Professional Documents
Culture Documents
พุทธพล มงคลวรวรรณ - ข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง 7 ข้อของหะยีสุหลง
พุทธพล มงคลวรวรรณ - ข้อเท็จจริงบางประการเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง 7 ข้อของหะยีสุหลง
เกี่ยวกับ “ข้อเรียกร้อง
7 ข้อของหะยีสุหลง”
ใน “อุ ต สาหกรรมวิ ช าการปั ญ หาชายแดน
ภาคใต้” มีตัวละคร ฉาก สถานที่ และเหตุการณ์
ในประวั ติ ศ าสตร์ ป ตานี / ปั ต ตานี ป รากฏอยู่ ใ น
หน้ากระดาษเสมอ แม้ว่างานเขียนดังกล่าวจะ
ไม่ใช่ประวัติศาสตร์นิพนธ์ก็ตาม ทั้งนี้เข้าใจได้
ว่ า อดี ต และประวั ติ ศ าสตร์ มี ค วามสำคั ญ ต่ อ
เหตุการณ์ และการทำความเข้าใจสถานการณ์
ปั จ จุ บั น เราจึ ง พบเรื่ อ งราวของลั ง กาสุ ก ะ รั ฐ
[ เ รื่ อ ง จ า ก ป ก ] สุ ล ต่ า นปาตานี อั บ ดุ ล กาเดร์ มะไฮยิ ด ดิ น
15
7 ข้อยังถูกหยิบยกในวาระทางสังคมการเมืองต่างๆ อั ง กฤษ การสถาปนาสหภาพมลายา (Malayan
ที่ เ กี่ ย วกั บ ปั ญ หาสามจั ง หวั ด ชายแดนภาคใต้ ใ น Union) ในปี พ.ศ. 2489 เป็นตัวเร่งให้กระแสชาติ
ปั จ จุ บั น ไม่ ว่ า จะเป็ น ประเด็ น เขตปกครองพิ เ ศษ นิยมลายูขึ้นสู่กระแสสูง ซึ่งปัตตานีก็เช่นเดียวกัน
(autonomy) การใช้ภาษามลายูหรือกฎหมายอิสลาม เหล่าบรรดาปัญญาชนมลายูปาตานีก็ได้รับอิทธิพล
ในพื้นที่
จากกระแสชาตินิยมมลายูที่อยู่ในกระแสสูงนี้ด้วย
อย่ า งไรก็ ต ามการอ้ า งอิ ง อย่ า งกว้ า งขวางนี้
นอกจากนี้ ใ นสมั ย จอมพล ป.พิ บู ล สงคราม
ข้อเรียกร้อง 7 ข้อที่ถูกยกมาในงานเขียนต่างๆ กลับ (พ.ศ.2481- 2487) นโยบายชาติ นิ ย มไทยที่ มี
มีจุดที่แตกต่างกันอยู่ ดังมีนักวิชาการอย่าง ชัยวัฒน์ ลั ก ษณะเชื้ อ ชาติ นิ ย มและการกดขี่ ข่ ม เหงของ
สถาอานั น ท์ (2551) และธเนศ อาภรณ์ สุ ว รรณ ข้าราชการไทย ได้สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจแก่ชาว
(2549) ได้ ตั้ ง ข้ อ สั ง เกตถึ ง ความแตกต่ า งของข้ อ มลายูในพื้นที่ภาคใต้สุดของไทย (เช่นเดียวกับชาว
เรียกร้องที่มีการอ้างอิงกันมาว่ามีการเรียงลำดับข้อ ไทยและกลุ่มเชื้อสายอื่นๆ โดยเฉพาะชาวจีนที่เป็น
ไม่เหมือนกัน มิหนำซ้ำงานเขียนบางเล่มมีข้อเรียก เป้าหมายที่แท้จริงของลัทธิชาติ/เชื้อชาตินิยมไทย)
ร้องที่ต่างออกไปบางข้อ ซึ่งความแตกต่างดังกล่าวนี้ ทั้งบริบททางประวัติศาสตร์ของยุคสมัยและปัญหา
อาจจะไม่ใช่ความแตกต่างในสาระสำคัญของข้อเสนอ ที่ รั ฐ ไทยได้ ก่ อ ขึ้ น ในช่ ว งสงครามทำให้ เ กิ ด การ
แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงข้อจำกัดบางประการเกี่ยวกับ เคลื่ อ นไหวทางการเมื อ งในพื้ น ที่ 3 - 4 จั ง หวั ด
การเข้าถึงเอกสารหลักฐานในการศึกษาประวัตศิ าสตร์ ภาคใต้ โดยแต่ ล ะกลุ่ ม ก็ มี เ ป้ า หมายทางการเมื อ ง
ปาตานี / ปั ต ตานี ข องอุ ต สาหกรรมวิ ช าการปั ญ หา ที่ ต่ า งกั น ออกไป ตั้ ง แต่ เ รี ย กร้ อ งสิ ท ธิ เ สรี ภ าพ
17
บทความนี้ได้กลายเป็นหลักฐานทางประวัติ-
ศาสตร์ที่งานเขียนในยุคต่อๆ มาใช้อ้างอิงเกี่ยวกับ
การต่อสู้ทางการเมืองของมลายูปาตานี ทั้งที่ใช่และ
ไม่ใช่งานทางวิชาการ ข้อเรียกร้อง 7 ข้อในบทความ
ของวิ ท ทิ ง นั ม -โจนส์ ถู ก คั ด ลอกและแปลมาอยู่ ใ น
งานเขียนภาษาไทยอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบัน
เราจะพบว่าตั้งแต่งานเขียนภาษาไทยที่เป็นต้นฉบับ
ของการอ้างอิงต่อๆ กันมาคืองานเขียนของ นันทวรรณ
(เหมินทร์) ภู่สว่าง เรื่องปัญหาชาวไทยมุสลิมในสี่
จั ง หวั ด ภาคใต้ ที่ พิ ม พ์ โ ดยสมาคมสั ง คมศาสตร์
แห่ ง ประเทศไทยเมื่ อ พ.ศ. 2521 ที่ ก่ อ นหน้ า นั้ น
นันทวรรณเขียนเรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษในชื่อเดียว
กัน (The Problem of the Thai-Muslim in the
Four Southern Provinces of Thailand) แบ่งเป็น 2
19
(2550) รัตติยา สาและ (2544) (รวมถึงในเชิงอรรถ ปรากฏในทุกเวอร์ชั่นของบาร์บารา วิททิงนัม-โจนส์
ของธเนศด้วย) เฉลิมเกียรติอ้างอิงที่มาของเวอร์ชั่น เลย รวมถึงอีกแหล่งที่จะกล่าวต่อไปด้วย สำหรับข้อ
นี้ว่ามาจาก อัลหะห์มูฮำหมัด ซูลม ฟาฏอนี, แสง 4 มีการใช้คำที่ต่างกันระหว่างให้ข้าราชการร้อยละ
รวมแห่งสันติ (ปัตตานี : เซาดารา เปรสส์, 2501) 80 เป็น “มุสลิม” ตามคำของอาห์หมัด ฟาฑี กับของ
และเอกสารกระทรวงยุ ติ ธ รรม เรื่ อ งรายงานการ เฉลิมเกียรติที่ใช้คำว่า “มลายู” ซึ่งการใช้คำที่ต่างกัน
ปฏิ บั ติ ข องคณะกรรมการสอดส่ อ งภาวะการณ์ 4 นี้มีนัยยะสำคัญทางการเมืองอยู่พอสมควร
จังหวัดภาคใต้ ข้อความมีดังต่อไปนี้ แต่สำหรับข้อ 6 และข้อ 7 ที่ไม่ตรงกัน คือ ข้อ
1. ขอให้ปกครอง 4 จังหวัดนี้เป็นแคว้นหนึ่ง 6 ในอาห์หมัด ฟาฑี เป็นข้อ 7 ในเฉลิมเกียรติ ซึ่งก็
โดยมี ผู้ ด ำรงตำแหน่ ง อย่ า งสู ง ให้ มี อ ำนาจในการ คื อ เรื่ อ งศาลชารี อ ะห์ ที่ แ ยกออกจากศาลยุ ติ ธ รรม
21
เวอร์ชั่นแสงรวมแห่งสันติ ที่ระบุชั้นประถม 7 หรือ มี ผู้ มี อ ำนาจสู ง สุ ด ที่ ม าจากการเลื อ กตั้ ง ของคนใน
อายุ 7 ปี ท้องถิ่นมีอำนาจในการปกครองพื้นที่ 4 จังหวัดนั้น
ถูกจัดให้เป็นข้อทีห่ นึง่ ตรงกันทัง้ หมดจากทุกเวอร์ชนั่
ความแตกต่างระหว่างสามเวอร์ชั่น อันสะท้อนว่าเป็นข้อเรียกร้องที่ถูกให้ความสำคัญ
จากการสำรวจงานเขียนต่างๆ พอจะสรุปได้ มากที่สุด ในขณะที่ข้ออื่นๆ ไม่มีข้อใดที่เรียงลำดับ
ว่าข้อเรียกร้อง 7 ข้อ นั้นมีด้วยกัน 3 เวอร์ชั่น คือ ตรงกันทั้งสามเวอร์ชั่นเลย ตารางด้านล่างแสดงการ
บทความของบาร์ บ ารา วิ ท ทิ ง นั ม -โจนส์ (BWJ) เปรียบเทียบการเรียงลำดับข้อเรียกร้อง จะพบว่า
แสงรวมแห่ ง สั น ติ (GCK) และ ประวั ติ ศ าสตร์ GCK และ SKP มีการเรียงลำดับข้อเรียกร้องที่เกือบ
ราชอาณาจั ก รมลายู (SKP) ซึ่ ง ความแตกต่ า งที่ จะตรงกัน เว้นแต่ข้อ 2 และข้อ 3 ของ GCK ที่เรียง
ชั ด เจนที่ สุ ด ของสามเวอร์ ชั่ น นี้ ก็ คื อ การลำดั บ ข้ อ สลับกับ SKP และประเด็นข้อ 7 ของอาห์หมัด ฟาฑี
เรียกร้อง เราจะพบว่า ข้อเรียกร้องข้อที่ 1 เรื่องให้ ที่เป็นปัญหา
1 1 1 P1
2 4 4 P2
3 5 5 P3
4 2 3 P4
5 6(A)* 7 P5
6 3 2 P6
7 6(B)* 6 P7
ทำไมจึ ง เป็ น เช่ น นั้ น ในขณะที่ ไ ม่ มี เ อกสาร (ตั ว พิ ม พ์ อ าหรั บ ) ส่ ว นข้ อ ที่ 7 ถู ก เขี ย นขึ้ น ใหม่
แสงรวมแห่งสันติ อยู่ในมือ ทำให้ไม่อาจตรวจสอบ ด้ว ยลายมือ ของเจ้ า ของหนั ง สือ เล่ มนี้ ซึ่ ง อาจเป็น
ข้อมูลของอาห์หมัด ฟาฑี อัล-ฟาฏอนีกับหนังสือ หะยีอามีน (ผู้สั่งพิมพ์) ลูกชายของหะยีสุหลง จึงนำ
แสงรวมแห่ ง สั น ติ ที่ เ อาใช้ อ้ า งอิ ง ได้ กระนั้ น แต่ ก็ ไปสู่ข้อสงสัยที่ว่าข้อเรียกร้องของหะยีสุหลงที่แท้จริง
น่าเชือ่ ว่า อาห์หมัด ฟาฑี คงเอาข้อความข้อเรียกร้อง มี 6 หรือ 7 ข้อกันแน่” ข้อค้นพบของโชคชัยอาจจะ
7 ข้อมาจากแสงรวมแห่งสันติจริง แต่เขาก็คงไม่ได้ ช่วยให้ข้อสงสัยเกี่ยวกับการหายไปของข้อ P7 และ
ตรวจสอบกับบทความของบาร์บารา วิททิงนัม-โจนส์ มีข้อเรียกร้องให้รัฐยอมรับสถานะความเป็นเชื้อชาติ
ที่ เ ขาก็ ใ ช้ เ ป็ น ข้ อ มู ล ในการเขี ย นเช่ น กั น ข้ อ มู ล ที่ มลายูที่ไม่ปรากฏในแหล่งอื่นๆ ในงานของอาห์หมัด
น่าสนใจเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง 7 ข้อในหนังสือ แสง ฟาฑี ที่ได้อ้างอิงมาจาก แสงรวมแห่งสันติ กระจ่าง
รวมแห่งสันติ จากการค้นคว้าของโชคชัย วงษ์ตานี ขึ้นได้บางส่วน
ที่ ไ ด้ ร วบรวมบรรณนิ ทั ศ น์ ห นั ง สื อ ที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ อันที่จริงหนังสือแสงรวมแห่งสันติไม่ใช่ “แหล่ง
เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดน ข้ อ มู ล แรก” ของการบั น ทึ ก ข้ อ เรี ย กร้ อ ง 7 ข้ อ
ภาคใต้ พบว่า “หนังสือนี้ถือว่าเป็นหลักฐานเบื้องต้น ของหะยี สุ ห ลงอย่ า งที่ โ ชคชั ย เข้ า ใจ ซึ่ ง ถ้ า ไม่ นั บ
และแหล่งข้อมูลแรกทีก่ ารบันทึกข้อเรียกร้องดังกล่าว หนังสือข้อเรียกร้อง 7 ข้อ “ฉบับจริง” ที่ส่งถึงรัฐบาล
ซึ่งเดิมบันทึกเป็นภาษามลายูอักษรยาวี โดยมีข้อ ไทย เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2490 แล้ว “แหล่งข้อมูล
เรี ย กร้ อ งที่ ถู ก บั น ทึ ก ในหนั ง สื อ เล่ ม นี้ เ พี ย ง 6 ข้ อ แรก” น่ า จะเป็ น บทความ ปาตานี รั ฐ มลายู น อก
(น.4-5) ที่เป็นอักษรตัวพิมพ์ โดยข้อที่ 7 ถูกเขียน มลายา ของบาร์บารา วิททิงนัม-โจนส์ ที่ตีพิมพ์ใน
ขึ้นโดยลายมือในภายหลัง” โชคชัยได้ตั้งข้อสังเกตว่า เดอะสเตรตส์ไทม์ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2490 ใน
อาจจะเป็นอามีน โต๊ะมีนา ที่เขียนเพิ่มด้วยลายมือ ขณะที่กว่าหะยีสุหลงจะบันทึกเรื่องราวของตนเองที่
เข้าไป “ข้อเรียกร้องต่อทางการของหะยีสุหลงนั้ น จะกลายเป็นหนังสือ แสงรวมแห่งสันติ (ที่พิมพ์เมื่อ
มีเพียง 6 ข้อ โดยบันทึกเป็นภาษามลายูอักษรยาวี พ.ศ. 2501) ก็เป็นปี พ.ศ. 2492 แล้ว คือเกือบสองปี
23
หลังจากเหตุการณ์และที่สำคัญเขาน่าจะเขียนจาก อันจะส่งผลต่อการทำความเข้าใจข้อเรียกร้อง 7 ข้อ
ความทรงจำ เพราะผู้เขียนคงไม่มีเอกสารหลักฐาน หรือไม่อย่างไร
ต่างๆ อยู่ในมือขณะที่อยู่ในเรือนจำ
จากการสำรวจเกี่ยวกับข้อเรียกร้อง 7 ข้อจาก ข้อเรียกร้อง 7 ข้อในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ
แหล่งต่างๆ ข้างต้นจะเห็นว่า งานเขียนส่วนใหญ่ ในรั ฐ สมั ย ใหม่ ที่ มี ร ะบบราชการ หนั ง สื อ ที่
จะได้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่ระบุได้เพียง 2 แหล่ง เป็ น ลายลั ก ษณ์ อั ก ษรมี ค วามสำคั ญ อย่ า งมากต่ อ
เท่ า นั้ น เอง คื อ บทความของ วิ ท ทิ ง นั ม -โจนส์
การทำงานราชการ ข้ อ เรี ย กร้ อ ง 7 ข้ อ ที่ เ ป็ น มติ
และหนั ง สื อ แสงรวมแห่ ง สั น ติ ซึ่ ง บทความของ
ของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานีได้
วิททิงนัม-โจนส์เป็นแหล่งข้อมูลชั้นต้นที่สุดของการ ถูกทำเป็นหนังสือและยื่นต่อรัฐบาลไทยดังที่ทราบ
เข้าถึงการเรียกร้องของประชาชนมลายูมุสลิมที่มี กันดี ดังนั้นเอกสารที่เป็นข้อเรียกร้อง “ฉบับจริง”
หะยี สุ ห ลงเป็ น ผู้ น ำคนสำคั ญ ทั้ ง นี้ บ ทความของ จึ ง ต้ อ งอยู่ ที่ ไ หนสั ก แห่ ง ในหน่ ว ยงานราชการของ
วิททิงนัม-โจนส์ เขียนจากการที่เธอได้เดินทางมาที่ ไทย ซึ่งผมก็พบโดยบังเอิญจากการสำรวจเอกสาร
ปัต ตานี และพบกั บหะยีสุหลง โดยเป็นไปได้อย่าง ประวั ติ ศ าสตร์ เ กี่ ย วกั บ ปั ต ตานี ที่ ห อจดหมายเหตุ
มากว่ า โจนส์ จ ะได้ รั บ รู้ ข้ อ เรี ย กร้ อ งจากหะยี สุ ห ลง แห่งชาติที่กรุงเทพฯ
โดยตรงตามที่ธเนศเคยตั้งข้อสังเกตเอาไว้ แม้ว่าจะ การยื่นข้อเรียกร้อง 7 ข้อเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3
บทความของวิททิงนัม-โจนส์จะเป็นหลักฐานชั้นต้น เมษายน พ.ศ. 2490 เมื่อคณะกรรมการสอดส่อง
ที่ สุ ด เพราะได้ เ ข้ า ถึ ง ข้ อ มู ล หลั ง จากการยื่ น ข้ อ ภาวะการณ์ 4 จังหวัดภาคใต้ที่คณะรัฐมนตรีสมัย
เรี ย กร้ อ งเพี ย งไม่ กี่ เ ดื อ นก็ ต าม แต่ ปั ญ หาของ หลวงธำรงนาวาสวั ส ดิ์ มี ม ติ แ ต่ ง ตั้ ง ได้ เ ดิ น ทางมา
วิททิงนัม-โจนส์ ก็คือ เรื่องของการแปล เราไม่ทราบ ถึงปัตตานี โดยคณะกรรมการกลางอิสลามประจำ
ว่าวิททิงนัม-โจนส์แปลข้อเรียกร้อง 7 ข้อด้วยตนเอง จั ง หวั ด ปั ต ตานี ที่ มี ห ะยี สุ ห ลงเป็ น ประธานได้ ท ำ
หรือให้หะยีต่างๆ ในปัตตานีที่เป็นไกด์พา “ลงพื้นที่” หนังสือนำเสนอ (หรือทีเ่ รียกกันว่า “หนังสือปะหน้า”)
แปลแล้วเล่าให้ฟัง แล้วการแปลที่ว่านั้นก่อให้เกิด ข้อเรียกร้อง 7 ข้อ ดังต่อไปนี้
การหลากเลื่ อ นหรื อ คลาดเคลื่ อ นของความหมาย
สำนักงานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี
๑ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๙๐
การประชุมในวันนี้ พร้อมกันลงมติขอให้รัฐบาลไทยพิจารณาให้เป็นไปตามร้องขอดังต่อไปนี้ กล่าวคือ.
๑. ขอให้มีการปกครองใน ๔ จังหวัด ปัตตานี สตูล ยะลา และนราธิวาส โดยมีผู้ดำรงตำแหน่งอย่างสูง
ให้มีอำนาจในการสาสนาอิสลามและมีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการใน ๔ จังหวัดโดยสมบูรณ์ และให้ออกโดยเหตุ
ประการต่าง ๆ ผู้ที่จะดำรงตำแหน่งสูงนี้ต้องเป็นมุสลิมใน ๔ จังหวัดนี้ และเป็นผู้ที่ได้รับเลือกจากปวงมุสลิม
ภาคนี้ โดยจะให้มีกำหนดเวลาดำรงตำแหน่งตามทางราชการก็ได้
๒. ข้าราชการแต่ละแผนกใน ๔ จังหวัดนี้ ให้มีมะลายู ๘๐ เปอร์เซนประกอบอยู่ด้วย
๓. การใช้หนังสือในราชการให้ใช้ภาษามะลายูและใช้ควบกับภาษาไทยด้วย เช่น แบบฟอร์มหรือ
ใบเสร็จต่างๆ จะต้องให้มีภาษามะลายูใช้ด้วย
25
๔. การศึกษาโรงเรียนชั้นประถมให้มีการศึกษาภาษามะลายูตลอดประถมบริบูรณ์
๕. ขอให้มีศาลรับพิจารณาตามกฎหมายอิสลามแยกออกจากศาลจังหวัดที่มีแล้ว มีโต๊ะกาลีตามสมควร
และมีเสรีในการพิพากษาชี้ขาดความโดยจะฟังเสียงผู้ใดไม่ได้ นอกจากผิดหลักกฎหมาย
๖. ผลประโยชน์รายได้ต่าง ๆ จะต้องใช้จ่ายในภาค ๔ จังหวัดนี้ โดยไม่แบ่งจ่ายให้แก่ที่อื่นเลย
๗. ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนี้มีเอกสิทธิ์ออกระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติการสาสนาอิสลาม
โดยเห็นชอบผู้มีอำนาจสูง (ตามข้อ ๑)
หะยีโมง เก็บอุรัย ผู้บันทึก
รองประธานกรรมการอิสลาม
หนั ง สื อ กั บ สิ่ ง ที่ ค นอ่ า นและรั บ รู้ ไ ม่ จ ำเป็ น จะต้ อ ง ซึ่งประเด็นปฏิกิริยาแรกต่อข้อเรียกร้อง 7 ข้อผมจะ
ตรงกัน ผู้อ่านอาจจะตีความไปอีกทางหนึ่ง ดังเรา ได้นำเสนอในโอกาสต่อไป
จะพบว่ า ในงานเขียนข้างมลายูปาตานี ก็ยืนยันว่า ถึ ง แม้ ว่ า ต้ น ฉบั บ ข้ อ เรี ย กร้ อ ง 7 ข้ อ ในหอ
ข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่ใช่การแบ่งแยกดินแดน ซึ่ง จดหมายเหตุแห่งชาติจะมีสาระสำคัญที่ไม่แตกต่าง
ผมก็เห็นเช่นนัน้ แต่ทางการไทย ตัง้ แต่คณะกรรมการ ต่ า งจากข้ อ เรี ย กร้ อ ง 7 ข้ อ ที่ พ บในแหล่ ง ต่ า งๆ
สอดส่ อ งฯ อ่ า นแล้ ว ก็ เ ข้ า ใจในทั น ที ว่ า “เป็ น การ กระนั้นการกลับไปค้นคว้าเอกสารหลักฐานชั้นต้นมี
แบ่ ง แยกการปกครอง” หรือขณะที่ข้อ 4 เรียกร้อง
ความสำคัญอย่างมากในการทำงานวิชาการ โดย
อุดม บุญประกอบ ประธานคณะกรรมการสอดส่องฯ
เฉพาะอย่ า งยิ่ ง สำหรั บ นั ก เรี ย นประวั ติ ศ าสตร์ ที่ มี
เข้าใจ ว่า “ตามที่เรียกร้องให้มีโรงเรียนชั้นประถม ความจำเป็นอย่างยิ่งและถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องตรวจ
สอนภาษามะลายู ” โดยโยนให้ ละม้ า ย จุ ล สมั ย สอบและวิพากษ์ข้อมูลหลักฐาน การกลับไปดูหลัก
ข้ า หลวงตรวจการศึ ก ษาธิ ก าร ภาค 5 ในฐานะ ฐานและอ่านหลักฐานในบริบทของมัน เป็นจุดเริ่ม
กรรมการฯ ตอบ เขาก็บอกว่า “ในการที่จะให้สอน ต้นแรกสุดของการทำงานทางประวัติศาสตร์
บทเรียนตามหลักสูตรเป็นภาษามะลายูในชั้นประถม
รายการอ้างอิง
เฉลิมเกียรติ ขุนทองเพชร. หะยีสุหลง อับดุลกาเดร์ กบฏ...หรือวีรบุรุษแห่งสี่จังหวัดภาคใต้. กรุงเทพฯ :
มติชน, 2548.
ชัยวัฒน์ สถาอานันท์. ความรุนแรงกับการจัดการ “ความจริง” : ปัตตานีในรอบกึ่งศตวรรษ. กรุงเทพฯ :
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2551.
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ. ความเป็นมาของทฤษฎีแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ไทย. กรุงเทพฯ : โครงการ
เอเชี ย ตะวั น ออกเฉี ย งใต้ ศึ ก ษา มหาวิ ท ยาลั ย ธรรมศาสตร์ แ ละคณะทำงานวาระทางสั ง คม
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2549.
นันทวรรณ ภู่สว่าง. ปัญหาชาวไทยมุสลิมในสี่จังหวัดภาคใต้. สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2531.
ปิยนาถ บุนนาค. นโยบายการปกครองของรัฐบาลไทยต่อชาวไทยมุสลิม ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
(พ.ศ. 2475-2516). โครงการเผยแพร่ผลงานวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ, 2547.
รั ต ติ ย า สาและ. การปฏิสัมพันธ์ระหว่างศาสนิกที่ปรากฏในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส.
กรุงเทพฯ : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย, 2544.
อ. บางนรา. ปัตตานี อดีต-ปัจจุบัน. กรุงเทพฯ : ชมรมแสงเทียน, 2519.
อารีฟีน บินจิ, ล. ลออแมน และซูฮัยมีย์ อิสมาแอล. ปาตานี... ประวัติศาสตร์และการเมืองในโลกมลายู.
หาดใหญ่: มูลนิธิวัฒนธรรมอิสลามภาคใต้, 2550.
อาห์หมัด ฟาฑี อัล-ฟาฏอนี. ประวัติศาสตร์ปัตตานี. สถาบันสมุทรรัฐเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา, 2543.
อิบรอฮิม ชุกรี. ประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรมลายูปะตานี. กรุงเทพฯ : สถาบันสมุทรรัฐเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ศึกษาและซิลค์เวอร์มบุ๊คส์, 2549.
Surin Pitsuwan. Islam and Malay Nationalism: A Case Study of the Malay - Muslim of Southern
Thailand. Bangkok : Thai Khadi Research Institute, 1985.
Whittingham-Jones, Barbara. “Patani - Malay state outside Malaya,” The Straits Times (October 30,
1947) : 8.
27