Professional Documents
Culture Documents
คู่มือองค์ความรู้ การสำรวจ การทำสแกน 3 มิติ และการสำเนาศิลปกรรม 3 มิติ เพื่อการอนุรักษ์โบราณสถาน
คู่มือองค์ความรู้ การสำรวจ การทำสแกน 3 มิติ และการสำเนาศิลปกรรม 3 มิติ เพื่อการอนุรักษ์โบราณสถาน
คู่มือองค์ความรู้ การสำรวจ การทำสแกน 3 มิติ และการสำเนาศิลปกรรม 3 มิติ เพื่อการอนุรักษ์โบราณสถาน
ได้รับทุนอุดหนุนการทากิจกรรมส่งเสริมและ
สนับสนุนการวิจัย
โครงการจัดการความรูแ้ ละถ่ายทอดเทคโนโลยี
จากผลงานวิจัยและนวัตกรรม
จาก สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2560
คู่มือองค์ความรู้
การสารวจ การทาสแกน 3 มิติ
และการสาเนาศิลปกรรม 3 มิติ
เพื่อการอนุรักษ์โบราณสถาน
โดย
สานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
คณะผู้จัดทา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.คุณยุต เอี่ยมสอาด
รองศาสตราจารย์ ดร.วรัทยา ธรรมกิตติภพ
อาจารย์จักรพันธ์ วิลาสินีกุล
อาจารย์พิเชฐ เขียวประเสรืฐ
นายกิตตินาถ วรรณิสสร
คา นา
ด ้ ว ย แ น ว ท า ง ห นึ ่ ง ใ น ก า ร อ น ุ ร ั ก ษ ์ โ บ ร า ณ ส ถ า น
งานประติมากรรมต่างๆ ด้วยเทคโนโลยี ส แกน 3 มิติ การใช้เครื่องมือ
สแกน 3 มิติ ทาให้ได้ไฟล์ดิจิตอลสามมิติ สามารถนามาใช้เป็นมาตรฐาน
การตรวจวัด การซ่อมแซมครั้งต่อๆไปได้ ข้อมูลดิจิตอลจากการสแกน 3
มิตินั้ นจัดเก็บง่าย ประหยัด เนื้อที่ และเป็นเทคโนโลยี ร องรั บ สาหรั บ
ก า ร ท า ส า เ น า 3 ม ิ ต ิ เ พื ่ อ ซ ่ อ ม แ ซ ม อ น ุ ร ั ก ษ ์ ศิ ล ป ก รรม
ประติมากรรมอื่น ๆ ในอนาคต โดยหลีกเลี่ยงการใช้ช่างฝีมือที่ขาดทักษะ
ในการซ่อมแซม ดั งนั้ น งานด้ า นการอนุ รั ก ษ์ โ บราณสถานจึ งมี ค วาม
จาเป็นต้องสร้างฐานข้อมูลดิจิตอลไว้รองรับการพัฒ นาในอนาคต เก็บ
ข้อ มูล ด้ว ยสแกน 3 มิต ิ ได้ข ้อ มูล ต้น แบบที ่เ ป็น ไฟล์ด ิจ ิต อล และ
แบบจาลอง 3 มิ ติ เ สมื อ นจริ ง โดยอ้ า งอิ ง แบบที่ ไ ด้ จ ากหน่วยงานที่
รับ ผิดชอบจากการวัดพื้ นที่ จริง ซึ่งบั นทึ กขนาดและสัด ส่ว นจริง ไว้ไ ด้
ทั้งหมด และสามารถจัด เก็บ ในระบบคลาวด์ ทาให้สะดวกในการดึง
ข้อ มูล สาหรับ การศึก ษาในอนาคตต่อ ไป คู่มือ องค์ค วามรู้เ รื่อ ง การ
สารวจ การทาสแกน 3 มิติ และการสาเนาศิล ปกรรม 3 มิติ เพื่อการ
อนุรัก ษ์โบราณสถานฉบับ นี้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นประโยชน์ กับผู้
ที ่เ กี ่ย วข้อ งในการอนุ ร ั ก ษ์ ม รดกของชาติ และสร้ า งบุ ค ลากรที ่ มี
ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความสามารถของการนาเทคโนโลยี
3 มิติ มาใช้ในงานอนุรักษ์เพื่อการนาไปใช้ต่อยอดในอนาคต
บทที่ 1 บทนา
หน้า
1
สะพานมหาดไทยอุทิศกับการจัดทาสาเนา
3 มิติ 3
สะพานเจริญรัช 31 กับการจัดทาสาเนา
3 มิติ 5
บทที่ 2 การสารวจสภาพศิลปกรรม 3 มิติ 12
การสารวจรอบแรก 13
การทาแผนผัง 14
วิธีการสารวจ 22
ประเภทของความเสียหาย 23
การสรุปผลเพื่อคัดเลือกชิ้นงานเก็บเป็น
ต้นแบบ 24
บทที่ 3 การทาสแกน 3 มิติ 27
เครื่องสแกน 3 มิติ (3D Scanner) 27
การเลือกใช้เครื่อง 3D Lase scanner กับ
งานอนุรักษ์ 35
สารบัญ (ต่อ)
เอกสารอ้างอิง 110
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
1 ตารางเปรียบเทียบสแกนทั้งสามชนิด 43
2 เปรียบเทียบ ขอดี ขอเสีย ของ SLA 63
3 เปรียบเทียบ ขอดี ขอเสีย ของ LOM และ
PLT 69
4 เปรียบเทียบ ขอดี ขอเสีย ของ FDM 71
5 เปรียบเทียบ ขอดี ขอเสีย ของ 3D Printer 73
6 เปรียบเทียบ ขอดี ขอเสีย ของ SLS 74
7 เปรียบเทียบลักษณะงานที่ผลิตดวย
เครื่องสามแกน 81
สารบัญภาพ
ภาพที่ หน้า
1 ราวสะพานมหาดไทยอุทิศ 4
2 สะพานเจริญรัช 31 5
3 ปูนหลุดลอก แตกเปนรอยราว 6
4 คราบสกปรกดาบดบังความสวยงามของ
สะพาน 7
5 ลวดลายแตกหักเสียหายของสะพาน 8
6 แผนผังสะพานมหาดไทยอุทิศฝงตะวันตก
ดานนอก 17
7 แผนผังสะพานเจริญรัช 31 ฝงแมน้า 18
8 แบบบันทึกลายพวงหรีด สะพานมหาดไทย
อุทิศ (ซาย) แผนบันทึกที่ 1 (ขวา) แผนบันทึก
ที่ 2 20
9 แบบบันทึกสภาพลายเสือถือพระขรรค
สะพานเจริญรัช 31 (บน) แผนบันทึกที่ 1
(ลาง) แผนบันทึกที่ 2 21
10 เสือถือพระขรรคที่อยูติดกัน 3 ตัว
ที่รายละเอียดบนใบหนาไมเหมือนกัน 23
11 สแกนเนอรเลเซอร 3 มิติ 28
12 เครื่องสแกนเนอรแบบสัมผัส 3D 28
13 เครื่องสแกนเนอร แบบไมสัมผัส 29
สารบัญภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หน้า
14 เครื่องสแกนเนอร แบบ Handheld Laser
scanner 30
15 ตัวอยางภาพจากเครื่องสแกนเนอรแบบ
Structured light 31
16 ระบบฉายแสงที่มีโครงสรางและรหัส 32
17 เครื่องสแกนเนอร Volumetric Techniques 33
18 เครื่องสแกนแบบ Handheld Structured
Light 37
19 เครื่องสแกนแบบ Tripod-Mounted
Structured Light 37
20 เครื่องสแกนแบบ LASER Arm Scanning 38
21 ราชสีหที่สแกนไดจากเครื่องสแกน
Handheld 39
22 ราชสีหสแกนไดจากเครื่องสแกน Tripod-
mounted 40
23 ราชสีหสแกนไดจากเครื่องสแกน LASER 41
24 ไฟล 3 มิติหนาผูใหญ่ 42
25 อุบะสแกนไดจาก LASER 44
26 ผูใหญและเด็กสแกนไดจาก LASER 45
สารบัญภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หน้า
27 แผนปายบอกชื่อสะพานสแกนไดจาก LASER 45
28 หลังคาสแกนไดจาก LASER 46
29 หนาคนรองไหสแกนไดจาก LASER 47
30 หนาคนจูงเด็กสแกนไดจาก LASER 47
31 ลาตัวคนอุมเด็กสแกนไดจาก LASER 48
32 ลาตัวคนจูงเด็กสแกนไดจาก LASER 48
33 ชิ้นประกอบจากไฟลสแกนยอย 49
34 การเอาเนื้อวัสดุออก 50
35 การปนหรือหลอเปนรป 51
36 การเติมเนื้อวัสดุ 52
37 หลักการทางานของเครื่อง ซีเอ็นซี 54
38 เครื่องกลึงซีเอ็นซี 55
39 เครื่องตัดดวยลวดและลักษณะชิ้นงานจาก
การตัด 55
40 เครื่อง EDM 56
41 (a). LASER Cut, (b). Plasma Cut 57
42 Water Jet Cut 57
43 CMM 58
44 เครื่องเจียร 59
45 เครื่องเคลื่อนยายวัตถุ 60
สารบัญภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หน้า
46 การเติมเนื้อวัสดุทีละชั้น 61
47 แสดงการออกแบบชิ้นงานในโปรแกรม3D
แลวผลิตดวย RP 62
48 ลักษณะชิ้นงานที่เหมาะสาหรับการผลิต
ดวย RP 62
49 SLA 63
50 ช้นิงานจาก SLA 64
51 Overhang Features 66
52 แสดงปญหา Stair Step ของความเอียงของ
ชิ้นงานที่ตางกัน 66
53 ชิ้นงานที่มี Trapped Volume 67
54 หลักการทางานของเครื่อง LOM 68
55 หลักการทางานและลักษณะชิ้นงานของเครื่อง
PLT 68
56 หลักการทางานของเครื่อง FDM 70
57 ชิ้นงานที่ไดจาก FDM 70
58 เครื่อง 3D Printer 72
59 ชิ้นงานจากเครื่อง 3D Printer 72
60 เครื่อง SLS 73
61 ชิ้นงานจากเครื่อง SLS 74
62 Near Net Shape 75
สารบัญภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หน้า
63 กระบวนการ Rapid Tooling 76
64 ชิ้นงานที่ไดจาก Rapid Tooling 76
65 เครื่องแบบแนวตั้ง VMC 77
สารบัญภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หน้า
66 เครื่องแบบแนวนอน HMC 78
67 เครื่อง Milling ซีเอ็นซีแบบ 2 แกนคร่ง 79
68 เครื่อง Milling ซีเอ็นซี แบบ 3 แกน 80
69 ชื่อแกนของเครื่อง Milling ซีเอ็นซี 83
70 ลักษณะของเครื่อง 3 แกนครึ่ง 84
71 ลักษณะการกัดงานของเครื่อง 4 แกน 84
72 เครื่อง Milling ซีเอ็นซี 5 แกน 85
73 การนาไฟล STL เขาทา CAM 86
74 การกัดชิ้นงานโดยใชคา Stepdown 87
75 หนาตางการปรับคาของการกัดดวยโปรแกรม
ARTCAM 88
76 หนาตางแสดงทางเดินของการกัดดวย
โปรแกรม ARTCAM 89
77 ตรรกะในการทาซ้าดวยเครื่องซีเอ็นซี 90
78 ป้ายประดิษฐานพระปรมาภิไธยยอ ว.ป.ร 92
79 การตัดปายประดิษฐานพระปรมาภิไธยยอ
ว.ป.ร. ในโปรแกรม 3 มิติ 93
80 (ก) ตรา ว.ป.ร. ชิ้นดานหนาที่กัดได (ข)
ตรา ว.ป.ร. ชิ้นดานตรงกลางที่กัดได
(ค) ตรา ว.ป.ร. ชิ้นดานหลังที่กัดได 94
สารบัญภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หน้า
81 ปาย 130 ที่กัดได (ซาย) และ สาเนาดิจิตอล
3 มิติ ปาย 130 (ขวา) 95
82 สิงห์ที่กัดได (ซาย) และ สาเนาดิจิตอล 3 มิติ
สิงห(ขวา) 96
83 ลายอุบะที่กัดได (ซาย) และ สาเนาดิจิตอล
3 มิติลายอุบะ (ขวา) 96
84 วิธีการกัดชิ้นงานดวยเครื่อง 3 แกนครึ่ง 97
85 การเลือกตัดเสาลายพระขรรค และลูกกรง
ที่เปนรูปเสือปามือจับพระขรรคที่เสา และ
ราวสะพาน 98
86 เสาลายพระขรรคที่กัดได (ซาย) และสาเนา
ดิจิตอล 3 มิติ เสาลายพระขรรค (ขวา) 99
87 ราวสะพานที่กัดได (ซาย) และ สาเนาดิจิตอล
3 มิติ ราวสะพาน (ขวา) 100
88 ปายจารึกชื่อสะพานเจริญรัชประดับดวยลาย
ใบไมแบบยุโรป 100
89 การเลือกตัดปายจารึกชื่อสะพานเจริญรัช 31
ดวยโปรแกรม 3 มิติ 101
90 เปรียบเทียบชิ้นงานที่ผลิตได (ซ้าย) และ
สาเนาดิจิตอล 3 มิติ (ขวา) 102
สารบัญภาพ (ต่อ)
ภาพที่ หน้า
91 ปญหาเมื่อชิ้นงานกวางเกินไปเวลาหมุนจะเกิด
การชนหัวกัด 103
92 ปญหาเมื่อชิ้นงานกวางเกินไป (ก) กัดชิ้นงาน
ใกลจุดหมุนเกิดโมเมนตไมมากนัก (ข) กัด
ชิ้นงานไกลจากจุดหมุนเกิดโมเมนตมากจน
ชิ้นงานขยับ 104
93 อุบะที่กัดได (ลาง) และ สาเนาดิจิตอล 3 มิติ
อุบะ (ซ้าย และ ขวา) 105
94 สวนปายจารึกชื่อสะพานเจริญรัช 31 หลังการ
ตกแตงโดยช่างฝมือ 105
95 เสือปาที่กัดได (ซาย) และสาเนาดิจิตอล 3 มิติ
เสือปา (ขวา) 107
96 ปญหางานกัดหักที่เกิดจากการไมใส่ครีบรับ
แรง 108
97 ลักษณะชิ้นงานที่ผลิตดวย ซีเอ็นซี ไดยาก
ใบไมจากสะพานผานฟาลีลาศ 109
98 กัดดวย ซีเอ็นซี ไมสามารถเก็บรายละเอียดได 109
บ ทที่ 1
บทนำ
การทาสาเนา 3 มิติเพื่อการอนุรักษ์เป็นแนวทางหนึ่งที่
นาเทคโนโลยีม าใช้ใ นการอนุรัก ษ์ และได้ใ ช้ก ารผสมผสาน
วิ ธี ก ารทาสาเนา 3 มิ ติ แบบดั้ ง เดิ ม คื อ การทาแม่ พิ ม พ์ แ ละ
การหล่อซึ่งเป็นกระบวนการด้านประติมากรรม และแบบที่ใช้
เทคโนโลยีด้านคอมพิว เตอร์การสแกน 3 มิติ ร่ว มกับเทคนิค
การผลิตซ้าโดยใช้คอมพิวเตอร์ควบคุมการทางานเครื่องจักรกล
อัตโนมัติซีเอ็น ซี เนื่อ งจากทั้งสองเทคนิค มีข้อ ดี และข้อด้อยที่
สามารถเสริมกันได้ ข้อดีของกระบวนการดั้งเดิม คือสามารถใช้
กับ งานที่มีร ายละเอีย ด และมีความซับ ซ้อนสูงได้ อีกทั้งพิมพ์
สามารถทาสาเนาได้หลายชิ้น แต่จาเป็นต้องมีพื้นที่ ในการเก็บ
รักษา ส่วนการใช้เทคโนโลยีสามารถลอกแบบงานที่มีขนาดใหญ่
เช่น ปราสาททั้งหลังให้อยู่ในข้อมูล ระบบดิจิตอลที่แสดงภาพ
จาลองให้เห็นได้ ซึ่งสามารถทาสิ่งของหรือมรดกทางวัฒนธรรม
ที่มีความสาคัญทางประวัติศาสตร์ ที่สูญหายไปแล้ว ขึ้นมาใหม่
ได้ ฉะนั้น จึงเห็นได้ว่าการอนุรักษ์โบราณวัตถุจึงมีความจาเป็นที่
จะต้องเก็บข้อมูลเพื่อการเปรียบเทียบ อ้างอิง ทั้งที่เป็นสาเนา
ดิจิตอล 3 มิติ เพื่อเป็นหลักฐานสาหรับศึกษาและการซ่อมแซม
ที่ถูกต้องในอนาคต เพราะลักษณะเด่นหรือข้อดีของเทคโนโลยี
ดังกล่าวนี้ คือ
2
เก็บรูปทรงและลวดลายได้คมชัดกว่าวิธีลอกลาย
แบบปัจจุบัน
เป็นการสร้างฐานข้อมูลดิจิตอลแบบสามมิติ (3D
Database) ของรูปทรงและลวดลายโบราณสถานต่างๆ
สามารถสร้างแบบจาลองโบราณสถานต่าง ๆ ได้
จากฐานข้อมูลดิจิตอลแบบสามมิตินี้ได้ง่าย
สามารถใช้ฐ านข้อมูล ดิจิตอลแบบสามมิตินี้เป็น
ต้นแบบเพื่ออ้างอิงในการซ่อมแซมโบราณสถานต่าง ๆ ในอนาคต
ได้
สามารถใช้ฐานข้อมูลดิจิตอลแบบสามมิตินี้เพื่อนา
ลวดลายบางส่วนไปใช้ในการสร้างงานใหม่ ๆ ได้
ผสมผสานกระบวนการทางวิศวกรรมและกระบวน
ทางศิลปกรรมและประติมากรรมโดยใช้ฐานข้อมูลดิจิตอลแบบ
สามมิตินี้มาทาการขึ้นรูปชิ้นงานปูนปลาสเตอร์ด้วยวิธีการทาง
วิศวกรรมเพื่อให้ได้รูปทรงและรายละเอียดตามสภาพของลาย
ปูนปั้นบนสะพานในปัจจุบันและทาการตกแต่งลายให้สวยงาม
คมชัดด้วยวิธีการทางศิล ปกรรมและประติมากรรมซึ่งยังไม่มี
โรงหล่อใดเคยทา
3
สะพำนมหำดไทยอุทิศกับกำรจัดทำสำเนำ 3 มิติ
การอนุรักษ์และการบริหารจัดการโบราณสถาน โบราณ
วัตถุ มักประสบปัญหา เนื่องจากขาดการสนับสนุนร่วมมือจาก
หน่วยงานที่มีส่ว นเกี่ย วข้อง และขาดการให้ความรู้แก่ชุมชน
อย่างต่อเนื่อง ทาให้ชุมชนขาดความรู้ความเข้าใจในการดูแล
รั ก ษาโบราณสถาน โบราณวัต ถุ และขาดความตระหนัก ถึง
ความสาคัญ รวมถึงไม่กล้าเข้าไปมีส่วนในจัดการ ส่งผลให้การ
จัดการดูแลโบราณสถาน โบราณวัตถุส่วนใหญ่ที่อยู่ในความดูแล
ของท้องถิ่นยังไม่สามารถดาเนินงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ด้ว ยข้อ จากัด ทางด้า นความรู้ค วามเข้า ใจ การขาดบุค ลากร
เฉพาะทาง และเทคโนโลยีในการดาเนินงานอนุรักษ์ที่ไม่เพียงพอ
ต่อจานวนโบราณสถานทั้งหมดทั่วประเทศไทย ส่งผลให้การ
อนุรักษ์โบราณสถาน โบราณวัตถุหลายแห่งถูกละเลยจนกล่าว
ได้ว่าเป็นมรดกเมืองที่ถูกลืม
“...มรดกเมืองที่ถูกลืม...” กรณีศึกษาที่สาคัญและถือ
เป็นจุดเริ่มต้นของการทางานวิจัยร่วมกันระหว่ างมหาวิทยาลัย
ศิล ปากร มหาวิท ยาลัย เกษตรศาสตร์ และกรุงเทพมหานคร
ได้แก่ สะพานมหาดไทยอุทิศ ซึ่งกรมศิล ปากรได้ประกาศขึ้น
ทะเบี ย นเป็ น โบราณสถานสาคั ญ ของชาติ โดยประกาศใน
ราชกิ จ จานุเบกษา เล่มที่ 92 ตอนที่ 61 วันที่ 18 มีนาคม พ.ศ.
2518
4
ภำพที่ 1 ราวสะพานมหาดไทยอุทิศ
สะพานมหาดไทยอุทิศ ตั้ง อยู่ ใ นบริเ วณใกล้เคีย งกับ
ภูเขาทอง วัดสระเกศ และป้อมมหากาฬ เปิดใช้เป็นทางการ
เมื่อวัน ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2457 เป็นสะพานของถนนบริพัตร
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็น
ทางเชื่อมข้ามคลองมหานาค ณ จุดบรรจบระหว่างคลองมหานาค
กับคลองรอบกรุงหรือคลองโอ่งอ่างบางลาพู มาเชื่อมกับถนน
ดารงรักษ์ และถนนหลานหลวง รวมทั้งถนนราชดาเนิน
การก่อสร้างสะพานมหาดไทยอุทิศเป็นพระราชดาริ
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 มี
รูปแบบทางสถาปัตยกรรมแบบยุโรปและก่อสร้างตามวิธีสมัยใหม่
กลางราวสะพานด้านขวามีภาพประติมากรรมนูนด้านต่า เป็นรูป
สตรีอุ้มเด็ก ในมือมีช่อดอกซ่อนกลิ่น ด้านซ้ายเป็นรูปผู้ชายยืน
จับไหล่ของเด็ก (ดังภาพที่ 1) เป็นภาพแสดงถึงความโศกเศร้า
อาลั ย ราลึ ก ในพระมหากรุ ณ าธิ คุ ณ ของพระบาทสมเด็ จ พระ
5
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จพระราชดาเนินไปทรงประกอบพิธีเปิดสะพานในวันคล้าย
วันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว
สะพำนเจริญรัช 31 กับกำรจัดทำสำเนำ 3 มิติ
สะพานเจริญรัช 31 เป็นสะพานแรกในสะพานชุดเจริญ
ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว พระราชทานทรัพย์
ให้ ก รมสุ ข าภิ บ าลสร้ า งเพื่ อ สาธารณประโยชน์ ในวั น เฉลิ ม
พระชนมายุค รบ 31 พรรษา ใน พ.ศ. 2454 ซึ่งเป็น ปีแ รกที่
เสด็จ ขึ้น ครองราชย์ โดยคาว่า “เจริญ ” มีความหมายว่า เมื่อ
รัชกาลที่ 5 เฉลิมสวรรค์แล้ว รัชกาลที่ 6 เจริญรัชกาลสืบต่อไป
ภำพที่ 2 สะพานเจริญรัช 31
ตัว สะพานมีลักษณะเป็น สะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก
ราวสะพานทั้งสองข้างโค้งเป็นรูป ครึ่งวงกลม ภาพที่ 2 แสดง
“ลู ก กรง”ทาเป็ น ปู น ปั้ น รู ป เสื อ ป่ า ยื น หั น ข้ า ง เท้ า คู่ ห น้ า ถื อ
6
พระขรรค์ ป้ายกลางสะพานเป็นรูปโล่จารึกชื่อสะพานประดับ
ด้วยลายใบไม้แบบยุโรป เหนือป้ายประดิษฐานพระปรมาภิไธย
ย่อ ว.ป.ร. ปลายราวสะพานทั้งสี่มีป้ายรูปวงกลมจารึกเลข 31
ด้านล่างราวสะพานฝั่งคลองประดับลายดอกบัวเรียงต่อกันไป
ตรงกลางของแถวดอกบัวมีป้ายตัวเลข 130 ปัจจุบันตั้งอยู่บริเวณ
ปากคลองตลาด แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร ถือเป็น
หนึ่งในโบราณสถานที่ทรงคุณค่าของประเทศ แต่สะพานเจริญรัช
31 ประสบปัญ หาเช่น เดีย วกับ สะพานอื่น ๆ คือ เสื่อ มโทรม
เสียหายตามกาลเวลา ไม่ได้รับการอนุรักษ์ดูแลรักษาเท่าที่ควร
ปูนและสีหลุดลอก มีร อยแตกร้าว (ภาพที่ 3) มีคราบสกปรก
ปกคลุมบดบังลวดลาย (ภาพที่ 4) ชิ้นส่วนแตกหักเสียหาย ทั้ง
ลวดลายบางส่วนยังผิดเพี้ยนไปเพราะการซ่อมแซมแบบไม่ถูกต้อง
ตามหลักวิชาการ (ภาพที่ 5)
ภำพที่ 4 คราบสกปรกดาบดบังความสวยงามของสะพาน
8
ภำพที่ 5 ลวดลายแตกหักเสียหายของสะพาน
การอนุ รั ก ษ์ ป ระติ ม ากรรมปู น ปั้ น ประดั บ สะพาน
แนวทางหนึ่ง ได้แ ก่ การทาสาเนา 3 มิติ เพื่อ จัด เก็บ ไว้เป็น
หลักฐานสาหรับศึกษาและการซ่อมแซมที่ถูกต้องต่อไป การทา
สาเนา 3 มิติ เป็น วิธีการที่ใช้กับ มรดกทางวัฒ นธรรมที่ตั้งอยู่
กลางแจ้งและเคลื่อนย้ายไม่ได้ ตัวอย่างที่เห็นผลชัดเจนจากการ
9
แจ้งข่าว ขอข้อมูล
จัดทาเอกสารถึง และขออนุญาต
หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ขอการสนับสนุน
ถ่ายภาพ
วัดพื้นที่
สารวจรอบแรก
แยกองค์ประกอบ
ลวดลายเบื้องต้น
จัดทาแผนผัง ปฏิบัติงาน
โดยฝ่าย
ออกแบบการสารวจ ศิลปกรรม
การสารวจสภาพ จัดทาแบบสารวจ
โบราณสถาน สภาพ
ประชุมทีมทาความ
เข้าใจในแผนผังและ
หลักการ
ลงสารวจ ทาบันทึก
ลงพื้นที่สารวจ
แยกตาม
องค์ประกอบ
เก็บตัวอย่างวัสดุและ
สีเพื่อนามาวิเคราะห์
รวบรวมแบบสารวจ
ทาการประมวลผล
สรุปผล
คัดเลือกชิ้นงานที่
เหมาะสมให้การทา ปฏิบัติงานร่วมกัน
3D สแกน ระหว่างฝ่าย
ศิลปกรรมและ
วิศวกรรม
ประชุมทีม วางแผนในการปฏิบัติงาน
ติดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพือ่ ขอเข้าพื้นที่และอุปกรณ์
สนับสนุน
การทา
3D สแกน ปฏิบัตกิ ารทา 3D สแกน ปฏิบัติงาน
โดยฝ่ายวิศวกรรม
แต่งไฟล์ 3 มิติเบื้องต้น
ประกอบไฟล์ที่ได้มาให้สมบูรณ์และแต่งไฟล์ที่ได้อีกรอบ
11
เลือกวัสดุทเี่ หมาะสม
ประชุมหาแนวทาง
เลือกเทคโนโลยีใน
การทาสาเนา 3 มิติ ปฏิบัติงาน
ร่วมกันระหว่าง
ฝ่ายศิลปกรรม
ขึ้นรูปชิ้นงาน/แม่พมิ พ์ด้วย และวิศวกรรม
การทาสาเนา CNC หรือ RP
3 มิติด้วยเครื่อง
CNC ขั้นตอนการผลิต แยกชิ้นงาน/แม่พิมพ์
ด้วยมือ และหล่อ
ชิ้นงานจากแม่พิมพ์
ปฏิบัติงานโดย
สารวจความคมชัดของสาเนา 3 มิติ
ฝ่ายศิลปกรรม
สรุป รำยงำนผล
บ ทที่ 2
การสารวจสภาพศิลปกรรม 3 มิติ
การสารวจสภาพ (Condition Report) คือ การศึกษา
ตรวจดูศิลปกรรม โบราณสถาน หรือโบราณวัตถุ ว่ายังรักษา
สภาพสมบูร ณ์ห รือมีความเสื่อมสภาพในปัจจุบันอย่างไรบ้าง
หรื อ ถู ก ซ่ อ มแซมและเปลี่ ย นแปลงมาแล้ ว หรื อ ไม่ อ ย่ า งไร
การประเมินสภาพของศิล ปกรรมเป็นข้อมูลอ้างอิงที่สาคัญใน
การอนุรักษ์ต่อไปในอนาคต โดยมีขั้นตอนการดาเนินการดังนี้
1. จัด ทาหนังสือแจ้งยื่น ไปหน่ว ยการที่เกี่ยวข้องกับ
โบราณสถาน
2. การสารวจเบื้องต้นเพื่อจัดทาแผนผังและกาหนด
รหัสของลวดลาย
3. การออกแบบเอกสารสาหรับใช้ในการสารวจลวดลาย
แต่ละตาแหน่ง
4. การลงพื้นที่สารวจ
5. การรวบรวมผลการสารวจ และสรุปประเมินสภาพ
สิ่งสาคัญก่อนการเข้าสารวจโบราณสถานครั้งแรกคือ
การทาหนังสือแจ้งไปยัง องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นที่เป็นที่ตั้ง
ของโบราณสถานนั้น ๆ เช่น ก่อนการเข้าสารวจสะพานมหาดไทย
13
ภาพที่ 6 แผนผังสะพานมหาดไทยอุทิศฝั่งตะวันตกด้านนอก
18
การลาดั บรายละเอียดในลวดลายแต่ละประเภทใน
แบบบันทึก
การกาหนดวิธีการแบ่งพื้นที่สารวจในรายละเอียดของ
ลวดลายสามารถกาหนดออกเป็น 3 ลักษณะ ตามประเภทของ
งาน ได้แก่
19
1. ประเภทลวดลายที่มีรูปแบบซ้าๆ และสามารถแบ่ง
ออกเป็น ส่ว นอย่างชัดเจน ให้ร ะบุตัว เลขลงตามลั ก ษณะของ
ลวดลายส่วนต่างๆ ไล่เรียงจากเลข 1 จนถึงเลขสุดท้าย ตาม
ทิศทางหรือองค์ประกอบที่ให้ผู้สารวจเข้าใจได้ง่าย (ภาพที่ 8)
2. ประเภทของลวดลายที่มีลักษณะมีรูปร่างหลายแบบ
มาประกอบกันแต่ยังคงแยกส่วนในการสารวจได้ ให้ระบุตัวเลข
และใช้คาบอกลักษณะประกอบ เช่น ตาแหน่งเลข 1 ของเสือถือ
พระขรรค์ (ภาพที่ 9) ระบุว่า “หัวเสือ” ตาแหน่งเลข 2 ระบุว่า
“ลาตัว” ในใบบันทึกเพื่อให้สารวจบริเวณดังกล่าวให้ทั่ว
3. ประเภทของประติมากรรมที่ไม่สามารถแยกส่วนได้
ไม่สามารถแบ่งพื้นที่ในการสารวจได้อย่างชัดเจนให้ใช้วิธีการดู
ภาพรวม
ในการสร้างแบบบันทึกรายงานผลการสารวจต่อหนึ่ง
ชิ้นงานจะประกอบด้วยแบบบันทึก 2 แผ่น แถบบนของแบบ
บันทึกบ่งบอกตาแหน่ง ลาดับ และกลุ่มลวดลายของชิ้นงานที่จะ
สารวจ ส่วนด้านล่างระบุ วันที่ เวลา และชื่อของผู้สารวจ แบบ
บั น ทึ ก แผ่ น แรกเป็ น ภาพของศิ ล ปกรรมมี ห มายเลขซ้ อ นอยู่
บนภาพ เพื่อบอกรายละเอียดขององค์ประกอบที่ต้องการสารวจ
ผู้สารวจสามารถเขีย น วาดวง หรือ ชี้ร ะบุตาแหน่ง ที่เสียหาย
ลงไปบนแบบบันทึกได้ ส่วนแบบบั นทึกแผ่นที่สองใช้สาหรับจด
บันทึกเพื่ออธิบายรายละเอียดของความเสียหายที่สารวจพบ ซึ่ง
ได้แยกช่องบันทึก ไว้ตรงตามหมายเลขที่ระบุในแบบบันทึกแผ่น
ที่ 1
20
ตัวอย่างแบบบันทึกผลการสารวจสภาพ
แยกตามองค์ประกอบของศิลปกรรม
สรู
ปสภาพง านทู
ง หมด
ู
9.1
7.1
7.2 9.2
1 1
7.3 9.3
6
8
2 5
5 2
7.4 9.4
3 45
สูรวจวู
า นทู ู เวลา ผู
สูรวจ
ู า
ภาพที่ 9 แบบบันทึกสภาพลายเสือถือพระขรรค์
สะพานเจริญรัช 31 (บน)
แผ่นบันทึกที่ 1 (ล่าง) แผ่นบันทึกที่ 2
22
วิธีการสารวจ
ผู้วิจัยจะคัดเลือกภาพศิลปกรรมที่ชัดเจนและมีสภาพ
สมบูร ณ์ที่สุด เพื่อใช้เป็นตัวอย่างในแบบบันทึกการสารวจ ซึ่ง
ภาพดังกล่าวอาจมาจากการสารวจรอบแรก หรือได้จากการศึกษา
ภาพถ่ายเดิมที่มีผู้บันทึกไว้ก่อนหน้า อย่างไรก็ดี ในขั้นตอนการ
สารวจ ผู้สารวจไม่ควรยึดเอาลักษณะของศิลปกรรมที่อยู่ในภาพ
ของแบบสารวจเป็นหลัก แต่ควรสังเกตงานศิลปกรรมของจริง
ที่กาลังสารวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน และบันทึกอย่างรอบคอบถึง
ผลการสังเกต นอกจากนี้ มีข้อแนะนาบางประการในการสารวจ
ได้แก่
1. ในกรณีที่ล วดลายประเภทที่สารวจมีจานวนมาก
ซ้ากั น หลายชิ้ น ให้ สั ง เกตเปรี ย บเที ย บชิ้ น งานที่ ซ้ากั น เพื่ อ
เทียบเคียงทั้งรูปทรง รายละเอียดแต่ละส่วน และความเสียหาย
ที่เกิดขึ้น ในแต่ล ะจุดโดยละเอีย ดว่า มีความเหมือนหรือความ
แตกต่างกัน เพีย งใด ทั้งนี้ เพื่อให้ผ ลการสารวจมีความชัดเจน
มากที่สุด ผู้สารวจควรจับคู่ชิ้นงานเปรียบเทียบมากกว่าคู่เดียว
เพื่อ สารวจดู ว่า ลัก ษณะของรูป ทรงและรายละเอีย ดอย่างใด
อย่างหนึ่งในศิลปกรรมนั้นเกิดขึ้นซ้าๆ ในชิ้นงานทุกชิ้นหรือไม่
(ภาพที่ 10)
2. ในกรณีที่ศิล ปกรรม หรือ ลวดลายที่สารวจนั้น มี
ชิ้น เดีย ว ไม่มีชิ้น อื่น เปรีย บเทีย บ ให้พ ยายามสัง เกตชิ้น งาน
ศิลปกรรมว่ามีความผิดปกติ หรือมีลักษณะแปลกปลอมหรือไม่
เริ่ม จากการสั ง เกตรูป ทรงทั้ง หมดเพื่อค้น หาว่า มีก ารต่อ เติม
23
ประเภทของความเสียหาย
การระบุป ระเภทของความเสียหาย หรือคาสาคัญไว้
ตั้งต้นจะช่วยให้การสารวจเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และสามารถ
นาผลมาสรุปได้ชัดเจนขึ้น ความเสีย หายที่พบได้โ ดยทั่วไปใน
งานโบราณสถานที่สร้างจากปูนซีเมนต์ ได้แก่
24
1. สัมผัส (Contact)
เครื่องสแกนเนอร์แบบสัมผัส 3D มีความสามารถ
ในการตรวจสอบวัตถุโดยการสัมผัสทางกายภาพขณะที่วัตถุสัมผัส
สามารถทางานได้เพียงไม่กี่ร้อยเฮิรตซ์เท่านั้น ในทางตรงกันข้าม
ระบบแสง เช่น เลเซอร์สแกนเนอร์สามารถทางานได้ตั้งแต่ 10
ถึง 500 kHz ดังภาพที่ 12
ภาพที่ 12 เครื่องสแกนเนอร์แบบสัมผัส 3D
29
2. ไม่สัมผัส (Non-contact)
เครื่องสแกนเนอร์แบบไม่สัมผัสมีลักษณะเป็นกล้อง
จะยิงแสงเลเซอร์ออกมาเมื่อเลเซอร์พบวัต ถุ แสงเลเซอร์จ ะ
สะท้อนกลับเข้าไปในตัวกล้อง กล้องจะคานวณหาระยะห่างของ
กล้องกับวั ตถุจ ากระยะเวลาเดิน ทางของเลเซอร์ กับความเร็ว
ของเลเซอร์ จากนั้น อุป กรณ์ภ ายในกล้องจะหมุนและยิงแสง
เลเซอร์ลาอื่นออกไปเรื่อยๆ โดยในหนึ่งวินาที จะยิงได้หนึ่งแสน
จุดหรือมากถึงเก้าแสนจุด แล้วนาไปแปลงเป็นพื้นผิว
ภาพที่ 13 เครื่องสแกนเนอร์แบบไม่สัมผัส
4. Structured light
เครื่องสแกนเนอร์แบบ Structured light หลักการ
ทางานของเครื่องคือมีระบบวัดพื้นผิวของวัตถุที่ใช้การฉายแสง
รหัสดิจิตอลทั้งพื้นที่ มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าระบบฉายแสงที่มี
โครงสร้างและรหัส (coded structured light system) ซึ่งใช้
หลั ก การฉายแสงที่ มี ห นึ่ ง รู ป แบบ (pattern) หรื อ กลุ่ ม ของ
รูปแบบ (set of patterns) ไปบนวัตถุที่ต้องการวัดพื้นผิว ซึ่ง
แสงที่มีรูป แบบจะตกกระทบวัตถุ และถูกบันทึกไว้ ด้วยกล้อง
video หนึ่งตัวหรือหลายตัว แบบจะถูกออกแบบพิเศษเพื่อให้
รหัสถูกกาหนดลงไปบนกลุ่ม ของ pixels ทุก pixel จะมีรหัส
ของตัวมันเอง ดังนั้น จึงมีการจับคู่โดยตรง (direct mapping)
จากรหัสไปยังตาแหน่งของ pixel ที่สอดคล้องกัน แบบรหัสเป็น
เพียงแค่ตัวเลขซึ่งจะถูกจับคู่กับแบบโดยการใช้ระดับสีเทา (gray
level) สี หรือลักษณะทางเรขาคณิต จากนั้นจึงคานวนออกมา
เป็นพืน้ ผิวแบบสามมิติ ดังภาพที่ 15
ภาพที่ 15 ตัวอย่างภาพจากเครื่องสแกนเนอร์แบบ
Structured light
32
5. Modulated light
เครื่องสแกนเนอร์ Modulated light เป็นเครื่องที่
มีหลักการทางานโดยปรับแสงส่องสว่างตลอดเวลาที่วัตถุ โดย
ปกติแล้วแหล่งกาเนิดแสงจะหมุนรอบแอมพลิจูดในรูปแบบไซน์
(sinusoidal pattern) กล้องตรวจจับแสงสะท้อนและจานวน
รูปแบบที่ถูกเปลี่ยนโดยกาหนดระยะห่างที่แสงเดินทาง แสงแบบ
ปรับได้ช่วยให้สแกนเนอร์ไม่สนใจแสงจากแหล่งอื่นนอกเหนือ
จากเลเซอร์ ดังนั้นจึงไม่เกิดสัญญาณรบกวนใด ๆ
ภาพที่ 16 ระบบฉายแสงที่มีโครงสร้างและรหัส
6. Volumetric Techniques
เครื่องสแกนเนอร์ Volumetric Techniques มี
หลักการทางานที่ใช้มากในทางการแพทย์ โดยในการถ่ายภาพ
ทางการแพทย์จะสร้างภาพสามมิติภายในของวัตถุจากภาพรังสี
เอกซ์แบบสองมิติขนาดใหญ่ การถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก
เป็นอีกหนึ่งเทคนิคการถ่ายภาพทางการแพทย์ที่ให้ความคมชัด
มากขึ้น ระหว่างเนื้อเยื่ออ่อนที่แตกต่างกันของร่างกายมากกว่า
การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT) ทาให้มีประโยชน์อย่างยิ่ง
33
7. Non-contact Passive
โซลูชันการถ่ายภาพแบบ Passive 3D โดยไม่ปล่อย
รังสีชนิดใด ๆ ออกไป แต่ต้องพึ่งพาการตรวจจับรังสีจากภายนอก
การแก้ปัญ หาส่ว นใหญ่ข องอุป กรณ์ช นิด นี้จ ะตรวจจับ แสงที่
มองเห็ น ได้ เนื่ อ งจากเป็ น รั ง สี ที่ อ ยู่ ใ กล้ เ คี ย ง นอกจากนี้ ยั ง
สามารถใช้รังสีประเภทอื่น ๆ เช่น อินฟาเรดได้เช่นกัน วิธีการ
แบบพาสซีฟมีราคาถูกเพราะไม่จาเป็นต้องมีฮาร์ดแวร์เฉพาะ
แต่กล้องดิจิทัลแบบง่าย ๆ ระบบ Stereoscopic มักใช้กล้อง
วิดีโ อสองตัว แยกกัน เล็กน้อ ยมองไปที่ภ าพเดียวกัน ด้ว ยการ
วิเคราะห์ความแตกต่างเล็กน้อยระหว่ างภาพที่เห็นในกล้องแต่
ละตัวทาให้สามารถกาหนดระยะทางในแต่ละจุดในภาพได้ วิธีนี้
ใช้หลักการเดียวกันกับการขับเคลื่อนวิสัยทัศน์สามมิติของมนุษย์
ระบบโฟโตมิเตอร์ทมี่ ักจะใช้กล้องเพียงตัวเดียว แต่ใช้ภาพหลาย
ภาพภายใต้สภาพแสงที่แตกต่างกัน เทคนิคเหล่ านี้พยายามที่จะ
เปลี่ยนรูปแบบการสร้างภาพเพื่อกู้คืนการวางแนวพื้นผิวที่แต่ละ
พิกเซล
เทคนิค Silhouette ใช้แ บบร่างที่ส ร้า งขึ้น จาก
ลาดับภาพรอบวัตถุสามมิติกับพื้นหลังที่ตัดกันดี ภาพเงาเหล่านี้
ถูกบีบ อัดและตัดกัน เพื่อสร้างรูป ประมาณของลาตัว ของวัตถุ
ด้วยวิธีการเหล่า นี้จะยังไม่สามารถตรวจพบความหนาแน่นของ
วัตถุบางอย่างได้
35
ภาพที่ 22 ราชสีห์สแกนได้จากเครื่องสแกน
Tripod-mounted
41
จากภาพที่ 23 จะเห็นได้ว่าพื้นผิวหน้าผู้ใหญ่ที่ได้จาก
เครื่ อง Handheld ดัง แสดงในภาพที่ 24 (ก) มี ความหยาบ
มากกว่าพื้นผิวหน้าผู้ใหญ่ที่ได้จากเครื่อง LASER ดังแสดงใน
ภาพที่ 24 11 (ข) เนื่องจากยังคงมองเห็นเป็นพื้นผิวสามเหลี่ยม
(Polygon Surface) ได้อย่างชัดเจนในภาพที่ 24 (ก)
42
(ก) (ข)
เมื่อทาการเปรียบเทียบการสแกนทั้งสามชนิดดังแสดง
ในตารางที่ 1 จะเห็น ได้ว่ า Tripod-mounted Structured
Light Scanning มีข้อ ดี (คะแนน) ใกล้เ คีย งกัน กับ LASER
Scanning แต่สิ่งที่ต้องคานึงถึงเป็นอันดับต้นคือความละเอียด
และความถูกต้องของชิ้นงานที่สแกนได้ ทาให้ LASER Scan มี
ข้ อ ได้ เ ปรี ย บกว่ า Tripod-mounted Structured Light
Scanning ส่ว น Handheld Structured Light Scanning
จะสะดวกกับงานที่ต้องการแต่รูปทรงและไม่ต้องความละเอียด
ของลวดลายที่อยู่บนรูปทรงซึ่งไม่เหมาะที่จะนามาใช้เพื่อการ
อนุรักษ์ลวดลาย เนื่องจากพื้นผิวจากการสแกนมี Noise และ
Spike ที่มาก และจัดการไฟล์ต้นฉบับได้ยาก
43
ตารางที่ 1 ตารางเปรียบเทียบสแกนทั้งสามชนิด
Handheld Tripod- LASER
ชนิด ภาพที่ 18 mounted ภาพที่
ภาพที่ 19 20
ขนาดของเครื่อง 3 3 2
การเคลื่อนย้าย 3 2 1
ความถูกต้อง (Accuracy) 1 2 2
ความเร็วในการสแกน 2 1 2
ความต่อเนื่องของสแกน 3 2 3
Lighting Conditions
(Ambient, 1 1 2
Environment)
Noise, Spike 1 2 3
ความปลอดภัย 3 3 3
ความหลากหลายของขนาด
1 2 3
ชิ้นงานที่สแกนได้
ความสามารถในการเก็บสี
2 3 1
ของชิ้นงานได้
สามารถแก้ไขไฟล์ได้ใน
1 3 3
ภายหลัง (Merge File)
รวม 22 24 26
หมายเหตุ: 3 = ดีมาก, 2 = ดี, 1 = ไม่ดี,
(ก) (ข)
(ก)
(ข)
และเมื่อทาการสแกนแต่ละส่วนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เรา
สามารถนาชิ้นส่วนย่อยๆ มาต่อเรียงกันเป็นชิ้นประกอบที่ใหญ่ขึ้น
เพื่อแสดงเค้าโครงของโครงสร้างของสะพานดังแสดงในภาพที่ 33
49
ภาพที่ 33 ชิ้นประกอบจากไฟล์สแกนย่อย
ภาพที่ 34 การเอาเนื้อวัสดุออก
รูปร่าง รวมไปถึงเครื่องมือที่ใช้เปลี่ยนแปลงรูปร่างของชิ้นงานให้
มีรูปร่างตามต้องการ เช่น การอัด (Compressive), การฉีดเข้า
แม่พิม พ์ (Injection), การหล่อ (Casting), การพับ การดัด
(Bending)
ภาพที่ 35 การปั้นหรือหล่อเป็นรูป
ภาพที่ 36 การเติมเนื้อวัสดุ
เครื่องซีเอ็นซีนั้นมีระบบควบคุมที่ป้อนข้อมูลโปรแกรม
คอมพิวเตอร์ของเครื่องผ่านแผงคีย์บอร์ด/แป้นพิมพ์ (Key Board)
หรือเทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) เมื่อระบบควบคุมอ่าน
โปรแกรมและนาข้อมูลไปควบคุมการทางานเครื่องจักรกลโดย
อาศัยตัวมอเตอร์ป้อน (Feed Motor) เพื่อให้แท่นเลื่อนเคลื่อนที่
ตามคาสั่ง เช่น เครื่องกัดซีเอ็นซี (ซีเอ็นซี Milling) จะมีมอเตอร์
ป้อน 3 ตัว โดยระบบควบคุมอ่านโปรแกรมและเปลี่ยนรหัส
โปรแกรมเป็นสัญญาณไฟฟ้าเพื่อควบคุมมอเตอร์ แต่เนื่องจาก
สัญญาณที่ออกจากระบบควบคุมนี้มีกาลังน้อย ไม่สามารถไป
หมุน ขับ ให้ม อเตอร์ทางานได้ จึง ส่ง สัญ ญาณผ่า นภาคขยาย
สัญญาณของระบบขับ (Drive Amplified) และส่งสัญญาณต่อไป
ยังมอเตอร์ป้อนแนวแกนตามที่โปรแกรมกาหนด ทั้งความเร็ว
และระยะทางการเคลื่ อ นที่ ข องแท่ น เลื่ อ นจะถู ก โปรแกรม
ล่ว งหน้า เพื่อควบคุมเครื่องซีเอ็น ซี และมีเครื่องมืออุปกรณ์ที่
ตรวจสอบตาแหน่ง ของแท่น เลื่อ นให้ร ะบบควบคุม เรีย กว่า
ระบบวัดขนาด (Measuring System) ซึ่งประกอบด้วยสเกล
แนวตรง (Linear Scale) มีจานวนเท่ากับจานวนแนวแกนใน
การเคลื่อนที่ของเครื่องทาหน้าที่ส่งสัญญาณไฟฟ้าที่สัมพันธ์กับ
ระยะทางที่แท่นเลื่อนเคลื่อนที่กลับไปยังระบบควบคุม
จากคุณ สมบัติ นี้เองทาให้เครื่อ งซีเอ็น ซีส ามารถผลิต
ชิ้นงานให้มีรูปร่าง และรูปทรงให้มีขนาดตามที่เราต้องการได้
จากการโปรแกรมทางเดินของเครื่อง เนื่องจากการสร้างและ
การทางานที่เหนือกว่าเครื่องจักรกลทั่วไปจึงทาให้เครื่องซีเอ็นซี
เป็ น ปัจ จัย หนึ่ ง ที่มีค วามสาคัญมากในปั จ จุบัน นี้ห ากต้อ งการ
54
ผลิตสินค้าให้ได้จานวนมากๆ และลดจานวนระยะเวลาการผลิต
ของสินค้าลง
Signal
G - CODE
สถานะ
เครื่อง
Signal
Spindl
ส่วนติดต่อผู้ใช้และ แผงควบคุม I/O
e
แผงใส่คาสั่ง
โปรแกรม Coolin
g
ชิ้นงาน
ป้อมมีด
ภาพที่ 38 เครื่องกลึงซีเอ็นซี
ภาพที่ 39 เครื่องตัดด้วยลวดและลักษณะชิ้นงานจากการตัด
56
(a) (b)
ภาพที่ 41 (a). LASER Cut, (b). Plasma Cut
ภาพที่ 43 CMM
59
6. เครื่องเจียร (Grinders)
เป็น แท่น หมุน ที่มีหัว ขัด ติด อยู่ซึ่งหัว ขัด มีให้เลือ ก
หลากหลายชนิด ใช้สาหรับการขัดชิ้นงานให้ได้รูปทรง ขนาด
และความเรียบตามต้องการ เป็นเครื่องที่ใช้งานได้ง่าย
ภาพที่ 44 เครื่องเจียร
ภาพที่ 45 เครื่องเคลื่อนย้ายวัตถุ
เครื่องสร้างต้นแบบรวดเร็ว และเครื่องกัด
จากเครื่องที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเครื่องที่ไม่ค่อยได้ใช้
ในกระบวนการผลิตสะพานปูนปั้นเนื่องจากเครื่องจักรซีเอ็นซี
ส่วนใหญ่ใช้กับงานเฉพาะและอาจจะต้องใช้กับโลหะ ซึ่งวิธีที่ ใช้
ในการผลิตหรือลอกลายสะพานนั้นจะนิยมใช้เครื่องจักร 2 ชนิด
คือ เครื่องสร้างต้นแบบรวดเร็ว และเครื่องกัด
เครื่องสร้า งต้นแบบรวดเร็ ว (Rapid Prototype
หรือ RP)
การสร้างต้นแบบรวดเร็วนั้นเป็นกระบวนการเติมเนื้อ
วัสดุ (Additive Manufacturing) โดยจะเป็นกระบวนการค่อยๆ
เติมเนื้อชิ้นงานขึ้นมาเป็นชั้นๆ โดยใช้เครื่องจักรซีเอ็นซี และใช้
วัสดุที่ติดกันได้ จนได้ชิ้นงานดังภาพที่ 46
61
ภาพที่ 46 การเติมเนื้อวัสดุทีละชั้น
ทั้งนี้ การใช้วิธีการผลิตแบบนี้ในตอนต้นนั้นมีวัตถุประสงค์
สาหรับการสร้างต้นแบบเพื่อตรวจสอบการออกแบบก่อนนาไป
ผลิตจริง โดยการทาต้นแบบรวดเร็วนี้จะทาให้สามารถทดลองจับ
และใช้ในลักษณะของ Function ทดสอบการประกอบ สามารถ
พูดคุยแก้ไขเปลี่ยนแปลงผลิตภัณฑ์กับลูกค้าได้ง่าย ซึ่งทาให้ลด
ต้นทุนที่อาจเกิดจากการออกแบบที่ผิดพลาดได้ เนื่องมาจาก
ความได้เปรียบของกระบวนการนี้ที่สามารถผลิตชิ้นงานดังนี้
✓ มีลักษณะที่ซับซ้อน (Complex)
✓ มีรูปทรงที่อิสระ (Freeform)
✓ ไม่สามารถผลิตได้ด้วยเครื่องจักรซีเอ็นซีชนิดอื่นๆ
หรือยากต่อการผลิต
✓ ชิ้นงานที่มีความเป็นเอกลักษณ์ (Unique) ของแต่
ละชิ้น เช่น อวัยวะเทียม จึงถูกนามาใช้ผลิตชิ้นงานที่เป็นชิ้นงาน
เฉพาะ หรือชิ้นงานที่ผลิตเพียงไม่กี่ชิ้น ไม่คุ้มที่จะต้องทาแม่พิมพ์
เพื่อผลิตชิ้นงาน
62
ชิ้นงานออกแบบ ชิ้นงานจาก RP
3D
ภาพที่ 47 แสดงการออกแบบชิ้นงานในโปรแกรม 3D
แล้วผลิตด้วย RP
ภาพที่ 48 ลักษณะชิ้นงานที่เหมาะสาหรับการผลิตด้วย RP
ภาพที่ 49 SLA
64
จากตารางมีคาศัพท์ที่ควรรู้คือ
Overhang Features คือชิ้น งานที่ล อยอยู่โ ดยไม่มี
เนื้ อ ชิ้ น งานมารองรั บ ด้ า นล่ า งของชิ้ น ส่ ว นนี้ ด้ า นล่ า งของ
Overhang เรียกว่า Undercut ซึ่งทาให้ส ามารถผลิตได้ยาก
ด้วยวิธีอื่นๆ เพราะจาเป็นต้องมี Support มารองรับชิ้นงานไว้
66
Overhang
Undercut
Support
Section
ของชิ้นงาน เมื่อตัดเสร็จจะป้อนกระดาษชั้นใหม่เข้ามาพร้อมกับ
กดชิ้น งานให้ต่าลงตามขนาดของกระดาษที่ป้อ นเข้า มาใหม่
ทาซ้าวนไปจนเสร็จ ทาการแกะส่วนเกินออก จะได้ชิ้นงานตาม
ต้องการ
ข้อดี ข้อเสีย
• ขึ้นชิ้นงานได้ค่อนข้างเร็ว • ชิ้นงานเป็นกระดาษ
• สามารถขัดแต่งผิวได้ง่าย • ไม่ค่อยสวยงาม
• ทา Overhang Features • Trapped Volume
ได้ • ความแข็งแรงต่า
• ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยม
ข้อดี ข้อเสีย
• ขึ้นชิ้นงานได้ค่อนข้างเร็ว • ชิ้นงานเป็นพลาสติกเท่านั้น
• ราคาเครื่องและวัสดุมี แต่ก็มีให้เลือกหลายชนิด
ราคาถูก • ผิวชิ้นงานเป็นเส้นชัด
• ทา Overhang • Trapped Volume
Features ได้ • แต่งผิวได้ยาก
• Stair Stepping
• Support ค่อนข้างแกะออก
ยาก
4. 3 D Printer
การทางานของเครื่อ ง 3D Printer จะใช้ผ งแป้ง
เฉพาะนามาขึ้นรูปโดยจะมีการลดฐาน (Platform) ของการขึ้น
รูปชิ้นงานลงแล้วเครื่องจะทาการปาดผงแป้งมาเพิ่มส่วนที่ลดลง
ไปจากขั้นตอนก่อนหน้า หลัง จากนั้นเครื่องจะพ่น Binder ซึ่งมี
ลักษณะเหมือนกาวทาให้ผงแป้งติดกันลงไปตามรูปร่างของภาพ
หน้าตัดของชิ้นงานแต่ละชั้น เสร็จแล้วเครื่องจะเลื่อนชิ้นงานลง
แล้วปาดผงแป้งใหม่เข้ามาทับชั้นเดิมซ้าไปเรื่อยๆ จนเสร็จทั้ง
ชิ้นงาน
72
ออกแบบ SLS
ชิ้นงาน RP เก็บผิวชิ้นงาน
Near Net Shape เรียบร้อย
จากเทคโนโลยี RP ข้างต้นได้มีการพัฒนาเทคนิค
ที่คล้ายกันขึ้นมาเรียกว่า การผลิตแม่พิมพ์รวดเร็ว หรือ Rapid
Tooling (RT) เป็นกระบวนการผลิตโดยใช้การขึ้นรูปทีละชั้น
การเติ ม เนื้ อ วั ส ดุ เ หมื อ น RP แต่ สิ่ ง ที่ ไ ด้ จ าก RT นั้ น จะเป็ น
แม่พิมพ์เพื่อนาไปผลิตชิ้นงานอีกทีหนึ่ง ดังภาพที่ 63
76
ขึ้นรูป
ขึ้นรูปเสร็จ เก็บผิว
ข้อได้เปรียบของกรรมวิธีนี้คือสามารถเลือกวัสดุมา
เพื่อใช้เทลงใน RT ได้หลากหลายและมีราคาถูก
Y
X
เครื่องกัดแบบแนวตั้งนั้นใช้งานมากกว่าเครื่องแบบ
แนวนอน แต่ข้อดีของเครื่องกัดแบบแนวนอนคือ ไม่สะสมความ
ร้อนที่ชิ้นงาน เศษโลหะจะตกลงพื้นไม่สะสมบนผิวของชิ้นงาน
ที่อาจทาให้เกิดรอยขีดข่วนบนชิ้นงานได้
เครื่องซีเอ็นซีที่สามารถเปลี่ยนตาแหน่งการติดตั้ง
หัว Spindle ให้อยู่ได้ทั้งในแนวนอนหรือแนวตั้ง โดยการใช้คาสั่ง
ซี เ อ็ น ซี ใ นการเปลี่ ย นตาแหน่ ง นั้ น มี ชื่ อ เรี ย กว่ า Universal
Machining Center ฉะนั้น เครื่องจักรประเภทนี้จึงสามารถ
79
เครื่องซีเอ็นซีแบบสามแกนนี้มีข้อที่ไม่สามารถ
ผลิตได้อยู่คือชิ้นงานที่มี Undercut และชิ้นงานที่มีรูปร่างทั้ ง
หน้าและหลังหรือรอบตัว
81
ตารางที่ 7 เปรียบเทียบลักษณะงานที่ผลิตด้วยเครื่องสามแกน
ความสามารถ
ลักษณะของชิน้ งาน
ในการผลิต
- สามารถผลิตได้
- ไม่สามารถผลิตได้
เนื่องจาก Undercut
- ต้องตัดชิ้นงานเพื่อ
เปลี่ยนชิ้นงานไม่ให้
เกิด Undercut แล้ว
นามาต่อกันภายหลัง
- ไม่สามารถผลิตได้
เพราะความยาว
หัวกัดไม่พอ
- ต้องเปลี่ยนความยาว
หัวกัดซึ่งยิ่งยาวจะมี
ราคาแพง หายาก
มีโอกาสหักง่าย
- อาจต้องตัดชิ้นงานเป็น
ส่วน ๆ ผลิตแล้วจึง
นามาต่อกัน
82
ความสามารถ
ลักษณะของชิน้ งาน
ในการผลิต
- ผลิตได้ยากเพราะ
มีส่วนของชิน้ งานทั้ง
หน้าและหลัง
- ถ้าทาการกัดหน้าบน
ให้เสร็จแล้วพลิกด้าน
มีโอกาสสูงทีช่ ิ้นงานจะ
เหลื่อมกันไม่ตรง
ตามแบบ
- อาจต้องใช้วิธีตัด
แบ่งเป็นสองด้านแล้ว
นามาต่อกันภายหลัง
จะเห็นได้ว่ามีชิ้นงานบางชิ้นที่ไม่สามารถผลิต
ด้วยเครื่อง 3 แกน ได้ หรือผลิตได้ยาก รวมถึงถ้าต้องตัดเพื่อแยก
ผลิ ต แล้ ว นามาประกอบถ้ า เป็ น ชิ้ น งานจาพวกปู น สามารถ
ประกอบได้ แต่มีวัสดุที่ต่อกันได้ยาก เช่น โลหะ เซรามิก ดังนั้น
จึงมีเครื่องจักรซีเอ็นซีที่มีแกนมากกว่า 3 แกน ขึ้นมาเพื่อช่วย
ในการผลิตชิ้นงานได้ง่ายขึ้นรวดเร็วขึ้น โดยจะเพิ่มแกนหมุนเข้า
ไปตามแกนเส้นตรงทั้ง 3 คือ แกน X, Y และ Z โดยแกนหมุนที่
เกิดขึ้นจะเรียกชื่อว่า แกน A, B และ C ตามภาพที่ 69
83
การผลิตซ้าด้วยเครื่องกัดซีเอ็นซี 3 แกนครึ่ง
การผลิตซ้าในปัจ จุบันนั้น จะใช้วิธีการคือ กัดโฟมเป็น
รูปทรงต่างๆ และทาการแต่งผิวด้วยการไล้ปูนไว้บนผิวโฟมแล้ว
ขัดเก็บผิวปูนด้วยกระดาษทราย หรือ ทาการหล่อแม่พิมพ์จาก
ชิ้นงานโฟมแล้วหล่อปูนจากแม่พิมพ์ที่ได้แล้วทาการแต่งปูนจน
ได้ชิ้นงานที่ต้องการ ซึ่งวิธีการเหล่านี้ค่อนข้างเสียเวลาและต้นทุน
ในการผลิตซ้า ดังนั้นถ้าสามารถกัดปูนให้มี รูปร่างใกล้เคียงกับ
ชิ้นงานสะพานแล้วให้ช่างแต่งได้ทันทีจะเป็นการลดเวลาและ
ต้นทุนลง
86
สิ่งที่ต้องคานึงถึงในการตั้งค่าโปรแกรมเพื่อสร้างทางเดิน
ของหัวกัดเครื่องจักรซีเอ็นซี คือ
1. ชนิดของ Tool ว่าใช้หัวกัดชนิดใด? ขนาดเส้นรอบ
วงเท่าไร? มีความยาวเท่าไรสา? มารถกัดชิ้นงานได้ทั้งชิ้นหรือไม่?
87
ภาพที่ 75 หน้าต่างการปรับค่าของการกัดด้วยโปรแกรม
ARTCAM
89
ภาพที่ 76 หน้าต่างแสดงทางเดินของการกัดด้วยโปรแกรม
ARTCAM
เนื่องจากชิ้นส่วนสะพานมีขนาดใหญ่และเต็มไปด้ว ย
รายละเอียด Undercut ต่างๆ จึงจาเป็นต้องแบ่งชิ้นส่วนสะพาน
ออกเป็นส่วนย่อยๆ และทาการกัดแยกชิ้น แล้วนามาประกอบ
และตกแต่ ง เข้ า ด้ ว ยกั น ซึ่ ง การผลิ ต ซ้าเพื่ อ ทาสาเนาปู น
ปลาสเตอร์นั้น ค่อนข้างซับ ซ้อ น ตรรกะที่ใช้ในการทาซ้าด้ว ย
เครื่องซีเอ็นซีดังกล่าวข้างต้นนั้นสามารถสรุปได้เป็นแผนผังได้
ดังแสดงในภาพที่ 77
90
ภาพที่ 77 ตรรกะในการทาซ้าด้วยเครื่องซีเอ็นซี
91
จากภาพที่ 77 หลักในการพิจารณาแบ่งชิ้นงานและ
เลือกเทคนิคการผลิตวิธีการทาสาเนาดิจิตอล 3 มิติ และการทา
สาเนาปูนปลาสเตอร์ โ ดยใช้การทดสอบการทาซ้าด้วยเทคนิค
การกัดด้วยเครื่องกัดแบบ 3 แกนครึ่ง สาหรับงานในปัจจุบัน
และการต่อยอดในอนาคต มีแนวทางการดาเนินการดังนี้
ขั้นที่ 1 แยกชิ้นส่วนเพื่อการดาเนินการ โดยพิจารณา
แบ่งแยกชิ้นงานด้วยตาเปล่า แบ่งชิ้นที่แยกออกจากกันชัดเจน
ออกมาเป็นส่วนย่อยเพื่อให้สามารถแบ่งแยกผลิตได้ง่าย และ
ประกอบกลับเข้าหากันได้ง่าย โดยส่ วนที่แยกกันควรเป็นส่วนที่
ไม่สาคัญ ลายไม่มาก เช่น จากป้ายประดิษฐานพระปรมาภิไธย
ย่อ ว.ป.ร. (ภาพที่ 78) ซึ่งมีขนาดใหญ่มากจึงไม่สามารถกัดแบบ
3 แกนครึ่ง (4แกนเทียม) ได้ และมีลักษณะเป็นหน้าตัดเหมือนกัน
3 ชิ ้น มาประกบกัน จึง ท าการแบ่ง ออกเป็น 3 ชิ ้น ย่อ ย
ชิ้นด้านหน้า ชิ้นตรงกลาง และชิ้นด้านหลัง
92
ภาพที่ 78 ป้ายประดิษฐานพระปรมาภิไธยย่อว.ป.ร.
ตัดเพื่อไม่ให้เกิด Undercut
จากการตัดแบ่งออกเป็นสามส่วน จะพบว่าชิ้นงานทั้ง
สามมีลักษณะเป็นแบบนูน-ต่า และมีขนาดที่สามรถผลิตได้ โดย
ไม่ต้องตัดชิ้นงาน จึงสามารถผลิตได้ด้วยเครื่องซีเอ็นซีสามแกน
ทีละชิ้น
94
(ก)
(ข) (ค)
ที่ ลั ก ษณะเป็ น ชิ้ น งานแบบนู น ต่า ชิ้ น งาน 2.5D ให้ ทาการ
แบ่ง ส่ว นแล้ว กัด ด้ว ยเทคนิค 3 แกน เพราะสามารถทาไฟล์
ทางเดินของหัวกัด (CAM) ได้ง่าย และใช้เวลากัดไม่นาน สามารถ
เก็บรายละเอียดได้พอสมควร เช่น
หากชิ้นงานมีขนาดใหญ่ต้องแบ่งเป็นชิ้นย่อยโดยชิ้นงาน
ที่เหมาะสมกับการกัด 3 แกนครึ่ง มากที่สุด ควรมีลักษณะเป็น
เสามีจุดศูนย์กลางที่ส มดุล เพราะไม่เสี่ยงต่อการบิด แตกหัก
เสียหายของชิ้นงาน ได้ชิ้นงานมีความสวยงาม ถูกต้อง ซึ่งถ้ากัด
แบบเครื่อง 3 แกน จะทาให้ไม่สามารถเก็บชิ้นงานในส่วนของ
98
เสาที่ใส่เพื่อผลิต
เสาที่ใส่เพื่อผลิต
เสาที่ใส่เพื่อผลิต
การตัดรูปนี้จากข้างต้นต้องให้ชิ้นงานที่ตัดนั้นมีลักษณะ
คล้ายเสาที่มีค วามสมดุล สามารถที่จะใส่เสาสาหรับการหมุน
เพื่อผลิตได้ ซึ่งต้องคานึงถึงขนาดที่เครื่องกัดได้และจุดที่สามารถ
ประกอบได้ง่ายด้วย
การกัดเสาลายพระขรรค์ด้วยซีเอ็นซี ดังแสดงในภาพที่
86 ซึ่ ง มี ลั ก ษณะที่ ป ระกอบด้ ว ยลวดลายทั้ ง ด้ า นหน้ า และ
ด้านหลัง ในส่วนของลายพระขรรค์และเท้าคู่หน้าของเสือ ไม่มี
Undercut ในทางเทคนิคสามารถใช้วิธีแบ่งครึ่งหน้าและหลัง
กัดแยกด้วยวิธี 3 แกน และนามาประกอบกันได้ แต่การประกอบ
ชิ้นงานทาให้เกิดรอยต่อและการวางแนวประกอบได้ยากมาก
ดังนั้น จึงทาการกัดเสาลายพระขรรค์ด้วยเทคนิคการกัดซีเอ็นซี
3 แกนครึ่ง มาใช้ในการผลิต สามารถกัดเสาลายพระขรรค์ได้
100
ภาพที่ 88 ป้ายจารึกชื่อสะพานเจริญรัชประดับด้วยลายใบไม้
แบบยุโรป
101
ป้ายจารึกชื่อสะพานเจริญรัช 31 ประดับด้วยลายใบไม้
แบบยุโ รปเป็น ชิ้น งานที่มีข นาดใหญ่ม าก มีล วดลายจารึกชื่อ
สะพานประดั บ ด้ ว ยลายใบไม้ แ บบยุ โ รปที่ เ ป็ น Undercut
เหมือนกันทั้งด้านหน้าฝั่งถนนและด้านหลังฝั่งคลอง (ภาพที่ 89)
คณะผู้วิจัยจึงทาการแบ่งชิ้นงานออกเป็นชิ้นย่อยและใช้วิธีการ
กัดแยกแต่ละชิ้นด้วยวิธี 3 แกนครึ่ง
ภาพที่ 89 การเลือกตัดป้ายจารึกชื่อสะพานเจริญรัช 31
ด้วยโปรแกรม 3 มิติ
102
เมื่อพิจารณาทางเลือกวิธีการแบ่ งชิ้นงานเป็นชิ้นย่อยๆ
แล้ว เลือกแบ่งเป็น 5 ชิ้นย่อย ตัดตรงแนวตั้งตามฐานดอกบัว
เป็นลักษณะเสา 5 แท่ง แล้วทดลองใช้การกัด 3 แกนครึ่ง ผลิต
ชิ้นงานทั้ง 5 ชิ้น พบว่าสามารถทาได้ง่ายและลดความเสียหาย
จากการบิ ด แตกหั ก โค้ ง งอของชิ้ น งาน การ Alignment
สามารถทาได้ง่าย เพราะเส้นของลวดลายที่ถูกตัดแบ่งมีความ
ชัดเจน มีหลายจุดที่สามารถเชื่อมและตรวจสอบได้ง่าย และลด
ความเสี่ยงของการคลาดเคลื่อนระหว่างลวดลายด้านหน้า และ
ด้านหลัง (ภาพที่ 90) เนื่องจากการตัดแบบนี้ทาให้การประกอบ
มีสิ่งที่ต้องคานึงถึงเพีย งแค่แกนการประกอบเดียวเท่านั้นคือ
ด้านข้างของชิ้นงาน ถ้าตัดแบ่งหน้าหลังเพื่อให้สามารถใช้เครื่อง
3 แกน ได้ จะมีแกนในการประกอบเพิ่มขึ้นมาอีกทาให้ประกอบ
ได้ยาก
103
สิ่งที่ต้องคานึงถึงอีกอย่างก็คือขนาดของชิ้นงานที่ตัด
ต้องระวังไม่ให้มีความกว้างมากเกินไปเพราะชิ้นงานที่กว้างและ
มีจุดหมุนอยู่ตรงกลางเวลาหมุนเพื่อกัดหน้าอื่นๆ อาจชนหัวกัด
ได้ดังภาพที่ 91 อีกทั้งเวลาหัวกัดเดินไปตรงที่ปลายของชิ้นงาน
ชิ้น งานจะเกิด โมเมนต์สูง มากทาให้ชิ้น งานสั่น และขยับ เป็น
อย่างมาก ทาให้กัดงานผิดพลาดได้สูงดังแสดงไว้ที่รูป 92 รวม
ไปถึงชิ้นงานที่หนักมากไปจะทาให้เกิดการตกท้องช้างได้
ภาพที่ 91 ปัญหาเมื่อชิ้นงานกว้างเกินไปเวลาหมุน
จะเกิดการชนหัวกัด
104
หมุน 90 องศา
ชน
จุดหมุน
ภาพที่ 92 ปัญหาเมื่อชิ้นงานกว้างเกินไป
(ก) กัดชิ้นงานใกล้จุดหมุนเกิดโมเมนต์ไม่มากนัก
(ข) กัดชิ้นงานไกลจากจุดหมุนเกิดโมเมนต์มากจนชิ้นงานขยับ
แต่ถ้าจาเป็นต้องกัดชิ้นงานที่มีขนาดใหญ่ หรือมีความ
กว้างที่มาก ควรที่จะต้องมีแม่แรงมาวางเพื่อพยุงชิ้นงานไม่ให้
ขยับเนื่องจากแรงของโมเมนต์ และไม่ให้ตกท้องช้างในชิ้นงานที่
หนักมากเกินไป
105
ภาพที่ 94 ส่วนป้ายจารึกชื่อสะพานเจริญรัช 31
หลังการตกแต่งโดยช่างฝีมือ
106
ครีบรับแรง
คณะผู้วิจัยจึงทาการกัดเสือโดยใช้เทคนิค 3 แกนครึ่ง
และเนื่องจากความโค้งเว้าไม่สมดุลของตัวเสือป่าทาให้จาเป็น
ต้องเพิ่มเติมครีบ เพื่อประคองสมดุลชิ้น งานไม่ให้แตกหักจาก
น้าหนักและแรงต่าง ๆ โดยเฉพาะแรงบิดเมื่อทาการหมุนชิ้นงาน
เพื่อกัดด้านอื่น ๆ โดยครีบที่เพิ่มเข้าไปนั้นจะต้องอยู่ในส่วนที่
สามารถนาไปตัดทิ้งภายหลังและตกแต่งได้ง่ายดังแสดงในภาพที่
96
108
ภาพที่ 96 ปัญหางานกัดหักที่เกิดจากการไม่ใส่ครีบรับแรง
อกสารอ้างอิง