Professional Documents
Culture Documents
สร้างระบบสุขภาพที่ดีกว่า - บทเรียนจากนอร์เวย์และสวีเดน
สร้างระบบสุขภาพที่ดีกว่า - บทเรียนจากนอร์เวย์และสวีเดน
นอร์เวย์และสวีเดน
เมื่อพิจารณาตามมาตรฐานสากล ประเทศออสเตรเลียนับว่ามีระบบบริการสุขภาพที่ดีและเข้มแข็งมาก
แต่ล่าสุดประเทศนี้กลับต้องการยกเครื่องปฎิรูประบบสุขภาพของตนเสียใหม่ ฉะนั้น เพื่อชี้ชวนให้เกิด
ความคิดเห็นที่สดใหม่ต่อเรื่องนี้ เว็บไซต์ “เดอะ คอนเวอร์เซชั่น” จึงได้รวบรวมบทเรียนในการบริหาร
จัดการระบบบริการสุขภาพจาก 5 ประเทศมานำเสนอ โดยจะบอกเล่าทั้งในด้านที่ดีและไม่ดี เพื่อช่วย
ดึงออสเตรเลียออกมาจากหลุมดำของการปฏิรูประบบสุขภาพ
ตอนที่ 1 บทเรียนจากประเทศอังกฤษ
ตอนที่ 2 บทเรียนจากประเทศเนเธอร์แลนด์
ตอนที่ 3 บทเรียนจากประเทศสิงคโปร์
จากกรณีศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์ของการใช้ระบบประกันสุขภาพแบบกองทุนเดียวแสดงให้เห็นถึงจุด
แข็งที่ชัดเจน แต่ในบรรดาประเทศที่เจริญแล้วเหล่านั้น กลับมีเพียงไม่กี่ประเทศที่สามารถนำมาเป็ นต้น
แบบในการดำเนินงานได้ นอกจากนี้ ประเทศที่มีระบบประกันสุขภาพของรัฐที่เข้มแข็งหลายประเทศ
ยังได้ดำเนินการที่สุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียระบบที่เข้มแข็งดังกล่าว ด้วยการการยินยอมหรือแม้กระทั่ง
การส่งเสริม (เช่นในกรณีของประเทศออสเตรเลีย) ให้การประกันสุขภาพของบริษัทเอกชนเข้ามา
แทนที่เงินสนับสนุนจากทางภาครัฐ
ในประเด็นนี้ไม่ได้เป็ นเพียงแค่การนำต้นทุนแบบระบบราชการมาใช้ในการประกันสุขภาพเอกชน
เท่านั้น แต่มันเกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนตั้งแต่เริ่มนำแนวคิดนี้มาใช้แล้ว คือตั้งแต่มีระบบประกัน
สุขภาพเอกชนในตลาดและแนวคิดที่ว่าคนที่สามารถจ่ายเบี้ยประกันได้จึงจะมีสิทธิในการเข้าถึงบริการ
ดูแลรักษา ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในระบบสุขภาพ เพิ่มสูงขึ้นทั้งในส่วนของหลักประกันสุขภาพภาครัฐและ
ในส่วนที่ประชาชนต้องควักกระเป๋ าเพื่อร่วมจ่ายค่าบริการด้านสุขภาพ
กราฟด้านล่างนี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างงบประมาณด้านสุขภาพ (สัดส่วนเมื่อเปรียบเทียบ
กับจีดีพี) กับการพึ่งพาประกันเอกชน นี่เป็ นข้อมูลจากทั้งประเทศ ที่แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ทางด้าน
สุขภาพที่มีความแตกต่างเพียงเล็กน้อย (สำหรับนักสถิติ, ค่า R Squared = 0.66)
ภาพโดย : เอียน แมคโอเลย์
หากมองแบบผิวเผินหลายคนอาจจะเหมารวมว่า แนวคิดเรื่องหลักประกันสุขภาพแห่งชาติแบบกองทุน
เดียวกับระบบการแพทย์แบบสังคมนิยมนั้นเป็ นเรื่องเดียวกัน เพราะภาครัฐเป็ นเจ้าของและเป็ นผู้บริหาร
จัดการทรัพยากรด้านสาธารณสุขทั้งหมด แต่ในกรณีของประเทศดังต่อไปนี้ไม่อาจกล่าวเช่นนั้นได้
ระบบการให้บริการระดับปฐมภูมิในประเทศสวีเดนจะใช้ประโยชน์จากวิชาชีพพยาบาลเป็ นหลัก
นอกจากนี้ ที่คลินิกโดยทั่วไปก็ยังให้บริการทางการแพทย์เฉพาะทางที่ครอบคลุมและใกล้เคียงกับคำ
ว่า “ศูนย์บริการจุดเดียวเบ็ดเสร็จ” มากกว่า "suburban practices" และ "GP superclinics" ของ
ออสเตรเลียเสียอีก นอกจากนี้ยังเป็ นสถานบริการที่มีการดำเนินงานคล้ายกับศูนย์สุขภาพชุมชนซึ่งถูก
นิยามไว้ในกฏหมายของรัฐวิคตอเรียในยุค 1970 อีกด้วย
ลักษณะเฉพาะที่น่าสนใจอีกด้านหนึ่งของระบบบริการสาธารณสุขในประเทศนอร์เวย์และสวีเดน ก็คือ
การกระจายอำนาจ (subsidiarity) ซึ่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทำหน้าที่ตัดสินใจจัดบริการ
สาธารณสุขระดับพื้นที่ โดยในประเทศนอร์เวย์ได้กำหนดให้เทศบาล (municipality) กว่า 428 แห่งรับ
ผิดชอบบริการสุขภาพทุกอย่างที่เป็ นสาธารณสุขมูลฐาน ในขณะที่ระบบสาธารณสุขของประเทศ
สวีเดนจะมอบอำนาจให้แก่สภาเขต (county councils) ทั้ง 21 แห่งเป็ นผู้ดำเนินงาน
การจัดบริการสุขภาพของทั้งสองประเทศโดยเฉพาะสวีเดน ได้ถ่ายโอนจากรัฐบาลกลางมาสู่เขตตาม
กฎหมาย ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในระดับนี้จะมีบทบาทสำคัญในการเก็บภาษีและกำหนดงบ
ประมาณด้านสาธารณสุข งบประมาณจากส่วนกลางจะถูกจัดสรรไปให้แต่ละภูมิภาคด้วยเกณฑ์เฉลี่ยต่ำ
สุดที่เพียงพอให้จัดบริการสาธารณสุขมูลฐานที่จำเป็ นให้แก่ประชาชนได้ นอกจากนี้ยังมีอำนาจในการ
เจรจาต่อรองกับผู้ให้บริการ (รวมทั้งบริษัทยา) และพิจารณาอนุมัติยาอีกด้วย
ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นบทเรียนที่เกิดจากการที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้ประชาชนจะต้องมีส่วน
ร่วมจ่ายในระบบเมดิแคร์ โดยไม่สนใจประสิทธิภาพโดยรวมของระบบบริการสาธารณสุขและความเป็ น
ธรรมในระบบการคลังด้านสุขภาพ อีกทั้งยังล้มเหลวในการสนับสนุนให้ชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วมใน
การจ่ายเงินอุดหนุนเข้าสู่ระบบสาธารณสุข
แม้ว่าอนาคตของโครงการดังกล่าวจะขึ้นอยู่กับผลของการเลือกตั้งครั้งล่าสุดของสวีเดน แต่จากผล
การสำรวจความคิดของประชาชนได้ชี้ชัดว่า ชาวสวีเดนต่างไม่พอใจและปฏิเสธที่จะยอมรับนโยบาย
ด้านสาธารณสุขและด้านการศึกษาของรัฐบาลที่ถูกครอบงำโดยพรรคสังคมประชาธิปไตย