Professional Documents
Culture Documents
ฝรั่งเศษ รวม 5
ฝรั่งเศษ รวม 5
ประวัติและความเป็ นมา
1.ประวัติศาสตร์ของประเทศฝรั่งเศส
1.2 การเมือง
1.2.1 บริหาร
1.2.2 นิติบัญญัติ
1.2.3 ตุลาการ
1.2.4 ศาลคดีแพ่งและอาญา
การพิจารณาคดีความโดยลูกขุน จะสงวนไว้ในกรณีคดีอาชญากรรม
ร้ายแรง ซึง่ เป็ นคดีความในอำนาจของศาลชัน
้ ต้นที่พิจารณาโดยข้าหลวง
พิเศษ "Courts of Assizes" อันประกอบไปด้วยผู้พิพากษา 3 ท่าน และ
คณะลูก ขุน จำนวน 9 ท่า น (12 ท่า นในกรณีอ ุท ธรณ์) โดยจะร่ว มกัน
พิจารณาคำพิพากษานัน
้ ๆ (รวมทัง้ กำหนดโทษ) โดยคณะลูกขุนจะเลือก
จากผู้ม ีส ิท ธิเ ลือ กตัง้ โดยระบบสุ่ม ในกรณีท ั่ว ไป ผู้พ พ
ิ ากษาจะเป็ นผู้
พิพากษาโดยอาชีพ ยกเว้นศาลอาญาเฉพาะเยาวชน อัน จะประกอบไป
ด้วยผู้พิพากษา 1 ท่าน และผูพ
้ ิพากษาสมทบอีก 2 ท่าน ซึ่งเป็ นบุคคลที่
ถูกคัดเลือกเข้ามาที่ไม่ได้มีอาชีพเป็ นผูพ
้ พ
ิ ากษา ศาลเฉพาะด้านอื่น ๆ ก็
มัก จะประกอบไปด้ว ยผู้ท รงคุณ วุฒ ิใ นด้า นสาขานัน
้ อาทิเ ช่น คณะ
ตุลาการด้านแรงงาน ประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณ วุฒ ิจากสหภาพแรงงาน
จำนวนเท่า ๆ กับจากสหภาพนายจ้าง ซึ่งยังพบการใช้ก ับคณะตุล าการ
ด้านอสังหาริมทรัพย์อีกด้วยโดยก่อนเข้าสู่การพิจารณาของระบบศาล จะ
ใช้ร ะบบไต่ส วน (Inquisitorial System) โดยเมื่อ เข้า สูศ
่ าลแล้ว จะใช้
ระบบกล่า วหา (Adversary System) โดยผู้ท ี่ถ ูก กล่า วหา (จำเลย) จะ
ถือว่าบริสุทธิจ์ นกว่าจะพิสูจน์ได้ว่ามีความผิด (ตามคำพิพากษา)
ยุคอาณาจักรแฟรงก์
ภาษาฝรั่งเศสในยุคกลาง
นักภาษาศาสตร์ได้จัดจำแนกภาษาฝรั่งเศสที่พูดกันในยุคกลางออก
เป็ น 3 จำพวก คือ พวกแรกคือภาษาที่เรียกกันว่า Langue d'Oïl พูดกัน
อยู่ทางตอนเหนือของประเทศ พวกที่สองคือ Langue d'Oc ที่พูดกันอยู่
ทางใต้ของประเทศ และพวกที่ส ามคือ Franco-Provençal ซึง่ เป็ นการ
ผสมผสานกันของสองภาษาแรก Langue d'Oïl เป็ นภาษาที่ใช้ค ำว่า oïl
ในคำพูดว่า "ใช่" (ปั จจุบันใช้คำว่า oui) ในสมัยกลางภาษานีจ
้ ะพูดกันใน
ตอนเหนือ ของประเทศฝรั่ง เศส ภาษา Langue d'oïl เติบ โตต่อ มาจน
กลายเป็ นภาษาฝรั่ง เศสเก่า ช่ว งระยะเวลาของภาษาฝรั่ง เศสเก่า อยู่
ระหว่าง ศตวรรษที่ 8 กับ ศตวรรษที่ 14 ภาษาฝรั่งเศสเก่ามีลักษณะร่วม
กันหลายอย่างกับภาษาลาติน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลำดับคำในประโยค
ซึ่งมีอิสระสูงเหมือนภาษาลาติน และต่างกับการบังคับทางไวยกรณ์ของ
ภาษาฝรั่ง เศสในปั จจุบ ัน Langue d'Oc เป็ นภาษาที่ใช้ค ำว่า oc ในคำ
พูด ว่า "ใช่" ภาษานีพ
้ ูดกันอยู่ทางตอนใต้ข องฝรั่งเศสและทางเหนือ ของ
สเปน ซึ่ง ภาษานีจ
้ ะมีล ัก ษณะคล้า ยกับ ภาษาละติน มากกว่า Langue
d'Oïl
ภาษาฝรั่งเศสยุคใหม่
รูปแบบการปกครองส่วนท้องถิ่น
จังหวัดมิใชเขตการปกครองตามธรรมชาติดังเชนกรณีของเทศบาล
หากแต่เป็ นเขตการปกครองที่ถูกกำหนดภายหลังการปฏิวัติฝรั่งเศส โดย
ความมุงหวังใหเปนองคกรระหว่างกลาง (intermediate) ที่เชื่อมโยงการ
ปกครองในระดับทองถิ่นเขากับรัฐสวนกลางกลายเป็ นการปกครอง
สวนภูมิภาคที่ดำรงคู่กับระบบการเมืองการปกครองของฝรั่งเศสมาชานาน
โดยอยูภายใตการ บริหารของผูวาราชการจังหวัดซึ่งแตงตัง้ จากสวนกลาง
และศาลาวาการจังหวัดก็เปรียบเสมือนกับ เป็ นศูนย์รวมหรือจุดบรรจบ
ของผลประโยชนในระดับทองถิ่นที่นักการเมืองทองถิ่น ชนชัน
้ นํา ทองถิ่น
และขาราชการสวนกลางจะเขามานั่งเจรจาตอรองและทำความตกลงทัง้
ทางการเมืองและ การบริหารในระดับทองถิ่น
ตอมาภายหลังกระบวนการกระจายอำนาจในตนทศตวรรษที่1980
พื้นที่จังหวัดก็ได้มี สถานะให้เป็ นหน่วยการปกครองทองถิ่นที่ซอนการปก
ครองสวนภูมิภาคเมื่อรัฐบาลได้มีการโอนอำนาจทางการบริหารกิจการสา
ธารณะตางๆ ใหอยูในความรับผิดชอบของสภาจังหวัด (conseil
générlal) ที่มาจากการเลือกตัง้ ของประชาชน และบทบาทในฐานะ
ผูบริหารของผู้ว่าราชการ จังหวัดก็ถูกแทนที่โดยประธานสภาจังหวัด
(président du conseil générlal) โดยมีงบประมาณ, อำนาจหนาที่,
บุคลากร และทรัพยสินเป็ นของตนเองแยกออกจากจังหวัดในฐานะการ
บริหาร ราชการสวนภูมิภาค
2.4 การปกครองทองถิ่นรูปแบบพิเศษ
นอกเหนือจากองคกรปกครองทองถิ่นทัง้ สามรูปแบบข้างต้นแลว ใน
ฝรั่งเศสยังได้มีการ จัดตัง้ หน่วยการปกครองทองถิ่นรูปแบบพิเศษเพื่อทำ
หนาที่ในเขตเมืองใหญ (les grandes villes) ที่มี จำพนวนประชากรหนา
แน่นและมีสภาพความเป็ นเมืองสูง 7 ซึ่งประกอบไปด้วยการปกครองทอง
ถิ่น ในนครปารีส (Ville-de-Paris) และการปกครองทองถิ่นในเขตเมือง
ใหญอีกสองแหงคือ Lyon และ Marseille
บทที่ 3
ความสัมพันธ์ระหว่างราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค
และส่วนท้องถิ่น
3.1 การจัดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับท้องถิ่น
การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในกรณีของรัฐเดี่ยว เนื่องด้วยประเทศไทยเป็ นรัฐเดี่ยว มีความจำเป็ นที่จะ
ต้องพิจารณาถึงองค์กรที่อยู่ระหว่างกลางของรัฐและท้องถิ่น
(Intermediate Structure) หากพิจารณาควบคู่ไปกับสถานภาพของ
องค์กรของรัฐที่อยู่ตรงกลางระหว่างรัฐกับท้องถิ่น สามารถจัดแบ่งออกได้
เป็ น 3 รูปแบบ ดังต่อไปนี ้
3.1.1 ความสัมพันธ์แบบไม่มีกฎหมายกำหนดให้มีการบริหาร
ราชการส่วนภูมิภาค (Sub-National Government in General)
รัฐบาลกลางจะมีความสัมพันธ์กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
โดยตรง โดยไม่มีการบริหารราชการส่วนกลางมาขึน
้ ตรงกลาง แม้ว่าจะมี
การจัดตัง้ องค์กรจากส่วนกลางในพื้นที่ต่าง ๆ แต่องค์กรเหล่านีเ้ ป็ นผู้แทน
จากส่วนกลางโดยตรง อีกทัง้ ไม่ได้มีกฎหมายจัดตัง้ ให้เป็ นองค์การบริหาร
ส่วนภูมิภาคแต่อย่างใด เช่น ในประเทศญี่ปุ่น มีการจัดตัง้ สำนักงานของ
กระทรวงต่าง ๆ ในพื้นที่ หน่วยงานเหล่านีป
้ ฏิบัติหน้าที่ขน
ึ ้ ตรงต่อส่วน
กลางคือกระทรวงที่จัดตัง้ สำนักงานเหล่านีข
้ น
ึ ้ หน่วยงานเหล่านีเ้ ป็ น
ราชการส่วนกลางที่ตงั ้ สำนักงานนอกเขตเมืองหลวงและมิใช่ส่วนภูมิภาค
สำหรับความสัมพันธ์ของท้องถิ่นกับรัฐบาลกลางนัน
้ จะมีความ
สัมพันธ์กันตามภารกิจหน้าที่ของท้องถิ่น กล่าวคือ ประการที่หนึ่ง ท้องถิ่น
มีหน้าที่ต้องกระทำตามที่กฎหมายกำหนดให้เป็ นอำนาจหน้าที่ของท้อง
ถิ่น (Local Function) และ ประการที่สอง ท้องถิ่นมีภารกิจหน้าที่ที่ส่วน
กลางมอบหมายให้ท้องถิ่นทำการแทน (Delegated Functions) ทัง้ สอง
ประการมีส่วนกำหนดลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับท้องถิ่นที่
แตกต่างกัน กล่าวคือ หากหน้าที่ใดที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็ นอำนาจ
หน้าที่ของท้องถิ่น ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับท้องถิ่นจะเป็ นไปตาม
กฎหมาย และกระบวนการกำกับดูแลให้เป็ นไปตามกฎหมาย
องค์กรในพื้นที่ก็มีความสำคัญต่อการจัดบริการสาธารณะแก่
ประชาชน และต่อการทำกิจกรรมของท้องถิ่นอยู่ไม่น้อย เพราะองค์กร
เหล่านีท
้ ำหน้าที่หลักในการช่วยเหลือให้รัฐบาลกลาง และท้องถิ่นประสาน
งานกันได้ง่าย และคล่องตัวขึน
้ นอกจากนี ้ การจัดทำโครงการขนาดใหญ่
ๆ บางโครงการเป็ นของรัฐบาลกลางโดยตรงก็ยังคงมี รวมทัง้ การทำงาน
ร่วมกัน (Shared Functions) ระหว่างรัฐบาลกลางกับองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่
3.1.2 ความสัมพันธ์แบบมีเครือข่ายการบริหารราชการที่ได้รับ
มอบอำนาจจากส่วนกลาง (Network of Deconcentrated
Administrations)
ลักษณะเด่นตรงที่รัฐบาลกลางได้มอบอำนาจให้แก่ผู้แทนของตน
ออกไปปฏิบัติหน้าที่นอกเขตเมืองหลวงอย่างเป็ นระบบระเบียบ อีกทัง้ มี
จำนวนผู้แทนของราชการส่วนกลางออกไปทำหน้าที่เป็ นจำนวนมาก มี
กฎหมายรองรับการออกปฏิบัติหน้าที่ของทางราชการอย่างเป็ นทางการ
เรียกว่าเป็ นการบริหารราชการส่วนภูมิภาค (Regional Administration)
หัวใจสำคัญของการบริหารราชการส่วนภูมิภาคเกี่ยวข้องโดยตรงกับ
ระบบการแบ่งอำนาจ (Deconcentration) หรือการมอบอำนาจ
(Delegation) จากราชการส่วนกลางออกไปให้แก่ผู้แทนของตน ระบบ
การแบ่งอำนาจ หรือการมอบอำนาจนี ้ มีลักษณะเด่น ๆ ด้วยกันแบ่งออก
เป็ น 2 ระบบ ดังต่อไปนี ้
2) ระบบมอบอำนาจโดยรัฐมนตรีและผู้มีอำนาจเสมอคณะรัฐมนตรี
ในระบบนี ้ รัฐบาลกลางโดยรัฐมนตรีจะเป็ นผู้มอบอำนาจของรัฐให้แก่ส่วน
ภูมิภาคเอง อีกทัง้ ยังเป็ นผู้เลือกสรรผู้ที่ไปปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว รัฐมนตรีมี
บทบาทโดยตรงในการมอบอำนาจ และผู้รับมอบอำนาจจะต้องทำงาน
ร่วมกันในรูปแบบคณะกรรมการ เรียกว่า เป็ นระบบวางแผนการทำงาน
ส่วนภูมิภาค (Region Planning Model) ตัวอย่างประเทศที่ใช้ระบบนี ้
คือ สวีเดน ซึง่ มีคณะกรรมการบริหารเป็ นผู้ประสานความร่วมมือกับฝ่ าย
ต่าง ๆ ในสภาเขต ฝ่ ายบริหารเขต และกลุ่มการเมืองต่าง ๆ ของทัง้
รัฐบาลกลาง และรัฐบาลท้องถิ่น เพื่อบริหารงานภาคอย่างมีประสิทธิภาพ
3.1.3 ความสัมพันธ์แบบมีระบบผู้แทนของรัฐประจำพื้นที่
(Prefect System)
หากการจัดระบบบริหารราชการส่วนภูมิภาคมีลักษณะแตกกระจาย
เช่น มีการมอบอำนาจโดยกรม ท้องถิ่นจะมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลกลาง
และสัมพันธ์กับกรมต่าง ๆ อย่างซับซ้อน ในระบบที่มีการบริหารราชการ
ส่วนภูมิภาคมีเอกภาพเป็ นอย่างสูง ย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกได้โดยง่ายกว่า
ท้องถิ่นจะมีความเป็ นอิสระน้อยกว่าระบบที่การบริหารราชการส่วน
ภูมิภาคแตกกระจาย เพราะการบริหารงาน งบประมาณ นโยบายการ
พัฒนา บุคลากร ฯลฯ ของราชการส่วนภูมิภาคจะมีเอกภาพเป็ นอย่างสูง
มีความจำเป็ นที่รัฐจะต้องตรากฎหมายด้านการปกครองท้องถิ่นและ
กฎหมายเกี่ยวกับการกระจายอำนาจให้เป็ นระบบระเบียบ เพื่อประกัน
ความเป็ นอิสระของท้องถิ่นและเอื้ออำนวยให้ท้องถิ่นทำหน้าที่การงาน
ของตนเองโดยไม่ถูกราชการส่วนภูมิภาคที่มีความเข้มแข็งและมีเอกภาพ
อย่างสูงเข้าแทรกแซง
ประชาธิปไตย
รัฐสมัยใหม่กับการปกครองแบบประชาธิปไตยมีพัฒนาการที่ควบคู่
และเกี่ยวข้องกันมาโดยตลอด ประชาธิปไตยที่ถือกำเนิดขึน
้ เมื่อหนึ่งและ
สองร้อยปี ที่ผ่านมา เน้นหลักการประชาธิปไตยโดยตัวแทน
(Representative Democracy) เป็ นสำคัญ หลักการดังกล่าวสะท้อนให้
เห็นจากแนวคิดและการปฏิบัติเรื่องการเลือกตัง้ การขยายสิทธิเลือกตัง้
ระบบพรรคการเมือง และการรวมตัวกันจัดตัง้ เป็ นองค์กรผลประโยชน์
ต่าง ๆ เป็ นต้น
แนวคิดประชาธิปไตยของโลกสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลง ทุกประเทศ
ล้วนเน้นให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ในการประชุมของสภาท้องถิ่น ใน
การทำประชาพิจารณ์ และแสดงความคิดเห็นต่อการตราข้อบัญญัติของ
ท้องถิ่น หรือกระบวนการอื่น ๆ ในเรื่องที่มีผลกระทบต่อประชาชน
โลกาภิวัตน์
นิติรัฐ
การบริหารงานภาครัฐแบบใหม่
การบริหารงานภาครัฐแบบใหม่มีลักษณะสำคัญที่แตกต่างไปจาก
การบริหารงานของรัฐโบราณและรัฐสมัยใหม่ระยะแรกในหลายประการ
หนึ่ง การเน้นประชาชนเป็ นศูนย์กลาง หรือเป็ นลูกค้า (Customer) สอง
เน้นการบริหารงานที่มีลักษณะคุ้มค่าต่องบประมาณที่ใช้จ่ายไป (Value
for Money) สาม เน้นการบริการที่รวดเร็วและเบ็ดเสร็จในที่เดียว (One
Stop Service) ในการปรับตัวไปตามการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่ มี
ผลอย่างสำคัญต่อรัฐและการปกครองท้องถิ่น จุดเน้นอยู่ที่ประสิทธิภาพ
การบริหารและการบริการประชาชนที่คุ้มค่ากับเงินงบประมาณที่ใช้จ่าย
ไป ส่งผลไปถึงการมีนโยบายยุบรวมหน่วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้า
ด้วยกัน (Amalgamation)
หากรัฐและรัฐบาลกลางของประเทศใด ไม่ได้ให้การรับรองฐานะ
ของท้องถิ่น การปกครองท้องถิ่นนัน
้ จะมีฐานะเป็ นเพียงการปกครองท้อง
ถิ่นที่ไม่เป็ นทางการ ในทางตรงข้ามกับหน่วยที่ถูกรับรอง มีฐานะเป็ น
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเป็ นทางการ ฉะนัน
้ จึงมีฐานะเป็ น
นิติบุคคล มีงบประมาณ อำนาจหน้าที่ บุคลากร และมีพ้น
ื ที่ในการให้
บริการประชาชนในเขตพื้นที่หนึ่ง ๆ เพราะรัฐและรัฐบาลกลางเป็ นผู้
ให้การรับรอง โดยการประกาศเป็ นกฎหมาย หรือเป็ นนโยบายสำคัญของ
การบริหารประเทศ ในประการสำคัญ การได้มาซึ่งตำแหน่งผู้บริหารท้อง
ถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น ที่มาจากการเลือกตัง้ ของประชาชนตาม
กระบวนการประชาธิปไตย เพราะรัฐมีการปกครองในระบอบ
ประชาธิปไตย
บทที่4
1) ศึกษาสภาพและแนวทางการพัฒนาการบริหารอาชีวศึกษาระบบ
ทวิภาคี ที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษา
2) สร้างและพัฒนารูปแบบการบริหารอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีที่มี
ประสิทธิผลของสถานศึกษา
สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กลุ่มตัวอย่าง
ประกอบด้วย
1) ผู้บริหารสถานศึกษาต้นแบบ จำนวน 3 คน
2) ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 9 คน
ผลการวิจัยพบว่า
ผลการศึกษาสภาพและแนวทางการพัฒนาการบริหารอาชีวศึกษา
ระบบทวิภาคีที่มีประสิทธิผลของสถานศึกษาแบ่งออกเป็ น 2 ข้อ ดังนี ้
(1) ผลของการศึกษาสภาพ พบว่ามีนโยบายและเป้ าหมายที่จะเพิ่ม
ปริมาณผู้เรียนในระบบทวิภาคีให้มากขึน
้ ผลิตผู้เรียนที่มีสมรรถนะตรง
ตามความต้องการของสถานประกอบการ มีการจัดโครงสร้างการบริหาร
ตามคู่มือแนวทางปฏิบัติการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี และมีปัญหา
เกี่ยวกับความร่วมมือกับสถานประกอบการในช่วงเริ่มต้น
(2) ผลของการศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริหาร
4.1.1 ประธานาธิบดีแห่งสาธารณะรัฐ
4.2 รูปแบบสภาคู่
4.2.1 สภาผู้แทนราษฎร
สภาผู้แทนราษฎร ฝรั่งเศส สมาชิกสมัชชาแห่งชาติดำรงตำแหน่ง
คราวละ 5 ปี โดยจะสิน
้ สุดวาระในวันอังคารของสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน
มิถุนายน ปี ที่ 5 นับแต่วันเลือกตัง้ การเลือกตัง้ ครัง้ ใหม่ต้องดำเนินการให้
เสร็จสิน
้ ภายใน 60 วัน ก่อนที่สมัชชาแห่งชาติชุดเดิมจะหมดอายุลง
ประธานาธิบดีสามารถประกาศยุบสมัชชาแห่งชาติได้ ภายหลังจากที่ได้
ปรึกษากับนายกรัฐมนตรีและประธานสภาทัง้ สองแล้ว โดยเมื่อมีรัฐ
กฤษฎีกาประกาศยุบสภา จะต้องจัดให้มีการเลือกตัง้ ทั่วไปอย่างน้อยที่สุด
ภายใน 20 วัน แต่ต้องไม่เกิน 40 วัน อนึง่ ในกรณีที่มีการยุบสภา หรือ
สมาชิกลาออก หรือตาย หรือไปปฏิบัติหน้าที่อ่ น
ื ซึ่งรวมไปถึงงานของ
รัฐบาล สมาชิกสมัชชาแห่งชาติอาจจะมีการดำรงตำแหน่งน้อยกว่า 5 ปี ได้
สมัชชาแห่งชาติประชุม ณ พระราชวังบูร์บง ริมฝั่ งแม่น้ำแซน ในกรุง
ปารีส
4.2.2 วุฒิสภาประเทศฝรั่งเศส
สถาบันการเมืองฝรั่งเศสในระบบรัฐสภาภายใต้
สาธารณะรัฐที่5
5.1 ประธาณาธิบดีแห่งสาธารณะรัฐ
ตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสได้ถูกก่อตัง้ ขึน
้ เมื่อปี พ.ศ. 2391
(สมัยสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ 2) ซึ่งทำให้ระบอบประธานาธิบดีของประเทศ
ฝรั่งเศสนัน
้ เป็ นระบอบที่มีความเป็ นมายาวนานที่สุดประเทศหนึ่งในทวีป
ยุโรป จวบจนปั จจุบัน มีผู้ดำรงตำแหน่งดังกล่าวทัง้ สิน
้ 25 คน ซึ่งทุกคน
ได้พำนักในปาแลเดอเลลีเซมาแล้ว รัฐธรรมนูญในแต่สาธารณรัฐนัน
้ ได้
กำหนดอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของประธานาธิบดีแตกต่างกัน
ไป ตัง้ แต่ พ.ศ. 2502 เป็ นต้นมา ประเทศฝรั่งเศสอยู่ในยุคสาธารณรัฐ
ฝรั่งเศสที่ 5 ในระบอบกึ่งประธานาธิบดี โดยประธานาธิบดีฝรั่งเศสคน
ปั จจุบันคือ แอมานุแอล มาครง ซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 14
พฤษภาคม พ.ศ. 2560
5.3 วิธีการเลือกตัง้