Part of Speech in English Gramma

You might also like

Download as docx, pdf, or txt
Download as docx, pdf, or txt
You are on page 1of 11

Part of speech in English gramma

นางสาวเสาวลักษณ์ มะลิหอม รหัส 66121020101

รายงานฉบับนีเ้ ป็ นส่ วนหนึ่งของการศึกษาวิชาภาษาไทยเพือ่ การสื่ อสาร


มหาวิทยาลัยราชภัฏสุ รินทร์
ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2566
สารบัญ

คำนำ…………………………………………….…………………………………………(1)
สารบัญ.......................................................................................................
.......(2)

บทที่ ๑
Noun (คำนาม)
บทที่ 1
คำนาม (Nouns)
คำนาม (nouns)
คำในภาษาอังกฤษซึง่ ใช้ เรี ยกชื่อของ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ รวมไปถึง ความรู้สกึ
อารมณ์ แนวคิด คุณสมบัติ สามารถแบ่งย่อยไปได้ อีกหลากหลายประเภท เช่น Proper
Nouns (คำนามชี ้เฉพาะ), Common Nouns (คำนามทัว่ ไป), Collective
Nouns (สมุหนาม) และ Abstract Nouns (อาการนาม) เป็ นต้ นนอกจากนี ้ ยังมี
การแบ่งคำนามออกเป็ นแบบนับได้ และนับไม่ได้ (Countable and Uncountable)
โดยคำนามที่นบั ได้ นนจะมี
ั ้ ได้ ทงรู
ั ้ ปเอกพจน์และพหูพจน์ (เช่น a man, two men) แต่
คำนามนับไม่ได้ นนจะเป็
ั้ นได้ แค่คำนามเอกพจน์เท่านัน้ (water, a glass of water)

หน้ าที่ของคำนาม
เป็ นประธาน (ชอบอยูห่ น้าคำกริ ยา) เช่น Jane is a wonderful
person.
1. เป็ นกรรมของกริ ยา คือ เป็ นคนโดนกระทำ (ชอบอยูห่ ลังคำกริ ยา) เช่น
You stole my heart.
2. เป็ นส่ วนเติมเต็ม ถ้าไม่เติมประโยคจะมีความหมายไม่สมบูรณ์ (ชอบอยูห่ ลังคำกริ ยา)
เช่น This is a book.
3. เป็ นกรรมของบุพบท เอาไว้เชื่อมกับคำบุพบท (ชอบอยูห่ ลังคำบุพบท) เช่น Keys
are on the table.

ประเภทของ Noun (คำนาม)

Common Noun (นามทั่วไป/สามานยนาม)


: ใช้เรี ยกรวม ๆ สิ่ งต่าง ๆ ทัว่ ไป ไม่เจาะจง
Proper Noun (นามเฉพาะ/วิสามานยนาม)
: ใช้เรี ยกเจาะจง พูดถึงแล้วรู ้เลยว่าคือใคร อะไร หรื อที่ไหน
** Proper noun จะขึ้นต้นคำด้วยตัวพิมพ์ใหญ่เสมอ **
Concrete Noun (นามรู ปธรรม)
: มีรูปร่ าง รับรู ้ได้ดว้ ยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ตา หู จมูก ปาก มือ
Abstract Noun (นามนามธรรม)
: ไม่มีรูปร่ าง ไม่สามารถรับรู ้ได้ดว้ ยประสาทสัมผัส เช่น ความรู ้สึกนึกคิด ความสัมพันธ์
อาการสภาวะต่างๆ มักขึ้นต้นด้วยคำว่า “การ/ความ” ในภาษาไทย เช่น ความรัก การเรี ยน
Collective Noun (สมุหนาม)
: ใช้เพื่อบอกถึงความเป็ น หมู่คณะ ฝูง กลุ่ม ก้อน พวกพ้อง
– มักใช้ร่วมกับ common noun ที่นบั ได้ เช่น
a heap of stones (หิ นกองหนึ่ง), a pair of shoes (รองเท้าคู่
หนึ่ง), a pack of wolves (หมาป่ าฝูงหนึ่ง)
แต่ collective noun ก็สามารถใช้เดี่ยว ๆ ได้ ไม่ตอ้ งพึ่งใครได้ เช่น
army (กองทัพ), crowd (ฝูงชน), family (ครอบครัว), team
(ทีม)
Material Noun (วัตถุนาม)
: มีลกั ษณะเป็ นกลุ่มก้อนที่นบั ไม่ได้ ให้จ ำว่าไม่สามารถนับได้ถา้ ไม่มีเครื่ องมือมา
ช่วยวัด ชัง่ ตวง นับ เช่น
beef, bread, flour, coffee, water, aluminum,
copper, gold, iron, helium, hydrogen, oxygen,
pollution, smoke, furniture, money, information

Countable noun (นามนับได้ )


: สามารถนับจำนวนได้ จึงมีท้ งั รู ปเอกพจน์และพหูพจน์
Uncountable noun (นามนับไม่ ได้ )
: ไม่สามารถนับจำนวนได้ จึงมีแค่รูปเอกพจน์เท่านั้น
คำนามบางคำ มี 2 ความหมาย ต้องระวังให้ดี เช่น
 คำนามนับไม่ ได้ : Copper = แร่ ทองแดง — คำนามนับได้ (รู ป

พหูพจน์ ) : Coppers = เหรี ยญทองแดง


 คำนามนับไม่ ได้ : Time = เวลา — คำนามนับได้ (รู ปพหู พจน์ ) : Times

= จำนวนครั้ง / รอบ
 คำนามนับไม่ ได้ : Food = อาหาร — คำนามนับได้ (รู ปพหู พจน์ ) : Foods

= เชนิดของอาหาร
 คำนามนับไม่ ได้ : Work = งาน — คำนามนับได้ (รู ปพหูพจน์ ) : Works

= ผลงาน
9. ตัวพิเศษ Compound Noun คือ คำประสมนัน่ เอง เกิดจากการผสมคำตั้งแต่ 2
คำ แล้วกลายเป็ นความหมายใหม่
มีรูปแบบการผสม 6 รู ปแบบ

Noun + Noun = sunlight (แสงอาทิตย์) fire fighter (พนักงานดับ


เพลิง) ice–cream (ไอศกรี ม)
Noun + Verb = haircut (ทรงผม) milkshake (นม
ปั่น) sunrise (พระอาทิตย์ข้ ึน)
Verb + Noun/ V.ing + Noun = cookbook (หนังสื อสอนทำ
อาหาร) swimming pool (สระว่ายน้ำ) washing machine (เครื่ องซักผ้า)
Adjective + Noun = freshwater (น้ำ
จืด) blackboard (กระดานดำ) goldfish (ปลาทอง)
Adverb + Noun = underground (รถไฟ
ใต้ดิน) underworld (ยมโลก)
Adverb + Verb = output (ผลผลิต) input (การนำเข้าข้อมูล)
ตัวอย่ าง Noun (คำนาม) ภาษาอังกฤษ
 Proper Nouns (คำนามเฉพาะ) – Cristiano Ronaldo, Lisa,
London, Bangkok, January, Thailand
 Common Nouns (คำนามทัว่ ไป) – boy, apple, dog, ice cream,
phone, city, cat
 Collective Nouns (สมุหนาม) – group (a group of student),
herd (a herd of cattle), bunch (a bunch of flowers), crowd
(a crowd of people)
 Abstract Nouns (อาการนาม) – happiness, anger, kindness,
health, friendship

ตัวอย่ างการใช้ Noun (คำนาม) ในประโยค


 My best friend lives in Australia. (เพื่อนสนิทของฉันอาศัยอยูใ่ น
ประเทศออสเตรเลีย)
 Chris has two dogs. (คริ สมีสุนขั สองตัว)
 Her mother is a teacher. (แม่ของเธอเป็ นครู )
Tip: คำนามภาษาอังกฤษอาจสังเกตได้จาก Noun Suffixes หรื อรากศัพท์ที่ลงท้ายคำ
นาม เช่น
 -ance = maintenance, distance
 -ence = difference, silence
-er = teacher, singer
-ion = education, satisfaction, celebration
บทที่2
Pronoun (คำสรรพนาม)

Pronoun (คำสรรพนาม)
คำสรรพนาม หรื อ Pronoun คือ คำที่ใช้เรี ยกแทนคำนาม เพื่อให้เกิดความกระชับและหลีก
เลี่ยงการกล่าวถึงคำนามเดิมซ้ำ ๆ เช่น I, you, he, she, it, we และ they เป็ นต้น

หน้ าที่ของ Pronoun (คำสรรพนาม)


“ทำทุกอย่างได้เหมือนคำนาม แบ่งตามประเภทอีกทีหนึ่ง”
ตัวอย่างเช่น
เป็ นประธาน (อยูห่ น้าคำกริ ยา) เช่น She is a wonderful person.
เป็ นกรรมของกริ ยา คือ เป็ นคนโดนกระทำ (อยูห่ ลังคำกริ ยา)
เช่น Joe will take care of himself.
เป็ นกรรมของบุพบท เอาไว้เชื่อมกับคำบุพบท (อยูห่ ลังคำบุพบท) เช่น
Rosy talks with me about her friends.

ประเภทของ Pronoun (คำสรรพนาม)


Personal Pronoun (บุรุษสรรพนาม) I, you, he, she, it, we,
they, me, him, her, us, them
ตัวอย่างประโยค
– I saw a girl on the bus. She seemed to know me. (ฉันเจอ
เด็กผูห้ ญิงบนรถบัส หล่อนดูเหมือนจะรู ้จกั ฉันเลย)
1. Possessive Pronoun (สรรพนามเจ้าของ) mine, yours,
ours, theirs, his, hers, its
ใช้เป็ นคำนามเพื่อแสดงความเป็ นเจ้าของ อยูค่ นเดียวได้เลยไม่ตอ้ งพึ่งใคร เช่น
– He is mine! (เขาเป็ นของฉัน!)
– Is this yours? (อันนี้ของคุณหรื อเปล่า)
ระวัง! : อย่าสับสนกับ Possessive Adjective เพราะหน้าตาคล้ายกัน จำ
ไว้วา่ Pronoun = Noun อยูค่ นเดียวได้ แต่ Adjective ต้ องพึ่ง
Pronoun/Noun เสมอ เช่น
He is mine. 🡪 He is my boyfriend. หรื อ Is
this yours? 🡪 Is this your book?
จะเห็นได้วา่ mine = Possessive Pronoun ส่ วน my =
Possessive Adjective
yours = Possessive Pronoun ส่ วน your = Possessive
Adjective
2. Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) เป็ นคำที่มี – self ลงท้าย :
myself, yourself, ourselves, themselves, himself,
herself, itself
– ใช้เพือ่ เน้นว่าใครเป็ นคนทำ โดยจะวางหลังคนนั้น เช่น
She herself doesn’t think she’ll get an A.
The movie itself wasn’t very good but I like the
music.
– วางหลังคำกริ ยา เมื่อกริ ยาของประโยคเป็ นกริ ยาที่ท ำต่อตัวประธานเอง เช่น
They blamed themselves. (ตามหลังกริ ยา blamed)
You are not yourself these days. (ตามหลังกริ ยา are)
– ใช้ต่อท้ายประโยค เมื่อต้องการจะเน้นว่าเป็ นคนทำเอง เช่น
I fixed it myself.
You can do it yourself.
แถม : By myself = on my own
on ( my/your/his/ her/ its/our/their ) own มีความหมาย
เหมือนกับ
by (myself/ yourself(singular)/ himself/ herself/
itself/ ourselves/ yourselves(plural)/ themselves)
สามารถเลือกใช้ได้เลย เช่น
I like living on my own/by myself.
Kids are not allowed to cook on their own/ by
themselves.
3. Definite Pronoun (Demonstrative Pronouns สรรพนาม
เจาะจง) : this, that, these, those
คือ คำสรรพนามที่ช้ ีเฉพาะเจาะจง ให้นึกภาพคนชี้นิ้วได้เลย มี 4 ตัวที่เจอบ่อยจนคุน้ ตา
ได้แก่
– This ใช้ช้ ีของหนึ่งชิ้น ที่อยูใ่ กล้ ๆ
– That ใช้ช้ ีของหนึ่งชิ้น ที่อยูไ่ กล ๆ
– These ใช้ช้ ีของหลายชิ้น ที่อยูใ่ กล้ ๆ
– Those ใช้ช้ ีของหลายชิ้น ที่อยูไ่ กล ๆ
ระวัง! : อย่าสับสนกับ Definite Adjective เพราะหน้าตาเหมือนกัน จำไว้
ว่า Pronoun = Noun อยูค่ นเดียวได้ แต่ Adjective ต้องพึ่ง
Pronoun/Noun เสมอ เช่น
This is a book. 🡪 This book is good. หรื
อ Are these free? 🡪 Are these seats free?
4. Indefinite Pronoun (สรรพนามไม่เจาะจง) : คำสรรพนามที่พดู ถึงโดย
รวม ไม่เจาะจง คล้ายกันกับ Common Noun เลย
ตัวอย่างประโยค
– Everybody loves somebody.
– Is there anyone here?
– Nobody will believe you.
5. Interrogative Pronoun (สรรพนามคำถาม) : ใช้แทนคำนาม สำหรับ
คำถาม : who, whom, whose, what, which, Whoever,
Whomever, Whatever, Whichever
ระวัง! : อย่าสับสนกับ Interrogative Adjective เพราะหน้าตาเหมือน
กัน จำไว้วา่ Pronoun = Noun อยูค่ นเดียวได้ แต่ Adjective ต้ องพึ่ง
Pronoun/Noun เสมอ เช่น
Whose is this? 🡪 Whose dog is this? หรื อ Which is
yours? 🡪 Which gift is yours?
6. Relative pronoun (สรรพนามเชื่อมความ) : ใช้เชื่อมคำ หรื อ ประโยคข้าง
หน้าและข้างหลังเข้าด้วยกัน
– Who = ผูซ้ ่ ึง/คนที่ ใช้กบั สิ่ งมีชีวิต
– Whom = ผูซ้ ่ ึง/คนที่ ใช้กบั คน (ทำหน้าที่เป็ นกรรม มักใช้ในภาษาที่เป็ น
ทางการ)
– Whose = เป็ นของ ใช้แสดงความเป็ นเจ้าของ
– Which = อันไหน คนไหน ชิ้นไหน ใช้กบั สัตว์และสิ่ งของ
– That = ซึ่ง/ที่ ใช้กบั คน สัตว์ สิ่ งของ (มักใช้ในภาษาที่ไม่เป็ นทางการ)
– Where = ที่ ใช้กบั สถานที่
– When = ตอน/เมื่อ ใช้กบั เวลา
– Why = ทำไม ใช้กบั เหตุผล
– What = สิ่ งที่/อะไรที่ ใช้กบั สิ่ งต่าง ๆตัวอย่างประโยค
– I will tell you what you need to know. ฉันจะบอกเรื่ องที่คุณ
จำเป็ นต้องรู ้เอง
– The one who understands me best is myself. คนที่
เข้าใจฉันดีที่สุดคือตัวฉันเอง
– You may read whatever you like at this library. คุณ
จะอ่านอะไรก็ได้ที่คุณชอบที่หอ้ งสมุดนี้

Verb ( คำกริยา )
คำกริ ยา หรื อ Verb คือ คำที่แสดงอาการ เพื่อบ่งบอกถึงการกระทำของนามหรื อสรรพนาม
ไม่วา่ จะเป็ นทางกายภาพหรื อจิตใจ คำกริ ยายังบอกถึงสถานะได้อีกด้วย คือ คำที่โดยหลักแล้ วจะ
ทำหน้ าที่แสดงถึงการกระทำต่าง ๆ ในประโยค แต่ยงั มีหน้ าที่อีกมากมาย แบ่งตามชนิดของคำ
กริ ยาอีก โดยสามารถแบ่งคำกริ ยาในภาษาอังกฤษได้ 4 ประเภท ได้ แก่
สกรรมกริยา (Transitive verb)
คือ คำกริ ยาที่ไม่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง ต้ องมีกรรม (Object) มารองรับ เช่น I
saw a ghost.
อกรรมกริ ยา (Intransitive verb)
คือ คำกริ ยาที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่จำเป็ นต้ องมีกรรม (Object) มารองรับ เช่น
The rain falls.
กริ ยาแท้ (Finite verb)
คือ กริ ยาที่แสดงการกระทำหรื อลักษณะอาการของประธาน (Subject) คูไ่ ปกับกาลเวลา
(Tenses) เช่น He runs fast.
The policeman caught the thief กริ ยาแท้ (finite verb) แบ่งย่อยออกเป็ น
– กริ ยาหลัก (Main Verb) มีแค่หนึ่งตัวเท่านันในประโยค
้ ต้ องหาให้ เจอ
– กริ ยาช่วย (Helping or Auxiliary Verb) เอาไว้ เติมเพื่อช่วยให้ ถกู หลัก
Tenses
– กริ ยาเชื่อม (Linking Verb) เอาไว้ เชื่อมประธาน กับคำนาม หรื อคำคุณศัพท์ :
appear, be, become, feel, get, grow, look, remain, seem, smell,
stay, sound, taste, turn
กริ ยาไม่แท้ (Non-Finite verb)
คือ ไม่ได้ ทำหน้ าที่เป็ นคำกริ ยา ไม่เปลี่ยนรูปเลย ไม่ว่าอยูส่ ว่ นไหนของประโยค ก็จะใช้ รูปนัน้
ตลอด
กริ ยาไม่แท้ (Non-Finite verb) แบ่งย่อยออกเป็ น
– Gerunds คือ V.ing ที่ทำหน้ าที่เป็ นคำนาม
– Infinitives คือ รากของคำกริ ยา แยกเป็ นใช้ คกู่ บั to และไม่ใช้ เช่น I want to
be / I can be
– Participles (Present Participle/Past Participle) คือ V.ing ที่ทำ
หน้ าที่เป็ น Adjective หรื อทำหน้ าที่เป็ นส่วนเติมเต็มใน Tenses
Categories: Pasts of speech, ภาษาอังกฤษ

You might also like