Professional Documents
Culture Documents
LAW4172 กหมายการแพทย์
LAW4172 กหมายการแพทย์
MEDICAL LAW
กฎหมายการแพทย์
Page |1
LAW4172 กฎหมายการแพทย์
ความหมายของ “กฎหมายการแพทย์”
ความหมายอย่างแคบของกฎหมายการแพทย์ เป็นการพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างผู้เชี่ยวชาญในการ
ดูแลและผู้ป่วย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญในการดูแลในที่นี้นั้นหมายถึงเฉพาะแพทย์และหน่วยงานโรงพยาบาล อีกทั้งกฎหมาย
การแพทย์ยังเป็นการกำหนดบทบาทของแพทย์ โดยมุ่งความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยเท่านั้น
แต่ความหมายของกฎหมายการแพทย์ของทางยุโรป ไม่ได้หมายถึงเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์กับ
ผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้ทั้งกับบุคลากรทางการแพทย์และที่ไม่ใช่แพทย์ด้วย
เช่น พยาบาล เภสัชกร เจ้าหน้าที่ผู้ช่วยแพทย์ หรือนักปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ ตลอดจนองค์กร ผลิตภัณฑ์
ต่างๆที่มคี วามสัมพันธ์กับการให้บริการทางการแพทย์
ส่วนความหมายกฎหมายการแพทย์ของประเทศไทย เมื่อพิจารณาคำว่า “แพทย์” จากพจนานุกรม ฉบับ
ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 หมายถึง หมอรักษาโรค และจากพจนานุกรมสาธารณสุขไทย พ.ศ.2561 ของ
กระทรวงสาธารณสุข ให้ความหมายของคำว่า “การแพทย์” ว่า ศาสตร์ของการวินิจฉัย บำบัด รักษา หรือ
ป้องกันโรค โดยมุ่งหมายให้มนุษย์บรรเทาจากอาการทุกข์ทรมานที่เป็นอยู่หรือช่วยชีวิตหรือให้กลับมาสู่ภาวะที่
ไม่เจ็บป่วยได้ และเมื่อพิจารณาจากบทนิยามตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำว่า “แพทย์” คือ พ.ร.บ.วิชาชีพเวช
กรรม พ.ศ.2525 ม.4 นิยามคำว่า “วิชาชีพเวชกรรม” หมายความว่า วิชาที่กระทำต่อมนุษย์เกี่ยวกับ การรักษา
โรค การวินิจฉัยโรค การบำบัดโรค การป้องกัน การผดุงครรภ์ การปรับสวยด้วยเลนส์สัมผัส การแทงเข็ม หรือ
การฝังเข็มเพื่อบำบัดโรค หรือเพื่อระงับความรู้สึก และหมายความรวมถึง การแระทำทางศัลยกรรม การใช้
รังสี การฉีดยา หรือ สสาร การสอดใส่วัตถุใดเข้าไปในร่างกาย ทั้งนี้เพื่อการคุมกำเนิด การเสริมสวย หรือการ
บำรุงร่างกายด้วย และคำว่า “ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้ขึ้นทะเบียนและรับ
ใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมจากแพทยสภา
***สรุป กฎหมายการแพทย์ คือ การศึกษาหลักเกณฑ์และผลทางกฎหมายเกี่ยวกับการแพทย์และการ
บริการสาธารณสุขในสิทธิหน้าที่ระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ การสาธารณสุข และผู้ป่วย***
วิวัฒนาการทางการแพทย์
1. ยุคประวัติศาสตร์
มนุษย์รู้จักรักษาตัวมาแต่ดึกดำบรรพ์ โดยสัญชาติญาณแห่งการธำรงไว้ซึ่งความอยู่รอดของตนเองได้มีอยู่
ในตัวของมนุษย์ตั้งแต่เกิดมีมนุษย์มาในโลกนี้ การสาธารณสุขในยุคดั้งเดิมนี้ก็มีอยู่บ้าง แต่ส่วนมากจะเน้นด้าน
การแพทย์ ในยุคนี้คนเชื่อว่าโรคเกิดจากปรากฎการณ์ตามธรรมชาติ การที่มนุษย์จะพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ ได้ก็โดย
การเซ่นไหว้ การบูชายันต์ เป็นต้น บุคคลสำคัญที่เริ่มงานทางด้านสาธารณสุข คือ พระพุทธเจ้า และหมอชีวกโก
มารภัจจ์ ผู้เป็นหมอสมุนไพร พระพุทธเจ้าทรงเป็นนักการสาธารณสุขที่ยอดเยี่ยม เพราะท่านได้ทรงบัญญัติให้พระ
ต้องดื่มน้ำจากเครื่องกรองน้ำ และห้ามพระสาวกของพระองค์ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ลงในแม่น้ำลำคลอง จากศิลา
จารึกของอาณาจักรขอม ซึ่งจารึกไว้ว่าประมาณ พ.ศ. 1725 - 1729 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล
LAW4172 กฎหมายการแพทย์ - LECURENOTES BY OCTOBER STUDY
Page |4
2. ยุคสุโขทัย
การแพทย์ในสมัยสุโขทัย มีการค้นพบหินบดยาสมัยทวาราวดี ซึ่งเป็นยุคก่อนสมัยสุโขทัย และได้พบศิลา
จารึกของพ่อชุนรามคำแหงบันทึกว่า ทรงสร้างสวนสมุนไพรชนาดใหญ่ไว้บนเขาหลวง หรือเขาสรรพยาซึ่งปัจจุบัน
อยู่ในเขตอำเภอคีรีมาศ จังหวัดสุโขทัยสำหรับให้ราษฎรได้เก็บสมุนไพร ไปใช้รักษาโรคในยามเจ็บป่วย
ศิลาจารึกกล่าวว่า ความสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารว่า "ป่าพร้าวก็หลายในเมือง ป่าลาวก็หลายในเมือง หมาก
ม่วง ก็หลายในเมือง หมากขามก็หลายในเมือง" ในด้านอาหาร ศิลาจารึกว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" แ สดงถึง
ความสมบูรณ์ด้านอาหารโปรตีนและอาหารแป้งด้วย
3. ยุคกรุงศรีอยุธยา
จากบันทึกประวัติศาสตร์ว่า ได้เกิดโรคติดต่ออันตรายขึ้นในเมืองอู่ทองอันเป็นเมืองหลวงเดิมจนประชาชน
ต้องอพยพมาตั้งเมืองใหม่ คือ กรุงศรีอยุธยาเพียงระยะเวลา 7-8 ปี ตั้งแต่พุทธศักราช 1893 ถึง 1900 ได้เกิดมี
อหิวาตกโรคขึ้นเป็นครั้งแรกในกรุงศรีอยุธยา จนถึงปีพุทธศักราช 2077 ปรากฎตามพงศาวดารว่า กรุงศรีอยุธยาได้
มีไข้ทรพิษระบาดเป็นเหตุให้พระบรมราชาที่ 4 แห่งกรุงศรีอยุธยาประชวรและสวรรคต ซึ่งโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นใน
สมัยนั้น ถ้าเป็นโรคติดต่ออันตรายเกิดขึ้นแต่ละครั้งจะทำลายชีวิตผู้คนครั้งละมากมาย เพราะขณะนั้นยังไม่มีผู้ใด
เข้าใจความเป็นจริงว่าสาเหตุของโรคเกิดขึ้นอย่างไร และไม่มีวิธีกำจัดโรคนั้น ๆ ได้อย่างแน่นอน แพทย์ก็มีไม่พอแก่
พลเมือง สาเหตุของโรคก็ไม่ทราบแน่ชัด เช่น ในตอนต้นศตวรรษที่ 18 มีข้อความที่กล่าวถึงประเทศไทยได้ประสบ
ทุพภิกขภัย (ภัยจากการขาดแคลนอาหาร) อย่างร้ายแรง ลำน้ำเจ้าพระยาตอนเขตกรุงศรีอยุธยานั้นน้ำในลำน้ำงวด
ขังจนเป็นสีเขียวและมีกลิ่นเหม็นโรคภัยไข้เจ็บก็อุบัติตามเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองได้ห้ามไม่ให้ราษฎรใช้น้ำในแม่น้ำ
บริโภค และเนื่องจากราษฎรขาดน้ำบริโภค จึงเกือบเกิดจลาจลขึ้นภายในประเทศถึงกับมีคำโจษจันกันขึ้นว่าพระ
อิศวรได้เสด็จมาที่ประตูเมือง ประกาศให้ทราบทั่วกันว่าฟองน้ำสีเขียวนั้นเป็นสื่อนำโรคร้ายแรงที่ปวงมาสู่ผู้บริโภค
และผู้อาบผู้ใช้น้ำ วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีโฆษณาชวนเชื่อในสมัยที่ประชาชนยังเชื่อถือผีและเทวดากับสิ่งอื่น ๆ อยู่ ความ
ประสงค์การโฆษณาในสมัยนั้นจะเป็นทางหนึ่งทางใดก็ตาม เมื่อยังไม่ทราบต้นเหตุอันแท้จริงก็ใช้ไม่เลือก มีความ
4. ยุครัตนโกสินทร์
สมัยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 2 เป็นยุคเริ่มต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ การแพทย์ของไทยยังเป็นในลักษณะ
แผนโบราณ การสาธารณสุขยังไม่เจริญเท่าที่ควร
4.1 รัชกาลที่ 1
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธารามหรือวัดโพธิ์ขึ้นเป็นพระ
อารามหลวงให้ชื่อว่า วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ทรงให้รวบรวมและจารึกตำรายา และฤาษีดัดตนไว้ตามศาลา
ราย สำหรับการจัดหายาของราชการมีการจัดตั้งกรมหมอโรงพระโอสถ คล้ายกับในสมัยอยุธยา ผู้ที่รับราชการ
เรียกว่า หมอหลวง ส่วนหมอที่รักษาประชาชนทั่วไป เรียกว่า หมอราษฎร หรือหมอเชลยศึก
4.2 รัชกาลที่ 2
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ทรงให้ รวบรวมคัมภีร์แพทย์ที่กระจัดกระจายไว้ ณ โรงพระ
โอสถ โดยโปรดเกล้าฯ เชิญผู้ชำนาญโรค และสรรพคุณยาชนิดต่าง ๆ มารวมไว้ ผู้ใดมีตำรายาดี ๆ ที่บรรพบุรุษได้
เก็บไว้ ให้นำเข้ามาทูลเกล้าฯ ถวาย และกรมหมอหลวงคัดเลือกจดเป็นตำราหลวง สำหรับโรงพระโอสถ เพื่อ
ประโยชน์ของประชาชน
พ.ศ. 2359 มีพระราชโองการโปรดเกล้าให้ตรากฎหมาย ชื่อ กฎหมายพนักงานพระโอสถถวาย ซึ่งให้
อำนาจพนักงานมีอำนาจออกไปค้น หาพระโอสถ คือ สมุนไพร ที่ปรากฎมีอยู่ในแผ่นดิน ผู้ใดจะคัดค้านมิได้
พนักงานพระโอสถจึงมีอำนาจในการค้นหายา และมักจะเป็นผู้ที่อยู่ในตระกูลสืบทอดกันมาเท่านั้น
4.3 รัชกาลที่ 3
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงบูรณะปฏิสั งขรณ์วัดราชโอรสาราม และได้จารึกตำราไว้ใน
แผ่นศิลา ตามเสาระเบียงพระวิหาร รวมทั้งทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ อีกครั้ง โปรดเกล้าฯ ให้จารึกตำรายา
ไว้บนแผ่นหินอ่อน ประดับไว้ตามผนังโบสถ์และศาลารายในบริเวณวัด มีตำราบอกสมุฏฐานของโรค และวิธี
บำบัด ทรงให้นำสมุนไพรที่ใช้ในการปรุงยา ที่หาได้ยากมาปลูกไว้ เพื่อให้ราษฎรได้ศึกษาและนำไปใช้ในการ
รักษาตน โดยมิหวงห้ามไว้ในตระกูลใด นับได้ว่าเป็น "มหาวิทยาลัยเปิด" แห่งแรกในประเทศไทยในปี พ.ศ.
2371 ซึ่งเป็นปีที่ 5 ในสมัยรัชกาลที่ 3 กล่าวได้ว่าเป็นปีแรกที่การแพทย์แผนตะวันตกเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อ
การแพทย์และการสาธารณสุข โดยดำเนินการควบคู่กันไป กล่าวคือ ให้การรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วย และทำการ
ป้องกันโรคติดต่อที่ร้ายแรงไปด้วย ในรัชสมัยนี้ นายแพทย์แดน บีซ บรัดเลย์ (Dan Beach Bradley) ชาวบ้าน
เรียกว่า "หมอบลัดเล" นักเผยแพร่คริสตศาสนาชาวอเมริกันซึ่งมากับคณะมิชชั่นนารีได้เข้ามาเมืองไทยในปี
พ.ศ. 2378 เป็นผู้ริเริ่มการป้องกันโรคติดต่อครั้งแรกในประเทศไทย มีการปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ ซึ่งได้ผลดี
จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2381 ทรงโปรดให้หมอหลวงไปเรียนวิธีปลูกฝีจากหมอบรัดเลย์ เพื่อปลูกให้แก่ข้าราชการและ
ประชาชน พ.ศ. 2387 เกียรติคุณของผู้เผยแพร่ศาสนา รวมทั้งชื่อเสียงที่หมอบรัดเลย์ทำไว้ แม้จะไม่ทำให้ใคร ๆ
นิยมทั่วไป แต่ก็มีบางท่านเป็นผู้เห็นการณ์ไกล ใคร่จะเรียนภาษาและวิชาของฝรั่งเอาไว้ใช้ให้เป็นประโยชน์
โดยเฉพาะกรมหลวงวงศาธิราชสนิท (ต้นตระกูลสนิทวงศ์) นี้ เป็นแพทย์ไทยคนแรกที่รับเอายาฝรั่งใช้รักษาโรค
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยาควินนีนที่เรียกกันในครั้งนั้นว่ายาขาวฝรั่ง เอายาไทยหุ้มเสียก็เป็นยาแก้ไข้จับสั่นที่มีชื่อเสียง
มากในปี พ.ศ. 2392 นายแพทย์ซามูเอล เรย์ โนลด์ เฮาส์ (samuel Reynolds House) เป็นหมอของคณะ
เผยแพร่ศาสนาอเมริกัน ชาวบ้านเรียกว่าหมอเฮาส์ ซึ่งนับว่าเป็นผู้ที่นำยาสลบอีเธอร์มาใช้เป็นครั้งแรกใน
ประเทศไทย
LAW4172 กฎหมายการแพทย์ - LECURENOTES BY OCTOBER STUDY
Page |7
4.5 รัชกาลที่ 5
พ.ศ. 2413 มีการประกาศใช้กฎหมายเกี่ยวกับสุขาภิบาลเป็นครั้งแรก พระราชบัญญัติฉบับนั้น ชื่อว่า
"พระราชบัญญัติธรรมเนียมคลอง" เพื่อให้มีการรักษาความสะอาดของคลองให้ได้มาตรฐาน และคนสมัยนั้นเชื่อ
กันว่า การใช้น้ำสกปรก เป็นมูลเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ
ในปี พ.ศ. 2429 พระองค์ได้เสด็จประพาสเมืองสิงคโปร์ได้ทอดพระเนตร เห็นการจัดตั้งโรงพยาบาล จึงมี
พระราชดำริให้มีโรงพยาบาลขึ้นในกรุงเทพมหานคร เพื่อบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎร โดยทรงโปรดเกล้าฯ ให้
ตั้งคณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง เรียกว่า "คอมมิตตี จัดการโรงพยาบาล" เพื่อจัดสร้างโรงพยาบาลวังหลัง
จังหวัดธนบุรี ด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ขณะดำเนินการก่อสร้างบังเอิญสมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ พระ
ราชโอรสสิ้นพระชนม์ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระเมรุ ณ ท้ องสนามหลวงเป็นพิเศษ โดยใช้ไม้
ทนทาน เช่น ไม้สัก ทำเป็นเรือนต่าง ๆ โดยมีพระราชประสงค์ว่า เมื่อเสร็จงานพระเมรุแล้ว จะพระราชทาน
ดัดแปลงเป็นอาคารสำหรับโรงพยาบาลและยังได้มอบเงินของสมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ อีกเป็นจำนวน
56,000 บาท และพระราชทานนามโรงพยาบาลว่า "โรงพยาบาลศิริราช" ซึ่งมีการรักษาทั้งแบบตะวันตกและ
แบบแผนไทย เมื่อโรงพยาบาลสร้างเสร็จจึงได้ตั้งกรมพยาบาลขึ้นแทน คณะกรรมการชุดเดิม เมื่อวันที่ 25
ธันวาคม พ.ศ. 2431 หน้าที่ของกรมพยาบาลนี้ นอกจากมีหน้าที่ควบคุมกิจการของศิริราชพยาบาลแล้ว ยังให้
การศึกษาวิชาการแพทย์ควบคุมโรงพยาบาลอื่น และจัดการปลูกฝีแก่ประชาชน ฉะนั้น อาจถือได้ว่าปี พ.ศ. 2431
เป็นการเริ่มศักราชใหม่ ของการแพทย์และสาธารณสุขแผนปัจจุบันในประเทศไทย
LAW4172 กฎหมายการแพทย์ - LECURENOTES BY OCTOBER STUDY
Page |8
4.6 รัชกาลที่ 6
พ.ศ. 2454 ทรงสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2457 โดยใช้ทุนทรัพย์ส่วนพระองค์
สมทบกับเงินช่วยเหลือจากสมาคมอุณาโลมแดง
พ.ศ. 2455 ทรงสถาปนาปาสตุรสภา เพื่อบำบัดโรคกลัวน้ำ และสร้างวชิรพยาบาล
พ.ศ. 2456 มีการสั่งเลิกการสอนวิชาชาแพทย์แผนไทย
พ.ศ. 2457 กระทรวงมหาดไทย ต้องการให้จังหวัดต่าง ๆ มีสถานที่สำหรับการป่วยไข้ และจำหน่ายยา
เรียกสถานที่นี้ว่า "โอสถสภา" ในภายหลังงานสาธารณสุขได้เจริญก้าวหน้าไปมากแล้ว จึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นสุขศาลา
โดยถือว่าสุขศาลาเป็นศูนย์กลางการสาธารณสุข
พ.ศ. 2459 เปลี่ย นชื่อ กรมพยาบาลเป็นกรมประชาภิบาล สังกัดกระทรวงมหาดไทย มี 4 กอง คือ
กองบัญชาการเบ็ดเสร็จ กองสุขาภิบาล กองพยาบาล กองเวชวัตถุ
พ.ศ. 2460 ตั้งโรงเรียนการแพทย์ทหารบก
พ.ศ.2461 ทรงมี พ ระราชดำริ ว ่ า การแพทย์ แ ละการสุ ข าภิ บ าลยั ง แยกอยู ่ ใ น 2 กระทรวง คื อ
กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงนครบาล ควรจะให้อยู่ในหน่วยงานเดียวกัน โดยกรมประชาภิบาลยกเลิกไปตั้ง
LAW4172 กฎหมายการแพทย์ - LECURENOTES BY OCTOBER STUDY
Page |9
กรมสาธารณสุ ข ขึ ้ น ในวั น ที ่ 24 พฤศจิ ก ายน เพื ่ อ รวมงานสาธารณสุ ข เข้ า เป็ น หน่ ว ยงานเดี ย วขึ ้ น กั บ
กระทรวงมหาดไทย โดยมีกรมพระยาชัยนาทนเรนทร เป็นอธิบดีคนแรก
พ.ศ. 2463 ทรงตั้งสถานเสาวภา
พ.ศ. 2463 ทรงนำสภากาชาดสยามเข้าเป็นสมาชิก สภากาชาดสากล เมื่อวันที่ 8 เมษายน
พ.ส. 2465 ทรงตั้งกองอนุสภากาชาด โดยมีพระราชประสงค์จะปลูกนิสัยให้เป็นผู้มีน้ำใจเมตตากรุณาต่อ
เพื่อนมนุษย์ และตั้งโรงเรียนนางพยาบาลของสภากาชาด
พ.ศ. 2466 มีประกาศใช้พ ระราชบัญ ญั ติ การแพทย์ เป็น การควบคุ มการประกอบโรคศิ ล ปะ มี
วัตถุประสงค์ เพื่อไม่ให้เกิดอันตรายแก่ประชาชน จากการประกอบการของผู้ที่ไม่มีความรู้และมิได้ฝึกหัด
4.7 รัชกาลที่ 7
ในรัช สมัย นี้ มีการออกกฎเสนาบดีแบ่งการประกอบโรคศิลปะ เป็น แผนปัจจุบันและแผนโบราณ
กำหนดว่า
ก. ประเภทแผนปัจจุบัน คือ ผู้ประกอบโรคศิลปะ โดยความรู้จากตำราอันเป็นหลักวิชาโดยสากลนิยม ซึ่ง
ดำเนินและจำเริญขึ้น อาศัยการศึกษา ตรวจค้น และทดลองของผู้รู้ ในทางวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
ข. ประเภทแผนโบราณ คือ ผู้ประกอบโรคศิลปะ โดยอาศัยความสังเกตความชำนาญ อันได้บอกเล่าสืบต่อ
กันมาเป็นที่ตั้ง หรืออาศัยตำราที่มีมาแต่โบราณ มิได้ดำเนินไปทางวิทยาศาสตร์
พ.ศ. 2469 กรมสาธารณสุขได้อนุมัติให้ปรับปรุง ส่วนบริหารราชการใหม่ แบ่งกิจการออกเป็น 13 กอง
คือ กองบัญชาการ กองการเงิน กองที่ปรึกษา กองบรรณาธิการ กองบุราภิบาล กองวิศวกรรม กองสุขภาพ กอง
โอสถศาลา กองยาเสพติดให้โทษ โรงพยาบาลคนเสียจริต กองส่งเสริมสุขาภิบาล กองแพทย์สุขาภิบาลแห่งพระ
นคร วชิรพยาบาล
4.8 รัชกาลที่ 8
ในปี พ.ศ. 2485 ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง
คณะกรรมการพิจารณาจัดการปรับปรุงทางการแพทย์ โดยมีการประชุมครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.
2485 และได้ประชุมอีก 4 ครั้ง รวมเป็น 5 ครั้ง ครั้งหลังเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 สามารถเสนอรายงาน
การจัดตั้งกระทรวงสาธารณสุข ให้รัฐบาลเสนอต่อรัฐสภา ต่อมาก็ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2485 มีกระทรวงสาธารณสุขขึ้น ตามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัตินี้ และมาตรา 13
โดยมีข้อความในพระราชกฤษฎีกาในเรื่องเหตุผลที่มาของการสถาปนากระทรวงสาธารณสุข ปรากฎดังนี้
LAW4172 กฎหมายการแพทย์ - LECURENOTES BY OCTOBER STUDY
P a g e | 10
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์
1. องค์การอนามัยโลก (WHO)
จุดเริ่มต้นขององค์การอนามัยโลก เกิดขึ้นภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ในการประชุมนานาชาติเพื่อ
ร่ า งกฎบั ต รสหประชาชาติใ นปี ค.ศ.1945 ณ เมื อ งซานฟรานซิ ส โก โดยทุ ก ฝ่ า ยมี ค วามเห็ นต้ อ งตรงกันว่า
สหประชาชาติควรมีองค์การอนามัยระหว่างประเทศ
ในปรต่อมาได้มีการประชุมอนามัยโลก ณ นครนิวยอร์ก เพื่อร่าง “ธรรมนูญขององค์การอนามัยโลก” ขึ้น
ขณะที่รอการให้สัตยาบันของประเทศต่างๆได้ตั้งคณะกรรมการชั่วคราวทำหน้าที่ก่อตั้งองค์การอนามัยโลกให้
สอดคล้องกับธรรมนูญที่ได้ร่างไว้ กระทั่งตราสารจัดตั้งองค์การอนามัยโลกได้รับการลงนามโดย 16 ประเทศ เมื่อ
วันที่ 22 กรกฎาคม ค.ศ.1946
องค์การอนามัยโลก เป็นองค์กรชำนาญพิเศษของสหประชาชาติ ซึ่งรับผิดชอบการประสานงานด้าน
สาธารณสุขระหว่างประเทศ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 7 เมษายน ค.ศ.1948 ประกอบด้วยสมาชิก 131 ประเทศ ได้จัดการ
ประชุมสมัชชาอนามัยโลกขึ้นสมัยแรกเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ.1948
ภารกิจขององค์การอนามัยโลกดำเนินการภายใต้สมัชชาอนามัยโลกประกอบด้วยผู้แทนประเทศสมาชิก มี
การกระจายการปฏิบัติงานขององค์การไปถึงส่วนต่างๆของโลก สมัชชาอนามัยโลกในการประชุมสมัยที่ 1 ได้มีมติ
กำหนดพื้นที่การดำเนินงานออกเป็น 6 ภูมิภาค คือ
1) ภูมิภาคอเมริกา มีสำนักงาน ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
2) ภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก สำนักงาน ณ เมืองอเล็กซานเดรีย
3) ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สำนักงาน ณ กรุงนิวเดลี
4) ภูมิภาคแอฟริกา สำนักงาน ณ เมืองบราซาวีล
5) ภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตก สำนักงาน ณ กรุงมะนิลา
6) ภูมิภาคยุโรป สำนักงาน ณ กรุงโคเปนเฮเกน
เดิมองค์การอนามัยโลกมีวัตถุประสงค์เพื่อหยุดยั้งโรคระบาดของโรคต่างๆ แต่ในปัจจุบันมีการขยาย
ขอบเขตภารกิจออกไป มีการอำนวยความช่วยเหลือแก่ประเทศต่างๆตามความต้องการเมื่อมีการร้องขอมา มีการ
จัดให้บริการด้านสุขภาพอนามัยแก่ประเทศต่างๆทั่วโลก ส่งเสริมและประสานงานด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
ระหว่างชาติเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพต่างๆอันไม่อาจดำเนินโดยลำพังของแต่ละประเทศ และทำหน้าที่แก้ปัญหาโรคที่
ยังไม่สามารถรักษาได้ เช่น ซาร์ส ไข้หวัดนก และโควิด-19
2. หน่วยงานภาครัฐภายในประเทศไทย
พิจารณาจากการแบ่งภารกิจ 5 ด้าน คือ
2.1 หน่วยงานหลักที่มีภารกิจเชิงนโยบายและให้บริการเป็นการทั่วไป ได้แก่
2.1.1 กระทรวงสาธารณสุข
ที่มาของกระทรวงสาธารณสุขเริ่มจากในสมัยรัชการที่ 5 จัดตั้งกรมพยาบาล กระทรวงธรรมการ
ต่อมาในสมัยรัชการที่ 6 ทรงจัดตั้งกรมประชาภิบาล กระทรวงมหาดไทยขึ้น และในสมัยรัชการที่ 8 ทรง
ตั้งเป็นกระทรวงสาธารณสุข ในปี พ.ศ.2485
อำนาจหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข เป็นไปตาม พ.ร.บ.ปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.
2545 ม.42 กำหนดหน้าที่เสริมสร้างสุขภาพอนามัย การป้องกัน ควบคุมและรักษาโรคภัย การฟื้นฟู
สมรรถภาพของประชาชน และราชการอืน่ ตามกฎหมายกำหนด
โครงสร้างการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุข ตาม ม.43 ได้กำหนดส่วนราชการออกเป็น
10 ส่วน คือ 1.สำนักนายกรัฐมนตรี 2.สำนักงานปลัดกระทรวง 3.กรมการแพทย์ 4.กรมควบคุมโรค 5.กรม
แพทย์แผนไทย 6.กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ 7.กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ 8.กรมสุขภาพจิ ต 9.กรม
อนามัย 10.คณะกรรมการอาหารและยา
2.1.2 องค์การเภสัชกรรม
ที่มาขององค์การเภสัชกรรมเริ่มจากในช่วงรัชการที่ 6 ภายหลังจากการปรับเป็นกรมสาธารณสุข
แล้ว ในปี พ.ศ.2482 มีการสร้างโรงงานเภสัชกรรมแยกออกมาจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ โดยมีที่มา
จากการเล็งเห็นว่าประเทศไทยมีสมุนไพรที่หลากหลายและมีจำนวนมากจึงน่าจะมีการผลิตยาไว้ ให้
ประชาชนได้ใช้ในยามจำเป็น
2.1.3 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
2.2.2 ประเภทของสถานพยาบาล
จาก ม.14 พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 แก้ไข (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2559 แบ่งสถานพยาบาล
ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ประเภทรับผู้ป่วยไว้ค้างคืน และ ไม่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน
หากพิจารณาเฉพาะสถานพยาบาลของรัฐ จะสามารถจำแนกได้เป็น 6 ประเภท แบ่งตามการ
สังกัด ได้แก่ สถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข สถานพยาบาลสังกัด มหาวิทยาลัย สถานพยาบาล
สั ง กั ด กองทั พ และสำนั ก งานตำรวจแห่ ง ชาติ สถานพยาบาลสั ง กั ด องค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น
สถานพยาบาลสังกัดหน่วยงานอื่นๆ และสถานพยาบาลที่มีลักษณะเป็นองค์การมหาชน
1) สถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
ก) ประเภทไม่รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน ได้แก่ ศูนย์บริการสาธารณสุข ซึ่งเป็นหน่วยปฐมภูมิ
มีหน้าที่ส่งเสริมสุขภาพ ฟื้นฟูสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาลเบื้องต้น โดยจะบริการผู้ป่วยนอกเป็น
หลัก ไม่ได้รับผู้ป่วยไว้ค้างคืน
ข) ประเภทรับผู้ป่วยไว้ค้างคืน ได้แก่ โรงพยาบาล ซึ่งจะแบ่งระดับการบริการย่อยลง
ไปได้เป็น 2 ระดับ คือ
- การบริการระดับทุติยภูมิ รักษาทั้งโรคพื้นฐาน และโรคซับซ้อน
- การบริการระดับตติยภูมิ รักษาโรคซับซ้อนสูงและต้องใช้แพทย์เฉพาะทาง
นอกจากนี้ สำหรับสถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขประเภทรับผู้ปวยไว้ค้างคืน
ยังอาจแบ่งตามความเชี่ยวชาญได้เป็น 2 อย่างด้วยกัน คือ โรงพยาบาลทั่วไป และโรงพยาบาลเฉพาะทาง
โรงพยาบาลทั่วไป (ประเภทรับผู้ป่วยค้างคืน)
โรงพยาบาลส่วนกลาง เช่น โรงพยาบาลราชวิถี โรงพยาบาลสงฆ์ โรงพยาบาล
สั ง กั ด กระทรวงสาธารณสุ ข ตั ้ ง อยู ่ ใ นกรุ ง เทพหรื อ เลิดสิน สถาบันธัญญรัตน์
ปริมณฑล ขึ้นตรงต่อกรมการแพทย์
โรงพยาบาลส่วนภูมิภาค โรงพยาบาลศูน ย์ = ระดั บตติยภูมิ มีเตียงมากกว่า
500 เตียง
โรงพยาบาลทั่วไป = โรงพยาบาลประจำจังหวัดหรือ
โรงพยาบาลขนาดใหญ่ ระดับตติยภูมิ มีเตียง 120-
500 เตียง
โรงพยาบาลส่วนภูมิภาค โรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช = โรงพยาบาลชุมชน
ประจำอำเภอ ระดับปฐมภูมิหรือทุติยภูมิ มีเตียง 30-
200 เตียง
โรงพยาบาลชุ ม ชน = โรงพยาบาลชุ ม ชนประจำ
อำเภอทั่วไป ระดับปฐมภูมิหรือทุติยภูมิ มีเตียง 10-
120 เตียง
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล = โรงพยาบาล
ประจำตำบลพัฒนาจากสถานีอนามัยหรือศูนย์สุขภาพ
ชุมชน บางแห่งถ่ายโอนให้ อบต.
โรงพยาบาลเฉพาะทาง (ประเภทรับผู้ป่วยค้างคืน)
ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เช่ น สถาบั น มะเร็ ง สถาบั น โรคทรวงอก สถาบั น
ขึ้นกับกรมการแพทย์ ประสาทวิทยา สถาบันโรคผิวหนัง
โรงพยาบาลที่มีหน้าที่ดูแลผู้ป่วยจิตเวช เช่น โรงพยาบาลศรีธัญญา สถาบันราชานุกูล สถาบัน
ขึ้นกับกรมสุขภาพจิต กัลยาณราชนครินทร์
2) สถานพยาบาลสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและมหาวิทยาลัย
สถานพยาบาลสังกัดกระทรวงศึกษาธิการและมหาวิทยาลัยบางแห่งมีศักยภาพในการผลิต
บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขได้ จึงมีการแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
ก) ประเภทโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยที่มีการผลิต บุคลากรทางการแพทย์ เป็นระดับ
ตติยภูมิ มีระดับความสามารถในขั้นสูง มีการเรียนการสอน การวิจัย เช่น โรงพยาบาลศิริราช
ข) ประเภทโรงพยาบาลและศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้ผลิต บุค ลากร
ทางการแพทย์ แต่มีการบริการทั่วไปและเฉพาะทาง เช่น เวชศาสตร์เขตร้อน โรงพยาบาลสวนสุนันทา
ศูนย์การแพทย์ปัญญานันทภิกขุ
3) สถานพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหมและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
แบ่งการสังกัดภายในออกเป็น 4 ส่ว น คือ สังกัดกรมการแพทย์ทหารบก สังกัดกรมแพทย์
ทหารเรือ สังกัดกรมแพทย์ทหารอากาศ และสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
4) สถานพยาบาลสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ก) กรุ ง เทพมหานคร เช่ น โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลตากสิ น โรงพยาบาล
ลาดกระบัง
ข) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อื่น เช่น โรงพยาบาลเมืองพัทยา โรงพยาบาล อบจ.
ภูเก็ต โรงพยาบาลนครศรีธรรมราช โรงพยาบาลเทศบาลนครอุดรธานี โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
5) สถานพยาบาลสังกัดหน่วยงานอื่นๆ
เป็นสถานพยาบาลที่มีเพื่อสวัสดิการของบุคลากรของหน่วยงาน แต่ก็บริการแก่บุคคลทั่วไปด้วย
เช่น โรงพยาบาลบุรฉัตรไชยยากร (สังกัดการรถไฟ) โรงพยาบาลยาสูบ (สังกัดกระทรวงการคลัง) ทัณฑ
สถาน โรงพยาบาลราชทัณฑ์ (สังกัดกระทรวงยุติธรรม) และโรงพยาบาลการไฟฟ้านครหลวง (สังกัดการ
ไฟฟ้านครหลวง)
6) สถานพยาบาลที่มีสถานะเป็นองค์การมหาชน
มีเพียงแห่งเดียว คือ “โรงพยาบาลบ้านแพ้ว ” มีความเป็นอิสระ คล่องตัว ใช้ประโยชน์จาก
ทรัพยากรบุคลากรและทรัพย์สินของรัฐให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด อยู่ในกำกับของกระทรวงสาธารณสุข
มีเตียงมากกว่า 300 เตียงขึ้นไป
7) หน่วยงานพิเศษที่ไม่ใช่ของรัฐ
ในที่นี้ คือ “สภากาชาด” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะ ก่อตั้งมาตั้งแต่ 26 เมษายน
พ.ศ.2439 (ร.ศ.112) มีโรงพยาบาลในดูแลทั้งสิ้น 2 แห่ง คือ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ และโรงพยาบาล
สมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา
2.3 หน่วยงานที่มีภารกิจด้านการประกันสุขภาพ
ระบบประกันสุขภาพของประเทศไทย แบ่งออกเป็น 3 ระบบ ได้แก่ การประกันสุขภาพสำหรับ
ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ประกันสังคม และหลักประกันสุขภาพทั่วหน้า
LAW4172 กฎหมายการแพทย์ - LECURENOTES BY OCTOBER STUDY
P a g e | 19
บทบัญญัติที่เกี่ยวกับการจัดการข้อร้องเรียนและคุ้มครองสิทธิ
ม.5 รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานและประสิทธภาพตามที่กำหนด
ม.6 เลือกหน่วยบริการประจำ หรือเปลี่ยนหน่วยบริการประจำได้
รับบริการที่หน่วยบริการประจำ ยกเว้นอุบัติเหตุ เจ็บป่วยฉุกเฉินหรือเหตุตามสมควร สามารถ
ม.7
เข้าที่สถานบริการอื่นนอกเหนือจากหน่วยบริการประจำได้
ม.8 สิทธิว่าง ใช้สิทธิครั้งแรกที่หน่วยบริการใดก็ได้
สำนักงานมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลหน่วยบริการ อำนวยความสะดวกในการเสนอเรื่อง
ม.26
ร้องเรียน
ม.41 ให้คณะกรรมการกันเงินไว้เป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ในกรณีที่ผู้บริการได้รับความเสียหาย
หน่วยบริการให้บริการสาธารณสุขรวมทั้งการใช้วัคซีน ยา เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ในการรักษาที่ได้
ม.45 (1)
มาตรฐานและมีคุณภาพ
คณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานมีอำนาจหน้าที่ กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
ม.50 (5)
เงื่อนไข และวิธีพิจารณาเรื่องร้องเรียน
ม.57 ร้องเรียนเมื่อได้รับบริการที่ไม่ได้มาตรฐาน
ร้องเรียนเมื่อไม่ได้รับความสะดวก ไม่ได้รับบริการตามสิทธิ ถูกเรียกเก็บเงินที่ไม่มีสิทธิเก็บหรือ
ม.59
เกินอัตรา
ม.60 การกระทำผิดร้ายแรงหรือเกิดขึ้นซ้ำของหน่วยบริการตาม ม.59 หรือ 59
สำหรับหลักเกณฑ์การจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้น จากข้อบังคับคณะกรรมการหลักประกัน
สุขภาพ พ.ศ.2555 สรุปได้ดังนี้
1. ผู้รับบริการต้องเป็นผู้มีสิทธิตาม พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 และเป็นผู้ได้รับความ
เสียหาย
2. ความเสียหายที่เกิดขึ้นต้องเป็นความเสียหายที่เกิดจากการให้บริการสาธารณสุข หรือความเสียหายที่
เกิดจากเหตุสุดวิสัยในระบบการรักษาพยาบาล
3. ต้องไม่เป็นความเสียหายที่ดำเนินไปตามพยาธิสภาพของโรค หรือเหตุแทรกซ้อนของโรคที่เป็นไป
ตามปกติธรรมดาของโรคนั้นอยู่แล้ว
4. ต้องยื่นคำร้องภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ทราบความเสียหาย โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ ถูกผิดหรือผลพิสูจน์
ทางการแพทย์
5. ต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับการร้องขอ
6. หากผู้รับบริการหรือทายาทที่ยื่นคำร้อง ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของคณะอนุกรรมการ สามารถยื่น
อุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน หลังได้รับแจ้ง โดยวิธีการและสถานที่ยื่นคำร้องเหมือนกับการยื่นคำร้องครั้ง
แรก โดยสำนั กงานสาขาจะนำคำร้องอุทธรณ์และผลการวินิจฉัยครั้งแรกส่งมาที่ สปสช. เพื่อให้
คณะกรรมการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณา ซึ่ง คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณา
อุทธรณ์เป็นที่สิ้นสุด
*** แม้คำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จะเป็นที่สิ้นสุด แต่สิ้นสุดเพียงที่ห น่วยงานเท่านั้น
หากไม่พอใจหรือไม่เห็นด้วย ยังสามารถร้องต่อศาลปกครองได้อยู่ ***
1. พิจารณาถึงประเภทของความเสียหาย
2. พิจารณาถึงความรุนแรงและเศรษฐานะของผู้เสียหาย
เกณฑ์การพิจาณาเงินช่วยเหลือ
เสียชีวิตหรือทุพพลภาพอย่างถาวร จ่ายไม่เกิน 400,000 บาท
พิการหรือสูญเสียอวัยวะ จ่ายไม่เกิน 240,000 บาท
บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยต่อเนื่อง จ่ายไม่เกิน 100,000 บาท
LAW4172 กฎหมายการแพทย์ - LECURENOTES BY OCTOBER STUDY
P a g e | 22
2.3.2 สำนักงานประกันสังคม
เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.2533 มีสถานะเป็นนิติบุคคล สังกัด
กระทรวงมหาดไทย มีการบริหารโดยคณะกรรมการ 2 ชุด คือ คณะกรรมการประกันสังคม มีอำนาจ
หน้าที่ ตาม ม.9 และคณะกรรมการการแพทย์ มีอำนาจหน้าที่ตาม ม.15
2.3.3 กรมบัญชีกลาง
เป็นหน่วยงานสังกัดกระทรวงการคลัง มีหน้าที่ในการพิจารณาและจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้แก่
ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐ มีผู้สิทธิตามระบบนี้ประมาณ 5 ล้านคน หรือประมาณ 8% ของผู้มีสิทธิตาม
หลักประกันสุขภาพทุกประเภทของประเทศไทย ระบบนี้จะถือหลักปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกาเงิน
สวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ.2553
2.4 หน่วยงานหลักที่มีภารกิจด้านการวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ
2.4.1 สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
2.4.2 สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
2.4.3 สถาบันมะเร็ง
ให้บริการด้านสาธารณสุขโดยมีระบบการดำเนินงานที่ดีและมีคุณภาพตามมาตรฐานที่สถาบันได้กำหนด
ไว้” เพื่อเป็นหลักประกันให้ประชาชนได้รับบริการด้านสาธารณสุขที่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน
2.5.2 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
เป็ น หน่ ว ยงานที ่ ม ี ห น้ า ที ่ โ ดยตรงในการกำกั บ ดู แ ลควบคุ ม ตรวจสอบผลิ ต ภั ณ ฑ์ ส ุ ข ภาพ
ภายในประเทศ และผลิตภัณฑ์สุขภาพที่นำเข้าจากต่างประเทศ ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้
ประชาชนได้บริโภคผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน และมีความปลอดภัย
ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่อยู่ในความดูแลของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หมายความถึง
ผลิตภัณฑ์อาหาร ยา ยาเสพติดให้โทษ วัตถุที่ออกฤทิ์ต่อจิตประสาท สารระเหย เครื่องสำอาง วัตถุ
อันตรายที่ใช้ในบ้านเรือนหรือทางสาธารณสุข และเครื่องมือแพทย์
กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแล เช่น
- พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522
- พ.ร.บ.ยา พ.ศ.2510
- พ.ร.บ.เครื่องสำอาง พ.ศ.2558
- พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535
- พ.ร.บ.เครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2531
- กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด
รวมทั้งกำกับตามข้อตกลงระหว่างประเทศด้วย
2.5.3 สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค
เป็นหน่วยงานที่คุ้มครองประชาชนในฐานะผู้บริโภคสินค้าและบริการจากผู้ประกอบการ ผู้
โฆษณา เพื่อรับสินค้าและบริการที่ได้มาตรฐาน มีคุณภาพ ไม่ส่งผลกระทบต่อตนเองและครอบครัว
ป้องกันการเอาเปรียบจากผู้ประกอบการ ตาม ม.10 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522 ได้กำหนด
หน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น รับเรื่องราวร้องทุกข์ ไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อน
ฟ้องศาล แจ้งข่าว ดำเนินคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิผู้บริโภค เป็นต้น
กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการกำกับดูแล เช่น
- พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ.2522
- พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2511
- พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545
- พ.ร.บ.ความรับผิดต่อความเสียหายในสินค้าที่ไม่ปลอดภัย พ.ศ.2551
1.1 สิทธิในสุขภาพที่มีลักษณะเป็นสิทธิเรียกร้อง
เป็นสิทธิตามกฎหมาย หรือตามรัฐธรรมนูญ แบ่งเป็น สิทธิในสุขภาพโดยทั่ว ไป และสิทธิในสุขภา พ
โดยเฉพาะ
1.1.1 สิทธิในสุขภาพโดยทั่วไป
LAW4172 กฎหมายการแพทย์ - LECURENOTES BY OCTOBER STUDY
P a g e | 26
คือ สิทธิที่รัฐมุ่งคุ้มครองแก่ประชาชนที่อาศัยหรือดำเนินกิจกรรมภายในรัฐโดยไม่เจาะจงกลุ่ม
บุคคลใดเป็นการเฉพาะ มีการรับรองไว้ตามรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ. กฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ เช่น ตาม ม.
47 และ 55 แห่งรัฐธรรมนูญที่กำหนดรับ รองสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้
มาตรฐานสำหรับพลเมืองไทย หรือใน ม.58 ที่กำหนดสิทธิในการมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็น
1.1.2 สิทธิในสุขภาพโดยเฉพาะ
คือ สิทธิที่รัฐมุ่งให้ความคุ้มครองแก่บุคคลบางกลุ่มเป็นการเฉพาะ เพราะอาจมีกลุ่มผู้ด้อยโอกาส
หรือขาดโอกาส กฎหมายจะกำหนดแบบกว้างไว้ในรัฐธรรมนูญ และไปกำหนดรายละเอียดในกฎหมาย
ลำดับรอง เช่น การคุ้มครองเด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ แรงงาน เช่น ม.48 ว.2 กรณีคนสูงอายุและผู้ยากไร้
1.2 สิทธิในสุขภาพที่มีลักษณะไม่ต้องเรียกร้อง
1.3 สิทธิในสุขภาพทั่วไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศ
เช่น ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ.1948 ข้อ 1, 3, 21 (2), 25 และกติการะหว่างประเทศว่า
ด้วยเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ค.ศ.1966 ข้อ 12
ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ.1948
มนุษย์ทั้งปวงเกิดมามีอิสระและเสมอภาคกันในศักดิ์ศรีและสิทธิต่างในตน มีเหตุผลและมโนธรรม
ข้อ 1
และควรปฏิบัติต่อกันด้วยจิตวิญญาณแห่งภราดรภาพ
ข้อ 3 ทุกคนมีสิทธิในการมีชีวิต เสรีภาพ และความมั่นคนแห่งบุคคล
ข้อ 21 (2) ทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าถึงบริการสาธารณะในประเทศตนโดยเสมอภาค
(1) ทุกคนมีสิทธิในมาตรฐานการครองชีพอันเพียงพอสำหรับสุขภาพและความอยู่ดีของตนและ
ครอบครัว รวมทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และการดูแลรักษาทางการแพทย์ และบริการ
สังคมที่จ ำเป็น และมีส ิทธิในหลักประกันยามว่างงาน เจ็บป่ว ย พิการ หม้าย วัยชรา หรือ
ข้อ 25 ปราศจากการดำรงชีพอื่นในสภาวะแวดล้อมนอกเหนือการควบคุมของตน
1.4 สิทธิในสุขภาพเฉพาะตามพันธกรณีระหว่างประเทศ
เป็นสิทธิในสุขภาพของบุคคลกลุ่มเปราะบางเป็นการเฉพาะ ได้แก่
1.4.1 สิทธิในสุขภาพของเด็กและเยาวชน เช่น อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ค.ศ.1989
1.4.2 สิทธิในสุขภาพของผู้ยากไร้ เช่น
- อนุสัญญาว่าด้วยการช่วยเหลือด้านอาหาร ค.ศ.2012
- ปฏิญญาอีสตันบูลว่าด้วยการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ค.ศ.1996
- ปฏิญญาว่าด้วยเมืองและถิ่นที่อยาอาศัยและอื่นๆในสหัสวรรษใหม่ ค.ศ.2016
- ปฏิญญาทางการเมืองเรื่องเอชไอวีแอนเอดส์ ค.ศ.2022
1.4.3 สิทธิในสุขภาพของคนพิการ เช่น อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของคนพิการ ค.ศ.2006 ข้อ 25
1.4.4 สิทธิในสุขภาพของคนสูงอายุ เช่น หลักการสำหรับผู้สูงอายุขององค์การสหประชาชาติ
ค.ศ.1991
1.4.5 สิทธิของคนต่างด้าว (ไม่มีสัญชาติไทย) เช่น
- ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ.1948 ข้อ 1, 2, 3, 7
- กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมือง และสิทธิการเมือง ข้อ 5, 10, 13, 27
ฎ.6785/2544 วางหลักของการเข้ารับการรักษาของคนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยไม่ถูกกฎหมาย
ว่า “เมื่อคนต่างด้าวเหล่านั้นเจ็บป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล สถานพยาบาล
และโรงพยาบาลของรัฐ ย่อมไม่อาจปฏิเ สธการรัก ษาพยาบาล ทั้งนี้ด้วยเหตุผลด้ า น
มนุษยธรรม”
1.5 การรับรองสิทธิในสุขภาพของประเทศไทย
แบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ การรับรองสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และการรับรองสิทธิตามพระราชบัญญัติ
และกฎหมายยลำดับรอง
1.5.1 การรับรองสิทธิตามรัฐธรรมนูญ มีการแยกย่อยออกเป็น 2 อย่าง คือ สิทธิในสุขภาพทั่วไป
และสิทธิในสุขภาพโดยเฉพาะ
1) สิทธิในสุขภาพทั่วไป มีลักษณะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน ดังจะเห็นได้จากการรับรอง “สิทธิในการ
ได้รับบริการทางสาธารณสุข” ทั้งในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 และ 2560 ซึ่งมีการรับรองเป็น 3 ลักษณะ คือ
สิทธิในสุขภาพด้านร่างกายและจิตใจ สิทธิในสุขภาพด้านสติปัญญา และสิทธิในสุขภาพด้านสังคม
2) สิทธิในสุขภาพโดยเฉพาะ เช่น การคุ้มครองผู้ด้อยโอกาส
ผลเมื่อรัฐธรรมนูญให้การรับรองสิทธิในสุขภาพ คือ การจัดทำบริการสาธารณสุข เป็นหน้าที่ของรัฐ
ประชาชนและชุมชนเกิดสิทธิที่จะติดตาม เร่งรัด ฟ้องหน่วยงาน ตาม ม.25 ว.3 ที่รับรองให้สิทธิในสุขภาพและ
สิทธิอื่นๆ มีสิทธิทางศาลเพื่อบังคับรัฐให้ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ
สิทธิในการร้องขอให้มีการประเมินและมีสิทธิร่วมกระบวนการประเมินผลกระทบด้าน
ม.11
สุขภาพ
สิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขเพื่อยืดการตายในวาระ
ม.12
สุดท้ายของชีวิตตนหรือยุติความทรมานจากความเจ็บป่วย
1.6 สิทธิของผู้ป่วยในช่วงเวลาต่างๆ
1.6.1 สิทธิของผู้ป่วยก่อนเข้ารับการรักษาหรือบริการ
1. สิทธิเข้าถึงการรักษา
2. สิทธิเข้าถึงและรับรูปข้อมูลด้านสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการ
3. สิทธิให้ความยินยอมและเลือกวิธีการรักษา
4. สิทธิปฏิเสธการรักษา
5. สิทธิได้รับการคุ้มครองจากการถูกทดลองในงานวิจัย
สิทธิให้ความยินยอม
1. ความยินยอมอันบริสุทธิ์ของผู้มีความสามารถ
จะต้ อ งมี เ จตนาอั น แท้ จ ริ ง ด้ ว ยใจสมั ค ร
องค์ประกอบของการให้ความยินยอมหลังการแจ้ง ปราศจากการบังคับ ขู่เข็ญ หลอกลวง สำคัญ
ข้อมูลอย่างเพียงพอก่อนรับการรักษา (Informed ผิด หรือด้วยเหตุอันมิชอบอื่นๆ
consent) 2. ความยินยอมไม่ขัดต่อสำนึกในศีลธรรมอันดี
ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย กล่าวคือ เป็น
*แม้ยินยอม แต่ถ้าแพทย์ดำเนินบกพร่อง ไม่เป็นไป ความยินยอมต่อการรักษาตามหลักวิชาทาง
ตามมาตรฐาน กฎหมายก็ไม่คุ้มครอง ถือว่าแพทย์ทำ การแพทย์การสาธารณสุข มีมาตรฐาน ไม่ผิด
ละเมิดแล้ว ธรรมชาติหรือหลักวิชา
3. ความยินยอมต้องมีจนถึงขณะกระทำการหรือ
** ม.8 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 ไม่ได้บังคับ หัตถการใดๆ ไม่มีการเพิกถอนความยินยอม
ให้ต้องทำเป็นหนังสือ ดังนั้น คู่ความจึงไม่ต้องห้ามนำ ก่อน
พยานบุคคลเข้าสืบเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงรายละเอียด 4. ความยินยอมต้องผ่านการรับรู้ข้อมูล อย่าง
ในหนังสือนั้น ตาม ป.วิ.พ. ม.94 สมบูรณ์ ถูกต้อง ชัดเจน และเพียงพอ
5. ความยินยอมต้องแสดงออกจากการมี ส ่ ว น
ร่วม (Active consent)
สิทธิปฏิเสธการรักษา
ม.8 ว.1 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ 2550 ผู้ป่วยสามารถปฏิเสธการรักษาได้ทุกขั้นตอน
ทั่วไป
การรักษา และทุกช่วงเวลา
ม.12 พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ 2550 ผู้ป่วยแสดงเจตนายุติการรักษาในวาระสุดท้าย
วาระสุดท้ายของชีวิต
ของชีวิตได้
1) ยูธานาเซีย (Euthanasia)
เป็นมาตรการที่ใช้เพื่อการปลดปล่อย ด้ วยความมุ่งหมายตั้งใจให้จบชีวิต เป็นการบรรเทาความ
ทุกข์ทรมานที่ยากต่อการแก้ไข ซึ่งมีการช่วยให้จบชีวิต
ในมุมมองของแพทยสมาคมโลก ให้ความเห็นว่ายูธานาเซียเป็นการกระทำโดยตั้งใจจะทำลายชีวิต
ของผู้ป่วย แม้ว่าจะเป็นากรทำตามคำขอร้องของผู้ป่วยหรือญาติสนิท ก็ถือว่าผิดจริยธรรม แต่ไม่รวมถึงการดูแล
ของแพทย์ที่เคารพต่อความปรารถนาของผู้ป่วย ในวาระสุดท้ายของชีวิตซึ่งประสงค์ที่จะเสียชีวิตตามธรรมชาติ
1.1) Passive Euthanasia คือ การงดเว้นการช่วยเหลือหรือรักษาบุคคลโดยให้คนไข้
ตายไปเองอย่างสงบ ไม่ใช้เครื่องมื อหรือยากระตุ้นให้คนไข้ตาย (สอดคล้องกับลักษณะของ ม.12 แห่ง พ.ร.บ.
สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 เป็นการดูแลแบบประคับประคอง)