ข้อสอบ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์ กายภาพ (1) 2566

You might also like

Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 89

(ข้ อสอบ)

2566

1
สารบัญ
(ข้ อสอบ)

ว 2.1 

ว 2.2 

ว 2.3 

2
ข้ อสอบ : ชื่ อ ....................................................................
คะแนน..............
สำระที่ 2 : ว 2.1 ชั้น ...............................เลขที่............................

1. นำวัสดุ 3 ชนิดมำขูดกัน ได้ผลดังตำรำง (O-NET 2550)

ตาราง ผลกำรทดสอบควำมแข็งของวัสดุ
วัสดุที่นามาขูดกัน วัสดุที่เกิดรอย วัสดุที่ไม่ เกิดรอย
ชนิดที่ 1 และ 2 ชนิดที่ 2 ชนิดที่ 1
ชนิดที่ 2 และ 3 ชนิดที่ 2 ชนิดที่ 3
ชนิดที่ 1 และ 3 ชนิดที่ 1 ชนิดที่ 3

จำกตำรำง สำมำรถสรุ ปได้อย่ำงไร


1. วัสดุชนิดที่ 2 แข็งที่สุด 2. วัสดุชนิดที่ 3 แข็งที่สุด
3. วัสดุชนิดที่ 1 อ่อนที่สุด 4. วัสดุชนิดที่ 3 อ่อนที่สุด
2. มีวสั ดุ 3 ชนิดคือ 1 2 และ 3 ถ้ำนำวัสดุ 2 ชนิดมำขูดกัน ได้ผลดังตำรำง (O-NET 2552)
ตาราง ผลที่เกิดจำกกำรนำวัสดุ 2 ชนิดมำขูดกัน
ผลที่เกิดจาการนาวัสดุ 2 ชนิดมาขูดกัน
วัสดุที่นามาขูดกัน
วัสดุที่เกิดรอย วัสดุที่ไม่ เกิดรอย
ชนิดที่ 1 และ 2 ชนิดที่ 2 ชนิดที่ 1
ชนิดที่ 2 และ 3 ชนิดที่ 2 ชนิดที่ 3
ชนิดที่ 1 และ 3 ชนิดที่ 3 ชนิดที่ 1

จำกตำรำง ข้อควำมใดสรุ ปได้ถูกต้อง


1. วัสดุชนิดที่ 1 แข็งมำกที่สุด 2. วัสดุชนิดที่ 2 แข็งมำกที่สุด
3. วัสดุชนิดที่ 3 แข็งมำกที่สุด
4. วัสดุชนิดที่ 1 และ 3 แข็งมำกที่สุดเท่ำกัน
3
3. ช่ำงตัดกระจกจะใช้อุปกรณ์เป็ นวัสดุแหลมเพื่อตัดแผ่นกระจก วันหนึ่งอุปกรณ์ที่ตดั กระจก
ชำรุ ด จึงหำวัสดุปลำยแหลมมำเปลี่ยน ซึ่งพบว่ำ วัสดุ A และ B มีควำมแข็งมำกกว่ำกระจก
และวัสดุ C และ D มีควำมแข็งน้อยกว่ำกระจก (แบบฝึ กหัดท้ำยเล่ม หนังสือเรี ยน สสวท. ป.4)
ถ้ำนำวัสดุท้งั 4 ชนิดมำทดสอบโดยกำรตัดกระจก ผลกำรทดสอบในข้อใดต่อไปนี้
ก. วัสดุ A ตัดกระจกไม่ได้ ข. วัสดุ B ตัดกระจกได้
ค. วัสดุ C ตัดกระจกได้ ง. วัสดุ D ตัดกระจกได้

4. ทดสอบวัสดุ A B C และ D โดยใช้วสั ดุชนิดหนึ่งขูดขีดลงบนวัสดุอีกชนิดหนึ่ง


สังเกตและบันทึกผลได้ดงั ตำรำง (หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4 เล่ม 2)

ตาราง ลักษณะที่สังเกตได้บนแผ่นวัสดุ ✓ เกิดรอย  ไม่เกิดรอย


ผลที่สังเกตได้ บนวัสดุที่ถูกขูดขีด
วัสดุที่ขีด
A B C D
A ไม่ได้ทดสอบ   
B ✓ ไม่ได้ทดสอบ  ✓
C ✓ ✓ ไม่ได้ทดสอบ ✓
D ✓   ไม่ได้ทดสอบ

จำกข้อมูล จงเรี ยงลำดับวัสดุที่มีควำมแข็งจำกมำกที่สุดไปน้อยที่สุด


1. A D B และ C 2. C D A และ D
3. C B D และ A 4. B D A และ C

4
5. ตาราง ระดับควำมแข็งของแร่ ชนิดต่ำง ๆในหิน เรี ยงลำดับจำกน้อยไปมำก
(O-NET 2557)

ระดับความแข็ง ระดับความแข็ง
ชนิดแร่ ชนิดแร่
(1-10) (1-10)
ทัลก์ 1 หินฟันม้ำ 6
ยิปซัม 2 ควอรตซ์ 7
แคลไซต์ 3 โทแพซ 8
ฟลูออไรต์ 4 คอรันดัม 9
อะพำไทต์ 5 เพชร 10

เมื่อนำหิน 2 ก้อนที่มีแร่ เหล่ำนี้เป็ นองค์ประกอบ มำทดลองได้ผลดังนี้


ก. หิน A ขูดหิน B เป็ นรอย
ข. หิน A และหิน B ขูดแคลไซต์เป็ นรอย
ค. โทแพซขูดหิน A และหิน B เป็ นรอย
ง. หิน A ขูด ควอรตซ์ไม่เป็ นรอย
จ. ฟลูออไรต์ขดู หิน B ไม่เป็ นรอย

ข้อใดน่ำจะเป็ นไปได้
1. หิน A คือ หินฟันม้ำ หิน B คือ อะพำไทต์
2. หิน A คือ อะพำไทต์ หิน B คือ หินฟันม้ำ
3. หิน A คือ คอรันดัม หิน B คือ ยิปซัม
4. หิน A คือ ยิปซัม หิน B คือ คอรันดัม

5
6. ตาราง ระดับควำมแข็งของแร่ ชนิดต่ำง ๆ ในหิน เรี ยงลำดับจำกน้อยไปมำก
(ระดับ1 ไป ระดับ 10) (O-NET 2559)

ชนิดแร่ ระดับความแข็ง ชนิดแร่ ระดับความแข็ง


ทัลก์ 1 หินฟันม้ำ 6
ยิปซัม 2 ควอรตซ์ 7
แคลไซต์ 3 โทแพซ 8
ฟลูออไรต์ 4 คอรันดัม 9
อะพำไทต์ 5 เพชร 10

พิจำรณำจำกตำรำง ข้อสรุ ปเกี่ยวกับควำมแข็งของแร่ ข้อใดถูกต้อง


1. แร่ หินฟันม้ำและแร่ อะพำไทต์มีระดับควำมแข็งปำนกลำง ขูดกันไม่เป็ นรอย
2. แร่ ทลั ก์และแร่ ยปิ ซัมขูดแร่ แคลไซต์เป็ นรอย
3. แร่ ฟลูออไรต์ขดู แร่ ยปิ ซัมไม่เป็ นรอย
4. แร่ ทลั ก์ขดู แร่ ควอรตซ์ไม่เป็ นรอย
7. ข้อมูลแสดงผลกำรวัดควำมยำวของเส้นวัสดุ 4 ชนิด จำกกำรทดลอง เป็ นดังนี้
ตาราง ควำมยำววัสดุ 4 ชนิด ก่อนแขวน ขณะแขวน และหลังนำถุงทรำยออก
(หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4 เล่ม 2)

ความยาวของวัสดุ (เซนติเมตร)
ชนิดของวัสดุ
ก่อนแขวนถุงทราย ขณะแขวนถุงทราย หลังนาถุงทรายออก
1 25 26 26
2 25 28 26
3 25 31 27
4 25 30 25

จำกข้อมูล วัสดุชนิดใดมีสภำพยืดหยุน่
1. ชนิดที่ 1 2. ชนิดที่ 2
3. ชนิดที่ 3 4. ชนิดที่ 4
6
8. ทดสอบสมบัติของเส้นเอ็นยืด A B และ C ที่มีขนำดเท่ำกัน และมีควำมยำวเริ่ มต้น
17 เซนติเมตรโดยผูกเส้นเอ็นยืดเข้ำกับคำนได้ดงั ภำพ (O-NET 2562)

แขวนตุม้ น้ ำหนักมวล 2 กิโลกรัม ที่ขอเกี่ยว


ของแต่ละเส้น แล้วบันทึกควำมยำว
เส้นเอ็นยืด ของเส้นเอ็นยืดขณะแขวน
และหลังจำกนำตุม้ น้ ำหนักออก ได้ผลดังนี้
ข้อเกี่ยว
ตุม้ น้ ำหนัก

ความยาวของเส้ นเอ็นยืด (เซนติเมตร)


ชนิดของเส้ นเอ็นยืด
ขณะแขวนตุ้มน้าหนัก หลังนาตุ้มน้าหนักออก
A 19 19
B 18 17
C 20 18

จำกข้อมูล ข้อใดเรี ยงลำดับเส้นเอ็นยืดที่มีสภำพยืดหยุน่ จำกมำกไปน้อยได้ถูกต้อง


1. เส้นเอ็นยืด B A และ C
2. เส้นเอ็นยืด B C และ A
3. เส้นเอ็นยืด A C และ B
4. เส้นเอ็นยืด C A และ B

9. ตัวนำควำมร้อนหมำยถึงวัสดุที่มีสมบัติในข้อใด (หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4 เล่ม 2)


1. เก็บควำมร้อนได้มำก 2. ให้ควำมร้อนผ่ำนได้ดี
3. ผลิตควำมร้อนได้มำก 4. ให้ควำมร้อนได้ดี

7
10. หำกไม่ใช้ผำ้ จับที่หูหม้อต้มน้ ำร้อน จะเกิดสิ่ งใดขึ้น

1. ควำมร้อนจำกหม้อจะถ่ำยโอนไปสู่ มือ
2. ควำมร้อนจำกหม้อจะถ่ำยโอนไปสู่ น้ ำ
3. มือสู ญเสี ยควำมร้อนให้แก่หม้อ
4. หม้อสู ญเสี ยควำมร้อนให้แก่ผำ้

11. กำรแยกแก้วน้ ำที่ซอ้ นติดกันแน่นออกจำกกันด้วยกำรแช่แก้วลงในน้ ำร้อนเป็ น


กำรใช้ควำมรู ้เรื่ องใด (O-NET 2550)

1. เมื่อสสำรได้รับควำมร้อนจะละลำย
2. เมื่อสสำรได้รับควำมร้อนจะขยำยตัว
3. เมื่อสสำรได้รับควำมร้อนจะกลำยเป็ นไอ
4. เมื่อสสำรได้รับควำมร้อนจะหลอมเหลว

12. กำรส่ งผ่ำนควำมร้อนในข้อใดเป็ นกำรนำควำมร้อน (O-NET 2555)

1. กำรปิ้ งปลำ
2. กำรเช็ดตัวเมื่อมีไข้
3. กำรคัว่ ถัว่ ลิสงผสมทรำย
4. กำรส่ องแสงของดวงอำทิตย์

8
13. เครื่ องใช้ในครัวสองชนิดในข้อใดมีหลักกำรทำงำนคล้ำยกันที่สุด (O-NET 2558)

1. หม้อตุ๋น เตำถ่ำนย่ำงไก่
2. หวดนึ่งข้ำวเหนียว หม้อตุ๋น
3. ซึ้งหรื อลังถึง หวดนึ่งข้ำวเหนียว
4. เตำถ่ำนย่ำงไก่ ซึ้งหรื อลังถึง

14. นำเทอร์โมมิเตอร์ไปแช่ในน้ ำที่มีอุณหภูมิ 30 องศำเซลเซียส แล้วใส่ วตั ถุร้อนที่มีอุณหภูมิ


80 องศำเซลเซียส ชนิดต่ำง ๆ ลงไป ดังภำพ (O-NET 2559)

เทอร์โมมิเตอร์

น้ ำ
วัตถุร้อน

วัตถุร้อนชนิดใด ที่ทำให้อุณหภูมิของน้ ำสู งขึ้นได้รวดเร็ วที่สุด


1. แก้ว 2. แท่งไม้
3. ทองแดง 4. กระเบื้องดินเผำ

15. ต้องกำรทำภำชนะเพื่อให้เก็บควำมร้อนได้นำนควรทำจำกวัสดุชนิดใด (O-NET 2552)


1. เหล็ก 2. พลำสติก
3. ทองเหลือง 4. กระเบื้องเคลือบ

9
16. ใส่ น้ ำปริ มำณเท่ำกันที่อุณหภูมิ 20 OC ลงในภำชนะที่ทำด้วยวัสดุ 4 ชนิด
แล้วแช่ในอ่ำงน้ ำร้อนที่อุณหภูมิ 80 OC ดังภำพ (O-NET 2551)

20 CO
20 C
O
20 C
O
20 C
O
น้ ำร้อน 80 OC

แก้ว ทองแดง พลำสติก กระเบื้อง


เมื่อเวลำผ่ำนไป 3 นำที น้ ำในภำชนะที่ทำด้วยวัสดุชนิดใดจะมีอุณหภูมิสูงที่สุด
1. แก้ว 2. ทองแดง
3. พลำสติก 4. กระเบื้อง

17. ให้พลังงำนควำมร้อนเท่ำกันเพื่อต้มน้ ำ 50 ลูกบำศก์เซนติเมตร ในบีกเกอร์ขนำดเท่ำกัน


ที่ทำด้วยวัสดุต่ำงกัน บันทึกเวลำที่ทำให้น้ ำเดือด ได้ผลตำมตำรำง

ตาราง เวลำที่ใช้ในกำรทำให้น้ ำเดือดเมื่อต้มน้ ำในบีกเกอร์ ที่ทำด้วยวัสดุต่ำงกัน


วัสดุที่ใช้ ทาบีกเกอร์ เวลาที่ใช้ ในการทาให้ น้าเดือด (นาที)
A 5
B 9
C 8
D 7

จำกข้อมูล วัสดุชนิดใดถ่ำยโอนควำมร้อนได้ชำ้ ที่สุด (O-NET 2552)

1. A 2. B
3. C 4. D

10
18. นักเรี ยนคนหนึ่งทดสอบกำรนำควำมร้อนของวัสดุ 4 ชนิด คือ W X Y และ Z
ในชุดกำรนำควำมร้อน โดยวำงดินน้ ำมันขนำดเท่ำกันที่ปลำยวัสดุท้ งั 4 ชนิด เริ่ มจับเวลำ
ตั้งแต่ใส่ น้ ำร้อนจนดินน้ ำมันเริ่ มเยิม้ ได้ผลดังตำรำง (หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4 เล่ม 2)

ตาราง กำรทดสอบกำรนำควำมร้อนของวัสดุท้งั 4 ชนิด


วัสดุ เวลาตั้งแต่ เริ่มใส่ น้าร้ อนจนดินน้ามันเริ่มเยิม้ (นาที)
W 2
X 1
Y 5
Z 3

กำรทดลองนี้ตวั แปรต้นคืออะไร ตัวแปรตำมคืออะไร


1. ชนิดของวัสดุ ระยะเวลำตั้งแต่ใส่ น้ ำร้อนจนดินน้ ำมันเริ่ มเยิม้
2. กำรนำควำมร้อน ชนิดของวัสดุ
3. ขนำดของดินน้ ำมัน เวลำตั้งแต่ใส่ น้ ำร้อนจนดินน้ ำมันเริ่ มเยิม้
4. ชนิดของวัสดุ กำรนำควำมร้อน

19. จำกข้อ 18 ลำดับของวัสดุที่นำควำมร้อนได้มำกที่สุดไปน้อยที่สุดเป็ นอย่ำงไร


1. Y Z W X 2. Z Y X W
3. X W Z Y 4. W Z X Y

20. จำกข้อ 18 วัสดุใดเหมำะสมในกำรทำด้ำมทัพพีและตัวกระทะ ตำมลำดับ


1. ด้ำมทัพพี ใช้วสั ดุ Y ส่ วน ตัวกระทะใช้วสั ดุ W
2. ด้ำมทัพพี ใช้วสั ดุ W ส่วน ตัวกระทะใช้วสั ดุ Z
3. ด้ำมทัพพี ใช้วสั ดุ X ส่ วน ตัวกระทะใช้วสั ดุ Y
4. ด้ำมทัพพี ใช้วสั ดุ Y ส่ วน ตัวกระทะใช้วสั ดุ X

11
21. นำโลหะ A B C และ D จุ่มในบีกเกอร์ ที่มีน้ ำเดือดเป็ นเวลำ 2 นำที พบว่ำ โลหะ A B C
และ D มีอุณหภูมิต่ำงกันตำมตำรำง (O-NET 2557)

ตาราง อุณหภูมิของโลหะชนิดต่ำง ๆ ก่อนจุ่ม และหลังจุ่มในน้ ำเดือด


อุณหภูมิของโลหะ(C)
ชนิดของโลหะ
ก่อนจุ่ม OC หลังจุ่ม OC
A 30 80
B 30 50
C 30 35
D 30 95
ในกำรผลิตภำชนะหุงต้ม จะเลือกใช้โลหะชนิดใดจึงเหมำะสมที่สุด
1. A 2. B
3. C 4. D

22. แท่งโลหะ 4 ชนิด แต่ละแท่งมีขนำดและควำมยำวเท่ำกัน จุ่มในบีกเกอร์ ที่มีน้ ำเดือด


นำน 5 นำที พบว่ำแท่งโลหะทั้ง 4 มีอุณหภูมิแตกต่ำงกันดังตำรำง

อุณหภูมิของแท่ งโลหะ( CO )
แท่ งโลหะ
ก่อนจุ่มน้าเดือด หลังจุ่มน้าเดือด
A 25 65
B 25 70
C 25 45
D 25 55

ควรเลือกใช้โลหะใดในกำรผลิตกระทะสำหรับประกอบอำหำร
1. A 2. B
3. C 4. D
12
23. นำแก้วที่ทำจำกวัสดุต่ำงกัน 4 ชนิด มำใส่ น้ ำอุณหภูมิ 90 องศำเซลเซียส แล้วตั้งไว้
ที่บริ เวณเดียวกัน เมื่อเวลำผ่ำนไป 10 นำที พบว่ำ น้ ำในแก้วมีอุณหภูมิเปลี่ยนไป ดังนี้

อุณหภูมิของน้าในแก้วเมื่อเวลาผ่านไป 10 นาที
วัสดุ
(องศาเซลเซียส)
A 70
B 65
C 60
D 55

ถ้ำนำวัสดุท้งั 4 ชนิดนี้ไปทำกระติกที่มีลกั ษณะเหมือนกัน แล้วใส่ น้ ำแข็งปริ มำณเท่ำกัน


น้ ำแข็งในกระติกที่ทำจำกวัสดุชนิดใดจะหลอมเหลวช้ำที่สุด (O-NET 2560)

1. A 2. B
3. C 4. D
24. ตัวนำไฟฟ้ำหมำยถึงวัสดุที่มีคุณสมบัติในข้อใด (หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4 เล่ม 2)
1. เก็บไฟฟ้ำได้ดีมำก 2. ผลิตไฟฟ้ำได้มำก
3. ให้ไฟฟ้ำผ่ำนได้ดีมำก 4. ให้ไฟฟ้ำผ่ำนได้นอ้ ยมำก

25. ส่ วนใดของหลอดไฟฟ้ำที่นำไฟฟ้ำได้
A
C
B

1. A 2. A และ B 3. A และ C 4. B และ C

13
26. จำกภำพวงจรไฟฟ้ำ (O-NET 2556)

หำกต้องกำรให้หลอดไฟฟ้ำสว่ำง ตำแหน่ง A ควรเป็ นวัสดุในข้อใด


1. แท่งแก้ว ไส้ดินสอ 2. ไม้จิ้มฟัน เหรี ยญเงิน
3. แท่งแก้ว เหรี ยญเงิน 4. ไส้ดินสอ ลวดเสี ยบกระดำษ

27. วัตถุ A คือวัตถุในข้อใด ที่เมื่อต่อในวงจรแล้วทำให้หลอดไฟฟ้ำสว่ำง (O-NET 2559)

วัตถุ A

1. ตะปู เชือก
2. ไส้ดินสอ เข็มกลัด
3. ยำงลบ ลวดเย็บกระดำษ
4. เข็มเย็บผ้ำ ไม้บรรทัดพลำสติก

14
28. ทดสอบสมบัติกำรนำไฟฟ้ำของวัตถุ A B และ C โดยต่อวงจรไฟฟ้ำ ดังภำพ
เมื่อกดสวิตช์ พบว่ำ หลอดไฟฟ้ำสว่ำงเพียง 1 หลอด (O-NET 2562)

วัตถุ A B และ C ควรเป็ นวัสดุประเภทใด


วัตถุ A วัตถุ B วัตถุ C
1. ฉนวนไฟฟ้ำ ตัวนำไฟฟ้ำ ตัวนำไฟฟ้ำ
2. ฉนวนไฟฟ้ำ ฉนวนไฟฟ้ำ ตัวนำไฟฟ้ำ
3. ตัวนำไฟฟ้ำ ตัวนำไฟฟ้ำ ฉนวนไฟฟ้ำ
4. ตัวนำไฟฟ้ำ ฉนวนไฟฟ้ำ ฉนวนไฟฟ้ำ

15
29. ตาราง สมบัติของวัสดุต่ำง ๆ
การทดสอบสมบัติของวัสดุ
วัสดุ ความยืดหยุ่น การนาความร้ อน การนาไฟฟ้า
A ✓  
B   
C  ✓ ✓

วัสดุ A B และ C คือ วัตถุในข้อใด ตำมลำดับ


1. หนังยำง ถ้วยกระเบื้อง ช้อนเหล็ก
2. อะลูมิเนียม หนังยำง ตะปู
3. ถุงพลำสติก หนังยำง หม้ออะลูมิเนียม
4. เส้นเอ็น แก้วพลำสติก กระดำษ

30. ข้อมูลแสดงสมบัติของวัสดุ 4 ชนิด ดังตำรำง (หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4 เล่ม 2)

ตาราง สมบัติทำงกำยภำพของวัสดุ 4 ชนิด


31.

วัสดุ ความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การนาไฟฟ้า การนาความร้ อน


A เกิดรอยง่ำย ไม่ยดื หยุน่ นำไฟฟ้ำ ไม่นำควำมร้อน
B เกิดรอยยำก ไม่ยดื หยุน่ นำไฟฟ้ำ นำควำมร้อน
C เกิดรอยง่ำย ยืดหยุน่ ไม่นำไฟฟ้ำ ไม่นำควำมร้อน
D เกิดรอยยำก ยืดหยุน่ ไม่นำไฟฟ้ำ นำควำมร้อน

จำกข้อมูล ถ้ำต้องกำรทำรองเท้ำแตะที่ทนทำนและปลอดภัย ควรเลือกวัสดุชนิดใด


1. A 2. B 3. C 4. D

16
32. ภำพตัดขวำงส่ วนประกอบของเตำรี ดตัวหนึ่ง เป็ นดังรู ป (แบบฝึ กหัดท้ำยเล่ม หนังสือเรี ยน สสวท. ป.4)

ที่จบั และแผ่นรี ดควรทำจำกวัสดุชนิดใด เพรำะเหตุใด


1. ที่จบั ควรทำจำกโลหะ เพรำะทนต่อกำรขูดขีด
2. ที่จบั ควรทำจำกยำง เพรำะนำควำมร้อนได้ดี
3. แผ่นรี ดควรทำจำกโลหะ เพรำะนำไฟฟ้ำได้ดี
4. แผ่นรี ดควรทำจำกโลหะ เพรำะนำควำมร้อนได้ดี

33. ขวดใบที่ 1 และ 2 บรรจุของเหลวได้ 50 และ 100 ลูกบำศก์เซนติเมตร ตำมลำดับ


ถ้ำเทของเหลวชนิดหนึ่ง จำนวน 50 ลูกบำศก์เซนติเมตร ลงในขวดแต่ละใบ
ของเหลวในแต่ละขวดจะมีปริ มำตรเท่ำใด

ขวดใบที่ 1 ขวดใบที่ 2
ก. 50 50
ข. 50 100
ค. 100 50
ง. 100 100

17
34. เทน้ ำส้มปริ มำตร 1 ลิตร จำกภำชนะที่ 1 ลงในภำชนะที่ 2 และ 3 ตำมลำดับ
สมบัติใดเปลี่ยนแปลงไป

1. สี 2. น้ ำหนัก 3. รู ปร่ ำง 4. ปริ มำตร

35. ถ้ำเทน้ ำจำกถังที่ 1 ดังรู ป ไปถังที่ 2 จนหมด ข้อควำมใดกล่ำวถูกต้อง

ถังที่ 1 ถังที่ 2

1. ปริ มำตรและรู ปร่ ำงของน้ ำเปลี่ยนไปตำมภำชนะ


2. ปริ มำตรของน้ ำเปลี่ยนแปลงแต่รูปร่ ำงไม่เปลี่ยนแปลง
3. ปริ มำตรของน้ ำไม่เปลี่ยนแปลงแต่รูปร่ ำงเปลี่ยนแปลง
4. ทั้งปริ มำตรและรู ปร่ ำงของน้ ำไม่เปลี่ยนแปลง

18
36. เด็กหญิงพุทธิดำ บันทึกผลกำรทดสอบสำร X,Y และ Z ในด้ำนกำรเปลี่ยนแปลงรู ปร่ ำง
และปริ มำตรได้ผลกำรทดลองดังตำรำง

รูปร่ าง ปริมาตร
ชนิดของสาร
คงที่ ไม่คงที่ คงที่ ไม่คงที่
X ✓ ✓
Y ✓ ✓
Z ✓ ✓

ข้อใดกล่ำวถูกต้อง เกี่ยวกับสถำนะของสำร X, Y และ Z ตำมลำดับ


1. ของแข็ง ของเหลว แก๊ส 2. แก๊ส ของแข็ง ของเหลว
3. ของเหลว ของแข็ง แก๊ส 4. ของเหลว แก๊ส ของแข็ง

สำร 3 ชนิด คือ A B และ C ต่ำงมีมวลและต้องกำรที่อยู่ แต่สมบัติดำ้ นรู ปร่ ำงและปริ มำตร
เป็ นดังนี้ (แบบฝึ กหัดท้ำยบทที่ 2 หนังสือเรี ยน สสวท. ป.4)

สาร ปริมาตร รูปร่ าง


A คงที่ คงที่
B เปลี่ยนแปลงตำมภำชนะที่บรรจุ เปลี่ยนแปลงตำมภำชนะที่บรรจุ
C คงที่ เปลี่ยนแปลงตำมภำชนะที่บรรจุ

ใช้ขอ้ มูลในตำรำงตอบคำถำมข้อ 37- 39


37. สำรใดมีสถำนะเป็ นของแข็ง
ก. สำร A ข. สำร B
ค. สำร C ง. สำร A และ B

19
38. สำรใดมีสถำนะเป็ นของเหลว
ก. สำร A ข. สำร B
ค. สำร C ง. สำร A และ B
39. สำรใดมีสถำนะเป็ นแก๊ส
ก. สำร A ข. สำร B
ค. สำร C ง. สำร A และ B
40. บรรจุแก๊สชนิดหนึ่งในขวดที่มีลูกโป่ งครอบอยูท่ ี่ปำกขวด สังเกตลักษณะของขวด
และลูกโป่ ง ดังรู ป (ข้อสอบท้ำยเล่ม หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4)

ข้อควำมใดต่อไปนี้ถูกต้อง
1. ตำแหน่ง B ไม่มีแก๊สอยู่ เพรำะลูกโป่ งพองไม่มำก
2. ตำแหน่ง D เท่ำนั้นที่มีแก๊ส เพรำะแก๊สมีมวล
3. ตำแหน่ง A มีแก๊สอยู่ เพรำะแก๊สมีรูปร่ ำงตำมภำชนะ
4. ตำแหน่ง C ไม่มีแก๊ส เพรำะแก๊สลอยขึ้นไปอยูด่ ำ้ นบนของขวด
41. บรรจุแก๊สชนิดหนึ่งลงในถังขนำด 20 ลิตร และ 40 ลิตร ถังละ 20 กิโลกรัม
ข้อเปรี ยบเทียบใดถูกต้องที่สุด (แบบฝึ กหัดท้ำยบทที่ 2 หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.4)

1. มวลและปริ มำตรของแก๊สทั้งสองถังเท่ำกัน
2. มวลของแก๊สไม่เท่ำกัน แต่ปริ มำตรของแก๊สเท่ำกัน
3. มวลของแก๊สเท่ำกันแต่ปริ มำตรของแก๊สไม่เท่ำกัน
4. มวลและปริ มำตรของแก๊สทั้งสองถังไม่เท่ำกัน

20
42. เมื่อพิจำรณำสถำนะของสำรทั้ง 3 ชนิด A, B และ C ควรเป็ นสำรใดตำมลำดับ
(วิชำกำรนำนำชำติ ระดับประเทศ ปี 54)

รูปร่ าง ปริมาตร
ชนิดของสาร
คงที่ ไม่ คงที่ คงที่ ไม่ คงที
A - ✓ - ✓
B - ✓ ✓ -
C ✓ - ✓ -

1. น้ ำเกลือ ทองแดง โอโซน 2. ทองคำ ปรอท LPG


3. NGV ฟิ วส์ น้ ำปลำ 4. อำกำศ น้ ำเชื่อม สังกะสี

43. จงพิจำรณำข้อมูลสมบัติของสำรในตำรำง และรู ปแสดงอนุภำคของสำร ดังนี้


(สสวท. 2553)

สาร มวล ปริมาตร รูปร่ าง


ก มี ไม่คงที่ ไม่คงที่
ข มี คงที่ คงที่
ค มี คงที่ ไม่คงที่
A B C
จำกข้อมูลในตำรำงและรู ปที่กำหนดให้ ข้อใด สรุ ปได้ถูกต้อง
1. สำร ข มีควำมสัมพันธ์กบั รู ป B และสมบัติของของแข็ง
2. สำร ก มีควำมสัมพันธ์กบั รู ป A และสมบัติของของเหลว
3. สำร ค มีควำมสัมพันธ์กบั รู ป B และสมบัติของของเหลว
4. สำร ก, ข และ ค มีควำมสัมพันธ์กบั รู ป C, B และ A ตำมลำดับ

21
44. ใส่ น้ ำแข็งในขวดแล้วครอบด้วยถุงพลำสติกให้แน่น แล้วให้ควำมร้อนจนน้ ำแข็ง
เปลี่ยนสถำนะเป็ นน้ ำ และน้ ำเปลี่ยนสถำนะเป็ นไอน้ ำ ดังภำพ 1, 2 และ 3 ตำมลำดับ
มวลของสำรในขวดในภำพ เป็ นอย่ำงไร (O-NET 2552)

1. ทั้ง 3 ภำพมีมวลเท่ำกัน
2. ภำพ 1 มีมวลน้อยกว่ำขวดในภำพที่ 3
3. ภำพ 1 มีมวลมำกกว่ำขวดในภำพที่ 2
4. ภำพ 2 มีมวลมำกกว่ำขวดในภำพที่ 3
45. สสำรกลุ่มใดต่อไปนี้มีสถำนะเป็ นของแข็ง ของเหลว และแก๊สตำมลำดับ (O-NET 2550)
1. เกลือ น้ ำเชื่อม สำรส้ม
2. ไอน้ ำ น้ ำปลำ น้ ำตำลทรำย
3. ผงซักฟอก น้ ำมันพืช อำกำศ
4. น้ ำเกลือ ควันไฟ น้ ำส้มสำยชู

46. โลหะชนิดใดมีสถำนะเป็ นของเหลวที่อุณหภูมิหอ้ ง (O-NET 2551)

1. เหล็ก 2. ปรอท
3. ตะกัว่ 4. ทองแดง

22
47. สำรกลุ่มใดมีสถำนะเดียวกันทุกชนิด (O-NET 2552)

1. ออกซิเจน ลม น้ ำอัดลม

2. น้ ำมัน น้ ำตำล น้ ำปลำ

3. ปรอท น้ ำเชื่อม น้ ำอัดลม

4. ทองคำเปลว ปรอท ทองเหลือง

48. สำรในข้อใดต่อไปนี้ที่จดั อยูใ่ นสถำนะเดียวกันทั้งหมด (O-NET 2556)

1. สบู่ ยำสี ฟัน ยำสระผม

2. น้ ำตำลทรำย น้ ำปลำ น้ ำเชื่อม

3. น้ ำอัดลม น้ ำแข็ง น้ ำโซดำ

4. น้ ำส้มสำยชู น้ ำมันพืช แอลกอฮอล์

49. ข้อใดจัดเป็ นสำรเนื้อผสมทั้งหมด (O-NET 2556)

1. น้ ำเกลือ น้ ำเชื่อม น้ ำปลำ

2. น้ ำนม น้ ำส้มสำยชู น้ ำพริ ก

3. น้ ำจิ้มปลำ น้ ำโคลน น้ ำแป้ง

4. น้ ำส้มคั้น น้ ำคลอง น้ ำประปำ

23
50. พิจำรณำสำรในแต่ละข้อต่อไปนี้ (O-NET 2560)

ก.

แชมพูในขวดรู ปชมพู่ แชมพูในขวดรู ปดำว


ข.

อำกำศในลูกโป่ งรู ปหัวใจ อำกำศในลูกโป่ งรู ปกระต่ำย


ค.

ก้อนยำงลมในแก้วใส ก้อนยำงลมในกล่องพลำสติกใส
จำกข้อมูล ถ้ำสำรในแต่ละข้อมีมวลหรื อปริ มำตรเท่ำกัน สำรใดที่แสดงสมบัติ
“สำรมีรูปร่ ำงคงที่”
1. แชมพูเท่ำนั้น 2. แชมพูและอำกำศ
3. ก้อนยำงลบเท่ำนั้น 4. อำกำศและก้อนยำงลบ

24
51. นำสำร A และ B ซึ่งแต่ละชนิดมีปริ มำตร 500 ลูกบำศก์เซนติเมตรใส่ ในภำชนะใส
มีฝำบิดที่มีรูปทรงและควำมจุแตกต่ำงกัน 3 ใบ สังเกตลักษณะของสำรที่อยูใ่ นภำชนะได้
ดังภำพ (O-NET 2561)

ลักษณะของสารที่อยู่ในภาชนะความจุต่าง ๆ
สาร 500 800 1,000
ลูกบาศก์เซนติเมตร ลูกบาศก์เซนติเมตร ลูกบาศก์เซนติเมตร

จำกข้อมูล สำร A และสำร B มีสถำนะใดตำมลำดับ


1. แก๊ส และของแข็ง 2. ของเหลว และแก๊ส
3. ของแข็ง และของเหลว 4. ของเหลว และของเหลว

25
52. พิจำรณำแผนภำพข้ำงล่ำง (O-NET 2554)

5
1 2
ของแข็ง ของเหลว แก๊ส
4 3

ข้อใดอธิบำยไม่ถูกต้อง
1. 1 และ 2 เป็ นกระบวนดูดกำรควำมร้อน
2. 3 และ 4 เป็ นกระบวนกำรคำยควำมร้อน
3. 1 เป็ นกำรละลำย 2 เป็ นกำระเหย
4. 3 เป็ นกำรควบแน่น 5 เป็ นกำรระเหิด
53. เมื่อนำแผ่นกระจกไปอังเหนือไอน้ ำแล้วพบว่ำมีหยดน้ ำเกำะที่แผ่นกระจก
กำรเปลี่ยนแปลงนี้เป็ นกำรเปลี่ยนสถำนะของน้ ำอย่ำงไร (O-NET 2552)
1. ของแข็งเป็ นของเหลว
2. ของเหลวในแก๊ส
3. แก๊สเป็ นของเหลว
4. ของเหลวเป็ นของแข็ง

26
54. ขวดแก้ว 3 ชั้น ชั้นกลำงบรรจุเกล็ดไอโอดีน (ดังรู ป) (O-NET 2558)

ชั้นบน
ชั้นกลำง
เกล็ดไอโอดีน

ชั้นล่ำง

ถ้ำต้องกำรให้เกิดผลึกไอโอดีนขึ้นที่ฝำด้ำนบนของชั้นกลำงมำก ๆ
จะต้องทำตำมวิธีกำรใด
1. ชั้นบนใส่ น้ ำร้อน ชั้นล่ำงใส่ น้ ำแข็ง 2. ชั้นบนใส่ น้ ำแข็ง ชั้นล่ำงใส่ น้ ำร้อน
3. ชั้นบนใส่ น้ ำแข็ง ชั้นล่ำงใส่ น้ ำแข็ง 4. ชั้นบนใส่ น้ ำร้อน ชั้นล่ำงใส่ น้ ำร้อน

55. นำสำร A ใส่ ในภำชนะปิ ดใบหนึ่ง แล้วนำไปวำงไว้ในบริ เวณที่มีอุณหภูมิแตกต่ำงกัน


พบว่ำสำร A เกิดกำรเปลี่ยนสถำนะแตกต่ำงกัน ดังภำพ (O-NET 2562)

จำกข้อมูล ข้อสรุ ปใดถูกต้อง


1.สำร A ที่สถำนะ X และ Z จะมีมวลไม่เท่ำกัน
2.สำร A ที่สถำนะ X มีปริ มำตรมำกกว่ำที่สถำนะ Y
3.ถ้ำลดอุณหภูมิของสำร A ที่สถำนะ Y สำรจะเปลี่ยนเป็ นสถำนะ Z
4.สำร A ที่สถำนะ Y จะมีกำรจัดเรี ยงตัวของอนุภำคอยูห่ ่ำงกันมำกที่สุด

27
56. พิจำรณำสถำนกำรณ์ 4 สถำนกำรณ์ ดังต่อไปนี้ (O-NET 2561)

1. ใส่ เกลือลงในน้ ำ 2. วำงช็อคโกแลต


ที่อุณหภูมิหอ้ ง ไว้ในห้องที่อำกำศร้อน

3. ใส่ ถุงชำลงในน้ ำร้อน 4. แช่น้ ำในช่องแช่แข็ง


แล้วปิ ดฝำแก้ว

จำกสถำนกำรณ์ เมื่อเวลำผ่ำนไป 10 นำที สถำนกำรณ์ใดที่เกิดกระบวนกำรควบแน่น


1. สถำนกำรณ์ที่ 1 2. สถำนกำรณ์ที่ 2
3. สถำนกำรณ์ที่ 3 4. สถำนกำรณ์ที่ 4

28
ใส่ น้ ำ 5 ลูกบำศก์เซนติเมตร ลงในแก้วแต่ละใบ จำกนั้นตักสำร A ปริ มำณ 0.5, 1.0, 1.5, 2.0,
2.5 และ 3.0 กรัม ใส่ ลงในแก้วแต่ละใบ ตำมลำดับ คนสำร สังเกตลักษณะของสำรผสม
และบันทึกผลได้ดงั ตำรำง (แบบฝึ กหัดท้ำยบทที่ 1หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.5)
57.

แก้วใบที่ ปริมาณสาร A (กรัม) ผลการสั งเกต


1 0.5 ของเหลวใส
2 1.0 ของเหลวใส
3 1.5 ของเหลวใส
4 2.0 ของเหลวใส
5 2.5 ของเหลวใสมีตะกอนเล็กน้อยที่กน้ ภำชนะ
6 3.0 ของเหลวใสมีตะกอนเล็กน้อยที่กน้ ภำชนะ

57. จำกตำรำง สำรในแก้วใบใดเป็ นสำรเนื้อเดียว


1. แก้วใบที่ 5 และ 6 2. แก้วใบที่ 1, 2 และ 5
3. แก้วใบที่ 1, 2 , 3 , 4 4. แก้วใบที่ 3 , 4 และ 6
58. จำกตำรำง สำรในแก้วใบใดเป็ นสำรเนื้อผสม
1. แก้วใบที่ 5 และ 6 2. แก้วใบที่ 1, 2 และ 5
3. แก้วใบที่ 1, 2 , 3 , 4 4. แก้วใบที่ 3 , 4 และ 6

29
59. กรำฟแสดงควำมสำมำรถในกำรละลำยของสำร A สำร B สำร C และสำร D
ในน้ ำ 100 กรัม ณ อุณหภูมิต่ำง ๆ (O-NET 2553)

มวลของสำรเป็ นกรัม(g)

อุณหภูมิ (OC)

สำรในข้อใด ถ้ำอุณหภูมิสูงขึ้นจะสำมำรถละลำยน้ ำได้มำกขึ้น


1. A และ B 2. A และ C
3. B และ C 4. A และ B และ C
60. กรำฟแสดงควำมสำมำรถในกำรละลำยของสำร A สำร B สำร C และสำร D
ในน้ ำ 100 กรัม ณ อุณหภูมิต่ำง ๆ (O-NET 2553)

มวลของสารเป็ นกรัม(g)

อุณหภูมิ (OC)

สำรในข้อใด ที่อุณหภูมิ 40 องศำเซลเซียส สำมำรถละลำยน้ ำได้มำกที่สุด


1. A 2. B
3. C 4. C
30
61. นำก้อนน้ ำตำลไปละลำยในของเหลวชนิดต่ำง ๆ ที่อุณหภูมิหอ้ ง บันทึกเวลำที่น้ ำตำล
ละลำยจนหมด ดังแผนภูมิ (O-NET 2555)

แผนภูมิ แสดงเวลำที่ใช้ในกำรละลำยของน้ ำตำลในของเหลว 4 ชนิด


ของเหลวชนิดใดทำละลำยดีที่สุด
1. A เพรำะใช้เวลำมำกกว่ำ D 2. B เพรำะใช้เวลำน้อยกว่ำ C
3. C เพรำะใช้เวลำมำกที่สุด 4. D เพรำะใช้เวลำน้อยที่สุด
62. นำก้อนน้ ำตำลที่มีมวลเท่ำกันไปละลำยในของเหลว 4 ชนิด ที่มีปริ มำตรและอุณหภูมิ
เท่ำกัน บันทึกเวลำที่น้ ำตำลละลำยจนหมดก้อน ได้ผลดังแผนภูมิ (O-NET 2559)
เวลาที่ใช้ (นาที)

ชนิดของของเหลว

ของเหลวชนิดใดเป็ นตัวทำละลำยที่ดีที่สุด
1. A 2. B
3. C 4. D
31
63. กำรกระทำใดเป็ นกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมี (O-NET 2550)
1. ละลำยเกลือในน้ ำ 2. ใส่ น้ ำในช่องแช่แข็ง
3. เผำกระดำษได้เถ้ำสี ดำ 4. ตัดกระดำษด้วยกรรไกร
64. ข้อใดเป็ นกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมีท้งั หมด (O-NET 2555)
1. กำรจุดไม้ขีดไฟ กำรกลำยเป็ นไอของน้ ำ
2. กำรเผำถ่ำน กำรสุ กของผลไม้
3. กำรเกิดสนิมเหล็ก กำรเกิดเมฆฝน
4. กำรเกิดลูกเห็บ กำรหลอมเหลวของน้ ำแข็ง
65. กำรกระทำในข้อใดเป็ นกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมี (O-NET 2556)
1. เทเกลือลงน้ ำเดือด
2. ผสมปุ๋ ยเคมีกบั น้ ำไว้รดต้นไม้
3. เติมน้ ำส้มสำยชูลงในก๋ วยเตี๋ยว
4. เผำท่อนไม้ให้เป็ นถ่ำนไว้ใช้หุงต้ม
66. ตำรำง กำรเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อนำน้ ำไปทดลองด้วยวิธีต่ำง ๆ (O-NET 2551)

หลอดทดลองที่ การทดลอง การเปลีย่ นแปลงที่เกิดขึน้

1 ให้ควำมร้อนกับน้ ำ น้ ำเดือดเป็ นไอ


2 ผสมน้ ำกับเกลือ ได้สำรละลำยน้ ำเกลือ
3 ผสมน้ ำกับผงฟู เกิดฟองแก๊ส
4 ผสมน้ ำกับน้ ำมันพืช น้ ำมันพืชลอยอยูบ่ นผิวหน้ำ

จำกข้อมูลในตำรำง กำรทดลองในหลอดทดลองใดที่สมบัติของสำรไม่เปลี่ยนแปลง
1. หลอดที่ 1 2. หลอดที่ 2
3. หลอดที่ 3 4. หลอดที่ 4

32
67. ข้อมูลแสดงกำรเปลี่ยนแปลงของสำร เป็ นดังนี้ (O-NET 2560)
A. เกลือละลำยในน้ ำ B. น้ ำกลำยเป็ นไอ
C. ไม้ถูกเผำกลำยเป็ นถ่ำน D. ผลไม้ถกู บ่มจนสุ กงอม
E. เหล็กเกิดสนิม F. หยดน้ ำในอำกำศกลำยเป็ นลูกเห็บ
จำกข้อมูล ข้อใดเป็ นกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมีท้งั หมด
1. A B และ F 2. B C และ D
3. D E และ F 4. C D และ E

68. นักเรี ยนคนหนึ่งเตรี ยมเครื่ องดื่มน้ ำอัญชันมะนำว โดยมีข้นั ตอนดังนี้ (O-NET 2562)
1) ต้มน้ ำให้เดือดแล้วใส่ ดอกอัญชันสี น้ ำเงิน จะได้น้ ำอัญชันที่มีสีน้ ำเงิน
2) ใช้ผำ้ ขำวบำงกรองเพื่อแยกเอำน้ ำอัญชันซึ่งมีสีน้ ำเงิน
3) เติมน้ ำตำลทรำยลงไปในน้ ำอัญชัน ได้เป็ นน้ ำอัญชันที่มีสีน้ ำเงิน
4) เติมน้ ำมะนำวลงไปได้เป็ นน้ ำอัญชันมะนำวที่มีสีม่วง
จำกข้อมูล ขั้นตอนใดมีสำรใหม่เกิดขึ้น
1. ขั้นตอนที่ 1 2. ขั้นตอนที่ 2
3. ขั้นตอนที่ 3 4. ขั้นตอนที่ 4

33
69. นักเรี ยนบันทึกข้อมูลกำรเปลี่ยนแปลงของสำรที่เกิดขึ้นในกิจกรรมต่ำง ๆ เป็ นดังนี้

กิจกรรมที่ การกระทาและผลที่ได้
1 ปิ้ งขนมปัง แล้วขนมปังมีรอยไหม้
2 เติมน้ ำตำลทรำยลงในน้ ำ แล้วน้ ำตำลทรำยและน้ ำเปลี่ยนเป็ นน้ ำเชื่อม
3 วำงถ้วยใส่ น้ ำหวำนในช่องแช่แข็ง แล้วน้ ำหวำนเปลี่ยนเป็ นน้ ำแข็ง

จำกข้อมูล ในแต่ละกิจกรรม กำรเปลี่ยนแปลงของสำรมีลกั ษณะใด (O-NET 2561)


กิจกรรมที่ 1 กิจกรรมที่ 2 กิจกรรมที่ 3
1. กำรละลำย กำรเปลี่ยนสถำนะ กำรเกิดสำรใหม่
2. กำรเกิดสำรใหม่ กำรละลำย กำรเปลี่ยนสถำนะ
3. กำรเกิดสำรใหม่ กำรเปลี่ยนสถำนะ กำรเปลี่ยนสถำนะ
4. กำรเปลี่ยนสถำนะ กำรเกิดสำรใหม่ กำรเปลี่ยนสถำนะ

70. แก๊สที่เกิดขึ้นในข้อใด ไม่ได้เกิดมำจำกกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมี (O-NET 2559)


1. แก๊สที่เกิดจำกสิ่ งมีชีวิตในคลอง
2. แก๊สที่เกิดจำกกำรทิ้งน้ ำแข็งแห้งลงไปในน้ ำ
3. แก๊สที่เกิดจำกกำรเน่ำของสิ่ งปฏิกูลในคลอง
4. แก๊สที่เกิดจำกกำรสังเครำะห์ดว้ ยแสงของพืช

34
71. พิจำรณำกำรเปลี่ยนแปลงต่อไปนี้
ก. ของแข็งสี ขำวละลำยในของเหลว
ข. ของเหลว 2 ชนิดผสมกันแล้วเกิดฟองแก๊ส
ค. ของแข็งสีขำวผสมน้ ำได้ของเหลวมีตะกอนสี ขำวที่กน้ ภำชนะ
ง. ของเหลว 2 ชนิดผสมกันแล้วเกิดของแข็งที่กน้ ภำชนะ
กำรเปลี่ยนแปลงคู่ใดเป็ นกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมี
1. ก และ ข 2. ข และ ค
3. ค และ ง 4. ข และ ง
72. เมื่อผสมของแข็ง A และของเหลว B เกิดฟองแก๊ส ถ้ำกำรเปลี่ยนแปลงนี้
เป็ นกำรเปลี่ยนแปลงทำงเคมี ฟองแก๊สที่เกิดขึ้นน่ำจะเป็ นสำรใด
1. A 2. B
3. ทั้ง A และ B 4.ไม่ใช่ท้งั A และB

73. สำรผสมใดต่อไปนี้ที่แยกออกจำกกันได้ดว้ ยกำรระเหยแห้ง (O-NET 2550)


1. เกลือป่ นกับน้ ำ 2. น้ ำมันพืชกับน้ ำ
3. ข้ำวเปลือกกับแกลบ 4. ผงตะไบเหล็กกับทรำย

74. กำรแยกทรำยที่ผสมกับไอโอดีน ใช้วิธีกำรโดยผ่ำนกระบวนดังภำพ ตำมลำดับคือ

ก. กำรระเหย กำรระเหิด
 ข. กำรระเหิด กำรระเหย
 ค. กำรระเหิด กำรระเหิดกลับ
ง. กำรระเหิดกลับ กำรระเหิด

35
75. กำรแยกสำรวิธีใดช่วยแยกเกลือป่ นที่ปนอยูก่ บั พริ กไทยป่ นได้เหมำะสมที่สุด
(O-NET 2554)
1. นำไปละลำยน้ ำแล้วนำไปต้มและนำไประเหยแห้ง
2. นำไปละลำยน้ ำแล้วนำไประเหยแห้งและนำไปกรอง
3. นำไปร่ อนแล้วนำไปละลำยน้ ำและนำไประเหยแห้ง
4. นำไปละลำยน้ ำแล้วนำไปกรองและนำไประเหยแห้ง
76. วิธีกำรใดเหมำะสมที่จะใช้แยกของผสมระหว่ำงเศษอิฐก้อนเล็ก ๆ กับทรำยออกจำกกัน
(O-NET 2551)
1. กำรร่ อน 2. กำรกรอง
3. กำรระเหิด 4. กำรระเหยแห้ง
77. เครื่ องแยกขนำดก้อนกรวด เกิดจำกกำรนำตะแกรงที่มีรูมำซ้อนกันตำมแนวตั้ง
แล้วเทกรวดลงด้ำนบน เครื่ องจะเขย่ำให้กรวดร่ วงมำจำกชั้น A ถึง D ซึ่งมีรูขนำด
เส้นผ่ำนศูนย์กลำง 0.30, 0.20, 0.10 เซนติเมตร และถำดทึบไม่มีรูตำมลำดับ ดังภำพ

เครื่ องนี้สำมำรถแยกกรวดขนำดตำมข้อใดออกจำกกันได้อย่ำงสมบูรณ์ (O-NET 2557)


1. 0.05, 0.08 และ 0.15 เซนติเมตร
2. 0.05, 0.25 และ 0.45 เซนติเมตร
3. 0.15, 0.45 และ 0.55 เซนติเมตร
4. 0.10, 0.35 และ 0.75 เซนติเมตร
36
78. ตำรำง สมบัติบำงประกำรของสำรชนิดต่ำง ๆ (O-NET 2551)

สาร ลักษณะเนื้อสาร สี การดูดด้ วยแม่ เหล็ก

A ผงละเอียด ดำ ดูด
B ผงละเอียด ขำว ไม่ดูด
C ก้อนขนำด 0.5 cm ดำ ดูด
D ก้อนขนำด 0.5 cm ใสไม่มีสี ไม่ดูด

ถ้ำทำกำรแยกสำร A B C และ D ที่ผสมกันอยูโ่ ดนกำรร่ อนด้วยตะแกรงที่มีรูขนำด


0.3 cm และนำสำรที่ติดอยูบ่ นตะแกรงมำดูดด้วยแม่เหล็ก สำรที่ถูกแม่เหล็กดูดไว้
คือสำรใด
1. สำร A 2. สำร B
3. สำร C 4. สำร D

79. ตาราง ผลกำรร่ อนด้วยตะแกรงและกำรละลำยในน้ ำของสำร 4 ชนิด (O-NET 2552)

ชนิดของสาร การร่ อนด้ วยตะแกรง การละลายในน้า

A ผ่ำน ละลำย
B ไม่ผำ่ น ละลำย
C ผ่ำน ไม่ละลำย
D ไม่ผำ่ น ไม่ละลำย

ถ้ำสำรทั้งสี่ ชนิดผสมอยูด่ ว้ ยกัน เมื่อร่ อนด้วยตะแกรงแล้วนำสำรที่ผำ่ นตะแกรง


ไปละลำยน้ ำ สำรที่ไม่ละลำยน้ ำเหลือเป็ นตะกอนอยูค่ ือสำรใด
1. สำร A 2. สำร B
3. สำร C 4. สำร D

37
80. ข้อมูลแสดงขนำดของสำรและสมบัติกำรละลำยน้ ำของสำร 3 ชนิด เป็ นดังนี้

สาร ขนาดของสาร(มิลลิเมตร) การละลายน้า


W 2.5 ไม่ละลำย
X 7.0 ละลำย
Y 6.3 ไม่ละลำย

ครู ให้นกั เรี ยนแยกสำรเนื้อผสมที่มีสำร W X Y และน้ ำผสมอยู่ โดยทดลองตำมลำดับ


ดังนี้ (O-NET 2561)

1. นำสำรเนื้อผสม W X Y และน้ ำผสมอยูไ่ ปกรองด้วยกระดำษกรอง


2. นำสำรละลำยที่กรองได้จำกข้อ 1 ไประเหยแห้ง
3.นำสำรส่ วนที่คำ้ งอยูบ่ นกระดำษกรองไปล้ำงด้วยน้ ำ 3 รอบ แล้วผึ่งแดดให้แห้ง
จำกนั้นนำไปร่ อนด้วยตะแกรงที่มีรูขนำด 5 มิลลิเมตร
จำกกำรทดลอง สำรชนิดใดสำมำรถแยกออกมำจำกสำรเนื้อผสมได้
1. สำร X เท่ำนั้น 2. สำร Y เท่ำนั้น
3. สำร W เท่ำนั้น 4. สำร W X และ Y

38
81. สำรผสมประกอบด้วย สำร 4 ชนิด ที่มีลกั ษณะและสมบัติแตกต่ำงกันดังตำรำง

ตาราง ลักษณะและสมบัติของสำร 4 ชนิด (O-NET 2558)


ชนิดของสาร ลักษณะ การละลายน้า

A ผงละเอียดเหมือนแป้ง ได้
B ผงละเอียดเท่ำเกลือป่ น ไม่ได้
C เม็ดขนำด 0.6 ซม. ได้
D เม็ดขนำด 0.4 ซม. ไม่ได้

เมื่อแยกสำรผสมโดยกำรร่ อนด้วยตะแกรงที่มีรูขนำดเส้นผ่ำนศูนย์กลำง 0.5 ซม.


นำสำรที่ผำ่ นกำรร่ อนแล้วไปผสมกับน้ ำเปล่ำให้เข้ำกัน จำกนั้นนำไปกรองด้วย
กระดำษกรอง นำของเหลวที่ผำ่ นกระดำษกรองไประเหยแห้ง

หลังจำกใช้กระบวนกำรแยกสำรทุกขั้นตอนที่กำหนดให้ขำ้ งต้นแล้ว
ตัวเลือกข้อใดกล่ำวถูกต้อง (มีคำตอบถูก 2 ข้อ)
1. สำรที่แยกออกจำกสำรผสมได้เป็ นลำดับแรกคือ A
2. สำรที่แยกออกจำกสำรผสมได้เป็ นลำดับแรกคือ C
3. สำร A และ B ไม่สำมำรถแยกออกจำกกันได้
4. สำร B และ C ไม่สำมำรถแยกออกจำกกันได้
5. สำร B และ D ไม่สำมำรถแยกออกจำกกันได้
6. สำรทุกชนิดสำมำรถแยกออกเป็ นอิสระได้

39
82. สำร A B C และ D เป็ นสำรที่ไม่ละลำยน้ ำ และมีขนำดของสำรเมื่อเปรี ยบเทียบขนำดรู
ของตะแกรงกับขนำดรู ของวัสดุที่ใช้กรองสำร เป็ นดังนี้ (O-NET 2562)
ชนิด ขนาดของสารเมื่อเปรียบเทียบกับ
ของสาร ขนาดรูของตะแกรง ขนาดรูของวัสดุที่ใช้ กรองสาร
ขนำดของสำรใหญ่กว่ำรู ขนำดของสำรใหญ่กว่ำวัสดุ
A
ของตะแกรง ที่ใช้กรองสำร
ขนำดของสำรเล็กกว่ำรู ขนำดของสำรเล็กกว่ำวัสดุ
B
ของตะแกรง ที่ใช้กรองสำร
ขนำดของสำรใหญ่กว่ำรู ขนำดของสำรใหญ่กว่ำวัสดุ
C
ของตะแกรง ที่ใช้กรองสำร
ขนำดของสำรเล็กกว่ำรู ขนำดของสำรใหญ่กว่ำวัสดุ
D
ของตะแกรง ที่ใช้กรองสำร

ถ้ำนำน้ ำที่มีสำร 4 ชนิดนี้ผสมอยู่


มำกรอง โดยเทใส่ ภำชนะที่ภำยใน
ประกอบด้วยตะแกรงและวัสดุ
ที่ใช้กรองสำร ดังภำพ

จำกข้อมูล สำรชนิดใดติดค้ำงอยูบ่ นวัสดุที่ใช้กรองสำร


1. สำร B เท่ำนั้น 2. สำร D เท่ำนั้น
3. สำร A และสำร C 4. สำร B และสำร D

40
83. นำของผสม ซึ่งประกอบด้วยสำร 3 ชนิด คือ สำร A สำร B และสำร C
มำแยกด้วยวิธีกำรดังนี้ (O-NET 2558)

สำร A, B และ C ควรเป็ นสำรใด ตำมลำดับ


1. ผงทองแดง น้ ำตำลทรำย ผงถ่ำน
2. ผงทองแดง เกลือแกง แป้งมัน
3. ผงตะไบเหล็ก เกลือแกง ผงถ่ำน
4. ผงตะไบเหล็ก น้ ำตำลทรำย เกลือแกง

41
84. นำสำรผสมที่ประกอบด้วยเกลือป่ น ผงเหล็ก และทรำยละเอียด ซึ่งอยูใ่ นบีกเกอร์ A
ไปแยกตำมขั้นตอนต่อไปนี้ (O-NET 2560)
ก. นำแม่เหล็กมำดูดสำรที่ผสมอยูใ่ นบีกเกอร์ A
ข. เติมน้ ำลงในบีกเกอร์ A คนสำรให้ผสมกัน แล้วนำไปกรองด้วยกระดำษกรอง
จะได้ของเหลวอยูในบีกเกอร์ B
ค. นำของเหลวที่อยูใ่ นบีกเกอร์ B ไปให้ควำมร้อน

ข้อควำมต่อไปนี้กล่ำวถูกต้องใช่หรื อไม่
ข้ อความ ใช่ หรื อ ไม่ ใช่
1. เมื่อแยกสำรผสมตำมขั้นตอน ก - ค สำรที่เหลืออยูใ่ นบีกเกอร์ B
ใช่/ไม่ใช่
คือ เกลือแกง
2. ถ้ำทำกำรทดลองในขั้นตอน ก - ข แล้ว จะสำมำรถแยกของแข็ง
ใช่/ไม่ใช่
ทั้งหมดออกจำกของเหลวที่อยูใ่ นบีกเกอร์ B ได้
3. ถ้ำไม่ได้ใช้วิธีกำรในขั้นตอน ก สำรละลำยที่ได้หลังกำรกรอง
ใช่/ไม่ใช่
จะมีผงเหล็กผสมอยูด่ ว้ ย

85. สำร ก และ ข ผสมกันเป็ นสำรเนื้อผสมซึ่งสำรแต่ละชนิดมีสมบัติดงั ตำรำง


(แบบทดสอบท้ำยเล่ม หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.6)

สาร สถานะและขนาด สี การละลายน้า


ก ของแข็งขนำดใหญ่ ขำว ละลำย
ข ของแข็งขนำดเล็ก ขำว ละลำย

วิธีกำรคู่ใดต่อไปนี้ ที่สำมำรถใช้แยกสำร ก และ ข ออกจำกกันได้


1. ใช้มือหยิบออกและน้ ำมำผสมน้ ำแล้วกรอง
2. ใช้มือหยิบออกและน้ ำมำผสมน้ ำแล้ววำงไว้ให้ตกตะกอน
3. ใช้ตะแกรงร่ อนและใช้มือหยิบออก
4. ใช้ตะแกรงร่ อนและนำมำผสมน้ ำแล้ววำงไว้ให้ตกตะกอน
42
ข้ อสอบ : ชื่ อ ....................................................................
คะแนน..............
สำระที่ 2 : ว 2.2 ชั้น ...............................เลขที่............................

1. เพรำะเหตุใดมนุษย์จึงมีสภำพไร้น้ ำหนักเมื่ออยูใ่ นอวกำศ (O-NET 2551)


1. ชุดอวกำศมีน้ ำหนักเบำ
2. ในอวกำศไม่มีแก๊สออกซิเจน
3. ในอวกำศมีแรงโน้มถ่วงน้อยมำก
4. ในอวกำศมีอำกำศหนำแน่นน้อยมำก

2. ขณะที่บอลลูนลอยขึ้นสู่ ทอ้ งฟ้ำ แรงโน้มถ่วงของโลกที่กระทำต่อบอลลูนในทิศทำงใด

1. กระทำต่อลูกบอลลูนทุกทิศทำง 2. ทิศทำงขึ้นแนวดิ่ง

3. ทิศทำงลงในแนวดิ่ง 4. บอลลูนกำลังลอยขึ้น
จึงไม่มีแรงโน้มถ่วงกระทำต่อบอลลูน

43
3. จำกภำพ ข้อใดถูกต้อง
1. แรงโน้มถ่วงของโลกบริ เวณยอดเขำจะมีค่ำน้อย
กว่ำบริ เวณเชิงเขำ
2. แรงโน้มถ่วงของโลกที่กระทำต่อ ด.ช.เป็ นปลื้ม
ณ เชิงเขำกับยอดเขำ เท่ำกัน
3. ไม่มีแรงโน้มถ่วงของโลกกระทำต่อเครื่ องบิน
กระดำษ
4. แรงโน้มถ่วงของโลกที่กระทำต่อเครื่ องบิน
กระดำษบริ เวณเชิงเขำมีค่ำน้อยกว่ำเมื่อเทียบกับ
ยอดเขำ

4. นักบินอวกำศชัง่ น้ ำหนักก่อนขึ้นบินได้ 560 N เมื่อนักบินอวกำศไปชัง่ น้ ำหนักในอวกำศ


จะมีน้ ำหนักเท่ำใด
1. เท่ำเดิม 2. น้อยกว่ำ 560 N
3. มำกกว่ำ 560 N 4. 0 N

5. เมื่อ ด.ช.เป็ นปลื้มไปชัง่ นำหนักบนดวงจันทร์ มวลและน้ ำหนักของ ด.ช.เป็ นปลื้ม


เป็ นอย่ำงไรเมื่อเทียบกับชัง่ บนโลก
1. มวลเปลี่ยน น้ ำหนักเปลี่ยน
2. มวลไม่เปลี่ยน น้ ำหนักไม่เปลี่ยน
3. มวลเปลี่ยน น้ ำหนักไม่เปลี่ยน
4. มวลไม่เปลี่ยน น้ ำหนักเปลี่ยน

44
6. ชัง่ ผลแตงโมบนโลกได้มวลเท่ำกับ 1 กิโลกรัม น้ ำหนัก 9.8 นิวตัน หำกนำแตงโมผลเดิม
ไปชัง่ บนดวงจันทร์ มวลและน้ ำหนักของแตงโมเป็ นอย่ำงไร
1. มวล 1 กิโลกรัม น้ ำหนัก 9.8 N
2. มวล 1 กิโลกรัม น้ ำหนักน้อยกว่ำ 9.8 N
3. มวลน้อยกว่ำ 1 กิโลกรัม น้ ำหนัก 9.8 N
4. มวลน้อยกว่ำ 1 กิโลกรัม น้ ำหนักน้อยกว่ำ 9.8 N

7. ชัง่ ส้มที่ประเทศไทย พบว่ำมีมวล 1 กิโลกรัม และมีน้ ำหนัก 9.8 นิวตัน


ถ้ำนำส้มไปชัง่ ที่บริ เวณขั้วโลกเหนือ ส้มจะมีมวลและน้ ำหนักเปลี่ยนแปลงหรื อไม่ อย่ำงไร
1. ทั้งมวลและน้ ำหนักเท่ำเดิม
2. ทั้งมวลและน้ ำหนักน้อยลง
3. มีมวลเท่ำเดิม แต่น้ ำหนักจะเพิ่มขึ้น
4. มีมวลน้อยกว่ำเดิม แต่น้ ำหนักเพิ่มขึ้น

8. รถยนต์ 3 คัน 3 สี โดยรถยนต์แต่ละคันมีมวล ดังนี้

1,000 กิโลกรัม 1,200 กิโลกรัม 950 กิโลกรัม

รถยนต์ท้งั 3 คัน วิ่งด้วยควำมเร็ วที่เท่ำกัน หำกรถยนต์ท้งั 3 คันนี้เบรก เพื่อให้รถหยุด


ในระยะทำงที่เท่ำกัน รถยนต์คนั ใดใช้แรงในกำรหยุดมำกที่สุด
1. รถยนต์สีแดง 2. รถยนต์สีเหลือง
3. รถยนต์สีเขียว 4. เท่ำกันทุกคัน

45
9. จำกภำพ ข้อใดกล่ำวได้ถูกต้อง

ภำพ ก ภำพ ข
1. ภำพ ก ใช้แรงเตะมำกกว่ำ เพรำะลูกฟุตบอลมีมวลน้อยกว่ำ
2. ภำพ ข ใช้แรงเตะน้อยกว่ำ เพรำะลูกฟุตบอลมีมวลมำกกว่ำ
3. ภำพ ข ใช้แรงในกำรเปลี่ยนแปลงกำรเคลื่อนที่ของลูกฟุตบอลน้อยกว่ำ
4. ภำพ ก มวลของลูกฟุตบอลน้อยกว่ำ จึงใช้แรงเตะน้อยกว่ำ
10. จำกภำพ ข้อใดกล่ำวได้ถูกต้อง

5 นิวตัน 3 นิวตัน

1. แรงลัพธ์มีขนำด 8 นิวตัน ทิศทำงไปทำงขวำ


2. แรงลัพธ์มีขนำด 8 นิวตัน ทิศทำงไปทำงซ้ำย
3. แรงลัพธ์มีขนำด 2 นิวตัน ทิศทำงไปทำงขวำ
4. แรงลัพธ์มีขนำด 2 นิวตัน ทิศทำงไปทำงซ้ำย

46
11. จำกภำพ A ออกแรงดันตูเ้ อกสำรใบหนึ่ง ด้วยแรง 1,000 นิวตัน ตูจ้ ึงเคลื่อนที่
ถ้ำ C ออกแรงดันตูใ้ บเดิมด้วยแรง 200 นิวตัน
B ต้องออกแรงกี่นิวตัน ตูจ้ ึงจะเคลื่อนที่ (O-NET 2554)

1,000 N
A
พื้นผิว
200 N
B C
พื้นผิว

1. 800 นิวตัน 2. 1,000 นิวตัน


3. 1,100 นิวตัน 4. 1,200 นิวตัน

12. ภำพกำรแข่งขันลำกวัตถุที่มีน้ ำหนักและขนำดเท่ำกันของผูแ้ ข่งขัน 2 ทีม (O-NET 2550)

ถ้ำ A B และ C ของทีมที่ 1 ออกแรงคนละ 500 นิวตัน จึงทำให้วตั ถุเริ่ มเคลื่อนที่


ผูแ้ ข่งขันทีมที่ 2 จะต้องออกแรงอย่ำงน้อยกี่นิวตัน จึงทำให้วตั ถุเคลื่อนที่ได้
1. 500 นิวตัน 2. 1,000 นิวตัน
3. 1,500 นิวตัน 4. 2,000 นิวตัน

47
13. รถลำกจูงออกแรง 1,000 นิวตัน ลำกรถที่ตกหล่ม โดยเจ้ำของรถช่วยออกแรง 100 นิวตัน
ผลักท้ำยรถ เนื่องจำกเครื่ องยนต์ไม่ทำงำน ทำให้ลำกรถขึ้นจำกหล่มได้พอดี
ถ้ำเจ้ำของรถไม่ช่วยออกแรงผลักรถที่ตกหล่ม รถลำกจูงต้องออกแรงเท่ำใด จึงลำกรถ
ขึ้นจำกหล่มได้ (O-NET 2551)

1. 100 นิวตัน 2. 900 นิวตัน


3. 1,100 นิวตัน 4. 1,200 นิวตัน

14. ถ้ำชำยคนที่ 1 ออกแรง 5 นิวตัน สำมำรถผลักตูเ้ สื้ อผ้ำไปตำมพื้นรำบได้ไกล


เป็ นระยะทำงหนึ่ง ดังนั้น ถ้ำมีชำยคนที่ 2 มำช่วยออกแรง 4 นิวตัน ผลักตูเ้ สื้ อผ้ำพร้อมกัน
กับชำยคนที่ 1 ไปในทิศทำงเดียวกัน (O-NET 2557)
ข้อใดสรุ ปถูกต้อง

4N

5N 5N

ข้อใดสรุ ปถูกต้อง
1. ตูเ้ สื้ อผ้ำเคลื่อนที่ไปเล็กน้อย
2. ตูเ้ สื้ อผ้ำจะเคลื่อนที่ไปได้ไกลขึ้นด้วยแรง 2 แรง
3. ตูเ้ สื้ อผ้ำไม่เคลื่อนที่ดว้ ยแรง 2 แรงที่ไม่เท่ำกัน
4. ตูเ้ สื้ อผ้ำจะเคลื่อนที่เอียงไปทำงด้ำนข้ำงตำมแรงที่มำกกว่ำ

48
15. เมื่อออกแรงกระทำต่อวัตถุที่อยูน่ ิ่งบนพื้นลื่น ด้วยขนำดและทิศทำง ดังแสดงในภำพที่
1 - 4 ข้อใด ไม่ ถูกต้อง (สสวท.)

1. ภำพที่ 1 แรงลัพธ์เท่ำกับ 1 นิวตัน วัตถุเคลื่อนที่ไปทำงซ้ำย


2. ภำพที่ 2 แรงลัพธ์เท่ำกับ 16 นิวตัน วัตถุเคลื่อนที่ไปทำงขวำ
3. ภำพที่ 3 แรงลัพธ์เท่ำกับ O นิวตัน วัตถุหยุดนิ่ง
4. ภำพที่ 4 แรงลัพธ์เท่ำกับ 2 นิวตัน วัตถุเคลื่อนที่ไปทำงขวำ

จำกภำพ ใช้ในกำรตอบคำถำมข้อ 16

700 N 500 N 800 N ? 500 N 400 N

ทีม สู้ ส้ ู ทีม ซ่ าซ่ า

16. จำกภำพ หำกทีมซ่ำซ่ำสำมำรถดึงเชือกเข้ำมำในเขตของตนเองได้ แสดงว่ำเด็กชำยคนแรก


ในทีมซ่ำซ่ำออกแรงเท่ำใด
1. ออกแรง 1,000 นิวตัน 2. ออกแรงมำกกว่ำ 1,100 นิวตัน
3. ออกแรงน้อยกว่ำ 1,000 นิวตัน 4. ออกแรงน้อยกว่ำ 1,100 นิวตัน

49
จำกภำพ ใช้ในกำรตอบคำถำมข้อ 17

ทีม ก ทีม ข

17. จำกภำพ ทีม ก ถ้ำเด็กคนแรก คนที่สอง และสำมออกแรงคนละ 200 , 100 และ


150 นิวตัน ตำมลำดับ ส่ วนเด็ก ๆ ในทีม ข ออกแรงคนละเท่ำ ๆ กัน คนละเท่ำใด
และในทิศทำงใด จึงจะทำให้เชือกอยูน่ ิ่งได้
1. 100 นิวตัน ไปทำงขวำ 2. 100 นิวตัน ไปทำงซ้ำย
3. 150 นิวตัน ไปทำงขวำ 4. 150 นิวตัน ไปทำงซ้ำย

จำกภำพ ใช้ในกำรตอบคำถำมข้อ 18

18. จำกภำพ หำกเด็ก ๆ ออกแรงคนละ 100 นิวตัน พ่อแม่ออกแรงคนละ 150 N


แรงลัพธ์เป็ นเท่ำใด และมีทิศทำงอย่ำงไร
1. 100 นิวตัน ไปทำงขวำ 2. 100 นิวตัน ไปทำงซ้ำย
3. 700 นิวตัน ไปทำงขวำ 4. 700 นิวตัน ไปทำงซ้ำย

50
19. วัตถุหนึ่งอยูน่ ิ่งบนพื้นรำบ แผนภำพในข้อใดแสดงทิศทำงของแรงเสี ยดทำน
ที่กระทำต่อวัตถุได้ถูกต้อง
แรงเสี ยดทำน
1. 2.
แรงเสี ยดทำน แรงเสี ยดทำน
แรงเสี ยดทำน
แรงเสี ยดทำน

3. 4.

แรงเสี ยดทำน แรงเสี ยดทำน

20. วัตถุกอ้ นหนึ่งวำงบนพื้นเอียง ข้อใดแสดงทิศทำงของแรงเสี ยดทำนที่กระทำต่อวัตถุ


ได้ถูกต้อง

แรงเสี ยดทำน
1. 2.
แรงเสี ยดทำน

แรงเสี ยดทำน แรงเสี ยดทำน


3. 4.

51
21. ในขณะที่ A B และ C กำลังช่วยกันดึงกล่องไปทำงขวำมือ เพื่อทำให้กล่องเคลื่อนที่
ไปบนพื้นรำบที่มีแรงเสี ยดทำน โดย A ออกแรง 10 นิวตัน B ออกแรง 10 นิวตัน และ C
ออกแรง 20 นิวตัน ถ้ำกล่องยังคงอยูน่ ิ่ง ข้อใดเป็ นกำรเขียนแผนภำพแสดงขนำด และ
ทิศทำงของแรงในแนวรำบที่กระทำต่อกล่องได้ถูกต้อง
กำหนดให้ 1 ช่องสเกล = 10 นิวตัน

A A
1. B 2. B
C C
แรงเสี ยดทำน
A A
3. B 4. B
C C
แรงเสี ยดทำน แรงเสี ยดทำน

22. ถ้ำเรำออกแรงเตะลูกฟุตบอลบนพื้นผิวต่ำง ๆ ด้วยขนำดแรงเท่ำกัน ลูกฟุตบอลจะกลิ้งไป


บนพื้นผิวชนิดใดได้ไกลที่สุด (O-NET 2550)

1. ดิน 2. ปูน
3. ทรำย 4. หญ้ำ

23. ทดลองออกแรงผลักวัตถุกอ้ นหนึ่งให้เริ่ มเคลื่อนที่ไปบนพื้นผิวมี่แตกต่ำงกัน 3 ชนิด


คือ A B และ C ผลกำรทดลองพบว่ำ บนพื้นผิว A B และ C ต้องออกแรงผลักวัตถุ
10 15 และ 8 นิวตันตำมลำดับ (O-NET 2559)
เปรี ยบเทียบพื้นผิวที่มีค่ำแรงเสี ยดทำน เป็ นไปตำมข้อใด
1. C < A < B 2. A < B < C
3. B < A < C 4. A < C < B

52
24. ในกำรทดลองลำกกล่องใบเดียวกันบนพื้นผิวลักษณะต่ำง ๆ ด้วยตำชัง่ สปริ ง (ดังภำพ)

อ่ำนขนำดของแรงที่ใช้เมื่อกล่องเริ่ มเคลื่อนที่ ได้ผลดังตำรำง


ตาราง ขนำดของแรงที่ใช้ลำกเมื่อกล่องเริ่ มเคลื่อนที่บนพื้นผิวลักษณะต่ำง ๆ
ลักษณะของพื้นผิว ขนาดของแรงที่ใช้ ลากเมื่อกล่ องเริ่มเคลื่อนที่(นิวตัน)

ชนิดที่ 1 5
ชนิดที่ 2 6
ชนิดที่ 3 7
ชนิดที่ 4 9

จำกข้อมูล กำรลำกกล่องบนพื้นผิวชนิดใดเกิดแรงเสี ยดทำนมำกที่สุด (O-NET 2552)


1. ชนิดที่ 1 2. ชนิดที่ 2
3. ชนิดที่ 3 4. ชนิดที่ 4

53
25. ออกแรงที่เท่ำกันในชุดกำรทดลอง A B C และ D ลำกแท่งไม้ให้เคลื่อนที่บนพื้นผิว
ชนิดต่ำง ๆจำกจุด X ไปยังจุด Y ดังภำพ (O-NET 2560)

พบว่ำ แท่งไม้ใช้เวลำในกำรเคลื่อนที่บนพื้นผิวแต่ละชนิดแตกต่ำงกัน ดังตำรำง


ชุดการทดลอง พื้นผิว เวลา(วินาที)
A กระดำษ 6
B คอนกรี ต 15
C หินอ่อน 9
D อิฐ 12

แรงเสี ยดทำนในชุดกำรทดลองใดมีค่ำมำกที่สุด
1. A 2. B
3. C 4. D
26. ตาราง ระยะทำงที่กล่องเคลื่อนที่บนพื้นผิวลักษณะต่ำง ๆ เมื่อออกแรงผลักเท่ำกัน
ในระยะเวลำเท่ำกัน (O-NET 2553)

ชนิดพื้นผิว ระยะทางที่กล่องเคลื่อนที่ได้ (เมตร)

A 2.1
B 2.5
C 2.7
D 3.0

จำกข้อมูลในตำรำง พื้นผิวที่ก่อให้เกิดแรงเสี ยดทำนมำกที่สุดคือข้อใด


1. A 2. B 3. C 4. D

54
27. ตาราง ระยะทำงที่กล่องเคลื่อนที่ได้บนพื้นผิวลักษณะต่ำง ๆ เมื่อผลักด้วยแรงคงที่
ในระยะเวลำเท่ำกัน (O-NET 2551)

ลักษณะของพื้นผิว ระยะทางที่กล่องเคลื่อนที่ได้ (เมตร)

แข็งและเรี ยบ 3.0
แข็งและขรุ ขระ 2.5
นุ่มและเรี ยบ 2.7
นุ่มและขรุ ขระ 2.1

จำกข้อมูลในตำรำง พื้นผิวที่ก่อให้เกิดแรงเสี ยดทำนต่ำที่สุด คือข้อใด


1. แข็งและเรี ยบ 2. แข็งและขรุ ขระ
3. นุ่มและเรี ยบ 4. นุ่มและขรุ ขระ

28. ศึกษำกำรเคลื่อนที่ของวัตถุบนพื้นยำงและพื้นกระจก โดยผลักวัตถุแล้วปล่อยมือให้วตั ถุ


เคลื่อนที่บนพื้นชนิดหนึ่งจำกตำแหน่งเริ่ มต้น บันทึกตำแหน่งสุ ดท้ำยที่วตั ถุเคลื่อนที่
ไปได้ จำกนั้น ทดลองซ้ ำโดยผลักให้วตั ถุมีควำมเร็ วเริ่ มต้นเท่ำเดิม แต่เปลี่ยนเป็ น
พื้นอีกชนิดหนึ่ง ผลเป็ นดังภำพ (O-NET 2562)

แรงผลัก
ครั้งที่ 1 วัตถุ วัตถุ
พื้น
เริ่ มต้น
แรงผลัก
ครั้งที่ 2 วัตถุ วัตถุ
พื้น
เริ่ มต้น
กำรทดลองครั้งนี้มีแรงเสี ยดทำนน้อยกว่ำ และครั้งดังกล่ำวใช้พ้นื ที่ชนิดใด
1. ครั้งที่ 1 และใช้พ้นื ยำง 2. ครั้งที่ 1 และใช้พ้นื กระจก
3. ครั้งที่ 2 และใช้พ้นื ยำง 4. ครั้งที่ 2 และใช้พ้นื กระจก

55
29. มะลิทดสอบแผ่นยำงชนิด A และชนิด B โดยวำงแผ่นยำงชนิด A บนพื้น
แล้วออกแรงดึงแผ่นยำงในทิศทำงขนำนกับพื้น ดังภำพ พร้อมทั้งบันทึกระยะทำง
ที่แผ่นยำงเคลื่อนที่ได้ในเวลำ 10 นำที

จำกนั้นทำซ้ ำโดยเปลี่ยนแผ่นยำงเป็ นชนิด B ซึ่งมีมวลเท่ำกับชนิด A แล้วออกแรงดึงขนำด


เท่ำเดิม ได้ผลเป็ นดังตำรำง
ชนิดของแผ่นยาง ระยะทางที่แผ่นยางเคลื่อนที่ได้ (เซนติเมตร)
A 35
B 60

หำกต้องกำรเลือกแผ่นยำงจำกข้ำงต้นไปทำพื้นรองเท้ำเพื่อป้องกันกำรลื่นล้ม
ควรเลือกแผ่นยำงชนิดใด เพรำะเหตุใด (O-NET 2561)

1. ชนิด A เพรำะแผ่นยำงเกิดแรงเสี ยดทำนมำกกว่ำ


2. ชนิด A เพรำะแผ่นยำงเกิดแรงเสี ยดทำนน้อยกว่ำ
3. ชนิด B เพรำะแผ่นยำงเกิดแรงเสี ยดทำนมำกกว่ำ
4. ชนิด B เพรำะแผ่นยำงเกิดแรงเสี ยดทำนน้อยกว่ำ

56
30. เด็กชำยรักษำต้องกำรทดลองว่ำ ถ้ำออกแรงดึงแท่งไม้ที่วำงอยูบ่ นพื้นผิวชนิดต่ำง ๆ
ได้แก่ กระดำษทรำย กระดำษหนังสื อพิมพ์ พื้นหญ้ำ และพื้นโต๊ะให้เคลื่อนที่
จะออกแรงเท่ำกันหรื อไม่ (O-NET 2554)

ตัวแปรควบคุม ของกำรทดลองนี้คืออะไร
1. ทิศทำงกำรเคลื่อนที่ของแท่งไม้
2. แรงต้ำนกำรเคลื่อนที่ของแท่งไม้
3. แรงดันให้แท่งไม้เคลื่อนที่
4. น้ ำหนักของแท่งไม้
5. ควำมหยำบของพื้นผิว
6. ชนิดของพื้นผิว

31. กำรทดลองลำกวัตถุชนิดหนึ่งบนพื้นผิวต่ำงชนิดกันได้ผลดังตำรำง (O-NET 2558)


ตาราง ผลของแรงที่ใช้ลำกวัตถุให้เริ่ มเคลื่อนที่บนพื้นผิวชนิดต่ำง ๆ

ชนิดของพื้นผิว ขนาดของแรงที่ทาให้ วัตถุเริ่มเคลื่อนที่ (นิวตัน)


กระเบื้อง 700
ยำง 900
ไม้ 800

ข้อใดคือตัวแปรต้นของกำรทดลองนี้
1. มวลของวัตถุ 2. ชนิดของพื้นผิว
3. ขนำดของแรง 4. ระยะทำงที่วตั ถุเคลื่อนที่

57
32. กำหนดประโยชน์ของแรงเสี ยดทำนดังนี้
A กำรสวมรองเท้ำผ้ำใบวิ่ง
B กำรใช้พ้นื เอียงขนของขึ้นที่สูง
C กำรใช้ตลับลูกปื นในระบบล้อและเพลำ
D กำรทำพื้นผิวถนนคอนกรี ตให้หยำบ
E กำรใช้รถเข็นของในห้ำงสรรพสิ นค้ำ
F กำรทำผิวยำงรถยนต์ให้มีร่องรอยเป็ นลวดลำย
ข้อใดเป็ นกำรใช้ประโยชน์จำกกำรเพิ่มแรงเสี ยดทำน (O-NET 2555)

1. A D F 2. A C F
3. B C F 4. B E F

33. จงพิจำรณำกำรออกแบบสิ่ งประดิษฐ์ต่อไปนี้


ก. กำรออกแบบชุดนักกีฬำว่ำยน้ ำ
ข. กำรออกแบบดอกยำงรถยนต์
ค. กำรออกแบบรถแข่ง
ง. กำรออกแบบจรวด

กำรออกแบบสิ่ งประดิษฐ์ที่ตอ้ งกำรลดแรงเสี ยดทำนคือข้อใด (O-NET 2556)

1. ก ข ค 2. ข ค ง
3. ก ข ง 4. ก ค ง

58
34. จำกภำพ ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
1. มีประจุบวกมำกกว่ำประจุลบ
- -- -
+ ++
+ + 2. วัตถุเป็ นกลำงทำงไฟฟ้ำ
-- -
+ + 3. มีประจุลบมำกกว่ำประจุบวก
4. ไม่มีประจุไฟฟ้ำเลย
35. เมื่อถูแท่งแก้วกับผ้ำสักหลำด จะเกิดกำรถ่ำยโอนประจุไฟฟ้ำจำกแท่งแก้ว
ไปยังผ้ำสักหลำด ข้อใดกล่ำวถูกต้อง
1. แท่งแก้วมีประจุไฟฟ้ำเป็ นบวก ผ้ำสักหลำดมีประจุไฟฟ้ำเป็ นลบ
2. แท่งแก้วมีประจุไฟฟ้ำเป็ นบวก ผ้ำสักหลำดมีประจุไฟฟ้ำเป็ นบวก
3. ผ้ำสักหลำดมีประจุไฟฟ้ำเป็ นบวก ผ้ำสักหลำดมีประจุไฟฟ้ำเป็ นลบ
4. ผ้ำสักหลำดมีประจุไฟฟ้ำเป็ นลบ ผ้ำสักหลำดมีประจุไฟฟ้ำเป็ นลบ

36. นำผ้ำสักหลำดถูลูกโป่ งทั้ง 2 ลูก ดังภำพ เมื่อนำลูกโป่ งทั้งสองเข้ำใกล้กนั


ข้อใดถูกต้อง

1. ลูกโป่ งจะเบนออกจำกัน
2. ลูกโป่ งจะเอียงเข้ำหำกัน
3. ลูกโป่ งทั้งสองจะมีประจุไฟฟ้ำเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
4. ลูกโป่ งทั้งสองจะมีประจุไฟฟ้ำรวมแตกต่ำงกัน

59
37. เมื่อนำหลอดพลำสติกที่ถูดว้ ยผ้ำสักหลำดเข้ำใกล้วตั ถุ A ที่แขวนด้วยเส้นเอ็น
พบว่ำวัตถุ A เบนออกจำกหลอดพลำสติก วัตถุ A คืออะไร
1. เศษกระดำษชิ้นเล็ก
2. ลูกโฟมขนำดเล็ก
3. หลอดพลำสติกที่ไม่ได้ถูดว้ ยผ้ำสักหลำด
4. หลอดพลำสติกที่ถูดว้ ยผ้ำสักหลำด
38. ขวดพลำสติก A และ B ทำจำกพลำสติกชนิดเดียวกัน เมื่อนำขวดพลำสติก A มำถูกบั
ผ้ำแห้ง และนำขวดพลำสติก B ถูกบั กระดำษเยือ่ แล้วนำมำเข้ำใกล้เม็ดโฟม
ซึ่งเป็ นกลำงทำงไฟฟ้ำ ข้อใดไม่ถูกต้อง

1. เกิดกำรถ่ำยโอนประจุไฟฟ้ำระหว่ำงขวดพลำสติกกับผ้ำ และขวดพลำสติก
กับกระดำษเยือ่
2. ประจุไฟฟ้ำบนขวดพลำสติก A และ B เป็ นประจุชนิดเดียวกัน
3. เมื่อนำขวดพลำสติกบริ เวณที่ถูท้งั สองใบมำเข้ำใกล้กนั อำจจะดึงดูดกัน
4. ขวดพลำสติก A ดึงดูดเม็ดโฟม ส่ วนขวดพลำสติก B ผลักเม็ดโฟม

39. เมื่อนำวัตถุ A และ B เข้ำใกล้เศษกระดำษ วัตถุท้งั สองสำมำรถดึงดูดเศษกระดำษ


ได้ท้งั คู่ ข้อใดสรุ ปได้ถูกต้อง
1. A และ B เป็ นกลำงทำงไฟฟ้ำ
2. A และ B มีประจุไฟฟ้ำรวมต่ำงชนิดกัน
3. A และ B มีประจุไฟฟ้ำรวมเป็ นชนิดเดียวกัน
4. A และ B อำจมีประจุไฟฟ้ำรวมเป็ นชนิดเดียวกัน หรื อต่ำงชนิดกันก็ได้

60
40. เมื่อนำลูกโป่ งมำถูกบั พรม และนำท่อพีวีซีมำถูกบั ผ้ำปูโต๊ะ จำกนั้นนำลูกโป่ งและ
ท่อพีวีซีมำเข้ำใกล้เศษกระดำษ เศษกระดำษจะติดขึ้นมำกับลูกโป่ งและท่อพีวีซี
เหตุกำรณ์ใดต่อไปนี้อำจเกิดขึ้นได้

1. ท่อพีวีซีและลูกโป่ งผลักเส้นผมได้
2. ลูกโป่ งและท่อพีวีซีเป็ นกลำงทำงไฟฟ้ำ
3. พรมและผ้ำปูโต๊ะมีประจุไฟฟ้ำลบและประจุไฟฟ้ำบวกเท่ำเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง
4. เมื่อนำลูกโป่ งและท่อพีวีซีดำ้ นที่ถูมำเข้ำใกล้กนั ลูกโป่ งอำจเบนออกจำกท่อพีวีซี

61
ข้ อสอบ : ชื่ อ ....................................................................
คะแนน..............
สำระที่ 2 : ว 2.3 ชั้น ...............................เลขที่............................

1. ตาราง ลักษณะของเปลวเทียนที่มองเห็น เมื่อมองผ่ำนวัตถุชนิดต่ำง ๆ


ชนิดของวัตถุ ลักษณะของเปลวเทียนที่มองเห็น
A เห็นไม่ชดั
B เห็นชัดเจน
C ไม่เห็น
D เห็นไม่ชดั
E เห็นชัดเจน
F เห็นไม่ชดั

ข้อใดคือวัตถุทึบแสง วัตถุโปร่ งแสง และวัตถุโปร่ งใส เรี ยงตำมลำดับ (O-NET 2552)


1. A B C 2. B D A
3. C A E 4. C B F

2. ถ้ำต้องกำรปรับปรุ งห้องน้ ำให้มีควำมสว่ำงจำกธรรมชำติเพิ่มขึ้นโดยทำช่องแสงเพิ่มเติม


และไม่ให้มองเห็นทะลุภำยในห้องน้ ำ วัสดุขอ้ ใดที่เหมำะสมสำหรับเลือกใช้ทำช่องแสง
(O-NET 2559)

1. แผ่นหินหยกสี เขียวบำง 2. แผ่นกระเบื้องปูพ้นื


3. แผ่นแก้วใส 4. แผ่นเหล็ก

62
เมื่อนำวัสดุ A B และ C มำวำงไว้ระหว่ำง ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ งและรุ ้งกินน้ ำ
ด.ญ.ฟรุ ้งฟริ้ งมองรุ ้งกินน้ ำผ่ำนวัสดุดงั กล่ำว ได้ผลกำรสังเกตดังนี้

วัสดุ ผลการสั งเกต


A ไม่สำมำรถมองเห็นรุ ้ง
B มองเห็นรุ ้งได้ไม่ชดั เจน
C มองเห็นรุ ้งได้ชดั เจน

3. จำกข้อมูล ข้อใดคือ วัตถุทึบแสง ตัวกลำงโปร่ งใส และตัวกลำงโปร่ งแสง ตำมลำดับ


1. A B C 2. C B A
3. B A C 4. A C B
4. วัสดุใด คือ สมบัติของกระจกใส กระจกฝ้ำ และกระจกเงำตำมลำดับ

1. A B C 2. C B A
3. B A C 4. A C B

63
5. ศึกษำกำรมองเห็นแสงผ่ำนวัตถุ A B C และ D โดยวำงเทียนไขและวัตถุก้ นั แสง
ครั้งละ 2 ชนิด ในแนวเดียวกัน ณ ตำแหน่งที่ 1 และ 2 ดังภำพ สังเกตแสงจำกเทียนไข
ผ่ำนวัตถุก้ นั แสงทั้งสอง จำกนั้นทำกำรทดลองซ้ ำโดยเปลี่ยนวัตถุก้ นั แสง
ผลเป็ นดังตำรำง (O-NET 2562)

วัตถุก้นั แสง แสงจากเทียนไขผ่านวัตถุก้นั แสง


การทดลอง
ตาแหน่ งที่ 1 ตาแหน่ งที่ 2 เห็นชัดเจน เห็นไม่ ชัดเจน ไม่ เห็น
ครั้งที่1 A B 
ครั้งที่ 2 A C 
ครั้งที่ 3 B C 
ครั้งที่ 4 B D 

จำกข้อมูล ข้อควำมต่อไปนี้ถูกต้องใช่หรื อไม่


ข้ อความ ใช่ หรื อไม่ ใช่
1. วัตถุ A และ B เป็ นวัตถุทึบแสง ใช่/ไม่ใช่
2. วัตถุ C เป็ นตัวกลำงโปร่ งใส ละวัตถุ D เป็ นตัวกลำงโปร่ งแสง ใช่/ไม่ใช่
3. ถ้ำไม่ทำกำรทดลองครั้งที่ 3 ก็สำมำรถสรุ ปได้วำ่
ใช่/ไม่ใช่
วัตถุ B เป็ นตัวกลำงชนิดใด

64
6. ขณะที่นกั ดนตรี ดีดกีตำร์ดว้ ยตัวดีด (ปิ๊ ก) ผูฟ้ ังได้ยนิ เสี ยงกีตำร์ได้เนื่องจำกเหตุใด
(O-NET 2550)

1. สำยกีตำร์กระทบกับตัวกีตำร์เกิดเสี ยงออกมำ
2. สำยกีตำร์สั่นเพรำะถูกดีดจึงทำให้เกิดเสี ยงออกมำ
3. สำยกีตำร์ไม่ทำให้เกิดเสี ยง แต่ตวั ดีดทำให้เกิดเสี ยงออกมำ
4. สำยกีตำร์ที่ถูกดีดสั่นแล้วกระทบสำยกีตำร์ที่อยูต่ ิดกันทำให้
เกิดเสี ยงออกมำ

7. จำกภำพ ข้อใดกล่ำวถูกต้อง

ก้อนหิน น้ ำ อำกำศ

1. เสี ยงเดินทำงผ่ำนก้อนหินได้เร็ วที่สุด


2. เสี ยงเดินทำงผ่ำนอำกำศได้เร็ วกว่ำน้ ำ
3. เสี ยงไม่สำมำรถเดินทำงผ่ำนน้ ำได้
4. เสี ยงเดินทำงผ่ำนก้อนหินได้ชำ้ กว่ำอำกำศ

65
8. ตำรำง ผลกำรฟังเสี ยงกระดิ่ง เมื่อเขย่ำขวดที่ปิดฝำสนิท ระหว่ำงขวดที่มีอำกำศ
และขวดที่สูบอำกำศออกหมด (O-NET 2550)

การทดลอง การทดลอง ผลการฟังเสี ยงกระดิ่ง

ขั้นที่ 1
กระดิ่งในขวด ได้ยนิ
ที่มีอำกำศ
เขย่าขวด

ขั้นที่ 2
สู บอำกำศออก ไม่ได้ยนิ
จนหมด
เขย่าขวด

สรุ ปผลของกำรทดลองนี้คืออะไร
1. ขนำดของขวดมีผลต่อกำรได้ยนิ เสี ยง
2. ควำมถี่ในกำรเขย่ำขวด ทำให้เกิดเสี ยง
3. เสี ยงเคลื่อนที่โดยอำศัยอำกำศเป็ นตัวกลำง
4. อำกำศมีผลต่อควำมถี่ในกำรสั่นของกระดิ่ง

66
9. จำกภำพ ข้อใดไม่ถูกต้อง

1. เสี ยงเคลื่อนที่ผำ่ นตัวกลำงที่เป็ นของแข็ง


2. เสี ยงเกิดจำกกำรสั่นสะเทือนผ่ำนเส้นด้ำย
3. เสี ยงเดินทำงผ่ำนเส้นเชือกได้เร็ วกว่ำผ่ำนอำกำศ
4. หำกเปลี่ยนจำกเส้นเชือกเป็ นเส้นเอ็น เสี ยงไม่สำมำรถเดินทำงได้

10. จำกกำรทดลอง นักเรี ยนสำมำรถได้ยนิ เสี ยงเคำะช้อนใต้ผิวน้ ำได้ชดั เจน กำรทดลองนี้


ตรวจสอบเรื่ องใด (O-NET 2551)
1. น้ ำเป็ นตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่ของเสี ยง
2. ช้อนเป็ นตัวกลำงในกำรเคลื่อนที่ของเสี ยง
3. ขนำดของช้อนมีผลต่อกำรเกิดเสี ยงใต้น้ ำ
4. ปริ มำณน้ ำมีผลต่อระดับควำมเข้มของเสี ยง

67
11. เด็ก 6 คน A B C D E และ F ยืนหันหน้ำเข้ำหำแหล่งกำเนิดเสี ยง และอยูบ่ นตำแหน่ง
ดังภำพ (O-NET 2554)

แหล่งกาเนิดเสี ยง

ใครจะได้ยนิ เสี ยงดังเท่ำกัน


1. A และ B 2. B และ C
3. C และ D 4. E และ F
12. กีตำร์เป็ นเครื่ องดนตรี ที่ประกอบด้วยสำยกีตำร์หลำยเส้นที่มีขนำดต่ำง ๆกัน
เมื่อกดสำยกีตำร์ ที่ตำแหน่งเดียวกันแล้วดีด ข้อใดกล่ำวถูกต้อง (O-NET 2559)
1. เส้นที่หนำสั่นเร็ วกว่ำเส้นที่บำง
2. เส้นที่หนำสั่นช้ำกว่ำเส้นที่บำง
3. เส้นที่หนำสั่นเท่ำกับเส้นที่บำง
4. เส้นที่หนำไม่เกิดกำรสั่น แต่เส้นที่บำงเกิดกำรสั่น
13. นำแก้ว 4 ใบที่มีรูปร่ ำง ขนำดและมวลเท่ำกันมำใส่ น้ ำในปริ มำณต่ำงกัน ดังรู ป
เมื่อเคำะแก้วทั้ง 4 ใบ จะเกิดเสี ยงที่ต่ำงกัน (O-NET 2554)

แก้วใบไหนเกิดเสี ยงที่มีควำมถี่นอ้ ยที่สุด


1. A 2. B 3. C 4. D

68
  
14. ขวดใบใดจะเกิดเสี ยงทุม้ ที่สุด และขวดใบใดเกิดควำมถี่ต่ำที่สุด ตำมลำดับ
1. 1 และ 3 2. 3 และ 1
3. 3 และ 2 4. 1 และ 1

15. ทดลองตีกลอง 4 ใบ ทีละใบ ด้วยแรงเท่ำเดิม แล้วบันทึกระดับเสี ยงที่ได้ยนิ ในตำรำง


ตาราง ระดับเสี ยงที่ได้ยนิ เมื่อตีกลอง 4 ใบ ทีละใบด้วยแรงเท่ำเดิม (O-NET 2551)

กลอง เสี ยงที่ได้ยิน

ใบที่ 1 แหลมที่สุด
ใบที่ 2 แหลม
ใบที่ 3 ทุม้
ใบที่ 4 ทุม้ ที่สุด

จำกตำรำง กำรตีกลองแล้วทำให้ผิวหน้ำของกลองสั่นด้วยควำมถี่ต่ำสุ ด คือ


กำรตีกลองในข้อใด
1. ใบที่ 1 2. ใบที่ 2
3. ใบที่3 4. ใบที่ 4

69
16. ขวด 2 ใบ มีขนำดเท่ำกันและมีน้ ำบรรจุดว้ ยปริ มำณต่ำงกัน ดังรู ป เมื่อใช้ไม้รูปทรงเรี ยว
และแข็งเคำะข้ำงขวด ข้อใดถูกต้อง (สสวท.)

ขวด ก ขวด ข
กำรสั่นของขวด เสี ยง กำรสั่นของขวด เสี ยง
1 เร็ ว สู ง ช้ำ ต่ำ
2 ช้ำ สู ง เร็ ว ต่ำ
3 ช้ำ ต่ำ เร็ ว สู ง
4 เร็ ว ต่ำ ช้ำ สู ง

17. จำกภำพ แขวนแผ่นเหล็กชนิ ดเดี ยวกัน ที่ มีควำมหนำเท่ำ กัน แต่มีขนำดแตกต่ ำ งกัน
ถ้ำตีแผ่นเหล็กด้วยแรงที่เท่ำกัน ข้อใดถูกต้ อง (O-NET 2552)

1. แผ่นที่ 1 เสี ยงต่ำกว่ำแผ่นที่ 2 2. แผ่นที่ 3 เสี ยงสู งที่สุด


3. แผ่นที่ 2 เสี ยงสู งที่สุด 4. แผ่นที่ 4 เสี ยงต่ำกว่ำแผ่นที่ 2

70
18. ในรำยกำรทำงโทรทัศน์ นักร้องได้ร้องเพลงท่อนหนึ่งในทำนองเสี ยงที่เป็ นเสี ยงสู งมำก
ถ้ำนักร้องคนนี้เปรี ยบเสมือนแหล่งกำเนิดเสี ยง ในขณะที่นกั ร้องกำลังร้องเพลงท่อนนี้
ข้อใดกล่ำวถูกต้อง (O-NET 2556)
1. แหล่งกำเนิดเสี ยง สัน่ ช้ำ
2. แหล่งกำเนิดเสี ยง สั่นเร็ ว
3. แหล่งกำเนิดเสี ยง มีพลังงำนเสี ยงมำก
4. แหล่งกำเนิดเสี ยง มีพลังงำนเสี ยงน้อย

19. ใส่ น้ ำในแก้วประมำณครึ่ งแก้ว จำกนั้นใช้แท่งไม้เคำะแก้วและฟั งเสี ยงที่เกิดขึ้น ต่อมำ


เทน้ ำปริ มำณครึ่ งหนึ่งออกจำกแก้วใบเดิม จำกนั้นเคำะแก้วด้วยแรงที่นอ้ ยลงกว่ำครั้งแรก
และฟังเสี ยงที่เกิดขึ้น (O-NET 2560)

จำกข้อมูล เสี ยงเคำะที่ได้ยนิ ในครั้งหลังจะต่ำงจำกครั้งแรกอย่ำงไร


1. เสี ยงทุม้ และค่อยกว่ำเดิม 2. เสี ยงทุม้ และดังกว่ำเดิม
3. เสี ยงแหลมและค่อยกว่ำเดิม 4. เสี ยงแหลมและดังกว่ำเดิม

71
20. มำลีทดสอบกำรเกิดเสี ยงจำกกำรตีระนำดของเล่น ซึ่ งลูกระนำดแต่ละแผ่นมีควำมหนำ
เท่ำกัน โดยกำหนดแผ่นลูกระนำด X Yและ Z ดังภำพ จำกนั้น มำลีตีครั้งที่ 1 ที่แผ่น Y
แล้งฟังเสี ยงที่เกิดขึ้น (O-NET 2562)

ถ้ำมำลีตอ้ งกำรให้เกิดเสี ยงครั้งที่ 2 เป็ นเสี ยงแหลมกว่ำและดังกว่ำครั้งที่ 1


มำลีควรตีที่แผ่นใด และตีลูกระนำดอย่ำงไร
1. ตีที่แผ่น X ด้วยแรงน้อยกว่ำเดิม 2. ตีที่แผ่น X ด้วยแรงมำกกว่ำเดิม
3. ตีที่แผ่น Z ด้วยแรงน้อยกว่ำเดิม 4. ตีที่แผ่น Z ด้วยแรงมำกกว่ำเดิม
21. รัดกล่องพลำสติกด้วยยำง A และยำง B ซึ่ งเหมือนกัน ทดสอบดึงยำง A ขึ้นดังภำพ แล้ว
ปล่อยยำง ฟังเสี ยงที่เกิดขึ้น จำกนั้นทดสอบเช่นเดิมกับอย่ำง B แต่ดึงขึ้นให้สูงกว่ำยำง A
(O-NET)

เสี ยงที่เกิดขึ้นจำกกำรดึงยำงแต่ละเส้นมีสิ่งใดต่ำงกัน และต่ำงกันอย่ำงไร


ก. ควำมถี่ของเสี ยง โดยยำง A เกิดเสี ยงสู งกว่ำ
ข. ควำมถี่ของเสี ยง โดยยำง B เกิดเสี ยงสู งกว่ำ
ค. ควำมดังของเสี ยง โดยยำง A เกิดเสี ยงดังกว่ำ
ง. ควำมดังของเสี ยง โดยยำง B เกิดเสี ยงดังกว่ำ

72
22. ขวด 2 ใบ มีขนำดเท่ำกันและมีน้ ำบรรจุดว้ ยปริ มำณต่ำงกัน ดังรู ป เมื่อใช้ไม้รูปทรงเรี ยว
และแข็งเคำะข้ำงขวด แล้วฟังเสี ยงที่ได้ยนิ

ตัวแปรต้น และตัวแปรตำม ของกำรทดลองนี้ คือ


1. ปริ มำณน้ ำ ควำมถี่ของเสี ยง 2. ควำมแรง ควำมดัง
3. ปริ มำณน้ ำ ควำมดัง 4. ควำมแรง ควำมถี่ของเสี ยง

23. ทดสอบกำรเกิดเสี ยงจำกกำรตีระนำดของเล่น ซึ่ งลูกระนำดแต่ละแผ่นมีควำมหนำเท่ำกัน


และตีดว้ ยแรงที่เท่ำกัน

ตัวแปรต้น และตัวแปรควบคุม ของกำรทดลองนี้ คือ


1. สี ควำมถี่ของเสี ยง
2. ขนำดของแผ่นระนำด ควำมหนำของแผ่นระนำด
3. ควำมหนำของแผ่นระนำด ควำมดัง
4. ควำมแรงของกำรตี ขนำดของแผ่นระนำด

73
24. ตำรำง ปริ มำณเวลำที่อนุญำตให้พนักงำนทำงำนได้อย่ำงปลอดภัยที่ควำมเข้มเสี ยง
เมื่อได้รับอย่ำงต่อเนื่องในระดับต่ำง ๆ (O-NET 2550)

ระดับควำมเข้มเสี ยงที่ได้รับอย่ำงต่อเนื่อง (เดซิเบล) 91 90 85 80


เวลำที่อนุญำตให้ทำงำนได้อย่ำงปลอดภัย (ชัว่ โมง) 6 7 8 9

จำกตำรำง กำรทำงำนลักษณะใดมีโอกำสได้รับอันตรำยจำกเสี ยงมำกที่สุด


1. ทำงำน 5 ชัว่ โมงในบริ เวณที่มีระดับควำมเข้มเสี ยง 91 เดซิเบล
2. ทำงำน 6 ชัว่ โมงในบริ เวณที่มีระดับควำมเข้มเสี ยง 90 เดซิเบล
3. ทำงำน 8 ชัว่ โมงในบริ เวณที่มีระดับควำมเข้มเสี ยง 80 เดซิเบล
4. ทำงำน 9 ชัว่ โมงในบริ เวณที่มีระดับควำมเข้มเสี ยง 85 เดซิเบล

74
ภำพ กำรต่อวงจรไฟฟ้ำ
25. จำกภำพ ส่ วนประกอบของวงจรที่ทำหน้ำที่เป็ นแหล่งกำเนิดไฟฟ้ำคืออะไร (O-NET 2551)
1. สำยไฟ 2. หลอดไฟ
3. ถ่ำนไฟฉำย 4. ลวดทองแดง

26. ข้อใดแสดงทิศทำงกำรเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้ำในวงจรไฟฟ้ำได้ถูกต้อง
1. 2.

3. 4.

75
27. วงจรไฟฟ้ำในภำพใดแสดงทิศทำงกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำถูกต้อง (O-NET 2551)
(เมื่อให้ แทนทิศกำรไหลของกระแสไฟฟ้ำ)

1.

2.

3.

4.

76
28. จำกรู ปกำรต่อวงจรไฟฟ้ำ ข้อใดเขียนแผนภำพวงจรไฟฟ้ำได้ถูกต้อง

ที่มำ หนังสื อเรี ยน สสวท. ป.6 เล่ม 1 หน้ำ 217

1. 2.

3. 4.

29. จำกรู ป ข้อใดกล่ำวไม่ถูกต้อง

1. จำกแผนภำพมีเซลล์ไฟฟ้ำ จำนวน 2 เซลล์


2. จำกแผนภำพมีหลอดไฟฟ้ำจำนวน 4 หลอด
3. จำกแผนภำพเป็ นวงจรไฟฟ้ำเปิ ด
4. จำกแผนภำพหลอดไฟฟ้ำสว่ำงทุกดวง

77
30. เด็กชำยโดม มีนำฬิกำเรื อนหนึ่ง ซึ่งต้องใช้เซลล์ไฟฟ้ำ 2 เซลล์ ต่อกันให้เกิดกระแสไฟฟ้ำ

กำรต่อเซลล์ไฟฟ้ำแบบใดที่ทำให้เข็มนำฬิกำไม่สำมำรถเดินได้ (O-NET 2554)

1. 2.

3. 4.

78
31. ภำพใดที่หลอดไฟฟ้ำ เซลล์ไฟฟ้ำ สวิตช์ ต่อกันแบบอนุกรม (O-NET 2555)

79
ต่อวงจรไฟฟ้ำดังแผนภำพ

32. เมื่อกดสวิตช์ลงให้เป็ นวงจรไฟฟ้ำปิ ด หลอดไฟฟ้ำจะเป็ นอย่ำงไร (O-NET 2561)

หลอดไฟฟ้า A หลอดไฟฟ้า B
1. สว่ำง ไม่สว่ำง
2. ไม่สว่ำง สว่ำง
3. สว่ำง สว่ำง
4. ไม่สว่ำง ไม่สว่ำง

33. เด็กหญิงลำยองทดลองวงจรไฟฟ้ำที่ประกอบด้วยหลอดไฟฟ้ำที่เป็ นชนิดและ


แบบเดียวกัน 3 หลอด สำยไฟและถ่ำนไฟฉำย ซึ่งสำมำรถเขียนเป็ นแผนภำพวงจรไฟฟ้ำ
ดังรู ป (O-NET 2557)

เด็กหญิงลำยองจะเห็นหลอดไฟหลอดใดสว่ำงที่สุด
1. A 2. B 3. C 4. B และ C

80
พิจำรณำวงจรไฟฟ้ำดังรู ป (O-NET)

34. เมื่อสับสวิตช์ของวงจรไฟฟ้ำนี้ลง จะเกิดอะไรขึ้นกับหลอดไฟฟ้ำทั้งสำม (O-NET 2558)

1. หลอดไฟ 1 ดับ แต่หลอดไฟ 2 และหลอดไฟ 3 สว่ำง


2. หลอดไฟ 1 สว่ำง แต่หลอดไฟ 2 และหลอดไฟ 3 ดับ
3. หลอดไฟ 1 หลอดไฟ 2 และหลอดไฟ 3 สว่ำงเท่ำกันหมด
4. หลอดไฟ 1 สว่ำ งที่ สุ ด ส่ ว นหลอดไฟ 2 และหลอดไฟ 3 สว่ำ งเท่ ำ กัน แต่ น้อ ยกว่ำ
หลอดไฟหลอดที่ 1

35. เมื่อต่อกระแสไฟฟ้ำครบวงจร หลอดไฟสว่ำงทุกดวง ถ้ำนำหลอดไฟหมำยเลข 2


ออกจำกวงจร หลอดไฟหมำยเลขใดจะดับ (O-NET 2550)
1. หมำยเลข 1 2. หมำยเลข 3
3. หมำยเลข 4 4. หมำยเลข 5

81
36. จำกภำพ นำหลอดไฟหมำยเลขใดออก แล้วทำให้หลอดไฟที่เหลือทุกดวงดับ
(O-NET 2551)
1. หลอดที่ 2 2. หลอดที่ 3
3. หลอดที่ 4 4. หลอดที่ 5

37. จำกรู ป หำกหลอดไฟฟ้ำดวงที่ 3 ดับ ดวงที่เหลือจะเป็ นอย่ำงไร

1. หลอดไฟฟ้ำ 1, 2 และ 5 ยังคงสว่ำง แต่ หลอดไฟฟ้ำ 4 ไม่สว่ำง


2. หลอดไฟฟ้ำ 1และ2 ยังคงสว่ำง แต่ หลอดไฟฟ้ำ 4 และ 5 ไม่สว่ำง
3. หลอดไฟฟ้ำที่เหลือยังคงสว่ำงทุกดวง
4. หลอดไฟฟ้ำที่เหลือทุกดวงไม่สว่ำง

82
ภำพ ก ภำพ ข
38. จำกภำพข้อใดกล่ำวถูกต้อง (O-NET 2553)
1. ก เป็ นกำรต่อวงจรไฟฟ้ำแบบขนำน หำกหลอด A ดับ หลอด B จะดับด้วย
2. ก เป็ นกำรต่อวงจรไฟฟ้ำแบบอนุกรม หำกหลอด A ดับ หลอด B ยังสำมำรถใช้งำนได้
3. ข เป็ นกำรต่อวงจรไฟฟ้ำแบบอนุกรม หำกหลอด A ดับ หลอด B จะดับด้วย
4. ข เป็ นกำรต่อวงจรไฟฟ้ำแบบขนำน หำกหลอด A ดับ หลอด B ยังสำมำรถใช้งำนได้

39. ต่อวงจรไฟฟ้ำ 2 วงจร ดังแผนภำพ โดยเมื่อต่อให้เป็ นวงจรไฟฟ้ำปิ ดแล้ว หลอดไฟฟ้ำ


สว่ำงทั้ง 4 หลอด (O-NET 2561)

ถ้ำ หลอดไฟฟ้ ำ ในแต่ ล ะวงจรช ำรุ ด 1 หลอด วงจรใดที่ ย งั คงมี ห ลอดไฟฟ้ ำ สว่ ำ งอยู่
และกำรต่อวงจรดังกล่ำวเป็ นแบบใด
ก. วงจร A ซึ่งเป็ นกำรต่อแบบขนำน
ข. วงจร A ซึ่งเป็ นกำรต่อแบบอนุกรม
ค. วงจร B ซึ่งเป็ นกำรต่อแบบขนำน
ง. วงจร B ซึ่งเป็ นกำรต่อแบบอนุกรม
83
40. ต่อวงจรไฟฟ้ำที่มีหลอดไฟฟ้ำ 3 หลอด แบบอนุกรม พบว่ำ หลอดไฟฟ้ำสว่ำง
ทั้ง 3 หลอด (O-NET 2562)
แผนภำพของวงจรไฟฟ้ำดังกล่ำวสอดคล้องกับข้อใด และถ้ำถอดหลอดไฟฟ้ำ
ในวงจรนี้ออก 1 หลอด จะเหลือหลอดไฟฟ้ำที่ยงั คงสว่ำงอยูจ่ ำนวนเท่ำใด

แผนภาพวงจรไฟฟ้า จานวนหลอดไฟฟ้าที่ยังคงสว่างอยู่

84
41. ต่อวงจรไฟฟ้ำดังภำพ (O-NET 2560)

ขณะนี้ หลอดไฟฟ้ำ A B C D และ E สว่ำงอยู่ ถ้ำหลอดไฟฟ้ำต่อไปนี้ชำรุ ดใช้งำนไม่ได้ แล้ว


หลอดไฟฟ้ำที่เหลืออีก 4 หลอดยังคงสว่ำงอยู่ หรื อไม่
ข้อควำม ใช่ หรื อ ไม่ใช่
1. หลอดไฟฟ้ำ A ชำรุ ด แต่ B C D และ E ยังสว่ำงอยู่ ใช่ / ไม่ใช่
2. หลอดไฟฟ้ำ B ชำรุ ด แต่ A C D และ E ยังสว่ำงอยู่ ใช่ / ไม่ใช่
3. หลอดไฟฟ้ำ D ชำรุ ด แต่ A B C และ E ยังสว่ำงอยู่ ใช่ / ไม่ใช่

85
42. ข้อใด ไม่ใช่เงำที่เกิดจำกวัตถุชนิดนี้

1. 2.

3. 4.

43. ภำพใด ที่ ไม่ เกิดจำกเงำ


1. 2.

3. 4.

86
44. จำกรู ป บริ เวณใดเป็ นเงำ

1. 1 เท่ำนั้น

2. 1 และ 2

 3. 2 และ 3
4. 1 2 และ 3

45. ภำพกำรเกิดเงำของวัตถุต่อไปนี้ ภำพใดเกิดได้จริ ง (O- NET 2551)

1. ทิศของแสง 2. ทิศของแสง

3. ทิศของแสง 4. ทิศของแสง

46. จำกภำพ

เมื่อเปิ ดไฟฉำย ภำพที่ปรำกฏบนฉำกจะเป็ น ตำมข้อใด

87
47. ภำพกำรทดลองในห้องมืด (O-NET 2557)

แสงไฟฉำย วัตถุ A ห้องมืด

เงำมืดของวัตถุ A

เมื่อส่ องไฟฉำยไปยังวัตถุ A มีเงำมืดเกิดขึ้น วัตถุในข้อใดอยูใ่ นประเภทเดียวกัน


กับวัตถุ A
1. หนังสื อ กระจกใส
2. พลำสติกใส แผ่นใสอัด
3. น้ ำ กระดำษไข
4. สมุด จำนกระเบื้อง
48. นักกีฬำหญิงคนหนึ่งออกกำลังกำรตอนเช้ำ มีเงำทอดลงบนพื้น ดังรู ป

C D

B
ข้อใดถูกต้อง
1. ตำแหน่ง A คือทิศเหนือ 2. ตำแหน่ง B คือทิศใต้
3. ตำแหน่ง C คือทิศเหนือ 4. ตำแหน่ง D คือทิศตะวันออก

88
ใช้ภำพในกำรตอบคำถำมข้อ 49 - 50
B
A

C
D

49. ข้อใด ถูกต้อง

1. ตำแหน่ง A เกิดเงำที่มีสีเทำ 2. ตำแหน่ง B เกิดเงำมืด


3. ตำแหน่ง C เกิดเงำมืด 4. ตำแหน่ง D ไม่เกิดเงำ

50. บริ เวณใดที่ไม่ มแี สงตกลงบนฉำก


1. A 2. B
3. C 4. B และ C

89

You might also like