Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 5

องค์

ความรู

้ารแพทย์
แผนไทย
 

โดย อาจารย์
กต
ิติ
 ลี
สยาม 
몭

ความรู
1. องค์ ก
้ารแพทย์
แผนไทย ไดแก่
้ ตํ
าราการแพทย์
แผนไทย คัมภี
รก
์ารแพทย์
แผนไทย ตํ
ารับยาแผนไทย และทฤษฎี
การแพทย์
แผนไทย

 
าราการแพทย์
 1.1 ตํ แผนไทย ความรูที
้ได
몭 จากตํ
้ าราการแพทย์ แผนไทย คื
อ องค์ความรู
และ ประสบการณ์
้ ของการแพทย์
แผนไทยทีมี
몭การบันทึ
กลงใน
สมุดไทย สมุดข่
อย ใบลาน หรื
อวัสดุ
อนใดที
몭 มี
ื 몭การถ่
ายทอดและคัดลอกสื
บต่
อกันมา โดยมากตํารามักจะประกอบดวยหลายๆ คั
้ มภี
รแ
์พทย์

าราการแพทย์
          ตํ แผนไทยที
เป็
몭นตํ
าราหลักหรื
อตํ
ารามาตรฐานที
ใช ้
몭 ในการเรี
ยนการสอนแพทย์
แผนไทย โดยตํ
าราที
กระทรวงสาธารณสุ
몭 ขรับรอง
ประกอบดวย ้

าราเวชศึ
1. ตํ กษาของพระยาพิศณุ ประสาทเวช เล่
ม 1­3
าราแพทย์
2. ตํ ศาสตร์
สงเคราะห์
ฉบับหลวง เล่
ม 1­2
าราคัมภี
3. ตํ รแ
์พทย์แผนโบราณของขุ นโสภิ
ตบรรณาลักษณ์  เล่
ม 1­3
าราแพทย์
4. ตํ ศาสตร์
สงเคราะห์
 เล่
ม 1­3
าราเวชศึ
5. ตํ กษาและตํ
าราประมวลหลักเภสัชของโรงเรี ยนแพทย์ แผนโบราณ (วัดพระเชตุ
พนฯ)

          และในส่วนของกลุ ม
่งานคุ มครองภู
้ มปิั ญญาการแพทย์ แผนไทย สังกัดสถาบันการแพทย์ แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์
ทางเลื อก ไดแต่
้ งตังคณะทํ
몭 างาน เพื
อทํ
몭 าการศึ กษา วิ
เคราะห์
 และพิจารณาตํ ารับยาแผนไทยของชาติ  ตํารับยาแผนไทยทัวไปตํ
몭 าราการแพทย์ แผนไทย
ของชาติ  และตํ
าราการแพทย์ แผนไทยทัวไป และได
몭 สรุ
้ปบัญชี รายชื몭 าราการแพทย์
อตํ แผนไทยของชาติ  และตําราการแพทย์
แผนไทยทัวไป จากการ
몭
ประชุ มเชิงปฏิ
บตั ก
ิารการจัดทําตํ
ารายาแผนไทย/ ตํ าราการแพทย์ แผนไทยของชาติ / ทัวไป ครั
몭 งที
몭  1 ดั
몭 งนี 몭

ตํ
าราการแพทย์
แผนไทยของชาติ ดงั นี
  มี 몭

1) ตํารายาศิลาจารึกวัดเชตุพนวิ มลมังคลาราม จารึ กในสมัยรัชกาลที 몭


 3 
2) ตํารายาจารึกวัดราชโอรส จารึ กในสมัยรัชกาลที 몭
 2 
3) ตําราพระโอสถพระนารายณ์  เป็ นตํ
าราพระโอสถซึ 몭
งหมอหลวงได ประกอบถวายสมเด็
้ จพระนารายณ์
4) ตําราเวชศาสตร์ ฉบับหลวง เล่ มที 몭 าระตํ
 1­2 ชํ าราในสมัยรัชกาลที 몭
 5
5) เวชศาสตร์ วณ
ั ณนาของพระยาประเสริ ฐศาสตร์ธํ
ารง เล่
ม 1­5
6) ตําราแพทย์ สงเคราะห์  เล่
ม 1­4 
7) ตําราคัมภี
รแ
์พทย์ แผนโบราณของขุ นโสภิตบรรณลักษณ์  เล่
ม 1­3
8) ตําราแพทย์ ศาสตร์ สงเคราะห์ ของโรงเรี ยนแพทย์ แผนโบราณวัดพระเชตุ พนฯ เล่
ม 1­3
9) ตําราเวชศึกษาแพทย์ ศาสตร์ สงั เขปของพระยาพิ ศนุประสาทเวช

ตํ
าราการแพทย์
ทวไป  มี
몭
ั ดงั นี
몭

าราสมุ
1. ตํ นไพรลานนาของหน่วยงานศึ
กษาวิ จัยคัมภี
รโ์
บราณ
ารายากลางบานของพระธรรมวิ
2. ตํ ้ มลโมลี
 วัดเบญจมบพิ ตร
ารายากลางบานของศู
3. ตํ ้ นย์
ประสานงานทหารกองหนุ นแห่ งชาติ
4. ประมวลสรรพคุณยาไทยของโรงเรี
ยนแพทย์ แผนโบราณวัดพระเชตุ พนฯ เล่
ม 1­3
5. ศัพท์แพทย์
ไทยของหน่วยขอมู
้ลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์  มหาวิ
ทยาลัยมหิดลล
ารับยาแผนโบราณของกองการประกอบโรคศิ
6. ตํ ลปะ กระทรวงสาธารณสุ ข
าราแพทย์
7. ตํ แผนโบราณทัวไปของกองการประกอบโรคศิ
몭 ลปะ กระทรวงสาธารณสุ ข

          และมีตํ
าราอี
ก 1 เล่
ม ที
ไม่
몭 สามารถจัดเขาเกณฑ์
้ เป็
นตําราการแพทย์
แผนไทยของชาติ  หรื
อตํ
าราการแพทย์
ทวไป ได
ั몭 แก่
้ อายุ รเวทศึ
กษาของขุนนิ
เทสสุ ขกิจ แต่
ภายหลังจากการประชุ มเชิงปฏิ
บตั ก
ิารการจัดทํ
าตํ
ารายาแผนไทย/ ตํ
าราการแพทย์แผนไทยของชาติ/ ทัวไป ครั
몭 งที
몭  3 ได
몭 ประกาศตํ
้ าราการ
แพทย์ ของชาติ ประกอบดวย 4 เล่
้ ม ดังนี
몭

าราพระโอสถพระนารายณ์
1. ตํ
ารายาจารึ
2. ตํ กวัดราชโอรส
ารายาศิ
3. ตํ ลาจารึกในวัดพระเชตุ
พนวิ
มลมังคลาราม
าราเวชศาสตร์
4. ตํ ฉบับหลวง
 

าราดังกล่
          นอกจากตํ าว ยังมี
ตํ
าราที
ใช ้
몭 ในการอางอิ
้ ง และถื
อว่
าเป็
นตํ
าราที
มี
몭คณ
ุค่
าควรแก่
การศึ
กษาและการอนุ
รักษ์
  ไดแก่

1) ตําราพระโอสถครังรั
몭ชกาลที몭
 2 ประกอบด วยตํ
้ าราในโรงพระโอสถ และตํ าราพระโอสถ รวบรวมและตรวจสอบโดยพระพงศ์อมริ
นทร์
ราชนิ
กู
ล โอรสของพระเจาตากสิ
้ น 
2)  ตําราสรรพคุ ณยาของกรมหลวงวงศาธิ ราชสนิ ท เป็นตําราแพทย์
แผนไทยที
แยกรายละเอี
몭 ยดสรรพคุ
ณของส่วนต่
างๆ ของสมุ
นไพรแต่ละ
ชนิ ด 
3)  ตํารายาฉบับพระองค์ เจาสายสนิ
้ ทวงศ์ 
4)  ตําราไมเทศเมื
้ องไทยของหมอเสงี ยม พงษ์
몭 บญุรอด 
5)  แพทย์ ศาสตร์นเิ
ทสของขุ นนิเทสสุ
ขกิจ 
6) แพทย์ ตําบลของพระยาแพทย์ พงศาวิสทุธาธิ บดี เล่
ม 1­3 
7) ตําราสรรพคุ ณยาไทยของพระยาแพทย์ พงศาวิ สท
ุธาธิ บดี  
8) ตําราหมอประจํ าบานของพระยาแพทย์
้ พงศาวิ สท
ุธาธิ บดี 
9) คูม
่อืนักทํายาของโกมารภัคค์
10) หมอไทยยาไทยของกระทรวงศึ กษาธิ การ

าราที
          ตํ กล่
몭 าวมาเป็
นเพี
ยงสังเขป ยังมี
ตํ
าราการแพทย์
แผนไทยอี
กหลายเล่
มที
ควรมี
몭 ไวใช ้
้ในการศึ
กษา สํ
าหรับการประกอบวิ
ชาชี
พการแพทย์
แผน
ไทย

1.2 ค ัมภี
รแ
์พทย์
แผนไทย คัมภี
รแ
์ผนไทยมี
หลายคัมภี
ร ์몭กจะรวบรวมอยู
ซึ
งมั ใ่
นตํ
าราต่
าง ๆ คัมภี
รท
์ควรศึ
몭 กษาเป็
ี นพื
นฐาน ได
몭 แก่

1) ค ัมภี รส์มุฏฐานวิ นจ ิฉ ัย กล่ าวถึ ง การคนหาสาเหตุ


้ แห่งไข การวิ
้ นจ ิฉั ยโรค การตรวจโรค การพยากรณ์ โรคและไขต่ ้างๆ โดยกล่
าวถึ
งกอง
พิกดั สมุ ฏฐาน 4 ประการ ไดแก่ ้ ธาตุ สมุ ฏฐาน อุ ตส
ุมุ ฏฐาน อายุ สมุฏฐาน และกาลสมุ ฏฐาน 
2) ค ัมภี รโ์รคนิ ทาน กล่ าวถึง ความมรณะสิ 몭 ดวยโบราณโรค และปั
นอายุ ้ จจุบนั โรค  และลักษณะพิ การและแตกของธาตุ ทง 4 
ั 몭
3) ค ัมภี รธ์าตุ วภิังค์  กล่ าวถึ ง การเสี ยชี วติของบุ คคล ธาตุ ทง 4 ขาดเหลื
ั 몭 อ ธาตุ ทง 4 พิ
ั 몭 การตามฤดู  และธาตุ ทง 4 พิ
ั 몭 การ 
4) ค ัมภี รธ์าตุ ววิรณ์  กล่ าวถึ ง ธาตุ ทง 4 พิ
ั 몭 การ ฤดู  3 ฤดู4 ฤดู  6 ใหธาตุ
้ พก ิาร ธาตุ ปลาส และธาตุ
 4 วิ นตรี
 4 เป็ โทษ
5)  ค ัมภีรฉ์ันทศาสตร์  กล่ าวถึ ง จรรยาแพทย์  ทับ 8 ประการ ประเภทไขต่ ้างๆ ลักษณะนํ 몭
านมดี 몭 วง 8 ประการ มรณะญาณสู
และชัว ป่ ตร และ
โรคแห่ งกุมาร 
6) ค ัมภี รต์ักศิลา กล่ าวถึ ง ลักษณะอาการ การรักษาไขพิ ้ษ ไขกาฬ ต่
้ างๆ 
7) ค ัมภี รส ิธิ
์ท สารสงเคราะห์  กล่ าวถึ ง ลักษณะลํ าบองราหู อน ั บังเกิ ดใน 12 เดื อน 
8) ค ัมภี รม์ข
ุโรค กล่ าวถึ ง โรคที เกิ
몭ดในปากคอ เป็ นเพราะโลหิ ตมี  19 ประการ 
9) ค ัมภี รป์ฐมจิ นดา กล่ าวถึ ง ตนเหตุ
้ มนุ ษย์ เกิด โลหิ ตระดู สตรี  ครรภ์ วาระกํ าเนิด 
ครรภ์ รักษา ครรภ์ วป ิลาส ครรภ์ ปริ มณฑล ครรภ์ ประสู ต ิ
รู
ปลักษณะกุ มาร และลักษณะซาง 
10)  ค ัมภี รม์หาโชตร ัต กล่ าวถึ ง โรคโลหิ ตระดู สตรี ปกติ โทษ และระดู ทจ ุริตโทษ 
11)  ค ัมภี รธ์าตุ บรรจบ กล่ าวถึ ง โรคอุ จจาระธาตุ  และมหาภุ ตรู ป 
12)  ค ัมภี รอ์ทุรโรค กล่ าวถึง มาน 18 ประการ 
13)  ค ัมภี รม์จุฉาปักข ันทิ กา กล่ าวถึ ง โรคที เกิ
몭ดกับทางเดิ นปั สสาวะ 
14) ค ัมภี รก์ษ ัย กล่ าวถึ ง กษั ยเกิ ดเป็ นอุ ปปาติ กะโรค 18 จํ าพวก และกษั ยเกิ ดแก่ กองธาตุ สมุ
ฏฐาน อี ก 8 จํ
าพวก 
15)  ค ัมภี รอ์ติสาร กล่ าวถึ ง ปั จจุ บนั กรรมอติ สาร 6 จํ าพวก และโบราณกรรมอติ สาร 5 จํ าพวก  
16) ค ัมภี รท์พิย์ มาลา กล่ าวถึ ง ลักษณะฝี  (วัณโรค) 
17) ค ัมภี รไ์พจิ ตรมหาวงค์  กล่ าวถึ ง ลักษณะและประเภทต่ างๆ ของฝี  
18) ค ัมภี รว์ ถ
ิกีฏุฐโรค กล่ าวถึ ง โรคเรื อนต่
몭 างๆ สาเหตุ การเกิ ดโรคเรื อน และแหล่
몭 งทีเกิ
몭ดโรคเรือน 
몭
19)  ค ัมภี รช์วดาร กล่ าวถึ ง โรคลมอันมี พษ ิต่ างๆ 
20) ค ัมภี รม์ัญชุ สาระวิ เชียร กล่ าวถึ ง ลมที ทํ
몭าใหเกิ้ดโรค และมี อาการต่ างๆ ตามลักษณะของลม 10 ประการ 
21) ค ัมภี รอ ั
์ภ ัยสนตา กล่ าวถึง โรคที เกี
몭ยวกั
몭 บตา

1.3  ตํ 몭 ารับยา ตัวยาในตํ
าร ับยาแผนไทย ประกอบดวย ชื
้ อตํ ารับ วิ
ธก
ีารทํ
าและสรรพคุ
ณในการรักษา ตํ
ารับยาแผนไทยทีกลุ
몭 ม
่งานคุ
มครองภู
้ มป
ิั ญญาการ
แพทย์ แผนไทยไดมี้การพิ
จารณาโดยคณะทํ างานพิ จารณาตํารับยาแผนไทยทัวไป และตํ
몭 ารับยาแผนไทยของชาติ  ไดแก่

          1) ตําร ับยาในตํ
าราพระโอสถพระนารายณ์  เป็
นตํ
าราที
หมอหลวงได
몭 ประกอบถวายสมเด็
้ จพระนารายณ์ โดยในตํารับยาประกอบดวย ชื 몭
้ อหมอ
วันคื นที ตั
몭งพระโอสถ และสรรพคุ
몭 ณในการรักษา ตํ
ารับยาดังกล่
าวจะมี
หมอปรุ
งยา ประกอบหมอหลวง 4 คน หมอพืนบ
몭 าน(หมอราษฎ์
้ น 1 คน
) 1 คน หมอจี
หมออิ นเดี ย 1 คน และหมอฝรั몭
ง 2 คน

าร ับยาในตํ
          2) ตํ ารายาจารึกว ัดราชโอรส จารึ
กในสมัยรัชกาลที 몭
 2 โดยให จารึ
้ กตํารายาไทยไวในแผ่
้ นศิลา ประดิษฐานทีวั몭
ดราชโอรส (วัด
จอมทอง) ผู ควบคุ
้ ม คื อ พระเจาลู
้กยาเธอ กรมหมื นเจษฎาบดิ
몭 นทร์ 몭 ารับยาดังกล่
 ซึ
งตํ าวไม่
ปรากฏผูเป็
้นเจาของตํ
้ 몭 าจะเป็
ารา ซึ
งน่ นฉบับหลวงที ผ่
몭านการ
ชํ าระและตรวจสอบเป็ นอย่
างดีแลว้

          3) ยาสาม ัญประจํ
าบ้
าน ประกาศโดยกระทรวงสาธารณสุ
ข ประกอบดวยยาสามั
้ ญประจํ
าบาน 27 ขนาน ได
้ แก่

ก. ยาประสะกะเพรา สรรพคุ ณ แกท ้องขึ


้ น ท
몭 องเฟ้
้ อ 
ข. ยาวิ
สมั พยาใหญ่  สรรพคุณ แกทองขึ
้ น อึ몭 ดเฟ้อ จุ
ก เสี
ยด 
ค. ยาประสะกานพลู  สรรพคุณ แกปวดท
้ อง เนื
้ องจากธาตุ
몭 ไม่ ปกติ 
ง. ยาแสงหมึ ก สรรพคุ ณ แกตั้
วรอน แก
้ ท ้องขึ
้ น แก
몭 ไอขั
้ บเสมหะ และแกละออง 

จ. ยามันทธาตุ   สรรพคุ ณ แกธาตุ
้ ไม่ ปกติ แก่
ทองขึ
้ น ท
몭 องเฟ้
้ อ 
ฉ. ยาประสะเจตพังคี  สรรพคุณ แกกษั
้ ย จุกเสี
ยด 
ช. ยามหาจักรใหญ่  สรรพคุณ แกลมทราง แก
้ ท
้องอื
้ ด ทองเฟ้
้ อ 
ฌ. ยาตรี หอม สรรพคุ ณ แกเด็
้กทองผู
้ ก ระบายพิ ษไข ้
ญ. ยาธรณี ั ฑะฆาต สรรพคุ
สน ณ แกกษั ้
้ ยเสน เถาดาน ท องผู
้ ก 
ฎ. ยาถ่าย สรรพคุ ณ แกท ้องผู
้ ก 
ฏ. ยาเหลื องปิดสมุทร สรรพคุ ณ แกท ้องเสี
้ ย 
ฐ. ยาธาตุ บรรจบ สรรพคุ ณ แกธาตุ
้ ไม่ ปกติ ทองเสี
้ ย แกท ้องขึ
้ น ท몭 องเฟ้
้ อ 
ฒ. ยาจันทน์ ลล
ีา สรรพคุ ณ แกไข้ตั้
วรอน 

ณ. ยาประสะจันทน์ แดง สรรพคุ ณ แกไข
้ตั้วรอน กระหายนํ
้ 몭
า 
ณ. ยาประสะจันทน์ แดง สรรพคุ ณ แกไข
้ตั้วรอน กระหายนํ
้ 몭
า 
ด. ยาเขี
ยวหอม สรรพคุ ณ แกไข้ตั้วรอน ร
้ อนใน กระหายนํ
้ 몭
า 
ต. ยามหานิลแท่งทอง สรรพคุ ณ แกไข้ กระหายนํ
้ 몭
า อี
สก ุ อีใส 
ถ. ยาหอมเทพจิ ตร สรรพคุ ณ แกลม บํ
้ ารุ งหัวใจ 
ท.ยาหอมทิ พโอสถ สรรพคุ ณ แกลม วิ
้ งเวี ยน 
ธ. ยาหอมอินทจักร์ สรรพคุณ แกลมบาดทะจิ
้ ต แกคลื
้ นเหี
몭 ยนอาเจี ยน แกลมจุ
้ กเสี
ยด 
น. ยาหอมเนาวโกฐ สรรพคุ ณ แกลมคลื
้ นเหี
몭 ยน อาเจี ยน แกลมปลายไข
้  ้
บ. ยาอํ
ามฤควาที  สรรพคุ ณ แกไอ ขั
้ บเสมหะ 
ป. ยาประสะมะแวง สรรพคุ
้ ณ แกไข้ ขั
้บเสมหะ 
ผ. ยาบํ
ารุ
งโลหิต สรรพคุ ณ บํารุ
งโลหิต 
ฝ. ยาประสะไพล สรรพคุ ณ แกจุ
้กเสียด แกระดู
้ ไม่ ปกติ  ขับนํ몭
าคาวปลา 
พ. ยาไฟประลัยกัลป์ สรรพคุ ณ ขับนํ몭
าคาวปลาในเรื อนไฟ ช่ วยใหมดลู
้ กเขาอู
้ ่
ฟ. ยาไฟหากอง สรรพคุ
้ ณ ขับนํ몭
าคาวปลาในเรื อนไฟ ช่ วยใหมดลู้ กเขาอู
้ ่
ภ. ยาประสะเปราะใหญ่  สรรพคุณ ถอนพิ ษตานทรางสํ าหรับเด็ ก

การแพทย์
1.4 ทฤษฎี แผนไทย

          ในส่วนทฤษฎีการแพทย์
พนฐาน อั
몭
ื น ไดแก่
้ ธาตุสมุ
ฏฐาน อุตส
ุมุฏฐาน อายุ
สมุฏฐาน และกาลสมุฏฐาน บางคัมภีรร์
วมถึ
งประเทศสมุ ฏฐานดวย้
คัมภี รท์เกี
몭ยวข
ี 몭 อง เรื
้ องสมุ
몭 ฏฐานที ตั
몭งแต่
몭 แรกเกิ
ดของโรคนัน ได
몭 แก่
้ คัมภี
รเ์
วชศึ
กษา คัมภี
รส
์มุ
ฏฐานวิ
นจ
ิฉั ย คัมภี
รโ์
รคนิ
ทาน คัมภี
รธ
์าตุ
ภงั ค์
 และคัมภี
รธ
์าตุ
วิวรณ์  ซึ몭 นี
งในที몭ขอกล่
몭 าวเฉพาะคัมภี รเ์
วชศึ
กษา ดังนี
몭

สมุ
1)  ธาตุ ฏฐาน หมายถึ
ง โรคที
เกิ
몭ดจากความไม่
สมดุ
ลของธาตุ
ทง 4 ได
ั 몭 แก่

ก. ปถวีธาตุ ดน
  (ธาตุิ 20 ประการ) คื
อ ผม ขน เล็บ ฟั น หนัง เนื
อ เส ้ น กระดู
몭 นเอ็ ก เยื
อในกระดู
몭 ก มาม หั
้ วใจ ตับ พังผื ้  ไส ้
ด ไต ปอด ไสใหญ่
นอย อาหารใหม่
้  อาหารเก่
า และมันในสมอง 
ข. อาโปสมุฏฐาน (ธาตุ นํ
몭
า 12 ประการ) คื
อ นํ
몭
าดี นํ
몭
าเสลด หนอง เลื อด เหงื
อ มั
몭 นขน มั
้ นเหลว นํ몭
าตา นํ
몭
าลาย นํ몭
ามูก ไขขอ และนํ
้ 몭
าปั สสาวะ 
ค. วาโยสมุฏฐาน (ธาตุลม 6 ประการ) คือ ลมพัดขึนเบื
몭 องบน ลมพั
몭 ดลงเบืองตํ
몭 า ลมในท
몭 อง ลมในลํ
้ ้ ดทัวร่
าไส ลมพั 몭างกาย และลมหายใจ
  เขาออก 
้  
ง. เตโชสมุฏฐาน (ธาตุไฟ 4 ประการ) คือ ไฟสํ
าหรับอุ น
่กาย ไฟสํ าหรับรอนระสํ
้ 몭
าระสาย ไฟสําหรับเผาใหแก่
้ครํ าคร่
몭 า และไฟสํ าหรับย่อย
อาหาร

ตส
2) อุุมุ
ฏฐาน หมายถึ
ง การเจ็
บไขที
้เกิ
몭ดจากฤดู
แปรปรวน แบ่
งออกเป็
นฤดู
 3 ฤดู
 4 และฤดู นี
몭จะขอกล่
 6  ในที 몭 าวถึ
งฤดู
 3 โดยสังเขป

ก. คิ
มห ันตะฤดู  (ฤดูรอน) เจ็
้ บไขมาจากธาตุ
้ ไฟพิ กด
ั ไฟสํ าหรับอุ

่กาย 

ข. วสนตะฤดู  (ฤดู ฝน) เจ็
บไขมาจากธาตุ
้ ลมพิกด
ั ลมในทอง ้
ค. เหม ันตะฤดู (ฤดูหนาว) เจ็
บไขมาจากธาตุ
้ นํ
몭
า พิกดั เสมหะและโลหิต

สมุ
3) อายุ ฏฐาน หมายถึ
ง  อายุ
เป็
นที
ตั
몭งที
몭 แรกเกิ
몭 ดของโรค แบ่
งออกเป็

ก. ปฐมว ัย นับตังแต่
몭 แรกเกิ ดถึ งอายุ
 8 ปี   เสมหะเป็นเจาเรื
้ อน โลหิตแทรก  และอายุ ถงึ
 8 ปี  โลหิ
 16 ปี ตเป็
นเจาเรื
้ อน เสมหะยังเจื
ออยู
 ่
ข. ม ัชฌิมว ัย  16 ปี
ถงึ 32 ปี  ธาตุ
นํ
몭
าพิกดั โลหิ ต 2 ส่
วน ธาตุลม 1 ส่
วน 
ค. ปัจฉิมว ัย  32 ปี
ถงึ64 ปี    สมุฏฐานธาตุ ลม  และอายุ งอายุ
 64 ถึ ขย
ั  ธาตุ
ลมเป็
น 
เจาเรื
้ อน ธาตุ นํ몭
าแทรกพิ กดั เสมหะกับเหงื อ
몭

ฏฐาน หมายถึ
4) กาลสมุ ง  เวลาเป็
นที
ตั
몭งที
몭 แรกเกิ
몭 ดของโรค แบ่
งออกเป็
น 

ก. เวลากลางว ัน
นํ
6.00­9.00 น.     ธาตุ몭
าพิกดั เสมหะ 
9.00­12.00 น.   ธาตุนํ
몭
าพิกด ั โลหิ
ต 
12.00­15.00 น. ธาตุ นํ
몭
าพิกด
ั ดี  
15.00­18.00 น. ธาตุ ลม

ข. เวลากลางคื น 
นํ
18.00­21.00 น. ธาตุ몭
าพิกด
ั เสมหะ 
นํ
21.00­24.00 น. ธาตุ몭
าพิกดั โลหิต 
นํ
24.00­03.00 น. ธาตุ몭
าพิกด ั ดี
 
ลม
03.00­06.00 น. ธาตุ

ายทอดของระบบการแพทย์
2. การถ่ แผนไทย ประกอบดวย

ายทอดในระบบสถาบ ันการศึ
2.1 การถ่ กษา

ที
          ความรู้ได
몭 จากสถาบั
้ นการศึ กษา เป็
นความรู
ที
้ได
몭 จากการศึ
้ กษาจากสถานศึ กษาทีคณะกรรมการรั
몭 บรอง กล่าวคื
อ ตองเป็
้ นการศึกษาจากสถาบัน
การศึ กษาที ผ่
몭านการรับรองว่ามี
หลักสู
ตรไดมาตรฐาน จากคณะกรรมการวิ
้ ชาชี
พสาขาการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ แผนไทยประยุ
กต์ กองการ
ประกอบโรคศิ ลปะ กระทรวงสาธารณสุ ข อนึงการถ่
몭 ายทอดในระบบสถาบันการศึ กษาจะมีโครงสรางหลั
้ กสู ตรชัดเจน และมีคณาจารย์
ในหลักสู
ตรเป็
นไป
ตามเกณฑ์ ของสกว.ดวย  สถาบั
้ นการศึ
กษาที เกี
몭ยวข
몭 องกั
้ บแพทย์ แผนไทย สามารถแบ่ งไดเป็
้น สถาบันการศึกษาแพทย์ แผนไทย และสถาบันการศึกษา
แพทย์ แผนไทยประยุ กต์
 ระดับตํ
ากว่
몭 าปริญญาตรี และระดับปริ
ญญาตรี       

ายทอดความรู
2.2  การถ่ เ้
พื 몭
อการสอบขึ
몭 นทะเบี
ยนเป็
นผู

้ระกอบโรคศิ
ลปะ    

          โดยแพทย์แผนไทยที
มี
몭ใบประกอบโรคศิ
ลปะ มี
การมอบตัวศิ
ษย์
 การขอขึ
นทะเบี
몭 ยนและการสอบขึ
นทะเบี
몭 ยนเป็
นผู
ที
้มี
몭ใบประกอบโรคศิ
ลปะตาม
สาขาที ตนเล่
몭 าเรี
ยนมา

ที
้ได
          ความรู몭 จากครู
้ รับมอบตัวศิ
ษย์ เป็
นความรู
ที
้ได
몭 จากการถ่
้ ายทอดการเรี
ยนสื
บต่
อกันมาโดยครู
แพทย์ แผนไทย ถือว่
าเป็
นการถ่
ายทอดแบบ
ปั จเจกชน สามารถแบ่ งครูแพทย์
ไทยไดตามประเภทของการแพทย์
้ แผนไทย ไดเป็
้น ครู
เวชกรรมไทย ครู
เภสัชกรรมไทย ครูผดุ
งครรภ์
ไทย และครู
นวด
ไทย การกํ าหนดการรับมอบตัวศิ
ษย์ ตองตรงตามประเภทของการแพทย์
้ แผนไทย และตรงตามระยะเวลาทีกํ
몭าหนด ดังนี
몭
ไทย การกํ
าหนดการรับมอบตัวศิ
ษย์
ตองตรงตามประเภทของการแพทย์
้ แผนไทย และตรงตามระยะเวลาที
กํ
몭าหนด ดังนี
몭

1) ประเภทเวชกรรมไทย ไดรั้
บการมอบตัวศิษย์เป็
นเวลาสื
บเนื
องกั
몭 นไม่
นอยกว่
้ าสามปี
 จากครู
ผประกอบโรคศิ

้ ลปะแพทย์
แผนไทย ประเภทเวชกรรม
ไทย  องค์
ความรู
เวชกรรมไทย คื
้ อ กิ
จ 4 ประการ ไดแก่

ก. รู
จั้กที
ตั
몭งแรกเกิ
몭 ดของโรค ไดแก่
้  ธาตุ สมุ
ฏฐาน อุตส
ุมุ ฏฐาน อายุสมุ
ฏฐานและกาลสมุ ฏฐาน 
ข. รู
จั้ 몭
กชื
อของโรค ได แก่
้ โรคตามธาตุ สมุ ฏฐาน 42 ประการ ตามฐานที ตั
몭งของโรคในเบญจอิ
몭 นทรีย ์ 몭
และชื
อโรคตามหมอสมมุ ต ิ
ค. รู
จั้กยารักษาโรค ไดแก่
้ รูจั้
กตัวยา รู
จั้
กสรรพคุณยา รูจั้
กพิกด
ั ยา และรู จั้
กการปรุ
งยาที
ประสมใช
몭 ้ ธต
ตามวิีา่
ง ๆ คื
อ หลักเภสัช 4 
ง. รู
จั้
กเลือกยาใหเหมาะกั
้ บโรค


2) ประเภทเภสชกรรมไทย ได รั้
บการมอบตัวศิ
ษย์
เป็
นเวลาสื
บเนื
องกั
몭 นไม่นอยกว่
้ าสองปี
 จากครู
ผประกอบโรคศิ

้ ลปะแพทย์
แผนไทย ประเภท
เภสัชกรรมไทย  องค์
ความรู
เภสั
้ ชกรรมไทย ประกอบดวยหลั
้ กเภสัช 4 คื อ

ก. เภสชว ั ัตถุ คื
อ รูจั้
กวัตถุ ธาตุ
นานาชนิด ที
จะนํ
몭 ามาใชเป็้นยารักษาโรค จะตองรู้ จั้
กลักษณะพืนฐานของตั
몭 วยาหรื
อสมุนไพร คื อ ตองรู
้ จั้
กชื몭

ลักษณะ สี  กลิน และรส ประกอบด
몭 วย พื
้ ชวัตถุ สัตว์
วต
ั ถุ
 และธาตุ วต
ั ถุ
 
ข. สรรพคุ ณเภสช คืั อ รู จั้
กสรรพคุณของวัตถุธาตุ
นานาชนิ ดทีจะนํ
몭 ามาใชเป็้นยา 
จะตองรู
้ รสของตั
้ วยานัน ๆ ก่
몭 อน ประกอบดวยรสประธาน 3 และรสยา 9 รส 

ค. คณาเภสช คื ั อ รู จั้
กการจัดหมวดหมู ข
่องตัวยาหลายสิ 몭
งหลายอย่ าง รวมเรี
ยกเป็ 몭 ยว ประกอบดวย จุ
นชื
อเดี ้ ลพิ กด
ั  พิ
กด
ั ยา และมหาพิ กด
ั  

ง. เภสชกรรม คื อ รูจั้
ก การปรุ งยา ผสมเครื
องยาหรื
몭 อตัวยา ประกอบดวย วิ
้ ธป ีรุ ้ นตราย (สะตุ
งยาแผนโบราณ การใชยาอั  ประสะ และฆ่

ฤทธิ 몭
) และยาสามั ญประจํ าบาน 27 ขนาน

          ดังนัน ตามหลั
몭 กการของเภสัชกกรมไทย จะตองมี
้ ความรู หลั
้ กเภสัช 4 ดังกล่
าวขางต
้ น จึ
้ งจะสามารถเตรี
ยมยา ผลิ
ตยา เลื
อกสรรยา ปรุ
งยาและจ่
าย
ยาได ตามการประกอบโรคศิ
้ ลปะหรือประกอบวิ
ชาชี
พเภสัชกรรมไทย

3) ประเภทการผดุงครรภ์ไทย ไดรั้
บการมอบตัวศิ
ษย์
เป็
นเวลาสื
บเนื
องกั
몭 นไม่ นอยกว่
้ าหนึ งปี
몭   จากครู
ผประกอบโรคศิ
ู้ ลปะแพทย์แผนไทย ประเภทการ
ผดุงครรภ์
ไทย ผู
ที
้จะเป็
몭 นผดุ งครรภ์
จะตองมี
้ ความรูและความสามารถวิ
้ นจ
ิฉั ยจํ
าแนกสภาวะของหญิ งมี
ครรภ์
และหญิ
งหลังคลอดได เพื
้ อให
몭 การดู
้ แลทีถู
몭ก
ตองและเหมาะสม องค์
้ ความรู
การผดุ
้ งครรภ์
 ไดแก่

ก. สรี
ระร่
างกายของหญิ งและชายวัยเจริ ญพันธุ
 ์
 
ข. การปฏิสนธิ
และการตังครรภ์
몭  ประกอบดวย การปฏิ
้ สนธิ
 การบํ
ารุ
งรักษาครรภ์
และการปฏิ
บตั ต
ิวั ในระยะตังครรภ์
몭   การแทง  และการเจริ
้ ญ
ของครรภ์  
ค. การทําคลอดปกติ ประกอบดวย วิ
้ ธก ีารทํ
าคลอดปกติ และการดูแลขณะคลอดการทํ าคลอดรก การตรวจรกและสายสะดื อ และอาการผิ ด
ปกติ ทควรส่
몭 งต่
ี อไปโรงพยาบาล 
ง. การดู
แลมารดาและทารกในระยะคลอด 
จ. การเจริ
ญเติ
บโตและการดู แลทารก ตองให
้ การดู
้ แลและคํ าแนะนํ
ามารดา ไดแก่
้ การเลี
ยงทารกด
몭 วยนมมารดา การเจริ
้ ญเติบโตดาน

ร่
างกายของทารกในวัยต่ าง ๆ อาการและการดู แลรักษาทารกในวัยต่าง ๆ

4) ประเภทการนวดไทย ไดรั้บการมอบตัวศิ
ษย์
เป็
นเวลาสื
บเนื
องกั
몭 นไม่
นอยกว่
้ าสองปี
จากครู
ผประกอบโรคศิ

้ ลปะแพทย์
แผนไทย ประเภทการนวดไทย 
องค์ความรู
การนวดไทย ได
้ แก่

ก. ความรู ใ้
นการค้ นหาต้
นเหตุของโรค ประกอบดวย 

­  การซักประวัต ิ
­  การตรวจร่างกาย ไดแก่
้ การตรวจทัวไป การตรวจก่
몭 อนลงมื
อนวด

ข. หล ักพื 몭
นฐานการนวดไทย
­ กายวิภาคศาสตร์  ตองรู
้ รู

ปร่าง ลักษณะ และตําแหน่ งของอวัยวะต่
าง ๆ ของระบบร่างกาย 
ระวิ
­  สรี ทยา ตองรู
้ หน้ าที
้ ของอวั
몭 ยวะและระบบต่าง ๆ ของร่
างกาย 
­ พยาธิ วท
ิยา ตองรู
้ ความผิ
้ ดปกติ ของกายวิภาคและสรี ระวิ
ทยาของระบบการทํ างานในร่
างกาย

้ประธาน 10  เป็
ค. เสน ้ แสดงตํ
นเสนที몭 าแหน่ ้ าหรับการนวด ถื
งและแนวเสนสํ อว่
า เป็นทฤษฎีพนฐานของการนวดไทยที
몭
ื จะต
몭 องหมั
้ นศึ몭 กษา
ประกอบดวย เส ้ าคัญ 10 เสน คื
้ นสํ ้ อ เสนอิ
้ ทา เสนปิ
้ งคลา เสนสุ
้ มนา เสนกาลทารี
้ ้ สรังษี
 เสนสหั ้
 เสนทวารี ้นทภู
  เสนจั สงั หรื สงั  เสนรุ
อลาวุ ้ชาํ
หรืออุ ้ ขม
รังกะ เสนสุุงั หรื ้ กขิ
อนันทะกะหวัด และเสนสิ ณีหรื
อคิชฌะ

ายทอดความรู
2.3 การถ่ ต 몭 าน
้ามแบบพื
นบ้

พนบ
          การแพทย์몭 านเป็
ื ้ นวิธกีารรักษาโรคของชุ
มชน ที
ได 몭 บทอดมาจากบรรพบุ
몭 สั้
งสมสื รษ
ุ มี
ความหลากหลายแตกต่ 몭 นอยู
างกัน ซึ
งขึ몭 ก
่บั การปรับ
เปลี ยนให
몭 สอดคล
้ องกั
้ นกับวิ
ถชีวีต
ิและวัฒนธรรมของแต่
ละชุมชนหรือทองถิ
้ นนั
몭 น ๆ เป็
몭 นระบบการแพทย์ทมี
몭บทบาทในการดู
ี แลรักษาสุขภาพแบบองค์
รวม

          การถ่ายทอดความรูหรื
้อภูมป
ิั ญญาหมอพื นบ
몭 าน เป็
้ นศาสตร์ ทต몭องอาศั
ี ้ ยความพยายาม ความอดทน ความพากเพี ยร การเรี
ยนรู
และฝึ
้ กฝนดวย ้
ตนเองที จะจดจํ
몭 าคํ
าสอน และตองหั
้ นคอยสั
몭 งเกตติ
ดตามไถ่ ถามจากครู บาอาจารย์
 ครู
หมอพื นบ
몭 านจึ
้ งจําเป็
นตองมี
้ การคัดเลือกถึงความเหมาะสมและ
คุณสมบัตข ิองลูกศิษย์
 เช่
น จะตองดู
้ นส ั ใจคอ ว่
ิย าจะตองเป็
้ นผู มี
้เมตตา ความซื 몭 ตย์
อสั  ความกตัญ몭ู
 และความอดทน กล่ าวโดยสรุป คื
อ ตองเป็
้ นคนที มี
몭
คุณธรรม  เพราะนอกจากความรู ความชํ
้ านาญในศาสตร์ การแพทย์ พนบ
몭 านแล
ื ้ ว คุ
้ ณธรรมและจริ ยธรรมก็
มสีว่
นสําคัญ เพราะชี
วติผู
ป่

วยอยูใ่
นกํ
ามื
อของ
หมอนันเอง 몭

บทอดภู
          การสื มป
ิั ญญาหมอพื
นบ
몭 านมี
้  2 วิ
ธก
ีาร คื
อ การสื
บทอดจากบรรพบุ
รษ
ุ  และการสื
บทอดจากครู
หมอพื
นบ
몭 าน ดั
้ งนี 몭

1)  การสืบทอดจากบรรพบุ รษ
ุ ทีเป็
몭นหมอพืนบ
몭 าน เป็
้ นการสื บทอดทางสายเลื อด ผู
ที
้ได
몭 รั้
บการถ่ายทอดจะเป็
นผู
ที
้มี
몭โอกาสใกลชิ
้ดในการ
สังเกต ดู
แล เกี
ยวกั
몭 บการรักษาการเจ็บป่
วย ทํ
าใหเกิ
้ดการจดจํ
าวิ
ธก
ีารรักษา เกิ
ดแรงบันดาลใจที จะเรี
몭 ยนรู้ บทอดการเป็
 และสื นหมอพื
นบ
몭 าน

ทีดี
몭ได ้

บทอดภู
2)   สื มป ิญั ญาจากครู หมอพื 몭 าน จะมี
นบ้ ธรรมเนี
ยมประเพณี การปฏิ
บตั  ิ
ตังแต่
몭 การยกครู  (ไหวครู
้) ติดตามการศึกษาจากครู หมอทัง몭
เรื
องสมุ
몭 นไพร การตรวจโรค และวิ ธกีารรักษาผูป่
้วย ภายใตการกํ
้ ากับดูแลของครู หมอ เมื อเป็
몭 นผูมี

ความรูความชํ
้ านาญ เรื
องยาสมุ
몭 นไพร การ
ตรวจโรค และรักษาโรคที ดี
몭แลว ครู
้ หมอจึ งจะอนุ
ญาตใหลู้กศิ
ษย์
ปฏิบต
ั ห
ินาที
้ หมอพื
몭 นบ
몭 าน ทํ
้ าการรักษาผู ป่
้วยไดโดยลํ
้ าพัง แต่ เมือมี
몭 ขอ้
สงสัยก็ตองหมั
้ นไปปรึ
몭 กษาครู 몭
 คอยสังสมประสบการณ์ จนเกิ
ดความชํ
านาญ ก็ จะเป็นหมอพื นบ
몭 านที
้ สามารถรั
몭 ้ นที
บใชและเป็ ยอมรั
몭 บของ
ประชาชนในพื นที
몭 หรื
몭 อทองถิ
้ นนั
몭 น ๆ
몭
ประชาชนในพื
นที
몭 หรื
몭 อทองถิ
้ นนั
몭 น ๆ
몭

สํ
าหรับวิ
ธก
ีารถ่
ายทอดภู
มป
ิั ญญาการแพทย์
พนบ
몭 านนั
ื ้ น มี
몭 วธิ
กีารและขันตอนดั
몭 งต่
อไปนี
몭

          1)  ขนตอนการสม
ั몭 ัครเป็
นศิ
ษย์
 จะตองมี
้ พธิก
ีรรมการขึ
นครู
몭 หรื
อยกครู
 การสมัครเขาเป็
้ นศิษย์
 ส่
วนมากจะตองเตรี
้ ยมขันธ์ นค่
 5 และเงิ ายกครู

          2) ขนตอนการศึ
ั몭 กษา เมื
อรั
몭บเป็ นศิ
ษย์
แลวครู
้ หมอพื นบ
몭 านจะแนะนํ
้ าขอปฏิ
้ บต ั ข
ิองหมอพื นบ
몭 าน สอนการบริ
้ กรรมคาถา สอนภาษาโบราณ เช่ น
ภาษาขอม ภาษาบาลี  เป็
นตน ส่
้ วนเรื องตํ
몭 าราที
ใช ้
몭 ของครู
หมอนัน ส่
몭 วนใหญ่จะเป็นคัมภีรใ์
บลาน และใหฝึ้กปฏิบต
ั จิ
ากของจริ ง เช่
น การศึ
กษาตนไม
้  วิ
้ธก
ีาร
เก็ บยา การปรุ งยา และการตังยา เป็
몭 นตน ถื
้ อว่
าเป็
นการเรี
ยนรู
แบบประสบการณ์
้  ตองหมั
้ นสั 몭 งเกตและจดจําเรี
ยนรูในสิ몭 ครู
้ งที 몭หมอถ่ 몭
ายทอด และสังสอนการ
เป็ นหมอพื นบ
몭 านให
้ ้

          3) ขนตอนการประกอบวิ
ั몭 ชาชีพหมอพื몭 าน เมื
นบ้ อศึ
몭 กษาในส่
วนของสมุ
นไพรและยาเป็ นที ชํ
몭านาญแลว ครู
้ หมอก็ จะสอนใหเรี
้ยนรู
การตรวจ

วินจิฉั ยโรคและการบํ าบัดรักษาโรคของคนไข โดยอยู
้ ภ
่ายใตการกํ
้ ากับดูแลของครูหมอพืนบ
몭 าน การฝึ
้ กปฏิบต
ั เิ
ริ
มต
몭 นต
้ องคอยเป็
้ นลู
กมื
อก่
อน เมื
อได
몭 ้
ปฏิ บต ั ฝ
ิึกฝน เรี
ยนรู
จนเกิ
้ ดความชํ านาญและสามารถรักษาคนไขได้เองโดยลํ
้ าพังแลว ก็
้ นับไดว่
้าสําเร็จการศึกษา แต่กไ็ม่
ควรหยุ
ดการศึ
กษาหาความรู

และหมันเพิ 몭 มพู
몭 นประสบการณ์ การประกอบวิ
ชาชี
พการเป็นหมอพืนบ
몭 าน

………………………………..

บรรณานุ
กรม

กรมพัฒนาการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุ ข. (2546).พระราชบ ัญญ ัติ การประกอบโรคศิ ลปะ พ.ศ. 2542.


กรุงเทพมหานคร: สํ านักเลขาธิ การคณะรัฐมนตรี . 
กรมพัฒนาการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ ทางเลือก กระทวงสาธารณสุ ข. (2546). พระราชบ ัญญ ัติ คมุ
้ครองและส่ งเสริมภูมปิญั ญาการแพทย์
แผนไทย พ.ศ. 2542. พิ มพ์ครังที
몭  2. กรุ
몭 งเทพมหานคร: สํ านักเลขาธิ การคณะรัฐมนตรี . 
กลุม
่งานการแพทย์ พนบ
몭 าน กรมพั
ื ้ ฒนาการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ ทางเลื อก กระทวงสาธารณสุ ข. (2546). การแพทย์ 몭 านไทยภู
พนบ้
ื มปิญั ญา
ของแผ่ นดิน: นิทรรศการในงานชุ มนุมแพทย์ แผนไทยสมุ นไพรแห่ งชาติ  ครงที
ั몭  5. กรุ
몭 งเทพมหานคร: สํ านักพิ
มพ์ องค์การสงเคราะห์ ทหารผ่ านศึ
ก.
กันทิ มา สิทธิธญั กิจ และ พรทิ พย์  เติมวิเศษ, บรรณาธิ การร่ วม. (2547). คู ม
่อืประชาชนในการดู แลสุ ขภาพด้ วยการแพทย์ แผนไทย กรม
พ ัฒนาการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ ทางเลื อก กระทวงสาธารณสุ ข พิ มพ์ ครงที
ั몭  3. กรุ
몭 งเทพมหานคร: สํ านักพิมพ์องค์ การสงเคราะห์
ทหารผ่ านศึก. 
ชัยชนะ สุ วรรณเวช และลื อชัย ศรีเงินยวง, บรรณาธิ การร่ ั
วม. ( ­ ) ศกยภาพหมอพื 몭 านก ับการสาธารณสุ
นบ้ ขมูลฐาน: ภาพรวม. กรุ งเทพมหานคร
สํานักพิ มพ์องค์ การสงเคราะห์ ทหารผ่ านศึก ม.ม.ป.
ส. พลายนอย. (2544). ลางเนื
้ 몭
อชอบลางยา. พิ มพ์ ครังที
몭  3. กรุ
몭 งเทพมหานคร: สํ านักพิมพ์ สายธาร. 
เสาวภา พรสิ รพ
ิงษ์  พรทิพย์ อุ
ศภ ุรัตน์ และเพ็ญนภา ทรัพย์ เจริ
ญ, บรรณาธิ การร่วม. (2541). การศึ กษาภูมป ิญั ญาหมอพื 몭 านไทย พ่
นบ้ อใหญ่ เคน ลา
วงษ์ . พิมพ์ครังที
몭  2. กรุ
몭 งเทพมหานคร: กรมการแพทย์  สถาบันการแพทย์ แผนไทย กระทรวงสาธารณสุ ข. 
สุวท
ิย์  วิ
บลุผลประเสริ ฐ และโกมาตร จึ งเสถียรทรัพย์, บรรณาธิ การร่ วม. (2530). การแพทย์ แผนไทยภู มปิญั ญาแห่ งการพึ งตนเองกระทรวง
몭
สาธารณสุ ข: โครงการฟื 몭
นฟู การแพทย์ แผนไทย. กรุ งเทพมหานคร: สํ านักพิ มพ์ หมอชาวบาน.  ้
วงศาธิ ราชสนิ ท, กรมหลวง. (2546). ตํ าราสรรพคุ ณยาฉบ ับแผนโบราณ. กรุ งเทพมหานคร: สํ านักพิ
มพ์ บค ุคอร์นเนอร์.

       

You might also like