋ ยเคมีอินทรี ย ์ น้ าเสี ยที่มีปริ มาณของสาร
- สามารถนาก๊าซ
อย่างง่าย เช่น ใช้ถงั น้ าขนาดเล็กที่มีอยู่แล้ว
ฟอสฟอรัสและ ชีวภาพที่เหลือจาก
ละลายช้ า หรือ และ แรงงานคนในการกวนผสมน้ าที่ผ่านการ จากน้ าที่ผ่านการบาบัดฯ หรื อ แมกนีเซี ยม หรื อ แอมโมเนียม
แอมโมเนียมที่ละลายอยู่ ระบบบาบัดน้ าเสี ย
บาบัดฯ กับสารเคมี จะมีทาให้มีค่าใช้จ่ายใน รับคาแนะนาเพิ่มเติมจาก หรื อ ฟอสเฟต ละลายปนอยู่
ปุ๋ยแมกนีเซียม - ในน้ าที่ผ่านการบาบัดฯ แบบผลิตก๊าซชีวภาพ
การผลิตปุ๋ ยเคมีอินทรี ยน์ อ้ ยมาก คือ มีค่าใช้จ่าย ผูเ้ ชี่ยวชาญในเรื่ องของ
แอมโมเนียม - - มีค่าใช้จ่ายครั้งแรกในการ มาใช้ให้เกิด
- ได้ผลพลอยได้ คือ ในการซื้ อสารเคมีเท่านั้น พลังงานทดแทนจากกระทรวง
ฟอสเฟต หรือ ติดตั้งระบบ และถังปฏิกรณ์ ประโยชน์สูงสุ ด โดย
ปุ๋ ยเคมีอินทรี ยท์ าง พลังาน
- หากต้องการผลิตปุ๋ ยเคมีอินทรี ยใ์ ห้ได้ปริ มาณ ในการเพิม่ กาลังการผลิต ใช้เป็ นพลังงาน
ปุ๋ยสตรู ไวท์ การเกษตร หรื อวัตถุดิบ
ในการผลิตปุ๋ ย มากขึ้น หรื อ การผลิตปุ๋ ยเชิงอุตสาหกรรรม จะ - สามารถลดปริ มาณฟอสเฟต - มีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องจากการเติม สาหรับขับเคลื่อน
มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเบื้องต้นในส่ วนของ และแอมโมเนี ย ที ่ ล ะลายอยู ใ
่ น อุปกรณ์ไฟฟ้ าต่างๆ
สารเคมีในการผลิตปุ๋ ย
การติดตั้งอุปกรณ์การผลิตปุ๋ ยและมีค่าใช้จ่าย น ้ าเสี ยได้
ม ากภายในครั ้ ง เดี ย ว เช่น ปั๊ มสูบน้ า เครื่ อง
- มีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องในการซ่ อม
ต่อเนื่องในส่ วนของการซื้ อสารเคมีในการผลิต - ได้ปุ๋ยเคมีอินทรี ย ์ คือ กวนผสม
บารุ งอุปกรณ์ต่างๆ
ปุ๋ ยเคมีอินทรี ย ์ แต่ท้ งั นี้การผลิตในลักษณะนี้ ปุ๋ ยสตรู ไวท์ ซึ่ งสามารถนาไป
สามารถซื้ อสารเคมีได้ในราคาที่ถูกลง ขาย เพื่อเพิ่มรายได้ให้แก่
เนื่องจากสามารถคานวนปริ มาณสารเคมีที่ ผูป้ ระกอบการ
ต้องการใช้ในระยะยาวได้ จะช่วยทาให้ซ้ื อ
- นาปุ๋ ยเคมีอินทรี ยท์ ี่ผลิตได้ไป
สารเคมีได้ในราคาที่ถูกลง ซึ่ งจะช่วยลดต้นทุน
ใช้ในการเพิ่มผลผลิตทาง
ตารางสรุป การประเมินความเหมาะสมทางเทคนิ ค เศรษฐศาสตร์ สิ่ งแวดล้อม โดยใช้เครื่ องมือทางเศรษฐศาสตร์ และสิ่ งแวดล้อม (Cost and benefit
Analysis, CBA) ในการวิเคราะห์ตน้ ทุนและผลประโยชน์รวมของโครงการฯ
ข้ อดีและข้ อจากัด
แนวทาง การนานา้ ทีผ่ ่ านการบาบัดฯ การวิเคราะห์ ต้นทุน ของการดาเนินการในแต่ ละแนวทาง แนวทางการใช้ พลังงาน
ไปใช้ ประโยชน์
ข้ อดี ข้ อจากัด
ในการผลิตปุ๋ ยได้ การเกษตรได้ ซึ่ งถือเป็ นการ
ลดค่าใช้จ่ายในการซื้ อปุ๋ ยเคมี
- การนาก๊าซชีวภาพที่เหลือจากระบบบาบัด น้า อีกทางหนึ่ง
เสี ยแบบผลิตก๊าซชีวภาพมาใช้ให้เกิด
ประโยชน์สูงสุ ด โดยใช้เป็ นพลังงานสาหรับ - การขนส่ งทาได้สะดวก
ขับเคลื่อนอุปกรณ์ไฟฟ้ าต่างๆ เช่น ปั๊ มสูบน้ า เนื่องจากปุ๋ ยสตรู ไวท์อยู่ในรู ป
เครื่ องกวนผสม ซึ่ งถือเป็ นการช่วยประหยัด ของแข็ง
ค่าใช้จ่ายอีกทางหนึ่ง - ช่วยลดการปนเปื้ อนของธาตุ
อาหารลงสู่แหล่งน้ าใต้ดิน
และ แหล่งน้ าธรรมชาติ
- มีโรงงานต้นแบบขนาดใหญ่
(Full scale) ที่ผลิตปุ๋ ยในเชิง
อุตสาหกรรม
- เพิ่มรายได้ให้แก่
ผูป้ ระกอบการในการขาย
ปุ๋ ยเคมีอินทรี ย ์
- เพิ่มแรงจูงในการใช้ระบบผลิต
ก๊าซชีวภาพในฟาร์มสุ กร
ตารางสรุป การประเมินความเหมาะสมทางเทคนิ ค เศรษฐศาสตร์ สิ่ งแวดล้อม โดยใช้เครื่ องมือทางเศรษฐศาสตร์ และสิ่ งแวดล้อม (Cost and benefit
Analysis, CBA) ในการวิเคราะห์ตน้ ทุนและผลประโยชน์รวมของโครงการฯ
ข้ อดีและข้ อจากัด
แนวทาง การนานา้ ทีผ่ ่ านการบาบัดฯ การวิเคราะห์ ต้นทุน ของการดาเนินการในแต่ ละแนวทาง แนวทางการใช้ พลังงาน
ไปใช้ ประโยชน์
ข้ อดี ข้ อจากัด
แนวทางหลัก
การผลิตปุ๋ย - เพื่อลดปริ มาณ - การใช้อุปกรณ์สาหรับการผลิตปุ๋ ยเคมีอินทรี ย์ - สามารถทาได้ง่าย โดยอ่าน - แนวทางนี้เหมาะสาหรับ
แคลเซียมฟอสเฟต คู่มือการผลิตปุ๋ ยเคมีอินทรี ย ์ น้ าเสี ยที่มีปริ มาณของสาร
- สามารถนาก๊าซ
ฟอสฟอรัสและแคลเซี ยม อย่างง่าย เช่น ใช้ถงั น้ าขนาดเล็กที่มีอยู่แล้ว
ชีวภาพที่เหลือจาก
หรือ ที่ละลายอยู่ในน้ าเสี ย และ แรงงานคนในการกวนผสมน้ าที่ผ่านการ จากน้ าที่ผ่านการบาบัดฯ หรื อ แคลเซี ยม หรื อ ฟอสเฟต
ระบบบาบัดน้ าเสี ย
บาบัดฯ กับสารเคมี จะมีทาให้มีค่าใช้จ่ายใน รับคาแนะนาเพิ่มเติมจาก ละลายปนอยู่
ปุ๋ยอะพาไทด์ - ได้ผลพลอยได้ คือ แบบผลิตก๊าซ
การผลิตปุ๋ ยเคมีอินทรี ยน์ อ้ ยมาก คือ มีค่าใช้จ่าย ผูเ้ ชี่ยวชาญในเรื่ องของ
ปุ๋ ยเคมีอินทรี ยท์ าง - มีค่าใช้จ่ายครั้งแรกในการ ชีวภาพมาใช้ให้เกิด
ในการซื้ อสารเคมีเท่านั้น พลังงานทดแทนจากกระทรวง
การเกษตร หรื อวัตถุดิบ ติดตั้งระบบ และถังปฏิกรณ์ ประโยชน์สูงสุ ด
พลังาน
ในการผลิตปุ๋ ย - หากต้องการผลิตปุ๋ ยเคมีอินทรี ยใ์ ห้ได้ปริ มาณ ในการเพิ่มกาลังการผลิต โดยใช้เป็ นพลังงาน
มากขึ้น หรื อ การผลิตปุ๋ ยเชิงอุตสาหกรรรม จะ - สามารถลดปริ มาณฟอสเฟตที่ - มีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องจากการเติม สาหรับขับเคลื่อน
มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนเบื้องต้นในส่ วนของ ละลายอยู่ในน้ าเสี ยได้มาก อุปกรณ์ไฟฟ้ าต่างๆ
สารเคมีในการผลิตปุ๋ ย
การติดตั้งอุปกรณ์การผลิตปุ๋ ยและมีค่าใช้จ่าย ภายในครั ้ ง เดี ยว เช่น ปั๊ มสูบน้ า
- มีค่าใช้จ่ายต่อเนื่องในการซ่ อม
ต่อเนื่องในส่ วนของการซื้ อสารเคมีในการผลิต - ได้ปุ๋ยเคมีอินทรี ย ์ คือ เครื่ องกวนผสม
บารุ งอุปกรณ์ต่างๆ
ปุ๋ ยเคมีอินทรี ย ์ แต่ท้ งั นี้การผลิตในลักษณะนี้ ปุ๋ ยอะพาไทด์ ซึ่ งสามารถ
สามารถซื้ อสารเคมีได้ในราคาที่ถูกลง นาไปขาย เพื่อเพิ่มรายได้
เนื่องจากสามารถคานวนปริ มาณสารเคมีที่ ให้แก่ผปู้ ระกอบการ
ต้องการใช้ในระยะยาวได้ จะช่วยทาให้ซ้ื อ
- นาไปใช้เป็ นวัตถุดิบในการ
สารเคมีได้ในราคาที่ถูกลง ซึ่ งจะช่วยลดต้นทุน
ผลิตปุ๋ ย
ตารางสรุป การประเมินความเหมาะสมทางเทคนิ ค เศรษฐศาสตร์ สิ่ งแวดล้อม โดยใช้เครื่ องมือทางเศรษฐศาสตร์ และสิ่ งแวดล้อม (Cost and benefit
Analysis, CBA) ในการวิเคราะห์ตน้ ทุนและผลประโยชน์รวมของโครงการฯ
ข้ อดีและข้ อจากัด
แนวทาง การนานา้ ทีผ่ ่ านการบาบัดฯ การวิเคราะห์ ต้นทุน ของการดาเนินการในแต่ ละแนวทาง แนวทางการใช้ พลังงาน
ไปใช้ ประโยชน์
ข้ อดี ข้ อจากัด
ในการผลิตปุ๋ ยได้ - การขนส่ งทาได้สะดวก
เนื่องจากผลิตภัณฑ์อยู่ในรู ป
- การนาก๊าซชีวภาพที่เหลือจากระบบบาบัด น้า ของแข็ง
เสี ยแบบผลิตก๊าซชีวภาพมาใช้ให้เกิด
ประโยชน์สูงสุ ด โดยใช้เป็ นพลังงานสาหรับ - ช่วยลดการปนเปื้ อนของธาตุ
ขับเคลื่อนอุปกรณ์ไฟฟ้ าต่างๆ เช่น ปั๊ มสูบน้ า อาหารลงสู่แหล่งน้ าใต้ดิน
เครื่ องกวนผสม ซึ่ งถือเป็ นการช่วยประหยัด และ แหล่งน้ าธรรมชาติ
ค่าใช้จ่ายอีกทางหนึ่ง - มีโรงงานต้นแบบขนาดใหญ่
(Full scale) ที่ผลิตปุ๋ ยในเชิง
อุตสาหกรรม
- เพิม่ รายได้ให้แก่
ผูป้ ระกอบการในการขาย
ปุ๋ ยเคมีอินทรี ย ์
- เพิ่มแรงจูงในการใช้ระบบ
ผลิตก๊าซชีวภาพในฟาร์มสุ กร
ตารางสรุป การประเมินความเหมาะสมทางเทคนิ ค เศรษฐศาสตร์ สิ่ งแวดล้อม โดยใช้เครื่ องมือทางเศรษฐศาสตร์ และสิ่ งแวดล้อม (Cost and benefit
Analysis, CBA) ในการวิเคราะห์ตน้ ทุนและผลประโยชน์รวมของโครงการฯ
ข้ อดีและข้ อจากัด
แนวทาง การนานา้ ทีผ่ ่ านการบาบัดฯ การวิเคราะห์ ต้นทุน ของการดาเนินการในแต่ ละแนวทาง แนวทางการใช้ พลังงาน
ไปใช้ ประโยชน์
ข้ อดี ข้ อจากัด
แนวทางเลือกอืน่
แนวทางที่ 1 - เป็ นการนาน้าที่ผ่านการ - ไม่มีค่าใช้จ่ายในการลงทุน หรื อ มีค่าใช้จ่าย - สามารถนาน้ าที่ผ่านการบาบัด - การขนส่ งปุ๋ ยอินทรี ยน์ ้ าใน - สามารถนาก๊าซ
การนาไปใช้ เป็ น บาบัดฯ ไปใช้โดยตรง ในการลงทุนต่ามาก เมื่อเปรี ยบเทียบกับ ฯ ไปใช้งานได้โดยตรง โดย ระยะไกลทาได้ไม่สะดวก ชีวภาพที่ได้จาก
ปุ๋ยอินทรีย์นา้ ในการเป็ นปุ๋ ยอินทรี ยน์ ้ า แนวทางอื่นๆ ไม่ตอ้ งผ่านกระบวนการแปร ระบบบาบัดน้ าเสี ย
สาหรับสาหรับการปลูก รู ปใดๆ
- อาจมีสิ่งเจือปนในน้าเสียที่เป็ น แบบผลิตก๊าซ
เนื่องจาก สามารถนาน้ าที่ผ่านการบาบัดฯ ไป อันตรายต่อมนุษย์ เช่น โลหะ
พืชพลังงาน (อาทิ เช่น ชีวภาพที่เหลือมาใช้
ใช้ได้โดยตรง หรื อ อาจใช้เครื่ องสูบน้ าสูบเข้า - ใช้เป็ นปุ๋ ยอินทรี ยน์ ้ า ในการ หนัก เชื้อโรคและพยาธิ
อ้อย ข้าวโพด และ มัน เป็ นเชื้อเพลิงสาหรับ
สู่แปลงเพาะปลูกพืช เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ซึ่ ง
- อาจทาให้เกิดการปนเปื้ อนของ เครื่ องสูบน้ าเข้าสู่
สาปะหลัง) และ พืช จะส่ งผลทาให้เพิม่ รายได้
ธาตุอาหารลงสู่แหล่งน้ าใต้ดิน แปลงเพาะปลูก
ให้แก่ผปู้ ระกอบการอีกทาง
เศรษฐกิจ (ข้าว) และ แหล่งน้ าธรรมชาติ
หนี่ง
เนื่องจากธาตุอาหารอยู่ในรู ป
- พืชพลังงานและพืชเศรษฐกิจ ละลายน้ า
สามารถนาธาตุอาหารที่ละลาย
อยู่ในน้ าไปใช้ได้โดยตรง
- ลดภาระรายจ่ายเรื่ องการซื้ อ
ปุ๋ ยสาหรับการเพาะปลูกพืช
ตารางสรุป การประเมินความเหมาะสมทางเทคนิ ค เศรษฐศาสตร์ สิ่ งแวดล้อม โดยใช้เครื่ องมือทางเศรษฐศาสตร์ และสิ่ งแวดล้อม (Cost and benefit
Analysis, CBA) ในการวิเคราะห์ตน้ ทุนและผลประโยชน์รวมของโครงการฯ
ข้ อดีและข้ อจากัด
แนวทาง การนานา้ ทีผ่ ่ านการบาบัดฯ การวิเคราะห์ ต้นทุน ของการดาเนินการในแต่ ละแนวทาง แนวทางการใช้ พลังงาน
ไปใช้ ประโยชน์
ข้ อดี ข้ อจากัด
แนวทางที่ 2
การนาไปใช้ ในการ - มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนสูง
ผลิตพลังงานจาก
- สามารถผลิตเป็ นพลังงาน - ได้พลังงานไฟฟ้ า ซึ่ งถือเป็ น - เทคโนโลยีน้ีส่วนใหญ่เป็ น - ได้พลังงานไฟฟ้ า
ไฟฟ้ า และนามาใช้เป็ น - ต้องนาเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ รวมทั้ง การผลิตพลังงานสะอาด จาก ศึกษาวิจยั ในห้องปฏิบตั ิการ และน้ าบริ สุทธิ์ เป็ น
ระบบเซลล์
พลังงานทดแทนพลังงาน มีค่าใช้จ่ายในการดาเนินการค่อนข้างมาก กระบวนการย่อยสลายอินทรี ย ์ ผลิตภัณฑ์จาก
เชื้อเพลิงชีวภาพ
ในน้ าเสี ยของจุลินทรี ย ์ - ระบบการผลิตต้นแบบขนาด กระบวนการย่อย
ในรู ปแบบอื่นต่อไป แนวทางนี้จึงยังไม่เป็ นที่นิยมมากน้ก
(Microbial ใหญ่ยงั ไม่ได้รับความนิยม
สลายสารอินทรี ย ์
- ถือเป็ นการผลิตพลังงาน - - ได้น้ าบริ สุทธิ์ เป็ นผลพลอยได้ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการลงทุน
Fuel Cell, สะอาด และเป็ นมิตรต่อ สูง
- น้ าเสี ยที่ผ่านกระบวนการ
MFC) สิ่ งแวดล้อม
บาบัดมีความสกปรกน้อยลง - มีความซับซ้อนและยุ่งยากใน
- ได้น้ าบริ สุทธิ์ เป็ นผล การดูและระบบ เพื่อเลี้ยง
พลอยได้ จุลินทรี ย ์ และควบคุมชนิดและ
สายพันธุ ์ของจุลินทรี ยท์ ี่จะ
นามาใช้
- ค่าใช้จ่ายในการลงทุนและ
ติดตั้งระบบสูง
ตารางสรุป การประเมินความเหมาะสมทางเทคนิ ค เศรษฐศาสตร์ สิ่ งแวดล้อม โดยใช้เครื่ องมือทางเศรษฐศาสตร์ และสิ่ งแวดล้อม (Cost and benefit
Analysis, CBA) ในการวิเคราะห์ตน้ ทุนและผลประโยชน์รวมของโครงการฯ
ข้ อดีและข้ อจากัด
แนวทาง การนานา้ ทีผ่ ่ านการบาบัดฯ การวิเคราะห์ ต้นทุน ของการดาเนินการในแต่ ละแนวทาง แนวทางการใช้ พลังงาน
ไปใช้ ประโยชน์
ข้ อดี ข้ อจากัด
แนวทางที่ 3
การนาไปใช้ ในการ
เพาะเลีย้ งพืช
สาหรับผลิตเป็ น
แหล่งโปรตีนใน
อาหารสั ตว์ และ
ผลิตเป็ นพลังงาน
ทดแทน
ตารางสรุป การประเมินความเหมาะสมทางเทคนิ ค เศรษฐศาสตร์ สิ่ งแวดล้อม โดยใช้เครื่ องมือทางเศรษฐศาสตร์ และสิ่ งแวดล้อม (Cost and benefit
Analysis, CBA) ในการวิเคราะห์ตน้ ทุนและผลประโยชน์รวมของโครงการฯ
ข้ อดีและข้ อจากัด
แนวทาง การนานา้ ทีผ่ ่ านการบาบัดฯ การวิเคราะห์ ต้นทุน ของการดาเนินการในแต่ ละแนวทาง แนวทางการใช้ พลังงาน
ไปใช้ ประโยชน์
ข้ อดี ข้ อจากัด
มีความสกปรกน้อยลง การผลิตทาได้ยาก รวมทั้ง
คุณภาพการผลิตอาจลดลง
- ต้องใช้พ้นื ที่ในการเพาะเลี้ยง
สาหร่ าย ซึ่ งจะต้องเป็ นพื้นที่ที่
มีบริ เวณกว้าง มีแสงแดงส่ อง
ถึงในการเป็ นแหล่งพลังงานใน
การสังเคราะห์แสงของพืช
3.2 เลีย้ งแหน - เพื่อบาบัดน้ าทิ้งขั้นหลัง - มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนไม่มากนัก - ถือเป็ นการนาน้ าที่ผ่านการ - การนาแหนไปผลิตเอทานอล - สามารถนาก๊าซ
(Duckwee และได้แหนเป็ นแหล่ง เมื่อเปรี ยบเทียบกับแนวทางอื่นๆ บาบัดฯ ไปใช้ได้โดยตรง นั้นยังอยู่ในระดับห้อง ชีวภาพที่ได้จาก
โปรตีนสาหรับอาหาร - การเพาะเลี้ยงแหนสามารถทา ปฏิบตั ิการ ระบบบาบัดน้ าเสี ย
d)
สัตว์ ได้ง่ายและ เก็บเกีย่ วได้ ไม่ แบบผลิตก๊าซ
- การนาแหนไปผลิตอาหารสัตว์ ชีวภาพที่เหลือมา
- แหนเป็ นพืชที่มีศกั ยภาพ ยุ่งยาก ต้องคานึงถึงสิ่ งปนเปื้ อน เช่น
ใช้เป็ นเชื้อเพลิง
ในการผลิตเอทานอล - เป็ นผลิตภัณฑ์ที่สามารถให้ สารพิษในพืช และโลหะหนัก
สาหรับเครื่ องเติม
เป็ นแหล่งโปรตีนในอาหาร
- ต้องใช้พ้นื ที่ในการเพาะเลี้ยง อากาศ
สัตว์
แหน ซึ่ งจะต้องเป็ นพื้นที่ที่มี
- เป็ นแหล่งวัตถุดิบ (แป้ ง)
- แหนเป็ นพืชที่มี
บริ เวณกว้าง มีแสงแดงส่ องถึ ง
ศักยภาพในการ
ตารางสรุป การประเมินความเหมาะสมทางเทคนิ ค เศรษฐศาสตร์ สิ่ งแวดล้อม โดยใช้เครื่ องมือทางเศรษฐศาสตร์ และสิ่ งแวดล้อม (Cost and benefit
Analysis, CBA) ในการวิเคราะห์ตน้ ทุนและผลประโยชน์รวมของโครงการฯ
ข้ อดีและข้ อจากัด
แนวทาง การนานา้ ทีผ่ ่ านการบาบัดฯ การวิเคราะห์ ต้นทุน ของการดาเนินการในแต่ ละแนวทาง แนวทางการใช้ พลังงาน
ไปใช้ ประโยชน์
ข้ อดี ข้ อจากัด
สาหรับผลิตเอทานอลเพื่อเป็ น ในการเป็ นแหล่งพลังงานใน ผลิตเอทานอล
แหล่งพลังงานทดแทน การสังเคราะห์แสงของพืช
- น้ าทิ้งที่ผ่านระบบชนิดนี้ ทา
ให้มีค่าความสกปรกลดลง
แนวทางที่ 4
การนาไปใช้ ใน
เพาะเลีย้ งสั ตว์ นา้
สาหรับผลิตเป็ น
แหล่งโปรตีนใน
อาหารสั ตว์
ตารางสรุป การประเมินความเหมาะสมทางเทคนิ ค เศรษฐศาสตร์ สิ่ งแวดล้อม โดยใช้เครื่ องมือทางเศรษฐศาสตร์ และสิ่ งแวดล้อม (Cost and benefit
Analysis, CBA) ในการวิเคราะห์ตน้ ทุนและผลประโยชน์รวมของโครงการฯ
ข้ อดีและข้ อจากัด
แนวทาง การนานา้ ทีผ่ ่ านการบาบัดฯ การวิเคราะห์ ต้นทุน ของการดาเนินการในแต่ ละแนวทาง แนวทางการใช้ พลังงาน
ไปใช้ ประโยชน์
ข้ อดี ข้ อจากัด
บทที่ 11
การนาเสนอรู ปแบบการบริหารจัดการในระดับชุมชน
11.1 การบริหารจัดการในระดับชุมชน
ลักษณะการบริ หารจัดการองค์กรระดับชุมชนที่ได้รับ การยอมรับ คือ วิสาหกิจชุมชน ซึ่งเน้น
การค้นหาศักยภาพของตนเองและพัฒนาศักยภาพไปสู่การพึ่งพาตนเอง ทั้งในชุมชนและระหว่างชุมชน
พร้อมพัฒนากระบวนการเรี ยนรู้ของชุมชนให้สามารถจัดการตนเอง จัดการชุมชน ตลอดจนทรัพยากร
ในชุมชน เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม
ในการบริ หารจัดการปุ๋ ยอิน ทรี ยเ์ คมีที่ได้จ ากน้ าทิ้ งที่ผ่านระบบก๊าวชี วภาพ ถือเป็ นวิสาหกิ จ
ชุมชนขนาดเล็กที่สามารถพัฒนาให้เข้มแข็งได้ ดังนั้นการบริ หารจัดการโครงการจึงเน้นให้ประชาชนมี
ส่วนร่ วม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดาเนิ นงานและยังเป็ นองค์กรประชาชนที่หน่ วยงานของรัฐ
สามารถเข้าสนับสนุนหรื อให้การช่วยเหลือได้สะดวกขึ้น ดังนั้นในการดาเนินงานด้านการมีส่วนร่ วมจึง
มีความสาคัญและจาเป็ นต้องทาความเข้าใจและเริ่ มดาเนิ นการตั้งแต่การร่ วมวางแผนและร่ วมบริ หาร
จัดการโครงการให้เกิดประโยชน์สูงสุ ด สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งจะเป็ น
การเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรให้สามารถบริ หารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
11.2 วัตถุประสงค์
การดาเนิ นกิจกรรมการมีส่วนร่ วมของชุมชนภายใต้โครงการศึกษาการเพิ่มมูลค่าน้ าที่ผ่านการ
บาบัดจากระบบผลิตก๊าซชีวภาพฟาร์มสุกรตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง มีวตั ถุประสงค์ ดังนี้
(1) เพื่อให้ประชาชนในชุ มชนรั บ ทราบ และเข้าใจถึงผลประโยชน์ ข้อดี -ข้อเสี ย แนวทาง และ
วิธีการในการจัดการน้ าที่ผา่ นการบาบัดจากระบบผลิตก๊าซชีวภาพเพื่อนามาใช้ประโยชน์
(2) เพื่อจัด ทาการศึกษาและน าเสนอรู ปแบบให้ชุมชนเข้าไปมีส่ว นร่ ว มในการด าเนิ น การ และ
บริ หารจัดการ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
8) หน่ ว ยงานราชการที่ เ กี่ ย วข้อ งจะต้อ งให้ ก ารสนั บ สนุ น เสริ มสร้ า งหรื อพัฒ นาขี ด
ความสามารถขององค์กรให้มากยิง่ ขึ้น โดยเน้นการฝึ กอบรม จัดประชุมสัมมนา การดูงาน
นอกสถานที่
ฝ่ ายบริหารจัดการ
1) ฝ่ ายบริหาร ทาหน้าที่
กาหนดนโยบายแนวทางการดาเนินงานร่ วมกับคณะกรรมการอื่นๆ พร้อมกากับดูแลการ
ดาเนิ นงานให้เป็ นไปตามข้อกาหนด
ประสานความร่ วมมือกับหน่วยงานอื่นๆ เพื่อวางแผนการดาเนินงาน
กาหนดวาระการประชุมเพื่อให้กลุ่มฯ มุ่งเน้นไปในทิศทางเดียวกัน
2) ฝ่ ายการผลิตปุ๋ ยอินทรีย์เคมี ทาหน้าที่
รวบรวมปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีจากสมาชิกในรู ปแบบธนาคารปุ๋ ย และจัดทาบัญชีปุ๋ยอินทรี ยเ์ คมี
ของเกษตรกรรายบุคคล
จัดซื้อวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ ยฯ เพื่อสนับสนุนด้านการผลิตให้แก่สมาชิก ได้แก่ สารเคมี
โรงเก็บปุ๋ ยฯ อุปกรณ์บรรจุปุ๋ยฯ และอุปกรณ์ผลิตอื่นๆ
ประธานกลุ่ม
ฝ่ ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ ฝ่ ายการตลาด
ปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมี พลังงาน สุกร ปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมี
พพ. มี ห น้า ที่ ส นับ สนุ น ให้ค วามร่ วมมือ ในการจัด วิ ท ยากร เอกสารเผยแพร่ และติ ด ตาม
ประเมินผล เพื่อให้ชุมชนดังกล่าวสามารถปฏิบตั ิการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
11.6.1 สภาพตลาดปุ๋ ย
สถานการณ์ปุ๋ยในปัจจุบัน
จากผลการศึกษาพบว่า ประเทศไทยยังไม่มีแหล่งวัตถุดิบที่จะนามาผลิตปุ๋ ยเคมีในเชิงพาณิ ชย์ได้
จึงทาให้ตอ้ งนาเข้าปุ๋ ยเคมีจากต่างประเทศเป็ นหลัก โดยในช่วงปี 2537-2546 มีปริ มาณการนาเข้าปุ๋ ยเคมี
ปี ละประมาณ 3.18-3.84 ล้านตัน มูลค่า 13,049-25,747 ล้านบาท และปริ มาณการใช้ปุ๋ยเคมีได้เพิ่มขึ้น
จาก 3.39 ล้านตันในปี 2537 เป็ น 3.95 ล้านตันในปี 2546 ส่วนปุ๋ ยอินทรี ยน์ ้นั ในประเทศไทยมีวตั ถุดิบ
เพียงพอที่จะนามาใช้ในการผลิต รวมทั้งเกษตรกรสามารถผลิตขึ้นใช้เองได้โดยใช้วตั ถุดิบในไร่ นา ดังนั้น
ในภาวะปัจจุบนั ที่ปุ๋ยเคมีมรี าคาแพงและกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ในปัจจุบนั จึงทาให้ปริ มาณการ
ใช้ปุ๋ยอินทรี ยม์ ีแนวโน้มเพิม่ มากขึ้น
ส่วนการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีในการเกษตรพบว่า ส่วนใหญ่จะ
มีปัจจัยด้านราคาปุ๋ ยเคมี ราคาผลผลิต พื้นที่เพาะปลูก ปริ มาณผลผลิต และผลการเปลี่ยนแปลงทาง
เทคโนโลยีและสิ่งเอื้ออานวยที่เกื้อกูลต่อการใช้ปุ๋ยเคมีในการผลิตพืชเป็ นตัวกาหนด และจากการประมาณ
การความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีพบว่าความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีในการผลิตพืชโดยรวมนับแต่ปี 2546-2550 มี
แนวโน้มเพิม่ ขึ้นโดยตลอด กล่าวคือ เพิม่ ขึ้นจากประมาณ 3.88-3.89 ล้านตัน ในปี 2546 เป็ น 4.32-4.40
ล้านตันในปี 2550 หรื อมีอตั ราเพิ่มเฉลี่ยประมาณร้อยละ 2.73-3.14 ซึ่งเมื่อพิจารณาความต้องการใช้
ปุ๋ ยเคมีของพืชแต่ละกลุ่มปรากฏว่า พืชที่มีความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีมากที่สุด คือ ข้าวนาปี รองลงมาคือ
ไม้ผลและไม้ยนื ต้น พืชไร่ ข้าวนาปรัง และผัก ไม้ดอกและไม้ประดับ ตามลาดับ
เนื่องจากความต้องการใช้ปุ๋ยในการผลิตพืชมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นโดยตลอด และการต้องพึ่งพาการ
นาเข้าปุ๋ ยเคมีจากต่างประเทศซึ่งมีราคาค่อนข้างแพงเมื่อ เทียบกับราคา ผลผลิตที่เกษตรกรขายได้ ดังนั้น
จึงควรแนะนาและส่งเสริ มให้เกษตรกรมีความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ปุ๋ย ที่ถกู ต้องเหมาะสมกับชนิดของ
ดินและพืช สนับสนุนให้เกษตรกรผสมปุ๋ ยเคมีใช้เอง และมีการผลิตปุ๋ ยอินทรี ยจ์ ากวัสดุเหลือใช้ในไร่ นา
ให้มากขึ้น รวมทั้งส่งเสริ มให้มีการใช้ปุ๋ยแบบผสมผสานคือใช้ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ ย อินทรี ยห์ รื อปุ๋ ยชีวภาพ
ในอัตราที่เหมาะสมในการผลิตพืชแต่ละชนิด ซึ่งการใช้ปุ๋ยแบบผสมผสานจะช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมีได้
ส่วนหนึ่ง และยังเป็ นการช่วยเพิ่มอินทรี ยวัตถุในดินทาให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์ตาม ธรรมชาติมาก
ปัญหาด้ านภาครัฐบาลและเอกชน
ผูผ้ ลิต/ ผูผ้ สมปุ๋ ยที่ซ้ือวัตถุดิบต่างๆ ในประเทศจะไม่ได้รับการยกเว้นภาษีมลู ค่าเพิ่ม ผูผ้ ลิต
จาต้องสัง่ ซื้อจากต่างประเทศแทน ทาให้เงินทุนบางส่วนไหลออกนอกประเทศ
ความร่ วมมือระหว่างภาคเอกชนกับภาครัฐด้านข่าวสารข้อมูลยังมีอยูน่ อ้ ย ทาให้ความ
ช่วยเหลือของภาครัฐที่มีต่อภาคเอกชนอาจมีความล่าช้า
2. รั ฐควรปรั บปรุ งกฎหมายภาษี มูล ค่ าเพิ่ม ให้เกิ ด ความเสมอภาคกัน ระหว่ างผูผ้ ลิต ที่ ซ้ื อ
วัตถุดิบภายในประเทศกับ ผูผ้ ลิตที่นาเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ
2. จัดทาแปลงทดลองสาธิตเพื่อสร้างความเชื่อมัน่ ในการใช้ปุ๋ย
รายละเอียด
1. เนื่ องจากเกษตรกรในจังหวัด นครปฐมมีค วามนิ ย มซื้ อ ปุ๋ ยอิน ทรี ย ใ์ ช้เอง ปั จ จัยที่ มี
อิทธิ พลต่ อการตัด สิ น ใจในการใช้ปุ๋ยชนิ ด ใหม่คื อ การที่ ต นเองได้ทดลองใช้ปุ๋ยและผลผลิต ที่ ได้ดี
มากกว่าการใช้ปุ๋ยอื่นๆ ปัจจัยลาดับรองลงมา คือ การบอกกล่าวจากเพื่อนบ้านหรื อกลุ่มเกษตรกร ดังนั้น
วิธีการส่ งเสริ มให้เกษตรกรให้ได้ใช้ตวั อย่างปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีอาจจะทดลองในแปลงเกษตรในหมู่บา้ น
หรื อแปลงเกษตรของหัวหน้ากลุ่มเกษตรกรในพื้นที่
SWOT Analysis
จุดแข็ง
1. สามารถทดแทนการใช้ปุ๋ยอินทรี ยจ์ ากมูลสัตว์ โดยนาปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีผสมในอัตราส่วนที่
เหมาะสม (50:50)
2. มีศกั ยภาพที่จะผลิตปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีได้ในปริ มาณพอเพียงกับความต้องการของเกษตรใน
พื้นที่ เนื่องจากแหล่งวัตถุดิบหลักอยูใ่ นท้องถิ่น
3. ปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีมีคุณสมบัติที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับปุ๋ ยเคมี ดังนี้
3.1 ปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีประเภทอะพาไทด์ มีส่วนประกอบหลักของแคลเซียมช่วยปรับปรุ ง
ดินให้ดีข้ ึน โดยเฉพาะคุณสมบัติทางฟิ สิกส์และเคมีของดิน เช่น ความโปร่ ง ความร่ วนซุย ความสามารถ
ในการอุ ม้ น้ าและธาตุ อ าหารพื ช ของดิ น ดี ข้ ึ น โดยปกติ ปุ๋ ยเคมีจ ะเน้น เฉพาะธาตุ อ าหารหลัก คื อ
ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม
3.2 ปุ๋ ยอิน ทรี ยเ์ คมีประเภทสตรู ไวท์สามารถผสมใช้ก ับ แม่ปุ๋ย เพื่อทดแทนแร่ ธาตุ
ฟอสเฟตตามต้องการ ซึ่งปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีที่ผสมได้สามารถใช้กบั พืชเศรษฐกิจชนิดต่างๆ
จุดอ่อน
1. มีปริ มาณธาตุอาหารหลักของพืชต่าเมื่อเทียบกับปุ๋ ยเคมี
2. ปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีที่ผลิตได้ใช้ระยะผลิตประมาณ 5 – 7 วัน (การผลิตปุ๋ ย และการตากแดด) ซึ่ง
ปริ มาณและคุณภาพที่ผลิตได้ผนั ผวนตามฤดูกาล
3. ปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีเป็ นปุ๋ ยชนิดใหม่ การประชาสัมพันธ์ความรู้ดา้ นการผลิต – วิธีการนาใช้จึงมี
บทบาทสาคัญมาก เนื่องจากเกษตรกรนิยมใช้ปุ๋ยอินทรี ยจ์ ากมูลสัตว์โดยตรง
4. เกษตรกรยังมีความเชื่อว่าปุ๋ ยเคมีใช้ได้ดีกว่าปุ๋ ยประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะในกรณี ที่ตอ้ งการ
เร่ งการเจริ ญเติบโตและไม่เชื่อมัน่ ว่าจะสามารถใช้ปุ๋ยประเภทอื่นทดแทนได้ท้งั หมด
5. ปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีไม่สามารถนาไปใช้ในการเพาะปลูกได้โดยตรง ต้องนาไปผสมกับปุ๋ ยชนิ ด
อื่น จึงมีคุณสมบัติดอ้ ยกว่าเมื่อเทียบกับปุ๋ ยอินทรี ย ์
5.1 ปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีประเภทอะพาไทด์ มีส่วนประกอบหลักเป็ นแคลเซียม แต่ไม่มีธาตุ อาหาร
หลักของพืช ได้แก่ ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม จึงทาให้ตอ้ งใช้ร่วมกับปุ๋ ยอินทรี ยซ์ ่ึงมีธาตุ
อาหารหลักในการเตรี ยมดินก่อนการเพาะปลูก
5.2 ปุ๋ ยอิ น ทรี ย์เ คมี ป ระเภทสตรู ไ วท์ (0-15-0) มี ส่ ว นประกอบของธาตุ อ าหารหลัก คื อ
ฟอสฟอรัส เพียงชนิ ด เดี ยว ซึ่ งยังไม่สามารถนาไปใช้ในการเพาะปลูกได้โดยตรง เพราะยังขาดธาตุ
อาหารหลักอีกสองชนิด คือ ไนโตรเจน และโพแทสเซียม ดังนั้นหากต้องการใช้ในการเพาะปลูกจึงต้อง
ไปนาผสมกับแม่ปุ๋ยเคมีไนโตรเจนและแม่ปุ๋ยโพแทสเซียมตามสัดส่วนที่เหมาะสมกับพืชแต่ละประเภท
โอกาส
1. ได้รับการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี พพ.
2. ปุ๋ ยเคมีมีราคาสูง และไม่สามารถผลิตใช้ในประเทศเองได้
3. ปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีที่ผลิตได้ เป็ นที่ยอมรับในต่างประเทศช่วยทาให้ผลผลิตการเกษตรดีข้ ึน
4. หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนหันมารณรงค์ให้เกษตรกรหันมาใช้ปุ๋ยอินทรี ยม์ ากขึ้น
5. ราคาปุ๋ ยเคมีเพิ่มขึ้นทุกปี จึงเป็ นแรงกดดันให้เกษตรกรต้องลดต้นทุนการเพาะปลูก
อุปสรรค
1. เป็ นอุตสาหกรรมที่ Barrier to Entry ต่า คู่แข่งรายใหม่เข้ามาได้ง่าย
2. มีสินค้าทดแทนปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีหลายชนิด
3. การแข่งขันที่รุนแรงของผูค้ า้ ปุ๋ ยเคมี ทาให้มีแนวโน้มการแข่งขันด้านราคามากขึ้น
บทที่ 12
คู่มือวิธีการเพิม่ มูลค่ าน้าที่ผ่านการบาบัดจากระบบผลิตก๊ าซชีวภาพ
12.1 รายละเอียดของปุ๋ ย
12.1.1 แคลเซียมฟอสเฟต หรือ ปุ๋ ยอะพาไทด์
ปุ๋ ยแคลเซียมฟอสเฟต หรือปุ๋ ยอะพาไทด์ (Apatite) คือ ปุ๋ ยที่มีผลึกของแร่ ธาตุ 2 ชนิดรวมตัวกัน
คือ มีแร่ ธาตุแคลเซียมและฟอสเฟตเป็ นองค์ประกอบ มีชื่ อทางในการค้าว่า “ปุ๋ ยอะพาไทด์ (Apatite)”
โดยทัว่ ไป แร่ แคลเซียมฟอสเฟต หรื อ แร่ อะพาไทด์ เกิดจากการสะสมของมูลและซากสัตว์ (นก หรื อ
ค้า งคาว) ซึ่ ง ในลัก ษณะนี้ มัก เกี่ ย วข้อ งกับ หิ น ปู น โดยเกิ ด จากการละลายของฟอสเฟต ซึ่ ง เป็ น
ส่ ว นประกอบของมูล และซากสัต ว์ที่ ทับ ถม และซึ ม แทรกเข้า ไปในหิ น ปูน จากการส ารวจของ
กรมทรั พ ยากรธรณี พบแหล่ งหิ น ฟอสเฟตเกื อบทุ ก ภาคของประเทศ เช่ น จังหวัด ลาพูน สุ โขทัย
เพชรบูรณ์ กาญจนบุรี ราชบุรี กระบี่ สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต เลย พังงา และร้อยเอ็ด
7. นาปุ๋ ยฟอสเฟตชนิ ดละลายช้า หรื อ ปุ๋ ยสตรู ไวท์ ใส่ ลงในถุงปิ ดสนิ ดขนาด 5-15 กิโลกรัม
เพื่อนาไปจาหน่ายต่อไป
ขั้นตอนที่ 1 : สู บนา้
ขั้นตอนที่ 7 : บรรจุปุ๋ยแคลเซียมฟอสเฟต หรือ ปุ๋ ยอะพาไทด์ ใส่ ลงในถุง เพือ่ นาไปจาหน่ ายต่อไป
ตู้คอนโทรล
ปั๊มสารเคมี
ถังสารละลายกรด-ด่ าง
ถังสารตกตะกอน
(1) ถือเป็ นวิ ธีก ารน าสารละลายฟอสเฟตที่ ละลายอยู่ใ นน้ ามาใช้ให้เกิ ด ประโยชน์ต่ อการ
เกษตรกรรม
(2) ช่วยลดผลกระทบต่ อสิ่ งแวดล้อม อัน เกิ ดจากการปล่อยน้ าทิ้งที่มีปริ มาณสารอาหารที่ มี
ประโยชน์ต่ อพืชลงสู่แหล่งน้ า และส่ งผลทาให้ว ชั พืชน้ าเจริ ญ เติ บโตอย่างรวดเร็ ว แย่ง
ออกซิเจนที่จาเป็ นต่อการดารงชีวิตของสัตว์น้ า ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิ เวศทางน้ า
โดยตรง คือ ทาให้สตั ว์น้ าตายเป็ นจานวนมาก เนื่ องจากในแหล่งน้ าขาดออกซิเจน ทาให้
เกิดน้ าเน่ าเสี ย และท้ายที่ สุดส่ งผลกระทบมาสู่ประชาชนที่อาศัยและใช้แหล่งน้ าในการ
ดารงชีวิต
บทที่ 13
การจัดทาแผ่นพับ และสื่ อวิดีทัศน์
บริ ษทั ที่ปรึ กษาได้จดั ทา Story Board นาเสนอการถ่ายทาวิดีทศั น์ และขออนุ มตั ิความเห็ นชอบ
จาก พพ. เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2552 ดังมีรูปแบบดังต่อไปนี้
เสียงบรรยาย ภาพที่ใช้
โลโก้ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
สั มภาษณ์ ตวั อย่ างเกษตรกรที่ ใช้ ปยอิ ุ๋ นทรี ย์จากฟาร์ มสุ กรในการเพาะปลูก
ฟาร์มสุ กรขนาด 1000 ตัว จะสามารถผลิตปุ๋ ยปุ๋ ยอะพาไทต์ได้ 30 กิโลกรัม คิดเป็ นเงิน
1200 บาทต่อครั้งการผลิต
ฟาร์มสุ กรขนาด 5000 ตัว จะสามารถผลิตปุ๋ ยปุ๋ ยอะพาไทต์ได้ 150 กิโลกรัม คิ ดเป็ นเงิน
6000 บาทต่อครั้งการผลิต
ฟาร์มสุ กรขนาด 500 ตัว จะสามารถผลิตปุ๋ ยสตรู ไวท์ ได้ 10 กิโลกรัม คิดเป็ นเงิน 400
บาทต่อครั้งการผลิต
ฟาร์มสุ กรขนาด 1000 ตัว จะสามารถผลิตปุ๋ ยสตรู ไวท์ ได้ 15 กิโลกรัม คิดเป็ นเงิน 600
บาทต่อครั้งการผลิต
ฟาร์ มสุ กรขนาด 5000 ตัว จะสามารถผลิตปุ๋ ยสตรู ไ วท์ ได้ 75 กิโลกรั ม คิ ด
เป็ นเงิน 3000 บาทต่อครั้งการผลิต
โครงการได้จดั ตั้งแปลงสาธิตสาหรับการผลิตปุ๋ ยทั้งสองประเภท โดยได้รับ
ความร่ วมมือจากประชาฟาร์ ม โดยสามารถอธิบายการผลิตปุ๋ ยทั้งสองประเภท
ได้ตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ โดยใช้ก๊าซชีวภาพในฟาร์ มผลิตไฟฟ้ าป้ อนให้
อุปกรณ์ผลิตปุ๋ ย
สั มภาษณ์ ผู้ประกอบการฟาร์ มปศุสัตว์
โลโก้ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
13.1.7 การบันทึกเทป
บริ ษทั ที่ปรึ กษา ได้จดั ตั้งทีมงานถ่ายทาวีดีทศั น์จานวน 1 ทีม โดยใช้มาตรฐานการถ่ายทาวีดี
ทัศน์ ในรู ปแบบ Digital ลงม้วนเทป Mini DV โดยใช้กล้อง DV-CAM Sony รุ่ น FX-1 และกาหนดแผน
ในการถ่ายทาวีดีทศั น์
13.1.8 การตัดต่อ
หลังจากที่ บริ ษทั ที่ปรึ กษา ได้ทาการถ่ายทาภาพวีดีทศั น์ที่สอดคล้องกับเนื้ อหาเสี ยงบรรยาย
และบทสัมภาษณ์ที่เกี่ยวข้อง ก็จะนาเทป Mini DV ที่ได้ทาการบันทึกในแต่ละส่วนมาทาการ Capture ลง
โปรแกรมเพื่อทาการตัดต่อ เรี ยบเรี ยงเรื่ องราวตาม Script และนาไปเพิ่มเติม Graphic เพื่อให้เกิดความ
น่าสนใจ
13.2 การจัดทาแผ่นพับประชาสัมพันธ์โครงการ
หลังจากการดาเนินโครงการฯ เสร็ จสิ้น ที่ปรึ กษาจะทาการสรุ ปรายละเอียดการดาเนินการพร้อม
ทั้งข้อมูลเบื้องต้นสาหรับแนวทางการเพิ่มมูลค่าน้ าทิ้งที่ผา่ นระบบก๊าซชีวภาพฟาร์มสุกรทั้งสองแนวทาง
เพื่อจัดทาแผ่นพับสาหรับการประชาสัมพันธ์องค์ความรู้ที่ได้จากโครงการต่อไป
บทที่ 14
สรุปผลการสั มมนาแถลงผลการดาเนินงาน
ที่ ป รึ กษาได้ด าเนิ น การจัด สัม มนาเผยแพร่ ผลการด าเนิ น งานให้แ ก่ บุ ค ลากรที่ เ กี่ ย วข้อ ง
หน่ วยงานของภาครัฐและภาคเอกชน สถาบันการศึก ษาและผูส้ นใจทัว่ ไป ตาม TOR ข้อ 4.12 เพื่อ
นาเสนอผลการศึกษาโครงการและขยายผลการศึกษาการเพิ่มมูลค่าน้ าที่ผ่านการบาบัดจากระบบผลิต
ก๊าซชีวภาพจากฟาร์ มสุ ก ร เพื่อให้เกิดประโยชน์ สูงสุ ดแก่กลุ่มเป้ าหมาย โดยที่ปรึ ก ษาได้ดาเนิ น การ
ดังต่อไปนี้
14.1.2 กาหนดการสัมมนา
14.2 การจัดเตรียมเอกสารประกอบการสัมมนา
ที่ปรึ กษาได้จดั เตรี ยมเอกสารเพื่อประกอบการสัมมนา ดังนี้
แผ่นพับเผยแพร่ ผลการดาเนินงานโครงการ
ขั้นตอนและวิธีการผลิตปุ๋ ย สตรู ไวท์ และปุ๋ ยอะพาไทด์ โดย ดร.อัมพิรา เจริ ญแสง
แนวทางการพัฒนาโครงการเพื่อประโยชน์ของชุมชน โดย รศ.ดร.สุธา ขาวเธียร
เอกสารเผยแพร่ ความรู้อื่น ๆ จากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
แบบประเมินผลการจัดสัมมนา
14.3 การดาเนินการจัดสัมมนา
ที่ปรึ กษาได้ดาเนิ นการจัดสัมมนาขึ้นในวันศุกร์ ที่ 18 กันยายน 2552 ในระหว่างเวลา 08.30-
15.00 น. ณ ห้องศรี สง่า โรงแรมริ เวอร์ จ.นครปฐม โดยมีผเู้ ข้าร่ วมสัมมนาจานวนทั้งสิ้น 106 คน โดย
การสัมมนาประกอบด้วยรายละเอียดดังนี้
09.30 – 09.45 พิธเี ปิดการสัมมนา
กล่าวรายงานความเป็นมาและวัตถุประสงค์โครงการ
โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุธา ขาวเธียร
ผูจ้ ดั การโครงการ
09.45 – 10.00 กล่าวเปิ ดงานสัมมนาแถลงผลการดาเนินงาน
โดย นางจินตนา เหล่าฤชุพงศ์
ผูแ้ ทนจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรกั ษ์พลังงาน
10.00 – 10.30 สรุปผลการดาเนินโครงการ
โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุธา ขาวเธียร
10.30 - 10.45 พักรับประทานอาหารว่างพร้อมรับชมวีดที ศั น์
10.45 - 11.45 แนวทางการเพิม่ มูลค่าน้ าทีผ่ า่ นการบาบัดจากระบบผลิตก๊าซชีวภาพ
“ การผลิตปุ๋ยละลายช้า MAP : Magnesium Ammonium Phosphate หรือ
Struvite “ “ การผลิตปุ๋ยละลายช้า HAP : Calcuim Hydroxy Apatite “
โดย ดร.อัมพิรา เจริญแสง
11.45 - 12.00 แนวทางในการพัฒนาโครงการฯ เพื่อประโยชน์ของชุมชน
ถาม – ตอบ โดย รองศาสตราจารย์ ดร.สุธา ขาวเธียร
12.00 - 13.00 รับประทานอาหารกลางวัน
13.00 –15.00 เยีย่ มชมแปลงสาธิตการผลิตปุ๋ยสตรูไวท์ และ ปุ๋ยอะพาไทด์
ณ ประชาฟาร์ม อ.สามพราน จ.นครปฐม
14.5 สรุปผลการประเมินสัมมนา
เพื่อให้ทราบว่าโครงการสามารถบรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่ตอ้ งการหรื อไม่ ปั ญหาอุปสรรค
ระหว่างการดาเนินโครงการ ข้อเสนอแนะ และแนวทางการแก้ไขปรับปรุ งการจัดงานสัมมนา เพื่อใช้
เป็ นข้อมูลในการปรับปรุ งให้การดาเนินงานในอนาคตมีความสมบูรณ์ยงิ่ ขึ้น
ในการวิเคราะห์ผลการสัมมนา เมื่อทาการรวบรวมข้อมูลแบบสอบถามทั้งหมดจากผูเ้ ข้าร่ วม
สัมมนามาได้แล้ว ที่ปรึ กษาจะใช้วิธีทางสถิติเพื่อช่วยในการวิเคราะห์เพื่อจะได้ทราบว่าการสัมมนาแต่
ละครั้งบรรลุวตั ถุประสงค์ที่ต้งั ไว้หรื อไม่ มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดบกพร่ องหรื อไม่ เพื่อจะได้นาไปแก้ไขในการ
ดาเนินการต่อไป โดยการวิเคราะห์ขอ้ มูลการประเมินได้ใช้การประเมินค่าแบบมาตราส่ วน โดยใช้หลัก
วิธีทางสถิติ ดังนี้
1. อัตราร้อยละ (Percentage)
2. การคานวณหาค่าเฉลี่ยเลขคณิ ต (Arithmetic mean)
3. ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard deviation)
4. ระดับนัยสาคัญ (Significance level)
fx2 fx2 X
S.D. = หรื อ
N N
S.D. = ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
x = ค่าคะแนน
f = จานวนผูต้ อบ
N = จานวนทั้งหมดของกลุ่มตัวอย่าง
สรุปผลการประเมินการสัมมนา
ที่ปรึ กษาได้สรุ ปผลการจัดสัมมนาจากผูเ้ ข้าร่ วมสัมมนา 387 คน สรุ ปได้ว่า ผูเ้ ข้าร่ วมสัมมนามี
ความพึงพอใจในสถานที่จดั สัมมนาอยู่ในระดับ มากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยที่ 4.29 รองลงมาได้แก่ การ
ให้บริ การของเจ้าหน้าที่จดั สัมมา อยู่ในระดับ มาก โดยมีค่ าเฉลี่ยที่ 4.19 และมีค วามพึงพอใจในสิ่ ง
อานวยความสะดวกต่าง ๆ ในระดับ มาก โดยมีค่าเฉลี่ยที่ 4.19
ตารางที่ 14-1 แสดงระดับค่าเฉลีย่ ของการประเมินการจัดสัมมนา
Average Sd
4.29 0.66
4.21 0.60
4.19 0.60
3.96 0.69
4.13 0.66
3.81 0.80
3.87 0.81
4.11 0.68
4.03 0.70
4.11 0.66
4.01 0.77
4.06 0.69
5.00
สถานที่ใ นการจัดงาน
การใหบริการของเจ
้ าหน
้ ้าที่
4.29
4.21 4.19
4.13 4.11 4.11
4.20 4.03 4.01 4.06 สิง่ อานวยความสะดวกต่าง ๆ
3.96
3.87
3.81
วัตถุประสงค์แ ละความเข ้าใจในการ
จัดสัมมนา
ความสะดวกในการลงทะเบีย น
3.40
ระยะเวลาในการจัดงาน
เนื้อหาในการสัมมนามีความเหมาะสม
2.60
การต ้อนรับของเจาหน
้ ้าที่จด
ั งาน
ความรูความเข
้ ้าใจในเรืองการจั
่ ด
สัมมนาเพิม
่ เติม
1.80
ความพึงพอใจจในการเข ้าร่วมสัมมนา
การนาความรูที
้ ่ได ้ไปพั ฒนาในหน่วยงาน
1.00 รวม
1
14.6 ภาพบรรยากาศในงานสัมมนา
กล่าวรายงานวัตถุประสงค์โครงการ
ภาพบรรยากาศการสัมมนา
บทที่ 15
ปัญหา-อุปสรรค
ข้ อเสนอแนะการดาเนินโครงการ
15.1 ปัญหา-อุปสรรคในการดาเนินโครงการ
15.1.1 การติดต่อเพือ่ ให้ เกษตรกรเข้ าร่ วมงานสัมมนา
ปัญหา-อุปสรรค
การติดต่อสื่ อสารเพื่อเชิญเข้าร่ วมงานสัมมนา โดยปกติจะโทรศัพท์และส่ งโทรสารรายละเอียด
วัตถุประสงค์และกาหนดการงานสัมมนา แต่เนื่ องจากเกษตรส่ วนมากไม่มีเครื่ องโทรสารและช่วงเวลา
ทางานของเกษตรกรมักอยูใ่ นไร่ นาหรื อฟาร์ม จึงทาให้เกิดอุปสรรคในการติดต่อ
แนวทางการแก้ไข
ที่ ป รึ กษาแก้ปั ญ หาโดยการขอความร่ วมมื อ จากส านัก งานเกษตรจังหวัด นครปฐม ในการ
ประสานงานกับผูน้ าชุมชน และผูเ้ กี่ยวข้องให้กระจายข้อมูลงานสัมมนาอย่างทัว่ ถึง
ผลที่ได้
สามารถกระจายข้อมูลงานสัมมนาได้อย่างทัว่ ถึง จนมีผเู้ ข้าร่ วมงานสัมมนาเกินกว่าเป้ าหมายที่
กาหนด
15.2 ข้ อเสนอแนะการดาเนินโครงการ
15.2.1 ด้ านผลการประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์
เนื่องจากปุ๋ ยทั้งสองชนิดเป็ นปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีรูปแบบใหม่ ชึ่งอยูใ่ นขั้นตอนการทดลอง และยังไม่มี
จาหน่ายในประเทศไทย จึงทาให้ตอ้ งใช้ขอ้ มูลอ้างอิงจากต่างประเทศเป็ นหลัก ดังนั้นผลการประเมินความ
คุม้ ค่าทางเศรษฐศาสตร์จึงประกอบด้วยข้อมูลจากสองส่วน คือ ราคาต้นทุนระบบสาธิตการผลิตปุ๋ ยอินทรี ย ์
เคมี (มีมูลค่ าสู งเนื่ องจากเป็ นระบบต้น แบบ) และราคาปุ๋ ยอิน ทรี ย ์เคมีที่ คุ ณ สมบัติ ใ กล้เคี ยง กัน จาก
ต่างประเทศ
แนวทางการพัฒนา
ควรต้องมีการศึกษาเพื่อขยายผลโครงการต่อในอนาคต เนื่องจากโครงการนี้ เป็ นการวิเคราะห์และ
วิจยั (สาหรับโครงการขยายผลต่อจากโครงการนี้) เพื่อให้เกิดความถูกต้องและครบถ้วนสาหรับการพัฒนา
ระบบผลิตปุ๋ ยอินทรี ยเ์ คมีเชิงธุรกิจต่อไปในอนาคต
15.2.2 ด้ านความมั่นใจของเกษตรกรในการนาปุ๋ ยอินทรีย์เคมีไปใช้ ให้ เกิดประโยชน์ ทางการเกษตร
เนื่องจากปุ๋ ยทั้งสองชนิดที่ผลิตได้อยูใ่ นขั้นตอนการทดลอง การรับรองคุณภาพปุ๋ ยที่เหมาะสมทาง
การเกษตร ต้องได้รับความร่ วมมือจากหน่วยงานด้านเกษตรกรรมจากภาครัฐในการทดลองและการรับรอง
การนาไปใช้ทางด้านการเกษตร เช่น กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ชึ่งหน่ วยงาน
ดังกล่าว จะต้องทดลองเพาะปลูก (พืช แต่ ละชนิ ด ต้องใช้ระยะเวลาในการทดสอบไม่ต่ ากว่าหนึ่ งฤดู
เพาะปลูก)
แนวทางการพัฒนา
ดังนั้นการสร้างความมัน่ ใจให้แก่เกษตรกร จึงควรมีขยายผลการทดลองใช้ปุ๋ยอินทรี ยเ์ คมีท้ งั สอง
ชนิดในอนาคต โดยประสานงานกับกรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในการนาปุ๋ ยอินทรี ย ์
เคมีท้งั สองชนิดทดลองใช้กบั พืชเศรษฐกิจชนิดต่างๆ
เอกสารอ้างอิง
Y. Ueno*, M. Fujii (2003), 3 years operating experience selling recovered struvite from full-scale
plant retrived from
L. E. de-Bashan1 and Y. Bashan (2007). Fertilizer potential of phosphorus recovered from wastewater
treatments Developments in Plant and Soil Sciences, First International Meeting on Microbial
Phosphate Solubilization, Volume 102, 179-184
M. R. Gaterell and R. Gar, R. Wilson, R. J. Gochin and J. N. Lester (2000) An economic and
environmental evaluation of the opportunity for substituting phosphorus recovered from wastewater
treatment works in existing UK fertilizer market. Environ. Sci. Technol. 21, 1067-1084
ผลการทดสอบปุ๋ ยสตรูไวท์
ผลการทดสอบปุ๋ ยอะพาไทด์
ตารางอ้ างอิงทางเศรษฐศาสตร์
ด