Professional Documents
Culture Documents
À À À À À À À À ©à À À ¡À À À À À
À À À À À À À À ©à À À ¡À À À À À
วิชา การปฏิบัติการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช
จัดทำโดย
นางสาวสุริกา กุลแสนเต่า รหัสนักศึกษา 63040200121
นักศึกษาพยาบาล ชั้นปีที่ 3
เสนอ
อาจารย์ระพีพรรณ ลาภา
อาจารย์นิเทศประจำกลุ่ม
หอผู้ป่วยภูมจิ ิต โรงพยาบาลหนองคาย
คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ภาคการศึกษาที่ 1 ปีการศึกษา 2565
ก
คำนำ
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา NS29334 การปฏิบัติการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช ซึ่งมี
เนื้อหาเกี่ยวกับการใช้กระบวนการพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช เกี่ยวกับการอาการและพฤติกรรมพื้นฐาน
ของผู้ป่วยในหอผู้ป่วยจิตเวช
ในส่ว นของเนื้อหามี การประเมิน สุขภาพทางจิตและการวางแผนทางการพยาบาลเพื ่อ ให้ ไ ด้ ฝึ ก
ประสบการณ์ทางการพยาบาลให้กับผู้ป่วยได้เรียนรู้บทบาทของวิชาชีพพยาบาลจิตเวช การใช้กระบวนการ
พยาบาลในการดูแลป่วยแบบองค์รวม (Holistic care) อย่างครบคลุมในการฝึกปฎิบัติจริงเห็นสถานการณ์จริง
ในหอผู้ป่วย โดยมีอาจารย์ผู้สอนเป็นพยาบาลวิชาชีพเป็นผู้นิเทศให้ความรู้และสร้างทัศนคติต่อวิชาชีพพยาบาล
และสามารถใช้ความรู้ทางกระบวนการพยาบาล การประเมินทางการพยาบาลมาประยุกต์ใช้และต่อยอดทำให้
เกิดกระบวนการพยาบาลอย่างเป็นองค์รวมต่อไป
ขอขอบพระคุณ อาจารย์ระพีพรรณ ลาภา อาจารย์นิเทศและเจ้าหน้าที่บุคลากรประจำหอรวงผึ้ง
โรงพยาบาลอุดรธานี ที่ให้คำแนะนำและให้ความรู้ตลอดเวลาในการฝึกปฎิบัติงาน ตลอดจนการทำรายงานเล่ม
นี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
นางสาวสุริกา กุลแสนเต่า
30 กันยายน 2565
ข
สารบัญ
เรื่อง หน้า
คำนำ 1
ส่วนที่1 ข้อมูลผู้ป่วย 1
ส่วนที่2 การรวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพและการเจ็บป่วยทางจิต 1
ส่วนที่3 ข้อมูลตัวและการประเมินด้านจิตสังคม 2
ส่วนที่4 ข้อมูลด้านการรักษาและการตรวจประเมินภาวะสุขภาพ 5
ส่วนที่5 การวิเคราะห์การเจ็บป่วยทางจิต 26
ส่วนที่6 กระบวนการพยาล และแผนการดูแลอย่างต่อเนื่อง 38
ส่วนที่7 สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ 58
เอกสารอ้างอิง 60
1
รายงานกรณีศึกษา
การประเมินความผิดปกติทางจิต การวินิจฉัยเบื้องต้น และการวินิจฉัยทางการพยาบาล
ส่วนที่ 1 ข้อมูลผู้ป่วย
ผู้รับบริการเพศ ชาย อายุ 35 ปี
สถานภาพสมรส หย่าร้าง ระดับการศึกษา ปวส. อาชีพ เซียนพระ
รายได้/เดือน 1000 บาท ภูมิลำเนา 211 หมู่ 10 ต.หาดคำ อ.เมืองหนองคาย จ.หนองคาย
ผู้ดูแลหลัก ยาย
การวินิจฉัยโรค Amphetamine psychosis disorderกลุ่มอาการทางจิตที่เกิดขึ้นการใช้สารแอมเฟตามีน
วัน Admit 4 กันยายน พ.ศ.2565 ครั้งที่ admit 1 หอผู้ป่วยภูมิจิต โรงพยาบาลหนองคาย
ส่วนที่ 2 การรวบรวมข้อมูลสุด้านสุขภาพและการเจ็บป่วยทางจิต
ที่มาของข้อมูลจากผู้รับบริการและแฟ้มประวัติผู้ป่วย
2.1 อาการสำคัญ (Chief Complaint)
ก้าวร้าว 1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล
2.2 ประวัติการเจ็บป่วยปัจจุบัน (Present Illness)
20 ปีก่อน เริ่มสูบบุหรี่ 10มวน/วัน ดื่มสุราขาว 1 ขวดใหญ่/สัปดาห์ เพราะเพื่อนชวนสูบ ดื่มสุรามา
เรื่อยๆ ประจำทุกวัน
5 ปีก่อน เริ่มใช้ยาบ้าและกัญชา ยาบ้าและกัญชาที่ได้มาจากเพื่อน พอลองเสพแล้วชอบกลิ่นของยาบ้า
คล้ายกลิ่นช็อคโกแลต เกิดอาการติดใจเลยเสพยาบ้ามาเรื่อยๆ เสพยาบ้าครั้งละ 1 เม็ด/ครั้ง เสพสัปดาห์ละ
5 ครั้ง และกัญชา ครั้งละ1 เขียง เสพสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ไม่มีอาการทางจิต
1 เดือนก่อน ภาพหลอน หูแว่ว มีความคิดหลงผิดว่าตนโดนเล่นคุณไสย คิดว่ามีหนอนออกจาก
บาดแผลบริเวณตามร่างกาย บนอาหาร บนอุจจาระ และตามทั่วร่างกาย และยังมีการใช้สารเสพติดคือยาบ้า
เสพยาบ้าครั้งละ 1 เม็ด/ครั้ง เสพสัปดาห์ละ 3 ครั้ง คิดว่าตนเองไม่ได้เป็นอะไรจึงไม่ได้มารักษาที่โรงพยาบาล
1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล ผู้ป่วยทำร้ายข้าวของ พูดคนเดียว มีภาพหลอน หูแว่ว มีความคิดหลงผิด
ว่าตนโดนเล่นคุณไสย ตำรวจจึงพามาส่งตัวที่โรงพยาบาลหนองคาย admit ที่หอผู้ป่วยภูมิจิต โรงพยาบาล
หนองคาย
2
3) ประวัติพัฒนาการทางเพศ พฤติกรรมการแสดงออกทางเพศเหมาะสมตามเพศของตนเอง
ผู้ป่วยให้ประวัติว่า “เริ่มมีเพศสัมพันธ์กับแฟนตั้งอายุ 20 ปี จนได้มีบุตรชาย1คน หลังจากที่เลิกลากับ
ภรรยาตนก็ไม่ได้มีคู่นอนอีกเลย”
4) ประวัติการสมรส (ความสัมพันธ์ และเหตุการณ์สำคัญในชีวิตครอบครัว)
ผู้ป่วยให้ประวัติว่า “อยู่กับภรรยา ไม่ได้แต่งงานกัน มีบุตรชายด้วยคน 1 คน แต่เลิกรากันเพราะ
ภรรยาไม่ชอบที่ตนเองเสพยา ติดเหล้า สูบบุหรี่ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกัน ไม่ได้มีการส่งเสียเลี้ยงดูลูก
5) เหตุการณ์ที่สำคัญในชีวิตทั้งทางบวก และทางลบ
เหตุการณ์ทางบวก : ผู้ป่วยให้ประวัติว่า “ได้มีภรรยาทีดีและมีลูกชายที่น่ารัก นิสัยดี ตามที่หวังไว้”
เหตุการณ์ทางลบ : ผู้ป่วยให้ประวัติว่า “พ่อแม่เลิกกันตั้งแต่ผม 2ปี บางครั้งก็อยากเจอหน้าพ่อแม่บ้าง
ต้องการความอบอุ่นจากพ่อแม่ เลิกกับภรรยา ภรรยาเลี้ยงลูกเองคนเดียว อยากเจอลูกในบางครั้งบางครั้งก็
คิดถึงลูกชาย”
3.2 ประวัติการใช้ชีวิตในอดีตจนถึงปัจจุบัน
1) แบบแผนการดำเนินชีวิต ตั้งแต่ก่อนเจ็บป่วยจนถึงปัจจุบัน
แผนการดำเนินชีวิตตั้งแต่ก่อนการเจ็บป่วยผู้ป่วยมีการดำเนินชีวิตแบบเรียบง่าย มีความสุขกับตนเอง
และภรรยา บุตรชาย มีอาชีพเซียนพระมีทักษะการเข้าสังคม พูดคุยให้คนอื่นเชื่อถือ เริ่มมีการใช้สารเสพติดเริ่ม
ไม่เก็บเงินไม่มีอดออม ได้เงินจากการเช่าพระก็จะไปซื้อยาบ้ามาเสพ จนทำให้เกิดการทะเลาะในครอบครัว
เลิกรากับภรรยา จากนั้นเสพยาบ้าและกัญชามากขึ้น เริ่มเร่ร่อน นอนตามวัด จนเริ่มมีอาการประสาทเกิดภาพ
หลอน หูแว่ว หลงผิด
2) บุคลิกภาพก่อนป่วย
2.1) เจตคติต่อตนเอง รู้สึกว่าตนเองทำอะไรก็ได้ไม่ดีเท่าไหร่ แต่ก็พยายามให้กำลังใจตนเอง และ
พยายามไม่แคร์คนรอบข้าง
2.2) เจตคติต่อผู้อื่น คนอื่นที่มองเห็นความล้มเหลวของตนเอง ก็มีแต่สมน้ำหน้า มีแต่คนคอย
ซ้ำเติมและพยายามไม่แคร์คนรอบข้าง
2.3) บุคลิกภาพและพื้นฐานทางอารมณ์ ปกติเป็นคนที่มีบุคคลิกภาพที่ดี ยิ้มแย้มแจ่มใสพื้นฐาน
ทางอารมณ์เป็นอารมณ์โกรธง่ายหายเร็วเมื่อมีเรื่องมากระทบต่อจิตใจแต่ถ้ามีคนมาพูดยั่วยวนใจ พยายามข่ม
อารมณ์ของตนเองไว้พยายามเดินหนี ไม่สนใจ
2.4) การปรับตัวและรูปแบบการเผชิญปัญหา เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาผู้ป่วยจะพยายามแก้ไข
ปัญหานั้นด้วยตนเองให้ได้มากที่สุด หากแก้ปัญหาไม่สำเร็จจะคอยปรึกษาเพื่อนหรือคนที่ไว้วางใจบ้างตาม
ความเหมาะสม
2.5) เป้าหมายในชีวิต ผู้ป่วยอยากเห็นลูกชายเรียนต่อจนจบ มีอนาคตที่ดีกว่าตนเอง อยากกลับไป
ใช้ชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง
4
ยาย 80 ปี
ผู้ป่วย 35 ปี ภรรยา
บุตรชาย 6 ปี
3.4 ข้อมูลด้านสังคม
1) สภาพแวดล้อมและลักษณะที่อยู่อาศัย
ผู้ป่วยให้ประวัติว่า”ผู้ป่วยอาศัยอยู่ในพื้นที่ท้ายสวนของคุณยาย ทางครอบครัวได้สร้างบ้านจากไม้เป็น
โครงไม้ หลังคาบ้านเป็นสังกะสีเก่าและฝาผนังบ้าเป็นไม้อัดรอบบ้าน มีฟูกที่นอน แต่ไม่ค่อยได้ทำความสะอาด
ภายในบ้าน มีไฟฟ้าและน้ำประปาบาดาล บริเวณรอบบ้านมีการปลูกพืชผักสวนครัว”
2) บทบาทและสัมพันธภาพทางสังคม
ผู้ป่วยเข้าสังคม เนื่องจากอาชีพเซียนพระต้องมีการสร้า งสัมพันธ์ภาพกับผู้อื่น ผู้ป่วยจึงมีทักษะทาง
สังคม แต่สัมพันธ์ภาพภายในครอบรัวห่างเหิน คือบิดา-มารดา แยกทางกันตั้งแต่ผู้ป่วยอายุ 2 ขวบและมารดามี
สามีใหม่ได้ย้ายไปอยู่จังหวัดเลย และผู้ป่วยมีภรรยา 1 คน อยู่ร่วมกันโดยไม่ได้แต่งงานกัน มีบุตรชายด้วยกัน 1
คน แต่ผู้ป่วยได้แยกทางกับภรรยา ส่วนลูกชายอยู่กับมารดาได้มารับไปดูแลผู้ป่วยไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูบุตร เพราะ
ผู้ป่วยมีพฤติกรรมที่ชอบเสพยาและคุณยายไม่สามารถที่จะดูแลผู้ป่วยได้
ส่วนที่ 4 ข้อมูลด้านการรักษาและการตรวจประเมินภาวะสุขภาพ
4.1 การรักษาพยาบาลที่ได้รับ
Date/Time Progress Note Order for one day Order for continue
5/09/2565 Consult
สังคมสงเคราะห์
6/09/2565 -Chlorpromazine (100) 1xhs
-Haloperidol 5 mg IM prn for
agitation q 30 min cmax 20
mg/day
6
Date/Time Progress Note Order for one day Order for continue
Date/Time Progress Note Order for one day Order for continue
ชื่อยา Haloperidol
กลุ่มยา Antipsychotic agent
ชนิดของยา ยาเม็ด รับประทาน
ขนาด 5 mg
วิธีการใช้ 1 tab pc (08:00 น.)
วันที่เริ่มใช้ยา 4 กันยายน 2565
กลไกการออกฤทธิ์ กลไกการออกฤทธิ ์ ข องยาฮาโลเพอริ ด อล คื อ ตั ว ยาจะออกฤทธิ ์ ป ิ ด กั ้ น ที ่ ต ั ว รั บ
(Receptor ) ของกลุ ่ ม สารเคมี จ ำพวก Postsynaptic dopamine D1 และ D2 ที่
ส่งผลให้ล ดการหลั่งฮอร์โ มน 2 กลุ่มคือ ไฮโปธาลามิกฮอร์โ มน (Hypothalamic
hormones: ฮอร์โมนจากสมองส่วน Hypo thalamus) และ ไฮโปไฟเชียลฮอร์โมน
(Hypophyseal hormones: ฮอร์โมนจากต่อมใต้สมอง) ส่งผลทำให้เกิดภาวะสงบ
ทางจิต ลดอาการก้าวร้าว และภาพหลอน รวมไปถึงอาการหลงผิด (ประ สาทหลอน)
ของผู้ป่วย จนนำไปสู่อาการที่เป็นปกติหรือใกล้เคียงปกติ
ข้อบ่งใช้ เป็ น ยาสงบประสาทที ่ ใ ช้ ใ นผู ้ ป ่ ว ยหู แ ว่ ว และประสาทหลอนในโรคจิ ต เภทชนิ ด
เฉี ย บพลั น แ ละเรื ้ อ รั ง ( acute and chronic schizophrenia) หว าดระแวง
(paranoid) ความคิดสับสนฉับพลัน, โรคพิษสุราเรื้อรัง ปรับตัวเข้ากับสังคมไม่ได้ และ
บุคคลิกภาพอื่น ๆ
ผลข้างเคียง อาการแพ้รุนแรง ได้แก่ ลมพิษ ผื่น หายใจลำบาก แน่นหน้าอก ปากบวม ริมฝีปาก
บวม หน้าหรือลิ้นบวม การมองเห็นเปลี่ยนแปลงไป หรือเห็นภาพไม่ชัด เจ็บหน้าอก
สับสน ปัสสาวะมีสีเข้ม ปัสสาวะน้อยลง หรือปัสสาวะลำบาก เกิดภาวะขาดน้ำ กลืน
หรือพูดลำบาก น้ำลายไหลย้อย
ชื่อยา Artane
กลุ่มยา Antipakinson's agent.
ชนิดของยา ยาเม็ด รับประทาน
ขนาด 5 mg.
วิธีการใช้ 1x3 oral pc เช้า กลางวัน เย็น
วันที่เริ่มใช้ยา 4 กันยายน 2565
กลไกการออกฤทธิ์ กลไกของยาตัวนี้หากใช้ตามวัตถุประสงค์ของการรักษา เป็นยาต้านการหดเกร็งของ
กล้ามเนื้อ ให้ผลยับยั้งโดยตรงต่อระบบประสาทพาราซิมพาเตติก จะไปออกฤทธิ์โดย
การต้ า นการหดเกร็ ง ของกล้ า มเนื ้ อ ปิ ด กั ้ น ตั ว รั บ Acetylcholine ยั ง มี ผ ลทำให้
กล้ามเนื้อเรียบคลายตัว
9
ชื่อยา Clonazepam
กลุ่มยา Antipakinson's agent.
ชนิดของยา ยาเม็ด รับประทาน
ขนาด 0.5 mg.
วิธีการใช้ 1x3 tab oral pc เช้า กลางวัน เย็น
วันที่เริ่มใช้ยา 4 กันยายน 2565
กลไกการออกฤทธิ์ ออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลางโดยเป็น agonist ที่ benzodiazepine
receptor ซึ่งจับกลุ่มอยู่กับ GABAA receptor และ chloride channel อยู่ที่เยื่อหุ้ม
เซลล์ประสาท ทำให้ GABAA receptor ทำงานได้มากขึ้น ส่งผลให้ chloride
channel เปีด ยอมให้ chloride ions เข้าสู่เซลล์มากขึ้น เกิด hyperpolarization
และยับยั้งการทำหน้าที่ของเซลล์ประสาทต่างๆ ทำให้มีผลลดอาการวิตกกังวล ทำให้
ง่วงหลับ ต้านอาการชัก คลาย
กล้ามเนื้อ และอาจเกิดภาวะสูญเสียความจำข้างหน้า
ข้อบ่งใช้ ถูกนำมาใช้ในการรักษา
1. โรคแพนิค (Panic Disorder)
2. ควบคุมอาการหรือรักษาโรคลมชักและช่วยบรรเทาความวิตกกังวล
(Anxiety)
นอกจากนั้น ยานี้อาจนำมาใช้เพื่อรักษาโรคหรืออาการอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับ
ดุลยพินิจของแพทย์
ผลข้างเคียง เช่น ง่วงซึม มึนงง เวียนศีรษะ มีน้ำลายออกมาก ปวดข้อ ปัสสาวะบ่อย การมองเห็น
เปลี่ยนแปลงไป มีอาการแพ้ เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ใบหน้าบวม ริมฝีปากบวม ลิ้นบวม
หรือคอบวม ใจเต้นแรงหรือใจสั่นเสียงแหบ หายใจตื้น หายใจไม่ออกหรือกลืนลำบาก
กระสับกระส่าย วิตกกังวล ตื่นตระหนก สับสนหงุดหงิด กล้ามเนื้ออ่อนแรง กระตุก
หรือเป็นตะคริว
10
ชื่อยา Chlorpromazine
กลุ่มยา Antipsychotic agent
ชนิดของยา ยาเม็ด รับประทาน
ขนาด 100 mg.
วิธีการใช้ 1 tab oral hs ก่อนนอน
วันที่เริ่มใช้ยา 6 กันยายน 2565 – 7 กันยายน 2565
กลไกการออกฤทธิ์ - มีฤทธิ์ยับยั้ง Dopamine D2 receptor น้อย ทำให้เกิดผล การรักษาโรค จิตต่ำ
- มีฤทธิ์ block และ Adrenoceptor ทำให้เกิด Postural hypotension มีฤทธิ์
Anticholinergic เป็นสาเหตุให้เกิดอาการข้างเคียง คือ ตาพร่า ความดันในลูกตาเพิ่ม
ปากคอแห้ง ท้องผูก และปัสสาวะคั่ง
- มีฤทธิ์ยับยั้ง 5 HT receptor ทำให้มีฤทธิ์กด ภาวะประสาทหลอน ของผู้ป่วยโรคจิต
มีฤทธิ์ยับยั้ง Histamine H1 receptor เป็นผลให้ผู้ป่วยง่วง นอนหลับ ได้ หิวและ
รับประทานมากขึ้น ทำให้อ้วน
-มีฤทธิ์ยับยั้ง prolactin - release inhibitory factor จึงทำให้มีการหลั่ง prolactin
เพิ่มขึ้น
ข้อบ่งใช้ - ใช้รักษาและควบคุมอาการโรคจิตชนิดคุ้มคลั่ง และโรคจิตเภท (mania and
schizophrenia)
- ใช้ลดอาการกระสับกระส่าย หวาดระแวงก่อนผ่าตัด ( pre - operative anxiety )
- รักษาพฤติกรรมก้าวร้าวในเด็ก และควบคุมอาการคลื่นไส้ อาเจียนที่เกิดขึ้นทั่วไป
และหลังผ่าตัด
ผลข้างเคียง มีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง ทำให้วิงเวียนศีรษะอย่างรุนแรง มีปัญหาในการหายใจ เกิด
ผื่นแดง คัน และมีอาการบวมบริเวณใบหน้า คอ ลิ้น เจ็บหน้าอก มีความรู้สึกสับสน
ความรู้สึกตัวลดลง หัวใจเต้นผิดปกติ เต้นเร็วหรือเต้นช้าลง กล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า
คอ และหลังชักกระตุกชาตามแขนและขา กล้ามเนื้ออ่อนแรง ควบคุมกล้ามเนื้อไม่ได้
มีสัญญาณบ่งบอกว่าเกิดการติดเชื้อ เช่น ไข้ขึ้น เจ็บคอ เป็นต้น
ชื่อยา Midazolam
11
กลุ่มยา benzodiazepine
ชนิดของยา ยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
ขนาด 15 mg.
วิธีการใช้ stat
วันที่เริ่มใช้ยา วันที่ 14 กันยายน 2565
กลไกการออกฤทธิ์ ดอร์ ม ิ ค ุ ม มี ต ั ว ยาสำคั ญ คื อ มิ ด าโซแลม (midazolam) เป็ น ยาในกลุ ่ ม ยานอน
หลับ ออกฤทธิ ์โ ดยจับ กั บ ตัว รับ เบนโซไดอะเซพี น (benzodiazepine receptor)
บริ เ วณเซลล์ ป ระสาทกาบา (GABA) ส่ ว นโพสท์ ไ ซแนปติ ก ภายในระบบประสาท
ส่วนกลาง ประกอบด้วย ระบบลิมบิก เรติคูลาร์ (reticular) การเพิ่มการยับยั้งกาบาที่
เซลล์ประสาท
ข้อบ่งใช้ - ทำให้สงบระงับก่อนการผ่าตัด
- ทำให้สงบระงับก่อนหรือระหว่างการทำหัตถการ
- ทำให้สงบสำหรับผู้ป่วยในภาวะวิกฤต
- ใช้ร่วมกับยาระงับความรู้สึกเพื่อการผ่าตัดหรือการทำหัตถการที่ก่อให้เกิดความ
ปวด
- ช่วยเหนี่ยวนำให้สลบ
- ทำให้สงบระงับก่อนการผ่าตัด (ให้ก่อนผ่าตัด 30-60 นาที)
ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ
70-80 ไมโครกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กก.
ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
ฉีดเข้าหลอดเลือดดำอย่างช้าๆ อย่างน้อย 2 นาที ขนาดยาเริ่มต้น 1 - 2.5 มก.
ติดตามอาการหลังฉีดขาอย่างน้อย 2 นาที และปรับขนาคยาตามความจำเป็น
ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 5 มก.
ผลข้างเคียง อาการแพ้ยา เช่น ลมพิษ หายใจลำบาก หน้าบวม ริมฝีปากบวม ลิ้นบวม คอบวม ผื่น
คัน ผิวหนังบวมแดง พุพอง ผิวลอกพร้อมกับมีไข้หรือไม่มีไข้ แน่นหน้าอกหรือลำคอ
หายใจเสียงดังหวีด มีปัญหาในการหายใจหรือการพูด เสียงแหบ เวียนศีรษะอย่าง
รุนแรงหรือหมดสติ ปัญหาการหายใจ เช่น หายใจลำบาก หายใจแผ่วเบา เจ็บหน้าอก
แน่นหน้าอก หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มีอาการกระตุก สั่น หรือชัก และมีปัญหาในการ
ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
ชื่อยา Depakine
กลุ่มยา anticonvulsant
12
ชื่อยา Bromhexine
กลุม่ ยา Mucolytic
ชนิดของยา ยารับประทาน ยาเม็ด
ขนาด 8 mg
วิธีการใช้ 1x3 หลังอาหาร เช้า เที่ยง เย็น
วันที่เริ่มใช้ยา 21 กันยายน 2565
กลไกการออกฤทธิ์ บรอมเฮกซีนออกฤทธิ์กับเสมหะที่ขั้นการสร้างเสมหะที่เกิดขึ้นในเซลล์ที่เกิดการหลั่ง
เมื อ ก โดยบรอมเฮกซี น เข้ า ทำลายโครงสร้ า งของกรดมิ ว โคโพลิ แ ซกคาไรด์
13
ชื่อยา Dextromethorphan
กลุ่มยา Antitussive
ชนิดของยา ยารับประทาน ยาเม็ด
ขนาด 15 mg
วิธีการใช้ 1x3 หลังอาหาร เช้า เที่ยง เย็น
วันที่เริ่มใช้ยา 21 กันยายน 2565
14
ผลข้างเคียง ทําให้ง่วงนอน มีนซึม ปวดศีรษะ ปากแห้ง ท้องผูก เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย ใจสัน ชีพ
จรเร็ว ตามัว หูอื้อ คัดจมูก คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเดิน อาการหัวใจวาย
เม็ดเลือดขาวต่ำ ภาวะช็อก
5. ความจำ (Memory)
5.1 ความสามารถในการรับข้อมูล
พูดตามตัวเลข ถูก ผิด
368 (√ ) ( )
3417 (√) ( )
84239 (√) ( )
พูดทวนตัวเลขถอยหลัง
17
25 (√) ( )
574 (√ ) ( )
7296 (√) ( )
5.2 ความจำในปัจจุบัน (Recent memory)
ผู้ประเมินบอกชื่อของ 3 อย่าง โดยพูดห่างกันครั้งละ 1 นาที “ต้นไม้ รถยนต์ ปากกา” พูดเพียงครั้งเดียวแล้ว
ให้ผู้ป่วยทวนตาม ผู้ป่วยทวนได้ 1 อย่าง คือ ต้นไม้
5.3 ความจำในอดีต (Remote memory) ถูก ผิด
- ชื่อของบุตรคนโต ชื่อ น้องบอล (√ ) ( )
- บ้านเลขที่อยู่ในปัจจุบัน 211 หมู่ 10 ต.หาดคำ (√) ( )
อ.เมืองหนองคาย จ.หนองคาย
ถูก ผิด
- วัน เดือน ปีเกิด 1 พฤษภาคม 2530 ( √) ( )
6. การพูดและกระแสคำพูด (Speech and stream of talk)
6.1 อัตราการพูด (Rate) ( √ ) ปกติ ( ) เร็ว ( ) ช้า
6.2 จังหวะ (Rhythm) ( ) ปกติ
( ) ผิดปกติ ( ) ติดอ่างตอนต้นประโยค (Stammering)
(√ ) ติดอ่างตอนพูดซ้ำคำ (Stuttering)
( ) พูดขาดเป็นช่วงๆ (Fragmented)
( ) พูดแบบกดดัน (Pressured)
( ) มีการหยุดติดขัดขณะพูด (Blocking)
( ) มีการลังเล
6.3 ความดัง (Volume) ( ) ปกติ ( ) ค่อย ( √) ดัง
6.4 ความปกติของการพูด ( ) ปกติ ( ) ผิดปกติ
( ) คำพูดที่แปลกใหม่ผู้อื่นไม่รู้ความหมาย(Neologism)
( ) พูดนำคำหรือวลีมาผสมกันแต่ไม่มีความหมาย (Word Salad)
( ) พูดเสียงเดียว (Monotonous)
(√ ) พูดเสียงขึ้นๆ ลงๆ (Sing song)
6.5 กระแสคำพูด (Steam of talk) ( ) ปกติ ( √ ) ผิดปกติ
( ) การพูดไม่สมเหตุสมผล (Illogical)
( √ ) พูดไม่ปะติดปะต่อ (Incoherence)
( ) พูดโดยใช้สัมผัสคล้องจอง (Clanging)
( ) พูดหรือตอบแบบไม่ตรงคำถาม (Irrelevance)
18
( √ ) พูดวกวน (Circumstantial)
( √ ) พูดนอกเรื่อง (Tangential)
( ) ตอบคำถามเดิมซ้ำแม้จะเปลี่ยนคำถาม (Perseveration)
( ) พูดเปลี่ยนเรื่องบ่อยผิดปกติ (Flight of idea)
( ) ไม่พูดเลย (Mutism)
( ) พูดตามคนอื่น (Echolalia)
7. อารมณ์ (Affect)
ความสอดคล้องของอารมณ์ ( ) เหมาะสม ( √ ) ไม่เหมาะสม
ภาวะอารมณ์ปัจจุบัน ( ) กลัว (Fearful) ( ) เศร้า (Depress)
( √ ) กังวล ( Anxious) ( ) เฉย (Blunted)
( ) เปลี่ยนแปลงง่าย (Labile) ( ) ครื้นเครง (Euphoria)
( ) หงุดหงิด (Irritable) ( ) รู้สึกผิด (Guilty)
8. การรับรู้สิ่งเร้า (Perception)
8.1 ประสาทหลอน (Hallucination)
( √ )ไม่มี ( ) มี คือ......................................
( ) หูแว่ว (Auditory hallucination)
( ) ภาพหลอน (Visual hallucination)
( ) ประสาทหลอนทางจมูก (Olfactory hallucination)
( ) อื่นๆระบุ...........................................................
8.2 การแปลการรับสัมผัสผิด (Illusion) ( √ )ไม่มี ( ) มี คือ ............................................
9. สมาธิและความสนใจ (Attention and Concentration) ให้ผู้ป่วยบอกวันในหนึ่งสัปดาห์ย้อนหลัง ผู้ป่วย
สามารถบอกได้ ( √ ) ถูกต้อง ( ) ไม่ถูกต้อง (ผิด...........วัน)
10. เชาวน์ปัญญาและความสนใจ (Intellectual function)
ความรู้ทั่วไป ธงชาติไทยมี 3 สี ได้แก่ น้ำเงิน ขาว แดง
วันสงกรานต์คือวันที่ 13 14 15 เมษายน ของทุกปี
พระนามของพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ์
11. การตัดสินใจ (Judgment)
คุณจะทำอย่างไรถ้าพบจดหมายที่จ่าหน้าซองตกอยู่ที่ถนน
ก็จะเปิดดูเพราะคิดว่าเจอบนถนนแล้วเราเห็นแสดงว่าจดหมายเป็นของเรา เรามีสิทธิ์เอาจดหมายใบ
นั้น
คุณจะทำอย่างไรถ้าคุณนั่งดูภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์และมองเห็นไฟไหม้เป็นคนแรก
รีบหนีไปทางออกให้เร็วที่สุด เพราะคิดว่ามีพนังงานมาควบคุมไฟอยู่
19
Chemistry
ชนิดการตรวจ ผลตรวจ ค่าปกติ แปลผล
BUN 16 mg/dL 7-25 mg/dL การตรวจดู ไ นโตรเจนจากสารยู เ รี ย ที ่ ม ี อ ยู ่ ใ นกระแสเลื อ ด ยู เ รี ย (urea) เป็ น
สารประกอบของ ของเสียอัน เป็นผลิตผลสุดท้ายจากการย่อย สลายโปรตีนโดยตับ
ทั้งนี้ในชั้นต้นสารของเสียจะอยู่ในรูปของ แอมโมเนีย(NH3) และต่อจาก แอมโมเนีย
จึงสร้าง เป็นสารยูเรีย เพื่อให้ไตสามารถขับออกมากับน้า ปัสสาวะได้ ในผู้ป่วยรายนี้
พบค่าปกติ
GFR 123 ml/min >90 ml/min ตรวจอัตราการไหลของเลือดผ่าน ตัวกรองของไตในหนึ่งนาที เป็นตัว บ่ง บอกการ
ทางานของไตได้ดีที่สุด ในผู้ป่วยรายนี้ พบค่าปกติ
Creatinine 0.69 mg/mL 0.6-1.2mg/dL การตรวจเพื่อดูสมรรถนะการ ทำงานของไตเป็นสารปลายทางที่ ได้จากการสลาย
ของสาร Creatine phosphate ที่เป็นสารเกี่ยวข้อง กับการใช้พลังงานในการทา
22
ส่วนที่ 5 การวิเคราะห์การเจ็บป่วยทางจิต
5.1 การวิเคราะห์กลไกที่ก่อให้เกิดปัญหาทางจิต
1) ปัจจัยนำ (Predisposing factor)
การอบรมเลี้ยงดูที่ปล่อยปะละเลย คือ อยู่กับยาย อยากทำอะไรก็สามารถทำได้ ไม่มีคนเคยสนใจว่า
ตนเองจะไปไหน หรือทำอะไร
2) ปัจจัยกระตุ้น (Precipitating factor)
- สัมพันธภาพในครอบครัวไม่ดี ถูกปล่อยปะละเลย ไม่ได้ความรักจากครอบครัว
- บิดามารดาแยกทางกันตั้งแต่ 2 ขวบ สัมพันธ์ภาพไม่ดีกับบิดา มารดารแยกไปมีสามีใหม่ที่
จังหวัดเลย
- เลิกรากับภรรยา และภรรยาได้เลี้ยงดูบุตรชาย
- เพื่อนชวนเสพสารเสพติด พอได้ลองรู้สึกผ่อนคลาย ความเครียดหายหมด
3) ปัจจัยที่ทำให้อาการที่เกิดแล้วยังคงดำเนินอยู่ (Perpetuation factors)
ผู้ป่วยไม่ยอมรับการเจ็บป่วยคิดว่าไม่มีอากรทางจิต จึงไม่ได้มาหาหมอที่โรงพยาบาล และยังใช้สาร
เสพติดหลายประเภท เช่น ยาบ้า กัญชา บุหรี่ และสุรา
4) ปัจจัยที่อาจช่วยป้องกันผู้ป่วยจากอาการป่วยที่รุนแรง ช่วยให้หายคืนสู่สภาพปกติ
(Protective factors)
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยรับรู้และยอมรับการเจ็บป่วยของตนเอง และมาติตามอาการและบำบัดฟื้นฟู 4 เดือน
ตามที่แพทย์นักอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงการสร้างความตระหนักถึงโทษของยาเสพติดติดแต่ละชนิด ให้ผู้ป่วย
เข้าใจและครอบครัวยอมรับและดูแลได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
5) วิเคราะห์การใช้กลไกการเผชิญปัญหา (Defense mechanism)
เมื่อผู้ป่วยเผชิญปัญหาและมีความเครียด จะแก้ไขปัญหาหรือหาทางออกด้วยการใช้ยาเสพติด คือ
ยาบ้า บุหรี่และสุรา โดยให้เหตุผลว่าไม่มีทางไหนช่ วยให้ผู้ป่วยสามารถลืมความเครียดและปัญหาได้ ดีกว่า
แนวทางที่ปฏิบัติอยู่
27
ดื่มสุรา เข้ารับการ
แผนภูมิเส้นชีวิต สูบบุหรี่ รักษาที่
เที่ยว คบ โรงพยาบาล
เพื่อน เพื่อน เพื่อน หนองคาย
โดน ชักชวน ชักชวน เกเร
การเผชิญปัญหา หนีเรี ยน หนีเรี ยน
ละเลย 14
13 16 29 32 35
0
อายุ
พยาธิสภาพตามทฤษฎี พยาธิสภาพกรณีศึกษา
สาเหตุติดสารเสพติด สาเหตุผู้ป่วยติดสารเสพติด
1.ปัจจัยทางชีวภาพ ปัจจัยทางชีวภาพ
1. Positive Reinforcement Model : จากคุณสมบัติของสาร เกิดจากความอยากรู้อยากลองและเพื่อนชักชวนตั้งใจ
เสพติด ที่มีลักษณะเสริมพฤติกรรม ใช้ยาเสพติดซ้ำ(positive และใช้ยาบ้ามาเรื่อยๆ จึงทำให้ผู้ป่วยมีพฤติกรรมใช้ยา
reinforcers) คือ เมื่อใช้ยาครั้งแรก เกิดความพึงพอใจ จะมี เสพติดซ้ำ(positivereinforcers) กลิ่นยาบ้าคล้ายกลิ่น
แนวโน้มที่จะใช้ยา เสพติดในครั้งต่อไปเพื่อหวังผลความพึงพอใจ ช็อคโกแลต ทำให้หายเครียดหรือผ่อนคลาย ผู้เสพ
อีก กรณีหนึ่งเมื่อการใช้ครั้งแรกสัมพันธ์กับภาวะเครียด การใช้ยา
30
พยาธิสภาพตามทฤษฎี พยาธิสภาพกรณีศึกษา
พยาธิสภาพตามทฤษฎี พยาธิสภาพกรณีศึกษา
ได้ง่าย
3.ปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ติดยาเสพติด ปัจจัยด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ทำให้ติดยาเสพติด
1.ครอบครัว การขาดความผูกพันกันในครอบครัวและสังคมการ -ครอบครัว การขาดความผูกพันกันในครอบครัว พ่อแม่
ใช้สารเสพติดในครอบครัว เลิกรากัน แม่ไปมีสามีใหม่และได้ย้ายไปอยู่จังหวัดเลย
2.กลุ่มเพื่อน การคบเพื่อนที่ติดยาเสพติดจากเพื่อน ทำให้ยายเป็นคนเลี้ยงผู้ป่วย
3.สื่อต่างๆ การพบเห็นตัวอย่างการเสพสารเสพติดแล้วอยากลอง -กลุ่มเพื่อน การคบเพื่อนที่ติดยาเสพติดจากเพื่อน
4.แหล่งบันเทิง ซึ่งมีการซื้อ, ขาย และเสพยาเสพติด
5.อาชีพ การทำงานที่เกี่ยวข้องใกล้ชิดกับยาต่างๆ ที่สามารถทำ
ให้เกิดการเสพติดได้
6.เศรษฐกิจ ปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม ถ้าไม่สามารถปรับตัว
ได้เกิดความตึงเครียด
อาการและอาการแสดงการติดสารเสพติด
1.อาการผิดปกติที่เกิดจากการเสพยาบ้าผู้เสพจะมีอาการพูดมาก อาการและอาการแสดงการติดสารเสพติด
อารมณ์ดี ครื้นเครงกว่าปกติ น้ำหนักตัวลด มีเหงื่อออกมาก ผู้ป่วยทำร้ายข้าวของ พูดคนเดียว มีภาพหลอนเห็นเงา
กว่าเดิม ได้ยินเสียงและเห็นภาพหลอน นอนไม่หลับ ใจสั่น ดำยืนอยู่บริเวณมุมห้อง หูแว่วได้ยินเสียคนมาคุยด้วย
คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ตื่นเต้น กระวนกระวาย มีพฤติกรรม นอนไม่หลับ
ก้าวร้าวและทำลายข้าวของ ควบคุมสติไม่ได้ ในกรณีที่เสพเกิน
ขนาดอาจมีอาการหัวใจเต้นผิดปกติ ความดันโลหิตสูง สับสน ชัก
หรือหมดสติได้
2.อาการติดยา (addiction)พบในผู้ที่เสพยาบ้าในปริมาณมาก
เป็นระยะเวลานานๆ จะมีความผิดปกติทางสมอง เกิดอาการทาง
จิตประสาทหลอน หูแว่ว มีอาการหวาดระแวงจนต้องทำร้าย
ตัวเองหรือผู้อื่น อาการเหล่านี้จะหายไปได้
ต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ หรือหลายเดือนโดยเฉพาะในผู้ป่วยที่
เสพมาอย่างเรื้อรัง
การรักษา การรักษา
1.ขั้นตอนการบำบัดรักษาผู้ติดยาบ้า แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน คือ 2. ขั้นถอนพิษยา (Detoxification)เป็นระยะที่ผู้ป่วยมี
1.ขั้นเตรียมการ (Pre-Admission)เป็นการเตรียมความพร้อม อาการถอนยา โดยการช่วยให้ผู้ป่วยลดอาการไม่สบาย
การชักประวัติ ตรวจร่างกาย และทางห้องปฏิบัติการ เช่น หงุดหงิดไม่มีชีวิตชีวา
2. ขั้นถอนพิษยา (Detoxification)เป็นระยะที่ผู้ป่วยมีอาการ
ถอนยา โดยการช่วยให้ผู้ป่วยลดอาการไม่สบาย เช่น หงุดหงิด
32
พยาธิสภาพตามทฤษฎี พยาธิสภาพกรณีศึกษา
3.การรักษาการปฏิบัติกลุ่ม กาย-จิต-สังคม-บำบัด
1. การให้คำปรึกษาส่วนตัว (IndividualSessions)ผู้รับการ
บำบัด และครอบครัว เข้าพบผู้รักษาเพื่อเป็นการทำความเข้าใจ
ในการเข้ารับการบำบัดรักษาด้วยกิจกรรมอื่น 7 ตารางเวลา ให้
นัดปฏิบัติโดยแพทย์ผู้ที่ทำการรักษา
2. วิธีฝึกทักษะการเลิกยาในระยะเริ่มต้น(Early Recoverly)ฝึก
ให้ผู้รับการบำบัด ได้เรียนรู้และฝึกทักษะที่จำเป็นในการเผชิญกัน
อาการต่าง ๆที่เกิดขึ้น ในระยะแรกของการหยุดเสพยา และเป็น
33
พยาธิสภาพตามทฤษฎี พยาธิสภาพกรณีศึกษา
การเตรียมพร้อมในการเลิกเสพยาในระยะต่อไปตารางเวลาอยู่ใน
ช่วงแรกของกลุ่มบำบัด ตลอดโครงการ
3. วิธีฝึกทักษะป้องกันการกลับไปติดยาซ้ำ(Relapse
Prevention)เป็นกิจกรรมหลักของการบำบัดรักษา โดยเน้น
ความรู้ และฝึกทักษะที่จะป้องกันไม่ให้กลับไปติดยาซ้ำให้กำลังใจ
และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตารางเวลาอยู่ในช่วงที่สองของกลุ่ม
บำบัดตลอดโครงการ
4. การให้ความรู้เกี่ยวกับสารเสพติดกับครอบครัว (Family
Education)จะมีการนัดหมายการให้ความรู้เกี่ยวกับครอบครัว
เป็นลักษณะของการให้ความรู้ การอภิปราย และ
การฝึกปฏิบัติ สัปดาห์ละครั้ง
5. กลุ่มสนับสนุนทางสังคม (SocialSupport)เมื่อ สิ้นสุดการฝึก
ครบ 16 สัปดาห์แล้วผู้รับการบำบัด
อาการและอาการแสดง อาการและอาการแสดง
ผู้ป่วยโรคจิตแต่ละคนอาจมีลักษณะท่าทางและอาการที่ปรากฏ มีความคิดหลงผิดว่าตนโดนเล่นคุณไสย คิดว่ามีหนอน
แตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้วกลุ่มอาการหลัก ๆ ของโรคจิต ออกจากบาดแผลบริเวณตามร่างกาย บนอาหาร บน
ได้แก่ อุจจาระ และตามทั่วร่างกาย
1.ประสาทหลอน ประสาทรับรู้ทั้ง 5เปลี่ยนแปลงและผิดไปจาก
ความเป็นจริงเช่น เห็นภาพหลอน มองเห็นสีหรือรูปร่างผิดแผก
ไป ได้ยินเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน รู้สึกถึงการสัมผัสทั้งที่ไม่มีใครแตะ
34
พยาธิสภาพตามทฤษฎี พยาธิสภาพกรณีศึกษา
พยาธิสภาพตามทฤษฎี พยาธิสภาพกรณีศึกษา
ทำให้มีอาการหลงผิดและประสาทหลอนป่วยเป็นโรคไบโพลาร์
หรือโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar) ที่ทำให้มีอาการซึมเศร้าหรือ
อารมณ์ดีสุดขีด (Mania) มีความเครียดความวิตกกังวลอย่างหนัก
หรืออยู่ในภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง
3.ความเจ็บป่วยทางร่างกาย เมื่อผู้ป่วยเจ็บป่วยด้วยโรค
บางอย่าง อาจส่งผลให้เกิดอาการโรคจิตได้เช่น พักผ่อนไม่
เพียงพอภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โรคไข้จับสั่นหรือมาลาเรีย
โรคอัลไซเมอร์โรคพาร์กินสัน โรคพุ่มพวง หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง
โรคปลอกประสาทอักเสบ (Multiple Sclerosis)โรคติดต่อทาง
เพศสัมพันธ์ซิฟิลิส การติดเชื้อเอชไอวีและกลุ่มอาการเอดส์มีเนื้อ
งอกในสมอง เป็นต้น
4.กรรมพันธุ์บางทฤษฎีเชื่อว่าอาการโรคจิตมีแนวโน้มถ่ายทอด
ทางพันธุกรรมจากรุ่นสู่รุ่นได้
ปัจจัยภายนอก
การใช้ยาหรือการได้รับสารเคมีใด ๆ เข้าสู่ร่างกายในทางที่ผิด
หรือในปริมาณที่เกินพอดี อาจส่งผลกระทบทำให้เกิดอาการโรค
จิตได้ เช่น การดื่มแอลกอฮอล์ การเสพยาเสพติดอย่างโคเคน
ยาบ้า(Amphetamine) ยาไอซ์ (Methamphetamine)
ยาอี (MDMA: Ecstasy) ยาเค (Ketamine) หรือกัญชา เป็นต้น การวินิจฉัย
การวินิจฉัย Amphetamine psychosis disorder
ในเบื้องต้นแพทย์จะซักประวัติและสอบถามอาการ เพื่อหา
สาเหตุของอาการโรคจิตที่เกิดขึ้น โดยแพทย์อาจถามเกี่ยวกับ
อาการและภาวะอารมณ์ที่เกิดขึ้น มีอาการหลงผิดหรือประสาท
หลอนหรือไม่
อาการเป็นอย่างไร การดำเนินชีวิตในแต่ละวันที่ผ่านมา ประวัติ
การใช้ยาและสารเสพติด และประวัติการป่วยด้วยปัญหา
สุขภาพจิตภายในครอบครัว เป็นต้น
การรักษาโรคจิต
โรคจิตรักษาและบรรเทาอาการได้ โดยปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้
ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตประจำวันต่าง ๆ ได้ดีขึ้น หรือได้ตามปกติ
36
พยาธิสภาพตามทฤษฎี พยาธิสภาพกรณีศึกษา
พยาธิสภาพตามทฤษฎี พยาธิสภาพกรณีศึกษา
ประสบการณ์ซึ่งกันและกัน เนื่องจากการได้แลกเปลี่ยน
ประสบการณ์กับผู้ที่เคยเผชิญเหตุการณ์คล้าย ๆ กัน อาจช่วย
ส่งเสริมให้ผู้ป่วยเข้าถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย และเข้าใจ
สถานการณ์ได้ดี จนเกิดประสิทธิผลที่ดีในการบำบัดรักษาตามมา
38
2 เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากซีดจากจำนวนเม็ดเลือดแดงลดลง 21/09/2565 -
เสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากผลข้างเคียงของการใช้ยา
3 21/09/2565 -
เสี่ยงต่อการใช้สารเสพติดซ้ำเนื่องจากมีการตัดสินใจที่ไม่เหมาะสม
4 22/09/2565 -
39
28/09/2565
1.ผู้ป่วยไม่หนีออกจากโรงพยาบาลโดย
ไม่ได้รับอนุญาต
2.ผู้ป่วยไม่จ้องมองประตูทางเข้า-ออก ทุก
ครั้งที่มีการเปิดประตู
3.ผู้ป่วยไม่มีพฤติกรรมชอบยืนเฝ้าอยู่ติด
กับประตู
4.ผู้ป่วยบ่นอยากกลับบ้านเหมือนเดิม
5.ผู้ป่วยยินยอมปฏิบัติตัวตามแผนการ
รักษาของแพทย์
29/09/2565
43
29/09/2565
1. ไม่มี อาการเหนื่อยหอบ นอนราบได้
2.ไม่มีอาการและการแสดงของ ภาวะ
พร่องออกซิเจน เช่น ปลายมือปลายเท้า
เขียว
3. Pale Conjunctiva
4. Capillary refill>2
5.สัญญาณชีพอยู่ในเกณฑ์ปกติ
48
6.2 การวางแผนการดูแลต่อเนื่องสำหรับกรณีศึกษา
การวางแผนให้คำแนะนำผู้ป่วยก่อนจำหน่ายและการส่งต่อโดยใช้หลัก D-M-E-T-H-O-D
D (Disease/Diagnosis)
1.อธิบายให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงโรคจิตเภท สาเหตุ อาการและอาการแสดงของการเจ็บป่วย หากมีการปฏิบัติตัวที่
เหมาะสมตามคำแนะนำ จะทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น และหายจากโรคที่เป็นในที่สุด
2.แนะนำการสังกตอาการผิดปกติที่บ่งบอกถึงการกลับเป็นซ้ำ เช่น หงุดหงิด นอนไม่หลับ ควรรีบบอกให้ญาติ
ทราบ และมาพบแพทย์ก่อนนัด
M (Medication)ให้ความรู้เรื่องยาที่ได้รับโดยเฝ้าระวังยาทางจิตเวชที่มีอาการข้างเคียงของยารวมถึงการ
จัดการเมื่อเกิดอาการข้างเคียง การรับประทานยาต่อเนื่องแก่ผู้ป่วย
1.เมื่อกลับบ้านจำเป็นต้องรับประทานยาต่อไป เพื่อควบคุมอาการทางจิตไม่ให้กลับเป็นซ้ำและไม่ควรหยุด
รับประทานยาเอง เพราะถ้าหยุดรับประทานยาอาจทำให้มีอาการทางจิตกลับซ้ำได้ 2.แนะนำผู้ป่วยให้ทราบถึง
ตัวยา ขนาดยา และเวลารับประทานยาให้ถูกต้อง
3.แนะนำผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการข้างเคียงของยาที่อาจเกิดขึ้นได้ และอธิบายถึงวิธีการป้องกันและแก้ไขเมื่อมี
อาการข้างเคียงของยา เช่น ท้องผูก ปากแห้ง คอแห้ง นอกจากนี้แนะนำให้ออกกำลังกาย ถ้ามีอาการวิงเวียน
ศีรษะให้เปลี่ยนท่าช้าๆ ให้มาตรวจตามนัดเพื่อรับการตรวจรักษาตามแผนการรักษาของแพทย์
4. แนะนำเรื่องการงดยาเสพติด เบียร์ บุหรี่ กาแฟ เพราะมีผลให้อาการกำเริบ ถึงแม้จะรับการรักษาด้วยยา
5.รับประทานยาแล้วมีอาการนอนไม่หลับ หงุดหงิด หรือมีอาการกำเริบ ไม่เพิ่มยาเอง หรือง่วงนอนมาก รู้สึกไม่
สบาย ไม่ลดยาหรือหยุดยาเอง ให้มาพบแพทย์เพื่อปรับการรักษา
E (Environment / Economic)
1.แนะนำให้ผู้ป่วยดูแลความสะอาดที่บ้านให้สะอาดและหน้าอยู่ ปลอดภัย อบอุ่นและน่าอยู่อาศัย
2.แนะนำปรับสภาพแวดล้อมที่เป็นบุคคล ครอบครัว และสังคมให้อบอุ่น เป็นมิตร ยอมรับในตัวผู้ป่วย ไม่
แสดงท่าทีรังเกียจผู้ป่วย รวมทั้งเปิดโอกาสการเข้าร่วมกิจกรรมในครอบครัวและสังคม เพื่อป้องกันภาวะเครียด
และภาวะถดถอยของผู้ป่วยทางด้านสังคม
3.หลีกเสี่ยงการไปสถานที่ ที่เสี่ยงต่อการใช้สารเสพติด สถานที่เสพยากับเพื่อนฝูง ให้ใช้ทักษะการหยุดความคิด
และทักษะการปฏิเสธเมื่อถูกชักชวนให้มีสติไตร่ครอง เมื่อรู้สึกอยากเสพสารเสพติด
4. แนะนำเรื่องสิทธิในการรักษา การทำบัตรประกันสุขภาพด้วนหน้า เพื่อช่วยลคค่าใช้จ่ายในการักษาพยาบาล
5. แนะนำการใช้จ่าขอย่างประหยัด การหารายได้เสริม เช่นปลูกพืชผักสวนครัวบริเวณรอบบ้าน ที่สามารถทำ
ได้และการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
T (Treatment)
1. บอกเป้าหมายในการรักษา เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายได้แต่ต้องใช้ระยะเวลา เป้าหมายคือให้ใช้สารเสพ
ติด 4 เดือน และไม่กลับมารักษาช้ำภายใน 28 วัน การรักษา มีการรับประทานยา / ฉีดยา / หรือทั้ง 2 อย่าง
57
ส่วนที่ 7 สรุปผลการศึกษาและข้อเสนอแนะ
ผู้ป่วยเพศชาย อายุ 35 ปี มาด้วยอาการผู้ป่วยทำร้ายข้าวของ พูดคนเดียว มีภาพหลอน หูแว่ว มี
ความคิดหลงผิดว่าตนโดนเล่นคุณไสย 1 ชั่วโมงก่อนมาโรงพยาบาล แพทย์วินิจฉัยโรค Amphetamine
psychosis disorderกลุ่มอาการทางจิตที่เกิดขึ้นการใช้สารแอมเฟตามีน ประวัติการใช้สารเสพติด
20 ปีก่อน เริ่มสูบบุหรี่ 10มวน/วัน ดื่มสุราขาว 1 ขวดใหญ่/สัปดาห์ เพราะเพื่อนชวนสูบ ดื่มสุรามา
เรื่อยๆ ประจำทุกวัน
5 ปีก่อน เริ่มใช้ยาบ้าและกัญชา ยาบ้าและกัญชาที่ได้มาจากเพื่อน พอลองเสพแล้วชอบกลิ่นของยาบ้า
คล้ายกลิ่นช็อคโกแลต เกิดอาการติดใจเลยเสพยาบ้ามาเรื่อยๆ เสพยาบ้าครั้งละ 1 เม็ด/ครั้ง เสพสัปดาห์ละ
5 ครั้ง และกัญชา ครั้งละ1 เขียง เสพสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ไม่มีอาการทางจิต
1 เดือนก่อน ภาพหลอน หูแว่ว มีความคิดหลงผิดว่าตนโดนเล่นคุณไสย คิดว่ามีหนอนออกจาก
บาดแผลบริเวณตามร่างกาย บนอาหาร บนอุจจาระ และตามทั่วร่างกาย และยังมีการใช้สารเสพติดคือยาบ้า
เสพยาบ้าครั้งละ 1 เม็ด/ครั้ง เสพสัปดาห์ละ 3 ครั้ง คิดว่าตนเองไม่ได้เป็นอะไรจึงไม่ได้มารักษาที่โรงพยาบาล
ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาลที่พบ คือ
1.เสี่ยงต่อการหนีออกจากโรงพยาบาล (Escape) เนื่องจากผู้ป่วยไม่ยอมรับสภาวะการเจ็บป่วยที่เป็นจริง
แก้ไขปัญหาไม่ได้
2.เสี่ยงต่อภาวะพร่องออกซิเจนเนื่องจากซีดจากจำนวนเม็ดเลือดแดงลดลง แก้ไขปัญหาไม่ได้
3.เสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากผลข้างเคียงของการใช้ยา แก้ไขปัญหาไม่ได้
4.เสี่ยงต่อการใช้สารเสพติดซ้ำเนื่องจากมีการตัดสินใจที่ไม่เหมาะสม แก้ไขปัญหาไม่ได้
ขณะอยู่ในโรงพยาบาลได้รักษาการรักษาด้วยยา
1.Haloperidol ยาสงบประสาทที่ใช้ในผู้ป่วยหูแว่ว และประสาทหลอนในโรคจิตเภทชนิดเฉียบพลันและเรื้อรัง
2.Artane ใช้รักษา extrapyramidal side effects; EPS จากการใช้ยาจิตเภท
3.Clonazepamทำให้มีผลลดอาการวิตกกังวล ทำให้ง่วงหลับ ต้านอาการชัก
4.Chlorpromazine รักษาความรู้สึก อาการประสาทหลอน อาการก้าวร้าว และอาการหลงผิด
5.Midazolam ยาระงับประสาท
6.Depakine ใช้รักษาความผิดปกติทางอารมณ์อย่างภาวะแมเนีย (Mania) ในผู้ป่วยโรคไบโพลาร์
7.Bromhexine ให้เสมหะมีความเหนียวลดลง การขับเสมหะออกทำได้ง่ายขึ้น
8.Dextromethorphan ระงับอาการไอที่เกิดขึ้นร่วมกับอาการคัดจมูกและจาม
9. ferrous fumarate เสริมธาตุเหล็ก ป้องกันการขาดธาตุเหล็ก
และรักษาด้วยการสนทนาบำบัดจากพยาบาลและนักศึกษาพยาบาล การสนทนาบำบัดเพื่อแก้ไป
ปัญหาข้างต้น ผู้ป่วยมีโอกาสกลับไปใช้ยาเสพติดสูงเนื่องจากผู้ป่วยขาดความตระหนักในโทษของสารเสพติด
ผู้ป่วยไม่มีการหลบหนีออกจากโรงพยาบาลแต่ก็จะถามเรื่องการกลับบ้านทุกวัน ผู้ป่วยไม่มีภาวะพร่อง
59
ส่วนที่ 8 เอกสารอ้างอิง
วาทินี สุขมาก. (2556).การพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช2.(พิมพ์ครั้งที่ 2) สถานที่พิมพ์ : สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
มุกข์ดา ผดุงยาม.(2561).การพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวชศาสตร์.(พิมพ์ครั้งที่ 2) สถานที่พิมพ์ :บริษัท นีโอ
ดิจิตอลจำกัด กรุงเทพมหานคร
ภัทราภรณ์ ทุ่งปันคำ.(2560). การพยาบาลผู้ที่เป็นโรคจิตเภท.(พิมพ์ครั้งที่ 1) สถานที่พิมพ์ :บริษัท สมาร์ท
โคตติ้ง แอนด์ เซอร์วิสจำกัด เชียงใหม่
เอกอุมา อิ้มคำ.(2551).การพยาบาลสุขภาพจิตและจิตเวช:การประยุกต์ใช้กรณีเลือกสรร. (พิมพ์ครั้งที่ 1)
สถานที่พิมพ์ : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพมหานคร
ปราณี ทู้ไพเราะ.(2556).คู่มือยา.(พิมพ์ครั้งที่13).สถานที่พิมพ์ : N P Press Limited Partnership
กรุงเทพมหานคร