Professional Documents
Culture Documents
Hip frac มช
Hip frac มช
Hip frac มช
1. กระดูกสะโพกหักในผูส้ ู งอายุ
1.1 ความหมายของกระดูกสะโพกหัก
1.2 ชนิดของการหัก
1.3 สาเหตุของกระดูกสะโพกหัก
1.4 ผลกระทบจากกระดูกสะโพกหัก
1.5 การรักษาผูส้ ู งอายุที่มีกระดูกสะโพกหัก
2. อาการปวดในผูส้ ู งอายุหลังผ่าตัดกระดูกสะโพก
2.1 ความหมายของอาการปวด
2.2 ชนิดของอาการปวด
2.3 อาการปวดหลังผ่าตัด
2.4 กลไกการเกิดอาการปวดในผูส้ ู งอายุหลังผ่าตัดกระดูกสะโพก
2.5 ผลกระทบของอาการปวด
2.6 ปั จจัยที่มีผลต่อระดับของอาการปวด
2.7 การประเมินอาการปวดในผูส้ ู งอายุหลังผ่าตัดกระดูกสะโพก
2.8 การจัดการอาการปวดในผูส้ ู งอายุหลังผ่าตัดกระดูกสะโพก
3. สาระของแนวปฏิ บ ตั ิ ทางคลิ นิก ส าหรั บการจัดการอาการปวดในผูส้ ู ง อายุหลัง ผ่า ตัด
กระดูกสะโพก
4. การนาแนวปฏิบตั ิทางคลินิกไปใช้และการประเมินผล
12
กระดูกสะโพกหักในผู้สูงอายุ
ความหมายของกระดูกสะโพกหัก
ดังนั้นกระดู กสะโพกหัก จึ งหมายถึ ง การหักของกระดู กขาส่ วนต้นที่ เกิ ดขึ้ น ทั้ง ภายในและ
ภายนอกแคปซูลที่อยูร่ ะหว่างหัวกระดูกจนมาถึงบริ เวณใต้โทรแคนเทอริ ก
ชนิดของการหัก
13
femoral และ lateral circumflex femoral มารวมกันเป็ นวงที่บริ เวณฐานของคอกระดูกฟี เมอร์ และจะ
ให้แขนงเล็กๆ เรี ยกหลอดเลือด ascending cervical ขึ้นไปตามคอกระดูกและรวมกันเป็ น subsynovial
intracapsular arterial ring ที่ บริ เวณใต้ต่อผิวกระดู กอ่อน ซึ่ งวงนี้ จะให้แขนงหลอดเลื อด lateral
epiphyseal เข้าไปเลี้ยงส่ วนหัวกระดูกถือเป็ นส่ วนที่สาคัญในการทาให้หวั กระดูกฟี เมอร์ มีชีวิตอยูไ่ ด้
เพราะฉะนั้นเมื่อมีคอกระดูกฟี เมอร์ หกั เกิดขึ้น interosseous cervical vessels จะไม่สามารถนาเลือดไป
เลี้ ยงส่ วนหัวของกระดู กได้เหลื อแต่เพียงส่ วนหลอดเลื อดของ ligamentum teres และ retinacular
vessels เท่านั้น ถ้ากระดูกมีการเคลื่อนไปจากเดิมมากเท่าไรโอกาสที่ retinacular vessels จะถูกกดและ
ไม่สามารถนาเลื อดไปเลี้ยงส่ วนหัวก็จะมากขึ้นมีโอกาสเกิ ดการตายของหัวกระดูกฟี เมอร์ ได้มากขึ้น
นอกจากนี้ในแง่ของการรักษาถ้าสามารถนากระดูกกลับเข้าที่ได้เร็ วที่สุดเท่าไรก็สามารถลดโอกาสเกิด
การตายของหัวกระดูกได้มากขึ้นเท่านั้น (ธันย์ สุ ภทั รพันธุ์, 2538; Egol, Koval, & Zuckerman, 2010)
14
การจาแนกชนิ ดการหักของกระดูกส่ วนนี้ มีหลายแบบแต่ที่ง่ายและช่ วยในการรักษา คือ
การแบ่งตามแบบของอีแวนส์ (Evans) ซึ่ งแบ่งเป็ นการแตกชนิ ดมัน่ คงและไม่มนั่ คงและส่ วนของ
lesser trochanter มีการแตกหลุดออกไปด้วยหรื อไม่ ส่ วนการจาแนกที่ใช้มากที่สุดเป็ นการจาแนกของ
Jensen และ Michaelsen ซึ่ งได้ปรับปรุ งจากการจาแนกของอีแวนส์ โดยขึ้นอยูก่ บั ความมัน่ คงก่อนและ
หลังการจัดตรึ ง ที่สามารถเปลี่ยนจากชนิ ดไม่มนั่ คงเป็ นชนิ ดที่มนั่ คงหลังการจัดตรึ งได้ (Egol, et al,
2010)
3. การหักของกระดูกบริ เวณใต้โทรแคนเทอริ ก (subtrochanteric fracture) เป็ นการหักของ
กระดูกในตาแหน่งระหว่าง lesser trochanter และส่ วนที่ต่าลงไป 5 เซนติเมตร อุบตั ิการณ์พบประมาณ
10% ถึง 30% ของผูท้ ี่มีกระดูกสะโพกหักและพบได้ในทุกกลุ่มอายุ (Egol, et al., 2010) สาเหตุส่วน
ใหญ่เกิดจากแรงกระแทกโดยตรงที่จุดนั้น ซึ่ งอาจพบทั้งในคนอายูมากจากภาวะกระดูกพรุ นหรื อใน
คนอายุนอ้ ยซึ่ งมักจะให้ประวัติวา่ เกิดจากแรงกระแทกที่มีความรุ นแรงมาก (ธันย์ สุ ภทั รพันธ์, 2538)
การจาแนกกระดูกชนิดนี้มีได้หลายวิธี ได้แก่
สถิ ติ ข องโรงพยาบาลมหาราชนครเชี ย งใหม่ ในปี พ.ศ. 2556 พบผูส้ ู งอายุ ที่ มี ก ระดู ก
สะโพกหักจานวน 148 คน ในจานวนนี้ เป็ นผูส้ ู งอายุที่มีการหักที่บริ เวณคอของกระดูกต้นขาจานวน
65 คน กระดู ก หัก บริ เ วณอิ น เตอร์ โ ทรแคนเทอริ ก จ านวน 82 คน และกระดู ก หั ก ในต าแหน่ ง
ใต้โทรแคนเทอริ ก (subtrochanteric fracture) จานวน 1 คน (เวชระเบียนสถิติโรงพยาบาลมหาราช
นครเชียงใหม่, 2556)
15
สาเหตุของกระดูกสะโพกหัก
16
1. อายุ อัตราการเกิ ดกระดู ก สะโพกหัก เพิ่ม ขึ้ นตามอายุที่ เพิ่ มขึ้ น เนื่ องจากความ
หนาแน่นของกระดูกและมวลของกล้ามเนื้ อลดลง อายุที่เพิ่มขึ้นทาให้มีปัญหาด้านการมองเห็นปั ญหา
ด้านการทรงตัว การตอบสนองช้าต่อการหกล้ม กล้ามเนื้ ออ่อนแรงเนื่ องจากไม่ได้ใช้งาน จากปั จจัย
ทั้งหมดนี้ยงิ่ เพิ่มความเสี่ ยงต่อการเกิดกระดูกสะโพกหัก
2. เพศ เพศหญิ งสู ญเสี ยความหนาแน่ นของกระดู ก เร็ วกว่า เพศชายเนื่ องจากการ
ลดลงของระดับฮอร์ โมนเอสโตรเจนในผูห้ ญิงวัยหมดประจาเดือนซึ่ งเป็ นตัวเร่ งการสู ญเสี ยมวลของ
กระดูก เพิม่ ความเสี่ ยงต่อการเกิดกระดูกสะโพกหัก
3. การเจ็บป่ วยเรื้ อรัง ภาวะโรคกระดูกพรุ นเป็ นปั จจัยเสี่ ยงสาคัญที่ทาให้เกิดกระดูก
สะโพกหักหรื อโรคทางอายุรกรรมอื่นๆที่ทาให้กระดูกบางลง ได้แก่ ความผิดปกติของระบบต่อมไร้
ท่อ เช่น โรคไทรอยด์ ความผิดปกติของระบบลาไส้ที่ทาให้การดูดซึมวิตามินดีและแคลเซียมลดลง
4. ยาที่ผสู ้ ู งอายุได้รับ กลุ่มยาสเตียรอยด์ ได้แก่ เพรดนิ โซโลน ถ้าได้รับเป็ นระยะ
เวลานานจะทาให้กระดูกบางหรื อบางรายที่ได้รับยาหลายชนิ ดทาให้เกิดอาการวิงเวียนเพิ่มความเสี่ ยง
ต่อการหกล้ม
5. ปัญหาด้านโภชนาการ การขาดแคลเซี ยมและวิตามินดีต้ งั แต่วยั หนุ่มสาว มีผลต่อ
ระดับของมวลกระดูกและเพิ่มปั จจัยเสี่ ยงต่อการเกิ ดกระดูกหักเมื่ออายุมากขึ้น ความผิดปกติในการ
รับประทานอาหาร
6. การไม่ อ อกก าลัง กาย ไม่ มี ก ารออกก าลัง กายโดยลงน้ า หนัก จะท าให้ ค วาม
หนาแน่นของกระดูกลดลง กระดูกไม่แข็งแรง ส่ วนการออกกาลังกายโดยลงน้ าหนัก เช่น การเดินช่วย
สร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ ลดการหกล้มและการเกิดกระดูกหัก
7. การสู บบุหรี่ และดื่ มแอลกอฮอล์ ทั้งบุหรี่ และแอลกอฮอล์ มีผลต่อกระบวนการ
สร้างปรับแต่งกระดูก ทาให้มีการสู ญเสี ยมวลกระดูก (Mayo Clinic staff, 2012)
17
ผลกระทบจากกระดูกสะโพกหัก
18
ภาวะแทรกซ้อนต่อระบบต่างๆของร่ างกายจะทาให้คุณภาพชี วิตของผูป้ ่ วยลดลง เสี ยค่าใช้จ่ายในการ
ดูแลรักษาเพิม่ มากขึ้น(มูลนิธิโรคกระดูกพรุ นแห่งประเทศไทย, 2553)
การรักษาผู้สูงอายุทมี่ ีกระดูกสะโพกหัก
19
ทาด้วยความระมัดระวังขณะฝึ กการเดิน การเสริ มสร้างความแข็งแรง การงอ เหยียดและการทากิจวัตร
ประจาวันเพื่อป้ องกันการเคลื่อนหลุดของข้อสะโพก (Lareau, & Sawyer, 2010)
2.1.3 การเปลี่ ยนข้อสะโพกเที ยม ส่ วนใหญ่ทาในรายที่ มีขอ้ สะโพกเสื่ อมร่ วม
ด้วยและเป็ นการผ่าตัดที่ไม่ฉุกเฉิ น ลักษณะการผ่าตัดและข้อควรระวังเหมือนกับการผ่าตัดเปลี่ ยนหัว
กระดูกเทียม ปั จจุบนั พบว่าอัตราการเคลื่อนหลุดของข้อสะโพกในทั้งสองวิธีน้ ี ไม่แตกต่างกัน (Lareau,
& Sawyer, 2010)
2.2 กระดูกหักที่บริ เวณภายนอกแคปซูล บริ เวณโทรแคนเตอร์ (trochanter) การผ่าตัด
ถือเป็ นวิธีที่ดีที่สุดและเป็ นที่ยอมรับกันทัว่ ไป (Mak, Cameron, & March, 2010) เป้ าหมายสาคัญได้แก่
การจัดชิ้นหักให้เข้าที่อย่างมัน่ คงแล้วทาการยึดตรึ งไว้ดว้ ยวัสดุที่เหมาะสม (บรรจง มไหสวริ ยะ, วิรุฬห์
เหล่าภัทรเกษม, และประจวบ บิณฑจิตต์, 2539) (Lareau, & Sawyer, 2010) การจัดชิ้นกระดูกที่หกั ให้
เข้าที่กระทาได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ 1) การจัดให้ได้กายวิภาคเดิม (anatomical reduction) ใช้ในกรณี ที่
รอยหักมีลกั ษณะมัน่ คง (stable fracture) ชิ้นหักย่อยมีลกั ษณะใหญ่สามารถจัดให้เข้าที่เดิมได้ง่าย 2)
การจัดให้รอยหักมีความมัน่ คงโดยที่ลกั ษณะจะต่างไปจากกายวิภาคเดิม มักใช้ในกรณี ที่รอยหักเดิมไม่
มัน่ คง (unstable fracture) หรื อมีชิ้นหักย่อยที่ไม่สามารถจัดเข้าที่เดิมได้ ซึ่งสามารถเลือกใช้วสั ดุในการ
ยึดตรึ งได้ ดังนี้
2.2.1 แท่งเหล็กชนิ ดมีสกรู ร่วมด้วย (cephalomedullary nail) ได้แก่ แกมม่าเนล
(Gamma nail), PFNA (Proximal femoral nail antirotation) เป็ นเครื่ องมือที่มีโครงร่ างแข็งแรงและ
สามารถใส่ ได้โดยไม่ตอ้ งเปิ ดแผลผ่าตัดตรงรอยหัก (closed nailing technique) มีส่วนของสกรู ในการ
ยึดตรึ งชิ้ นหักส่ วนต้นที่ทาให้เกิ ดการแนบชิ ดของบริ เวณรอยหักเมื่อมีการลงน้ าหนักช่ วยให้ชิ้นหักมี
ความมัน่ คงได้โดยไม่ตอ้ งตัดแต่งรอยหัก ชิ้นหักส่ วนปลายจะถูกยึดตรึ งโดยแกนโลหะพร้อมสกรู ขดั
แบบล็อค (locking nail) ให้ความแข็งแรงกระชับแน่นภายในโพรงกระดูก
2.2.2 แผ่นเหล็กชนิ ดมี สกรู ร่วมด้วย (tube-plate-screw) ได้แก่ Dynamic Hip
Screw (DHS) อาศัยการยึดตรึ งชิ้นหักส่ วนต้นด้วยสกรู อดั (compression screw) แท่งของสกรู สอดอยู่
ในท่อโลหะที่มีขนาดเหมาะสมให้เลื่อนตามแนวท่อได้โดยไม่เกิดการบิดหมุน ท่อดังกล่าวต่อเนื่ องกับ
แผ่นโลหะดามที่จะตรึ งอยูบ่ นลากระดูกต้นขาซึ่ งเป็ นชิ้นหักส่ วนปลาย ภายหลังการยึดตรึ งรอยหักจะ
อัดเข้าหากันด้วยสกรู อดั ภายในท่อ ร่ วมกับน้ าหนักตัวที่ทอดผ่านข้อสะโพกเป็ นผลให้เกิดความมัน่ คง
ตรงรอยหักยิง่ ขึ้น
2.3 กระดูกหักที่บริ เวณใต้โทรแคนเทอริ ก การผ่าตัดเป็ นวิธีที่เหมาะสม การเลื อกใช้
วัสดุยดึ ตรึ ง มีดงั นี้
20
2.3.1 แท่งเหล็กร่ วมกับแผ่นเหล็ก (nail-plate) ได้แก่ Jewett nail โดยนาสองส่ วน
เชื่ อมเข้าเป็ นชิ้นเดี ยวกัน ส่ วนของแท่งเหล็ก (nail) ใช้สอดเข้าที่บริ เวณคอและหัวกระดูกต้นขา ส่ วน
ของแผ่นเหล็ก (plate) ใช้ยดึ ติดบริ เวณลากระดูกด้วยสกรู
2.3.2 Angled blade plate
2.3.3 Dynamic Hip Screw Cephalomedullary nail ได้แก่ Gamma nail เป็ น IM
(intramedullary) nail ที่มีการล็อค (interlocking) ยึดเข้าไปที่บริ เวณหัวและคอกระดูกสะโพก หรื ออาจ
ใช้ PFNA ซึ่ งพบว่าดีกว่า sliding hip screwเพราะว่าระยะเวลาในการผ่าตัดสั้น เกิดภาวะแทรกซ้อน
ทางออร์ โธปิ ดิกส์นอ้ ยกว่า (Mak, Cameron, & March, 2010)
อาการปวดในผู้สูงอายุหลังผ่ าตัดกระดูกสะโพก
อาการปวดหลังผ่า ตัดเป็ นความรู ้ สึก ที่ ทุก ทรมานมี ผ ลกระทบต่อสุ ขภาพจิ ต พฤติ กรรมการ
แสดงออกและประสบการณ์ ของผูส้ ู งอายุ ความรุ นแรงของอาการปวดขึ้นกับตาแหน่ งและชนิ ดของ
การผ่าตัด สภาพร่ างกาย จิตใจ บุคลิ กภาพ ประสบการณ์ สัมพันธภาพระหว่างบุคคลที่เกี่ ยวข้องกับ
ผูส้ ู ง อายุ ตลอดจนการดู แ ลก่ อนและหลัง การผ่า ตัด อาการปวดที่ รุน แรงนอกจากจะท าให้ มี ก าร
ตอบสนองของระบบต่างๆ ของร่ างกายแล้ว ยังพบการเปลี่ ยนแปลงที่ระบบประสาทส่ วนกลางและ
ส่ วนปลาย มีผลทาให้การนาสัญญาณอาการปวดเปลี่ยนแปลงไป (จิรวรรณ บุญบรรจง, 2541)
21
ความหมายของอาการปวด
ชนิดของอาการปวด
22
2. ความปวดชนิดเรื้ อรัง (chronic pain) เป็ นความปวดที่เป็ นมานานกว่า 6 เดือนทั้งๆ ที่ได้มี
ความพยายามรั กษาทุ กวิธีแล้ว ซึ่ งความปวดนี้ ยาวนานกว่าระยะเวลาการสมานของเนื้ อเยื่อที่ ได้รับ
บาดเจ็บ บ่อยครั้งที่ไม่สามารถบ่งชี้ ถึงสาเหตุของความปวดได้ และในที่สุดแล้วความปวดชนิ ดนี้ ก็จะ
ทาให้ผปู ้ ่ วยเกิดภาวะซึ มเศร้า (depression) เพราะได้รับความทุกข์ทรมานมากเนื่ องจากเกิดความหมด
หวังในชีวติ ซึ่ งแม้แต่ยาโอปิ ออยด์ก็ไม่อาจรักษาให้หายปวดได้
อาการปวดหลังผ่าตัด
23
ชัชชัย ปรี ชาไว (2549) ให้ความหมายของอาการปวดหลังผ่าตัดว่า เป็ นความปวดที่เกิ ดขึ้นใน
ผูป้ ่ วยศัลยกรรมโดยมีสาเหตุจากโรคของผูป้ ่ วยก่อนการผ่าตัด แผลผ่าตัด ตลอดจนสายและท่อต่างๆ
หรื อเกิดจากโรคหรื อการทาหัตถการนั้นๆ
กลไกการเกิดอาการปวดในผู้สูงอายุหลังผ่ าตัดกระดูกสะโพก
24
กลไกการเกิดอาการปวด
เมื่ อมี ก ารท าลายเนื้ อเยื่ อหรื อการผ่า ตัด จะท าให้ มี ก ารสร้ า งสารเคมี ห ลายชนิ ด ที่ อ อกฤทธิ์
โดยตรงผ่านตัวรับที่เชื่ อมต่อกับระบบรับข้อมูลส่ วนที่สอง (second messenger system) เพื่อกระตุน้
และ/หรื อเพิ่ม ความไวที่ ตวั รั บ อาการปวด(nociceptor) ซึ่ ง เป็ นอวัย วะรั บความรู ้ สึ ก ส่ วนปลายที่ ถู ก
กระตุน้ ด้วยตัวกระตุน้ อาการปวด (noxious stimulus)ในบริ เวณส่ วนปลายนี้ (peripheral terminal) จะมี
การปล่อยสารบางอย่างออกมา ได้แก่ substance P (SP) และ calcitonin gene–related peptide (CGRP)
ทาให้เกิดการรวมกันของสารดังกล่าวและเซลล์ของขบวนการอักเสบในบริ เวณที่มีการอักเสบนั้น เกิด
อาการบวม ในกรณี ที่มีการกระตุน้ อย่างต่อเนื่ องจะมีผลให้ความไวของตัวรับอาการปวดเพิ่มขึ้น เรี ยก
การเพิ่มความไวของการตอบสนองในบริ เวณที่เนื้ อเยื่อบาดเจ็บผ่านทางกลไกส่ วนปลายว่า peripheral
sensitization ท าให้เกิ ด primary hyperalgesia นอกจากนั้นหลังการบาดเจ็บของเนื้ อเยื่อจะมี การ
เปลี่ยนแปลงทางจลนศาสตร์ (kinetic) ของ sodium channel ทาให้มีความไวเพิ่มขึ้น (hyperexcitability)
และมีการเปลี่ยนแปลงจานวนของ sodium channel และพบ voltage–gated sodium channel และrapidly
inactivating fast sodium current ได้ที่เซลล์ประสาทของระบบควบคุ มการทางานของกล้ามเนื้ อ
(motor neuron)และเซลล์ประสาทของระบบ sympathetic โดยที่ cell body ของตัวรับอาการปวด
(nociceptive afferent) กระจายทัว่ ไปทั้งร่ างกาย (ผิวหนัง กล้ามเนื้ อ ข้อ อวัยวะภายใน เยื่อหุ ้มสมอง)
จากตาแหน่งลาตัว รยางค์ และอวัยวะภายในจะอยูท่ ี่ dorsal root ganglion (DRG) nociceptive afferent
ประกอบด้วยเส้นใยประสาท 2 ชนิด คือ A–delta fiber ซึ่ งเป็ นเส้นใยประสาทขนาดปานกลางที่มีเยื่อ
ไมอีลินหุ ้มบางๆ และ C fiber ซึ่ งเป็ นเส้นใยประสาทขนาดเล็กที่ไม่มีเยื่อไมอีลินหุ ้มจึงส่ งสัญญาณได้
25
อย่างช้าๆ มีการถ่ายทอดสัญญาณความปวดไปยังบริ เวณที่เฉพาะ (nociceptive–specific area) ใน lamina
I และ II ของดอร์ ซอลฮอร์ ฯ (dorsal horn) ของไขสันหลังและไปยัง wide dynamic range neuron
(WDR) ซึ่ งรับทั้งการกระตุน้ ที่ไม่ปวดและการกระตุน้ ที่ทาให้ปวด (noxious stimulus) ใน lamina V
ปลายทางของ primary afferent มีท้ งั excitatory amino acid (EAA) ได้แก่ glutamate และ
peptide เช่น SP เป็ นสารสื่ อประสาท (neurotransmitter) เมื่อเกิด depolarization มาถึงปลายทาง ก็จะมี
การปล่อย glutamate ไปกระตุน้ ที่ postsynaptic ionotropic AMPA receptor การกระตุน้ ซ้ าๆที่ C fiber
ทาให้เกิดการหลุดของ magnesium plug ที่เดิมปิ ดอยูท่ ี่ N-methyl-D-aspartate (NMDA) receptor การ
เพิ่มแบบก้าวหน้าของ action potential ของเซลล์ใน dorsal horn ทาให้เกิ ดปรากฎการณ์ ที่เรี ยกว่า
wind–up โดยที่การกระตุน้ อย่างต่อเนื่ องและรุ นแรงจะยิ่งเพิ่มความไวของเซลล์ประสาทใน dorsal
horn จนเกิด central sensitization ได้ เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงของ ion channel หรื อ receptor แล้วก็จะ
เพิ่มประสิ ทธิ ภาพของการสื่ อสัญญาณผ่านช่อง synapse (synaptic transmission)ผลลัพธ์ คือความไว
ของเซลล์ในระบบประสาทส่ วนกลางเพิ่มขึ้น threshold ของการกระตุน้ ลดลง เกิดอาการปวดได้จาก
ตัวกระตุน้ ความแรงต่า ซึ่ งเดิมไม่สามารถทาให้เกิดอาการปวดได้ และมีขอบเขตของอาการปวดขยาย
เกินบริ เวณที่เนื้อเยือ่ บาดเจ็บคือเกิด secondary hyperalgesia
การส่ งต่ อสั ญญาณประสาทเข้ าสู่ สมอง (Central projection of pain pathway)
26
การควบคุมอาการปวดจากสมองลงมาสู่ ไขสั นหลัง (Descending modulatory pain pathway)
27
ผลกระทบของอาการปวด
28
5. การแข็งตัวของหลอดเลือดและเกร็ ดเลือด ภาวะเครี ยดทาให้การเกาะกลุ่มของเกร็ ดเลือด
มากขึ้น การทาลายของกระบวนการสลายลิ่มเลือดลดลง มีกลไกการแข็งตัวเลือดมากกว่าปกติ ถ้าพบ
ร่ วมกับภาวะที่มีการหลัง่ ของแคทีโคลามีนและไม่มีการเคลื่อนไหวของร่ างกายแล้วจะทาให้เกิดการคัง่
ของหลอดเลือดดา ซึ่ งอาจจะทาให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันที่ขา และภาวะลิ่มเลือดอุดตันที่ปอดได้
6. ระบบภูมิคุม้ กัน ทาให้ระบบภูมิคุม้ กันลดลง โดยทาให้ killer T-cell cytotoxicity ลดลง
และกดการทางานของระบบเรติคิวโลเอ็นโดธีเลียล (reticuloendothelial system)
7. ระบบกล้ามเนื้อ ทาให้กล้ามเนื้อเกิดอาการเกร็ ง กล้ามเนื้ ออ่อนแรง ทาให้การเคลื่อนไหว
ลดลง เสี่ ยงต่อการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตัน (thromboembolism)
8. ภาวะทางจิ ตใจ อาการปวดส่ ง ผลให้ผูส้ ู งอายุมี ความวิตกกัง วล ความกลัว และความ
ซึ มเศร้าในเวลาเดียวกัน ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขอาจเปลี่ยนเป็ น ความโกรธ ความผิดหวัง และส่ งผลต่อ
ความสัมพันธ์อนั ดีระหว่างผูส้ ู งอายุ แพทย์ พยาบาลและญาติผสู ้ ู งอายุได้ (ดุจเดือน สี ละมาด, 2010)
จะเห็ นว่า อาการปวดมี ผลกระทบทั้ง ทางด้า นร่ า งกายและจิ ตใจ ผลกระทบดัง กล่ า วมี ค วาม
เกี่ ยวเนื่ องกันและส่ งผลกระทบกันไปอย่างต่อเนื่ อง ส่ งผลให้คุณภาพชี วิตของผูส้ ู งอายุในระยะแรก
หลังผ่าตัดลดลงได้ (สมบูรณ์ เทียนทอง, 2548)
1. ตาแหน่งและชนิดของการผ่าตัด
29
2. อายุ เพศ และน้ าหนักตัว
3. ปัจจัยทางด้านจิตใจ
การประเมินอาการปวดในผู้สูงอายุหลังผ่ าตัดกระดูกสะโพก
การประเมินอาการปวดที่ถูกต้องและเลือกวิธีประเมินอาการปวดได้อย่างเหมาะสมกับผูส้ ู งอายุ
แต่ละราย นาไปสู่ ผลลัพธ์ที่ดีของการจัดการอาการปวด (อนงค์ ประสาธน์วนกิจ, 2552) จากการศึกษา
ของนิ ตยา ธี รวิโรจน์, อมรรัตน์ คงนุ รัตน์, สุ จิตรา สุ ขผดุ ง, ทรงพร กว้างนอก, และภูวดล กิ ตติวฒั นาสาร
(2554) เรื่ อง การศึ กษาสถานการณ์ การประเมิ นความปวดในผูป้ ่ วยหลังการผ่าตัดทางออร์ โธปิ ดิ กส์
โรงพยาบาลบุรีรัมย์ พบว่า การประเมินความปวดมากที่สุดใน 48 ชัว่ โมงแรกของการผ่าตัดและมีการ
ประเมินความปวดโดยใช้ pain score ค่อนข้างน้อย ผูป้ ่ วยมีความรุ นแรงของระดับความปวดระดับ
ปานกลางถึงปวดมากพบมากใน 48 ชัว่ โมงแรกหลังการผ่าตัด จึงควรมีการประเมินความปวดในผูป้ ่ วย
หลังผ่าตัดทางออร์ โธปิ ดิกส์ โดยเฉพาะ 48 ชัว่ โมงแรก ซึ่ งการประเมินความปวดเป็ นหัวใจสาคัญที่จะ
นาไปสู่ ก ารจัดการความปวดอย่า งมี ประสิ ทธิ ภาพ เพื่อให้ผูป้ ่ วยสุ ขสบาย พึ งพอใจ ลดความทุ ก ข์
ทรมาณ ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ลดค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาล และควรมีการพัฒนาให้เสมือน
หนึ่ งความปวดเป็ นสัญญาณชี พที่ 5 และเป็ นส่ วนหนึ่ งในการประกันคุ ณภาพการรักษาพยาบาล ซึ่ ง
แนวปฏิบตั ิทางคลินิกสาหรับการจัดการอาการปวดในผูส้ ู งอายุหลังผ่าตัดกระดูกสะโพกนี้ ก็ได้จดั ให้
อาการปวดเป็ นสัญญาณชีพที่ 5 เช่นเดียวกัน
30
ประโยชน์ ต่อ การรั ก ษาพยาบาล อัน จะนาไปสู่ ผลลัพ ธ์ ที่ ดี (เจื อกุ ล อโนธารมณ์ , 2545) และต้อ ง
ประเมินทั้งก่อนและหลังการจัดการอาการปวดเป็ นระยะอย่างต่อเนื่ อง เพื่อติดตามผลการรักษา มีการ
บันทึกอาการปวดให้เห็นเป็ นรู ปธรรมที่ชดั เจนเช่นเดียวกับสัญญาณชี พอื่นๆ มีการประเมินและบันทึก
ภาวะง่วงซึ ม (sedation score) เพื่อเฝ้ าระวังผลข้างเคียงเกี่ยวกับการกดการหายใจ โดยให้ถือว่าการ
ประเมินภาวะง่วงซึ มเป็ นสัญญาณชีพที่ 6 (6th vital sign) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผูส้ ู งอายุหรื อผูท้ ี่มีปัญหา
เรื่ องระบบทางเดินหายใจ (ราชวิทยาลัยวิสัญญีแพทย์แห่ งประเทศไทยร่ วมกับสมาคมการศึกษาเรื่ อง
ความปวดแห่ งประเทศไทย, 2554) ในการประเมินอาการปวดนั้นต้องเลือกเครื่ องมือให้เหมาะสมกับ
ผูส้ ู งอายุแต่ละคนด้วย
ดัง นั้นเครื่ องมื อส าหรั บ ประเมิ นความรุ นแรงของอาการปวด ควรเลื อกใช้ใ ห้เหมาะสมกับ
ผูส้ ู งอายุและควรใช้เครื่ องมื อเดิ มตลอดระยะเวลาที่ ให้การดู แลผูส้ ู งอายุรายนั้น ยกเว้นผูส้ ู งอายุที่มี
อาการรู ้สึกตัวดีข้ ึนก็สามารถใช้เครื่ องมือที่น่าเชื่อถือมากขึ้นในภายหลังได้ (สมบูรณ์ เทียนทอง, 2552)
ในการประเมินอาการปวดควรจะต้องระบุถึง ตาแหน่ งที่มีอาการปวด, ผลของอาการปวดต่อการทา
หน้าที่และการทากิจวัตรประจาวัน, ระดับของอาการปวดขณะพักและระหว่างทากิจกรรม, ยาที่ใช้และ
ผลข้างเคียง, ปั จจัยที่ทาให้อาการปวดเพิ่มขึ้น, คุ ณภาพของอาการปวด, อาการปวดนั้นมีการกระจาย
ไปสู่ ส่วนอื่นหรื อไม่, ความรุ นแรงของอาการปวด ระดับ 0-10, อาการปวดที่สัมพันธ์กบั อาการแสดง,
ระยะเวลา เช่น ปวดตลอด หรื อเป็ นครั้งคราว (RNAO, 2007a)
31
เครื่ องมือสาหรับประเมินระดับความปวด (ราชวิทยาลัยวิสัญญีแพทย์แห่ งประเทศไทยร่ วมกับ
สมาคมการศึกษาเรื่ องความปวดแห่งประเทศไทย, 2554; Flaherty, 2012; RNAO, 2007a) ที่นิยมได้แก่
32
ไม่จาเพาะเจาะจงกับอาการปวดแต่อาจเกิดขึ้นเมื่อร่ างกายมีความเครี ยดหรื อความตื่นเต้น (ชัชชัย ปรี ชาไว,
2552)
การจัดการอาการปวดในผู้สูงอายุหลังผ่ าตัดกระดูกสะโพก
33
การจัดการอาการปวดโดยการใช้ ยา (Pharmacological Pain Management)
พบว่าผูส้ ู งอายุหลังผ่าตัดได้รับการจัดการอาการปวดที่ไม่เพียงพอหลังผ่าตัดเพราะว่าแพทย์และ
พยาบาลกลัวผลของยาที่จะกดการหายใจ มีอาการคลื่นไส้ การกดประสาทและภาวะต้องพึ่งพา ดังนั้น
เพื่ อให้ก ารจัดการอาการปวดบรรลุ ผล ควรมี ก ารให้ค วามรู ้ แก่ ผูท้ ี่ เกี่ ย วข้องทั้ง หมด พร้ อมกับ การ
ประเมินอาการและบันทึกระดับของอาการปวดร่ วมกับการจัดการอาการปวดเฉพาะราย (Charlton,
1997, p.2-17) ซึ่ งสอดคล้องกับ Layzell (2009) ที่พบว่า แพทย์และพยาบาลกลัวผลข้างเคียงของยา
ระงับปวดทาให้ผสู้ ู งอายุได้รับยาระงับปวดที่ไม่เพียงพอและได้รับการจัดการอาการปวดที่ไม่ดีพอซึ่ ง
ทาให้เพิ่มความเสี่ ยงต่อการเกิดภาวะสับสนเฉี ยบพลันและทาให้การเคลื่อนไหวและการฟื้ นสภาพหลัง
ผ่าตัดช้าลง โดยที่ผสู ้ ู งอายุมีความต้องการยาระงับปวดกลุ่มโอปิ ออยด์(opioid) น้อยกว่าผูป้ ่ วยในวัย
หนุ่ ม สาว ดัง นั้นในการให้ย าระงับ ปวดในกลุ่ ม นี้ จึง ต้องให้อย่า งระมัดระวัง และเฝ้ าระวัง ป้ องกัน
ผลข้างเคียงของยาได้แก่ อาการง่วงซึ ม สับสน คลื่นไส้ ท้องผูก และกดการหายใจ
เนื่ อ งจากผู ้สู ง อายุ มี ก ารเปลี่ ย นแปลงของสรี ร ะวิ ท ยาจากกระบวนการชรามี ผ ลต่ อ เภสั ช
จลนศาสตร์ (Pharmacokinetics) และเภสัชพลนศาสตร์ (Pharmacodynamics) ซึ่ งมีผลต่อการดูดซึ ม
(absorption) การเปลี่ยนแปลง (metabolism) และการกาจัดยา (elimination) ทาให้ผสู้ ู งอายุมีความไว
ต่อยาทั้งผลทางการรักษาและความเป็ นพิษต่อยา ในส่ วนการเปลี่ยนแปลงยา (metabolism) ที่ตบั พบว่า
มีการลดลงของเลื อดที่ไหลเวียนมาที่ตบั ขนาดของตับลดลง hepatic clearance ลดลงมีผลทาให้
ระยะเวลาของยาที่อยูใ่ นระบบเพิ่มขึ้น (RNAO, 2007a) จานวนเลือดที่ออกจากหัวใจ (cardiac output)
ลดลง ทาให้ปริ มาตรการไหลเวียนของระบบส่ วนกลางลดลง เพิ่มความเข้มข้นของระดับยาหลังให้ยา
bolus dose ในส่ วนการกระจายตัว เนื่ องจากผูส้ ู งอายุจะมี total body water ลดลงทาให้ยาที่ละลายใน
น้ ามี ปริ มาตรการกระจายตัวลดลง ที่ไต พบว่า เนื้ อไต เลื อดไหลเวียนไปที่ ไต อัตราการกรอง และ
creatinine clearance ลดลง เช่นเดียวกับที่ระบบประสาทส่ วนกลาง การเปลี่ยนแปลงและการไหลเวียน
เลื อ ดที่ ส มอง ลดลง แต่ ก ารตอบสนองต่ อ สารเสพติ ด เพิ่ ม ขึ้ น ดัง นั้น จึ ง ต้อ งลดขนาดของยาลง
34
(Calandese, Caroleo, Amantea, & Santangelo, 2010; Hallingbye, Matin, & Viscomi, 2011;
Macintyre, et al., 2010; Prowse, 2007)
1. ใช้กลยุทธ์ร่วมกันในการจัดการอาการปวดทั้งโดยใช้ยาและไม่ใช้ยา
2. บริ หารปริ มาณของยาให้เพียงพอ และความถี่เหมาะสมที่จะสามารถควบคุมอาการปวดได้
3. ควรให้ยาแบบตามเวลา (around the clock dosing) : หลีกเลี่ยงการให้ยาแบบเป็ นครั้ง
คราว (PRN dosing)
4. ใช้หลักการให้ยาแบบผสมผสาน
5. ในการบริ หารยาใช้หลัก เริ่ มให้ในขนาดที่ต่าและค่อยเพิ่มขนาดขึ้นอย่างช้าๆ
6. ทานายและป้ องกันผลข้างเคียงของยาที่จะเกิดในผูส้ ู งอายุ
7. เมื่อต้องมีการเปลี่ยนการให้ยาอาจต้องมีการขอคาปรึ กษา
35
ยานี้ กบั ผูป้ ่ วยที่เป็ นโรคตับ ถ้าจาเป็ นต้องใช้ควรลดขนาดยาลง เพราะอาจทาให้เกิ ดพิษจากยาได้ง่าย
ผลข้างเคียงของยาเกิ ดน้อยมาก แต่ให้ระวังในคนที่แพ้ โดยอาจมีผื่นแดงที่ผิวหนัง คัน หรื อมีคลื่นไส้
อาเจียน (สมาคมการศึกษาเรื่ องความปวดแห่งประเทศไทย, 2552) เนื่ องจากมีหลักฐานที่แน่ชดั ว่าอายุ
ไม่มีผลต่อการขจัดยา พาราเซตามอลจึงสามารถใช้ได้สูงสุ ดถึง 4 กรัม/วัน ในผูส้ ู งอายุ ยกเว้นให้ลด
ขนาดลงร้ อยละ 50-75 เมื่ อการทางานของตับบกพร่ องหรื อมี ประวัติติดสุ ราร่ วมด้วย (ราชวิทยาลัย
วิสัญญีแพทย์แห่งประเทศไทยร่ วมกับสมาคมการศึกษาเรื่ องความปวดแห่งประเทศไทย, 2554)
2. เอนเซด (Nonsteroidal anti-inflammatory drugs [NSAIDs]) ใช้เป็ นยาระงับปวดหลัง
ผ่าตัด อาจใช้เพียงขนานเดียวในกรณี ที่อาการปวดไม่รุนแรงหรื อใช้ร่วมกับยาแก้ปวดอื่นๆ ถ้าอาการ
ปวดรุ นแรงมาก นอกจากจะมีฤทธิ์ ระงับปวดแล้วยังมีฤทธิ์ ต้านการอักเสบและลดไข้ดว้ ยการออกฤทธิ์
ยับ ยั้ง การสร้ า งโพรสตาแกลนดิ น โดยยับ ยั้ง การท างานของเอนไซม์ ไ ซโคลออกซิ จี เ นส
(cyclooxygenase) ที่บริ เวณเนื้ อเยื่อที่ ได้รับบาดเจ็บ ที่ระบบประสาททั้งที่ส่วนปลายและส่ วนกลาง
เอนไซม์ไซโคลออกซิ จีเนสมี 2 ไอโซเอนไซม์ (isoenzymes) คือ cyclooxygenase-1 (COX-1) และ
cyclooxygenase-2 (COX-2) โดยเอ็นไซม์ COX-1 จะพบในภาวะปกติในเนื้ อเยื่อหลายชนิ ด เช่นเยื่อบุ
กระเพาะอาหาร เยื่อบุหลอดเลือดและไต ซึ่ งเอ็นไซม์ COX-1 จะทาหน้าที่ควบคุ มสมดุ ลของร่ างกาย
ส่ วนเอ็นไซม์ COX-2 จะถูกกระตุน้ ให้สร้างขึ้นเมื่อมีกระบวนการอักเสบเกิดขึ้น จะพบได้ในเม็ดเลือด
ขาว หลอดเลือดและเนื้ อเยื่อประสาท เอนเซดแต่ละชนิ ดมีความสามารถในการยับยั้งเอ็นไซม์ COX-1
และ COX-2 ได้ไม่เท่ากัน อัตราส่ วนการยับยั้งเอ็นไซม์ COX-1 ต่อ COX-2 นอกจากจะมีผลต่อการ
ออกฤทธิ์ แล้ว ยังบอกถึงโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนด้วย การแบ่งเอนเซดออกเป็ นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ
กลุ่มคอนเวนชัน่ นอลเอนเซด (conventional NSAIDs) เช่น ไดโคลฟี แนค (diclofenac), แอสไพริ น
(aspirin), ไอบูโปรเฟน (ibuprofen), เคโตโปรเฟน (ketoprofen), นาโปรเซน (naproxen), ไพรอกซิ แคม
(piroxicam) และ เมโลซิ แคม (meloxicam) และกลุ่ ม COX-2 specific inhibitors เช่ น ซี ลีโคซิ บ
(celecoxib), โดยที่ ก ลุ่ ม คอนเวนชั่น นอลเอนเซดนั้น ในขนาดที่ ใ ช้รั ก ษา จะยับ ยั้ง การท างานของ
เอ็นไซม์ COX-1 และ COX-2 ด้วยเสมอ ในขณะที่กลุ่ม COX-2 specific inhibitors ขนาดของยาที่ใช้
ในการรักษาจะยับยั้งการทางานของเอ็นไซม์ COX-2 โดยไม่มีผลยับยั้งการทางานของเอ็นไซม์ COX-
1 จากกลไกที่ออกฤทธิ์ ต่างกันทาให้คอนเวนชัน่ นอลเอนเซด มีขอ้ จากัดหลายประการที่จะนามาใช้เพื่อ
ระงับปวดระหว่างและหลังผ่าตัด ในขณะที่ กลุ่ ม COX-2 specific inhibitors มีขอ้ ดี กว่า ในเรื่ อง
ผลข้างเคียงต่อระบบทางเดิ นอาหารและไม่ยบั ยั้งการทางานของเกร็ ดเลื อด (สมาคมการศึกษาเรื่ อง
ความปวดแห่ งประเทศไทย, 2552) ผูป้ ่ วยสู งอายุมีโอกาสเกิดผลข้างเคียงของทางเดินอาหารและไต
จากเอนเซด สิ่ งที่ตอ้ งระวังอย่างมาก คือ ผูส้ ู งอายุอาจเกิดไตวายจากการใช้เอนเซดได้ เพราะผูส้ ู งอายุ
มักมีการทางานของไตบกพร่ องอยูก่ ่อน หรื อมีตบั แข็ง หัวใจวาย ใช้ยาขับปั สสาวะหรื อยาลดความดัน
ยากลุ่ม COX-2 specific inhibitors ทาให้อุบตั ิการณ์ ของการเกิ ดภาวะแทรกซ้อนต่อทางเดิ นอาหาร
36
ลดลงอย่า งชัดเจน และไม่ มีผ ลต่ อการท างานของเกล็ ดเลื อด แต่ ทาให้เกิ ดผลเสี ยต่ อไตไม่ต่างจาก
คอนเวนชัน่ นอลเอนเซด (ราชวิทยาลัยวิสัญญีแพทย์แห่ งประเทศไทยร่ วมกับสมาคมการศึกษาเรื่ อง
ความปวดแห่ งประเทศไทย, 2554) ดัง นั้นในการใช้เอนเซดเพื่อลดอาการปวดหลังผ่าตัดมักใช้ใ น
ระยะเวลาสั้นๆ ถ้าเป็ นการผ่าตัดเล็กอาจให้ยาเพียงครั้งเดียว แต่ถา้ เป็ นการผ่าตัดใหญ่อาจให้ยาไม่เกิน
3-7 วัน การเลื อ กชนิ ด ของยาจึ ง ควรเลื อ กยาที่ มี ป ระสิ ทธิ ภ าพ ใช้ ง่ า ย ออกฤทธิ์ เร็ ว และมี
ภาวะแทรกซ้อนน้อย และควรใช้ยาเพียงขนานเดียวในการใช้ยาแต่ละครั้ง และหลีกเลี่ยงการใช้ยาหาก
ผูส้ ู งอายุมีประวัติแพ้ยาในกลุ่มเอนเซดซึ่ งขนาดและวิธีการบริ หารยาจาเป็ นต้องปรับให้เหมาะสมกับ
ผูส้ ู งอายุแต่ละราย โดยดูจากการตอบสนองเป็ นหลัก การให้ยาควรให้ตามช่วงเวลาที่กาหนดจะระงับ
ปวดได้ดีกว่าให้ยาเมื่อผูส้ ู งอายุมีอาการปวดแล้ว
37
3.1.2 ทรามาดอล (tramadol เป็ นยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์ ผ่าน 2 กลไก กลไกแรก
คือ จับกับตัวรับมิวโอปิ ออยด์ ( µ-opioid receptor) ส่ วนกลไกที่ 2 คือ ยับยั้งการนากลับของซี โรโตนิน
(serotonin) และนอร์ อีพิเนฟฟี น ( norepinephine) ในระบบประสาทส่ วนกลาง ฤทธิ์ ระงับปวด ส่ วน
ใหญ่ผา่ นมาทางกลไกที่ 2 มีความแรงเป็ น 1/20–1/5 ของมอร์ ฟีน ผลข้างเคียงที่พบบ่อย คือ คลื่นไส้
อาเจียน ผลข้างเคียงอื่นพบได้นอ้ ย เช่น กดการหายใจ และท้องผูก ขนาดยาที่แนะนาให้ใช้ คือ 50-100
มก. ให้ซ้ าได้ทุก 4 ชั่วโมง แต่ไม่ควรเกิ น 400 มก.ต่อวันและในผูท้ ี่ มีปัญหาของตับหรื อไตควรลด
ขนาดลง โดยให้ไม่เกิน 200 มก. ต่อวัน
3.2 โอปิ ออยด์(Opioid) ที่มีฤทธิ์ แรงได้แก่ มอร์ ฟีน (morphine), เพธิ ดีน ( pethidine),
และเฟนตานิ ล (fentanyl) ยาในกลุ่ ม นี้ ทุ กตัวให้ผลการระงับ ปวดเท่ ากันถ้าให้ในขนาดที่ เรี ยกว่า
“equianalgesic dose” (morphine 10 mg., pethidine 100 mg., fentanyl 100 microgram) จึงควรปรับยา
ให้เหมาะสมกับผูส้ ู งอายุแต่ละราย ซึ่ งความต้องการมอร์ ฟีนมีความแตกต่างกันมากในแต่ละช่ วงอายุ
(อาจสู งถึง 10 เท่า) ในผูส้ ู งอายุความต้องการขนาดของมอร์ ฟีนลดลงและระยะเวลาการออกฤทธิ์ นาน
ขึ้นโดยที่ 1) มอร์ ฟีน เป็ นโอปิ ออยด์มาตรฐาน สามารถบริ หารได้หลายทาง การฉี ดเข้าหลอดเลือดดา
ระยะเวลาการออกฤทธิ์ 5-20 นาที การฉี ดเข้า กล้า มระยะเวลาการออกฤทธิ์ 20-60 นาที มอร์ ฟี นมี
ระยะเวลาการออกฤทธิ์ นาน 2-4 ชม. มอร์ ฟีนถูกทาลายที่ตบั และถูกกาจัดออกทางไต ถ้าการทางาน
บกพร่ องทาให้กาจัดมอร์ ฟีนและเมตาโบไลต์ (metabolites,M6G) ออกจากร่ างกายไม่ได้ จึงอาจมีผล
กดการหายใจได้ 2) เพธิดีน เป็ นโอปิ ออยด์สังเคราะห์ที่มีฤทธิ์ anticholinergic ร่ วมด้วย คืออาจทาให้หวั
ใจเต้นเร็ ว ปากคอแห้งเพธิ ดีนมีค่าครึ่ งชี วิต 2-2.5 ชม. และระยะเวลาการออกฤทธิ์ 2-4 ชม.เพธิ ดีน ถูก
ทาลายที่ตบั ได้เมตาโบไลต์ (metabolite) ที่สาคัญ คือ นอร์ เพธิ ดีน (norpethidine) ซึ่ งออกฤทธิ์ กระตุน้
ระบบประสาทส่ วนกลางอย่างมาก ทาให้เกิ ดอาการกระสับกระส่ าย มื อสั่น กล้ามเนื้ อเกร็ ง กระตุก
และชักได้ จึ งไม่ควรใช้เพธิ ดีนในผูท้ ี่ มีการทางานของไตหรื อตับบกพร่ อง 3) เฟนตานิ ล (fentanyl)
เป็ นโอปิ ออยด์สังเคราะห์ ออกฤทธิ์ เร็ วภายใน 2-3 นาที หลังฉี ดเข้าหลอดเลือดดา ระยะเวลาการออก
ฤทธิ์ สั้นประมาณ 30-60 นาที ยาถูกทาลายที่ตบั ได้เป็ นนอร์ เฟนตานิ ล (norfentanyl) และถูกขับออก
ทางปั สสาวะโดยยามีบางส่ วน (ไม่เกิ นร้อยละ 7) ถูกขับออกทางปั สสาวะโดยไม่เปลี่ ยนรู ป (สมาคม
การศึกษาเรื่ องความปวดแห่งประเทศไทย, 2552)
38
อาเจียนบางชนิ ด โดยเฉพาะยาที่ มีคุณสมบัติแอนทีคอลิเนอจิก (anticholinergic) เช่น ออเฟนนาดรี น
(orphenadrine) อะมิทริ ปไทลี น (amitriptyline) เป็ นต้น ทาให้เกิ ดผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นในผูส้ ู งอายุ
(ราชวิทยาลัยวิสัญญีแพทย์แห่งประเทศไทยร่ วมกับสมาคมการศึกษาเรื่ องความปวดแห่ งประเทศไทย,
2554)
1. Psychological therapy
1.1 การให้ขอ้ มูล (Provision of information) ซึ่ ง Procedural information เป็ นข้อมูลที่
ให้แก่ผปู ้ ่ วยก่อนที่จะให้การรักษาใดๆ และสรุ ปว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างการรักษา พบว่าการเตรี ยม
ให้ขอ้ มูล มีผลต่อการฟื้ นสภาพหลังผ่าตัด มีรายงานของระดับอาการปวดลดลง การใช้ยาแก้ปวดและ
ระยะเวลาในการนอนโรงพยาบาลลดลง ส่ วน sensory information เป็ นข้อมูล ที่อธิ บายถึ ง
ประสบการณ์ความรู ้สึกที่ผปู ้ ่ วยคาดว่าจะได้รับระหว่างการรักษา (Macintyre, Schug, Scott, Visser,
Walker, APM:SE Working Group of the Australian and New Zealand College of Anaesthetists and
Faculty of Pain Medicine, 2010) การให้ขอ้ มูลทั้งแบบ sensory และ procedural จะทาให้เกิ ด
ประสิ ทธิ ภาพดี มาก โดยลดการกระทบกระเทือนจิตใจในทางลบของผูป้ ่ วยและมีการรายงานของ
อาการปวดลดลงที่สัมพันธ์กบั หัตถการในการรักษาและยังมีส่วนช่วยลดความวิตกกังวลของผูป้ ่ วยต่อ
หัตถการหลายๆอย่าง ดังนั้นการให้ขอ้ มูลทั้ง sensory-procedural ช่วยลดอาการปวดและวิตกกังวลได้
อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ
39
1.2 การผ่อนคลายและการมุ่งเน้นความสนใจ (Relaxation and attention strategies)
การฝึ กการผ่อนคลายเป็ นเทคนิ คที่ ใ ช้ท าให้ผูป้ ่ วยรู ้ สึก สงบลงจากความปวดหลังการผ่าตัดโดยใช้
วิธีการฟังเสี ยงจากเครื่ องบันทึกเสี ยง การเขียนหรื อการฝึ กพูดตามแบบฝึ กหัด การฟั งเสี ยงนี้ รวมถึงการ
ใช้ดนตรี ที่เหมาะสม ซึ่ งเทคนิ คการฝึ กผ่อนคลายมีความสัมพันธ์กบั การทาสมาธิ และการสะกดจิต ซึ่ ง
จากการทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็ นระบบพบว่ามีหลักฐานอ่อนมากของการใช้เทคนิ คการผ่อนคลาย
ต่อการจัดการอาการปวดหลังผ่าตัดและการทาหัตถการ จากการศึ กษาการวิเคราะห์ แบบเมต้า ของ
วิจิตรา กุสุมภ์ (2550) ในการประเมินประสิ ทธิ ผลของดนตรี ต่อการลดความปวดแบบเฉี ยบพลันใน
ผูป้ ่ วยหลังผ่าตัดและได้รับหัตถการตรวจวินิจฉัยโรค พบว่า กลุ่มที่ได้ฟังดนตรี มีระดับความปวดไม่
แตกต่า งจากกลุ่ม ที่ ไม่ ไ ด้ฟัง ดนตรี ดัง นั้นการนาดนตรี มาใช้ทาให้บ รรเทาปวดแบบเฉี ย บพลันได้
เล็กน้อย ไม่ควรพิจารณานามาใช้เป็ นหลักในระยะแรกหลังผ่าตัด แต่อาจนามาใช้ตามความต้องการ
และตามความพึงพอใจของผูป้ ่ วยได้ ซึ่ งตรงข้ามกับอาการปวดในผูป้ ่ วยมะเร็ งที่พบว่าเทคนิ คการผ่อน
คลายสนับสนุ นประสิ ทธิ ผลของการบรรเทาปวด โดยที่ อาการคลื่ นไส้ดีข้ ึ น และอัตราการเต้นของ
หัวใจและความดันโลหิ ต รวมถึ งความเปลี่ ยนแปลงทางด้านอารมณ์ ของผูป้ ่ วย เช่ น อาการซึ มเศร้ า
อาการวิตกกังวล ไม่เป็ นมิตรดีข้ ึน (Macintyre, Schug, Scott, Visser, Walker, APM:SE Working
Group of the Australian and New Zealand College of Anaesthetists and Faculty of Pain Medicine,
2010)
1.3 การสะกดจิต (Hypnosis) ส่ วนประกอบสาคัญในการฝึ กสะกดจิตคือ การทาให้จุด
สนใจต่า งๆ แคบลง การลดการตระหนัก รั บรู ้ สื่ อกระตุ ้นภายนอกโดยการดู ดซับ และการเพิ่ ม การ
ตอบสนองต่อการชักนาสะกดจิต พบว่าการสะกดจิตมีประสิ ทธิ ภาพดีในการลดความปวดเฉี ยบพลันที่
เกี่ยวกับหัตถการทางการแพทย์ต่างๆ
1.4 การปรับเปลี่ ยนความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral therapy) เมื่อ
ผูป้ ่ วยมีความกลัวและวิตกกังวลควรประเมินภาวะจิตใจของผูป้ ่ วยและสอนวิธีที่จะเผชิ ญหน้ากับความ
ปวดนั้นๆ (coping skills) ได้แก่ การสอนให้ผปู ้ ่ วยมองโลกในแง่ดี การสร้างจินตนาการเพื่อลดความ
กลัวนั้นๆ แต่ในผูป้ ่ วยบางรายการให้ขอ้ มูลมากเกินไปก็จะทาให้ผปู ้ ่ วยเกิดความกลัวและกังวลจนเกิน
กว่าเหตุ การให้ขอ้ มูลกับผูป้ ่ วยจึงมีความจาเป็ นที่จะต้องประเมินความรู้ ความเข้าใจและให้ความรู้ใน
ปริ มาณพอเหมาะในแต่ละรายเพื่อจะได้ไม่ทาให้ผูป้ ่ วยกลัวหรื อกังวลจนเกิ นไป การฝึ กฝนในการ
จัดการเผชิ ญหน้ากับความปวดและปรั บพฤติ กรรมก่ อนที่ จะมารั บการผ่าตัดจะช่ วยให้การประเมิ น
ความรุ นแรงของความปวดหลังผ่าตัดมีประสิ ทธิ ภาพดีข้ ึน ลดความกระทบกระเทือนจิตใจในทางลบ
ของผูป้ ่ วยและลดความต้องการยาแก้ปวดได้ดว้ ย ดังนั้นการฝึ กฝนในการจัดการกับความปวดและปรับ
พฤติกรรมก่อนการผ่าตัดจะช่ วยลดอาการปวด,ลดการใช้ยาแก้ปวดและลดผลกระทบในทางลบจาก
ความปวดต่อผูป้ ่ วยลงได้
40
2. Physical therapy
41
สาระของแนวปฏิบัติทางคลินิกสาหรับการจัดการอาการปวดในผู้สูงอายุหลังผ่ าตัดกระดูกสะโพก
แนวปฏิ บ ตั ิ ท างคลิ นิ ก ส าหรั บ การจัด การอาการปวดในผูส้ ู ง อายุห ลัง ผ่า ตัด กระดู ก สะโพก
หมายถึง ข้อความที่เป็ นแนวทางของขั้นตอนการปฏิ บตั ิทางคลิ นิกสาหรับการจัดการอาการปวดใน
ผูส้ ู งอายุหลังผ่าตัดกระดูกสะโพกที่ผศู ้ ึกษาใช้ตามขั้นตอนของแนวปฏิบตั ิทางคลินิกสาหรับการจัดการ
อาการปวดในผูส้ ู งอายุหลังผ่าตัดกระดูกสะโพก หอผูป้ ่ วยศัลยกรรมกระดู ก โรงพยาบาลแพร่ ของ
ธนาวรรณ แสนปัญญา (2552) ที่พฒั นาขึ้นตามขั้นตอนการพัฒนาแนวปฏิบตั ิทางคลินิกของ ฉวีวรรณ
ธงชัย (2548) โดยเนื้อหาสาระของแนวปฏิบตั ิทางคลินิกประกอบด้วย การจัดการอาการปวดที่มีความ
ครอบคลุมตามมาตรฐานการจัดการอาการปวดของคณะกรรมการรับรองมาตรฐานขององค์กรด้าน
การดูแลสุ ขภาพ (JCAHO, 2001) มีท้ งั หมด 6 ด้าน ได้แก่ 1) การพิทกั ษ์สิทธิ์ ผูส้ ู งอายุและจริ ยธรรม 2)
การประเมินอาการปวด 3) การดูแลควบคุมอาการปวด 4) การให้ความรู้เรื่ องการจัดการอาการปวด 5)
การดูแลอย่างต่อเนื่อง และ 6) การพัฒนาคุณภาพการบริ การ มีรายละเอียดทั้ง 6 ด้าน ดังนี้
42
1.4 ผูส้ ู งอายุและครอบครั วที่ มีวิธีการจัดการอาการปวดตามความเชื่ อ ค่านิ ยม และ
วัฒนธรรมของตนเองจะได้รับการยอมรับ โดยที่วธิ ี การนั้นต้องไม่ขดั แย้ง หรื อเป็ นผลเสี ยต่อการรักษา
(Level 4A)
2.1 ผูส้ ู ง อายุ ที่ แพทย์มี แผนการรั ก ษาด้วยการผ่า ตัด ทุ ก รายต้องได้รับ การประเมิ น
อาการปวดขั้นแรก (initial pain assessment) ในระยะแรกก่อนการผ่าตัดอย่างเหมาะสมและครอบคลุม
โดยมีข้ นั ตอนกิจกรรมการปฏิบตั ิ ดังนี้
43
เครื่ องมือที่เหมาะสมตรงตามศักยภาพในด้านสติปัญญาการรับรู ้ และการทาหน้าที่ต่างๆของร่ างกาย
(Level 3.1A) เพื่อให้การประเมินอาการปวดมีความแม่นตรง สาหรับผูส้ ู งอายุเครื่ องมือที่แนะนาให้ใช้
เป็ นอันดับแรก ได้แก่ มาตรวัดอาการปวดแบบเส้นตรงเรี ยงลาดับตัวเลข 0-10 (numeric rating scale)
(Level 3.1A) รองลงมา ได้แก่ มาตรวัดอาการปวดแบบใช้คาพูด 4 ระดับ (verbal rating scale) ซึ่ ง
เหมาะสมในการใช้กบั ผูส้ ู งอายุที่ไม่สามารถบอกระดับอาการปวดเป็ นตัวเลขได้ (Level 3.2A)
2.3 การประเมินอาการปวดให้ใช้หลายวิธีร่วมกัน ได้แก่ การประเมินจากคาบอกเล่า
ของผูส้ ู งอายุเอง ซึ่ งเป็ นสิ่ งที่ เชื่ อถื อได้มากที่ สุด (Level 4A) ร่ วมกับการสังเกตพฤติ กรรมการ
แสดงออก เช่ น การแสดงออกทางสี หน้า ท่าทาง การเคลื่ อนไหว การส่ งเสี ยงร้ อง เป็ นต้น และการ
ประเมินร่ วมกับการสังเกตปฏิกิริยาการตอบสนองทางด้านร่ างกาย เช่น อัตราการเต้นของหัวใจ ความ
ดันโลหิต อัตราการหายใจ (Level 4A) เป็ นต้น
2.4 ผูส้ ู งอายุที่มี ความบกพร่ องด้า นการมองเห็ นและด้านการได้ยิน ควรได้รับการ
ช่ วยเหลื อและให้เวลาที่เพียงพอแก่ผูส้ ู งอายุในการให้คาอธิ บายและตอบคาถาม (Level 4A) โดย
ผูส้ ู งอายุที่มีการบกพร่ องด้านการมองเห็ น ควรช่ วยเหลือโดย ใช้ตวั อักษรที่เหมาะสม ขนาดตัวอักษร
อย่างน้อย 14 พ็อยท์ (ภาษาอังกฤษในโปรแกรมพิมพ์คอมพิวเตอร์ ) เว้นช่ องว่างให้เหมาะสม ไม่ใช้
กระดาษหลากสี ที่มีสีสว่างจ้าหรื อสะท้อนแสง ให้ใส่ แว่นตาในผูส้ ู งอายุที่มีแว่นตาหรื อใช้แว่นขยาย
ช่วย ผูส้ ู งอายุที่มีความบกพร่ องด้านการได้ยิน ควรช่ วยเหลื อโดยเผชิ ญหน้ากับผูส้ ู งอายุขณะสนทนา
พูดช้าๆ ชัดเจน พูดประโยคสั้นๆด้วยน้ าเสี ยงสม่ าเสมอ ไม่ควรตะโกน ไม่ควรพูดเสี ยงแหลมเล็ก ลด
เสี ยงรบกวนจากภายนอก ใช้การเขียนช่ วย หรื อแสดงสี หน้าหรื อใช้มือประกอบความเข้าใจ และให้
ผูส้ ู งอายุใส่ เครื่ องช่วยฟังสาหรับผูท้ ี่มีอุปกรณ์ช่วยฟัง (Level 4A)
2.5 การประเมินอาการปวดในระยะหลังผ่าตัด ใช้แนวคาถามในการประเมินโดยใช้
mnemonic OLD CART เพื่อประเมินอาการปวด ได้แก่ เวลาที่เริ่ มปวด ตาแหน่งที่ปวด ระยะเวลาที่มี
อาการปวด ลักษณะของอาการปวด ปั จจัยที่ ทาให้อาการปวดมากขึ้ นหรื อลดลง การรั ก ษาที่ ได้รับ
(Level 4A)
2.6 การประเมินอาการปวดหลังผ่าตัดเป็ นสัญญาณชี พที่ 5 (fifth vital signs) โดยให้
ประเมินทุกครั้งพร้อมกับการตรวจวัดสัญญาณชีพ (Level 4A)
2.7 มีการติดตามประเมิ นอาการปวดซ้ าภายหลังการได้รับการจัดการอาการปวดทั้ง
วิธีการใช้ยาและไม่ใช้ยา (Level 4A)
2.8 มี ก ารบัน ทึ ก ผลการประเมิ น อาการปวดอย่ า งชัด เจนลงในแบบฟอร์ ม ที่ เ ป็ น
มาตรฐานและเป็ นที่ยอมรับของบุคลากรทางสุ ขภาพ สามารถใช้ขอ้ มูลดังกล่าวสื่ อสารแก่บุคลากรทีม
สุ ขภาพอื่นที่เกี่ยวข้องได้ (Level 3.1A)
44
2.8.1 บันทึ ก ผลการประเมิ นอาการปวดขั้นแรกลงในแบบบันทึ กการประเมิ น
อาการปวดแบบครบถ้วน
2.8.2 บัน ทึ ก ผลการประเมิ น อาการปวดหลัง ผ่ า ตัด ลงในแบบฟอร์ ม บัน ทึ ก
ทางการพยาบาล
3.1 กาหนดให้มีการจัดการอาการปวดโดยวิธีการใช้ยาให้เหมาะสมกับระดับความ
รุ นแรงของอาการปวดที่ประเมินได้ และพยาธิ สภาพความเจ็บป่ วย ซึ่ งระดับความรุ นแรงของอาการ
ปวดแบ่งออกเป็ น 3 ระดับ คือ อาการปวดเล็กน้อย เท่ากับคะแนน 1-3 อาการปวดปานกลางเท่ากับ
คะแนน 4-6 และอาการปวดรุ นแรง เท่ากับคะแนน 7-10 (Level 4A)
3.2 พิจารณาให้ยาระงับปวดตามแนวทางการบริ หารยาในผูส้ ู งอายุ (Level 4B)
3.3 ในกรณี ที่ไม่สามารถควบคุ มหรื อบรรเทาอาการปวดได้ ให้รายงานแพทย์ เพื่อ
พิจารณาปรับแผนการรักษาให้มีความเหมาะสมกับระดับความรุ นแรงของอาการปวดที่ประเมินได้
(Level 4A)
3.4 นาการจัดการอาการปวดโดยวิธีการไม่ใช้ยามาเสริ ม ร่ วมกับการจัดการอาการ
ปวดโดยวิธีการใช้ยา เพื่อให้การจัดการอาการปวดมีประสิ ทธิ ภาพยิ่งขึ้นโดยเลือกใช้ได้มากกว่า 1 วิธี
(Level 4B) ดังต่อไปนี้
3.4.1 สร้างสัมพันธภาพ (Level 4A)
3.4.2 การให้ความรู้ (Level 1B)
3.4.3 การจัดสิ่ งแวดล้อม (Level4A)
3.4.4 การจัดท่า (ท่านอนหงาย ท่าพลิกตะแคงตัว ท่าลุกนัง่ ) (Level 4B)
3.4.5 เทคนิคการผ่อนคลายโดยการหายใจเข้าและออกลึกๆ (Level 4B)
3.4.6 การออกกาลังกายกล้ามเนื้อขาและข้อ (Level 4B)
3.4.7 การสัมผัส (Level 4A)
3.4.8 การนวด (Level 4B)
3.4.9 การเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น ดูโทรทัศน์ ฟังเพลง (Level 4B)
3.4.10 การส่ งเสริ มทางด้านจิตวิญญาณและให้กาลังใจ เช่น การสวดมนต์ การทา
สมาธิ การเยีย่ มของนักบวช (Level 4A)
45
4. การให้ความรู้เรื่ องการจัดการอาการปวด (education of pain management)
46
3) ให้ขอ้ มูลวิธีการประเมินอาการปวด ใช้วิธีการสอนอย่างมีแบบแผน
โดยสอนผูส้ ู งอายุและครอบครัวในการเลือกใช้เครื่ องมือที่มีมาตรฐาน เพื่อบอกระดับอาการปวดของ
ตนเอง รวมทั้ง ประเมิ นความเข้าใจในการใช้เครื่ องมื อเพื่ อรายงานอาการปวด สอนผูส้ ู งอายุและ
ครอบครั วถึ งวิธีการสื่ อสารถึ งระดับความรุ นแรงของอาการปวดขณะประสบหรื ออาการปวดที่ ไม่
บรรเทา ไม่รอจนปวดมาก การตั้งเป้ าหมายในระดับอาการปวดที่ผสู ้ ู งอายุสามารถทนได้ (Level 2B)
4) ให้ข้อ มู ล การจัด การอาการปวดโดยวิ ธี ใ ช้ย า สอนผู้สู ง อายุ แ ละ
ครอบครัวเกี่ ยวกับข้อดี ของยาระงับปวด และผลข้างเคียงของยาระงับปวดที่ได้รับหลังผ่าตัด กรณี ที่
ผูส้ ู งอายุกลัวการติดยา ให้ขอ้ มูลว่าไม่มีรายงานเกี่ยวกับการติดยาในขนาดของการรักษาในระยะสั้น
(Level 1B)
5) ให้ ข ้อ มู ล การจัด การอาการปวดโดยวิ ธี ก ารไม่ ใ ช้ ย า ให้ ค วามรู ้
เกี่ยวกับการจัดการอาการปวดโดยวิธีการไม่ใช้ยาและสนับสนุนให้ผสู ้ ู งอายุและครอบครัวในการเลือก
วิธีการจัดการอาการปวดที่ผสู ้ ู งอายุชอบใช้และเคยใช้ได้ผลมาก่อนเพื่อเสริ มวิธีการใช้ยา โดยให้มีการ
ปฏิบตั ิที่ถูกต้องและสามารถเลือกใช้ได้มากกว่า 1 วิธี (Level 4B)
47
5.3.1 ประเมินทุก 4 ชัว่ โมง ในระยะ 24-72 ชัว่ โมงแรกหลังผ่าตัด หรื อเมื่อมีการ
เปลี่ยนแปลงของอาการปวด เช่น มีอาการปวดเกิดขึ้นใหม่ หรื อมีอาการปวดเพิม่ ขึ้นกระทันหันร่ วมกับ
มีการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณชีพ หรื ออาการปวดไม่ทุเลาภายหลังได้รับการรักษาพยาบาล
5.3.2 ประเมินซ้ าทุก 15-30 นาที หลังจากได้รับยาระงับปวดชนิดฉีด
5.3.3 ประเมินซ้ าทุก 60 นาที หลังจากได้รับยาระงับปวดชนิดรับประทาน
5.3.4 ประเมินซ้ าทุก 30 นาที หลังจากได้รับการจัดการอาการปวดโดยวิธีการไม่
ใช้ยา
5.4 กรณี ไม่สามารถควบคุ มอาการปวดให้อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรั บได้ (ระดับคะแนน
น้อยกว่า 4 จากการใช้ numeric rating scale 0-10 หรื อมีอาการปวดในระดับเล็กน้อย จากการใช้ verbal
rating scale) ภายหลังการจัดการอาการปวดทั้งวิธีการใช้ยาและไม่ใช้ยา ให้คน้ หาสาเหตุที่ทาให้อาการ
ปวดยังคงมีอยูแ่ ละรายงานแพทย์เพื่อปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับระดับความรุ นแรงของอาการ
ปวด (Level 4B)
5.5 การประเมิ นอาการปวดหลังผ่าตัดควรประเมินทั้งในขณะพัก ขณะเคลื่ อนไหว
และช่วงเวลากลางคืน (Level 3.2B)
5.6 บันทึกการจัดการอาการปวดและผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการจัดการอาการปวดหลัง
ผ่าตัด ลงในแบบบันทึกการประเมินอาการปวดหลังผ่าตัด (pain flowsheet) (Level 3.1B) เพื่อติดตาม
ประเมินผลของการจัดการ และเพื่อดูผลรวมของการจัดการอาการปวด หัวข้อการบัน ทึกประกอบด้วย
เครื่ องมือที่ใช้ประเมินอาการปวด (pain intensity rating scale used) ระดับความรุ นแรงของอาการปวด
(pain score) ก่อนและหลังการจัดการ ระดับความรู ้สึกตัว (sedation score) การจัดการโดยวิธีการใช้ยา
ระงับปวด และฤทธิ์ ข้างเคียงของยาระงับปวด (drug/dose/route/side effect) และชนิดของการจัดการ
อาการปวดโดยวิธีการไม่ใช้ยา
48
6.3 มีผรู ้ ับผิดชอบในการติดตามและประเมินผลลัพธ์เกี่ ยวกับการจัดการอาการปวด
หลังผ่าตัดตามแนวปฏิบตั ิทางคลินิก (Level 4B)
6.4 มีนโยบายหรื อกลยุทธ์ที่จะกระตุน้ ให้พยาบาลนาแนวปฏิบตั ิมาใช้ให้มากขึ้นโดย
ใช้ ก ลยุ ท ธ์ ที่ ห ลากหลายและมี ก ารด าเนิ น งานในรู ป แบบของการพัฒ นาคุ ณ ภาพอย่ า งต่ อ เนื่ อ ง
(continuous quality improvement) (Level 4B)
6.5 ส่ งเสริ มให้มีการประเมิน บันทึก และตรวจสอบคุณภาพการบันทึกอาการปวดใน
การดูแลผูส้ ู งอายุหลังผ่าตัดในหน่วยงาน (Level 4B)
6.6 จัดทาแบบบันทึกการจัดการอาการปวดหลังผ่าตัด (pain flowsheet) เพื่อใช้บนั ทึก
ผลการประเมินอาการปวด การรักษาที่ได้รับ ผลลัพธ์ของการจัดการอาการปวดเพื่อให้ขอ้ มูลแก่ทีม
ผูร้ ักษาในการวางแผนการดูแล การจัดการ และการติดตามประเมินผล (Level 3.1B)
การนาแนวปฏิบัติทางคลินิกไปใช้ และการประเมินผล
49
ขั้นตอนที่ 1 การเลือกแนวปฏิบตั ิทางคลินิก (selecting clinical practice guideline)
1. ขอบเขตและวัตถุประสงค์
1.1 แนวปฏิบตั ิมีการระบุวตั ถุประสงค์ที่ชดั เจนและเฉพาะเจาะจง
1.2 คาถามในการพัฒนาแนวปฏิบตั ิเป็ นปัญหาทางคลินิก
1.3 ระบุกลุ่มผูป้ ่ วยที่จะใช้แนวปฏิบตั ิทางคลินิกนี้
2. การมีส่วนร่ วมของผูเ้ กี่ยวข้อง
2.1 ทีมพัฒนาแนวปฏิบตั ิประกอบด้วยบุคลากรจากสหสาขาวิชาชีพ
2.2 ผูใ้ ช้บริ การมีส่วนออกความคิดเห็น
2.3 มีการระบุกลุ่มผูท้ ี่จะใช้แนวปฏิบตั ิชดั เจน
2.4 แนวปฏิบตั ิได้ผา่ นการทดลองใช้โดยกลุ่มเป้ าหมาย
3. ขั้นตอนการพัฒนาแนวปฏิบตั ิ
3.1 มีการสื บค้นงานหลักฐานงานวิจยั อย่างเป็ นระบบ
3.2 ระบุเกณฑ์ในการคัดเลือกหลักฐานงานวิจยั ชัดเจน
3.3 ระบุวธิ ี การกาหนดข้อเสนอแนะชัดเจน
3.4 มีก ารพิ จารณาถึ ง ประโยชน์ ผลกระทบ และความเสี่ ย ง ในการก าหนด
ข้อเสนอแนะ
50
3.5 ข้อเสนอแนะมีหลักฐานเชิงประจักษ์สนับสนุนชัดเจน
3.6 แนวปฏิบตั ิได้รับการตรวจสอบจากผูท้ รงคุณวุฒินอกองค์กรก่อนนามาใช้
3.7 ระบุข้ นั ตอนของการปรับปรุ งพัฒนาแนวปฏิบตั ิให้ทนั สมัย
4. ความชัดเจนและการนาเสนอ
4.1 ข้อเสนอแนะมีความเป็ นรู ปธรรม เฉพาะเจาะจงกับสถานการณ์ และกลุ่ ม
ผูป้ ่ วยตามที่ระบุในหลักฐาน
4.2 ระบุทางเลือกสาหรับการจัดการกับแต่ละสถานการณ์
4.3 ข้อเสนอแนะเป็ นข้อความที่เข้าใจง่าย
4.4 มีคาอธิ บายวิธีใช้แนวปฏิบตั ิ เช่น อาจเป็ นในรู ปของแผนผังสรุ ปแนวทางที่
ต้องทา
5. การประยุกต์ใช้
5.1 ระบุสิ่งที่อาจเป็ นปั ญหาและอุปสรรคของการนาข้อเสนอแนะไปใช้
5.2 มีการพิจารณาค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการใช้แนวปฏิบตั ิ
5.3 แนวปฏิบตั ิได้รับการพัฒนาและปรับปรุ งให้ทนั สมัยเสมอ
6. ความเป็ นอิสระของทีมจัดทาแนวปฏิบตั ิ
6.1 แนวปฏิบตั ิได้รับการพัฒนาขึ้นมาอย่างอิสระจากผูจ้ ดั ทา
6.2 มีการบันทึกความเห็นที่ขดั แย้งของทีมในระหว่างการพัฒนาแนวปฏิบตั ิ
การคิดคะแนนของแต่ละด้านใช้สูตร ดังต่อไปนี้
51
จะช่วยให้เข้าถึงพฤติกรรมความสัมพันธ์ภายใน ความสนใจของทีมและช่วยในการวางแผนดาเนิ นงาน
การตัดสิ นใจเรื่ องทรั พยากรและแหล่ งสนับสนุ น และมี การวิเคราะห์ ระดับของการสนับสนุ นและ
ระดับของการมีผลต่อการนาแนวปฏิบตั ิไปใช้เพื่อพิจารณา กลยุทธ์ที่จะใช้ในการสนับสนุ นให้มีการ
ใช้แนวปฏิบตั ิในองค์กร
52
การประเมินผลของการใช้ แนวปฏิบัติทางคลินิก
53
กรอบแนวคิดในการศึกษา
54