Professional Documents
Culture Documents
13-week3- 2.1 พื้นฐานเทอร์โมไดนามิกส์-1
13-week3- 2.1 พื้นฐานเทอร์โมไดนามิกส์-1
13-week3- 2.1 พื้นฐานเทอร์โมไดนามิกส์-1
หน่วยเรียนที่ 2 เธอร์โมไดนามิกส์ของเครื่องยนต์ความร้อน
ชื่อบทเรียน 2.1 พืน้ ฐานเธอร์โมไดนามิกส์สาหรับเครื่องยนต์สันดาปภายใน
2.1.1 กฏเธอร์โมไดนามิกส์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์
2.1.2 แกสอุดมคติ
2.1.3 กระบวนการและวัฏจักรทางเธอร์โมไดนามิกส์
2.1.4 ประสิทธิภาพเชิงความร้อนทางทฤษฎีของเครื่องยนต์
2.1.5 เอนโทรปี
จุดประสงค์
ชื่อบทเรียน 2.1 เข้าใจพื้นฐานเธอร์โมไดนามิกส์สาหรับเครื่องยนต์สันดาปภายใน
2.1.1 บอกกฏเธอร์โมไดนามิกส์ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์
2.1.2 เข้าใจแกสอุดมคติ
2.1.3 เข้าใจกระบวนการและวัฏจักรทางเธอร์โมไดนามิกส์
2.1.4 คานวณประสิทธิภาพเชิงความร้อนทางทฤษฎีของเครื่องยนต์
2.1.5 เข้าใจเอนโทรปี
เนื้อหา
เพื่อให้การเรียนเกี่ยวกับทฤษฎีและหลัการทางานจริงของเครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นไป
อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทเรียนนี้จะเป็นการทบทวนและอธิบายความรู้พื้นฐานเธอร์โมไดนามิกส์ที่
เกี่ยวข้องกับเครื่องยนต์สันดาปภายในให้มีความชัดเจนและเข้าใจมากขึ้น
พลั ง งานที่ เ ข้ า สู่ ร ะบบ – พลั ง งานที่ อ อกจากระบบ = พลั ง งานรวมในระบบที่ เ ปลี่ ย นแปลง
การพิ จ ารณาพลั ง งานตามกฎข้ อ ที่ ห นึ่ ง ของเธอร์ โ มไดนามิ ก ส์ สาหรั บ ระบบปิ ด หรื อ
ระบบมวลควบคุ ม (Closed system or control mass) หรื อ ระบบที่ ม วลคงที่ มี เ พี ย ง
พลั ง งานเท่ า นั้ น ที่ ถ่ า ยโอนผ่ า นขอบเขตของระบบ ดั ง รู ป ที่ 2.1 นั้ น จาเป็ น ต้ อ งทราบนิ ย าม
ของคุ ณ สมบั ติ ท างเธอร์ โ มไดนามิ ก ส์ ที่ เ รี ย กว่ า พลั ง งานภายใน (Internal energy, U) ซึ่ ง
จะสรุ ป ไดว่ า สารตั ว กลางหรื อ สารทางานที่ มี อุ ณ หภู มิ ค่ า หนึ่ ง นั้ น หมายความว่ า ได้ ว่ า สาร
นั้ น มี พ ลั ง งานความร้ อ นอยู่ ภ ายในตั ว ซึ่ ง มี ก ารกาหนดค่ า คุ ณ สมบั ติ ห นึ่ ง ขึ้ น มาเพื่ อ แสดง
ปริ ม าณความร้ อ นที ่ ม ี อ ยู ่ ใ น สารเหล่ า นั ้ น คุ ณ สมบั ต ิ ที ่ ใ ช้ ใ นกรณี นี ้ เ รี ย ก ว่ า “พลั ง งาน
ภายใน”
เมื่ อ พิ จ ารณาให้ เ ป็ น ระบบปิ ด ไม่ มี ก ารเปลี่ ย นแปลงพลั ง งานจลน์ (∆𝐾𝐸 = 0)
ไม่ มี ก ารเปลี่ ย นแปลงพลั ง งานศั ก ย์ (∆𝑃𝐸 = 0) และภายในระบบมี ส ารทางานมวล m
kg เมื่ อ ใส่ ป ริ ม าณความร้ อ น Q 12 จากภายนอกเข้ า ไป พลั ง งานภายในของสารนั้ น ๆ จะ
เปลี่ ย นจาก U 1 ไปเป็ น U 2 และได้ ง าน W 12 ออกมา ดั ง รู ป ที่ 2.2 จากกฎข้ อ ที่ ห นึ่ ง ของ
เธอร์ โ มไดนามิ ก ส์ ส ามารถเขี ย นสมการได้ ดั ง ต่ อ ไปนี้
73
พลังงาน Heat (Q) Work (W)
Control mass
Q12 W12
m
1 2
รู ป ที่ 2.2 การเปลี่ ย นแปลงสภาวะของสารทางานเมื่ อ ได้ รั บ ความร้ อ นในระบบปิ ด
∆𝑞 = ∆𝑢 + ∆𝑤 (2.4)
หรื อ
𝑞12 − 𝑤12 = ∆𝑢 (2.5)
74
การพิ จ ารณาพลั ง งานตามกฎข้ อ ที่ ห นึ่ ง ของเธอร์ โ มไดนามิ ก ส์ สาหรั บ ระบบเปิ ด
หรื อ ปริ ม าตรควบคุ ม (Open system or control volume) หรื อ ระบบที ่ ป ริ ม าตร
คงที่ แ ละมี ก ารถ่ า ยโอนทั้ ง มวลและพลั ง งานผ่ า นขอบเขตของระบบ ดั ง รู ป ที่ 2.3 สามารถ
แบ่ ง กระบวนการเคลื่ อ นที่ ข องมวลได้ เ ป็ น 2 ลั ก ษณะ คื อ กระบวนการที่ มี ก ารไหลแบบคง
ตั ว (Steady-flow process) และกระบวนการที ่ ม ี ก ารไหลแบบไม่ ค งตั ว ( Unsteady-
flow process)
กระบวนการที่ มี ก ารไหลแบบคงตั ว (Steady-flow process) เมื่ อ นากฎข้ อ ที่ ห นึ่ ง
ของเธอร์ โ มไดนามิ ก ส์ ม าใช้ คานวณในระบบเปิ ด ในระบบเปิ ด นั้ น มวลสารในระบบมี ก าร
เปลี่ ย นแปลง แต่ ถ้ า ปริ ม าณมวลสารที่ เ ข้ า สู่ ร ะบบไม่ มี ก ารเปลี่ ย นแปลงไปกั บ เวลา เราจะ
เรี ย กว่ า เป็ น “การไหลแบบคงตั ว ” ระบบที่ เ ป็ น การไหลแบบคงตั ว นั้ น งานและพลั ง งาน
ความร้ อ นในระบบเปิ ด ที่ พิ จ ารณา จะคิ ด เป็ น ต่ อ หน่ ว ยของเวลา รวมไปถึ ง พลั ง งานและงาน
ที่ เ ข้ า และที่ อ อกด้ ว ย
Mass in W
Control volume
Q Mass out
𝑐12 𝑐12
𝑚̇ (𝑢1 +
2
) + 𝑄̇ = 𝑚̇ (𝑢2 + 2
) + 𝑊̇ + 𝑃2 𝑉̇2 − 𝑃1 𝑉1̇ (2.6)
ถ้ า จั ด เทอมของค่ า คุ ณ สมบั ติ สาหรั บ ทางเข้ า ไว้ ท างซ้ า ยมื อ และจั ด เทอมของค่ า คุ ณ สมบั ติ
สาหรั บ ทางออกไว้ ที่ ท างขวามื อ จะสามารถสร้ า งสมการได้ ดั ง ต่ อ ไปนี้
𝑐12 𝑐 2
𝑚̇ (𝑢1 +𝑃1 𝑣1 + ) + 𝑄̇ = 𝑚̇ (𝑢2 + 𝑃2 𝑣2 + 1 ) + 𝑊̇ (2.7)
2 2
75
จากสมการการเปลี่ ย นแปลงพลั ง งานในระบบเปิ ด จะสั ง เกตว่ า u + Pv เป็ น ค่ า
คุ ณ ส ม บั ต ิ ที ่ เ กิ ด ใ น ร ะ บ บ ข อ ง ก า ร ไ ห ล ซึ ่ ง จ ะ เ รี ย ก ค่ า คุ ณ ส ม บั ต ิ นั ้ น ว่ า “เ อ น ทั ล ปี
(Enthalpy)” ค่ า เอนทั ล ปี ต่ อ มวล 1 [kg] จะเรี ย กว่ า ค่ า “เอนทั ล ปี จาเพาะ” ใช้ สั ญ ลั ก ษณ์
เป็ น h ดั ง สมการ
ℎ = 𝑢 + 𝑃𝑣 (2.8)
𝑐12 𝑐 2
𝑚̇ (ℎ1 +
2
) + 𝑄̇ = 𝑚̇ (ℎ2 + 1 ) + 𝑊̇ 2
(2.9)
สมการที่ ก ล่ า วมานี้ นี้ เ ป็ น การแสดงการใช้ ก ฎข้ อ ที่ ห นึ่ ง ของเธอร์ โ มไดนามิ ก ส์ ท่ี ค รอบคลุ ม ไป
ถึ ง ระบบเปิ ด และเรี ย กสมการนี้ ว่ า “สมการพลั ง งาน (Energy equation)”
แหล่งความร้อนอุณหภูมิสูง
TH
QH
QL
แหล่งความร้อนอุณหภูมิต่า
TL
76
2) นิ ย ามของ Clausius ได้ ก ล่ า วไว้ ว่ า “ไม่ มี อุ ป กรณ์ ใ ดๆ ที่ ส ามารถดาเนิ น การ
เป็ น วั ฏ จั ก รและสามารถถ่ า ยเทความร้ อ นได้ จ ากแหล่ ง ที่ มี อุ ณ หภู มิ ต่ากว่ า ไปสู่ แ หล่ ง ที่ มี
อุ ณ หภู มิ สู ง กว่ า โดยปราศจากการให้ ง านแก่ ร ะบบ (Work in = 0)” นั้ น หมายความว่ า
ถ้ า ระบบใดๆ ก็ ต ามต้ อ งการดึ ง ความร้ อ นจากอุ ณ หภู มิ ต่าไปสู่ อุ ณ หภู มิ สู ง ต้ อ งมี ก ารให้ ง าน
แก่ ร ะบบนั ้ น เสมอ อธิ บ ายได้ ด ั ง รู ป ที ่ 2.5 ซึ ่ ง นิ ย ามนี ้ เ ป็ น ที ่ ม าของระบบท าความเย็ น
(Refrigeration system) และฮี ท ปั้ ม (Heat pump) ในปั จ จุ บั น
แหล่งความร้อนอุณหภูมิสูง
TH
QH
Wnet, in = QH- QL RE or HP
QL
แหล่งความร้อนอุณหภูมิต่า
TL
จ า ก นิ ย า ม ข อ ง ก ฎ ข้ อ ที ่ ส อ ง ข อ ง เ ธ อ ร์ โ ม ไ ด น า มิ ก ส์ ส า ม า ร ถ ส รุ ป ไ ด้ ว ่ า ว่ า
ก ร ะ บ ว น ก า ร จ ะ เ กิ ด ขึ ้ น ใ น ทิ ศ ท าง ที ่ แ น่ น อ น แ ล ะ พ ลั ง ง า นนั ้ น เ ป็ น ค่ า ที ่ ม ี ทั ้ ง ปริ ม าณ
(Quantity) และคุ ณ ภาพ (Quality) กระบวนการทางความร้ อ นใดๆ จะไม่ ส ามารถเกิ ด ขึ้ น
ได้ ถ้ า กระบวนการนั้ น ไม่ เ ป็ น ไปตามทั้ ง กฎข้ อ ที่ ห นึ่ ง และสองของเธอร์ โ มไดนามิ ก ส์
2.1.2 แกสอุดมคติ
ได้มีการนิยามกฎของแกสไว้ เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1627 – 1691 โดยนักวิทยาศาสตร์ ชื่อ โร
เบอร์ต บอยล์ ได้ทาการค้นคว้าทดลองเกี่ยวกับอากาศและสรุปเป็นกฎไว้ว่า “ขณะทีแ่ กสจานวนหนึ่งมี
การเปลี่ยนแปลงสภาพ ถ้าอุณหภูมิของแกสคงที่ปริมาตรของแกสจะแปรผกผันกับความดันสมบูรณ์”
นั่นคือ เมื่อ T คงที่ จะได้ว่า
V
P1 = 2 หรือ P1 V1 = P2 V2 หรือ PV = คงที่ (2.10)
V1
หนึ่ ง ร้ อ ยปี ภ ายหลั ง ที่ บ อยล์ ค้ น พบกฎเกณฑ์ ข องแกสอุ ด มคติ ดั ง กล่ า วแล้ ว ข้ า งต้ น ต่ อ มา
นั ก วิ ท ยาศาสตร์ ชื่ อ Jacques A. Charles (ค.ศ. 1756 – 1823) และ Joseph L. Gay–Lussace
(ค.ศ. 1778–1850) ทั้งสองได้ทดลองโดยไม่ทราบงานของอีกฝ่ายหนึ่ง และได้ค้นพบกฎเกณฑ์ของแกส
ที่เหมือนกัน แต่ปรกติเรียกว่ากฎของชาลส์ ซึ่งสรุปได้ว่า
1) ขณะที่แกสจานวนหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงสภาพ ถ้าความดันของแกสจานวนนั้น
คงที่ ปริมาตรของแกสจะแปรผันตรงกับอุณหภูมิสมบูรณ์ นั่นคือ เมื่อ P คงที่ จะได้ว่า
V1 T1 T T T
หรื อ 1 2 หรื อ คงที่ (2.11)
V2 T2 V1 V2 P
2) ขณะที่แกสจานวนหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงสภาพ ขณะที่ปริมาตรคงที่ความดันจะ
แปรผันตรงกับอุณหภูมิสมบูรณ์ นั่นคือ เมื่อ V คงที่ จะได้ว่า
P1 T1 T1 T2 T
หรื อ หรื อ คงที่ (2.12)
P2 T2 P1 P2 V
78
13.7 psia 13.7 psia 13.7 psia
32 F 32 F 32 F
จากค่าของแกสที่แสดงไว้ข้างบนจะเป็นข้อยืนยันกฎของอาโวกาโดที่ว่า เมื่อแกสอุดม
คติมีปริมาตรเท่ากัน จะมีจานวนโมเลกุลเท่ากัน แต่มวลของอะตอมของแกสต่างๆ ไม่เท่ากัน จึงทาให้
มวลของโมเลกุลแตกต่างกันไป
สมการสภาพของแกสอุดมคติ ในกรณีที่เราไม่มีข้อมูลสาหรับสมบัติทางเธอร์โมไดนามิคส์
ของสารบริสุทธิ์ซึ่งแสดงในรูปของตารางดังเช่นในหัวข้อที่ผ่านมา เรามีความจาเป็นที่จะต้องมีสมการที่
ใช้สาหรับหาค่าของสมบัติซึ่ งมี ความเที่ย งตรงมากพอที่จ ะนาไปใช้ ง านได้ สมการที่ว่านี้จะแสดง
ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติทางเธอร์โมไดนามิคส์ อันได้แก่ ความดัน ปริมาตรจาเพาะ และอุณหภูมิที่
สภาพใดๆ ซึ่งโดยทั่วไปจะเรียกสมการดังกล่างนี้ว่า สมการสภาพ (equation of state) โดยสมการ
ดังกล่าวจะมีอยู่หลายรูปแบบ
Pv R u T (2.13)
m
จะได้ว่า M (2.14)
n
R
R u (2.16)
M
80
ลักษณะใกล้เคียงกับ Pv = RT หากพิจารณาจากสมการ (2.6) จะพบว่าแกสในสภาพที่ความดันต่า
และอุณหภูมิสูงจะมีความหนาแน่นต่าเช่นกัน
ในทางปฏิบัติ เราอาจพิจารณาให้แกสต่างๆ เช่น อากาศ อาร์กอน ฮีเลียม ไนโตรเจน หรือ
แม้กระทั่งคาร์บอนไดออกไซด์ มีพฤติกรรมเป็น แกสอุดมคติได้ โดยมีความผิดพลาดเกิดขึ้น เพีย ง
เล็กน้อยเท่านั้น (น้อยกว่า 1 %) แต่ในกรณีแกสที่มีความหนาแน่นสูง เช่น สารทาความเย็นชนิดต่างๆ
หรือไอน้าจะไม่สามารถพิจารณาให้เป็น แกสอุดมคติได้ ลักษณะเช่นนี้จะต้องหาค่าสมบัติต่างๆ จาก
ตารางดังที่ได้กล่าวตอนต้น
สาหรับการพิจารณาระบบเมื่อมวลของแกสอุดมคติมีค่าคงที่ (เช่น ในระบบเปิด)
ระหว่างสองสภาพ ซึ่งค่าคงที่ของแกส (R) มีค่าคงที่ จะสามารถเขียนความสัมพันธ์ระหว่างความดัน
อุณหภูมิ และปริมาตรได้ดังนี้
P1 V1 P2 V2
(2.18)
T1 T2
ในความเป็นจริงพบว่า สมการสภาพของแกสอุดมคติไม่สามารถคาดคะเนพฤติกรรมของแกส
จริงได้ทุกสภาพหรือทุกเงื่อนไข อย่างไรก็ตาม สมการ (2.17) อาจให้ผลของการคาดคะเนที่ถูกต้องได้
เมื่อความดันของแกสลดลงจนมีค่าเข้าใกล้ศูนย์ แต่ถ้าความดันมีค่าสูงขึ้นจะส่งผลให้ความหนาแน่นมี
ค่าสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ทาให้พฤติกรรมของแกสเกิดการเบี่ยงเบนและไม่เป็นไปตามสมการสภาพของ
แกสอุดมคติ
R 8.3145 kJ / kmol.K
R u 0.378 kJ / kg.K ตอบ
M 22 kg / kmol
81
2.1.3 กระบวนการและวัฏจักรทางเธอร์โมไดนามิกส์
เพื่อให้สามารถเข้าใจเกี่ยวกับหลักการทางานทางทฤษฎีของเครื่องยนต์ความร้อนและสามารถ
คานวณเกี่ยวกับคุณสมบัติทางเธอร์โมไดนามิกส์ได้ ก่อนอื่นต้องทาความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการ
และวัฏจักรทางเธอร์โมไดนามิกส์ ซึ่งเป็นสิ่งที่สาคัญมากในการศึกษาและวิเคราะห์เชิงทฤษฎีเกี่ ยวกับ
เครื่องยนต์สันดาปภายใน
เมื่ อ สมบั ติ ห นึ่ ง อย่ า งหรื อ มากกว่ า ของระบบเปลี่ ย นแปลงจะส่ ง ผลให้ ร ะบบเกิ ด การ
เปลี่ยนแปลงสภาวะ โดยเส้นทาง (path) ที่ระบบเกิดการเปลี่ยนแปลงจากสภาวะหนึ่งสู่อีกสภาวะ
หนึ่งเรียกว่า กระบวนการ (process) และจะเรียกกระบวนที่สภาวะเริ่มต้นและสภาวะสุดท้ายอยู่
ที่สภาวะเดียวกันว่า วัฏจักร (cycle)
2.1.3.1 กระบวนการทางเธอร์โมไดนามิกส์
กระบวนการ (process) คือ การเปลี่ยนแปลงสภาพของระบบจากสภาพหนึ่งไปเป็น
อีกสภาพหนึ่ง เช่น น้าที่เป็นของเหลวได้รับความร้อนจนระเหยเป็นไอ การขยายตัวของกังหันภายใน
กังหันไอน้า หรือแกสถูกอัดตัวในเครื่องอัด เป็นต้น โดยถ้ามีการเปลี่ยนแปลงสมบัติของระบบอย่าง
น้อย 1 อย่างขึ้นไป จะถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงสภาพหรือมีกระบวนการเกิดขึ้นทั้งสิ้น สาหรับเส้นทาง
แสดงสภาพอย่างต่อเนื่องในระหว่างที่เกิดกระบวนการเรียกว่า เส้นทางของกระบวนการ (process
path) ดังแสดงในรูปที่ 2.7
สมบัติ y
P1, T1, V1 เส้นทางของกระบวนการ
1
2
P2, T2, V2
สมบัติ x
รูปที่ 2.7 ลักษณะของกระบวนการ
ในกระบวนการหากมีการดาเนินกระบวนการอย่างรวดเร็ว จะทาให้สภาพในแต่ละส่วน
ภายในระบบไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราจึงไม่สามารถวัดสมบัติที่แน่นอนในสภาพต่างๆ ในขณะที่ระบบ
ดาเนินกระบวนการได้ จึงทาให้ไม่สามารถระบุเส้นทางของกระบวนการ (process path) ได้ กาหนด
ได้เพียงสภาพเริ่มต้น (initial state) และสภาพสุดท้าย (final state) เท่านั้น กระบวนการที่เกิดขึ้นใน
ลักษณะนี้จะเรียกว่าเป็นกระบวนการไม่สมดุลควอไซ (non-quasi-equilibrium process) ในทาง
ตรงกันข้ามสาหรับระบบที่มีการดาเนินกระบวนการอย่างช้าๆ เช่น การอัดแกสในกระบอกสูบอย่าง
ช้าๆ ซึ่งจะส่งให้สมบัติภายในระบบเหมือนกันทั่วทั้งระบบ ดังนั้นเราจึงสามารถวัดสมบัติที่สภาพต่างๆ
ในขณะที่ ร ะบบด าเนิ น กระบวนการได้ ซึ่ ง จะท าให้ ส ามารถระบุ เ ส้ น ทางของกระบวนการได้
82
กระบวนการในลักษณะนี้เรียกว่า กระบวนการสมดุลควอไซ (quasi-equilibrium process) โดย
สภาพที่ระบบดาเนินผ่านในกระบวนการสมดุลควอไซนั้นถือว่าเป็นสภาพสมดุล ซึ่งกระบวนการ
สมดุลควอไซเป็นเพียงกระบวนการในทางอุดมคติ (ideal process) ที่ถูกกาหนดขึ้นในทางทฤษฎี
เท่านั้น
การที่จะการศึกษาและวิเคราะห์เชิงทฤษฎีเกี่ยวกับเครื่องยนต์สันดาปภายในที่มีการทางาน
เป็นวัฏจักร ซึ่งการจะทางานเป็นวัฏจักรอุดมคติได้ นั้นต้องประกอบด้วยกระบวนการย้อนกลับได้
(reversible process) เท่ า นั้ น ดั ง นั้ น จึ ง จ าเป็ น ต้ อ งทราบนิ ย ามของกระบวนการทางอุ ด มคติ ที่
เรียกว่า ‘กระบวนการย้อนกลับได้ ’ เสียก่อน กระบวนการย้อนกลับได้ คือกระบวนการที่สามารถ
ย้อนกลับสู่สภาวะเริ่มต้นได้อย่างสมบูรณ์โดยไม่หลงเหลือร่องรอยของการเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้เห็นทั้ง
ภายในระบบและสิ่งแวดล้อม กระบวนการใดๆ ก็ตามที่ไม่เป็นไปตามที่กล่าวไว้นี้จะเรียกว่าเป็น
กระบวนการย้อนกลับไม่ได้ ( irreversible process )
ในธรรมชาติไม่มีกระบวนการใดที่เกิดขึ้นในลักษณะย้อนกลับได้ เพียงแต่อาจจะพิจารณาให้
มีความใกล้เคียงได้เท่านั้น นั่นคือ ทุกๆ กระบวนการที่เกิดขึ้นในธรรมชาติจะเป็นแบบย้อยกลับไม่ได้
ทั้งสิ้นแต่ในการศึกษาการท างานของอุปกรณ์ต่ างๆ มั กพิจารณาให้ทางานของอุปกรณ์ต่างๆ มัก
พิ จ ารณาให้ ท างานด้ ว ยกระบวนการย้ อ นกลั บได้ เนื่ อ งจากจะท าให้ง่ า ยในการวิ เ คราะห์ปัญ หา
นอกจากนี้กระบวนการกลับได้ยังใช้เป็นขีดจากัดทางทฤษฎี (theoretical limits) ในการเปรียบเทียบ
การทางานของกระบวนการจริง (actual process) กล่าวคือสาหรับอุปกรณ์ที่ผลิตงาน เช่น กังกัน
แกสหรื อ กั ง หั น ไอน้ า กระบวนการย้ อ นกลั บ ได้ จ ะท าให้ อุ ป กรณ์ ดั ง กล่ า วผลิ ต งานได้ สู ง สุ ด
(maximum work) และส าหรั บ อุ ป กรณ์ ที่ ต้ อ งป้ อ นงานให้ เช่ น ปั๊ ม หรื อ พั ด ลมกระบวนการ
ย้อนกลับได้จะทาให้งานที่ต้องป้อนให้อุปกรณ์ดังกล่าวมีค่าต่าที่สุด (minimum work)
เพื่อความเข้าใจ พิจารณาแกสในกระบอกสูบดังรูปที่ 2.19 เมื่อค่อยๆ วางก้อนน้าหนัก
ขนาดเล็กที่ละก้อนหลายๆ ก้อนบนลูก สูบจะทาให้ลูกสูบเลื่อนลง แกสภายในกระบอกสูบถูกอัดทีละ
น้อย ซึ่งงานในการยกก้อนน้าหนักจะเท่ากับงานเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงขอบเขตของระบบ เมื่อ
หยิบก้อนน้าหนักออกทีละก้อนๆ ลูกสูญจะเลื่อนสูงขึ้น จะเห็นว่า กระบวนการอัดและขยายตัวของ
แกสในลักษณะดังกล่าวเป็นไปอย่างสมดุลควอไซ ซึ่งสอดคล้องกับกระบวนการทางอุดมคติที่กล่าวไว้
ตอนต้น จึงสรุปได้ว่าเป็นกระบวนการย้อนกลับได้
83
ในทานองเดียวกัน พิจารณาแกสในกระบอกสูบที่อยู่ภายใต้ความดันในสภาวะเริ่มต้นดังรูปที่
2.9 เมื่อออกแรงกดลูกสูบให้เคลื่อนที่ลงอย่างรวดเร็วจนสามารถสอดหมุดเพื่อยึดลูกสูบให้อยู่ตาแหน่ง
เดิมได้ ด้วยเหตุที่ลูกสูบเคลื่อนที่ลงอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่โมเลกุลของแกสบริเวณผิวหน้าลูกสูบจะ
สามารถหนีออกได้ทัน ความหนาแน่นของแกสในตอนต้น เพื่อที่จะรักษาระดับของพลังงานภายใน
กระบอกสูบให้เหมือนกับสภาวะเริ่มต้น จาเป็นต้องมีการถ่ายโอนความร้อน (Q) ออกจากระบบ
ให้กับสิ่งแวดล้อมซึ่งก็เป็นไปตามกฎข้อที่หนึ่งของเธอร์โมไดนามิคส์ เมื่ อนาสลักออกจากลูกสูบจะทา
ให้ลูกสูบเคลื่อนที่ขึ้นอย่างรวดเร็วลูกสูบจะไม่สามารถเลื่อนขึ้นไปชนกับหลักยันได้ นอกจากระบบจะ
ไม่สามารถกลับสู่สภาวะเริ่มต้นได้ กระบวนการดังกล่าวกลับทาให้สิ่งแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลง
ด้วยปริมาณความร้อนที่ถ่ายโอนออกมาจากกระบอกสูบ ดังนั้ นกระบวนการดังกล่าวนี้จึงถือเป็นการ
ย้อนกลับไม่ได้
Q
กระบวนการอัด กระบวนการขยายตัว
กระบวนการย้ อ นกลั บ ไม่ ไ ด้ ที่ เ กิ ด ขึ้ น ในตั ว อย่ า งที่ อ ธิ บ ายข้ า งต้ น มี ส าเหตุ ม าจากการ
เปลี่ยนแปลงสภาวะของระบบที่เป็นไปแบบไม่สมดุลควอไซ (non–quasi–equilibrium) เพราะว่า
เมื่อเกิดการอัดตัวอย่างรวดเร็ว ความดันภายในระบบเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่ง
แตกต่างจากกระบวนการย้อนกลับได้ในรูปที่ 2.8 ที่ความดันภายในระบบเปลี่ยนแปลงช้า ๆ ใน
ลักษณะสมดุลควอไซ
กรณีที่การถ่ายโอนความร้อนเกิดขึ้นด้วยความแตกต่างของอุณหภูมิในปริมาณจากัด (finite
temperature difference, T) ดังรูปที่ 2.10(ก) ลักษณะนี้ถือเป็นกระบวนการย้อนกลั บไม่ได้
เช่นกัน ส่วนรูปที่ 2.10(ข) เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเป็นไปอย่างช้า ๆ ในปริมาณ dT
ซึ่งจะมีค่าน้อยเข้าใกล้ศูนย์ ลักษณะเช่นนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยากในทางปฏิบัติ เพราะต้องใช้ระยะ
เวลานานหรือต้องใช้พื้นที่ในการถ่ายโอนความร้อนที่เกิดขึ้นระหว่างการเปลี่ยนแปลงสถานะ (การ
ระเหยและการควบแน่น ) ของสารบริสุทธิ์ที่ความดันคงที่ เราอาจพิจารณาให้กระบวนการดังกล่าว
เป็นไปแบบย้อนกลับได้ ทั้งนี้เนื่องจากอุณหภูมิของสารบริสุทธิ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงนั่งเอง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนอีกอย่างหนึ่งก็คือกรณีของแหล่งความร้อน (thermal reservoir) ที่
ได้กล่าวได้ตอนต้นซึ่งการเปลี่ยนแปลงสภาวะภายในแหล่งความร้อนจะเป็นย้อนกลับได้เนื่องจากไม่
เกิดการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้ว ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทาให้กระบวนการที่เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติ
เป็ น แบบย้ อ นกลั บ ได้ เช่ น ความเสี ย ดทาน (friction) การขยายตั ว อย่ า งเป็ น อิ ส ระ (free
expansion) ของของไหล การผสม (mixing) ของของไหลที่มีองค์ประกอบทางเคมีและสภาวะ
84
ต่างกัน คลื่ นช็อก (shock wave) ปฏิกิริยาเคมี (chemical reaction) ความต้านทานไฟฟ้ า
(electric resistance) การไหลของของไหลหนื ด (viscous flow) การเสี ย รู ป แบบไม่ ยื ด หยุ่ น
(inelastic deformation) เป็ น ต้ น โดยสิ่ ง ต่ า งๆ ที่ กล่ า วมานี้ เ รี ย กว่ า สภาพย้ อ นกลั บ ไม่ ไ ด้
(irreversibility)
ระบบอุณหภูมิคงที่ ระบบอุณหภูมิคงที่
Q Q
สิ่ งแวดล้อม
สิ่ งแวดล้อม
ในกรณีที่ภายในระบบไม่เกิดย้อนกลับไม่ได้ระหว่างกระบวนการเปลี่ยนแปลงสภาวะ เราจะ
เรียกว่าการที่เกิดขึ้นนี้ว่า กระบวนการย้อนกลับได้ภายใน (internally reversible process)
ซึ่งได้แก่ กระบวนการที่เกิดขึ้นในลั กษณะสมดุลควอไซภายในระดังที่ได้กล่าวในหัวข้อที่ผ่ านมา
นอกจากนั้นแล้ว การที่กระบวนการจะเป็นแบบย้อนกลับได้ภายใน งานทีถ่ายโอนผ่านขอบเขตของ
ระบบจะต้องมีลักษณะสมดุ ลควอไซด้วยเช่นกัน สาหรับงานที่เกิดจากการหมุนใบพัด หรืองาน
เนื่ อ งจากกระแสไฟฟ้า รวมถึง งานในรูป แบบอื่ น ที่ไ ม่เป็ น แบบสมดุ ลควอไซ จะไม่ สามารถทาให้
กระบวนการดาเนินไปอย่างสมดุลควอไซได้ เพราะโดยธรรมชาติแล้วกระบวนการถ่ายโอนงานใน
ลักษณะดังกล่าวนี้ล้วนเป็นแบบย้อนกลับไม่ได้ทั้งสิ้น
ในกรณีของ กระบวนการย้อนกลับได้ภายนอก (externally reversible process)
จะไม่เกิดสภาพย้อนกลั บไม่ ได้ ภ ายนอกกระบวนการเปลี่ยนแปลงสภาวะ แต่อาจยอมใไมี ส ภาพ
ย้อนกลับไม่ได้เกิดขึ้นภายในระบบ เช่น การถ่ายโอนความร้อนระหว่างระบบกับสิ่งแวดล้อมที่มี
อุณหภูมิแตกต่างกันน้อยๆ ในปริมาณ dT โดยภายในระบบมีการเปลี่ยนแปลงสภาวะในลักษณะไม่
สมดุลควอไซ
ในกรณีที่ทั้งระบบสิ่งแวดล้อมไม่เกิดสภาพย้อนกลับไม่ได้ในระหว่างกระบวนการเปลี่ยนแปลง
สภาวะ เราจะเรี ย กกระบวนการที่ เ กิ ด ขึ้ น นี้ ว่ า กระบวนการย้ อ นกลั บ ได้ โ ดยรวม (totally
reversible process) ตัวอย่างของกระบวนการดังกล่าวนี้ได้แก่ กระบวนการถ่ายโอนความร้อน
ระหว่างระบบและสิ่งแวดล้อมในรูปที่ 2.10(ข)
85
ในทางเธอร์โมไดนามิคส์ กระบวนการย้อนกลับได้โดยรวมและกระบวนการย้อนกลับได้ภายใน
จะมีบทบาทสาคัญมาก โดยแนวคิดของกระบวนการย้อนกลับได้นี้จะนาไปศึกษาการทางานของ
อุปกรณ์ทางวิศวกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเครื่องยนต์ความร้อน
กระบวนการทางทฤษฎีถูกตั้งชื่อกระบวนการตามสมบัติทคี่ งที่ เช่น
ก) กระบวนการความดันคงที่ เรียกว่า กระบวนการไอโซแบริก (isobaric process)
ข) กระบวนการปริมาตรคงที่ เรียกว่า กระบวนการไอโซเมตริก (isometric process)
ค) กระบวนการอุณหภูมิคงที่ เรียกว่า กระบวนการไอโซเธอร์มอล (isobaric process)
ง) กระบวนการเอนทัลปีคงที่ เรียกว่า กระบวนการไอเซนทัลปิกหรือธรอททลิ่ง
(isenthalpic or throttling process)
จ) กระบวนการเอนโทรปีคงที่ เรียกว่า กระบวนการไอเซนโทรปิก (isentropic process)
ฉ) กระบวนการที่ไม่มีการถ่ายโอนความร้อน เรียกว่า กระบวนการอะเดียแบติก (adiabatic
process) เป็นต้น
กระบวนการทางทฤษฎีดังกล่าวข้างต้นมักนิยมนามาวาดบนแผนภาพเดียวกัน เพื่อเปรียบ
เทียบลักษณะของแต่ละกระบวนการโดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่าง ความดันและปริมาตรอยู่ในรูปของ
PVn = C โดยเรียกกระบวนการนี้ว่า กระบวนการพอลิโทรปิก ซึ่งค่าของ n จะแสดงลักษณะของ
กระบวนการต่าง ๆ โดยหาก n มีค่าเท่ากับอัตราส่วนความร้อนจาเพาะ k (n = k) เราจะได้ PVk
= C นั่นคือ กระบวนการดังกล่าวจะกลายเป็นกระบวนการไอเซนโทรปิก สาหรับแกสอุดมคติที่
เปลี่ยนแปลงสภาวะด้วยกระบวนการพอลิโทรปิกที่ค่า n ต่าง ๆ สามารถแสดงบนแผนภาพอุณหภูมิ–
เอนโทรปีได้ดังรูปที่ 2.16 โดยรายละเอียดของแต่ละกระบวนการจะได้กล่าวโดยลาดับต่อไป
T
n=
n=k (V = คงที่) n=0
(S = คงที่) (P = คงที่)
n=1
(T = คงที่)
86
ก) กระบวนการโพลีโทรปิก (polytrophic process, 𝑃𝑉 𝑛 =คงที)่
𝑃1 𝑉1 𝑃2 𝑉2
=
𝑇1 𝑇2
𝑃𝑉 = 𝑚𝑅𝑇
𝑃1 𝑉1𝑛 = 𝑃2 𝑉2𝑛
𝑛−1
𝑛−1
𝑇2 𝑉1 𝑃2 𝑛
( )=( ) =( )
𝑇1 𝑉2 𝑃1
(𝑃2 𝑉2 −𝑃1 𝑉1 )
𝑊𝑛 = (1−𝑛)
(𝑃2 𝑉2 −𝑃1 𝑉1 )
𝑊𝑠 = (1−𝑛)
𝑄 = 𝑚𝐶𝑛 ∆𝑇
𝑘−𝑛
𝐶𝑛 = 𝐶𝑣 ( )
1−𝑛
∆𝑈 = 𝑚𝐶𝑣 ∆𝑇
∆𝐻 = 𝑚𝐶𝑝 ∆𝑇
𝑇2
∆𝑆 = 𝑚𝐶𝑛 𝑙𝑛
𝑇1
𝑃𝑉 = 𝑚𝑅𝑇
87
𝑊𝑛 = 0
𝑄 = ∆𝑈
∆𝑈 = 𝑚𝐶𝑣 ∆𝑇
∆𝐻 = 𝑚𝐶𝑝 ∆𝑇
𝑇 𝑃2
∆𝑆 = 𝑚𝐶𝑣 𝑙𝑛 2, ∆𝑆 = 𝑚𝐶𝑣 𝑙𝑛
𝑇1 𝑃1
ค) กระบวนการความดันคงที่หรือกระบวนการไอโซแบริก (isobaric
process, 𝑃𝑉 0 =คงที)่
𝑉1 𝑉2
=
𝑇1 𝑇2
𝑃𝑉 = 𝑚𝑅𝑇
𝑊𝑛 = ∫ 𝑃𝑑𝑉 = 𝑃(𝑉2 − 𝑉1 )
𝑊𝑠 = −∆𝐾𝐸 − ∆𝑃𝐸
𝑄 = ∆𝐻
∆𝑈 = 𝑚𝐶𝑣 ∆𝑇
∆𝐻 = 𝑚𝐶𝑝 ∆𝑇
𝑇 𝑉2
∆𝑆 = 𝑚𝐶𝑝 𝑙𝑛 2, ∆𝑆 = 𝑚𝐶𝑣 𝑙𝑛
𝑇1 𝑉1
𝑃1 𝑉1 = 𝑃2 𝑉2
88
𝑃𝑉 = 𝑚𝑅𝑇
𝑑𝑉 𝑉2 𝑃1
𝑊𝑛 = ∫ 𝑃𝑑𝑉 = 𝑃𝑉 ∫ = 𝑃1 𝑉1 𝑙𝑛 = 𝑃1 𝑉1 𝑙𝑛
𝑉 𝑉1 𝑃2
𝑊𝑠 = 𝑄 − ∆𝐾𝐸 − ∆𝑃𝐸
𝑄 = 𝑊𝑛
∆𝑈 = 0
∆𝐻 = 0
𝑑𝑄 𝑄 𝑊𝑛
∆𝑆 = ∫ = =
𝑇 𝑇 𝑇
𝑃𝑉 = 𝑚𝑅𝑇
𝑃1 𝑉1𝑘 = 𝑃2 𝑉2𝑘
𝑘−1
𝑘−1
𝑇2 𝑉1 𝑃2 𝑘
( )=( ) =( )
𝑇1 𝑉2 𝑃1
(𝑃2 𝑉2 −𝑃1 𝑉1 ) 𝑚𝑅(𝑇2 −𝑇1 )
𝑊𝑛 = (1−𝑛)
=
1−𝑘
𝑘(𝑃2 𝑉2 −𝑃1 𝑉1 )
𝑊𝑠 = (1−𝑘)
= −∆𝐾𝐸 − ∆𝑃𝐸
𝑄=0
89
∆𝑈 = −𝑊𝑛
∆𝐻 = −𝑊𝑠
∆𝑆 = 0
2.1.3.2 วัฏจักรทางเธอร์โมไดนามิกส์
วั ฏ จั ก รทางเธอร์ โ มไดนามิ ก ส์ (Thermodynamics cycles) หมายถึ ง การเกิ ด
กระบวนการจากสภาพเริ่มต้นโดยระบบดาเนินผ่านสภาพต่างๆ แล้วสามารถกลับสู่สภาพเริ่มต้นได้อีก
โดยเมื่อระบบกลับสู่สภาพเริ่มต้น สมบัติของระบบจะเหมือนกับสมบัติที่สภาพเริ่มต้นเดิมทุกประการ
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ กระบวนการเกิดจากการเปลี่ยนแปลงจากสภาพของสารทางานในระบบจาก
สภาพหนึ่งไปตามกระบวนการหลายๆ กระบวนการ (ตั้งแต่ 2 กระบวนการขึ้นไป) และกลับมามีสภาพ
เหมือนจุดเริ่มต้นทุกประการนั่นเอง โดยทั่วไปวัฏจักรเกิดจากการการเปลี่ยนเปลงสภาพไปในทิศทาง
ตามเข็มนาฬิกา ดังแสดงในรูปที่ 2.12 ตัวอย่างของวัฏจักรดังกล่าวเช่นวัฏจักรพื้นฐานของเครื่องยนต์
เป็นต้น
P 2
1
5 Wnet 3
V
รูปที่ 2.12 แผนภาพแสดงลักษณะของวัฏจักร
90
กรณีวัฏจักรเกิดจากการการเปลี่ยนเปลงสภาพไปในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา เราเรียกว่า วัฏ
จักรทวน (reversed cycle) ตัวอย่างของวัฏจักรดังกล่าว เช่น วัฏจักรคาร์โนแบบย้อนกลับหรือวัฏ
จักรทวนคาร์โน (reversed Carnot cycle) ดังรูปที่ 2.13 ซึ่งเป็นวัฏจักรพื้นฐานที่ใช้กับเครื่องทาความ
เย็นและปั้มความร้อน (heat pump) เป็นต้น
P
1
Qout
4
Win
2
Qin 3
V
P
1 2
300 kPa
T=คงที่
3
v
รูปที่ 2.14 รูปสาหรับตัวอย่างที่ 2.2
91
พิจารณาให้ฮีเลียมเป็นแกสอุดมคติ จากตาราง ข.1 จะได้ Cvo = 3.116 kJ/kg.K และ
R = 2.0771 kJ/kg.K
2
ก) ในที่ นี้ ส ามารถหางานที่ ถ่ า ยโอนได้ จ าก w 12 Pdv ส่ ว นความร้ อ นในแต่ ล ะ
1
กระบวนการสามารถหาได้โดยอาศัยกฎข้อที่หนึ่งของเธอร์โมไดนามิคส์สาหรับระบบเปิด โดยไม่คิดผล
การเปลี่ยนแปลงพลังงานจลน์และพลังงานศักย์ซึ่ง q - w u
กระบวนการ 1 – 2 : P1 = P2 จะได้
2
w 12 = Pdv = P1(v2 – v1)
1
= P2 v2 - P1v1 = R(T2 – T1)
= (2.0771 kJ/kg.K) (418.15 -293.15) K
= 259.637 kJ/kg
จากกฎข้อที่หนึ่งของเธอร์โมไดนามิคส์ จะได้
q 12 = (u2- u1) + w 12 = Cv (T2 – T1) + w 12
= (3.116 kJ/kg.K)(418.15 – 293.15)K + 259.637
kJ/kg
= 649.137 kJ/kg
กระบวนการ 2 – 3 : V2 = V3 จะได้
w 32 = 0
จากกฎข้อที่หนึ่งของเธอร์โมไดนามิคส์ จะได้
q 32 = (u3 –u2) = Cv (T3– T2)
= (3.116 kJ/kg.K)(293.15 – 418.15) K
= - 389.50 kJ/kg
กระบวนการ 3 – 1 : T3 = T1 โดยที่ P = RT/v จะได้
1 1 dv v1 P3
w 13 = Pdv = RT = RT1 ln = RT1 ln
3 3 v v3 P1
ค่าของ P3 สามารถหาได้จากการพิจารณากระบวนการ 2 – 3 ที่เป็นกระบวนการ
P P P3 T
ปริมาตรคงที่ซึ่ง 3 2 แต่ P2 = P1 ดังนั้น = 3 โดยจากสมการ
T3 T2 P1 T2
ข้างต้นจะได้
92
T3
w 13 = RT1 ln
T2
293.15 K
= (2.0771 kJ/kg.K)(293.15 K) ln
418.15 K
= - 216.255 kJ/kg
จากกฎข้อที่หนึ่งของเธอร์โมไดนามิคส์ จะได้
q 13 = (u1 - u3) + w 13 = Cv (T1 - T3) + w 13
= 0 + (- 216.255 kJ/kg)
= -216.255 kJ/kg ตอบ
ข) ประสิทธิภาพเชิงความร้อนของวัฏจักร หาได้จาก
w net , out w 12 w 32 w 13
th = =
q in q 12
(259.637 0 216.255)kJ/kg
= = 0.0668
649.137 kJ/kg
= 6.68 % ตอบ
วิธีทา เตาเผาถือได้ว่าเป็นแหล่งสะสมพลังงานที่มีอุณหภูมิสูงของเครื่องยนต์ความร้อนนี้และแหล่งน้า
ถือว่าเป็นแหล่งสะสมพลังงานที่มีอุณหภูมิตา่ ดังนั้น
QH = 120 MW และ QL = 70 MW
สมมติว่า ความร้อนที่อาจสูญเสียจากของไหลทางานขณะที่ไหลผ่านท่อและอุปกรณ์นอ้ ยมาก
กาลังสุทธิที่ได้ออกมาจากเครือ่ งยนต์ความร้อนนี้คานวณได้ ดังนี้
Wnet, out = QH - QL = (120 – 70) MW = 50 MW
ส่วนประสิทธิภาพเชิงความร้อนสามารถคานวณได้
93
Wnet, out 50 MW
th = = = 0.416 (หรือ 41.6 %)
QH 120 MW
เครื่องยนต์จะต้องเผาไหม้เชื้อเพลิงด้วยอัตราดังนี้เพื่อให้ได้อัตราพลังงานตามต้องการ
593833.34 Btu / h
m = = 39.58 lbm / h ตอบ
15,000 Btu / lbm
2.1.4 ประสิทธิภาพเชิงความร้อนทางทฤษฎีของเครื่องยนต์
ในวั ฏ จั ก รการท างานของเครื่ อ งยนต์ สั น ดาปภายในที่ เ ป็ น ไปตามกฎข้ อ ที่ ห นึ่ ง ของเธอร์ โ ม
ไดนามิกส์จะมีลักษณะการเปลี่ยนรูปพลังงานความร้อนให้กลายเป็นงานกล ดังรูปที่ 2.15 เครื่องยนต์
จะได้รับความร้อนปริมาณหนึ่งในจังหวะระเบิด โดยส่วนหนึ่งของความร้อนที่รับมาจะถูกเปลี่ยนเป็น
งานกลในจังหวะขยายตัวและอีกส่วนหนึ่งที่เหลือจะถูกถ่ายโอนทิ้งไปในจังหวะไล่ไอเสียออกและนาไอ
ดีเข้า ดังนั้นงานที่กระทากับหัวลูกสูบในวัฏจักรก็คือ ผลต่างของค่าความร้อนที่ป้อนเข้าสู่ระบบกับค่า
ความร้อนที่ถูกถ่ายโอนทิ้งออกจากระบบ ซึ่งจะเห็นได้ว่า เป็นไปตามกฎข้อที่ 2 ทางอุณหพลศาสตร์
นั่นคือ
94
รูปที่ 2.15 การเปลี่ยนรูปพลังงานความร้อนให้กลายเป็นงานกลของเครื่องยนต์ความร้อน
วิธีทา
ก) กาลังกังหันที่ไอน้าผลิตได้สามารถหาได้โดยการพิจารณาให้วัฏจักรกาลังไอน้าเป็นระบบ
ปิดซึ่งเป็นวัฏจักรด้วยสภาวะคงตัว (steady state) โดยจากกฎข้อที่หนึ่งของเธอร์โมไดนามิคส์ จะได้
Q W นั่นคือ
Q in - Q out W out - W in
95
100000 kJ/min - 66000 kJ/min W out - 1400 kJ/min
ข) ประสิทธิภาพเชิงความร้อนของวัฏจักรหาได้จาก
Q H Q L 100000 66000
th 0.34 หรือ 34 % ตอบ
QH 100000
2.1.5 เอนโทรปี
WE W 0 (2.21)
96
แหล่งความร้อน
TR
HE
ย้อนกลับได้ T
แบบโดยรวม ระบบปิ ด
เมื่อพิจารณาเฉพาะเครื่องจักรความร้อนแบบย้อนกลับได้โดยรวมโดยอาศัยกฎข้อที่หนึ่งของ
เธอร์โมไดนามิคส์ จะได้ WE = QR - Q และจากสเกลอุณหภูมิเคลวินที่กล่าวในบทก่อน
หน้านี้ จะได้ว่า QR/ TR = Q/T นั่นคือ
TR
δWE = Q Q (2.22)
T
T
Q Q W 0
R
(2.23)
T
ในทานองเดียวกัน เมื่อพิจารณาเฉพาะระบบปิดโดยอาศัยกฎข้อที่หนึ่งของเธอร์โมไดนามิคส์
จะพบว่า Q W ดังนั้น จึงสามารถเขียนสมการ (2.3) ได้เป็น
Q
TR 0
T
Q
T
0 (2.24)
97
สมการ (2.4) ที่ ไ ด้ นี้ มี ชื่ อ เรี ย กว่ า อสมการของคลอเซี ย ส (Clausius inequality) การ
พิสูจน์นี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของอุปกรณ์ดังรูปที่ 2.1 ซึ่งยอมให้มีสภาพย้อนกลับไม่ได้เกิดขึ้นภายในระบบ
ปิดเท่านั้น
อสมการของคลอเซียสนี้สามารถนาไปประยุกต์ใช้ได้กับวัฏจักรทางเธอร์โมไดนามิคส์อื่นๆ ทั้ง
ย้อนกลับได้และย้อนกลับไม่ได้ รวมถึงวัฏจักรการทางานของเครื่องทาความเย็นหรือปั๊มความร้อน
ด้วย โดยเครื่องหมายเท่ากับ (=) จะใช้กับวัฏจักรย้อนกลับได้ภายใน ส่วนเครื่องหมายไม่เท่ากับ (<)
จะใช้กับวัฏจักรย้อนกลับไม่ได้ภายใน กล่าวคือ
Q
วัฏจักรย้อนกลับได้ภายใน : 0
T
Q
วัฏจักรย้อนกลับไม่ได้ภายใน : 0
T
qboiler
ของเหลวอิ่มตัว ไออิ่มตัว
1000 kPa 1000 kPa
4 1
หม้อไอน้ า
win กังหันไอน้ า wout
ปั๊มน้ า เครื่ อง
ควบแน่น x2 = 0.9
50 kPa 3 2
qcondenser
รูปที่ 2.17 จักรไอน้าสาหรับตัวอย่างที่ 2.6
วิธีทา การตรวจสอบความเป็นไปได้ในการทางานสามารถทาได้โดยการประยุกต์อสมการของคลอ
เซี ย สเข้ า กั บ วั ฏ จั ก รไอน้ า โดยผลที่ ไ ด้ ต้ อ งสอดคล้ อ งกั บ อสมการของคลอเซี ย ส กล่ า วคื อ
Q
T
/T 0 ในที่นี้มีเพียงหม้อไอน้าและเครื่องควบแน่นเท่านั้นที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายโอนความ
ร้อน ดังนั้นจึงเขียนอสมการของคลอเซียสได้ดังนี้
98
Q q q
T
T boiler T condencer
0 (2.25)
ปริมาณความร้อนซึ่งถ่ายโอนที่หม้อไอน้าและเครื่องควบแน่นสามารถหาได้จากการประยุกต์
กฏการอนุ รั ก ษ์ พ ลั ง งานส าหรั บ ปริ ม าตรควบคุ ม ภายใต้ ก ระบวนการ SSSF โดยไม่ คิ ด ผลการ
เปลี่ยนแปลงพลังงานจลน์และพลั งงานศักย์ รวมถึงไม่มีการถ่ายโอนงาน ซึ่งจะได้ว่า q = he - hi
ดังนั้น
q boiler = 4q1 = h1 - h4 (2.26)
q h1 h 4 h 3 h 2
(2.28)
T Tboiler Tcondenser
โดยที่ h1=hg@ 1000 kPa = 2778.08 kJ/ kg และ h4 = hf @ 1000 kPa = 762.79 kJ/ kg
ดังนั้น
h2 = h f + x2 h f g = (340.47 + (0.9) 2305.4) kJ/ kg = 2415.33 kJ/ kg
h3 = h f + x3 h f g = (340.47 + (0.1) 2305.4) kJ/ kg = 571.01 kJ/ kg
โดยแทนค่าลงในสมการ (2.24) จะได้
จะเห็นว่า q / T 0 แสดงว่าการทางานของวัฏจักรไอน้าสอดคล้องกับอสมการของคลอเซียส
ดังนั้น วัฏจักรไอน้าดังกล่าวนี้จึงสามารถทางานได้จริงภายใต้สภาวะที่กาหนดให้ ตอบ
99
ตัวอย่างที่ 2.7 เครื่องจักรความร้อนดังรูปที่ 2.18 ทางานแบบย้อนกลับได้ โดยมีการถ่ายโอนความ
ร้อนกับแหล่งความร้อนสามแหล่งซึ่งมีอุณหภูมิ T1 = 400 K , T2 = 1200 K และ T3 = 300 K
ตามลาดับ ถ้าเครื่องจักรความร้อนนี้รับความร้อนจานวน 1500 kJ จากแหล่งความร้อนที่มีอุณหภูมิ
1200 K และผลิตงานออกมาได้ 450 kJ จงหาปริมาณความร้อนที่ถ่ายโอนให้กับแหล่งความร้อนอีก
สองแหล่งที่เหลือ
T2 = 1200 K
Q 2 =1500 kJ
Q1 Q3
T1 = 400 K HE.Rev T3 = 300 K
W net,out = 450 kJ
100
แทนสมการ (2.9) ลงในสมการ (2.10) จะได้
( 1050 Q3 ) 1500 Q3
0
400 1200 300
Q 3 1650 kJ
และ
Q1 = (- 1050 – 1650) kJ = - 2700 kJ
Q
0 (2.31)
T int rev
C
1
A
2
สมบัติ x
101
สาหรับวัฏจักรที่ประกอบด้วยกระบวนการ A และ B สามารถเขียนสมการ (2.30) ได้ว่า
Q 2 Q 1 Q
1,A 2 ,B 0
T T T
Q 2 Q 1 Q
1,A 2 ,C 0
T T T
เมื่อเปรียบเทียบสมการทั้งสองข้างต้น จะพบว่า
1 Q 1 Q
2 ,B
T 2 ,C T
Q
dS (2.32)
T int rev
เอนโทรปีเป็นสมบัติที่ใช้สาหรับวัดความไม่เป็นระเบียบทางเธอร์โมไดนามิคส์ของระบบ
(ความไม่เป็นระเบียบของโมเลกุล ) หากระบบใดมีค่าเอนโทรปีมาก แสดงว่าระบบนั้นมีความไม่เป็น
ระเบียบมากในกระบวนการเปลี่ยนแปลงสภาวะทุกรูปแบบที่เกิดได้จริงล้วนแต่ส่งผลให้ เอนโทรปีของ
ระบบเพิ่มขึ้นทั้งสิ้น (มีความไม่เป็นระเบียบของโมเลกุลเพิ่มขึ้น)
102
เมื่อทาการอินทิเกรตสมการ (2.32) ตลอดกระบวนการย้อนกลับได้ภายในระหว่างสภาวะ 1
และสภาวะ 2 จะได้การเปลี่ยนแปลงเอนโทรปี (entropy change) ของระบบซึ่งแทนด้วย ΔS
ดังนี้
Q
S S 2 S1 12 (2.34)
T int rev
103
แบบฝึกหัดบทที่ 2.1
อากาศ
Heat
104
เท่ากัน ซึ่งที่สภาพนี้อากาศมีอุณหภูมิ 25C จงหาความดันและปริมาตรในสภาพสุดท้ายของ
อากาศในลูกโป่ง กาหนดให้ความดันของอากาศภายในลูกโป่ง แปรผันโดยตรงกับขนาดเส้นผ่าน
ศูนย์กลางของลูกโป่ง [137 kPa, 0.168 m3]
อากาศ
105