Professional Documents
Culture Documents
สคริป จำเลย
สคริป จำเลย
้
อุทธรณ์
สรุปย่อคำแถลงการณ์ฝ่ายจำเลย
สำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
ทีม ๓
นายถิรชัย หล่อวนาวรรณ ( ทนายจำเลยคนที่ ๑ )
จำนวนคำ ๙๓๘
สรุปย่อคำแถลงการณ์ฝ่ายจำเลย
ทัง้ นีศ
้ าลชัน
้ ต้นมีคำพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตจามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 328 จำคุก 1 ปี ปรับ 50,000 บาท พร้อม
ดอกเบีย
้ อัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2566 ค่าฤชา
ธรรมเนียมในส่วนแพ่งให้เป็ นพับ และให้จำเลยโฆษณาขอขมาผู้เสียหาย
ในหนังสือพิมพ์เป็ นเวลา 3 วัน โดยให้จำเลยออกค่าใช้จ่าย ยกคำร้องขอ
เข้าเป็ นโจทก์ร่วม และข้อหาอื่นขอให้ยกไป
ด้วยความเคารพต่อศาลชัน
้ ต้นจำเลยไม่อาจเห็นพ้องด้วยกับคำ
พิพากษาของศาล จึงได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชัน
้ ต้นดัง
ปรากฏตามรายละเอียดที่ได้ย่ น
ื อุทธรณ์ และขอประธานกราบเรียน
แถลงการณ์ด้วยวาจาต่อศาลอุทธรณ์ เพื่อประกอบดุลยพินิจในการ
พิพากษา ด้วยเหตุผลทางข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงในประเด็นดังต่อไป
นี ้ 3 ประเด็น คือ ประเด็นแรก ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการ
โฆษณา ประเด็นที่สอง ศาลชัน
้ ต้นพิพากษาให้จำเลยโฆษณาขอขมาผู้
เสียหายในหนังสือพิมพ์นิติชาวดอยเป็ นเวลา ๓ วัน ประเด็นที่สาม
เรื่องที่ผู้เสียหายเรียกค่าสินไหมทดแทนทางละเมิด
(ยื่น)ประเด็นแรก ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการ
โฆษณา จากคำพิพากษาศาลชัน
้ ต้น ที่พพ
ิ ากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328
ด้วยความเคารพ จำเลยไม่เห็นพ้องด้วยคำพิพากษาของศาลชัน
้ ต้นดัง
กล่าว เพราะจำเลยไม่ได้กระทำความผิดครบองค์ประกอบตามประมวล
กฎหมายอายามาตรา 328 โดยศาสตราจารย์พิเศษ หม่อมหลวงไกรฤกษ์
เกษมสันต์ ได้วางองค์ประกอบของมาตรา 328 ไว้ในหนังสือคำอธิบาย
ประมวลกฎหมายอาญาภาคความผิด ขออนุญาตยื่นเอกสารหมายจ.. โดย
ความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา มีทงั ้ สิน
้ 3 องค์ประกอบ คือ
1. ผู้กระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท 2. กระทำโดยการโฆษณา
กระจายภาพ ป่ าวประกาศด้วยวิธีอ่ น
ื ใด 3. เจตนาธรรมดา จะเห็นได้ว่า
มาตรา 328 เป็ นเรื่องที่ทำให้ผู้อ่ น
ื เสียหายได้อย่างวงกว้างโดยใช้วิธีการ
โฆษณา นอกจากการโฆษณาแล้วยังหมายความรวมถึงการกระทำอื่น ๆ
แต่การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำตามฟ้ องแม้จะมีลักษณะที่คล้ายว่าจะครบ
องค์ประกอบตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น แต่ข้าพเจ้าขอให้ศาลตัง้ ข้อสังเกต
ในองค์ประกอบที่สองในคดี จำเลยมิได้มีลักษณะเป็ นการโฆษณา ป่ าว
ประกาศ หรือกระจายเสียงแต่อย่างใด ขออนุญาตยื่นเอกสารหมาย ล.1
้ ิพากษา ทนงศักดิ ์ ดุล
จากหนังสือ หมิ่นประมาทและดูหมิ่น ของ ท่านผูพ
ยกาญจน์, สมศักดิ ์ เอี่ยมพลับใหญ่ ได้เขียนไว้ว่า การหมิ่นประมาทด้วย
การกระจายเสียงหรือป่ าวประกาศ มีลักษณะเช่นเดียวกับการโฆษณา
กล่าวคือ เป็ นการทำให้แพร่หลาย และมีการให้คำนิยามของคำว่า “โฆษ
ณา” ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 223/2524 ขออนุญาตยื่นเอกสารหมายเลข
ล.2 ตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว ให้คำจำกัดความว่า การเผยแพร่ออกไป
ยังสาธารณชน การป่ าวร้อง ข้อเท็จจริงนำสืบพบว่า จำเลยมิได้รับรู้ถึง
บุคคลภายนอกที่ได้เข้ามาร่วมฟั งเสวนาในระบบดังกล่าว เป็ นเหตุให้
จำเลยเข้าใจได้ว่าเป็ นการเสวนาเฉพาะกลุ่ม มิได้มีเจตนาป่ าวประกาศ
หรือกระจายเสียงสู่สาธารณชนแต่อย่างใด
ทัง้ การเสวนาดังกล่าว มีการส่งลิงก์การเข้าร่วมเสวนาให้แต่เฉพาะ
นักศึกษาคณะนิตศ
ิ าสตร์จำนวน ๙๙๙ คน เป็ นการเสวนาที่จัดขึน
้ เฉพาะ
กลุ่มหนึง่ กลุ่มใดเท่านัน
้ การกล่าวถ้อยคำของจำเลยเป็ นเพียงเจตนาการ
แจ้งหรือไขข่าวไปยังเฉพาะกลุ่มบุคคลที่อยู่ในการเสวนาเท่านัน
้ การกล่าว
ถ้อยคำของจำเลยจึงไม่ถือว่าเป็ นการหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ดังคำ
1
พิพากษาฎีกาที่ 4291/2548 ขออนุญาตยื่นเอกสารหมายเลข ล.3 โดย
คำพิพากาดังกล่าวมีสาระสำคัญว่า จำเลยในคดีมีเจตนาที่จะใส่ความ
บุคคลที่สามเฉพาะคนเท่านัน
้ การกระทำของจำเลยมิได้มีเจตนาจะหมิ่น
1
คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๒๙๑/๒๕๔๘
ประมาทด้วยการโฆษณา และในคดีนก
ี ้ ารที่จำเลยกล่าวถ้อยคำตามฟ้ อง
ภายในกลุ่มเฉพาะนักศึกษาคณะนิติศาสตร์นน
ั ้ จำเลยมิได้มีเจตนาที่จะ
หมิ่นประมาทโดยการโฆษณาแต่อย่างใด จำเลยจึงมิได้กระทำความผิด
ฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาแต่อย่างใด ความผิดฐานหมิ่นประมาท
โดยการโฆษณา ผู้กระทำจำต้องเผยแพร่ข้อความอันเป็ นการหมิ่น
ประมาทออกไปยังสาธารณะ หรือประชาชนทั่วไป ดังนัน
้ ตามคำ
พิพากษาฎีกาที่ 5276/2562 ขออนุญาติย่ น
ื เอกสารหมายเลข ล.4 ที่กล่าว
ถึงการส่งข้อความหมิ่นประมาทไปในแอปพลิเคชั่นไลน์ ที่เป็ นกลุ่มเฉพาะ
ไม่ใช่การหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ดังนัน
้ การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำ
ตามฟ้ องเป็ นเพียงการกล่าวภายในกลุ่มเฉพาะเท่านัน
้ มิได้ เป็ นการเผย
แพร่ออกไปยังสาธารณะ จำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการ
2
โฆษณา
การที่มีนักศึกษาอื่นสามารถเข้าร่วมฟั งเสวนาดังกล่าวได้นน
ั้
ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับข้อโต้แย้งของจำเลยในศาลชัน
้ ต้นว่า เป็ นความรับผิด
ชอบของผู้ดแ
ู ลระบบ โดยอ้างอิงจากเอกสารวิธีการสร้างประชุมออนไลน์
ของ แอปพลิเคชัน Webex ขออนุญาตยื่นเอกสารหมายเลข ล.5 ตาม
เอกสารจะเห็นได้ว่า การสร้างห้องประชุมสามารถที่จะกำหนดให้เป็ นการ
ประชุมที่ผู้ดูแลคัดกรองคนเข้าร่วมในการประชุมออนไลน์ได้หลากหลาย
วิธีด้วยกันแม้จะเกิดเหตุที่นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ส่งลิงก์การเข้าร่วม
3
ประชุมดังกล่าวให้แก่บค
ุ คลอื่นที่ไม่ใช่นักศึกษาคณะนิตศ
ิ าสตร์ การจำกัด
ให้มีเพียงแค่นักศึกษาคณะนิตศ
ิ าสตร์เข้ารับฟั งนัน
้ สามารถทำได้หลายวิธี
2
คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๒๗๖/๒๕๖๒
3
ku.ac.th, วิธีสร้างการประชุมออนไลน์KU Webex Meeting 1
ดั่งเอกสาร การที่บุคคลนอกจากนักศึกษาคณะนิตศ
ิ าสตร์เข้าร่วมรับฟั งได้
นัน
้ ย่อมเป็ นความผิดของผู้ดูแลระบบ
(ยื่น)ประเด็นที่สาม ศาลชัน
้ ต้นพิพากษาให้จำเลยโฆษณาขอขมา
ผู้เสียหายในหนังสือพิมพ์นิติชาวดอยเป็ นเวลา ๓ วัน โดยให้จำเลยเป็ น
ผู้ออกค่าใช้จ่ายนัน
้ ไม่สอดคล้องกับ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
๓๓๒ (๒) โดยศาสตราจารย์พิเศษ หม่อมหลวงไกรฤกษ์ เกษมสันต์ ได้
วางคำอธิบายเจตนารมณ์ของมาตรา 332(2) ไว้ในหนังสือคำอธิบาย
ประมวลกฎหมายอาญาภาคความผิด ขออนุญาตยื่นเอกสารหมายจ...
โดยเจตนารมณ์ของมาตรานีค
้ ือ โดยให้โฆษณาคำพิพากษาทัง้ หมดหรือ
บางส่วนในหนังสือพิมพ์ และให้จำเลยชำระค่าโฆษณาอันเป็ นหนีท
้ างแพ่ง
โดยตรง เพื่อบรรเทาความเสียหายให้ผู้เสียหาย การที่จำเลยต้องโฆษณา
ขอขมาผู้เสียหายนัน
้ เป็ นการอันนอกเหนืออำนาจของศาล ตามคำ
พิพากษาฎีกาที่ 2137/2557 ขออนุญาตยื่นเอกสารหมาย ล.8 จะเห็นว่า
กฎหมายให้อำนาจศาลสั่งเฉพาะโฆษณาคำพิพากษาเท่านัน
้ การที่ศาลชัน
้
ต้นพิพากษาให้จำเลย โฆษณาคำขอขมา เป็ นการลงโทษจำเลยนอกเหนือ
จากโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายอาญา
4
มาตรา ๒ วรรคหนึ่ง เป็ นการอันมิชอบ และทำให้จำเลยต้องรับภาระ
หนักขึน
้ โดยการเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาขอขมานี ้
(ยื่น)ประเด็นที่ห้า เรื่องที่ผู้เสียหายเรียกค่าสินไหมทดแทนทาง
ละเมิด ข้าพเจ้าขอยื่นอุทธรณ์ ยกฟ้ องในเรื่องดังกล่าว ที่ศาลชัน
้ ต้น
พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 50,000 บาท พร้อมดอกเบีย
้ ร้อยละ 5 นับแต่
วันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2566 โดยมีข้อเท็จจริงยุติว่า โจทก์ร่วมมีส่วนยั่วยุ
4
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๓๗/๒๕๕๗
ให้จำเลยกระทำความผิดจึงไม่เป็ นผู้เสียหายโดยนิตินัย ศาสตราจารย์ ดร.
ศนันท์กร โสตถิพันธุ์ ได้เขียนไว้ในหนังสือกฎหมายลักษณะละเมิด จัดการ
งานนอกสัง่ ลาภมิควรได้ ได้เขียนในกรณีผู้เสียหายมีส่วนผิดในความเสีย
หายที่เกิดขึน
้ ถ้าผู้เสียหายมีส่วนในความเสียหายน้อยกว่าผู้ทำละเมิด ผู้
ทำละเมิดยังคงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน แต่ต้องส่วนความเสียหายที่ผู้เสีย
หายมีส่วนก่อให้เกิดขึน
้ ออกด้วยจึงจะยุติธรรม แม้การกล่าวถ้อยคำตาม
ฟ้ องของจำเลยจะเป็ นการกล่าวกระทบถึงโจทก์ร่วม เป็ นการด่าด้วยความ
รู้สึกโกรธเพียงเท่านัน
้ จึงไม่ใช่การกล่าวหรือไขข่าว ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์มาตรา 423 เทียบคำพิพากษาที่ 891/2557 ขออนุญาต
ยื่นเอกสาร หมาย ล.10 แต่ถงึ กระนัน
้ ความเสียหายที่โจทก์ร่วมเรียกค่า
สินไหมทดแทนนัน
้ มิได้นำสืบถึงความเสียหายโดยชัดแจ้ง
(ทฤษฎีเงื่อนไข) ในเรื่องทุนการศึกษาระดับปริญญาโทที่โจทก์ร่วม
ได้รับจดหมายยกเลิกทุน ทางโจทก์ร่วมมิได้นำสืบถึงเหตุผลโดยชัดแจ้งว่า
ทางผู้ที่ได้มอบทุนการศึกษาให้แก่โจทก์ร่วมขอยกเลิกทุนเพราะเหตุใด ทัง้
จำเลยมิได้กล่าวหาในถ้อยคำที่จะทำให้โจทก์ร่วมเสียหายถึงขัน
้ ที่จะโดน
ยกเลิกทุน โดยในประเทศไทยมีดุลยพินิจเกณฑ์การให้ทุนการศึกษาระดับ
ปริญญาโทโดยทั่วไปว่า ๑. ต้องเป็ นผู้ที่มีวุฒิปริญญาตรี ๒. ต้องเป็ นผู้ที่มี
5
ผลการเรียนดีเยี่ยม ขออนุญาตยื่นเอกสารหมาย ล.11 ตามหลักของ
ทฤษฎีเงื่อนไขแล้ว แม้การที่จำเลยจะพูด ใส่ความหรือไม่พูดใส่ความ ก็
ไม่ใช่เหตุทำให้โจทก์ถูกยกเลิกทุนโดยตรง ทัง้ ข้อเท็จจริงนำสืบ มิได้
ปรากฏว่า การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำดังฟ้ องนัน
้ เป็ นเหตุให้ ผู้ให้ทุนแก่
โจทก์ร่วมตัดสินใจส่งจดหมายขอยกเลิกทุนแต่อย่างใด
5
คำพิพากษาฎีกา ๘๙๑/๒๕๕๗
(ความเสียหายไม่ได้นำสืบ) ทางด้านที่โจทก์ร่วมเรียกร้องเอาค่า
สินไหมทดแทนจากความเสียหายแก่ช่ อ
ื เสียงชื่อเสียงของบิดานัน
้ ไม่
ปรากฏการนำสืบความเสียหายที่ชัดแจ้ง หรือพิสูจน์ว่าความเสียหายนัน
้
เกิดขึน
้ จริงจากการที่พ่อของโจทก์ร่วมเป็ นอาจารย์คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยดังกล่าว และจำเลยนำสืบได้ว่า จำเลยมิได้กล่าวข้อความใด
ๆ อันเป็ นการพาดพิงหรือสื่อได้ถึงบิดาของโจทก์ร่วม ถึงแม้ว่าจะกล่าว
พาดพิงแต่มิได้หมายความถึงตัวบิดาของโจทก์ร่วมโดยตรง ท่านว่าก็ยังไม่
ถือว่าเป็ นการทำให้เกิดความเสียหายต่อบิดาของโจทก์ร่วม
ตามศาลชัน
้ ต้นวินิจฉัยโดยการตีความว่า โจทก์ร่วมมีส่วนยั่วยุให้
จำเลยกระทำความผิดนัน
้ โจทก์ร่วมจึงไม่เป็ นผู้เสียหายโดยนิตินัยนัน
้ ชอบ
แล้ว และพฤติการณ์ของโจทก์ร่วมไม่เป็ นไปตามความหมายของผู้เสียหาย
โดยนิตินัย โจทก์ร่วมจึงไม่เป็ นผู้เสียหายโดยนิตินัยสำหรับความผิดตาม
ฟ้ อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๔) ไม่มี
อำนาจเข้าร่วมเป็ นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการตามประมวลกฎหมายวิธี
พิจารณาความอาญามาตรา ๓๐ ฉะนัน
้ ที่ศาลชัน
้ ต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วม
เข้าร่วมเป็ นโจทก์กับพนักงานอัยการจึงไม่ชอบ
ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลชัน
้ ต้นเป็ นอย่างยิ่ง ตามคำ
พิพากษาฎีกาที่ 3745/2527 ขออนุญาตยื่นเอกสารหมาย ล.9 คำ
พิพากษาฎีกาที่ 3745/2527 นัน
้ มีสาระสำคัญว่า ถ้อยคำของคู่ความทัง้
สองฝ่ ายได้กล่าวใส่กัน เป็ นเรื่องต่างคนต่างด่าว่าซึ่งกันและกัน จึงถือไม่ได้
ว่า โจทก์ร่วมเป็ นผู้เสียหาย โจทก์ร่วมจึงไม่มีอำนาจฟ้ อง จากข้อเท็จจริงที่
ปรากฏนัน
้ โจทก์มีพฤติการณ์ที่เป็ นการก่อให้เกิดการกระทำความผิดของ
จำเลยโดยการกล่าวถ้อยคำว่า “ วัน ๆ ไม่เข้าเรียน จะไปรู้อะไร เอาไว้ให้
สอบได้คะแนนมากกว่าชัน
้ ก่อนแล้วค่อยมาออกความคิดเห็น ” เป็ นเหตุ
ทำให้จำเลยโกรธเป็ นอย่างมากจึงได้กล่าวถ้อยคำโต้ตอบกลับไป โจทก์
ร่วมจึงมิใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย และมิได้เป็ นผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะ
สามารถขอเข้าเป็ นโจทก์ได้และไม่มีอำนาจฟ้ องแต่อย่างใด ตามประมวล
6
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๐
6
คำพิพากษาฎีกา ๓๗๔๕/๒๕๒๗
ข้าพเจ้านางสาวอ้อนตะวัน ศิริม่วง ทนายความจำเลยคนที่2 ไม่เห็น
พ้องด้วยกับคำแถลงของ พนักงานอัยการจึงขอแถลงการแก้อุทธรณ์เพิ่ม
เติมเพื่อประกอบดุลยพินิจในการพิพากษาของศาลอุทธรณ์นน
ั ้ ต่อไปนี ้
โดยประเด็นที่ข้าพเจ้าจะแถลงนัน
้ มีทงั ้ สิน
้
ประเด็นที่ จำเลยไม่ผิดความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าหรือด้วยการ
โฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 9 3 โดยท่านสหรัฐกิติ
ศุภการได้วางหลักความผิดตามมาตรานี ้ ในหนังสือกฎหมายอาญาและคำ
พิพากษาขออนุญาตเอกสารหมายล.12 ค่ะ ซึ่งความผิดตามมาตรา 393
มี สอง ประการ ประการแรกดูหมิ่นผู้อ่ น
ื ซึง่ หน้า และดูหมิ่นผู้อ่ น
ื โดย
โฆษณา แม้การกระทำของ จำเลย ดูเหมือน ครบองค์ประกอบตาม
มาตรานี ้ แต่ความผิดตามมาตรา 3 9 3 กฎหมายประสงค์จะลงโทษผู้ที่ดู
หมิ่นผู้อ่ น
ื ซึ่งหน้าฝ่ ายเดียวโดยผู้ถูกดูหมิ่นไม่ได้กล่าวร้ายด่าตอบโต้ด้วย
หรือกล่าวคือผู้ถูกดูหมิ่น ต้องเป็ นผู้เสียหายโดยนิตินัยไม่ใช่ผู้เสียหายโดย
พฤตินัย โดยในคดีนี ้ โจทก์ร่วม ไม่เป็ นผู้เสียหายโดยนิตินัย เทียบคำ
พิพากษาศาลฎีกาที่ 3745/2527 ที่ว่าโจทก์กล่าวดูหมิ่นต่อจำเลยก่อน
โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้ อง ขออนุญาตยื่นเอกสารหมายล.9 ฎีกาดังกล่าว
วางหลักว่า ผู้เสียหาย พูดว่าจำเลยว่า จำเลยโกงลำเหมือง จำเลยจึงพูด
โต้ตอบว่า ผู้เสียหายก็โกงเขามาเหมือนกัน ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวนัน
้ เป็ น
ถ้อยคำตอบโต้หรือย้อนคำผู้เสียหาย จึงเป็ นเรื่องที่ต่างคนต่างว่าซึ่งกัน
และกันในการทะเลาะโต้เถียง ผู้เสียหายจึงไม่เป็ นผูเ้ สียหายโดยนิตินัย
โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้ อง ในคดีนข
ี ้ ้อเท็จจริงที่ฟังเป็ นข้อยุตินน
ั ้ โจทก์ร่วมมี
ส่วนยั่วยุให้จำเลยกระทำความผิดโดยโจทก์ร่วมได้กล่าวว่าจำเลยก่อนว่า
“วันๆไม่เข้าเรียน จะไปรู้อะไรเอาไว้สอบได้คะแนนมากกว่าชัน
้ ก่อนแล้ว
ค่อยมาออกความคิดเห็น” ศาลชัน
้ ต้นวินิจฉัย ว่าโจทก์ร่วมไม่เป็ นผู้เสีย
หายโดยนิตินัย ให้ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็ นโจทก์ คำวินิจฉัยดังกล่าวชอบ
แล้ว และเมื่อเทียบกับคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ร่วมจึงไม่เป็ นผู้เสียหาย
โดยนิตินัย และไม่มีอำนาจฟ้ อง และคำวินิจฉัยของศาลชัน
้ ต้นที่ว่า
บทบัญญัติมาตรา 393 มีเจตนารมณ์ ป้ องกันเหตุร้ายที่อาจเข้าถึงตัวกัน
ทันทีที่มีการกล่าวดูหมิ่น นัน
้ แล้วตามที่คำพิพากษาฎีกาที่ 3711/2557
ที่วางหลักไว้ว่าคู่ความอยู่คนละจังหวัด จึงไม่ถือว่าเป็ นการดูหมิ่นซึ่งหน้า
ขออนุญาตเอกสารหมายล.7 ฉะนัน
้ แล้วที่ ทนายความฝ่ ายโจทก์ได้
อุทธรณ์ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าหรือดูหมิ่นด้วยโฆษณา
นัน
้ ย่อมไม่ชอบ ตามความผิดมาตรา 3 9 3 เพราะโจทก์ร่วม มีส่วน ยั่วยุ
ให้จำเลยกระทำผิดค่ะ
(ทฤษฎีเงื่อนไข) ในเรื่องทุนการศึกษาระดับปริญญาโทที่โจทก์ร่วม
ได้รับจดหมายยกเลิกทุน ทางโจทก์ร่วมมิได้นำสืบถึงเหตุผลโดยชัดแจ้งว่า
ทางผู้ที่ได้มอบทุนการศึกษาให้แก่โจทก์ร่วมขอยกเลิกทุนเพราะเหตุใด ทัง้
จำเลยมิได้กล่าวหาในถ้อยคำที่จะทำให้โจทก์ร่วมเสียหายถึงขัน
้ ที่จะโดน
ยกเลิกทุน โดยในประเทศไทยมีดุลยพินิจเกณฑ์การให้ทุนการศึกษาระดับ
ปริญญาโทโดยทั่วไปว่า ๑. ต้องเป็ นผู้ที่มีวุฒิปริญญาตรี ๒. ต้องเป็ นผู้ที่มี
7
ผลการเรียนดีเยี่ยม ขออนุญาตยื่นเอกสารหมาย ล.11 ตามหลักของ
ทฤษฎีเงื่อนไขแล้ว แม้การที่จำเลยจะพูด ใส่ความหรือไม่พูดใส่ความ ก็
ไม่ใช่เหตุทำให้โจทก์ถูกยกเลิกทุนโดยตรง ทัง้ ข้อเท็จจริงนำสืบ มิได้
ปรากฏว่า การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำดังฟ้ องนัน
้ เป็ นเหตุให้ ผู้ให้ทุนแก่
โจทก์ร่วมตัดสินใจส่งจดหมายขอยกเลิกทุนแต่อย่างใด
(ความเสียหายไม่ได้นำสืบ) ทางด้านที่โจทก์ร่วมเรียกร้องเอาค่า
สินไหมทดแทนจากความเสียหายแก่ช่ อ
ื เสียงชื่อเสียงของบิดานัน
้ ไม่
ปรากฏการนำสืบความเสียหายที่ชัดแจ้ง หรือพิสูจน์ว่าความเสียหายนัน
้
เกิดขึน
้ จริงจากการที่พ่อของโจทก์ร่วมเป็ นอาจารย์คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยดังกล่าว และจำเลยนำสืบได้ว่า จำเลยมิได้กล่าวข้อความใด
ๆ อันเป็ นการพาดพิงหรือสื่อได้ถึงบิดาของโจทก์ร่วม ถึงแม้ว่าจะกล่าว
พาดพิงแต่มิได้หมายความถึงตัวบิดาของโจทก์ร่วมโดยตรง ท่านว่าก็ยังไม่
ถือว่าเป็ นการทำให้เกิดความเสียหายต่อบิดาของโจทก์ร่วม
7
คำพิพากษาฎีกา ๘๙๑/๒๕๕๗
ค่ะ โดยวิธีการตัดออกเป็ นการสร้างสมมุติฐานขึน
้ มาโดยตัดการกระ
ทำของผู้ทำละเมิด ออกไปและดูผลที่เกิดขึน
้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงไปหรือ
ไม่ หลังจากที่ตัดการกระทำของผู้ทำละเมิดออกไปแล้วถ้าผลสุดท้ายยัง
เหมือนเดิมถือว่าการกระทำของผู้ทำละเมิดไม่มีส่วนสัมพันธ์กับความเสีย
หาย การกระทำของผู้ทำละเมิดจึงไม่เป็ นการละเมิด ข้าพเจ้าจึงขอให้
ศาลใช้วิธีการตัดออกนีโ้ ดย ใช้สมมุติฐานว่าหากไม่มี ถ้อยคำตามฟ้ องของ
จำเลย ทุนการศึกษาของโจทก์ร่วมจะโดนยกเลิกหรือไม่ ตามที่
ทนายความจำเลยคนที่หนึ่งได้แถลง ได้ความว่าคุณสมบัติส่วนใหญ่ของผู้
ได้รับทุนปริญญาโทนัน
้ หนึง่ ต้องเป็ นผู้จบการศึกษาปริญญาตรี สองต้องมี
ผลการเรียนดี ซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวไม่ได้กำหนดว่าต้องมีการประพฤติที่ดี
แต่อย่างใด ฉะนัน
้ หากสมมุติว่าถ้าจำเลยไม่ได้กล่าวข้อความตามฟ้ องนัน
้
์ ี่จะโดนยกเลิกทุนอยู่ดีค่ะท่าน อีกทัง้ เหตุผลที่ผู้
โจทก์ร่วมก็อาจจะมีสิทธิท
ให้ทุนยกเลิกทุนก็ไม่ได้ปรากฏตามข้อเท็จจริงนำสืบของโจทก์ร่วมแต่
อย่างไร
ฉะนัน
้ จำเลยไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินใหม่ทดแทนเพื่อความเสียหายต่อ
ชื่อเสียงของบิดาของโจทก์ร่วม และที่โจทก์ร่วมถูกยกเลิกทุนการศึกษา
อย่างไรก็ตามหากศาลอุทธรณ์พิจารณาว่าจำเลย น่าจะต้องโทษจำ
คุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี นัน
้ ข้าพเจ้าขอให้ศาล พิจารณาถึงคำแนะนำ
ของประธานศาลฎีกา ท่านวีระพลตัง้ สุวรรณ ที่ปรากฏในเอกสารการใช้
ดุลพินิจของศาลฯในการกำหนดโทษอาญาโดยศึกษากรณีรอการลงโทษ
จำคุกให้แก่จำเลย เอกสารวิชาการส่วนหนึ่งของการอบรมหลักสูตรผู้
พิพากษาหัวหน้าศาล ขออนุญาตยื่นเอกสารหมายรอค่ะ โดยเอกสารดัง
กล่าววางหลักว่า เมื่อวันที่ 14/ตุลาคม/2559 นายวีระพลตัง้ สุวรรณ
ประธานศาลฎีกา มีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีรอการลงโทษ โดยกำหนด
แนวทางว่า ศาลพึงกำหนดแนวทางการลง โทษ ตามความร้ายแรงของ
การกระทำความผิดและความเสียหายที่เกิดขึน
้ โดยมีการกำหนดโทษหรือ
การรอการลงโทษให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริง ที่ศาลทราบจังเลย สำนวน
การสอบสวน และเอกสารต่างๆ โดยเฉพาะกรณีการกระทำความผิดครัง้
แรก และจำเลยไม่สมควรถูกพิจารณากำหนดโทษให้เป็ นมลทินติดตัว
การใช้เดิมมติในการกำหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56
นัน
้ ไม่จำต้องยึดตามคำ พิพากษาที่เคยพิจารณาพิพากษาในคดีก่อน
เพราะเหตุแห่งปั จจัยการกระทำความผิดที่แตกต่างกันทำให้จำเลยไม่ใช่
ผู้ร้ายโดยสันดานหรือผู้ที่ควรได้รับโอกาสแก้ไขฟื้ นฟูให้กลับตัวเป็ นคนดี
ต้องถูกพิพากษาเชดเชนจ์จำเลยที่เป็ นอาชญากรอาชีพหรือเป็ นผู้กระทำ
ความผิดติดนิสัยที่ศาลได้พิพากษาคดีไปก่อนแล้ว ฉะนัน
้ หากจำเลยมี
ความผิดฐานหมิ่นประมาทจริง และหาก ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลย
ต้องโทษและรอการลงโทษ ข้าพเจ้าขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำ
พิพากษาของศาลชัน
้ ต้น