Professional Documents
Culture Documents
ใบเตรียมการสอน สัปดาห์ 7
ใบเตรียมการสอน สัปดาห์ 7
ชื่อบทเรียน
4.6 กระบวนการปรับปรุงสมบัติโลหะกลุ่มเหล็กด้วยกรรมวิธีทางความร้อน
4.7 กระบวนการชุบผิวแข็ง
จุดประสงค์การสอน
4.7 เข้าใจกระบวนการปรับปรุงสมบัติโลหะเหล็กด้วยกรรมวิธีทางความร้อน
4.7.1 อธิบายกระบวนการปรับปรุงสมบัติโลหะเหล็กด้วยกรรมวิธีทางความร้อน
4.7.2 อธิบายกระบวนการชุบแข็งเหล็กกล้า
4.7.3 อธิบายกระบวนการชุบแข็งทั้งชิ้นงาน
4.8 รู้จักกระบวนการชุบผิวแข็งของโลหะกลุ่มเหล็ก
4.8.1 บอกวิธีการชุบผิวแข็งด้วยเปลวไฟ
4.8.2 บอกวิธีการชุบผิวแข็งแบบเหนี่ยวนำ
4.8.3 บอกวิธีการชุบผิวแข็งด้วยกระบวนการคาร์บูไรซิ่ง
4.8.4 บอกวิธีการชุบผิวแข็งด้วยกระบวนการคาร์โบไนไตรดิ่ง
4.8.5 บอกวิธีการชุบผิวแข็งด้วยกระบวนการไนไตรดิ่ง
- 273 -
4.7 กระบวนการปรับปรุงสมบัติโลหะกลุ่มเหล็กด้วยกรรมวิธีทางความร้อน
กรรมวิธีทางความร้อนที่ทำกับโลหะสามารถทำให้สมบัติทางกลของโลหะเปลี่ยนแปลงได้ หากกรรมวิธี
ทางความร้อนกระทำกับโลหะได้อย่างเหมาะสม ซึ่งจะทำให้โลหะนั้นสามารถนำไปใช้งานได้อย่างกว้างขวาง
มากขึ้น กรรมวิธีทางความร้อนที่ทำกับโลหะสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ ขึ้นอยู่กับลักษณะการเย็นตัว
และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ได้แก่ การอบอ่อน (Annealing) และการอบชุบเพิ่มความเข็ง (Hardening)
สำหรับกรรมวิธีทางความร้อนที่ทำกับโลหะกลุ่มเหล็ก สามารถแบ่งกรรมวิธีปลีกย่อยได้อีกดังแสดงใน
แผนรูปที่ 4.14
4.7.1 รูปแบบของการปรับปรุงสมบัติของโลหะกลุ่มเหล็กด้วยกรรมวิธีทางความร้อน
กรรมวิธีทางความร้อนที่ทำกับโลหะทุกชนิด จะประกอบด้วย
• การให้ความร้อน ซึ่งหมายถึงการให้ความร้อนที่ผิว
• การให้ความร้อนตลอดถึงแกนกลาง
• การคงอุณหภูมิ
• การเย็นตัวลงมาที่อุณหภูมิห้อง
- 274 -
การอบชุบเหล็ก หมายถึงกรรมวิธีทางความร้อนที่ให้เหล็กได้รับความร้อนที่อุณหภูมิสูงเป็น
เวลานาน แล้วทำให้เย็นตัวลงอย่างช้า ๆ การอบนี้มีผลทำให้โลหะเกิดการเปลี่ยนแปลงดังต่อไปนี้
• ความเค้นลดลง
• ความเหนี่ยวและความเหนี่ยวแน่นเพิ่มขึ้น
• ทำให้เกิดโครงสร้างเฉพาะ
เมื่อกล่าวถึงการอบชุบเหล็กนั้น การอบชุบเหล็กเป็นวิธีการที่มีขอบเขตกว้างที่สุด ซึ่งอาจแบ่งได้
ตามจุดประสงค์ของการอบได้ดังนี้
การให้ความร้อนและการทำให้เย็นตัวของชิ้นงานทั่วๆ ไป ควรจะทำให้เกิดอุณหภูมิแตกต่างกัน
ภายในให้น้อยที่สุด ซึ่งสามารถที่จะทำให้ความเค้นที่เกิดจากความร้อนมีน้อยลง ขณะเดียวกันจะทำให้การ
เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของชิ้นงานเป็นไปในเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งจะทำให้ไม่เกิดปัญหาเกี่ยวกับปริ มาตรที่
แตกต่างกันของเกรนแต่ละชนิด
การใช้อุณหภูมิอบที่สูง และการใช้เวลาในการอบนานเกินไป จะทำให้เกรนออสเตไนต์ที่ได้เป็น
เกรนหยาบ ซึ่งส่วนมากแล้วจะเป็นผลเสีย เพราะเกรนใหม่ที่ได้หลังจากทำให้เย็นตัวส่วนใหญ่จะเป็น เกรนที่
หยาบมาก ซึ่งจะทำให้เปราะง่าย เหล็กที่มีเกรนหยาบสามารถทำให้เกรนมีขนาดเล็กลงได้โดยการ อบปกติ
(Normalization)
2) การอบปกติ (Normalizing)
ซึ่ง การอบปกติ จ ะมีโ อกาสเกิ ด ได้ม ากกว่ า ในกรณีข องเหล็ กกล้ าที่ ไ ม่ มี ก ารเปลี่ย นแปลง
โครงสร้างเลย เช่น เหล็กกล้าไร้สนิมออสเตเนติก วีธีเดียวที่จะทำให้เกรนกลับสู่สภาพเดิมได้ คือการอบคืนรูป
ผลึก
เพราะถ้าสูงเกินไปจะทำให้ค่าความแข็งแรงของเหล็กลดต่ำลงอย่างมาก การอบลดความเค้นนี้ยังสามารถใช้
กำจัดความเค้นที่มีอยู่ในเหล็กหล่อได้ด้วย โดยใช้อุณหภูมิสำหรับเหล็กหล่อสีเทาแกรไฟต์แผ่น และแกรไฟต์
กลมโดยส่วนใหญ่จะเลือกใช้อุณหภูมิในการอบ 500-550C และสำหรับเหล็กหล่อเจือต่ำใช้อุณหภูมิประมาณ
550-600C และไม่ควรใช้อุณหภูมิสูงกว่านี้เพราะจะเป็นเหตุให้ค่าความต้านแรงดึงของเหล็กลดลงมาก
การใช้อุณหภูมิชุบแข็งต่ำเกินไป รวมทั้งการใช้เวลาคงอุณหภูมิที่อุณหภูมิชุบแข็งสั้นเกินไป จะ
ทำให้เหล็กคาร์ไบด์ที่เหลืออยู่นี้ เป็นแกนผลึกสำหรับเกิดเพอร์ไลต์ แทนที่จะกลายเป็นเกรนมาร์เตนไซต์
1) ความสามารถในการชุบแข็ง (Hardenability)
ความสามารถในการชุบแข็ง คือ ความ สามารถของเหล็กกล้าที่โครงสร้างจะเปลี่ยนไปเป็นมาร์เตน
ไซต์ ณ อัตราเร็วในการเย็นตัวหนึ่งๆ ซึ่งสามารถทราบได้โดยการวัดความแข็งที่ความลึกต่างๆ กัน หากเหล็กมี
ความสามารถในการชุบแข็งดี หมายถึง เหล็กสามารถเกิดมาร์เตนไซต์ลึก หรือได้ตลอดความหนาของชิ้นงาน
ความสามารถในการชุบแข็งสามารถหาได้จากการทดสอบจอมินี
2) การทดสอบจอมินี (The Jominy end-quench test) การทดสอบนี้ใช้อย่างกว้างขวาง
สำหรับทดสอบความสามารถในการชุบแข็งของโลหะ โดยที่ปัจจัยที่มีผลต่อความสามารถในการชุบแข็ง เช่น
ขนาด รูปร่างของชิ้นทดสอบ และกระบวนการชุบกำหนดให้คงที่
ชิ้นทดสอบ : เป็นแท่งกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 25 มม. ยาว 100 มม.
- 286 -
วิธีทำ
1. นำไปอบที่อุณหภูมิและเวลาที่กำหนดไว้ เพื่อให้โครงสร้างกลายเป็นออสเตไนต์ 100%
จากนั้นจัดวางไว้ดังรูปที่ 4.40 a) อย่างรวดเร็ว โดยปลายด้านล่างจะมีน้ำพ่นเป็นฝอยออกมาทำให้ชิ้นทดสอบ
เย็นจากปลายด้านล่าง โดยที่อุณหภูมิของน้ำเป็น 24 C
3. ชิ้นตัวอย่างวางอยู่สูงกว่าท่อน้ำ 12 มม.
4. ชิ้นตัวอย่างที่ปลายด้านล่างจะเย็นด้วยอัตราเร็วสูงสุด และอัตราการเย็นตัวจะลดลงเมื่ออยู่
ห่างจากปลายมากขึ้น
a)
b)
รูปที่ 4.30 แผนภาพทีทีทีของเหล็กกล้าเจือ C = 0.5% Mn = 0.9% และ Cr = 1% อุณหภูมิชุบแข็ง
840C เวลาคงอุณหภูมิ 10 นาที a) ชนิดการแปลงอุณหภูมิแบบต่อเนื่อง (Continuous Transformation)
b) ชนิดการแปลงอุณหภูมิคงที่ (Isothermal Transformation) {3]
- 290 -
สำหรับการชุบแข็งเหล็กกล้าเครื่องมือในทางปฏิบัติจะไม่สามารถทำให้ได้มาร์เตนไซต์ 100%
เพราะจะเกิดรีเทนออสเตไนต์จำนวนหนึ่ง ถึงแม้อุณหภูมิจะลดลงจนถึงอุณหภูมิห้องแล้วก็ตาม ก็ยังคงสภาพ
เป็นออสเตไนต์อยู่ ออสเตไนต์ประเภทนี้จะเปลี่ยนไปเป็นมาร์เตนไซด์ได้ ก็ต่อเมื่ออุณหภูมิลดต่ำลงไปอีกจนถึง
เส้นสิ้นสุดการเปลี่ยนเป็นเกรนมาร์เตนไซต์ Mf ซึ่งอาจอยูต่ ่ำถึง -30C
การชุบแข็งเหล็กกล้าด้วยการชุบโดยตรงในสารชุบ เหล็กกล้าจะถูกให้ความร้อนจนถึงอุณหภูมิชุบ
แข็ง และคงอุณหภูมิไว้จนกระทั่งความร้อนกระจายทั่วชิ้นงานและเกรนของเหล็กกล้าเปลี่ยนเป็นออสเตไนต์
จากนั้นชิ้นงานจึงถูกจุ่มชุบ (Quenching) ลงในสารชุบ ดังแสดงในรูปที่ 4.47 ซึ่งอาจจะเป็นน้ำ น้ำมัน หรือ
อากาศ ขึ้นอยู่กับชนิดของเหล็กกล้า ถ้าการเย็นตัวของเหล็กกล้าขณะชุบสูงกว่าอัตราเร็วเย็นตัววิกฤติ (Critical
Cooling Rate) ของเหล็กนั้น จะทำให้โครงสร้างของเหล็กกล้าสามารถเปลี่ยนไปเป็นมาร์เตนไซต์ได้
- 291 -
ดังนั้นสารชุบจึงมีให้เลือกใช้หลายชนิด แต่ละชนิดให้ความเร็วในการเย็นตัวขณะชุบแตกต่างกัน
ซึ่งจำเป็นต้องเลือกให้เหมาะสมกับเหล็กกล้าแต่ละชนิด เนื่องจากเหล็กกล้าแต่ละชนิดมีค่า CCR ที่แตกต่างกัน
ดังรูปที่ 4.33
การชุบแข็งวิธีนี้จะช่วยลดความเค้นที่เกิดจากการลดอุณหภูมิลงอย่างรวดเร็วได้ แต่ก็ไม่สามารถ
ที่จะลดความเค้นจากการเปลี่ยนโครงสร้างได้ อย่างไรก็ตามการบิดงอ และแตกร้าวของชิ้นงานชุบแข็ง จะมี
น้อยลง ซึ่งเหมาะสำหรับชิ้นงานหนามากๆ ข้อดีอีกอย่างคือ ผิวของชิ้นงานจะไม่ได้รับการเสียหายจากการไหม้
เพราะเกลือชุบจะช่วยป้องกันอ๊อกซิเจนไม่ให้ถูกผิวชิ้นงาน ความแข็งลึกของเหล็กกล้าจากการชุบวิธีนี้จะมีน้อย
กว่าการชุบโดยตรงลงในน้ำหรือน้ำมัน
ขั้นตอนของการชุบแข็งด้วยวิธีนี้ ทำได้โดยการชุบชิ้นงานจากอุณหภูมิชุบแข็งลงในบ่อเกลือซึ่งมี
อุณหภูมิอยู่เหนือเส้น Ms ดังรูปที่ 4.35 โดยมีหลักการว่า ยิ่งอุณหภูมิของบ่อเกลือยิ่งใกล้เคียงกับเส้น Ms มาก
เท่าไร ก็จะยิ่งทำให้ชิ้นงานมีความแข็งมากขึ้น หลังจากการชุบลงในเกลือร้อนแล้วต้องแช่ชิ้นงานไว้ในเกลือร้อน
เพื่อให้โครงสร้างเปลี่ยนเป็นเบไนต์ทั้งหมด ซึ่งเวลาแช่ชิ้นงานควรจะเป็นเวลานานเท่าไรสามารถ ดูได้จาก
แผนภาพทีทีทีของเหล็กกล้าชนิดนั้น
จำเป็นต้องเผื่อขนาดชิ้นงานให้เพียงพอจากการเสียหายนี้ เพื่อมิให้ขนาดต่ำกว่าที่กำหนดหลังจากการตบแต่ง
ภายหลังการชุบแข็ง อย่างไรก็ตามการเผื่อขนาดมากเกินไปทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และบางจุดยากในการตบ
แต่ง เช่น รูขนาดเล็ก ฟันเกลียว เป็นต้น ดังนั้นการผลิตจำนวนมาก จึงมักป้องกันการเสียหายของผิวมิให้
เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น เพื่อหลีกเลี่ยงการตบแต่งภายหลัง
การป้องกันผิวเหล็กกล้าขณะให้ความร้อน สามารถทำได้ดังนี้
หลักการของการชุบผิวแข็งวิธีนี้คล้ายคลึงกับการชุบแข็งด้วยเปลวไฟ เพียงแต่พลังงานความร้อน
ที่ใช้ได้จากขดลวดเหนี่ยวนำ ซึ่งมีกระแสไฟฟ้า ความถี่สูงไหล ทำให้เกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้า และเกิดการ
เหนี่ยวนำ ทำให้มีกระแสไฟฟ้าไหลบริเวณผิวของชิ้นงานชุบแข็ง ซึ่งจะทำให้ชิ้นงานได้รับความร้อนอย่าง
รวดเร็ว แต่ความร้อนนี้จะอยู่แต่บริเวณผิวชิ้นงานเท่านั้น หลังจากได้รับความร้อนแล้วชิ้นงานก็จะถูกทำให้เย็น
อย่างรวดเร็วด้วยการฉีดน้ำ ดังแสดงในรูปที่ 4.37
การชุบแข็งวิธีนี้จะใช้เมื่อต้องการชุบผิวแข็งชิ้นงานที่ทำจากเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ ซึ่งปกติจะไม่
สามารถทำการชุบแข็งได้ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำการเพิ่มปริมาณคาร์บอนบริเวณผิวชิ้นงานเพื่อให้มีคาร์บอนมาก
พอ
เป็นกระบวนการชุบผิวแข็งที่ปรับปรุงมาจากการชุบผิวแข็งแบบคาร์บุไรซิ่ง โดยการฉีดแอมโมเนีย
(NH3) เพิ่มเติมเข้าไปในคาร์บุไรซิ่งก๊าซ ส่งผลทำให้นอกจากจะมีอะตอมคาร์บอนแพร่เข้าไปในผิวของเหล็กกล้า
แล้ว ยังมีอะตอมไนโตรเจนแพร่เข้าไปในผิวของเหล็กกล้าด้วย
ส่วนประกอบของก๊าซในเตาประกอบด้วย
- 303 -
ถ้าจุดประสงค์ในการชุบ เพียงเพื่อต้องการป้องกันการเป็นสนิมของเหล็กกล้าโดยไม่ต้องการเพิ่ม
ความแข็งต่อชิ้นงาน อุณหภูมิที่ใช้ในการเติมไนโตรเจนอาจเลือกใช้อุณหภูมิสูงได้ เช่น 600 -850C และเวลาที่ใช้
ในการอบอาจใช้เพียงไม่อีกนาทีก็เพียงพอ
เอกสารอ้างอิง
คำถามท้ายสัปดาห์
จงเลือกคำตอบที่ถูกต้อง
ค. เป็นการทำลายความเครียดภายใน
ง. ข้อ 1 2 และ 3 ถูก
7. การอบปกติ (Normalizing) ของเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ จะต้องมีการให้ความร้อนและการเย็นตัวของชิ้นงาน
อย่างไร
ก. ให้ความร้อนจนชิ้นงานเปลี่ยนโครงสร้างเป็นออสเทไนต์และเฟร์ไรต์ และปล่อยให้เย็นตัวในเตาอบ
ข. ให้ความร้อนจนชิ้นงานเปลี่ยนโครงสร้างเป็นออสเทไนต์ทั้งหมด และปล่อยให้เย็นตัวในอากาศ
ค. ให้ความร้อนจนชิ้นงานเปลี่ยนโครงสร้างเป็นออสเทไนต์ทั้งหมด และปล่อยให้เย็นตัวในน้ำ
ง. ให้ความร้อนจนชิ้นงานเปลี่ยนโครงสร้างเป็นออสเทไนต์และซีเมนไทต์ และปล่อยให้เย็นตัวในน้ำ
8. กระบวนการใดต่อไปนี้ไม่สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับชิ้นงานโลหะได้
ก. การทำคาร์บูไรซิ่ง (Carburizing)
ข. การทำสเฟียร์รอยไดซิ่ง (Spheroidizing)
ค. การรีดเย็น
ง. การอัดขึ้นรูป
9. ข้อใดเรียงลำดับโครงสร้างเหล็กกล้าที่มีความแข็งมากไปน้อย
ก. ซีเมนไทต์ > เพอร์ไลต์ > มาร์เทนไซต์
ข. มาร์เทนไซต์ > เพอร์ไลต์ > เบไนต์
ค. เบไนต์ > เพอร์ไลต์ > เฟร์ไรต์
ง. มาร์เทรไซต์ > เฟร์ไรต์ > ซีเมนไทต์
- 309 -
แบบทดสอบท้ายหน่วย
จงทำเครื่องหมาย X บนตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุด
1. ข้อใดคือ ความหมายที่ถูกต้องที่สุดของเหล็กกล้า
ก. เหล็ก+คาร์บอน
ข. เหล็ก+คาร์บอน+ซิลิกอน
ค. เหล็ก+คาร์บอน+สารเจือที่ติดมากับเหล็ก
ง. เหล็ก+คาร์บอน+สารเจือที่ติดมากับเหล็ก+สารเจือเพิ่มเติม
ก. Metastable System Iron – Carbon Diagram ข. Stable System Iron – Carbon Diagram
3. ข้อใดต่อไปนี้ ไม่ใช่โครงสร้างจุลภาคที่มีในเหล็กกล้าไฮโปยูเทกตอยด์
4. สมบัติทางกลของเหล็กกล้าขึ้นอยู่กับธาตุใดเป็นหลัก
5. คาร์บอนที่ละลายอยู่ในเหล็กกล้าคาร์บอนจะรวมอยู่กับเหล็กในลักษณะใด
ก. อยู่ในรูปคาร์บอนอิสระ
ข. อยู่ในรูปแกรไฟต์เม็ดกลม
ค. รวมตัวกับเหล็กอยู่ในรูปสารประกอบคาร์ไบด์
ง. รวมตัวกับธาตุเจือเกิดเป็นสารประกอบชนิดต่างๆ
- 311 -
7. เหล็กกล้าคาร์บอนชนิดใด นิยมนำไปใช้ทำเป็นเหล็กเครื่องมือสำหรับงานตัดเฉือนวัสดุ
ก. เหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ ข. เหล็กกล้าคาร์บอนปานกลาง
ค. เหล็กกล้าคาร์บอนสูง ง. เหล็กกล้าคาร์บอนไม่สามารถนำไปทำเป็นเครื่องมือตัดได้
9. โครงสร้างจุลภาคของเหล็กกล้าไฮเปอร์ยูเทกตอยด์ที่อุณหภูมิห้องคือ โครงสร้างในข้อใด
ก. กลุ่มเพิ่มเสถียรภาพออสเตไนต์ ข. กลุ่มเพิ่มเสถียรภาพเฟอร์ไรต์
ค. กลุ่มรวมตัวกับไนโตรเจน ง. กลุ่มรวมตัวกับคาร์บอน
ก. ปริมาณนิกเกิลที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้อุณหภูมิยูเทกตอยด์ลดลง
ข. ปริมาณนิกเกิลที่เพิ่มขึ้นช่วยลดปริมาณของคาร์บอนที่จุดยูเทกตอยด์ให้น้อยลง
ค. ปริมาณนิกเกิลที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้อุณหภูมิยูเทกตอยด์ลดลง และลดปริมาณของคาร์บอนที่จุดยู
เทกตอยด์ให้น้อยลง
ก. ลดอุณหภูมิของเส้น A3 และเพิ่มอุณหภูมิของเส้น A4
ข. เพิ่มอุณหภูมิของเส้น A3 และลดอุณหภูมิของเส้น A4
ก. ทนต่อการใช้งานที่อุณหภูมิสูง ข. ทนต่อการสึกหรอ
ค. ทนต่อการเสียดสี ง. ทนต่อแรงกระแทก
ก. เหล็กกล้าคาร์บอนเครื่องมือ ข. เหล็กกล้าความเร็วสูง
ค. เหล็กกล้าเครื่องมืองานเย็น ง. เหล็กกล้าเครื่องมืองานร้อน
ก. แบ่งตามปริมาณคาร์บอน ข. แบ่งตามลักษณะการใช้งาน
ค. แบ่งตามความสามารถในการชุบแข็ง ง. ถูกทุกข้อ
20. เหล็กกล้าเครื่องมืองานเย็นชนิดใดที่สามารถทำการชุบแข็งด้วยอากาศได้
22. ธาตุชนิดใดที่มีผลต่อความสามารถต้านทานการกัดกร่อนของเหล็กกล้าไร้สนิม
27. การผลิตเหล็กหล่อแกรไฟต์กลมสามารถผลิตได้ด้วยวิธีการใด
ก. การเติมแมกนีเซียมและซีเรียมลงไปในน้ำเหล็กในขั้นตอนการหลอมวัตถุดิบต่างๆ
ข. การเติมแมกนีเซียมและซีเรียมลงไปในน้ำเหล็กหล่อเทาก่อนที่จะเทน้ำเหล็กลงในแบบหล่อ
ค. การเติมแมกนีเซียมและซีเรียมลงไปในน้ำเหล็กหล่อเทาที่อยู่ในแบบหล่อ
ง. การเติมแมกนีเซียมและซีเรียมลงไปในน้ำเหล็กหล่อขาวก่อนที่จะเทน้ำเหล็กลงในแบบหล่อ
ก. ปริมาณคาร์บอน ข. ปริมาณซิลิกอน
ก. เหล็กหล่อเทา ข. เหล็กหล่อขาว
ค. เหล็กหล่อแกรไฟต์กลม ง. เหล็กหล่ออบเหนี่ยว
ค. การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง ง. ลักษณะการเย็นตัวและการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
ก. ลดความเค้นภายในเนื้อโลหะ ข. ทำให้โลหะมีเกรนหยาบ
ค. สลายคาร์ไบด์ในเนื้อโลหะ ง. เกิดการเสียหายที่บริเวณขอบเกรน
35. การชุบผิวแข็งเหล็กกล้าเหมาะกับชิ้นงานประเภทใด
ข. อบที่อุณหภูมิประมาณ 550-650C
ค. อบให้อยู่ในช่วงที่มีการเปลี่ยนโครงสร้างเป็นออสเตไนต์
37. การชุบแข็งเหล็กกล้าด้วยวิธีการใดที่ให้โครงสร้างจุลภาคสุดท้ายเป็นเบไนต์
ค. Austempering ง. Martempering
39. ข้อใดคือวิธีการทดสอบความสามารถในการชุบแข็งเหล็กกล้า
1) บอกความสำคัญของหน่วยเรียน
วิธีการสอนและ 2) ให้เนื้อหาโดยวิธีบรรยาย และยกตัวอย่างประกอบ
กิจกรรม 3) ถาม-ตอบ คำถามในห้องเรียน
4) ให้นักศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม
หนังสืออ้างอิง หมายเลข 1-10
เอกสารใช้ประกอบ หน่วยเรียนที่ 4
สื่อการสอน
1. เครื่องมัลติมีเดียโปรเจคเตอร์
วัสดุโสตทัศน์
2. พาวเวอร์พอยต์
- ให้นักศึกษาทำแบบฝึกหัดท้ายบท
งานที่มอบหมาย - ให้นักศึกษาจดบันทึกสรุปเนื้อหาและศึกษาเพิ่มเติม
- ให้นักศึกษาอ่านเอกสารประกอบการสอน
1. สังเกตความสนใจ การให้ความร่วมมือ
การวัดผล 2. การถาม-ตอบ
3. การทำแบบฝึกหัดและงานที่มอบหมาย
หมายเหตุ :-