Professional Documents
Culture Documents
Thai House
Thai House
Thai House
เรือนไทยภาคเหนือ
๑. บันไดและเสาแหล่งหมา
เรือนล้านนาไทยทัำง ๓ ประเภท ตัวบันไดเรือนจะหลบอยู่ใต้ชายคาบ้านซ้ายมือเสมอ จึงต้องมีเสาลอยรับโครงสร้างหลังคาด้านบนตัำงลอยอยู่
แต่โดยทั่วไปเรือนไม้มักจะยื่นโครงสร้างออกมาอีกส่วนหนึ่งโดยทำาเป็นชายคลุมบันไดหรือเป็นโครงสร้างลอยตัว ส่วนเรือนแฝดแระเภทมีชานเปิดหน้าเรือน
ไม้หลบบันไดเข้าชายคา แต่จะวางบันไดชนชานโล่งหน้าเรือนอย่างเปิดเผย
เสาลอยโดด ๆ ต้นเดียวที่ใช้รับชายคาทางเข้านีำเรียกว่า”เสาแหล่งหมา” ซึ่งมาจากการที่ชาวเหนือนำาหมามาผูกไว้ที่เสานีำนั่นเอง
๒. เติ๋น
๓. ร้านนำำา
3
จากชานโล่งหน้าบ้านหรือชานใต้หลังคาตรงริมขอบชานด้านใดด้านหนึ่ง จะมีหิำงสำาหรับวางหม้อนำำาดื่ม พร้อมที่แขวนกระบวยหิำงนำำา สูงจากพืำนชานประมาณ
๘๐-๑๐๐ เซนติเมตร หากหิำงนำำาอยู่ที่ชานโล่งแจ้งเจ้าของบ้านจะทำาหลังคาคลุมลักษณะคล้ายเรือนเล็ก ๆ เพื่อไม่ให้แสงแดดส่องลงที่หม้อนำำา เป็นการรักษาความเย็นของนำำาดื่ม
หิำงนำำานีำเรียกว่า”ร้านนำำา” หรือภาษาเหนือว่า “ฮ้านนำำา” ร้านนำำาของเรือนล้านนาถือว่าเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมด้านการอยู่อาศัยของชาวล้านนาโดยเฉพาะ
๔. ห้องนอน
ถัดจากเติ๋นจะเป็นห้องนอนซึ่งเป็นห้องที่มีฝาปิดล้อมทัำง ๔ ด้านมีประตูทางเข้า เหนือช่องนีำมีไม้แกะสลักลวดลายสวยงาม เป็นแผ่นไม้ที่ชาวล้านนาเชื่อว่าเป็นแผ่นไม้ศักดิ์สิทธิ์
ติดไว้เพื่อป้องกันสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ ทีจ่ ะผ่านเข้าสู่ห้องนอนเรียกว่า “หำายน”
ตรงกรอบประตูลา่ งมีแผ่นธรณีประตูสูงกว่าขอบประตูปกติ เรียกว่า “ข่มประตู” ทำาหน้าที่เป็นกรอบช่องประตู และเป็นเส้นกัำนอาณาเขตระหว่างห้องนอนกับเติ่น สำาหรับห้องนอน
ชาวล้านนาถืออย่างเคร่งครัดว่า เป็นบริเวณเฉพาะของสมาชิกภายในครอบครัว บุคคลภายนอกหรือแขกห้ามเข้าเด็ดขาด
หากก้าวเลยขมประตูเข้ามาเพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นการ “ผิดผี” คือกระทำาผิดต่อผีบรรพบุรุษจะต้องปรับโทษ พร้อมทัำงทำาพิธขี อขมา
ห้องนอนที่อยู่ถัดจากบริเวณเติ๋นเป็นห้องขนาดใหญ่ เมื่อเทียบบริเวณอื่นของเรือน กินเนืำอที่ ๓ ห้องเสา โดยเฉพาะเรือนกาแลและเรือนไม้ส่วนเรือนชนบทจะกินเนืำอที่ ๒ ห้องเสา
ทัำงนีำขนาดห้องจะขึำนอยู่กับขนาดของเรือนแต่จะหลังว่าใช้ชื่อและคานยาวกี่ศอก ห้องนอนในเรือนล้านนาจะเป็นห้องโล่ง ๆ
สมาชิกของครอบครัวจะนอนรวมกันในห้องนีำการนอนจะแบ่งเนืำอที่ตามห้องเสา ห้องเสาช่วงในสุดเป็นบริเวณที่นอนหัวหน้าครอบครัวและภรรยา
ถัดมาเป็นบริเวณหลับนอนของลูก ๆ หากลุกคนใดแต่งงานไปก็จะเลื่อนมานอนในห้องเสาถัดไป การแยกกลุ่มนอนอาศัยการปูเสื่อปูที่นอน การกางมุ้งของแต่ละกลุ่ม
และใช้ผ้าม่านแบ่งกัำนบริเวณนอนของแต่ละกลุ่มให้มิดชิด ม่านกัำนนีำเรียกว่า “ผ้ากัำง”
เวลานอนสมาชิกทุกคนจะหันหัวไปทางทิศตะวันออกห้องนอนซีกตะวันออกทัำงหมดใช้เป้นบริเวณนอน ส่วนซีกตะวันตกบริเวณปลายตีนนอนจะใช้เป็นบริเวณเก็บของต่าง ๆ
ของสมาชิกในครัวเรือน ในการแบ่งซีกส่วนที่นอนกับที่เก็บของจะแบ่งโดยไม้หนาขนาดกว้างประมาณ ๗-๘ นิวำ
วางผ่ากลางตัวเรือนยาวตลอดความยาวของเรือนระดับเสมอพืำนเรียกว่า “แป้นต้อง” ซึ่งทำาหน้าที่ป้องกันการสั่นสะเทือนของพืำน เวลาเดินบริเวณซีกปลายเท้า
เพื่อไม่ให้รบกวนผู้ที่กำาลังนอนอยู่ สำาหรับประตูเข้าห้องนอนจะมี ๒ ประตุ คือ ประตูเข้าจากเติ๋น และประตูข้างซึ่งอยู่ที่ฝาด้านปลายเท้าของเรือนนอน
อยู่ช่วงห้องเสาที่ชิดกับเติ๋นเป็นประตูเปิดจากส่วนนอนไปสู่ครัว
๕. ห้องครัว
บริเวณห้องครัวจะอยู่ทางทิศตะวันตกของห้องนอนเสมอ เรือนครัวที่แยกออกไปอีกหลังหนึ่งจะมีเฉพาะเรือนกาแลและเรือนไม้จริงเท่านัำน
โดยจะวางขนานกับเรือนใหญ่หรือเรือนนอน มีช่องทางเดินแยกเรือนครัวออกจากเรือนนอน ชายคาของเรือนนอนกับเรือนครัวจะมาจรดกันเหนือช่องทางเดินเรียกว่า “ฮ่อมริน”
โดยจะมีรางนำำาสำาหรับรองรับนำำาฝนจากหลังคา แต่เดิมรางนำำาจะเป็นซุงไม้ขนาดใหญ่มีความยาวเท่ากับตัวเรือน มาในชัำนหลังจึงใช้ไม้กระดานประกบกันเป็นรางนำำาแทน
สำาหรับเรือนไม้จริงตรงกลางยอดสันหลังคาจะมีหลังคาขนาดเล็กซ้อนอยู่ เพื่อให้มีช่องระหว่างหลังคา สำาหรับระบายควันไฟจากเตาขณะหุงต้มอาหาร
ส่วนด้านหลังของเรือนครัวจัดให้มีชานเล็ก ๆ วางหม้อนำำาขนาดใหญ่หลายใบ เป็นนำำาสำาหรับใช้ล้างถ้วยล้างชาม
ชาวล้านนาเชื่อว่า ผีบรรพบุรุษมีส่วนดลบันดาลความสุขสวัสดีให้แก่ลูกหลาน หากลูกหลานไม่ปฏิบัติตาม “ฮีตฮอย” (จารีต) ทีบ่ รรพบุรุษวางไว้ย่อมเกิดความวิบัติ
ซึ่งถือว่าเป็นการ “ผิดผี” การบันถือผีดังกล่าวนีำมีบทบาทสำาคัญต่อการแบ่งเนืำอที่ภายในเรือนพักอาศัยอย่างชัดเจนกล่าวคือ “ผีปู่ย่า” เป็นผีบรรพบุรุษของแต่ละตระกูล
ชาวล้านนาเชื่อว่าสิงสถิตอยู่ภายในบ้านเรือน บางครัำงก็เรียกว่า “ผีเรือน” ผีปู่ย่านีำจะคุ้มครองเครือญาติในกลุ่มตระกูลเดียวกันเท่านัำน กลุ่มตระกูลที่มีผีปู่ย่าเดียวกันเรียกว่า
“ถือผีเดียวกัน” ที่สิงสถิตของผีปู่ย่าอยู่ที่ศาล หรือ “หอผี” ตังำ อยู่ในที่ดินด้านหัวนอนในหอผี วางเครื่องบูชาอันได้แก่ ขัน ดอกไม้ ธูปเทียน เชี่ยนหมาก นำำาต้น (คนโทนำำา)
บ้านที่มีหอผีเรียกว่า “บ้านเก๊าผี” เป็นบ้านของหญิงในตระกูลที่อาวุโสที่สุด เมื่อคนในตระกูลแยกออกไปตัำงเรือนเป็นครอบครัวใหม่ก็จะแบ่งเอาผีไป
ด้วยการแบ่งเอาดอกไม้บูชาผีที่หอผีไปไว้ที่บ้านเรือนตนโดยไปวางไว้ด้านหัวนอนใกล้กับเสามงคล ผู้ที่แยกผีเรือนไปอยู่บ้านอื่นนอกจากบ้านเก๊าผีจะต้องเป็นผู้หญิง
เพราะถือเป็นการสืบทอดทางฝ่ายหญิงเท่านัำน ฉะนัำน ภายในห้องนอนตามคติล้านนาถือว่าเป็นที่สิงสถิตของผีปู่ย่าด้วย
และถือเป็นบริเวณเฉพาะของกลุ่มเครือยาติที่ถือผีเดียวกันกล่าวคือเป็นบริเวณหวงห้ามสำาหรับบุคคลภายนอกตระกูลที่ไม่ใช่ผีเดียวกัน การแบ่งเขตหวงห้ามแบ่งโดย “ข่มประตู”
(ธรณีประตู)หากบุคคลภายนอกล่วงลำำาเกินข่มประตู ถือเป็นการ “ผิดผี” เชื่อว่าจะทำาให้ผีโกรธและจะลงโทษผู้ล่วงละเมิดให้มีอันเป็นไป จะต้องทำาพิธี “เสียผี” คือขอขมาต่อผีปู่ย่า
ด้วยการนำาเครื่องสังเวยและเงินค่าปรับโทษมาขมาต่อผีปู่ย่ายังบ้านที่ตนล่วงละเมิด โดยเจ้าของบ้านจะทำาพิธีขอขมาภายในห้องนอน
เรือนไทยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
4
การสร้างบ้านของชุมชนในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ตัำงแต่สมัยโบราณมักเลือกทำาเลที่ตัำงอยู่ตามที่ราบลุ่มที่มีแม่นำาสำาคัญ ๆ ไหลผ่าน เช่น แม่นำาโขง แม่นำามูล
แม่นำาชี แม่นำาสงคราม ฯลฯ รวมทัำงอาศัยอยู่ตามริมหนองบึง ถ้าตอนใดนำำาท่วมถึงก็จะขยับไปตัำงอยู่บนโคกหรือเนินสูง ดังนัำนชื่อหมู่บ้านในภาคอีสานจึงมักขึำนต้นด้วยคำาว่า “โคก
โนน หนอง” เป็นส่วนใหญ่
ลักษณะหมู่บ้านทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสานนัำน มักจะอยู่รวมกันเป็นกระจุก ส่วนที่ตัำงบ้านเรือนตามทางยาวของลำานำำานัำนมีน้อย
ผิดกับทางภาคกลางที่มักตัำงบ้านเรือนตามทางยาว ทัำงนีำเพราะมีแม่นำาลำาคลองมากกว่า หนุ่มสาวชาวอีสานเมื่อแต่งงานกันแล้ว ตามปกติฝา่ ยชายจะต้องไปอยู่บ้านพ่อตาแม่ยาย
ต่อเมื่อมีลูกจึงขยับขยายไปอยู่ที่ใหม่เรียกว่า “ออกเอือน” แล้วหักล้างถางพงหาทีทำานา ดังนัำน ที่นาของคนชัำนลูกชัำนหลานจึงมักไกลออกจากหมู่บ้านไปทุกที
และเมื่อบริเวณเหมาะสมจะทำานาหมดไป เพราะพืำนที่ราบที่มีแหล่งนำำามีจำากัด คนอีสานชัำนลูกหลานก็มักชวนกันไปตัำงบ้านใหม่อีก
หรือถ้าที่ราบในการทำานาบริเวณใดกว้างไกลไปมาลำาบาก ก็จะชวนกันไปตังบ้านใหม่ใกล้เคียงกับนาของตน ทำาให้เกิดการขยายตัวหลายเป็นหมู่บ้านขึำน
การตัำงถิ่นฐานบ้านเรือนของคนอีสานมักเลือกทำาเลที่เอืำอต่อการยังชีพ ซึ่งมีองค์ประกอบทั่วไปดังนีำ
๑. แหล่งนำำา นับเป็นสิ่งสำาคัญอันดับแรก อาจเป็นหนองนำำาใหญ่ หรือห้วย หรือลำานำำาที่แยกสาขามาจากแม่นำาใหญ่ ที่มีนำาเฉพาะฤดูฝน
ส่วนมากเป็นที่ราบลุ่มสามารถทำานาและเลีำยงสัตว์ได้ในบางฤดูเท่านัำน
ชื่อหมู่บ้านมักขึำนต้นด้วยคำาว่า “เลิง วัง ห้วย กุด หนอง และท่า” เช่น เลิงนกทา วังสามหม้อ ห้วยยาง กุดนาคำา หนองบัวแดง ฯลฯ
๒. บริเวณที่ดอนเป็นโคกหรือที่สูงนำำาท่วมไม่ถึง สามารถทำาไร่และมีทุ่งหญ้าเลีำยงสัตว์ มีทัำงที่ดอนริมแม่นำาและที่ดอนตามป่าริมเขา
แต่มีนำาซับไหลมาบรรจบเป็นหนองนำำา ชื่อหมู่บา้ นมักขึำนต้นด้วยคำาว่า “โคก ดอน โพน และโนน” เช่น โคกสมบูรณ์ ดอนสวรรค์ โพนยางคำา ฯลฯ
๓. บริเวณป่าดง เป็นทำาเลที่ใช้ปลูกพืชไร่และสามารถหาของป่าได้สะดวก มีลำาธารไหลผ่าน
เมื่ออพยพมาอยู่กันมากเข้าก็กลายเป็นหมู่บ้านและมักเรียกชื่อหมู่บ้านขึำนต้นด้วยคำาว่า “ดง ป่า และเหล่า” เช่น โคกศาลา ป่าต้นเปือย เหล่าอุดม ฯลฯ
๔. บริเวณที่ราบลุ่ม เป็นพืำนที่เหมาะในการทำานาข้าว และทุ่งหญ้าเลีำยงสัตว์ในหน้าแล้ง ตัวหมู่บ้านจะตัำงอยู่บริเวณขอบหรือแนวของที่ราบติดกับชายป่า
แต่นำาท่วมไม่ถึงในหน้าฝน บางพืำนที่เป็นที่ราบลุ่มมีนำาขังตลอดทัำงปี เรียกว่า “ป่าบุ่งป่าทาม” เป็นต้น
๕. บริเวณป่าละเมาะ มักเป็นทีส่ าธารณะสามารถใช้เลีำยงสัตว์และหาของป่าเป็นอาหารได้ ตลอดจนมีสัตว์เล็กสัตว์น้อยที่นำามาเป็นอาหารยังชีพ
รวมทัำงสมุนไพรใช้รักษาโรค และเป็นสถานที่ยกเว้นไว้เป็นดอนปู่ตา ตามคติความเชื่อของวัฒนธรรมกลุ่มไต-ลาว
๑. นำำา เพื่อการยังชีพและประกอบการเกษตรกรรม
เมื่อเลือกได้พืำนที่ปลูกเรือนแล้ว จะมีการเสี่ยงทายพืำนที่นัำนอีกครัำงหนึ่ง โดยจัดข้าว ๓ กระทง คือ ข้าวเหนียว ๑ กระทง, ข้าวเหนียวดำา ๑ กระทง และข้าวเหนียวแดง
๑ กระทง นำาไปวางไว้ตรงหลักกลางที่ดินเพื่อให้กากิน ถ้ากากินข้าวดำา ท่านว่าอย่าอยู่เพราะที่นัำนไม่ดี ถ้ากากินข้าวแดง ท่านว่าไม่ดียิ่งเป็นอัปมงคลมาก ถ้าการกินข้าวขาว
ท่านว่าดีหลี จะอยู่เย็นเป็นสุข ให้รับเฮ็ดเรือนสมสร้างให้เสร็จเร็วไว การเลือกพืำนที่ที่จะปลูกเรือนอีกวิธีหนึ่งคือ การชิมรสของดิน โดยขุดหลุมลึกราวศอกเศษ ๆ
เอาใบตองปูไว้ก้นหลุม แล้วหาหญ้าคาสดมาวางไว้บนใบตอง ทิำงไว้ค้างคืนจะได้ไอดินเป็นเหงื่อจับอยู่หน้าในตอง จากนัำนให้ชิมเหงื่อที่จับบนใบตอง หากมีรสหวาน
เป็นดินดีพออยู่ได้ มีรสจืด เป็นดินที่เป็นมงคล จะอยู่เย็นเป็นสุข มีรสเค็ม เป็นอัปมงคล ใครอยู่มักไม่ยั่งยืน มีรสเปรีำยว พออยู่ได้แต่ไม่ใคร่ดีนัก จะมีทุกข์เพราะเจ็บไข้อยู่เสมอ
นอกจากนีำ ยังมีความเชื่อเรื่องกลิ่นของดินอีกด้วย โดยการขุดดินลึกราว ๑ ศอก เอาดินขึำนมาดมกลิ่นว่าเป็นอย่างไร ซึ่งเชื่อกันว่า ถ้าดินมีกลิ่นหอม ถือว่าดินนัำนอุดมดี
เป็นมงคลอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าดินมีกลิ่นเย็น กลิ่นเหม็น กลิ่นคาว ถือว่าดินนัำนไม่ดี ใครปลูกสร้างบ้านอยู่เป็นอัปมงคล การดูพืำนที่ก่อนการสร้างเรือน
ชาวอีสานแต่โบราณถือกันมาก แต่ในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับวิถีชีวิต โดยยังใช้คติเดิมแต่มีการเลี่ยงหรือการแก้เคล็ด เช่น การชิมดิน
หากเป็นรสเค็มหรือเปรีำยวก็แกเคล็ดโดยการบอกว่าจืด ส่วนการดมกลิ่นดิน การมีกลิ่นเหม็นคาวก็จะบอกเอาเคล็ดว่าหอม เป็นต้น
ฤกษ์ยามในการปลูกเรือน
ฤกษ์เดือน
ฤกษ์วัน
๑. วันอาทิตย์ ปลูกเรือนจะเกิดทุกข์อุบาทว์
6
๒. วันจันทร์ ทำาแล้ว ๒ เดือนจะได้ลาภผ้าผ่อนและของชาวเหลือง เป็นที่พึงพอใจ
ลักษณะเรือนไทยอีสาน
คำาว่า “บ้าน” กับ “เฮือน” (ความหมายเช่นเดียวกับ “เรือน”) สำาหรับความเข้าใจของชาวอีสานแล้วจะต่างกัน คำาว่า “บ้าน” มักจะหมายถึง “หมู่บ้าน”
มิใช่บ้านเป็นหลัง ๆ เช่น บ้านโนนสมบูรณ์ บ้านนาคำาแคนหรือบ้านดงมะไฟ เป็นต้น ส่วนคำาว่า “เอือน” นัำน ชาวอีสานหมายถึงเรือนที่เป็นหลัง ๆ นอกจากคำาว่า “เฮือน” แล้ว
อีสานยังมีสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะการใช้สอยใกล้เคียงกัน แต่รูปแบบแตกต่างกันไป เช่น คำาว่า “โฮง” หมายถึงที่พักอาศัยที่ใหญ่กว่า “เฮือน” มักมีหลายห้อง
เป็นที่อยู่ของเจ้าเมืองหรือเจ้าครองนครในสมัยโบราณ คำาว่า “คุ้ม” หมายถึง บริเวณที่มี “เฮือน” รวมกันอยู่หลาย ๆ หลังเป็นหมู่อยู่ในละแวกเดียวกัน เช่น คุ้มวัดเหนือ คุ้มวัดใต้
และคุ้มหนองบัวเป็นต้น คำาว่า “ตูบ” หมายถึง กระท่อมที่ปลูกไว้เป็นที่พักชั่วคราว มุงด้วยหญ้าหรือใบไม้ ชาวอีสาน
มีความเชื่อในการสร้างเรือนให้ดา้ นกว้างหันไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก ให้ดา้ นยาวหันไปทางทิศเหนือและใต้ ซึ่งเป็นลักษณะที่เรียกว่า วางเรือนแบบ “ล่องตาเว็น”
(ตามตะวัน) เพราะถือว่าหากสร้างเรือนให้ “ขวางตาวัน แล้ว “ขะลำา” คือเป็นอัปมงคลทำาให้ผู้อยู่ไม่มีความสุข บริเวณรอบ ๆ เรือนอีสานไม่นิยมทำารัวำ
เพราะเป็นสังคมเครือญาติมักทำายุ้งข้าวไว้ใกล้เรือน บางแห่งทำาเพิงต่อจากยุ้งข้าว มีเสารับมุงด้วยหญ้าหรือแป้นไม้ เพื่อเป็นทีต่ ิดตัำงครกกระเดื่องไว้ตำาข้าว
ส่วนใต้ถุนบ้านซึ่งเป็นบริเวณที่มีการใช้สอยมากที่สุด จะมีตัำงแต่ตัำงหูกไว้ทอผ้า กี่ทอเสื่อแคร่ไว้ปั่นด้าย และเลีำยงลูกหลาน นอกจากนัำนแล้ว ใต้ถุนยังใช้เก็บไหหมักปลาร้า
และสามารถกัำนเป็นคอกสัตว์เลีำยง ใช้เก็บเครื่องมือเกษตรกรรม ตลอดจนใช้จอดเกวียน
การจัดวางแผนผังของห้องและองค์ประกอบต่าง ๆ ในเรือนไทยอีสานมีดังนีำ
๑. เรือนนอนใหญ่ จะวางจั่วรับทิศตะวันออก-ตะวันตก (ตามตะวัน) ส่วนมากจะมีความยาว ๓ ช่วงเสา เรียกว่า “เรือนสามห้อง” ใต้ถุนโล่ง ชัำนบนแบ่งออกเป็น ๓
ส่วน คือ
๑.๑. ห้องเปิง เป็นห้องนอนของลูกชาย มักไม่กัำนห้องด้านหัวนอนมีหิำงประดิษฐานพระพุทธรูปหรือสิ่งเคารพบูชา เช่น เครื่องราง ของขลัง เป็นต้น
๑.๒. ห้องพ่อ-แม่ อาจกัำนเป็นห้องหรือบางทีก็ปล่อยโล่ง
๑.๓. ห้องนอนลูกสาว มีประตูเข้ามีฝากัำนมิดชิด หากมีลูกเขยจะให้นอนในห้องนีำ ซึ่งชาวอีสานเรียกว่า “ห้องส่วม”
ส่วนชัำนล่างของเรือนนอนใหญ่อาจใช้สอยได้อีกกล่าวคือ กัำนเป็นคอกวัวควาย ตัำงแคร่นอนพักผ่อนในตอนกลางวัน และทำาหัตถกรรมจักสานถักทอของสมาชิกในครอบครัว
เก็บอุปกรณ์การทำานาทำาไร่ เช่น จอบ เสียม คราด ตลอดจนเกวียน เป็นต้น
๒. เกย (ชานโล่งมีหลังคาคลุม) เป็นพืำนที่ลดระดับลงมาจากเรือนนอนใหญ่ มักใช้เป็นที่รบั แขก ที่รบั ประทานอาหาร
และใช้เป็นที่หลับนอนของลูกชายและแขกเหรื่อที่กลับมาจากงานบุญในตอนคำ่าคืน ส่วนของใต้ถุนจะเตีำยกว่าปกติ ซึ่งอาจใช้เป็นที่เก็บฟืนหรือสิ่งของที่ไม่ใหญ่โตนัก
๓. เรือนแฝด เป็นเรือนทรงจั่วเช่นเดียวกับเรือนนอน ในกรณีที่พืำนทัำงสองหลังเสมอกัน โครงสร้างทัำงคานพืำนและขื่อหลังคาจะฝากไว้กับเรือนนอน
แต่หากเป็นเรือนแฝดลดพืำนลงมากกว่าเรือนนอนก็มักเสริมเสาเหล็กมารับคานไว้อีกแถวหนึ่งต่างหาก
๔. เรือนโข่ง มีลักษณะเป็นเรือนทรงจั่วเช่นเดียวกับเรือนนอนใหญ่แต่ต่างจากเรือนแฝดตรงที่โครงสร้างของเรือนโข่งจะแยกออกจากเรือนนอน โดยสิำนเชิง
สามารถรืำอถอนออกไปปลูกใหม่ได้โดยไม่ประทบกระเทือนต่อเรือนนอน การต่อเชื่อมของชายคาทัำง ๒ หลัง ใช้รางนำำา โดยใช้ไม้กระดาน ๒
แผ่นต่อกันเป็นรูปตัววีแล้วอุดด้วยชันผสมขีำเลื่อย ในกรณีที่เรือนไม่มีครัวก็สามารถใช้พืำนที่ส่วนเรือนโข่งนีำทำาครัวชั่วคราวได้
๕. เรือนไฟ (เรือนครัว) ส่วนมากจะเป็นเรือน ๒ ช่วงเสา มีจั่วโปร่งเพื่อระบายควันไฟ ฝานิยมใช้ไม้ไผ่สานลายทแยงหรือลายขัด
๖. ชานแดด เป็นบริเวณนอกชานเชื่อมระหว่างเกย เรือนแฝดกับเรือนไฟ มีบันไดขึำนด้านหน้าเรือนมี “ฮ้างแอ่งนำำา” (้ำร้านหม้อนำำา) อยู่ตรงขอบของชานแดด
บางเรือนที่มีบันไดขึำนลงทางด้านนหลังจะมี “ชานมน” ลดระดับลงไปเล็กน้อยโดยอยู่ก้านหน้าของเรือนไฟเพื่อใช้เป็นทีล่ ้างภาชนะตัำงโอ่งนำำาและวางกระบะปลูกพืชผักสวนครัวต่าง
ๆ
รูปแบบของเรือนไทยอีสานสามารถแบ่งได้ตามประเภทของการพักอาศัยที่ตอบสนองประโยชน์ใช้สอยในวาระต่าง ๆ กัน ดังต่อไปนีำ
7
๑. ประเภทชั่วคราว หรือใช้เฉพาะฤดูกาล ได้แก่ “เถียงนา” หรือ “เถียงไร่” ส่วนใหญ่จะยกพืำนสูง เสาเรือนใช้ไม้จริง
ส่วนโครงใช้ไม้ไผ่หลังคามุงหญ้าหรือแป้นไม้ที่รืำอมาจากเรือนเก่า พืำนเป็นไม้ไผ่สับ ในกรณีที่ไร่นาอยู่ไม่ไกลจากเรือนพักสามารถไปกลับได้ภายในวันเดียวจะไม่นิยมกัำนฝา
หากต้องค้างคืนก็มักกัำนฝาด้วย “แถบตอง” คือสานไม้ไผ่เป็นตารางขนาบใบต้นเหียงหรือใบต้นพลวง ซึ่งจะทนทานอยู่ราว ๑-๒ ปี
๒. ประเภทกึ่งถาวร เป็นเรือนขนาดเล็กที่ไม่มั่นคงแข็งแรงนักชาวอีสานเรียกว่า “เรือนเหย้า” หรือ “เฮือนย้าว” เป็นการเริ่มต้นชีวติ การครองเรือน และค่อย ๆ
เก็บหอมรอมริบไปสู่การมีเรือนถาวรในที่สุด ผูท้ ี่จะมี “เรือนเหย้า” นีจำ ะเป็นเขยของบ้านที่เริ่มแยกตัวออกไปจากเรือนใหญ่ (เรือนพ่อแม่) เพราะในแง่ความเชื่อของชาวอีสาน
เรือนหลังเดียวไม่ควรให้ครอบครัวของพี่น้องอยู่ร่วมกันหลายครอบครัวในบ้านหลังหนึ่ง ๆ ควรมีเขยเดียวเท่านัำน การมีเขนมากกว่าหนึ่งคนมาอยู่ร่วมชายคาเดียวกันถือว่าจะเกิด
“ขะลำา” หรือสิ่งอัปมงคล เรือนประเภทนีำวสั ดุก่อสร้างมักไม่พิถีพิถันนัก อาจเป็นแบบ “เรือนเครื่องผูก” หรือเป็นแบบผสมของ “เรือนเครื่องสับ” ก็ได้
เรือนประเภทกึ่งถาวรนีำสามารถแบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ
๒.๑ เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิด “ตูบต่อเล้า” เป็นเรือนที่อิงเข้ากับตัวเล้าข้าว ซึ่งมีอยูเ่ กือบทุกครัวเรือน
มีลักษณะคล้ายเพิงหมาแหงนทั่วไปด้านสูงจะไปอาศัยโครงสร้างของเล้าข้าวเป็นตัวยึด ต่อหลังคาลาดตำ่าลงไปทางด้านข้างของเล้า แล้วใช้เสาไม้จริงตัำงรับเพียง ๒-
๓ ต้น มุงหลังคาด้ายหญ้าหรือสังกะสี ยกพืำนเตีำย ๆ กัำนฝาแบบชั่วคราว อาศัยกันไปก่อนสักระยะหนึ่ง พอตัำงตัวได้ก็จะย้ายไปปลูกเรือนใหญ่ถาวรอยู่เอง
ตรงส่วนที่เป็น “ตูบต่อเล้า” นีำก็ทิำงให้เป็นที่นอนเล่นของพ่อแม่ต่อไป
๒.๒ เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิด “ดัำงต่อดิน” เป็นเรือนพักอาศัยที่แยกตัวออกจากเรือนใหญ่ทำานองเดียวกับ “ตูบต่อเล้า” แต่จะดูเป็นสัดส่วนมากกว่า
ขนาดของพืำนที่ค่อนข้างน้อย กว้างไม่เกิน ๒ เมตร ยาวไม่เกิน ๕ เมตร นิยมทำา ๒ ช่วงเสา คำาว่า “ดัำงต่อดิน” เป็นคำาเรียกของชาวไทยอีสานที่หมายถึง
ตัวเสาดัำงจะฝังถึงดิน และใช้ไม้ท่อนเดียวตลอดสูงขึำนไปรับอกไก่
วิธีสร้าง “ดัำงต่อดิน” มักใช้ผูกโครงสร้างเหมือนกับเรือนเครื่องผูกตัวเสาและเครื่องบนนิยมใช้ไม้จริงทุบเปลือก
หลังคามุงด้วยหญ้าคาที่กรองเป็นตับแล้วเรียกว่า “ไพหญ้า” หรือใช้แป้นไม้ที่รืำอมาจากเรือนใหญ่
ฝาเรือนมักใช้ฝาแถบตองโดยใช้ใบกุงหรือใบชาดมาประกบกับไม้ไผ่สานโปร่งเป็นตาราง หรือทำาเป็นฝาไม้ไผ่สับฟากสานลายขัดหรือลายสองทแยงตามแต่สะดวก
ส่วนพืำนนิยมใช้พืำนสับฟากหรือใช้แผ่นการดานปูรอง โดยใช้ไม้ไผ่ผ่าซีกมามัดขนาบกันแผ่นกระดานขยับเลื่อน
๒.๓ เรือนเหย้ากึ่งถาวรชนิด “ดัำงตัำงคาน” ยังอยู่ในประเภทของเรือนเครื่องผูก มีความแตกต่างจากเรือน “ดัำงต่อดิน”
ตรงที่เสาดัำงต้นกลางจะลงมาพักบนคานสกัดไม่ต่อลงไปถึงดิน ส่วนการใช้วัสดุมุงหลังคา ฝาและพืำนเรือนจะใช้เช่นเดียวกับเรือนประเภท “ดัำงต่อดิน”
๓. ประเภทถาวร ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็น “เรือนเครื่องสับ” สังเกตได้จากการเลือกใช้วัสดุ รูปแบบของการก่อสร้าง ประโยชน์ใช้สอยและความประณีตทางช่าง
อาจจำาแนกเรือนถาวรได้เป็น ๓ ชนิด ดังนีำ
๓.๑. ชนิดเรือนเกย มีลักษณะใต้ถุนสูง หลังคาทรงจั่ว เสาใช้ไม้กลม ๘ เหลี่ยม หรือเสา ๔ เหลี่ยม ตัวเรือนประกอบด้วยเรือนใหญ่ เกย ชานแดด เรือนไฟ และฮ้างแอ่งนำำา
(ร้านหม้อนำำา)
๓.๒. ชนิดเรือนแฝด มีลักษณะใต้ถุนสูงและใช้เสากลมหรือเสาเหลี่ยมเช่นเดียวกัน ตัวเรือนประกอบด้วยเรือนใหญ่ เรือนแฝด เกย ชานแดด เรือนไฟ
ฮ้างแอ่งนำำา
๓.๓. ชนิดเรือนโข่ง มีลักษณะใต้ถุนสูงและใช้เสากลมหรือเสาเหลี่ยม มีจั่วแฝดอยู่ชิดติดกัน ไม่นิยมมีเกย เรือนชนิดนีำประกอบด้วย เรือนใหญ่ เรือนโข่ง
ชานแดด เรือนไฟ และฮ้างแอ่งนำำา
เรือนไทยภาคกลาง
องค์ประกอบต่างๆ ของเรือนไทยภาคกลางมีดังนีำ
9
งัว ไม้ท่อนกลมยาว ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑๕ เซนติเมตร ยาวประมาณ ๕๐-๗๐ เซนติเมตร
ใช้ไม้ทองหลางวางขวางกับปลายเสา ทำาหน้าที่เป็นหมอนรองรับนำำาหนักจากกงพัดถ่ายลงดิน
ลักษณะการทำางานเหมือนกับฐานรากของอาคารในปัจจุบัน ซึ่งมีไว้เพื่อกันเรือนทรุด
เรือนไทยภาคใต้
ภาคใต้ของประเทศไทยมีสภาพทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างไปจากภาคอื่น ๆ ของประเทศ กล่าวคือ
ลักษณะเรือนไทยภาคใต้ (เรือนไทยมุสลิม)
บ้านเรือนนับเป็นปัจจัยพืำนฐานทีส่ ำาคัญของมนุษย์ เพื่อป้องกันอันตรายจากลมฟ้าอากาศและสัตว์ร้ายซึ่งต้องเหมาะสมกับลักษณะภูมิประเทศ ดินฟ้าอากาศ
ตลอดจนจารีตประเพณีทางสังคม และรูปแบบการดำาเนินชีวิต สำาหรับเรือนไทยมุสลิม นอกจากจะสร้างขึำนเพื่อตอบสนองความต้องการพืำนฐานของมนุษย์ดังกล่า วแล้ว
ยังสะท้อนให้เห็นอิทธิพลของศาสนาอิสลามที่มีต่อการสร้างบ้านเรือนอย่างแท้จริง ทัำงในรูปแบบการใช้พืำนที่ การอยู่อาศัย การประกอบกิจกรรมในการดำารงชีวิต
และการประดับตกแต่งตัวเรือนให้งดงาม โดยทั่วไปเรือนมุสลิมมักเป็นเรือนแฝด และสามารถต่อขยายไปได้ตามลักษณะของครอบครัวขยาย โดยมีชานเชื่อมต่อกัน
14
และมีการเล่นระดับพืำนเรือนให้ลดหลั่นกันไป เช่น พืำนบริเวณเฉลียงด้านบันไดหน้าแล้วยกพืำนไปเป็นระเบียง
จากพืำนระเบียงจะยกระดับไปเป็นพืำนตัวเรือนจากตัวเรือนจะลดระดับไปเป็นพืำนครัว จากพืำนครัวจะลดระดับเป็นพืำนที่ซักล้าง ซึ่งอยู่ตดิ กับบันไดหลัง
การลดระดับพืำนจะเห็นได้ชัดว่า มีการแยกสัดส่วนจากกันในการประกอบกิจกรรมต่าง ๆ บางตัวเรือนเมื่อสร้างตัวเรือนหลักเสร็จแล้ว
ยังต้องกำาหนดพืำนที่ให้เป็นบริเวณที่ใช้ทำาพิธีละหมาด ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ต้องกระทำาวันละ ๕ ครัำง
ส่วนการกัำนห้องเพื่อเป็นสัดส่วนเรือนไทยมุสลิมจะกัำนแต่ที่จำาเป็นนอกนัำนจะปล่อยพืำนที่ให้โล่ง เพราะชาวไทยมุสลิมใช้เรือนเป็นทีป่ ระกอบพิธีทางศาสนา
นอกจากนัำนยังไม่นิยมตีฝ้าเพดาน เพราะภาคใต้มีอากาศร้อนและฝนตกชุก อากาศจึงอบอ้าว และมักจะเว้นช่องลมใต้หลังคาให้ลมโกรกอยู่ตลอดเวลา การที่ตัวเรือนยกพืำนสูง
ชาวไทยมุสลิมจึงสามารถใช้ใต้ถุนประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ทีส่ ่งเสริมการดำารงชีวิตได้เป็นอย่างดี เช่น ใช้เป็นบริเวณประกอบอาชีพเสริม คือ ทำากรงนก สานเสื่อกระจูด
หรืออาจใช้วางแคร่เพื่อพักผ่อน บางบ้านอาจกัำนเป็นคอกสัตว์ เป็นต้น
เนื่องจากประเพณีความเป็นอยู่ของชาวไทยมุสลิมจะแยกกิจกรรมของชายหญิงอย่างชัดเจน ตัวเรือนจึงนิยมมีบันไดไว้ทัำงทางขึำนหน้าบ้านและทางขึำนครัว
โดยทัว่ ไปผู้ชายจะใช้บันไดหน้า ส่วนผู้หญิงจะใช้บันไดหลังบ้าน รวมทัำงเป็นการไม่รบกวนแขกในการเดินผ่านไปมาอีกด้วย ลักษณะเด่นทางสถาปัตยกรรมของเรือนไทยมุสลิม คือ
การสร้างเรือนโดยการผลิตโดยการผลิตส่วนประกอบของเรือนก่อน แล้วจึงนำาส่วนต่าง ๆ เหล่านัำนขึำนประกอบกันเป็นตัวเรือนอีกทีหนึ่ง ขณะเดียวกัน
เมื่อต้องการย้ายไปประกอบในพืำนที่อื่น ๆ ตัวเรือนก็สามารถแยกออกได้ส่วน ๆ ได้เสาเรือนจะไม่ฝังลงดิน แต่จะเชื่อมยึดต่อกับตอม่อหรือฐานเสาเพื่อป้องกันปลวก
เนื่องจากมีความชืำนสูงมาก
นอกจากนีำเรือนไทยมุสลิมยังแยกส่วนที่อยู่อาศัย (แม่เรือน) ออกจากครัว โดยใช้เฉลียงเชื่อมต่อกัน ทัำงนีำเพราะเชื่อว่าบริเวณแม่เรือนเป็นบริเวณที่สะอาด
ส่วนบริเวณครัวนัำนสามารถทำาสกปรกได้โดยง่ายแลยังสามารถดับเพลิงได้สะดวกเมื่อเกิดเพลิงไหม้บริเวณครัว
โดยสรุป เรือนไทยมุสลิมมีลักษณะเฉพาะตัวที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรม ดังนีำ
๑. หลังคาเป็นหลังคาทรงสูง มีความลาดชัน เพื่อให้นำาฝนไหลผ่านโดยสะดวก โดยทัว่ ไปมี ๓ แบบ คือ หลังคาจั่ว หลังคาปั้นหยา หลังคาจั่วมนิลา
มีหารต่อชายคาออกไปคลุมบันได เนื่องจากฝนตกชุกมากในบริเวณภาคใต้
๒. ไม่นิยมฝังเสาเรือนลงไปในพืำนดิน แต่จะใช้ตอม่อหรือบานเสาที่ทำาโดยไม้เนืำอแข็ง ศิลาแลง หรือเสาก่ออิฐฉาบปูนรองรับ
๓. วิธสี ร้างเรือนจะประกอบส่วนต่าง ๆ ของเรือนบนพืำนดินก่อนแล้วจึงยกส่วนโครงสร้างต่าง ๆ ขึำนประกอบเป็นตัวเรือนอีกทีหนึ่ง
การสร้างเรือนวิธีนีำทำาให้สะอาดในการย้ายบ้าน ซึ่งนิยมย้ายบ้านทัำงหลังโดยใช้คนหาม โดยถอดส่วนที่มีนำาหนักมากออกเสียก่อน เช่น ฝา กระเบืำองมุงหลังคา ฯลฯ
๔. ไม่นิยมสร้างรัำวกัำนบริเวณเรือน แต่จะปลูกไม้ผล เช่น มะพร้าว มะม่วง ขนุน กล้วย เพื่อให้ร่มเงา และเป็นการแสดงอาณาเขตของบ้านเรือน
ซึ่งนิยมสร้างแยกกันเป็นหลัง ๆ
๕. การวางตัวเรือนจะหันหน้าเข้าหาเส้นทางสัญจรทัำงทางนำำาและทางบก ซึ่งสามารถรับลมบกและลมทะเลได้
๖. นอกจากเรือนพักอาศัยแล้ว ยังมีอาคารประกอบบ้านเรือนอีกได้แก่ “ศาลา” ซึ่งมีรูปทรงของหลังคาคล้อยตามความนิยมของรูปแบบเรือนพักอาศัย เช่น
หลังคาจั่ว หลังคาปั้นหยา ศาลาเหล่านีำจะสร้างขึำนตามลักษณะการใช้สอย เช่น ใช้ประชุมหรือพบปะสังสรรค์ของชาวบ้านศาลาใช้สำาหรับเป็นที่หลบแดดฝนระหว่างเดินทาง
๗. สถานที่หรืออาคารประกอบตัวเรือนจะอำานวยความสะดวกในหารประกอบอาชีพของชาวใต้ เช่น
เรือนชาวนาจะมียุ้งข้าวขนาดเล็กสำาหรับเก็บข้าวเปลือกไว้หน้าบ้าน เรือนชาวสวนยางพาราจะมีโรงสำาหรับทำานำำายางให้เป็นแผ่นและที่ตากยาง เรือนชาวประมงจะมีที่ตากปลา
เป็นต้น
เรือนไทยมุสลิมใน ๔ จังหวัดภาคใต้
๑. เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดปัตตานี
ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ปัตตานีได้ชื่อว่าเป็นเมืองศูนย์กลางของวัฒนธรรมอิสลาม ซึ่งสืบทอดมาตัำงแต่ครัำนบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบัน
วัฒนธรรมดังกล่าวมีลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ ตลอดจนการดำารงชีวิตและที่สำาคัญคือสถาปัตยกรรมพืำนถิ่น
เนื่องจากปัตตานีมีพืำนที่ติดชายฝั่งตะวันออกคือ อ่าวไทย และมีอาณาเขตติดต่อกับจังหวัดยะลาและนราธิวาส หมู่บ้านของชาวไทย
มุสลิมในจังหวัดปัตตานีจึงมีลักษณะหลากหลาย ทัำงหมู่บ้านชาวประมง ชาวสวนยางพารา ชาวนา และชาวสวนผลไม้ ทำาให้รูปแบบการตัำงถิ่นฐานของชุมชนมีครบทัำง ๓ รูปแบบ
กล่าวคือ
๑. แบบเป็นกระจุก
๒. แบบกระจัดกระจาย
๓. แบบเรียงรายไปตามแนวชายฝั่งทะเล หรือเส้นทางสัญจร
ในฐานะที่ปัตตานีเป็นศูนย์กลางการค้าขายทางทะเลมาตัำงแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา รูปแบบสถาปัตยกรรมพืำนบ้านจึงมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย คือ
นอกจากจะเป็นเรือนไม้ยกพืำนใต้ถนุ สูง ซึ่งเป็นลักษณะร่วมทางสถาปัตยกรรมพืำนฐานของภูมิภาคศูนย์สูตรแล้ว ยังมีลักษณะรูปทรงหลังคาที่โดดเด่นเป็นพิเศษ
โดยทัว่ ไปหลังคาเรือนไทยมุสลิมจะมี ๓ ลักษณะ ดังนีำคือ
15
๑. หลังคาปั้นหยา หรือหลังคาลีมะ คำาว่า “ลีมะ” แปลว่า “ห้า” หมายถึงหลังคาที่นับสันหลังคาได้ ๕ ล้น
เป็นรูปทรงหลังคาที่ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบอาณานิคมของชาวตะวันตก หลังคาทรงปั้นหยานีำนับได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของภาคใต้
และพบได้ทั่วไปในจังหวัดภาคใต้โดยเฉพาะในจังหวัดปัตตานี
๒. หลังคาจั่วมนิลา ชาวมุสลิมเรียกว่า “บลานอ” ซึ่งหมายถึง ชาวฮอลันดา หลังคาแบบนีำเชื่อว่าได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมของชาวฮอลันดา
เป็นหลังคาที่มีโครงสร้างเช่นเดียวกับหลังคาปั้นหยา แต่เป็นหลังคาที่มีจั่วติดอยู่ เพื่อระบายอากาศและดูสวยงาม หลังคาบลานอนีำจะมีรูปแบบที่สวยงามกว่าแบบอื่น
เหมาะที่จะมีจั่วอย่างน้อย ๓ จั่ว โดยมีหลังจั่วแฝด และมีจั่วขนาดเล็กสร้างคลุมเฉลียงหน้าบ้านติดกับบันไดทางขึำน เพื่อใช้รับรองแขกอย่างไม่เป็นทางการ นอกยากนัำน
ช่างไม่ยังแสดงฝีมือเชิงช่างในการประดิษฐ์ลวดลายด้วยการแกะสลักไม้ ปูนปั้น เป็นลวดลายประดับลวดลายประดับยอดจั่ว และมีการเขียนลายบนหน้าจั่ว
หรือตีไม้ให้มีลวดลายเป็นแสงตะวัน
๓. หลังคาจั่ว ชาวมุสลิมเรียกว่า “แมและ” เชื่อว่าได้รับอิทธิพลจากเรือนไทยภาคกลาง แต่จะมีข้อแตกต่างไปจากภาคกลาง
ตรงที่มีปั้นลมปีกนกที่ได้รับอิทธิพลจากรูปแบบสถาปัตยกรรมจากมาเลเซีย ไม่เหมือนปั้นลมไทย ซึ่งปลายปั้นลมทัำงสองข้างจะมีเหงาปั้นลมประดับอยู่
นอกจากหลังคาทัำง ๓ แบบดังกล่าวแล้ว เรือนชาวไทยมุสลิมโบราณในจังหวัดปัตตานียังมีลักษณะเด่น คือ
การประดิษฐ์ลวดลายไม้แกะสลักทัำงบริเวณช่องลมและประดับฝาเรือนอีกด้วย
๒. เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดยะลา
เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดยะลาเป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง หลังคาทรงจั่วมนิลาและทรงปั้นหยา แต่ทรงจั่วมนิลาจะพบมากกว่าทรงปั้นหยา เรือนหนึ่ง ๆ
จะมีทางขึำนเรือนอย่างน้อยสองทางเสมอ เนื่องจากเวลามีกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับศาสนา วัฒนธรรม และประเพณีต่าง ๆ จะมีการแยกเพศระหว่างชายและหญิง
เมื่อมีแขกมาในงาน ถ้าเป็นชายจะขึำนเรือนทางด้านหน้า ส่วนหญิงจะขึำนเรือนทางด้านข้างหรือด้านหลัง
๓. เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดนราธิวาส
เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดนราธิวาสมีรูปทรงของเรือนเหมือนเรือนไทยมุสลิมทั่วไปคือ เป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง
เสาจะวางอยู่บนตอม่อบางบ้านทำาเป็นตอม่อซีเมนต์หล่ออย่างแข็งแรง บางบ้านก็ใช้เสาไม้ขนาดใหญ่ทำาตอม่อ
รูปทรงหลังคาเรือนไทยมุสลิมในนราธิวาสจะแตกต่างจากจังหวัดปัตตานีและยะลา ตรงที่หลังคาเป็นทรงจั่วมนิลาทรงสูง เล็ก
และมีหลังคาทอดกว้างออกไปในลักษณะจั่วเดียวหรือซ้อนเรียงกัน ๒ จั่ว แล้วแต่ขนาดของเรือนว่าเล็กใหญ่แค่ไหน ซึ่งมีทัำงหลังคากระเบืำองและสังกะสี
ส่วนการใช้พืำนที่เรือนและบริเวณบ้านมีลักษณะเดียวกับเรือนในยะลาและปัตตานี เนื่องจากเป็นกลุ่มประชากรที่มีลักษณะทางวัฒนธรรมแบบเดียวกัน
๔. เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดสตูล
เรือนไทยมุสลิมในจังหวัดสตูลมีลักษณะหลังคาเป็นแบบจั่วยกสูงแล้วลาดเอียงไปในแนวชายคาทั่งสองด้าน มีลักษณะเหมือนปีกนก เพื่อให้นำาฝนไหลผ่านได้สะดวก
ความพิเศษของเรือนไทยมุสลิมในจังหวัดสตูลอยู่ที่ไม่มีฝ้าเพดาน แต่จะนิยมทำาช่องลมไว้ใต้จั่ว แม่เรือนหรือตัวเรือนหลักจะไม่มีเฉลียงหรือระเบียง มีบันไดพาดขึำนบ้านได้ทันที
ทัำงนีำเพราะเป็นข้อห้ามตัำงแต่ครัำงโบราณว่า เรือนเจ้านายระดับสูงเท่านัำนจึงจะมีระเบียงหรือเฉลียง ส่วนเรือนชาวบ้านสามัญจะต้องไม่เลียนแบบเรือนเจ้านาย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเรือนชาวบ้านได้มีการต่อเติมเพิ่มเฉลียงขึำนให้คลุมบันได เพื่อป้องกันฝนสาดและสะดวกในการใช้ประโยชน์จากพืำนที่
ประเพณีและความเชื่อในการสร้างบ้านเรือนของชาวไทยมุสลิมในอดีตจะมีประเพณีกรรมหลายอย่าง
เข้าใจว่าได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์เพราะตามบันทึกและประวัติศาสตร์ก่อนหน้าที่ศาสนาจะเข้ามามีอิทธิพลประชาชนในดินแดนแถบนีำนับถือศาสนาพุทธมาก่อน
ดังนัำนเมื่อศาสนาอิสลามเข้ามา แม้ประชาชนในแถบนีำจะนับถือศาสนาอิสลามแล้วก็ตาม แต่ประเพณีต่าง ๆ
ของศาสนาพุทธและพราหมณ์บางอย่างก็ยังเป็นที่ยดึ ถือและปฏิบัติอยู่ ประเพณีการสร้างเรือนไทยมุสลิมมีขัำนตอนและพิธีกรรมที่น่าสนใจดังต่อไปนีำคือ
๑. สถานที่สร้างเรือน
การเตรียมสถานที่สร้างเรือนจะต้องเป็นพืำนดินราบเสมอกันในบริเวณที่จะสร้างเรือน ส่วนนอกบริเวณดังกล่าวทางทิศเหนือต้องเป็นที่ดอนหรือเนิน
และทางทิศใต้ต้องเป็นพืำนทีต่ ำ่ากว่า อาจจะเป็นพืำนที่นาข้าวส่วนทิศตะวันออกต้องเป็นพืำนที่เสมอกันกับพืำนที่สร้างเรือน ถ้าเลือกพืำนที่ในลักษณะที่เช่นนีำเป็นที่สร้างเรือนแล้ว
เชื่อกันว่าเมื่อสร้างเรือนอยู่ ชีวิตครอบครัวจะรุ่งเรืองอยู่เย็นเป็นสุข การทำามาหากินจะมีโชคลาภ ได้ทรัพย์สมบัติเพิ่มพูนและฐานจะดีขึำนตามลำาดับ
แต่ถ้าหาพืำนที่ในลักษณะดังกล่าวไม่ได้ เมื่อตัดสินใจสร้างเรือนในพืำนที่ใดให้หาไม้ไผ่อ่อนที่ยังไม่แตกกิ่งใบ ตัดเอาแต่ด้านโคนมีความยาว ๑ วา
โดยวัดความยาวด้วยข้อมือของผู้ที่จะสร้างเรือนจากปลายนิำวมือขวาถึงปลายนิำวมือซ้าย
จากนัำนนำาไปปักตรงใจกลางพืำนที่ที่จะสร้างในเวลาพลบคำ่าให้ลึกลงในดิบประมาณครึ่งศอก โดยก่อนจะปักไม้ไผ่ดังกล่าวจะต้องอ่านคัมภีร์อัลกุรอานในบท “อัลฟาตีฮะห์” ๑ จบ
แล้วอ่านคำาสรรเสริญพระเกียรติพระบรมศาสดามูฮัมหมัด ที่เรียกว่า “เศาะลาวาด” อีก ๓ จบ เสร็จแล้วไห้อธิษฐานขอให้พระอัลเลาะห์ได้โปรดประทานให้รู้อย่างหนึ่งอย่างใดว่า
พืำนที่ทตี่ ัำงใจจะสร้างเรือนจะเป็นสิริมงคลหรืออัปมงคล เมื่ออธิษฐานจบจึงปักไม้ไผ่ทิำงไว้จนรุ่งเช้า แล้วจึงนำาไม้ไผ่มาวัดความยาวใหม่
หากปรากฏว่าไม้ไผ่ยาวกว่าเดิมถือว่าพืำนที่นดีำ ี หากสัำนกว่าเดิมถือว่าไม่ดี ถ้าสร้างเรือนอยู่ครอบครัวจะแตกแยก การทำามาหากินไม่เจริญก้าวหน้าและมีอาถรรพ์ นอกจากนีำ
ควรลีกเลี่ยงการปลูกเรือนคร่อมจอมปลวก ตอไม้ใหญ่หรือครอง รวมทัำงหลีกเลี่ยงการปลูกเรือนใกล้ต้นไม้ใหญ่ ที่ดินสุสาน และพืำนที่รูปลิำนมีนาขนาบทัำงสองข้าง
๒. ทิศทางของเรือน
สำาหรับทิศทางของเรือนชาวมุสลิมเชื่อกันว่าไม่ควรสร้างขวางดวงตะวัน เพราะจะทำาให้ผู้อาศัยหลับนอนมีอนามัยไม่ดี
ไม่มีความจีรังยั่งยืนทางทีด่ ีที่สุดคือหันหน้าบ้านไปทางทิศตะวันออก หลังบ้านอยู่ทางทิศตะวันตก อย่างไรก็ตาม ชาวมุสลิมสมัยก่อนนิยมสร้างเรือนหันหน้าบ้านไปทางทิศเหนือ
16
หรือทางถนนเพื่อการสัญจร ส่วนห้องนอนต้องอยู่ทางทิศตะวันตก บางบ้านนิยมสร้างเรือนข้าว โดยเชื่อว่าเรือนข้าวมีความสำาคัญต่อครอบครัว
เพราะเป็นเครื่องวัดฐานะความมั่นคงของเจ้าบ้านทำาให้เกิดความเชื่อในเรื่องทิศทางและทำาเลที่ปลูกสร้างเรือนข้าวต่อมาโดยเชื่อกันว่าการปลูกเรือนข้าวไว้ทางทิศตะวันออกหรือทิ
ศใต้ของเรือนอาศัย จะทำาให้มีข้าวอุดมสมบูรณ์
๓. ฤกษ์ยามในการปลูกเรือน
การเลือกฤกษ์ยามในวันลงเสาเรือน เจ้าของบ้านจะต้องไปหาฤกษ์จากผู้รู้ เช่น โต๊ะอิหม่าม ซึ่งโดยมากวันที่ที่เป็นมงคลในการเริ่มลงเสาเรือนจะถือปฏิบัติกันหลายวิธี
และวิธีหนึ่งที่นิยมปฏิบัติกันทั่วไปคือ การนับธาตุทัำงสี่อันได้แก่ ดิน นำำา ไฟ ลม ซึ่งมีความหมายดังนีคำ ือ
“ดิน” หมายถึงการทำางานเป็นไปอย่างช้า ๆ อาจจะพบปัญหาและอุปสรรค
“นำำา” หมายถึงการทำางานอยู่ในสภาพเยือกเย็นได้รบั ความช่วยเหลือจากผู้อื่น
“ไฟ” หมายถึงการทำางานอยู่ในสภาพอารมณ์ร้อน การทำางานมีปัญหาและการทะเลาะเบาะแว้งในเครือญาติหรือเพื่อนร่วมงาน
“ลม” หมายถึงการทำางานเป็นไปอย่างรวมเร็ว ราบรื่น ไม่ค่อยมีปัญหา มีโชคลาภและอารมณ์เย็น การนับวันว่า วันไหนจะตกตรงกับธาตุดิน นำำา ไฟ ลม
จะต้องนับตามวันทางจัทรคติดังต่อไปนีำ
ดินนำำาไฟลมขึำน ๑ คำ่าขึำน ๒ คำ่า ขึนำ ๓ คำ่าขึำน ๔ คำ่า๕๖๗๘๙๑๐๑๑๑๒๑๓๑๔๑๕แรม ๑ คำ่าแรม ๒ คำ่าแรม ๓ คำ่าแรม ๔ คำ่าแรม ๕ คำ่า๖๗๘๙๑๐๑๑๑๒๑๓๑๔๑๕
วันที่นิยมสร้างเรือน ได้แก่ วันอาทิตย์ วันอังคาร วันพฤหัสบดี ส่วนวันที่ต้องห้าม คือ วันพุธ วันเสาร์ และไม่นิยมสร้างในวันศุกร์และวันพุธปลายเดือน
ทัำงนีำการนับวันของชาวไทยมุสลิมจะนับเวลาขึำนวันใหม่ตัำงแต่เวลา ๑๘.๐๑ น. ไปจนถึงเวลา ๑๘.๐๐ น. ของวันต่อไป
นอกจากนีำการสร้างเรือนของชาวมุสลิมจะไม่นิยมสร้างในข้างแรมของแต่ละเดือน แต่จะนิยมสร้างข้างขึำน
สำาหรับเดือนที่ถือว่ามีสิริมงคลในการเริ่มก่อสร้างเรือนมีเพียง ๖ เดือนเท่านัำน ได้แก่
๑. เดือนซอฟาร์ เชื่อกันว่าถ้าสร้างเรือนในเดือนนีำจะมีโชคลาภได้ทรัพย์สมบัติทวีคูณ
๓. เดือนซะบัน เชื่อกันว่าถ้าสร้างเรือนในเดือนนีำจะได้รับยศศักดิ์และเกียรติเป็นที่เคารพนับถือจากสังคมทั่วไป
๔. เดือนรอมฎอน เชื่อกันว่าถ้าสร้างเรือนในเดือนนีำจะมีโชคลาภและความรู้ความสามารถเพิ่มมากขึำน
๕. เดือนซุลกีฮีเดาะห์ เชื่อกันว่าถ้าสร้างเรือนในเดือนนีำจะมีโชคลาภอย่างมหาศาล
ทรัพย์สมบัติที่ได้มาจะได้สืบทอดถึงลูกหลานด้วยพร้อมกันนีำญาติพี่น้องและมิตรสหายจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งขึำนอาหารการกินสมบู
รณ์ตลอด
ส่วนเดือนอื่น ๆ อีก ๖ เดือน ถือว่าเป็นเดือนไม่ดี ความหลีกเลี่ยงการลงเสาเรือน เพราะจะพบกับอุปสรรคต่าง ๆไม่จบสิำน
๔. การยกเสาเอก
โดยปกติบ้านหลังหนึ่งจะมี ๖ เสา เวลาลงเสาจะลงหมดทัำงหมดทัำง ๖ เสาพร้อมกัน แต่ถือว่าเสากลางด้านทิศเหนือเป็นเสาเอก ซึ่งเรียกตามภาษาพืำนเมืองว่า
“เตียงซือรี” ก่อนลงเสาทัำง ๖ ต้องใช้เหรียญบาทติดไว้ที่โคนทุกเสา แต่ถ้าเจ้าบ้านเป็นคนฐานะดี อาจติดทองคำาด้วย ทัำงนีำดว้ ยความเชื่อว่าเมื่อติดเหรียญทองคำาที่โคนเสาแล้ว
จะได้นั่งบนกองเงินกองทอง ทำามาหากินดี มีเงินเหลือเก็บและฐานะดีขึำนเรื่อย ๆ สำาหรับเสาเอก เวลาลงเสาจะต้องเอาผ้าแดง ๑ ผืน กล้ามะพร้าวที่มีใบ ๓-๔ ใบ จำานวน ๑ ต้น
รวงข้าวประมาณ ๑ กำามือ ทองคำาจำานวนหนึ่งโดยปกติใช้สร้อยคอทองคำาหนัก ๒ สลึง ๑ เส้น ผูกไว้ที่เสาเอกเป็นเวลา ๓ วันจึงเอาออก
(ส่วนทองคำาหลังจากลงเสาแล้วจะเอาออกทันทีเพราะกลัวขโมย)
๕. การสร้างเรือน
เมื่อเจ้าของเรือนตกลงเลือกสถานที่สร้างได้แล้ว ก็ถึงขันำ ตอนการสร้างเรือน โดยเจ้าของบ้านจะต้องตกลงกับช่างไม้ในเรื่องขนาดแบบเรือน ค่าใช้จ่าย และอื่น ๆ
เพราะเรือนที่สร้างจะไม่มีการเขียนแบบแปลน แต่อาศัยความชำานาญของช่างแต่ละคน โดยทั่วไปมีแบบและขัำนตอนการสร้างดังนีำ
๑. ขนาดของตัวเรือนขึำนอยู่กับจำานวนเสา โดยมากนิยมสร้างเสา ๖,๙ และ ๑๒ เสา
สำาหรับตัวเรือนแต่เดิมนิยมสร้างเป็นแบบเรือนแฝดมีชานกลางเชื่อมตัวเรือนหลักเข้ากับครัว แต่ต่อมานิยมสร้างเป็นตัวเรือนเดี่ยว ความกว้างของเรือนนิยมสร้าง ๗ หรือ ๑๐ ศอก
แต่ไม่นิยมสร้างเรือน ๘ ศอก โดยวัดจากช่วงข้อศอกถึงปลายนิำวกลาง ยกเว้นข้อศอกสุดท้ายจะกำามือ ส่วนบันไดนิยมความกว้างเป็นเลขคี่ เช่น ๓ , ๕,๗ จะไม่นิยมลงเลขคู่
เพราะถือว่าเป็นบันไดผี นำาความอัปมงคลมาสู่ผู้อยู่อาศัย
๒. ความสูงของตัวเรือน นิยมสร้างโดยยกพืำนใต้ถุนสูงพอคนลอดได้ หรือไม่เกิน ๒ เมตร เพื่อใช้ใต้ถุนเป็นที่เก็บของ ทำาเป็นคอกสัตว์ที่นั่งเล่น
และใช้เป็นที่ประกอบอาชีพเสริม เช่น สานเสื่อ ทำากรงนกเขาชวา ฯลฯ
17
๓. พืำนเรือน มักตีพืำนลดหลั่นกันตามประเภทการใช้สอย โดยแบ่งออกเป็น ๕ ระดับ ได้แก่ จากบันไดสู่ชาน
จากชานสู่ระเบียงใช้เป็นที่รับแขกจากระเบียงยกระดับสูงขึำนเป็นพืำนห้องโถงใหญ่และห้องนอน ลดระดับลงมาเป็นพืำนครัว ถ้าครอบครัวฐานะดีจะใช้ไม้กระดานตีให้ห่าง
เพื่อระบายลมและเทนำำาทิำง ถ้าครอบครัวฐานะยากจนจะใช้ไม้ไผ่ตีเป็นฟากจากครัวลดระดับลงมาเป็นชานซักล้างอยู่ตดิ กับบันไดหลังบ้าน
๔. การกัำนห้องและพืำนที่สำาหรับละหมาดเรือนไทยมุสลิมจะกัำนห้องเฉพาะใช้นอนเท่านัำน นอกนัำนปล่อยเป็นพืำนที่โล่ง ใช้เป็นที่รบั แขกและพิธีต่าง ๆ เช่น แต่งงาน
งานเมาลิด ฯลฯ แต่เนื่องจากบัญญัติของศาสนาอิสลาม ชาวไทยมุสลิมจะต้องทำาละหมาดทุกวัน ๆ ละ ๕ ครัำง
ทุกบ้านจึงต้องกัำนพืำนทีส่ ่วนหนึ่งไว้สำาหรับทำาละหมาดโดยใช้เกณฑ์ดังนีำคือ
๔.๑ ต้องมีฝาหรือผ้าม่านกัำนไม่ให้คนเดินผ่าน
๔.๒ ต้องอยู่บนเรือนหลัก
๔.๓ ต้องหันหน้าไปทางทัศตะวันตก
๕. การสร้างตัวเรือนหลัก เมื่อทำาพิธียกเสาเอกแล้ว จะยกเสาที่เหลือขึำน จากนัำนจึงติดตัำงโครงสร้างเรือน โดยประกอบโครงหลังคาบนดินก่อน
แยกประกอบขึำนเป็นตัวเรือน ตีแปแล้วขึำนมุงหลังคา ก่อนวางตงแล้วตีพืำน จากนัำนจึงตีราวฝา ติดตัำงวงกบประตู หน้าต่าง ตีฝา แล้วต่อระเบียงหน้าบ้าน ต่อครัวไปทางด้านหลัง
เมื่อเสร็จตัวเรือนแล้วจึงติดตัำงบันไดหน้าบ้านและหลังบ้าน เมื่อสร้างเรือนเสร็จแล้วนิยมขุดบ่อนำำาไว้ใช้อุปโภค โดยนิยมขุดบ่อไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของบ้าน
และสร้างที่อาบนำำาไว้บริเวณใกล้บ่อนำำา เพราะแต่เดิมไม่นิยมสร้างส้วมหรือห้องนำำาไว้ในตัวเรือน
๖. การประดับตกแต่งตัวเรือน เรือนไทยมุสลิมดัำงเดิมจะไม่ทาสี แต่จะใช้นำามันไม้ทาเพื่อป้องกันปลวก ส่วนการประดับตกแต่งตัวเรือนขึำนอยู่กับฐานะของเจ้าบ้าน
หากมีฐานะดีจะประดับตัวเรือนด้วยไม้ฉลุเป็นลวดลายประดับยอดจั่ว ช่องลม และเชิงชาย