Professional Documents
Culture Documents
01
01
โดย
ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์
2
บทที่ 1
แนวคิดการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา
สาระที่
1.1 แนวคิดนวัตกรรมทางการศึกษา
1.2 แนวคิดการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา
1.2 ขอบข่ายการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา
1.3 บทบาทการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา
สารสรุป
1) การวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา เป็ นการวิจยั เพื่อหาคาตอบเกี่ยวกับ
คุณภาพและประสิ ทธิ ภาพต้นแบบชิ้นงานนวัตกรรมที่พฒั นาขึ้นใหม่ เพื่อให้ได้สารสรุ ป ระบบ
กระบวนการวิธีการ แนวปฏิบตั ิและสิ่ งประดิษฐ์ที่จะขยายองค์ความรู ้ใหม่ทางการศึกษา ก่อนนา
นวัตกรรมไปใช้ในการจัดการศึกษาทั้งในระบบโรงเรี ยน นอกระบบโรงเรี ยน และการศึกษาตาม
อัธยาศัย
2) ขอบข่ายการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาครอบคลุมการวิจยั เชิงวิจยั
และพัฒนาตามขอบข่ายด้านสาระเทคโนโลยีการศึกษา ตามขอบข่ายด้านบริ บทการนาไปใช้ ตาม
การเปลี่ยนแปลงสารสรุ ป และตามความต้องการเฉพาะด้านเฉพาะกาล.
วัตถุประสงค์
๑) หลังจากศึกษา เรื่ อง “แนวคิดการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา” แล้ว
นักศึกษาสามารถอธิบายลักษณะ และความหมาย การวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทาง
การศึกษาได้ถูกต้อง
๒) หลังจากศึกษาเรื่ อง “ขอบข่ายการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา” แล้ว
นักศึกษาสามารถอธิบายขั้นตอนวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาประเภทต่างๆได้
ถูกต้อง
3
1.1 แนวคิดการวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา
1. ลักษณะการวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนา
การวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนา (Research and Development-R&D) ทางการศึกษา เกิดจาก
ความต้องการพัฒนานวัตกรรมในรู ปสารสรุ ป ระบบ กระบวนการวิธีการ แนวปฏิบตั ิและ
สิ่ งประดิษฐ์ที่จะขยายองค์ความรู ้ใหม่ทางการศึกษา ก่อนนานวัตกรรมไปใช้ในการจัดการศึกษาทั้ง
ในระบบโรงเรี ยน นอกระบบโรงเรี ยน และการศึกษาตามอัธยาศัย
การวิจยั ที่จะนับเป็ น R&D จะต้องเกี่ยวข้องกับ “ของใหม่” และต้องจัดอยูใ่ นลักษณะ
ดังต่อไปนี้ (NIFU Nordic Institute for Studies in Innovation, Research and Education, 2008)
1) การรวบรวมข้อมูลที่ดาเนินการโดยภาครัฐเพื่อบันทึกปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ทาง
ชีววิทยาและทางสังคมเพื่อประโยชน์สาธารณะที่รัฐมีทรัพยากรและมีอานาจใน ดาเนินการ
อาทิ การรังวัดแผนที่ ภูมิอากาศ สมุทรศาสตร์ และการสารวจดาวตก ฯลฯ การรวบรวมและ
วิเคราะห์ขอ้ มูลที่เป็ นส่ วนหนึ่งของกระบวนการ R&D เช่นการปลิวของฝุ่ น
กัมมันตภาพรังสี ของโรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์ การดาเนินการและการตีความข้อมูล การ
สารวจและบันทึกข้อมูลประชากร การรวบรวมและวิเคราะห์ขอ้ มูลเพื่อการวิจยั ทาง
วิทยาศาสตร์ เป็ นถือเป็ น R&D แต่ การวิจัยเพื่อวัตถุประสงค์ ทั่วไป เช่ น การสุ่มตัวอย่ างผู้
ว่ างงาน หรื อการวิจัยการตลาด ไม่ เป็ น ถือเป็ น R&D
2) การศึกษาทฤษฎีใหม่หรื อตัวแปรใหม่ที่มีผลกระทบหรื อมีอิทธิ พลต่อการเจริ ญเติบโตของ
องค์กรในระดับต่างๆ เช่น ทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาคและระดับชาติ การพัฒนาแบบจาลอง
(Model) เพื่อพัฒนาหรื อปรับปรุ งนโยบายสาธารณะ ถือเป็ น R&D แต่ การวิจัยที่เกี่ยว
นโยบายหรื อการประเมินโครงการ การดาเนินงานของกระทรวง ทบวง กรม และ
สถาบันการศึกษาไม่ ถือเป็ น R&D
3) การวิจยั ของนักศึกษาปริ ญญาเอกที่มุ่งพัฒนาระบบ แบบจาลองใหม่ๆ ถือเป็ นส่ วนของ
R&D แต่ กิจกรรมการศึกษาและการฝึ กอบรมบุคลากรไม่ ถือเป็ น ถือเป็ น R&D
4
2. ความหมายของการวิจัยเชิ งวิจัยและพัฒนา
ในหน่วยที่ 1 นักศึกษาได้ศึกษาความหมายของการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนามาแล้ว โดยพอ
สรุ ปได้ดงั นี้
๑) เป็ นงานสร้างสรรค์ที่พฒั นาขึ้นอย่างมีระบบ เพื่อเพิ่มคลังแห่งองค์ความรู ้ที่ครอบคลุม
ความรู้ของมนุษย์ วัฒนธรรมและสังคม และการใช้คลังความรู ้เหล่านี้ เพื่อสร้างแนวทางใหม่ในการ
จาองค์ความรู้ไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์
๒) เป็ นกิจกรรมเสาะแสวงหาความรู ้ใหม่ที่ธุรกิจและอุตสาหกรรมใช้สาหรับค้นหาข้อ
ค้นพบใหม่ เพื่อนาไปสู่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่หรื อกระบวนการใหม่ หรื อเพื่อการปรับปรุ ง
ผลิตภัณฑ์หรื อกระบวนการที่มีอยูแ่ ล้วให้ดีข้ ึน ถือเป็ นวิธีการที่ธุรกิจใช้ในการสร้างความเจริ ญด้วย
การสร้างผลิตภัณฑ์และกระบวนการใหม่เพื่อขยายงานให้กว้างขวางขึ้น
๒) เป็ นกิจกรรมการค้นคว้าเพื่อนาไปสู่ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรื อกระบวนการ หรื อเพื่อ
ปรับปรุ งผลิตภัณฑ์หรื อขั้นบทที่มีอยูแ่ ล้วให้ดีข้ ึน เพื่อพัฒนาองค์กรให้เติบโตขั้นด้วนการพัฒนา
ผลิตภัณฑ์หรื อบริ การใหม่เพื่อปรับปรุ งหรื อขยายการดาเนิ นงาน
โดยสรุ ป การวิจัยเชิ งวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา เป็ นการวิจัยเพือ่ หาคาตอบ
เกีย่ วกับคุณภาพและประสิ ทธิภาพต้ นแบบชิ้นงานนวัตกรรมทีพ่ ฒ ั นาขึน้ ใหม่ เพือ่ ให้ ได้ สารสรุ ป
ระบบ กระบวนการวิธีการ แนวปฏิบัติและสิ่ งประดิษฐ์ ทจี่ ะขยายองค์ ความรู้ ใหม่ ทางการศึกษา ก่อน
นานวัตกรรมไปใช้ ในการจัดการศึกษาทั้งในระบบโรงเรียน นอกระบบโรงเรียน และการศึกษาตาม
อัธยาศัย
5
2. การวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนาตามขอบข่ ายภารกิจการศึกษา
4. การวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนาการศึกษาตามความต้ องการเฉพาะ
เพื่อให้ตามทันการเปลี่ยนแปลงการศึกษา และนาไปใช้ในการพัฒนาการศึกษาและการ
ฝึ กอบรมให้มีประสิ ทธิภาพ จาเป็ นต้องมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ โดยใช้วจิ ยั เชิงวิจยั และพัฒนา
เป็ นเครื่ องมือ
โดยสรุ ป การวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษามีบทบาทในการทดลองหรือ
ทดสอบหลักการทฤษฎีเพือ่ นาไปสู่ การพัฒนาความรู้ ใหม่ การสื บค้ นหาคาตอบของการวิจัยเพือ่
นาไปประยุกต์ ใช้ ในโครงการ การออกแบบ พัฒนาและการสร้ างนวัตกรรมการศึกษาใหม่ และ
ปรับปรุ งการศึกษา การตรวจสอบ อนุรักษ์ และยืน่ ยันเทคนิคและทักษะความชานาญในแต่ ละ
ขอบข่ ายของ การศึกษา
11
บทที่ 2
ประเภทการวิจยั เชิงวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา
สาระที่
2.1 การจาแนกประเภทการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา
2.2 ประเภทการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา
สารสรุ ป
1) การจาแนกประเภท การวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนา จาแนกได้ตามระดับการวิจยั และการนา
ผลการวิจยั ไปใช้
2) ประเภท การวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนา ที่พบกันมากได้แก่ การวิจยั เพื่อทดลองหรื อ
ทดสอบหลักการทฤษฎีเพื่อพัฒนาความรู ้ใหม่ เพื่อนาไปประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนา
นวัตกรรม และเพื่อปรับปรุ งเทคโนโลยีการศึกษา
วัตถุประสงค์
1) หลังจากศึกษา เรื่ อง “การจาแนกประเภทการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทาง
การศึกษา” แล้ว นักศึกษาสามารถอธิบายแนวทางการจาแนกประเภทการวิจยั เชิงวิจยั
และพัฒนาได้ถูกต้อง
2) หลังจากศึกษาเรื่ อง “ประเภทการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา” แล้ว
นักศึกษาสามารถอธิบายสารสรุ ปและคุณลักษณะการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนาประเภท
ต่างๆได้ถูกต้อง
12
2.1 การจาแนกประเภทการวิจัยและพัฒนาการศึกษา
1. การวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนาจาแนกประเภทตามระดับการวิจัย
ประเภท การวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนา ตามระดับการวัยจาแนกเป็ น 3 ระดับ ได้แก่ การวิจยั
เชิงวิจยั และพัฒนา พื้นฐาน การวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนาเพื่อนาไปประยุกต์และ การวิจยั เชิงวิจยั และ
พัฒนา เพื่อพัฒนาการทดลอง
1.1 การวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนาพืน้ ฐาน (Basic R&D) เป็ นการวิจยั ทดลองหรื อทดสอบ
หลักการและทฤษฎีใหม่ เพื่อพัฒนาองค์ความรู ้ใหม่ทางการศึกษา เพื่อเป็ นพื้นฐานอธิ บาย
ปรากฏการณ์ ข้อเท็จจริ งสังเกตได้ โดยมิได้มีเป้ าหมายในการประยุกต์ใช้ในอนาคต
ตัวอย่ าง
-การวิจยั เพื่อหาความสัมพันธ์ของระยะทางและขนาดตัวอักษรที่ปรากฏบนกระดานดา ป้ าย
นิเทศ หรื อจอภาพ
-การวิจยั เพื่อกาหนดรู ปแบบพฤติกรรมสาหรับการทางานเป็ นกลุ่มของนักเรี ยน
-การวิจยั เพื่อกาหนดองค์ประกอบการเรี ยนการสอนแบบภควันตภาพ(Ubiquitous
Learning)
2. การวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนาจาแนกประเภทตามการนาผลไปใช้
เมื่อจาแนกประเภทตามลักษณะการนาผลไปใช้ Darius Mahdjoubi นักวิจยั แห่ง IC²
Institute, Austin, Texas จาแนกการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนา ออกเป็ น 4 ประเภท คือ R&Dใน
ฐานะกิจกรรม กระบวนทัศน์นวัตกรรม เครื่ องมือร่ วมในการออกแบบและพัฒนา และ
ในฐานะแหล่งความคิด
2.1 การวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนาในฐานะชุ ดกิจกรรม (R&D as a Set of Activities) ตามสาร
สรุ ปนี้ R&D เป็ นวิธีการสื บหาความรู ้ใหม่โดยผ่านกระบวนการที่เรี ยกว่า ชุดกิจกรรม (Set of
Activities) สามขั้นตอน คือ (1) การวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนาพื้นฐาน (2) การวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนา
นวัตกรรมใหม่ (3) การวิจยั ประยุกต์เพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ และ (4) การผลิตสิ นค้าและ
ผลิตภัณฑ์เพื่อจาหน่ายหรื อเผยแพร่ เป็ นจานวนมาก
2.4 การวิจัยและพัฒนาในฐานะแหล่งจุดประกายความคิดพัฒนานวัตกรรม
การเกิดธุ รกิจมักจะมีรูปแบบการพัฒนาจากจุดเริ่ มคิดที่มีที่มาจากหลายแหล่ง คือเป็ นแหล่ง
จุดประกายความคิด (R&D as a Source of Idea) ที่นาไปสู่ การสร้างนวัตกรรมโดยพอจะจาแนก
แหล่งจุดประกายความคิดในการพัฒนานวัตกรรมได้ 12 ความคิดดังนี้
1) การวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนา (Research and Development-R&D)
2) การประดิษฐ์และจดสิ ทธิบตั ร (Invention and Patent) เป็ นการพัฒนาแนวคิดการ
ประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่เพื่อนาไปสู่ การจดสิ ทธิ บตั ร
3) การออกแบบและการพัฒนา (Design and Development-D&D) แบบเดินหน้า (Forward
Design) เป็ นความคิดการออกแบบและพัฒนา
4) การออกแบบและพัฒนาแบบย้อนรอย (Reverse Design) ด้วยการคัดลอก เลียนแบบและ
ปรับเปลี่ยน เช่น นโยบายของบริ ษทั Matsushita ที่ผลิตสิ นค้ายีห่ อ้ National, Panasonic ที่ไม่มี
นโยบายคิดค้นหรื อประดิษฐ์นวัตกรรมเอง แต่จะนาสิ่ งที่มีผปู ้ ระดิษฐ์แล้ว มาวิจยั และพัฒนาให้ดีข้ ึน
5) การวิจยั ตลาด (Extensive Market Research) เพื่อเสาะแสวงหาลู่ทางใหม่ของการดาเนิน
ธุ รกิจ หรื อการเปลี่ยนแปลงสังคมและประชากรเป็ นต้น
6) การรับผลย้อนกลับ (Feedbacks) เป็ นการสารวจความคิดเห็นและความพึงพอใจจาก
ลูกค้า พนักงาน ผูข้ ายส่ ง ผูข้ ายปลัก เพื่อค้นหาความต้องการของผูบ้ ริ โภคที่ฝังลึกหรื อยังไม่
แสดงออก
7) ประสบการณ์เดิม (Previous Experience) ได้แก่ประสบการณ์การทางาน การศึกษา งาน
อดิเรกของผูป้ ระกอบการ
1. Incep8) ความคิดสร้างสรรค์รายบุคคล กลุ่มหรื อองค์กร (Individual, Group and Organizational
Creativity) ได้แก่ ความคิดริ เริ่ มสิ่ งใหม่ อาทิ การคิดแบบแยบยล แผนผังสารสรุ ป การอุปมาอุปมัย
และการระดมความคิด
9) ความคิดเชิงสัญลักษณ์ (Symbiotic Ideas) ได้แก่การรวมความคิดสองอย่างหรื อมากกว่า
เพื่อพัฒนาสารสรุ ปใหม่
10) แรงจรรโลงใจจากธรรมชาติ (Innovation Inspired by Nature) เน้นความคิดธุ รกิจใหม่
ด้วยการสังเกตปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น สิ นค้าทางชี วภาพ อาหารและยา
11) กฎระเบียนใหม่ (New regulations) ได้แก่ การนากฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้องมาสร้างดล
บันดาลใจสร้างสารสรุ ปใหม่
17
2.2 ประเภทการวิจัยเชิงวิจัยและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา
บทที่ 3
ขั้นตอนและโครงสร้ างการวิจยั และพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา
สาระที่
3.1 ขั้นตอนการวิจยั และพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมการศึกษา
3.2 ขั้นตอนการวิจยั และพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยนการศึกษา
3.3 โครงสร้างรายงานการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนา
สารสรุ ป
1) ขั้นตอนการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนาเพื่อพัฒนานวัตกรรมใหม่ มี 7 ขั้นตอน ได้แก่ (1)
ศึกษาองค์ความรู ้เกี่ยวกับนวัตกรรม (2) สารวจความต้องการเกี่ยวกับนวัตกรรม (3) ร่ างกรอบ
แนวคิดเกี่ยวกับนวัตกรรม (4) สอบถามความเห็นผูเ้ ชี่ยวชาญ (5) ยกร่ างต้นแบบชิ้นงานนวัตกรรม
(6) ทดสอบประสิ ทธิ ภาพและหรื อรับรองต้นแบบชิ้นงานนวัตกรรม และ (7) ปรับปรุ งและเขียน
รายงานการวิจยั
2) ขั้นตอนการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยนการศึกษา มี 9 ขั้นตอน ได้แก่ (1)
สารวจสถานภาพการศึกษา (2) วิเคราะห์ระบบเทคโนโลยีการศึกษา (3) ศึกษาองค์ความรู ้ใหม่
เกี่ยวกับการศึกษา (4) สารวจปัญหาการศึกษา (5) พัฒนากรอบแนวคิดการปรับเปลี่ยนการศึกษา (6)
สอบถามความเห็นผูเ้ ชี่ยวชาญ (7) ยกร่ างต้นแบบชิ้นงานการศึกษา (8) ทดสอบประสิ ทธิภาพและ
หรื อรับรองต้นแบบชิ้นงานการศึกษา และ (9) ปรับปรุ งและเขียนรายงานการวิจยั การปรับเปลี่ยน
การศึกษา
3) โครงสร้างรายงานการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนาเป็ นรายงาน 6 บท ประกอบด้วยปกนอก
ปกใน บทคัดย่อภาษาไทย บทคัดย่อภาษาอังกฤษ กิตติกรรมประกาศ สารบัญ เนื้ อหางานวิจยั
หนังสื ออ้างอิง และภาคผนวก ส่ วนองค์ประกอบเนื้ อหางานวิจยั ประกอบเป็ นแบบหกบท
วัตถุประสงค์
1) หลังจากศึกษา เรื่ อง “ขั้นตอนหลักการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนาเพื่อพัฒนานวัตกรรม
การศึกษา” แล้ว นักศึกษาสามารถอธิบายขั้นตอนหลักในการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนาเพื่อ
พัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาได้ถูกต้อง
2) หลังจากศึกษาเรื่ อง “ขั้นตอนการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยน การศึกษา” แล้ว
นักศึกษาสามารถอธิบาย 7 ขั้นตอนในการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยน การศึกษาได้
ถูกต้อง
20
1. เงื่อนไขการสร้ างนวัตกรรม
หลังจากกาหนดนวัตกรรมที่ประสงค์จะทาการวิจยั และพัฒนาแล้ว ผูว้ ิจยั ต้องสร้าง
นวัตกรรมที่ครอบคลุมสองขั้นตอนคือการออกแบบและการพัฒนา โดยมีเงื่อนไขสาคัญ ประการ
คือ
๑) ต้องมีกรอบในการพัฒนานวัตกรรมโดยอิงระบบ อาทิ CIPOF Model (C-Context, I-
Input, P-Process, O-Output, and F-Feedback) โดยทาการวิเคราะห์สถานการณ์ กาหนด
องค์ประกอบด้านปัจจัยนาเข้า องค์ประกอบด้านกระบวนการ องค์ประกอบด้านผลลัพธ์ และ
องค์ประกอบด้านผลย้อนกลับ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์ 2554) หรื อ ADDIE Model (A-Analysis, D-
Design, D-Development, I-Implementation, E-Evaluation) ด้วยการวิเคราะห์ ออกแบบ พัฒนา
นาไปใช้ และประเมิน (Dick and Carey, 1996)
๒) ต้องทบทวนวรรณกรรมอย่างทะลุปรุ โปร่ งเพื่อให้แน่ใจว่า สิ่ งที่ผวู ้ จิ ยั จะทาการวิจยั และ
พัฒนานวัตกรรมหรื อสิ่ งใหม่น้ นั ต้องเป็ นนวัตกรรมที่ไม่ได้มีใครพัฒนาขึ้นมาก่อน เพื่อที่จะได้ไม่
แอบอ้างว่า ตนเป็ นคนแรกที่พฒั นานวัตกรรมนี้ข้ ึน หากพบว่า เป็ นนวัตกรรมที่มีอยูแ่ ล้วและ
ประสงค์จะปรับเปลี่ยนให้ดีข้ ึน ต้องดาเนิ นการตามขั้นตอนการปรับเปลี่ยนนวัตกรรม (ดูสาระที่
3.2)
๓) ต้องดาเนินการพัฒนานวัตกรรมตามขั้นบทที่เหมาะสมเพื่อให้ได้นวัตกรรมที่มีคุณภาพ
การวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนา ต้องยึดขั้นตอนนี้ในการวิจยั และทดสอบคุณภาพของนวัตกรรมด้วย แต่
ต้องขอความเห็นชอบจากเจ้าของนวัตกรรม ยกเว้นนวัตกรรมนั้นพ้นเขตลิขสิ ทธิ์ ที่กฎหมายกาหนด
แต่ตอ้ งอ้างอิงเจ้าของนวัตกรรม ไม่แบบอ้างนาเป็ นของตนเอง
21
บทที่ 1 บทนา
บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรม
บทที่ 3 วิธีดาเนินการวิจยั
บทที่ 4 วิเคราะห์ขอ้ มูลและผลการวิจยั
บทที่ 5 รายละเอียดต้นแบบชิ้นงาน
บทที่ 6 สรุ ปการวิจยั ผลการวิจยั อภิปรายผล ข้อเสนอแนะ
25
บทที่ 1
บทนา
2. วัตถุประสงค์ การวิจัย
2.1 วัตถุประสงค์ทวั่ ไป (ให้นาหัวข้อวิจยั มาตัดคาว่า “การ” และเติมคาว่า “เพื่อ”)
2.2 วัตถุประสงค์เฉพาะ ทาได้สองกรณี คือ
ก. ตั้งตำมขั้นตอนกำรพัฒนำนวัตกรรม ในกรณี เป็ นการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนาให้
ประกอบด้วย 7 ข้อ คือ
1) เพื่อศึกษาองค์ความรู ้เกี่ยวกับนวัตกรรม (ระบุชื่อนวัตกรรม)
2) เพื่อประเมินความต้องการเกี่ยวกับนวัตกรรม (ระบุชื่อนวัตกรรม)
3) เพื่อพัฒนากรอบสารแนวคิดนวัตกรรม (ระบุชื่อนวัตกรรม)
4) เพื่อสอบถามความเห็นผูเ้ ชี่ยวชาญด้วยวิธีการ (ระบุวธิ ีการ)
5) เพื่อยกร่ างต้นแบบชิ้นงาน (Prototype) นวัตกรรม (ระบุชื่อนวัตกรรม)
6) เพื่อทดสอบนวัตกรรม (ระบุชื่อนวัตกรรม) ด้วยการ (อธิ บายวิธีการทดสอบ เช่น ผลิต
เป็ นชุดการสอนแล้วนาไปทดลองสอน) หรื อรับรองนวัตกรรม (อธิ บายว่า ทาไมใช้วธิ ี การ
รับรองโดยผูท้ รงคุณวุฒิหรื อผูเ้ ชี่ ยวชาญอย่างยิง่ เป็ นใคร มีความเป็ นผูเ้ ชี่ยวชาญยิง่ อย่างไร
ระดับอธิ บดีหรื อเทียบเท่า)
7) เพื่อปรับปรุ งนวัตกรรม (ระบุชื่อนวัตกรรม) และจัดทารายงานผลการพัฒนานวัตกรรม
(บทที่ 5)
26
ข. ตั้งตำมคำถำมวิจัย/สมมติฐำน
1) เพื่อศึกษาความก้าวหน้าสัมฤทธิ ผลทางเรี ยนของนักเรี ยนที่เรี ยนจากนวัตกรรม
2) เพื่อหาประสิ ทธิภาพของนวัตกรรมด้านกระบวนและและผลลัพธ์
3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของครู และนักเรี ยนที่ใช้และเรี ยนจากนวัตกรรม
3. คาถามวิจัย
ให้ต้ งั คาถามตามวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อให้ได้คาตอบตามวัตถุประสงค์เฉพาะและนามา
สรุ ปเป็ นคาตอบวัตถุประสงค์ทวั่ ไป
4. สมมติฐานการวิจัย
5. ขอบเขตการวิจัย
5.1 รู ปแบบการวิจยั (ให้ระบุรูปแบบการวิจยั เพื่อจะได้ไม่ให้ผอู ้ ่านงานวิจยั สับสนว่า
งานวิจยั ชั้นนี้ เป็ นงานวิจยั ประเภทใด)
5.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
5.3 เครื่ องมือวิจยั (PACIS) จาแนกเครื่ องมือวิจยั เป็ น 5 ประเภท คือ
5.3.1 เครื่ องมือวิจยั ที่เป็ นต้นแบบชิ้นงาน (P-PROTOTYPE)
5.3.1 เครื่ องมือวิจยั ที่ใช้จาแนกคุณลักษณะของประชากรและกล่มตัวอย่าง (A-
ATTRIBUTE TEST) ได้แก่ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์
5.3.1 เครื่ องมือวิจยั ที่ใช้ประเมินบริ บท (C-CONTEXT) ได้แก่ แบบประเมิน
ห้องเรี ยน เครื่ องมือและสิ่ งอานวยความสะดวก)
5.3.1 เครื่ องมือวิจยั ที่ประเมินผลกระทบ (I-IMPACT) ได้แก่ แบบสอบถาม แบบ
สัมภาษณ์ แบบประเมินก่อนเรี ยน/หลังเรี ยน แบบประเมินความพึงพอใจ
5.3.1 เครื่ องมือวิจยั ทางสถิติ (S-STATISTICAL INSTRUMENTS) ได้แก่ สู ตร
ทางสถิติ เช่น ค่าเฉลี่ย ร้อยละ t-test, E1/E2
6.1 ศึกษาองค์ความรู้
6.2 สาประเมินความต้องการ
6.3 พัฒนากรอบแนวคิดต้นแบบชิ้นงาน
6.4 สอบถามความเห็นผูเ้ ชี่ยวชาญ
6.5 พัฒนาร่ างต้นแบบชิ้นงาน
6.6 ทดสอบประสิ ทธิ ภาพหรื อรับรองต้นแบบชิ้นงาน
6.7 ปรับปรุ งต้นแบบชิ้นงาน
7. ตัวแปรและบริบทการวิจัย
7.1 ตัวแปรต้ นหรือตัวแปรอิสระ (independent Variables-IV) หมายถึงปัจจัยนาเข้า (Input)
ที่มีส่วนทาให้เกิดการแปรผันของตัวแปรตาม และเป็ นปั จจัยที่ไม่สาเร็ จสมบูรณ์ในตัวเองแต่
ต้องผ่านการะบวนการวิเคราะห์หรื อพัฒนาเพื่อให้ได้ตวั แปรตาม มี 3 กลุ่ม ได้แก่
7.1.1 ลักษณะประชากร
7.1.2 ตัวแปรรู ปธรรม-คน งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ วิธีการ (4M)
7.1.3 ตัวแปรนามธรรม-อุดมการณ์ ทัศนคติ ค่านิยมคุณธรรม คุณภาพ
แผนผังแสดงกรอบแนวคิดการวิจยั
30
หลักการ/ทฤษฎี (จากบทที่ ๒)
) เกี่ยวกับการกาหนดตัวแปรต้น/ตัวแปรกลาง การพัฒนาและประเมินตัวปรกตาม(
ลักษณะประชากร
ขั้นตอน/กระบวนการพัฒนาให้ได้ตวั แปรตาม
ตัวแปรที่ ๑ 1.0
2.0
ตัวแปรที่ ๒
3.0 ต้นแบบชิ้นงาย
นวัตกรรม
ตัวแปรที่ ๓
4.0
ตัวแปรที่ ๔
5.0
ตัวแปรที่ N
6.0
บริ บท
ทาการวิจยั กับใคร ใช้เครื่ องอะไร ที่ไหน เมื่อไร
31
บทที่ 2
ทบทวนวรรณกรรม
การทบทวนวรรณกรรมให้นาเสนอตามคาหลักที่ปรากฏในหัวข้อวิจยั และตัวแปรต้นหรื อ
ตัวแปรอิสระเป็ นหัวข้อทบทวน โดยดาเนิ นการดังนี้
1) ให้นาเสนอผลการทบทวนวรรณกรรมโดยสรุ ปมาจากผลการวิจยั เอกสาร (Documentary
Research)
2) เรี ยงตามคาหลักในหัวข้อวิทยานิพนธ์/งานวิจยั
3) เขียนแบบสรุ ป ห้ามลอกจากแหล่งอื่น
4) สาหรับแต่ละคาหลักให้ถือเป็ นบทย่อย เขียนกลาหน้ากระดาษ จาแนกหัวข้อย่อยชิดซ้าย
5) หัวข้อย่อยประกอบของคาหลัก ควรประกอบด้วย
(1) สารสรุ ป (ความหมาย ความเป็ นมา ความสาคัญ)
(2) รู ปแบบ/ประเภท
(3) ขั้นตอน/วิธีการ
(4) จุดดี จุดด้อย
(5) ผลกระทบต่อการศึกษาและการเรี ยนการสอน หรื อ
(6) ปัญหาและอุปสรรคการดาเนินการ
บทที่ ๓
วิธีดาเนินการวิจัย
1. วัตถุประสงค์ การวิจัย
2.1 วัตถุประสงค์ทวั่ ไป (ให้นาหัวข้อวิจยั มาตัดคาว่า “การ” และเติมคาว่า “เพื่อ”)
2.2 วัตถุประสงค์เฉพาะ ในกรณี เป็ นการวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนาอาตั้งวัตถุประสงค์ได้สอง
แนวทางคือ
2.2.1 อิงผลการวิจยั ที่ตอ้ งการศึกษา อาทิ
32
3. คาถามวิจยั
ให้ต้ งั คาถามตามวัตถุประสงค์เฉพาะเพื่อให้ได้คาตอบตามวัตถุประสงค์เฉพาะและนามา
สรุ ปเป็ นคาตอบวัตถุประสงค์ทวั่ ไป
การตั้งคาถามวิจยั ควรหลีกเลี่ยงการตั้งคาถามระดับต่า (ใคร อะไร ที่ไหน เมื่อไร) แต่เป็ น
คาถามระดับสู ง (ทาไม อย่างไร เพราะเหตุใด)
การตั้งคาถามวิจยั กระทาได้สองแนวทางคือ
3.1 อิงผลกำรวิจัยทีต่ ้ องกำรศึกษำ อำทิ
1) นักเรี ยนมีความก้าวหน้าทางการเรี ยน (ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยน) จากการเรี ยนจาก
นวัตกรรมที่พฒั นาขึ้นหรื อไม่ เพียงใด
2) ชุดการสอนที่พฒั นาขึ้นมีประสิ ทธิ ภาพฯ ตามเกณฑ์ที่กาหนด (ให้ระบุเกณฑ์
ประสิ ทธิ ภาพ) หรื อไม่
3) นักเรี ยนที่เรี ยนจากชุดการสอนมีความพึงพอใจในระดับใด
33
4. สมมติฐานการวิจัย
สมมติฐานการวิจยั (Hypotheses) เป็ นผลการวิจยั ที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า โดยเขียนเป็ น
ข้อความแสดงคาตอบ ที่จะต้องนาไปทดสอบสมมติฐานเพื่อให้ทราบว่า จะรับสมมติฐาน
(Accept Hypothesis) หรื อไม่รับสมมติฐาน (Fail to accept Hypothesis)
สมมติฐานจาแนกเป็ นสมมติฐานการวิจยั เชิงพรรณนาและสมมติฐานการวิชยั คุณภาพ
สมมติฐานการวิจยั เชิงพรรณนา มักทดสอบสมมติฐานโดยใช้เครื่ องมือทางสถิติ ด้วยการหา
ค่าความมีนยั สาคัญ หรื อ การหาระดับการยอมรับหรื อความพึงพอใจตามสู ตรทางสถิติที่ผา่ น
การพิสูจน์และยอมรับมาแล้ว
ส่ วนสมมติฐานการวิชยั คุณภาพ ไม่จะเป็ นต้องทดสอบค่าทางสถิติเป็ นปริ มาณ แต่ทดสอบ
ด้วยหลักฐานและความเห็นเชิงคุณภาพตามสภาพที่เป็ นจริ ง
ในการวิจยั เพื่อพัฒนานวัตกรรม สมมติฐานที่ต้ งั ไว้ควรเป็ นคาตอบว่า นวัตกรรมทาให้
พฤติกรรมของผูใ้ ช้เปลี่ยนไปในระดับสู งขึ้น นวัตกรรมมีประสิ ทธิ ภาพตามเกณฑ์ที่กาหนด
และผูใ้ ช้นวัตกรรมมีความพึงพอในระดับที่กาหนด
34
ตัวอย่ำง (กำรพัฒนำชุดกำรสอน)
1) นักเรี ยนที่เรี ยนจากชุดการสอน (ระบุประเภทชุดการสอน) กลุ่มสาระการเรี ยน (ระบุ
ชื่อกลุ่มสาระ) เรื่ อง (ระบุเรื่ อง) มีความรู ้เพิ่มขึ้นอย่างมีนยั สาคัญที่ระดับ .05 (หรื อ .01)
2) ชุดการสอน (ระบุประเภทชุดการสอน) กลุ่มสาระการเรี ยน (ระบุชื่อกลุ่มสาระ) เรื่ อง
(ระบุเรื่ อง) มีประสิ ทธิภาพตามเกณฑ์ 90/90 (หรื อ 85/95 80/80 สาหรับวิทยพิสัยหรื อ
พุทธิพิสัย 80/80 75/75 สาหรับจิตพิสัยหรื อทักษพิสัย)
3) นักเรี ยนที่เรี ยนจากชุดการสอน (ระบุประเภทชุดการสอน) กลุ่มสาระการเรี ยน (ระบุ
ชื่อกลุ่มสาระ) เรื่ อง (ระบุเรื่ อง) มีความพึงพอใจในระดับมาก (ระบุระดับ เป็ น 3.50.
3.25 หรื อ 3.00)
5. ขอบเขตการวิจัย
5.1 รูปแบบกำรวิจัย การวิจยั เชิงวิจยั และพัฒนา
5.2 ประชำกรและกลุ่มตัวอย่ ำง
ประชากรได้แก่ (ระบุประชากรตามประเภท) จานวน (ระบุจานวน)
กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ (ระบุประชากรตามประเภท) จานวน (ระบุจานวน) ใช้วธิ ีการ
สุ่ มตัวอย่างแบบใด โดยใช้สูตรหรื อการคานวณ (หากมี)
(3) ความชัดเจนใจของแผนการสอนประจาหน่วย/แผนการสอนประจาหน่วย
ประสบการณ์
(4) ความชัดเจนของแผนการเรี ยนการสอน/แผนเผชิญประสบการณ์
(5) ความเหมาะสมของศูนย์กิจกรรม/ประสบการณ์หลักและประสบการณ์รอง
(6) ความถูกต้องและความเหมาะสมของเนื้ อหา/ประมวลสาระ
(7) คุณภาพสื่ อเสริ ม (ระบุสื่อเสริ ม เช่น วีดิทศั น์ สไลด์พาเวอร์พอยท์ ฯลฯ)
(8) ความเหมาะสมของการรายงานความก้าวหน้าและการรายงานผลสุ ดท้ายการ
เผชิญประสบการณ์
(9) ความเหมาะสมของการสรุ ปการเผชิญประสบการณ์ของครุ
(10)ความเหมาะสมของการทดสอบหลังเรี ยน/การเผชิญประสบการณ์
(โปรดดูตวั อย่างแบบประเมินความถึงพอใจในภาคผนวก)
7. การทดสอบสมมติฐาน
ให้อธิ บายการดาเนิ นการทดสอบสมมติฐาน ตามสมมติฐานทุกข้อที่ต้ งั ไว้ในบทที่ ๑
ในกรณี การทดสอบสมมติฐานนวัตกรรมประเภทชุดการสอน ให้ดาเนินการตามลาดับ ดัง
นี้
1) วิธีการทดสอบความก้าวหน้าทางการเรี ยน ให้นาผลการประเมินก่อนเรี ยน
และหลังเรี ยนเพื่อทดสอบว่า ผูเ้ รี ยนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนเพิ่มขึ้นอย่างมี
นัยสาคัญหรื อไม่ที่ระดับใด โดยแสดงตารางผลการวิเคราะห์
(ให้แสดงสู ตรที่ใช้ในการทดสอบความมีนยั สาคัญ พร้อมอ้างอิงแหล่งที่มา)
8. ตัวแปรและบริบทการวิจัย
8.1 ตัวแปรต้ นหรือตัวแปรอิสระ (independent Variables-IV) หมายถึงปัจจัยนาเข้า (Input)
ที่มีส่วนทาให้เกิดการแปรผันของตัวแปรตาม และเป็ นปั จจัยที่ไม่สาเร็ จสมบูรณ์ในตัวเองแต่
ต้องผ่านการะบวนการวิเคราะห์หรื อพัฒนาเพื่อให้ได้ตวั แปรตาม มี 3 กลุ่ม ได้แก่
8.1.1 ลักษณะประชากร
8.1.2 ตัวแปรรู ปธรรม-คน งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ วิธีการ (4M)
8.1.3 ตัวแปรนามธรรม-อุดมการณ์ ทัศนคติ ค่านิยมคุณธรรม คุณภาพ
บทที่ ๔
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูล
ตอนที่ ๒
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูลการประเมินความต้ องการนวัตกรรม
1) ให้วเิ คราะห์ผลตามประเด็นคาถามในแบบสอบถาม
2) เสนอผลการวิเคราะห์ตามประเด็น แล้วมีขอ้ ความระบุวา่ “โปรดดู
ตารางที่ ในภาคผนวกที่....)
3) การเสนอผลการวิเคราะห์ให้เสนอผลการวิเคราะห์และแยกตารางตาม
ประเด็น
4) ให้สรุ ปผลการประเมินความต้องการเป็ นภาพรวมและทาตารางเสนอ
เป็ นตารางที่สอง ในบทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ขอ้ มูล)
ตอนที่ ๓
ผลการวิเคราะห์ ข้อมูลทดสอบประสิ ทธิภาพ
ให้เสนอผลการวิเคราะห์ขอ้ มูลการทดสอบประสิ ทธิ ภาพตามลาดับคือ แบบเดี่ยว แบบกลุ่ม
และแบบสนาม ตามรู ปแบบดังนี้
1) ผลกำรทดสอบประสิทธิภำพแบบเดี่ยว
(11)ให้ผวู้ จิ ยั สร้างแบบประเมิน เพื่อใช้ในระหว่างสังเกตการเรี ยนแบบเดี่ยวของ
นักเรี ยน เมื่อทดลองสอน แล้ว ให้ทาการวิเคราะห์ขอ้ ค้นพบจากการทดสอบ
ประสิ ทธิภาพแบบเดี่ยวจากแบบประเมิน โดยจาแนกเป็ น 3 หัวข้อคือ
ก. เวลาที่ใช้ในการเรี ยนหรื อเผชิ ญประสบการณ์ตามขั้นตอน
ให้ระบุวา่ ในแต่ละขั้นบทที่กาหนดไว้ในแผนการสอนหรื อ
แผนกากับประสบการณ์ (ในกรณี เป็ นชุ ดการสอนแบบอิง
ประสบการณ์) นักเรี ยนใช้เวลากี่นาที
ข. สรุ ปผลการประเมินในภาพรวมว่า อยูใ่ นระดับดีเด่น ดีมาก ดี
พอใช้ หรื อต้องปรับปรุ ง
ค. ให้ระบุขอ้ ดีของ ทดสอบประสิ ทธิภาพ แบบเดี่ยว
ง. ให้ให้ระบุจุดแข็งและจุดอ่อนของการทดสอบประสิ ทธิ ภาพ
แบบเดี่ยวจาแนกจุดอ่อน ตามประเด็นต่อไปนี้
ก) ประเมินจุดเข็ง/จุดอ่อนตามขั้นตอนการเรี ยน
45
3) กำรเสนอผลกำรวิเครำะห์
ให้ระบุเกณฑ์ประสิ ทธิภาพกระบวนการ (E1) และประสิ ทธิภาพผลลัพธ์ (E2) ไว้ครั้ง
เดียว คือ 90/90; 85/85; 80/80; 75/75 มิใช้ต้ งั เกณฑ์แยกแบบเดี่ยว แบบกลุ่ม และแบบสนาม
แล้วเสนอผลการวิเคราะห์แยกเป็ นแบบเดี่ยว แบบกลุ่ม และแบบสนาม และนาเสนอเป็ น
ตารางดังนี้
(1) ผลการทดสอบก่อนเรี ยนและหลังเรี ยน
(2) ผลการ ทดสอบประสิ ทธิ ภาพ เพื่อพิจารณาว่า เป็ นไปตามเกณฑ์ ที่กาหนดหรื อไม่
ตอนที่ ๔
ผลการวิเคราะห์ ความพึงพอใจ
(2) ความชัดเจนในการปฐมนิเทศของครู
(3) ความชัดเจนใจของแผนการสอนประจาหน่วย/แผนการสอนประจาหน่วย
ประสบการณ์
(4) ความชัดเจนของแผนการเรี ยนการสอน/แผนเผชิญประสบการณ์
(5) ความเหมาะสมของศูนย์กิจกรรม/ประสบการณ์หลักและประสบการณ์รอง
(6) ความถูกต้องและความเหมาะสมของเนื้ อหา/ประมวลสาระ
(7) คุณภาพสื่ อเสริ ม (ระบุสื่อเสริ ม เช่น วีดิทศั น์ สไลด์พาเวอร์พอยท์ ฯลฯ)
(8) ความเหมาะสมของการรายงานความก้าวหน้าและการรายงานผลสุ ดท้ายการ
เผชิญประสบการณ์
(9) ความเหมาะสมของการสรุ ปการเผชิญประสบการณ์ของครุ
(10)ความเหมาะสมของการทดสอบหลังเรี ยน/การเผชิญประสบการณ์
ตอนที่ ๕
ผลการทดสอบสมมติฐาน
ให้แสดงผลการทดสอบสมมติฐานทุกข้อที่ต้ งั ไว้ในบทที่ ๑
ในกรณี การทดสอบสมมติฐานนวัตกรรมประเภทชุดการสอน ให้ดาเนินการตามลาดับ ดัง
นี้
1) ผลการทดสอบความก้าวหน้าทางการเรี ยน ให้นาผลการประเมินก่อนเรี ยนและหลัง
เรี ยนเพื่อทดสอบว่า ผูเ้ รี ยนมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรี ยนเพิ่มขึ้นอย่างมีนยั สาคัญหรื อไม่ที่
ระดับใด โดยแสดงตารางผลการวิเคราะห์
(ให้แสดงตารางสรุ ปผลการทดสอบสมมติฐานตรงนี้)
2) ผลการทดสอบประสิ ทธิ ภาพกระบวนการต่อประสิ ทธิ ภาพผลลัพธ์ (E1/E2) ให้ระบุ
เกณฑ์ประสิ ทธิ ภาพและระดับความเชื่อมัน่
(ให้แสดงตารางสรุ ปผลการทดสอบสมมติฐานตรงนี้)
3) ผลการประเมินความพึงพอใจ จากแบบสอบถามความพึงพอใจของผูใ้ ช้ชุดการสอน
เช่น ครู และนักเรี ยน
49
(ให้แสดงตารางสรุ ปผลการทดสอบสมมติฐานตรงนี้)
บทที่ ๕
ผลการวิจยั -รายละเอียดต้ นแบบชิ้นงาน
บทที่ ๖
สรุปการวิจัย ผลการวิจัย อภิปรายผล และข้ อเสนอแนะ
ให้เสนอสาระของบทที่ ๖ ตามลาดับดังนี้
สรุ ปการวิจัย
1. วัตถุประสงค์การวิจยั
1.1 วัตถุประสงค์ทวั่ ไป
1.2 วัตถุประสงค์เฉพาะ
2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2.1 ประชากร
50
2.2 กลุ่มตัวอย่าง
5. สมมติฐานการวิจยั
(ให้ระบุสมมติฐานเป็ นข้อๆ )
cbrahmawong@hotmail.com;
chaiyongusc@gmail.com
www.skype.com
dr.chaiyong.brahmawong