Professional Documents
Culture Documents
เอกสารประกอบการสอนปี 66 231101 011644
เอกสารประกอบการสอนปี 66 231101 011644
เอกสารประกอบการสอนปี 66 231101 011644
Complex Variables
w = z2
สมถวิล ขันเขตต์
คณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
แผนการสอน (Course Outline)
ชื่อวิชา 4093403 ตัวแปรเชิงซ้อน ชั้นปีที่ 3-4 ระดับปริญญาตรี หน่วยกิต 3(3-0-6)
สอนโดย ผศ.ดร.สมถวิล ขันเขตต์ ติดต่อได้ที่ ห้องพักอาจารย์ ชั้น 2 ตึก 3 คณะวิทยาศาสตร์ โทร.086-3230121
วิชาบังคับที่ต้องเรียนก่อน : ไม่มี
คำอธิบายรายวิชา
ระบบจำนวนเชิงซ้อน การหาอนุพันธ์ การหาปริพันธ์ ทฤษฎีบทของโคชี สูตรปริพันธ์ของโคชี อนุกรมเท
เลอร์ และอนุกรมเลอรองต์ ทฤษฎีบทส่วนตกค้างและการประยุกต์ การส่งคงรูป
วัตถุประสงค์
1. นักศึกษามีความซื่อสัตย์ มีระเบียบวินัย และมีจิตอาสา
2. นักศึกษามีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับตัวแปรเชิงซ้อนเพื่อนำมาอธิบายหลักการและทฤษฎีในศาสตร์ต่าง ๆ ได้
3. นักศึกษาสามารถคิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ มีเหตุผลตามหลักวิชาการ
4. นักศึกษามีภาวะความเป็นผู้นำและสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้
5. นักศึกษาสามารถสื่อสาร หรืออธิบายความรู้เกี่ยวกับตัวแปรเชิงซ้อนได้
สัปดาห์ที่ จำนวนคาบ หัวข้อการสอน หมายเหตุ
1 3 แจกแผนการสอนและชี้แจงรายวิชา
2-4 9 บทที่ 1 จำนวนเชิงซ้อน สอบย่อย ครั้งที่ 1
5-7 9 บทที่ 2 ฟังก์ชันตัวแปรเชิงซ้อน สอบย่อย ครั้งที่ 2
8-10 9 บทที่ 3 การหาปริพันธ์บนระนาบเชิงซ้อน สอบย่อย ครั้งที่ 3
11-13 9 บทที่ 4 ลำดับและอนุกรมในระนาบเชิงซ้อน
14-16 9 บทที่ 5 วิธีหาประพันธ์โดยใช้ส่วนตกค้าง
สอบปลายภาค ( บทที่ 4 – 5 )
เกณฑ์การเก็บคะแนน 65% : 35%
คะแนนเก็บระหว่างภาค 65% คะแนนสอบปลายภาค 35%
คะแนนสอบย่อยบทที่ 1 10%
คะแนนสอบย่อยบทที่ 2 10%
คะแนนสอบย่อยบทที่ 3 15%
คะแนนแบบฝึกหัด 10%
คะแนนเข้าเรียน + จิตสาอา 20%
เกณฑ์การประเมินผล คะแนน 73 – 79 ได้ B+ คะแนน 80 – 100 ได้ A
คะแนน 58 – 65 ได้ C+ คะแนน 66 – 72 ได้ A
คะแนน 43 – 49 ได้ D+ คะแนน 50 – 57 ได้ C
คะแนน 0 – 35 ได้ E คะแนน 36 – 42 ได้ D
ก
คำนำ
สมถวิล ขันเขตต์
2558
ข
สารบัญ
หน้า
คำนำ ก
สารบัญ ข
บทที่ 1 จำนวนเชิงซ้อน 1
1.1 จำนวนเชิงซ้อน 1
1.2 การดำเนินการของจำนวนเชิงซ้อน 2
1.3 จำนวนเชิงซ้อนในรูปแบบเชิงขั้ว 6
1.4 รากของจำนวนเชิงซ้อน 14
1.5 สรุป 18
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 1 19
บทที่ 2 ฟังก์ชันตัวแปรเชิงซ้อน 21
2.1 ฟังก์ชันของตัวแปรเชิงซ้อน 21
2.2 ฟังก์ชันตัวแปรเชิงซ้อนเบื้องต้น 26
2.3 การส่ง 37
2.4 เซตในระนาบเชิงซ้อน 39
2.5 ลิมิตและความต่อเนื่อง 48
2.6 อนุพันธ์ของฟังก์ชันเชิงซ้อน 53
2.7 ฟังก์ชันวิเคราะห์และสมการโคชี – รีมันน์ 56
2.8 สรุป 62
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2 63
บทที่ 3 การหาปริพันธ์บนระนาบเชิงซ้อน 65
3.1 บทนำ 65
3.2 ปริพันธ์ของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน 68
3.3 ปริพันธ์ตามเส้นเชิงซ้อน 70
3.4 การหาปริพันธ์เชิงซ้อน 76
3.5 อนุพันธ์ของฟังก์ชันวิเคราะห์ 99
3.6 สรุป 102
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3 103
ค
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบท 165
บรรณานุกรม 173
บทที่ 1
จำนวนเชิงซ้อน
1.1 จำนวนเชิงซ้อน
บทนิยาม 1.1 จำนวนเชิงซ้อน คือ จำนวนที่เขียนอยู่ในรูป a + bi หรือ a + ib
เมื่อ a , b เป็นจำนวนจริง และ i = −1 หรือ i 2 = −1
นั่นคือ ถ้า z = a + bi
เรียก a ว่า ส่วนจริง (real part) ของ z เขียนแทนด้วย Re( z ) นั่นคือ Re( z ) = a
เรียก ว่า ส่วนจินตภาพ (imaginary part) ของ z เขียนแทนด้วย Im( z ) นั่นคือ Im( z ) = b
b
ถ้า a = 0 แล้ว z = a + bi = 0 + bi = bi เรียกว่า จำนวนจินตภาพแท้ (pure imaginary
number)
ถ้า b = 0 แล้ว z = a + bi = a + 0i = a เป็นจำนวนจริง
ถ้า a = 0 และ b = 0 แล้ว z = 0 + 0i เขียนแทนด้วย 0 นั่นคือ 0 = 0 + 0i
ตัวอย่างจำนวนเชิงซ้อน เช่น z = 3 − 4i จะมี Re(3 − 4i ) = 3 และ
Im(3 − 4i ) = − 4
b ( a , b ) = a + bi
x
0 a
นั่นคือ z = a + bi = a − bi
ตัวอย่างเช่น 3 − 4i = 3 + 4 i
−2 + i = − 2 − i
1.2 การดำเนินการของจำนวนเชิงซ้อน
บทนิยาม 1.4 การบวกจำนวนเชิงซ้อน
ผลบวกของสองจำนวนเชิงซ้อน z1 = a + bi และ z2 = c + di เขียนแทนด้วย z1 + z 2
คือ จำนวนเชิงซ้อนซึ่งนิยามโดยสมการ
z1 + z2 = ( a + c ) + (b + d )i
เราจะได้ i 4k =1
i 4 k +1 = i
i 4 k + 2 = −1
i 4 k + 3 = −i
วิธีทำ (1) z1 + z2 = (3 + 2i ) + (5 − i )
= (3 + 5) + (2 − 1)i
= 8+i #
บทที่ 1 จำนวนเชิ งซ้อน 4
z1 z2 = z2 z1
3. สมบัติการจัดหมู่ภายใต้การบวกและการคูณ นั่นคือ
z1 + ( z2 + z3 ) = ( z1 + z2 ) + z3
z1 ( z2 z3 ) = ( z1 z 2 ) z3
4. สมบัติการแจกแจง นั่นคือ
z1 ( z2 + z3 ) = z1 z 2 + z1 z3
( z2 + z3 ) z1 = z2 z1 + z3 z1
5. การมีเอกลักษณ์การบวกและการคูณ นั่นคือ
z1 + 0 = 0 + z1 = z1 เรียก 0 เป็นเอกลักษณ์การบวก
z1 1 = 1 z1 = z1 เรียก 1 เป็นเอกลักษณ์การคูณ ( 1 = 1 + 0i )
6. การมีอินเวอร์สการบวกและการคูณ
สำหรับทุกจำนวนเชิงซ้อน z1 จะมีจำนวนเชิงซ้อน z ที่ทำให้ z1 + z = 0 เรียก z
ว่าอินเวอร์สการบวกของ z1 เขียนแทนด้วย − z1
สำหรับจำนวนเชิงซ้อน z1 0 จะมีจำนวนเชิงซ้อน z ที่ทำให้ z1 z = 1 เรียก z
1
ว่าอินเวอร์สการคูณของ z1 เขียนแทนด้วย z1−1 หรือ
z1
บทที่ 1 จำนวนเชิ งซ้อน 5
2. z − z = 2 Im( z )
3. z z = a2 + b2
4. z=z
พิสูจน์ ให้จำนวนเชิงซ้อน z = a + bi
1. z + z = ( a + bi ) + ( a − bi )
= 2a
= 2 Re( z )
2. z − z = ( a + bi ) − ( a − bi )
= 2bi
= 2 Im( z )
3. zz = ( a + bi )( a − bi )
= a 2 − b 2i 2
= a2 + b2
4. z = ( a − bi )
= a + bi =z
1. ( z1 + z 2 ) = z1 + z2
2. ( z1 z 2 ) = z1 z 2
1. ( z1 + z 2 ) = ( a + c ) + (b + d )i
( z1 + z 2 ) = ( a + c ) − (b + d )i
= ( a − bi ) + (c − di )
= a + bi + c + di
= z1 + z 2
บทที่ 1 จำนวนเชิ งซ้อน 6
2. ( z1 z 2 ) = ( ac − bd ) + ( ad + bc )i
= ( ac − bd ) − ( ad + bc )i
= ( a − bi )( c − di )
= z1 z 2
1.3 จำนวนเชิงซ้อนในรูปแบบเชิงขั้ว
จากบทนิยามการคูณและการหารของจำนวนเชิงซ้อน จะเห็นว่าการคูณหรือการหารจำนวน
เชิงซ้อนหลาย ๆ จำนวนมีความยุ่งยากซับซ้อน จึงมีวิธีการอื่น ๆ มาช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น
นั่นคือ z = a2 + b2
P (a, b)
b
r= z
O x
a
จากรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก จะได้ความสัมพันธ์ดังนี้
a = r cos
b = r sin
ดังนั้น z = a + bi
= r (cos + i sin )
บทนิ ย าม 1.9 จำนวนเชิ ง ซ้ อ น z ซึ่ ง เขี ย นอยู่ ในรู ป z = r (cos + i sin ) เรี ย กว่ า จำนวน
เชิงซ้อนรูปแบบเชิงขั้ว โดยที่
r คือ ค่าสัมบูรณ์ หรือ มอดูลัส ของ z
เรียกว่า อาร์กิวเมนต์ (argument) ของ z เขียนแทนด้วย = arg( z )
บทนิ ย าม 1.10 ค่ าสำคั ญ ของอาร์ กิ ว เมนต์ (principle value of arg( z ) ) ของจำนวนเชิ งซ้ อ น
z 0 เขียนแทนด้วย Arg ( z ) หมายถึงค่าของ arg( z ) เพียงค่าเดียว ซึ่ง − arg( z )
r
x
จาก r = z = ( −1) 2 + 12 = 2
1 3
และ = tan −1 ( )=
−1 4
3 3 3 3
นั่นคือ arg( z ) = , + 2 , + 4 ,…, + 2 n , เมื่อ n เป็นจำนวนเต็ม
4 4 4 4
3
และ Arg ( z ) =
4
บทที่ 1 จำนวนเชิ งซ้อน 8
3 3
จะได้ z = −1 + i = 2 (cos + i sin )
4 4
3 3
หรือ z = 2[cos( + 2 n ) + i sin( + 2 n )] #
4 4
3 1
ตัวอย่าง 1.3 กำหนดให้ z= − i จงเขียนให้อยู่ในรูปแบบเชิงขั้ว
2 2
ตัวอย่าง 1.4 กำหนดให้ z1 = 4[cos + i sin ]
3 3
z 2 = 5[cos( ) + i sin( )]
6 6
จงเขียน z1 , z2 ให้อยู่ในรูป a + bi
วิธีทำ
บทที่ 1 จำนวนเชิ งซ้อน 9
z1 z1
2. = , z2 0
z2 z2
3. z1 + z 2 z1 + z 2
4. z1 − z 2 z1 − z 2
2
z1 z2 = ( z1 z2 )( z1 z2 ) (ทฤษฎีบท 1.3 ข้อ 2)
= ( z1 z 2 )( z1 z 2 )
= ( z1 z1 )( z 2 z 2 )
2 2
= z1 z2
= ( z1 z 2 ) 2
ดังนั้น z1 z 2 = z1 z 2
2
z1 z1 z1
(2) = ( ) , z2 0
z2 z2 z2
2
z1 z1 z1
=
z2 z2 z2
2
z1
= 2
z2
z1 z1
ดังนั้น =
z2 z2
บทที่ 1 จำนวนเชิ งซ้อน 10
(3) 2
z1 + z2 = ( z1 + z 2 )( z1 + z 2 )
= ( z1 + z 2 )( z1 + z 2 )
= z1 z1 + z1 z 2 + z 2 z1 + z 2 z 2
2 2
= z1 + z1 z 2 + z 2 z1 + z 2
แต่ z1 z 2 + z 2 z1 = 2 Re( z1 z 2 )
2 Re( z1 z 2 )
2 z1 z 2 = 2 z1 z 2
= 2 z1 z 2
2 2 2
z1 + z2 z1 + 2 z1 z2 + z2 = ( z1 + z2 ) 2
เนื่องจาก z1 + z 2 0 และ z1 + z 2 0
ดังนั้น z1 + z 2 z1 + z 2
(4) เนื่องจาก z1 = ( z1 − z2 ) + z2
ดังนั้น z1 = ( z1 − z 2 ) + z 2
z1 − z 2 + z 2 (จากข้อ 3)
จะได้ z1 − z 2 z1 − z 2
นั้นคือ z1 − z 2 z1 − z 2
z1 r1 (cos 1 + i sin 1 )
2. = , z2 0
z2 r2 (cos 2 + i sin 2 )
ดังนั้น z1
=
r1
cos(1 − 2 ) + i sin(1 − 2 )
z2 r2
ตัวอย่าง 1.5 กำหนดให้ z1 = 3[cos + i sin ]
2 2
z 2 = 4[cos + i sin ]
4 4
จงหา z1 z2 ในรูปของ a + bi
วิธีทำ z1 z2 = 3[cos + i sin ] 4[cos + i sin ]
2 2 4 4
= 12[cos( + ) + i sin( + )]
2 4 2 4
3 3
= 12[cos + i sin ]
4 4
2 2
= 12 − + i = −6 2 + 6 2i #
2 2
2 2
ตัวอย่าง 1.6 กำหนดให้ z1 = 2[cos + i sin ]
3 3
z 2 = [cos + i sin ]
4 4
z1
จงหา ในรูปแบบเชิงขั้ว และในรูป a + bi
z2
วิธีทำ
บทที่ 1 จำนวนเชิ งซ้อน 13
ตัวอย่าง 1.7 กำหนดให้ z = 2[cos + i sin ] จงหา z9 ในรูปของ a + bi
3 3
วิธีทำ
5 5
ตัวอย่าง 1.8 กำหนดให้ z = 2[cos + i sin ] จงหา z3 ในรูปของ a + bi
6 6
วิธีทำ
วิธีทำ
บทที่ 1 จำนวนเชิ งซ้อน 14
1.4 รากของจำนวนเชิงซ้อน
จำนวน w จะเรียกว่า รากที่ m (mth roots) ของจำนวนเชิงซ้อน z ถ้า wm = z และ
1
เขียนได้เป็น w = z m จาก De Moivre’s theorem สามารถแสดงให้เห็นได้ว่า
เมื่อกำหนด z = r (cos + i sin ) ถ้า m เป็นจำนวนเต็มบวก แล้ว
= r (cos + i sin )
1 1
m m
z
เมื่อ เป็นจำนวนเต็มใดๆ
1
= [ r{cos( + 2 n ) + i sin( + 2 n )}] m
n
1 + 2 n + 2 n
=r m
[cos( ) + i sin( )]
m m
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า รากที่ m ของจำนวนเชิงซ้อน z จะมีค่าราก m รากที่แตกต่างกันคือ
1 1 + 2 n + 2 n
z m
=r m
[cos( ) + i sin( )] , n = 0,1, 2,..., m − 1
m m
บทที่ 1 จำนวนเชิ งซ้อน 15
2 + 2 n 2 + 2 n
ดังนั้น เมื่อ
1 1
1 3
= 1 3 [cos( ) + i sin( )] n = 0,1, 2
3 3
2 2
เมื่อ จะได้
1
n=0 z 0 = 1 3 [cos + i sin ]
3 3
1 3
=− + i
2 2
2 + 2 2 + 2
เมื่อ จะได้
1
n =1 z1 = 1 3 [cos( ) + i sin( )]
3 3
4 4 1 3
= [cos + i sin ] =− − i
3 3 2 2
2 + 4 2 + 4
เมื่อ จะได้
1
n=2 z 2 = 1 3 [cos( ) + i sin( )]
3 3
= cos 2 + i sin 2
= 1 + 0i =1
1 3 1 3
ดังนั้น รากที่ 3 ของ 1 คือ 1 , − + i , − − i #
2 2 2 2
วิธีทำ
บทที่ 1 จำนวนเชิ งซ้อน 16
วิธีทำ
บทที่ 1 จำนวนเชิ งซ้อน 17
− ( − 2) ( − 2) 2 − 4(1)( − i )
จะได้ z=
2(1)
2 4 + 4i
z=
2
z = 1 1+ i …………………(ก)
z 1 ( −1.09 − 0.007 i )
1.5 สรุป
จำนวนเชิงซ้อนคือจำนวนที่เขียนในรูป z = a + bi เรียกว่ารูปแบบทั่วไป หรือเขียนในรูป
z = r (cos + i sin ) เรียกว่ารูปแบบเชิงขั้ว และได้นิยามการบวก การลบ การคูณ และการหาร
จำนวนเชิงซ้อน ตลอดจนการหารากของจำนวนเชิงซ้อน
บทที่ 1 จำนวนเชิ งซ้อน 19
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 1
1. จงเขียนจำนวนเชิงซ้อนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูป a + bi
1.1 ( − 12 ) 3 1.2 1− −4
1.3 10 + − 12 1.4 (1 + − 15 ) 2
3. จงหาผลลัพธ์ต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปของ a + bi
3.1 (7 − 3i ) + (2 + 6i ) 3.2 (4 − 3i ) + (2i − 8)
3.7 (2 + i ) 2 3.8 (2 − 3i ) 3
7 + 2i 6 − 3i
3.9 3.10
1− i 2+i
5 + 5i 20 i 3+i
3.11 + 3.12 +
3 − 4i 4 + 3i 2+i 4+i
5. จงหาค่าสัมบูรณ์ของ
5.1 3 + 4i 5.2 (1 + i )(2 − i )
1+ i
5.3 i (2 + i ) 5.4
1− i
5.5 (2 − i )(3 + 2i ) 5.6 (1 + i ) 2 (1 + 2i )
6. จงเขียนจำนวนเชิงซ้อนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปแบบเชิงขั้ว
4 4 3 1
6.1 − i 6.2 + i
2 2 6 6
6.3 −7 6.4 2 2 + 2 2i
บทที่ 1 จำนวนเชิ งซ้อน 20
7. จงเขียนจำนวนเชิงซ้อนต่อไปนี้ให้อยู่ในรูปของ a + bi
2 2
7.1 z = 12[cos + i sin ] 7.2 z = 3[cos 0 + i sin 0]
3 3
7.3 z = 2[cos 270 + i sin 270 ] 7.4 z = 8[cos135 + i sin135 ]
5 5
7.5 z = 2[cos + i sin ] 7.6 z = 2[cos + i sin ]
6 6 4 4
8. จงหาค่าต่อไปนี้
1 1
8.1 (− + i ) 40 8.2 (1 − i ) 4
2 2
1+ i 3i 30 − i19
8.3 ( )8 8.4
1− i 2i − 1
10. จงหาเซตของผลเฉลยของสมการต่อไปนี้
10.1 z 3 + 1 = 0 10.2 z 4 − 16 = 0
2.1 ฟังก์ชันของตัวแปรเชิงซ้อน
ในการนิยามฟังก์ชันของตัวแปรเชิงซ้อนก็เช่นเดียวกับการนิยามฟังก์ชันตัวแปรจริง ดั งนั้น
ความสัมพันธ์จาก เมื่อ เป็นเซตของจำนวนเชิงซ้อน ไปยัง จะเรียกว่าเป็นฟังก์ชันของตัว
แปรเชิงซ้อน เมื่อ z เป็นตัวแปรอิสระ และ w เป็นตัวแปรตาม จะเขียนฟังก์ชันในรูป w = f ( z )
บทนิ ย าม 2.1 ให้ S สำหรับ แต่ ล ะ z S จะได้ จ ำนวนเชิ งซ้ อ น w เรีย ก w ว่ า ค่ าของ
ฟังก์ชัน (function) ของ z เขียนแทนด้วย f ( z ) นั่นคือ w = f ( z ) และเซต S เรียกว่าโดเมน
ของฟังก์ชัน f
จากบทนิยามจะได้ว่า
ตัวแปรเชิงซ้อน (complex variable) คือ ตัวแปรที่อยู่ในรูปของ z หรือ z = x + yi
เมื่อ x, y เป็นตัวแปรจริง (real variable)
ฟังก์ชันของตัวแปรเชิงซ้อน คือ ฟังก์ชันจากเซตของจำนวนเชิงซ้อน ไปยังเซตย่อยของเซต
ของจำนวนเชิงซ้อนและใช้ z เป็นตัวแปร เช่น
f ( z) = z 2 − 3z + 4
g ( z ) = sin z
z
h( z ) =
( z + 1)( z − 2i )
วิธีทำ จาก f ( z) = z 2
ดังนั้น f (2 + i ) = (2 + i ) 2
= 3 + 4i #
วิธีทำ
บทนิยาม 2.2 ถ้า z สมนัยกับ w เพียง 1 ค่า เรียก w เป็นฟังก์ชันค่าเชิงเดี่ยว (single valued
function) ของ z และถ้า z สมนั ยกับ w มากกว่า 1 ค่า เรียก w เป็น ฟังก์ชัน หลายค่า หรือ
ฟังก์ชันค่าพหุคูณ (multiple valued function) ของ z
2) w = f (z) = z 2
วิธีทำ 1) กำหนด w = f ( z ) = z 2 + 1
เป็นฟังก์ชันค่าเชิงเดี่ยว เพราะว่าถ้าแทน z ด้วยจำนวนเชิงซ้อนใดๆ จะได้ค่าของ
w เพียงค่าเดียว #
บทที่ 2 ฟังก์ชนั ตัวแปรเชิ งซ้อน 23
วิธีทำ
ในทางกลับกันเมื่อกำหนดฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน f ( z ) = u ( x, y ) + v ( x, y )i เราสามารถ
เปลี่ยนให้อยู่ในรูปฟังก์ชันตัวแปรเชิงซ้อนได้ โดยอาศัยความสัมพันธ์ดังนี้
จาก z = x + yi และ z = x − yi
z+z z−z
จะได้ x= และ y=
2 2i
ในบางฟังก์ชันของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อนอาจไม่สามารถจัดพจน์ทั้งหมดของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน
ให้อยู่ในรูปของ z ล้วน ๆ ได้ ดังนั้นเราอาจต้องเขียนบางพจน์ให้อยู่ในรูปอื่นของ z ได้แก่
Re( z ) = x หรือ Im( z ) = y หรือ z = x − yi
3) ในรูป z และ z
วิธีทำ 1) จาก f ( z ) = x + 5 yi
= 5 x − 4 x + 5 yi
= − 4 x + 5( x + yi )
ดังนั้น f ( z ) = 5 z − 4 Re( z ) #
2.2 ฟังก์ชันตัวแปรเชิงซ้อนเบื้องต้น
ในการศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับทฤษฎีของฟังก์ชันตัวแปรเชิงซ้อน หรือเรียกอีกอย่างหนึ่ง
ว่า ทฤษฎี ของฟั งก์ชัน วิเคราะห์ เชิงซ้อน (Complex analytic function) หรือ เรียกสั้ น ๆว่า การ
วิเคราะห์เชิงซ้อน (Complex analysis) นั้น เราจำเป็นจะต้องอาศัยความรู้เกี่ยวกั บฟังก์ชันตัวแปร
เชิงซ้อนเบื้องต้น เช่นเดียวกันกับการศึกษาฟังก์ชันตัวแปรจริง ในวิชาแคลคูลัส ซึ่งฟังก์ชันตัวแปรจริง
ที่ เป็ น ฟั งก์ ชั น พื้ น ฐานที่ ส ำคั ญ ได้ แ ก่ ฟั งก์ ชั น พหุ น าม ฟั งก์ ชั น เลขชี้ ก ำลั ง ฟั งก์ ชั น ลอการิ ทึ ม
ฟังก์ชันตรีโกณมิติ และฟังก์ชันไฮเพอร์โปลิก ในทำนองเดียวกันฟังก์ชันตัวแปรเชิงซ้อนก็มีฟังก์ชัน
เบื้ องต้น เช่น เดียวกั น กับฟังก์ชัน ตัวแปรจริงเหล่ านี้ แต่ ฟังก์ชันตัวแปรเชิงซ้อนบางชนิดมีสมบัติที่
น่าสนใจซึ่งไม่พบในฟังก์ชันตัวแปรจริง
z2 + 2z − i
ตัวอย่างเช่น f ( z) = เป็นฟังก์ชันพีชคณิตตรรกยะ เพราะว่า z2 + 2z − i
3i − 2 z
และ 3i − 2 z ต่างเป็นฟังก์ชันพหุนาม
2. e0 = 1
4. e z = e x + yi = e x e yi
= e x cos y + i sin y
= e x cos 2 y + sin 2 y
= ex
= e x + yi
= ez
7. ฟังก์ชันเลขชี้กำลังของตัวแปรจริง f ( x) = e x เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง
แต่ฟังก์ชันเลขชี้กำลังของตัวแปรเชิงซ้อน f ( z ) = e z ไม่เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง
เช่น f (4i ) = e 4i = cos 4 + i sin 4
และ f ((4 + 2 )i ) = e (4 + 2 ) i
= cos(4 + 2 ) + i sin(4 + 2 )
= cos 4 + i sin 4
นั่นคือ f (z) = ez ไม่เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง
= 1[1 + i (0)]
=1
f (2 i ) = 1 #
บทที่ 2 ฟังก์ชนั ตัวแปรเชิ งซ้อน 29
ให้ z = x + yi
จะได้ e x + yi = 3 + 4i
e x cos y + i sin y = 3 + 4i
e x cos y + ie x sin y = 3 + 4i
ดังนั้น e x cos y = 3 ………………………………(1)
e x sin y = 4 ………………………………(2)
จาก (1), e 2 x cos 2 y = 9 ………………………………(3)
จาก (2), e 2 x sin 2 y = 16 ………………………………(4)
นำ (3) บวก (4) จะได้
ex = 5
x = ln 5 = 1.609
นำ (2) หาร (1) จะได้
4
tan y =
3
4
y = tan −1 ( ) = 0.927
3
ดังนั้นค่าของค่าหนึ่ง คือ z = 1.609 + 0.927 i
z
แต่เนื่องจาก
e z เป็นฟังก์ชันคาบทีม
่ ีคาบเท่ากับ 2i ดังนั้นค่าของ z ทั้งหมด คือ
z = 1.609 + (0.927 + 2 n )i เมื่อ n เป็นจำนวนเต็ม #
2 • (1.609, 0.927 + 2 )
(1.609, 0)
• x
−
−2 • (1.609, 0.927 − 2 )
x = 1.609
จากบทนิยามจะได้ว่าฟังก์ชันลอการิทึมธรรมชาติมีได้หลายค่า ดังนี้
ถ้าอาร์กิวเมนต์ของ z คือ Arg ( z ) ดังนั้นการหาค่าของ ln z จะแทนด้วย Ln z ซึ่ง
เรียกว่า ค่าสำคัญ (principal value) ของ ln z กำหนดโดย
Ln z = ln r + iArg ( z )
1 2
c o s echz หรือ csc hz = = เมื่อ sinh z 0
sinh z e − e−z
z
ฟังก์ชันไฮเพอร์โบลิกและฟังก์ชันตรีโกณมิติของตัวแปรเชิงซ้อนมีความสัมพันธ์กันดังนี้
sinh iz = i sin z
sin iz = i sinh z
cosh iz = cos z
cos iz = cosh z
sin( x + yi ) = sin x cosh y + i cos x sinh y
สมบัติของฟังก์ชันไฮเพอร์โบลิกของตัวแปรเชิงซ้อน
1) sinh( x + yi ) = sinh x cosh y + i cos x sin y
5) cosh 2 z − sinh 2 z = 1
6) cosh 2 z + sinh 2 z = cosh 2 z
7) ฟังก์ชัน sinh z , cosh z เป็นฟังก์ชันที่มีคาบเท่ากับ 2 i
บทที่ 2 ฟังก์ชนั ตัวแปรเชิ งซ้อน 35
ค่าทั่วไปของ z
z1 2 = e z lnz 2 1
ค่าสำคัญของ i 2 = e 2 Lni
2( ln1 + i 2 )
=e = e i
= cos + i sin = −1
บทที่ 2 ฟังก์ชนั ตัวแปรเชิ งซ้อน 36
ค่าทั่วไป i 2 = e 2 ln i
2 [ ln1 + i ( 2 + 2 n )]
=e เมือ่ n เป็นจำนวนเต็ม
= e ( + 4 n ) i = e i = −1 #
บทที่ 2 ฟังก์ชนั ตัวแปรเชิ งซ้อน 37
2.3 การส่ง
ถ้า w = u + iv หรือ f ( z ) = u ( x , y ) + iv ( x, y ) และ w เป็นฟังก์ชันค่าเชิงเดี่ยวของ
z = x + yi
เช่น w = z 2 = ( x + yi ) 2 = ( x 2 − y 2 ) + 2 xyi
โดยที่ u = x2 − y 2 และ v = 2 xy
ระนาบ z ระนาบ w
2.4 เซตในระนาบเชิงซ้อน
ในที่นี้เราจะให้ แทนเซตของจุดทุกจุดในระนาบเชิงซ้อน
S แทนเซตย่อยของ
C แทนเส้นโค้งบนระนาบเชิงซ้อน
ภาพที่ 2.4 S = {z z − z0 } = N ( z0 , )
(3, 2)
และย่ า นใกล้ เคี ย งของจุ ด z 0 ที่ ไม่ ร วมจุ ด z 0 (deleted neighborhood) รั ศ มี ซึ่ ง
หมายถึงเซต { z 0 z − z0 } จะแทนด้วยสัญลักษณ์ N ( z0 , ) แสดงดังภาพที่ 2.6
บทที่ 2 ฟังก์ชนั ตัวแปรเชิ งซ้อน 40
ภาพที่ 2.6 N ( z0 , ) = { z 0 z − z0 }
z3
ภายนอของ S
ภายในของ S
z2
z1 ขอบเขตของ S
z = 3 + 2i
(1,1)
บทนิยาม 2.18 เซต S จะเรียกว่า เซตเชื่อมโยง (connected set) ถ้าเซต S มีสมบัติว่า ทุก ๆ คู่
ของจุดในเซต S สามารถเชื่อมโยงกันได้ด้วยวิถีหลายเหลี่ย ม(polygonal path) หรือเส้นโค้ง โดยที่
ทุกจุดบนวิถีหลายเหลี่ยมหรือเส้นโค้งเป็นสมาชิกของเซต S
บทนิยาม 2.19 เราจะเรียกเซตเชื่อมโยงเปิด ว่า โดเมน (domain) และเรียกเซตซึ่งเป็นโดเมนหรือ
เซตซึ่งประกอบด้วยโดเมนพร้อมทั้งจุดขอบบางจุดหรือทั้งหมดของเซตว่า บริเวณ (region) และ
บริเวณซึ่งประกอบด้วยโดเมนและจุดขอบทั้งหมด เรียกว่า บริเวณปิด (closed region)
เช่น 1) S1 = { z z − z0 r} ดังภาพที่ 2.15 จะได้ว่า S1 เป็นโดเมน
r
z0
r
z0
(1, 0)
x
C1 C2
หมายเหตุ บริเวณเชื่อมโยงหลายเชิงเราสามารถทำให้เป็นบริเวณเชื่อมโยงเชิงเดี่ยวได้โดยใช้เส้นตัด
เชื่อมระหว่างขอบนอก และขอบในของบริเวณเชื่อมโยงหลายเชิงนั้น ดังภาพที่ 2.21
C1
C2
2) S2 = {z 1 z − (2 + i ) 2}
3) S3 = {z z − (2 + i ) 2}
z z0 ซึง่ 0 z − z0 แล้ว f ( z ) − w0
iz i
ตัวอย่าง 2.21 จงพิสูจน์ว่า lim
z →1
=
4 4
วิธีทำ ให้ 0
เลือก = 4
สำหรับ z 1 ซึง่ 0 z − 1 − 4
iz i
ทำให้ f (z) − L = −
4 4
i
= z −1
4
1
4 =
4
iz i
ดังนั้น lim
z →1
= #
4 4
z +1 4
ตัวอย่าง 2.22 จงพิสูจน์ว่า lim
z →3
=
z 3
วิธีทำ
บทที่ 2 ฟังก์ชนั ตัวแปรเชิ งซ้อน 48
ได้เท่ากับ L เขียนแทนด้วย
lim f ( z ) = L
z → z0
z −1
ตัวอย่าง 2.21 จงแสดงให้เห็นว่า lim =2
z →3 z−2
z −1
วิธีทำ ในที่นี้เราจะต้องแสดงให้เห็นว่า สำหรับทุกค่า 0 จะมี 0 ที่ทำให้ −2
z−2
เมื่อ 0 z −3
z −1 ( z − 1) − 2( z − 2) 3− z
เนื่องจาก −2= =
z−2 z−2 z−2
และ 1 = 1 − (3 − z ) + (3 − z ) 1 − (3 − z ) + 3 − z 1 − (3 − z ) +
1 1 − (3 − z ) +
1− z − 2
1 1
, ( 1)
1− z−2
ดังนั้นเราได้
z −1 3− z 1 1
−2 = = 3− z
z−2 z−2 z−2 1−
0 z −3 ได้เสมอ
z −1
lim =2 #
z →3 z−2
วิธีทำ
วิธีทำ
บทที่ 2 ฟังก์ชนั ตัวแปรเชิ งซ้อน 50
2. lim[ f ( z ) + g ( z )] = A + B
z → z0
3. lim[ f ( z ) g ( z )] = AB
z → z0
f (z) A
4. lim
z → z0
= เมื่อ B0
g (z) B
ตัวอย่าง 2.24 จงหา lim ( z 2 + 3 z − 1)
z →1+ 2 i
วิธีทำ
1
ตัวอย่าง 2.27 จงพิจารณาที่จุด z=0 ฟังก์ชัน f (z) = เป็นฟังก์ชันต่อเนื่องหรือไม่
z
วิธีทำ
d
5. sinh z = cosh z
dz
d
cosh z = sinh z
dz
6. ถ้า f (z) และ g (z) หาอนุพันธ์ได้ แล้ว
d d d
[ f ( z ) + g ( z )] = f ( z) + g ( z)
dz dz dz
d d d
[ f ( z ) g ( z )] = f ( z ) g ( z ) + g(z) f ( z)
dz dz dz
ในการหา f ( z0 ) เราอาจหาได้อีกวิธีหนึ่งคือ
f ( z ) − f ( z0 )
f ( z0 ) = lim
z → z0 z − z0
หมายเหตุ การหาอนุพันธ์อันดับสูงของฟังชันตัวแปรเชิงซ้อน นิยามเช่นเดียวกันกับตัวแปรจริง
d
กล่าวคือ f ( z ) = f ( z )
dz
d
f ( z ) = f ( z )
dz
d
f (n) ( z) = f ( n −1) ( z )
dz
และ v ( x, y ) เป็นฟังก์ชันค่าจริง
u v u v
ถ้า f ( z ) หาค่าได้ แล้ว = และ =−
x y y x
พิสูจน์ สมมุติว่า f ( z ) หาค่าได้
f ( z + z ) − f ( z )
เพราะฉะนั้น lim หาค่าได้ ทุก ๆ ทิศทางที่ z → 0
z → 0 z
จาก f ( z ) = u ( x , y ) + v ( x, y )i = f ( x + yi )
f ( z + z ) − f ( z )
เราพิจารณาค่าลิมิตของ lim เมื่อ z → 0 กรณีต่อไปนี้
z → 0 z
กรณีที่ z → 0 ตามแกนส่วนจริง ซึ่งเราจะได้ z = x เมื่อ z → 0 จะได้ x → 0
f ( z + z ) − f ( z )
ดังนั้น f ( z ) = lim
z → 0 z
บทที่ 2 ฟังก์ชนั ตัวแปรเชิ งซ้อน 55
f ( z + x ) − f ( z )
= lim
x → 0 x
u ( x + x , y ) + v ( x + x , y )i − u ( x , y ) − v ( x , y )i
= lim
x → 0 x
u ( x + x, y ) − u ( x, y ) v ( x + x, y ) − v ( x, y )
= lim {[ ]+[ ]i}
x → 0 x x
u ( x + x, y ) − u ( x, y ) v ( x + x , y ) − v ( x , y )
= lim [ ] + lim [ ]i
x → 0 x x → 0 x
u v
= + i ………………………….(1)
x x
กรณีที่ z → 0 ตามแกนส่วนจินตภาพ ซึ่งเราจะได้ z = yi เมื่อ z → 0 จะได้ y → 0
f ( z + z ) − f ( z )
ดังนั้น f ( z ) = lim
z → 0 z
f ( z + yi ) − f ( z )
= lim
y → 0 yi
u ( x , y + y ) + v ( x , y + y )i − u ( x , y ) − v ( x , y ) i
= lim
y → 0 yi
u ( x , y + y ) − u ( x , y ) v ( x , y + y ) − v ( x , y )
= lim{[ ]+[ ]i}
y → 0 yi yi
1 u ( x , y + y ) − u ( x , y ) v ( x , y + y ) − v ( x, y )
= lim [ ] + lim [ ]
i y → 0 y y → 0 y
1 u v
= +
i y y
u v
= −i +
y y
v u
f ( z ) = − i …………………………(2)
y y
จากที่เราสมมุติให้ f ( z ) หาค่าได้ เราจะได้สมการ(1) เท่ากับ สมการ(2) นั่นคือ
u v v u
f ( z ) = + i = − i
x x y y
u v u v
เพราะฉะนั้นเราจะได้ = และ =− #
x y y x
v ( x0 + x , y 0 ) − v ( x 0 , y 0 ) = v ( x0 , y 0 ) x + 2 x ……………...(4)
x
และ lim
( x , y ) → (0,0)
2 = 0
u 0 v0 x u 0 v0 y x y
=( + i) +( + i) i + ( 1 + 2 i ) + ( 3 + 4 i )
x zx x x z z z
u 0 v0
x y x y
=( + i )[ + i ] + ( 1 + 2 i ) + ( 3 + 4 i )
x x z z z z
เมื่อ z → 0 จะได้ ( x , y ) → 0
และมี lim
( x , y ) → (0,0)
1 = 0 , lim
( x , y ) → (0,0)
2 = 0 , lim
( x , y ) → (0,0)
3 = 0 , lim
( x , y ) → (0,0)
4 = 0
x y
และเพราะว่า 1 และ 1
z z
x y
lim ( 1 + 3i ) =0 และ lim ( 2 + 4 i ) =0
z → 0 z z → 0 z
ดังนั้น
f ( z0 + z ) − f ( z0 ) u 0 v0 x y x y
lim = lim{( + i )[ + i ] + ( 1 + 2 i ) + ( 3 + 4 i ) }
z → 0 z z → 0 x x z z z z
u 0 v0 x y
= lim ( + i )[ + i]
( x , y ) → 0 x x z z
u v
= 0+ 0i
x x
f ( z 0 + z ) − f ( z 0 ) u 0 v0
f ( z 0 ) = lim = + i
z → 0 z x x
f ( z 0 + z ) − f ( z 0 ) v0 u 0
และ f ( z0 ) = lim = − i #
z → 0 z y y
และ v ( x , y ) = 2 xy
v v
จะได้ = 2y , = 2x
x y
ซึ่งสอดคล้องกับสมการโคชี – รีมันน์ คือ
u v u v
= และ =− ทุก ๆ ค่า z
x y y x
z3 − z + 1
3) f (z) =
z2 +1
บทที่ 2 ฟังก์ชนั ตัวแปรเชิ งซ้อน 62
แบบฝึกหัดบทที่ 2
1.1 f ( z ) = z 2 + 2iz + 1
1.2 f ( z ) = − z 2 + iz + 2
2 1− i 1+ i
1.3 f (z) = (z 2 + z ) + zz
4 2
1.4 f ( z ) = e (1+ i ) z
1.5
2
f (z) = ez
2. จงหาค่าของฟังก์ชันแต่ละข้อต่อไปนี้ที่ค่าของ z ที่กำหนดให้
2.1 f ( z ) = xy + i ( x 2 − y 2 ) ; z = −1 + 2i
2.2 f ( z ) = z z + z − 2 z + 1 ; z = 4 + 3i
7
2.3 f (z) = ez ; z = − 2 − 3 i , − 1 − i
4
2.4 f ( z ) = sin z ; z = z = 3 + 2i , 3 i , 2 − 4i
2.5 f ( z ) = cos z ; z = 3 + 2i , + i , i
2.6 f ( z ) = sinh z ; z = 4 − 3i
3. จงหาค่ามุขสำคัญของ
3.1 L n( −7) 3.2 L n( 2 + 2i ) 3.3 (1 − i ) 2
i
3.4 i2 3.5 (1 + 3i )i 3.6 ( −5) 2 + 4 i
4. จงหาค่า z ทั้งหมดจากสมการ
4.1 e z = −3 + 4i 4.2 ez = i
2
4.3 e 2 z = −2 4.4 e z = 1
4.5 sinh z = 0 4.6 sin z = cosh z
4.7 cos z = 3i
5. จงบรรยายเซตบนระนาบเชิงซ้อนแต่ละข้อที่กำหนดให้ต่อไปนี้เป็นเซตที่มีขอบเขตหรือไม่มีขอบเขต
เป็นเซตเปิดหรือเซตปิด เป็นโดเมนหรือบริเวณ และเชื่อมโยงเชิงเดียวหรือเชื่อมโยงหลายเชิง
5.1 { z Im( z ) 0} 5.2 { z 2 z 3}
5.3 { z z − 1 4} 5.4 { z 0 Re( z ) 1}
บทที่ 2 ฟังก์ชนั ตัวแปรเชิ งซ้อน 63
3
5.5 {z z −1 } 5.6 { z 0 Im( z ) Re( z )}
4
9.3 u ( x, y ) = e x cos y
บทที่ 3
การหาปริพันธ์บนระนาบเชิงซ้อน
3.1 บทนำ
จากบทที่ 2 ได้กล่าวถึงบทนิยามเส้นโค้ง และสมการเส้นโค้งมาแล้ว ซึ่งเขียนในรูป
C : z ( t ) = x (t ) + y (t )i , a t b
โดยที่ a , b และ t เป็นจำนวนจริง ตัวอย่างต่อไปพิจารณากราฟเส้นโค้งหรือสมการเส้นโค้งใน
ระนาบเชิงซ้อน ดังนี้
t 0 1 2
x (t ) 0 2 4
y (t ) 0 3 6
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 65
dx (t ) dy (t )
เราได้ =1 และ =2 ซึ่งต่อเนื่องทุก ๆ ค่าของ t
dt dt
หรือ อนุพันธ์บนเส้นโค้ง C คือ
z ( t ) = 1 + 2 i ซึง่ ต่อเนื่องทุกๆ ค่าของ t และไม่เป็นศูนย์ที่จุดใด ๆ
ดังนั้น เส้นโค้ง C : z (t ) = t + 2ti , 0 t 1 เป็นเส้นโค้งเรียบ #
3.2 ปริพันธ์ของฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน
บทนิยาม 3.2 กำหนดให้ f : [a, b] → เป็นฟังก์ชันค่าเชิงซ้อน และ u : [a, b] → ,
v : [a, b] → เป็นฟังก์ชันค่าจริง ซึ่ง f (t ) = u (t ) + v (t )i , at b
b b
b b b
b b
ทฤษฎีบท 3.1 ให้ a , b , c1 และ c2 เป็นค่าคงตัว และถ้า f (t ) dt และ g (t )dt หาค่าได้ แล้ว
a a
b b b
1. [c1 f (t ) c2 g (t )]dt = c1 f (t ) dt c2 g (t ) dt
a a a
b c b
b a
3. f (t ) dt = − f (t ) dt
a b
4. f (t ) dt = 0
a
พิสูจน์ (การพิสูจน์เช่นเดียวกับปริพันธ์ของฟังก์ชันค่าจริงในวิชาแคลคูลัส)
2
ตัวอย่าง 3.6 กำหนดให้ f (t ) = 2 cos t + i sin t , 0t จงหา f (t ) dt
2 0
= 2+i #
วิธีทำ
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 69
3.3 ปริพันธ์ตามเส้นเชิงซ้อน
ในหัวข้อนี้จะกล่าวถึงการหาปริพันธ์ฟังก์ชันเชิงซ้อนจากจำนวนเชิงซ้อนจำนวนหนึ่ง z 0 ไป
ยังจำนวนเชิงซ้อน z1 ซึ่งเรียกว่าปริพันธ์ตามเส้นรอบขอบ เนื่องจากมีวิถีจาก z 0 ไป z1 ในระนาบ
เชิงซ้อนหลายวิถี ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องระบุระบุเส้นโค้งให้ชัดเจน ลักษณะเช่นนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของ
ปริพันธ์เชิงจริงตามเส้นโค้งในระนาบ xy สมบัติของปริพันธ์ตามเส้นเชิงจริง จึงมีส่วนสำคัญในการ
ช่วยคำนวณปริพันธ์ตามเส้นรอบขอบในระนาบเชิงซ้อนที่จะกล่าวในหัวข้อ 3.4 ต่อไป
หรือ z (t ) = x (t ) + iy (t ) , at b
ระหว่างจุด zm −1 กับ zm เลือกจุด m
ระหว่างจุด z n −1 กับ zn เลือกจุด n
n −1 n
3
2
1
จะได้ xm = 2 ym
ดังนั้น z m = 2 ym + ym i
และ zm = zm − zm −1
= [2 ym + ym i ] − [2 ym −1 + ym −1i ]
zm = 2( ym − ym −1 ) + ( ym − ym −1 )i
= 2 y m + y m i = (2 + i ) ym
f ( z ) dz = lim f ( m ) z m
n →
C m =1
n
= lim (3 y m2 + 4 y m2 i )(2 + i ) y m
n →
m =1
n
f ( z ) dz = (3 + 4i )(2 + i ) lim y m2 y m
n →
C m =1
n
= (2 + 11i ) y m2 y m
m =1
1
f ( z ) dz = (2 + 11i ) y
2
dy
C 0
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 72
2 + 11i 2 11
= = + i
3 3 3
2 11
ดังนั้น f ( z ) dz = + i #
C
3 3
3.3.2 การหาปริพันธ์ตามเส้นจริง
ให้ P ( x, y ) และ Q ( x, y ) เป็นฟังก์ชันค่าจริงของตัวแปร x และ y ซึ่งต่อเนื่องทุกจุดบน
เส้นโค้ง C แล้วปริพันธ์ตามเส้นจริงของ P ( x , y ) dx + Q ( x , y ) dy ตามแนวเส้นโค้ง C สามารถหา
ได้ในลักษณะเดียวกับหัวข้อ 3.3.1 และเขียนแทนด้วยสัญลักษณ์
วิธีทำ จุด (0, 3) ถึง (2, 4) เป็นจุดบนพาราโบลา y = t2 + 3 จาก t=0 ถึง t =1 ตามลำดับ
จากสมการ (3.4) จะได้
1
C 0
C 0
33
= #
2
3.3.3 การหาปริพันธ์ตามเส้นเชิงซ้อนในรูปพจน์ของปริพันธ์ตามเส้นจริง
สำหรับวิถี (ทางเดิน) ทั้งหมดของการหาปริพันธ์ ในกรณีของปริพันธ์ตามเส้น โค้ง C เป็น
เส้นโค้งปรับเรียบเป็นช่วง (piecewise smooth) ที่ประกอบไปด้วยเส้นโค้งเรียบมากมายที่ต่อเชื่อม
กัน ดังภาพที่ 3.7
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 73
a
ช่วงที่ 1 c
ช่วงที่ 2 ช่วงที่ 4
b
ช่วงที่ 3 d ช่วงที่ 5
n n
= [u ( m , m ) xm − v ( m , m )y m ] + i [ v ( m , m ) xm + u ( m , m )y m ] .(3.5)
m =1 m =1
การหาปริพัน ธ์ตามเส้ น ในกรณี ที่ C เป็ นเส้ นโค้งเรียบและ f ต่อเนื่ องบนเส้ นโค้ง C
สามารถหาปริ พั น ธ์ได้จ ากสมการ (3.2) และกรณี ที่ C เป็ น เส้ น โค้ งปรับ เรีย บเป็ น ช่ว งและ f
ต่อเนื่องบนเส้นโค้ง C สามารถหาปริพันธ์ตามเส้นในรูปของสมการ (3.6)
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 74
วิธีทำ ให้ z = x + yi
จากส่วนของเส้นตรงที่กำหนดให้จะได้ x = 2y ดังนั้น z = 2 y + yi
จาก f ( z) = z 2 = (2 y + yi ) 2
และ dx = 2 dy
= (2 y + yi ) 2 (2 dy + idy )
C
f ( z ) dz = (3 + 4i )(2 + i) y dy
2
C C
f ( z ) dz = (2 + 11i ) y 2 dy
C C
f ( z ) dz = (2 + 11i ) y 2 dy
C 0
2
y3
= (2 + 11i )
3 0
16 + 88i
= #
3
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 75
3.4 การหาปริพันธ์เชิงซ้อน
วิธีการหาปริพันธ์เชิงซ้อนเป็นวิธีที่มีประโยชน์มากสำหรับนำมาใช้คำนวณหาค่าปริพันธ์
ทั่วไป ซึ่งในเอกสารเล่มนี้จะกล่าวถึงวิธีการหาปริพันธ์เชิงซ้อน 4 วิธี คือ
1. การหาปริพันธ์โดยใช้วิธีการแทนเส้นวิถีหาปริพันธ์
2. การหาปริพันธ์โดยใช้ปริพันธ์ไม่จำกัดเขต
3. การหาปริพันธ์โดยทฤษฎีปริพันธ์ของโคชี
4. การหาปริพันธ์โดยใช้ส่วนตกค้าง
ซึ่งในแต่ละวิธีในการหาปริพันธ์เชิงซ้อน ฟังก์ชัน f จะต้องมีเงื่อนไขที่จำเป็นของแต่ละวิธี โดยใน
บทนี้เราจะได้ศึกษาวิธีการหาปริพันธ์ 3 วิธีแรก สำหรับวิธีที่ 4 จะกล่าวในบทที่ 5 ต่อไป
3.4.1 การหาปริพันธ์โดยใช้วิธีการแทนเส้นวิถีหาปริพันธ์
วิธีการนี้ใช้กับฟังก์ชันตัวแปรเชิงซ้อนที่ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีบทต่อไปนี้
ทฤษฎีบท 3.2 ถ้า C เป็นวิถีการหาปริพันธ์ โดยที่ C เป็นเส้นโค้งปรับเรียบเป็นช่วง ที่แทนด้วย
z = z (t ) เมื่อ a t b และให้ f เป็นฟังก์ชันตัวแปรเชิงซ้อนที่ต่อเนื่องบน C แล้ว
b
dz
เมื่อ z ( t ) =
dt
dz dx dy
จะได้ = + i หรือ z = x + iy ………………………..(ข)
dt dt dt
และ f [ z (t )] = u[ x (t ), y (t )] + v[ x (t ), y (t )]i หรือ f [ z (t )] = u + iv
f [ z (t )] z (t ) dt = (u + iv )( x + iy ) dt
a a
b
dx dx dy dy
= (u + iv + iu −v ) dt
a
dt dt dt dt
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 76
= (u + iv )( dx + idy ) ………………………..(ค)
a
dz
2. หา z ( t ) =
dt
3. แทน z (t ) จากข้อ 1) ลงใน f (z)
b
4. หา f ( z ) dz = f [ z (t )] z (t ) dt
C a
1
วิธีทำ จาก f (z) = และเส้นโค้ง C คือ z (t ) = cos t + i sin t , 0 t 2
z
ดังนั้นหาปริพันธ์ตามขั้นตอนได้ดังนี้
1. เขียนเส้นโค้ง C ในรูป z (t ) = cos t + i sin t , 0 t 2
1
3. แทน z (t ) ลงใน f (z) ได้ f [ z (t )] =
cos t + i sin t
4. แทนค่าในสมการ (3.7) จะได้
b
1
f ( z ) dz = z dz = f [ z (t )]z (t )dt
C C a
2
1 1
z dz = cos t + i sin t (− sin t + i cos t ) dt
C 0
2
1 ( − sin t + i cos t ) (cos t − i sin t )
z dz = (cos t + i sin t ) (cos t − i sin t )
dt
C 0
2
= i dt
0
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 77
= i (t ) 02
= 2 i
ดังนั้น 1
z dz = 2 i #
C
วิธีทำ
วิธีทำ
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 80
3.4.2 การหาปริพันธ์โดยใช้ปริพันธ์ไม่จำกัดเขต
จากวิชาแคลคูลัสของฟังก์ชันตัวแปรจริงนั้นสำหรับฟังก์ชัน f ที่กำหนดให้ ถ้าเราทราบ
ฟังก์ชัน F ( x) โดยที่ F ( x ) = f ( x )
d
หรือ [ F ( x )] = f ( x )
dx
ดังนั้น d [ F ( x )] = f ( x ) dx
F ( x) = f ( x ) dx
หรือ f ( x ) dx = F ( x )
เมื่อจำกัดเขตให้กับปริพันธ์ทางซ้ายมือของสมการข้างบนจะได้
b
f ( x)dx = F ( x )
b
a
a
ดังนั้น f ( x )dx = F (b ) − F (a )
a
b
d F ( z ) dz
= dt
a
dz dt
b
= d F ( z (t ))
a
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 81
z1
= F ( z (t )) b
f ( z ) dz a
z0
= F ( z1 ) − F ( z0 )
1+ i
ตัวอย่าง 3.15 จงใช้ปริพันธ์ไม่จำกัดเขตหา
4z dz
3
0
n +1
u
วิธีทำ จาก u
n
du = +c
n +1
1+ i
1+ i
ดังนั้น 4 z dz = z
3 4
0
0
= (1 + i ) 4 − (0) 2 = −4 #
i
ตัวอย่าง 3.16 จงใช้ปริพันธ์ไม่จำกัดเขตหา
sin zdz
− i
วิธีทำ
3 + 3 i z
วิธีทำ
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 82
f ( z ) dz ML ………………………..(3.9)
C
ดังนั้น f ( z ) dz ML
C
z dz 2 2 2.8284
2
ถ้าเราหา z 2 dz โดยใช้ปริพันธ์ไม่จำกัดเขตได้
C
1+ i
z dz = z
2 2
dz
C 0
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 83
1+ i
z3 2 2i
z = =− +
2
dz
C
3 0
3 3
2 2
ดังนั้น z
2
dz = − + i
C
3 3
2 2
= (− )2 + ( )2
3 3
2 2
= = 0.9428
3
ดังนั้นจะได้ว่า z
2
dz = 0.9428 2.8284 = ML #
C
2. บริเวณหรือโดเมน (domain)
บริเวณ R หรือโดเมน R ที่อยู่ในระนาบเชิงซ้อนจะเรียกว่า บริเวณเชื่อมโยงเชิงเดี่ยว
หรือโดเมนเชื่อมโยงเชิงเดี่ยว (simple connected domain) ถ้าเส้นโค้งปิดเชิงเดี่ยวทุกเส้นใน R
ล้ อมรอบจุ ดต่างๆ ที่อ ยู่ใน R เท่ านั้ น ส่ ว นข้างในเส้ นโค้งปิด เชิงเดี่ยวเรียกว่า บริเวณเชื่อมโยง
เชิงเดี่ยวเช่น ส่วนข้างในวงกลม วงรี สี่เหลี่ยม เป็นต้น ดังภาพ 3.12
y
y = g ( x)
A = z (c ) R B = z (d )
y = f ( x)
x
c d
x=d y=g ( x)
P ( x , y ) P ( x , y )
จะได้ [ ]dxdy = [ dy ]dx
R
y x =c y= f (x)
y
x=d
y=g ( x)
= [ P ( x, y )] y= f (x)
dx
x=c
x=d
= P ( x, g ( x)) − P ( x, f ( x)) dx
x =c
x=d x=d
= − P ( x, f ( x )) dx + P ( x, g ( x))dx
x =c x =c
x=d x =c
=− P ( x, f ( x )) dx − P ( x, g ( x))dx
x =c x=d
= −[ P ( x, y ) dx + P ( x , y ) dx ]
C1 C2
= − P ( x , y ) dx
C
P ( x , y )
ดังนั้น − [ ]dxdy = P ( x, y )d x ...………………..(1)
R
y C
C1 เป็นเส้นโค้ง x = m( y) จาก T ไป S
y
T = z (t )
t
x = m( y) R x = n( y )
s
S = z(s)
y =t x=n ( y )
จะได้ว่า [ Q ( x , y ) ]dxdy = [
Q ( x , y )
dx ]dy
R
x y=s x=m ( y )
x
y =t
x=n( y )
= [Q ( x , y )]
x=m( y )
dy
y=s
y =t
= Q (n( y ), y ) − Q (m ( y ), y )dy
y=s
y =t y =t
= Q ( n ( y ), y ) dy − Q (m ( y ), y )dy
y=s y=s
y =t y=s
= Q ( n ( y ), y ) dy + Q (m ( y ), y )dy
y=s y =t
= Q ( x, y )dy + Q ( x, y )dy
C2 C1
= Q ( x, y ) dy
C
Q ( x , y )
ดังนั้น dxdy = Q ( x, y ) dy ….……………..(2)
R
x C
Q ( x , y ) P ( x , y )
= [ − ]dxdy
R
x y
Q ( x , y ) P ( x , y )
ดังนั้น P ( x, y ) dx + Q ( x, y ) dy = [ − ]dxdy
C R
x y
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 87
f ( z ) dz = 0 …………….(3.11)
C
บริเวณเชื่อมโยงเชิงเดี่ยว
C R
เส้นโค้งปิดเชิงเดี่ยว
D
จากรูปของปริพันธ์ในรูปพจน์ของปริพันธ์ตามเส้นจริงในสมการ (3.6)
f ( z )dz = (u + iv)(dx + idy )
C C
f ( z ) dz = 0
C
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 88
1
5) dz เมื่อ C เป็นวงกลมหนึ่งหน่วย ( z = 1)
C
z +9
2
วิธีทำ
f ( z ) dz + f ( z ) dz = 0
C2 − C1
f ( z ) dz − f ( z ) dz = 0
C2 C1
นั่นคือ f ( z ) dz = f ( z ) dz
C2 C1
z2
C1 D
C2
z1
ภาพที่ 3.18 ภาพประกอบทฤษฎีบท 3.7
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 90
C3 เป็นเส้นโค้งบน C จาก z1 ไป z2
z1 C1
C z2
C2
0 = f ( z ) dz
C1 + ( − C 2 )
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 91
0 = f ( z ) dz + f ( z ) dz
C1 − C2
= f ( z ) dz − f ( z ) dz
C1 C2
f ( z ) dz = f ( z ) dz
C1 C2
1
2) กำหนดให้ f (z) = ซึ่งเป็นฟังก์ชันวิเคราะห์ทุกๆจุดยกเว้นที่ z=0 แต่จุด
2z
1
z=0 อยู่ภายนอกบริเวณ R ดังนั้น f (z) = เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์ทุก ๆ จุดบนบริเวณ R
2z
เราจะได้
1 1
dz = dz #
z =1
2z z =2
2z
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 92
1
ตัวอย่าง 3.22 จงหา dz เมื่อ C เป็นเส้นโค้งปิดเชิงเดี่ยว เมื่อกำหนดเงื่อนไข
C
z−3
1) จุด z=3 อยู่นอกวง C
2) จุด z=3 อยู่ภายในวง C
วิธีทำ
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 93
C
z3
z1
z 4
z 2
C z n
z 0
ภาพที่ 3.22 ภาพประกอบทฤษฎีบท 3.9
ที่มา (Murray R. S., Seymour L., John J. S. and Dennis S. 2009, pp. 118)
z+3
ตัวอย่าง 3.23 จงกระจาย dz โดยใช้ทฤษฎีบท 3.9 เมื่อกำหนด C คือ
C
z ( z − 2)( z + 2)
z = 3 และ C1 คือ z + 2 = 0.5 , C2 คือ z = 0.5 และ C3 คือ z − 2 = 0.5 ดังภาพที่ 3.23
z+3
วิธีทำ จากโจทย์จะได้ว่า f ( z) = ไม่เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์ที่จุด z = 0, 2, −2
z ( z − 2)( z + 2)
ดังนั้นจากทฤษฎีบท 3.9 เราจะได้
z+3 z+3 z+3 z+3
dz = dz + dz + dz #
C
z ( z − 1)( z + 1) C1
z ( z − 2)( z + 2) C2
z ( z − 2)( z + 2) C3
z ( z − 2)( z + 2)
1 1
ดังนั้น f ( z ) dz = [ f ( z ) − f ( z 0 )]dz + 2 if ( z 0 ) ……………….(ก)
C
z − z0 C
z − z0
1
ต่อไปพิจารณา [ f ( z ) − f ( z 0 )]dz
C
z − z0
1 f ( z ) − f ( z0 )
[ f ( z ) − f ( z0 )]dz = dz ..………..(ข)
C
z − z0 C0
z − z0
f ( z ) − f ( z0 ) f ( z ) − f ( z0 )
ดังนั้นทุกๆ z บน C0 จะได้ =
z − z0 z − z0 2
f ( z ) − f ( z0 ) f ( z ) − f ( z0 )
เพราะฉะนั้น dz dz dz
C0
z − z0 C0
z − z0 C0
2
=
2 dz
C0
= 2 =
2
f ( z ) − f ( z0 )
นั่นคือ dz
C0
z − z0
เนื่องจากค่าสมบูรณ์ทางซ้ายมือไม่ขึ้นกับค่า ซึ่งสามารถทำให้เล็กเพียงใดก็ได้
ดังนั้นค่าสมบูรณ์ของปริพันธ์ และตัวปริพันธ์ต้องมีค่าเป็น 0
1
นั้นคือ [ f ( z ) − f ( z 0 )]dz = 0
C
z − z0
เพราะฉะนั้นจากสมการ (ก) และ (ข) ได้
1
z − z0
f ( z ) dz = 2 if ( z 0 )
C
หรือ 1 1
2 i
f ( z0 ) = f ( z ) dz
C
z − z0
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 96
1
ตัวอย่าง 3.24 จงหาค่าของ dz เมื่อ C : z =1
C
z ( z − 4)
2
1
วิธีทำ จากที่กำหนดให้เรามี f ( z) =
z −4 2
1 1 1
นั่นคือ dz = 2 i 2
C
z z −4
2
0 −4
i
=−
2
1 i
ดังนัน้ dz = − #
C
z ( z − 4)
2
2
z+2
ตัวอย่าง 3.25 จงหาค่าของ dz เมื่อ C: z =2
C
z ( z − i)
วิธีทำ
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 97
z+3
ตัวอย่าง 3.26 จงหาค่าของ dz เมื่อ C เป็นวงกลม z =3
C
z ( z − 2)( z + 2)
วิธีทำ
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 98
3.5 อนุพันธ์ของฟังก์ชันวิเคราะห์
สำหรับ ฟั งก์ ชัน ตั วแปรจริงที่เราเคยได้ศึ กษามาแล้ ว ในวิช าแคลคูลั ส นั้ น บางฟั งก์ชัน เรา
สามารถหาอนุพันธ์อันดับหนึ่ง อันดับสองได้ แต่ไม่สามารถหาอนุพันธ์อันดับสูง ๆ ได้ และสำหรับ
ฟังก์ชัน ตัวแปรเชิงซ้อนนั้ น ถ้าฟังก์ชันใดเราสามารถหาอนุ พันธ์อันดับหนึ่งภายในบริเวณ R ได้
ฟังก์ชันนั้นยังคงสามารถหาอนุพันธ์ทุก ๆ อันดับภายในบริเวณ R ได้ด้วย ดังทฤษฎีบทต่อไปนี้
ทฤษฎีบท 3.11 (อนุพันธ์ของฟังก์ชันวิเคราะห์)
ถ้า f เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์ภายในบริเวณ R แล้ว f ( z ) สามารถหาอนุพันธ์ได้ทุก ๆ
อันดับภายในบริเวณ R และค่าอนุพันธ์ที่จุด z 0 ที่อยู่ภายในบริเวณ R แล้วจะได้
n! 1
…………………(3.15)
2 i
f ( n ) ( z0 ) = f ( z )dz ; n = 0,1, 2,...
C
( z − z 0 ) n +1
z0
R C
sin( z 2 ) + cos( z 2 )
วิธีทำ 1) เนื่องจาก g ( z) = มีจุดเอกฐานที่ z=2 และ z =1
( z − 1)( z − 2)
1 1 1
พิจารณา = −
( z − 1)( z − 2) z − 2 z − 1
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 99
sin( z 2 ) + cos( z 2 ) 1 1
dz = ( z − 2 − z − 1) sin( z ) + cos( z 2 ) dz
2
C
( z − 1)( z − 2) C
1 1
= sin( z 2 ) + cos( z 2 ) dz −
z−2 sin( z 2 ) + cos( z 2 ) dz
z −1
C1 C2
= 2 i sin(4 ) + cos(4 ) = 2 i
sin( z 2 ) + cos( z 2 )
ดังนั้น dz = (2 i ) − ( −2 i ) = 4 i #
C
( z − 1)( z − 2)
2)
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 100
e3 z
ตัวอย่าง 3.28 จงหาค่าของ dz เมื่อ C คือวงกลม z = 1.5
C
( z − 1) 2 ( z 2 + 4)
วิธีทำ
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 101
3.6 สรุป
ในบทนี้กล่าวถึงการหาปริพันธ์ตามเส้นเชิงซ้อน 3 วิธี คือ
1. การหาปริพันธ์โดยวิธีการแทนเส้นวิถีหาปริพันธ์ โดยให้ C เป็นเส้นโค้งเรียบเป็นช่วง เขียนในรูป
C : z (t ) = x (t ) + y (t )i เมื่อ a t b และ f เป็นฟังก์ชันตัวแปรเชิงซ้อนที่ต่อเนื่องบน C แล้ว
b
จะได้ f ( z ) dz = f [ z (t )] z (t ) dt
C a
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3
1. จงหาสมการของส่วนของเส้นตรง C ในรูปของ z (t ) ที่มีจุดปลายดังนี้
1.1 z1 = −2 + i เมื่อ z2 = −2 + 4i 1.2 z1 = 0 เมื่อ z 2 = 1 + 2i
1.3 z1 = 1 + 2i เมื่อ z2 = 3 + 4i
3.2 z (t ) = t + 3t 2i , -1 t 2
3.3 z (t ) = cos t + 2i sin t , - t
3
4.1 f (z) = , C เป็นเส้นโค้งวงกลมจาก 2 ถึง −2i ในทิศทางตามเข็มนาฬิกา
2
4.2 f ( z) = z
2
, C เป็นวงกลมหนึ่งหน่วย ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา
1
4.3 f (z) = z + , C เป็นวงกลมหนึ่งหน่วย ในทิศทางตามเข็มนาฬิกา
2
1
4.4 f (z) = , C เป็นวงกลม z −i = 2 ในทิศทางตามเข็มนาฬิกา
z−i
4.5 f ( z ) = Re( z ) , C เป็นวงกลม z =3 ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา
5. จงแสดงวิธีหา f ( z ) dz
C
ก. โดยใช้วิธีการแทนเส้นวิถีหาปริพันธ์
ข. โดยใช้วิธีปริพันธ์ไม่จำกัดเขต
บทที่ 3 การหาปริ พันธ์บนระนาบเชิ งซ้อน 103
6. จงคำนวณหา Im( z
2
) dz จากจุด 0 ถึง 2 + 4i ตามวิถีต่อไปนี้
C
6.3 พาราโบลา y = x2
7.1 ส่วนของเส้นตรง AB
7.2 วงกลมรัศมีหนึ่งหน่วยในครึ่งระนาบด้านซ้าย
7.3 วงกลมรัศมีหนึ่งหน่วยในครึ่งระนาบด้านขวา
12. จงหาค่าปริพันธ์ต่อไปนี้
2+i 1+ i
2 i z i
−
12.5 e 2 dz 12.6 z.cosh z 2 dz
− 2 i −i
2
z
13. จงหา dz เมื่อกำหนดให้
C
z +12
z2
14. จงหา dz เมื่อกำหนดให้
C
z4 −1
1
14.1 C เป็นวงกลม z −i =1 14.2 C เป็นวงกลม z−i =
2
z2
16. จงหาค่า dz เมื่อ C เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีจุดยอดมุมอยู่ที่ z = 2 , 2 + 4i
C
z2 + 4
1
17. จงหาค่า dz เมื่อ C เป็นวงรี x 2 + 4( y − 2) 2 = 4
C
z +42
sin 3 z
18. จงหาค่า
dz เมื่อ C เป็นวงกลม z =5
C z+
2
cos z
19. จงหาค่า dz เมื่อ C เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีจุดยอดมุมอยู่ที่
C
z2 −1
19.1 z = 2i , −2 i 19.2 z = −i , 2−i , 2+i , i
4 − 3z 3
20. จงหาค่า dz เมื่อ C เป็นวงกลม z =
C
z ( z − 1)( z − 2) 2
sin z cos 2 3 z
21.5 dz 21.6 dz
C
z2 C
z3
z +1
22. จงหาค่า dz เมื่อ
C
z − 2z2
3
22.3 C เป็นวงกลม z − 1 − 2i = 2
e2 z
23. จงหาค่า dz เมื่อ C เป็นวงรี x2 + 4 y2 = 4
C
( z − 1) 2 ( z 2 + 4)
e2 z
24. จงหาค่าของ dz เมื่อ C เป็นวงกลม z =3
C
( z + 1) 4
บทที่ 4
ลำดับและอนุกรมในระนาบเชิงซ้อน
4.1 ลำดับของฟังก์ชัน
บทนิยาม 4.1 ลำดับของจำนวนเชิงซ้อน หมายถึงฟังก์ชันจากเซตของจำนวนนับไปยังสับเซตของ
จำนวนเชิงซ้อน จะเขียนแทนลำดับ ของจำนวนเชิงซ้อนด้วย zn เรียก z n ว่า พจน์ที่ n เมื่อ
n = 1, 2, 3,...
ตัวอย่าง 4.1
1) ลำดับของจำนวนเชิงซ้อน i , −1 , −i ,1,i , −1 , −i ,1,
จะแทนด้วย {i n } และมีพจน์ที่ n คือ
zn = i n
1+ i (1 + i ) 2 (1 + i ) 3
2) ลำดับของจำนวนเชิงซ้อน , , ,
1! 2! 3!
จะแทนด้วย { (1 + i )
n
} และมีพจน์ที่ n คือ
n!
(1 + i ) n
zn = #
n!
l1 − l2
ให้ = 0
2
มีจำนวนเต็มบวก n1 ซึ่งทุกๆจำนวนเต็มบวก n ที่ n n1 แล้ว z n − l1
เลือก n = max{n1 , n 2 }
พิจารณา l1 − l2 = l1 − z n + z n − l2 z n − l1 + z n − l2
l1 − l2
+ = 2 = 2 = l1 − l2
2
นั่นคือ l1 − l2 l1 − l2 ซึง่ เกิดข้อขัดแย้ง
ดังนั้น l1 = l2
ในการหาลิมิตของลำดับของจำนวนเชิงซ้อนเราจะหาโดยใช้ลิมิตของลำดับของจำนวนจริง
โดยหาลิมิตของลำดับของส่วนจริง และลิมิตของลำดับของส่วนจินตภาพ ซึ่งอาศัยทฤษฎีบทดังนี้
ทฤษฎีบท 4.2 ให้ z n = xn + y n i
lim z n = lim( xn + yn i ) = a + bi
n → n →
ก็ต่อเมื่อ lim xn = a
n →
และ lim yn = b
n →
( xn + y n i ) − ( a + bi )
( x n − a ) + ( y n − b )i
ดังนั้น xn − a ( xn − a ) + ( y n − b )i
และ y n − b ( xn − a ) + ( y n − b )i
xn − a และ yn − b
ดังนั้น lim xn = a
n →
และ lim yn = b
n →
( ) สมมุติให้ lim xn = a
n →
และ lim yn = b
n →
กำหนดให้ 0
มีจำนวนเต็มบวก n1 ซึ่งทุกๆจำนวนเต็มบวก n ที่ n n1 แล้ว xn − a
2
และมีจำนวนเต็มบวก n 2 ซึ่งทุกๆจำนวนเต็มบวก n ที่ n n 2 แล้ว y n − b
2
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 108
เลือก n = max{n1 , n 2 }
จะได้ว่า สำหรับทุกๆ จำนวนเต็มบวก n ที่ n n แล้วจะได้
( xn + y n i ) − ( a + bi ) = ( xn − a ) + ( y n − b )i
xn − a + y n − b + =
2 2
ดังนั้น lim( xn + yn i ) = a + bi
n →
2n + i
ตัวอย่าง 4.2 จงหา lim( )
n→ n + 3i
2n + i 2 n + i n − 3i
วิธีทำ จาก =( )( )
n + 3i n + 3i n − 3i
2 n 2 − 5ni + 3
=
n2 + 9
2n 2 + 3 5n
= − i
n +9
2
n +9
2
2n + i 2n 2 + 3 5n
ดังนั้น lim( ) = lim( − i)
n→ n + 3i n → n +9
2
n +9
2
2n 2 + 3 5n
= lim( ) − i lim( )
n → n +9
2 n → n +9
2
3
2+
2n + 3 2
n2 ) = 2
พิจารณา lim( 2
n → n + 9
) = lim(
n → 9
1+ 2
n
5
5n
และ lim( ) = lim( n )=0
n → n +9
2 n → 9
1+ 2
n
2n + i
ดังนั้น lim( ) = 2 − i (0) = 2 #
n→ n + 3i
n 2 + ni
ตัวอย่าง 4.3 จงแสดงว่า lim( ) หาค่าไม่ได้ หรือ ลู่ออก
n → 1 + ni
วิธีทำ
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 109
4.2 อนุกรมของฟังก์ชัน
บทนิยาม 4.3 ให้ zn เป็นลำดับของจำนวนเชิงซ้อน และ
S1 ( z ) = z1
S 2 ( z ) = z1 + z 2
S3 ( z ) = z1 + z 2 + z3
S n ( z ) = z1 + z2 + + zn
ถ้ า lim S n ( z ) = l
n →
หาค่ า ได้ จะกล่ าวว่ า อนุ ก รมลู่ เข้ า (convergent) และเรี ย ก l ว่ า
ผลบวกของอนุกรมอนันต์ เขียนแทนด้วย z n = l ถ้าอนุกรมไม่ลู่เข้า จะกล่าวว่า อนุกรมลู่ออก
n =1
(divergent)
(2 z − 3) n = (2 z − 3) n +1
n =1 n=0
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 110
ตัวอย่าง 4.4 กำหนด ( 2n ) จงหาผลบวกของอนุกรม
3 i n =1
2 2
วิธีทำ จาก ( n
3 i
) = (−
3n
i)
n =1 n =1
2 2 2 2
=− i− 2
i− 3
i− i−
3 3 3 34
1 1 1 1
= − 2i ( + 2 + 3 + 4 + )
3 3 3 3
1 1 1 1 1
เนื่องจาก + 2
+ 3
+ 4
+ เป็นอนุกรมเรขาคณิต โดยมี r=
3 3 3 3 3
1
1 1 1 1 1
จะได้ + 2
+ 3
+ 4
+ = 3
1
=
3 3 3 3 2
1−
3
2 1
ดังนั้น (3 n
i
) = − 2i ( ) = − i
2
#
n =1
ทฤษฎีบท 4.3 ถ้าอนุกรม z n เป็นอนุกรมลู่เข้า แล้ว lim z n = 0
n →
n =1
พิสูจน์ ให้ z n เป็นอนุกรมลู่เข้า
n =1
ดังนั้น lim n →
S n = l และ lim S n −1 = l
n →
พิจารณา lim(n →
S n − S n −1 ) = lim S n − lim S n −1 = l − l = 0
n → n →
แต่ Sn − Sn −1 = ( z1 + z2 + + zn ) − ( z1 + z2 + + zn −1 ) = zn
ดังนั้น lim(
n →
S n − S n −1 ) = lim z n = 0
n →
บทนิยาม 4.4 อนุกรม z n ลู่เข้าอย่างสมบูรณ์ (absolutely convergent)
n =1
ก็ต่อเมื่อ zn ลู่เข้า
n =1
ถ้าอนุกรม z n ลู่เข้า แต่ zn ลู่ออก เราเรียกอนุกรม z n นี้ว่าเป็นอนุกรมลู่เข้า
n =1 n =1 n =1
( − 1) n
ตัวอย่าง 4.5 กำหนดให้ n2
i จงพิจารณาการลู่เข้า
n =1
( − 1) n 1 1 1 1
วิธีทำ เนื่องจาก 2
i = 1+ + + + +
n =1 n 4 9 16 25
1 1 1 1
= 1+ 2
+ 2
+ 2
+ +
2 3 4 52
1
= เป็นอนุกรมลู่เข้า
n =1 n2
( − 1) n
ดังนั้น i ลู่เข้าอย่างสมบูรณ์ #
n =1 n2
( − 1) n +1
ตัวอย่าง 4.6 กำหนดให้ n
จงพิจารณาการลู่เข้า
n =1
วิธีทำ
z n +1
บทตั้ง 4.4 ถ้า zn 0 ทุกค่า n และ = c 1 ซึง่ n n0 สำหรับบางค่า n0 แล้ว z n
zn n =1
ลู่เข้าอย่างสัมบูรณ์
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 112
z n +1
บทตั้ง 4.5 ถ้า zn 0 ทุกค่า n และ 1 ซึง่ n n0 สำหรับบางค่า n0 แล้ว z n ลู่ออก
zn n =1
z n +1
พิสูจน์ ให้ 1
zn
ดังนั้น zn0 +1 zn0 , zn0 + 2 zn0 ,
จะได้ว่า lim z n 0
n →
ดังนั้น z n ลู่ออก
n =1
2. ถ้า wn ลู่ออกและ z n wn แล้ว zn ลู่ออก
n =1 n =1
แต่ z n อาจจะลู่เข้าหรืออาจจะลู่ออก
n =1
ถ้า L 1
และ z n ลู่ออก ถ้า L 1
n =1
สัมบูรณ์ ถ้า L 1
และ z n ลู่ออกหรือลู่เข้าอย่างมีเงื่อนไข ถ้า L 1
n =1
กรณี L 1
L −1
ให้ = ดังนั้น 0
2
z n +1
เลือก n0 ซึ่งทุกค่า n ที่ n n0 แล้ว −L
zn
z n +1
L −
zn
L −1 L +1
= L− = 1
2 2
โดยบทตั้ง 4.5 จะได้ว่า z n ลู่ออก
n =1
c n ( z − a ) n = c0 + c1 ( z − a ) + c2 ( z − a ) 2 + ...
n=0
n
z2 z3 z4
ตัวอย่าง 4.7 จงแสดงว่า z 2 = z+ + + + ... ลู่เข้าอย่างสัมบูรณ์ที่จุด z = −1
n n =1 22 32 42
( −1) n 1 1 1 1
เนื่องจาก n 2
= 1+
2 2
+
3 2
+
4 2
+
52
+ ... เป็นอนุกรม p และ p=2
n =1
( − 1) n
ดังนั้น ลู่เข้า
n =1 n2
zn
นั่นคือ n ลู่เข้าอย่างสัมบูรณ์ที่จุด
2
z = −1 #
n =1
cn +1
ทฤษฎีบท 4.7 ถ้า lim
n →
=L แล้ว cn ( z − a ) n ลู่เข้าอย่างสัมบูรณ์ที่ทุกๆ จุดภายในของ
cn n=0
1
วงกลม z−a = ลู่ออกทุก ๆ จุดที่อยู่ภายนอกวงกลม และอาจจะลู่เข้าสัมบูรณ์ หรือลู่เข้าอย่าง
L
มีเงื่อนไข หรือลู่ออกที่จุดบนเส้นรอบวงของวงกลม
cn +1
พิสูจน์ สมมุติให้ lim
n →
=L และโดยทฤษฎีบท 4.6 การทดสอบโดยอัตราส่วน จะได้ว่า
cn
cn +1 ( z − a ) n +1 cn +1
r ( z ) = lim = lim ( z − a)
n → cn ( z − a ) n n → cn
cn +1
= lim z−a
n→ cn
= L z−a
1
ดังนั้นอนุกรมลู่เข้าสัมบูรณ์ เมื่อ L z −a 1 หรือ z−a <
L
cn +1 1
บทนิยาม 4.7 กำหนด cn ( z − a ) n และ lim
n →
=L ให้ r= > 0 จะเรียก r ว่า
n=0 cn L
รัศมีของการลู่เข้า (radius of convergence) ของอนุกรมกำลัง เรียกวงกลม z−a =r ว่า
วงกลมของการลู่เข้า (circle of convergence)
ถ้า cn ( z − a ) n ลู่เข้าอย่างสัมบูรณ์ที่ z = a เท่านั้นเรากล่าวว่ารัศมีของการลู่เข้าเป็น 0
n=0
ถ้า cn ( z − a ) n ลู่เข้าอย่างสัมบูรณ์ทุก ๆ ค่า z เรากล่าวว่ารัศมีของการลู่เข้าเป็น
n=0
ทฤษฎีบท 4.8 กำหนดให้ cn ( z − a ) n
n=0
cn
ถ้า lim
n →
=r0 แล้ว r เป็นรัศมีการลู่เข้าของอนุกรมกำลัง
cn +1
cn
พิสูจน์ สมมุติให้ lim
n→
= r> 0
c n +1
cn +1
= lim z−a
n→ cn
1 z−a
= z−a =
cn r
lim
n → cn +1
z−a
c n ( z − a)n ลู่เข้า เมื่อ
r
< 1 หรือ z−a <r
n=0
z−a
c n ( z − a)n ลู่ออก เมื่อ
r
> 1 หรือ z−a >r
n=0
cn +1 ( z − a ) n +1 c n +1
พิจารณาที่จุด z=a พบว่า lim = lim z−a =0
n → cn ( z − a ) n n→ cn
cn +1 ( z − a ) n +1 c n +1
ถ้า r=0 แล้ว lim = lim z−a =
n → cn ( z − a ) n n→ cn
นั่นคือ r เป็นรัศมีของการลู่เข้าของ cn ( z − a ) n
n=0
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 116
ทฤษฎีบท 4.9 กำหนดให้ cn ( z − a ) n
n=0
1
ถ้า lim
n → 1
=r0 แล้ว r เป็นรัศมีการลู่เข้าของอนุกรมกำลัง
cn n
1
พิสูจน์ สมมุติให้ lim
n → 1
=r0
cn n
1 1
เพราะว่า lim cn ( z − a )
n→
n n
= lim cn
n →
n z−a
1
1
lim cn ( z − a ) n n
= lim z−a
n → n → 1
1
cn n
1
= z−a
1
lim 1
n →
cn n
1 z−a
= z−a =
r r
จากทฤษฎีบท 4.6 การทดสอบโดยรากที่ n ของอนุกรมกำลังของจำนวนจริงจะได้ว่า
z−a
c n ( z − a)n ลู่เข้าอย่างสัมบูรณ์ เมื่อ
r
< 1 หรือ z−a <r
n=0
z−a
c n ( z − a)n ลู่ออก เมื่อ
r
> 1 หรือ z−a >r
n=0
1 1
ถ้า r=0 แล้ว lim cn ( z − a ) n
n→
n
= lim cn
n →
n z−a =
นั่นคือ r เป็นรัศมีของการลู่เข้าของอนุกรม cn ( z − a ) n
n=0
n
1 1
วิธีทำ จากอนุกรมที่กำหนดให้เป็นอนุกรมรอบจุด z=0 ซึง่ มี cn = และ cn +1 =
2n 2( n + 1)
จากทฤษฎีบท 4.8 จะได้ว่า
1
cn 2n
r = lim = lim
n → cn +1 n → 1
2( n + 1)
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 117
n +1
= lim
n → n
1
= lim 1 + =1
n → n
เพราะฉะนั้นรัศมีของการลู่เข้าเท่ากับ 1
n
วิธีทำ
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 118
ตัวอย่าง 4.10 จงหารัศมีการลู่เข้าของอนุกรม 1 n ! z n
2n =1
วิธีทำ
จงหารัศมีการลู่เข้าและบริเวณการลู่เข้าของอนุกรม ( −1) z 2 n +1
n
ตัวอย่าง 4.11
(2 n + 1)!
n=0
วิธีทำ
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 119
4.3 อนุกรมกำลังของฟังก์ชันพื้นฐาน
อนุกรมกำลังของฟังก์ชันพื้นฐานเราสามารถหาได้โดยใช้อนุกรมเทย์เลอร์ หรืออนุกรมแมค-
ลอริน ซึ่งเรามีวิธีพิจารณาได้เช่นเดียวกันกับกรณีของอนุกรมเทย์เลอร์ หรือแมคลอรินในฟังก์ชันตัว
แปรจริงที่เราเคยศึกษามาแล้วในวิชาแคลคูลัสเพียงแต่เราแทนตัวแปร x ด้วย z ดังนี้
ทฤษฎีบท 4.10 ทฤษฎีบทของเทย์เลอร์ (Taylor’s Theorem)
กำหนด f เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์ในวงกลม C ที่มีจุดศูนย์กลางที่ z0 รัศมี r0 สำหรับแต่
ละค่า z ใน Int C จะได้
f ( n ) ( z0 )
f (z) = ( z − z0 ) n
n=0 n!
พิสูจน์ (การพิสูจน์สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากเอกสารอ้างอิง)
หมายเหตุ จากทฤษฎีบทของเทเลอร์
f ( n ) ( z0 )
f (z) = ( z − z0 ) n , z − z 0 r0
n=0 n!
พิสูจน์ (การพิสูจน์สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากเอกสารอ้างอิง)
หมายเหตุ ฟังก์ชันเอ็นไทร์เมื่อกระจายเป็นอนุกรมเทย์เลอร์จะมีรัศมีการลู่เข้าเป็น
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 120
ดังนั้น r = z1 − z 0 = 1 − i = 12 + ( −1) 2 = 2
นั้นคือ รัศมีการลู่เข้าคือ 2
ตัวอย่าง 4.14 1) จงหาอนุกรมเทย์เลอร์ของ f ( z ) = sin z รอบจุด z=
4
1
2) จงหาอนุกรมเทย์เลอร์ของ f (z) = รอบจุด z =1
z
2
วิธีทำ 1) จาก f ( z ) = sin z จะได้ f ( ) = sin =
4 4 2
d 2
จะได้ f ( z ) = sin z = cos z และ f ( ) = cos =
dz 4 4 2
d 2
f ( z ) = ( cos ) = − sin z และ f ( ) = − sin = −
dz 4 4 2
d 2
f ( z ) = ( − sin z ) = − cos z และ f ( ) = − cos = −
dz 4 4 2
d 2
f ( 4) ( z ) = ( − cos z ) = sin z และ f ( 4) ( ) = sin =
dz 4 4 2
จากทฤษฎีบทของเทย์เลอร์ ที่จุด z= คือ
4
1 1
f ( z ) = f ( ) + f ( )( z − ) + f ( )( z − ) 2 + f ( )( z − ) 3 +
4 4 4 2! 4 4 3! 4 4
2 2 2 2
ดังนั้น sin z = + (z − )− (z − )2 − (z − )3 +
2 2 4 2 2! 4 2 3! 4
2 1 2 1 3
= 1 + ( z − ) − ( z − ) − ( z − ) + #
2 4 2! 4 3! 4
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 122
1
ตัวอย่าง 4.15 จงหาอนุกรมแมคลอรินของฟังก์ชัน f (z) = พร้อมทั้งหาบริเวณของการลู่เข้า
1+ z
วิธีทำ
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 123
สรุปอนุกรมแมคลอรินของฟังก์ชันพื้นฐานที่สำคัญมีดังนี้
1. 1
= 1 − ( z − 1)1 + ( z − 1) 2 − ( z − 1) 3 + เมื่อ 0 z 1
z
1
2. = 1 + z + z 2 + z 3 + ... เมื่อ z 1
1− z
1
3. = 1 − z + z 2 − z 3 + ... เมื่อ z 1
1+ z
z2 z3 z4
4. ln(1 + z ) = z − + − + ... เมื่อ z 1
2 3 4
z z2 z3
5. ez = 1 + + + + ... เมื่อ z
1! 2! 3!
z3 z5 z7
6. sin z = z − + − + ... เมื่อ z
3! 5! 7!
z2 z4 z6
7. cos z = 1 − + − + ... เมื่อ z
2! 4! 6!
z3 2z5
8. tan z = z + + + ... เมื่อ z
3 15 2
3
1 z z
9. cot z = − − − ... เมื่อ z
z 3 45
z2 5z 4
10. sec z = 1 + + + ... เมื่อ z
2 24 2
1 z 7 z3
11. csc z = + + + ... เมือ่ 0 z
z 6 360
z3 z5 z7
12. tan −1 z = z − + − + ... เมื่อ z 1
3 5 7
z3 z5
13. sinh z = z + + + ... เมื่อ z
3! 5!
z2 z4
14. cosh z = 1 + + + ... เมื่อ z
2! 4!
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 125
4.4 การหาอนุกรมกำลังของฟังก์ชันอื่นๆ
ถ้าฟังก์ชัน f ( z ) ที่กำหนดให้อยู่ในภาพที่ซับซ้อน ในการคำนวณหาสัมประสิทธิ์ของอนุกรม
เทย์เลอร์หรือสัมประสิทธิ์ของอนุกรมแมคลอรินโดยวิธีที่ได้จากสูตรดัง บทนิยาม 4.8 นั้น เป็นวิธีที่
ค่อนข้างยุ่งยาก และเสียเวลา ดังนั้นในหัวข้อนี้จะแสดงวิธีที่ใช้ในการคำนวณหาอนุกรมที่ซับซ้อนซึ่ง
เป็นวิธีที่ง่ายกว่าดังตัวอย่างต่อไปนี้
4.4.1 โดยการแทนในฟังก์ชันพื้นฐาน
1
ตัวอย่าง 4.17 กำหนดให้ f ( z) = จงหาอนุกรมแมคลอริน
1+ z2
วิธีทำ จากอนุกรมแมคลอรินของ
1
= 1 + z + z 2 + z 3 + ... เมื่อ z 1
1− z
แทน z ด้วย −z2 จะได้
1
= 1 + ( − z 2 ) + ( z 2 ) 2 + ( − z 2 ) 3 + ...
1 − (− z )
2
1
ดังนั้น = 1 − z 2 + z 4 − z 6 + ... เมื่อ z 1 #
1+ z2
1
ตัวอย่าง 4.18 กำหนดให้ f (z) = จงหาอนุกรมกำลังรอบจุด z = 0 ที่มีกำลังของ z เป็นลบ
1− z
วิธีทำ
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 126
4.4.2 ใช้ทฤษฎีบททวินามและเศษส่วนย่อย
จากทฤษฎีบททวินาม คือ
n n ( n − 1) n
( x + y)n = x n + x n −1 y 1 + x n−2 y 2 + + x1 y n −1 + y n
1! 2! 1!
แทนค่า x =1 , y=z และ n=m ในทฤษฎีบททวินามจะได้
m ( m − 1) m ( m − 1)( m − 2)
(1 + z ) m = 1 + mz + z2 + z3 + ................(4.1)
2! 3!
และเมื่อแทน m ด้วย −m จะได้
1 m ( m + 1) m ( m + 1)( m + 2)
(1 + z ) − m = = 1 − mz + z2 − z3 + ..............(4.2)
(1 + z ) m
2! 3!
z 2 + 3z − 1
ตัวอย่าง 4.19 จงหาอนุกรมเทย์เลอร์ของ f ( z ) = รอบจุด z =1
z3 − 3z − 2
z 2 + 3z − 1
วิธีทำ จาก f ( z) = เขียนให้อยู่ในรูปของเศษส่วนย่อย จะได้
z3 − 3z − 2
1 1
f (z) = 2 +
z + 2z +1 z − 2
และเขียนให้อยู่ในรูปของเทอม z − 1 ได้ดังนี้
1 1
f (z) = +
z + 2z +1
2
( z − 1) − 1
1 1 1 1 1
= − = −
[( z − 1) + 2] 1 − ( z − 1)
2
4 1 1 − ( z − 1)
[1 + ( z − 1)]2
2
1 z −1 1
= [1 + ( )]−2 −
4 2 1 − ( z − 1)
z −1
พิจารณา [1 + ( )]−2 แทนค่าในสมการ (4.2) จะได้
2
z −1 z −1 2(2 + 1) z − 1 2 2(2 + 1)(2 + 2) z − 1 3
[1 + ( )]−2 = 1 − 2( )+ ( ) − ( ) +
2 2 2! 2 3! 2
1
และ = 1 + ( z − 1) + ( z − 1) 2 + ( z − 1) 3 +
1 − ( z − 1)
z 2 + 3z − 1 1 3 1
ดังนั้น = [1 − ( z − 1) + ( z − 1) 2 − ( z − 1) 3 + ]
z − 3z − 2
3
4 2 2
−[1 + ( z − 1) + ( z − 1) 2 + ( z − 1)3 + ]
3 5 5 9
f ( z ) = − − ( z − 1) − ( z − 1) 2 − ( z − 1) 3 −
4 4 8 8
เนื่องจาก f ( z ) มีจุดเอกฐานที่ z = −1, 2 และ จุด z = 2 เป็นจุดเอกฐานที่ใกล้ที่สุด
กับจุดศูนย์กลาง z =1 ดังนั้น อนุกรมนี้จะลู่เข้าภายในวงกลม z −1 1 #
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 127
4.5 อนุกรมโลรองต์
ในหั วข้อ 4.3 และทฤษฎีบทของเทย์เลอร์ เราได้กล่าวถึงอนุกรมของเทย์เลอร์ โดยที่
f ( z ) เป็ น ฟั ง ก์ชั น วิเคราะห์ ภ ายในบริ เวณ R รอบจุ ด z = z 0 เป็ น จุ ด อยู่ ภ ายในบริ เวณ R
แต่ในการประยุกต์ใช้งานหลาย ๆ อย่าง บางครั้งจำเป็นจะต้องกระจายฟังก์ชัน f ( z ) รอบ ๆ จุด
z = z 0 ซึ่งเป็นจุดเอกฐานของ f ( z ) ด้วย ซึ่งทฤษฎีของเทย์เลอร์ไม่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ใน
กรณี นี้ ได้ ดังนั้ น อนุ กรมอีกรู ป แบบหนึ่ งที่กระจาย f ( z ) รอบจุ ดเอกฐาน ซึ่งเรียกอนุกรมนี้ว่า
อนุกรมโลรองต์ โดยเริ่มต้นจากการพิจารณารูปวงแหวนที่ถูกล้อมรอบด้วยวงกลม C1 และ C2 ดัง
ภาพที่ 4.2 โดยที่ f เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์ทุกจุดภายในวงแหวนและจุดบน C1 กับ C2 ของวงแหวน
C1
C2
c
r
z
1 1
และ , n = 0 ,1 , 2 ,
2 i (t − c)
bn = n +1
f (t)dt
C2
เรีย กอนุ กรมนี้ ว่า อนุ กรมโลรองต์ (Laurent series) ของ f ( z ) ที่จุด z = c และ เรียก
เซต { z r z − c } ว่า วงแหวนของการลู่เข้า (annulus of convergence)
พิสูจน์ (การพิสูจน์สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากเอกสารอ้างอิง)
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 128
1 f (z)
เมื่อ An = ( z − c) dz , n = 0,1, 2,..
2 i K
n +1
1
ตัวอย่าง 4.20 จงหาอนุกรมโลรองต์ของ f (z) = บน 0 z −1 1
z(z − 1)
1
วิธีทำ ให้ f (z) = ซึง่ f ไม่เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์ที่ z = 0,1 ซึ่งอยู่ในแผ่น
z(z − 1)
วงกลม z −1 1
จะต้องกระจายให้อยู่ในรูป (z − c) n ในที่นี้ c = 1 และบริเวณของการลู่เข้าคือ z − 1 1
จะเห็นว่าตัวประกอบของ f (z) ตัวหนึ่งอยู่ในรูป z − 1 อยู่แล้ว ดังนั้นจะพิจารณาเฉพาะตัว
ประกอบที่เหลือ
1 1
= , z −1 1
z 1 + (z − 1)
= 1 − (z − 1) + (z − 1) 2 − (z − 1) 3 +
( )
1 1
ดังนั้น = 1 − (z − 1) + (z − 1) 2 − (z − 1) 3 +
z(z − 1) z − 1
1
= − 1 + (z − 1) − (z − 1) 2 + #
z −1
1
ตัวอย่าง 4.21 จงหาอนุกรมโลรองต์ของ f (z) = เมือ่ 1 z −1
z(z − 1)
วิธีทำ
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 129
1) z 2 2) z −1 1
−z 1 2
วิธีทำ f (z) = = −
(z − 1)(z − 2) z −1 z−2
1) ต้องการบริเวณการลู่เข้าเป็น z 2
พิจารณาเมื่อ z 1 หรือ 1
1
z
จะได้ 1 1 1 1 1
= = 1 + + 2 +
z −1 1 z z z
z 1 −
z
1 1 1
= + 2+ 3+
z z z
เมื่อ z 2 หรือ 2
1
z
2 2 2 2 4 8
= = 1 + + 2 + 3 +
z−2 2 z z z z
z 1 −
z
2 4 8
= + 2
+ +
z z z3
ดังนั้นอนุกรมโลรองต์เมื่อ z 2 คือ
1 2 1 4 1 8 1 3 7
− + 2 − 2 + 3 − 3 + =− − − −
z z z z
2
z z z z z3
1 2 2 2
f ( z) = − + + +
z − 1 ( z − 1) ( z − 1) 2
( z − 1)3
1 2 2
=− − − − #
( z − 1) ( z − 1) 2
( z − 1) 3
1
ตัวอย่าง 4.25 จงหาอนุกรมโลรองต์ของ f ( z) = ซึ่งลู่เข้าภายในวงแหวน
1− z2
1 1
z −1 พร้อมทั้งกำหนดบริเวณที่ถูกต้องของการลู่เข้า
4 2
วิธีทำ
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 131
4.6 สรุป
ในบทนี้ได้กล่าวถึงลำดับและอนุกรมของฟังก์ชันตัวแปรเชิงซ้อนในหลาย ๆ รูปแบบ การ
ทดสอบการลู่เข้าของอนุกรม การหารั ศมีของการลู่เข้าของอนุกรม นอกจากนี้ยังนำอนุกรมเทเลอร์
หรืออนุกรมแมคลอรินมาหาอนุกรมของฟังก์ชันอื่นๆ ได้ และถ้าฟังก์ชันมีความซับซ้อนมากๆสามารถ
นำเศษส่ ว นย่ อยมาช่ว ยในการหาอนุกรมกำลั งของฟังก์ชันนั้น จะทำให้ ห าอนุกรมกำลัง ได้ง่ายขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำอนุกรมเทย์เลอร์มาช่วยในการหาอนุกรมโลรองต์
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 132
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 4
1. จากอนุกรมแมคลอรินของฟังก์ชันพื้นฐาน จงแสดงว่า
1.1 e iz = cos z + i sin z 1.2 e − iz = cos z − i sin z
2. จงกระจายฟังก์ชันแต่ละข้อที่กำหนดให้ต่อไปนี้อยู่ในรูปอนุกรมเทย์เลอร์รอบจุดที่กำหนดให้
และหาบริเวณของการลู่เข้า
2.1 f ( z ) = ln z , z = 1 2.2 f ( z ) = tan z , z = 0
3. จงหาอนุกรมแมคลอรินของฟังก์ชันแต่ละข้อต่อไปนี้
3.1 f ( z ) = sin z 3.2 f ( z ) = csc z
4. จงคำนวนหาอนุกรมแมคลอรินจากฟังก์ชันที่กำหนดให้แต่ละข้อและหารัศมีของการลู่เข้า
1 z
4.1 f (z) = 4.2 f (z) =
(1 − z ) 3
1+ z
4
1 ez −1
4.3 f ( z) = 4.4 f ( z) =
(1 + z 2 ) 2 z3
1
1
4.5 f ( z ) = e 1− 2 z 4.6 f (z) =
( z + 3 − 4i ) 2
4.7
2
f ( z ) = e z sin z 2
5. จงคำนวณหาอนุกรมเทย์เลอย์จากฟังก์ชันแต่ละข้อที่กำหนดจุดศูนย์กลางที่กำหนดให้
1
5.1 f ( z) = , z = 1+ i 5.2 f ( z ) = ln(3 − iz ) , z = 2i
4 − 3z
6. จงหาอนุกรมโลรองต์ของฟังก์ชันแต่ละข้อต่อไปนี้ และวงแหวนของการลู่เข้า
ez 1
6.1 f ( z) = 6.2 f (z) =
z 2
z ( z − 3)
2
1 8 − 2z
6.3 f ( z) = 6.4 f ( z) =
z 2 (1 + z ) 2 4z − z3
1
7. กำหนดให้ f (z) = จงหาอนุกรมโลรองต์ และบริเวณการลู่เข้า เมื่อ
z −3
7.1 กำลังของ z เป็นบวก
7.2 กำลังของ z เป็นลบ
บทที่ 4 ลำดับและอนุ กรมในระนำบเชิ งซ้อน 133
1
8. กำหนดให้ f ( z) = จงหาอนุกรมโลรองต์ซึ่งลู่เข้าเมื่อ 0 z −i r พร้อมทั้ง
z +1
2
กำหนดบริเวณที่ถูกต้องของการลู่เข้า
z
9. กำหนด f ( z) = จงหาอนุกรมโลรองต์สำหรับบริเวณการลู่เข้าแต่ละข้อต่อไปนี้
( z − 1)( 2 − z )
9.1 z 1 9.2 1 z 2
9.3 z 2 9.4 z −1 1
9.5 0 z − 2 1
บทที่ 5
วิธีหาปริพันธ์โดยใช้ส่วนตกค้าง
5.1 ส่วนตกค้าง
ในบทที่ 2 ได้กล่าวถึงบทนิยามของจุดเอกฐานมาแล้ว ต่อไปจะพิจารณาชนิดของจุดเอกฐาน
เหล่านี้
บทนิ ย าม 5.1 ถ้ า z 0 เรี ย กว่ า จุ ด เอกฐานของ f ( z ) และมี r 0 ซึ่ งทำให้ f เป็ น ฟั งก์ ชั น
วิ เคราะห์ ในเซต z 0 z − z 0 r จะเรี ย ก z 0 ว่ า เป็ น จุ ด เอกฐานแบบเอกเทศ (isolated
singular point) ของ f ( z )
1
ตัวอย่าง 5.1 กำหนด f (z) = จงบอกชนิดของจุดเอกฐาน
z −1
วิธีทำ มีจุดเอกฐานที่ z = 1 และเป็นจุดเอกฐานแบบเอกเทศ เพราะว่า f เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์
ที่จุดอื่นยกเว้นที่ z = 1 จุดเดียว
ถ้าให้ r = 1 จะได้ว่า f เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์ในเซต z 0 z − 1 1 #
แต่ lim
sin z
=1
z →0 z
ดังนั้นจุด z = 0 เป็นจุดเอกฐานแบบขจัดได้
sin z
ถ้าเขียน ในรูปอนุกรม ดังนี้
z
sin z 1 z3 z5
= z − + −
z z 3! 5!
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 135
z2 z4
= 1− + −
3! 5!
จะเห็นว่าอนุกรมที่ได้ไม่มีเทอม z ยกกำลังลบเลย
ดังนั้น z=0 จึงเป็นจุดเอกฐานแบบขจัดได้ #
1
ตัวอย่าง 5.3 กำหนดฟังก์ชัน f ( z ) = z sin จงบอกชนิดของจุดเอกฐาน
z
วิธีทำ
นั่นคือ จาก f (z) = A (z − z ) ถ้า
n 0
n
An = 0 ทุกค่า n −m และ A−m 0
n =−
A −m A −1
f (z) = + + + A 0 + A 1 (z − z 0 ) + A 2 (z − z 0 ) 2 +
(z − z 0 ) z m
(z − z 0 )
(z − z 0 ) m f (z) = A − m + + A −1 (z − z 0 ) m −1 + A 0 (z − z 0 ) m + A 1 (z − z 0 ) m +1 +
lim (z − z 0 ) m f (z) = A − m 0
z → z0
.......(5.1)
ดังนั้นในการตรวจสอบว่าฟังก์ชันมีโพลอันดับที่ m ที่ z 0 สามารถดูได้จากสมการ (5.1)
ถ้า m = 1 จะกล่าวว่า f ( z ) มีโพลเชิงเดียว (simple pole) ที่ z 0
z 2 − 2z + 3
วิธีทำ 1) จาก f (z) =
z−2
3
= 2 + (z − 2) +
z−2
ดังนั้น f (z) มีโพลเชิงเดี่ยวที่ z = 2
เช่น
1
f (z) = e z−2
1 1 1
= 1+ + + +
z−2 z!(z − 2) 2
3!(z − 2) 3
ดังนั้น f (z) มีจุดเอกฐานเอซเซนเซียลที่ z=2
z −1
7
= − 2 + 2( z − 1) − 2( z − 1) 2 +
z −1
ดังนั้นที่จุด z =1 เป็นโพลเชิงเดี่ยวของ f (z) และจะได้ว่า Re s[ f ,1] = 7 #
sin z
ตัวอย่าง 5.6 กำหนดให้ f (z) = จงพิจารณาว่า z=0 เป็นจุดเอกฐานแบบใดและจงหา
z5
ส่วนตกค้างของ f (z) ที่จุด z = 0
วิธีทำ
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 138
ทฤษฎี บท 5.1 ถ้ า z 0 เป็ นจุ ดเอกฐานแบบเอกเทศของ f ( z ) แล้ วจะได้ ว่ า z 0 เป็ นโพลอั นอั บ m
ของ f ( z ) ก็ต่อเมื่อ z 0 เป็นจุดเอกฐานที่ขจัดได้ของ ( z − z 0 ) m f ( z ) และ lim
z→ z
( z − z0 ) m f ( z ) 0
0
ดังนั้น ( z − z0 ) m f ( z) สามารถหาอนุกรมโลรองต์ได้ในรูป
( z − z0 ) m f ( z ) = an ( z − z0 ) n และ a0 0
n =0
นำ ( z − z0 ) m คูณทั้งสองข้างสมการ จะได้
( z − z 0 ) m f ( z ) = a − m + + a −1 ( z − z 0 ) m −1 + a n ( z − z 0 ) n + m
n=0
( n + m )!
แต่เนื่องจาก lim
z → z0
(m + 1)! a n ( z − z 0 ) n+m = 0
n =0
d m −1
ดังนั้น lim ( m − 1)!a −1 = lim
z → z0 z → z0 dz m −1 ( z − z ) 0
m
f ( z )
d m −1
( m − 1)! a −1 = lim
z → z0 m −1
( z − z 0 ) m f ( z)
dz
d m −1
( z − z ) f ( z )
1
a −1 = lim m −1
m
( m − 1)!
0
z → z0 dz
d m −1
ดังนั้น Re s[ f , z 0 ] =
1
lim m −1
( z − z ) m f (z)
( m − 1)!
0
z → z0 dz
หมายเหตุ
1. ถ้า z0 เป็นโพลเชิงเดี่ยวของ f (z) แล้ว Re s[ f , z 0 ] = lim ( z − z 0 ) f ( z )
z → z0
5z + 2
= lim
z −1
z →0
5(0) + 2
= = −2
0 −1
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 140
พิจารณา จุด z = 1
ดังนั้น ( z ) = ( z − 1) f ( z ) = 5 z + 2 เป็นฟังก์ชันวิเคราะห์ที่จุด z =1
z
และ lim ( z ) = (1) 0 เพราะฉะนั้น f (z) มีโพลเชิงเดี่ยวที่ z =1
z →1
5z + 2
= lim
z →1 z
=
5(1) + 2
=7 #
1
1) Re s[ f , 4] 2) Re s[ f , −1]
วิธีทำ จากฟังก์ชัน f ( z ) ที่กำหนดให้ มีจุดเอกฐานแบบเอกเทศคือ z = 4 และ z = −1
1) พิจารณา ( z ) = ( z − 4) f ( z ) = 50 z และ lim ( z ) = (4) 0
( z + 1) 2 z→4
จะได้ Re s[ f , 4] = lim 50 z
=
50(4) =8
z→4 ( z + 1) 2
(4 + 1) 2
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 141
sin z
ตัวอย่าง 5.9 จงหาค่าส่วนตกค้างของ f (z) = ที่จุด z=0
z5
วิธีทำ
z2 + 2z
ตัวอย่าง 5.10 จงหาส่วนตกค้างของ f (z) = ที่โพลทั้งหมดของฟังก์ชัน
( z + 1) 2 ( z 2 + 4)
วิธีทำ
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 142
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 143
5.2 ทฤษฎีบทส่วนตกค้าง
จากบทนิยาม 5.5 เป็นบทนิยามของส่วนตกค้างที่ได้จากทฤษฎีบทของอนุกรมโลรองต์ ซึ่งได้
1 .............(5.3)
2 i
a−1 = Re s[ f , z 0 ] = f ( z ) dz
C
ทำให้ได้ผลตามมาคือ
f ( z ) dz = 2 ia −1
C
cos z
วิธีทำ เนื่องจากฟังก์ชัน f (z) = มีจุดเอกฐานแบบเอกเทศที่ z=0
z5
และให้ ( z ) = z 5 f ( z ) = cos z และ lim ( z ) = (0) 0
z →0
50 z
ตัวอย่าง 5.12 จงหา dz เมื่อ C เป็นวงกลม z =2
C
( z − 4)( z + 1) 2
วิธีทำ
เพราะว่า Ci เป็นเส้นโค้งเรียบปิดเชิงเดี่ยวภายใน C
f ( z ) dz = f ( z ) dz + f ( z ) dz + ... + f ( z ) dz
C C1 C2 Cn
= 2 i Re s[ f , z1 ] + 2 iRes[ f , z 2 ] + ... + 2 i Re s[ f , z n ]
= 2 i ( Re s[ f , z1 ] + Res[ f , z 2 ] + ... + Re s[ f , z n ] )
C เป็นวงกลม z =3
( z + 1) ( z + 4)
C
z2 + 2z z2 + 2z
วิธีทำ f (z) = = มีจุดเอกฐานแบบเอกเทศที่
( z + 1) 2 ( z 2 + 4) ( z + 1) 2 ( z + 2i )( z − 2i )
จุด z = − 1, 2i , − 2i
( z 2 + 4)(2 z + 2) − ( z 2 + 2 z )(2 z )
= lim
z → −1
( z 2 + 4) 2
2
=−
25
จุด z = 2i มีโพลเชิงเดี่ยว
z2 + 2z 1 − 7i
Re s[ f , 2i ] = lim =
z → 2 i ( z + 1) ( z + 2i )
2
25
จุด z = −2i มีโพลเชิงเดี่ยว
z2 + 2z 1 + 7i
Re s[ f , −2i ] = lim =
z → − 2 i ( z + 1) 2 ( z − 2i )
25
จากสมการ (5.4) จะได้
z2 + 2z 2 1 − 7i 1 + 7i
( z + 1) 2
( z + 4)
2
dz = 2 i ( − ) + (
25 25
)+( )
25
C
= 2 i[0]
#
=0
3 ze z
ตัวอย่าง 5.14 จงหา dz เมื่อ C เป็นวงรี 9x2 + y2 = 9
C
z − 16
4
วิธีทำ
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 147
5.3 การหาค่าปริพันธ์จำกัดเขต
ในหัวข้อนี้เราจะแสดงให้เห็นว่า การหาปริพันธ์ของตัวแปรเชิงซ้อนโดยใช้ทฤษฎี บทของส่วน
ตกค้างนั้นเป็นวิธีที่เหมาะสมและง่าย ที่จะนำไปใช้ในการหาค่าปริพันธ์ของฟังก์ชันค่าจริงที่มีความ
ยุ่งยากซับซ้อน
พิจารณาการหาปริพันธ์ของฟังก์ชันค่าจริงที่อยู่ในรูป
2
F (sin , cos ) d
0
ได้ dz = de i
= ie i d
dz
d =
ie i
−i
= dz
e i
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 148
−i
ดังนั้น d = dz …………………………(ก)
z
1
และ cos = ( e i + e − i )
2
1 1
= ( e i + )
2 e i
1 1
ดังนั้น cos = (z + ) …………………………..(ข)
2 z
1
และ sin = ( e i − e − i )
2i
1 1
= ( e i − )
2i e i
1 1
ดังนั้น sin = (z − ) …………………………(ค)
2i z
เมื่อนำค่าในสมการ (ก) , (ข) และ (ค) แทนในปริพันธ์ที่กำหนดให้ แล้วปริพันธ์จะเปลี่ยนรูป
เป็นรูปปริพันธ์ของฟังก์ชันตรรกยะตัวแปรเชิงซ้อน z สำหรับช่วงของการหาปริพันธ์เดิมอยู่ในช่วง
0 ถึง 2 ดังนั้นตัวแปร z จะอยู่ในช่วงดังกล่าวด้วย
เพราะฉะนั้นเราจึงหาปริพันธ์รอบวงกลม C รัศมีหนึ่งหน่วย ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา คือ
2
1 1 1 1 −i
F (sin , cos )d = F ( z − ), ( z + ) ( dz ) ............(5.6)
0 z =1 2i z 2 z z
2
1 1 −i
วิธีทำ จาก sin = (z − ) และ d = dz
2i z z
และช่วงปริพันธ์ 0 ถึง 2 เปลี่ยนเป็นปริพันธ์ตามเส้นรอบวงของวงกลม z =1
2
1 1 −i
จะได้ 2 + sin d = 1 1 z
( dz )
0 z =1 2+ (z − )
2i z
2
1 2 zi −i
2 + sin d = z + 4 zi − 1 z
2
( dz )
0 z =1
2
1 1
2 + sin d = 2 dz …………………(ก)
0 z =1
z + 4 zi − 1
2
1
หา dz
z =1
z + 4 zi − 1
2
1 1
จาก f ( z) = = มีจุดเอกฐานอยู่ที่
z + 4 zi − 1
2
[ z + (2 − 3)i ][ z + (2 + 3)i ]
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 149
− (2 − 3)i
− (2 + 3)i
1 1
ฟังก์ชัน f ( z) = =
z + 4 zi − 1
2
[ z + (2 − 3)i ][ z + (2 + 3)i ]
1
ดังนั้น Re s[ f , − (2 − 3)i ] = lim
z → − ( 2− 3 )i z + (2 − 3)i
1
=
− (2 − 3)i + (2 + 3)i
i
=−
2 3
จากสมการ (5.4) จะได้
1
z + 4 zi − 1
2
dz = 2 i Re s[ f , − (2 − 3)i ]
z =1
i
= 2 i ( − )
2 3
= …………………(ข)
3
นำสมการ (ข) แทนในสมการ (ก) จะได้
2
1 2
2 + sin d = #
0 3
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 150
2
1
ตัวอย่าง 5.16 จงหาค่าของ d
5 − 4 cos 0
1 1 −i
วิธีทำ จาก cos = (z + ) และ d = dz
2 z z
และช่วงปริพันธ์ 0 ถึง 2 เปลี่ยนเป็นปริพันธ์ตามเส้นรอบวงของวงกลม z =1 จะได้
2
1 1 −i
5 − 4 cos d = 1 1 z
( dz )
0 z =1 5 − 4 (z + )
2 z
z −i
= −2 z + 5 z − 2 z
2
( dz )
z =1
1
=i 2z − 5z + 2
2
dz
z =1
2
1 1
5 − 4 cos d =i dz ………………..(ก)
0 z =1
2z − 5z + 2
2
1 1
เนื่องจาก f (z) = มีจุดเอกฐานแบบเอกเทศ 2 จุด คือ z = 2,
2z − 5z + 2
2
2
1
และ มีจดุ เอกฐาน z= เท่านั้น ที่อยู่ภายในวงกลม z =1 ดังภาพที่ 5.5
2
1
2 2
1 1 2
Re s[ f , ] = =−
2 1 3
−2
2
1 1
ดังนั้น dz = 2 i Re s[ f , ]
z =1
2z − 5z + 2
2
2
2 4 i
= 2 i ( − ) =− …………….(ข)
3 3
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 151
2
3i
ตัวอย่าง 5.17 จงหาค่าของ d
3 − 2 cos + sin
0
1 1 1 1
วิธีทำ จาก cos = (z + ) , sin = (z − ) และ
2 z 2i z
−i
d = dz และช่วงปริพันธ์ 0 ถึง 2 เปลี่ยนเป็นปริพันธ์ตามเส้นรอบวงของวงกลม z =1
z
2
3i 3i −i
จะได้ 3 − 2 cos + sin d = 1 1 1 1 z
( dz )
0 z =1 3 − 2( ( z + )) + ( z − )
2 z 2i z
6i
= dz …………(ก)
z =1
(1 − 2i ) z + 6iz − 1 − 2i
2
6i
จาก f (z) = เราหาจุดเอกฐานได้ดังนี้
(1 − 2i ) z + 6iz − 1 − 2i
2
จากสมการ (1 − 2i ) z 2 + 6iz − 1 − 2i = 0
− 6i (6i ) 2 − 4(1 − 2i )( −1 − 2i )
ได้ z=
2(1 − 2i )
− 6i 4i
=
2(1 − 2i )
− 6i + 4i − 6i − 4i
= ,
2 − 4i 2 − 4i
2 i
z= − ,2−i
5 5
2 1 2 1
และจุดเอกฐานทั้ง 2 จุด คือ z = 2−i , − i และมีจุด z= − i เท่านัน้
5 5 5 5
ทีภ่ ายในวงกลม z =1 ดังภาพที่ 5.6
2 1
− i
5 5
2−i
6i 6i
เนื่องจาก f ( z) = = มีโพลอันดับ 1 ที่
(1 − 2i ) z + 6iz − 1 − 2i
2
2 i
( z − 2 − i )( z − + )
5 5
2 1
จุด z= − i จะได้
5 5
2 1 6i
Re s[ f , − i ] = lim
z→ − i z − 2 + i
2 1
5 5
5 5
6i 3
= = − 3i
2 i 2
− −2+i
5 5
6i 3
(1 − 2i ) z 2 + 6iz − 1 − 2i dz = 2 i ( 2 − 3i ) = 6 + 3 i …………………(ข)
z =1
2
3i
3 − 2 cos + sin d = 6 + 3 i #
0
2
1 1 −i
วิธีทำ จาก cos = (z + ) และ d = dz
2 z z
1 1 z 3 + z −3
cos 3 = (z + 3
)=
2 z3 2
และช่วงปริพันธ์ 0 ถึง 2 เปลี่ยนเป็นปริพันธ์ตามเส้นรอบวงของวงกลม z =1 จะได้
2
cos 3 ( z 3 + z −3 ) / 2 −i
5 − 4 cos d = −1
5 − 4( z + z ) / 2 z
( dz )
0 z =1
2
cos 3 i z6 +1
5 − 4 cos d =
2 z 3 (2 z − 1)( z − 2)
dz
0 C
1 1
และจุดเอกฐานทั้ง 3 จุด คือ z = 0, , 2 และมีจุด z = 0, เท่านั้นที่ภายในวงกลม
2 2
z =1
z6 +1
เนื่องจาก f ( z) = มีโพลอันดับ 3 ที่จุด z=0 จะได้
z 3 (2 z − 1)( z − 2)
1 d2 z6 +1
Re s[ f , 0] = lim
(3 − 1)! z → 0 dz 2 (2 z − 1)( z − 2)
1 21 21
= ( )=
2 4 8
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 153
z6 +1 1
เนื่องจาก f ( z) = มีโพลอันดับ 1 ที่จุด z= จะได้
z (2 z − 1)( z − 2)
3
2
z6 +1
Re s[ f , 0] = lim
z→
1
2 z 3 ( z − 2)
2
65
=−
24
i z +1 6
i 21 65
ดังนั้น dz = (2 i ) −
2 C
z (2 z − 1)( z − 2)
3
2 8 24
=
12
2
นั้นคือ cos 3 d = #
5 − 4 cos
0
12
5.3.2 การหาปริพันธ์ไม่ตรงแบบของฟังก์ชันตรรกยะ
ในหัวข้อนี้เราจะพิจารณาการหาปริพันธ์ไม่ตรงแบบของฟังก์ชันตรรกยะของฟังก์ชันตัวแปร
จริงที่อยู่ในรูป
f ( x)
g ( x)
dx
−
พิจารณาฟังก์ชันตรรกยะตัวแปรเชิงซ้อน
f (z)
F ( z) =
g ( z)
f ( z)
จะเห็นได้ชัดเจนว่า ในการหาปริพันธ์ F ( z )dz หรือ dz จะมีค่าเหมือนกันกับ
− −
g ( z)
f ( x)
การหาปริ พั น ธ์ dx ดั ง กล่ า ว เมื่ อ z อยู่ บ นแกนจริ ง และจากสมมุ ติ ฐ านที่ ว่ า สมการ
−
g ( x)
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 154
ไม่มีรากซึ่งเป็นจำนวนจริง นั่นคือฟังก์ชัน
g ( z) = 0 F (z) ไม่มีโพลอยู่บนแกนจริง ดังนั้นเราจะ
พิจารณาปริพันธ์
f (z)
F ( z ) dz = g ( z ) dz
C C
• จุดโพล
• จุดโพล
• จุดโพล
x
−R • จุดโพล R
• จุดโพล
เนื่องจากรากทั้งหมดของ g ( z ) = 0 อยู่ห่างจากจุดกำเนิดเป็นระยะทางจำกัด
ดังนั้ น เราสามารถเลื อกรัศมี R ของครึ่งวงกลม C ให้ ยาวมากพอ ( R → ) ที่จะทำให้ จุดโพล
f (z)
ทั้งหมดของ F ( z) = ที่อยู่ในซีกบนของระนาบ z อยู่ภายในครึ่งวงกลมนี้
g ( z)
และผลการสรุปดังกล่าวนี้เราแสดงให้เห็นจริงดังทฤษฎีบทต่อไปนี้
R
C2
−R C1
R x
และจากทฤษฎีบทของส่วนตกค้าง เราได้
F ( z ) dz = 2 i [ ส่วนตกค้างของ F ( z ) ที่จุดโพลภายใน C1 + C2 ]
C1 + C 2
ปริพันธ์โดยการแทนวิถีปริพันธ์ ได้
R R
− F ( z ) dz F ( z ) dz
C2 C2
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 156
M M
− F ( z ) dz R k
dz = dz
C2 C2
Rk C2
เนื่องจาก dz คือความยาวของเส้นโค้ง C2 = R
C2
M M
ดังนั้น − F ( z ) dz ( R ) =
C2
R k
R k −1
เมื่อ k 1 เราได้
M
lim − F ( z ) dz lim =0 …………………..(ค)
R→
C2
R → R k −1
จากสมการ(ก) เราจะได้ว่า
lim
R→ F ( z ) dz − 2 i [ ส่วนตกค้างของ F ( z ) ทีจ่ ุดโพลายใน C1 + C2 ] = lim − F ( z ) dz R→
C1 C2
จากสมการ(ก)และสมการ(ข) แทนในสมการข้างบนนี้ได้
R
lim
R→ F ( z )dz − 2 i [ ส่วนตกค้างของ F ( z ) ที่จุดโพลภายใน C 1 + C2 ] = 0
−R
นั่นคือ
R
lim
R → F ( z )dz = 2 i [ ส่วนตกค้างของ F ( z ) ที่จุดโพลในซีกบนของระนาบ z ]
−R
1
ตัวอย่าง 5.19 จงหาค่า dx
−
x +1
2
1 f ( x)
วิธีทำ จากปริพันธ์ที่กำหนดให้ มี F ( x) = =
x +1
2
g ( x)
แสดงว่า f ( x) = 1 และ g ( x) = x + 12
ซึ่งระดับขั้นของ g ( x) เป็น 2 และระดับขั้น
ของ
f ( x ) เป็น 0 แสดงว่าระดับขั้นของ g ( x) มากกว่าระดับขั้นของ f ( x ) เท่ากับ 2 และราก
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 157
z=i
x
z = −i
1
= lim( z − i )
z →i ( z − i )( z + i )
1
= lim
z →i z+i
1
=
i+i
1 1
= =− i
2i 2
ดังนั้นจากทฤษฎีบท 5.4 เราได้
1 1
dx = 2 i ( − i ) = #
−
x +12
2
1 f ( x)
วิธีทำ จากปริพันธ์ที่กำหนดให้ มี F ( x) = =
( x + 4)
2 2
g ( x)
เปลี่ยนตัวแปร x เป็น ตัวแปร z ได้
1 1 f ( z)
F ( z) = = =
( z + 9)
2 2
( z − 3i ) ( z + 3i ) 2 2
g ( z)
หารากของสมการ g ( z ) = ( z + 9) = 0 2 2
ดังนี้
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 158
( z 2 + 9) 2 = 0
( z − 3i ) 2 ( z + 3i ) 2 = 0
z = 3i , −3i
เราได้ F ( z ) มีจุดเอกฐานอยู่ที่จุด z = 3i , −3i และมีเฉพาะจุด z = 3i เท่านั้นที่อยู่ซีก
บนของระนาบเชิงซ้อน และพิจารณา
1 1 1 1
lim( z − 3i ) 2 = lim = =− 0
z → 3i ( z + 9)
2 2 z → 3i ( z + 3i ) 2
(3i + 3i ) 2
36
1
แสดงว่าฟังก์ชัน F (z) = มีโพลอันดับ 2 ที่จุด z = 3i และเราจะได้
( z + 9) 2
2
1 1 d 2 −1
Re s[ , 3i ] = lim 2 −1
( z − 3i ) 2 F ( z )
( z + 9)
2
(2 − 1)!
2
dz z → 3i
1 1 d 1
Re s[ 2 , 3i ] = lim ( )
( z + 9) 2
1! z → 3i dz ( z + 3i ) 2
2
= lim( − )
z → 3i ( z + 3i ) 3
2
=− i
196
1 2
ดังนั้น Re s[ 2 , 3i ] = − i
( z + 9) 2
196
1 1
นั่นคือ (x dx = 2 i Re s[ , 3i ]
−
2
+ 9) 2
( z + 9) 2
2
2
= 2 i ( − i)
196
= #
49
การหาปริพันธ์ที่อยู่ในรูปดังกล่าวข้างต้นนี้เราจะอาศัยทฤษฎีบทต่อไปนี้
−
บนของระนาบเชิงซ้อน z ] และ
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 159
−
บนของระนาบเชิงซ้อน z ]
พิสูจน์ (การพิสูจน์สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากเอกสารอ้างอิง)
1 1
วิธีทำ จากปริพันธ์ที่กำหนดให้เรามี F ( x ) e mix = cos 2 x = e 2 xi เมื่อเปลี่ยนตัวแปร
x +1
2
x +1
2
1 1
x เป็นตัวแปร z เราจะได้ F ( z ) e miz = cos 2 z = e 2 zi
z +1
2
z +1
2
หาจุดเอกฐานจากสมการ z2 +1 = 0
z=i , −i
1
แต่มีจุด z=i เท่านั้นที่อยู่ซีกบนของระนาบเชิงซ้อน z ซึ่งฟังก์ชัน e 2 zi มีโพล
z +1
2
2 zi
e
= lim
z →i z+i
e 2( i ) i
e −2
= =
i+i 2i
e −2
= 0− i
2
ซึ่งเราจะได้ว่า
1 1
Re(Re s[ e 2 zi , i ]) คือส่วนจริงของส่วนตกค้างของ e 2 zi ที่จุดโพลเท่ากับ 0
z +1
2
z +12
1 1 e −2
Im(Re s[ e 2 zi , i ]) คือส่วนจินตภาพของส่วนตกค้างของ e 2 zi ที่จุดโพลเท่ากับ −
z2 +1 z2 +1 2
นั่นคือ โดยทฤษฎีบท 5.5 เราจะได้ว่า
−
บนของระนาบเชิงซ้อน z ]
cos 2 x e −2
ดังนั้น dx = −2 ( −
) = e −2
−
x 2
+ 1 2
cos 2 x
ดังนั้น 2 dx = e −2
0
x2 + 1
cos 2 x e −2
dx = = #
0
x +1
2
2 2e 2
x sin x
ตัวอย่าง 5.22 จงหาค่าของ dx
−
x + 2x + 5
2
z
วิธีทำ จากปริพันธ์ที่กำหนดให้ เราหาส่วนตกค้างของ e zi ที่จุดโพลที่อยู่ในส่วนซีก
z + 2z + 5
2
บนของระนาบเชิงซ้อน
z f ( z)
จาก F ( z )e mzi = e zi =
z + 2z + 5
2
g ( z)
z
หาจุดเอกฐานของฟังก์ชัน e zi โดยพิจารณาจากสมการ
z + 2z + 5
2
z2 + 2z + 5 = 0
−2 + (2) 2 − 4(1)(5) −2 − (2) 2 − 4(1)(5)
z= ,
2 2
z = −1 + 2i , −1 − 2i
z
แสดงว่าฟังก์ชัน e zi มีจุดเอกฐาน คือ z = −1 + 2i , −1 − 2i
z + 2z + 5
2
z
แต่จุดที่อยู่ซีกบนของระนาบเชิงซ้อน คือ z = −1 + 2i ซึ่งฟังก์ชัน e zi
z + 2z + 5
2
มีโพลอันดับ 1 ที่จุด z = −1 + 2i
z z
ดังนั้น Re s[ e zi , − 1 + 2i ] = lim ( z + 1 − 2i ) e zi
z + 2z + 5
2 z → − 1+ 2 i z + 2z + 5
2
z
= lim e zi
z →−1+ 2 i ( z + 1 + 2i )
( − 1 + 2 i ) e ( − 1+ 2 i ) i
=
( − 1 + 2i ) + 1 + 2i
e − 2 − i
= ( − 1 + 2i )
4i
i
= ( − 1 + 2i )( − e −2 e − i )
4
−2 −2
ie 2e
=( + )( e − i )
4 4
−2
ie 2 e −2
=( + )(cos( − ) + i sin( − ))
4 4
2 e −2 e −2
=− − i
4 4
z 2 e −2 e −2
นั่นคือ Re s[ 2 e zi , − 1 + 2i ] = − − i
z + 2z + 5 4 4
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 161
แสดงว่า
z 2 e −2
Re(Re s[ e zi , −1 + 2i ]) = −
z2 + 2z + 5 4
− 2
z e
Im(Re s[ e zi , −1 + 2i ]) = −
z + 2z + 5
2
4
โดยทฤษฎีบท 5.5 เราได้ว่า
−
บนของระนาบเชิงซ้อน z ]
x sin x 2 e −2
ดังนั้น dx = 2 ( − )
−
x2 + 2x + 5 4
= − e −2
=− #
e 2
5.4 สรุป
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า f ( z ) dz = 2 i Re s[ f , z ] 0
C
นอกจากนี้ยังสามารถนำทฤษฎีบทของส่วนตกค้างไปใช้ในการหาค่าปริพันธ์ของฟังก์ชันค่า
จริงที่มคี วามยุ่งยากซับซ้อน
ให้ C เป็ น วงกลมรัศมีห นึ่งหน่วย และมีทิศทางทวนเข็มนาฬิ กา โดยที่ฟั งก์ชันอยู่ในรูป
F (sin , cos ) เป็นฟังก์ชันค่าจริงของ sin หรือ cos จะได้
2
1 1 1 1 −i
F (sin , cos )d = F ( z − ), ( z + ) ( dz )
2i z 2 z z
0 z =1
บทที่ 5 วิ ธีหาปริ พันธ์โดยใช้สว่ นตกค้าง 162
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 5
1. จงหาอนุกรมโลรองต์ในย่านใกล้เคียงของจุดเอกฐานของฟังก์ชันต่อไปนี้ และหาส่วนตกค้าง
e2z 1
1.1 f (z) = 3
1.2 f ( z ) = z cos( )
z z
1 1
1.3 f (z) = 1.4 f (z) =
z ( z − 3)
2
z (1 + z ) 2
2
8 − 2z
1.5 f (z) =
4z − z 3
1
ซึ่งใช้ได้ในวงแหวน 1 z 2 การกระจายนี้มีพจน์ เราสามารถสรุปได้หรือไม่ว่า z=0
z
เป็นจุดเอกฐานของ f (z) และมีส่วนตกค้างเท่ากับ 1
4. จงหาค่าส่วนตกค้างของฟังก์ชันต่อไปนี้ที่จุดเอกฐาน
6 z+3
4.1 f (z) = 4.2 f (z) =
1− z z +1
1
4.3 f (z) = 4.4 f ( z ) = sin z
( z − 1) 2
2
z2
5. จงหาค่าส่วนตกค้างที่จุดเอกฐานซึ่งอยู่ภายในวงกลม z = 1 .5
1
z−
6 − 4z
5.1 f (z) = 4 5.2 f (z) =
z + 3z + 2
2
z 3 + 3z 2
8 − 22 z − z 2
5.3 f (z) =
z 3 − 5z 2 + 4z
1 z2 +1
6.5 dz 6.6 dz
1− ez
C C
z2 − 2z
−z 1
7.3 e 2 dz 7.4 ze z dz
z C C
4 − 3z
8. จงหา dz เมื่อ C เป็นวงกลม z = 1.5
C
z − 3z 2 + 2 z
3
1 e zt
9. จงหา z dz เมื่อ C เป็นวงกลม z =3
2 i C
2
( z 2 + 2 z + 2)
10.1 C เป็นวงกลม z −1 = 3
10.2 C เป็นวงรี x2 + 4 y2 = 4
11.3 6 z − 4 z + 12 dz
2
11.4 cot z dz
( z − 2)(1 + 4 z )
C
z C
( z −i )
2
11.5 z 2 dz 11.6 e dz
1+ 9z C
sin z
C
12. จงหาปริพันธ์ของฟังก์ชันต่อไปนี้
2 2
1 1
12.1 d 12.2 d
3 − 2 cos + sin
0
5 + 4 sin
0
2 2
1
12.3 d 12.4 1 d
(5 − 3sin ) 2
0
2 + cos 0
2 2
12.7 2 x dx 12.8 (x
1
dx
( x − 2 x + 2) 2
− −
2
+ 1) 3
x2 x sin x
11.9 dx 11.10 dx
−
x +1
6
−
x2 + 4
1
11.11 dx 11.12 cos2 mx dx
−
x + x +1
4 2
x +1 −
เฉลยแบบฝึกหัดท้ายบท
แบบฝึกหัดบทที่ 1
3. 3.1) 9 3i 3.2) 4 i
3.3) 3 9i 3.4) 17 14i
3.5) 4 8i 3.6) 21 i
3.7) 3 4i 3.8) 46 9i
5 9 9 12
3.9) i 3.10) i
2 2 5 5
82 39
3.11) 3i 3.12) i
85 85
5. 5.1) 5 5.2) 10
5.3) 5 5.4) 1
5.5) 65 5.6) 2 5
1
6. 6.1) z 4 cos i sin 6.2) z cos i sin
4 4 3 6 6
6.3) z 7 cos i sin 6.4) z 4 cos i sin
4 4
7. 7.1) 6 6 3i 7.2) 3
7.3) 2 7.4) 4 2 4 2i
7.5) 3 i 7.6) 2 2i
8. 8.1) 1 8.2) 4
8.3) 1 8.4) 1 i
เฉลยแบบฝึ กหัดท้ายบท 208
2 2 2 2 2 2 2 2
9. 9.1) i, i, i, i
2 2 2 2 2 2 2 2
9.2) 3 i, 2i, 3 i
9.3) cos i sin , 3 , 5 , 7 , 9 , 11 , 13 , 15
8 8 8 8 8 8 8 8 8
7 12k 7 12k
9.4) zk 2 cos i sin , k 0,1, 2,3
24 24
1 3 1 3
10. 10.1) { i, i, 1}
2 2 2 2
10.2) {2, 2i}
10.3) { 2, 2, 4 5, 4 5, 4 5i, 4 5i}
10.4) {2 3i,1 i}
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 2
1. 1.1) f ( z) ( x2 y 2 2 y 1) 2( xy x)i
1.2) f ( z) ( x2 y 2 y 2) ( x 2 xy)i
1.3) f ( z ) x 2 y 2i
1.4) f ( z) ex y cos( x y) e x y sin( x y)i
1.5) f ( z ) (e x y2
cos 2 xy) (e x y2
2 2
sin 2xy )i
2. 2.1) 2 3i 2.2) 22 9i
2.3) 0.540 0.841i , 1 2.4) 0.260 0.260i , 0.368
1 1
2.5) 3.725 0.512i , 0.531 3.591i , ( e e)
2
2.6) 27.017 3.854i
3. 3.1) 1.946 3.142i 3.2) ln 2 i หรือ 0.693 0.785i
4
1 1
3.3) 0.693 1.571i 3.4) i
2 2
3.5) 0.117 0.262i 3.6) 7,083,319 1,103,646i
1
4. 4.1) 1.609 (2.214 2n )i 4.2) ( 2n) i
2
1
4.3) ln 2 2n i 4.4) n (1 i)
2
ตัวแปรเชิ งซ้อน
เฉลยแบบฝึ กหัดท้ายบท 209
1
4.5) n i , n เป็นจำนวนเต็ม 4.6) (1 4n) 2i , n 0 ,1, 2 ,
2
8. 8.1) 1 6i 8.2) 2 6i
8.3) 1 2 i
ตัวแปรเชิ งซ้อน
เฉลยแบบฝึ กหัดท้ายบท 210
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 3
1. 1.1) z(t ) 2 (1 t )i , 0 t 3 1.2) z(t ) t 2t i , 0 t 1
1.3) z(t ) (1 t ) (2 t )i , 0 t 2
5. 5.1) 1 ei 5.2) 0
5.3) 0
32 64
6. 6.1) i 6.2) 32i
3 3
128
6.3) 8 i
5
ตัวแปรเชิ งซ้อน
เฉลยแบบฝึ กหัดท้ายบท 211
7. 7.1) i 7.2) 2i
7.3) 2i
1
9. 1 i
3
1
10. sin( 2 )
2
1
11. ( sinh 2 )i
2
14. 14.1) i 14.2)
2 2
1
15. 15.1) i 15.2) ie 4
2
15.3) 0
16. 2
17.
2
18. 2 i
20. 2 i
3
21. 21.1) i 21.2)
2 8
( 4i )(1 i )
21.3) 2 i 21.4)
32 2
ตัวแปรเชิ งซ้อน
เฉลยแบบฝึ กหัดท้ายบท 212
3 3
22. 22.1) i 22.2) i
2 2
22.3) 0
16 2
23. e i
25
8 i
24.
3e 2
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 4
1 1 1
2. 2.1) ( z 1) ( z 1)2 ( z 1)3 ( z 1)4 ..., z 1 1
2 3 4
3
z 2z 5
2.2) z ..., z
3 15 2
(2 z ) (2 z ) (2 z )3
2
2.3) 1 ..., z
1! 2! 3!
z 6 z10 z14
2.4) z2 ..., z
3! 5! 7!
z3 z5 z7 z 2 n1
3. 3.1) z ... (1)n1
3! 5! 7! (2n 1)!
1 z 7 z3
3.2) ...
z 6 360
z3 z5 z7 z 2 n1
3.3) z ... (1)n1
3 5 7 2n 1
z 2 z3 z 4 zn
3.4) z ... (1)n1
2 3 4 n
4. 4.1) z z4 z7 , r 1
4.2) 1 3z 6 z 2 10 z 3 , r 1
4.3) 1 2 z 2 3z 4 4 z 6 , r 1
z5 z9
4.4) z , r
2! 3!
5z 3 1
4.5) e(1 2 z 6 z 2 z ) , r
3 2
3 4i 2 3 4i 3 3 4i 4 2 3 4i 5 3
4.6) ( ) 2( ) z 3( ) z 4( ) z , r 5
25 25 25 25
ตัวแปรเชิ งซ้อน
เฉลยแบบฝึ กหัดท้ายบท 213
1
4.7) z 2 z 4 z 6 ... , r
3
1 3i 1 3i 2 1 3i 3
5. 5.1) ( ) 3( ) ( z 1 i) 32 ( ) ( z 1 i)2 , r 1 10
10 10 10 3
i 1 i 1
5.2) ln 5 ( z 2i) 2
( z 2i) 2 3 ( z 2i)3 4 ( z 2i) 4 , r 5
5 2.5 3.5 4.5
1 1 1 1 11 1 z
6. 6.1) 2
z ...,0 z 6.2) 2
...,0 z 3
z z z 6 3z 9 z 27 81
1 2 2 1 1 1
6.3) 3 4 z ...,0 z 1 6.4) z z 2 ...,0 z 2
z2 z z 2 2 8
1 1 1 2 1 3
7. 7.1) z z z ..., z 3
3 9 27 81
1 3 9 27
7.2) 2 3 ..., z 3
2 z z 24
i i i
8. ( z i) 1 ( ) 2 ( z i) ( ) 3 ( z i) 2 ...,0 z i 2
2 2 2
1 3 7 15
9. 9.1) z z 2 z 3 z 4 ...
2 4 8 16
1 1 1 1 1
9.2) ... 2 1 z z 2 z 3 ...
z z 2 4 8
1 3 7 15
9.3) 2 3 4 ...
z z z z
9.4) ( z 1) 1 2( z 1) 2 2( z 1) 3 ...
9.5) 1 2( z 2) 1 ( z 2) ( z 2) 2 ( z 2)3 ( z 2) 4 ...
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 5
1 2 2 4 2
1. 1.1) 3
2 z , ส่วนตกค้ำงเท่ำกับ 2
z z z 3 3
1 1 1
1.2) z 3
, ส่วนตกค้ำงเท่ำกับ
2 z 24 z 2
1 1 1 z 1
1.3) 2 , ส่วนตกค้ำงเท่ำกับ
3z 9 z 27 81 9
1 2
1.4) 3 4 z , ส่วนตกค้ำงเท่ำกับ 2
z2 z
2 1 1 1
1.5) z z 2 , ส่วนตกค้ำงเท่ำกับ 2
z 2 2 8
ตัวแปรเชิ งซ้อน
เฉลยแบบฝึ กหัดท้ายบท 214
5
5. 5.1) ที่ z 1 , ส่วนตกค้ำงเท่ำกับ
4
5.2) ที่ z0 , ส่วนตกค้ำงเท่ำกับ 2
5.3) ที่ z 0,1 ส่วนตกค้ำงเท่ำกับ 2 , 5 ตำมลำดับ
6. 6.1) 0 6.2) 2 i
5 4
6.3) 6.4) i
2 3
6.5) 2 i 6.6) i
7. 7.1) 0 7.2) i
3
7.3) 2 i 7.4) i
7.5) 2 2i
8. 2 i
t 1 1 t
9. e cos t
2 2
4 2
10. 10.1) i 10.2) i
3 3
ตัวแปรเชิ งซ้อน
เฉลยแบบฝึ กหัดท้ายบท 215
2
12.5) 0 12.6)
a 2 b2
3
12.7) 12.8)
2 8
e 6
12.9) 12.10)
6 2
3
12.11) 12.12) e m
6 2
แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 6
(3 8i ) (1 4i ) z (16 16i ) (7 13i ) z
1. 1.1) w 1.2) w
(4 7i ) (2 3i ) z (4 8i ) (1 2i ) z
z 1 (13 24i ) z (39 112i )
1.3) w 1.4) w
z 1 5 z (33 16i )
7 3
2. 2.1) วงกลม ( x )2 v2 ( )2
2 2
2.2) เส้นตรง v Im(w) 10
11 2 1 208
2.3) วงกลม (u ) (v ) 2
21 63 3969
2z
5. w , อื่นๆ
z 1
ตัวแปรเชิ งซ้อน
ดรรชนี 200
ภาคผนวก
ตัวแปรเชิ งซ้อน
ดรรชนี 201
ดรรชนี
ก
การทดสอบของราเบ (Raabe’s test) 118
การทดสอบโดยการเปรียบเทียบ (comparison test) 118,123
การทดสอบโดยรากที่ n ( nth root test) 118,122
การทดสอบโดยอัตราส่วน (Ratio test) 38,173,181
การแปลง (transformation) 181
การแปลงเชิงเส้นคู่ (bilinear transformation) 181
การแปลงเมอบิอุส (Mobius transformation) 181
การส่ง (mapping) 37,173,176,181
การส่งคงแบบ (conformal mapping) 173,181
การส่งชวาร์ซ - คริสไดฟเฟล ( sehwarz-christoffel mapping) 193
การส่งเชิงเส้นคู่ (bilinear mapping) 181
แกนจริง (real axis) 2
แกนจินตภาพ (imaginary axis) 2
ค
คอนทัวร์ปริพันธ์ (contour integral) 74
ค่าสาคัญของอาร์กิวเมนต์ (principal value of arg(z)) 7
ค่าสัมบูรณ์ (absolute value) 6
จ
จาโคเบียน (Jacobian) 176
จานวนจินตภาพแท้ (pure imaginary number) 1
จานวนเชิงซ้อน (complex number) 1
จานวนเชิงซ้อนสังยุค (conjugate complex number) 2
จุดขอบ (boundary point) 42
จุดตรึง (fixed point) 193
ตัวแปรเชิ งซ้อน
ดรรชนี 202
ตัวแปรเชิ งซ้อน
ดรรชนี 203
ตัวแปรเชิ งซ้อน
ดรรชนี 204
ตัวแปรเชิ งซ้อน
ดรรชนี 205
วิถีหลายเหลี่ยม(polygonal path) 44
ศ
ศูนย์กลาง (centre) 119
ส
สมการโคชี – รีมันน์ (Cauchy – Remann’s equation) 59
ส่วนจริง (real part) 1
ส่วนจินตภาพ (imaginary part) 1
ส่วนตกค้าง (Residue) 145
สัมประสิทธิ์ (coefficients) 119
สูตรของออยเลอร์ (Euler’s formula) 27
สูตรปริพันธ์ของโคชี (Cauchy’s integral formulas) 99
เส้นโค้ง (curve) 45
เส้นโค้งเชิงเดี่ยว (simple curve) 46
เส้นโค้งปิด (closed curve) 45
เส้นโค้งปิดเชิงเดี่ยว (simple closed curve) 46, 87
เส้นโค้งเรียบ (smooth curve) 45
เส้นโค้งเรียบเป็นช่วง (piecewise smooth curve) 46
อ
อนุกรมกาลัง (power series) 119
อนุกรมของฟังก์ชัน (Series of functions) 114
อนุกรมเทย์เลอร์ (Taylor series) 125
อนุกรมพี (P-series) 116
อนุกรมแมคลอริน (Maclaurin series) 125
อนุกรมโลรองต์ (Laurent series) 133
อนุกรมอนันต์ (finite series) 114
อนุกรมฮาร์โมนิค (Harmonic series) 116
อนุพันธ์ (derivative) 55
ตัวแปรเชิ งซ้อน
ดรรชนี 206
ตัวแปรเชิ งซ้อน
บรรณานุ กรม 198
บรรณานุกรม
ตัวแปรเชิ งซ้อน
บรรณานุ กรม 199
ตัวแปรเชิ งซ้อน