Professional Documents
Culture Documents
ข้อสอบ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์ กายภาพ (1) 2566
ข้อสอบ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์ กายภาพ (1) 2566
ข้อสอบ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์ กายภาพ (1) 2566
2566
1
สารบัญ
(ข้ อสอบ)
ว 2.1
ว 2.2
ว 2.3
2
ข้ อสอบ : ชื่ อ ....................................................................
คะแนน..............
สำระที่ 2 : ว 2.1 ชั้น ...............................เลขที่............................
ตาราง ผลกำรทดสอบควำมแข็งของวัสดุ
วัสดุที่นามาขูดกัน วัสดุที่เกิดรอย วัสดุที่ไม่ เกิดรอย
ชนิดที่ 1 และ 2 ชนิดที่ 2 ชนิดที่ 1
ชนิดที่ 2 และ 3 ชนิดที่ 2 ชนิดที่ 3
ชนิดที่ 1 และ 3 ชนิดที่ 1 ชนิดที่ 3
4
5. ตาราง ระดับควำมแข็งของแร่ ชนิดต่ำง ๆในหิน เรี ยงลำดับจำกน้อยไปมำก
(O-NET 2557)
ระดับความแข็ง ระดับความแข็ง
ชนิดแร่ ชนิดแร่
(1-10) (1-10)
ทัลก์ 1 หินฟันม้ำ 6
ยิปซัม 2 ควอรตซ์ 7
แคลไซต์ 3 โทแพซ 8
ฟลูออไรต์ 4 คอรันดัม 9
อะพำไทต์ 5 เพชร 10
ข้อใดน่ำจะเป็ นไปได้
1. หิน A คือ หินฟันม้ำ หิน B คือ อะพำไทต์
2. หิน A คือ อะพำไทต์ หิน B คือ หินฟันม้ำ
3. หิน A คือ คอรันดัม หิน B คือ ยิปซัม
4. หิน A คือ ยิปซัม หิน B คือ คอรันดัม
5
6. ตาราง ระดับควำมแข็งของแร่ ชนิดต่ำง ๆ ในหิน เรี ยงลำดับจำกน้อยไปมำก
(ระดับ1 ไป ระดับ 10) (O-NET 2559)
ความยาวของวัสดุ (เซนติเมตร)
ชนิดของวัสดุ
ก่อนแขวนถุงทราย ขณะแขวนถุงทราย หลังนาถุงทรายออก
1 25 26 26
2 25 28 26
3 25 31 27
4 25 30 25
จำกข้อมูล วัสดุชนิดใดมีสภำพยืดหยุน่
1. ชนิดที่ 1 2. ชนิดที่ 2
3. ชนิดที่ 3 4. ชนิดที่ 4
6
8. ทดสอบสมบัติของเส้นเอ็นยืด A B และ C ที่มีขนำดเท่ำกัน และมีควำมยำวเริ่ มต้น
17 เซนติเมตรโดยผูกเส้นเอ็นยืดเข้ำกับคำนได้ดงั ภำพ (O-NET 2562)
7
10. หำกไม่ใช้ผำ้ จับที่หูหม้อต้มน้ ำร้อน จะเกิดสิ่ งใดขึ้น
1. ควำมร้อนจำกหม้อจะถ่ำยโอนไปสู่ มือ
2. ควำมร้อนจำกหม้อจะถ่ำยโอนไปสู่ น้ ำ
3. มือสู ญเสี ยควำมร้อนให้แก่หม้อ
4. หม้อสู ญเสี ยควำมร้อนให้แก่ผำ้
1. เมื่อสสำรได้รับควำมร้อนจะละลำย
2. เมื่อสสำรได้รับควำมร้อนจะขยำยตัว
3. เมื่อสสำรได้รับควำมร้อนจะกลำยเป็ นไอ
4. เมื่อสสำรได้รับควำมร้อนจะหลอมเหลว
1. กำรปิ้ งปลำ
2. กำรเช็ดตัวเมื่อมีไข้
3. กำรคัว่ ถัว่ ลิสงผสมทรำย
4. กำรส่ องแสงของดวงอำทิตย์
8
13. เครื่ องใช้ในครัวสองชนิดในข้อใดมีหลักกำรทำงำนคล้ำยกันที่สุด (O-NET 2558)
1. หม้อตุ๋น เตำถ่ำนย่ำงไก่
2. หวดนึ่งข้ำวเหนียว หม้อตุ๋น
3. ซึ้งหรื อลังถึง หวดนึ่งข้ำวเหนียว
4. เตำถ่ำนย่ำงไก่ ซึ้งหรื อลังถึง
เทอร์โมมิเตอร์
น้ ำ
วัตถุร้อน
9
16. ใส่ น้ ำปริ มำณเท่ำกันที่อุณหภูมิ 20 OC ลงในภำชนะที่ทำด้วยวัสดุ 4 ชนิด
แล้วแช่ในอ่ำงน้ ำร้อนที่อุณหภูมิ 80 OC ดังภำพ (O-NET 2551)
20 CO
20 C
O
20 C
O
20 C
O
น้ ำร้อน 80 OC
1. A 2. B
3. C 4. D
10
18. นักเรี ยนคนหนึ่งทดสอบกำรนำควำมร้อนของวัสดุ 4 ชนิด คือ W X Y และ Z
ในชุดกำรนำควำมร้อน โดยวำงดินน้ ำมันขนำดเท่ำกันที่ปลำยวัสดุท้ งั 4 ชนิด เริ่ มจับเวลำ
ตั้งแต่ใส่ น้ ำร้อนจนดินน้ ำมันเริ่ มเยิม้ ได้ผลดังตำรำง (หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4 เล่ม 2)
11
21. นำโลหะ A B C และ D จุ่มในบีกเกอร์ ที่มีน้ ำเดือดเป็ นเวลำ 2 นำที พบว่ำ โลหะ A B C
และ D มีอุณหภูมิต่ำงกันตำมตำรำง (O-NET 2557)
อุณหภูมิของแท่ งโลหะ( CO )
แท่ งโลหะ
ก่อนจุ่มน้าเดือด หลังจุ่มน้าเดือด
A 25 65
B 25 70
C 25 45
D 25 55
ควรเลือกใช้โลหะใดในกำรผลิตกระทะสำหรับประกอบอำหำร
1. A 2. B
3. C 4. D
12
23. นำแก้วที่ทำจำกวัสดุต่ำงกัน 4 ชนิด มำใส่ น้ ำอุณหภูมิ 90 องศำเซลเซียส แล้วตั้งไว้
ที่บริ เวณเดียวกัน เมื่อเวลำผ่ำนไป 10 นำที พบว่ำ น้ ำในแก้วมีอุณหภูมิเปลี่ยนไป ดังนี้
อุณหภูมิของน้าในแก้วเมื่อเวลาผ่านไป 10 นาที
วัสดุ
(องศาเซลเซียส)
A 70
B 65
C 60
D 55
1. A 2. B
3. C 4. D
24. ตัวนำไฟฟ้ำหมำยถึงวัสดุที่มีคุณสมบัติในข้อใด (หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4 เล่ม 2)
1. เก็บไฟฟ้ำได้ดีมำก 2. ผลิตไฟฟ้ำได้มำก
3. ให้ไฟฟ้ำผ่ำนได้ดีมำก 4. ให้ไฟฟ้ำผ่ำนได้นอ้ ยมำก
25. ส่ วนใดของหลอดไฟฟ้ำที่นำไฟฟ้ำได้
A
C
B
13
26. จำกภำพวงจรไฟฟ้ำ (O-NET 2556)
วัตถุ A
1. ตะปู เชือก
2. ไส้ดินสอ เข็มกลัด
3. ยำงลบ ลวดเย็บกระดำษ
4. เข็มเย็บผ้ำ ไม้บรรทัดพลำสติก
14
28. ทดสอบสมบัติกำรนำไฟฟ้ำของวัตถุ A B และ C โดยต่อวงจรไฟฟ้ำ ดังภำพ
เมื่อกดสวิตช์ พบว่ำ หลอดไฟฟ้ำสว่ำงเพียง 1 หลอด (O-NET 2562)
15
29. ตาราง สมบัติของวัสดุต่ำง ๆ
การทดสอบสมบัติของวัสดุ
วัสดุ ความยืดหยุ่น การนาความร้ อน การนาไฟฟ้า
A ✓
B
C ✓ ✓
16
32. ภำพตัดขวำงส่ วนประกอบของเตำรี ดตัวหนึ่ง เป็ นดังรู ป (แบบฝึ กหัดท้ำยเล่ม หนังสือเรี ยน สสวท. ป.4)
ขวดใบที่ 1 ขวดใบที่ 2
ก. 50 50
ข. 50 100
ค. 100 50
ง. 100 100
17
34. เทน้ ำส้มปริ มำตร 1 ลิตร จำกภำชนะที่ 1 ลงในภำชนะที่ 2 และ 3 ตำมลำดับ
สมบัติใดเปลี่ยนแปลงไป
ถังที่ 1 ถังที่ 2
18
36. เด็กหญิงพุทธิดำ บันทึกผลกำรทดสอบสำร X,Y และ Z ในด้ำนกำรเปลี่ยนแปลงรู ปร่ ำง
และปริ มำตรได้ผลกำรทดลองดังตำรำง
รูปร่ าง ปริมาตร
ชนิดของสาร
คงที่ ไม่คงที่ คงที่ ไม่คงที่
X ✓ ✓
Y ✓ ✓
Z ✓ ✓
สำร 3 ชนิด คือ A B และ C ต่ำงมีมวลและต้องกำรที่อยู่ แต่สมบัติดำ้ นรู ปร่ ำงและปริ มำตร
เป็ นดังนี้ (แบบฝึ กหัดท้ำยบทที่ 2 หนังสือเรี ยน สสวท. ป.4)
19
38. สำรใดมีสถำนะเป็ นของเหลว
ก. สำร A ข. สำร B
ค. สำร C ง. สำร A และ B
39. สำรใดมีสถำนะเป็ นแก๊ส
ก. สำร A ข. สำร B
ค. สำร C ง. สำร A และ B
40. บรรจุแก๊สชนิดหนึ่งในขวดที่มีลูกโป่ งครอบอยูท่ ี่ปำกขวด สังเกตลักษณะของขวด
และลูกโป่ ง ดังรู ป (ข้อสอบท้ำยเล่ม หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4)
ข้อควำมใดต่อไปนี้ถูกต้อง
1. ตำแหน่ง B ไม่มีแก๊สอยู่ เพรำะลูกโป่ งพองไม่มำก
2. ตำแหน่ง D เท่ำนั้นที่มีแก๊ส เพรำะแก๊สมีมวล
3. ตำแหน่ง A มีแก๊สอยู่ เพรำะแก๊สมีรูปร่ ำงตำมภำชนะ
4. ตำแหน่ง C ไม่มีแก๊ส เพรำะแก๊สลอยขึ้นไปอยูด่ ำ้ นบนของขวด
41. บรรจุแก๊สชนิดหนึ่งลงในถังขนำด 20 ลิตร และ 40 ลิตร ถังละ 20 กิโลกรัม
ข้อเปรี ยบเทียบใดถูกต้องที่สุด (แบบฝึ กหัดท้ำยบทที่ 2 หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4)
1. มวลและปริ มำตรของแก๊สทั้งสองถังเท่ำกัน
2. มวลของแก๊สไม่เท่ำกัน แต่ปริ มำตรของแก๊สเท่ำกัน
3. มวลของแก๊สเท่ำกันแต่ปริ มำตรของแก๊สไม่เท่ำกัน
4. มวลและปริ มำตรของแก๊สทั้งสองถังไม่เท่ำกัน
20
42. เมื่อพิจำรณำสถำนะของสำรทั้ง 3 ชนิด A, B และ C ควรเป็ นสำรใดตำมลำดับ
(วิชำกำรนำนำชำติ ระดับประเทศ ปี 54)
รูปร่ าง ปริมาตร
ชนิดของสาร
คงที่ ไม่ คงที่ คงที่ ไม่ คงที
A - ✓ - ✓
B - ✓ ✓ -
C ✓ - ✓ -
21
44. ใส่ น้ ำแข็งในขวดแล้วครอบด้วยถุงพลำสติกให้แน่น แล้วให้ควำมร้อนจนน้ ำแข็ง
เปลี่ยนสถำนะเป็ นน้ ำ และน้ ำเปลี่ยนสถำนะเป็ นไอน้ ำ ดังภำพ 1, 2 และ 3 ตำมลำดับ
มวลของสำรในขวดในภำพ เป็ นอย่ำงไร (O-NET 2552)
1. ทั้ง 3 ภำพมีมวลเท่ำกัน
2. ภำพ 1 มีมวลน้อยกว่ำขวดในภำพที่ 3
3. ภำพ 1 มีมวลมำกกว่ำขวดในภำพที่ 2
4. ภำพ 2 มีมวลมำกกว่ำขวดในภำพที่ 3
45. สสำรกลุ่มใดต่อไปนี้มีสถำนะเป็ นของแข็ง ของเหลว และแก๊สตำมลำดับ (O-NET 2550)
1. เกลือ น้ ำเชื่อม สำรส้ม
2. ไอน้ ำ น้ ำปลำ น้ ำตำลทรำย
3. ผงซักฟอก น้ ำมันพืช อำกำศ
4. น้ ำเกลือ ควันไฟ น้ ำส้มสำยชู
1. เหล็ก 2. ปรอท
3. ตะกัว่ 4. ทองแดง
22
47. สำรกลุ่มใดมีสถำนะเดียวกันทุกชนิด (O-NET 2552)
1. ออกซิเจน ลม น้ ำอัดลม
23
50. พิจำรณำสำรในแต่ละข้อต่อไปนี้ (O-NET 2560)
ก.
ก้อนยำงลมในแก้วใส ก้อนยำงลมในกล่องพลำสติกใส
จำกข้อมูล ถ้ำสำรในแต่ละข้อมีมวลหรื อปริ มำตรเท่ำกัน สำรใดที่แสดงสมบัติ
“สำรมีรูปร่ ำงคงที่”
1. แชมพูเท่ำนั้น 2. แชมพูและอำกำศ
3. ก้อนยำงลบเท่ำนั้น 4. อำกำศและก้อนยำงลบ
24
51. นำสำร A และ B ซึ่งแต่ละชนิดมีปริ มำตร 500 ลูกบำศก์เซนติเมตรใส่ ในภำชนะใส
มีฝำบิดที่มีรูปทรงและควำมจุแตกต่ำงกัน 3 ใบ สังเกตลักษณะของสำรที่อยูใ่ นภำชนะได้
ดังภำพ (O-NET 2561)
ลักษณะของสารที่อยู่ในภาชนะความจุต่าง ๆ
สาร 500 800 1,000
ลูกบาศก์เซนติเมตร ลูกบาศก์เซนติเมตร ลูกบาศก์เซนติเมตร
25
52. พิจำรณำแผนภำพข้ำงล่ำง (O-NET 2554)
5
1 2
ของแข็ง ของเหลว แก๊ส
4 3
ข้อใดอธิบำยไม่ถูกต้อง
1. 1 และ 2 เป็ นกระบวนดูดกำรควำมร้อน
2. 3 และ 4 เป็ นกระบวนกำรคำยควำมร้อน
3. 1 เป็ นกำรละลำย 2 เป็ นกำระเหย
4. 3 เป็ นกำรควบแน่น 5 เป็ นกำรระเหิด
53. เมื่อนำแผ่นกระจกไปอังเหนือไอน้ ำแล้วพบว่ำมีหยดน้ ำเกำะที่แผ่นกระจก
กำรเปลี่ยนแปลงนี้เป็ นกำรเปลี่ยนสถำนะของน้ ำอย่ำงไร (O-NET 2552)
1. ของแข็งเป็ นของเหลว
2. ของเหลวในแก๊ส
3. แก๊สเป็ นของเหลว
4. ของเหลวเป็ นของแข็ง
26
54. ขวดแก้ว 3 ชั้น ชั้นกลำงบรรจุเกล็ดไอโอดีน (ดังรู ป) (O-NET 2558)
ชั้นบน
ชั้นกลำง
เกล็ดไอโอดีน
ชั้นล่ำง
ถ้ำต้องกำรให้เกิดผลึกไอโอดีนขึ้นที่ฝำด้ำนบนของชั้นกลำงมำก ๆ
จะต้องทำตำมวิธีกำรใด
1. ชั้นบนใส่ น้ ำร้อน ชั้นล่ำงใส่ น้ ำแข็ง 2. ชั้นบนใส่ น้ ำแข็ง ชั้นล่ำงใส่ น้ ำร้อน
3. ชั้นบนใส่ น้ ำแข็ง ชั้นล่ำงใส่ น้ ำแข็ง 4. ชั้นบนใส่ น้ ำร้อน ชั้นล่ำงใส่ น้ ำร้อน
27
56. พิจำรณำสถำนกำรณ์ 4 สถำนกำรณ์ ดังต่อไปนี้ (O-NET 2561)
28
ใส่ น้ ำ 5 ลูกบำศก์เซนติเมตร ลงในแก้วแต่ละใบ จำกนั้นตักสำร A ปริ มำณ 0.5, 1.0, 1.5, 2.0,
2.5 และ 3.0 กรัม ใส่ ลงในแก้วแต่ละใบ ตำมลำดับ คนสำร สังเกตลักษณะของสำรผสม
และบันทึกผลได้ดงั ตำรำง (แบบฝึ กหัดท้ำยบทที่ 1หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.5)
57.
29
59. กรำฟแสดงควำมสำมำรถในกำรละลำยของสำร A สำร B สำร C และสำร D
ในน้ ำ 100 กรัม ณ อุณหภูมิต่ำง ๆ (O-NET 2553)
มวลของสำรเป็ นกรัม(g)
อุณหภูมิ (OC)
มวลของสารเป็ นกรัม(g)
อุณหภูมิ (OC)
ชนิดของของเหลว
ของเหลวชนิดใดเป็ นตัวทำละลำยที่ดีที่สุด
1. A 2. B
3. C 4. D
31
63. กำรกระทำใดเป็ นกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมี (O-NET 2550)
1. ละลำยเกลือในน้ ำ 2. ใส่ น้ ำในช่องแช่แข็ง
3. เผำกระดำษได้เถ้ำสี ดำ 4. ตัดกระดำษด้วยกรรไกร
64. ข้อใดเป็ นกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมีท้งั หมด (O-NET 2555)
1. กำรจุดไม้ขีดไฟ กำรกลำยเป็ นไอของน้ ำ
2. กำรเผำถ่ำน กำรสุ กของผลไม้
3. กำรเกิดสนิมเหล็ก กำรเกิดเมฆฝน
4. กำรเกิดลูกเห็บ กำรหลอมเหลวของน้ ำแข็ง
65. กำรกระทำในข้อใดเป็ นกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมี (O-NET 2556)
1. เทเกลือลงน้ ำเดือด
2. ผสมปุ๋ ยเคมีกบั น้ ำไว้รดต้นไม้
3. เติมน้ ำส้มสำยชูลงในก๋ วยเตี๋ยว
4. เผำท่อนไม้ให้เป็ นถ่ำนไว้ใช้หุงต้ม
66. ตำรำง กำรเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อนำน้ ำไปทดลองด้วยวิธีต่ำง ๆ (O-NET 2551)
จำกข้อมูลในตำรำง กำรทดลองในหลอดทดลองใดที่สมบัติของสำรไม่เปลี่ยนแปลง
1. หลอดที่ 1 2. หลอดที่ 2
3. หลอดที่ 3 4. หลอดที่ 4
32
67. ข้อมูลแสดงกำรเปลี่ยนแปลงของสำร เป็ นดังนี้ (O-NET 2560)
A. เกลือละลำยในน้ ำ B. น้ ำกลำยเป็ นไอ
C. ไม้ถูกเผำกลำยเป็ นถ่ำน D. ผลไม้ถกู บ่มจนสุ กงอม
E. เหล็กเกิดสนิม F. หยดน้ ำในอำกำศกลำยเป็ นลูกเห็บ
จำกข้อมูล ข้อใดเป็ นกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมีท้งั หมด
1. A B และ F 2. B C และ D
3. D E และ F 4. C D และ E
68. นักเรี ยนคนหนึ่งเตรี ยมเครื่ องดื่มน้ ำอัญชันมะนำว โดยมีข้นั ตอนดังนี้ (O-NET 2562)
1) ต้มน้ ำให้เดือดแล้วใส่ ดอกอัญชันสี น้ ำเงิน จะได้น้ ำอัญชันที่มีสีน้ ำเงิน
2) ใช้ผำ้ ขำวบำงกรองเพื่อแยกเอำน้ ำอัญชันซึ่งมีสีน้ ำเงิน
3) เติมน้ ำตำลทรำยลงไปในน้ ำอัญชัน ได้เป็ นน้ ำอัญชันที่มีสีน้ ำเงิน
4) เติมน้ ำมะนำวลงไปได้เป็ นน้ ำอัญชันมะนำวที่มีสีม่วง
จำกข้อมูล ขั้นตอนใดมีสำรใหม่เกิดขึ้น
1. ขั้นตอนที่ 1 2. ขั้นตอนที่ 2
3. ขั้นตอนที่ 3 4. ขั้นตอนที่ 4
33
69. นักเรี ยนบันทึกข้อมูลกำรเปลี่ยนแปลงของสำรที่เกิดขึ้นในกิจกรรมต่ำง ๆ เป็ นดังนี้
กิจกรรมที่ การกระทาและผลที่ได้
1 ปิ้ งขนมปัง แล้วขนมปังมีรอยไหม้
2 เติมน้ ำตำลทรำยลงในน้ ำ แล้วน้ ำตำลทรำยและน้ ำเปลี่ยนเป็ นน้ ำเชื่อม
3 วำงถ้วยใส่ น้ ำหวำนในช่องแช่แข็ง แล้วน้ ำหวำนเปลี่ยนเป็ นน้ ำแข็ง
34
71. พิจำรณำกำรเปลี่ยนแปลงต่อไปนี้
ก. ของแข็งสี ขำวละลำยในของเหลว
ข. ของเหลว 2 ชนิดผสมกันแล้วเกิดฟองแก๊ส
ค. ของแข็งสีขำวผสมน้ ำได้ของเหลวมีตะกอนสี ขำวที่กน้ ภำชนะ
ง. ของเหลว 2 ชนิดผสมกันแล้วเกิดของแข็งที่กน้ ภำชนะ
กำรเปลี่ยนแปลงคู่ใดเป็ นกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมี
1. ก และ ข 2. ข และ ค
3. ค และ ง 4. ข และ ง
72. เมื่อผสมของแข็ง A และของเหลว B เกิดฟองแก๊ส ถ้ำกำรเปลี่ยนแปลงนี้
เป็ นกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมี ฟองแก๊สที่เกิดขึ้นน่ำจะเป็ นสำรใด
1. A 2. B
3. ทั้ง A และ B 4.ไม่ใช่ท้งั A และB
ก. กำรระเหย กำรระเหิด
ข. กำรระเหิด กำรระเหย
ค. กำรระเหิด กำรระเหิดกลับ
ง. กำรระเหิดกลับ กำรระเหิด
35
75. กำรแยกสำรวิธีใดช่วยแยกเกลือป่ นที่ปนอยูก่ บั พริ กไทยป่ นได้เหมำะสมที่สุด
(O-NET 2554)
1. นำไปละลำยน้ ำแล้วนำไปต้มและนำไประเหยแห้ง
2. นำไปละลำยน้ ำแล้วนำไประเหยแห้งและนำไปกรอง
3. นำไปร่ อนแล้วนำไปละลำยน้ ำและนำไประเหยแห้ง
4. นำไปละลำยน้ ำแล้วนำไปกรองและนำไประเหยแห้ง
76. วิธีกำรใดเหมำะสมที่จะใช้แยกของผสมระหว่ำงเศษอิฐก้อนเล็ก ๆ กับทรำยออกจำกกัน
(O-NET 2551)
1. กำรร่ อน 2. กำรกรอง
3. กำรระเหิด 4. กำรระเหยแห้ง
77. เครื่ องแยกขนำดก้อนกรวด เกิดจำกกำรนำตะแกรงที่มีรูมำซ้อนกันตำมแนวตั้ง
แล้วเทกรวดลงด้ำนบน เครื่ องจะเขย่ำให้กรวดร่ วงมำจำกชั้น A ถึง D ซึ่งมีรูขนำด
เส้นผ่ำนศูนย์กลำง 0.30, 0.20, 0.10 เซนติเมตร และถำดทึบไม่มีรูตำมลำดับ ดังภำพ
A ผงละเอียด ดำ ดูด
B ผงละเอียด ขำว ไม่ดูด
C ก้อนขนำด 0.5 cm ดำ ดูด
D ก้อนขนำด 0.5 cm ใสไม่มีสี ไม่ดูด
A ผ่ำน ละลำย
B ไม่ผำ่ น ละลำย
C ผ่ำน ไม่ละลำย
D ไม่ผำ่ น ไม่ละลำย
37
80. ข้อมูลแสดงขนำดของสำรและสมบัติกำรละลำยน้ ำของสำร 3 ชนิด เป็ นดังนี้
38
81. สำรผสมประกอบด้วย สำร 4 ชนิด ที่มีลกั ษณะและสมบัติแตกต่ำงกันดังตำรำง
A ผงละเอียดเหมือนแป้ง ได้
B ผงละเอียดเท่ำเกลือป่ น ไม่ได้
C เม็ดขนำด 0.6 ซม. ได้
D เม็ดขนำด 0.4 ซม. ไม่ได้
หลังจำกใช้กระบวนกำรแยกสำรทุกขั้นตอนที่กำหนดให้ขำ้ งต้นแล้ว
ตัวเลือกข้อใดกล่ำวถูกต้อง (มีคำตอบถูก 2 ข้อ)
1. สำรที่แยกออกจำกสำรผสมได้เป็ นลำดับแรกคือ A
2. สำรที่แยกออกจำกสำรผสมได้เป็ นลำดับแรกคือ C
3. สำร A และ B ไม่สำมำรถแยกออกจำกกันได้
4. สำร B และ C ไม่สำมำรถแยกออกจำกกันได้
5. สำร B และ D ไม่สำมำรถแยกออกจำกกันได้
6. สำรทุกชนิดสำมำรถแยกออกเป็ นอิสระได้
39
82. สำร A B C และ D เป็ นสำรที่ไม่ละลำยน้ ำ และมีขนำดของสำรเมื่อเปรี ยบเทียบขนำดรู
ของตะแกรงกับขนำดรู ของวัสดุที่ใช้กรองสำร เป็ นดังนี้ (O-NET 2562)
ชนิด ขนาดของสารเมื่อเปรียบเทียบกับ
ของสาร ขนาดรูของตะแกรง ขนาดรูของวัสดุที่ใช้ กรองสาร
ขนำดของสำรใหญ่กว่ำรู ขนำดของสำรใหญ่กว่ำวัสดุ
A
ของตะแกรง ที่ใช้กรองสำร
ขนำดของสำรเล็กกว่ำรู ขนำดของสำรเล็กกว่ำวัสดุ
B
ของตะแกรง ที่ใช้กรองสำร
ขนำดของสำรใหญ่กว่ำรู ขนำดของสำรใหญ่กว่ำวัสดุ
C
ของตะแกรง ที่ใช้กรองสำร
ขนำดของสำรเล็กกว่ำรู ขนำดของสำรใหญ่กว่ำวัสดุ
D
ของตะแกรง ที่ใช้กรองสำร
40
83. นำของผสม ซึ่งประกอบด้วยสำร 3 ชนิด คือ สำร A สำร B และสำร C
มำแยกด้วยวิธีกำรดังนี้ (O-NET 2558)
41
84. นำสำรผสมที่ประกอบด้วยเกลือป่ น ผงเหล็ก และทรำยละเอียด ซึ่งอยูใ่ นบีกเกอร์ A
ไปแยกตำมขั้นตอนต่อไปนี้ (O-NET 2560)
ก. นำแม่เหล็กมำดูดสำรที่ผสมอยูใ่ นบีกเกอร์ A
ข. เติมน้ ำลงในบีกเกอร์ A คนสำรให้ผสมกัน แล้วนำไปกรองด้วยกระดำษกรอง
จะได้ของเหลวอยูในบีกเกอร์ B
ค. นำของเหลวที่อยูใ่ นบีกเกอร์ B ไปให้ควำมร้อน
ข้อควำมต่อไปนี้กล่ำวถูกต้องใช่หรื อไม่
ข้ อความ ใช่ หรื อ ไม่ ใช่
1. เมื่อแยกสำรผสมตำมขั้นตอน ก - ค สำรที่เหลืออยูใ่ นบีกเกอร์ B
ใช่/ไม่ใช่
คือ เกลือแกง
2. ถ้ำทำกำรทดลองในขั้นตอน ก - ข แล้ว จะสำมำรถแยกของแข็ง
ใช่/ไม่ใช่
ทั้งหมดออกจำกของเหลวที่อยูใ่ นบีกเกอร์ B ได้
3. ถ้ำไม่ได้ใช้วิธีกำรในขั้นตอน ก สำรละลำยที่ได้หลังกำรกรอง
ใช่/ไม่ใช่
จะมีผงเหล็กผสมอยูด่ ว้ ย
1. กระทำต่อลูกบอลลูนทุกทิศทำง 2. ทิศทำงขึ้นแนวดิ่ง
3. ทิศทำงลงในแนวดิ่ง 4. บอลลูนกำลังลอยขึ้น
จึงไม่มีแรงโน้มถ่วงกระทำต่อบอลลูน
43
3. จำกภำพ ข้อใดถูกต้อง
1. แรงโน้มถ่วงของโลกบริ เวณยอดเขำจะมีค่ำน้อย
กว่ำบริ เวณเชิงเขำ
2. แรงโน้มถ่วงของโลกที่กระทำต่อ ด.ช.เป็ นปลื้ม
ณ เชิงเขำกับยอดเขำ เท่ำกัน
3. ไม่มีแรงโน้มถ่วงของโลกกระทำต่อเครื่ องบิน
กระดำษ
4. แรงโน้มถ่วงของโลกที่กระทำต่อเครื่ องบิน
กระดำษบริ เวณเชิงเขำมีค่ำน้อยกว่ำเมื่อเทียบกับ
ยอดเขำ
44
6. ชัง่ ผลแตงโมบนโลกได้มวลเท่ำกับ 1 กิโลกรัม น้ ำหนัก 9.8 นิวตัน หำกนำแตงโมผลเดิม
ไปชัง่ บนดวงจันทร์ มวลและน้ ำหนักของแตงโมเป็ นอย่ำงไร
1. มวล 1 กิโลกรัม น้ ำหนัก 9.8 N
2. มวล 1 กิโลกรัม น้ ำหนักน้อยกว่ำ 9.8 N
3. มวลน้อยกว่ำ 1 กิโลกรัม น้ ำหนัก 9.8 N
4. มวลน้อยกว่ำ 1 กิโลกรัม น้ ำหนักน้อยกว่ำ 9.8 N
45
9. จำกภำพ ข้อใดกล่ำวได้ถูกต้อง
ภำพ ก ภำพ ข
1. ภำพ ก ใช้แรงเตะมำกกว่ำ เพรำะลูกฟุตบอลมีมวลน้อยกว่ำ
2. ภำพ ข ใช้แรงเตะน้อยกว่ำ เพรำะลูกฟุตบอลมีมวลมำกกว่ำ
3. ภำพ ข ใช้แรงในกำรเปลี่ยนแปลงกำรเคลื่อนที่ของลูกฟุตบอลน้อยกว่ำ
4. ภำพ ก มวลของลูกฟุตบอลน้อยกว่ำ จึงใช้แรงเตะน้อยกว่ำ
10. จำกภำพ ข้อใดกล่ำวได้ถูกต้อง
5 นิวตัน 3 นิวตัน
46
11. จำกภำพ A ออกแรงดันตูเ้ อกสำรใบหนึ่ง ด้วยแรง 1,000 นิวตัน ตูจ้ ึงเคลื่อนที่
ถ้ำ C ออกแรงดันตูใ้ บเดิมด้วยแรง 200 นิวตัน
B ต้องออกแรงกี่นิวตัน ตูจ้ ึงจะเคลื่อนที่ (O-NET 2554)
1,000 N
A
พื้นผิว
200 N
B C
พื้นผิว
47
13. รถลำกจูงออกแรง 1,000 นิวตัน ลำกรถที่ตกหล่ม โดยเจ้ำของรถช่วยออกแรง 100 นิวตัน
ผลักท้ำยรถ เนื่องจำกเครื่ องยนต์ไม่ทำงำน ทำให้ลำกรถขึ้นจำกหล่มได้พอดี
ถ้ำเจ้ำของรถไม่ช่วยออกแรงผลักรถที่ตกหล่ม รถลำกจูงต้องออกแรงเท่ำใด จึงลำกรถ
ขึ้นจำกหล่มได้ (O-NET 2551)
4N
5N 5N
ข้อใดสรุ ปถูกต้อง
1. ตูเ้ สื้ อผ้ำเคลื่อนที่ไปเล็กน้อย
2. ตูเ้ สื้ อผ้ำจะเคลื่อนที่ไปได้ไกลขึ้นด้วยแรง 2 แรง
3. ตูเ้ สื้ อผ้ำไม่เคลื่อนที่ดว้ ยแรง 2 แรงที่ไม่เท่ำกัน
4. ตูเ้ สื้ อผ้ำจะเคลื่อนที่เอียงไปทำงด้ำนข้ำงตำมแรงที่มำกกว่ำ
48
15. เมื่อออกแรงกระทำต่อวัตถุที่อยูน่ ิ่งบนพื้นลื่น ด้วยขนำดและทิศทำง ดังแสดงในภำพที่
1 - 4 ข้อใด ไม่ ถูกต้อง (สสวท.)
จำกภำพ ใช้ในกำรตอบคำถำมข้อ 16
49
จำกภำพ ใช้ในกำรตอบคำถำมข้อ 17
ทีม ก ทีม ข
จำกภำพ ใช้ในกำรตอบคำถำมข้อ 18
50
19. วัตถุหนึ่งอยูน่ ิ่งบนพื้นรำบ แผนภำพในข้อใดแสดงทิศทำงของแรงเสี ยดทำน
ที่กระทำต่อวัตถุได้ถูกต้อง
แรงเสี ยดทำน
1. 2.
แรงเสี ยดทำน แรงเสี ยดทำน
แรงเสี ยดทำน
แรงเสี ยดทำน
3. 4.
แรงเสี ยดทำน
1. 2.
แรงเสี ยดทำน
51
21. ในขณะที่ A B และ C กำลังช่วยกันดึงกล่องไปทำงขวำมือ เพื่อทำให้กล่องเคลื่อนที่
ไปบนพื้นรำบที่มีแรงเสี ยดทำน โดย A ออกแรง 10 นิวตัน B ออกแรง 10 นิวตัน และ C
ออกแรง 20 นิวตัน ถ้ำกล่องยังคงอยูน่ ิ่ง ข้อใดเป็ นกำรเขียนแผนภำพแสดงขนำด และ
ทิศทำงของแรงในแนวรำบที่กระทำต่อกล่องได้ถูกต้อง
กำหนดให้ 1 ช่องสเกล = 10 นิวตัน
A A
1. B 2. B
C C
แรงเสี ยดทำน
A A
3. B 4. B
C C
แรงเสี ยดทำน แรงเสี ยดทำน
1. ดิน 2. ปูน
3. ทรำย 4. หญ้ำ
52
24. ในกำรทดลองลำกกล่องใบเดียวกันบนพื้นผิวลักษณะต่ำง ๆ ด้วยตำชัง่ สปริ ง (ดังภำพ)
ชนิดที่ 1 5
ชนิดที่ 2 6
ชนิดที่ 3 7
ชนิดที่ 4 9
53
25. ออกแรงที่เท่ำกันในชุดกำรทดลอง A B C และ D ลำกแท่งไม้ให้เคลื่อนที่บนพื้นผิว
ชนิดต่ำง ๆจำกจุด X ไปยังจุด Y ดังภำพ (O-NET 2560)
แรงเสี ยดทำนในชุดกำรทดลองใดมีค่ำมำกที่สุด
1. A 2. B
3. C 4. D
26. ตาราง ระยะทำงที่กล่องเคลื่อนที่บนพื้นผิวลักษณะต่ำง ๆ เมื่อออกแรงผลักเท่ำกัน
ในระยะเวลำเท่ำกัน (O-NET 2553)
A 2.1
B 2.5
C 2.7
D 3.0
54
27. ตาราง ระยะทำงที่กล่องเคลื่อนที่ได้บนพื้นผิวลักษณะต่ำง ๆ เมื่อผลักด้วยแรงคงที่
ในระยะเวลำเท่ำกัน (O-NET 2551)
แข็งและเรี ยบ 3.0
แข็งและขรุ ขระ 2.5
นุ่มและเรี ยบ 2.7
นุ่มและขรุ ขระ 2.1
แรงผลัก
ครั้งที่ 1 วัตถุ วัตถุ
พื้น
เริ่ มต้น
แรงผลัก
ครั้งที่ 2 วัตถุ วัตถุ
พื้น
เริ่ มต้น
กำรทดลองครั้งนี้มีแรงเสี ยดทำนน้อยกว่ำ และครั้งดังกล่ำวใช้พ้นื ที่ชนิดใด
1. ครั้งที่ 1 และใช้พ้นื ยำง 2. ครั้งที่ 1 และใช้พ้นื กระจก
3. ครั้งที่ 2 และใช้พ้นื ยำง 4. ครั้งที่ 2 และใช้พ้นื กระจก
55
29. มะลิทดสอบแผ่นยำงชนิด A และชนิด B โดยวำงแผ่นยำงชนิด A บนพื้น
แล้วออกแรงดึงแผ่นยำงในทิศทำงขนำนกับพื้น ดังภำพ พร้อมทั้งบันทึกระยะทำง
ที่แผ่นยำงเคลื่อนที่ได้ในเวลำ 10 นำที
หำกต้องกำรเลือกแผ่นยำงจำกข้ำงต้นไปทำพื้นรองเท้ำเพื่อป้องกันกำรลื่นล้ม
ควรเลือกแผ่นยำงชนิดใด เพรำะเหตุใด (O-NET 2561)
56
30. เด็กชำยรักษำต้องกำรทดลองว่ำ ถ้ำออกแรงดึงแท่งไม้ที่วำงอยูบ่ นพื้นผิวชนิดต่ำง ๆ
ได้แก่ กระดำษทรำย กระดำษหนังสื อพิมพ์ พื้นหญ้ำ และพื้นโต๊ะให้เคลื่อนที่
จะออกแรงเท่ำกันหรื อไม่ (O-NET 2554)
ตัวแปรควบคุม ของกำรทดลองนี้คืออะไร
1. ทิศทำงกำรเคลื่อนที่ของแท่งไม้
2. แรงต้ำนกำรเคลื่อนที่ของแท่งไม้
3. แรงดันให้แท่งไม้เคลื่อนที่
4. น้ ำหนักของแท่งไม้
5. ควำมหยำบของพื้นผิว
6. ชนิดของพื้นผิว
ข้อใดคือตัวแปรต้นของกำรทดลองนี้
1. มวลของวัตถุ 2. ชนิดของพื้นผิว
3. ขนำดของแรง 4. ระยะทำงที่วตั ถุเคลื่อนที่
57
32. กำหนดประโยชน์ของแรงเสี ยดทำนดังนี้
A กำรสวมรองเท้ำผ้ำใบวิ่ง
B กำรใช้พ้นื เอียงขนของขึ้นที่สูง
C กำรใช้ตลับลูกปื นในระบบล้อและเพลำ
D กำรทำพื้นผิวถนนคอนกรี ตให้หยำบ
E กำรใช้รถเข็นของในห้ำงสรรพสิ นค้ำ
F กำรทำผิวยำงรถยนต์ให้มีร่องรอยเป็ นลวดลำย
ข้อใดเป็ นกำรใช้ประโยชน์จำกกำรเพิ่มแรงเสี ยดทำน (O-NET 2555)
1. A D F 2. A C F
3. B C F 4. B E F
1. ก ข ค 2. ข ค ง
3. ก ข ง 4. ก ค ง
58
34. จำกภำพ ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
1. มีประจุบวกมำกกว่ำประจุลบ
- -- -
+ ++
+ + 2. วัตถุเป็ นกลำงทำงไฟฟ้ำ
-- -
+ + 3. มีประจุลบมำกกว่ำประจุบวก
4. ไม่มีประจุไฟฟ้ำเลย
35. เมื่อถูแท่งแก้วกับผ้ำสักหลำด จะเกิดกำรถ่ำยโอนประจุไฟฟ้ำจำกแท่งแก้ว
ไปยังผ้ำสักหลำด ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
1. แท่งแก้วมีประจุไฟฟ้ำเป็ นบวก ผ้ำสักหลำดมีประจุไฟฟ้ำเป็ นลบ
2. แท่งแก้วมีประจุไฟฟ้ำเป็ นบวก ผ้ำสักหลำดมีประจุไฟฟ้ำเป็ นบวก
3. ผ้ำสักหลำดมีประจุไฟฟ้ำเป็ นบวก ผ้ำสักหลำดมีประจุไฟฟ้ำเป็ นลบ
4. ผ้ำสักหลำดมีประจุไฟฟ้ำเป็ นลบ ผ้ำสักหลำดมีประจุไฟฟ้ำเป็ นลบ
1. ลูกโป่ งจะเบนออกจำกัน
2. ลูกโป่ งจะเอียงเข้ำหำกัน
3. ลูกโป่ งทั้งสองจะมีประจุไฟฟ้ำเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
4. ลูกโป่ งทั้งสองจะมีประจุไฟฟ้ำรวมแตกต่ำงกัน
59
37. เมื่อนำหลอดพลำสติกที่ถูดว้ ยผ้ำสักหลำดเข้ำใกล้วตั ถุ A ที่แขวนด้วยเส้นเอ็น
พบว่ำวัตถุ A เบนออกจำกหลอดพลำสติก วัตถุ A คืออะไร
1. เศษกระดำษชิ้นเล็ก
2. ลูกโฟมขนำดเล็ก
3. หลอดพลำสติกที่ไม่ได้ถูดว้ ยผ้ำสักหลำด
4. หลอดพลำสติกที่ถูดว้ ยผ้ำสักหลำด
38. ขวดพลำสติก A และ B ทำจำกพลำสติกชนิดเดียวกัน เมื่อนำขวดพลำสติก A มำถูกบั
ผ้ำแห้ง และนำขวดพลำสติก B ถูกบั กระดำษเยือ่ แล้วนำมำเข้ำใกล้เม็ดโฟม
ซึ่งเป็ นกลำงทำงไฟฟ้ำ ข้อใดไม่ถูกต้อง
1. เกิดกำรถ่ำยโอนประจุไฟฟ้ำระหว่ำงขวดพลำสติกกับผ้ำ และขวดพลำสติก
กับกระดำษเยือ่
2. ประจุไฟฟ้ำบนขวดพลำสติก A และ B เป็ นประจุชนิดเดียวกัน
3. เมื่อนำขวดพลำสติกบริ เวณที่ถูท้งั สองใบมำเข้ำใกล้กนั อำจจะดึงดูดกัน
4. ขวดพลำสติก A ดึงดูดเม็ดโฟม ส่ วนขวดพลำสติก B ผลักเม็ดโฟม
60
40. เมื่อนำลูกโป่ งมำถูกบั พรม และนำท่อพีวีซีมำถูกบั ผ้ำปูโต๊ะ จำกนั้นนำลูกโป่ งและ
ท่อพีวีซีมำเข้ำใกล้เศษกระดำษ เศษกระดำษจะติดขึ้นมำกับลูกโป่ งและท่อพีวีซี
เหตุกำรณ์ใดต่อไปนี้อำจเกิดขึ้นได้
1. ท่อพีวีซีและลูกโป่ งผลักเส้นผมได้
2. ลูกโป่ งและท่อพีวีซีเป็ นกลำงทำงไฟฟ้ำ
3. พรมและผ้ำปูโต๊ะมีประจุไฟฟ้ำลบและประจุไฟฟ้ำบวกเท่ำเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
4. เมื่อนำลูกโป่ งและท่อพีวีซีดำ้ นที่ถูมำเข้ำใกล้กนั ลูกโป่ งอำจเบนออกจำกท่อพีวีซี
61
ข้ อสอบ : ชื่ อ ....................................................................
คะแนน..............
สำระที่ 2 : ว 2.3 ชั้น ...............................เลขที่............................
62
เมื่อนำวัสดุ A B และ C มำวำงไว้ระหว่ำง ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ งและรุ ้งกินน้ ำ
ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ งมองรุ ้งกินน้ ำผ่ำนวัสดุดงั กล่ำว ได้ผลกำรสังเกตดังนี้
1. A B C 2. C B A
3. B A C 4. A C B
63
5. ศึกษำกำรมองเห็นแสงผ่ำนวัตถุ A B C และ D โดยวำงเทียนไขและวัตถุก้ นั แสง
ครั้งละ 2 ชนิด ในแนวเดียวกัน ณ ตำแหน่งที่ 1 และ 2 ดังภำพ สังเกตแสงจำกเทียนไข
ผ่ำนวัตถุก้ นั แสงทั้งสอง จำกนั้นทำกำรทดลองซ้ ำโดยเปลี่ยนวัตถุก้ นั แสง
ผลเป็ นดังตำรำง (O-NET 2562)
64
6. ขณะที่นกั ดนตรี ดีดกีตำร์ดว้ ยตัวดีด (ปิ๊ ก) ผูฟ้ ังได้ยนิ เสี ยงกีตำร์ได้เนื่องจำกเหตุใด
(O-NET 2550)
1. สำยกีตำร์กระทบกับตัวกีตำร์เกิดเสี ยงออกมำ
2. สำยกีตำร์สั่นเพรำะถูกดีดจึงทำให้เกิดเสี ยงออกมำ
3. สำยกีตำร์ไม่ทำให้เกิดเสี ยง แต่ตวั ดีดทำให้เกิดเสี ยงออกมำ
4. สำยกีตำร์ที่ถูกดีดสั่นแล้วกระทบสำยกีตำร์ที่อยูต่ ิดกันทำให้
เกิดเสี ยงออกมำ
7. จำกภำพ ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
ก้อนหิน น้ ำ อำกำศ
65
8. ตำรำง ผลกำรฟังเสี ยงกระดิ่ง เมื่อเขย่ำขวดที่ปิดฝำสนิท ระหว่ำงขวดที่มีอำกำศ
และขวดที่สูบอำกำศออกหมด (O-NET 2550)
ขั้นที่ 1
กระดิ่งในขวด ได้ยนิ
ที่มีอำกำศ
เขย่าขวด
ขั้นที่ 2
สู บอำกำศออก ไม่ได้ยนิ
จนหมด
เขย่าขวด
สรุ ปผลของกำรทดลองนี้คืออะไร
1. ขนำดของขวดมีผลต่อกำรได้ยนิ เสี ยง
2. ควำมถี่ในกำรเขย่ำขวด ทำให้เกิดเสี ยง
3. เสี ยงเคลื่อนที่โดยอำศัยอำกำศเป็ นตัวกลำง
4. อำกำศมีผลต่อควำมถี่ในกำรสั่นของกระดิ่ง
66
9. จำกภำพ ข้อใดไม่ถูกต้อง
67
11. เด็ก 6 คน A B C D E และ F ยืนหันหน้ำเข้ำหำแหล่งกำเนิดเสี ยง และอยูบ่ นตำแหน่ง
ดังภำพ (O-NET 2554)
แหล่งกาเนิดเสี ยง
68
14. ขวดใบใดจะเกิดเสี ยงทุม้ ที่สุด และขวดใบใดเกิดควำมถี่ต่ำที่สุด ตำมลำดับ
1. 1 และ 3 2. 3 และ 1
3. 3 และ 2 4. 1 และ 1
ใบที่ 1 แหลมที่สุด
ใบที่ 2 แหลม
ใบที่ 3 ทุม้
ใบที่ 4 ทุม้ ที่สุด
69
16. ขวด 2 ใบ มีขนำดเท่ำกันและมีน้ ำบรรจุดว้ ยปริ มำณต่ำงกัน ดังรู ป เมื่อใช้ไม้รูปทรงเรี ยว
และแข็งเคำะข้ำงขวด ข้อใดถูกต้อง (สสวท.)
ขวด ก ขวด ข
กำรสั่นของขวด เสี ยง กำรสั่นของขวด เสี ยง
1 เร็ ว สู ง ช้ำ ต่ำ
2 ช้ำ สู ง เร็ ว ต่ำ
3 ช้ำ ต่ำ เร็ ว สู ง
4 เร็ ว ต่ำ ช้ำ สู ง
17. จำกภำพ แขวนแผ่นเหล็กชนิ ดเดี ยวกัน ที่ มีควำมหนำเท่ำ กัน แต่มีขนำดแตกต่ ำ งกัน
ถ้ำตีแผ่นเหล็กด้วยแรงที่เท่ำกัน ข้อใดถูกต้ อง (O-NET 2552)
70
18. ในรำยกำรทำงโทรทัศน์ นักร้องได้ร้องเพลงท่อนหนึ่งในทำนองเสี ยงที่เป็ นเสี ยงสู งมำก
ถ้ำนักร้องคนนี้เปรี ยบเสมือนแหล่งกำเนิดเสี ยง ในขณะที่นกั ร้องกำลังร้องเพลงท่อนนี้
ข้อใดกล่ำวถูกต้อง (O-NET 2556)
1. แหล่งกำเนิดเสี ยง สัน่ ช้ำ
2. แหล่งกำเนิดเสี ยง สั่นเร็ ว
3. แหล่งกำเนิดเสี ยง มีพลังงำนเสี ยงมำก
4. แหล่งกำเนิดเสี ยง มีพลังงำนเสี ยงน้อย
71
20. มำลีทดสอบกำรเกิดเสี ยงจำกกำรตีระนำดของเล่น ซึ่ งลูกระนำดแต่ละแผ่นมีควำมหนำ
เท่ำกัน โดยกำหนดแผ่นลูกระนำด X Yและ Z ดังภำพ จำกนั้น มำลีตีครั้งที่ 1 ที่แผ่น Y
แล้งฟังเสี ยงที่เกิดขึ้น (O-NET 2562)
72
22. ขวด 2 ใบ มีขนำดเท่ำกันและมีน้ ำบรรจุดว้ ยปริ มำณต่ำงกัน ดังรู ป เมื่อใช้ไม้รูปทรงเรี ยว
และแข็งเคำะข้ำงขวด แล้วฟังเสี ยงที่ได้ยนิ
73
24. ตำรำง ปริ มำณเวลำที่อนุญำตให้พนักงำนทำงำนได้อย่ำงปลอดภัยที่ควำมเข้มเสี ยง
เมื่อได้รับอย่ำงต่อเนื่องในระดับต่ำง ๆ (O-NET 2550)
74
ภำพ กำรต่อวงจรไฟฟ้ำ
25. จำกภำพ ส่ วนประกอบของวงจรที่ทำหน้ำที่เป็ นแหล่งกำเนิดไฟฟ้ำคืออะไร (O-NET 2551)
1. สำยไฟ 2. หลอดไฟ
3. ถ่ำนไฟฉำย 4. ลวดทองแดง
26. ข้อใดแสดงทิศทำงกำรเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้ำในวงจรไฟฟ้ำได้ถูกต้อง
1. 2.
3. 4.
75
27. วงจรไฟฟ้ำในภำพใดแสดงทิศทำงกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำถูกต้อง (O-NET 2551)
(เมื่อให้ แทนทิศกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำ)
1.
2.
3.
4.
76
28. จำกรู ปกำรต่อวงจรไฟฟ้ำ ข้อใดเขียนแผนภำพวงจรไฟฟ้ำได้ถูกต้อง
1. 2.
3. 4.
77
30. เด็กชำยโดม มีนำฬิกำเรื อนหนึ่ง ซึ่งต้องใช้เซลล์ไฟฟ้ำ 2 เซลล์ ต่อกันให้เกิดกระแสไฟฟ้ำ
1. 2.
3. 4.
78
31. ภำพใดที่หลอดไฟฟ้ำ เซลล์ไฟฟ้ำ สวิตช์ ต่อกันแบบอนุกรม (O-NET 2555)
79
ต่อวงจรไฟฟ้ำดังแผนภำพ
หลอดไฟฟ้า A หลอดไฟฟ้า B
1. สว่ำง ไม่สว่ำง
2. ไม่สว่ำง สว่ำง
3. สว่ำง สว่ำง
4. ไม่สว่ำง ไม่สว่ำง
เด็กหญิงลำยองจะเห็นหลอดไฟหลอดใดสว่ำงที่สุด
1. A 2. B 3. C 4. B และ C
80
พิจำรณำวงจรไฟฟ้ำดังรู ป (O-NET)
81
36. จำกภำพ นำหลอดไฟหมำยเลขใดออก แล้วทำให้หลอดไฟที่เหลือทุกดวงดับ
(O-NET 2551)
1. หลอดที่ 2 2. หลอดที่ 3
3. หลอดที่ 4 4. หลอดที่ 5
82
ภำพ ก ภำพ ข
38. จำกภำพข้อใดกล่ำวถูกต้อง (O-NET 2553)
1. ก เป็ นกำรต่อวงจรไฟฟ้ำแบบขนำน หำกหลอด A ดับ หลอด B จะดับด้วย
2. ก เป็ นกำรต่อวงจรไฟฟ้ำแบบอนุกรม หำกหลอด A ดับ หลอด B ยังสำมำรถใช้งำนได้
3. ข เป็ นกำรต่อวงจรไฟฟ้ำแบบอนุกรม หำกหลอด A ดับ หลอด B จะดับด้วย
4. ข เป็ นกำรต่อวงจรไฟฟ้ำแบบขนำน หำกหลอด A ดับ หลอด B ยังสำมำรถใช้งำนได้
ถ้ำ หลอดไฟฟ้ ำ ในแต่ ล ะวงจรช ำรุ ด 1 หลอด วงจรใดที่ ย งั คงมี ห ลอดไฟฟ้ ำ สว่ ำ งอยู่
และกำรต่อวงจรดังกล่ำวเป็ นแบบใด
ก. วงจร A ซึ่งเป็ นกำรต่อแบบขนำน
ข. วงจร A ซึ่งเป็ นกำรต่อแบบอนุกรม
ค. วงจร B ซึ่งเป็ นกำรต่อแบบขนำน
ง. วงจร B ซึ่งเป็ นกำรต่อแบบอนุกรม
83
40. ต่อวงจรไฟฟ้ำที่มีหลอดไฟฟ้ำ 3 หลอด แบบอนุกรม พบว่ำ หลอดไฟฟ้ำสว่ำง
ทั้ง 3 หลอด (O-NET 2562)
แผนภำพของวงจรไฟฟ้ำดังกล่ำวสอดคล้องกับข้อใด และถ้ำถอดหลอดไฟฟ้ำ
ในวงจรนี้ออก 1 หลอด จะเหลือหลอดไฟฟ้ำที่ยงั คงสว่ำงอยูจ่ ำนวนเท่ำใด
แผนภาพวงจรไฟฟ้า จานวนหลอดไฟฟ้าที่ยังคงสว่างอยู่
84
41. ต่อวงจรไฟฟ้ำดังภำพ (O-NET 2560)
85
42. ข้อใด ไม่ใช่เงำที่เกิดจำกวัตถุชนิดนี้
1. 2.
3. 4.
3. 4.
86
44. จำกรู ป บริ เวณใดเป็ นเงำ
1. 1 เท่ำนั้น
2. 1 และ 2
3. 2 และ 3
4. 1 2 และ 3
1. ทิศของแสง 2. ทิศของแสง
3. ทิศของแสง 4. ทิศของแสง
46. จำกภำพ
87
47. ภำพกำรทดลองในห้องมืด (O-NET 2557)
เงำมืดของวัตถุ A
C D
B
ข้อใดถูกต้อง
1. ตำแหน่ง A คือทิศเหนือ 2. ตำแหน่ง B คือทิศใต้
3. ตำแหน่ง C คือทิศเหนือ 4. ตำแหน่ง D คือทิศตะวันออก
88
ใช้ภำพในกำรตอบคำถำมข้อ 49 - 50
B
A
C
D
89