Professional Documents
Culture Documents
Part of Speech in English Gramma
Part of Speech in English Gramma
Part of Speech in English Gramma
คำนำ…………………………………………….…………………………………………(1)
สารบัญ.......................................................................................................
.......(2)
บทที่ ๑
Noun (คำนาม)
บทที่ 1
คำนาม (Nouns)
คำนาม (nouns)
คำในภาษาอังกฤษซึง่ ใช้ เรี ยกชื่อของ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ รวมไปถึง ความรู้สกึ
อารมณ์ แนวคิด คุณสมบัติ สามารถแบ่งย่อยไปได้ อีกหลากหลายประเภท เช่น Proper
Nouns (คำนามชี ้เฉพาะ), Common Nouns (คำนามทัว่ ไป), Collective
Nouns (สมุหนาม) และ Abstract Nouns (อาการนาม) เป็ นต้ นนอกจากนี ้ ยังมี
การแบ่งคำนามออกเป็ นแบบนับได้ และนับไม่ได้ (Countable and Uncountable)
โดยคำนามที่นบั ได้ นนจะมี
ั ้ ได้ ทงรู
ั ้ ปเอกพจน์และพหูพจน์ (เช่น a man, two men) แต่
คำนามนับไม่ได้ นนจะเป็
ั้ นได้ แค่คำนามเอกพจน์เท่านัน้ (water, a glass of water)
หน้ าที่ของคำนาม
เป็ นประธาน (ชอบอยูห่ น้าคำกริ ยา) เช่น Jane is a wonderful
person.
1. เป็ นกรรมของกริ ยา คือ เป็ นคนโดนกระทำ (ชอบอยูห่ ลังคำกริ ยา) เช่น
You stole my heart.
2. เป็ นส่ วนเติมเต็ม ถ้าไม่เติมประโยคจะมีความหมายไม่สมบูรณ์ (ชอบอยูห่ ลังคำกริ ยา)
เช่น This is a book.
3. เป็ นกรรมของบุพบท เอาไว้เชื่อมกับคำบุพบท (ชอบอยูห่ ลังคำบุพบท) เช่น Keys
are on the table.
= จำนวนครั้ง / รอบ
คำนามนับไม่ ได้ : Food = อาหาร — คำนามนับได้ (รู ปพหู พจน์ ) : Foods
= เชนิดของอาหาร
คำนามนับไม่ ได้ : Work = งาน — คำนามนับได้ (รู ปพหูพจน์ ) : Works
= ผลงาน
9. ตัวพิเศษ Compound Noun คือ คำประสมนัน่ เอง เกิดจากการผสมคำตั้งแต่ 2
คำ แล้วกลายเป็ นความหมายใหม่
มีรูปแบบการผสม 6 รู ปแบบ
Pronoun (คำสรรพนาม)
คำสรรพนาม หรื อ Pronoun คือ คำที่ใช้เรี ยกแทนคำนาม เพื่อให้เกิดความกระชับและหลีก
เลี่ยงการกล่าวถึงคำนามเดิมซ้ำ ๆ เช่น I, you, he, she, it, we และ they เป็ นต้น
Verb ( คำกริยา )
คำกริ ยา หรื อ Verb คือ คำที่แสดงอาการ เพื่อบ่งบอกถึงการกระทำของนามหรื อสรรพนาม
ไม่วา่ จะเป็ นทางกายภาพหรื อจิตใจ คำกริ ยายังบอกถึงสถานะได้อีกด้วย คือ คำที่โดยหลักแล้ วจะ
ทำหน้ าที่แสดงถึงการกระทำต่าง ๆ ในประโยค แต่ยงั มีหน้ าที่อีกมากมาย แบ่งตามชนิดของคำ
กริ ยาอีก โดยสามารถแบ่งคำกริ ยาในภาษาอังกฤษได้ 4 ประเภท ได้ แก่
สกรรมกริยา (Transitive verb)
คือ คำกริ ยาที่ไม่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง ต้ องมีกรรม (Object) มารองรับ เช่น I
saw a ghost.
อกรรมกริ ยา (Intransitive verb)
คือ คำกริ ยาที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่จำเป็ นต้ องมีกรรม (Object) มารองรับ เช่น
The rain falls.
กริ ยาแท้ (Finite verb)
คือ กริ ยาที่แสดงการกระทำหรื อลักษณะอาการของประธาน (Subject) คูไ่ ปกับกาลเวลา
(Tenses) เช่น He runs fast.
The policeman caught the thief กริ ยาแท้ (finite verb) แบ่งย่อยออกเป็ น
– กริ ยาหลัก (Main Verb) มีแค่หนึ่งตัวเท่านันในประโยค
้ ต้ องหาให้ เจอ
– กริ ยาช่วย (Helping or Auxiliary Verb) เอาไว้ เติมเพื่อช่วยให้ ถกู หลัก
Tenses
– กริ ยาเชื่อม (Linking Verb) เอาไว้ เชื่อมประธาน กับคำนาม หรื อคำคุณศัพท์ :
appear, be, become, feel, get, grow, look, remain, seem, smell,
stay, sound, taste, turn
กริ ยาไม่แท้ (Non-Finite verb)
คือ ไม่ได้ ทำหน้ าที่เป็ นคำกริ ยา ไม่เปลี่ยนรูปเลย ไม่ว่าอยูส่ ว่ นไหนของประโยค ก็จะใช้ รูปนัน้
ตลอด
กริ ยาไม่แท้ (Non-Finite verb) แบ่งย่อยออกเป็ น
– Gerunds คือ V.ing ที่ทำหน้ าที่เป็ นคำนาม
– Infinitives คือ รากของคำกริ ยา แยกเป็ นใช้ คกู่ บั to และไม่ใช้ เช่น I want to
be / I can be
– Participles (Present Participle/Past Participle) คือ V.ing ที่ทำ
หน้ าที่เป็ น Adjective หรื อทำหน้ าที่เป็ นส่วนเติมเต็มใน Tenses
Categories: Pasts of speech, ภาษาอังกฤษ