Professional Documents
Culture Documents
วิจัย - ปิยะนุช พหุนาม
วิจัย - ปิยะนุช พหุนาม
วิจัย - ปิยะนุช พหุนาม
เรื่อง
การศึกษาและแก้ ไขข้ อบกพร่ องทางการเรียน เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุนาม
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา
โดย
โดย
ณ โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา
.................................................. ..................................................
(รองศาสตราจารย์ ประพันธ์ศิริ สุ เสารัจ) (นายเลิศศิลป์ รัตนมุสิก)
คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ ผูอ้ ำนวยการโรงเรี ยน
ผลการวิจยั พบว่า
1. การศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยนเรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนามของนักเรี ยนชั้น
มัธยมศึกษาปี ที่ 4 จากแบบทดสอบวินิจฉัย สามารถจำแนกตามลักษณะข้อบกพร่ องในด้านต่างๆได้ดงั นี้
1.1 ด้านการใช้บทนิยาม ทฤษฎีบท สมบัติ กฎ หรื อสู ตร จะพบว่าด้านนี้เป็ นสิ่ งที่นกั เรี ยนมี
ความบกพร่ องเป็ นอย่างมาก การเข้าใจบทนิยาม สมบัติ ทฤษฏี หรื อสู ตรต่างๆจึงเป็ นสิ่ งที่จ ำเป็ นอย่างยิง่ กับ
การเรี ยนเรื่ องจำนวนจริ งหรื อในเรื่ องอื่นๆก็ตาม นักเรี ยนส่ วนมากขาดความรู ้ความเข้าใจในด้านนี้ และยัง
ขาดทักษะในการนำความรู้ดา้ นนี้ ไปใช้ จึงทำให้ไม่สามารถทำข้อสอบหรื อแบบฝึ กอื่นๆได้เพราะบกพร่ อง
ด้านการใช้บทนิยาม ดังนั้นนักเรี ยนจึงมีขอ้ บกพร่ องในด้านนี้เป็ นจำนวนมาก
1.2 ด้านกระบวนการวิธีท ำ จะพบว่าด้านนี้เป็ นอีกด้านที่นกั เรี ยนมีความบกพร่ องเป็ นอย่าง
มากอาจจะเนื่องมาจากแบบทดสอบที่ใช้เป็ นแบบทดสอบอัตนัย ซึ่ งนักเรี ยนจะต้องเขียนแสดงวิธีท ำโดย
ละเอียด ซึ่ งนักเรี ยนยังขาดทักษะในการทำข้อสอบอยูม่ ากพอสมควร จึงทำให้เกิดข้อผิดพลาด หรื อบางครั้ง
นักเรี ยนก็ไม่แสดงขั้นตอนที่มา ทำให้ไม่สามารถรู ้ได้วา่ ที่มาของคำตอบของพหุนามคืออะไร หามาได้
อย่างไร จึงทำให้เกิดข้อบกพร่ องทางด้านนี้เป็ นจำนวนมาก
1.3 ด้านการคิดคำนวณ จะพบว่าด้านการคิดคำนวณจะเป็ นด้านที่นกั เรี ยนมีความบกพร่ อง
เป็ นอันดับหนึ่ง เพราะการแยกตัวประกอบของพหุนามนั้นจะต้องมีการใช้ความรู ้พ้ืนฐานเรื่ องการบวก และ
การคูณในการแยกตัวประกอบของพหุนาม เช่น นักเรี ยนจะต้องหาจำนวนที่คูณกันได้พจน์สุดท้าย บวกกัน
แล้วได้สมั ประสิ ทธิ์ ของพจน์กลาง ซึ่ งก็มีหลายจำนวนที่คูณกันแล้วพจน์สุดท้าย แต่จะมีไม่กี่จ ำนวนเท่านั้น
ที่สามารถบวกกันแล้วได้พจน์กลาง นักเรี ยนที่ไม่มีความชำนาญในการคิดคำนวณก็อาจจะเกิดความผิด
พลาดได้ หรื อบางกรณี จะต้องมีการตรวจคำตอบ นักเรี ยนที่ไม่มีพ้ืนฐานด้านการคูณจะไม่สามารถตรวจคำ
ตอบของพหุนามที่เราแยกออกมาได้ จึงทำให้เกิดข้อบกพร่ องทางด้านนี้เป็ นอันดับหนึ่ง
1.4 ด้านการแปลความโจทย์ปัญหาจะพบว่าด้านนี้ไม่มีขอ้ บกพร่ องเลย เป็ นเพราะข้อสอบ
นั้นเป็ นข้อสอบอัตนัย และไม่ใช่ขอ้ สอบที่เป็ นโจทย์ปัญหา จึงไม่จ ำเป็ นต้องอาศัยการแปลความโจทย์ปัญหา
ทำให้ดา้ นการแปลความโจทย์ปัญหานั้นไม่มีนกั เรี ยนคนใดบกพร่ อง
2. ค่าเฉลี่ยของคะแนนหลังการใช้แบบฝึ กเสริ มทักษะเพื่อแก้ไขข้อบกพร่ องทางการเรี ยนเรื่ อง
การแยกตัวประกอบของพหุนาม สูงกว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนที่ได้ก่อนการใช้แบบฝึ ก
3. ผลการเปรี ยบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนจากการใช้แบบฝึ กเสริ มทักษะเพื่อแก้ไขข้อ
บกพร่ อง เรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนามก่อนและหลังการใช้แบบฝึ กเสริ มทักษะพบว่า ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรี ยนจากการใช้แบบฝึ กเสริ มทักษะเพื่อแก้ไขข้อบกพร่ องเรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนาม สู ง
กว่าก่อนใช้แบบฝึ กเสริ มทักษะอย่างมีนยั สำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่ งเป็ นไปตามสมมติฐาน
กิตติกรรมประกาศ
ปิ ยะนุช กุลบุตร
สารบัญ
บทที่ หน้ า
1 บทนำ
ภูมิหลัง 1
ความมุ่งหมายของการวิจยั 2
ความสำคัญของการวิจยั 2
ขอบเขตของการวิจยั 2
นิยามศัพท์เฉพาะ 3
กรอบแนวคิดในการวิจยั 4
สมมติฐานของการวิจยั 4
2 เอกสารและงานวิจัยที่เกีย่ วข้ อง
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยนคณิ ตศาสตร์
ความหมายของข้อบกพร่ องทางการเรี ยนคณิ ตศาสตร์ 6
ประโยชน์ของการศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยน 6
ลักษณะข้อบกพร่ องทางการเรี ยนคณิ ตศาสตร์ 7
วิธีการศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยน 8
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยข้อบกพร่ องทางการเรี ยน
การศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยนโดยการวินิจฉัย 9
ความหมายของแบบทดสอบวินิจฉัยเพื่อศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยน 11
ลักษณะของแบบทดสอบวินิจฉัยเพื่อศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยน 11
เทคนิควิธีการสร้างแบบทดสอบวินิจฉัยเพื่อศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยน 13
เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึ ก
ความหมายของแบบฝึ ก 14
ประโยชน์ของแบบฝึ ก 14
ลักษณะของแบบฝึ กที่ดี 16
หลักในการสร้างแบบฝึ ก 17
หลักจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบฝึ ก 19
งานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง
งานวิจยั ในประเทศ 20
สารบัญ (ต่ อ)
บทที่ หน้ า
3 วิธีดำเนินการวิจัย
การกำหนดประชากรและเลือกกลุ่มตัวอย่าง 22
การสร้างเครื่ องมือที่ใช้ในการวิจยั 22
การเก็บรวบรวมข้อมูล 24
การวิเคราะห์ขอ้ มูล 24
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล 25
4 ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล
การวิเคราะห์ขอ้ มูล 26
ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล 27
5 สรุ ป อภิปราย และข้ อเสนอแนะ
ความมุ่งหมายของการวิจยั 32
สมมติฐานของการวิจยั 32
กลุ่มตัวอย่าง 32
วิธีด ำเนินการวิจยั 32
สรุ ปผลการวิจยั 33
อภิปรายผล 34
ข้อเสนอแนะ 35
บรรณานุกรม 37
ภาคผนวก
ภาคผนวก ก รายชื่อผูเ้ ชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่ องมือวิจยั 41
ภาคผนวก ข ตารางแสดงค่าความเที่ยงตรง และค่าความยาก (p) 43
ภาคผนวก ค คะแนนแบบทดสอบก่อนและหลังใช้แบบฝึ กทักษะ และ 47
คะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนก่อนใช้ชุดกิจกรรมคณิ ตศาสตร์
ภาคผนวก ง แบบฝึ กเสริ มทักษะสำหรับแก้ไขข้อบกพร่ อง 52
ภาคผนวก จ แบบทดสอบสำรวจข้อบกพร่ องและแบบทดสอบคู่ขนาน 59
ประวัติย่อผู้วจิ ัย 68
บัญชีตาราง
ตาราง หน้ า
1 ผลการศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยน 27
2 ผลการแก้ไขข้อบกพร่ องทางการเรี ยน 29
บทที่ 1
บทนำ
ภูมิหลัง
คณิ ตศาสตร์เป็ นวิชาที่มีความสำคัญยิง่ ต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีความคิด
สร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็ นระบบ ระเบียบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ได้
อย่างถี่ถว้ นรอบคอบ ทำให้สามารถคาดการณ์ วางแผน ตัดสิ นใจ และแก้ไขปั ญหาได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
และยังเป็ นเครื่ องมือที่น ำความเจริ ญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เศรษฐกิจและสังคม ตลอดจน
เป็ นพื้นฐานการค้นคว้า และการวิจยั ทุกประเภท และเป็ นที่ยอมรับกันว่า คณิ ตศาสตร์เป็ นปั จจัยที่สำคัญที่สุด
ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ (กรมวิชาการ. 2542: 1)
การจัดการเรี ยนการสอนคณิ ตศาสตร์ต้ งั แต่อดีต จนถึงปั จจุบนั ไม่ประสบความสำเร็ จเท่าที่ควร
เนื่องจากธรรมชาติของวิชาคณิ ตศาสตร์เป็ นทักษะการคิดคำนวณสรุ ปความคิดรวบยอด มีกฎเกณฑ์ที่
แน่นอน และทักษะโครงสร้างที่มีเหตุผล สื่ อความหมายโดยใช้สญ ั ลักษณ์ มีลกั ษณะเป็ นนามธรรมจึงยากต่อ
การเรี ยนรู ้และทำความเข้าใจ (ยุพิน พิพิธกุล. 2530: 1 – 3 ) หรื อเนื่องมาจากวิธีการสอนของครู ที่ใช้วิธีสอน
โดยเน้นความจำ เน้นการบรรยายและเร่ งรัดการสอนให้ครบตามเนื้ อหาที่มีมาก จัดการเรี ยนการสอนเน้น
เนื้อหามากกว่ากระบวนการ ( สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. 2541: 2 ) ทำให้นกั เรี ยน
ไม่ประสบความสำเร็จในการเรี ยนวิชาคณิ ตศาสตร์ ครู จึงควรคำนึงถึงความแตกต่างของนักเรี ยน ทั้งความรู ้
พื้นฐานด้านความสามารถ คุณสมบัติส่วนตัว ภูมิหลังและสภาพแวดล้อม ที่ท ำให้เกิดการเรี ยนรู ้ได้ไม่เท่ากัน
ถ้าครู พยายามศึกษาสภาพแวดล้อมของผูเ้ รี ยนแต่ละบุคคล พยายามจัดการเรี ยนการสอนที่หลากหลายให้เอื้อ
ต่อการเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยนแต่ละบุคคลให้โอกาสฝึ กมากน้อยตามสถานะภาพของแต่ละบุคคล ติดตามด้วยการ
ประเมินบ่อยๆ เพื่อให้คน้ พบข้อบกพร่ องของผูเ้ รี ยนได้เหมาะสม ทันเวลา ก็จะช่วยลดปั ญหาที่สะสมคัง่ ค้าง
จนทำให้เกิดด้อยผลสัมฤทธิ์ ในบั้นปลาย (กรมวิชาการ. 2539: 61) ดังนั้นครู ผสู ้ อนจึงต้องหาวิธีการที่จะช่วย
ป้ องกันและแก้ไขให้นกั เรี ยนเกิดการเรี ยนรู้อย่างทัว่ ถึง โดยจะต้องช่วยเหลือนักเรี ยนอ่อนให้สามารถเรี ยนรู ้
อย่างเพียงพอแก่ความสามารถที่จะเรี ยน พร้อมที่ได้รับการช่วยเหลือในการแก้ไขข้อบกพร่ องในการเรี ยน (นิ
ภาพร นาอ่อน. 2545: 27; อ้างอิงจาก Bloom. 1971: 4)
เครื่ องมือวัดและประเมินผลที่ใช้ในการค้นหาสาเหตุและจุดบกพร่ องที่ดีที่สุดก็คือ “ แบบทดสอบ
วินิจฉัย” (Diagnostic Test) เพราะแบบทดสอบวินิจฉัยสามารถวิเคราะห์ขอ้ บกพร่ องของนักเรี ยนได้มากกว่า
แบบทดสอบอื่นๆ ซึ่ งจะช่วยให้ครู ทราบถึงองค์ประกอบที่สำคัญของความบกพร่ อง สามารถบอกได้วา่
นักเรี ยนมีความบกพร่ องในเรื่ องใด ทำไมจึงบกพร่ อง (สุ กลั ยา ฉายสุ วรรณ. 2539: 3) และทำให้ทราบว่ามี
นักเรี ยนคนใดมีความรู้ชดั เจน พร้อมที่จะเรี ยนในหน่วยถัดไป สำหรับผูท้ ี่ไม่ผา่ นเกณฑ์ที่ก ำหนดไว้ และมีขอ้
บกพร่ องต้องได้รับการสอนซ่อมเสริ มก่อนที่จะเรี ยนในหน่วยการเรี ยนใหม่ถดั ไป (สุ กนั เทียนทอง. 2527 :
18)
จากหลักสูตรในรายวิชาคณิ ตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปี ที่
4 มีการบรรจุเนื้ อหาเรื่ องจำนวนจริ งและมีหน่วยย่อยคือเรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนาม ซึ่ งเป็ นเนื้ อหา
ที่ตอ้ งใช้การคำนวณในกระบวนการคิด เนื่องจากมีรูปแบบที่เป็ นรู ปธรรม การเรี ยนการสอนเรื่ องการแยก
ตัวประกอบของพหุนามจึงต้องอาศัยการคำนวณมากกว่าการให้เหตุผลเป็ นนามธรรม นักเรี ยนส่ วนใหญ่มกั
ประสบปั ญหาเป็ นเพราะการแยกตัวประกอบของพหุนามซึ่ งในระดับชั้นนี้มีความซับซ้อนมากยิง่ ขึ้น
2
ความมุ่งหมายของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยน เรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนามของนักเรี ยน
ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 แผนการเรี ยนภาษาอังกฤษ - ภาษาจีน
2. เพื่อสร้างชุดแบบฝึ กเสริ มทักษะสำหรับแก้ไขข้อบกพร่ องทางการเรี ยนเรื่ องการแยก
ตัวประกอบของพหุนาม ของนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4
ความสำคัญของการวิจัย
1. ทราบข้อบกพร่ องทางการเรี ยนเรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนาม ของนักเรี ยนชั้น
มัธยมศึกษาปี ที่ 4
2. ได้ชุดแบบฝึ กเสริ มทักษะสำหรับแก้ไขข้อบกพร่ องทางการเรี ยนเรื่ องการแยกตัวประกอบของ
พหุนาม ของนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 ที่สามารถนำไปใช้ในการแก้ไขข้อบกพร่ องของ
นักเรี ยนได้
3. เพื่อเป็ นแนวทางสำหรับผูส้ นใจในการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยน
ในเนื้อหาอื่นๆ
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ในการวิจัย
1.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจยั
ประชากรที่ใช้ในการวิจยั เป็ นนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรี ยนเตรี ยมอุดมศึกษาพัฒนาการ
รัชดา จำนวน 164 คน ที่มีขอ้ บกพร่ องทางการเรี ยน เรื่ อง การแยกตัวประกอบของพหุนาม
1.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจยั
นักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรี ยนเตรี ยมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา ภาคเรี ยนที่ 1 ปี การศึกษา
2555 ที่มีขอ้ บกพร่ องทางการเรี ยนเรื่ อง การแยกตัวประกอบของพหุนาม โดยได้มาจากการเลือกแบบ
เจาะจง จำนวน 30 คน
ขอบเขตของเนือ้ หา
เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า เป็ นเนื้ อหากลุ่มสาระคณิ ตศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4
อิงตามหลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เรื่ อง จำนวนจริ ง โดยผูว้ ิจยั ได้เลือกหัวข้อ
เรื่ อง การแยกตัวประกอบของพหุนาม มาใช้ในการศึกษา
3
ระยะเวลาที่ใช้ ในการวิจัย
ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจยั ครั้งนี้ ดำเนินการทดลองในภาคเรี ยนที่ 1 ปี การศึกษา 2555
ตัวแปรที่ใช้ ในการวิจัย
1. ตัวแปรอิสระ ได้แก่ ชุดแบบฝึ กเสริ มทักษะเพื่อแก้ไขข้อบกพร่ องทางการเรี ยนเรื่ องการแยก
ตัวประกอบของพหุนาม
2. ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนเรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนาม
นิยามศัพท์ เฉพาะ
การศึกษาและแก้ไขข้ อบกพร่ อง หมายถึง การค้นหาข้อผิดพลาดหรื อสาเหตุที่เป็ นปัญหาหรื อ
อุปสรรคที่ท ำให้นกั เรี ยนไม่ประสบความสำเร็ จในการเรี ยน และเมื่อพบข้อบกพร่ องแล้วจึงจัดกิจกรรม
การเรี ยนการสอนซ่อมเสริ มเพื่อแก้ไขข้อบกพร่ องทางการเรี ยนในแต่ละด้าน
แบบฝึ กเสริมทักษะ หมายถึง แบบฝึ กที่ผวู ้ ิจยั สร้างขึ้นสำหรับฝึ กผูเ้ รี ยนให้มีความชำนาญในการ
แยกตัวประกอบของพหุนาม
แบบทดสอบสำรวจข้ อบกพร่ อง หมายถึง แบบทดสอบที่ผวู ้ ิจยั สร้างขึ้นเพื่อค้นหาข้อบกพร่ อง
ทางการเรี ยน เรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนาม ประกอบด้วยคำถามแบบอัตนัยแสดงวิธีท ำ
ผลสั มฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการแยกตัวประกอบของพหุนาม หมายถึง คะแนนจากการทดสอบ
ของนักเรี ยนโดยพิจารณาตามจุดประสงค์ที่ตอ้ งการสำรวจข้อบกพร่ อง และคะแนนที่ได้จากแบบทดสอบ
หลังการใช้ชุดแบบฝึ กเสริ มทักษะ
กรอบแนวคิดในการวิจัย
ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม
ชุดแบบฝึ กเสริ มทักษะเพื่อแก้ไขข้อ ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนเรื่ องการแยก
บกพร่ องทางการเรี ยนเรื่ องการแยก ตัวประกอบของพหุนาม
ตัวประกอบของพหุนาม
สมมติฐานของการวิจัย
ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนเรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนามหลังจากการทำแบบฝึ กเสริ มทักษะสู ง
กว่าก่อนการทำแบบฝึ กเสริ มทักษะ
4
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยทีเ่ กีย่ วข้ อง
4. งานวิจยั ที่เกี่ยวข้อง
4.1 งานวิจยั ในประเทศ
6
ดวงเดือน อ่อนน่วม. (2533: 33) เนื่องจากลักษณะสำคัญประการหนึ่งของ คณิ ตศาสตร์ คือ เป็ นวิชา
ที่มีความต่อเนื่องกันเป็ นลำดับขั้น การเรี ยนรู ้เนื้ อหาบางเรื่ องทำไม่ได้เลย ถ้าไม่เรี ยนรู ้เรื่ องที่เป็ นพื้นฐานมาก
ก่อน ดังนั้น สาเหตุประการหนึ่งที่ท ำให้เด็กไม่ประสบความสำเร็ จในการเรี ยนคณิ ตศาสตร์กค็ ือ การที่จะต้อง
เรี ยนเรื่ องใหม่โดยยังขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่ องเดิมที่เป็ นพื้นฐานของเรื่ องใหม่ ทำให้ไม่สามารถเกิดการ
เรี ยนรู ้เรื่ องใหม่ที่ก ำลังเรี ยนได้ การวินิจฉัยการเรี ยนจึงเข้ามามีบทบาทเพื่อให้ทราบว่า สมรรถภาพทาง
คณิ ตศาสตร์ของเด็กอยูต่ รงจุดไหน ดังนั้นการวินิจฉัยข้อบกพร่ องทางการเรี ยน จึงถือเป็ นการศึกษาข้อ
บกพร่ องทางการเรี ยนอีกวิธีหนึ่ง
โดยความหมายของการวินิจฉัย ได้มีนกั การศึกษากล่าวไว้ได้แก่ ในพจนานุกรมการศึกษาของ
กูด(นิภาพร นาอ่อน. 2545: 10; อ้างอิงจาก Good. 1945: 170) ได้ให้ความหมายของการวินิจฉัย (Diagnosis)
ไว้วา่ การวินิจฉัยหมายถึง การค้นหาอุปสรรค หรื อข้อบกพร่ องในการเรี ยนรู ้ และดวงเดือน อ่อนน่วม. (2533:
33)ได้ให้ความหมายของการวินิจฉัยการเรี ยนคณิ ตศาสตร์ โดยกล่าวว่า เมื่อนำความหมายของการวินิจฉัยมา
ใช้กบั การเรี ยนคณิ ตศาสตร์มกั หมายถึง การวิเคราะห์หรื อรวบรวมข้อมูลเพื่อให้ทราบรายละเอียดของจุด
เด่น(สิ่ งที่ดีอยูแ่ ล้ว) หรื อจุดด้อย (ข้อบกพร่ องหรื อสิ่ งที่เป็ นอุปสรรค) ในการเรี ยนคณิ ตศาสตร์ และสำหรับ
วิธีการศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยนนั้น รุ จิร์ ภู่สาระ. (2520: 18) ได้กล่าวว่า วิธีการศึกษาข้อบกพร่ อง
ทางการเรี ยนมีหลายวิธี เช่น ใช้แบบทดสอบวินิจฉัย ( Diagnostic Test) ใช้แบบทดสอบวัดเชาวน์ปัญญา
(Intelligence Test) หรื อแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement Test) แต่เครื่ องมือที่ใช้ตรวจสอบหาราย
ละเอียดที่ดีที่สุดคือ แบบทดสอบวินิจฉัย ซึ่ งแบบทดสอบนี้ มีคุณสมบัติที่ศึกษารายละเอียดเป็ นเรื่ องๆไป การ
วิเคราะห์หาข้อบกพร่ องนั้นอาจทำได้กบั ทุกวิชา โดยเฉพาะวิชาคณิ ตศาสตร์
กรอนลันด์. (วลี เฉลยสมัย. 2538 : 28; อ้างอิงมาจาก Gronlund. 1981 : 493 – 497) เสนอขั้นตอน
การวินิจฉัยและแก้ไขข้อบกพร่ องไว้ 4 ขั้นตอน ดังนี้
1. การระบุตวั นักเรี ยนที่มีขอ้ บกพร่ องสามารถทำได้หลายวิธี สำหรับในประเทศที่มีการใช้แบบ
ทดสอบมาตรฐานกันอย่างแพร่ หลายก็สามารถใช้แบบทดสอบมาตรฐานเป็ นเครื่ องมือสำหรับระบุวา่ ใครมี
ปั ญหาในการเรี ยน นอกจากนี้ ครู ยงั อาจใช้การวินิจฉัยอย่างไม่เป็ นทางการ โดยการศึกษาเอกสารต่างๆของ
ทางโรงเรี ยน เช่น ระเบียนสะสม หรื อใช้การสังเกตของครู เพราะครู มีประสบการณ์ในชั้นเรี ยนอยูแ่ ล้วย่อม
ทำให้มองเห็นว่าใครมีปัญหาในการเรี ยนบ้าง ในการมองปั ญหาของนักเรี ยน ครู ไม่ควรมองแต่ปัญหาด้าน
เนื้อหาวิชาเท่านั้น ครู ควรมองปัญหาอื่นๆด้วยเช่น ด้านการปรับตัว ด้านอารมณ์ เพราะปั ญหาเหล่านี้อาจมี
ผลกระทบต่อปัญหาด้านการเรี ยนของนักเรี ยน
2. การระบุขอ้ บกพร่ องหรื อปัญหาของนักเรี ยนมีหลายระดับ ในบางครั้ งการวินิจฉัยระดับทัว่ ไป
อาจให้ขอ้ มูลเพียงพอสำหรับการแก้ไข ในบางกรณี ตอ้ งการวินิจฉัยถึงระดับวิเคราะห์ และในบางกรณี อาจ
ต้องการวินิจฉัยระดับละเอียดจึงสามารถหาข้อแก้ไขได้
3. การระบุองค์ประกอบที่เป็ นสาเหตุของการมีขอ้ บกพร่ อง ในบางครั้งปั ญหาในการเรี ยนของ
นักเรี ยนอาจจะเกิดจากการสอนของครู ซึ่ งครู ทราบได้ง่ายจากการพบว่าเด็กส่ วนใหญ่มีปัญหาเดียวกัน
ปั ญหาในลักษณะนี้ แก้ไขได้ง่ายโดยครู ปรับวิธีการสอนใหม่ แต่ถา้ หากนักเรี ยนมีปัญหาเฉพาะตัว แสดงว่า
ปั ญหาไม่น่าจะเกิดจากวิธีการสอนที่ไม่เหมาะสมของครู ครู ตอ้ งศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับนักเรี ยนและสิ่ ง
แวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับนักเรี ยน
องค์ประกอบที่ควรพิจารณา เช่น สติปัญญา ทักษะการเรี ยน สุ ขภาพ การปรับตัวด้านอารมณ์ สิ่ ง
แวดล้อมทางบ้าน เพราสิ่ งเหล่านี้อาจเป็ นสาเหตุของปั ญหาในการเรี ยน ถ้าครู ได้ใช้วิธีการต่างๆหลายวิธีที่
10
แพตตี้ (เตือนใจ ตรี เนตร. 2544: 6-7 ; อ้างอิงจาก Patty. 1963: 469-472) ได้กล่าวถึงประโยชน์
ของแบบฝึ กต่อการเรี ยนรู้ไว้ 10 ประการคือ
1. เป็ นส่ วนเพิ่มเติมหรื อเสริ มสร้างในการเรี ยนทักษะเป็ นอุปกรณ์การสอนที่ช่วยลดภาระของครู
เพราะแบบฝึ กเป็ นสิ่ งที่จดั ทำขึ้นอย่างเป็ นระบบหรื อมีระบบ
2. ช่วยเสริ มทักษะการใช้ภาษาเป็ นเครื่ องมือที่ช่วยนักเรี ยนในการฝึ กทักษะทางการใช้ภาษาให้ดีข้ึน
แต่ท้ งั นี้จะต้องอาศัยการส่ งเสริ มและเอาใจใส่ จากครู ผสู ้ อนด้วย
3. ช่วยในเรื่ องความแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากนักเรี ยนมีความสามารถทางภาษาแตกต่างกัน
การให้นกั เรี ยนทำแบบฝึ กที่เหมาะสมกับความสามารถของเขาจะช่วยให้นกั เรี ยนประสบผลสำเร็ จมากขึ้น
4. แบบฝึ กช่วยเสริ มให้ทกั ษะทางภาษาคงทนลักษณะการฝึ กเพื่อช่วยให้เกิดผลดังกล่าวนั้นได้แก่
4.1 ฝึ กทันทีหลังจากที่นกั เรี ยนได้เรี ยนรู ้เรื่ องนั้นๆ
4.2 ฝึ กซ้ำหลายๆครั้ง
4.3 เน้นเฉพาะเรื่ องที่ตอ้ งการฝึ ก
5. แบบฝึ กที่ใช้จะเป็ นเครื่ องวัดผลการเรี ยนหลังจากจบบทเรี ยนในแต่ละครั้ง
6. แบบฝึ กที่จดั ทำขึ้นเป็ นรู ปเล่ม นักเรี ยนสามารถเก็บรักษาไว้ใช้เป็ นแนวทางเพื่อทบทวนด้วย
ตนเองได้ต่อไป
7. การให้นกั เรี ยนทำแบบฝึ กหัดช่วยให้ครู มองจุดเด่น หรื อปัญหาต่างๆ ของนักเรี ยนได้ชดั เจน
ซึ่ งจะช่วยให้ครู ด ำเนินการปรับปรุ งแก้ไขปัญหานั้นๆได้ทนั ท่วงที
8. แบบฝึ กที่จดั ขึ้นนอกเหนือจากที่มีอยูใ่ นหนังสื อเรี ยนจะช่วยให้นกั เรี ยนฝึ กฝนอย่างเต็มที่
9. แบบฝึ กที่จดั พิมพ์ไว้เรี ยบร้อยแล้วจะช่วยทำให้ครู ประหยัดทั้งแรงงานและเวลาในการที่จะ
ต้องเตรี ยมสร้างแบบฝึ กอยูเ่ สมอ ในด้านผูเ้ รี ยนก็ไม่ตอ้ งเสี ยเวลาในการลอกแบบฝึ กหัดจากตำราเรี ยนหรื อ
กระดานดำ ทำให้มีเวลาและโอกาสได้ฝึกทักษะต่างๆมากขึ้น
10. แบบฝึ กช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและยังมีประโยชน์ในการที่ผเู ้ รี ยนสามารถบันทึกและมองเห็น
ความก้าวหน้าของตนเองได้อย่างมีระบบและเป็ นระเบียบ
ธนู แสวงศักดิ์ (จรี พร สามารถ. 2543: 11; อ้างอิงจาก ธนู แสวงศักดิ์ . 2514: 132) ได้กล่าวถึง
ประโยชน์ของแบบฝึ กไว้วา่ การให้แบบฝึ กหัดแก่นกั เรี ยนนับเป็ นสิ่ งหนึ่งที่จะช่วยให้การเรี ยนการสอนได้
ผลดียงิ่ ขึ้นด้วย ในการเรี ยนการสอนวิชาคณิ ตศาสตร์ ครู ผสู ้ อนใช้วิธีสอนโดยการอธิ บายตัวอย่างแล้วให้
นักเรี ยนทำแบบฝึ กหัดซึ่ งแสดงให้เห็นว่า การสอนคณิ ตศาสตร์จะขาดการทำแบบฝึ กหัดไม่ได้เลย
รัชนี ศรี ไพวรรณ (จรี พร สามารถ. 2543: 11; อ้างอิงจาก รัชนี ศรี ไพวร. 2517: 189)
ได้กล่าวประโยชน์ของแบบฝึ กทักษะไว้วา่
1. ทำให้นกั เรี ยนเข้าใจบทเรี ยนดีข้ึนเพราะแบบฝึ กทักษะจะเป็ นเครื่ องมือทบทวนความรู ้ที่
นักเรี ยนได้เรี ยน และทำให้เกิดความชำนาญ คล่องแคล่วในเนื้อหาวิชาเหล่านั้นยิง่ ขึ้น
2. ทำให้ครู ทราบความเข้าใจของนักเรี ยนที่มีต่อบทเรี ยนซึ่ งจะช่วยให้ครู สามารถปรับปรุ ง
เนื้อหาวิธีสอน และกิจกรรมในแต่ละบทเรี ยนตลอดจนสามารถช่วยนักเรี ยนให้เรี ยนได้ดีที่สุดตามความ
สามารถของเขาด้วย
3. ฝึ กให้นกั เรี ยนมีความเชื่อมัน่ และสามารถประเมินผลงานของตนเองได้
15
2. ศึกษาเกี่ยวกับเนื้อหา
3. ขั้นตอนในการสร้างแบบฝึ ก
3.1 ศึกษาปัญหาในการเรี ยนการสอน
3.2 ศึกษาจิตวิทยาเกี่ยวกับการเรี ยนการสอนและจิตวิทยาพัฒนาการ
3.3 ศึกษาเนื้อหาวิชา
3.4 ศึกษาลักษณะของแบบฝึ ก
3.5 วางโครงเรื่ องและกำหนดรู ปแบบของการฝึ กให้สมั พันธ์กบั โครงเรื่ อง
3.6 เลือกเนื้อหาต่างๆที่เหมาะสมมาบรรจุในแบบฝึ กให้ครบตามที่ก ำหนดไว้
รัชนี ศรี ไพวรรณ (จรี พร สามารถ. 2543: 13; อ้างอิงจาก รัชนี ศรี ไพวรรณ. 2517: 412-413) ได้
กล่าวถึงหลักในการสร้างแบบฝึ กดังนี้
1. ต้องสอดคล้องกับหลักจิตวิทยาและพัฒนาการของนักเรี ยนและลำดับขั้นของการเรี ยน
2. เมื่อมีจุดมุ่งหมายฝึ กด้านใดควรจัดเนื้ อหาให้ตรงกับความมุ่งหมายนั้น
3. คำนึงถึงความแตกต่างของผูเ้ รี ยน สามารถจัดทำแบบฝึ กที่แก้ไขข้อบกพร่ องที่ตรงจุดของ
ผูเ้ รี ยนได้เป็ นเรื่ องดี
4. ในแบบฝึ กต้องมีค ำชี้แจงง่ายๆ สั้นๆ เพื่อให้นกั เรี ยนเข้าใจถ้านักเรี ยนยังอ่านไม่ได้ครู ตอ้ ง
ชี้แจงด้วยคำพูดที่ใช้ภาษาง่ายๆ ให้นกั เรี ยนสามารถทำตามคำสัง่ ได้
5. แบบฝึ กต้องมีความถูกต้องไม่มีขอ้ ผิดพลาด
6. การให้ผเู้ รี ยนทำแบบฝึ กหัดแต่ละครั้ง ต้องให้เหมาะสมกับเวลาและความสนใจของผูเ้ รี ยน
7. ควรทำแบบฝึ กหลาย ๆ แบบเพื่อให้เรี ยนรู ้ได้กว้างขวางและส่ งเสริ มให้เกิดความคิด
8. กระดาษที่ใช้ท ำแบบฝึ กจะต้องเหนียวและทนทาน
วิชยั เพ็ชรเรื อง (นิตยา บุญสุ ข. 2541; อ้างอิงจาก วิชยั เพ็ชรเรื อง. 2531: 77) ได้สรุ ปหลักในการ
ทำแบบฝึ กว่า ควรมีลกั ษณะดังนี้
1. แบบฝึ กต้องมีเอกภาพและความสมบูรณ์ในตัวเอง
2. เกิดจากความต้องการของผูเ้ รี ยนและสังคม
3. ครอบคลุมหลายลักษณะวิชาโดยบูรณาการให้เข้ากับการอ่าน
4. ใช้แนวคิดใหม่ในการจัดกิจกรรม
5. สนองความสนใจใคร่ รู้และความสามารถของผูเ้ รี ยน ส่ งเสริ มให้ผเู ้ รี ยนมีส่วนร่ วมในการ
เรี ยนเต็มที่
6. คำนึงถึงพัฒนาการและวุฒิภาวะของผูเ้ รี ยน
7. เน้นการแก้ปัญหาครู และนักเรี ยนได้มีโอกาสวางแผนงานร่ วมกัน
8. แบบฝึ กควรเป็ นสิ่ งที่น่าสนใจ คือเป็ นสิ่ งที่มีความแปลกใหม่พอสมควรเป็ นสิ่ งซึ่ งสนอง
สามารถปรับเข้าสู่ โครงสร้างทางความคิดของผูเ้ รี ยนได้
จากที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้วา่ หลักในการสร้างแบบฝึ กที่สำคัญนั้นต้องยึดนักเรี ยนเป็ นหลัก
โดยมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนว่าจะฝึ กเรื่ องอะไร จัดเนื้ อหาให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย สร้างแบบฝึ กให้
เหมาะกับวัย และระดับความสามารถของนักเรี ยนมีรูปแบบหลากหลายน่าสนใจ กำหนดเวลาในการฝึ ก
อย่างเหมาะสม
18
4. งานวิจัยที่เกีย่ วข้ อง
4.1 งานวิจัยในประเทศ
ในประเทศไทยได้มีการทำการวิจยั หลายเรื่ องที่เกี่ยวกับการศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยน
คณิ ตศาสตร์ของนักเรี ยนในเนื้ อหาต่างๆ ดังเช่น
ทศพร ทักษิมา (2545: 53 – 58) ได้ท ำการวิจยั เรื่ อง การศึกษาและแก้ไขข้อบกพร่ องทางการเรี ยน
เรื่ อง ระบบสมการ ของนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มตัวอย่างเป็ นนักเรี ยนชั้น
มัธยมศึกษาปี ที่ 3 ที่มีขอ้ บกพร่ องทางการเรี ยน จำนวน 25 คน โดยใช้แบบทดสอบวินิจฉัยจำนวน 4 ฉบับ
ทำการทดสอบนักเรี ยน แล้วคัดเลือกนักเรี ยนที่มีขอ้ บกพร่ องในด้านต่างๆจากนั้นทำการซ่อมเสริ มนักเรี ยนที่
มีขอ้ บกพร่ อง ด้วยชุดการเรี ยนการสอนซ่อมเสริ มจำนวน 4 ชุด แยกตามเนื้อหาย่อย จุดประสงค์การเรี ยนรู ้
19
บทที่ 3
วิธีดำเนินการวิจัย
20
3. การเก็บรวบรวมข้ อมูล
ผูว้ ิจยั ดำเนินการเก็บข้อมูลตามขั้นตอนต่อไปนี้ คือ
22
4. การวิเคราะห์ ข้อมูล
ในการวิจยั ผูว้ จิ ยั ดำเนินการวิเคราะห์ขอ้ มูล ดังนี้
1. หาค่าสถิติพ้ืนฐาน ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิ ต
2. ตรวจสอบสมมติฐานที่วา่ คะแนนของนักเรี ยนที่ได้จากแบบทดสอบหลังการซ่อมเสริ ม สู งกว่า
คะแนนที่ได้จากการทดสอบก่อนการซ่อมเสริ มโดยใช้การเปรี ยบค่าเฉลี่ยเลขคณิ ตของคะแนนที่ได้จากการ
ทดสอบ
สูตร
เมื่อ แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนน
แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด
แทน จำนวนข้อมูลทั้งหมด
2. สถิติที่ใช้ในการตรวจสอบสมมติฐานทดสอบความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์ ทางการ
เรี ยนจากการใช้ชุดกิจกรรมคณิ ตศาสตร์ของกลุ่มเป้ าหมาย โดยให้คะแนนสอบก่อนเรี ยนกับคะแนน
สอบหลังเรี ยน คำนวณจากสูตร t – test Dependent (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. 2538: 248)
23
∑D
√
2
N ∑ D2−( ∑ D )
t = N −1 ; df = N - 1
เมื่อ t แทน ค่าที่ใช้พิจารณา
∑D แทน ผลรวมของความแตกต่างรายคู่ระหว่างคะแนนการทดสอบ
หลังการใช้ชุดกิจกรรมคณิ ตศาสตร์กบั ก่อนการใช้ชุดกิจกรรม
∑ D2 แทน ผลรวมของกำลังสองของความแตกต่างรายคู่ระหว่างคะแนน
การทดสอบหลังการใช้ชุดกิจกรรมคณิ ตศาสตร์
กับก่อนการใช้ชุดกิจกรรม
N แทน จำนวนผูเ้ รี ยนทั้งหมด
บทที่ 4
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล
การวิเคราะห์ ข้อมูล
การวิเคราะห์ขอ้ มูลเพื่อศึกษา และแก้ไขข้อบกพร่ องทางการเรี ยนเรื่ องการแยกตัวประกอบของ
พหุนามของนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 โดยใช้แบบทดสอบสำรวจข้อบกพร่ องก่อนการใช้แบบฝึ กเสริ ม
24
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล
ตอนที่ 1 ผลการศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยน เรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนาม ของนักเรี ยนชั้น
มัธยมศึกษาปี ที่ 4 แสดงจำนวนนักเรี ยนที่มีขอ้ บกพร่ องทางการเรี ยน และร้อยละของจำนวนนักเรี ยนที่มีขอ้
บกพร่ องทางการเรี ยนเรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนามในแต่ละจุดประสงค์การเรี ยนรู ้ จำแนกตาม
ลักษณะข้อบกพร่ องทางการเรี ยน
ข้อมูลที่น ำมาวิเคราะห์ ได้แก่ ผลจากการทำแบบทดสอบสำรวจข้อบกพร่ องทางการเรี ยนเรื่ องการ
แยกตัวประกอบของพหุนามของนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 จำนวน 30 คน โดยเสนอในตาราง 1 แสดง
จำนวนนักเรี ยนที่มีขอ้ บกพร่ องทางการเรี ยน และร้อยละของนักเรี ยนที่มีขอ้ บกพร่ องทางการเรี ยนในแต่ละ
จุดประสงค์การเรี ยนรู้ จำแนกตามลักษณะข้อบกพร่ องทางการเรี ยน
25
- ไม่สามารถนำกฎในการแยกตัวประกอบ
ของพหุนามในรู ปกำลังสองสมบูรณ์ได้
26
ตาราง 1 (ต่อ)
จำนวนนักเรี ยน ร้อยละของ
จุดประสงค์ ลักษณะข้อบกพร่ องที่พบ ที่มีขอ้ บกพร่ อง จำนวนนักเรี ยน
(คน) ที่มีขอ้ บกพร่ อง
2.ลักษณะข้ อบกพร่ องในด้ านกระบวนการ
แสดงวิธีทำ
- ไม่สามารถนำสมบัติของจำนวนจริ งที่ 11 36.67
เกี่ยวกับการแยกตัวประกอบของพหุนาม
ดีกรี ไม่เกินสองมาใช้ได้
N S.D. ∑D ∑ D2 t
Pretest 30 7.03 1.79
Posttest 30 15.80 2.72 263 2575 *15.76
บทที่ 5
สรุ ปผล อภิปราย และข้ อเสนอแนะ
นักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 โรงเรี ยนเตรี ยมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา ภาคเรี ยนที่ 1 ปี การศึกษา
2555 ที่มีขอ้ บกพร่ องทางการเรี ยนเรื่ อง การแยกตัวประกอบของพหุนาม โดยได้มาจากการสุ ่ มแบบเจาะจง
จำนวน 30 คน
วิธีดำเนินการวิจัย
1. เครื่ องมือที่ใช้ในการวิจยั
1.1 แบบทดสอบสำรวจข้อบกพร่ อง เป็ นแบบทดสอบที่ใช้ในการค้นหาข้อบกพร่ องและสาเหตุ
ของความบกพร่ องทางการเรี ยน เรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนาม เพื่อพิจารณาว่า
นักเรี ยนมีขอ้ บกพร่ องในลักษณะใดในหน่วยนั้น
1.2 แบบฝึ กเสริ มทักษะ เป็ นแบบฝึ กที่ผวู ้ ิจยั สร้างขึ้น เพื่อแก้ไขข้อบกพร่ องทางการเรี ยนและฝึ ก
ผูเ้ รี ยนให้มีความชำนาญในการแยกตัวประกอบของพหุนาม
1.3 แบบทดสอบคู่ขนาน เป็ นแบบทดสอบที่ผวู ้ ิจยั สร้างขึ้น เพื่อศึกษาผลการใช้แบบฝึ กเสริ ม
ทักษะเพื่อแก้ไขข้อบกพร่ องทางการเรี ยน เรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนาม โดยข้อ
คำถามจะคู่ขนานกับข้อคำถามในแบบทดสอบสำรวจข้อบกพร่ อง
2. วิธีด ำเนินการทดลอง
ผูว้ จิ ยั ดำเนินการทดลองตามขั้นตอน ดังนี้
2.1 ผูว้ จิ ยั นำแบบทดสอบสำรวจข้อบกพร่ อง เรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนาม ไปทดสอบ
กับนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 จำนวน 164 คน แล้วนำผลการทดสอบมาคัดเลือก
นักเรี ยนที่มีขอ้ บกพร่ องทางการเรี ยน เรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนาม เพื่อเป็ นกลุ่ม
ตัวอย่าง ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
2.2 ผูว้ ิจยั ทำการซ่อมเสริ มนักเรี ยนที่มีขอ้ บกพร่ องทางการเรี ยน เรื่ องการแยกตัวประกอบของ
พหุนาม โดยใช้แบบฝึ กเสริ มทักษะ หลังจากทำการซ่อมเสริ ม โดยใช้แบบฝึ กเสริ มทักษะ
แล้วให้นกั เรี ยนทำแบบทดสอบคู่ขนาน เพื่อศึกษาผลของการซ่อมเสริ ม
สรุ ปผลการวิจัย
ตอนที่ 1 การศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยน เรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนาม โดยใช้แบบทดสอบ
สำรวจข้อบกพร่ อง ผลปรากฏว่า
1. จากการนำแบบทดสอบสำรวจข้อบกพร่ อง ไปทดสอบกับนักเรี ยนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 4 ผล
ปรากฎว่านักเรี ยนมีลกั ษณะข้อบกพร่ องทางการเรี ยนเรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนาม ในแต่ละจุด
ประสงค์การเรี ยนรู้ ดังนี้
จุดประสงค์ที่ 1 เรื่ องความสามารถในการนำสมบัติการไม่เท่ากันไปใช้ได้ถูกต้องพบว่านักเรี ยนที่
มีลกั ษณะข้อบกพร่ องในด้านการใช้บทนิยาม ทฤษฎีบท สมบัติ กฎ หรื อสู ตร จำนวนนักเรี ยนที่ไม่สามารถ
นำกฎในการแยกตัวประกอบของพหุนามมาแยกพหุนามที่เขียนในรู ป ได้ มีจ ำนวนร้อยละ 23.33
จำนวนนักเรี ยนที่ไม่สามารถนำกฎในการแยกตัวประกอบของพหุนามมาแยกพหุนามที่เขียนในรู ป
ได้ มีจ ำนวนร้อยละ 63.33 จำนวนนักเรี ยนที่ไม่สามารถนำกฎในการแยก
ตัวประกอบของพหุนามมาแยกพหุนามที่เขียนในรู ป เมื่อสัมประสิ ทธิ์ หน้า ได้ มี
30
อภิปรายผล
1. จากการศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยนเรื่ องการแยกตัวประกอบของพหุนามของนักเรี ยนชั้น
มัธยมศึกษาปี ที่ 4 จากแบบทดสอบสำรวจข้อบกพร่ อง สามารถจำแนกตามลักษณะข้อบกพร่ องในด้าน
ต่างๆได้ดงั นี้
1.1 ด้านการใช้บทนิยาม ทฤษฎีบท สมบัติ กฎ หรื อสู ตร จะพบว่าด้านนี้เป็ นสิ่ งที่นกั เรี ยนมี
ความบกพร่ องเป็ นอย่างมาก การเข้าใจบทนิยาม สมบัติ ทฤษฏี หรื อสู ตรต่างๆจึงเป็ นสิ่ งที่จ ำเป็ นอย่างยิง่ กับ
การเรี ยนเรื่ องจำนวนจริ งหรื อในเรื่ องอื่นๆก็ตาม นักเรี ยนส่ วนมากขาดความรู ้ความเข้าใจในด้านนี้ และยัง
ขาดทักษะในการนำความรู้ดา้ นนี้ ไปใช้ จึงทำให้ไม่สามารถทำข้อสอบหรื อแบบฝึ กอื่นๆได้เพราะบกพร่ อง
ด้านการใช้บทนิยาม ดังนั้นนักเรี ยนจึงมีขอ้ บกพร่ องในด้านนี้เป็ นจำนวนมาก
1.2 ด้านกระบวนการวิธีท ำ จะพบว่าด้านนี้เป็ นอีกด้านที่นกั เรี ยนมีความบกพร่ องเป็ นอย่าง
มากอาจจะเนื่องมาจากแบบทดสอบที่ใช้เป็ นแบบทดสอบอัตนัย ซึ่ งนักเรี ยนจะต้องเขียนแสดงวิธีท ำโดย
ละเอียด ซึ่ งนักเรี ยนยังขาดทักษะในการทำข้อสอบอยูม่ ากพอสมควร จึงทำให้เกิดข้อผิดพลาด หรื อบางครั้ง
นักเรี ยนก็ไม่แสดงขั้นตอนที่มา ทำให้ไม่สามารถรู ้ได้วา่ ที่มาของคำตอบของพหุนามคืออะไร หามาได้
อย่างไร จึงทำให้เกิดข้อบกพร่ องทางด้านนี้เป็ นจำนวนมาก
1.3 ด้านการคิดคำนวณ จะพบว่าด้านการคิดคำนวณจะเป็ นด้านที่นกั เรี ยนมีความบกพร่ อง
เป็ นอันดับหนึ่ง เพราะการแยกตัวประกอบของพหุนามนั้นจะต้องมีการใช้ความรู ้พ้ืนฐานเรื่ องการบวก และ
31
ข้ อเสนอแนะ
จากผลการวิจยั ครั้งนี้ มีขอ้ เสนอแนะดังต่อไปนี้
1. ข้ อเสนอแนะทัว่ ไป
1.1 ในการสำรวจเพื่อศึกษาข้อบกพร่ องทางการเรี ยนของนักเรี ยน ไม่ควรแบ่งเนื้อหาย่อยมาก
เกินไป เพราะการที่นกั เรี ยนต้องทำแบบทดสอบหลาย ๆ ฉบับ จะทำให้นกั เรี ยนเกิดความเบื่อหน่ายในการ
ทำข้อสอบ ซึ่ งอาจส่ งผลให้นกั เรี ยนไม่ท ำข้อสอบ และทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยลักษณะข้อบกพร่ องได้ตรง
ตามความเป็ นจริ ง
32
2. ข้ อเสนอแนะในการวิจัย
2.1 ควรมีการศึกษา และแก้ไขข้อบกพร่ องทางการเรี ยนในลักษณะเดียวกันนี้กบั เนื้อหาอื่น ๆ
และระดับขั้นอื่น ๆ
2.2 ควรทำการศึกษาเพื่อหากลวิธีการสอนแบบอื่น ๆ ในการจัดการเรี ยนการสอนซ่อมเสริ ม
เพื่อช่วยเหลือนักเรี ยนที่เรี ยนช้า หรื อนักเรี ยนที่มีขอ้ บกพร่ องทางการเรี ยน ตลอดจนส่ งเสริ มนักเรี ยนที่เรี ยน
เก่งให้เรี ยนดีข้ ึนกว่าเดิม
บรรณานุกรม
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2537). คู่มือประเมินผลสั มฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน
ระดับ ประถมศึกษา. กรุ งเทพฯ: สำนักงานทดสอบทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิ การ.
. (2539). การประเมินจากสภาพจริง. กรุ งเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว.
. (2542). พระราชบัญญัติการศึกษาแห่ งชาติ พ.ศ. 2542. กรุ งเทพฯ: คุรุสภาลาดพร้าว.
33
วิโรฒ.
สำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ. (2541). คู่มือการอบรมเลีย้ งดูเด็กระดับก่ อนประถม
ศึกษา. กรุ งเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว.
สำรวย หาญห้าว. (2550). การสร้ างชุ ดการเรียนการสอนพีชคณิตช่ วงชั้นที่ 3 สำหรับนักเรียนทีม่ ีผลสั มฤทธิ์
ทางการเรียนคณิตศาสตร์ สูงด้ วยเทคนิคการสอนแบบ TAI. ปริ ญญานิพนธ์ กศ.ม. (การมัธยม
ศึกษา). กรุ งเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ.
เอนก เพียรอนุกลู บุตร. (2524). การวัดและประเมินทางการศึกษา. กรุ งเทพฯ: มหาวิทยาลัย
รามคำแหง.
อังศุมาลิน เพิม่ ผล. (2542). การสร้ างแบบฝึ กทักษะการคำนวณวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องวงกลม สำหรับ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3. สารนิพนธ์ กศ.ม. (การวัดผลการศึกษา). กรุ งเทพฯ: บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยศรี นคริ นทรวิโรฒ. ถ่ายเอกสาร.
ภาคผนวก
36
ภาคผนวก ก
รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย
37
รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือวิจัย
1. นางสาวอำไพ พาโคกทม ครู ประจำกลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์
โรงเรี ยนเตรี ยมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา
2. นางสาวศากุณ เทียนทอง ครู ผชู ้ ่วย กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์
โรงเรี ยนเตรี ยมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา
3. นายเอกชัย ชาญกระโทก ครู ประจำกลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์
โรงเรี ยนเตรี ยมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา
38
ภาคผนวก ข
ตารางแสดงค่าความเที่ยงตรง และค่ าความยาก (p)
2 1 1 1 3 1
3 1 1 1 3 1
4 1 1 1 3 1
5 1 0 1 2 0.67
6 1 1 1 3 1
7 1 1 1 3 1
8 1 1 1 3 1
9 1 1 1 3 1
10 1 1 1 3 1
11 1 1 1 3 1
12 1 1 1 3 1
13 1 1 1 3 1
14 1 1 1 3 1
15 1 1 1 3 1
16 1 1 1 3 1
17 1 1 1 3 1
18 1 1 1 3 1
19 1 1 1 3 1
20 1 1 1 3 1
40
ภาคผนวก ค
คะแนนแบบทดสอบก่ อนและหลังใช้ แบบฝึ กทักษะ และ
คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่ อนใช้ ชุดกิจกรรมคณิตศาสตร์
42
18 8 18
19 7 17
20 8 10
21 5 13
22 5 11
23 8 18
24 6 18
25 9 15
26 6 16
27 9 14
28 9 14
29 3 16
30 8 12
รวม 211 474
7.03 15.80
44
24 1 0 0 1 0 0 0 0 1 1 0 0 1 0 1 0 0 0 0 0 6
25 1 0 1 1 0 0 1 0 1 0 1 1 0 1 1 0 0 0 0 0 9
26 0 1 0 0 0 1 1 0 0 1 0 0 1 0 0 0 1 0 0 0 6
27 1 1 1 0 1 1 1 1 0 1 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 9
28 1 0 1 0 0 1 1 0 1 1 0 1 0 0 0 0 1 1 0 0 9
29 0 1 1 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 3
30 1 1 1 1 0 1 1 1 1 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 0 8
46
ภาคผนวก ง
แบบฝึ กเสริมทักษะสำหรับแก้ ไขข้ อบกพร่ อง
เรื่องการแยกตัวประกอบของพหุนาม
3) x2 – 144 =..............................................................................................................................
4) x2 – 7 =..............................................................................................................................
5) x2 – 35 =..............................................................................................................................
6) x2 – 100 =..............................................................................................................................
7) x2 – 169 =..............................................................................................................................
8) x2 – 196 =..............................................................................................................................
2. จงแยกตัวประกอบของพหุนามต่ อไปนี้
1) x2 – 25x =…………………………………………………………………….
2) x3 – 4x2 =…………………………………………………………………….
3) x4 – 4x = …………………………………………………………………….
4) 15x2 – 25x = …………………………………………………………………….
5) 81x2 – x =…………………………………………………………………….
6) 7x2 + 49x = …………………………………………………………………….
7) 88x3 + 8x2 = …………………………………………………………………….
8) 13x4 + x2 = …………………………………………………………………….
9) 5x3 + 15x2 =…………………………………………………………………….
10) 100x4 + 10x3 = …………………………………………………………………….
11) x2+ 3x – 4 = …………………………………………………………………….
12) x2 + 10x + 25 = …………………………………………………………………….
13) x2 + 6x + 9 =…………………………………………………………………….
14) x2 + 4x + 4 = …………………………………………………………………….
15) x2 + 8x – 20 =…………………………………………………………………….
16) x2 – 10x + 25 =…………………………………………………………………….
48
= ………………………………………………………………………..
3) x2 + 8x – 5 = ………………………………………………………………………..
= ………………………………………………………………………..
= ………………………………………………………………………..
= ………………………………………………………………………..
4) x2 + 6x + 2 = ………………………………………………………………………..
= ………………………………………………………………………..
= ………………………………………………………………………..
= ………………………………………………………………………..
5) x2– 2x = ………………………………………………………………………..
= ………………………………………………………………………..
= ………………………………………………………………………..
= ………………………………………………………………………..
= [(x – 2) – ][(x – 2) + ]
= [(x – 2 – )][(x – 2 + )]
3) x2 + 8x – 5 = (x2 + 8x + 16) – 5 – 16
= (x + 4)2 – 21
= [(x + 4) – ][(x + 4) + ]
= [(x + 4 – )][(x + 4 + )]
4) x2 + 6x + 2 = (x2 + 6x + 9) + 2 – 9
= (x + 3)2 – 7
= [(x + 3) – ][(x + 3) + ]
= [(x + 3 – )][(x + 3 + )]
5) x2 – 2x = (x2 – 2x + 1) – 1
= (x – 1)2 – 1
52
= [(x – 1) – 1][(x – 1) + 1]
= [x – (1 + 1)][(x – (1 – 1)]
= (x – 2)(x)
ภาคผนวก จ
แบบทดสอบสำรวจข้ อบกพร่ องและแบบทดสอบคู่ขนาน
53
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา
ชื่อ………………………………………………………ชั้น…………….เลขที่.....................
คำชี้แจง
1. แบบทดสอบเป็ นแบบแสดงวิธีท ำจำนวน 20 ข้อ
2. จงแสดงวิธีท ำ
54
55
แบบทดสอบ
เรื่องการแยกตัวประกอบของพหุนาม
จงแยกตัวประกอบของพหุนามต่อไปนี้
1) 6)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
2) 7)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
3) 8)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
4) 9)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
5) 10)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
11) 16)
56
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
12) 17)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
13) 18)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
14) 19)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
15) 20)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
เฉลยแบบทดสอบสำรวจข้ อบกพร่ อง
1) =
2) =
3) =
57
4) =
5) =
6) =
7) =
8) =
9) =
10) =
11) =
12) =
13) = หรื อ
14) =
15) =
16) =
17) =
18) =
19) =
20) =
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา
ชื่อ………………………………………………………ชั้น…………….เลขที่.....................
แบบทดสอบคู่ขนานเรื่ อง การแยกตัวประกอบของพหุนาม
58
คำชี้แจง
1. แบบทดสอบเป็ นแบบแสดงวิธีท ำจำนวน 20 ข้อ
2. จงแสดงวิธีท ำอย่างละเอียด
แบบทดสอบ
เรื่องการแยกตัวประกอบของพหุนาม
จงแยกตัวประกอบของพหุนาม ต่อไปนี้
1) 6)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
2) 7)
59
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
3) 8)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
4) 9)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
5) 10)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
11) 16)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
12) 17)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
13) 18)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
60
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
14) 19)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
15) 20)
วิธีท ำ…………………….....................................................……………...... วิธีท ำ…………………….....................................................……………......
………………………............................................................…………………… ………………………............................................................……………………
…………………………………………............................................................… …………………………………………............................................................…
เฉลยแบบทดสอบคู่ขนาน
1. =
2. =
3. =
4. =
5. =
6. =
7. =
8. =
9. =
10. =
11. =
12. =
13. =
14. =
15. =
61
16. =
17. =
18. =
19. =
20. =
ประวัติย่อผู้วจิ ัย
62
63
ประวัติย่อผู้วจิ ัย