Professional Documents
Culture Documents
3418013TM คู่มือครูชีววิทยา ม4ล2 (221221)
3418013TM คู่มือครูชีววิทยา ม4ล2 (221221)
Teacher Script
ชีววิทยา ม. 4
ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 4
ตามผลการเรียนรู เล่ม 2
กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560)
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผูเรียบเรียงคูมือครู บรรณาธิการคูมือครู
นางจิตรา สังขเกื้อ นางสาววราภรณ ทวมดี
นางสาวฐนิสา หวั่งประดิษฐ นายชัยทัศน บุญจันทร
พิมพครั้งที่ 4
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติ
รหัสสินคา 3448022
คํ า แนะนํ า การใช้
คูมือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ชีววิทยา
ม.4 เลม 2 จัดทําขึ้นสําหรับใหครูผูสอนใชเปนแนวทางวางแผน
การจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและ
การประกันคุณภาพผูเรียนตามนโยบายของสํานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
เพ เพทโดยเลือก Trim
ิ่ม คําแนะนําการใช ชวยสรางความเขาใจ เพื่อใชคูมือครูได
อยางถูกตองและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน โซน 1
ิ่ม คําอธิบายรายวิชา แสดงขอบขายเนื้อหาสาระของรายวิชา
เพ ขัน้ นํา
การถายทอด
กระตุน ความสนใจ
ซึ่งครอบคลุมผลการเรียนรูตามที่หลักสูตรกําหนด 1. ครูแจงผลการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรู
4
หน่วยการเรียนรู้ที่
ใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน
3. ครูใชคําถาม Big Question เพื่อกระตุนความ
สนใจของนักเรียนวา เพราะเหตุใด บุคคลใน
ทางพันธุกรรม
ิ่ม Pedagogy ชวยสรางความเขาใจในกระบวนการออกแบบ
เพ
ครอบครัวจึงมีลักษณะตาง ๆ คลายคลึงกัน ผลการเรียนรู้ หากสังเกตบุคคลในครอบครัว จะเห็นว่าเรามีบางลักษณะ
4. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา หากสังเกตบุคคลใน 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และสรุปการ ที่คล้ายคลึงกับพ่อแม่ พี่น้อง หรือบุคคลต่าง ๆ ในเครือญาติ
ทดลองของเมนเดลได้ แต่หากสังเกตผู้คนรอบ ๆ ตัว จะเห็นถึงความแตกต่างและ
ครอบครัวจะเห็นวามีบางลักษณะที่คลายคลึง
การจัดการเรียนการสอนแบบ Active Learning ไดอยางมี กับพอแม พีน่ อ ง หรือบุคคลในเครือญาติ แตหาก
2. อธิ บ ายและสรุ ป กฎแห่ ง การแยก
และกฎแห่งการรวมกลุม่ อย่างอิสระ
และน�ากฎของเมนเดลนี้ไปอธิบาย
ความหลากหลายต่าง ๆ ทั้งลักษณะสีตา สีผิว สีผม ซึ่งลักษณะ
เหล่านี้ล้วนเกิดจากการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจาก
สังเกตผูคนรอบ ๆ ตัว จะเห็นความแตกตาง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ประสิทธิภาพ ของลักษณะตาง ๆ ทัง้ ลักษณะสีตา สีผวิ สีผม
และใช้ในการค�านวณโอกาสในการ
เกิ ด ฟี โ นไทป์ แ ละจี โ นไทป์ แ บบ
รุน่ หนึง่ ไปสูอ่ กี รุน่ หนึง่ ท�าให้เกิดการแสดงออกของลักษณะต่าง ๆ
ที่เหมือนและแตกต่างกันออกไป
ซึง่ ลักษณะตาง ๆ เหลานีเ้ กิดจากการถายทอด ต่าง ๆ ของรุ่น F1 และ F2 ได้
3. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ อธิบาย
เพ
ทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของ
มีการแสดงออกของลักษณะตาง ๆ ที่เหมือน พันธุศาสตร์เมนเดลได้
และแตกตางกันออกไป 4. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ และเปรียบ
เทียบลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ กี าร
จั ด การเรี ย นการสอนทั้ ง หมดของรายวิ ช าก อ นที่ จ ะลงมื อ แปรผันไม่ต่อเนื่องและลักษณะทาง
พันธุกรรมทีม่ กี ารแปรผันต่อเนือ่ งได้
5. อธิบายการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม
สอนจริง
และยกตัวอย่างลักษณะทางพันธุ-
กรรมทีถ่ กู ควบคุมด้วยยีนบนออโตโซม
และยีนบนโครโมโซมเพศได้
ผูเรียนใหมีทักษะที่จําเปนสําหรับการเรียนรูและการดํารงชีวิต โซน 3
ในโลกแหงศตวรรษที่ 21
ิ่ม โซน 2
เพ STEM Project แนวทางการจัดการเรียนการสอนใหผูเรียน T6
เกิดการเรียนรูแ ละสามารถบูรณาการความรูท างวิทยาศาสตร
เทคโนโลยี กระบวนการทางวิศวกรรม และคณิตศาสตรไปใช
เชื่อมโยงและแกปญหาในชีวิตจริง
โซน 1
โซน 3 ช่วยครูเตรียมนักเรียน
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
Prior Knowledge
สํารวจคนหา ประกอบด ว ยแนวทางสํ า หรั บ การจั ด กิ จ กรรมและ
บิดาแหงวิชาพันธุศาสตร 1. การศึกษาพันธุศาสตรของเมนเดล 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน
คือใคร มนุษย์สามารถสังเกตลักษณะต่าง ๆ ที่ถูกถ่ายทอดจาก
พ่อแม่ไปสูล่ กู หลานได้มาเป็นเวลายาวนาน เพียงแต่ยงั ไม่มคี วามรู้
ความรูเดิมของนักเรียน
2. ครูเลาประวัติของเกรเกอร โยฮันน เมนเดล
เสนอแนะแนวขอสอบ เพือ่ อํานวยความสะดวกใหแกครูผสู อน
พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เข้ามาสนับสนุน จนกระทั้งการทดลองของเกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล ใหนักเรียนทราบ
(Gregor Johann Mendel) น�าไปสู่การค้นพบทฤษฎีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต 3. ครู นํ า ภาพถั่ ว ลั น เตาและคํ า อธิ บ ายลั ก ษณะ
เกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล เป็นชาวออสเตรีย เกิดในปี
พ.ศ. 2365 บิดามารดาเป็นชาวสวน ในวัยเด็กเมนเดลมีความ
ของถั่วลันเตามาใหนักเรียนศึกษา แลวถาม
นักเรียนวา กิจกรรม 21st Century Skills
ï• เพราะเหตุ ใ ดเมนเดลจึ ง เลื อ กถั่ ว ลั น เตา
สนใจในการเรียนหนังสือมากจึงได้ไปเรียนที่โบสถ์แห่งหนึ่ง
ในกรุงบรึนน์ (Brunn) ซึ่งปัจจุบันคือเมืองเบอร์โน (Brno) ใน
สาธารณรัฐเช็ก ในเวลาต่อมาเมนเดลได้ไปศึกษาต่อที่มหา-
เปนพืชตัวอยางในการทดลองการถายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรม
กิ จ กรรมที่ ใ ห นั ก เรี ย นได ป ระยุ ก ต ใ ช ความรู ส ร า งชิ้ น งาน
วิทยาลัยเวียนนา ประเทศออสเตรีย ทางด้านฟิสกิ ส์ คณิตศาสตร์
เคมี และพฤกษศาสตร์ หลังจากส�าเร็จการศึกษาจึงกลับมาเป็น
(แนวตอบ ถั่วลันเตาเปนพืชปลูกงาย เจริญ
เติ บ โตเร็ ว และให เ มล็ ด จํ า นวนมาก หรื อ ทํ า กิ จ กรรมรวบยอดเพื่ อ ให เ กิ ด ทั ก ษะที่ จํ า เป น ใน
เปนพืชที่มีหลายพันธุ และมีลักษณะทาง
ครูสอนวิทยาศาสตร์ และได้ดัดแปลงที่ดินด้านหลังโบสถ์ให้เป็น
แปลงทดลองด้านพฤกษศาสตร์ควบคู่กับงานสอนด้านศาสนา ภาพที่ 4.1 เกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล
(พ.ศ.2365-2427)
พันธุกรรมที่แตกตางกันอยางชัดเจน อีกทั้ง
ยั ง มี ด อกประเภทดอกสมบู ร ณ เ พศ ซึ่ ง
ศตวรรษที่ 21
เมนเดลได้เริ่มศึกษาด้านพันธุศาสตร์ โดยท�าการทดลองผสมพันธุ์ถั่วลันเตาและสังเกต
ลักษณะต่าง ๆ ของถั่วลันเตาที่ถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง โดยพบว่าบางลักษณะใน สามารถเกิ ด การผสมพั น ธุ ภ ายในดอก
เดียวกัน หรือเกิดการผสมขามตนได)
รุ่นพ่อแม่จะปรากฎออกมาในรุ่นลูกเสมอ และจากการทดลองในหลาย ๆ รุ่นท�าให้เมนเดลค้นพบ
กฏเกณฑ์ส�าคัญทางพันธุศาสตร์ และสามารถอธิบายหลักการพื้นฐานของการถ่ายทอดลักษณะ
ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้ จึงท�าให้เมนเดลได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์
ขอสอบเนนการคิด
ในการศึกษาพันธุศาสตร์ เมนเดลเลือกทดลองกับถั่วลันเตา (Pisum sativum L.) เนื่องจาก
มีลักษณะที่เหมาะสมหลายประการ ดังนี้
ตัวอยางขอสอบที่มุงเนนการคิด มีทั้งปรนัย-อัตนัย พรอม
- ถั่วลันเตาเป็นพืชปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว และให้เมล็ด
จ�านวนมาก เฉลยอยางละเอียด
- ถั่วลันเตาเป็นพืชที่มีหลายพันธุ์ และมีลักษณะทาง 1
พันธุกรรมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
ขอสอบเนนการคิดแนว O-NET
- ถั่วลันเตามีดอกประเภทสมบูรณ์เพศ ซึ่งสามารถเกิด
การผสมพันธุ์ภายในดอกเดียวกัน 2(self-pollination) หรือเกิด
การผสมข้ามต้น (3cross-pollination) ได้
ภาพที่ 4.2 ลักษณะฝักและดอกของถั่วลันเตาที่แมนเดลเลือกมาศึกษา
การถ่ายทอด 3
แนวตอบ Prior Knowledge
ตัวอยางขอสอบที่มุงเนนการคิดวิเคราะห และสอดคลองกับ
ทางพันธุกรรม
เกรเกอร โยฮันน เมนเดล
แนวขอสอบ O-NET มีทั้งปรนัย-อัตนัย พรอมเฉลยอยาง
ขอสอบเนน การคิด นักเรียนควรรู ละเอียด
ข อ ใดต อ ไปนี้ ไ ม ใ ช คุ ณ สมบั ติ ข องถั่ ว ลั น เตาที่ เ หมาะสมใน 1 ลักษณะทางพันธุกรรม เปนลักษณะของสิง่ มีชวี ติ ทีถ่ า ยทอดจากรุน หนึง่ ไป
การใชเปนพืชทดลอง ยังอีกรุนหนึ่งได โดยผานทางยีนซึ่งเปนหนวยพันธุกรรมที่ควบคุมการถายทอด
1. เปนพืชที่มีหลากหลายพันธุ
2. ปลูกงายและเจริญเติบโตเร็ว
ลักษณะตาง ๆ ของสิง่ มีชวี ติ ซึง่ ยีนจะอยูบ นโครโมโซมทีอ่ ยูใ นนิวเคลียสของเซลล กิจกรรมทาทาย
2 การผสมพันธุภ ายในดอกเดียวกัน เปนการผสมพันธุร ะหวางเกสรเพศผูแ ละ
3. เปนพืชที่ใหเมล็ดจํานวนมาก
4. เปนพืชมีดอกเปนดอกแยกเพศ
เกสรเพศเมียภายในดอกเดียวกัน หรือคนละดอกแตอยูบนตนเดียวกัน
3 การผสมพันธุข า มตน เปนการผสมพันธุร ะหวางเกสรเพศผูข องพืชตนหนึง่
เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรม เพือ่ ตอยอดสําหรับนักเรียน
5. มีลักษณะที่แตกตางกันหลายลักษณะ
โซน 3
(วิเคราะหคาํ ตอบ ถัว่ ลันเตาทีเ่ มนเดลเลือกมาศึกษาเปนพืชปลูกงาย
และเกสรเพศเมียของพืชอีกตนหนึ่ง
ทีเ่ รียนรูไ ดอยางรวดเร็ว และตองการทาทายความสามารถใน
เจริญเติบโตเร็ว ใหเมล็ดจํานวนมาก มีลกั ษณะทีแ่ ตกตางกันหลาย
ลักษณะ มีดอกประเภทสมบูรณเพศ จึงงายตอการผสมภายใน
ตนเดียว หรือผสมขามตน ดังนั้น ตอบขอ 4.)
ระดับที่สูงขึ้น
โซน 2
T7 กิจกรรมสรางเสริม
เสนอแนะแนวทางการจัดกิจกรรมซอมเสริมสําหรับนักเรียนที่
ควรไดรับการพัฒนาการเรียนรู
ผลการเรียนรู้
1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และสรุปผลการทดลองของเมนเดลได้
2. อธิบาย และสรุปกฎแห่งการแยกและกฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระ และน�ำกฎของเมนเดลนี้ไปอธิบายการถ่ายทอดลักษณะทาง
พันธุกรรม และใช้ในการค�ำนวณโอกาสในการเกิดฟีโนไทป์และจีโนไทป์แบบต่าง ๆ ของรุ่น F1 และ F2 ได้
3. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ อธิบาย และสรุปเกี่ยวกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดลได้
4. สบื ค้นข้อมูล วิเคราะห์ และเปรียบเทียบลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ กี ารแปรผันไม่ตอ่ เนือ่ งและลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ กี ารแปรผันต่อเนือ่ งได้
5. อธิบายการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม และยกตัวอย่างลักษณะทางพันธุกรรมทีถ่ กู ควบคุมด้วยยีนบนออโตโซมและยีนบนโครโมโซมเพศได้
6. สืบค้นข้อมูล อธิบายสมบัติและหน้าที่ของสารพันธุกรรม โครงสร้างและองค์ประกอบทางเคมีของ DNA และสรุปการจ�ำลอง DNA ได้
7. อธิบาย และระบุขนั้ ตอนในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนและหน้าทีข่ อง DNA และ RNA แต่ละชนิดในกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนได้
8. สรุปความสัมพันธ์ระหว่างสารพันธุกรรม แอลลีล โปรตีน ลักษณะทางพันธุกรรม และเชื่อมโยงกับความรู้เรื่องพันธุศาสตร์เมนเดลได้
9. สืบค้นข้อมูล และอธิบายการเกิดมิวเทชันระดับยีนและระดับโครโมโซม สาเหตุการเกิดมิวเทชัน รวมทั้งยกตัวอย่างโรคและกลุ่มอาการ
ที่เป็นผลของการเกิดมิวเทชันได้
10. อธิบายหลักการสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมโดยใช้ดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์ได้
11. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง และอภิปรายการน�ำเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอไปประยุกต์ใช้ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม นิติวิทยาศาสตร์ การแพทย์
การเกษตร และอุตสาหกรรม และข้อควรค�ำนึงถึงด้านชีวจริยธรรมได้
12. สืบค้นข้อมูล และอธิบายเกี่ยวกับหลักฐานที่สนับสนุนและข้อมูลที่ใช้อธิบายการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตได้
13. อธิบาย และเปรียบเทียบแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของฌอง ลามาร์ก และทฤษฎีเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของ
ชาลส์ ดาร์วินได้
14. ระบุสาระส�ำคัญ และอธิบายเงือ่ นไขของภาวะสมดุลของฮาร์ด-ี ไวน์เบิรก์ ปัจจัยทีท่ ำ� ให้เกิดการเปลีย่ นแปลงความถีข่ องแอลลีลในประชากร
พร้อมทั้งค�ำนวณหาความถี่ของแอลลีลและจีโนไทป์ของประชากรโดยใช้หลักของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กได้
15. สืบค้นข้อมูล อภิปราย และอธิบายกระบวนการเกิดสปีชีส์ใหม่ของสิ่งมีชีวิตได้
รวม 15 ผลการเรียนรู้
Pedagogy
คู่มือครูรายวิชาเพิ่มเติมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ชีววิทยา ม.4 เล่ม 2 รวมถึงสือ่ การเรียนรูร ายวิชาเพิม่ เติมวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี ชีววิทยา ชั้น ม.4 ผูจัดทําไดออกแบบการสอน (Instructional Design) อันเปนวิธีการจัดการเรียนรูและ
เทคนิคการสอนที่เปยมดวยประสิทธิภาพและมีความหลากหลายใหกับผูเรียน เพื่อใหผูเรียนสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ตาม
ผลการเรียนรู รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงคของผูเ รียนทีห่ ลักสูตรกําหนดไว โดยครูสามารถนําไปใชจดั การ
เรียนรูในชั้นเรียนไดอยางมีประสิทธิภาพ ซึ่งในรายวิชานี้ ไดนํารูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es Instructional
Model) มาใชในการออกแบบการสอน ดังนี้
ดวยจุดประสงคของการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร เพื่อชวย
ุนความสนใจ
ใหผูเรียนไดพัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเปนเหตุเปนผล คิดสรางสรรค กระต
คิดวิเคราะห วิจารณ มีทักษะสําคัญในการคนควาหาความรู และมี Eennggagement
1
สาํ xploration
eEvvaluatio ล
ความสามารถในการแกปญหาอยางเปนระบบ ผูจัดทําจึงไดเลือกใช
รวจ
ผ
eE
ตรวจสอบ
n
และคนหา
รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es Instructional Model) 2
5
ซึ่งเปนขั้นตอนการเรียนรูที่มุงหมายใหผูเรียนไดมีโอกาสสราง
องคความรูด ว ยตนเองผานกระบวนการคิดและการลงมือทํา โดยใช
5Es
กระบวนการทางวิทยาศาสตรเปนเครือ่ งมือสําคัญเพือ่ พัฒนาทักษะ
bo 4 3
n
El a
tio
กระบวนการทางวิทยาศาสตร และทักษะการเรียนรูแ หงศตวรรษที่ 21 a
rat lan
ขย
รู
คว ion Exp
าม
คว
าย
ามเ าย
ขาใจ อ ธิบ
ผูจ ดั ทําเลือกใชวธิ สี อนทีห่ ลากหลาย เชน การทดลอง การสาธิต การอภิปรายกลุม ยอย เปนตน เพือ่ สงเสริมการเรียนรู
รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู (5Es Instructional Model) ใหเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งจะเนนใชวิธีสอน
โดยใชการทดลองมากเปนพิเศษ เนื่องจากเปนวิธีสอนที่มุงพัฒนาใหผูเรียนเกิดองคความรูจากประสบการณตรงโดย
การคิดและการลงมือทําดวยตนเอง อันจะชวยใหผูเรียนมีความรูและเกิดทักษะทางวิทยาศาสตรที่คงทน
7 12. สืบค้นข้อมูลและอธิบายเกี่ยวกับหลักฐานที่สนับสนุน
และข้อมูลที่ใช้อธิบายการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมี
- ท ักษะการ
สังเกต
- ต รวจแบบทดสอบ
ก่อนเรียน
- ห นังสือเรียน
ชีววิทยา ม.4
วิวัฒนาการ ชีวิตได้ - ทักษะการ - ตรวจแบบทดสอบ เล่ม 2
13. อธิบายและเปรียบเทียบแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการ ส�ำรวจค้นหา หลังเรียน - แบบฝึกหัด
ของสิ่งมีชีวิตของฌอง ลามาร์ก และทฤษฎีเกี่ยวกับ - ทักษะการ - ตรวจแบบฝึกหัด ชีววิทยา ม.4
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตของชาลส์ ดาร์วินได้ เปรียบเทียบ - ตรวจรายงาน เล่ม 2
14. ระบุสาระส�ำคัญ และอธิบายเงื่อนไขของภาวะสมดุล - ทักษะการ - ตรวจผังสรุป - PowerPoint
ของฮาร์ด-ี ไวน์เบิรก์ ปัจจัยทีท่ ำ� ให้เกิดการเปลีย่ นแปลง จ�ำแนกประเภท - ตรวจผังมโนทัศน์ ประกอบการสอน
ความถี่ของแอลลีลในประชากร พร้อมทั้งค�ำนวณ - ทักษะการ - ตรวจป้ายนิเทศ - ภาพยนตร์สารคดี
หาความถีข่ องแอลลีลและจีโนไทป์ของประชากรโดยใช้ ให้เหตุผล - ตรวจใบงาน สั้น Twig
หลักของฮาร์ด-ี ไวน์เบิรก์ ได้ - ทักษะการ - ประเมินการน�ำเสนอ
15. สืบค้นข้อมูล อภิปราย และอธิบายกระบวนการเกิด วิเคราะห์ ผลงาน
สปีชสี ใ์ หม่ของสิง่ มีชวี ติ ได้ - ทกั ษะการ - สังเกตพฤติกรรม
เชือ่ มโยง การท�ำงานรายบุคคล
- ทักษะการ 14 - สังเกตพฤติกรรม
รวบรวมข้อมูล ชั่วโมง การท�ำงานกลุ่ม
- ทักษะการ - สังเกตความมีวินัย
สรุปอ้างอิง ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
- ทักษะการคิด ในการท�ำงาน
อย่างมีเหตุผล
- ทักษะการ
น�ำความรู้ไปใช้
สารบั ญ
Chapter
Chapter Teacher
Chapter Title Overview
Concept
Script
Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การถ่ายทอดทางพันธุกรรม T2 - T3 T4 - T5 T6
• การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล T7 - T11
• กฎการแยกและกฎการรวมกลุ่มอย่างอิสระ T12 - T17
• ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของ T18 - T33
พันธุศาสตร์เมนเดล
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 T34 - T37
บรรณำนุกรม T160
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบาย และสรุปการ แบบสืบเสาะหา - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
การศึกษา ม.4 เล่ม 2 ทดลองการถ่ายทอด ความรู้ (5Es ก่อนเรียน - ท กั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
พันธุศาสตร์ - แบบฝึกหัดชีววิทยา ลักษณะของถัว่ ลันเตา Instructional - ตรวจแบบฝึกหัด ค้นหา - มุ่งมั่นใน
ของเมนเดล ม.4 เล่ม 2 ได้ (K) Model) - ตรวจผังสรุป เรื่อง - ทกั ษะการวิเคราะห์ การท�ำงาน
- PowerPoint 2. อธิบายความหมาย การศึกษาพันธุศาสตร์ - ทกั ษะการให้
3 ประกอบการสอน และยกตัวอย่างของ ของเมนเดล เหตุผล
ชั่วโมง
ลักษณะเด่น ลักษณะ - ตรวจใบงาน เรื่อง - ทกั ษะการคิดอย่าง
ด้อย ยีนเด่น ยีนด้อย การถ่ายทอดลักษณะ มีเหตุผล
แอลลีล โลคัส ถั่วลันเตาของเมนเดล
ฮอมอโลกัสโครโมโซม - สังเกตพฤติกรรม
ฟีโนไทป์ จีโนไทป์ การทำ�งานรายบุคคล
ฮอมอไซกัสจีโนไทป์ - สังเกตความมีวินัย
เฮเทอโรไซกัสจีโนไทป์ ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ความเด่นแท้ ในการทำ�งาน
ความด้อยแท้ (K)
3. เขียนการถ่ายทอด
ลักษณะพันธุกรรม
ของถั่วลันเตาตาม
การทดลองของ
เมนเดลได้ (P)
4. สนใจใฝ่รใู้ นการศึกษา (A)
แผนฯ ที่ 2 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายกฎการแยกและ แบบสืบเสาะหา - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการส�ำรวจ - มีวินัย
กฎของเมนเดล ม.4 เล่ม 2 กฎการรวมกลุ่มอย่าง ความรู้ (5Es - ต รวจกิจกรรม การแก้ ค้นหา - ใฝ่เรียนรู้
- แบบฝึกหัดชีววิทยา อิสระของเมนเดลได้ (K) Instructional โจทย์ปัญหาเรื่อง - ทกั ษะการเชือ่ มโยง - มุ่งมั่นใน
5 ม.4 เล่ม 2
- PowerPoint
2. ค�ำนวณโอกาสในการ
เกิดฟีโนไทป์และ
Model) พันธุศาสตร์เมนเดล
- ตรวจกิจกรรม การผสม
- ทกั ษะการวิเคราะห์ การท�ำงาน
- ทกั ษะการรวบรวม
ชั่วโมง
ประกอบการสอน จีโนไทป์แบบต่าง ๆ ของ พิจารณาหลายลักษณะ ข้อมูล
รุ่น F1 และ F2 ได้ (K) - ตรวจผังสรุป เรื่อง - ทกั ษะการคิดอย่าง
3. ใช้กฎการแยกหาโอกาส วิเคราะห์ความสัมพันธ์ มีเหตุผล
ของการเกิดฟีโนไทป์ ของกฎการแยกและ
และจีโนไทป์แบบต่าง ๆ กฎการร่วมกลุ่มอย่าง
ของรุน่ F1 และ F2 ของ อิสระของเมนเดลกับ
การผสมพิจาณาลักษณะ การแบ่งเซลล์ของ
เดียวได้ (K) สิ่งมีชีวิต
4. ใช้กฎการรวมกลุ่ม - ตรวจใบงาน เรื่อง กฎ
อย่างอิสระหาโอกาส การแยกของเมนเดล
ของการเกิดฟีโนไทป์ - ตรวจใบงาน เรื่อง กฎ
และจีโนไทป์แบบต่าง ๆ การรวมกลุ่มอย่าง
ของรุ่น F1 และ F2 อิสระของเมนเดล
ของการผสมพิจารณา - สังเกตพฤติกรรม
สองลักษณะได้ (K) การทำ�งานรายบุคคล
5. เขียนการถ่ายทอด - สังเกตความมีวินัย
ลักษณะพันธุกรรมตาม ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
กฎการแยกและกฎการ ในการทำ�งาน
รวมกลุ่มอย่างอิสระ
ของเมนเดลได้ (P)
6. สนใจใฝ่รใู้ นการศึกษา (A)
T2
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายการถ่ายทอด แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ท กั ษะการส�ำรวจ - มีวินัย
ลักษณะ ม.4 เล่ม 2 ลักษณะพันธุกรรมที่เป็น หาความรู้ (5Es หลังเรียน ค้นหา - ใฝ่เรียนรู้
พันธุกรรมที่เป็น - แบบฝึกหัดชีววิทยา ส่วนขยายของพันธุศาสตร์ Instructional - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการให้ - มุ่งมั่นใน
ส่วนขยายของ ม.4 เล่ม 2 เมนเดลได้ (K) Model) - ตรวจกิจกรรม ลักษณะ เหตุผล การท�ำงาน
พันธุศาสตร์ - PowerPoint ประกอบ 2. ยกตัวอย่างลักษณะ พันธุกรรมที่เป็นส่วน - ทกั ษะการเปรียบ
เมนเดล การสอน พันธุกรรมที่เป็นส่วนขยาย ขยายของพันธุศาสตร์ เทียบ
ของพันธุศาสตร์เมนเดลได้ เมนเดล - ทกั ษะการคิด
8 (K) - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง อย่างมีเหตุผล
ชั่วโมง 3. เปรียบเทียบลักษณะทาง ลักษณะพันธุกรรมที่ - ทกั ษะการน�ำ
พันธุกรรมที่มีการแปรผัน เป็นส่วนขยายของ ความรูไ้ ปใช้
ไม่ต่อเนื่องและลักษณะทาง พันธุศาสตร์เมนเดล - ทกั ษะการสรุป
พันธุกรรมที่มีการแปรผัน - ตรวจใบงาน เรื่อง ความเห็นจาก
ต่อเนื่อง (K) การถ่ายทอดลักษณะ ข้อมูล
4. ประยุกต์ใช้ความรู้จาก ของเส้นผม
การการถ่ายทอดลักษณะ - ตรวจใบงาน เรื่อง
พันธุกรรมที่เป็นส่วนขยาย การถ่ายทอดลักษณะ
ของพันธุศาสตร์เมนเดล ทางพันธุกรรมแบบ
มาหาโอกาสการเกิดลักษณะ มัลติเพิลแอลลีล
ทางพันธุกรรมต่าง ๆ ได้ (K) - ตรวจใบงาน เรื่อง การ
5. เขียนการถ่ายทอดลักษณะ ถ่ายทอดลักษณะทาง
พันธุกรรมลักษณะต่าง ๆ พันธุกรรมที่ควบคุมโดย
เป็นส่วนขยายของ ยีนบนโครโมโซมเพศ
พันธุศาสตร์เมนเดลได้ (P) - ตรวจ Unit Question
6. เขียนพันธุประวัติแสดงการ ท้ายหน่วยการเรียนรู้
ถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม ที่ 4 ในหนังสือเรียน
ภายในครอบครัวได้ (P) ชีววิทยา ม.4 เล่ม 2
7. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา (A) - ตรวจแบบทดสอบท้าย
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4
ในแบบฝึกหัดชีววิทยา
ม.4 เล่ม 2
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
T3
Chapter Concept Overview
การศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล
• เกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล ท�าการทดลองการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของถั่วลันเตา
โดยผสมถั่วลันเตาที่มีลักษณะแตกต่างกัน พบว่า ถั่วลันเตารุ่นลูกจะมีลักษณะเหมือนต้นพ่อ
หรือต้นแม่อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น และเมื่อน�ารุ่นลูกมาผสมกันเองจะได้ถั่วลันเตารุ่นหลาน
ที่มีบางต้นลักษณะเหมือนต้นพ่อ และบางต้นลักษณะเหมือนต้นแม่
• การถ่ายทอดลักษณะของถั่วลันเตามียีน (gene) ควบคุม ซึ่งประกอบด้วยแอลลีล (allele)
2 แอลลีล ซึง่ รุน่ ลูกจะได้รบั แอลลีลจากพ่อและแม่อย่างละหนึง่ แอลลีล แต่ลกั ษณะทีป่ รากฏ
ออกมาจะมีเพียงลักษณะเดียวเท่านั้น เนื่องจากแอลลีลควบคุมลักษณะเด่นจะข่มแอลลีล
ควบคุมลักษณะด้อยอยู่ โดยเรียกแอลลีลที่ควบคุมลักษณะเด่นว่า แอลลีลเด่น (dominant
allele) และเรียกแอลลีลทีค่ วบคุมลักษณะด้อยว่า แอลลีลด้อย (recessive gene) และเมือ่ ให้
รุน่ ลูกผสมกันเองจะได้รนุ่ หลานทีแ่ สดงทัง้ ลักษณะเด่นและลักษณะด้อยออกมา ซึง่ มีอตั ราส่วน
ระหว่างลักษณะเด่นต่อลักษณะด้อยเท่ากับ 3 : 1
• คู่ของแอลลีลหรือรูปแบบของยีนที่ปรากฏเป็นคู่กัน เรียกว่า จีโนไทป์ (genotype) ส่วนลักษณะ
ที่แสดงออกมา เรียกว่า ฟีโนไทป์ (phenotype)
กฎการแยกและกฎการรวมกลุ่มอย่าอิสระของเมนเดล
การศึกษาการถ่ายทอดลักษณะของถั่วลันเตา เมนเดลสามารถสรุปกฎการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมได้ 2 ข้อ ดังนี้
กฎกำรแยก กฎกำรรวมกลุ่มอย่ำงอิสระ
(lawofsegregation) (lawofindependentassortment)
มีใจความส�าคัญว่า ลักษณะของสิ่งมีชีวิตถูกควบคุมโดยยีน และ มีใจความส�าคัญว่า แอลลีลของยีนทีเ่ ป็นคูก่ นั เมือ่ แยกออกจากกัน
ยีนจะปรากฏเป็นคู่ ๆ เสมอ ซึ่งยีนจะแยกจากกันเมื่อมีการสร้าง จะจัดกลุ่มกันอย่างอิสระกับแอลลีลของยีนอื่น ๆ ซึ่งแยกออกจาก
เซลล์สืบพันธุ์ โดยเซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์จะได้รับเพียงแอลลีล คู่เช่นกันเพื่อเข้าไปยังเซลล์สืบพันธุ์
ใดแอลลีลหนึ่ง
T4
หน่วยการเรียนรู้ที่ 4
ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล
การถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมของเมนเดล เป็นการถ่ายทอดลักษณะทีค่ วบคุมด้วยยีนเพียงยีนเดียวหรือสองแอลลีลเท่านัน้ ซึง่ แอลลีลเด่น
จะข่มแอลลีลด้อยอย่างสมบูรณ์ แต่การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะไม่ได้ถูกควบคุมการแสดงออกตากฎของเมนเดล ดังนี้
• การข่มไม่สมบูรณ์ (incomplete dominant) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมทีถ่ กู ควบคุมด้วย
ยีนเดียว แต่แอลลีลไม่ได้มลี กั ษณะเด่นหรือด้อยอย่างสมบูรณ์ เช่น สีดอกของต้นลิน้ มังกร
ถูกควบคุมด้วยแอลลีล 2 แอลลีล คือ แอลลีล R ควบคุมดอกลิน้ มังกรสีแดง และแอลลีล
Rʹ ควบคุมดอกลิน้ มังกรสีขาว ดังนัน้ จีโนไทป์แบบ RR แสดงดอกลิน้ มังกรสีแดง จีโนไทป์
RR RRʹ R ʹR ʹ
แบบ RRʹ แสดงดอกลิ้นมังกรสีชมพู และจีโนไทป์แบบ RʹRʹ แสดงดอกลิ้นมังกรสีขาว
• ความเด่นร่วม (codominant) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูกควบคุมด้วยยีนเดียว
แต่แอลลีลสองแอลลีลไม่ข่มซึ่งกันแหละกัน แต่แสดงลักษณะเด่นออกมาเท่ากัน เช่น
หมู่เลือด AB ในระบบ ABO
• มัลติเพิลแอลลีล (multiple allele) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูกควบคุมด้วยแอลลีลมากกว่า 2 แอลลีล เช่น หมู่เลือดระบบ ABO
ประกอบด้วยแอลลีล IA IB เป็นแอลลีลเด่น และ i เป็นแอลลีลด้อย ดังนัน้ จีโนไทป์แบบ IAIA IAi จะแสดงหมูเ่ ลือด A จีโนไทป์แบบ IBIB IBi
จะแสดงหมู่เลือด B จีโนไทป์แบบ IAIB จะแสดงหมู่เลือด AB และโนไทป์แบบ ii
จะแสดงหมู่เลือด O
• พอลิยีน (polygene) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูกควบคุมด้วยยีนหลายยีน และมี
สิง่ แวดล้อมมาเกีย่ วข้อง เช่น สีตา ซึง่ เมือ่ ได้รบั แอลลีลเด่นทีส่ ร้างเมลานินมาก จะท�ำให้ตา
มีสนี ำ�้ ตาลเข้มจนถึงน�ำ้ ตาลอ่อน แต่ถา้ ได้รบั แอลลีลด้อยทีไ่ ม่มกี ารสร้างเมลานิน จะท�ำให้
ตามีสีนำ�้ ตาลอ่อนจนถึงฟ้า
• ยนี บนโครโมโซมเพศ เป็นลักษณะทางพันธุกรรมทีถ่ กู ควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซมเพศ จึงแสดงออกในเพศชายและเพศหญิงได้แตกต่างกัน
เพราะมีโครโมโซมเพศต่างกัน เช่น ลักษณะตาบอดสีเขียวแดงถูกควบคุมด้วยแอลลีลด้อยที่อยู่บนโครโมโซม X ซึ่งหากเพศชายได้
รับแอลลีลด้อยมาจะแสดงอาการตาบอดสีทันที เพราะมีโครโมโซม X เพียงแท่งเดียว แต่ส�ำหรับเพศหญิง ต้องได้รับแอลลีลด้อยทั้ง
2 แอลลีล ถึงจะแสดงอาการตาบอดสี และหากได้รับเพียงแอลลีลเดียวจะเป็นแค่พาหะของลักษณะตาบอดสี
• ยีนบนโครโมโซมเดียวกัน เป็นลักษณะ • ลกั ษณะภายใต้อทิ ธิพลเพศ เป็นลักษณะ • ลักษณะที่จ�ำกัดในเพศ เป็นลักษณะ
ทางพันธุกรรมที่ถูกควบคุมด้วยยีนบน พันธุกรรมที่อยู่บนโครโมโซมร่างกาย พันธุกรรมที่อยู่บนโครโมโซมร่างกาย
โครโมโซมเดียวกัน และยีนสามารถจะ แต่มกี ารแสดงออกแตกต่างกันในแต่ละ แต่แสดงออกในเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น
ถูกถ่ายทอดไปพร้อมกันได้ เรียนยีนที่ เพศ เช่น ลักษณะศีรษะล้าน จะเป็น เช่น ลักษณะขนหางของไก่เพศผู้จะมี
ถ่ายทอดไปด้วยกันเหล่านี้ว่า ลิงค์เกจ แอลลีลเด่นในเพศชาย เมือ่ ได้รบั แอลลีล ทั้งแบบขนสั้นและขนยาว ขึ้นอยู่กับ
(linkage) เช่น ยีนควบคุมลักษณะสีตัว ควบคุมศีรษะล้านมาเพียงแอลลีลเดียว แอลลีลที่ได้รับ แต่ส�ำหรับขนหางของ
และลักษณะปีกของแมลงหวี่สามารถ จะแสดงอาการศีรษะล้านทันที แต่จะ ไก่เพศเมียจะมีขนหางสัน้ เท่านัน้ ไม่วา่
ถ่ายทอดไปพร้อมกัน เป็นแอลลีลด้อยในเพศหญิง ซึง่ ต้องได้รบั จะรับแอลลีลแบบใดก็ตาม
แอลลีลควบคุมศีรษะล้านทั้ง 2 แอลลีล
จึงจะแสดงลักษณะศีรษะล้าน
T5
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
การถายทอด
กระตุน ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรู
4
หน่วยการเรียนรู้ที่
ใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน
3. ครูใชคําถาม Big Question เพื่อกระตุนความ
สนใจของนักเรียนวา เพราะเหตุใด บุคคลใน
ทางพันธุกรรม
ครอบครัวจึงมีลักษณะตางๆ คลายคลึงกัน ผลการเรียนรู้ หากสังเกตบุคคลในครอบครัว จะเห็นว่าเรามีบางลักษณะ
4. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา หากสังเกตบุคคลใน 1. สืบค้นข้อมูล อธิบาย และสรุปการ ที่คล้ายคลึงกับพ่อแม่ พี่น้อง หรือบุคคลต่าง ๆ ในเครือญาติ
ทดลองของเมนเดลได้ แต่หากสังเกตผู้คนรอบ ๆ ตัว จะเห็นถึงความแตกต่างและ
ครอบครัวจะเห็นวามีบางลักษณะที่คลายคลึง 2. อธิ บ ายและสรุ ป กฎแห่ ง การแยก
และกฎแห่งการรวมกลุม่ อย่างอิสระ ความหลากหลายต่าง ๆ ทั้งลักษณะสีตา สีผิว สีผม ซึ่งลักษณะ
กับพอแม พีน่ อ ง หรือบุคคลในเครือญาติ แตหาก และน�ากฎของเมนเดลนี้ไปอธิบาย เหล่านี้ล้วนเกิดจากการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจาก
สังเกตผูคนรอบๆ ตัว จะเห็นความแตกตาง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
รุน่ หนึง่ ไปสูอ่ กี รุน่ หนึง่ ท�าให้เกิดการแสดงออกของลักษณะต่าง ๆ
และใช้ในการค�านวณโอกาสในการ
ของลักษณะตางๆ ทัง้ ลักษณะสีตา สีผวิ สีผม เกิ ด ฟี โ นไทป์ แ ละจี โ นไทป์ แ บบ ที่เหมือนและแตกต่างกันออกไป
ซึง่ ลักษณะตางๆ เหลานีเ้ กิดจากการถายทอด ต่าง ๆ ของรุ่น F1 และ F2 ได้
3. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ อธิบาย
ทางพันธุกรรมจากรุน หนึง่ ไปสูอ กี รุน หนึง่ ทําให และสรุ ป เกี่ ย วกั บ การถ่ า ยทอด
ทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของ
มีการแสดงออกของลักษณะตางๆ ที่เหมือน พันธุศาสตร์เมนเดลได้
และแตกตางกันออกไป 4. สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์ และเปรียบ
เทียบลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ กี าร
แปรผันไม่ต่อเนื่องและลักษณะทาง
พันธุกรรมทีม่ กี ารแปรผันต่อเนือ่ งได้
5. อธิบายการถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม
และยกตัวอย่างลักษณะทางพันธุ-
กรรมทีถ่ กู ควบคุมด้วยยีนบนออโตโซม
และยีนบนโครโมโซมเพศได้
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอน เรือ่ ง การถายทอดทางพันธุกรรม ครูควรเนนการใชภาพ
สื่อดิจิทัล หรือแบบจําลองตางๆ เพื่อชวยใหนักเรียนเกิดความเขาใจไดงายขึ้น
รวมถึงควรเนนใหนักเรียนไดฝกทําโจทยเพื่อทํานายการถายทอดลักษณะทาง
พันธุกรรมตางๆ ของสิ่งมีชีวิต เชน ลักษณะทางพันธุกรรมที่ถายทอดทาง
โครโมโซมรางกายและโครโมโซมเพศ ความผิดปกติของโรคทางพันธุกรรมที่
ควบคุมดวยโครโมโซมรางกายและโครโมโซมเพศ เปนตน
T6
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Prior Knowledge
บิดาแหงวิชาพันธุศาสตร 1. การศึกษาพันธุศาสตรของเมนเดล 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน
คือใคร ความรูเดิมของนักเรียน
มนุษย์สามารถสังเกตลักษณะต่าง ๆ ที่ถูกถ่ายทอดจาก
พ่อแม่ไปสูล่ กู หลานได้มาเป็นเวลายาวนาน เพียงแต่ยงั ไม่มคี วามรู้ 2. ครูเลาประวัติของเกรเกอร โยฮันน เมนเดล
พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เข้ามาสนับสนุน จนกระทั้งการทดลองของเกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล ใหนักเรียนทราบ
(Gregor Johann Mendel) น�าไปสู่การค้นพบทฤษฎีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต 3. ครู นํ า ภาพถั่ ว ลั น เตาและคํ า อธิ บ ายลั ก ษณะ
ของถั่วลันเตามาใหนักเรียนศึกษา แลวถาม
เกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล เป็นชาวออสเตรีย เกิดในปี
นักเรียนวา
พ.ศ. 2365 บิดามารดาเป็นชาวสวน ในวัยเด็กเมนเดลมีความ
สนใจในการเรียนหนังสือมากจึงได้ไปเรียนที่โบสถ์แห่งหนึ่ง ï• เพราะเหตุ ใ ดเมนเดลจึ ง เลื อ กถั่ ว ลั น เตา
ในกรุงบรึนน์ (Brunn) ซึ่งปัจจุบันคือเมืองเบอร์โน (Brno) ใน เปนพืชตัวอยางในการทดลองการถายทอด
สาธารณรัฐเช็ก ในเวลาต่อมาเมนเดลได้ไปศึกษาต่อที่มหา- ลักษณะทางพันธุกรรม
วิทยาลัยเวียนนา ประเทศออสเตรีย ทางด้านฟิสกิ ส์ คณิตศาสตร์ (แนวตอบ ถั่วลันเตาเปนพืชปลูกงาย เจริญ
เคมี และพฤกษศาสตร์ หลังจากส�าเร็จการศึกษาจึงกลับมาเป็น เติ บ โตเร็ ว และให เ มล็ ด จํ า นวนมาก
ครูสอนวิทยาศาสตร์ และได้ดัดแปลงที่ดินด้านหลังโบสถ์ให้เป็น เปนพืชที่มีหลายพันธุ และมีลักษณะทาง
แปลงทดลองด้านพฤกษศาสตร์ควบคู่กับงานสอนด้านศาสนา ภาพที่ 4.1 เกรเกอร์ โยฮันน์ เมนเดล พันธุกรรมที่แตกตางกันอยางชัดเจน อีกทั้ง
(พ.ศ.2365-2427)
เมนเดลได้เริ่มศึกษาด้านพันธุศาสตร์ โดยท�าการทดลองผสมพันธุ์ถั่วลันเตาและสังเกต ยั ง มี ด อกประเภทดอกสมบู ร ณ เ พศ ซึ่ ง
ลักษณะต่าง ๆ ของถั่วลันเตาที่ถ่ายทอดจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง โดยพบว่าบางลักษณะใน สามารถเกิ ด การผสมพั น ธุ ภ ายในดอก
รุ่นพ่อแม่จะปรากฎออกมาในรุ่นลูกเสมอ และจากการทดลองในหลาย ๆ รุ่นท�าให้เมนเดลค้นพบ เดียวกัน หรือเกิดการผสมขามตนได)
กฏเกณฑ์ส�าคัญทางพันธุศาสตร์ และสามารถอธิบายหลักการพื้นฐานของการถ่ายทอดลักษณะ
ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้ จึงท�าให้เมนเดลได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งวิชาพันธุศาสตร์
ในการศึกษาพันธุศาสตร์ เมนเดลเลือกทดลองกับถั่วลันเตา (Pisum sativum L.) เนื่องจาก
มีลักษณะที่เหมาะสมหลายประการ ดังนี้
- ถั่วลันเตาเป็นพืชปลูกง่าย เจริญเติบโตเร็ว และให้เมล็ด
จ�านวนมาก
- ถั่วลันเตาเป็นพืชที่มีหลายพันธุ์ และมีลักษณะทาง 1
พันธุกรรมที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน
- ถั่วลันเตามีดอกประเภทสมบูรณ์เพศ ซึ่งสามารถเกิด
การผสมพันธุ์ภายในดอกเดียวกัน 2(self-pollination) หรือเกิด
การผสมข้ามต้น (3cross-pollination) ได้
ภาพที่ 4.2 ลักษณะฝักและดอกของถั่วลันเตาที่แมนเดลเลือกมาศึกษา
การถ่ายทอด 3
ทางพันธุกรรม แนวตอบ Prior Knowledge
เกรเกอร โยฮันน เมนเดล
T7
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า ลั ก ษณะของ เมนเดลได้คัดเลือกลักษณะของถั่วลันเตา 7 ลักษณะที่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ถั่วลันเตาที่เหมาะสมตอการเปนพืชตัวอยาง ในการทดลองการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ดังนี้
เพราะถัว่ ลันเตาเปนพืชปลูกงาย เจริญเติบโตเร็ว
ตารางที่ 4.1 : เปรียบเทียบถั่วลันเตา 7 ลักษณะที่เมนเดลเลือกมาศึกษา
ใหเมล็ดจํานวนมาก เปนพืชที่มีหลายพันธุ
สีดอก ต�าแหน่ง สีเมล็ด ลักษณะของ ลักษณะ สีของฝก ความสูง
และมี ลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรมที่ แ ตกต า งกั น ของดอก เมล็ด ของฝก ของต้น
อยางชัดเจน มีดอกประเภทดอกสมบูรณเพศ สีม่วง กิ่ง สีเหลือง กลม อวบ สีเขียว ต้นสูง
จึงสามารถเกิดการผสมพันธุภ ายในดอกเดียวกัน
หรื อ เกิ ด การผสมข า มต น ได พร อ มระบุ
ลักษณะที่เมนเดลเลือกมาศึกษาทั้ง 7 ลักษณะ สีขาว ยอด สีเขียว ขรุขระ แฟบ สีเหลือง ต้นเตี้ย
ได แ ก สี ด อก ตํ า แหน ง ของดอก สี เ มล็ ด
ลักษณะของเมล็ด ลักษณะของฝก สีของฝก
และความสูงของลําตน
เกสรเพศผู้ เกสรเพศเมีย
อธิบายความรู
เมนเดลผสมพันธุถ์ วั่ ลันเตา
ภายในดอกเดียวกันหลาย ๆ รุ่น
ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ จนแน่ใจว่าทุกลักษณะทีเ่ ลือกมา
ลักษณะของถั่วลันเตาที่เหมาะสมในการใชเปน รุ่นพ่อแม่ (P) ศึกษาเป็นพันธุแ์ ท้ และคัดเลือก
พืชตัวอยางการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ต้ น พ่ อ และต้ น แม่ ที่ มี ลั ก ษณะ
ของเมนเดล แตกต่ า งกั น มาผสมกั น โดย
พิจารณาการผสมทีละลักษณะ
รุ่นลูก (F1) ภาพที่ 4.3 การผสมพันธุ์ถั่วลันเตา เช่น ลักษณะดอกสีม่วงกับดอก
ดอกสีม่วงกับดอกสีขาว สีขาว เป็นต้น ซึ่งต้นถั่วลันเตา
ที่น�ามาผสมกันนี้เรียกว่า รุ่นพ่อแม่ (parental generation) หรือ รุ่น P และต้นถั่วลันเตาต้นใหม่ที่
ได้จากการผสมพันธุ์เรียกว่า รุ่นลูก (first filial generation) หรือ รุ่น F1
จากการทดลองข้างต้น เมนเดลเกิดข้อสงสัยว่า “เพราะเหตุใดดอกถั่วลันเตาในรุ่น F1 จึงมี
สีมว่ งทัง้ หมด และไม่ปรากฏถัว่ ลันเตาดอกสีขาวออกมา” ซึง่ ในเวลาต่อมาเมนเดลท�าการทดลองต่อ
โดยผสมถั่วลันเตาดอกสีม่วงรุ่น F1 ด้วยกันเอง ได้ถั่วลันเตารุ่นหลาน (second filial generation)
หรือ รุ่น F2 แล้วบันทึกผลลักษณะต่าง ๆ ของรุ่น F2 และหาอัตราส่วนของลักษณะในแต่ละคู่ เช่น
ลักษณะสีดอกของถั่วลันเตาในรุ่น F2 ที่ได้ทั้งหมด 929 ต้น ประกอบด้วยต้นที่มีดอกสีม่วงจ�านวน
705 ต้น และดอกสีขาวจ�านวน 224 ต้น ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วนระหว่างต้นที่มีดอกสีม่วงต่อดอก
สีขาวเป็น 3.15 : 1 เป็นต้น รวมถึงบันทึกผลการทดลองทีไ่ ด้จากลักษณะอืน่ ๆ อีก 6 ลักษณะเช่นกัน
4
T8
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
T9
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
6. ครูใหนักเรียนกลับไปศึกษาตารางที่ 4.2 เพื่อ จากตาราง พบว่า อัตราส่วนรุ่น F2 ของทุกลักษณะจะใกล้เคียงกันที่ 3 : 1 เมนเดลจึงสรุปว่า
ศึกษาวาลักษณะใดของถั่วลันเตาเปนลักษณะ การถ่ายทอดลักษณะของถั่วลันเตาต้องมีหน่วยควบคุมหรือแฟกเตอร์ (factor) โดยแฟกเตอร์จะ
เดน และลักษณะใดเปนลักษณะดอย ปรากฏเป็นคู่ ๆ ในรุ่นพ่อแม่และถ่ายทอดไปยังรุ่นลูก ซึ่งจะปรากฏเป็นคู่ ๆ เช่นกัน เช่น รุ่นพ่อแม่
7. ครูถามคําถามนักเรียนวา มีแฟกเตอร์ดอกสีม่วง 1 คู่ และดอกสีขาว 1 คู่ เมื่อผสมพันธุ์ได้รุ่นลูก F1 จะปรากฏแฟกเตอร์
ï• ลักษณะใดของถั่วลันเตาเปนลักษณะเดน 1 คู่ ประกอบด้วย แฟกเตอร์ดอกสีม่วง 1 แฟกเตอร์ และดอกสีขาว 1 แฟกเตอร์ แต่ลักษณะ
และลักษณะใดเปนลักษณะดอย
ที่แสดงออกมาเป็นแฟกเตอร์ดอกสีม่วงเท่านั้น เนื่องจากจะมีลักษณะเพียงลักษณะเดียวของ
(แนวตอบ ลักษณะทีเ่ ปนลักษณะเดน คือ ตนสูง
แฟกเตอร์ใดแฟกเตอร์หนึ่งเท่านั้นที่ปรากฏออกมา โดยลักษณะที่แสดงออกมาในรุ่น F1 จะเป็น
ฝกอวบ เมล็ดกลม เมล็ดสีเขียว ดอกออกทีก่ งิ่
ลักษณะเด่น (dominant trait) และลักษณะที่ไม่แสดงออกในรุ่น F1 แต่จะแสดงออกในรุ่น F2
ดอกสีมว ง และฝกสีเขียว สวนลักษณะทีเ่ ปน
ลักษณะดอย คือ ตนเตีย้ ฝกแฟบ เมล็ดขรุขระ จะเป็นลักษณะด้อย (recessive trait) ดังนั้น การปรากฏลักษณะดอกสีขาวในรุ่น F2 จึงเป็น
เมล็ดสีเขียว ดอกออกที่ยอด ดอกสีขาว หลักฐานว่าแฟกเตอร์ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมของดอกสีขาวไม่ได้หายหรือถูกท�าลายลงในรุ่น F1
และฝกสีเหลือง) แต่ถกู ซ่อนไม่ให้แสดงออกเมือ่ ปรากฏพร้อมกับแฟกเตอร์ทถี่ า่ ยทอดทางพันธุกรรมของดอกสีมว่ ง
8. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา แอลลีลควบคุม รวมทั้งผลการทดลองของลักษณะอื่นก็ให้ผลการทดลองเช่นเดียวกัน
ลักษณะเดน เรียกวา แอลลีลเดน ซึง่ สามารถแสดง ภายหลังการทดลองของเมนเดล มีนักวิทยาศาสตร์อีกหลายท่านศึกษาเพิ่มเติม และใน
ลักษณะออกมาแมจะมีเพียงแคแอลลีลเดียว ปี พ.ศ. 2452 วิลเฮล์ม โจแฮนเซน (Wilhelm Johansen) นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์กได้เปลี่ยน
1
ส ว นแอลลี ล ที่ ค วบคุ ม ลั ก ษณะด อ ยเรี ย กว า ค�าว่าแฟกเตอร์มาใช้ค�าว่า ยีน (gene) ซึ่งเป็นต�าแหน่งของหน่วยพันธุกรรม และมีรูปแบบของยีน
แอลลีลดอย ซึ่งจะแสดงลักษณะออกมาก็ตอ ที่ก�าหนดลักษณะ เรียกว่า แอลลีล (allele) โดยเรียกแอลลีลที่ควบคุมลักษณะเด่นว่า แอลลีลเด่น
เมื่อแอลลีลทั้งคูเปนแอลลีลดอย (dominant allele) และแอลลีลทีค่ วบคุมลักษณะด้อยว่า แอลลีลด้อย (recessive allele) โดยลักษณะ
9. ครูถามคําถามทาทายการคิดขั้นสูง (H.O.T.S.) ที่ถูกควบคุมด้วยแอลลีลด้อยจะไม่แสดงออกเมื่อคู่กับแอลลีลเด่น เช่น ลักษณะดอกถั่วลันเตาใน
กับนักเรียน รุ่น F1 จะแสดงออกเพียงลักษณะดอกสีม่วงเท่านั้น จะไม่แสดงลักษณะดอกสีขาวออกมา แม้จะมี
แอลลีลควบคุมลักษณะดอกสีขาวก็ตาม เนือ่ งจากแอลลีลควบคุมลักษณะดอกสีมว่ งเป็นแอลลีลเด่น
อธิบายความรู จึงข่มแอลลีลควบคุมลักษณะดอกสีขาวที่เป็นแอลลีลด้อย เป็นต้น
ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ สิ่งมีชีวิตมียีนควบคุมลักษณะต่าง ๆ เป็นจ�านวนมาก
H. O. T. S.
ลักษณะของถั่วลันเตาที่เหมาะสมในการใชเปน เช่น มนุษย์มีโครโมโซม 46 แท่ง แต่มียีนมากถึง 25,000 ยีน คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
พืชตัวอยางการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม แสดงว่าโครโมโซม 1 แท่งจะมียีนปรากฏอยู่เป็นจ�านวนมาก เพราะเหตุ ใ ด
ของเมนเดล ซึง่ การควบคุมลักษณะใดลักษณะหนึง่ มักมียนี ควบคุมเป็นคู่ โดย เซลล์
ยีนจ�เายือ่ นวนมาก
บุขา้ งแก้ม
ยีนที่เข้าคู่กันจะปรากฏบนโครโมโซมที่เป็นคู่กันและมีลักษณะ จึงบรรจุอยู่บน
เหมือนกัน เรียกโครโมโซมที่เป็นคู่กันว่า ฮอมอโลกัสโครโมโซม โครโมโซมเดี ย วกั น
แนวตอบ H.O.T.S.
(homologous chromosome) และจะมีตา� แหน่งของยีนทีม่ แี อลลีล
โครโมโซมของสิ่ ง มี ชี วิ ต ชนิ ด หนึ่ ง ๆ จะมี อยู่ในสภาพเป็นคู่กันบนโครโมโซม และต�าแหน่งของยีนจะ
จํานวนจํากัด แตสิ่งมีชีวิตจะมีลักษณะตางๆ เปน เรียกว่า โลคัส (locus พหูพจน์ loci)
จํานวนรอยหรือพันลักษณะ ซึ่งลักษณะเหลานี้ถูก 6
กําหนดขึน้ ดวยยีน ทําใหยนี ทีค่ วบคุมลักษณะตางๆ
จํานวนมากถูกบรรจุอยูบนโครโมโซมเดียวกัน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
โลคัส
1. ครูใหนกั เรียนศึกษาการถายทอดลักษณะสีดอกของ
ถัว่ ลันเตา โดยแอลลีล P ควบคุมลักษณะดอกสีมว ง
ฮอมอโลกัส
โครโมโซม
แอลลีล และแอลลีล p ควบคุมลักษณะดอกสีขาว
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา คูของแอลลีลหรือ
รูปแบบของยีนทีป่ รากฏเปนคู ๆ บนฮอมอโลกัส
ภาพที่ 4.4 โลคัสของยีนที่เป็นแอลลีลกันบนฮอมอโลกัสโครโมโซม โครโมโซม เรียกวา จีโนไทป ซึ่งสามารถพบทั้ง
การศึกษาลักษณะสีดอกของถั่วลันเตา หากก�าหนดให้ P เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะ แบบฮอมอไซกัสจีโนไทปที่มีแอลลีล 2 แอลลีล
ดอกสีมว่ งและ p เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะดอกสีขาว ซึง่ ในรุน่ F1 จะได้ลกู ทีม่ ลี กั ษณะดอกสีมว่ ง เหมือนกัน และแบบเฮอเทอโรไซกัสจีโนไทป
ทั้งหมดหรือมีจีโนไทป์ (คู่แอลลีลของยีน) เป็น Pp แสดงว่ายีน P เป็นแอลลีลกับยีน p และเมื่อมี ที่มีแอลลีล 2 แอลลีลตางกัน สวนลักษณะ
การผสมรุ่น F1 ด้วยกันเอง จะได้รุ่น F2 ซึ่งมีโอกาสปรากฏรูปแบบของจีโนไทป์ได้ 3 รูปแบบ คือ ที่ปรากฏออกมา เรียกวา ฟโนไทป
PP Pp และ pp โดย PP และ Pp จะแสดงลักษณะดอกสีม่วง แต่ pp จะแสดงลักษณะดอกสีขาว
อธิบายความรู
ออกมา
คูข่ องแอลลีลหรือรูปแบบของยีนทีป่ รากฏเป็นคูก่ นั เรียกว่า จีโนไทป์ (genotype) โดยจีโนไทป์ 1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
ที่มีแอลลีล 2 แอลลีลเหมือนกันเรียกว่า ฮอมอไซกัสจีโนไทป์ (homozygous genotype) หรือ จีโนไทป และฟโนไทปของถั่วลันเตา
เรียกว่าเป็นพันธุแ์ ท้ ซึง่ สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 2 แบบ คือ ความเด่นแท้ (homozygous dominant) 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การถายทอด
เป็นจีโนไทป์ที่มีแอลลีลเด่นทั้งหมด เช่น PP เป็นต้น และความด้อยแท้ (homozygous recessive) ลักษณะถั่วลันเตาของเมนเดล
เป็นจีโนไทป์ทมี่ แอลลีลด้อยทัง้ หมด เช่น pp เป็นต้น ส่วนจีโนไทป์ทมี่ แี อลลีล 2 แอลลีลต่างกัน เรียกว่า 3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
เฮเทอโรไซกัสจีโนไทป์ (heterozygous genotype) หรือเรียกว่าเป็นพันธุ์ทาง เช่น Pp ส่วนลักษณะ ชีววิทยา ม.4 เลม 2
ที่ปรากฏออกมาให้เห็น เช่น ดอกสีขาว ดอกสีม่วง จะเรียกว่า ฟีโนไทป์ (phenotype)
B iology ขัน้ สรุป
Focus กฎความน่าจะเป็น ขยายความเขาใจ
จากการน�ากฎความน่าจะเป็น (probability) มาใช้วเิ คราะห์ขอ้ มูลการท�านายโอกาสของการโยน ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า ผั ง สรุ ป เรื่ อ ง การศึ ก ษา
เหรียญ 2 เหรียญพร้อมกัน ซึ่งมีความเป็นไปได้มี 3 แบบ คือ แบบที่ 1 ออกหัว 2 เหรียญ แบบที่ 2
ออกหัว 1 เหรียญและออกก้อย 1 เหรียญ และแบบที่ 3 ออกก้อย 2 เหรียญ โดยอัตราส่วนของโอกาส พันธุศาสตรของเมนเดล
แบบที่ 1 : แบบที่ 2 : แบบที่ 3 เท่ากับ 1 : 2 : 1
เมนเดลจึงใช้กฎความน่าจะเป็นมาอธิบายอัตราส่วนระหว่างลักษณะเด่นและลักษณะด้อยในรุ่น ขัน้ ประเมิน
F2 ที่เกิดขึ้น การผสมพันธุ์ถั่วลันเตารุ่น F1 ที่มีฟีโนไทป์เป็นฝักสีเขียว และจีโนไทป์เป็น Gg เปรียบได้ ตรวจสอบผล
กับการโยนเหรียญ 2 เหรียญพร้อมกัน โดยแทนด้านหนึ่งเป็น G และอีกด้านเป็น g ท�าให้จีโนไทป์ 1. ครูตรวจแบบทดสอบกอนเรียน
ของยีนในรุ่น F2 เข้าคู่กันได้ 3 แบบ คือ GG Gg และ gg โดยมีอัตราส่วนเท่ากับ 1 : 2 : 1 แต่
ลักษณะฟีโนไทป์ทแี่ สดงออกมาจะมีเพียง 2 แบบเท่านัน้ คือ ฝักสีเขียวและฝักสีเหลือง เนือ่ งจากจีโนไทป์ 2. ครูตรวจสอบผลจากผังสรุป เรื่อง การศึกษา
แบบ Gg จะแสดงลักษณะฝักสีเขียวออกมา ดังนัน้ อัตราส่วนของฝักสีเขียวต่อฝักสีเหลือง เท่ากับ 3 : 1 พันธุศาสตรของเมนเดล
3. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การถายทอด
การถ่ายทอด
ทางพันธุกรรม
7 ลักษณะถั่วลันเตาของเมนเดล
4. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถามใน
แบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
2. 482 160
ระดับคะแนน
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
3. 524 260
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
3 ความคิดสร้างสรรค์
4 ความตรงต่อเวลา
รวม
ผลงานสอดคล้องกับ
จุดประสงค์เป็น
2
ผลงานสอดคล้องกับ
1
ผลงานไม่สอดคล้องกับ
จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์
จุดประสงค์ ส่วนใหญ่
2. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
(วิเคราะหคําตอบ อัตราสวนของการผสมพันธุระหวางพันธุทาง
ของเนื้อหา ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
3. ความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ
สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่มีแนวคิด น่าสนใจ และไม่แสดง
และเป็นระบบ แต่ยังไม่เป็นระบบ แปลกใหม่ ถึงแนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน
กาหนด 2 วัน
ระดับคุณภาพ
กาหนด 3 วันขึ้นไป
T11
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge 2. กฎการแยกและกฎการรวมกลุม
เมนเดลอธิบายการ
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ï• อัตราสวน 3 : 1 ในรุน F2 เกิดขึ้นไดอยางไร
ถายทอดลักษณะของ อยางอิสระ
ถั่วลันเตาวาอยางไร
(แนวตอบ รุน F1 มีจโี นไทปแบบเฮเทอโรไซกัส เมนเดลท�าการศึกษา ค้นคว้า และทดลองเพื่อหารูปแบบ
สวนรุน F2 มีจโี นไทป 3 แบบ คือ ฮอมอไซกัส พื้นฐานของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม โดยอาศัยถั่วลันเตาเป็นตัวอย่างของการทดลอง
โดมิแนนต เฮอเทอโรไซกัส และฮอมอไซกัส และสามารถสรุปเป็นหลักการส�าคัญได้ 2 หลักการ คือ กฎการแยก และกฎการรวมกลุ่มอย่าง
รีเซสซีฟ ในอัตราสวน 1 : 2 : 1 แตฮอมอ- อิสระ
ไซกัสโดมิแนนตและเฮเทอโรไซกัสจะแสดง 2.1 กฎการแยก
ลักษณะออกมาเหมือนกันทํ า ให รุ น F 2 มี
การผสมพันธุ์ถั่วลันเตาในรุ่น F1 ด้วยกันเองจะได้อัตราส่วนจีโนไทป์รุ่น F2 เท่ากับ 1 : 2 : 1
ลักษณะทีแ่ สดงออกมาในอัตราสวน 3 : 1
1 โนไทป์เท่ากับ 3 : 1 ซึ่งอัตราส่วนนี้เกิดจากการแยกกันของแอลลีล P และ p ไปสู่
และอัตราส่วนฟี
เซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์ ท�าให้เมนเดลตั้งกฎข้อแรกขึ้น คือ กฎการแยก (law of segregation)
ขัน้ สอน มีใจความส�าคัญว่า “ลักษณะของสิง่ มีชวี ติ ถูกควบคุมโดยยีน และยีนจะปรากฏเป็นคู่ ๆ เสมอ ซึง่ ยีน
สํารวจคนหา
จะแยกจากกันเมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ โดยเซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์จะได้รับเพียงแอลลีลใด
1. ครูใหนักเรียนศึกษาการผสมพันธุถั่วลันเตา แอลลีลหนึ่ง”
ดอกสีมวงกับดอกสีขาว แลวถามนักเรียนวา รุ่น P จากกฎข้อที่ 1 ของเมนเดลสามารถ
• เพราะเหตุใดฟโนไทปของรุน F2 จึงมีลกั ษณะ ท�านายลักษณะของรุน่ F1 ได้หากทราบจีโนไทป์
เดนตอลักษณะดอยเทากับ 3 : 1 ขอรุ่นพ่อแม่ เช่น หากพ่อมีจีโนไทป์เป็น PP
ดอกสีม่วง ดอกสีขาว
(แนวตอบ ถั่วลันเตาดอกสีมวงในรุน F 1 มี PP pp
แสดงลักษณะดอกสีม่วง ผสมพันธุ์กับแม่มี
จีโนไทป Pp โดยแอลลีล P และ p จะแยกไป P p
สูเซลลไขหรือสเปรม เมื่อปฏิสนธิ โอกาสมีที่ จีโนไทป์เป็น pp แสดงลักษณะดอกสีขาว จะได้
รุ่น F1 รุ่น F1 มีจีโนไทป์เป็น Pp แสดงลักษณะดอก
เปนไปได 3 แบบ คือ PP Pp pp ในอัตราสวน
1 : 2 : 1 แตมีฟโนไทป 2 แบบ คือ ดอกสีมวง สีมว่ งทัง้ หมด เนือ่ งจากการแยกกันของแอลลีล
ดอกสีม่วง P ของพ่อทีเ่ ป็นคูก่ นั และแอลลีล p ของแม่ทเี่ ป็น
ตอดอกสีขาว ในอัตราสวน 3 : 1) 1/2 P 1/2 p
2. ครูใหนักเรียนแบงกลุม 6 กลุม ใชกฎการแยก รุ่น F2 สเปิร์ม คู ก่ นั แล้วมารวมกันได้เป็น Pp ในรุน่ F1 และเมือ่
P p
พิจารณาการผสมลักษณะตางๆ อีก 6 ลักษณะ ผสมรุ่น F1 ด้วยกันเอง จะได้รุ่น F2 มีฟีโนไทป์
P 2 แบบ คือ ดอกสีมว่ งและดอกสีขาวในอัตราส่วน
อธิบายความรู ไข่ PP Pp
3 : 1 แสดงว่าดอกสีขาวเป็นลักษณะด้อย ซึ่ง
1. ครูใหนักเรียนนําเสนอการผสมพันธุถั่วลันเตา p ควบคุมด้วยแอลลีลด้อยที่แฝงอยู่ในรุ่น F1 แต่
Pp pp
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับกฎ จะไม่ปรากฏออกมา เนื่องจากถูกแอลลีลเด่น
การแยกของเมนเดล 3 1 ของดอกสีมว่ งข่มอยู่ และจะแสดงออกในรุน่ F2
ดอกสีม่วง : ดอกสีขาว
แนวตอบ Prior Knowledge เมื่อมีการเข้าคู่ของแอลลีลด้อยด้วยกันเอง
ภาพที่ 4.5 การผสมพันธุ์ถั่วลันเตาดอกสีม่วงกับสีขาว
รุน F1 แสดงฟโนไทปที่เปนลักษณะเดนแตมี ตามกฎการแยกของเมนเดล
8
จีโนไทปแบบเฮเทอโรไซกัส สวนรุน F2 มีจโี นไทป 3
แบบ ทีอ่ ตั ราสวน 1 : 2 : 1 แตฟโ นไทปมเี พียง 2 แบบ
คือ ลักษณะเดนตอลักษณะดอย ทีอ่ ตั ราสวน 3 : 1)
T12
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานั้นเมนเดลยังไม่ทราบกลไกที่ท�าให้แอลลีลของยีนที่เป็นคู่กัน 1. ครูถามคําถามนักเรียนวา
แยกออกจากกันในระหว่างที่มีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ซึ่งภายหลั • ถั่วลันเตาดอกสีมวงที่นักเรียนเห็นสามารถ
1 งจึงทราบกันว่าแอลลีลของยีนที่
เป็นคูก่ นั จะแยกออกจากกันเมือ่ มีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส และแอลลีลของยีนจะกลับมาเข้าคูก่ นั มีจีโนไทปไดกี่แบบ
อีกครั้งเมื่อมีการรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์ ( แนวตอบ ถั่ ว ลั น เตาดอกสี ม ว งสามารถมี
จากกฎการแยกของเมนเดล สามารถน�ามาใช้ตรวจสอบลักษณะจีโนไทป์ของสิ่งมีชีวิต จีโนไทปได 2 แบบ คือ ฮอมอไซกัส (PP) และ
ที่แสดงลักษณะเด่นออกมา เนื่องจากลักษณะเด่นสามารถมีจีโนไทป์ทั้งแบบฮอมอไซกัสหรือ เฮเทอโรไซกัส (Pp) เนือ่ งจากลักษณะสีมว ง
เฮเทอโรไซกัส จึงต้องมีการตรวจสอบลักษณะจีโนไทป์ทแี่ สดงลักษณะเด่นออกมา โดยน�าสิ่งมีชีวิต เปนลักษณะเดนจึงขมลักษณะสีขาวที่เปน
ที่สงสัยมาผสมกับสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะด้อยหรือฮอมอไซกัสรีเซสซีฟ แล้วสังเกตลักษณะที่เกิด ลักษณะดอย)
ขึ้นในรุ่น F1 เรียกวิธีการนี้ว่า การผสมทดสอบหรือเทสต์ครอสส์ (testcross) ตัวอย่างเช่น 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
การตรวจสอบจีโนไทป์ของถั่วลันเตาดอกสีม่วงที่สงสัย โดยน�ามาผสมกับถั่วลันเตาดอกสีขาวที่ • นั ก เรี ย นจะรู ไ ด อ ย า งไรว า ถั่ ว ลั น เตาดอก
เป็นฮอมอไซกัสรีเซสซีฟ (pp) หากพบว่า รุ่น F1 มีลักษณะดอกสีม่วงทั้งหมด แสดงว่าถั่วลันเตา สีมวงที่เห็นมีจีโนไทปแบบฮอมอไซกัส (PP)
ดอกสีม่วงในรุ่นพ่อแม่มีจีโนไทป์แบบฮอมอไซกัส (PP) แต่หากรุ่น F1 มีลักษณะดอกสีม่วงและ และแบบเฮเทอโรไซกัส (Pp)
ดอกสีขาวในอัตราส่วน 1 : 1 แสดงว่า ถัว่ ลันเตาดอกสีมว่ งในรุน่ พ่อแม่มจี โี นไทป์แบบเฮเทอโรไซกัส
(แนวตอบ ใชการตรวจสอบ ทีเ่ รียกวา การผสม
(Pp) ดังนี้
เพื่อทดสอบ หรือเทสตครอส)
3. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา การผสมเพือ่ ทดสอบ
เป น วิ ธีก ารตรวจสอบรู ป แบบจี โ นไทป ข อง
ดอกถั่วลันเตาสีม่วง ดอกถั่วลันเตาสีขาว
ไม่ทราบจีโนไทป์ (PP หรือ Pp) มีจีโนไทป์แบบฮอมอไซกัสรีเซสซีฟ (pp) สิ่งมีชีวิตที่แสดงลักษณะเดนออกมาสามารถ
สเปิร์ม สเปิร์ม ตรวจสอบจีโนไทปที่สงสัยโดยนําไปผสมกับ
p p p p สิ่งมีชีวิตที่เปนฮอมอไซกัสรีเซสซีฟหรือแสดง
ลักษณะดอยออกมา
P P
Pp Pp Pp Pp
4. ครูใหนักเรียนศึกษา การตรวจสอบจีโนไทป
ไข่ ไข่
ของถั่ ว ลั น เตาดอกสี ม ว ง และถามคํ า ถาม
P p นักเรียนวา
Pp Pp หรือ pp pp
ถ้าจีโนไทป์เป็น PP ถ้าจีโนไทป์เป็น Pp
• ถาจีโนไทปของถั่วลันเตาที่สงสัยเปนแบบ
ภาพที่ 4.6 การผสมเพื่อทดสอบลักษณะจีโนไทป์ของดอกถั่วลันเตา ฮอมอไซกัส (PP) จะใหรุน F1 เปนอยางไร
2 หรือถาเปนแบบเฮเทอโรไซกัส (Pp) จะให
นอกจากนั้น ยังมี การผสมกลับหรือแบกครอสส์ (back cross) ซึ่งเป็นการผสมพันธุ์โดยน�า รุน F1 เปนอยางไร
ลูกผสมรุน่ F1 ไปผสมพันธุก์ บั พ่อพันธุห์ รือแม่พนั ธุ์ การผสมกลับถูกน�ามาประยุกต์ใช้ในการปรับปรุง (แนวตอบ ถาจีโนไทปของถั่วลันเตาที่สงสัย
พันธุ์ให้ได้ลูกผสมตามต้องการ เปนแบบฮอมอไซกัส (PP) รุน F1 จะมีดอกสีมว ง
9
ทัง้ หมด แตถา เปนแบบเฮอเทอโรไซกัส (Pp)
กฎแห่งการแยกของเมนเดล
รุ น F 1 จะไปดอกสี ม ว งและดอกสี ข าว
ในอัตราสวน 1:1)
T13
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ • การสังเกต
ผสมทดสอบ การแก้โจทย์ปัญหาเรื่องพันธุศาสตร์ของเมนเดล • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป
จิตวิทยาศาสตร์
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ • ความมีเหตุผล
T14
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2.2 กฎการรวมกลุมอยางอิสระ 1. ครูใหนักเรียนศึกษา การผสมพันธุถั่วลันเตา
โดยพิจารณาสองลักษณะ และถามนักเรียนวา
การทดลองผสมพันธุถ์ วั่ ลันเตาของเมนเดลทีผ่ า่ นมาเป็นการพิจารณาเพียงลักษณะใดลักษณะ
• จากภาพการผสมพันธุถ วั่ ลันเตา รุน F1 ทีไ่ ด
หนึ่งเท่านั้น แต่ลักษณะของถั่วลันเตาที่เมนเดลเลือกมาศึกษามีถึง 7 ลักษณะ ซึ่งการผสมพันธุ์ใน
จากการผสมพันธุม โี อกาสสรางเซลลสบื พันธุ
แต่ละครัง้ จะมีการถ่ายทอดลักษณะอืน่ ๆ ไปพร้อมกันด้วย แต่เมนเดลก็เลือกพิจารณาเฉพาะลักษณะใด
1 ไดกี่แบบ อะไรบาง
ลักษณะหนึง่ เท่านัน้ ซึง่ การผสมพันธุโ์ ดยพิจารณาเพียงลักษณะเดียวเรียกว่า การผสมลักษณะเดียว
(แนวตอบ รุน F1 สรางเซลลสบื พันธุไ ด 4 แบบ
(monohybrid cross) เช่น การผสมระหว่างถั่วลันเตาฝักสีเขียวกับสีเหลือง เป็นการพิจารณา
คือ RY Ry rY ry โดยยีนแตละคูของ RrYy
เฉพาะลักษณะสีฝัก เป็นต้น ในเวลาต่อมาเมนเดลได้ศึกษาการผสมพันธุ์สองลักษณะพร้อมกัน
2 จะแยกออกจากกันตามกฎการแยก)
เรียกว่า การผสมสองลักษณะ (dihybrid cross) เช่น ลักษณะรูปร่างของเมล็ดและลักษณะสีของเมล็ด
• รุน F2 มีโอกาสทีจ่ ะเกิดจีโนไทปและฟโนไทป
เป็นต้น
กี่แบบ อะไรบาง
ตัวอย่างเช่น การผสมถั่วลันเตาเมล็ดกลมสีเหลืองพันธุ์แท้ มีจีโนไทป์เป็น YYRR กับ (แนวตอบ รุน F2 มีโอกาสเกิดจีโนไทป 9 แบบ
ถัว่ ลันเตาเมล็ดขรุขระสีเขียวพันธุแ์ ท้ มีจโี นไทป์เป็น yyrr จะได้ถวั่ ลันเตารุน่ F1 มีลกั ษณะเมล็ดกลม ไดแก RRYY RRyy RRyy RrYy RrYy Rryy rrYY
สีเหลือง มีจีโนไทป์เป็น YyRr ทั้งหมด และเมื่อน�ารุ่น F1 มาผสมกันเอง จะได้รุ่น F2 ที่มีลักษณะ rrYy rryy และมีโอกาสเกิดฟโนไทปได 4 แบบ
แตกต่างกัน 4 แบบ คือ เมล็ดกลมสีเหลือง : เมล็ดกลมสีเขียว : เมล็ดขรุขระสีเหลือง : เมล็ด ไดแก เมล็ดกลมสีเหลือง เมล็ดกลมสีเขียว
ขรุขระสีเขียว ในอัตราส่วนเท่ากับ 9 : 3 : 3 : 1 เมล็ดขรุขระสีเหลือง และเมล็ดขรุขระสีเขียว
กลมเหลือง RRYY ขรุขระเขียว rryy
รุ่นพ่อแม่
ในอัตราสวน 9 : 3 : 3 : 1)
(P) × • เพราะเหตุใดฟโนไทปในรุน F2 จึงมีอตั ราสวน
RY ry
เซลล์สืบพันธุ์ เทากับ 9 : 3 : 3 : 1
รุ่น F1 กลมเหลือง
RrYy ผสมภายในรุ่นเดียวกัน (แนวตอบ เมื่อพิจารณาเพียงลักษณะเดียว
เซลล์สืบพันธุ์ RY RY จะไดอตั ราสวนลักษณะเดนตอลักษณะดอย
เซลล์ไข่ rY RRYY rY สเปิร์ม เทากับ 3 : 1 ซึง่ เมือ่ นําอัตราสวนของทัง้ สอง
ลักษณะมาคูณกันจะไดรุน F2 มีฟโนไทป 4
Ry Ry
RrYY RrYY แบบ ที่อัตราสวน 9 : 3 : 3 : 1)
ry RRYy rrYY RRYy ry 2. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา จากผลการผสมพันธุ
รุ่น F2 โดยพิจารณาสองลักษณะ เมนเดลจึงตั้งเปน
RrYy RrYy RrYy RrYy กลม เหลือง กฎการรวมกลุมอยางอิสระ
rrYy RRyy rrYy ขรุขระ เหลือง
อธิบายความรู้
Rryy Rryy กลม เขียว
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับกฎการ
rryy ขรุขระ เขียว รวมกลุมอยางอิสระ
ภาพที่ 4.7 การผสมพิจารณาสองลักษณะของถั่วลันเตาเมล็ดกลมสีเหลืองกับเมล็ดขรุขระสีเขียว 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การถายทอด
การถ่ายทอด 11 ลักษณะของถัว่ ลันเตาโดยพิจารณาสองลักษณะ
ทางพันธุกรรม
3. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรม การผสมพิจารณา
หลายลักษณะ
T15
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ครูสุมเลือกนักเรียนออกมาเฉลยคําถามดวย จากฟีโนไทป์ของรุ่น F2 ดังกล่าวท�าให้เมนเดลน�าลักษณะแต่ละลักษณะมาแยกศึกษา ดังนี้
การแสดงวิธีทําหนาชั้นเรียนคนละ 1 ขอ จาก
กิ จ กรรมการแก โ จทย ป ญ หาเรื่ อ งพั น ธุ ศ าสตร รุ่น P ลักษณะรูปร่างของเมล็ด ลักษณะสีของเมล็ด
เมนเดล และกิจกรรมการผสมพิจารณาหลาย
ลักษณะ
รุ่น F1 เมล็ดกลมทั้งหมด เมล็ดสีเหลืองทั้งหมด
อธิบายความรู้
(ผสมพันธุ์ภายในดอกเดียวกัน) (ผสมพันธุ์ภายในดอกเดียวกัน)
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายผลจาก
กิจกรรมทั้ง 2 กิจกรรม เกี่ยวกับกฎการแยก รุ่น F2 เมล็ดกลม : เมล็ดขรุขระ เมล็ดสีเหลือง : เมล็ดสีเขียว
และกฎการรวมกลุมอยางอิสระของเมนเดล 3:1 3:1
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 เมื่อพิจารณาการผสมเฉพาะลักษณะรูปร่างของเมล็ดมีอัตราส่วนฟีโนไทป์ในรุ่น F2 ของ
ลักษณะเมล็ดกลม : เมล็ดขรุขระ เท่ากับ 3 : 1 และลักษณะสีของเมล็ดมีอตั ราส่วนฟีโนไทป์ในรุน่ F2
ของลักษณะเมล็ดสีเหลือง : เมล็ดสีเขียว เท่ากับ 3 : 1 เช่นกัน เมื่อน�าทั้งสองลักษณะมาพิจารณา
ขัน้ สรุป ร่วมกันจะได้ลักษณะเมล็ดกลมสีเหลือง : เมล็ดกลมสีเขียว : เมล็ดขรุขระสีเหลือง : เมล็ดขรุขระ
ขยายความเข้าใจ สีเขียว ในอัตราส่วน 9 : 3 : 3 : 1 ซึ่งเป็นไปตามกฎการคูณของกฎความน่าจะเป็นที่เหตุการณ์
หนึ่ง ๆ ที่เป็นอิสระต่อกันจะมีโอกาสเกิดขึ้นพร้อมกัน ดังนั้น ยีนควบคุมลักษณะรูปร่างเมล็ดและ
ครูใหนกั เรียนทําผังสรุป วิเคราะหความสัมพันธ ยีนควบคุมลักษณะสีเมล็ดสามารถแยกออกจากกันเพือ่ เข้าสูเ่ ซลล์สบื พันธุแ์ ละรวมกันได้อย่างอิสระ
ของกฎการแยกและกฎการรวมกลุมอยางอิสระ จึงเป็นที่มาของกฎข้อที่ 2 คือ กฎการรวมกลุ่มอย่างอิสระ (law of independent assortment)
ของเมนเดลกับการแบงเซลลของสิ่งมีชีวิต โดยมีใจความส�าคัญว่า “แอลลีลของยีนที่เป็นคู่กัน เมื่อแยกออกจากกันจะจัดกลุ่มกันอย่างอิสระ
กับแอลลีลของยีนอื่น ๆ ซึ่งแยกออกจากคู่เช่นกันเพื่อเข้าไปยังเซลล์สืบพันธุ์” ดังนั้น การผสม
1
ถั่วลันเตาในรุ่น F1 ที่มีจีโนไทป์ RrYy ด้วยกันเอง จะมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ 4 ชนิด คือ RY Ry
rY และ ry ในอัตราส่วน 1 : 1 : 1 : 1 และเมื่อเซลล์สืบพันธุ์ทั้ง 4 ชนิดของรุ่น F1 รวมกันจะให้
รุ่น F2 มีอัตราส่วนฟีโนไทป์เท่ากับ 9 : 3 : 3 : 1
จากกฎของเมนเดล แสดงให้เห็นว่า เมนเดลทดลองผสมพันธุ์ถั่วลันเตาด้วยความละเอียด
เริม่ จากการเลือกถัว่ ลันเตาเป็นพืชทดลองซึง่ มีลกั ษณะทีเ่ หมาะสมหลายประการ ทัง้ การมีดอกประเภท
สมบูรณ์เพศ มีลกั ษณะทีแ่ ตกต่างกันอย่างชัดเจน อีกทั้งเมนเดลยังสังเกตผลการทดลองและเก็บ
ข้อมูลลูกผสมถึงรุน่ ที่ 2 ท�าให้สามารถตัง้ สมมติฐานเกีย่ วกับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมได้
และเป็นพื้นฐานของการศึกษาการถ่ายทอดทางพันธุกรรมในสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มาจนถึงปัจจุบัน
12 กฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระของเมนเดล
T16
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การสังเกต
1. ครู ต รวจสอบผลจากกิ จ กรรมการแก โ จทย
การผสมพิจารณาหลายลักษณะ • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป ปญหาเรื่องพันธุศาสตรเมนเดล และกิจกรรม
จิตวิทยาศาสตร์
• ความมีเหตุผล
การผสมพิจารณาหลายลักษณะ
จงตอบค�าถามต่อไปนี้ • ความรอบคอบ 2. ครูตรวจสอบผลจากผังสรุป เรื่อง วิเคราะห
1. จากกฎการรวมกลุม่ อย่างอิสระของเมนเดล สิง่ มีชวี ติ ทีม่ จี โี นไทป์ AaBBCcDd จะมีเซลล์สบื พันธุไ์ ด้กแี่ บบ ความสัมพันธของกฎการแยกและกฎการรวม
2. การผสมพันธุร์ ะหว่างสัตว์ทมี่ จี โี นไทป์ AABBcc X aabbcc ถ้าการจัดกลุม่ ของยีนแต่ละคูเ่ ป็นไปอย่างอิสระ กลุมอยางอิสระของเมนเดลกับการแบงเซลล
จงตอบค�าถามต่อไปนี้ ของสิ่งมีชีวิต
2.1 รุ่น F1 มีจีโนไทป์อย่างไร 3. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การถายทอด
2.2 โอกาสที่จะได้รุ่น F2 มีจีโนไทป์ aabbcc เป็นเท่าใด ลักษณะของถัว่ ลันเตาโดยพิจารณาสองลักษณะ
2.3 โอกาสที่รุ่น F2 จะมีจีโนไทป์เหมือนพ่อและแม่เป็นเท่าใด 4. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถามใน
3. การทดลองตามหลักพันธุศาสตร์ของเมนเดลปรากฏว่าได้ลูกรุ่น F2 ออกมามีอัตราส่วนฟีโนไทป์เป็น แบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
9 : 3 : 3 : 1 จงอธิบายว่าอัตราส่วนนี้มีที่มาจากอะไร
4. ก�าหนดให้พืชชนิดหนึ่งมีผลสีแดงเป็นลักษณะเด่น (R) ผลสีเหลืองเป็นลักษณะด้อย (r) และผิวของ แนวตอบ คําถามท้ายกิจกรรม
ผลเรียบเป็นลักษณะเด่น (S) ผิวของผลขรุขระเป็นลักษณะด้อย (s) ถ้าน�าพืชที่มีจีโนไทป์ RrSS ผสมกับ 1. 8 แบบ
พืชที่มีจีโนไทป์ rrSs จงหาอัตราส่วนของจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของลูกที่เกิดขึ้น 2. 2.1 รุน F1 จะมีจีโนไทปแบบ AaBbcc
5. ก�าหนดให้กระต่ายขนสีขาวเป็นลักษณะเด่น (W) ขนสีน�้าตาลเป็นลักษณะด้อย (w) และขนสั้นเป็นลักษณะ 2.2 รุน F2 มีจีโนไทป aabbcc เปน 1/16
เด่น (S) ขนยาวเป็นลักษณะด้อย (s) การผสมพันธุร์ ะหว่างกระต่ายขนยาวสีขาวทีเ่ ป็นฮอมอไซกัสกับกระต่าย 2.3 จีโนไทปเหมือนรุนพอแมเปน 1/16
ขนสั้นสีน�้าตาลที่เป็นฮอมอไซกัส จงตอบค�าถามต่อไปนี้
3. เมื่อแยกพิจารณาการผสมเพียงลักษณะเดียว
5.1 จงหาอัตราส่วนจีโนไทป์และฟีโนไทป์ต่าง ๆ ในรุ่น F1
5.2 ลูกทีเ่ กิดจากการผสมพันธุร์ ะหว่างรุน่ F1 กับกระต่ายขนยาวสีนา�้ ตาลมีฟโี นไทป์อะไรบ้าง และอัตราส่วน รุน F2 จะมีอัตราสวนเทากันที่ 3 : 1 และเมื่อ
เป็นเท่าใด นําทั้งสองลักษณะมาพิจารณาพรอมกัน จะ
6. ถ้าน�าสิ่งมีชีวิตที่มีจีโนไทป์ AaBb มาผสมกันเอง จงหาว่าในรุ่นลูกจะมีจีโนไทป์และฟีโนไทป์ได้กี่แบบ เปนไปตามกฎการคูณของกฎความนาจะเปน
ทําใหรน ุ F2 มีอตั ราสวนฟโนไทปเปน 9 : 3 : 3 : 1
4. รุน F1 มีจโี นไทป 4 แบบ คือ RrSS RrSs rrSS rrSs
มีฟโนไทป 2 แบบ คือ ผลสีแดงผิวเรียบกับ
ผลสีเหลืองผิวเรียบ ในอัตราสวนเทากับ 1 : 1
อภิปรายผลกิจกรรม
5. 5.1 รุน F1 มีจโี นไทปเพียงแบบเดียว คือ WwSs
จากกิจกรรมนี้ จะสามารถท�านายลักษณะจีโนไทป์และฟีโนไทป์ของสิ่งมีชีวิตที่มีการผสมพันธุ์มากกว่า 1 มีฟโ นไทปเพียงแบบเดียว คือ ขนสัน้ สีขาว
ลักษณะพร้อม ๆ กันได้ โดยใช้กฎการรวมกลุ่มอย่างอิสระของเมนเดล ซึ่งแอลลีลของยีนที่เป็นคู่กัน เมื่อแยก
ออกจากกันจะมีการจัดกลุ่มกันอย่างอิสระกับแอลลีลของยีนอื่น ๆ ที่แยกออกจากคู่เช่นกัน เพื่อเข้าไปสู่เซลล์ 5.2 รุน F2 มีจโี นไทป 4 แบบ คือ WwSs Wwss
สืบพันธุ์ จึงสามารถท�านายอัตราส่วนของเซลล์สืบพันธุ์ที่มีกลุ่มของยีนต่าง ๆ ได้ wwSs wwss มีฟโ นไทป 4 แบบ คือ ขนสัน้
สีขาว ขนยาวสีขาว ขนสั้นสีนํ้าตาล และ
การถ่ายทอด 13
ทางพันธุกรรม ขนยาวสีนํ้าตาล ในอัตราสวน 1 : 1:1 : 1
6. รุน F1 มีจโี นไทป 9 แบบ และมีฟโ นไทป 4 แบบ
รายการประเมิน
4
ระดับคะแนน
3 2 1
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
T17
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูใชคําถาม Prior Knowledge เพื่อทบทวน การถายทอดลักษณะทาง 3. ลักษณะทางพันธุกรรมทีเ่ ปนสวน
ความรูของนักเรียน พันธุกรรมของเมนเดล ขยายของพันธุศาสตรเมนเดล
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา มีลักษณะอยางไร
ï• การผสมพั น ธุ ด อกบานเย็ น สี แ ดงกั บ ดอก การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของเมนเดลแต่ละ
ลักษณะถูกควบคุมด้วยยีนหนึ่งยีนหรือสองแอลลีลเท่านั้น แต่
บานเย็ น สี ข าวตามหลั ก พั น ธุ ศ าสตร ข อง
การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะไม่ได้ถกู ควบคุม
เมนเดล จะไดดอกบานเย็นรุน F1 ที่ไดจะมี
การแสดงออกตามกฎของเมนเดล เรียกการถ่ายทอดลักษณะทาง
ลักษณะอยางไร พันธุกรรมแบบนี้ว่า ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของ
(แนวตอบ หากการผสมพันธุด อกบานเย็นเปน พันธุศาสตร์เมนเดล
ไปตามหลักพันธุศาสตรของเมนเดล รุน F1 คาร์ล คอร์เรนส์ (Karl Correns) นักพฤกษศาสตร์ชาว
ควรมี ลั ก ษณะดอกสี แ ดงหรื อ ดอกสี ข าว เยอรมัน ได้ผสมพันธุ์ต้นบานเย็นดอกสีแดงกับต้นบานเย็น
ทัง้ หมด) ดอกสีขาว พบว่า รุ่น F1 ที่ได้เป็นดอกบานเย็นสีชมพูทั้งหมด
3. ครู อ ธิ บ ายการทดลองผสมต น บานเย็ น ดอก ซึ่งหากพิจารณาตามกฎของเมนเดลแล้ว รุ่นลูก F1 ควรเป็น
สีแดงกับดอกสีขาวของคารก คอเรนส ให ดอกบานเย็นสีแดงหรือดอกบานเย็นสีขาวเพียงแบบเดียวเท่านัน้
นักเรียนทราบ และอธิบายวา การถายทอด ท�าให้เกิดข้อสงสัยว่า “เพราะเหตุใดการผสมพันธุ์ดอกบานเย็น
ลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะไมไดเปน สีแดงกับดอกบานเย็นสีขาวจึงให้ดอกบานเย็นสีชมพูทงั้ หมด” ซึง่
ภาพที่ 4.8 ดอกลิ้นมังกรสีชมพู
ตามหลักพันธุศาสตรของเมนเดล จากการผสมพันธุร์ ะหว่างดอกลิน้ - ผลการทดลองดังกล่าวไม่เป็นไปตามหลักการถ่ายทอดลักษณะ
มังกรสีแดงกับดอกสีขาว ทางพันธุกรรมของเมนเดล
3.1 การขมไมสมบูรณ
แนวตอบ Prior Knowledge
การข่มไม่สมบูรณ์ (incomplete dominance) เป็นการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูก
ตามหลักพันธุศาสตรของเมนเดล การผสมพันธุ ควบคุมด้วยยีนเดียว โดยแอลลีลไม่ได้มีลักษณะเด่นหรือด้อยอย่างสมบูรณ์ แต่จะแสดงลักษณะ
เพียงลักษณะเดียว ระหวางลักษณะเดนกับลักษณะดอย ออกมากึ่งกลางระหว่างสองลักษณะ เช่น การผสมต้นลิ้นมังกรดอกสีแดงกับดอกสีขาว ซึ่งเป็น
ที่เปนพันธุแททั้งคู รุน F1 จะแสดงฟโนไทปที่เปน พันธุ์แท้ทั้งคู่ จะได้รุ่น F1 มีดอกสีชมพูทั้งหมด และเมื่อให้รุ่น F1 ผสมด้วยกันเอง จะได้รุ่น F2
ลักษณะเดนออกมา แตจีโนไทปเปนแบบพันธุทาง มีดอกสีแดง ดอกสีชมพู และดอกสีขาว โดยมีอัตราส่วนเท่ากับ 1 : 2 : 1 จากการศึกษาพบว่า
และเมื่อใหรุน F1 ผสมกันเอง จะไดรุน F2 ที่แสดง สีของดอกลิ้นมังกรถูกควบคุมด้วยแอลลีล 2 แอลลีล ดังนี้
ฟ โ นไทป ที่ เ ป น ลั ก ษณะเด น ต อ ลั ก ษณะด อ ยที่ ก�าหนดให้ แอลลีล R ควบคุมดอกลิ้นมังกรสีแดง
อัตราสวน 3 : 1 แตมจี โี นไทปเปนอัตราสวน 1 : 2 : 1 แอลลีล R ′ ควบคุมดอกลิ้นมังกรสีขาว
สําหรับการผสมสองลักษณะระหวางลักษณะเดน ดังนั้น จีโนไทป์ RR จะแสดงลักษณะดอกลิ้นมังกรสีแดง
กับลักษณะดอยที่เปนพันธุแททั้งคู รุน F1 จะแสดง จีโนไทป์ RR′ จะแสดงลักษณะดอกลิ้นมังกรสีชมพู
ฟโนไทปที่เปนลักษณะเดนออกมา แตจีโนไทปเปน จีโนไทป์ R′R′ จะแสดงลักษณะดอกลิ้นมังกรสีขาว
แบบพันธุท าง และเมือ่ ใหรนุ F1 ผสมกันเองจะไดรนุ 14
F2 แสดงฟโนไทป 4 แบบ แตจโี นไทปจะมีอตั ราสวน
ที่ 9 : 3 : 3 : 1
ขอสอบเนน การคิด
เมื่อผสมพืชดอกสีสมกับดอกสีสม ไดตนลูกมีดอกสีแดง(RR) : สีสม(Rr) : สีเหลือง(rr) เทากับ 1 : 2 : 1 ถานําตนลูกที่มี
ดอกสีแดงไปผสมกับตนลูกที่มีดอกสีสม ตนที่ไดจะมีลักษณะเปนอยางไร
1. ดอกสีสม ทัง้ หมด 2. ดอกสีสม : ดอกสีแดง อัตราสวน 1 : 1 3. ดอกสีสม : ดอกสีแดง อัตราสวน 3 : 1
4. ดอกสีสม : ดอกสีเหลือง อัตราสวน 3 : 1 5. ดอกสีแดง : ดอกสีสม : ดอกสีเหลือง อัตราสวน 1 : 2 : 1
(วิเคราะหคําตอบ P ดอกสีสม × ดอกสีสม
จีโนไทป Rr × Rr
เซลลสืบพันธุ 1/2½R , ½1/2r × 1/2½R , ½1/2r
จีโนไทป F1 ¼1/4RR : 1/2½½Rr : 1/4rr =1:2:1
ฟโนไทป F1 ดอกสีแดง : ดอกสีสม : ดอกสีเหลือง =1:2:1
F1 × F1 ดอกสีแดง × ดอกสีสม
จีโนไทป F1 RR × Rr
เซลลสืบพันธุ R × ½1/2R , ½1/2r
จีโนไทป F1 ½1/2RR × ½1/2Rr =1:1
ฟโนไทป F2 ดอกสีแดง : ดอกสีสม =1:1
ดังนั้น F2 มีฟโนไทป ดอกสีแดง : ดอกสีสม = 1 : 1 ดังนั้น ตอบขอ 2.)
T18
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ดอกสีแดง ดอกสีขาว
รุ่น P 1. ครูใหนักเรียนศึกษาแผนภาพการผสมพันธุ
ดอกลิ้นมังกรสีแดงกับสีขาว
RR R′R′
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
• ถาการผสมพันธุด อกลิน้ มังกรสีแดงกับสีขาว
R R′
เซลล์สืบพันธุ์ เปนไปตามหลักพันธุศาสตรของเมนเดล จะ
ไดรุน F1 และ F2 อยางไร
รุ่น F1 (แนวตอบ การผสมพันธุด อกลิน้ มังกรทีเ่ ปนไป
RR' ดอกสีชมพู ตามหลักพันธุศาสตรของเมนเดล จะไดรนุ F1
ผสมภายในดอกเดียวกัน
มีลักษณะดอกสีแดงหรือดอกสีขาวทั้งหมด
เซลล์สืบพันธุ์ R R′ สวนรุน F2 จะมีสีดอกที่เปนลักษณะเดน
ตอลักษณะดอยที่อัตราสวนเทากับ 3 : 1)
รุ่น F2
R RR R 3. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา ดอกลิน้ มังกรมีการ
เซลล์ไข่ สเปิร์ม
R′ R′
ถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่ลักษณะเดน
RR′ RR′ ไมไดขม ลักษณะดอยอยางสมบูรณ แตจะแสดง
R′R′
ลักษณะทีอ่ ยูก งึ่ กลางออกมา เรียกการถายทอด
ลักษณะนี้วา การขมไมสมบูรณ
4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ลักษณะเสนผมก็
มีการถายทอดลักษณะแบบการขมไมสมบูรณ
ภาพที่ 4.9 การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมแบบข่มไม่สมบูรณ์ของดอกลิ้นมังกร เชนกัน
นอกจากนั้นยังมีผู้ศึกษาลักษณะเส้นผม แม่
ของคน ซึง่ มีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม อธิบายความรู
c1c2
แบบการข่มไม่สมบูรณ์เช่นกัน ถ้าหากก�าหนด c1 c2
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
ให้แอลลีล C1 ควบคุมลักษณะผมหยิก และ C2 ถ า ยทอดลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรมแบบข ม ไม
ควบคุมลักษณะผมเหยียดตรง c1 สมบูรณ
ดังนั้น จีโนไทป์ C1 C1 แสดงลักษณะผมหยิก พ่อ c1c1 c1c2 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การถายทอด
จีโนไทป์ C1 C2 แสดงลักษณะผมหยักศก c1c2 c2 ลักษณะของเสนผม
จีโนไทป์ C2 C2 แสดงลักษณะผมตรง c1c2 c2 c2
พ่อและแม่ที่มีผมหยักศกจึงมีโอกาสมี ภาพที่ 4.10 การถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมของพ่อ
ลูกที่มีลักษณะเส้นผมแตกต่างกันได้ และแม่ที่มีผมหยักศกทั้งคู่
การถ่ายทอด 15
ทางพันธุกรรม
ขอสอบเนน การคิด
กําหนดให C1 เปนแอลลีลควบคุมลักษณะผมหยิก และ C2 เปนแอลลีลควบคุมลักษณะผมเหยียดตรง
หากพอมีลักษณะผมหยิกแตงงานกับแมที่มีลักษณะผมหยักศก ลูกที่เกิดมาจะมีลักษณะเสนผมอยางไรไดบาง
1. ผมหยิกทัง้ หมด 2. ผมหยักศกทัง้ หมด 3. ผมเหยียดตรงทัง้ หมด
4. ผมหยิกและผมหยักศก 5. ผมหยิก ผมหยักศก และผมเหยียดตรง
(วิเคราะหคําตอบ ลักษณะของเสนผมเปนการขมไมสมบูรณ ซึ่งแอลลีลไมไดเดนหรือดอยอยางสมบูรณ ดังนี้
P พอลักษณะผมหยิก × แมลักษณะผมหยักศก
จีโนไทป C1C1 × C1C2
เซลลสืบพันธุ ½1/2C1 , 1/2C1 × 1/2C1 , 1/2C2
จีโนไทป F1 1/2C1C1 ½1/2C1C2
ฟโนไทป F1 ผมหยิก ผมหยักศก
ดังนั้น ตอบขอ 4.)
T19
นํา สอน ประเมิน ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การขมกันอีกรูป 3.2 ความเดนรวม
แบบหนึ่ง ซึ่งแอลลีล 2 แอลลีลจะไมขมซึ่งกัน ความเด่นร่วม (codominance) เป็นการที่คู่ของแอลลีลแสดงลักษณะเด่นเท่ากัน จึงปรากฏ
และกัน แตจะแสดงลักษณะเดนออกมาเทากัน ลักษณะออกมาร่วมกัน เช่น หมู่เ1ลือดระบบ ABO ในคน โดยจะถูกจ�าแนกตามชนิดของแอนติเจน
เรียกวา ความเดนรวม ซึง่ เป็นสารประกอบไกลโคโปรตีน (glycoprotein) ทีอ่ ยูบ่ นเยือ่ หุ้มเซลล์ของเม็ดเลือดแดง ประกอบ
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาโอกาสการมีลกู ของพอและ 2
ด้วย 2 ชนิด คือ แอนติเจน A และแอนติเจน B จากการศึกษาพบว่า แอลลีล IA ควบคุมการสร้าง
แมที่มีเลือดหมู A และ B แบบเฮเทอโรไซกัส แอนติเจน A แอลลีล IB ควบคุมการสร้างแอนติเจน B และทั้งสองแอลลีลจะแสดงลักษณะเด่น
3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ผูที่มีเลือดหมู AB ถ้าแอลลีลทั้งสองเข้าคู่กันเป็น IAIB จะมีหมู่เลือด AB
เกิดจากแอลลีล 2 ชนิด คือ IA กับ IB ซึ่งจะ
หมู่เลือด A หมู่เลือด B
แสดงลักษณะเดนออกมาเทากัน
4. ครูถามคําถามนักเรียนวา
• ยีนทีค่ วบคุมลักษณะพันธุกรรมประกอบดวย
แอลลีลกี่แอลลีล
(แนวตอบ ยีนที่ควบคุมลักษณะพันธุกรรมที่
IAi I Bi
ผานมาประกอบดวยแอลลีล 2 แอลลีล)
5. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา จากแผนภาพจะ
เห็นวามีแอลลีลอีกชนิดหนึ่งที่กําหนดลักษณะ
ของเลือดหมู O ก็คอื แอลลีล i ดังนัน้ หมูเ ลือด
ระบบ ABO จึงมีแอลลีลควบคุม 3 แอลลีล คือ แอลลีล IA
แอลลีล IB
แอลลีล IA แอลลีล IB และแอลลีล i ซึง่ เรียกการ แอลลีล i
ควบคุมลักษณะพันธุกรรมดวยแอลลีลมากกวา IAi IAIB IBi ii
2 แอลลีลนี้วา มัลติเพิลแอลลีล
หมู่เลือด A หมู่เลือด AB หมู่เลือด B หมู่เลือด O
6. ครูใหนักเรียนศึกษา การเขาคูกันของแอลลีล
ในหมูเลือดระบบ ABO จากตารางที่ 4.3 ภาพที่ 4.11 ความเด่นร่วมของแอลลีล IA และ IB ในคนที่มีหมู่เลือด AB
7. ครูถามคําถามนักเรียนวา
• ในหมูเ ลือดระบบ ABO แอลลีลใดเปนแอลลีล
3.3 มัลติเพิลแอลลีล
เดน และแอลลีลใดเปนแอลลีลดอย ปกติบนโลคัสของฮอมอโลกัสโครโมโซมจะพบแอลลีล 2 แอลลีลทีค่ วบคุมการแสดงออกของ
(แนวตอบ แอลลีล IA และ IB เปนแอลลีลเดน ลักษณะต่าง ๆ แต่พบว่าบางยีนที่ถูกควบคุมด้วยแอลลีลมากกว่า 2 แอลลีลเช่นกัน เรียกลักษณะ
และแอลลีล i เปนแอลลีลดอย) แบบนี้ว่า มัลติเพิลแอลลีล (multiple alleles) เช่น หมู่เลือดระบบ ABO ถูกควบคุมด้วยแอลลีล
3 แอลลีล ซึ่งมีผลต่อการสร้างแอนติเจนของเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยแอลลีล IA ควบคุมการสร้าง
อธิบายความรู้ แอนติเจน A แอลลีล IB ควบคุมการสร้างแอนติเจน B และแอลลีล i ไม่ควบคุมการสร้างทั้ง
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับความ แอนติเจน A และแอนติเจน B
เดนรวม และมัลติเพิลแอลลีล 16
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การถายทอด
ลักษณะทางพันธุกรรมแบบมัลติเพิลแอลลีล
T20
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
การเข้าคู่กันของแอลลีลต่าง ๆ จะแสดงลักษณะฟีโนไทป์ของหมู่เลือดที่ต่างกัน ดังนี้ 1. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า การถ า ยทอด
ลักษณะทางพันธุกรรมที่ผานมามียีนควบคุม
ตารางที่ 4.3 : การเข้าคู่กันของแอลลีลในหมู่เลือดระบบ ABO เพียง 1 คูเ ทานัน้ ซึง่ ลักษณะจะแตกตางกันอยาง
จีโนไทป์ ฟีโนไทป์ ชัดเจน เรียกวา ลักษณะทางพันธุกรรมทีม่ คี วาม
IAIA IAi หมู่เลือด A แปรผั น แบบไม ต อ เนื่ อ ง หรื อ ลั ก ษณะเชิ ง
IBIB IBi หมู่เลือด B คุณภาพ
IAIB หมู่เลือด AB 2. ครู นํ า ภาพบุ ค คลเชื้ อ ชาติ ต า งๆ ที่ มี สี ผิ ว
แตกตางกันมาใหนักเรียนดู แลวถามคําถาม
ii หมู่เลือด O
นักเรียนวา
จากตารางจะเห็นว่าแอลลีล i จะไม่แสดงออกเมื่อมีการเข้าคู่กับแอลลีล IA และ IB แต่ • นักเรียนแยกสีผิวของบุคคลตางๆ ในภาพ
จะแสดงออกเมือ่ เข้าคูก่ บั แอลลีล i เท่านัน้ แสดงว่าแอลลีล i เป็นแอลลีลด้อย จึงไม่มกี ารแสดงออก ไดกแี่ บบ และแตละแบบแตกตางกันหรือไม
เมือ่ เข้าคูก่ บั แอลลีล IA และ IB ซึง่ เป็นแอลลีลเด่น แต่จะแสดงออกเมือ่ เข้าคูก่ บั แอลลีลด้อยด้วยกันเอง อยางไร
(แนวตอบ คําตอบอยูใ นดุลยพินจิ ของครูผสู อน
3.4 พอลิยีน
เนือ่ งจากขึน้ อยูก บั ภาพทีค่ รูนาํ มาใหนกั เรียนดู)
การศึกษาลักษณะพันธุกรรมของเมนเดล1 3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ลักษณะสีผิวของ
เป็นลักษณะที่มีกการแปรผั
ารแปรผันแบบไม่ต่อเนื่อง
มนุ ษ ย มี ลั ก ษณะที่ แ ตกต า งกั น หลายแบบ
(discontinuous variation trait) หรือลักษณะ
เนือ่ งจากสีผวิ ถูกควบคุมดวยยีนหลายคู เรียกวา
เชิงคุณภาพ (qualitative trait) ซึ่งเป็นการ
ศึกษาลักษณะทีค่ วบคุมด้วยยีนเพียง 1 คูเ่ ท่านัน้ พอลิยีน ซึ่งยีนทั้งหมดจะทําหนาที่รวมกันเพื่อ
จึงท�าให้ทงั้ สองลักษณะแตกต่างกันอย่างชัดเจน ควบคุมลักษณะเดียวกัน
เช่น ลักษณะของหนังตา (ชัน้ เดียวหรือสองชัน้ ) หอลิ้นได
ลักษณะการห่อลิ้น (ได้หรือไม่ได้) ลักษณะ
ของติ่งหู (มีหรือไม่มี) เป็นต้น แต่ลักษณะ
บางลักษณะจะถูกควบคุมด้วยยีนหลายคู่ หรือ
พอลิยนี (multiple gene หรือ polygenes) ซึง่ ยีน
ทัง้ หมดจะท�าหน้าทีร่ ว่ มกันเพือ่ ควบคุมฟีโนไทป์
ที่แสดงลักษณะเชิงปริมาณ เรียกลักษณะที่
ถูกควบคุมด้วยยีนหลายยีนว่า พอลิจีนิกเทรต หอลิ้นไมได
(polygenic trait) ภาพที่ 4.12 การห่อลิ้นเป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่มี
การแปรผันแบบไม่ต่อเนื่อง
การถ่ายทอด 17
ทางพันธุกรรม
T21
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาแผนภาพการถ า ยทอด การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมแบบพอลิ ยีน เช่น ลักษณะสีผิวของคนถูกควบคุมด้วย
ลักษณะทางพันธุกรรมของสีผวิ ซึง่ มียนี ควบคุม 1
ยีนหลายยีนทีท่ า� หน้าทีค่ วบคุมการสร้างเมลานิน (melanin) หากก�าหนดให้ลกั ษณะสีผวิ ถูกควบคุม
3 คู ทีม่ แี อลลีล A B C ควบคุมการสรางเมลานิน ด้วยยีน 3 คู่ ทีม่ แี อลลีล A B และ C ควบคุมการสร้างเมลานินท�าให้ผวิ สีเข้ม และแอลลีล a b และ c
ทําใหผิวสีเขม และแอลลีล a b c ไมมีการ ไม่มีการสร้างเมลานินท�าให้ผิวสีขาว โดยการแสดงออกของยีนแต่ละต�าแหน่งจะเป็นการท�างาน
สรางเมลานิน ทําใหมีสีผิวขาว ร่วมกัน ซึ่งคนที่มีจีโนไทป์แบบ AABBCC จะมีผิวสีเข้ม แต่คนที่มีจีโนไทป์แบบ aabbcc จะมี
5. ครูถามคําถามนักเรียนวา ผิวสีขาว และคนที่มีจีโนไทป์แบบ AaBbCc จะมีสีผิวอยู่กึ่งกลางระหว่างผิวสีเข้มและผิวสีขาว
• จากแผนภาพการถ า ยทอดลั ก ษณะทาง นอกจากนัน้ บางจีโนไทป์จะมีความเข้มของสีผวิ ทีเ่ หมือนกัน เช่น AaBbCc และ AABbcc เนือ่ งจาก
พันธุกรรมของสีผิวของครอบครัวนี้ รุน F1 มีแอลลีล 3 แอลลีลที่ควบคุมผิวสีเหมือนกัน
และ F2 มีสีผิวแตกตางกันกี่แบบ จากการศึกษาพบว่า หากให้คนทีม่ ผี วิ สีเข้ม (AABBCC) แต่งงานกับคนทีม่ ผี วิ สีขาว (aabbcc)
(แนวตอบ รุน F1 มีสีผิวเพียงแบบเดียว แตรุน จะได้ลกู รุน่ F1 มีลกั ษณะสีผวิ อยูก่ งึ่ กลางระหว่างผิวสีเข้มกับผิวสีขาว (AaBbCc) ทัง้ หมด และหาก
F2 มีสผี วิ ทีแ่ ตกตางกันถึง 7 แบบ ตามจํานวน ให้ลกู รุน่ F1 แต่งงานกับคนทีม่ ยี นี สีผวิ อยูก่ งึ่ กลาง (AaBbCc) เช่นเดียวกัน จะได้รนุ่ F2 ทีม่ ลี กั ษณะ
แอลลีลทีค่ วบคุมการสรางเมลานินทีไ่ ดรบั ) ฟีโนไทป์ที่แตกต่างกัน ดังนี้
6. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ลักษณะสีผิวของ รุ่น P
ครอบครัวนี้ในรุน F2 ตางกันถึง 7 แบบ ซึ่งสีผิว aabbcc
ขาวมาก
AABBCC
เข้มมาก
จะแตกตางกันเล็กนอย และลดหลัน่ กันไปตาม
รุ่น F1
การไดรบั แอลลีลทีค่ วบคุมการสรางเมลานิน ถา
AaBbCc AaBbCc
ไดรับแอลลีลที่ควบคุมการสรางเมลานินมาก
ก็จะมีผวิ สีเขม แตหากไดรบั นอยก็จะมีผวิ สีขาว 1 1 1 1
สเปิร์ม
1 1 1 1
8 8 8 8 8 8 8 8
ซึ่งเรียกลักษณะทางพันธุกรรมแบบนี้วา การ
รุ่น F2 1
แปรผันแบบตอเนื่อง หรือลักษณะเชิงปริมาณ 8
7. ครูถามคําถามทาทายการคิดขั้นสูง (H.O.T.S.) 1
8
กับนักเรียน 1
8
1
อธิบายความรู้ 8
เซลล์ ไข่ 1
8
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายการถายทอด
1
ลักษณะสีผิวของมนุษย 8
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ 1
8
ถายทอดลักษณะพันธุกรรมแบบพอลิยีน 1
8
T22
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
เมือ่ น�าลักษณะฟีโนไทป์ทไี่ ด้มาจัดกลุม่ จะ 1. ครูสรุปหลักการถายทอดลักษณะพันธุกรรม
พบว่า มีความแตกต่างกันถึง 7 แบบ ซึ่งแต่ละ AaBbCc AaBbCc แบบการขมไมสมบูรณ ความเดนรวมกัน มัลติ-
แบบจะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยและลดหลั่น 1/64 6/64 15/64 20/64 15/64 6/64 1/64 เพิลแอลลีล และพอลิยีน ใหนักเรียนทราบ
กันไป และสามารถน�าเสนอในรูปแบบกราฟ 20/64
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า กิ จ กรรม เรื่ อ ง ลั ก ษณะ
โดยมีการกระจายอย่างต่อเนื่องหรือกระจาย พันธุกรรมที่เปนสวนขยายของพันธุศาสตร
แบบโค้งปกติ เรียกลักษณะเช่นนีว้ า่ ลักษณะทาง 15/64
เมนเดล โดยบั น ทึ ก ลงในสมุ ด บั น ทึ ก ของ
พันธุกรรมทีม่ กี ารแปรผันต่อเนือ่ ง (continuous นักเรียน
variation trait) หรือ ลักษณะเชิงปริมาณ
(quantitative trait) โดยสิ่งแวดล้อมจะมีผลต่อ 6/64
ยีนที่ควบคุมลักษณะเชิงปริมาณเหล่านี้ด้วย
1/64
นอกจากลั ก ษณะของสี ผิ ว ที่ มี พ อลิ ยี น
ควบคุมการแสดงออกแล้ว ยังมีลักษณะอื่น ๆ ภาพที่ 4.14 กราฟการกระจายของลั ก ษณะทาง
พันธุกรรมที่มีการแปรผันต่อเนื่องของสีผิวของคน
เช่ น ลั ก ษณะสี ต า ซึ่ ง มี ยี น ควบคุ ม หลายคู ่
โดยแอลลีลเด่นจะควบคุมให้มกี ารสร้างสารสีเมลานิน ถ้าจีโนไทป์มี 1 H. O. T. S.
แอลลีลเด่นหลายแอลลีล ปริมาณของเมลานินก็จะมากท�าให้มา่ นตา คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
มีสตี า่ ง ๆ ตัง้ แต่สนี า�้ ตาลเข้มจนถึงสีนา�้ ตาลอ่อน แต่ถา้ จีโนไทป์ สิ่ ง แวดล้ อ มมี
มีเฉพาะแอลลีลด้อยก็จะไม่มีการสร้างเมลานินท�าให้มีตาสีฟา เซลล์
ผลต่เยืออ่ ลับุขกา้ ษณะ
งแก้ม
นอกจากนั้นลักณะความสูง การให้นมของวัว และขนาดของ ทางพันธุกรรม
ผลไม้ ก็เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่มีการแปรผันต่อเนื่อง ที่มีการแปรผันต่อเนื่องหรือ
เช่นกัน ลักษณะเชิงปริมาณ อย่างไร
แนวตอบ H.O.T.S.
สิง่ แวดลอมจะมีผลตอลักษณะทางพันธุกรรมที่
มีการแปรผันแบบตอเนื่อง เนื่องจากลักษณะทาง
กายภาพบางอยาง เชน แสงแดดที่มีผลตอการ
สรางเมลานินของสีผวิ ทําใหสผี วิ เขมขึน้ ได อาหาร
ภาพที่ 4.15 ลักษณะสีตาถูกควบคุมด้วยยีนหลายคู่แบบพอลิยีน ที่รับประทานที่มีผลตอนํ้าหนักและความสูง หาก
การถ่ายทอด 19
ทางพันธุกรรม
ไดรบั สารอาหารทีแ่ ตกตางกัน หรือปริมาณนํา้ และ
แรธาตุทพี่ ชื ไดรบั ทีม่ ผี ลตอขนาดของผลไม เปนตน
T23
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
1. ครู สุ ม เลื อ กนั ก เรี ย นออกมาเฉลยคํ า ถามใน • การสังเกต
ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของ
กิจกรรม ลักษณะพันธุกรรมที่เปนสวนขยาย พันธุศาสตร์เมนเดล
• การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป
จิตวิทยาศาสตร์
ของพันธุศาสตรเมนเดล • ความมีเหตุผล
T24
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3.5 ยีนบนโครโมโซมเพศ 1. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า ลั ก ษณะทาง
โครโมโซมของมนุษยมีจํานวน 23 คู หรือ 46 แทง ซึ่งในเพศชายและเพศหญิงมีโครโมโซม พันธุกรรมทีผ่ า นมาจะถายทอดผานโครโมโซม
เหมือนกัน 22 คู คือ โครโมโซมรางกาย (autosome) และอีก 1 คูแตกตางกัน คือ โครโมโซมเพศ รางกาย ซึง่ พบทัง้ แอลลีลเดนและแอลลีลดอย แต
(sex chromosome) ซึง่ ในเพศหญิงมีโครโมโซมเพศเปน XX สวนเพศชายมีโครโมโซมเพศเปน XY บางลักษณะมีการถายทอดผานโครโมโซมเพศ
จากการศึกษาทีผ่ า นมาพบวาลักษณะทางพันธุกรรมถูกควบคุมดวยยีนบนโครโมโซมรางกาย ซึ่งถูกคนพบครั้งแรกโดยโทมัส ฮันต มอรแกน
และมีการถายทอดลักษณะตามกฎของเมนเดล ทั้งความผิดปกติของแอลลีลเดน ซึ่ง1หากมีแอลลีล 2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาแผนภาพการถ า ยทอด
เดนเพียงแอลลีลเดียวก็จะแสดงลักษณะความผิดปกติออกมาทันที เชน โรคนิ้วเกิน เปนตน และ ลักษณะสีตาของแมลงหวี่
ความผิดปกติของแอลลีลดอย ซึ่งจะแสดงลักษณะความผิดปกติออกมาก็ตอเมื่อคูของยีนนั้น
เปนแอลลีลดอยทั้งคู แตหากมีแอลลีลดอยเพียงแอลลี
2 ลเดียวก็จะไม 3 แสดงความผิดปกติออกมา
เนื่องจากถูกแอลลีลเดนขมอยู เชน โรคผิวเผือก โรคธาลัสซีเมีย เปนตน รวมถึงการถายทอด
ลักษณะพันธุกรรมดวยยีนบนโครโมโซมรางกายที่เปนสวนขยายของพันธุศาสตรเมนเดล เชน
หมูเลือดระบบ ABO สีผิว สีตา เปนตน
ในป พ.ศ. 2453 โทมัส ฮันต มอรแกน เพศเมีย เพศผู
( Thomas Hunt Morgan ) นั ก วิ จั ย ด า น
เอ็มบริโอของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ประเทศ
สหรัฐอเมริกา พบลักษณะพันธุกรรมที่ควบคุม
ด ว ยยี น บนโครโมโซมเพศเป น ครั้ ง แรกจาก
การทดลองเลี้ยงและผสมพันธุแมลงหวี่ ซึ่งมี
โครโมโซม 4 คู ประกอบดวยโครโมโซมรางกาย
3 คู และโครโมโซมเพศ 1 คู ซึ่งแมลงหวี่เพศ โครโมโซม X
เมียมีโครโมโซมเพศเปน XX และแมลงหวี่ โครโมโซม Y
เพศผูมีโครโมโซมเพศเปน XY เชนเดียวกับ
โครโมโซมเพศของคน ภาพที่ 4.16 โครโมโซมเพศของแมลงหวี่
มอรแกนทดลองผสมพันธุแมลงหวี่เปน
จํานวนหลายรุน ทําใหไดลูกหลานเปนจํานวน
มาก จากการสังเกตพบวาแมลงหวีเ่ พศผูบ างตัว
มีตาสีขาว ซึ่งแตกตางจากแมลงหวี่สวนใหญที่
มีตาสีแดง มอรแกนจึงเรียกแมลงหวี่ตาสีขาว
เหลานี้วาสายพันธุกลายหรือฟโนไทปที่กลาย
พันธุ (mutant phenotype) เนื่องจากเกิดการ
กลายพันธุจากแอลลีลของสายพันธุปกติที่มี
ตาสีแดง ภาพที่ 4.17 สีตาที่แตกตางกันของแมลงหวี่
การถ่ายทอด 21
ทางพันธุกรรม
T25
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3. ครูถามคําถามนักเรียนวา จากนั้นมอร์แกนจึงผสมพันธุ์แมลงหวี่เพศเมียตาสีแดงกับแมลงหวี่เพศผู้ตาสีขาว ได้รุ่น F1
• ยี น ควบคุ ม สี ต าของแมลงหวี่ ถู ก ควบคุ ม มีตาสีแดงทั้งหมด แล้วจึงน�ารุ่น F1 มาผสมพันธุ์กันเอง ได้รุ่น F2 ซึ่งเพศเมียทุกตัวมีตาสีแดง แต่
อยางไร และมีการถายทอดลักษณะสีตา เพศผู้มีตาสีแดงต่อตาสีขาว ในอัตราส่วน 1 : 1 และจะพบแมลงหวี่ตาสีขาวเฉพาะในเพศผู้เท่านั้น
อยางไร มอร์แกนจึงสรุปว่า สีตาของแมลงหวี่มีความเชื่อมโยงกับเพศ
(แนวตอบ สีตาของแมลงหวี่ถูกควบคุมดวย จากผลการทดลองดังกล่าว มอร์แกนให้เหตุผลว่า ยีนที่ควบคุมลักษณะสีตาของแมลงหวี่อยู่
ยี น บนโครโมโซม X ซึ่ ง แมลงหวี่ เ พศผู มี บนโครโมโซม X โดยแอลลีลควบคุมตาสีแดงจะแสดงลักษณะข่มแอลลีลควบคุมตาสีขาว ขณะ
โครโซมเพศเปน XY เมือ่ ไดรบั แอลลีลควบคุม ที่โครโมโซม Y ไม่มียีนควบคุมสีตา โดยแมลงหวี่รุ่นลูกเพศผู้จะได้รับโครโมโซม X จากแม่และ
ตาสีขาวมาจะแสดงลักษณะตาสีขาวทันที โครโมโซม Y จากพ่อ ส่วนแมลงหวีเ่ พศเมียจะได้รบั โครโมโซม X จากพ่อและแม่ ซึง่ แมลงหวีร่ นุ่ ลูก
สวนเพศเมียตองไดรับแอลลีลควบคุมตา เพศผู้ที่มียีนควบคุมตาสีขาวเพียงแอลลีลเดียวก็จะแสดงลักษณะตาสีขาวออกมา ขณะที่แมลงหวี่
สีขาวทั้ง 2 แอลลีล จึงจะแสดงลักษณะตา เพศเมียจะต้องมีแอลลีลควบคุมตาสีขาวทั้งคู่ ถึงจะแสดงลักษณะตาสีขาวออกมา
สีขาวออกมา ทําใหพบแมลงหวี่เพศผูมีตา
สีขาวมากกวาแมลงหวี่เพศเมีย)
รุ่น P ×
4. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า ยี น ที่ ค วบคุ ม
ลักษณะสีตาของแมลงหวีอ่ ยูบ นโครโมโซมเพศ
เซลล์สืบพันธุ์ โครโมโซม X ที่มีแอลลีลตาสีแดง
X โดยแอลลีลควบคุมตาสีแดงจะขมแอลลีล
ควบคุมตาสีขาว ซึ่งเพศผูมีโครโมโซมเพศเปน โครโมโซม X ที่มีแอลลีลตาสีขาว
โครโมโซม Y
XY ถาไดรับแอลลีลตาสีขาวมาจะแสดงออก
ทันที แตเพศเมียมีโครโมโซมเพศเปน XX จะ
ตองไดรับแอลลีลตาสีขาวทั้ง 2 แอลลีล จึงจะ รุ่น F1 ×
แสดงลักษณะตาสีขาวออกมา โดยเรียกยีนที่
ถายทอดลักษณะผานโครโมโซมเพศ X นี้วา
ยีนที่เกี่ยวเนื่องกับ X เซลล์สืบพันธุ์
รุ่น F2
T26
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
มอร์แกนเรียกยีนที่ถ่ายทอดผ่านโครโมโซมเพศของแมลงหวี่นี้ว่า ยีนที่เกี่ยวเนื่องกับเพศ 5. ครูยกตัวอยางยีนที่เกี่ยวเนื่องกับ X เชน ยีน
(sex-linked gene) ซึ่งเป็นการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่ควบคุมโดยยีนบนโครโมโซมเพศ ควบคุมโรคตาบอดสี และใหนกั เรียนศึกษาแผนผัง
เท่านั้น แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เพดดรี ก รี ข องครอบครั ว หนึ่ ง ที่ พ อ ตาบอดสี
1) ยีนบน X (X-linked gene) เป็นยีนทีม่ ตี า� แหน่งอยูบ่ นโครโมโซม X ซึง่ พบทัง้ แอลลีลเด่น และแมสายตาปกติ จึงมีโอกาสที่จะมีลูกสาว
และแอลลีลด้อย แต่สว่ นมากมักพบเป็นแอลลีลด้อยมากกว่า และจะพบในเพศชายมากกว่าเพศหญิง และลูกชายเปนตาบอดสีที่แตกตางกัน
เนื่องจากเพศชายมีโครโมโซม X เพียงแท่งเดียว และบางยีนก็ก่อให้เกิดโรคหรือลักษณะผิดปกติ 6. ครูถามคําถามนักเรียนวา
เช่น • การแสดงออกของโรคตาบอดสีของมนุษยใน
ลักษณะตาบอดสีเขียวแดง (green and red color blindness) เป็นลักษณะที่ควบคุมโดย เพศชายและเพศหญิงแตกตางกันอยางไร
ยีนบนโครโมโซม X ซึง่ เป็นแอลลีลด้อย การศึกษาลักษณะตาบอดสีของครอบครัวสามารถน�ามาเขียน (แนวตอบ โรคตาบอดสีของมนุษยเปนแอลลีล
พันธุประวัติ (pedigree) ซึ่งเป็นแผนผังแสดงความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของบุคคลต่าง ๆ ใน ดอยที่อยูบนโครโมโซม X ดังนั้น เพศชาย
ครอบครัว ซึง่ สามารถใช้ศกึ ษารูปแบบการถ่ายทอดทางพันธุกรรมของลักษณะทีส่ นใจ เช่น โรคทาง เมื่อไดรับแอลลีลดอยของโรคตาบอดสีจะ
พันธุกรรมทีถ่ กู ควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซมร่างกายและโครโมโซมเพศ เป็นต้น โดยใช้สญั ลักษณ์ แสดงอาการของโรคตาบอดสีทนั ที เนือ่ งจาก
แสดงแทนตัวบุคคล เพศ ลักษณะพันธุกรรมทีป่ กติหรือผิดปกติ และความสัมพันธ์ตา่ ง ๆ ในครอบครัว มีโครโมโซม X เพียงโครโมโซมเดียว แต
จากการศึกษาพันธุประวัติของครอบครัวหนึ่งที่แม่สายตาปกติ แต่พ่อเป็นตาบอดสี ดังนี้ สําหรับเพศหญิงตองไดรับแอลลีลดอยทั้ง 2
แอลลีล จึงจะแสดงอาการของโรคออกมา)
ความหมายสัญลักษณ์
7. ครูถามคําถามนักเรียนวา
I ชายและหญิงปกติ
• ยีนที่พบบนโครโมโซม Y จะสามารถพบใน
ชายและหญิงที่มีลักษณะผิด
ปกติหรือเป็นโรค เพศหญิงไดหรือไม
II ชายและหญิงแต่งงานกัน ( แนวตอบ ยี น ที่ อ ยู บ นโครโมโซม Y จะมี
III
ชายและหญิ ง แต่ ง งานกั น มี
บุตร 3 คน โดยคนที่ 1 และ
การแสดงออกเฉพาะในเพศชายเท า นั้ น
คนที่ 3 เป็นชาย ส่วนคนที่ 2 เนื่องจากเพศหญิงไมมีโครโมโซม Y)
เป็นหญิง
ภาพที่ 4.19
ไม่ระบุเพศ
8. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า ยี น ที่ พ บบน
I II III IV รุ่นที่ โครโมโซม Y จะพบเฉพาะในเพศชาย เนือ่ งจาก
เพศหญิงไมมีโครโมโซม Y ดังนั้น ยีนที่อยูบน
โครโมโซม Y จึงเปนการถายทอดลักษณะจาก
หากก�าหนดให้ C แทนแอลลีลควบคุมลักษณะตาปกติ และ c แทนแอลลีลควบคุมลักษณะ
พอสูล กู ชาย และจากลูกชายสูห ลานชายเทานัน้
ตาบอดสีจากพันธุประวัตขิ องครอบครัวนี้ แสดงให้เห็นว่า ในรุน่ ที่ III ลูกชายคนแรกของครอบครัว
ที่ 1 และ 2 มีจีโนไทป์แบบ XcY ซึ่งมีลักษณะตาบอดสี ดังนั้น ลูกชายคนแรกจาก 2 ครอบครัวนี้ อธิบายความรู้
ต้องไปรับแอลลีลตาบอดสีมาจากแม่ เนือ่ งจากลูกชายจะรับโครโมโซม X จากแม่ จึงท�าให้ทราบว่า
หญิงคนที่ 1 และ 2 ในรุ่นที่ II มีจีโนไทป์แบบ XCXc ซึ่งเป็นพาหะ เพราะรับแอลลีลตาบอดสี Xc 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
มาจากพ่อในรุ่นที่ 1 ถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมที่ควบคุมโดย
ยีนบนโครโมโซมเพศ
การถ่ายทอด 23 2. ครูใหนกั เรียนทําใบงาน เรือ่ ง ถายทอดลักษณะ
ทางพันธุกรรม
ทางพันธุกรรมทีค่ วบคุมโดยยีนบนโครโมโซมเพศ
T27
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครู ส รุ ป หลั ก การการถ า ยทอดลั ก ษณะทาง โรคฮีโมฟเลีย (hemophilia) เป็นความผิดปกติจากแอลลีล Biology
พันธุกรรมผานยีนบนโครโมโซมพศ และการ in real life
ด้อยบนโครโมโซม X ซึ่งเกิดจากการขาดโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับ
คูส่ มรสทีเ่ ป็นโรคหรือเป็นพาหะ
เขียนพันธุประวัติใหนักเรียนทราบ การแข็งตัวของเลือด เมื่อเกิดบาดแผลจึงมีเลือดออกนานกว่า ของโรคทางพั น ธุ ก รรมจะมี
2. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรม การแกโจทยปญหา ปกติเพราะร่างกายสร้างลิ่มเลือดได้ช้า ปัจจุบันคนที่เป็นโรค ความเสี่ยงที่จะให้ก�าเนิดบุตรที่
เรือ่ งลักษณะทางพันธุกรรมทีค่ วบคุมโดยยีนบน ฮีโมฟิเลียสามารถรักษาได้โดยการฉีดโปรตีนทีท่ า� ให้เลือดแข็งตัว มีความผิดปกติทางพันธุกรรม
โครโมโซมเพศ โดยบันทึกลงสมุดบันทึกของ โรคภาวะพร่องเอนไซม์ G-6-PD (glucose-6-phosphate เช่น โรคตาบอดสี โรคฮีโมฟีเลีย
โรคกลุม่ อาการดาวน์ เป็นต้น จึง
นักเรียน dehydrogenase deficiency) เป็นความผิดปกติจากแอลลีลด้อย ควรตรวจหาความผิดปกติทาง
บนโครโมโซม X ซึ่งเกิดจากร่างกายขาดเอนไซม์กลูโคส-6- พันธุกรรมของทารกในครรภ์ ซึง่
ฟอสเฟตดีไฮโดรจีเนส (glucose-6-phosphate dehydrogenase) สามารถตรวจได้เมื่ออายุครรภ์
ทีช่ ว่ ยปองกันการแตกตัวของเซลล์เม็ดเลือดแดงจากการท�าลาย หลังประมาณ 12-18 สัปดาห์
1 โดยตรวจจากชิ้ น เนื้ อ ของรก
ของสารอนุมูลอิสระ ผู้ที่ขาดเอนไซม์นี้จะมีอาการแพ้ยารักษา การเจาะน�้าคร�่า หรือการตรวจ
โรคมาลาเรีย ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวดลดไข้ และอาหารบางชนิด เลือดจากสายสะดือทารก
ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาที่จ�าเพาะนอกเหนือจากการหลีกเลี่ยง
ตัวกระตุ้นต่าง ๆ
โรคทางพันธุกรรมทีเ่ กิดจากแอลลีลเด่นบนโครโมโซม X พบได้นอ้ ย เช่น โรคมนุษย์หมาปา
(congenital generalized hypertrichosis) ซึง่ จะมีขนยาวบริเวณใบหน้า ล�าตัว แขนและขา เป็นต้น
2) ยีนบน Y (Y-linked gene) เป็นยีนที่มีต�าแหน่งอยู่บนโครโมโซม Y ท�าหน้าที่ควบคุม
ลักษณะของเพศชาย ซึง่ การถ่ายทอดยีนบนโครโมโซม Y จะถ่ายทอดจากพ่อไปยังลูกชาย และจาก
ลูกชายไปยังหลายชายเป็นทอด ๆ ต่อกันไป นอกจากนีบ้ นโครโมโซม Y ยังมียนี ควบคุมลักษณะอืน่
ที่ไม่เกี่ยวข้องกับลักษณะทางเพศอยู่ด้วย แต่เนื่องจากโครโมโซม Y มีขนาดเล็กมาก จึงมียีนอยู่
เพียงจ�านวนน้อย ลักษณะทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดผ่านโครโมโซม Y เช่น ยีน SRY ที่ควบคุม
การสร้างอัณฑะ นิ้วเท้ามีพังผืด ผิวหนังมีสะเก็ดด�าทั้งตัว เป็นต้น
B iology
Focus การแข็งตัวของเลือด
การแข็งตัวของเลือด เป็นกระบวนการที่ท�าให้เลือดกลายเป็นลิ่มเลือดซึ่งเป็นกลไกส�าคัญของ
การห้ามเลือด เมือ่ เกิดบาดแผลเกล็ดเลือดจะเคลือ่ นทีม่ ายังบริเวณบาดแผลและปล่อยเอนไซม์ทรอมโบ-
พลาสทิน เพื่อกระตุ้นให้โพรทรอมบินเปลี่ยนเป็นทรอมบิน จากนั้นทรอมบินจะกระตุ้นให้ไฟบริโนเจน
เปลี่ยนเป็นไฟบริน และเข้าจับกับเกล็ดเลือดกลายเป็นลิ่มเลือดเพื่ออุดรอยรั่วของหลอดเลือดให้เลือด
ไม่ไหลออกจากหลอดเลือด
24
T28
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การสังเกต
1. ครู สุ ม เลื อ กนั ก เรี ย นออกมาเฉลยคํ า ถามใน
ลักษณะทางพันธุกรรมที่ควบคุมโดยยีน
บนโครโมโซมเพศ
• การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป กิ จ กรรม โดยการแสดงวิ ธีทํ า หน า ชั้ น เรี ย น
จิตวิทยาศาสตร์
• ความมีเหตุผล
คนละ 1 ขอ
จงตอบค�าถามต่อไปนี้ • ความรอบคอบ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายกิจกรรม การ
1. ชายคนหนึง่ ตาบอดสี มีพอ่ ตาปกติ จงหาจีโนไทป์ของแม่ หากก�าหนดให้ C แทนแอลลีลเด่นส�าหรับตาปกติ แกโจทยปญหาเรื่องลักษณะทางพันธุกรรมที่
และ c แทนแอลลีลด้อยส�าหรับตาบอดสีบนโครโมโซม X ควบคุมโดยยีนบนโครโมโซมเพศ
2. ถ้าชายตาบอดสีแต่งงานกับหญิงตาปกติแต่เป็นพาหะของโรคตาบอดสี จะมีโอกาสที่ลูกชายและลูกสาว 3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
ตาบอดสีได้ร้อยละเท่าใด ชีววิทยา ม.4 เลม 2
3. ถ้าชายตาบอดสีแต่งงานกับหญิงตาปกติและไม่เป็นพาหะของโรคตาบอดสี จะเป็นไปได้หรือไม่ทจี่ ะมีลกู ชาย
หรือลูกสาวตาบอดสี เพราะเหตุใด
4. จากพันธุประวัติของครอบครัวหนึ่งที่มีประวัติเกี่ยวกับโรคฮีโมฟิเลีย ดังนี้
ารคิดแนว O-NET
ขอสอบเนนกการคิ
ชายเปนโรคตาบอดสีแตงงานกับหญิงตาปกติแตมีพอตาบอดสี โอกาสที่จะมีลูกสาวเปนโรคตาบอดสีเปนเทาใด
1. รอยละ 0 2. รอยละ 12.5
3. รอยละ 25 4. รอยละ 50
5. รอยละ 75
(วิเคราะหคําตอบ ชายเปนโรคตาบอดสี × หญิงตาปกติแตมีพอตาบอดสี
c
จีโนไทปของพอแม XY × XCXc
เซลลสืบพันธุ 1/2Xc , ½1/2Y × 1/2XC , ½1/2Xc
จีโนไทปของลูก ¼1/4XCXc 1/4XcXc 1/4XCY 1/4XcY
ฟโนไทปของลูก ลูกสาวตาปกติ ลูกสาวตาบอดสี ลูกชายตาปกติ ลูกชายตาบอดสี
(พาหะ)
โอกาสที่จะมีลูกสาวเปนโรคตาบอดสี เทากับรอยละ 25
ดังนั้น ตอบขอ 3.)
T29
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูยกตัวอยางการผสมพันธุระหวางแมลงหวี่ 3.6 ยีนบนโครโมโซมเดียวกัน
ตัวสีนาํ้ ตาลปกตรงทีเ่ ปนเฮเทอโรไซกัส (BbCc) โครโมโซมหนึ่งโครโมโซมประกอบด้วยยีนจ�ำนวนมำกซึ่ง
กับแมลงหวี่ตัวสีดําปกโคงที่เปนฮอมอไซกัส ยีนบำงยีนอำจมีต�ำแหน่งบนโครโมโซมใกล้กันและมีแนวโน้ม
(bbcc) แลวถามคําถามนักเรียนวา จะถูกถ่ำยทอดไปด้วยกันได้
• การสรางเซลลสืบพันธุ และโอกาสของลูก ในปี พ.ศ. 2446 วอลเตอร์ ชัตตัน (Walter Shutton) กล่ำวว่ำ
รุน F1 วาเปนอยางไร ที่อัตราสวนเทาใด ถา “โครโมโซมเป็นแหล่งรวมของยีน ซึ่งโครโมโซมหนึ่งโครโมโซม
การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมนีเ้ ปนไป ประกอบด้วยยีนเป็นจ�ำนวนมำก โดยยีน 2 โลคัสหรือมำกกว่ำ ยีน A
ตามหลักพันธุศาสตรของเมนเดล 2 โลคัส ที่อยู่บนโครโมโซมเดียวกันสำมำรถถ่ ยีน B
1 ำยทอดไปด้วยกัน
(แนวตอบ ตัวสีนํ้าตาลปกตรงที่เปนเฮเทอโร- เรียกยีนที่ถูกถ่ำยทอดไปด้วยกันว่ำ ลิงค์เกจ (linkage)” ซึ่งส่วน ภำพที่ 4.21 ยีนที่อยู่ใกล้กันบน
ไซกัสจะสรางเซลลสืบพันธุได 4 ชนิด คือ มำกยีนที่อยู่ใกล้กันจะมีโอกำสถ่ำยทอดไปด้วยกันมำกกว่ 2 ำยีนที่ โครโมโซมเดียวกันมีโอกำสเป็น
BC Bc bC bc และแมลงหวี่ตัวสีดําปกโคง จเกิดครอสซิงโอเวอร์
อยู่ไกลกัน เพรำะยีนที่อยู่ไกลอำจเกิ ลิงค์เกจกัน
ที่เปนฮอมอไซกัสจะสรางเซลลสืบพันธุได ในเวลำต่อมำนักวิทยำศำสตร์ได้ศึกษำ
เพียงชนิดเดียว คือ bc ทําใหรุน F1 จะมี ลักษณะต่ำง ๆ ของแมลงหวี่ เช่น ชนิดของปีก
ลักษณะที่แสดงออกมา 4 ลักษณะ คือ ตัว สีตำ ควำมยำวของขำ และชนิดของหนวด
สีนาํ้ ตาลปกตรง (BbCc) ตัวสีนาํ้ ตาลปกโคง เป็นต้น จึงพบยีนที่ควบคุมลักษณะต่ำง ๆ ของ
(Bbcc) ตัวสีดาํ ปกตรง (bbCc) และตัวสีดาํ แมลงหวี่ เช่น ยีนที่ควบคุมลักษณะสีตัวและยีน
ปกโคง (bbcc) ในอัตราสวน 1 : 1 : 1 : 1) ที่ควบคุมลักษณะปีก เป็นต้น
ภำพที่ 4.22 ลักษณะของปีกและสีตำที่แตกต่ำงกันของ
แมลงหวี่
ก�ำหนดให้ ยีนทีค่ วบคุมลักษณะสีตวั โดยแอลลีลควบคุมตัวสีนำ�้ ตำลเป็นแอลลีลเด่น (B) และ
แอลลีลควบคุมตัวสีดำ� เป็นแอลลีลด้อย (b) และยีนทีค่ วบคุมลักษณะปีก โดยแอลลีลควบคุมปีกตรง
เป็นแอลลีลเด่น (C) และแอลลีลควบคุมปีกโค้งเป็นแอลลีลด้อย (c)
ในกำรผสมพันธุแ์ มลงหวีต่ วั สีนำ�้ ตำลปีกตรงทีเ่ ป็นเฮเทอโรไซกัส (BbCc) กับแมลงหวีต่ วั สีดำ�
ปีกโค้ง (bbcc) พบว่ำ หำกเป็นไปตำมกฎแห่งกำรรวมกลุ่มอย่ำงอิสระของเมนเดล แมลงหวี่
ตัวสีน�้ำตำลปีกตรงที่เป็นเฮเทอโรไซกัสจะสร้ำงเซลล์สืบพันธุ์ได้ 4 รูปแบบ คือ BC Bc bC และ bc
ส่วนแมลงหวี่ตัวสีด�ำปีกโค้งจะสร้ำงเซลล์สืบพันธุ์เพียงรูปแบบเดียว คือ bc ซึ่งฟีโนไทป์ของ
รุน่ F1 น่ำจะมีลกั ษณะทีแ่ สดงออกมำ 4 ลักษณะ คือ ตัวสีนำ�้ ตำลปีกตรง (BbCc) ตัวสีนำ�้ ตำลปีกโค้ง
(Bbcc) ตัวสีด�ำปีกตรง (bbCc) และตัวสีด�ำปีกโค้ง (bbcc) ในอัตรำส่วน 1 : 1 : 1 : 1 ตำมล�ำดับ
แต่จำกกำรทดลอง พบว่ำ รุ่น F1 ที่ได้มีฟีโนไทป์เพียง 2 ลักษณะเท่ำนั้น คือ ตัวสีน�้ำตำลปีกตรง
(BbCc) และตัวสีด�ำปีกโค้ง (bbcc) ในอัตรำส่วน 1 : 1 ซึ่งไม่เป็นไปตำมกฎกำรรวมกลุ่มอย่ำง
อิสระของเมนเดล
26
T30
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
จากผลการทดลองแสดงว่า แมลงหวี่ตัวสีน�้าตาลปีกตรงในรุ่นพ่อแม่ที่มีจีโนไทป์เป็นเฮเทอ- 2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การผสมพันธุของ
โรไซกัสสามารถสร้างเซลล์สืบพันธุ์ได้เพียง 2 แบบเท่านั้น คือ BC และ bc ส่วนแมลงหวี่ตัว แมลงหวี่ไมเปนไปตามหลักพันธุศาสตรของ
สีดา� ปีกโค้งสร้างเซลล์สบื พันธุเ์ พียงแบบเดียว คือ bc เนือ่ งจากแอลลีล B และ C อยูบ่ นโครโมโซมเดียวกัน เมนเดล เนือ่ งจากรุน ลูก F1 ทีเ่ กิดขึน้ มีฟโ นไทป
เช่นเดียวกับแอลลีล b และ c ก็อยู่บนโครโมโซมเดียวกันซึ่งเป็นฮอมอโลกัสโครโมโซมกัน และจะ เพียง 2 ลักษณะเทานัน้ คือ ตัวสีนาํ้ ตาลปกตรง
ถูกถ่ายทอดไปด้วยกันเมือ่ มีการสร้างเซลล์สบื พันธุ์ เรียกแอลลีลของยีนทีถ่ กู ถ่ายทอดไปด้วยกันนีว้ า่ (BbCc) และตัวสีดําปกโคง (bbcc) ในอัตรา
ลิงค์ยีน (linked genes) แสดงว่ายีนที่ควบคุมลักษณะสีตัวและลักษณะของปีกอยู่บนโครโมโซม สวน 1 : 1 เนื่องจากตัวสีนํ้าตาลปกตรงที่เปน
เดียวกันและเป็นลิงค์ยีนกัน เฮเทอโรไซกั ส สามารถสร า งเซลล สื บ พั น ธุ
ตัวสีน�้าตาลปีกตรง × ตัวสีด�าปีกโค้ง เพียง 2 แบบเทานั้น คือ BC และ bc จึงทําให
รุ่น P
รุ น ลู ก ที่ เ กิ ด มามี ลั ก ษณะฟ โ นไทป เ พี ย ง
2 ลักษณะเทานั้น โดยแอลลีล B กับ C และ
แอลลีล b กับ c ที่อยูบนโครโมโซมเดียวกัน
จะถูกถายทอดไปดวยกันเมื่อมีการสรางเซลล
รุ่น F1 สืบพันธุ เรียกยีนเหลานี้วาเปน ลิงคยีน แต
ยี น ที่ เ ป น ลิ ง ค ยี น กั น อาจไม ถู ก ถ า ยทอดไป
ตัวสีน�้าตาลปีกตรง ตัวสีด�าปีกโค้ง
ภาพที่ 4.23 การถ่ายทอดยีนที่อยู่บนโครโมโซมเดียวกันในแมลงหวี่
ดวยกัน หากระหวางการแบงเซลลสืบพันธุ
เกิดครอสซิงโอเวอร (crossing over) ซึ่งทําให
อย่างไรก็ตาม แอลลีลของยีนที่เป็นฮอมอโลกัสโครโมโซมกันสามารถแลกเปลี่ยนชิ้นส่วน ยีนที่เคยถูกถายทอดไปดวยกันอาจแยกออก
1
โครมาทิดของฮอโมโลกัสโครโมโซมในระหว่างการเข้าคู่กันในระยะโพรเฟส I เรียกปรากฏการณ์นี้ จากกันไปยังเซลลสืบพันธุที่ตางกัน
ว่าการไขว้เปลี่ยนหรือครอสซิงโอเวอร์ (crossing over) ท�าให้ยีนที่เคยถ่ายทอดไปด้วยกันบางส่วน
สามารถแยกออกจากกันไปยังเซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์ และจะท�าให้มีเซลล์สืบพันธุ์จ�านวนหนึ่ง
แตกต่างไปจากเดิม
การถ่ายทอด 27
ทางพันธุกรรม
ฮอมอโลกัสโครโมโซม
T31
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3. ครูใหนักเรียนศึกษาแผนภาพการผสมพันธุ โดยปกติการผสมพันธุ์แมลงหวี่ตัวสีน�้าตาลปีกตรงที่เป็นเฮเทอโรไซกัส (BbCc) กับแมลงหวี่
ระหว า งแมลงหวี่ ตั ว สี นํ้ า ตาลป ก ตรงที่ เ ป น ตัวสีด�าปีกโค้ง (bbcc) ควรจะได้รุ่น F1 มีฟีโนไทป์เพียง 2 ลักษณะเท่านั้น คือ ตัวสีน�้าตาลปีกตรง
เฮเทอโรไซกัส (BbCc) กับแมลงหวี่ตัวสีดํา (BbCc) และตัวสีดา� ปีกโค้ง (bbcc) แต่หากเกิดปรากฏการณ์ครอสซิงโอเวอร์ขนึ้ ในระหว่างการสร้าง
ปกโคงที่เปนฮอมอไซกัส (bbcc) ซึ่งจะได เซลล์สืบพันธุ์ จะท�าให้เซลล์สืบพันธุ์จ�านวนหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เช่น จากเซลล์สืบพันธุ์
รุน F1 มีฟโ นไทป 4 ลักษณะ แลวถามคําถาม ชนิดปกติ BC และ bc เปลีย่ นเป็นเซลล์สบื พันธุช์ นิด Bc และ bC ท�าให้รนุ่ F1 ทีไ่ ด้แตกต่างจากเดิม
นักเรียนวา โดยมีฟโี นไทป์ 4 ลักษณะ คือ ตัวสีนา�้ ตาลปีกตรง (BbCc) ตัวสีนา�้ ตาลปีกโค้ง (Bbcc) ตัวสีดา� ปีกตรง
• ทําไมรุนลูก F1 จึงมีลักษณะฟโนไทปถึง 4 (bbCc) และตัวสีด�าปีกโค้ง (bbcc) เป็นต้น แต่ปริมาณลูก F1 ที่เกิดจากการคลอสซิงโอเวอร์นั้น
ลักษณะ ทั้งๆ ที่แอลลีล B กับ C และ จะเกิดในปริมาณน้อยกว่าเมื่อเทียบกับลูกที่เกิดจากลิงค์ยีนตามปกติ
แอลลีล b กับ c เปนลิงคเกจกัน ตัวสีน�้าตาลปีกตรง × ตัวสีด�าปีกโค้ง
(แนวตอบ ในระหวางการสรางเซลลสืบพันธุ
รุ่น P
จะเกิดปรากฏการณครอสซิงโอเวอร ทําให
ยี น ที่ ถู ก ถ า ยทอดไปด ว ยกั น แยกออกจาก
กัน เชน แอลลีล B กับ C และ b กับ c ที่
รุ่น F1
จะถายทอดไปดวยกัน ถูกแยกออกจากกัน
ทําใหเซลลสบื พันธุเ ปลีย่ นแปลงไปจากปกติ)
4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ในระหวางการ
ตัวสีน�้าตาลปีกตรง ตัวสีด�าปีกตรง ตัวสีน�้าตาลปีกโค้ง ตัวสีด�าปีกโค้ง
สร า งเซลล สื บ พั น ธุ อ าจเกิ ด ปรากฏการณ
ครอสซิงโอเวอร ทําใหเซลลสืบพันธุบางเซลล ภาพที่ 4.25 การเกิดคลอสซิงโอเวอร์ในการผสมพันธุ์แมลงหวี่ตัวสีน�้าตาลปีกตรงกับตัวสีด�าปีกโค้ง
เปลีย่ นแปลงไป เชน จากเซลลสบื พันธุป กติ BC 1
อย่างไรก็ตาม โอกาสในการเกิดครอสซิงโอเวอร์ของกลุ่มยีน B และ b กับกลุ่มยีน C และ c
และ bc เปลี่ยนเปน Bc และ bC จึงทําใหรุน จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับระยะห่างระหว่างยีนทั้ง 2 กลุ่ม ซึ่งหากยีน 2 กลุ่มอยู่ใกล้กันมากโอกาส
F1 มีฟโนไทปแตกตางจากปกติ เกิดครอสซิงโอเวอร์จะมีนอ้ ย แต่หากยีนอยูไ่ กลกันโอกาสเกิดครอสซิงโอเวอร์จะมากขึน้ ตามล�าดับ
อธิบายความรู้ 3.7 ลักษณะภายใต้อิทธิพลเพศ
ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ ลักษณะทางพันธุกรรมบางลักษณะถูกควบคุมด้วยยีนบน
การถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมผานยีนบน โครโมโซมร่างกายและมีฮอร์โมนเพศควบคุม ซึง่ มีการแสดงออก
โครโมโซมเดียวกัน ในแต่ละเพศไม่เท่ากัน เรียกลักษณะเหล่านี้ว่า ลักษณะภายใต้
อิทธิพลเพศ (sex-influenced trait) เช่น ลักษณะศีรษะล้าน
ในคน เป็นต้น ภาพที่ 4.26 ลักษณะศีรษะล้าน
ของคนอยู่ภายใต้อิทธิพลเพศ
28
T32
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ก�าหนดให้ B เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะศีรษะล้าน และ B+ เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะศีรษะ 1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา บางลักษณะมียีน
ควบคุมอยูบ นโครโมโซมรางกาย แตมฮี อรโมน
ไม่ลา้ น ซึง่ ในเพศชายและเพศหญิงมีจโี นไทป์และฟีโนไทป์แสดงลักษณะศีรษะล้านแตกต่างกัน ดังนี้
เพศมาควบคุม จึงแสดงออกในแตละเพศแตก
ตารางที่ 4.4 : จีโนไทป์และฟีโนไทป์ของลักษณะศีรษะล้านในเพศชายและเพศหญิง ตางกัน เรียกวา ลักษณะภายใตอทิ ธิพลเพศ
จีโนไทป์
ฟีโนไทป์ 2. ครูใหนกั เรียนศึกษา การแสดงออกของลักษณะ
เพศชาย เพศหญิง ศีรษะลาน และถามคําถามนักเรียนวา
BB ศีรษะล้าน ศีรษะล้าน • เพศชายและเพศหญิงมีการแสดงออกของ
BB+ ศีรษะล้าน ศีรษะไม่ล้าน ลักษณะศีรษะลานตางกันอยางไร
B+B+ ศีรษะไม่ล้าน ศีรษะไม่ล้าน (แนวตอบ ศีรษะลานจะแสดงออกในเพศชายได
แมไดรับแอลลีลควบคุมเพียงแอลลีลเดียว
การแสดงออกของลักษณะศีรษะล้านแสดงให้เห็นว่า ยีนควบคุมลักษณะศีรษะล้านเป็นแอลลีล แตในเพศหญิงตองไดรับแอลลีลควบคุม 2
เด่นในเพศชาย แต่เป็นแอลลีลด้อยในเพศหญิง ท�าให้เพศชายมีโอกาสเกิดศีรษะล้านมากกว่าเพศหญิง แอลลีล จึงจะแสดงลักษณะศีรษะลาน)
3.8 ลักษณะที่จ�ากัดในเพศ 3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา แอลลีลควบคุม
ลักษณะทางพันธุกรรมที่ถูกควบคุมด้วยยีนบนโครโมโซม ลักษณะศีรษะลานเปนแอลลีลเดนในเพศชาย
แตเปนแอลลีลดอยในเพศหญิง
ร่างกาย บางลักษณะขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้
1 อมภายในร่างกาย 4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา บางลักษณะมียีน
ของแต่ละเพศ เช่น ระดับฮอร์โมน ท�าให้มีการแสดงออก ควบคุมอยูบนโครโมโซมรางกาย แตจะแสดง
เพียงเพศใดเพศหนึ่งเท่านั้น เรียกว่า ลักษณะที่จ�ากัดในเพศ ลักษณะเพียงเพศใดเพศหนึง่ เรียกวา ลักษณะ
(sex limited traits) เช่น ขนหางของไก่ ซึ่งปกติไก่เพศผู้จะมี จํากัดในเพศ
ขน 2 แบบ คือหางยาวโค้ง เรียกว่า ขนแบบค็อก (cock feather) ภาพที่ 4.27 ลักษณะขนแบบค็อกใน 5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาการแสดงออกของขน
ไก่เพศผู้ และแบบเฮนในไก่เพศเมีย
และขนหางสัน้ ตรง เรียกว่า ขนแบบเฮน (hen feather) แต่เพศเมีย หางไกเพศผูและเพศเมีย และถามนักเรียนวา
มีขนหางสั้นเพียงแบบเดียวเท่านั้น • ไกเพศผูแ ละไกเพศเมียมีการแสดงออกของ
ก�าหนดให้ H เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะขนแบบเฮน และ h เป็นแอลลีลควบคุมลักษณะ ขนหางตางกันอยางไร
ขนแบบค็อก ซึ่งไก่เพศผู้และเพศเมียมีจีโนไทป์และฟีโนไทป์ที่แสดงขนหางแตกต่างกัน ดังนี้ (แนวตอบ ขนหางแบบค็อกจะแสดงออกใน
เพศผู ที่ ไ ด รั บ แอลลี ล ควบคุ ม 2 แอลลี ล
ตารางที่ 4.5 : จีโนไทป์และฟีโนไทป์ของลักษณะขนหางไก่ในเพศผู้และเพศเมีย
แตจะไมแสดงออกในเพศเมีย แมจะไดรับ
ฟีโนไทป์ แอลลีลควบคุม 2 แอลลีลเชนกัน)
จีโนไทป์
เพศผู้ เพศเมีย
6. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา แมไกเพศเมียจะ
HH ขนแบบเฮน ขนแบบเฮน มีแอลลีลควบคุมขนหางแบบค็อกอยูก็จะไม
Hh ขนแบบเฮน ขนแบบเฮน แสดงลักษณะออกมา เพราะจะมีการแสดง
hh ขนแบบค็อก ขนแบบเฮน เฉพาะในเพศผูเทานั้น
ลักษณะที่ปรากฏจ�าเพาะเพศอื่น ๆ เช่น แอลลีลควบคุมการผลิตน�้านมสามารถพบ
ได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง แต่จะมีการแสดงออกเฉพาะเพศหญิงเท่านั้น หรือแอลลีล อธิบายความรู
ควบคุมการมีหนวดเครา เสียงห้าว จะแสดงออกเฉพาะในเพศชายเท่านั้น การถ่ายทอด 29
ครูและนักเรียนอภิปรายรวมกันเกีย่ วกับลักษณะ
ทางพันธุกรรม
ภายใตอทิ ธิพลเพศ และลักษณะจํากัดในเพศ
T33
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
1. ครูใหนกั เรียนทําแผนผังมโนทัศน เรือ่ ง ลักษณะ
Summary
พั น ธุ ก รรมที่ เ ป น ส ว นขยายของพั น ธุ ศ าสตร
การถายทอด
เมนเดล ซึ่ ง มี เ นื้ อ หาประกอบด ว ยหลั ก การ
ทางพันธุกรรม
ถายทอดลักษณะพันธุกรรม พรอมยกตัวอยาง การศึกษาพันธุศาตร์ของเมนเดล
ลักษณะพันธุกรรมทีม่ กี ารถายทอดรูปแบบตางๆ - เมนเดลเลือกใช้ถวั่ ลัน่ เตาเป็นตัวแทนสิง่ มีชวี ติ เพือ่ ศึกษาการถ่ายทอด
2. ครูใหนักเรียนทํา Self Check เพื่อตรวจสอบ ลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรม เนื่ อ งจากถั่ ว ลั่ น เตามี อ ายุ สั้ น ปลู ก ง่ า ย
ให้เมล็ดจ�านวนมาก มีดอกสมบูรณ์เพศ และมีลักษณะที่แตกต่างกัน
ความเขาใจของตนเอง อย่างชัดเจน
3. ครูใหนกั เรียนทํา Unit Question ทายหนวยการ - การถ่ายทอดลักษณะของถั่วลันเตาถูกควบคุมด้วยยีน (gene) ที่มี
เรียนรูที่ 4 ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 2 2 แอลลีล คือ แอลลีลเด่นควบคุมลักษณะเด่น และแอลลีลด้อยควบคุม
ลักษณะด้อย ซึ่งแอลลีลเด่นจะข่มแอลลีลด้อยอย่างสมบูรณ์
4. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบทายหนวยการ - จีโนไทป์เป็นรูปแบบของยีนทีม่ แี อลลีลปรากฏเป็นคู่ เช่น PP Pp pp
เรียนรูที่ 4 ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2 ส่วนฟีโนไทป์เป็นลักษณะที่ปรากฏออกมา เช่น ดอกสีม่วง ดอกสีขาว ภาพที่ 4.28
5. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน กฎการแยกและกฎการรวมกลุ่มอย่างอิสระ
• กฎการแยก : ยีนที่เป็นคู่กันจะแยกออกจากกัน • กฎการรวมกลุ่มอย่างอิสระ: แอลลีลของยีนที่เป็น
เมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ โดยเซลล์สืบพันธุ์ คูก่ นั เมือ่ แยกออกจากกันจะจัดกลุม่ กันอย่างอิสระ
แต่ละเซลล์จะได้รับเพียงแอลลีลใดแอลลีลหนึ่ง กับแอลลีลของยีนอื่น ๆ ซึ่งแยกออกจากคู่เช่นกัน
เพื่อเข้าไปยังเซลล์สืบพันธุ์
รุ่น P กลมเหลือง RRYY ขรุขระเขียว rryy
รุ่น P
ดอกสีม่วง ดอกสีขาว ×
เซลล์สืบพันธุ์ RY ry
PP pp
รุ่น F1 กลมเหลือง ผสมภายใน
P p RrYy รุ่นเดียวกัน
เซลล์สืบพันธุ์ RY RY
รุ่น F1 เซลล์ไข่ rY rY สเปิร์ม
RRYY
Ry RrYY RrYY Ry
ดอกสีม่วง
1/2 P 1/2 p ry RRYy rrYY RRYy ry
รุ่น F2
รุ่น F2 สเปิร์ม RrYy RrYy RrYy RrYy
P p
rrYy RRyy rrYy
P
ไข่ PP Pp กลม เหลือง Rryy Rryy
T34
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
ลักษณะทางพันธุกรรมที่เป็นส่วนขยายของพันธุศาสตร์เมนเดล 1. ครูตรวจสอบผลจากผังมโนทัศน เรือ่ ง ลักษณะ
• การข่มไม่สมบูรณ์: รูปแบบของฟีโนไทป์ในรุ่น F1 ที่แสดงออกไม่ได้มีลักษณะเด่นหรือด้อยแบบสมบูรณ์ พันธุกรรมที่เปนสวนขยายของพันธุศาสตร
แต่มีลักษณะอยู่กึ่งกลาง เช่น ดอกของต้นลิ้นมังกร ลักษณะของเส้นผม เมนเดล
• ความเด่นร่วม: รูปแบบทีแ่ อลลีล 2 แอลลีลมีผลต่อฟีโนไทป์เท่า ๆ กัน เช่น หมูเ่ ลือด AB ทีเ่ กิดจากความเด่นร่วม
ของแอลลีล IA และ IB 2. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การถายทอด
• มัลติเพิลแอลลีล: รูปแบบของยีนทีม่ แี อลลีลมากกว่า 2 แอลลีล ในการควบคุมลักษณะใดลักษณะหนึง่ เช่น ลักษณะของเสนผม
หมู่เลือด ABO ที่มีแอลลีลควบคุม 3 แอลลีล ได้แก่ IA IB และ i 3. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การถายทอด
• พอลิยีน: รูปแบบการถ่ายทอดลักษณะที่ถูกควบคุมด้วยยีนหลายยีน มักเป็นลักษณะเชิงปริมาณ และมี ลักษณะทางพันธุกรรมแบบมัลติเพิลแอลลีล
สิ่งแวดล้อมเกี่ยวข้อง เช่น สีผิว สีตา
4. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การถายทอด
• ยีนบนโครโมโซมเพศ : ยีนที่อยู่บนโครโมโซม X หรือ Y ความผิดปกติของยีนบนโครโมโซมเพศที่ถูก
ถ่ายทอด เช่น โรคฮีโมฟิเลีย โรคตาบอดสี ลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรมที่ ค วบคุ ม โดยยี น บน
• ยีนบนโครโมโซมเดียวกัน : ยีนทีม่ ตี า� แหน่งอยูบ่ นโครโมโซมเดียวกัน ซึง่ มีแนวโน้มทีจ่ ะถ่ายทอดไปด้วยกัน โครโมโซมเพศ
เรียกยีนที่ถ่ายทอดไปด้วยกันว่า ลิงค์ยีน เช่น ยีนควบคุมลักษณะสีตัวและลักษณะปีกของแมลงหวี่ 5. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถาม Unit
• ลักษณะภายใต้อิทธิพลเพศ : รูปแบบของลักษณะที่ถูกควบคุมโดยยีนบนโครโมโซมร่างกาย แต่มีการ Question ทายหนวยการเรียนรูท ี่ 4 ในหนังสือ
แสดงออกแตกต่างกันในแต่ละเพศ เช่น ลักษณะศีรษะล้าน
เรียนชีววิทยา ม.4 เลม 2
• ลักษณะทีจ่ า� กัดในเพศ : รูปแบบของลักษณะทีถ่ กู ควบคุมโดยยีนบนโครโมโซมร่างกาย แต่แสดงออกในเพศใด
เพศหนึ่งเท่านั้น เช่น การสร้างน�้านมในเพศหญิง การเกิดหนวดและเคราในเพศชาย 6. ครูตรวจสอบผลจากการทําแบบทดสอบทาย
หนวยการเรียนรูที่ 4 ในแบบฝกหัดชีววิทยา
Self Check ม.4 เลม 2
ให้นักเรียนตรวจสอบความเข้าใจ โดยพิจารณาข้อความว่าถูกหรือผิด แล้วบันทึกลงในสมุด 7. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามในแบบ
หากพิจารณาข้อความไม่ถูกต้อง ให้กลับไปทบทวนเนื้อหาตามหัวข้อที่ก�าหนดให้ ฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
ถูก/ผิด ทบทวนที่หัวขอ 8. ครูตรวจสอบผลจากแบบทดสอบหลังเรียน
1. เมนเดลเลือกใช้ถวั่ ลันเตาเป็นพืชทดลอง เนือ่ งจากปลูกง่าย เจริญเติบโต 1.
เร็ว มียนี คูเ่ ดียวควบคุมลักษณะทางพันธุกรรม และมีดอกแยกเพศอย่าง
ชัดเจน จึงง่ายต่อการผสมพันธุ์เพื่อทดสอบลักษณะต่าง ๆ
2. จากกฎการถ่ายทอดพันธุกรรมของเมนเดล ยีนที่เป็นคู่กันจะแยกออก 2.
จากกัน และจัดกลุ่มอย่างอิสระกับยีนอื่นที่แยกออกจากคู่เช่นกัน
ุด
สม
ใน
ลาดับที่
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
4
ระดับคะแนน
3 2 1
T35
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา สอน สรุป ประเมิน
6. นาย ข มีตาสีเขมที่สุด รองลงมา คือ นาย ก นาย ง และนาย ค ตามลําดับ เนื่องจากลักษณะสีตาถูกควบคุมแบบพอลิยีน ซึ่งเปนการควบคุมดวยยีน
หลายคู ดังนั้น หากมีจํานวนแอลลีลที่ควบคุมตาสีดํามากก็จะแสดงสีตาสีเขม และหากมีจํานวนแอลลีลที่ควบคุมตาสีดํานอย ก็จะแสดงตาสีนํ้าตาลออน
โดยนาย ข มีแอลลีลควบคุมลักษณะตาสีดํามากที่สุด คือ จํานวน 6 แอลลีล รองลงมา คือ นาย ก จํานวน 5 แอลลีล นาย ง จํานวน 4 แอลลีล และนาย ค
จํานวน 3 แอลลีล ตามลําดับ
3. การผสมพันธุร ะหวางกระตายทีม่ จี โี นไทป AABbcc กับ aaBBCc ไดลกู รุน F1 ดังนี้ 5. จากขอมูลหมูเลือดของครอบครัวนี้ แสดงวาพอตองมีเลือดหมู A แบบ
จีโนไทปรุนพอแม AABbcc x aaBBCc ฮอมอไซกัส (IAIA) และแมมีเลือดหมู B แบบเฮเทอโรไซกัส (IBi) ลูกจึง
เซลลสืบพันธุ ABc Abc x aBC aBc จะมีหมูเลือดทั้ง A และ AB ดังนี้
AA B
จีโนไทปรุนลูก F1 AaBBCc AaBBcc AaBbCc AaBbcc รุนพอแม I I x Ii
A
3.1 ลูกรุน F1 ที่ไดมีจีโนไทป 4 แบบ ดังนี้ AaBBCc AaBBcc AaBbCc และ เซลลสืบพันธุ I x 1/2IB½ 1/2i
AaBbcc รุนลูก 1/2IAIB 1/2IAi
3.2 ลูกรุน F1 ทีไ่ ดมฟี โ นไทป 2 แบบ คือ กระตายขนสัน้ สีขาวหูตงั้ (AaBBCc
AaBbCc) และกระตายขนสั้นสีขาวหูพับ (AaBbcc AaBbcc) ใน
อัตราสวน 1 : 1
T36
นํา สอน สรุป ประเมิน
8. โรคตาบอดสี เปนเปนการถายทอดลักษณะที่
ควบคุมโดยยีนบนโครโมโซม X โดยลักษณะ
6. ถ้าสีตาของคนถูกควบคุมด้วยยีน 4 คู่ ตาบอดสีเปนแอลลีลดอย ดังนัน้ ถาชายตาบอดสี
ก�าหนดให้ A B C D เป็นแอลลีลที่ควบคุมให้สีตาสีด�า แตงงานกับหญิงทีเ่ ปนพาหะของโรคตาบอดสี
abcd เป็นแอลลีลที่ควบคุมให้สีตาสีน�้าตาลอ่อน จีโนไทปรุนพอแม X’Y x X X’
ถ้ า นาย ก ข ค และ ง มี จี ไ นไทป์ AABbccDD AaBBCCDd AAbbCcdd และ เซลลสืบพันธุ 1/2X’ 1/2Y x 1/2X 1/2X’
aaBBCcDd ตามล�าดับ จงเรียงล�าดับความเข้มของสีตาจากมากไปน้อย พร้อมอธิบายเหตุผล จีโนไทปรนุ ลูก 1/4XX’ 1/4X’X’ 1/4XY 1/4¼X’Y
ประกอบ ฟโนไทปรน ุ ลูก ปกติ ตาบอดสี ปกติ ตาบอดสี
7. จากพันธุประวัติของครอบครัวหนึ่ง ดังนี้ (พาหะ)
รุ่นที่ 1 9. ครอสซิงโอเวอร เปนกระบวนการแลกเปลี่ยน
(1) (2) ชิ้ น ส ว นโครมาทิ ด ของฮอมอโลกั ส โครโมโซม
รุ่นที่ 2 ในระหวางการเขาคูกันในการแบงเซลลแบบ
(3) (4) (5) (6) ไมโอซิสในระยะโพรเฟส I ซึ่งการเกิดครอสซิง
โอเวอรอาจทําใหยนี ทีเ่ ปนลิงคเกจกันและถายทอด
รุ่นที่ 3
(7) (8) (9) (10) (11) ไปดวยกันบางสวนสามารถแยกออกจากกันไปยัง
เซลลสบื พันธุแ ตละเซลล ทําใหไดเซลลสบื พันธุ
ผู้หญิงปกติ ผู้ชายปกติ
จํานวนหนึ่งแตกตางไปจากเดิม
ผู้หญิงเป็นโรคฮีโมฟิเลีย ผู้ชายเป็นโรคฮีโมฟิเลีย
ภาพที่ 4.31
10. ลักษณะภายใตอิทธิพลของเพศเปนลักษณะที่มี
จงตอบค�าถามต่อไปนี้ ฮอรโมนเพศเปนตัวควบคุม จึงมีการแสดงออก
7.1 การถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมของโรคฮีโมฟิเลียมีลักษณะอย่างไร ในแตละเพศไมเทากัน แตลักษณะที่จํากัดใน
7.2 เพราะเหตุใด ผู้ชายในรุ่นที่ 2 จึงพบทั้งปกติและเป็นโรคฮีโมฟิเลีย เพศจะขึ้นอยูกับสภาพแวดลอมภายในรางกาย
7.3 ถ้าหากผู้หญิง (หมายเลขที่ 6) แต่งงานกับชายที่เป็นโรคฮีโมฟิเลีย จงท�านายโอกาสของ ของแตละเพศ ทําใหมีการแสดงออกเพียงเพศ
ลูกสาวและลูกชายที่จะแสดงอาการของโรคฮีโมฟิเลีย ใดเพศหนึ่งเทานั้น
8. ถ้าชายตาบอดสีแต่งงานกับหญิงที่เป็นพาหะของโรคตาบอดสี จงท�านายโอกาสของลูกชายหรือ 7. 7.1 การถายทอดลักษณะของโรคฮีโมฟเลีย
ลูกสาวที่เป็นโรคตาบอดสี พร้อมทั้งเขียนพันธุประวัติของครอบครัวนี้ เปนการถายทอดลักษณะความผิดปกติ
ของยีนบนโครโมโซมเพศ โดยเปนความ
9. การเกิดครอสซิงโอเวอร์ในระหว่างการแบ่งเซลล์มีผลต่อการถ่ายทอดของลิงค์ยีนอย่างไร ผิดปกติจากแอลลีลดอยบนโครโมโซม X
10. ลักษณะภายใต้อิทธิพลเพศแตกต่างจากลักษณะที่จ�ากัดในเพศอย่างไร
การถ่ายทอด 33
ทางพันธุกรรม
7.2 เนือ่ งจากลูกชายจะไดรบั โครโมโซม X จากแม และโครโมโซม Y จากพอ ซึง่ การไดรบั แอลลีลดอยของโรคฮีโมฟเลียเพียงแอลลีลเดียวก็สามารถแสดง
อาการของโรคไดทันที ดังนั้น ในรุนที่ 1 แสดงวาแมจะตองเปนพาหะของโรคฮีโมฟเลีย จึงทําใหลูกชายในรุนที่ 2 มีทงั้ ลูกชายทีป่ กติ และทีเ่ ปนโรค
ฮีโมฟเลีย
หากกําหนดให X แทนแอลลีลปกติ X’ แทนแอลลีลดอยของโรคฮีโมฟเลีย
จีโนไทปรนุ พอแม (รุน ที่ 1) XY x XX’
เซลลสบื พันธุ 1/2½X 1/2Y x 1½ /2X 1/2X’
จีโนไทปรนุ รุน ลูก (รุน ที่ 2) 1/4XX 1/4X X’ 1¼ /4XY 1/4X’Y
ฟโนไทปรนุ รุน ลูก (รุน ที่ 2) ปกติ ปกติ (พาหะของโรค) ปกติ เปนโรคฮีโมฟเลีย
ดังนัน้ จึงมีโอกาสพบลูกชายทีป่ กติ และเปนโรคฮีโมฟเลีย หากแมเปนพาหะของโรคฮีโมฟเลีย
7.3 เนื่องจากบุตรสาวจะไดรับโครโมโซม X จากทั้งพอและแม ดังนั้น บุตรสาวคนนี้จึงมีโอกาสเปนพาหะของโรคฮีโมฟเลียหรือไมเปนโรค ดังนี้
หากผูหญิง (หมายเลขที่ 6) เปนพาหะของโรคฮีโมฟเลีย และ หากผูห ญิง (หมายเลขที่ 6) ไมเปนพาหะของโรคฮีโมฟเลีย และแตงงานกับชายที่
แตงงานกับชายที่เปนโรคฮีโมฟเลีย พบวา โอกาสของลูกชายที่ เปนโรคฮีโมฟเลีย พบวา ลูกชายและลูกสาวจะไมมโี อกาสเปนโรคฮีโมฟเลียเลย แต
จะเปนโรคฮีโมฟเลียจึงมีรอ ยละ 50 และลูกสาวมีโอกาสเปนโรค ลูกสาวจะเปนพาหะของโรคฮีโมฟเลียทุกคน
ฮีโมฟเลียรอยละ 50 เชนกัน จีโนไทปรนุ พอแม X’Y x XX
จีโนไทปรุนพอแม X’Y x X X’ เซลลสบื พันธุ 1/2X’ 1/2Y x 1/2X
เซลลสืบพันธุ 1/2½½X’ 1/2½Y x 1/2½X 1/2½X’ จีโนไทปรนุ ลูก 1/4XX’ 1¼ /4XX’ 1/4XY 1/4XY
จีโนไทปรุนลูก 1/4XX’ 1/4X’X’ 1/4XY 1/4X’Y ฟโนไทปรนุ ลูก ปกติ ปกติ ปกติ ปกติ
ฟโนไทปรุนลูก ปกติ เปนโรค ปกติ เปนโรค (พาหะ) (พาหะ)
(พาหะ)
T37
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายและสรุปผล แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ท กั ษะการส�ำรวจ - มีวินัย
การค้นพบสาร ม.4 เล่ม 2 การทดลองของ หาความรู้ (5Es ก่อนเรียน ค้นหา - ใฝ่เรียนรู้
พันธุกรรม - แบบฝึกหัดชีววิทยา นักวิทยาศาสตร์ที่ Instructional - ตรวจแบบฝึกหัด - ท กั ษะการสรุป - มุ่งมั่นใน
ม.4 เล่ม 2 เกี่ยวกับการค้นพบ Model) - ตรวจผังสรุป เรื่อง การ อ้างอิง การท�ำงาน
2 - PowerPoint สารพันธุกรรมได้ (K) ค้นพบสารพันธุกรรม - ทกั ษะการให้
ประกอบการสอน 2. ตรวจสอบสมมติฐาน - ตรวจใบงาน เรื่อง การ เหตุผล
ชั่วโมง
และผลการทดลองของ ค้นพบสารพันธุกรรม
นักวิทยาศาสตร์ที่ - สังเกตพฤติกรรม
เกี่ยวกับการค้นพบ การทำ�งานรายบุคคล
สารพันธุกรรมได้ (P) - สังเกตความมีวินัย
3. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
(A) ในการทำ�งาน
แผนฯ ที่ 2 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายรูปร่าง ลักษณะ แบบสืบเสาะหา - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
โครโมโซม ม.4 เล่ม 2 และส่วนประกอบของ ความรู้ (5Es - ต รวจผังสรุป เรื่อง - ทกั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
- แบบฝึกหัดชีววิทยา โครโมโซมได้ (K) Instructional โครโมโซมของสิ่งมีชีวิต ค้นหา - มุ่งมั่นใน
2 ม.4 เล่ม 2
- PowerPoint
2. เขียน/วาดภาพรูปร่าง
ลักษณะ และส่วน
Model) - สงั เกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- ทกั ษะการเปรียบ
เทียบ
การท�ำงาน
ชั่วโมง
ประกอบการสอน ประกอบของโครโมโซม - สังเกตความมีวินัย - ทกั ษะการจ�ำแนก
ได้ (P) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น ประเภท
3. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา ในการทำ�งาน
(A)
แผนฯ ที่ 3 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายองค์ประกอบ แบบสืบเสาะหา - ตรวจแบบฝึกหัด - ทกั ษะการสังเกต - มีวินัย
โครโมโซม ม.4 เล่ม 2 ทางเคมี และโครงสร้าง ความรู้ (5Es - ต รวจแบบจำ�ลอง - ทกั ษะการรวบรวม - ใฝ่เรียนรู้
- แบบฝึกหัดชีววิทยา ของดีเอ็นเอได้ (K) Instructional โมเลกุลของ DNA ข้อมูล - มุ่งมั่นใน
3 ม.4 เล่ม 2
- PowerPoint
2. อธิบายแบบจ�ำลอง
โครงสร้างโมเลกุลของ
Model) - ตรวจใบงาน เรื่อง
โครงสร้างและ
- ทกั ษะการหา
แบบแผน
การท�ำงาน
ชั่วโมง
ประกอบการสอน ดีเอ็นเอได้ (K) องค์ประกอบทางเคมี - ทกั ษะการประยุกต์
3. สร้างแบบจ�ำลอง ของดีเอ็นเอ ใช้ความรู้
โมเลกุลของดีเอ็นเอได้ - ประเมินการนำ�เสนอ
(P) ผลงาน
4. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา - สังเกตพฤติกรรม
(A) การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
T38
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 4 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายสมบัติของ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ท กั ษะการสังเกต - มีวินัย
สมบัติของสาร ม.4 เล่ม 2 สารพันธุกรรม (K) หาความรู้ (5Es - ต รวจผังสรุป เรื่อง การ - ทกั ษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
พันธุกรรม - แบบฝึกหัดชีววิทยา 2. อธิบายเกีย่ วกับ Instructional สังเคราะห์โปรตีนจาก ค้นหา - มุ่งมั่นใน
ม.4 เล่ม 2 การสังเคราะห์ดีเอ็นเอ Model) ดีเอ็นเอ - ทกั ษะการระบุ การท�ำงาน
8 - PowerPoint
ประกอบการสอน
(K)
3. อธิบายการสังเคราะห์
- ตรวจกิจกรรม DNA
กับการสังเคราะห์
- ทกั ษะการเปรียบ
เทียบ
ชั่วโมง mRNA จาก DNA โปรตีน - ทกั ษะการแปล
แม่แบบได้ (K) - ตรวจใบงาน เรื่อง การ ความ
4. อธิบายกระบวนการ สังเคราะห์ DNA - ทกั ษะการให้
สังเคราะห์สาย - ตรวจใบงาน เรื่อง การ เหตุผล
พอลิเพปไทด์ได้ (K) สังเคราะห์ mRNA จาก - ทกั ษะการวิเคราะห์
5. สาธิตการถอดรหัส DNA - ทกั ษะการสรุปลง
และแปลรหัสได้ (K) - ตรวจใบงาน เรื่อง การ ความเห็น
6. เขียนล�ำดับกรดอะมิโน สังเคราะห์พอลิเพปไทด์ - ทกั ษะการคิดอย่าง
ที่เป็นส่วนประกอบของ - ประเมินการนำ�เสนอ มีเหตุผล
พอลิเพปไทด์ที่ได้จาก ผลงาน
การแปลรหัสได้ (P) - สังเกตพฤติกรรม
7. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา การทำ�งานรายบุคคล
(A) - สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
แผนฯ ที่ 5 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายการกลายของ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบ - ทักษะการระบุ - มีวินัย
การกลาย ม.4 เล่ม 2 สิ่งมีชีวิตได้ (K) หาความรู้ (5Es หลังเรียน - ทกั ษะการแปล - ใฝ่เรียนรู้
- แบบฝึกหัดชีววิทยา 2. ยกตัวอย่างการกลาย Instructional - ตรวจแบบฝึกหัด ความ - มุ่งมั่นใน
5 ม.4 เล่ม 2 ที่พบในมนุษย์ได้ (K)
- PowerPoint ประกอบ 3. อธิบายสาเหตุและผล
Model) - ตรวจแผ่นพับนำ�เสนอ
เรื่อง โรคพันธุกรรม
- ทักษะการจัดกลุม่
- ทกั ษะการคิดอย่าง
การท�ำงาน
ชั่วโมง การสอน ของการกลายประเภท - ตรวจใบงาน เรื่อง การ มีเหตุผล
ต่าง ๆ ได้ (K) กลายระดับยีนจาก
4. เขียนล�ำดับกรดอะมิโน การแทนที่คู่เบส
ใหม่ในสายพอลิเพปไทด์ - ตรวจใบงาน เรื่อง การ
ที่เกิดการกลายของ กลายระดับยีน
รหัสพันธุกรรมได้ (P) จากการเพิม่ ขึน้ หรือขาด
5. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา หายของนิวคลีโอไทด์
(A) - ตรวจคำ�ถาม Unit
Question ท้ายหน่วย
การเรียนรู้ที่ 5 ใน
หนังสือเรียนชีววิทยา
ม.4 เล่ม 2
- ตรวจแบบทดสอบท้าย
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
ในแบบฝึกหัดชีววิทยา
ม.4 เล่ม 2
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
T39
Chapter Concept Overview
สารสกัดจากสายพันธุ S สกัดเอาลิพิดและ
ที่ทําใหตายดวยความรอน คารโบไฮเดรตออก
การคนพบสารพันธุกรรม
RNA
นักวิทยาศาสตรหลายทานทําการคนควาเกี่ยวกับสารพันธุกรรม โปรตีน
DNA
ของสิ่งมีชีวิต ดังนี้
เติม RNase
• โยฮันน ฟรีดริช มิเชอร คนพบวา กรดนิวคลีอิกจากสารเคมี เติมโปรตีเอส เติม DNase
เติมแบคทีเรีย เติมแบคทีเรีย เติมแบคทีเรีย เติมแบคทีเรีย
ที่สกัดจากนิวเคลียสของเซลลเม็ดเลือดขาว ซึ่งไมสามารถถูก สายพันธุ R สายพันธุ R สายพันธุ R สายพันธุ R
ยอยดวยเอนไซมเพปซิน
• เฟรเดอริก กริฟฟท คนพบสารบางอยางจากแบคทีเรียสาย ก. ข. ค. ง.
พันธุ S ที่ทําใหตายดวยความรอนสามารถเขาไปยังแบคทีเรีย
สายพันธุ R ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงของแบคทีเรียสายพันธุ
R เปนแบคทีเรียสายพันธุ S ซึ่งสามารถถายทอดไปยังรุนลูก
หลานของแบคทีเรีย
• ออสวอลด ที แอเวอรี แมคลิน แมคคารที และคอลิน แมคลอยด
คนพบวา สารทีเ่ ปลีย่ นแปลงพันธุกรรมของแบคทีเรีย สายพันธุ R พบแบคทีเรีย พบแบคทีเรีย ไมพบแบคทีเรีย พบแบคทีเรีย
สายพันธุ S สายพันธุ S สายพันธุ S สายพันธุ S
เปนสายพันธุ S คือ DNA
โครโมโซม
โครมาทิด
โครโมโซม (chromosome) มีลักษณะเปนเสนยาวขดพันกันเปน (chromatids)
เกลียวคู DNA
โครโมโซม นิวคลีโอโซม
โครมาทิน โปรตีนฮิสโตน
T40
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
ดีเอ็นเอ
ดีเอ็นเอ เปนสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต เกิดจากพอลิเมอรของ
เบสพิวรีน
นิ ว คลี โ อไทด (nucleotide) ที่ ป ระกอบด ว ยนํ้ า ตาลดี อ อกซี ไ รโบส H
H H
N N N
ไนโตรจีนัสเบส (อะดีนีน กวานีน ไซโทซีน และไทมีน) และหมูฟอสเฟต H H N N
H H
NH2 N N
N H N
N N O
N H H
อะดีนีน H H กวานีน
N N เบสไพริมิดีน O
O N H
H N H2C N
-
O P O O
O- H H H O H O
N N
H H
OH H ไซโทซีน H H ไทมีน
T41
3′
5′
สมบัติของสารพันธุกรรม 5′
สายนํา
การสังเคราะหโปรตีนจากดีเอ็นเอ จะมี RNA ชนิดตาง ๆ เขามาเกีย่ วของ ประกอบดวยอารเอ็นเอนํารหัส (messenger RNA ; mRNA) ทําหนาที่
เปนตัวกลางนํารหัสพันธุกรรมจาก DNA มาสังเคราะหโปรตีน อารเอ็นเอถายโอน (transfer RNA ; tRNA) ทําหนาที่นําแอนติโคดอนของ
นิวคลีโอไทดสามตัวทีม่ กี รดอะมิโนจําเพาะมาเชือ่ มตอกับโคดอนของ mRNA และอารเอ็นเอไรโบโซม (ribosomal RNA ; rRNA) ทําหนาที่
ชวยการจับของแอนติโคดอนของ tRNA กับโคดอนของ mRNA ซึ่งการสังเคราะหโปรตีนจากดีเอ็นเอประกอบดวย 2 กระบวนการ ไดแก
1. การถอดรหัส (transcription) เปนการสังเคราะห mRNA จาก
DNA แมแบบ แบงออกเปน 3 ขั้นตอน ประกอบดวย
• ขั้นเริ่มตน เริ่มจากการจับกันของ RNA พอลิเมอเรสกับ
สาย DNA ทําใหมีการคลายเกลียวของ DNA การถอดรหัส
• ขัน้ การตอสายยาว เกิดการเขาคูส มกับนิวคลีโอไทด (เบส C
เขาคูกับเบส G เบส G เขาคูกับเบส C เบส A เขาคูกับ
เบส T และเบส U เขาคูกับเบส A) ซึ่งมีการสรางสลับทิศ นิวเคลียส
กับสาย DNA แมแบบ
• ขั้นสิ้นสุด โดย RNA พอลิเมอเรสจะหลุดออกจาก DNA
และปลอย mRNA ออกมา จากนั้น DNA 2 สายจะจับคู
และบิดเปนเกลียวเหมือนเดิม
2. การแปลรหัส (translation) เปนการสังเคราะหสายพอลิเพปไทด
จาก mRNA แบงออกเปน 3 ขั้นตอน ประกอบดวย กรดอะมิโน
• กระบวนการเริ่มตน เริ่มจากการนําแอนติโคดอนของกรด
อะมิโนเมไทโอนีนซึ่งเปนกรดอะมิโนตัวแรกมาเริ่มตนการ การแปลรหัส
สังเคราะหโปรตีนโดยนํามาเชือ่ มตอกับโคดอนของ mRNA
ไรโบโซม
• กระบวนการตอสายยาว ที่มีการนําแอนติโคดอนของกรด
อะมิโนลําดับถัดไปมาตอเชือ่ มกับกรดอะมิโนเมไทโอนีน และ โปรตีน
ตอกันเปนสายยาว ซึ่งจะมีการสรางพันธะเพปไทดระหวาง ไซโทพลาซึม
กรดอะมิโนที่อยูติดกัน
• กระบวนการสิน้ สุด ซึง่ จะสิน้ สุดการแปลรหัสเนือ่ งจากมีการ
ตอสายยาวของกรดอะมิโนจนถึงโคดอนที่เปนรหัสหยุด
T42
การกลาย
การปลี่ยนแปลงสภาพของสิ่งมีชีวิตที่ทําใหเกิดความแตกตางจากสิ่งมีชีวิตรุนพอแม แบงออกเปน 2 ระดับ
1. การกลายระดับยีน (gene mutation) เปนการเปลี่ยนแปลงในระดับนิวคลีโอไทด แบงออกเปน
• การแทนที่คูเบส (base-pair substitution) เปนการแทนที่คูของนิวคลีโอไทด
การแทนที่เบส C ดวยเบส T
DNA 3′ 5′ DNA 3′ 5′
mRNA 5′ 3′
mRNA 5′ 3′
โปรตีน รหัสหยุด โปรตีน รหัสหยุด
DNA ปกติ การกลายแบบเปลี่ยนรหัส
การเปลีย่ นแปลงของลําดับนิวคลีโอไทด ทําใหถอดรหัส
และแปรรหัสเปนกรดอะมิโนชนิดอื่น
การแทนที่เบส G ดวยเบส A การแทนที่เบส T ดวยเบส A
DNA 3′ 5′ DNA 3′ 5′
mRNA 5′ 3′ mRNA 5′ 3′
โปรตีน รหัสหยุด โปรตีน รหัสหยุด
การกลายแบบเงียบ การกลายเป็นรหัสหยุด
การเปลีย่ นแปลงของลําดับนิวคลีโอไทดแตถอดรหัสและ การเปลีย่ นแปลงของลําดับนิวคลีโอไทด ทําใหถอดรหัส
แปลรหัสเปนกรดอะมิโนชนิดเดิม และแปลรหัสเปนรหัสหยุด สายพอลิเพปไทดจึงสั้นกวา
ปกติ
• การเพิ่มขึ้นหรือขาดหายของนิวคลีโอไทด (insertion and deletion of nucleotide) ทําใหมีการจัดกลุมโคดอนไมเหมือนเดิมจึงสงผล
ตอการแปลรหัสและถอดรหัส การกลายแบบนี้เรียกวา การกลายแบบเลื่อนกรอบ (frameshift mutation)
การเพิม่ ขึน้ ของนิวคลีโอไทด A
DNA 3′ 5′
การเพิม่ ขึน้ ของนิวคลีโอไทด U
mRNA 5′ 3′
DNA 3′ 5′ โปรตีน รหัสหยุด
mRNA 5′ 3′ นิวคลีโอไทด์เพิ่มขึ้น
โปรตีน รหัสหยุด
การขาดหายของนิวคลีโอไทด A
DNA ปกติ mRNA 3′
การขาดหายของนิวคลีโอไทด U
DNA 5′ 5′
โปรตีน 3′
นิวคลีโอไทด์ขาดหาย
ขัน้ นํา
ยีนและ
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรู
5
หน่วยการเรียนรู้ที่
ใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน
3. ครูถามคําถาม Big Question เพือ่ กระตุน ความ
สนใจของนักเรียนวา เพราะเหตุใด DNA จึง
โครโมโซม
มีบทบาทสําคัญตอการถายทอดลักษณะทาง ผลการเรียนรู สิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีโครโมโซมที่บรรจุสารพันธุกรรมอยู่ภายใน
พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต 6. สื บ ค้ น ข้ อ มู ล อธิ บ ายสมบั ติ แ ละ นิวเคลียสของเซลล์ ซึ่งสารพันธุกรรมจะท�าหน้าที่ควบคุมการ
หน้าทีข่ องสารพันธุกรรม โครงสร้าง ท�างานของเซลล์ และการถ่ายทอดลักษณะต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต
และองค์ประกอบทางเคมีของ DNA
และสรุปการจ�าลอง DNA ได้ จากรุ่นพ่อแม่สู่ลูกหลาน ท�าให้สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มีลักษณะที่
7. อ ธิ บ า ย แ ล ะ ร ะ บุ ขั้ น ต อ น ใ น คล้ายคลึงกับพ่อแม่ แต่หากเกิดความผิดปกติของสารพันธุกรรม
กระบวนการสังเคราะห์โปรตีนและ เหล่านี้ จะท�าให้สงิ่ มีชวี ติ มีลกั ษณะทีแ่ ตกต่างไปจากพ่อแม่เช่นกัน
หน้าที่ของ DNA และ RNA แต่ละ
ชนิ ด ในกระบวนการสั ง เคราะห์
โปรตีนได้
8. สรุ ป ความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งสาร
พันธุกรรม แอลลีล โปรตีน ลักษณะ
ทางพันธุกรรม และเชือ่ มโยงความรู้
เรื่องพันธุศาสตร์เมนเดลได้
9. สืบค้นข้อมูล และอธิบายการเกิด
มิ ว เ ท ชั น ร ะ ดั บ ยี น แ ล ะ ร ะ ดั บ
โครโมโซม สาเหตุการเกิดมิวเทชัน
รวมทั้ ง ยกตั ว อย่ า งโรคและกลุ ่ ม
อาการที่เป็นผลของการเกิด
มิวเทชันได้
à¾ÃÒÐà˵Øã´
DNA ¨Ö§ÁÕº·ºÒ·ÊÓ¤ÑÞ
µ‹Í¡Òö‹Ò·ʹÅѡɳÐ
·Ò§¾Ñ¹¸Ø¡ÃÃÁ¢Í§ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµ
แนวตอบ Big Question
DNA เปนสารพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ ทําหนาที่
กําหนดลักษณะทางพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ และยัง
สามารถถายทอดลักษณะทางพันธุกรรมจากรุนพอ
แมสูรุนลูกได
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอน เรื่อง ยีนและโครโมโซม เปนเรื่องที่เขาใจยาก เนื่องจาก
นักเรียนอาจมองไมเห็นภาพเกี่ยวกับกระบวนการตางๆ ดังนั้น ครูจึงควรเนน
การใชภาพ วีดทิ ศั น หรือแบบจําลองตางๆ เพือ่ ชวยใหงา ยตอการทําความเขาใจ
ของนักเรียน และการจัดการสอนควรเนนกระบวนการกลุม เพือ่ ใหนกั เรียนไดรว ม
อภิปราย และมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
T44
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
Prior Knowledge
สารพันธุกรรมของมนุษย 1. การคนพบสารพันธุกรรม 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน
คืออะไร ความรูเดิม
สารพันธุกรรมเป็นแหล่งข้อมูลทั้งหมดส�าหรับโครงสร้าง
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา สารพันธุกรรมเปน
และการท�างานของกระบวนการต่าง ๆ ในร่างกายสิง่ มีชวี ติ ให้เป็น
ไปอย่างถูกต้อง ซึง่ สารพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ อาจเป็นดีเอ็นเอ (DNA) ซึง่ พบในสิง่ มีชวี ติ ส่วนใหญ่ แหล ง ข อ มู ล ทั้ ง หมดสํ า หรั บ โครงสร า งและ
หรืออาจเป็นอาร์เอ็นเอ (RNA) ซึ่งพบในไวรัสบางชนิดเท่านั้น การทํางานของกระบวนการตางๆ ของสิง่ มีชวี ติ
แบงออกเปน 2 ชนิด ไดแก ดีเอ็นเอ และอารเอ็นเอ
ในปี พ.ศ. 2412 โยฮันน์ ฟรีดริช มิเชอร์ (Johann Friedrich Miescher) นักชีวเคมีชาวสวีเดน
3. ครูใหนักเรียนศึกษา การทดลองเกี่ยวกับการ
กรดนิวคลีอิก 1(nucleic acid) จากสารเคมีที่สกัดจากนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือดขาวซึ่งไม่
ค้นพบกรดนิ
สามารถถูกย่อยด้วยเอนไซม์เพปซินได้ เมื่อน�ามาวิเคราะห์ทางเคมี พบว่า มีธาตุไนโตรเจน (N) คนพบสารพันธุกรรมของมิเชอร ฟอยลเกน
และฟอสฟอรัส (P) เป็นองค์ประกอบ จึงเรียกสารสกัดนี้ว่า นิวคลีอิน (nuclein) และต่อมาเปลี่ยน และกริฟฟท
ชื่อใหม่เป็นกรดนิวคลีอิก ซึ่งมี 2 ชนิด คือ ดีเอ็นเอ และอาร์เอ็นเอ 4. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ในปี พ.ศ. 2457 โรเบิร์ต ฟอยล์เกน (Robert Feulgen) นักเคมีชาวเยอรมัน ใช้สีฟุคซิน ï• เพราะเหตุ ใ ด เมื่ อ ฉี ด แบคที เ รี ย ที่ ผ สม
(fuchsin) ย้อมเซลล์ พบว่า สารที่ย้อมติดสีคือ ดีเอ็นเอ และสีจะติดบริเวณนิวเคลียสและรวมตัว ระหวางสายพันธุ S ที่ตายแลวกับแบคทีเรีย
หนาแน่นที่โครโมโซม จึงสรุปว่า ดีเอ็นเออยู่บนโครโมโซมในนิวเคลียส สายพันธุ R จึงมีผลทําใหหนูตาย
ในปี พ.ศ. 2471 เฟรเดอริก กริฟฟิท (Frederick Griffith) แพทย์ชาวอังกฤษพยายามที่จะ ( แนวตอบ มี ส ารบางอย า งจากแบคที เ รี ย
พัฒนาวัคซีนโรคปอดบวม โดยท�าการศึกษาแบคทีเรีย Streptococcus pneumoniae ซึง่ เป็นสาเหตุ สายพันธุ S เขาไปยังแบคทีเรียสายพันธุ R
ท�าให้เกิดโรคปอดบวมร้ายแรงในสัตว์เลีย้ งลูกด้วยน�า้ นม โดยใช้แบคทีเรีย 2 สายพันธุ์ ประกอบด้วย และสามารถเปลี่ยนแบคทีเรียสายพันธุ R
สายพันธุ์ที่ก่อโรคหรือสายพันธุ์ S (smooth) ซึ่งสามารถท�าให้เกิดโรคปอดบวมในหนูได้ เนื่องจาก ใหกลายปนสายพันธุ S ได จึงมีผลทําให
สายพันธุ์ S มีแคปซูลหุ้มปองกันตัวจากระบบภูมิคุ้มกันของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�้านม และสายพันธุ์ หนูตาย)
ที่ไม่ก่อโรคหรือสายพันธุ์ R (rough) ซึ่งไม่มีแคปซูลหุ้ม เพื่อทดสอบลักษณะการก่อโรคของ
แบคทีเรีย กริฟฟิทได้ทา� การทดลองโดยฉีดแบคทีเรียสองสายพันธุน์ เี้ ข้าไปในหนูโดยแบ่งการทดลอง อธิบายความรู้
ออกเป็น 4 ชุด ดังนี้ 1. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกมาสรุปผลการทดลอง
B iology ของมิเชอร ฟอยลเกน และกริฟฟท
Focus แคปซูลของแบคทีเรีย 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
แบคทีเรียจะมีโครงสร้างที่หุ้มอยู่ชั้นนอก เรียกว่า แคปซูล ทดลองของมิเชอร ฟอยลเกน และกริฟฟท
(capsule) ซึ่งเป็นสารประเภทพอลิแซ็กคาไรด์ (polysaccharide)
และพอลิเพปไทด์ (polypeptide) มีลักษณะเป็นเมือกคล้ายวุ้น และ
ย้อมไม่ติดสีแกรม ท�าหน้าที่ช่วยให้แบคทีเรียยึดเกาะกับพื้นผิว
แคปซูล
ของเซลล์ที่อาศัยอยู่ เพิ่มศักยภาพในการเจริญและก่อโรคของ
แบคทีเรีย และท�าให้สามารถทนต่อสภาวะที่ไม่เหมาะสมได้ ภาพที่ 5.1 โครงสร้างของแบคทีเรีย
ยีนและ 35
โครโมโซม แนวตอบ Big Question
สารพันธุกรรมของมนุษย คือ ดีเอ็นเอ
T45
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา จากผลการทดลอง ชุด ก ฉีดแบคทีเรียสายพันธุ์ R ให้กับหนู พบว่า หนูไม่ตาย
ของกริ ฟ ฟ ท ได มี นั ก วิ ท ยาศาสตร ทํ า การ ชุด ข ฉีดแบคทีเรียสายพันธุ์ S ให้กับหนู พบว่า หนูตาย
ทดลองตอจากการทดลองของกริฟฟท คือ ชุด ค ฉีดแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อนให้กับหนู พบว่า หนูไม่ตาย
แอเวอรี และคณะ ชุด ง ฉีดแบคทีเรียที่ผสมระหว่างสายพันธุ์ S ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อนกับสายพันธุ์ R
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาการทดลองของแอเวอรีและ ที่มีชีวิตให้กับหนู พบว่า หนูตาย
คณะ ทีน่ าํ แบคทีเรียทีผ่ สมระหวางสายพันธุ S ก. ข.
ที่ตายแลว กับแบคทีเรียสายพันธุ R แลวเติม
เอนไซม RNase โปรตีเอส และ DNase ใน
แตละชุดการทดลอง สายพันธุ์ R หนูไม่ตาย สายพันธุ์ S หนูตาย
3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ï• สารชนิ ด ใดที่ ส ามารถเปลี่ ย นแบคที เ รี ย ค. ง.
สายพันธุ R ใหกลายปนสายพันธุ S ได
เพราะเหตุใด
(แนวตอบ สารที่ทําใหแบคทีเรียสายพันธุ R สายพันธุ์ S หนูไม่ตาย สายพันธุ์ S หนูตาย
ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อน ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อน
กลายปนสายพันธุ S คือ DNA เนือ่ งจากเมือ่ และสายพันธุ์ R
ทําการทดลองใสเอนไซมหลายชนิด ไดแก ภาพที่ 5.2 การทดลองของเฟรเดอริก กริฟฟิท
RNase โปรตีเอส DNase ลงในสวนผสม จากผลการทดลองดังกล่าว กริฟฟิทเกิดข้อสงสัยว่า “เพราะเหตุใดเมือ่ น�าแบคทีเรียสายพันธุ์
ของแบคทีเรียที่ผสมระหวางสายพันธุ S ที่ S ทีท่ า� ให้ตายด้วยความร้อนไปผสมกับสายพันธุ์ R ทีม่ ชี วี ติ แล้วฉีดให้หนู จึงท�าให้หนูตาย” กริฟฟิท
ตายแลว กับแบคทีเรียสายพันธุ R มีเพียง รายงานว่ามีสารบางอย่างจากแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อนเข้าไปยังแบคทีเรีย
สายพันธุ์ R บางเซลล์ ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแบคทีเรียสายพันธุ์ R เป็นแบคทีเรีย
หลอดที่ใส DNase เทานั้น ที่ไมเกิดการ
สายพันธุ์ S ทีม่ ชี วี ติ และท�าให้กอ่ โรค ซึง่ ลักษณะก่อโรคทีไ่ ด้รบั มานีย้ งั สามารถถ่ายทอดไปยังลูกหลาน
เปลี่ยนแปลงของแบคทีเรีย แสดงใหเห็นวา ของแบคทีเรียด้วย อย่างไรก็ตาม กริฟฟิทก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสารนั้นคืออะไร
DNase ยอย DNA จึงไมมีการเปลี่ยนแปลง ในปี พ.ศ. 2487 ออสวอลด์ แอเวอรี (Oswald Avery) แมคลิน แมคคาร์ที (Maclyn
ของแบคทีเรีย) McCarty) และคอลิน แมคลอยด์ (Colin MacLeod) นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกา ท�าการทดลอง
4. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นว า DNA เป น สาร ต่อจากริฟฟิท โดยน�าแบคทีเรียสายพันธุ์ S มาท�าให้ตายด้วยความร้อน แล้วสกัดสารจากแบคทีเรีย
พันธุกรรมของสิ่งมีชีวติ สวนใหญ ทั้งแบคทีเรีย สายพันธุ์ S มาใส่หลอดทดลอง 4 หลอด แล้วเติมเอนไซม์ต่าง ๆ ดังนี้
พืช สัตว และมนุษย สวน RNA เปนสาร หลอดทดลอง ก เติมเอนไซม์ไรโบนิวคลีเอส (ribonuclease; RNase) เพื่อย่อยสลาย RNA
พันธุกรรมของของไวรัส เชน ไวรัสทีเ่ ปนสาเหตุ หลอดทดลอง ข เติมเอนไซม์โปรตีเอส 1(protease) เพื่อย่อยสลายโปรตีน
ของโรคเอดส ซารส ไขหวัดนก หลอดทดลอง ค เติมเอนไซม์ดอี อกซีไรโบนิวคลีเอส (deoxyribonuclease; DNase) เพือ่ ย่อย
สลาย DNA
หลอดทดลอง ง ไม่เติมเอนไซม์ เนื่องจากใช้เป็นหลอดทดลองชุดควบคุม
36
T46
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
จากนั้นเติมแบคทีเรียสายพันธุ์ R ลงในหลอดทดลองแต่ละหลอด ปล่อยไว้สักระยะหนึ่งแล้ว 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
จึงน�าไปเพาะเลีย้ งในอาหารเลีย้ งเชือ้ ผลการทดลองพบว่า ส่วนผสมของแบคทีเรียสายพันธุ์ R กับ ค น พบสารพั น ธุ ก รรมของสิ่ ง มี ชี วิ ต จากการ
สารสกัดจากแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อนในสภาวะที่มีเอนไซม์ DNase จะไม่ ทดลองของออสวอลด ที แอเวอรี และคณะ
พบแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่เกิดขึ้นใหม่ ขณะที่ส่วนผสมของแบคทีเรียที่อยู่ในสภาวะที่มีเอนไซม์ 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การคนพบสาร
RNase และโปรตีเอส จะพบแบคทีเรียสายพันธุ์ S เกิดขึ้น ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าสารที่เปลี่ยนแปลง พันธุกรรม
พันธุกรรมของแบคทีเรียสายพันธุ์ R เป็นสายพันธุ์ S คือ DNA 3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
สารสกัดจากสายพันธุ์ S สกัดเอาลิพิดและ ชีววิทยา ม.4 เลม 2
ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อน คาร์โบไฮเดรตออก
ขัน้ ประเมิน
ก. ข. ค. ง. ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจแบบทดสอบกอนเรียน
2. ครูตรวจสอบผลจากผังสรุป เรื่อง การคนพบ
สารพันธุกรรม
3. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรื่อง การคนพบ
สารพันธุกรรม
พบแบคทีเรีย พบแบคทีเรีย ไม่พบแบคทีเรีย พบแบคทีเรีย 4. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามในแบบ
สายพันธุ์ S สายพันธุ์ S สายพันธุ์ S สายพันธุ์ S ฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
ภาพที่ 5.3 การทดลองของออสวอลด์ แอเวอรี แมคลิน แมคคาร์ที และคอลิน แมคลอยด์
ยีนและ 37
โครโมโซม
5. พารามีเซียม แบบประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ
ระดับคะแนน
ระดับคะแนน
3
ระดับคะแนน
2 1
ตอบขอ 2.)
1. ความ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้องกับ
สอดคล้องกับ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วน จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์
จุดประสงค์ ใหญ่
2. ความถูกต้อง เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน เนื้อหาสาระของผลงาน
ของเนื้อหา ถูกต้องครบถ้วน ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ ถูกต้องบางประเด็น ไม่ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่
3. ความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานแสดงถึงความคิด ผลงานมีความน่าสนใจ ผลงานไม่มีความ
สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ สร้างสรรค์ แปลกใหม่ แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก น่าสนใจ และไม่แสดง
และเป็นระบบ แต่ยังไม่เป็นระบบ ใหม่ ถึงแนวคิดแปลกใหม่
4. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T47
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน โครโมโซมของสิ่งมีชีวิต 2. โครโมโซม
ความรูเดิมของนักเรียน มีกี่ประเภท อะไรบาง จากการค้นพบ DNA ว่าเป็นสารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา DNA ที่เปนสาร ซึง่ DNA เป็นองค์ประกอบหลักของโครโมโซมทีอ่ ยูใ่ นนิวเคลียส
พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตเปนองคประกอบหลัก ของเซลล์ และภายใน DNA มียนี ท�าหน้าทีค่ วบคุมการท�างานและก�าหนดลักษณะทางพันธุกรรมอยู่
ของโครโมโซมที่อยูในนิวเคลียสของเซลล ท�าให้มีการศึกษาโครโมโซม และ DNA อย่างละเอียด เพื่อน�าไปสู่ความเข้าใจในการควบคุม
การท�างานและการก�าหนดลักษณะทางพันธุกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา 2.1 รูปราง ลักษณะ และจํานวนโครโมโซม
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษารู ป ร า ง ลั ก ษณะ และ โครโมโซมมีลกั ษณะเป็นเส้นยาวขดพันกันอยูภ่ ายในนิวเคลียส เรียกว่า โครมาทิน (chromatin)
1
จํานวนโครโมโซม ซึ่งประกอบดวยโครมาทิด ซึง่ สามารถมองเห็นได้โดยใช้กล้องจุลทรรศน์ ในช่วงของการแบ่งเซลล์ระยะอินเตอร์เฟส โครโมโซม
2 อัน ยึดกันที่ตําแหนงเซนโทรเมียร จะจ�าลองตัวเองเป็นเส้นคู่ที่เหมือนกันทุกประการ และในระยะเมทาเฟส โครโมโซมจะหดตัวสั้น
และหนาขึน้ ท�าให้มองเห็นโครโมโซมได้อย่างชัดเจน โดยโครโมโซมมีโครมาทิด 2 อันยึดติดกันตรง
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ต�าแหน่งเซนโทรเมียร์ (centromere) ส่วนของโครโมโซมที่ยื่นออกจากเซนโทรเมียร์ ประกอบด้วย
ï• ในระหวางการแบงเซลล โครโมโซมจะมี
ส่วนที่มีแขนสั้น (p-arm) และส่วนที่มีแขนยาว (q-arm)
ลั ก ษณะเหมื อ นหรื อ แตกต า งกั บ ในช ว งที่
เซลลไมมีการแบงเซลลอยางไร
(แนวตอบ แตกตางกัน เพราะในระหวางการ โครมาทิด
(chromatids)
แบงเซลล โครโมโซมจะหดสั้น ประกอบ เป็นโครโมโซมที่ได้จ�าลองตัวเองจนมีลักษณะเป็นเส้นคู่
ด ว ยโครมาทิ ด 2 อั น ยึ ด กั น ที่ ตํ า แหน ง
เซนโทรเมียร แตในชวงที่ไมมีการแบงเซลล โครโมโซมสวนที่มีแขนสั้น
(p-arm)
โครโมโซมจะคลายตัวเปนเสนใยโครมาทิน เป็นบริเวณส่วนบนของโครโมโซมที่มีแขนสั้น
ที่ขดพันกันอยูภายในนิวเคลียส)
เซนโทรเมียร
(centromere)
เป็นต�าแหน่งบนโครโมโซมซึ่งมีลักษณะเป็นรอยคอดบน
โครโมโซม จากต�าแหน่งของเซนโทรเมียร์ท�าให้เห็นคล้าย
โครโมโซมถูกแบ่งเป็น 2 ส่วน
โครโมโซมสวนที่มีแขนยาว
(q-arm)
เป็นบริเวณส่วนล่างของโครโมโซมที่มีแขนยาว
ภาพที่ 5.4 โครงสร้างของโครโมโซม
38
T48
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
หากแบ่งประเภทของโครโมโซมตามต�าแหน่งของเซนโทรเมียร์จะแบ่งเป็น 4 แบบ ดังนี้ 3. ครูใหนักเรียนศึกษาประเภทของโครโมโซม
1. เมทาเซนทริก (metacentric) เป็นโครโมโซมทีม่ ตี า� แหน่งเซนโทรเมียร์อยูต่ รงกลาง จึง ตามตําแหนงของเซนโทรเมียร ที่แบงออกเปน
ท�าให้แขนทั้งสี่ข้างมีความยาวเท่ากัน 4 แบบ ไดแก เมทาเซนทริก ซับเมทาเซนทริก
2. ซับเมทาเซนทริก (submetacentric) เป็นโครโมโซมทีม่ ตี า� แหน่งเซนโทรเมียร์อยูห่ า่ งจาก อะโครเซนทริก และทีโลเซนทริก
จุดกึ่งกลางเล็กน้อย จึงท�าให้โครมาทิดมีแขนข้างหนึ่งยาวกว่าอีกข้างเล็กน้อย 4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง
3. อะโครเซนทริก (acrocentric) เป็นโครโมโซมที่มีต�าแหน่งเซนโทรเมียร์อยู่ใกล้กับ อาจมีจํานวนโครโมโซมเทากันหรือไมเทากัน
ปลายของโครมาทิด จึงท�าให้โครมาทิดมีแขนข้างหนึ่งยาวมากกว่าอีกข้าง ก็ได ขึ้นอยูกับชนิดของสิ่งมีชีวิตนั้นๆ และให
4. ทีโลเซนทริก (telocentric) เป็นโครโมโซมที่มีต�าแหน่งเซนโทรเมียร์อยู่ที่ปลายของ นักเรียนศึกษาตารางที่ 5.1 จํานวนโครโมโซม
โครมาทิด ท�าให้โครมาทิดมีแขนข้างเดียว ในเซลลรางกายของสิ่งมีชีวิตตางๆ
ส่วนที่มีแขนสั้น
เซนโทรเมียร์
เซนโทรเมียร์
ส่วนที่มีแขนยาว
ทีโลเซนทริก อะโครเซนทริก ซับเมทาเซนทริก เมทาเซนทริก
B iology
Focus เทโลเมียร
เทโลเมียร์
เทโลเมียร์ (telomere) เป็นบริเวณส่วนปลายของโครโมโซม
ซึ่งเป็นส่วนที่ช่วยรักษาเสถียรภาพของโครโมโซม และเกี่ยวข้องกับ
ความชราของสิง่ มีชวี ติ โดยทุกครัง้ ทีเ่ ซลล์แบ่งตัว เทโลเมียร์จะสัน้ ลง
ซึง่ เมือ่ ร่างกายมีอายุมากขึน้ เซลล์กจ็ ะแบ่งตัวเพิม่ มากขึน้ เทโลเมียร์
จึงสั้นลงจนไม่สามารถแบ่งตัวได้อีกต่อไป และท�าให้ร่างกายหมด
ภาพที่ 5.6 การแบ่งเซลล์ท�าให้
อายุขัยลงหรือมีการตายของสิ่งมีชีวิต เทโลเมียร์สั้นลง
ยีนและ 39
โครโมโซม
T49
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. ครูถามคําถามนักเรียนวา สิง่ มีชวี ติ ชนิดหนึง่ อาจมีโครโมโซมทีม่ รี ปู รางแบบเดียวหรือหลายแบบก็ได แตสงิ่ มีชวี ติ แตละ
ï• โครโมโซมมีความสัมพันธกับความซับซอน ชนิดจะมีรปู รางโครโมโซมแตกตางกันและมีจาํ นวนโครโมโซมในเซลลรา งกายไมเทากันหรืออาจเทากัน
ของสิ่งมีชีวิตหรือไม ก็ไดขนึ้ อยูก บั สิง่ มีชวี ติ ชนิดนัน้ ๆ
(แนวตอบ จํานวนโครโมโซมไมนาจะมีความ ตารางที่ 5.1 : จํานวนโครโมโซมในเซลลรางกายของสิ่งมีชีวิตชนิดตางๆ
สัมพันธกับระดับความซับซอนของสิ่งมีชีวิต จํานวน จํานวน
เชน ไกมีจํานวนโครโมโซมมากกวาคน แต สิ�งมีชีวิต (สัตว) โครโมโซม สิ�งมีชีวิต (พืช) โครโมโซม
(2n) (2n)
ระบบอวัยวะของคนมีความซับซอนมากกวา
สุนัขบาน (Canis familiaris) 78 ฝาย (Gossypium hirsutum) 52
ไก หรือแมลงวัน แมลงหวี่ ยุงกนปลอง และ
ผึ้ง เปนแมลงเหมือนกันที่มีความซับซอน ไก (Gallus domesticus) 78 ยาสูบ (Nicotiana tabacum) 48
ของโครงสรางใกลเคียงกัน แตมีจํานวน มา (Equus calibus) 64 ชา (Camellia sinensis) 30
โครโมโซมที่แตกตางกัน) ชิมแปนซี (Pan trogodytes) 48 สน (Pinus ponderosa) 24
6. ครูถามคําถามทาทายการคิดขั้นสูง (H.O.T.S.) 1
มนุษย (Homo
( sapiens) 46 มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum) 24
กับนักเรียน
หนู (Mus musculus) 40 ขาว (Oryza sativa) 24
อธิบายความรู แมวบาน (Felis catus) 38 กลวย (Musa paradisiaca) 22
ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับรูปราง ผึ้ง (Apis mellifera) 32 แตงโม (Citrillus vulgaris) 22
ลักษณะ และจํานวนโครโมโซม กบ (Rana pipiens) 26 ขาวโพด (Zea mays) 20
แมลงวัน (Musca domestica) 12 กะหลํ่าปลี (Brassica oleracea) 18
แมลงหวี่ (Drosophila melanogaster) 8 หอม (Allium cepa) 16
ยุงกนปลอง (Anopheles dirus) 6 ถั่วลันเตา (Pisum sativum) 14
จํานวนโครโมโซมในสิ่งมีชีวิตแตละสปชีสจะมีจํานวนคงที่ H. O. T. S.
ไมเปลี่ยนแปลง แตหากมีการเปลี่ยนแปลงจํานวนโครโมโซม คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
ในสิ่งมีชีวิต อาจทําใหเกิดความผิดปกติได เชน ในมนุษยจะ สิ่ ง มี ชี วิ ต ต า ง
มีโครโมโซมจํานวน 23 คู หรือ 46 แทง หากโครโมโซมคูที่ เซลล
ชนิดเยืกัอ่ นบุขา แต
งแกมมี
T50
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2.2 สวนประกอบของโครโมโซม 1. ครูใหนกั เรียนศึกษาสวนประกอบของโครโมโซม
1 ไซโทพลาซึม ที่ เ กิ ด จากเกลี ย วคู ข อง DNA รวมอยู กั บ
ในสิ่งมีชีวิตกลุ่มโพรคาริโอต เช่น E.coli จะมีจ�านวน
โครโมโซมเพียงโครโมโซมเดียวเป็นรูปวงแหวนอยูใ่ นไซโทพลาซึม นิวคลีออยด์ โปรตีนฮิสโตน กลายเปนโครมาทิน
ประกอบด้วย DNA 1 โมเลกุล ภายในเซลล์มีโปรตีนบางชนิด เยื่อหุ้มเซลล์ 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ท�าให้โครโมโซมขดเป็นวงเรียกว่า ซูเปอร์คอยล์ (supercoil) ผนังเซลล์ ï• โปรตีนฮิสโตนในโครโมโซมมีบทบาทอยางไร
ท�าให้สามารถบรรจุอย่างหนาแน่นอยู่ในเซลล์ได้ และเรียกส่วน แคปซูล (แนวตอบ เนื่องจาก DNA มีประจุลบ แต
DNA ทีห่ นาแน่นว่า นิวคลีออยด์ (nucleoid) ซึง่ ไม่ได้ถกู ล้อมรอบ ภาพที่ 5.7 โครโมโซมของสิ่งมีชีวิต โปรตีนฮิสโตนมีประจุบวก จึงทําใหเกิดการ
ด้วยเยื่อหุ้ม ในกลุ่มโพรคาริโอต สร า งสมดุ ล ประจุ ข องโครมาทิ น ด ว ยสาย
2 DNA พันรอบกลุมโปรตีนฮิสโตน)
ในสิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอต โครโมโซมจะบรรจุโมเลกุลเกลียวคู่ของ DNA รวมอยู่กับ
โปรตีนฮิสโตน (3histone protein) โดยจับกันเป็นองค์ประกอบเชิงซ้อนทีเ่ รียกว่า โครมาทิน (chromatin) 3. ครูใหนกั เรียนศึกษาจีโนมของสิง่ มีชวี ติ ซึง่ เปน
โดยโปรตีนฮิสโตนมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นกรดอะมิโนทีม่ ปี ระจุบวก เช่น ไลซีน อาร์จนี นี เป็นต้น สารพันธุกรรมทั้งหมดที่บรรจุอยูในนิวเคลียส
จึงมีคุณสมบัติในการเกาะจับกับสาย DNA ซึ่งมีประจุลบได้เป็นอย่างดี ท�าให้เกิดการสร้างสมดุล ของทุกๆ เซลล และมีความหลากหลายใน
ประจุของโครมาทินด้วยสาย DNA พันรอบกลุ่มโปรตีนฮิสโตน เรียกโครงสร้างนี้ว่า นิวคลีโอโซม ดานขนาด จํานวนของยีน และความหนาแนน
(nucleosome) ของยีน แลวใหนักเรียนศึกษาตารางที่ 5.2
ขนาด จํานวนของยีน และความหนาแนนของ
โครโมโซม ยีนในสิ่งมีชีวิตชนิดตางๆ
เกลียวคู่ DNA
นิวคลีโอโซม
โครมาทิน โปรตีนฮิสโตน
ยีนและ 41
โครโมโซม
T51
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับสวน ในปัจจุบันสารพันธุกรรมทั้งหมดที่อยู่ในเซลล์สิ่งมีชีวิตชนิดนั้น ๆ เรียกว่า จีโนม (genome)
ประกอบของโครโมโซม ซึ่งเป็นชุดของดีเอ็นเอทั้งหมดที่บรรจุอยู่ในนิวเคลียสของทุก ๆ เซลล์ และมีความหลากหลายใน
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด ด้านขนาด จ�านวนของยีน และความหนาแน่นของยีน โดยจีโนมถือว่าเป็นข้อมูลทางพันธุกรรม
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 ทั้งหมดที่จ�าเป็นต่อการสร้างสารต่าง ๆ และการด�ารงชีวิตอย่างปกติของสิ่งมีชีวิต
ตารางที่ 5.2 : ขนาด จ�านวน และความหนาแน่นของยีนในสิ่งมีชีวิตชนิดต่างๆ
ขัน้ สรุป ขนาดของจีโนม ความหนาแน่น
ขยายความเข้าใจ สิ่งมีชีวิต (ล้านคู่เบส) จ�านวนยีน ของยีน
ครูใหนักเรียนทํารายงาน เรื่อง โครโมโซมของ แบคทีเรีย
- Escherichia coli 1.8 1,700 940
สิง่ มีชวี ติ โดยคัดเลือกสิง่ มีชวี ติ ทีส่ นใจ ระบุจาํ นวน - Haemophuilus influenzae 4.6 4,400 950
โครโมโซม และประเภทของโครโมโซมแตละแทง แบคทีเรียกลุ่ม อาร์เคีย
ตามตําแหนงของเซนโทรเมียร โดยสืบคนขอมูล - Archaeoglobus fulgidus 2.2 2,500 1,130
- Methanosarcina barkeri 4.8 3,600 750
จากหนังสือ วารสารทางวิชาการ สือ่ ออนไลน หรือ
แหลงเรียนรูตางๆ สิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอต
- ยีสต์ (Saccharomyces cerevisiae) 12 6,300 525
- หนอนตัวกลม (Caenorhabditis elegans) 100 20,100 200
ขัน้ ประเมิน - ข้าว (Oryza sativa)
- ข้าวโพด (Zea mays)
430
2,300
42,000
32,000
98
14
ตรวจสอบผล - หมีแพนด้า (Ailuropoda melanoleuca) 2,400 21,000 9
1. ครูตรวจสอบผลจากรายงาน เรื่อง โครโมโซม - มนุษย์ (Homo sapiens) 3,000 25,000 7
ของสิ่งมีชีวิต
ปัจจุบันจีโนมของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส พืช สัตว์ และมนุษย์ ถูกตรวจหา
2. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามใน
ล�าดับจีโนมออกมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งน�าไปสู่การศึกษาเรื่องยีน หน้าที่ของยีน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
แบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2 ยีนกับสิ่งมีชีวิต การหาความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตเพื่อทราบความใกล้ชิดทางวิวัฒนาการ ความ
หลากหลายทางชีวภาพ รวมถึงการท�าแผนทีท่ างพันธุกรรม (genetic mapping) ของสิง่ มีชวี ติ ต่าง ๆ
โดยการศึกษาจีโนมทั้งหมดของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด ที่เรียกว่า จีโนมิกส์ (genomics)
B iology
Focus โครงการจีโนมมนุษย
โครงการจีโนมมนุษย์ (Human Genome Project) เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2533 โดยการน�าของ
รัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกา เพือ่ ศึกษาล�าดับนิวคลีโอไทด์ทสี่ มบูรณ์ของมนุษย์ โดยการตรวจหาล�าดับ
นิวคลีโอไทด์ของทุกโครโมโซม ทั้งโครโมโซมร่างกาย 22 คู่ และโครโมโซมเพศ 1 คู่ จากการตรวจสอบ
พบข้อมูลล�าดับรหัสพันธุกรรมมนุษย์มีขนาดใหญ่ประมาณ 3,000 ล้านล�าดับ และมียีนที่ค้นพบ
เบื้องต้นเป็นจ�านวนประมาณ 25,000 ยีน
42
ของจีโนมจะสงผลกระทบตอการดํารงชีวิตของสิ่งมีชีวิต เชน
ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
1 ความถูกต้องของเนื้อหา
2 ความสมบูรณ์ของรูปเล่ม
3 ความตรงต่อเวลา
รวม
3
เนื้อหาสาระของ
ระดับคะแนน
2
เนื้อหาสาระของ
1
เนื้อหาสาระของ
รางกายหรือเสียชีวิตได เปนตน)
ของเนื้อหา รายงานถูกต้องครบถ้วน รายงานถูกต้องเป็นส่วน รายงานถูกต้องบาง รายงานไม่ถูกต้องเป็น
ใหญ่ ประเด็น ส่วนใหญ่
2. ความสมบูรณ์ มีองค์ประกอบครบถ้วน มีองค์ประกอบครบถ้วน มีองค์ประกอบครบถ้วน องค์ประกอบไม่
ของรูปเล่ม สมบูรณ์ มีความเป็น สมบูรณ์ มีความเป็น สมบูรณ์ แต่ยังไม่เป็น ครบถ้วน ไม่เป็น
ระเบียบ และรูปเล่ม ระเบียบ แต่รูปเล่มไม่ ระเบียบ และรูปเล่มไม่ ระเบียบ และรูปเล่มไม่
สวยงาม สวยงาม สวยงาม สวยงาม
3. ความตรงต่อ ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่ ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
เวลา กาหนด กาหนด 1 วัน กาหนด 2 วัน กาหนด 3 วันขึ้นไป
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
11-12 ดีมาก
9-10 ดี
6-8 พอใช้
ต่ากว่า 6 ปรับปรุง
T52
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
DNA มีความสัมพันธกบั 3. ดีเอ็นเอ 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน
โครโมโซม อยางไร ความรูเดิมกับนักเรียน
ดีเอ็นเอหรือกรดดีออกซีไรโบนิวคลีอกิ (deoxyribonucleic
acid; DNA) เป็นสารพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ ส่วนใหญ่ และบางส่วน 2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ดีเอ็นเอเปนสาร
ของ DNA ยังท�าหน้าที่เป็นยีน ซึ่งสามารถควบคุมลักษณะต่าง ๆ ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้ พันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ สวนใหญ และบางสวน
โดย DNA ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะมีองค์ประกอบทางเคมีและโครงสร้างที่เหมือนกัน ของดีเอ็นเอทําหนาทีเ่ ปนยีนทีค่ วบคุมลักษณะ
ตางๆ ทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
3.1 องค์ประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ
DNA เป็นกรดนิวคลีอกิ ชนิดหนึง่ มักพบอยูใ่ นนิวเคลียสของเซลล์ โดยพันตัวอยูบ่ นโครโมโซม ขัน้ สอน
DNA มีลักษณะเป็นพอลิเมอร์ (polymer) ของนิวคลีโอไทด์ (nucleotide) ซึ่งแต่ละโมเลกุลของ สํารวจคนหา
นิวคลีโอไทด์ประกอบด้วยองค์ประกอบย่อย 3 ส่วน ดังนี้ 1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาองค ป ระกอบทางเคมี
หมู่ฟอสเฟต (phosphate group) ของดีเอ็นเอที่เกิดจากหนวยยอยของนิวคลีโอ
ประกอบด้วย ฟอสฟอรัสและออกซิเจน
มีสูตรโมเลกุล PO43- ไทดมาตอกันเปนสายยาว ซึ่งนิวคลีโอไทดมี
3 โครงสรางประกอบดวยนํ้าตาลดีออกซีไรโบส
H เบสพิวรีน
H
หมูฟอสเฟต และไนโตรจีนัสเบส (A T G C)
N H
H N
H N
N N 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
H
NH2 N
N N
H ï• นิ ว คลี โ อไทด แ ต ล ะชนิ ด จะแตกต า งกั น
H N
N
N H
N
H
O อยางไร
อะดีนีน H กวานีน
N N
H
เบสไพริมิดีน H C O
(แนวตอบ นิวคลีโอไทดแตละชนิดจะแตกตาง
O N H
-O H N 2
N กั น ที่ ช นิ ด ของเบส โดยอาจเป น เบสชนิ ด
P O O
O- H H H O H O อะดีนีน ไทมีน ไซโทซีน หรือกวานีน)
N N
H
OH H
H 3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา นิวคลีโอไทดของ
ไซโทซีน H H ไทมีน
ดีเอ็นเอประกอบดวยโครงสราง 3 สวน ไดแก
นํา้ ตาลดีออกซีไรโบส หมูฟ อสเฟต และไนโตร-
1 2
จีนสั เบส (A T C G) ซึง่ นิวคลีโอไทดแตละชนิด
น�้าตาลดีออกซีไรโบส (deoxyribose ไนโตรจีนัสเบส (nitrogenous base) แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม จะแตกตางกันที่ชนิดของไนโตรจีนัสเบส
sugar) เป็นน�า้ ตาลคาร์บอน 5 อะตอม ได้แก่ เบสพิวรีน (purinebase) มีวงแหวน 2 วง ประกอบ
มีสูตรโมเลกุล C5H10O4 โดยคาร์บอน ด้วยกวานีน (guanine; G) และอะดีนีน (adenine, A) และ
ต�าแหน่งที่ 2 จะไม่มีหมู่ไฮดรอกซิล เบสไพริมิดีน (pyrimidine base) มีวงแหวน 1 วง ประกอบ
(OH-group) ด้วยไซโทซีน (cytosine; C) และไทมีน (thymine; T)
ภาพที่ 5.9 โครงสร้างของนิวคลีโอไทด์ แนวตอบ Prior Knowledge
ยีนและ 43
DNA เปนสวนประกอบของโครโมโซมของ
โครโมโซม
สิ่งมีชีวิต ซึ่งสายดีเอ็นเอจะพันอยูรอบกลุมโปรตีน
ฮิสโตน
T53
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ครูใหนกั เรียนศึกษาการเชือ่ มตอกันของนิวคลี- หน่วยย่อยของนิวคลีโอไทด์แต่ละหน่วยจะสร้างพันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์ (phosphodiester
โอไทดเปนพอลินิวคลีโอไทด bond) เชือ่ มต่อกัน โดยหมูฟ่ อสเฟตทีอ่ ยูใ่ นต�าแหน่งคาร์บอนที่ 5 จะสร้างพันธะกับน�า้ ตาลดีออกซี-
5. ครูถามคําถามนักเรียนวา ไรโบสของอีกนิวคลีโอไทด์ที่คาร์บอนต�าแหน่งที่ 3 และเมื่อเชื่อมต่อกันเป็นสายยาว เรียกว่า
•ï หนวยยอยของนิวคลีโอไทดเชื่อมตอเปน พอลินวิ คลีโอไทด์ (polynucleotide) ซึง่ ปลายด้านหนึง่ ของพอลินวิ คลีโอไทด์จะเป็นต�าแหน่ง 5 ไพร์ม
DNA สายยาวไดอยางไร (5′) ของคาร์บอนอะตอมในน�้าตาลดีออกซีไรโบส และปลายอีกด้านเป็นต�าแหน่ง 3 ไพร์ม (3′)
( แนวตอบ หมู ฟ อสเฟตที่ อ ยู ใ นคาร บ อน ของคาร์บอนอะตอมในน�้าตาลดีออกซีไรโบส
ตํ า แหน ง ที่ 5 ของนิ ว คลี โ อไทด โ มเลกุ ล ใน พ.ศ. 2492 เออร์วิน ชาร์กาฟฟ์ (Erwin Chargaff) นักชีวเคมีชาวอเมริกัน ได้ศึกษา
หนึ่งจะสรางพันธะฟอสโฟไดเอสเตอรกับ ปริมาณเบสทั้ง 4 ชนิดใน DNA จากสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ พบว่า ในโมเลกุลของ DNA มีเบสอะดีนีน
คารบอนตําแหนงที่ 3 ของนํ้าตาลดีออกซี- (A) ปริมาณเท่ากับเบสไทมีน (T) ซึ่งจับคู่กันด้วยพันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ และเบสไซโทซีน (C)
ไรโบสของอีกนิวคลีโอไทดหนึ่ง แตโมเลกุล ปริมาณเท่ากับเบสกวานีน (G) ซึ่งจับคู่กันด้วยพันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ โดยเรียกการจับคู่ของ
ดีเอ็นเอมีลักษณะเปนเกลียวคู ซึ่งดีเอ็นเอ ไนโตรจีนัสเบสว่า เบสคู่สม (complementary base)
2 สาย จะสรางพันธะไฮโดรเจนระหวาง O OH พันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ
-O P ระหว่างเบส A กับ T
ไนโตรจีนัสเบส โดยเบส A จับคูกับเบส T O
H2C
OH
พันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์
ดวยพันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ สวนเบส G O O
T A
CH2
จับคูก บั เบส C ดวยพันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ) -O P
O
O O- พันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ
ระหว่างเบส G กับ C
H2C O PO
G C
O O CH2
-O P O -
O O
H2C O PO
C G
O O CH2
-O P O O-
O
H2C O P
A T O
CH2
OH O O-
HO PO
44
T54
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
จากข้อมูลการทดลองของชาร์กาฟฟ์ พบอัตราส่วนของเบสในนิวคลีโอไทด์ใน DNA ของ 6. ครูใหนกั เรียนศึกษาการทดลองของชารกาฟฟ
สิ่งมีชีวิตแต่ละสปีชีส์มีความสอดคล้องกัน โดยปริมาณเบสอะดีนีน (A) มีปริมาณใกล้เคียงกับ ที่พบวาเบส A จะมีปริมาณใกลเคียงกับเบส T
ปริมาณเบสไทมีน (T) และปริมาณเบสกวานีน (G) มีปริมาณใกล้เคียงกับปริมาณเบสไซโทซีน (C) และเบส G จะมีปริมาณใกลเคียงกับเบส C
ตัวอย่างเช่น ใน DNA ของหนู พบว่า เบส A = 28.6% เบส T = 28.4% เบส G = 21.4% 7. ครูถามคําถามนักเรียนวา
และเบส C = 21.5% (เปอร์เซ็นต์ทไี่ ด้อาจจะไม่เท่ากันเนือ่ งจากข้อจ�ากัดของเทคนิคทีช่ าร์กาฟฟ์ใช้) •ï เพราะเหตุใดปริมาณเบส A จึงใกลเคียงกับ
เป็นต้น เบส T และเบส G จึงใกลเคียงกับเบส C
(แนวตอบ เนื่องจากเบส A จะเขาคูกับเบส T
ตารางที่ 5.3 : ปริมาณไนโตรจีนัสเบสตามกฎของชาร์กาฟฟ์ ในสิ่งมีชีวิตต่างๆ
สวนเบส C จะเขาคูก บั เบส G ทําใหปริมาณ
ชนิดของเบส (ร้อยละ) อัตราส่วน
ชนิดของสิ่งมีชีวิต เบส A ใกลเคียงกับเบส T และเบส G
อะดีนีน ไทมีน กวานีน ไซโทซีน A : T G:C
(A) (T) (G) (C) ใกลเคียงกับเบส C เสมอ)
ยีสต์ 31.3 32.9 18.7 17.1 0.95 1.09 8. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา จากผลการทดลอง
ของชารกาฟฟ จึงตั้งเปนกฎของชารกาฟฟ มี
แมลงหวี่ 27.3 27.6 22.5 22.5 0.99 1.00
หลักการ คือ สิง่ มีชวี ติ แตละชนิดมีปริมาณของ
ผึ้ง 34.4 33.0 16.2 16.4 1.04 0.99 เบสทัง้ 4 ชนิด แตกตางกัน ซึง่ ในสิง่ มีชวี ติ ชนิด
เม่นทะเล 32.8 32.1 17.7 18.4 1.02 0.96 หนึ่งจะมีคาคงที่ ไมแปรผันตามอายุ อาหาร
และสิ่งแวดลอม โดยอัตราสวนระหวางเบส
ปลาแซลมอน 29.7 29.1 20.8 20.4 1.02 1.02
A : T และ G : C จะใกลเคียงกับ 1
หนู 28.6 28.4 21.4 21.5 1.01 1.00
อธิบายความรู
คน (เซลล์ตับ) 30.7 31.2 19.3 18.8 0.98 1.03
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
จากผลการทดลองชาร์กาฟฟ์ จึงมีการตั้งเป็นกฎของชาร์กาฟฟ์ (Chargaff’s rules) ขึ้นโดย องคประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ
มีหลักการ ดังนี้ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับกฎของ
• สิง่ มีชวี ติ แต่ละชนิดจะมีปริมาณองค์ประกอบของเบสทัง้ 4 ชนิด ใน DNA ของแต่ละสปีชสี ์ ชารกาฟฟ
แตกต่างกัน
• องค์ประกอบเบสของ DNA ในสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งมีค่าคงที่ ไม่แปรผันตามอายุ อาหาร
หรือสิ่งแวดล้อม
• อัตราส่วนระหว่างเบส A : T และ G : C จะใกล้เคียงกับ 1 เนื่องจากการจับคู่กันระหว่าง
เบส A กับ T และเบส G กับ C ท�าให้จ�านวนปริมาณเบส A เท่ากับเบส T และเบส C เท่ากับ
เบส G เสมอไป
ยีนและ 45
โครโมโซม
ขอสอบเนน การคิด
ขอใดกลาวไมถูกตองเกี่ยวกับกฎของชารกาฟฟ
1. อัตราสวนระหวางเบส A : T และ G : C จะใกลเคียงกับ 1 เสมอ
2. ปริมาณเบส A จะเทากับเบส T และเบส G จะเทากับเบส C เสมอ
3. สิ่งมีชีวิตแตละชนิดมีปริมาณของเบสทั้ง 4 ชนิดใน DNA คงที่เสมอ
4. ปริมาณองคประกอบของเบสทั้ง 4 ชนิด ในสิ่งมีชีวิตเดียวกันจะแตกตางกัน
5. ปริมาณองคประกอบของเบสทั้ง 4 ชนิด จะไมแปรผันตามอายุ หรือสิ่งแวดลอม
(วิเคราะหคําตอบ กฎของชารกาฟฟ มีหลักการ ดังนี้
- สิ่งมีชีวิตแตละชนิดจะมีปริมาณองคประกอบของเบสทั้ง 4 ชนิด ใน DNA ของแตละสปชีสที่แตกตางกัน
- องคประกอบเบสของ DNA ในสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งมีความคงที่ ไมแปรผันตามอายุ อาหาร หรือสิ่งแวดลอม
- อัตราสวนระหวางเบส A : T และ G : C จะใกลเคียงกับ 1 ซึ่งอาจเนื่องจากการจับคูกันระหวางเบส A กับเบส T และเบส G
กับเบส C ทําใหจํานวนปริมาณเบสชนิด A เทากับ T และ C เทากับ G เสมอไป ดังนั้น ตอบขอ 4.)
T55
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาโครงสร า งโมเลกุ ล ของ 3.2 โครงสรางของดีเอ็นเอ
ดีเอ็นเอ จากแบบจําลองของวัตสัน และคริก ซึง่ จากข้อมูลองค์ประกอบทางเคมีของ DNA และอัตราส่วนระหว่างเบสชนิดต่าง ๆ ของโมเลกุล
ใชขอ มูลจากการวิเคราะหดว ยเทคนิคเอกซเรย DNA จึงมีนักวิทยาศาสตร์น�าข้อมูลดังกล่าวมาจ�าลองโครงสร้างโมเลกุลของ DNA โดยใช้เทคนิค
ดิฟแฟรกชัน และกฎของชารกาฟฟ
ต่าง ๆ ร่วมกับผลการทดลองของชาร์กาฟฟ์
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ในปี พ.ศ. 2493 มัวริส เอช เอฟ วิลคินส์ (Maurice H. F. Wilkins) และโรซาลินด์ แฟรงคลิน
•ï แรงยึดเหนียวของคูเบส A กับ T และคูเบส
(Rosalind Franklin) นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ศึกษาโครงสร้างของ DNA ในสิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ
G กับ C คูใดมีแรงยึดเหนี่ยวมากกวากัน
โดยใช้เทคนิคเอกซ์เรย์ดิฟแฟรกชัน (X-ray diffraction) ซึ่งเป็นเทคนิคการวิเคราะห์สารประกอบ
(แนวตอบ คูเบสระหวาง G กับ C มีแรงยึด
ที่มีอยู่ในสารตัวอย่าง ด้วยการฉายรังสีเอกซ์ (X-ray) ผ่านผลึก DNA ซึ่งการหักเหของรังสีเอกซ์
เหนี่ยวมากกวา A กับ T เนื่องจากมีพันธะ
ท�าให้เกิดภาพบนแผ่นฟิล์ม ผลการฉายรังสี พบว่า โครงสร้างของ DNA จากสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ มี
ไฮโดรเจนมากกวา)
ลักษณะที่คล้ายคลึงกันมาก คือ DNA ประกอบด้วยพอลินิวคลีโอไทด์มากกว่า 1 สาย มีลักษณะ
•ï ใน 1 เกลียวของ DNA ประกอบดวยคูเ บสกีค่ ู
เป็นเกลียว ซึ่งเกลียวแต่ละรอบจะมีระยะห่างเท่า ๆ กัน จากการศึกษานี้ท�าให้เข้าใจโครงสร้าง
(แนวตอบ เกลียว DNA แตละเกลียวจะหาง
ทางกายภาพของ DNA ได้ชัดเจนขึ้น
กัน 34 อังสตรอม ซึ่งแตละคูเบสหางกัน 3.4
อังสตรอม ดังนั้น เกลียว DNA แตละเกลียว
ประกอบดวยคูเบสจํานวน 10 คู)
จุดที่เกิดการหักเหของรังสี X
3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา โมเลกุลดีเอ็นเอ
ประกอบดวยพอลินวิ คลีโอไทด 2 สาย เรียงสลับ
ทิศกัน บิดเปนเกลียวคูเวียนตามเข็มนาฬกา
ซึ่งมีแกนนํ้าตาล-ฟอสเฟตอยูดานนอก และ โครงสร้างผลึก DNA
ไนโตรจีนสั เบสอยูด า นใน โดย A จับคูก บั T ดวย จุดที่เกิดจากรังสี X
พันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ และ G จับคูกับ C
ดวยพันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ โครงสรางเกลียวคู
ภาพการถ่ายรังสี X เมื่อฉายผ่าน
มีระยะหางกัน 20 อังสตรอม แตละเกลียวหางกัน โครงสร้างผลึก DNA
34 อังสตรอม และแตละคูเบสหางกัน 3.4
อังสตรอม ภาพที่ 5.11 การศึกษาโครงสร้างของ DNA โดยใช้ผลึก DNA และการหักเหของรังสี X
อธิบายความรู
ในปี พ.ศ. 2496 เจมส์ ดี วัตสัน (James D. Watson) นักชีวเคมีชาวอเมริกัน และฟรานซิส
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
คริก (Francis Crick) นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษ ได้เสนอแบบจ�าลองโครงสร้างโมเลกุลของ DNA
โครงสรางของดีเอ็นเอ โดยรวบรวมข้อมูลจากการทดลองของชาร์กาฟฟ์ (ปริมาณเบส A เท่ากับเบส T และปริมาณ
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง โครงสรางและ เบส C เท่ากับเบส G) และการถ่ายภาพผลึก DNA ด้วยเทคนิคเอกซ์เรย์ดิฟแฟรกชัน
องคประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด 46
T56
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
แบบจ�าลองโครงสร้างโมเลกุลของ DNA ของวัตสันและคริก มีโครงสร้าง ดังนี้ ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน สราง
• โมเลกุลของ DNA ประกอบด้วย พอลินิวคลีโอไทด์ 2 สายเรียงสลับทิศกัน (antiparallel) แบบจําลองโมเลกุลของ DNA จากกระดาษ โดย
และพันกันบิดเป็นเกลียวคู่ (double helix) เวียนขวาตามเข็มนาฬิกา ใชขอมูลการสรางแบบจําลองโมเลกุลของ DNA
• นิวคลีโอไทด์แต่ละสายประกอบด้วยแกนน�้าตาล-ฟอสเฟต (sugar-phosphate backbone) จากทายแผนการจัดการเรียนรูที่ 3 ดีเอ็นเอ แลว
ซึ่งประจุลบจะอยู่ส่วนด้านนอกของโมเลกุล และไนโตรจีนัสเบสซึ่งเป็นส่วนที่ไม่ชอบน�้าจะอยู่ส่วน ออกมานําเสนอแบบจําลองหนาชั้นเรียน
ด้านในของโมเลกุล
• การจับคูก่ นั ของเบสคูส่ มโดยเบส A จับคูก่ บั เบส T ด้วยการสร้างพันธะไฮโดรเจน 2 พันธะ ขัน้ ประเมิน
และเบส G จับคู่กับเบส C ด้วยการสร้างพันธะไฮโดรเจน 3 พันธะ ตรวจสอบผล
• โครงสร้างเกลียวคู่มีระยะห่าง 20 อังสตรอม ( A� ) แต่ละเกลียวห่างกัน 34 อังสตรอม 1. ครูตรวจสอบจากแบบจําลองและการนําเสนอ
แต่ละคู่เบสมีระยะห่างกัน 3.4 อังสตรอม แบบจําลองโมเลกุลของ DNA
20 A 2. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรื่อง โครงสราง
G C O OH
-O P
O
และองคประกอบทางเคมีของดีเอ็นเอ
A T OH
T A
H2C
T A 3. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามในแบบ
O O
-O P
CH2
O O-
ฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
O
G C H2C O PO
G C
C G O O CH2
A T -O P O -
O O
C G H2C O PO
C G
O O CH2
34 A -O P O O-
O
T A H2C O P
A T O
T A
CH2
A T OH O O-
A T HO PO
G C
3.4 A
A T
47
โครโมโซม และดีเอ็นเอ
ลาดับที่
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
ระดับคะแนน
3 2 1
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
เกณฑ์การให้คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินสมบูรณ์ชัดเจน ให้ 3 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินเป็นส่วนใหญ่ ให้ 2 คะแนน
ผลงานหรือพฤติกรรมสอดคล้องกับรายการประเมินบางส่วน ให้ 1 คะแนน
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-15 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
T57
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน 4. สมบัติของสารพันธุกรรม
DNA มีความสําคัญตอ
ความรูเดิมของนักเรียน สิ่งมีชีวิตอยางไร
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา DNA เปนสาร DNA เป็นสารพันธุกรรมที่ท�าให้เกิดการถ่ายทอดลักษณะ
พันธุกรรมทีท่ าํ เกิดการถายทอดลักษณะตาง ๆ ต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตจากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลาน เนื่องจาก DNA
จากพ อ แม ไ ปสู ลู ก หลาน เนื่ อ งจาก DNA สามารถจ�าลองตัวเอง และใช้ตัวเองเป็นแม่แบบของรหัสพันธุกรรมในการสังเคราะห์โปรตีนต่าง ๆ
สามารถจําลองตัวเอง และใชตัวเองเปนแม ของเซลล์ เพื่อให้เกิดการท�างานของโปรตีนหรือการแสดงออกของลักษณะทางพันธุกรรมได้
แบบของรหั ส พั น ธุ ก รรมในการสั ง เคราะห DNA เป็นสารพันธุกรรมของสิ่งชีวิต ซึ่งจะมีคุณสมบัติที่ส�าคัญของการเป็นสารพันธุกรรม
โปรตีน และยังสามารถเกิดการแปรผันที่ทํา 3 ประการ ดังนี้
ใหเกิดความผิดปกติได ประการแรก ต้องสามารถเพิ่มจ�านวนได้ โดยยังคงลักษณะเดิมไว้ เพื่อให้เกิดการถ่ายทอด
พันธุกรรมจากรุ่นพ่อแม่ไปยังรุ่นลูกได้
ขัน้ สอน ประการที่สอง ต้องสามารถควบคุมการท�างานของเซลล์ให้สังเคราะห์สารต่าง ๆ เพื่อให้เกิด
สํารวจค้นหา
การแสดงออกของลักษณะทางพันธุกรรมได้
1. ครูใหนักเรียนศึกษาสมบัติของสารพันธุกรรม ประการทีส่ าม อาจก่อให้เกิดความผันแปรได้บา้ ง การผันแปรทีเ่ กิดขึน้ มีความสามารถทีอ่ าจ
2. ครูถามคําถามนักเรียน ก่อให้เกิดลักษณะทางพันธุกรรมทีเ่ ปลีย่ นแปลงไปจากเดิม ซึง่ ลักษณะทางพันธุกรรมทีเ่ ปลีย่ นแปลง
•ï เพราะเหตุใด DNA จึงมีคุณสมบัติเปนสาร นี้อาจท�าให้เกิดสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ขึ้นได้
พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
(แนวตอบ DNA สามารถเพิ่มจํานวนได มียีน
ที่ ส ามารถควบคุ ม การทํ า งานของเซลล 4.1 การสังเคราะห์ดีเอ็นเอ
และสามารถเกิ ด การแปรผั น ของยี น ซึ่ ง วัตสันและคริกได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับ
ทําใหมีลักษณะแตกตางจากลักษณะเดิมได การจ�าลองตัวของ DNA โดยเริ่มต้นจากการที่ DNA แม่แบบ
คุณสมบัติเหลานี้แสดงใหเห็นวา DNA เปน DNA สูญเสียพันธะไฮโดรเจนของแต่ละสาย
สารพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต) ระหว่างเบส A กับเบส T และเบส G กับเบส C
3. ครูใหนักเรียนศึกษาการสังเคราะห DNA เริ่ม ที่ละคู่ จึงเกิดการคลายเกลียวและแยกจากกัน
จากการคลายเกลียวคูของดีเอ็นเอ แตละสาย สายแต่ละสายที่แยกจากกันจะท�าหน้าที่เป็น DNA สูญเสียพันธะ
ไฮโดรเจน
จะทําหนาที่เปนแมแบบ โดยนํานิวคลีโอไทด DNA แม่แบบ (DNA template) ที่จะท�าให้เกิด
มาจับกับสายแมแบบ ซึ่งเบส A เขาคูกับเบส T สายใหม่ขึ้น โดยมีการน�านิวคลีโอไทด์อิสระ
และเบส G เขาคูกับเบส C โดยจากเริ่มตนที่มี ที่อยู่ในเซลล์เข้ามาจับกับพอลินิวคลีโอไทด์
DNA เพียงโมเลกุลเดียวก็จะไดDNA สายใหม สายเดิม โดยเบส A จับคู่กับเบส T และเบส C
2 โมเลกุล ทีเ่ รียกวา การจําลองแบบกึง่ อนุรกั ษ จับคู่กับเบส G และสุดท้ายจะได้ DNA สองชุด DNA สายใหม่ 2 สาย
แนวตอบ Prior Knowledge ที่เหมือนกันจาก DNA เริ่มต้นเพียงหนึ่งสาย ภาพที่ 5.13 การสังเคราะห์ DNA จาก DNA แม่แบบ
ขอสอบเนน การคิด
ขอใดตอไปนีไ้ มใชคณ ุ สมบัตขิ องสารพันธุกรรม
1. สามารถเพิม่ จํานวนได 2. สามารถสังเคราะหสารได
3. สามารถควบคุมการทํางานของเซลลได 4. สามารถถายทอดจากรุน หนึง่ สูร นุ หนึง่ ได
5. สามารถเกิดความแปรผันทีท่ าํ ใหมลี กั ษณะแตกตางไปจากเดิมได
(วิเคราะหคําตอบ คุณสมบัติของสารพันธุกรรมประกอบดวย 3 ประการ ไดแก
1. ตองสามารถเพิ่มจํานวนได โดยยังคงลักษณะเหมือนเดิมไว เพื่อใหเกิดการถายทอดพันธุกรรม
จากรุนพอแมไปยังรุนลูกได
2. ตองสามารถควบคุมการทํางานของเซลลใหสังเคราะหสารตางๆ เพื่อใหเกิดการแสดงออกของ
ลักษณะทางพันธุกรรมได
3. สามารถเกิดความผันแปรได ซึ่งอาจกอใหเกิดลักษณะทางพันธุกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
ที่มีผลทําใหเกิดสปชีสใหมของสิ่งมีชีวิตได
โดยสารพันธุกรรมไมไดทาํ หนาทีส่ งั เคราะหสารโดยตรง แตจะควบคุมการทํางานของเซลลใหทาํ หนาที่
สังเคราะหสารขึ้น ดังนั้น ตอบขอ 2.)
T58
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
เมื่อเกิดการจ�าลองตัวของ DNA แล้ว 4. ครูถามคําถามนักเรียนวา
แต่ละสายของ DNA จะท�าหน้าที่เป็นแม่แบบ DNA แม่แบบ •ï การจําลองแบบกึง่ อนุรกั ษ มีลกั ษณะอยางไร
ส�าหรับการน�านิวคลีโอไทด์มาสร้างเป็นสายใหม่ (แนวตอบ การจําลอง DNA โดย DNA สายใหม
โดยอาศัยสายแม่แบบตามกฎการเข้าคูข่ องเบส ทีเ่ กิดขึน้ จะประกอบดวย DNA สายใหม 1 สาย
เพื่อให้ได้สายใหม่ จากจุดเริ่มต้นที่มี DNA และ DNA สายเกาอีก 1 สาย)
การจ�าลอง
เพียงโมเลกุลเดียวก็จะได้ DNA 2 โมเลกุ 1 ล DNA ครั้ง 5. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา การจําลองของ DNA
เรียกกระบวนการนีว้ า่ การจ�าลอง DNA (DNA ที่ 1
จะเปนแบบกึ่งอนุรักษ จากเริ่มตนที่มี DNA
replication) ซึ่งท�าให้ DNA สองสายใหม่ที่เกิด
ขึ้นมีส่วนของสายเก่าและสายใหม่ที่ถูกจ�าลอง 1 โมเลกุล จะได DNA 2 โมเลกุล ซึ่งในสาย
การจ�าลอง ดีเอ็นเอจะประกอบดวยสายแมแบบ 1 สาย
ขึน้ พันกันเป็นเกลียวคู่ การจ�าลองลักษณะแบบ DNA ครั้ง
นีเ้ รียกว่า การจ�าลองแบบกึง่ อนุรกั ษ์ (semicon- ที่ 2 และสาย DNA สายใหมอีก 1 สาย พันกันเปน
servative model) ภาพที่ 5.14 การจ�าลองแบบกึ่งอนุรักษ์ของ DNA เกลียวเวียนขวา
ในปี พ.ศ. 2499 อาร์เธอร์ คอนเบิร์ก (Arthur Kornberg) นักเคมีชาวอเมริกันสามารถ 6. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา โมเลกุล DNA
สังเคราะห์โมเลกุลของ DNA ในหลอดทดลองได้สา� เร็จ โดยน�าเอนไซม์ดเี อ็นเอพอลิเมอเรส (DNA สามารถสังเคราะหในหลอดทดลองไดเชนกัน
polymerase) ซึ่งสกัดจากแบคทีเรีย E. coli ใส่ในหลอดทดลองที่มีสารประกอบที่จ�าเป็นต่อการ และใหนักเรียนศึกษาการสังเคราะห DNA ใน
สังเคราะห์ DNA ได้แก่ DNA แม่แบบ นิวคลีโอไทด์ 4 ชนิด (นิวคลีโอไทด์ที่มีเบส A นิวคลีโอไทด์ หลอดทดลองของคอนเบิรก
ที่มีเบส T นิวคลีโอไทด์ที่มีเบส G นิวคลีโอไทด์ที่มีเบส C) และเอนไซม์ดีเอ็นเอพอลิเมอเรส 7. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ซึ่งท�าที่มีหน้าที่เชื่อมนิวคลีโอไทด์ให้ต่อกันเป็นสายยาว โดยมีทิศทางการสังเคราะห์สาย DNA
สายใหม่จากปลาย 5′ ไปยังปลาย 3′ •ï การสังเคราะห DNA ในหลอดทดลองตอง
การค้นพบเอนไซม์ดีเอ็นเอพอลิเมอเรสของคอนเบิร์กที่ใช้ในการเชื่อมนิวคลีโอไทด์เข้าด้วย ใชองคประกอบใดบาง
กัน นับว่ามีความส�าคัญอย่างยิง่ ในวิชาพันธุศาสตร์ เพราะท�าให้นกั วิทยาศาสตร์สามารถสังเคราะห์ (แนวตอบ ใช DNA แมแบบ นิวคลีโอไทด 4
DNA ในหลอดทดลองได้ โดยไม่จ�าเป็นต้องเกิดขึ้นภายในเซลล์ของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น ชนิด (เบส A T C G) และ เอนไซม DNA
พอลิเมอเรส)
B iology
Focus เอนไซมดีเอ็นเอพอลิเมอเรส
•ï เอนไซมดเี อ็นเอพอลิเมอเรสมีบทบาทในการ
ดีเอ็นเอพอลิเมอเรส (DNA polymerase) เป็นเอนไซม์ส�าคัญในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ โดย สังเคราะห DNA อยางไร
ท�าหน้าที่เชื่อมนิวคลีโอไทด์ให้ต่อกันเป็นสายยาว ซึ่งปัจจุบันเอนไซม์ดีเอ็นเอพอลิเมอเรสที่พบใน (แนวตอบ ทําหนาที่เติมเบสตัวใหมที่เปน
แบคทีเรีย E. coli มี 3 ชนิด ดังนี้ เบสคูสมกับ DNA แมแบบ)
ดีเอ็นเอพอลีเมอเรส I (DNA polymerase I) ท�าหน้าที่เร่งปฏิกิริยาการสร้างพันธะฟอสโฟ-
ไดเอสเตอร์ระหว่างหมู่ฟอสเฟตกับหมู่ไฮดรอกซิลในสายนิวคลีโอไทด์ อธิบายความรู้
ดีเอ็นเอพอลีเมอเรส II (DNA polymerase II) ท�าหน้าที่ช่วยในการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับสมบัติ
ดีเอ็นเอพอลีเมอเรส III (DNA polymerase III) มีบทบาทในการซ่อมแซมดีเอ็นเอที่แตกหัก
เสียหาย ของสารพันธุกรรม
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
ยีนและ
โครโมโซม
49 สังเคราะห DNA แบบกึ่งอนุรักษ
3. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
สังเคราะห DNA ในหลอดทดลอง
T59
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การสังเคราะห จากการศึกษาต่อมาพบว่า การสังเคราะห์ DNA สายใหม่ 2 สาย จะแตกต่างกัน ดังนี้
DNA จาก DNA แมแบบ จะได DNA สายใหม • สายน�า (leading strand) เป็นการสังเคราะห์ DNA สายใหม่ ที่มีการสร้างต่อเนื่องกันเป็น
2 สาย ซึ่ง DNA 2 สายนี้จะมีวิธีการสังเคราะห สายยาวจากปลาย 5′ ไปยังปลาย 3′
ที่แตกตางกัน • สายตาม (lagging strand) เป็นการสังเคราะห์ DNA สายใหม่ ที่ไม่สามารถสร้างต่อเนื่อง
2. ครูใหนักเรียนศึกษาการสังเคราะห DNA 2 เป็นสายยาวได้ เนื่องจากทิศทางการสร้างจากปลาย 5′ ไปยังปลาย 3′ สวนทางกับทิศทาง
สาย ประกอบดวย สายนําทีม่ กี ารสรางตอเนือ่ ง การคลายเกลียวของ DNA โมเลกุลเดิม จึงสร้างพอลินิวคลีโอไทด์สายสั้น ๆ เรียกว่า ชิ้นส่วน
จากปลาย 5ʹ ไปยังปลาย 3ʹ และสายตามที่ โอคาซากิ (Okazaki fragment) อยู่ห่างกันเป็นช่วง ๆ มีทิศทางจากปลาย 5′ ไปยังปลาย 3′ และ
มีการสรางเปน DNA สายสั้นๆ จากปลาย 3ʹ จะอาศัยเอนไซม์ดีเอ็นเอไลเกส (DNA ligase) เชื่อมต่อชิ้นส่วนโอคาซากิเหล่านี้ให้เป็นสาย
ไปยังปลาย 5ʹ
3′
3. ครูถามคําถามนักเรียนวา 5′
สายน�า
•ï การสังเคราะห DNA สายใหมทั้ง 2 สาย
5′
เหมือนหรือแตกตางกันอยางไร 3′
(แนวตอบ การสังเคราะห DNA สายใหม 2
ชิ้นส่วนโอคาซากิ
สาย จะมีลักษณะแตกตางกัน เนื่องจาก สายตาม
ทิศทางการสังเคราะห DNA แตละสาย 3′
แตกตางกัน โดยสายนําจะมีการสังเคราะห 5′
DNA พอลิเมอเรส
อยางตอเนื่องในทิศทาง 5 ʹ ไปยัง 3 ʹ สวน
สายตาม จะมีการสังเคราะหอยางไมตอ เนือ่ ง
เนื่ อ งจากทิ ศ ทางการสร า งจากปลาย 3 ʹ
ไปยังปลาย 5 ʹ สวนทางกับทิศทางการคลาย
เกลียวของ DNA โมเลกุลเดิม จึงมีการสราง 3′
DNA แม่แบบ
5′
เป น พอลิ นิ ว คลี โ อไทด ส ายสั้ น ๆ เรี ย กว า 5′
สายน�า
3′
ชิ้นสวนโอคาซากิ ที่มีทิศทางการสรางจาก
ชิ้นส่วนโอคาซากิ
ปลาย 5 ʹ ไปยัง 3 ʹ แลวจึงเชื่อมตอชิ้นสวน
ดวยเอนไซมดีเอ็นเอไลเกส) 3′
5′
สายตาม
T60
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูถามคําถามนักเรียนวา
4.2 การควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของดีเอ็นเอ
•ï DNA ที่ถูกสังเคราะหขึ้นมีบทบาทสําคัญตอ
สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มี DNA ท�าหน้าที่บรรจุข้อมูลทางพันธุกรรม โดยโครงสร้างของ DNA
เซลลสิ่งมีชีวิตอยางไร
ประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์สองสายที่มีความยาวของคู่เบสนับแสนนับล้านคู่ ซึ่งการจัดเรียงล�าดับ
ของเบสที่แตกต่างกัน ท�าให้เกิดความแตกต่างของ DNA ในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด (แนวตอบ DNA มีขอมูลทางพันธุกรรมบรรจุ
อยู ซึ่ ง เป น ลํ า ดั บ เบสของนิ ว คลี โ อไทด บ น
จากการศึกษาก่อนหน้านี้ ท�าให้ทราบว่าการแสดงออกต่าง ๆ ที่ถ่ายทอดจากรุ่นพ่อแม่สู่ลูก
สายดีเอ็นเอที่ทําหนาที่เปนยีน โดยยีนจะ
ถูกก�าหนดโดยยีน (gene) ซึ่งเป็นล�าดับนิวคลีโอไทด์บางช่วงบนสาย DNA ที่มีความจ�าเพาะ โดย
ยีนจะก�าหนดกรดอะมิโนที่ใช้สังเคราะห์โปรตีน การแสดงออกของยีนจึงท�าให้เกิดการสังเคราะห์ ควบคุมการสังเคราะหโปรตีน ในเซลลสงิ่ มีชวี ติ
โปรตีนขึน้ ในเวลาและปริ มาณที โปรตีนทีถ่ กู สังคราะหขนึ้ จะมีบทบาทและหนาที่
1 2 แ่ ตกต่างกัน ขึน้ อยูก่ บั บทบาทและหน้าทีข่ องโปรตีนชนิดนัน้ ๆ เช่น เชน เปนองคประกอบของเซลล เรงปฏิกริ ยิ า
โปรตีนแอกทินและไมโอซินของเซลล์กล้ามเนือ้ โปรตีนเฮโมโกลบินของเซลล์เม็ดเลือดแดง เป็นต้น
รวมถึงเอนไซม์ที่ช่วยให้เกิดปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ ก็เป็นโปรตีนเช่นกัน จึงกล่าวได้ว่าโปรตีนที่ถูก ตางๆ ภายในเซลล ซึ่งมีผลทําใหรางกาย
สังเคราะห์ขนึ้ มีผลต่อการแสดงลักษณะทางพันธุกรรมและการด�ารงชีวติ ของสิง่ มีชวี ติ อย่างไรก็ตาม ของสิ่งมีชีวิตอยูในสภาวะปกติ)
ความผิดปกติของยีนก็ส่งผลต่อการสังเคราะห์โปรตีน ท�าให้เกิดความผิดปกติที่แสดงออกมาทาง 2. ครูใหนักเรียนศึกษาบทบาทของ DNA ตอ
ลักษณะฟีโนไทป์ของสิ่งมีชีวิต เช่น การสังเคราะหโปรตีน
สภาวะเผือก (albinism) หรือผิวเผือก เป็นลักษณะที่ 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
เกิดจากแอลลีลด้อยในพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ท�าให้ร่างกาย •ï หากการสังเคราะห DNA เกิดความผิดปกติ
ไม่สามารถสร้างเอนไซม์ท่ีสังเคราะห์สารสีเมลานินที่ท�าให้เกิด จะมีผลตอสิ่งมีชีวิตอยางไร
สีผวิ ตามปกติได้ ท�าให้รา่ งกายสิง่ มีชวี ติ มีผวิ สีขาว และมีลกั ษณะ (แนวตอบ ทําใหขอมูลพันธุกรรมที่ถูกใชใน
ที่อ่อนแอกว่าสิ่งมีชีวิตธรรมดาทั่วไป รวมถึงตกเป็นเหยื่อหรือ การสังเคราะหโปรตีนผิดปกติ ซึง่ มีผลทําให
เปาโจมตีได้งา่ ย เนือ่ งจากสีผวิ ทีข่ าวสามารถสังเกตเห็นได้ชดั เจน เกิดความผิดปกติของสิ่งมีชีวิต)
โรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (sickle cell anemia) 4. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางความผิดปกติของ
ภาพที่ 5.16 กวางเผือกสีขาวที่มี
เกิดจากความผิดปกติของโปรตีนเฮโมโกลบิน (hemoglobin protein) ลักษณะแตกต่างจากกวางในฝูง DNA ซึ่งมีผลตอการสังเคราะหโปรตีน
ของเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยคนที่เป็นโรคโลหิตจางแบบนี้จะมี 5. ครูใหนกั เรียนแบงกลุม กลุม ละ 5 คน รวมกันหา
เซลล์เม็ดเลือดแดงแตกต่างจากคนปกติ ซึ่งเป็นรูปเคียวหรือ เม็ดเลือดแดงปกติ
ขอมูลเกีย่ วกับโรคทีเ่ กิดจากความผิดปกติของ
ดวงจันทร์เสี้ยว และส่งผลต่อการล�าเลียงแกสออกซิเจนของ ยีน และสงผลตอลักษณะฟโนไทปของสิง่ มีชวี ติ
เซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งสาเหตุเกิดจากการเปลี่ยนแปลงล�าดับ พร อ มทํ า เป น ใบงานสรุ ป และส ง ตั ว แทน
นิวคลีโอไทด์ในสาย DNA ท�าให้การแปลรหัสของกรดอะมิโนผิด นําเสนอหนาชั้นเรียน
ซึ่งปกติจะแปลรหัสเป็นกรดอะมิโนชนิดกรดกลูตามิก (glutamic เม็ดเลือดแดงรูปเคียว
acid) แต่แปลรหัสเป็นกรดอะมิโนชนิดวาลีน (valine) ภาพที่ 5.17 เม็ดเลือดแดงปกติและ อธิบายความรู
เม็ ด เลื อ ดแดงรู ป เคี ย วของคนเป็ น
โรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียว 1. ครูใหนักเรียนออกมานําเสนอโรคที่เกิดจาก
ความผิดปกติของยีน และสงผลตอลักษณะ
ยีนและ 51
โครโมโซม ฟโนไทปที่แสดงออกมา
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
ควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมของ DNA
T61
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การสังเคราะห 4.3 ดีเอ็นเอกับการสังเคราะห์โปรตีน
โปรตีนจาก DNA จะมีกรดนิวคลีอิกอีกหนึ่ง ยีนท�าหน้าทีก่ า� หนดข้อมูลในการสังเคราะห์โปรตีนทีจ่ า� เพาะ แต่ยนี ไม่ได้ทา� หน้าทีส่ ร้างโปรตีน
ชนิดมาเกี่ยวของ ไดแก อารเอ็นเอ โดยตรง โดยกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนจาก DNA จะมีกรดนิวคลีอิกอีกชนิดที่ท�าหน้าที่เชื่อม
2. ครูใหนักเรียนศึกษาโครงสรางของ RNA และ ต่อกระบวนการดังกล่าว ได้แก่ กรดนิวคลีอิกชนิดอาร์เอ็น1เอ (RNA) ซึ่งมีลักษณะเป็นพอลิเมอร์
ความแตกตางระหวาง RNA กับ DNA สายยาวของนิวคลีโอไทด์ทเี่ ชือ่ มต่อกันด้วยพันธะโคเวเลนต์ระหว่างหม่ฟอู ตเฟสและหม่ไู ฮดรอกซิล
3. ครูถามคําถามนักเรียนวา ของโมเลกุลน�้าตาลเช่นเดียวกับ DNA แต่มีโครงสร้างที่แตกต่างกัน ดังนี้
•ï โครงสรางของ RNA และ DNA มีลักษณะ
แตกตางกันอยางไร ี ประเภท DNA และ RNA
ความแตกต่างของโครงสร้างของกรดนิวคลีอก
(แนวตอบ นํา้ ตาลเพนโทสทีเ่ ปนองคประกอบ 2
น�้าตาลเพนโทสที่เป็นองค์ประกอบของ DNA เป็นชนิดน�้าตาลดีออกซีไรโบส (ออกซิเจนในคาร์บอน
ของ DNA เปนนํา้ ตาลดีออกซีไรโบส แตของ ต�าแหน่งที่ 2 หายไป) แต่ของ RNA เป็นน�้าตาลไรโบส
RNA เปนนํ้าตาลเพนโทส และชนิดของ ชนิดของเบสที่พบใน DNA ประกอบด้วย อะดีนีน (A) กวานีน (G) ไซโทซีน (C) และไทมีน (T)
แต่ชนิดของเบสที่พบใน RNA จะไม่มีเบสไทมีน (T) แต่มีเบสยูราซิล (U) มาแทนที่
ไนโตรจีนัสเบสที่พบใน DNA ไดแก A T
G และ C แตไนโตรจีนัสเบสที่พบใน RNA DNA RNA
O O
ไดแก A U G และ C)
เบสไทมีน (T) H3C เบสยูราซิล (U)
4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา RNA มีลักษณะ NH NH
แตกตางจาก DNA คือ นํา้ ตาลทีเ่ ปนองคประกอบ
N N
ของ RNA เปนชนิดไรโบส แตของ DNA เปน O O O O
นํ้าตาลดีออกซีไรโบส และชนิดของเบสที่พบ -O
P O O
-O
P O O
ใน RNA เปน A U G C ซึง่ ของ DNA เปน A T G C O - H H O - H H
5. ครูถามคําถามนักเรียนวาา H
OH H
H H
OH OH
H
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ในปี พ.ศ. 2546 ฟรองซัว จาค็อบ (Francois Jacob) และจาค โมนอด (Jacques Monod) 7. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การสังเคราะห
นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรัง่ เศสได้เสนอว่า ตัวกลางทีท่ า� หน้าทีน่ า� รหัสพันธุกรรมจาก DNA ในนิวเคลียส โปรตีน ประกอบดวย 2 กระบวนการ คือ
มาสังเคราะห์โปรตีนในไซโทพลาซึม คือ RNA ซึ่งเรียก RNA ที่เป็นตัวกลางนี้ว่า อาร์เอ็นเอ การถอดรหัส จาก DNA เปน mRNA และ
น�ารหัสหรือเอ็มอาร์เอ็นเอ (messenger RNA; mRNA) การแปลรหัส จาก mRNA เปนโปรตีน และ
ต่อมา เจราร์ด เฮอร์วิทซ์ (Jerard Hurwitz) และจอห์น เจ ฟอร์น (John J. Furth) ได้ศึกษา ใหนักเรียนศึกษาการสังเคราะหโปรตีนของ
เกี่ยวกับแหล่งที่อยู่และหน้าที่ของ mRNA และยืนยันการค้นพบของจาค็อบและโมนอด แบคทีเรียกับของสิ่งมีชีวิตกลุมยูคาริโอต
การสังเคราะห์โปรตีนจาก DNA ประกอบด้วยการสังเคราะห์ mRNA โดยใช้ DNA เป็น 8. ครูถามคําถามนักเรียนวา
แม่แบบ เรียกกระบวนการนี้ว่า การถอดรหัส (transcription) ซึ่งจะเกิดขึ้นในนิวเคลียส และการ •ï ในแบคทีเรียที่ไมมีเยื่อหุมนิวเคลียส การ
สังเคราะห์โปรตีนที่ไรโบโซม เรียกกระบวนการนี้ว่า การแปลรหัส (translation) ซึ่งจะเกิดขึ้นใน สังเคราะหโปรตีนจะแตกตางสิ่งมีชีวิตที่มี
ไซโทพลาซึม เยื่อหุมนิวเคลียสหรือไม อยางไร
อย่างไรก็ตาม การสังเคราะห์โปรตี1 นของแบคทีเรียจะแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอต ( แนวตอบ การสั ง เคราะห โ ปรตี น ของ
เนื่องจากแบคทีเรียไม่มีเยื่อหุ้มนิวเคลียส และมี DNA รูปวงแหวน ท�าให้ DNA ไม่ถูกแยกโดย แบคที เ รี ย จะแตกต า งจากสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี
เยื่อหุ้มนิวเคลียสออกจากไรโบไซมและองค์ประกอบอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีน เยือ่ หุม นิวเคลียส เนือ่ งจาก DNA ไมถกู แยก
ท�าให้สามารถเริ่มต้นการแปลรหัสของ mRNA ได้โดยที่ยังมีการถอดรหัสอยู่ แต่การสังเคราะห์
ออกจากไรโบโซมและองคประกอบอื่นๆ ที่
โปรตีนของสิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอตจะเกิดขึ้นเมื่อ mRNA ถูกส่งผ่านเยื่อหุ้มนิวเคลียสออกไปยัง
เกี่ยวของกับการสังเคราะหโปรตีน ทําให
ไซโทพลาซึมก่อนเท่านั้น
สามารถเริ่ ม ต น การแปลรหั ส ได โดยที่
ยั ง มี ก ารถอดรหั ส อยู แต สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี
นิวเคลียส
เยื่ อ หุ ม นิ ว เคลี ย สจะมี ก ารแปลรหั ส หลั ง
การถอดอรหัส
DNA การถอดรหัสเสร็จสิ้นแลว)
9. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา เนือ่ งจากแบคทีเรีย
ไมมเี ยือ่ หุม นิวเคลียส ดังนัน้ การถอดรหัสและ
mRNA การแปลรหัสจึงเกิดขึ้นพรอมๆ กันได แตของ
การถอดอรหัส
DNA
ไซโทพลาซึม สิง่ มีชวี ติ กลุม ยูคาริโอต การแปลรหัสจะเกิดขึน้
ไซโทพลาซึม mRNA การแปลรหัส เมื่อสิ้นสุดการถอดรหัสแลว เนื่องจากตองนํา
ไรโบโซม
การแปลรหัส ไรโบโซม mRNA จากการถอดรหั ส มาแปลรหั ส ต อ ที่
พอลิเพปไทด์ พอลิเพปไทด์ ไซโทพลาซึม
แบคทีเรีย สิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอต อธิบายความรู้
ภาพที่ 5.19 ความแตกต่างของการสังเคราะห์โปรตีนของแบคทีเรีย และสิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอต 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับความ
แตกตางของ RNA กับ DNA
ยีนและ
โครโมโซม
53 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับความ
แตกตางของการสังเคราะหโปรตีนระหวาง
แบคทีเรียกับสิ่งมีชีวิตกลุมยูคาริโอต
T63
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูใหนักเรียนศึกษาการสังเคราะห mRNA 1. การสังเคราะห์ mRNA จาก DNA แม่แบบ มีลกั ษณะคล้ายกับการสังเคราะห์ DNA
จาก DNA แมแบบ แต่การสังเคราะห์ mRNA จะใช้ DNA เพียงสายเดียวเป็นแม่แบบ
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม ออกเป น 3 กลุ ม
ให นั ก เรี ย นจั บ ฉลากเลื อ กขั้ น ตอนในการ
สังเคราะห mRNA ประกอบดวย กลุมที่ 1 การสังเคราะห mRNA จาก DNA แมแบบ
ขั้นเริ่มตน กลุมที่ 2 ขั้นการตอสายยาว และ
กลุมที่ 3 ขั้นสิ้นสุด ใหนักเรียนแตละกลุมรวม
1 ขั้นเริ่มต้น RNA พอลิเมอเรสจะเข้าจับ 1
กับจุดเริม่ ต้นในส่วนทีเ่ รียกว่า โพรโมเตอร์ โพรโมเตอร์ ดีเอ็นเอเฮลิกซ์
กันวิเคราะหขั้นตอนการสังเคราะห mRNA ที่ (promoter) ของ DNA โดยท�าให้พันธะ
จับฉลากได และออกมาวาดภาพเพื่อนําเสนอ ไฮโดรเจนระหว่างคู่เบสของสาย DNA
หนาชั้นเรียน สลายออก สายของ DNA จะคลายเกลียว RNA พอลิเมอเรส
แยกออกจากกัน และ DNA สายหนึ่ง
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอ จะท�าหน้าที่เป็นแม่แบบ
ขั้นตอนการสังเคราะห mRNA ที่จับฉลากได
4. ครูถามคําถามนักเรียนวา 2 ขัน้ การต่อสายยาว เมือ่ RNA พอลิเมอเรส
•ï การสังเคราะห mRNA เหมือนหรือแตกตาง เคลื่อนไปตามสาย DNA แม่แบบ และ
คลายเกลียวคู่ของ DNA ออก เพื่อการ 2
จากการสังเคราะห DNA อยางไร เข้าคูส่ มกับนิวคลีโอไทด์ของ mRNA ซึง่ mRNA
( แนวตอบ แตกต า งกั น เนื่ อ งจากการ RNA พอลิเมอเรสจะเติมนิวคลีโอไทด์ที่
สังเคราะห DNA จะใชพอลินิวคลีโอไทด ปลาย 3′ ของโมเลกุล mRNA โดยเบส C
เปนแมแบบทั้ง 2 สาย ใชเอนไซมดีเอ็นเอ เข้าคู่กับเบส G เบส A เข้าคู่กับเบส T ล�าดับหยุด
เบส G เข้าคู่กับเบส C และเบส U เข้าคู่
พอลิเมอเรสในการสังเคราะห ใชนวิ คลีโอไทด กับเบส A ซึ่งการสร้างสาย mRNA นั้น RNA พอลิเมอเรส
ที่มีไนโตรจีนัสเบสเปน A T C G และผล จะสลับทิศทางกับสาย DNA แม่แบบ
ที่ไดจะได DNA สายใหม 2 สาย แตการ
สังเคราะห mRNA จะใชพอลินิวคลีโอไทด 3 ขั้นสิ้นสุด เมื่อการถอดรหัสด�าเนินไป 3
จนถึงส่วนล�าดับปลายของสาย DNA
เปนแมแบบเพียงสายเดียว ใชอารเอ็นเอ เอนไซม์ RNA พอลิเมอเรสจะหลุดออก
พอลิเมอเรสในการสังเคราะห ใชนวิ คลีโอไทด จาก DNA และปล่อย mRNA ออกมา ส่วน mRNA
ที่มีไนโตรจีนัสเบสเปน A U C G และผลที่ DNA 2 สายจะจับคูก่ นั และบิดเป็นเกลียว
ไดจะได mRNA เพียงสายเดียว) เหมือนเดิม ซึ่งกระบวนการสังเคราะห์ RNA พอลิเมอเรส
mRNA ดังกล่าว ข้อมูลทางพันธุกรรม
ใน DNA ได้ถ่ายทอดให้กับ mRNA
อธิบายความรู้ เรี ย กกระบวนการนี้ ว ่ า การถอดรหั ส
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ (transcription)
สังเคราะห mRNA จาก DNA ภาพที่ 5.20 การสังเคราะห์ mRNA จาก DNA แม่แบบ
54
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การสังเคราะห
mRNA จาก DNA
T64
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
T65
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
6. ครูถามคําถามนักเรียนวา ตารางที่ 5.4 : อักษรย่อภาษาอังกฤษของกรดอะมิโนชนิดต่างๆ
•ï จากรหั ส พั น ธุ ก รรมในตาราง มี กี่ ร หั ส ที่ เบสต�าแหน่งที่ 2
ทําหนาที่กําหนดชนิดของกรดอะมิโน U C A G
(แนวตอบ มีรหัสพันธุกรรม 61 รหัส ทีก่ าํ หนด UUU UCU UAU Tyr UGU Cys U
Phe C
ชนิดของกรดอะมิโน โดยรหัสพันธุกรรมอีก 3 U UUC
UUA
UCC
UCA Ser
UAC
UAA STOP
UGC
UGA STOP A
รหัส จะทําหนาที่เปนรหัสหยุด ไดแก UAA UUG Leu UCG UAG STOP UGG Trp G
UAG และ UGA) CUU CCU CAU
His
CGU U
7. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา รหัสพันธุกรรม 1 C CUC CCC CAC CGC
Arg
C
CUA Leu CCA Pro CAA CGA A
เบสต�าแหน่งที่ 1
เบสต�าแหน่งที่ 3
รหัส เรียกวา โคดอน ซึง่ จะกําหนดกรดอะมิโน CUG CCG CAG Gln CGG G
1 ชนิด และลําดับเบส 3 โมเลกุลของ tRNA ที่ AUU ACU AAU
Asn
AGU
Ser
U
เขาคูกับโคคอน เรียกวา แอนติโคดอน A AUC Ile ACC
Thr
AAC AGC C
AUA ACA AAA Lys AGA
Arg
A
8. ครูถามคําถามนักเรียนวา AUG START, Met ACG AAG AGG G
•ï กรดอะมิโน 75 ตัวในสายพอลิเพปไทด GUU GCU GAU GGU U
Asp C
จะใชนิวคลีโอไทดจํานวนเทาใด G GUC
GUA
Val GCC
GCA
Ala GAC
GAA
GGC
GGA Gly A
(แนวตอบ กรดอะมิโน 75 ตัว ในสายพอลิ- GUG GCG GAG Glu GGG G
เพปไทดจะประกอบดวยนิวคลีโอไทด 225 ตัว)
56
ขอสอบเนน การคิด
DNA สายหนึ่งมีลําดับเบส ดังนี้ 3ʹ GAGCAGTGATTGCCA 5ʹ กรดอะมิโนที่ถูกสังเคราะหขึ้น
มีลําดับอยางไร (ไมพิจารณารหัสเริ่มตน)
1. ลิวซีน ซีรีน ทีโอนีน วาลีน อะลานีน
2. ลิวซีน วาลีน ทรีโอนีน อะลานีน เมไทโอนีน
3. ลิวซีน วาลีน ทรีโอนีน แอสพาราจีน ไกลซีน
4. ลิวซีน ซีลีน ทรีโอนีน แอสพาราจีน เมไทโอนีน
5. ลิวซีน แอสพาราจีน กรดแอสปาติก ไกลซีน อารจีนีน
(วิเคราะหคําตอบ DNA 3 ʹ GAG CAG TGA TTG CCA 5 ʹ
mRNA 5 ʹ CUC GUC ACU AAC GGU 3 ʹ
กรดอะมิโน Leu Val Thr Asn Gly
ดังนั้น mRNA สายนี้มีลําดับกรดอะมิโนประกอบดวยลิวซีน วาลีน ทรีโอนีน แอสพาราจีน ไกลซีน
ดังนั้น ตอบขอ 3.)
T66
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
โมเลกุลของ mRNA จะเป็นคู่สมกับสาย DNA แม่แบบ 3′
ด้านที่ต่อ 1. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า กระบวนการ
ตามกฎการเข้าคู่ของเบส ซึ่งการเข้าคู่จะเหมือนกับที่พบใน 5′ กับกรดอะมิโน สังเคราะหโปรตีนจาก mRNA เรียกวา การ
การจ�าลองตัวของ DNA ยกเว้นจะพบเบส U เข้าคู่กับเบส A แปลรหัส โดยมีการอานขอความทางพันธุกรรม
(แทนที่เบส T) รหัสสามตัวที่พบในนิวคลีโอไทด์ของ mRNA จะ tRNA ในรูปของโคดอนตามสาย mRNA ซึ่งจะมี
เรียกว่า โคดอน (codon) ซึง่ แต่ละโคดอนจะแปลความหมายเป็น ตัวชวยในการแปลรหัส ไดแก tRNA และ rRNA
กรดอะมิโน 1 ชนิด และล�าดับเบสของ tRNA ทีเ่ ข้าคูก่ บั ล�าดับเบส แอนติโคดอน 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ของโคดอนในสาย mRNA จะเรียกว่า แอนติโคดอน (anticodon) •ï tRNA และ rRNA มีสวนชวยในการแปลรหัส
ซึ่งประกอบด้วย 3 นิวคลีโอไทด์ โดยสิ่งมีชีวิตทุกชนิดสามารถ อยางไร
ใช้รหัสเหล่านี้แปลความหมายจาก mRNA เป็นกรดอะมิโน mRNA โคดอน (แนวตอบ tRNA ทําหนาที่นํากรดอะมิโน
เหมือน ๆ กัน รหัสพันธุกรรมนี้จึงถือเป็นรหัสสากล ภาพที่ 5.21 รหัสสามตัวในนิวคลีโอไทด์
ของ DNA ที่เชื่อมตออยูกับแอนติโคดอนมาเคาคูกับ
ในระหว่างการแปลรหัส ล�าดับโคดอนของ mRNA จะถูกแปลรหัสเป็นล�าดับกรดอะมิโน โคดอนของ mRNA สวน rRNA ทําหนาที่
เพือ่ สร้างสายพอลิเพปไทด์ โคดอนจะถูกอ่านเพือ่ แปลรหัสในทิศทางจาก 5′ ไปยัง 3′ ตาม mRNA ชวยการจับกันของแอนติโคดอนของ tRNA
ซึง่ แต่ละโคดอนจะน�ากรดอะมิโนแต่ละชนิดเข้ามาในสายพอลิเพปไทด์ ท�าให้จา� นวนนิวคลีโอไทด์เป็น กับโคดอนของ mRNA)
สามเท่าของจ�านวนกรดอะมิโน เช่น นิวคลีโอไทด์จา� นวน 300 นิวคลีโอไทด์ในสาย mRNA จะถูกใช้
เพื่อเป็นรหัสของกรดอะมิโน 100 ตัวในสายของพอลิเพปไทด์ เป็นต้น
1
3. การสังเคราะห์โปรตีนที่ไรโบโซม กระบวนการที่ข้อมูลทางพันธุกรรมผ่านจาก
mRNA ไปยังโปรตีน เรียกกระบวนนี้ว่า การแปลรหัส (transcription) โดยมีการอ่านข้อความทาง
พันธุกรรมในรูปของโคดอนตามสาย mRNA เพื่อน�าไปสร้างพอลิเพปไทด์ ซึ่งจะมีตัวช่วยใน
การแปลรหัส ดังนี้ ทีอารเอ็นเอ
(tRNA)
จะมีกรดอะมิโนทีจ่ า� เพาะอยูท่ ปี่ ลายด้านหนึง่ อีกด้าน
สายพอลิเพปไทด์ จะมีแอนติโคดอน ซึ่งประกอบด้วยนิวคลีโอไทด์
สามตัวที่สามารถเข้าคู่สมกับโคดอนของ mRNA
กรดอะมิโน
อารอารเอ็นเอ
(rRNA)
จะช่วยการจับกันของแอนติโคดอนของ tRNA กับ
แอนติโคดอน โคดอนของ mRNA ระหว่างการสังเคราะห์โปรตีน
โดย rRNA ประกอบด้วยหน่วยย่อยขนาดใหญ่และ
5′ โคดอน ขนาดเล็ก ซึ่งจะต้องจับกันเพื่อกลายเป็นไรโบโซม
3′ ที่ท�าหน้าที่ได้เมื่อมีการจับกับโมเลกุลของ mRNA
ภาพที่ 5.22 การสังเคราะห์โปรตีนที่ไรโบโซม ยีนและ 57
โครโมโซม
T67
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
3. ครูใหนักเรียนศึกษาการสังเคราะหสายพอลิ- การสังเคราะห์สายพอลิเพปไทด์สามารถแบ่งออกได้เป็นขั้นต่าง ๆ ดังนี้
เพปไทด ประกอบดวย กระบวนการเริ่มตน
กระบวนการตอสาย และกระบวนการสิ้นสุด การสังเคราะหสายพอลิเพปไทด
4. ครูใหนักเรียนแบงกลุม ออกเปน 3 กลุม ให
นักเรียนจับฉลากเลือกขั้นตอนการสังเคราะห 1 กระบวนการเริ่มต้น (intiation)
สายพอลิเพปไทด ประกอบดวย ไรโบโซมหน่วยย่อยขนาดเล็กจับ ไรโบโซมหน่วยย่อยขนาดใหญ่
กับ mRNA และ tRNA ทีม่ กี รด
กลุมที่ 1 กระบวนการเริ่มตน อะมิโนตัวแรก คือ เมไทโอนีน
กลุมที่ 2 กระบวนการตอสาย (AUG) จะมาจับกัน จากนัน้ หน่วย
กลุมที่ 3 กระบวนการสิ้นสุด ย่ อ ยขนาดใหญ่ ข องไรโบโซม 5′ 3′
จะเข้ามาจับ และพร้อมส�าหรับ กรดอะมิโนตัวแรก
ใหนกั เรียนแตละกลุม รวมกันวิเคราะหขนั้ ตอน การเติมสายพอลิเพปไทด์ โดย
การสังเคราะหสายพอลิเพปไทดที่จับฉลากได ถูกสังเคราะห์ขึ้นในทิศทางเดียว 1
และออกมาวาดภาพ เพือ่ นําเสนอหนาชัน้ เรียน จากส่วนปลายของกรดอะมิโน
ตัวแรก คือ เมไทโอนีน เรียกว่า 3' U A C 5'
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอ ปลาย N (N-terminus) ไปยัง tRNA 5' A U G 3'
ขั้ น ตอนการสั ง เคราะห ส ายพอลิ เ พปไทด ที่ กรดอะมิ โ นตั ว สุ ด ท้ า ยที่ ป ลาย mRNA
จับฉลากได คาร์บอกซิล เรียกว่า ปลาย C 5′ 3′
(C-terminus) ไรโบโซมหน่วยย่อยขนาดเล็ก
6. ครูถามคําถามนักเรียนวา
•ï กรดอะมิโนตัวแรกของสายพอลิเพปไทดจะ 2 กระบวนการต่อสาย (elongation)
เปนชนิดเมไทโอนีนเสมอไปหรือไม อยางไร tRNA จะน�ากรดอะมิโนมาเติม
เข้ า กั บ กรดอะมิ โ นก่ อ นหน้ า ที่
(แนวตอบ เนื่องจากรหัสพันธุกรรมเริ่มตน ปลาย C ของสาย โดย mRNA
ของการแปลรหัสจะเปน AUG เสมอ จึงทําให จะเคลื่ อ นที่ ผ ่ า นไรโบโซมใน
กรดอะมิโนตัวแรกในสายพอลิเพปไทดจะ ทิศทางจาก 5′ ไปยัง 3′ จากนั้น
tRNA ที่มีแอนติโคดอนจะน�า 5′ สายพอลิเพปไทด์
เปนเมไทโอนีนเสมอ) กรดอะมิโนเข้ามาเติมในสาย ซึง่
3′
เป็นคูส่ มกับโคดอนของ mRNA
แล้วเกิดการสร้างพันธะเพปไทด์
ระหว่ า งกรดอะมิ โ นทั้ ง สอง
โดยไรโบโซมจะเคลื่ อ นที่ ที ล ะ
โคดอนและน�ากรดอะมิโนมาต่อ 3′
ไปเรื่อย ๆ จนเป็นสายยาวของ 5′
พอลิเพปไทด์
ภาพที่ 5.23 การสังเคราะห์สายพอลิเพปไทด์
58
T68
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
7. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า เมื่ อ จบสิ้ น
กระบวนการแปลรหัส สายพอลิเพปไทดที่เปน
องคประกอบของโปรตีนจะยังไมสามารถใช
งานได จําเปนตองผานกระบวนการดัดแปลง
3 กระบวนการสิน้ สุด (termination) หลั ง การแปลงรหั ส ซึ่ ง อาจเป น การนํ า สาย
การต่อสายจะด�าเนินไปเรื่อย ๆ พอลิ เ พปไทด ไ ปเชื่ อ มกั บ โมเลกุ ล ของสาร
จนกระทั่งเจอโคดอนที่เป็นรหัส
tRNA หยุดใน mRNA ได้แก่ UAG ประกอบอื่นๆ หรือการแบงสายพอลิเพปไทด
กรดอะมิโน
UAA UGA ซึง่ รหัสทัง้ สามแบบนี้ ออกเปนสวนๆ
ไม่ได้เป็นรหัสส�าหรับกรดอะมิโน 8. ครูถามคําถามนักเรียนวา
3′ แต่ท�าหน้าที่เป็นสัญญาณส�าหรับ
หยุดการแปลรหัส โดยพอลิเพป- •ï เซลล 1 เซลล จําเปนตองผลิตโปรตีนจํานวน
5′
พันธะเพปไทด์ ไทด์ที่ยึดกับ tRNA ตัวสุดท้าย มาก เซลล จ ะสั ง เคราะห โ ปรตี น อย า งไร
จะถูกตัดออกไปและแยกออกจาก ใหเพียงพอตอความตองการ
กัน จากนั้นไรโบโซมหน่วยย่อย
2 3′ ขนาดเล็กและหน่วยย่อยขนาด (แนวตอบ mRNA ที่ไดจากการถอดรหัส 1
5′
ใหญ่ จ ะแยกออกจากกั น และ สาย จะถู ก นํ า มาสร า งสายพอลิ เ พปไทด
5′ mRNA จะหลุดออกจากไรโบโซม หลายสายพร อ มๆ กั น ซึ่ ง เมื่ อ ไรโบโซม
ตัวแรกผานโคดอนเริ่มตน ไรโบโซมตัวที่ 2
3′ การสังเคราะห์โปรตีนในสิ่งมีชีวิต จะเข า มาจั บ กั บ mRNA ทั น ที เพื่ อ ให มี
กลุ่มยูคาริโอตจะมีการถอดรหัสภายใน การแปลรหัสอยางตอเนื่องและหลายสาย
5′ นิวเคลียส จากนั้น mRNA จะออกจาก
พรอมกัน)
นิวเคลียส แล้วมีการแปลรหัสในไซโท-
พลาซึม ส่วนสิ่งมีชีวิตกลุ่มโพรคาริโอต 9. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา ในเซลลจะมีไรโบโซม
การสังเคราะห์โปรตีนสามารถเกิดขึน้ ได้ เปนจํานวนมาก จึงมีการแปลรหัสพรอมกัน
3 ทันทีโดยที่ mRNA ทีส่ งั เคราะห์มาจาก หลายสายที่เรียกวา พอลิไรโบโซม
DNA จะถูกน�าไปแปลรหัสทันทีทั้ง ๆ
ที่กระบวนการถอดรหัสยังไม่สิ้นสุด อธิบายความรู
3′ 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
5′ สังเคราะหพอลิเพปไทด
รหัสหยุด 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การสังเคราะห
พอลิเพปไทด
59
การสังเคราะหโปรตีน
T69
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
ครูใหนักเรียนทํากิจกรรม เรื่อง DNA กับการ 1
ภายหลังการแปลรหัสจะได้โปรตีนออกมา ซึ่งเมื่อผ่านการจัดรูปร่างและการดัดแปลงต่าง ๆ
สังเคราะหโปรตีน ในชั้นเรียน โดยบันทึกลงใน จะได้โปรตีนทีส่ มบูรณ์พร้อมท�าหน้าทีต่ า่ ง ๆ เรียกกระบวนการเหล่านีว้ า่ กระบวนการดัดแปลงหลัง
สมุดของนักเรียน การแปลรหัส (post-translational modifications) ดังนี้
- กรดอะมิ โ นบางตั ว อาจถู ก ดั ด แปลงทางเคมี โ ดยการน� า ไปเชื่ อ มต่ อ กั บ โมเลกุ ล ของ
อธิบายความรู้ สารประกอบชนิดอื่น ๆ เช่น โมเลกุลของน�้าตาล ไขมัน หมู่ฟอสเฟต เป็นต้น
1. ครูสมุ เลือกนักเรียนออกมาเฉลยกิจกรรม DNA - สายพอลิเพปไทด์อาจถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหรือมากกว่า เช่น โปรตีนอินซูลินจะถูก
กับการสังเคราะหโปรตีน ที่หนาชั้นเรียน สังเคราะห์เป็นสายพอลิเพปไทด์สายเดี่ยว แต่จะสามารถท�าหน้าที่ได้หลังจากมีเอนไซม์มาตัด
2. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยกิจกรรม DNA กับ ส่วนกลางของสาย ท�าให้ได้เป็นโปรตีนที่ประกอบขึ้นด้วยสายพอลิเพปไทด์สองสายเชื่อมกันด้วย
การสังเคราะหโปรตีน พันธะไดซัลไฟด์ เป็นต้น
โปรตีนที่ได้จากการแปลรหัสจะมีบทบาทและหน้าที่แตกต่างกัน เช่น โปรตีนคอลลาเจนใน
ขัน้ สรุป สัตว์ทา� หน้าทีเ่ ป็นองค์ประกอบของโครงสร้าง หรือโปรตีนแอกตินและไมโอซินในกล้ามเนือ้ ท�าหน้าที่
ขยายความเข้าใจ เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เป็นต้น
ทั้งแบคทีเรียและสิ่งมีชีวิตกลุ่มยูคาริโอตจะมีไรโบโซมหลายตัวช่วยในการแปลรหัสของ
ครูใหนักเรียนทําผังสรุป เรื่อง การสังเคราะห mRNA พร้อม ๆ กัน โดย mRNA สายเดี่ยวถูกใช้สร้างพอลิเพปไทด์หลายสายพร้อมกัน
โปรตี น จากดี เ อ็ น เอ ซึ่ ง ประกอบด ว ยการ เมื่อไรโบโซมเคลื่อนที่ไปไกลผ่านโคดอนเริ่มต้น ไรโบโซมตัวที่สองสามารถเข้าจับกับ mRNA และ
ถอดรหัส (การสังเคราะห mRNA จาก DNA ท�างานต่อไปได้ ซึ่งเมื่อมองผ่านกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนจะมีลักษณะคล้ายลูกปัดตามเส้นด้าย
แมแบบ) และการแปลรหัส (การสังเคราะหสาย ลักษณะแบบนี้จะเรียกว่า พอลิไรโบโซม (polyribosome) หรือพอลิโซม (polysome) การท�างาน
พอลิเพปไทดจาก mRNA) แบบนี้จะช่วยให้เซลล์สามารถสร้างสายพอลิเพปไทด์ได้จ�านวนมากโดยใช้เวลาอย่างรวดเร็ว
ขัน้ ประเมิน อาร์เอ็นเอพอลิเมอเรส DNA
ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลจากผังสรุป เรือ่ ง การสังเคราะห
โปรตีนจากดีเอ็นเอ
พอลิเพปไทด์
2. ครูตรวจสอบผลจากกิจกรรม DNA กับการ
สังเคราะหโปรตีน
3. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การสังเคราะห ไรโบโซม
DNA
4. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การสังเคราะห mRNA (ปลาย 5′)
พอลิไรโบโซม
mRNA จาก DNA
5. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การสังเคราะห ภาพที่ 5.24 การแปลรหัสแบบพอลิไรโบโซม
พอลิเพปไทด
60
T70
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การสังเกต
6. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามในแบบ
DNA และการสังเคราะหโปรตีน • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป ฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
จิตวิทยาศาสตร์
• ความมีเหตุผล
1. UCG GGA และ UCG 2. UAC GCA และ UGC คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ
ลาดับที่
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
3
ระดับคะแนน
2 1
แบบประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ
ระดับคะแนน
ระดับคะแนน
3. AGU ACG และ CGU 4. UUG CGA และ CGU 1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน ลาดับที่ รายการประเมิน
4 3 2 1
2 ความถูกต้องของเนื้อหา 1 ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
3 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย 2 ความถูกต้องของเนื้อหา
4 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ 3 ความคิดสร้างสรรค์
4. ความตรงต่อ
ผลงานแสดงถึงความคิด
สร้างสรรค์ แปลกใหม่
และเป็นระบบ
ส่งชิ้นงานภายในเวลาที่
ผลงานแสดงถึงความคิด
สร้างสรรค์ แปลกใหม่
แต่ยังไม่เป็นระบบ
ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
ผลงานมีความน่าสนใจ
แต่ยังไม่มีแนวคิดแปลก
ใหม่
ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
ผลงานไม่มีความ
น่าสนใจ และไม่แสดง
ถึงแนวคิดแปลกใหม่
ส่งชิ้นงานช้ากว่าเวลาที่
T71
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูนาํ ภาพของคนผิวปกติและคนผิวเผือกมาให รหัสพันธุกรรม มีผลตอ 5. การกลาย
นักเรียนดู แลวถามคําถามนักเรียนวา การแสดงลักษณะตาง ๆ การเปลีย่ นแปลงทีส่ ง่ ผลกระทบต่อข้อมูลทางพันธุกรรมจะ
ï• ลักษณะผิวเผือกเกิดจากสาเหตุใด ของสิ่งมีชีวิตอยางไร
ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของยีนในสิ่งมีชีวิต ซึ่งอาจมีผลท�าให้
(แนวตอบ ลักษณะผิวเผือกของมนุษยเกิดจาก
ลักษณะฟีโนไทป์ของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งยังสามารถถ่ายทอดลักษณะนั้น ๆ ไปยัง
การเปลี่ยนแปลงของรหัสพันธุกรรม ซึ่งเปน
สิ่งมีชีวิตรุ่นต่อไปได้ ซึ่งเรียกการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ว่า การกลาย
ลําดับเบสของนิวคลีโอไทดบนสายดีเอ็นเอ
ที่มีผลตอการสังเคราะหโปรตีนตางๆ เมื่อ การกลาย (mutation) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงสภาพของสิ่งมีชีวิต ท�าให้สิ่งมีชีวิตที่เกิด
รหั ส พั น ธุ ก รรมผิ ด ปกติ จ ะส ง ผลต อ การ ขึน้ ใหม่มลี กั ษณะแตกต่างจากรุน่ พ่อแม่ ซึง่ หากการกลายส่งผลต่อลักษณะของฟีโนไทป์ จะเรียกว่า
สังเคราะหโปรตีนที่ผิดปกติ ทําใหโปรตีน เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมหรือโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม การกลายในสิ่งมีชีวิตแบ่งออก
ทํางานผิดปกติหรือไมสามารถทํางานได จึง เป็น 2 ระดับ ดังนี้
แสดงลักษณะที่แตกตางจากปกติออกมา) 5.1 การกลายระดับยีน
2. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน การกลายระดับยีน (gene mutation) เกิดการเปลีย่ นแปลงในระดับนิวคลีโอไทด์หนึง่ หรือสอง
ความรูของนักเรียน ล�าดับในยีน ถือว่าเป็นการกลายเฉพาะจุด (point mutation) หรือการกลายขนาดเล็ก (small-scale
3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การเปลี่ยนแปลง mutation) หากเกิดขึ้นในเซลล์สืบพันธุ์ อาจส่งผ่านไปยังลูกหลานได้ การกลายระดับยีนแบ่งออก
ลักษณะตางๆ ของสิง่ มีชวี ติ ทีท่ าํ ใหเกิดลักษณะ เป็น 2 ชนิด ดังนี้
ที่แตกตางจากรุนพอแม เรียกวา การกลาย
1. การแทนที่คู่เบส (base-pair substitution) คือ การแทนที่คู่ของนิวคลีโอไทด์ตัวหนึ่ง
ด้วยนิวคลีโอไทด์อีกตัวหนึ่ง ซึ่งอาจมีผลต่อการแสดงลักษณะทางพันธุกรรมหรือไม่ก็ได้ เนื่องจาก
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
โคดอนหลายชนิดเป็นรหัสของกรดอะมิโนชนิดเดียวกัน เช่น โคดอน GUU GUC GUA และ
GUG เป็นโคดอนของกรดอะมิโนวาลีนเหมือนกัน ซึ่งหากเกิดการแทนที่ล�าดับนิวคลีโอไทด์
1. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา การกลายในสิง่ มีชวี ติ เช่น จาก GUU กลายเป็น GUG การเกิดมิวเทชันดังกล่าวย่อมไม่มีผลกระทบต่อลักษณะของ
แบงออกเปน 2 ระดับ ไดแก การกลายระดับยีน สิ่งมีชีวิตนั้น ๆ เพราะยังคงมีการสร้างสายพอลิเพปไทด์ที่ประกอบด้วยล�าดับกรดอะมิโนเช่นเดิม
และการกลายระดับโครโมโซม การแทนที่คู่เบส 3 แบบ ดังนี้
2. ครูใหนักเรียนศึกษาการกลายระดับยีนจาก
1) การกลายแบบเงียบ (silent mutation) คือ การเปลีย่ นแปลงของคูเ่ บส แต่กรดอะมิโน
การแทนทีค่ เู บส ซึง่ การกลายประเภทนีอ้ าจไม
ทีไ่ ด้จากการถอดรหัสยังเป็นกรดอะมิโนชนิดเดิม จึงไม่สง่ ผลกระทบต่อลักษณะฟีโนไทป์ของสิง่ มีชวี ติ
ส ง ผลกระทบหรื อ อาจส ง ผลกระทบต อ สาย
พอลิเพปไทดก็ได ขึ้นอยูกับประเภทของการ 2) การกลายแบบเปลี่ยนรหัส (missense mutation) คือ การแทนที่คู่เบสที่ท�าให้เกิด
แทนทีค่ เู บส และตัวอยางลําดับนิวคลีโอไทดทมี่ ี การแปลรหัสเป็นกรดอะมิโนชนิดอื่น การกลายแบบนี้อาจส่งผลกระทบต่อโปรตีนได้ เนื่องจาก
การกลายแบบการแทนที่คูเบสทั้ง 3 รูปแบบ กรดอะมิโนตัวใหม่อาจมีคุณสมบัติแตกต่างจากกรดอะมิโนตัวเดิม ซึ่งอาจท�าให้โครงสร้างของ
โปรตีนเปลี่ยนแปลงและไม่สามารถท�าหน้าที่ได้
62
ขอสอบเนน การคิด
DNA สายหนึง่ มีลาํ ดับเบส ดังนี้ 3ʹ TACACGTTACGTCTT 5ʹ หากมีการแทนทีค่ เู บสในตําแหนงที่ 8
(จากดาน 3ʹ) จากเบส T เปนเบส A จัดเปนการแทนที่คูเบสแบบใด
(วิเคราะหคําตอบ DNA สายปกติ
DNA 3 ʹ TACACGTTACGTCTT 5 ʹ
mRNA 5 ʹ AUGUGCAAUGCAGAA 3 ʹ
กรดอะมิโน Met-Cys-Asn-Ala-Glu
DNA ที่กลาย
DNA 3 ʹ TACACGTAACGTCTT 5 ʹ
mRNA 5 ʹ AUGUGCAUUGCAGAA 3 ʹ
กรดอะมิโน Met-Cys- le-Ala-Glu
DNA สายนี้มีการกลายแบบเปลี่ยนรหัส (missense mutation) ทําใหกรดอะมิโนเปลี่ยนจาก Asn
เปน le)
T72
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
3) การกลายเปนรหัสหยุด (nonsense mutation) คือ การแทนที่คู่เบสที่ท�าให้เกิด
การถอดรหัสเป็นรหัสหยุด ซึ่งท�าให้การแปลรหัสหยุดลง พอลิเพปไทด์ที่ได้จะมีขนาดสั้นกว่า •ï การกลายระดับยีนจากการแทนทีค่ เู บสจะสง
พอลิเพปไทด์ปกติ ส่วนใหญ่การกลายเป็นรหัสหยุดจะส่งผลให้โปรตีนไม่สามารถท�าหน้าที่ได้ และ ผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตเสมอไปหรือไม
ท�าให้เซลล์ผิดปกติ (แนวตอบ การกลายระดับยีนจากการแทนที่
DNA ปกติ คูเ บสอาจสงไมสง ผลกระทบตอลักษณะของ
DNA 3′ 5′ DNA ปกติ สามารถถอดรหัสและ สิง่ มีชวี ติ เสมอไป เนือ่ งจากหากมีการแทนที่
mRNA 5′ 3′ แปลรหัสเป็นกรดอะมิโน 4 ชนิด คือ
เมไทโอนีน ไลซีน เฟนิลอะลานีน และ คูเ บส แตสามารถถอดรหัสและแปลรหัสเปน
โปรตีน รหัสหยุด
ไกลซีน กรดอะมิโนชนิดเดิมจะไมมีผลตอการกลาย
ระดับยีน)
4. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา การกลายระดับยีน
การกลายแบบเงียบ จากการแทนที่คูเบสมีหลายรูปแบบ ซึ่งบาง
การแทนที่เบส G ด้วยเบส A การแทนที่เบส G ด้วยเบส A ท�าให้
DNA 3′ 5′
ล�าดับนิวคลีโอไทด์เปลี่ยนแปลงจาก รูปแบบจะไมสง ผลกระทบตอลําดับนิวคลีโอไทด
mRNA 5′ 3′ CCG เป็น CCA แต่ถอดรหัสและ คือ การกลายแบบเงียบ เนือ่ งจากจะมีการแปลรหัส
โปรตีน รหัสหยุด แปลรหัสเป็นกรดอะมิโนชนิดเดิม คือ เปนกรดอะมิโนชนิดเดิม แตการกลายแบบ
ไกลซีน จึงไม่มผี ลต่อสายพอลิเพปไทด์
เปลีย่ นรหัส และการกลายเปนรหัสหยุดจะสงผล
กระทบตอสายพอลิเพปไทดทไี่ ดเสมอ เนือ่ งจาก
การกลายแบบเปลี่ยนรหัส
การแทนที่เบส C ด้วยเบส T การแทนที่เบส C ด้วยเบส T ท�าให้ จะแปลรหัสเปนกรดอะมิโนชนิดอื่น หรือเปน
DNA 3′ 5′ รหัสหยุดการสังเคราะห
ล�าดับนิวคลีโอไทด์เปลี่ยนแปลงจาก
mRNA 5′ 3′ CCG เป็ น TCG ส่ ง ผลต่ อ การ
โปรตีน รหัสหยุด ถอดรหัสและแปลรหัสของกรดอะมิโน
จากเดิม คือ ไกลซีน เป็นซีลีน
การกลายเปนรหัสหยุด
การแทนที่เบส T ดวยเบส A
DNA 3′ 5′
การแทนที่เบส T ด้วยเบส A ท�าให้
ล� า ดั บ นิ ว คลี โ อไทด์ เ ปลี่ ย นแปลง
mRNA 5′ 3′ จาก TTC เป็น ATC ส่งผลต่อการ
โปรตีน รหัสหยุด ถอดรหัสและแปลรหัสของกรดอะมิโน
จากเดิมคือ ไลซีน เป็นรหัสหยุด
ยีนและ 63
โครโมโซม
T73
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. ครูใหนักเรียนศึกษาโรคโลหิตจางแบบเม็ด - ตัวอย่างการกลายที่เกิดจากการแทนที่คู่เบส เช่น Biology
เลือดแดงรูปเคียว ซึ่งเปนตัวอยางการกลาย โรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียว (sickle-cell disease) in real life
จากการแทนที่คูเบส เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ควบคุม1ด้วยแอลลีลด้อย โดยมีความ โดยทัว่ ไปโรคโลหิตจางแบบเม็ด
เลือดแดงรูปเคียว จะพบมากใน
6. ครูถามคําถามนักเรียนวา ผิดปกติของโปรตีนเฮโมโกลบินของเซลล์เม็ดเลือดแดง ซึ่งมี กลุม่ คนแอฟริกนั ซึง่ เป็นเขตทีม่ ี
•ï โรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียวเกิด ลักษณะเป็นรูปเคียวท�าให้ไม่สามารถน�าออกซิเจนได้ตามปกติ การระบาดของเชื้อไข้มาลาเรีย
จากการแทนทีค่ เู บสประเภทใด และมีผลตอ ความผิดปกตินี้เกิดจากการกลายของคู่นิวคลีโอไทด์ 1 ต�าแหน่ง สูง เนือ่ งจากเซลล์เม็ดเลือดแดง
สิ่งมีชีวิตอยางไร ในยีนจาก 3′-CTC- 5′ เป็น 3′-CAC- 5′ จึงเกิดความผิดปกติ รู ป เคี ย วไม่ เ หมาะสมต่ อ การ
ของการแปลรหัสของกรดอะมิโน 1 ต�าแหน่ง ซึ่งในคนปกติจะ เจริญของเชื้อไข้มาลาเรีย จึง
(แนวตอบ การกลายแบบเปลี่ยนรหัส จาก
แปลรหัสได้กรดอะมิโนชนิดกรดกลูตามิก (glutamic acid) แต่คน พบว่า ส่วนใหญ่ของประชากร
3 ʹ-CTC-5 ʹ เปน 3 ʹ-CAC-5 ʹ ซึ่งจากเดิม กลุ ่ ม นี้ ที่ อ ยู ่ ร อดจะมี จี โ นไทป์
ถอดรหัสและแปลรหัสเปนกรดอะมิโนชนิด ที่เป็นโรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียวจะแปลรหัสได้ เป็นแบบเฮเทอโรไซกัส
กรดกลู ต ามิ ก แต ลํ า ดั บ เบสใหม ทํ า ให กรดอะมิโนชนิดวาลีน (valine) จึงท�าให้การแปลรหัสเพื่อการ
ถอดรหัสและแปลรหัสเปนกรดอะมิโนชนิด สังเคราะห์โปรตีนเฮโมโกลบินผิดปกติ ส่งผลต่อลักษณะของ
เซลล์เม็ดเลือดแดง
วาลี น และจะมี ผ ลต อ ลั ก ษณะของเซลล
เม็ดเลือดแดงซึ่งจะมีลักษณะเปนรูปเคียว ล�าดับนิวคลีโอไทด์ของคนปกติ
DNA 3′ C A C GTG GAC TGA GGA CTC C T C 3′
ทํ า ให ค วามสามารถในการลํ า เลี้ ย งแก ส mRNA 5′ G U G CAC CUG ACU CCU GAG G A G 5′
ออกซิเจนไปเลี้ยงสวนตางๆ ของรางกาย วาลีน ฮีสทีดีน ลิวซีน ทรีโอนีน โพรลีน กรดกลูตามิก
กรดกลูตามิก
ล�าดับกรดอะมิโน (ปกติ)
ลดลง)
ล�าดับนิวคลีโอไทด์ของผู้ปวยโรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียว
DNA 3′ C A C G T G G A C T G A G G A C A C C T C 3′
อธิบายความรู mRNA 5′ G U G C A C C U G A C U C C U G U G G A G 5′
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ ล�าดับกรดอะมิโน วาลีน ฮีสทีดีน ลิวซีน ทรีโอนีน โพรลีน วาลีน
กรดกลูตามิก
(กลายพันธุ์)
กลายระดับยีนจากการแทนที่คูเบส
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับสาเหตุ
ของโรคโลหิตจางแบบเม็ดเลือดแดงรูปเคียว
3. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การกลายระดับ
ยีนจากการแทนที่คูเบส
เม็ดเลือดแดง
เม็ดเลือดแดงปกติ รูปเคียว
64
T74
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2. การเพิม่ ขึน้ หรือขาดหายของนิวคลีโอไทด์ (insertion or deletion of nucleotide) คือ 1. ครูใหนักเรียนศึกษาการกลายระดับยีนจาก
การเพิม่ ขึน้ หรือขาดหายไปของนิวคลีโอไทด์ในยีน และจะส่งผลร้ายแรงกว่าการแทนทีค่ เู่ บส เนือ่ งจาก การเพิ่มขึ้นหรือขาดหายของนิวคลีโอไทด
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
อาจเปลี่ยนการอ่านข้อมูลพันธุกรรมที่เป็นรหัสสามตัวของนิวคลีโอไทด์ที่เรียงต่อกันบน mRNA •ï การกลายระดั บ ยี น จากการเพิ่ ม ขึ้ น หรื อ
1
ระหว่างการแปลรหัส การกลายแบบนี้เรียกว่า การกลายแบบเลื่อนกรอบ (frameshift mutation) ขาดหายของนิวคลีโอไทดจะสงผลกระทบตอ
โดยจ�านวนของนิวคลีโอไทด์ที่มีการเพิ่มขึ้นหรือขาดหายไป ท�าให้นิวคลีโอไทด์ที่อยู่ถัดไปจาก สิ่งมีชีวิตเสมอไปหรือไม
ต�าแหน่งเดิมถูกจัดกลุม่ ของโคดอนแบบไม่เหมือนเดิม ซึง่ อาจท�าให้เกิดการกลายแบบเปลีย่ นรหัส (แนวตอบ จะสงผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตเสมอ
หรือการกลายเป็นรหัสหยุด ถ้าการเกิดการกลายแบบเลือ่ นกรอบไม่ได้อยูท่ ปี่ ลายสุดของยีน โปรตีน เนือ่ งจากลําดับนิวคลีโอไทดจะมีการจัดกลุม
ที่ได้ออกมาส่วนใหญ่จะไม่สามารถท�าหน้าที่ได้ ของโคดอนใหม ซึ่งอาจทําใหเกิดการกลาย
DNA ปกติ
แบบเปลีย่ นรหัส หรือการกลายเปนรหัสหยุด)
DNA 3′ 5′ DNA ปกติ สามารถถอดรหัสและแปลรหัส • การกลายระดับยีนจากการแทนทีค่ เู บส และ
mRNA 5′ 3′ กรดอะมิโน 4 ชนิด คือ เมไทโอนีน ไลซีน จากการเพิม่ ขึน้ หรือขาดหายของนิวคลีโอไทด
โปรตีน รหัสหยุด เฟนิลอะลานีน และไกลซีน การกลายแบบใดมีผลรายแรงตอสิ่งมีชีวิต
มากกวากัน เพราะเหตุใด
การเพิ่มขึ้นของนิวคลีโอไทด์ A
นิวคลีโอไทดเพิ่มขึ้น (แนวตอบ การกลายระดับยีนจากการเพิ่ม
การเพิ่มขึ้นของนิวคลีโอไทด์ A ท�าให้ ขึ้นหรือขาดหายของนิวคลีโอไทด เนื่องจาก
DNA 3′ 5′
เปลีย่ นแปลงล�าดับนิวคลีโอไทด์จาก TTC
การเพิ่มขึ้นของนิวคลีโอไทด์ U เป็น ATT ส่งผลต่อการถอดรหัสและ การจั ด กลุ ม ใหม ข องโคดอนจะส ง ผลต อ
mRNA 5′ 3′
แปลรหัสของกรดอะมิโนจากไลซีน เป็น พอลิเพปไทดทถี่ กู สังเคราะหขนึ้ แตการแทนที่
โปรตีน รหัสหยุด รหัสหยุด คูเบส อาจจะสงผลหรือไมสงผลตอสาย
นิวคลีโอไทดขาดหาย
พอลิ เ พปไทด ขึ้ น อยู กั บ รู ป แบบการกลาย
DNA 3′
การขาดหายของนิวคลีโอไทด์ A
การขาดหายไปของนิวคลีโอไทด์ A ท�าให้ แตละประเภท)
5′
การขาดหายของนิวคลีโอไทด์ U
เปลี่ ย นแปลงล� า ดั บ นิ ว คลี โ อไทด์ จ าก 3. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา เมือ่ เซลลเกิดความ
mRNA 5′ 3′ AAA เป็น AAC ส่งผลต่อการถอดรหัส ผิ ด พลาดจากการกลายระดั บ ยี น เซลล จ ะ
และแปลรหัสของกรดอะมิโนจากเฟนิล-
โปรตีน
อะลานีนเป็นลิวซีน รวมถึงกรดอะมิโน สามารถแกไขการกลายนั้นๆ ได แตถาเซลล
ตัวถัดไปด้วย ไมสามารถแกไขไดสําเร็จ ลําดับนิวคลีโอไทด
นัน้ จะถูกใชเปนแมแบบในการจําลองตัวเองใน
ภาพที่ 5.28 ตัวอย่างการกลายแบบการเพิ่มขึ้นหรือขาดหายของนิวคลีโอไทด์
รอบตอไป
การกลายแบบนี้เกิดขึ้นได้จากความผิดพลาดระหว่างการจ�าลองตัวเองของ DNA น�าไปสู่ อธิบายความรู้
การแทนที่คู่เบส การเพิ่มขึ้น หรือการขาดหายไปของนิวคลีโอไทด์ได้ โดยทั่วไปความผิดพลาด
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
ดังกล่าวจะถูกแก้ไขโดยการซ่อมแซมภายในเซลล์ แต่ถา้ การซ่อมแซมนัน้ ไม่สา� เร็จ ล�าดับนิวคลีโอไทด์
กลายระดับยีนจากการเพิ่มขึ้นหรือขาดหาย
ที่ไม่ถูกต้องก็อาจถูกใช้เป็นแม่แบบในการจ�าลองตัวเองในรอบต่อไป เรียกว่า การกลายตาม
ของนิวคลีโอไทด
ธรรมชาติ (spontaneous mutation)
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การกลายระดับ
ยีนและ 65 ยีนจากการเพิม่ ขึน้ หรือขาดหายของนิวคลีโอไทด
โครโมโซม
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
ชีววิทยา ม.4 เลม 2
T75
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การกลายระดับ 5.2 การกลายระดับโครโมโซม
ยี น เป น การกลายของยี น ส ว นน อ ย แต ก าร การกลายระดับโครโมโซม (chromosomal mutation) เป็นการกลายทีเ่ กิดจากการเปลีย่ นแปลง
กลายอีกประเภทหนึ่งจะสงผลตอยีนจํานวน ของโครโมโซมซึ่งจะมีผลต่อยีนจ�านวนมาก สิ่งมีชีวิตที่มีความผิดปกติมักแสดงอาการมากกว่า
มาก คือ การกลายระดับโครโมโซม แบงออก 1 อาการ จึงเรียกความผิดปกติที่เกิดจากการกลายระดับโครโมโซมนี้ว่า กลุ่มอาการ (syndrome)
เปนการเปลีย่ นแปลงรูปรางโครโมโซม และการ การกลายระดับโครโมโซมแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้
เปลี่ยนแปลงจํานวนโครโมโซม 1. การเปลีย่ นแปลงรูปร่างของโครโมโซม เป็นการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดกับสายโครโมโซม
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาการกลายระดับโครโมโซม ซึ่งสามารถเกิดได้หลายรูปแบบ ดังนี้
จากการเปลี่ยนแปลงรูปรางโครโมโซม 1) การขาดหาย (deletion) คือ การขาดหายของส่วนใดส่วนหนึ่งของแท่งโครโมโซม
3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การกลายระดับ ส่งผลให้ยีนบริเวณนั้นขาดหายไป ดังนี้
โครโมโซมจากการเปลี่ ย นแปลงรู ป ร า ง A B C D E F G H A B C E F G H
โครโมโซมจะมีผลทําใหบางสวนของโครโมโซม
ขาดหายไป เพิ่มขึ้นมา หรือสลับชิ้นสวนกัน ภาพที่ 5.29 การขาดหายของโครโมโซม
4. ครูใหนกั เรียนศึกษาการกลายระดับโครโมโซม 1
2) การเพิ่มซ�า้ (duplication) คือ การเพิ่มส่วนของแท่งโครโมโซม โดยส่วนที่เพิ่มขึ้น
จากการการเปลี่ยนแปลงจํานวนโครโมโซม มีความซ�้าซ้อนกับส่วนที่มีอยู่บนแท่ง ท�าให้ยีนบริเวณนั้นเพิ่มขึ้น ดังนี้
A B C D E F G H A B C B C D E F G H
M N O P Q R A B P Q R
T76
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
2. การเปลี่ยนแปลงจ�านวนโครโมโซม เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้น 5. ครูถามคําถามนักเรียนวา
หรือลดลงของจ�านวนโครโมโซมจากจ�านวนปกติ ซึ่งการเปลี • สาเหตุสําคัญที่ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลง
1 ่ยนแปลงจ�านวนโครโมโซมที่เกิดขึ้น
เนื่องจากในการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส เส้นใยสปินเดิลจะแยกโครโมโซมไปยังเซลล์ลูก แต่บาง จํานวนโครโมโซม คือสาเหตุใด
ครั้งอาจมีความผิดพลาดระหว่างการแบ่งเซลล์ ที่เรียกว่า การไม่แยกจากกัน (nondisjunction) (แนวตอบ ความผิดพลาดระหวางการแบง
ท�าให้คู่ของฮอมอโลกัสโครโมโซมแยกตัวผิดปกติระหว่2างไมโอซิส I หรือซิสเตอร์โครมาทิดไม่แยก เซลลแบบไมโอซิส เกิดจากการไมแยกจากกัน
ออกจากกันระหว่างไมโอซิส II ท�าให้เซลล์สืบพันธุ์หนึ่งได้รับโครโมโซมชนิดเดียวกันสองแท่ง ของฮอมอโลกัสโครโมโซมระหวางไมโอซิส I
และอีกเซลล์สืบพันธุ์ไม่มีโครโมโซม ดังนี้ หรื อ การไม แ ยกจากกั น ของซิ ส เตอร
ไมโอซิส I โครมาทิดระหวางไมโอซิส II ทําใหเซลล
สืบพันธุไดรับโครโมโซมมากกวาหรือนอย
กวาปกติ)
การไม่แยกจากกัน 6. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การกลายระดับ
ไมโอซิส II โครโมโซมจากการเปลี่ ย นแปลงจํ า นวน
โครโมโซม เปนผลจากความผิดพลาดของ
เซลลที่เกิดขึ้นระหวางการแบงเซลล เรียกวา
การไมแยกจากกัน พบทั้งความผิดปกติของ
การไม่แยกจากกัน การแบงเซลลระยะไมโอซิส I ที่ฮอมอโลกัส
เซลล์สืบพันธุ์ โครโมโซมไมแยกจากกัน และความผิดปกติ
ของการแบงเซลลระยะไมโอซิส II ที่ซิสเตอร
โครมาทิดไมแยกจากกัน ทําใหเซลลสืบพันธุ
n+1 n+1 n-1 n-1 n+1 n-1 n n
บางเซลล มี จํ า นวนโครโมโซมมากขึ้ น และ
จ�านวนโครโมโซม
บางเซลลมีจํานวนโครโมโซมลดลง
การไม่แยกจากกันของฮอมอโลกัส- การไม่แยกจากกันของซิสเตอร์โครมาทิด
โครโมโซมระหว่างไมโอซิส I ระหว่างไมโอซิส II
อธิบายความรู้
ภาพที่ 5.33 การไม่แยกจากกันของโครโมโซมในการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
B iology 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
Focus สิ่งกอการกลาย กลายระดับโครโมโซม
สิง่ ก่อการกลายหรือมิวทาเจน (mutagen) เป็นสิง่ กระตุน้ หรือสิง่ ชักน�าให้เกิดมิวเทชัน แบ่งออก 2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
เป็น 2 ประเภท ได้แก่ สิ่งก่อการกลายทางกายภาพ (physical mutagen) เช่น อุณหภูมิ รังสีเอกซ์ ชีววิทยา ม.4 เลม 2
3 เป็นต้น และสิ่งก่อการกลายทางเคมี (chemical mutagen) เช่น
รังสีแกมมา รังสีอัลตราไวโอเลต
ควันบุหรี่ สารอะฟาทอกซิน (สารเคมีจากเชื้อรา) สารไนโตรซามีน เป็นต้น
ยีนและ 67
โครโมโซม
T77
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูใหนักเรียนศึกษาตัวอยางการกลายระดับ การกลายทีเ่ กิดจากความผิดปกติในระดับโครโมโซมอาจทําใหเกิดความผิดปกติทางพันธุกรรม
โครโมโซมที่ทําใหเกิดโรคทางพันธุกรรม เชน ได เชน
กลุมอาการคริดูชาต กลุมอาการดาวน • กลุมอาการคริดูชาต (Cri du chat
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา syndrome) เปนความผิดปกติของโครโมโซม
•ï กลุมอาการคริดูชาตและกลุมอาการดาวน คูที่ 5 ผิดปกติ 1 โครโมโซม โดยมีสวนหนึ่ง
เกิดจากการกลายระดับโครโมโซมประเภท ของโครโมโซมขาดหายไปทําใหแขนขางสั้น
ใด และมีลักษณะอยางไร ของโครโมโซมสั้นกวาปกติ ผูปวยจะมีลักษณะ
อาการ คือ ปญญาออน ศีรษะเล็กกวาปกติ
(แนวตอบ กลุมอาการคริดูชาตเกิดจากการ
การเจริญเติบโตชา หนากลม ใบหูอยูต าํ่ กวาปกติ
กลายระดับโครโมโซมจากการเปลี่ยนแปลง และมีเสียงรองแหลมคลายเสียงแมวรองซึ่ง
รูปรางโครโมโซม ซึ่งโครโมโซมคูที่ 5 มี เปนที่มาของชื่อกลุมอาการ พบประมาณ 1 ใน ภาพที่ 5.34 แผนภาพคาริโอไทปความผิดปกติของผูปวย
สวนหนึ่งของแขนขางสั้นขาดหายไป สวน 50,000 คนของทารกแรกเกิด และพบในเด็ก กลุมอาการคริดูชาต
กลุมอาการดาวนเกิดจากการกลายระดับ หญิงมากกวาเด็กชาย ในอัตราสวน 2:1
โครโมโซมจากการเปลี่ ย นแปลงจํ า นวน • กลุม อาการดาวน (Down’s syndrome)
โครโมโซม ซึ่งโครโมโซมคูที่ 21 เกินมา เปนความผิดปกติของโครโมโซมคูท ี่ 21 เกินมา
1 โครโมโซม) 1 โครโมโซม เปนทัง้ หมด 47 โครโมโซม ผูป ว ย
จะมีลักษณะอาการ คือ รูปรางเตี้ย ตาหาง
หางตาชีข้ นึ้ ลิน้ โตคับปาก คอสัน้ กวาง นิว้ มือนิว้
เทาสัน้ ปญญาออน พบประมาณ 1 ใน 800 คน
ของทารกแรกเกิด และกลุมผูปวยจะมีหนาตา
คลายกันทุกเชื้อชาติ มักพบในมารดาที่มีอายุ
ประมาณ 35 ป ขึ้นไป ภาพที่ 5.35 แผนภาพคาริโอไทปความผิดปกติของผูปวย
กลุมอาการดาวน
B iology 1
Focus การทําคารีโอไทป์
การทําคารีโอไทป (karyotype) เปนการศึกษารายละเอียด
ของโครโมโซมแตละแทงในนิวเคลียสของเซลลสิ่งมีชีวิต โดยศึกษา
ทั้งจํานวนและรูปรางของโครโมโซม ซึ่งการทําคารีโอไทปนิยมใช
โครโมโซมในระยะเมทาเฟส เพราะเปนระยะที่สามารถมองเห็น
โครโมโซมแตละแทงไดอยางชัดเจน เนือ่ งจากโครโมโซมมีการหดตัว
ภาพที่ 5.36 โครโมโซมระยะ
มากที่สุด มีขนาดใหญที่สุด และจะเรียงตัวอยูบริเวณกึ่งกลางเซลล เมทาเฟส
68
T78
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
การเปลี่ยนแปลงจ�านวนโครโมโซมเกิดขึ้นได้ 2 แบบ คือ จ�านวนเพิ่มขึ้นหรือลดลง พบได้ 3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การกลายระดับ
ทัง้ โครโมโซมร่างกายและโครโมโซมเพศ ซึง่ นอกจากกลุม่ อาการคริดซู าต์และกลุม่ อาการดาวน์แล้ว โครโมโซมจากการเปลี่ ย นแปลงจํ า นวน
ยังมีความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงโครโมโซมอื่น ๆ ดังตาราง โครโมโซม สามารถเกิดไดทั้งกับโครโมโซม
รางกาย และโครโมโซมเพศ และใหนักเรียน
ตารางที่ 5.5 : กลุ่มอาการความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงจ�านวนโครโมโซม ศึกษาตารางที่ 5.5 กลุมอาการความผิดปกติ
ชื่อกลุ่มอาการความผิดปกติ ความผิดปกติที่เกิดกับ ลักษณะของความผิดปกติ ทางพันธุกรรม
ทางพันธุกรรม โครโมโซม
กลุ่มอาการพาทัว โครโมโซมร่างกาย - ปากแหว่ง เพดานโหว่ ตาเล็ก หูหนวก
4. ครูใหนกั เรียนจับคู แลวเลือกกลุม อาการความ
(Patau syndrome) 47, +13 ใบหูต�่า นิ้วมือนิ้วเท้ามักเกิน หัวใจและไต ผิดปกติทางพันธุกรรมจากในตาราง 5.5 แลว
ผิดปกติ สมองพิการ ปัญญาอ่อน ทารกมัก เขียนแผนภาพคารีโอไทปของผูป ว ยทีม่ คี วามผิด
ตายหลังจากคลอดไม่กี่เดือน ปกติทางพันธุกรรมที่คูของนักเรียนเลือกลงใน
- พบประมาณ 1 ใน 5,000 คนของทารก
แรกเกิด กระดาษ พรอมอธิบายลักษณะของความผิดปกติ
กลุ่มอาการเอ็ดเวิร์ด โครโมโซมร่างกาย - มื อ ก� า ท้ า ยทอยโหนก ใบหู ผิ ด รู ป และ 5. ครูถามคําถามนักเรียนวา
(Edwards syndrome) 47, +18 เกาะต�่า ï• ถาพอสรางสเปรม ทีม่ โี ครโมโซม XY ผสมกับ
- พบประมาณ 1 ใน 5,000 คนของทารก เซลลไขที่มีโครโมโซม X ลูกจะมีโครโมโซม
แรกเกิด
เพศเปนอยางไร และมีความผิดปกติอยางไร
กลุ่มอาการเทอร์เนอร์ โครโมโซมเพศ - เป็นเพศหญิง รูปร่างเตี้ย คอสั้น หน้าแก่
(Turner syndrom) 45, X มีแผ่นหลังคล้ายปีกจากต้นคอลงมาจรด (แนวตอบ โครโมโซมเพศของลูกจะเปน XXY
หัวไหล่ เป็นหมัน เรียกกลุม อาการนีว้ า ไคลนเฟลเตอร ซึง่ ผูท มี่ ี
- พบประมาณ 1 ใน 5,000 คนของทารก โครโมโซมเพศลักษณะนีจ้ ะเปนเพศชาย แขน
แรกเกิด
ขายาว มีความสูงมากมากกวาเพศชายปกติ
กลุ่มอาการเอกซ์วายวาย โครโมโซมเพศ - เป็นเพศชาย แขนขายาว สูงกว่าเพศชาย
(XYY syndrome) 47, XYY ปกติ ไม่เป็นหมัน มีเตานมคลายเพศหญิง สติปญ ญาตํา่ กวาปกติ
- พบประมาณ 1 ใน 10,000 คนของทารก มักเปนหมัน)
แรกเกิด
กลุ่มอาการไคลน์เฟลเทอร์ โครโมโซมเพศ - เป็นเพศชาย แขนขายาว สูงกว่าเพศชาย อธิบายความรู
(Klinefelter syndrome) 47, XXY ปกติ มีเต้านมคล้ายผู้หญิง สะโพกผาย
48, XXXY มักเป็นหมัน สติปัญญาต�่ากว่าปกติ 1. ครูสุมนักเรียนออกมา 5 คู ที่เลือกกลุมอาการ
49, XXXXY - พบประมาณ 1 ใน 500 คนของทารก ความผิดปกติทางพันธุกรรมแตกตางกัน มา
แรกเกิด วาดแผนภาพคารีโอไทปที่หนาชั้นเรียน
หมายเหตุ : การเขียนสัญลักษณ์แทนความผิดปกติที่เกิดกับโครโมโซมจะใช้ตัวเลขแรกแสดงจ�านวนโครโมโซมทั้งหมดและ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับโรคทาง
ตัวเลขหรืออักษรด้านหลังแสดงความผิดปกติ เช่น
47, +13 หมายถึง มีจ�านวนโครโมโซมทั้งหมด 47 แท่ง และมีโครโมโซมแท่งที่ 13 เกินมา 1 แท่ง พันธุกรรมทีเ่ กิดจากการกลายระดับโครโมโซม
48, XXXY หมายถึง มีจ�านวนโครโมโซมทั้งหมด 48 แท่ง และมีโครโมโซมเพศ (X) เกินมา 2 แท่ง
ยีนและ 69
โครโมโซม
T79
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจค้นหา
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การกลายระดับ การเปลี่ยนแปลงจํานวนโครโมโซมเปน1ชุดจากจํานวนดิพลอยดนี้ เรียกสิ่งมีชีวิตที่มีจํานวน
โครโมโซมที่ทําใหมีจํานวนโครโมโซมมากกวา โครโมโซมมากกวา 2 ชุดวา พอลิพลอยด (polypoild) ซึ่งสวนใหญเกิดจากการแบงเซลลแบบ
2 ชุด เรียกวา พอลิพลอยด ซึ่งหากเกิดในพืช ไมโอซิสผิดปกติจากการไมแยกจากกัน ทําใหเซลลสืบพันธุมีจํานวนโครโมโซมมากกวา 2 ชุด
จะทําใหพืชมีลักษณะหรือคุณสมบัติที่ดีขึ้น พอลิพลอยดที่พบในพืชจะทําใหพืชมีขนาดดอกหรือผลใหญกวาพืชดิพพลอยด อีกทั้งยังให
2. ครูใหนักเรียนศึกษาคุณสมบัติพิเศษของพืช ผลผลิตหรือสรางสารบางชนิดเพิ่มขึ้น เชน ขาวโพดพันธุ 4n มีวิตามินสูงกวาพันธุ 2n หรือยาสูบ
พอลิพลอยด พันธุ 4n มีสารนิโคตินสูงกวา 2n เปนตน ซึ่งพืชพอลิพลอยดเลขคู ไดแก 4n 6n 8n มักไดพืช
3. ครูถามคําถามนักเรียนวา ที่มีผลหรือลําตนใหญและสามารถมีชีวิตและสืบพันธุไดตามปกติ แตสําหรับพืชพอลิพลอยดเลขคี่
•ï พืชพอลิพลอยดเลขคีแ่ ละพอลิพลอยดเลขคู ไดแก 3n 5n 7n จะเปนหมัน เพราะมีปญหาในการสรางเซลลสืบพันธุจึงใชประโยชนในการพัฒนา
มีคุณสมบัติแตกตางกันอยางไร พันธุพืชที่ไมมีเมล็ด เชน แตงโม องุน กลวย เปนตน
(แนวตอบ พืชพอลิพลอยดเลขคูจ ะมีผลทําให
พืชมีดอกหรือผลขนาดใหญ สามารถผลิต
สารบางชนิดได แตสําหรับพืชพอลิพลอยด
เลขคี่ จ ะเป น หมั น เพราะมี ป ญ หาในการ
สรางเซลลสืบพันธุ)
4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา พอลิพลอยดที่พบ
ในสัตวจะพบไดนอยกวาในพืช เนื่องจากการ
เปลี่ยนแปลงจํานวนโครโมโซมมักทําใหสัตวมี
ภาพที่ 5.37 สตรอวเบอรรี่ขนาดใหญเกิดจากการพัฒนา ภาพที่ 5.38 แตงโมไรเมล็ด เกิดจากการพัฒนาสายพันธุ
ความพิการ อายุสั้น หรือเสียชีวิตตั้งแตอยูใน สายพันธุพืชพอลิพลอยดเลขคู เปนพืชพอลิพลอยดเลขคี่
ระยะเอ็มบริโอ
พอลิพลอยดทพี่ บในสัตวจะพบไดนอ ยกวาในพืช เนือ่ งจากการเปลีย่ นแปลงจํานวนโครโมโซม
อธิบายความรู้ ในสัตวสวนใหญทําใหมีอายุสั้น มีความพิการทางรางกายและสมอง หรือมีผลกระทบรุนแรงทําให
1. ครูสมุ เลือกนักเรียนใหยกตัวอยางพอลิพลอยด เอ็มบริโอเสียชีวิตตั้งแตอยูในครรภ
ที่พบในสิ่งมีชีวิต และที่สามารถพบในชีวิต การเกิดการกลายในสิง่ มีชวี ติ หากเกิดขึน้ มากเกินไปจะทําใหสงิ่ มีชวี ติ ตายได แตถา เกิดไมมาก
ประจําวันของนักเรียน อาจทําใหสิ่งมีชีวิตนั้นอยูรอดได และบางครั้งการเกิดการกลายอาจทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงทาง
2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ พันธุกรรมที่สงผลใหสิ่งมีชีวิตสามารถดํารงชีวิตไดดีกวาเดิม ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับ
พอลิพลอยดที่พบในสิ่งมีชีวิต และที่สามารถ โครโมโซมและ DNA จากการกลายจึงเปนสวนหนึง่ ทีท่ าํ ใหสงิ่ มีชวี ติ มีลกั ษณะทีแ่ ตกตางออกไป และ
พบในชีวิตประจําวัน ลักษณะเหลานี้ยังสามารถถายทอดไปสูลูกหลาน หรือรุนตอ ๆ ไปได ซึ่งมีผลทําใหเกิดการแปรผัน
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด ทางพันธุกรรม จึงทําใหลักษณะของสิ่งมีชีวิตเปลี่ยนแปลง และเกิดสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย ซึ่งเปน
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 ปจจัยหนึ่งที่ทําใหเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
70
ขัน้ สรุป
Summary ขยายความเขาใจ
1. ครูใหนักเรียนทําแผนพับนําเสนอ เรื่อง โรค
ยีนและโครโมโซม พันธุกรรม ที่เกิดจากการกลายในระดับยีน
หรือระดับโครโมโซม โดยใหนกั เรียนเลือกโรค
การคนพบสารพันธุกรรม พันธุกรรม 1 โรค ทีเ่ กิดจากการกลายทีไ่ มได
• โยฮันน์ ฟรีดริช มิเชอร์ ค้นพบ กรดนิวคลีอิกจากสารเคมีที่สกัดจากนิวเคลียสของเซลล์เม็ดเลือดขาว อธิบายอยูใ นหนังสือเรียน ซึง่ มีเนือ้ หาประกอบ
ซึ่งไม่ถูกย่อยด้วยเอนไซม์เพปซิน ดวยประเภทของการกลาย ลักษณะความผิด
• เฟรเดอริก กริฟฟิท ค้นพบสารบางอย่างจากแบคทีเรียสายพันธุ์ S ที่ท�าให้ตายด้วยความร้อนสามารถ
เข้าไปยังแบคทีเรียสายพันธุ์ R ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของแบคทีเรียสายพันธุ์ R เป็นแบคทีเรีย ปกติของผูป ว ย และวิธกี ารดูแล/รักษาผูป ว ย
สายพันธุ์ S ซึ่งสามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกหลานของแบคทีเรีย 2. ครูใหนกั เรียนทํา Self Check เพือ่ ตรวจสอบ
• ออสวอลด์ แอเวอรี, แมคลิน แมคคาร์ที และคอลิน แมคลอยด์ พบว่า สารทีเ่ ปลีย่ นแปลงพันธุกรรมของแบคทีเรีย ความเขาใจของตนเอง
สายพันธุ์ R เป็นสายพันธุ์ S คือ DNA
• สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ทั้งแบคทีเรีย โพรทิสต์ พืช สัตว์ และมนุษย์ มี DNA เป็นสารพันธุกรรม ขณะที่ไวรัสบาง 3. ครูใหนกั เรียนทํา Unit Question ทายหนวยการ
ชนิด เช่น ไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคโปลิโอ เอดส์ ไข้หวัดนก มี RNA เป็นสารพันธุกรรม เรียนรูท ี่ 5 ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 2
โครโมโซม ส่วนทีม่ แี ขนสัน้
4. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบทายหนวยการ
• โครโมโซมในช่วงการแบ่งเซลล์ระยะอินเตอร์เฟส
เซนโทรเมียร์ เรียนรูท ี่ 5 ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
จะจ�าลองตัวเองเป็นเส้นคู่ และในช่วงเมทาเฟส เซนโทรเมียร์ 5. ครูใหนกั เรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน
จะหดตัวสั้นและหนา ซึ่งจะมีโครมาทิด 2 อันยึด ส่วนที่มี
แขนยาว
ติดกันตรงต�าแหน่งเซนโทรเมียร์ และหากแบ่ง ทีโลเซนทริก อะโครเซนทริก ซับเมทาเซนทริก เมทาเซนทริก
ภาพที่ 5.39
ตามต�าแหน่งของเซนโทรเมียร์ จะแบ่งเป็น 4 ชนิด โครโมโซม
• โครโมโซม ประกอบด้วยโมเลกุลเกลียวคูข่ อง DNA นิวคลีโอโซม เกลียวคู่ DNA
พันรอบกลุ่มโปรตีนฮิสโตน
• จีโนม คือ สารพันธุกรรมทัง้ หมดทีอ่ ยูใ่ นนิวเคลียส โปรตีน
ฮิสโตน
ของทุก ๆ เซลล์ ซึง่ จ�าเป็นต่อการด�ารงชีวติ อย่าง
ปกติของสิ่งมีชีวิต
ภาพที่ 5.40
ดีเอ็นเอ
ไนโตรจีนัสเบส
• DNA เป็นพอลิเมอร์ของนิวคลีโอไทด์ ซึง่ ประกอบ H เบสพิวรีน
ด้วยองค์ประกอบย่อย 3 ส่วน N H H
H N N N
- ไนโตรจีนัสเบส (เบส A T G C) H N
H H
- น�า้ ตาลดีออกซีไรโบส NH2 N
N N
- หมู่ฟอสเฟต N H N
N O
N H H
อะดีนีน H H
กวานีน
O N N N เบสไพริมิดีน H C O H
H N 2
N
- P O
O O
O- H H H O H O
N N
H H
OH H ไซโทซีน H H ไทมีน
ภาพที่ 5.41 ยีนและ 71
โครโมโซม
ขอสอบเนน การคิด
จากภาพที่กําหนดให กระบวนการหมายเลข 1 และ 2 คือกระบวนการใด และเกิดขึ้นที่ใด
DNA 1. หมายเลข 1 translation เกิดขึ้นที่ไซโทพลาซึม หมายเลข 2 repication
เกิดขึ้นที่นิวเคลียส
1 2. หมายเลข 1 translation เกิดขึ้นที่นิวเคลียส หมายเลข 2 repication
mRNA
เกิดขึ้นที่นิวเคลียส
นิวเคลียส 3. หมายเลข 1 repication เกิดขึ้นที่นิวเคลียส หมายเลข 2 transcription
เกิดขึ้นที่นิวเคลียส
mRNA
4. หมายเลข 1 repication เกิดขึ้นที่นิวเคลียส หมายเลข 2 translation
เกิดขึ้นที่ไซโทพลาซึม
5. หมายเลข 1 translation เกิดขึ้นที่นิวเคลียส หมายเลข 2 transcription
2 กรดอะมิโน
เกิดขึ้นที่ไซโทพลาซึม
(วิเคราะหคําตอบ จากภาพเปนกระบวนการสังเคราะหโปรตีนของสิ่งมีชีวิตกลุมยูคาริโอต ซึ่งหมายเลข 1 คือ translation
เปนการสังเคราะห mRNA จาก DNA เกิดขึ้นที่นิวเคลียส และหมายเลข 2 คือ transcription เปนการสังเคราะหพอลิเพปไทด
จาก mRNA เกิดขึ้นที่ไซโทพลาซึม ดังนั้น ตอบขอ 5.)
T81
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลจากแผนพับนําเสนอ เรือ่ ง โรค ดีเอ็นเอ (ต่อ)
20 A
พันธุกรรม • วัตสันและคลิก เสนอแบบจ�าลองโครงสร้างโมเลกุล G
A
C
T
พันธะฟอสโฟไดเอสเตอร์
- เบสอะดีนีนจะจับคู่กับเบสไทมีนด้วยพันธะ OH CH2
O O-
Question ทายหนวยการเรียนรูท ี่ 5 ในหนังสือ ไฮโดรเจน 2 พันธะ ส่วนเบสกวานีนจะจับคู่ A
G
T
C
3.4 A
HO PO
72
ภาพที่ 5.44
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
รวม
ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
ในไซโทพลาซึมจะประกอบดวย mRNA ที่นํารหัสพันธุกรรมของ
DNA มาสังเคราะหโปรตีน tRNA ที่นํากรดอะมิโนมาเขาคูกับ
............/................./................
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
เกณฑ์การให้คะแนน 1. ความ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้องกับ
T82
นํา สอน สรุป ประเมิน
T83
นํา สอน สรุป ประเมิน
กรดอะมิโน ซึ่งจะเกิดขึ้นในไซโทพลาซึม
โปรตีน
2) ลําดับโคดอนของสาย mRNA คือ UGG UUU
GGC UCA ภาพที่ 5.46
3) สายพอลิเพปไทดทไี่ ดจากการแปลรหัสและ 6.1 หมายเลข 1 และ 2 คือกระบวนการใด และเกิดขึ้นบริเวณใดในเซลล์สิ่งมีชีวิต
ถอดรหัสจาก DNA แมแบบ ประกอบดวย 6.2 ล�าดับโคดอนของ mRNA มีรหัสอย่างไร
กรดอะมิโนทริปโตเฟน เฟนิลอะลานีน ไกล 74
6.3 สายพอลิเพปไทด์ที่สังเคราะห์ขึ้นมีกรดอะมิโนชนิดใดบ้าง
ซีน และซีรีน ตามลําดับ
T84
10. การไมแยกจากกันมีผลทําใหจํานวนโครโมโซม
ของสิ่งมีชีวิตผิดปกติไปจากเดิม โดยอาจทําให
7. การถอดรหัสและการแปลรหัสในสิ่งมีชีวิตกลุ่มโพรคาริโอตกับยูคาริโอตมีความเหมือนหรือ คู ข องฮอมอโลกั ส โครโมโซมแยกตั ว ผิ ด ปกติ
ต่างกันอย่างไร ระหวางไมโอซิส I หรือซิสเตอรโครมาทิดผิด
ปกติระหวางไมโอซิส II ทําใหเซลลสบื พันธุห นึง่
8. จงระบุลักษณะของการกลายต่อไปนี้ให้ถูกต้อง
8.1 การกลายแบบเปลี่ยนรหัส ไดรับโครโมโซมชนิดเดียวกันสองอัน และอีก
8.2 การกลายเป็นรหัสหยุด เซลลสบื พันธุไ มมโี ครโมโซม ซึง่ ถาเซลลสบื พันธุ
8.3 การเพิ่มซ�้า ที่ผิดปกตินี้ไดรับการผสม ไซโกตจะมีจํานวน
8.4 การเคลื่อนย้าย โครโมโซมที่ผิดปกติไป
ยีนและ 75
โครโมโซม
9. 9.1) DNA 3ʹ CGA TAC TGC TGA TCA ATG TAT TAC GGG CCA A 5ʹ
mRNA 5ʹ GCU AUG ACG ACU AGU UAC AUA AUG CCC GGU U 3ʹ
กรดอะมิโน Ala Met Tyr Tyr Ser Tyr Ile Met Pro Gly
ลําดับกรดอะมิโนที่สังเคราะหได คือ อะลานีน เมไทโอนีน ไทโรซีน ไทโรซีน ซีรีน ไทโรซีน ไอโซลิวซีน เมไทโอนีน โพรลีน ไกลซีน ดังนั้น เมื่อมี
การเพิ่มขึ้นของนิวคลีโอไทด C ในระหวางตําแหนงที่ 5 และ 6 จะเปลี่ยนลําดับกรดอะมิโนตัวที่ 2 เปนตนไป และมีการสังเคราะหตอไปเรื่อยๆ
ซึ่งไมเจอรหัสหยุด
9.2) DNA 3ʹ CGA TAT GCT ATC AAT GTA TTA CGG GCC AA 5ʹ
mRNA 5ʹ GCU AUA CGA UAG UUA CAU AAU GCC CGG UU 3ʹ
กรดอะมิโน Ala Ile Arg รหัสหยุด
ลําดับกรดอะมิโนที่สังเคราะหได คือ อะลานีน ไอโซลิวซีน อารจีนีน ดังนั้น ลําดับกรดอะมิโนจะเจอรหัสหยุดการสังเคราะหกอน DNA สายปกติ
ทําใหสายพอลิเพปไทดสั้นลง
9.3) DNA 3ʹ CGA TAT GCT GTC AAT GTA TTA ACG GGC CCA 5ʹ
mRNA 5ʹ GCU AUA CGA CAG UUA CAU AAU UGC CCG GGU 3ʹ
กรดอะมิโน Ala Ile Arg Gln Phe His Asn Cys Pro Gly
ลําดับกรดอะมิโนทีส่ งั เคราะหได คือ อะลานีน ไอโซลิวซีน อารจนี นี กลูตามีน ฟนลิ อะลานีน ฮีสทิดนี แอสพาราจีน ซีสเทอีน โพรลีน ไกลซีน ดังนัน้ เมือ่ มีการ
ลดลงของนิวคลีโอไทด A ในตําแหนงที่ 11 และการเพิม่ ขึน้ ของนิวคลีโอไทด C ระหวางตําแหนงที่ 22 และ 23 จะมีการเปลีย่ นลําดับกรดอะมิโนตัง้ แตตวั ที่
4 เปนตนไป และมีการสังเคราะหตอไป ซึ่งไมเจอรหัสหยุด ทําใหสายพอลิเพปไทดที่ไดยาวกวาปกติ และมีลําดับกรดอะมิโนเปลี่ยนแปลงไป
T85
Chapter Overview
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช จ�ดประสงค ว�ธ�สอน ประเมิน ทักษะที่ใช
การเร�ยนรู อันพึงประสงค
แผนฯ ที่ 1 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายหลักการสราง แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบทดสอบกอนเรียน - ทักษะการ - มีวินัย
เทคโนโลยีทาง ม.4 เลม 2 ดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท หาความรู (5Es - ตรวจแบบฝกหัด เปรียบเทียบ - ใฝเรียนรู
ดีเอ็นเอ - แบบฝกหัดชีววิทยา ได (K) Instructional - ตรวจรายงาน เรื่อง สิ่งมีชีวิต - ทักษะการ - มุงมั่นในการ
ม.4 เลม 2 2. อธิบายหลักการโคลนยีน Model) ดัดแปรพันธุกรรม วิเคราะห ทํางาน
5 - PowerPoint หรือโคลนดีเอ็นเอได (K) - ตรวจผังสรุป เรื่อง การสราง - ทักษะการ
ชั่วโมง ประกอบการสอน 3. อธิบายหลักการสราง สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม รวบรวมขอมูล
สิ่งมีชีวิตดัดแปร - ตรวจใบงาน เรื่อง การโคลนยีน - ทักษะการ
พันธุกรรมได (K) - ตรวจใบงาน เรื่อง การสราง เชื่อมโยง
4. เปรียบเทียบการโคลนยีน สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม - ทักษะการ
โดยอาศัยพลาสมิดของ - ประเมินการปฏิบัติการ ใหเหตุผล
แบคทีเรียกับเทคนิค - ประเมินการนําเสนอผลงาน - ทักษะการคิด
พอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน - สังเกตพฤติกรรมการทํางาน อยางมีเหตุผล
ได (K) รายบุคคล
5. เขียนขั้นตอนการสราง - สังเกตพฤติกรรมการทํางานกลุม
ดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท - สังเกตความมีวินัย ใฝเรียนรู
ได (P) และมุงมั่นในการทํางาน
6. เขียนขั้นตอนการโคลน
ยีนหรือโคลนดีเอ็นเอ
ได (P)
7. เขียนขั้นตอนการสราง
สิ่งมีชีวิตดัดแปร
พันธุกรรมได (P)
8. สนใจใฝรูในการศึกษา (A)
T86
Chapter Concept Overview
หน่วยการเรียนรู้ที่ 6
เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
การใชเทคโนโลยีเพื่อสรางดีเอ็นเอสายผสม หรือ DNA รีคอม- ตัดดวยเอนไซมตัดจําเพาะ ซึ่งเปนเอนไซม
ที่ตัดโมเลกุลของ DNA ที่ตําแหนงจําเพาะ
บิแนนท (recombinant DNA) ซึง่ สามารถใชดดั แปลง ตัดตอ เคลือ่ น
ตําแหนงตัดจําเพาะ
ยาย หรือสราง DNA สายใหม เพื่อนําไปดัดแปรพันธุกรรมของ DNA GAATTC ตัดดEวยเอนไ
AA TT C
G
DNA โมเลกุลอื่นที่ตัดดวย EcoRI
G
CTTAAG C TT AA
สิ่งมีชีวิต coR
I
ซม
G AA TT C
• การสราง DNA รีคอมบิแนนท เปนการตัดตอ DNA จาก DNA รีคอมบิแนนท
G AATT C G AATT C
C TT AA G
สิง่ มีชวี ติ ชนิดหนึง่ แลวนําไปเชือ่ มตอกับ DNA ของสิง่ มีชวี ติ อีกชนิด C TTAA G C TTAA G
5’
3’ 5’
DNA 5’ 3’
1 2 3
โครโมโซม พลาสมิด 3’ 5’
เซลลแบคทีเรีย 3’ 5’
5’ 3’
เพาะเลี้ยงแบคทีเรีย
ใหเพิ่มจํานวน 3’ 5’ 3’ 5’
การประยุกต ใชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
• การประยุกตใชในเชิงการแพทย : การวินิจฉัยโรค การบําบัดดวยยีน โดยแทรกยีนปกติเขาสูรางกายของผูปวยหรือผูมีความผิดปกติ
เพือ่ ใหยนี ปกติเขาไปแทนทีย่ นี ทีผ่ ดิ ปกติ ซึง่ สามารถทํางานแทนยีนทีผ่ ดิ ปกติได และการสรางผลิตภัณฑทางเภสัชกรรม โดยแทรกยีนทีส่ ามารถ
ผลิตสารหรือฮอรโมนใหกับแบคทีเรีย แลวนําไปเพิ่มจํานวนเพื่อใหสามารถผลิตในปริมาณมากขึ้น
• การประยุกตใชในเชิงวิทยาศาสตร : การตรวจลายพิมพ DNA เพื่อระบุความสัมพันธในครอบครัว และผูกระทําความผิดในคดีตาง
• การประยุกตใชในเชิงการเกษตร : การสรางพืชและสัตวดัดแปรพันธุกรรม เพื่อเพิ่มคุณสมบัติ หรือผลผลิตทางการเกษตร
• การประยุกตใชในเชิงสิ่งแวดลอม : การสรางพืชหรือจุลินทรียดัดแปรพันธุกรรม เพื่อยอยสลายสารพิษที่ปนเปอนในสิ่งแวดลอม
• การประยุกตใชในเชิงอุตสาหกรรม โดยการสรางพืชหรือจุลนิ ทรียด ดั แปรพันธุกรรมเพือ่ ใหมคี ณ ุ สมบัตติ ามตองการ และถูกนําไปใชใน
อุตสาหกรรม เชน มันฝรั่งดัดแปรพันธุกรรมเพื่อใชในอุตสาหกรรมกระดาษ แบคทีเรียดัดแปรพันธุกรรมเพื่อใชในอุตสาหกรรมผลิตฮอรโมน
เนือ่ งจากความกาวหนาทางเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ทําใหเกิดความกังวลเรือ่ งความปลอดภัยทางชีวภาพ เชน ความปลอดภัยตอสุขภาพ
การเปนพาหะของสารพิษ การดื้อยาของเชื้อโรค การถายยีนจากสิ่งมีชีวิตหนึ่งสูสิ่งมีชีวิตขางเคียง รวมถึงจริยธรรมในการใชขอมูลดีเอ็นเอ
และผลกระทบดานสังคม ซึ่งอาจทําใหเกิดการแบงชนชั้น และความเหลื่อมลํ้าในสังคมมากยิ่งขึ้น
T87
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
พันธุศาสตรและ
กระตุน ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรู
6
หนวยการเรียนรูที่
ใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน
3. ครูถามคําถาม Big Question เพือ่ กระตุน ความ
สนใจของนักเรียนวา ความรูทางดาน DNA มี
เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
ประโยชนตอชีวิตประจําวันของมนุษยอยางไร ผลการเรียนรู้ การศึกษาพันธุศาสตร์และเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอมี ค วาม
10. อธิ บ ายหลั ก การสร้ า งสิ่ ง มี ชี วิ ต ก้าวหน้าอย่างมากในปัจจุบัน ซึ่งมีการน�าความรู้มาประยุกต์
ดัดแปรพันธุกรรมโดยใช้ดีเอ็นเอ- ใช้ในการปรับแต่งและเคลื่อนย้ายยีนข้ามชนิดของสิ่งมีชีวิต
รีคอมบิแนนท์ได้
11. สืบค้นข้อมูล ยกตัวอย่าง และ ซึง่ ไม่สามารถเกิดขึน้ ในธรรมชาติได้ รวมทัง้ การน�ามาประยุกต์ใช้
อภิ ป รายการน� า เทคโนโลยี ท าง ประโยชน์ ด ้ า นการแพทย์ แ ละเภสั ช กรรม นิ ติ วิ ท ยาศาสตร์
ดี เ อ็ น เอไปประยุ ก ต์ ทั้ ง ในด้ า น
สิ่ ง แวดล้ อ ม นิ ติ วิ ท ยาศาสตร์ การเกษตร สิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรมกันอย่างแพร่หลาย
การแพทย์ การเกษตร และ
อุตสาหกรรม และข้อควรค�านึงถึง
ด้านชีวจริยธรรมได้
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอน เรือ่ ง พันธุศาสตรและเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ครูควรเนน
การใชภาพ แบบจําลอง และวีดิทัศน เพื่อชวยใหนักเรียนเขาใจเนื้อหาไดงายขึ้น
โดยการจัดการสอนควรเนนกระบวนการกลุม เพือ่ ใหนกั เรียนไดรว มอภิปราย และ
มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน รวมทั้งใหนักเรียนไดตระหนักถึงขอดี/ขอเสีย
ที่เกิดขึ้นจากการใชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในสิ่งมีชีวิต
T88
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
Prior Knowledge
สิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม 1. เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ 1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ความรูทางดาน
(GMOs) หมายถึงอะไร ดีเอ็นเอถูกนํามาดัดแปรพันธุกรรมของสิง่ มีชวี ติ
นักวิทยาศาสตร์สามารถดัดแปรพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต
อ ให้มีลักษณะตามความต้องการ โดยอาศัยเทคโนโลยีทำง DNA
(DNA technology) ทีส่ ามารถปรับแต่งยีนและเคลือ่ นย้ายยีนข้ามชนิดของสิง่ มีชวี ติ ซึง่ ไม่สามารถ
ใหมลี กั ษณะตามทีต่ อ งการ โดยอาศัยเทคโนโลยี
ทางดีเอ็นเอ เรียกสิ่งมีชีวิตเหลานี้วา สิ่งมีชีวิต
ดัดแปรพันธุกรรม
เกิดขึ้นในธรรมชาติทั่วไปได้ และสามารถน�ามาประยุกต์ใช้ประโยชน์ในด้านอื่น ๆ อีกมากมาย
เทคโนโลยีทาง DNA เป็นการใช้เทคโนโลยีเพือ่ สร้าง DNA สำยผสม หรือ DNA รีคอมบิแนนท์ 2. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน
(recombinant DNA) ซึ่งสามารถใช้ดัดแปลง ตัดต่อ เคลื่อนย้าย หรือสร้าง DNA สายใหม่ เพื่อ ความรูเดิมของนักเรียน
น�าไปดัดแปรพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ทั้งแบคทีเรีย พืช สัตว์ และมนุษย์ 3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา เทคโนโลยีทาง
ดีเอ็นเอเปนการใชเทคโนโลยีเพื่อสรางดีเอ็นเอ
1.1 การสร้างดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์ รีคอมบิแนนท ซึ่งอาศัยเอนไซม 2 ชนิด ไดแก
การสร้าง DNA รีคอมบิแนนท์ เป็นการตัดต่อ DNA จากสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง แล้วน�าไป เอนไซมตดั จําเพาะ และเอนไซมดเี อ็นเอไลเกส
เชื่อมต่อกับ DNA ของสิ่งมีชีวิตอีกชนิด โดยอาศัยการท�างานของเอนไซม์ 2 ชนิด ดังนี้ 4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาเอนไซม ตั ด จํ า เพาะที่
1. เอนไซม์ตัดจ�ำเพำะ (restriction enzyme) เป็นเอนไซม์ที่สามารถตัด DNA ใน สามารถตัดสายดีเอ็นเอไดอยางจําเพาะ พบใน
ต�าแหน่งทีม่ ลี า� ดับเบสจ�าเพาะ ซึง่ ถูกค้นพบในป พ.ศ. 2513 โดยแฮมิลตัน สมิธ และคณะ ท�าวิจยั ใน สิง่ มีชวี ติ กลุม แบคทีเรีย และมีความสามารถใน
แบคทีเรียและพบเอนไซม์ที่มีห1น้าที่ป้องกันเซลล์ของแบคทีเรีย โดยตัดสาย DNA แปลกปลอม การตัดสาย DNA ไดอยางจําเพาะทีแ่ ตกตางกัน
ที่มาจากสิ่งมีชีวิตอื่นหรือฟำจ (phage)
5. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ปัจจุบันมีการค้นพบเอนไซม์ตัดจ�าเพาะจ�านวนมาก ซึ่งมีบริเวณตัดจ�าเพาะในต�าแหน่งที่ • เอนไซมตดั จําเพาะมีความจําเพาะในการตัด
ต่างกัน โดยเอนไซม์ตัดจ�าเพาะแต่ละชนิดจะจดจ�าล�าดับเบสในสาย DNA อย่างจ�าเพาะ ที่เรียกว่า
สายดีเอ็นเออยางไร และเอนไซมแตละชนิด
ต�ำแหน่งตัดจ�ำเพำะ (restriction site) ซึ่งจะตัด DNA ทั้งสองสายที่ต�าแหน่งตัดจ�าเพาะนั้น ๆ
มีความเหมือนหรือแตกตางกัน อยางไร
ตารางที่ 6.1 : เอนไซมตัดจําเพาะ แหลงที่แยกได ลําดับที่จดจํา และลักษณะปลายที่ไดจากการตัด (แนวตอบ เอนไซมตัดจําเพาะจะมีบริเวณตัด
เอนไซม์ แหล่งที่แยกได้ ล�ำดับที่จดจ�ำ ลักษณะปลำยที่ได้รับจำกกำรตัด จําเพาะในตําแหนงตางๆ ซึ่งเอนไซมแตละ
EcoRI Escherichia coli 5′ GAATTC 3′ 5′---G AATTC---3′ ชนิดจะจดจําตําแหนงตัดจําเพาะในสาย
3′ CTTAAG 5′ 3′---CTTAA G---5′
5′ GGATCC 3′ 5′---G GATCC---3′ ดีเอ็นเอที่มีตําแหนงตัดจําเพาะที่แตกตาง
BamH Bacillus amyloliquefaciens 3′ CCTAGG 5′ 3′---CCTAG G---5′ กัน ซึ่งอาจตัดสายดีเอ็นเอไดเปนปลายทู
5′ AAGCTT 3′ 5′---A AGCTT---3′
HindIII Haemophilus influenzae 3′ TTCGAA 5′ 3′---TTCGA A---5′ หรือปลายเหนี่ยวขึ้นอยูกับชนิดของเอนไซม
TaqI Thermus aquaticus 5′ TCGA 3′ 5′---T CGA---3′ ตัดจําเพาะที่ใช)
3′ AGCT 5′ 3′---AGC T---5′
5′ CAGCTG 3′ 5′---CAG CTG---3′
PvuII Proteus vulgaris 3′ GTCGAC 5′ 3′---GTC GAC---5′ แนวตอบ Prior Knowledge
5′ CCCGGG 3′ 5′---CCC GGG---3′ สิ่งมีชีวิตที่ถูกตัดแตงพันธุกรรม โดยนํายีนจาก
Smal Serratia marcescens 3′ GGGCCC 5′ 3′---GGG CCC---5′
พันธุศาสตร์และ 77
สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ ส นใจมาแทรกเข า สู ยี น ของสิ่ ง มี ชี วิ ต
เทคโนโลยีทาง DNA
อีกชนิด ทําใหสงิ่ มีชวี ติ ทีถ่ กู แทรกยีนเขาไปมีคณ
ุ สมบัติ
ของยีนที่สนใจ
T89
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
6. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา เอนไซมตดั จําเพาะ จากตารางจะเห็นว่าเอนไซม์ตดั จ�าเพาะแต่ละชนิดมีบริเวณ
จะตัดสาย DNA อยางจําเพาะ เอนไซมแตละ ล�าดับเบสจ�าเพาะและจุดตัดจ�าเพาะที่แตกต่างกัน เช่น เอนไซม์
ชนิดจะมีตําแหนงตัดจําเพาะที่แตกตางกัน ต�าแหน่งตัดจ�าเพาะ
EcoRI มีล�าดับเบสจ�าเพาะในการตัดจ�านวน 6 คู่เบส ส่วน TaqI
เอนไซมบางชนิดตัดสาย DNA เปนปลายเหนียว จะใช้เพียง 4 คู่เบส ซึ่งปกติเอนไซม์ตัดจ�าเพาะที่ใช้กันอย่าง
ซึ่ ง จะมี นิ ว คลี โ อไทด ส ายเดี่ ย วยื่ น ออกมา แพร่ ห ลายจะจ� า เพาะกั บ ล� า ดั บ นิ ว คลี โ อไทด์ ป ระมาณ 4-8
เอนไซมบางชนิดตัดสาย DNA เปนปลายทู นิวคลีโอไทด์ เอนไซม์ตัดจ�าเพาะจะตัดสาย DNA สองสายท�าให้
ซึ่งจะไมทําใหเกิดนิวคลีโอไทดสายเดี่ยว ได้ปลายนิวคลีโอไทด์สายเดี่ยวยื่นออกมา เรียกว่า ปลำยเหนียว
ภาพที่ 6.1 ปลายเหนียว
7. ครูใหนกั เรียนศึกษา เอนไซมดเี อ็นเอไลเกส ซึง่ (sticky end) ปลายเดี่ยวที่ยื่นออกมานี้สามารถสร้างพันธะ
ทําหนาที่เชื่อมสายดีเอ็นเอที่ถูกตัดเขาดวยกัน ไฮโดรเจนกับอีกปลายเหนียวที่ถูกตัดด้วยเอนไซม์ตัดจ�าเพาะ
และขั้นตอนการสรางดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท ชนิดเดียวกันได้ การสร้างพันธะกับคู่จะเป็นแบบชั่วคราว ซึ่ง
8. ครูถามคําถามนักเรียนวา ต�าแหน่งตัดจ�าเพาะ จะท�าให้เกิดการเชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์ได้ด้วยเอนไซม์ DNA
• เอนไซม ตั ด จํ า เพาะและเอนไซม ดี เ อ็ น เอ ไลเกส ถ้าเอนไซม์ตัดจ�าเพาะตัดแล้วไม่ท�าให้เกิดนิวคลีโอไทด์
สายเดี่ยว จะเรียกว่า ปลำยทู่ (blunt end)
ไลเกสถู ก ใช ส ร า งดี เ อ็ น เอรี ค อมบิ แ นนท
อยางไร 2. DNA ไลเกส (DNA ligase enzyme) เป็นเอนไซม์
(แนวตอบ การสรางดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท ภาพที่ 6.2 ปลายทู่ ทีช่ ว่ ยในการเชือ่ มต่อสาย DNA เข้าด้วยกัน โดยเร่งปฏิกริ ยิ าการ
สร้างพันธะโคเวเลนต์ (covalent bond) ระหว่าง DNA 2 โมเลกุลให้เชือ่ มต่อกัน ซึง่ การตัดและเชือ่ ม
จะใช เ อนไซม ตั ด จํ า เพาะตั ด สายดี เ อ็ น เอ
ต่อสาย DNA นิยมใช้ในงานด้านอณูชวี วิทยาทีเ่ กีย่ วข้องกับ DNA รีคอมบิแนนท์ และการโคลนยีน
ของสิ่งมีชีวิต ทําใหไดสายดีเอ็นเอที่มีปลาย
แบบตางๆ แลวนําโมเลกุลดีเอ็นเอที่สนใจ
จากสิ่ ง มี ชี วิ ต อื่ น ที่ ถู ก ตั ด ด ว ยเอนไซม ตั ด การสร้าง DNA รีคอมบิแนนท์
จําเพาะชนิดเดียวกัน และมีปลายเหมือนกัน ต�าแหน่งตัดจ�าเพาะ DNA โมเลกุลอื่นที่ตัดด้วย EcoRI
มาเชือ่ มกับสายดีเอ็นเอทีถ่ กู ตัดดวยเอนไซม DNA GAATTC 1 A A TT C
ตัดด้วยเอนไ G
CTTAAG Eco G C TT A A
ตัดจําเพาะโดยอาศัยเอนไซมดเี อ็นเอไลเกส) R I
ซม
์
G A A TT C
อธิบายความรู C TTAA 2 G
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ 3 DNA รีคอมบิแนนท์
G AATT C G AATT C
เอนไซมตดั จําเพาะ และเอนไซมดเี อ็นเอไลเกส C TTAA G C TTAA G
2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ ภาพที่ 6.3 การสร้าง DNA รีคอมบิแนนท์
การสรางดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท 1. เมื่อมีการตัดสาย DNA ด้วยเอนไซม์ตัดจ�าเพาะ ซึ่งจะได้ปลายแบบต่าง ๆ ทั้งปลายทู่และปลายเหนียวขึ้นอยู่กับ
ชนิดของเอนไซม์ที่ใช้
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด 2. น�า DNA สายอืน่ ทีต่ อ้ งการเชือ่ มต่อ ซึง่ ต้องถูกตัดด้วยเอนไซม์ตดั จ�าเพาะชนิดเดียวกัน จึงจะได้ปลายทีเ่ หมือนกัน
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 3. เอนไซม์ DNA ไลเกสจะช่วยเชื่อมต่อ DNA ทั้ง 2 สาย ท�าให้เกิดสาย DNA รีคอมบิแนนท์ที่สมบูรณ์
78
T90
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร์
• การสังเกต
ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 4-5 คน ทํา
การสร้าง DNA รีคอมบิแนนท์ • การสร้างแบบจ�าลอง กิจกรรม การสราง DNA รีคอมบิแนนท เพื่อ
• การลงความเห็นจากข้อมูล
จิตวิทยำศำสตร์ จําลองขัน้ ตอนการสราง DNA รีคอมบิแนนท ทีใ่ ช
วัสดุอปุ กรณ์ • ความมีเหตุผล
• ความร่วมมือช่วยเหลือ
คุณสมบัติของเอนไซมตัดจําเพาะ และเอนไซม
1. กระดาษขาวและกระดาษสีแดง (หรือสีใดก็ได้) ดีเอ็นเอไลเกส
2. ปากกาหรือดินสอ อธิบายความรู
3. เทปใส
4. กรรไกร 1. ครูใหนักเรียนแตละกลุมออกมานําเสนอผล
การทํากิจกรรม การสราง DNA รีคอมบิแนนท
วิธปี ฏิบตั ิ 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายผลกิจกรรม
การสราง DNA รีคอมบิแนนท
GAAT T C GAAT T C
CTTAAG C T T AA G
ภาพที่ 6.4
1. เตรียมชิ้นส่วน DNA ที่ต้องการตัดต่อเข้ากับพลาสมิด โดยน�ากระดาษสีแดงมาตัดให้มีความกว้าง 3
เซนติเมตร ยาว 10 เซนติเมตร และเขียนล�าดับ DNA ลงบนกระดาษ ที่ต้องการตัดต่อเข้ากับพลาสมิด
ท�าไว้จ�านวน 10 ชิ้น
T AAGG G T G A A T T C T T A AT C C C GG G C C T
AT T C C C AC T T A A GAAT T A GG G C C C G G A
ภาพที่ 6.5
2. เตรียมพลาสมิดโดยการน�ากระดาษสีขาวมาตัดให้มีความกว้าง 3 เซนติเมตร และยาว 20 เซนติเมตร และ
เขียนล�าดับ DNA ลงบนกระดาษไว้ส�าหรับเป็นพลาสมิด ท�าไว้จ�านวน 10 ชิ้น
GGT GA A T T C T T A AT
C CAC T T AA G A A T T A
ภาพที่ 6.6
3. น�ากระดาษสีขาวที่เป็นพลาสมิดมาม้วนติดกันให้เป็นวงกลม โดยใช้เทปใสเชื่อมปลายแต่ละด้านเข้าด้วยกัน
จะได้วงพลาสมิดที่สมบูรณ์ทั้ง 10 ชิ้น
พันธุศาสตร์และ 79
เทคโนโลยีทาง DNA
T91
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา DNA รีคอมบิแนนท GAAT T C GAATTC
ที่สรางขึ้นจะถูกเพิ่มจํานวนเพื่อใหเพียงพอตอ CTTAAG C T T AA G
การนําไปประยุกตใชประโยชน เรียกการเพิ่ม ภาพที่ 6.7
4. ชิ้นส่วน DNA จะถูกตัดด้วยเอนไซม์ตัดจ�าเพาะ EcoRI ในบริเวณต�าแหน่งตัดจ�าเพาะ (ตารางที่ 6.1) โดย
จํานวนนี้วา การโคลน DNA และหากสาย ตัดตามเส้นปะ ส่วนของชิ้นส่วน DNA ที่เหลือให้ตัดทิ้ง ก็จะได้เป็นชิ้นส่วน DNA ที่พร้อมจะน�ามาต่อเข้า
DNA ดังกลาวเปนยีนจะเรียกวา การโคลนยีน กับพลาสมิดที่ถูกตัดด้วยเอนไซม์ตัดจ�าเพาะ ท�าเช่นนี้ทั้ง 10 ชิ้น
2. ครูใหนักเรียนศึกษาการโคลนยีนโดยอาศัย
พลาสมิดของแบคทีเรีย
GGT GA A T T C T T A AT
C CAC T T AA G A A T T A
ภาพที่ 6.8
5. น�ากระดาษสีขาวที่เป็นพลาสมิด มาตัดตรงต�าแหน่งที่เอนไซม์ตัดจ�าเพาะตรงต�าแหน่งเดียวกัน ซึ่งจะท�าให้
ได้พลาสมิดขาดออกจากกันกลายเป็นสาย ท�าเช่นนี้ทั้ง 10 ชิ้น
6. น�ากระดาษทั้ง 20 ชิ้นใส่ในถุงทึบ เขย่าให้กระจายทั่ว ๆ กัน แล้วหยิบกระดาษออกจากถุง ครั้งละ 2 ชิ้น
เป็นจ�านวน 10 ครั้ง
• ถ้าได้ชิ้นสีขาว 1 ชิ้นและสีแดง 1 ชิ้น ให้น�ากระดาษสีแดงซึ่งเป็นสาย DNA ที่ต้องการต่อเข้ากับ
พลาสมิดสีขาว มาเชื่อมกันเป็นวงด้วยเทปใส
• ถ้าได้ชิ้นสีขาว 2 ชิ้น ให้ต่อพลาสมิด (กระดาษสีขาว) ขดเป็นวงดังเดิมด้วยเทปใส
• ถ้าได้ชิ้นสีแดงสองชิ้น ให้ต่อชิ้นสีแดงเข้ากันด้วยเทปใส
?
ค�ำถำมท้ำยกิจกรรม
1. นักเรียนได้ DNA รีคอมบิแนนท์ ในรูปของพลาสมิดที่มี DNA ที่ต้องการแทรกอยู่ทั้งหมดกี่วง
2. นักเรียนได้พลาสมิดที่เหมือนเดิมกี่วง
3. นักเรียนได้ DNA ที่ไม่ใช้พลาสมิดกี่โมเลกุล
อภิปรายผลกิจกรรม
ขอสอบเนน การคิด
กําหนดอักษรตางๆ ตอไปนี้แทนขั้นตอนการทํา Recombinant DNA
A : ตัด DNA ที่มียีนที่ตองการดวยเอนไซมตัดจําเพาะ
B : เชื่อมตอ DNA กับ DNA พาหะ ที่ตัดดวยเอนไซมตัดจําเพาะ
C : แยก DNA ที่มียีนที่ตองการออกจากผูให
D : คัดเลือกเซลลแบคทีเรียที่มียีนที่ตองการ
E : นํา Recombinant DNA เขาสูเซลลแบคทีเรีย
ขอใดเรียงลําดับการทํา Recombinant DNA ไดถูกตอง
1. D C A B E 2. C A B E D
3. D E C B A 4. A B E D C
5. C E B A D
(วิเคราะหคาํ ตอบ การทํา Recombinant DNA เริม่ จากแยก DNA ทีม่ ยี นี ทีต่ อ งการออกจากผูใ ห แลวตัด DNA ทีม่ ยี นี ทีต่ อ งการ
ดวยเอนไซมตัดจําเพาะ นําไปเชื่อมตอกับ DNA ของพาหะที่ตัดดวยเอนไซมตัดจําเพาะชนิดเดียวกัน และนํา Recombinant
DNA ที่ไดใสเขาสูเซลลแบคทีเรีย แลวคัดเลือกเซลลแบคทีเรียที่มียีนที่ตองการเพื่อนําไปเพิ่มจํานวนตอไป ดังนั้น ตอบขอ 2.)
T92
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1.2 การโคลนดีเอ็นเอ 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
กำรโคลน DNA (DNA cloning) เป็นการเพิ่มจ�านวน DNA เนื่องจาก DNA รีคอมบิแนนท์ • เพราะเหตุใดจึงเลือกพลาสมิดของแบคทีเรีย
ที่ผ่านการตัดต่อมานั้นอาจไม่เพียงพอต่อการน�าไปประยุกต์ใช้ประโยชน์ จึงอาศัยการโคลน DNA เปนพาหะในการโคลนยีน
เพื่อเพิ่มจ�านวนให้เพียงพอต่อการน�าไปใช้ และหาก DNA บริเวณดังกล่าวเป็นยีน จะเรียกว่า (แนวตอบ พลาสมิดของแบคทีเรีย เปน DNA
กำรโคลนยีน (gene cloning) แบ่งออกเป็น 2 วิธี สายคู ที่ อ ยู น อกโครโมโซมของแบคที เ รี ย
1. กำรโคลนยีนโดยอำศัยพลำสมิดของแบคทีเรีย เป็นการเพิ่มปริมาณ DNA โดย ซึ่ ง พลาสมิ ด ของแบคที เ รี ย เป น ที่ นิ ย มใช
อาศัย DNA พาหะหรือเวกเตอร์ (vector) เช่น พลาสมิด (plasmid) ของแบคทีเรีย ซึ่งในแบคทีเรีย เนื่องจากมีจุดเริ่มตนของการจําลอง DNA
1 เซลล์ อาจมีพลาสมิดตั้งแต่ 1- 300 ชุด และเมื่อน�าแบคทีเรียไปเลี้ยงเพื่อเพิ่มจ�านวนเซลล์ มียนี ตานยาปฏิชวี นะ มีตาํ แหนงของเอนไซม
ชุดของพลาสมิดที่มีชิ้นส่วนของ DNA ที่ต้องการก็จะเพิ่มขึ้นด้วย ตัดจําเพาะหลายชนิดซึ่งเหมาะสมกับการ
โคลนยีน)
การโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรีย 4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การโคลนยีนโดย
เซลล์แบคทีเรีย
เซลล์ที่มียีนที่ต้องการ อาศั ย พลาสมิ ด ของแบคที เ รี ย เป น การเพิ่ ม
จํานวนโดยใชพลาสมิดเปนเวกเตอรในการเพิม่
โครโมโซม
DNA จํานวน โดยตัดตอยีนที่สนใจใหกับพลาสมิด
พลาสมิด DNA รีคอมบิแนนท์ ยีนที่ต้องการ
ของแบคทีเรีย แลวนําแบคทีเรียมาเพิม่ จํานวน
เซลล์แบคทีเรีย ซึ่ ง ยี น ที่ ผ า นการตั ด ต อ จะเพิ่ ม จํ า นวนตาม
การเพิ่มจํานวนของแบคทีเรีย
เพาะเลี้ยงแบคทีเรีย
ให้เพิ่มจ�านวน
T93
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาการโคลนยี น ในหลอด 2. กำรโคลนยีนในหลอดทดลองโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน (polymerase
ทดลองโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน chain reaction ; PCR) เป็นเทคนิคการเพิ่มชิ้นส่วน DNA ในหลอดทดลองโดยอาศัยเครื่อง
ที่สามารถควบคุมสภาวะตางๆ ในการเพิ่ม เทอร์มอลไซเคลอร์ (thermal cycler) ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิให้ปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว
จํานวนของยีนหรือดีเอ็นเอได รวมทั้งก�าหนดจ�านวนรอบและเวลาส�าหรับปฏิกิริยาในแต่ละขั้นตอนได้อย่างอัตโนมัติ
6. ครูถามคําถามนักเรียนวา การท�า PCR ต้องอาศัยองค์ประกอบ ดังนี้
• การโคลนยีนในหลอดทดลองโดยเทคนิค 1) DNA แม่แบบ เป็นชิ้นส่วนของ DNA ที่ต้องการโคลน
พอลิ เ มอเรสเชนรี แ อกชั น มี ก ระบวนการ 2) ไพรเมอร์ (primer) เป็น DNA สายสั้น ๆ ที่มีล�าดับเบสเป็นคู่สมกับ DNA แม่แบบ
อยางไร 3) นิวคลีโอไทด์ทั้ง 4 ชนิด ได้แก่ เบส A C G T
(แนวตอบ การโคลนยีนในหลอดทดลอง เริ่ม 4) เอนไซม์ DNA พอลิเมอเรส
จากการแยก DNA ออกเปนสายเดี่ยวเพื่อ องค์ประกอบทั้งหมดจะละลายอยู่ในสารละลายบัพเฟอร์เพื่อควบคุมให้เกิดภาวะที่
ใชเปนแมแบบ จากนั้นไพเมอรจะเขาจับกับ เหมาะสมต่อการเกิดปฏิกิริยา
DNA แมแบบเพื่อเริ่มการสังเคราะห โดย
DNA พอลิเมอรเรสจะนํานิวคลีโอไทดอิสระ
มาเขาคูกับนิวคลีโอไทดของสายแมแบบ การโคลนยีนโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน
เมื่อสิ้นสุดกระบวนการสังเคราะหจะไดยีน นิวคลีโอไทด์
ที่มีลักษณะเหมือนกันเพิ่มขึ้นมา) DNA แม่แบบ 5’ 3’ 5’ 3’
5’
3’ 5’
5’ 3’
11 2
2 3
3
3’ 5’
5’ 3’
3’ 5’
3’ 5’ 3’ 5’
ไพรเมอร์ ภาพที่ 6.10 การโคลนยีนโดยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน
1 การแยก DNA เป็นสายเดีย่ ว 2 การจับของไพรเมอร์กบั DNA 3 การสร้าง DNA สายใหม่
(denaturation) เป็นการแยก แม่ แ บบ (annealing of (primer extension) เป็นการ
สายคู่ของ DNA แม่แบบ primer) โดยลดอุ ณ หภู มิ สร้างสาย DNA สายใหม่ตอ่
เป็นสายเดีย่ วโดยใช้อณ
ุ หภูมิ เหลือประมาณ 50-55 องศา- จากไพรเมอร์ในทิศทาง 5′
ประมาณ 90-95 องศา- เซลเซียส เพื่อให้เกิดการจับ ไป 3′ โดยการท�างานของ
เซลเซียส ของไพรเมอร์ กั บ DNA เอนไซม์ DNA พอลิเมอเรส
แม่แบบด้วยพันธะไฮโดรเจน โดยใช้ อุ ณ หภู มิ ป ระมาณ
70-75 องศาเซลเซียส
82
การโคลนยีน
T94
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
เทคนิค PCR สามารถเพิ่มจ�านวน DNA ที่ต้องการจาก DNA แม่แบบที่มีปริมาณน้อยมาก 7. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ในเวลาอันรวดเร็ว เมื่อสิ้นสุดแต่ละรอบของปฏิกิริยา จ�านวนของชิ้นส่วนเป้าหมายจะเพิ่มจ�านวน • หากตองการยีนจํานวน 500 โมเลกุล จาก
เป็นสองเท่า ดังนั้น จ�านวนโมเลกุล DNA จะเท่ากับ 2n (n เท่ากับจ�านวนรอบของปฏิกิริยา) เช่น ยีนเริม่ ตนเพียงโมเลกุลเดียว จะตองกําหนด
การท�า PCR 4 รอบ จะได้ DNA ทั้งหมดเท่ากับ 24 หรือ 16 โมเลกุล จาก DNA เริ่มต้นเพียง รอบของการทํา PCR กี่รอบ
โมเลกุลเดียว (แนวตอบ 9 รอบ เพราะ 29 เทากับ 512 ซึ่ง
DNA แม่แบบ
DNA สายใหม่ จะเพียงพอตอจํานวนยีนที่ตองการ)
• การโคลนยี น โดยเทคนิ ค พอลิ เ มอเรส
PCR รอบที่ 1
DNA 2 โมเลกุล
เชนรีแอกชัน มีขอดีและขอเสียอยางไร
( แนวตอบ การโคลนยี น โดยเทคนิ ค พอลิ -
PCR รอบที่ 2 เมอเรสเชนรีแอกชันจะมีความรวดเร็วและ
DNA 4 โมเลกุล
จําเพาะสูง แตอาจเกิดความผิดพลาดใน
PCR รอบที่ 3 การโคลนปริมาณมาก เนื่องจากเอนไซมที่
DNA 8 โมเลกุล
ใชในปฏิกริ ยิ าอาจไมทาํ งาน และไมมสี มบัติ
PCR รอบที่ 4
DNA 16 โมเลกุล
การตรวจสอบความถูกตองของนิวคลีโอไทด
เหมื อ นกั บ ของแบคที เ รี ย ซึ่ ง อาจทํ า ให มี
ภาพที่ 6.11 ปริมาณ DNA หลังการเพิ่มจ�านวนด้วยเทคนิค PCR ในแต่ละรอบ
จํานวนชุด DNA ที่ถูกตองเพียงบางสวน)
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการท�า PCR จะมีความรวดเร็วและจ�าเพาะสูง แต่การเพิ่มจ�านวนโดย 8. ครูถามคําถามทาทายการคิดขั้นสูง (H.O.T.S.)
เทคนิค PCR ไม่สามารถแทนที่การโคลนยีนในเซลล์ได้เมื่อต้องการยีนในปริมาณมาก เนื่องจาก กับนักเรียน
ระหว่างการท�า PCR อาจมีความผิดพลาดได้ จึงท�าให้มีจ�านวนรอบจ�ากัดที่จะได้จ�านวนชุด DNA อธิบายความรู
เป้าหมายที่เพิ่มขึ้นอย่างถูกต้อง การประยุกต์ใช้จึงน�าเทคนิค PCR มาเพิ่มปริมาณชิ้นส่วน DNA
ที่จ�าเพาะเพื่อน�าไปใช้ในการโคลนต่อไป 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
H. O. T. S. โคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของแบคทีเรีย และ
เทคนิค PCR มีอิทธิพลอย่างมากกับงานวิจัยทางชีววิทยา คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
และพันธุวศิ วกรรม โดยถูกใช้เพือ่ เพิม่ ปริมาณ DNA จากตัวอย่าง เทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน
หากต้ อ งการ 2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เปรี ย บเที ย บข อ ดี /
ที่หลากหลาย ตั้งแต่วูลลีแมมมอธ (woolly mammoth) ที่ถูกแช่ เซลล์
โ ค เยืลอ่ บุนขา้ งแก้
ยี มน
แข็งอายุ 40,000 ป ลายพิมพ์ DNA จากหยดเลือดเพียงเล็กน้อย ปริ ม าณมาก ขอเสียของการโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดของ
เนือ้ เยือ่ หรือคราบอสุจทิ พี่ บในอาชญากรรม เซลล์ตวั อ่อนส�าหรับ จากยี น เริ่ ม ต้ น ปริ ม าณน้ อ ย แบคทีเรีย และเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน
การวินิจฉัยหาความผิดปกติทางพันธุกรรม เซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส มาก และมีเวลาจ�ากัด ควร 3. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การโคลนยีน
ซึง่ มีความยากในการตรวจพบ เช่น HIV (การตรวจ HIV โดยยีน เลือกการโคลนยีนด้วยวิธี ใด 4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
เพราะเหตุใด
ของไวรัสจะถูกเพิ่มจ�านวนขึ้น) เป็นต้น ชีววิทยา ม.4 เลม 2
พันธุศาสตร์และ 83
แนวตอบ H.O.T.S.
เทคโนโลยีทาง DNA
ควรเลือกใชเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน
เนื่องจากมีความจําเพาะสูง และมีความรวดเร็ว
T95
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การสราง DNA 1.3 การสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมโดยใช้ดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์
รีคอมบิแนนท และการโคลน DNA ถูกนํามา สิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรม (genetically modification organism; GMOs) หมายถึง สิง่ มีชวี ติ
ใชสรางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ที่มีองค์ประกอบทางพันธุกรรมถูกดัดแปลงโดยใช้เทคโนโลยีทาง DNA ซึ่งการสร้าง DNA
2. ครูใหนักเรียนศึกษา ขั้นตอนการสรางพืชดัด รีคอมบิแนนท์ถูกน�ามาประยุกต์ใช้ในการสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมทั้งในพืชและสัตว์ ดังนี้ิี
แปรพันธุกรรม และถามคําถามนักเรียนวา
• เพราะเหตุใดจึงใชพลาสมิด Ti จากแบคทีเรีย 1. กำรสร้ำงพืชดัดแปรพันธุกรรม เป็นการตัดต่อยีนที่สามารถแสดงออกลักษณะที่
A. tumefaciens เปนเวกเตอรในการแทรก ต้องการให้กับพืช เช่น ยีนต้านทานโรค ยีนต้านทานภัยแล้ง ยีนชะลอการสุก เป็นต้น โดยใช้
ยีนสูเซลลพืช พลำสมิด Ti จากแบคทีเรีย Agrobacterium tumefaciens ที่สามารถแทรกยีนหรือชิ้นส่วน DNA
(แนวตอบ เนื่องจากแบคทีเรียชนิดนี้สามารถ ทีม่ กี ารแสดงออกลักษณะทีต่ อ้ งการให้กบั โครโมโซมของเซลล์พชื ท�าให้พชื มีการแสดงออกลักษณะ
บุกรุกเขาสูเซลลพืช และสงผานพลาสมิด Ti ของยีนนั้น ๆ ซึ่งเรียกพืชเหล่านี้ว่า พืชดัดแปรพันธุกรรม (transgenic plant)
เขาสูโครโมโซมของเซลลพืชไดโดยตรง) 1
การสร้างพืชดัดแปรพันธุกรรม
3. ครูใหนักเรียนศึกษาขั้นตอนการสรางสัตวดัด
แปรพันธุกรรม และครูถามคําถามนักเรียนวา แบคทีเรีย A.tumefaciens Ti พลาสมิดรีคอมบิแนนท์
• เพราะเหตุใดการสรางสัตวดดั แปรพันธุกรรม 2
จึงมีกระบวนการที่แตกตางจากการสราง การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ
พืชดัดแปรพันธุกรรม 7
( แนวตอบ เนื่ อ งจากสั ต ว มี ค วามสามารถ พลาสมิด 1 6
ในการรับยีนจากภายนอกไดนอยกวาพืช
จึ ง ต อ งฉี ด ยี น ที่ ต อ งการเข า สู นิ ว เคลี ย ส 5
ของเซลลไข เพื่อใหยีนแทรกเขาสูจีโนมของ 3
นิวเคลียสโดยตรง) Ti พลาสมิดรีคอมบิแนนท์
4. ครูใหนักเรียนจับคูสืบคนขอมูล เรื่อง สิ่งมีชีวิต ยีนที่สนใจ 2 4 โครโมโซมของเซลล์พชื
T96
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
2. กำรสร้ำงสัตว์ดัดแปรพันธุกรรม เป็นการตัดต่อยีนที่สามารถแสดงออกลักษณะที่ ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะคู อ อกมานํ า เสนอการ
ต้องการให้กับสัตว์ เช่น หมูมีไขมันต�่า วัวผลิตน�้านมมากขึ้น เป็นต้น แต่การสร้างสัตว์ดัดแปร- สรางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ที่นักเรียนไดไป
พันธุกรรมจะมีลักษณะแตกต่างจากการสร้างพืชดัดแปรพันธุกรรม เนื่องจากสัตว์มีศักยภาพใน สืบคนมา
การรับยีนจากภายนอกได้นอ้ ยกว่าพืช จึงอาศัยการฉีดยีนทีต่ อ้ งการเข้าไปในนิวเคลียสของเซลล์ไข่ อธิบายความรู
เพื่อให้ยีนดังกล่าวแทรกเข้าสู่จีโนมของนิวเคลียสและแสดงออกตามต้องการได้ จากนั้นจึงท�า
การปฏิสนธิในหลอดทดลอง (in vitro fertilization) แล้วจึงถ่ายฝากเข้าเข้าสูต่ วั แม่ เพือ่ ให้เจริญเป็น 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ
ลูกตัวใหม่ที่มียีนที่ต้องการอยู่ ซึ่งเรียกสัตว์เหล่านี้ว่า สัตว์ดัดแปรพันธธุกรรม (transgenic animal) สรางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
การสร้างสัตว์ดัดแปรพันธุกรรม ชีววิทยา ม.4 เลม 2
- ขั้นตอนการสรางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมโดยใชดีเอ็นเอ
แบบประเมินรายงาน คาชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน
ระดับคะแนน ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
ระดับคะแนน 3 2 1
รีคอมบิแนนท
ลาดับที่ รายการประเมิน 1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน
4 3 2 1
1 ความถูกต้องของเนื้อหา 2 ความถูกต้องของเนื้อหา
2 ความสมบูรณ์ของรูปเล่ม 3 ภาษาที่ใช้เข้าใจง่าย
3 ความตรงต่อเวลา 4 ประโยชน์ที่ได้จากการนาเสนอ
T97
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน สิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรมมี 2. การประยุกต์ ใช้เทคโนโลยีทาง
ความรูเดิมของนักเรียน ประโยชนตอ มนุษยอยางไร ดีเอ็นเอ
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การสราง DNA
ปัจจุบนั เทคโนโลยีทาง DNA มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
รีคอมบิแนนท และสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม
อีกทั้งยังเข้ามามีบทบาทส�าคัญต่อการด�ารงชีวิตของมนุษย์
ถูกนํามาประยุกตใชประโยชนในหลายๆ ดาน มากขึ้น โดยการน�าเทคโนโลยีทาง DNA มาประยุกต์ใช้ในหลายด้าน ทั้งในเชิงการแพทย์และ
ทั้งการแพทยและเภสัชกรรม นิติวิทยาศาสตร เภสัชกรรม นิติวิทยาศาสตร์ การเกษตร สิ่งแวดล้อม และอุตสาหกรรม
การเกษตร สิ่งแวดลอม และอุตสาหกรรม
2.1 การประยุกต์ใช้ในเชิงการแพทย์
ขัน้ สอน การประยุกต์ใช้ในเชิงการแพทย์และเภสัชกรรม เป็นการใช้เทคโนโลยีทาง DNA ในการ
สํารวจคนหา วินิจฉัยโรค การรักษาโรค และผลิตยาหรือฮอร์โมนบางชนิด ดังนี้
1. ครูใหนกั เรียนศึกษาการประยุกตใชเทคโนโลยี 1. กำรวินิจฉัยโรค เช่1 น โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส โดยใช้ Biology
เทคนิค PCR ตรวจสอบจีโนมของไวรัสในสิ่งมีชีวิต หรือเทคนิค in real life
ทางดีเอ็นเอในเชิงการแพทย การวินิจฉัยโรค PCR ที่มีการออกแบบไพรเมอร์ให้จ�าเพาะกับยีนที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบันสามารถตรวจการติด
และการรักษาโรคดวยเทคนิคยีนบําบัด กับโรค โดยชิ้นส่วน DNA ที่ถูกเพิ่มจ�านวนขึ้นจะถูกน�ามา เชื้อ HIV ของทารกแรกเกิด
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา จากการตรวจ DNA ของเชื้อ
หาล�าดับนิวคลีโอไทด์เพื่อดูการกลายของยีนที่สัมพันธ์กับโรค ไวรัส HIV จากตัวอย่างเลือดใน
• เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอนํามาใชวินิจฉัยโรค ซึ่งท�าให้พบยีนที่ก่อให้เกิดโรคในมนุษย์แล้วหลายโรค เช่น กระดาษซับเลือดเด็กแรกคลอด
ไดอยางไร โรคโลหิตจางชนิดซิกเคิลเซลล์ โรคฮีโมฟเลีย โรคซิสติกไฟโบรซิส โดยอาศัยการตรวจด้วยเทคนิค
( แนวตอบ การตรวจสอบจี โ นมของไวรั ส โรคฮันติงตัน โรคกล้ามเนื้อลีบดูเชน เป็นต้น ความผิดปกติจาก HIV-PCR ซึ่งจะทราบผลเร็ว
หรือการออกแบบไพรเมอรที่เกี่ยวของกับ โรคเหล่านีส้ ามารถตรวจพบโรคได้กอ่ นทีจ่ ะมีการแสดงออกของ ท�าให้การรักษามีประสทธิภาพ
โรค เพือ่ ศึกษาถึงการกลายของยีนทีม่ คี วาม โรคหรือก่อนที่จะคลอด อีกทั้งยังสามารถใช้เพื่อวินิจฉัยกลุ่ม มากขึ ้น อีกทั้งยังสามารถหยุด
การแพร่เชื้อ HIV จากแม่สู่ลูก
สัมพันธกับโรคนั้นๆ)
อาการที่ไม่แสดงออกหรือเป็นพาหะในผู้ที่มีแอลลีลด้อยได้อีก ได้ด้วย
ด้วย
2. กำรบ�ำบัดด้วยยีน การท�างานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายถูกควบคุมด้วยการท�างาน
ของยีน ซึง่ หากมีความผิดปกติของยีนก็จะก่อให้เกิดความผิดปกติของร่างกายขึน้ ได้ ความผิดปกติ
ที่เกิดจากความบกพร่องของยีนสามารถรักษาได้ด้วยเทคนิคยีนบ�ำบัด (gene therapy) ซึ่งเป็นการ
น�ายีนปกติใส่เข้าไปในผู้ป่วยที่เป็นโรคหรือมีความผิดปกติเพื่อรักษาโรคหรือความผิดปกตินั้น ๆ
การท�ายีนบ�าบัดจะท�ากับเซลล์ที่มีความสามารถในการแบ่งตัวได้ตลอดชีวิตของผู้ป่วย เช่น เซลล์
แนวตอบ Prior Knowledge ไขกระดูก เซลล์ต้นก�าเนิดของเซลล์เม็ดเลือด และเซลล์ภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
เนื่ อ งจากสิ่ ง มี ชี วิ ต ดั ด แปรพั น ธุ ก รรมจะมี ตัวอย่างของโรคทีร่ กั ษาด้วยเทคนิคยีนบ�าบัด เช่น โรคภูมคิ มุ้ กันบกพร่องอย่างรุนแรง (severe
ลักษณะหรือคุณสมบัติตามที่ตองการ จึงมีการนํา combined immunodeficiency; SCID) ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้จะไม่
มาประยุกตใชประโยชนในหลายๆ ดาน เชน ดาน สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ และมักจะเสียชีวิตเมื่อมีการติดเชื้อ เป็นต้น
การแพทยเพื่อสรางสารหรือฮอรโมนบางชนิดที่ใช 86
รักษาโรค ดานการเกษตรเพื่อเพิ่มผลผลิตของพืช
และสัตวตางๆ เปนตน
T98
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
หลักการทํายีนบําบัด • การบําบัดดวยยีนจะใชรกั ษาโรคทีม่ ลี กั ษณะ
อยางไร
1 เก็ บ เกี่ ย วเซลล์ จ ากผู ้ ป ่ ว ย (แนวตอบ การบําบัดดวยยีนจะใชรกั ษาโรคที่
น�ามาเลี้ยงเพื่อเพิ่มจ�านวน
ของเซลล์ เกิดจากความผิดปกติของยีน โดยการแทรก
ยีนปกติเขาไปแทนยีนที่บกพรอง เพื่อใหยีน
2 เตรี ย มพาหะที่ ท� า หน้ า ที่
กลับมาทํางานไดอยางปกติ)
1 น� า ยี น ปกติ เ ข้ า สู ่ ร ่ า งกาย
เซลล์จากผู้ป่วย ของผู้ป่วย เช่น รีโทรไวรัส • การทํายีนบําบัดควรทํากับเซลลรา งกายหรือ
เป็นต้น เซลลสืบพันธุมากกวากัน เพราะเหตุใด
3 ใส่ยนี ทีท่ า� งานปกติแทรกเข้า (แนวตอบ การทํายีนบําบัดสามารถทําไดทั้ง
ไปในสารพั น ธุ ก รรมของ ในเซลลรางกาย หรือเซลลสืบพันธุ แตมี
7 พาหะ ความแตกตางกัน เนื่องจากหากเปนการทํา
4 4 น�าพาหะทีป่ ระกอบด้วยยีนที่ ในเซลลรางกายจะเปนการรักษาโรคเฉพาะ
6 ท�างานปกติมาเลี้ยงร่วมกับ บุคคลเทานั้น แตหากทําในเซลลสืบพันธุ
เซลล์ของผู้ป่วย จะสามารถถายทอดยีนนัน้ ไปยังรุน ลูกหลาน
5 ยีนปกติทอี่ ยูใ่ นสารพันธุกรรม ได)
3 ของพาหะจะแทรกเข้ า สู ่ 4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การประยุกตใช
โครโมโซมของผู้ป่วย เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในเชิงการแพทย พบทั้ง
5
6 น� า เซลล์ ที่ ป ระกอบด้ ว ย การนํามาใชในการวินิจฉัยโรคเพื่อตรวจสอบ
รีโทรไวรัส
ยีนที่ท�าหน้าที่ปกติฉีดเข้า จีโนมของไวรัส หรือการออกแบบไพรเมอรให
ยีนปกติ ร่างกายของผู้ป่วย จําเพาะกับยีนทีเ่ กีย่ วของกับโรค และรักษาโรค
2 7 ยีนที่แทรกเข้าสู่ร่างกายของ ดวยเทคนิคยีนบําบัด โดยการแทรกยีนปกติเขา
ผูป้ ว่ ยจะสร้างโปรตีนทีท่ า� งาน สูส ารพันธุกรรมของเวกเตอรเพือ่ ใหเวกเตอรนาํ
ปกติให้แก่ร่างกายได้ ยีนปกติเขาไปแทนทีย่ นี ทีผ่ ดิ ปกติของผูป ว ยได
ภาพที่ 6.14 หลักการท�ายีนบ�าบัด
อย่างไรก็ตาม การท�ายีนบ�าบัดยังมีหลายประเด็นที่น่าสนใจ เช่น การควบคุมการแสดงออก
ของยีนที่ใส่เข้าไป การแสดงออกของยีนเพียงพอกับความต้องการและแสดงออกในต�าแหน่งที่
ต้องการหรือไม่ ความปลอดภัยต่อเซลล์ของผู้ป่วย เป็นต้น นอกจากนี้การท�ายีนบ�าบัดยังน�ามา
ซึง่ ปัญหาด้านจริยธรรม เนือ่ งจากบางกลุม่ เชือ่ ว่าการดัดแปลงยีนในมนุษย์ถอื เป็นเรือ่ งผิดจริยธรรม
รวมถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับวิวัฒนาการของมนุษย์อีกด้วย
พันธุศาสตร์และ 87
เทคโนโลยีทาง DNA
T99
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. ครูใหนักเรียนศึกษาการประยุกตใชในเชิงการ 3. กำรสร้ำงผลิตภัณฑ์ทำงเภสัชกรรม เป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทาง DNA เพื่อ
แพทย ในการสรางผลิตภัณฑทางเภสัชกรรม พัฒนาและสร้างผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการผลิตโปรตีน เช่น การผลิตฮอร์โมน
6. ครูถามคําถามนักเรียนวา อินซูลินส�าหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน การผลิตโกรทฮอร์โมนส�าหรับเด็กที่มีลักษณะแคระแกร็น
• การสรางผลิตภัณฑทางเภสัชกรรม เชน เนื่องจากขาดโกรทฮอร์โมน เป็นต้น
ฮอรโมนอินซูลิน ใชหลักการอยางไร
( แนวตอบ การสร า งฮอร โ มนอิ น ซู ลิ น ใช การผลิตฮอร์โมนอินซูลินในเซลล์แบคทีเรีย
หลักการเดียวกับการสรางสิ่งมีชีวิตดัดแปร 1 แยกยี น ที่ ส ร้ า งฮอร์ โ มน
พันธุกรรม โดยตัดตอยีนสรางอินซูลินเขา อิ น ซู ลิ น โดยใช้ เ อนไซม์ ฮอร์โมนอินซูลิน
สูเซลลแบคทีเรีย ทําใหแบคทีเรียสามารถ ตัดจ�าเพาะ 1
ยีนสร้างฮอร์โมนอินซูลิน
สรางอินซูลินได เมื่อนําแบคทีเรียไปเพิ่ม 2 แยกพลาสมิดออกจากเซลล์ DNA รีคอมบิแนนท์ 4
จํานวนจะทําใหมีการสรางฮอรโมนอินซูลิน แบคที เ รี ย และตั ด ชิ้ น ส่ ว น
5
DNA โดยใช้ เ อนไซม์ ตั ด 3
ในปริมาณมากได) จ�าเพาะ
7. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การประยุกตใช พลาสมิดของแบคทีเรีย
ในเชิงการแพทยในการสรางผลิตภัณฑทาง 3 ตั ด ต่ อ ยี น ที่ ส ร้ า งฮอร์ โ มน
อิ น ซู ลิ น ให้ กั บ พลาสมิ ด 2
เภสัชกรรมจะใชการการสรางสิง่ มีชวี ติ ดัดแปร DNA ได้เป็น DNA รีคอม- 6
พันธุกรรมทีส่ ามารถผลิตยาหรือฮอรโมนตางๆ บิแนนท์
ได ซึง่ เมือ่ นําไปเพิม่ จํานวนจะทําใหมกี ารผลิต ภาพที่ 6.15 การผลิตฮอร์โมนอินซูลินในเซลล์แบคทีเรีย
4 ใส่ DNA รี ค อมบิ แ นนท์
ในปริมาณมากได เข้ า ไปในเซลล์ แ บคที เ รี ย 5 น�าแบคทีเรียทีม่ ี DNA รีคอม- 6 แยกฮอร์โมนอินซูลิน และ
เพื่อให้มีแสดงออกของยีน บิ แ นนท์ ไ ปเพิ่ ม จ� า นวน ท� า ให้ บ ริ สุ ท ธิ์ เ พื่ อ น� า ไปใช้
อธิบายความรู โดยแบคทีเรียทีป่ ระกอบด้วย เพื่อให้มีการสร้างฮอร์โมน งานต่อไป
DNA รีคอมบิแนนท์จะสร้าง อินซูลินในปริมาณมาก
1. ครู ใหและนั กเรี ยนร วมกั นอภิ ปรายเกี่ ยวกับ ฮอร์โมนอินซูลินได้
การประยุกตใชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในเชิง
การแพทย เทคโนโลยีทาง DNA ยังสามารถประยุกต์ใช้เพือ่ ผลิตยาบางชนิด โดยการสังเคราะห์โมเลกุล
ขนาดเล็กส�าหรับการใช้เป็นยา เช่น ยา imatinib (ชื่อทางการค้าคือ Gleevec) เป็นยาที่สามารถ
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด ยับยั้งตัวรับไทโรซีนไคเนสอย่างจ�าเพาะ ซึ่งสามารถป้องกันการเกิดทรานสโลเคชันของโครโมโซม
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 ที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมัยอีโลจีนัสชนิดเรื้อรัง (chronic myelogenous leukemia;
CML) เป็นต้น รวมทัง้ น�ามาประยุกต์ใช้ในการผลิตวัคซีน ซึง่ แต่เดิมจะใช้ไวรัสทีถ่ กู ท�าให้ไม่สามารถ
ก่อโรคหรือสายพันธุ์ไม่ก่อโรคมาฉีดให้กับคนเพื่อกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน แต่เมื่อทราบชนิดของ
โปรตีนบนผิวของไวรัสที่เป็นตัวกระตุ้นภูมิคุ้มกันแล้วก็สามารถใช้วิธีทางพันธุวิศวกรรมมาตัดต่อ
เฉพาะยีนที่เป็นต้นแบบในการสร้างโปรตีนชนิดนั้น แล้วใช้โปรตีนดังกล่าวเป็นแอนติเจนในการ
กระตุ้นภูมิคุ้มกันแทนการใช้ไวรัส ท�าให้มีความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น
88
T100
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
2.2 การประยุกต์ใช้ในเชิงนิติวิทยาศาสตร์ 1. ครูใหนกั เรียนศึกษาการประยุกตใชเทคโนโลยี
การประยุกต์ใช้ในเชิงนิตวิ ทิ ยาศาสตร์ เป็นการใช้เทคโนโลยี ทางดีเอ็นเอในเชิงนิติวิทยาศาสตร
ทาง DNA เพื่อตรวจสอบลายพิมพ์ดีเอ็นเอ (DNA fingerprint) 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ในการพิสจู น์ตวั บุคคลในกรณีตา่ ง ๆ เช่น การตรวจหาผูก้ ระท�าผิด • ลายพิมพ DNA ใชพสิ จู นตวั บุคคลไดอยางไร
ในคดีอาญชญากรรม การตรวจสอบความสัมพันธ์ทางสายเลือด (แนวตอบ เนือ่ งจากลายพิมพ DNA ของแตละ
เป็นต้น เนื่องจากล�าดับดีเอ็นเอของแต่ละบุคคลจะมีลักษณะ บุคคลจะมีลกั ษณะเฉพาะ ซึง่ มีลาํ ดับดีเอ็นเอ
เฉพาะ1 จึงมีล�าดับดีเอ็นเอที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล (ยกเว้น ที่แตกตางกันในแตละบุคคล ทําใหสามารถ
แฝดแท้) ซึ่งการตรวจลายพิมพ์ดีเอ็นเอจะใช้การเปรียบเทียบ ใชลายพิมพ DNA ในการพิสูจนตัวบุคคล)
ล�าดับนิวคลีโอไทด์ที่ต�าแหน่งต่าง ๆ บนสายดีเอ็นเอ ซึ่งแต่ละ 3. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา เนือ่ งจากลายพิมพ
บุ ค คลไม่ มี โ อกาสที่ ล� า ดั บ นิ ว คลี โ อไทด์ ทุ ก ต� า แหน่ ง บนสาย ภาพที่ 6.16 ดีเอ็นเอจากเลือด ดีเอ็นเอของแตละบุคลจะมีลักษณะที่แตกตาง
ดีเอ็นเอจะตรงกัน จึงสามารถใช้ลายพิมพ์ดเี อ็นเอในการตรวจสอบ เป็ผู้กนระท�หลัากผิฐานส� าคัญในการระบุตัว
ดในคดีอาญชญากรรม กั น จึ ง สามารถใช ก ารตรวจสอบลายพิ ม พ
เอกลัก2ษณ์ของแต่ละบุคคลได้ โดยใช้วธิ กี ารต่าง ๆ เช่น PCR และ ดีเอ็นเอในการพิสจู นตวั บุคคลในกรณีตา งๆ ได
RFLP เป็นต้น ซึง่ วิธกี ารเหล่านีต้ อ้ งการปริมาณของตัวอย่างน้อย เช น ผู ก ระทํ า ความผิ ด ในคดี อ าชญากรรม
มาก เพียงแค่ 1,000 เซลล์ก็เพียงพอแล้ว ผู้ต้อง ผู้ต้อง ผู้ต้อง
ความสัมพันธทางสายเลือด
สงสัย สงสัย สงสัย
ตัวอย่างเช่น การตรวจสอบลายพิมพ์ คนร้าย คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 4. ครูใหนกั เรียนดูภาพ การเปรียบเทียบลายพิมพ
ดีเอ็นเอจากเหตุการณ์อาชญากรรมหนึ่ง ซึ่งมี
ดีเอ็นเอของคนรายกับผูตองสงสัยทั้ง 3 คน
ผูต้ อ้ งสงสัยทีก่ ระท�าความผิดจ�านวน 3 คน จาก
และถามนักเรียนวา
การเปรียบเทียบลายพิมพ์ดีเอ็นเอที่เก็บได้จาก
ที่เกิดเหตุกับผู้ต้องสงสัยที่กระท�าความผิดทั้ง • เพราะเหตุใดผูตองสงสัยคนที่ 2 จึงเปน
3 ราย พบว่า ลายพิมพ์ดีเอ็นเอที่เก็บได้จากที่ ผูกระทําความผิดในคดีอาชญากรรมนี้
เกิดเหตุเหมือนกับลายพิมพ์ดีเอ็นเอของผู้ต้อง (แนวตอบ ผูตองสงสัยคนที่ 2 มีลายพิมพ
สงสัยรายที่ 2 ดังนั้น ผู้ต้องสงสัยรายที่ 2 คือ ดี เ อ็ น เอเหมื อ นกั บ ลายพิ ม พ ดี เ อ็ น เอของ
ผู้กระท�าความผิดในคดีอาชญากรรมนี้ ภาพที่ 6.17 การเปรียบเทียบลายพิมพ์ดีเอ็นเอ คนราย ดังนั้น ผูตองสงสัยคนที่ 2 เปน
จากที่เกิดเหตุกับผู้ต้องสงสัยจ�านวน 3 ราย ผูกระทําความคิดในคดีอาชญากรรมนี้)
B iology
Focus การตรวจลายพิมพ์ DNA บริเวณช็อทแทนเดมรีพีท
ช็อทแทนเดมรีพที (short tandem repeat, STRs) เป็นส่วนของ DNA ทีม่ กี ารเรียงซ�า้ ต่อ ๆ กัน
โดยจ�านวนหน่วยทีซ่ า�้ มี 2-5 นิวคลีโอไทด์ในส่วนทีจ่ า� เพาะของจีโนม ซึง่ เป็นบริเวณทีม่ คี วามหลากหลาย
สูงและจะได้รับถ่ายทอดจากพ่อแม่ไปสู่ลูก และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะบุคคล ซึ่งการตรวจลายพิมพ์
DNA บริเวณนี้จะใช้เทคนิค PCR เพิ่มปริมาณนิวคลีโอไทด์ที่มีความจ�าเพาะ โดยใช้ไพรเมอร์ที่เชื่อม
กับสีฟลูออเรสเซนต์ จากนั้นน�ามาท�าเจลอิเล็กโทรโฟริซีส ซึ่งช่วยให้เพิ่มปริมาณ DNA ในบริเวณนี้ได้
แม้ไม่สมบูรณ์หรือมีปริมาณน้อย
พันธุศาสตร์และ 89
เทคโนโลยีทาง DNA
T101
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร์
5. ครูใหนักเรียนทํากิจกรรม วิเคราะหลายพิมพ • การลงความเห็นจากข้อมูล
T102
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
2.3 การประยุกต์ใช้ในเชิงการเกษตร 1. ครูใหนกั เรียนศึกษาการประยุกตใชเทคโนโลยี
การประยุกต์ใช้ในเชิงการเกษตร เป็นการใช้เทคโนโลยีทาง DNA ในการสร้างสิ่งมีชีวิต ทางดีเอ็นเอในเชิงการเกษตร
ดัดแปรพันธุกรรม เพือ่ ปรับปรุงพันธุใ์ ห้มลี กั ษณะหรือคุณสมบัตทิ ดี่ ขี นึ้ ซึง่ การดัดแปรพันธุกรรมใน 2. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า การประยุ ก ต
พืชจะท�าได้งา่ ยกว่าในสัตว์ เนือ่ งจากพืชมีศกั ยภาพในการรับยีนจากภายนอกและสามารถสร้างพืช ใช เ ทคโนโลยี ท างดี เ อ็ น เอในเชิ ง การเกษตร
ขึน้ ใหม่จากเซลล์ เนือ้ เยือ่ หรือส่วนต่าง ๆ ของพืชได้งา่ ยกว่า ตัวอย่างพืชดัดแปรพันธุกรรมมี ดังนี้ โดยการสรางสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมที่มี
- พืชดัดแปรพันธุกรรมที่มีควำมสำมำรถในกำรต้ำนทำนแมลง โดยการถ่ายยีนที่สามารถ ลักษณะหรือคุณสมบัติที่ดีขึ้น เชน ขาวโพด
สร้างสารพิษจากแบคทีเรีย Bacillus thuringiensis หรือ BT ซึง่ สามารถท�าลายตัวอ่อนของแมลง ที่สามารถตานทานแมลงศัตรูพืชได ขาวที่
บางประเภทอย่างเฉพาะเจาะจง โดยไม่เป็นอันตรายต่อสิง่ มีชวี ติ อืน่ ๆ และเมือ่ น�ายีนทีส่ ร้างสารพิษ สามารถผลิตวิตามินเอได มะเขือเทศที่ชะลอ
ไปใส่ในพืช เช่น ฝ้าย ข้าวโพด มันฝรั่ง ยาสูบ มะเขือเทศ ท�าให้พืชเหล่านี้สามารถผลิตสารท�าลาย การสุก หมูมีไขมันตํ่าและเนื้อเพิ่มขึ้น
หนอนที่มากัดกิน ซึ่งเป็นการลดการใช้สารเคมีและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร 3. ครูใหนกั เรียนศึกษาการประยุกตใชเทคโนโลยี
- พื1ชดัดแปรพันธุกรรมที่มีคุณค่ำทำงอำหำรเพิ่มขึ้น เช่น ทางดี เ อ็ น เอในเชิ ง สิ่ ง แวดล อ ม และในเชิ ง
ข้าวสีทอง (golden rice) เป็นข้าวที่สามารถสร้างวิตามินเอได้ อุตสาหกรรม
โดยการตัดต่อยีนจากต้นแดฟโฟดิล (daffodil) ทีม่ คี วามสามารถ 4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การประยุกตใช
ในการสร้างวิตามินเอเข้าไปในข้าว เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในเชิงสิ่งแวดลอม โดย
- พืชดัดแปรพันธุกรรมทีส่ ำมำรถต้ำนทำนสำรปรำบวัชพืช การสรางสิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรมทีส่ ามารถ
โดยการน�ายีนที่ต้านทานสารปราบวัชพืชเข้าไปในพืช เช่น ฝ้าย ยอยสลายสารเคมีตกคางในธรรมชาติได สวน
ถั่วเหลือง ข้าวโพด ท�าให้สารปราบวัชพืชไม่มีผลต่อพืชเหล่านี้ ในเชิงอุตสาหกรรมจะเปนการสรางสิ่งมีชีวิต
ภาพที่ 6.20 ข้าวสีทองจากการดัดแปร
- พืชดัดแปรพันธุกรรมทีต่ ำ้ นทำนต่อโรค เช่น การถ่ายยีน พันธุกรรมให้สามารถสร้างวิตามินเอ ดัดแปรพันธุกรรมทีถ่ กู ใชในอุตสาหกรรมตางๆ
สร้างโปรตีนเปลือกไวรัส (coat virus protein gene) เข้าสู่เซลล์ ซึ่งจะทําใหมีการผลิตในปริมาณมากและใน
Biology
ของมะละกอ แล้วชักน�าให้มะละกอสร้างโปรตีนดังกล่าว ท�าให้ in real life เวลาอันรวดเร็ว
สามารถต้านทานเชือ้ ไวรัสทีเ่ ป็นสาเหตุของโรคใบด่างจุดวงแหวน เอทิลนี 2(ethylene) เป็นฮอร์โมน
- พืชดัดแปรพันธุกรรมเพื่อยืดอำยุของผลผลิต โดยการ พืชที่สร้างขึ้นจากผลไม้ในช่วง
น�ายีนที่มีผลยับยั้งการสร้างเอนไซม์เอทิลีน ซึ่งเป็นเอนไซม์ ใกล้สุก และมีผลกระตุ้นการสุก
เร่งการสุกใส่เข้าไปในพืช เช่น มะเขือเทศ ท�าให้สามารถเก็บ ของผลไม้ จึงมีการน�ามาใช้บ่ม
ผลไม้ให้สกุ เร็วขึน้ โดยน�าผลไม้
รักษาได้นานและขนส่งในระยะทางไกลได้ มาบ่มรวมกันในภาชนะปิดที่มี
ส�าหรับการดัดแปรพันธุกรรมในสัตว์ ส่วนใหญ่จะถูกใช้ อากาศถ่ายเทได้นอ้ ย ซึง่ สภาวะ
เพื่อปรับปรุงผลผลิตให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น ทั้งด้านปริมาณและ นี้ท�าให้ภายในภาชนะมีเอทิลีน
คุณภาพ เช่น หมูมีไขมันต�่าและเนื้อเพิ่มขึ้น วัวผลิตน�้านมเร็ว เป็นจ�านวนมาก และช่วยเร่งให้
ผลไม้สุกได้เร็วขึ้น
และมากขึ้น เป็นต้น
พันธุศาสตร์และ 91
เทคโนโลยีทาง DNA
T103
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. ครู ใ ห นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม ออกเป น 2 กลุ ม 2.4 การประยุกต์ ใช้ในเชิงสิ่งแวดล้อม
เพื่อโตวาทีในหัวขอ ขอดี/ขอเสียของการใช การประยุกต์ใช้ในเชิงสิ่งแวดล้อม เป็นการใช้เทคโนโลยีทาง DNA เพื่อสร้างจุลินทรีย์หรือ
เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ ดังนี้ พืชที่มีความสามารถในการย่อยสลายสารพิษที่ปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม เนื่องจากปัจจุบันมีการใช้
กลุมที่ 1 ขอดีของการใชเทคโนโลยีทาง สารเคมีเพื่อควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืชในการเกษตรจ�านวนมาก ซึ่งท�าให้เกิดสารพิษตกค้าง
ดีเอ็นเอ ทั้งในผลผลิตและสิ่งแวดล้อม แต่ในธรรมชาติมีจุลินทรีย์บางชนิดที่สามารถปรับตัวให้ทนต่อ
กลุมที่ 2 ขอเสียของการใชเทคโนโลยีทาง สารเคมี และสามารถใช้สารเคมีที่ตกค้างเหล่านั้นเป็นแหล่งอาหารและพลังงานได้ เช่น แบคทีเรีย
ดีเอ็นเอ Pseudomonas sp. ที่สามารถย่อยสารอาทราซีนซึ่งเป็นสารก�าจัดวัชพืชชนิดหนึ่งให้เป็นแก๊ส
ใหนักเรียนรวมกันสืบคนขอมูลเพื่อใชในการ คาร์บอนไดออกไซด์กับแอมโมเนียได้ จึงมีการศึกษาเรื่องยีนและเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อย
โตวาทีในชั่วโมงตอไป สารพิษชนิดนี้ เพื่อน�าไปปรับแต่งและถ่ายโอนให้แก่พืชหรือจุลินทรีย์อื่น ๆ และใช้ในการบ�าบัดดิน
6. ครูใหนักเรียนแบงกลุม กลุมละ 5 คน ทํา หรือแหล่งปนเปื้อนสารอาทราซีนต่อไป เป็นต้น
กิ จ กรรม สิ่ ง มี ชี วิ ต ดั ด แปรพั น ธุ ก รรม โดย นอกจากนัน้ การสร้างพืชดัดแปรพันธุกรรมทีส่ ามารถต้านทานโรคและแมลงศัตรูพชื ยังเป็น
สื บ ค น และรวบรวมข อ มู ล เกี่ ย วกั บ สิ่ ง มี ชี วิ ต ผลประโยชน์ทางอ้อมต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย เนื่องจากพืชที่ได้รับการถ่ายฝากยีนเหล่านี้ ท�าให้มี
ดัดแปรพันธุกรรมในประเด็นทีก่ าํ หนดให จัดทํา การลดการใช้สารเคมีต่าง ๆ ในการเกษตร จึงก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในสิ่งแวดล้อมลดลงด้วย
รายงาน และปายนิเทศเพื่อนําเสนอในชั่วโมง 2.5 การประยุกต์ใช้ในเชิงอุตสาหกรรม
สุดทาย การประยุกต์ใช้ในเชิงอุตสาหกรรม เป็นการใช้เทคโนโลยี
อธิบายความรู ทาง DNA ในการพัฒนาผลผลิตที่เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับการ ต่าง ๆ เช่น การดัดแปรพันธุกรรมของมันฝรั่งสายพันธุ์หนึ่งที่มี
ประยุ ก ต ใ ช เ ทคโนโลยี ท างดี เ อ็ น เอในเชิ ง ชื่อว่า Amflora
1 ของบริษัท BASF เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
การเกษตร เชิงสิง่ แวดลอม และเชิงอุตสาหกรรม ของแป้งในมันฝรัง่ โดยปกติแป้งในมันฝรัง่ มีโครงสร้างเป็นโซ่ตรง
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด ผสมกับโซ่กิ่ง แต่มันฝรั่งที่ถูดดัดแปรพันธุกรรมจะมีโครงสร้างที่
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 ภาพที่ 6.21 มันฝรั่ง Amflora ที่ถูก เป็นโซ่กิ่งเกือบทั้งหมด โดยมันฝรั่งดัดแปรพันธุกรรมนี้จะถูกน�า
ดัดแปรพันธุกรรมให้มโี ครงสร้างของ ไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมผลิตกระดาษ และอุตสาหกรรม
แป้งเป็นโซ่กงิ่ เพือ่ ใช้ในอุตสาหกรรม
กระดาษและกาว ผลิตกาว เป็นต้น
นอกจากนั้น การดัดแปรพันธุกรรมของจุลินทรีย์เพื่อใช้ผลิตยาหรือฮอร์โมนบางชนิดที่ใช้ใน
ทางการแพทย์ เช่น ฮอร์โมนอินซูลิน โกรทฮอร์โมน ก็ถูกน�ามาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมเพื่อให้
มีการผลิตในปริมาณมากและรวดเร็วขึ้น หรือการสร้างสัตว์เป็นเสมือนโรงงานผลิตเพื่อสกัดสาร
ต่าง ๆ และน�าไปใช้ 2 ในทางการแพทย์ เช่น การถ่ายยีนสร้างโปรตีนแอนติธรอมบินซึ่งป้องกัน
การเกิดลิ่มเลือดในมนุษย์ เพื่อให้มีการสร้างและหลั่งออกมาพร้อมกับน�้านมของแพะ เป็นต้น
92
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีทาง DNA จะมีประโยชน์ในหลายด้าน แต่ยังมีความกังวลด้านความ 1. ครูใหนักเรียนทั้ง 2 กลุม รวมโตวาทีในหัวขอ
ปลอดภัยทางชีวภาพ เนื่องจากเทคโนโลยีทาง DNA เป็นการปรับแต่งพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ซึ่ง ขอดี/ขอเสียของการใชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
อาจท�าให้เกิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ที่อาจมีผลเสียต่าง ๆ ตามมา จึงมีความกังวลด้านต่าง ๆ ดังนี้ โดยใชขอมูลจากที่สืบคนมา
- ความปลอดภัยของสิ่งมีชีวิตที่มียีนของสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาจไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ เช่น 2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมอาจกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ เป็นต้น • จากการโตวาที นักเรียนคิดวาเทคโนโลยีทาง
- การเป็นพาหะของเชื้อโรคหรือสารพิษ เนื่องจากยีนจากไวรัสที่ใช้ในการสร้างสิ่งมีชีวิต ดีเอ็นเอมีขอดีหรือขอเสีย อยางไร
ดัดแปรพันธุกรรมอาจเป็นอันตรายต่อผู้รับได้ (แนวตอบ คําตอบขึ้นอยูกับดุลยพินิจของ
- การดือ้ ยาของเชือ้ โรค เนือ่ งจากการสร้างสิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรมอาจเกิดความผิดพลาด ครูผูสอน
และท�าให้เกิดเชื้อก่อโรคสายพันธุ์ใหม่ที่ร้ายแรงและดื้อยาปฏิชีวนะ ท�าให้ยากต่อการรักษา - ขอดีของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ เชน การ
- ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง เนื่องจากพืชที่ผ่านการดัดแปรพันธุกรรมที่ต้านทานต่อสารฆ่าแมลง ประยุกตใชทางการแพทยและเภสัชกรรม
ซึ่งช่วยให้ผลผลิตมีคุณภาพที่ดีขึ้น แต่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการตกค้างของสารเคมี ซึ่งอาจน�ามา เพือ่ การรักษาโรค การผลิตยาหรือฮอรโมน
สู่การเกิดโรคมะเร็งในผู้ที่บริโภคได้เช่นกัน การประยุกตใชทางการเกษตรเพื่อการ
- การรับโภชนาการเกินปริมาณ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการดัดแปรพันธุกรรมอาจท�าให้ สรางสิ่งมีชีวิตที่มีคุณสมบัติหรือลักษณะ
ผู้บริโภคได้รับสารอาหารมากกว่าอาหารที่ได้จากธรรมชาติทั่วไป และอาจมากเกินไปจนก่อให้เกิด ตามตองการ และการประยุกตใชทาง
โทษต่อร่างกาย โดยเฉพาะเด็กทารกที่อาจเป็นอันตรายได้
1 นิติวิทยาศาสตรเพื่อการตรวจสอบความ
- ผลกระทบต่อสิง่ แวดล้อมทีม่ ผี ลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เนือ่ งจากอาจมีสายพันธุ์ สัมพันธทางสายเลือด และผูรายในคดี
ใหม่ที่สามารถปรับตัวได้ดีกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมในธรรมชาติ ท�าให้สายพันธุ์ดังเดิมสูญพันธุ์ไป ตางๆ เปนตน
- การถ่ายยีนจากสิง่ มีชวี ติ หนึง่ สูส่ งิ่ มีชวี ติ ข้างเคียง เช่น การถ่ายยีนต้านทานโรคหรือต้านทาน - ขอเสียของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ เชน
แมลงไปยังวัชพืชใกล้เคียง อาจท�าให้เกิดวัชพืชที่มีความแข็งแรงจนยากต่อการควบคุม เป็นต้น การเกิดสิ่งมีชีวิตสายพันธุใหมที่อาจเปน
จากผลเสียที่อาจเกิดขึ้น จึงมีมาตรการป้องกันต่าง ๆ ดังนี้ พาหะของสารพิษ ดื้อยาปฏิชีวนะ และ
- การป้องกันการติดเชื้อที่มีการดัดแปรพันธุกรรมของนักวิจัย โดยป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิต สารกําจัดศัตรูพืช หรืออาจเปนอันตราย
ดัดแปรพันธุกรรมหลุดออกจากห้องปฏิบตั กิ าร โดยเฉพาะสายพันธุท์ ใี่ ช้ในการท�าพันธุวศิ วกรรมจะ ตอสุขภาพของผูใ ชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
ถูกท�าให้ไม่สามารถมีชวี ติ รอดนอกห้องปฏิบตั กิ าร รวมทัง้ การทดลองบางอย่างทีเ่ ป็นอันตรายอย่าง เปนตน)
ชัดเจนจะถูกห้ามท�าการทดลองเพื่อป้องกันผลกระทบร้ายแรงที่ตามมา
อธิบายความรู
- การสร้างข้อตกลงเพือ่ ความปลอดภัยส�าหรับผูบ้ ริโภค โดยการติดฉลากระบุบนอาหารหรือ
ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมเพื่อสิทธิในการเลือกซื้อของผู้บริโภค 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายการโตวาทีใน
- การประเมินความปลอดภัยของอาหารและผลิตภัณฑ์ จะต้องถูกประเมินคุณภาพจากหลาย หัวขอ ขอดี/ขอเสียของการใชเทคโนโลยีทาง
หน่วยงาน ทั้งองค์กรอาหารและยา หน่วยงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สถาบันสุขภาพแห่งชาติ และ ดีเอ็นเอ
กรมวิชาการเกษตร 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับความ
กั ง วลด า นความปลอดภั ย ทางชี ว ภาพของ
พันธุศาสตร์และ 93 การใชเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
เทคโนโลยีทาง DNA
T105
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอ 1
นอกจากนั้น การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอยังมีความกังวลด้านชีวจริยธรรม
กิจกรรม สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ที่หนาชั้น และด้านสังคม เนื่องจากการใช้ข้อมูลดีเอ็นเอของมนุษย์ในกระบวนการต่าง ๆ มีความเหมาะสม
เรียน มากน้อยเพียงใด เช่น บริษัทประกันภัยหรือประกันชีวิตสามารถตรวจหาข้อมูลดีเอ็นของผู้ยื่นขอ
กรมธรรม์ได้หรือไม่ บริษัทสมัครงานสามารถตรวจสอบข้อมูลดีเอ็นหรือยีนของผู้สมัครงานก่อน
อธิบายความรู รับเข้าท�างานเพื่อดูความเสี่ยงในด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้หรือไม่ หรือหากมีการน�า
ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายผลจาก เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอมาใช้มาใช้ในการคัดเลือกคุณสมบัติต่าง ๆ ของมุษย์ อาจไม่ใช่การคัดเลือก
กิจกรรม สิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรม ลักษณะที่เป็นโรคออกไปเท่านั้น แต่จะสามารถคัดเลือกลักษณะที่ดีไว้ ท�าให้ผู้มีฐานะดีในสังคมมี
โอกาสเลือกมากกว่าในการใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอในการเปลีย่ นแปลงพันธุกรรม เพือ่ ให้ลกู หลาน
แข็งแรงและฉลาดที่สุด จึงอาจสร้างความเหลื่อมล�้าในสังคม และเกิดการแบ่งแยกชนชั้นมากขึ้น
ขัน้ สรุป สิ่งเหล่านี้มักเป็นค�าถามที่ตามมาในสังคมเมื่อมีการพัฒนาของเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอมากขึ้น
ขยายความเขาใจ
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า ผั ง มโนทั ศ น เรื่ อ ง การ
ประยุ ก ต ใ ช ป ระโยชน จ ากเทคโนโลยี ท าง กิจกรรม ทักษะกระบวนกำรวิทยำศำสตร์
ดีเอ็นเอ ที่ประกอบดวยการประยุกตใชในเชิง • การลงความเห็นจากข้อมูล
T106
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
Summary ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลจากผังมโนทัศน เรื่อง การ
พันธุศาสตร์และเทคโนโลยี ประยุ ก ต ใ ช ป ระโยชน จ ากเทคโนโลยี ท าง
ทางดีเอ็นเอ ดีเอ็นเอ
เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ 2. ครูตรวจสอบผลจากกิจกรรม การตรวจสอบ
• กำรสร้ำงดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์ เป็นกระบวนการสร้าง DNA สายใหม่โดยอาศัยเอนไซม์ 2 ชนิด ลายพิมพดีเอ็นเอ
ต�าแหน่งตัดจ�าเพาะ DNA โมเลกุลอื่นที่ตัดด้วย EcoRI
ตัดด้วยเอนไซม์ตัดจ�ำเพำะ ซึ่งเป็น 3. ครูตรวจสอบผลจากรายงาน เรื่อง สิ่งมีชีวิต
เอนไซม์ ที่ ตั ด โมเลกุ ล ของ DNA
DNA GAATTC ตัดด้วยเอน
A A TT C
G G ที่ต�าแหน่งจ�าเพาะ ดัดแปรพันธุกรรม
CTTAAG Eco ไ C TT A A
RI 3. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การประยุกต
ซ ม์
G A A TT C
DNA รีคอมบิแนนท์
C TT A A G ใชประโยชนจากเทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
เชื่อมต่อด้วยเอนไซม์ DNA ไลเกส
G AATT C
C TTAA G
G AATT C
C TTAA G ซึง่ เป็นเอนไซม์ทชี่ ว่ ยในการเชือ่ มต่อ 4. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถาม Unit
ภาพที่ 6.22
สาย DNA เข้าด้วยกัน Question ทายหนวยการเรียนรูท ี่ 6 ในหนังสือ
• กำรโคลนดีเอ็นเอ เป็นการน�ายีนหรือชิ้นส่วน DNA ที่เราสนใจมาเพิ่มจ�านวน แบ่งออกเป็น 2 แบบ
เรียนชีววิทยา ม.4 เลม 2
- กำรโคลนยีนโดยอำศัยพลำสมิดของแบคทีเรีย เป็นการตัดต่อยีนใส่ในพลาสมิดของแบคทีเรีย แล้วน�าไป 5. ครูตรวจสอบผลจากการทําแบบทดสอบทาย
เพิ่มจ�านวนเซลล์ของแบคทีเรีย ท�าให้มีจ�านวนยีนเพิ่มมากขึ้น หนวยการเรียนรูที่ 6 ในแบบฝกหัดชีววิทยา
- กำรโคลนยีนโดยอำศัยเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน (PCR) เป็นการเพิ่มชิ้นส่วน DNA ใน ม.4 เลม 2
หลอดทดลอง โดยใช้เครื่องเทอร์มอลไซเคลอร์ที่สามารถก�าหนดจ�านวนรอบและเวลาอย่างอันโนมัติ
6. ครูตรวจสอบผลจากการตอบคําถามในแบบ
• กำรสร้ำงสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมโดยใช้ดีเอ็นเอรีคอมบิแนนท์
ฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
- กำรสร้ำงพืชดัดแปรพันธุกรรม โดยอาศัยพลาสมิด Ti เป็นพาหะน�ายีนเข้าสู่โครโมโซมพืช เพื่อให้พืช
แสดงคุณสมบัติที่ต้องการ 7. ครูตรวจสอบผลจากแบบทดสอบหลังเรียน
- กำรสร้ำงสัตว์ดัดแปรพันธุกรรม โดยฉีดยีนที่ต้องการเข้าไปนิวเคลียสของเซลล์ไข่เพื่อให้ยีนแทรกเข้าสู่
จีโนมของนิวเคลียส และท�าการปฏิสนธิในหลอดทดลอง แล้วถ่ายฝากเข้าสู่ตัวแม่เพื่อให้เจริญเป็น
ลูกตัวใหม่ที่มียีนที่ต้องการอยู่
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางดีเอ็นเอ
• กำรประยุกต์ใช้ในเชิงกำรแพทย์และเภสัชกรรม ประกอบด้วย
- กำรวินิจฉัยโรค โดยอาศัยเทคนิค PCR เพื่อวินิจฉัยโรคหรือยีนที่ปกติได้รวดเร็วขึ้น เช่น การตรวจ
เชื้อ HIV จากตัวอย่างเลือดหรือเนื้อเยื่อ การวินิจฉัยโรคฮีโมฟิเลีย โรคโลหิตจากซิกเคิลเซลล์
- กำรบ�ำบัดด้วยยีน โดยแทรกยีนปกติเข้าสูร่ า่ งกายผูป้ ว่ ยหรือผูม้ คี วามผิดปกติ เพือ่ ให้ยนี ปกติเข้าไปแทนที่
ยีนที่ผิดปกติ และสามารถท�างานแทนยีนที่ผิดปกติได้ เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องอย่างรุนแรง
- กำรสร้ำงผลิตภัณฑ์ทำงเภสัชกรรม ใช้พัฒนายาหรือฮอร์โมนบางชนิด โดยแทรกยีนที่สามารถผลิตสาร
หรือฮอร์โมนให้กับแบคทีเรีย แล้วน�าไปเพิ่มจ�านวนเพื่อให้สามารถผลิตสารหรือฮอร์โมนดังกล่าว
ในปริมาณมากได้ เช่น การผลิตฮอร์โมนอินซูลิน และโกรทฮอร์โมน เป็นต้น
พันธุศาสตร์และ 95
เทคโนโลยีทาง DNA
แต สํ า หรั บ โรคอี สุ ก อี ใ ส เป น โรคที่ เ กิ ด จากการได รั บ เชื้ อ ไว รั ส ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน
................./................../..................
เกณฑ์การประเมินผังมโนทัศน์/แผ่นพับ
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
............/................./................
T107
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 11-13 ดี
14-16 ดีมาก 8-10 พอใช้
11-13 ดี ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
8-10 พอใช้
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา สอน สรุป ประเมิน
จะไมสามารถทําใหเกิดการแสดงออกไดตามที่
บั น
T108
นํา สอน สรุป ประเมิน
U nit
คําชี้แจง :
Question 6
ให้ นั ก เรี ย นตอบค� ำ ถำมต่ อ ไปนี้
DNA โดยการสกัด DNA ของสิง่ มีชวี ติ ทีส่ ามารถ
ผลิตสาร A ไดนํามาเพิ่มจํานวนยีนที่สามารถ
ผลิตสาร A ดวยเทคนิค PCR แลวนําไปเชื่อม
ตอกับพลาสมิดไดเปนรีคอมบิแนนท DNA ซึ่ง
1. เอนไซม์ตัดจ�าเพาะและเอนไซม์ DNA ไลเกสคืออะไร มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
ประกอบดวยยีนที่สามารถผลิตสาร A อยู จาก
2. ดีเอนเอสายหนึ่งมีล�าดับเบส ดังนี้
5ʹ-CTGGATCCAGGTCATCGGAATTCGAATTCTTGACGGTCGACTA-3ʹ นั้นนําพลาสมิดดังกลาวใสเขาไปในเซลล E.
3ʹ-GACCTAGGTCCAGTAGCCTTAAGCTTAAGAACTGCGACGTCAT-5ʹ coli และทําการคัดเลือกเซลลของ E. coli ที่มี
จงหาต�าแหน่งตัดจ�าเพาะที่ถูกตัดด้วยเอนไซม์ตัดจ�าเพาะชนิด BamHI EcoRI และ SalI ดีเอ็นเอรีคอมบิแนนทอยู และมีการแสดงออก
3. จงเปรียบเทียบการโคลนยีนโดยอาศัยพลาสมิดแบคทีเรียและเทคนิคพอลิเมอเรสเชนรีแอกชัน ของยีนทําใหผลิตสาร A ได จากนั้นนํา E. coli
4. จงอธิบายหลักการสร้างสิง่ มีชวี ติ ดัดแปรพันธุกรรมทัง้ พืชและสัตว์ พร้อมเปรียบเทียบความแตกต่าง ไปเพาะเลีย้ งเพือ่ เพิม่ จํานวน และนํามาสกัดสาร
5. สาร A สามารถผลิตจากยีนชนิดหนึง่ ซึง่ มีขนาด 1,000 bp และมีการศึกษาล�าดับนิวคลีโอไทด์ของ A ในปริมาณมาก
ยีนดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว แต่จากการศึกษาพบว่าสิ่งมีชีวิตที่สามารถผลิตสาร A ดังกล่าวเจริญ 6. การบําบัดดวยยีน เปนเทคโนโลยีชวี ภาพทีร่ กั ษา
เติบโตช้า และสามารถผลิตสาร A ได้ในปริมาณน้อยจึงไม่เพียงพอกับความต้องการ นักเรียนจะ โรคที่เกิดจากความบกพรองของยีนใดยีนหนึ่ง
ท�าอย่างไรเพื่อให้ได้สาร A ในปริมาณที่มากและในระยะเวลาอันสั้น
โดยการใสยีนที่ทํางานปกติเขาไปทดแทนยีนที่
6. การรักษาด้วยยีนบ�าบัดมีหลักการและวิธีการอย่างไร บกพรองในรางกายของผูป ว ย โดยมีขนั้ ตอนหลัก
7. ถ้านักเรียนเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์ และต้องพิจารณาลายพิมพ์ DNA ของผู้ต้องสงสัยหมายเลข คือ การนํายีนปกติถา ยเขาสูเ ซลลรา งกายทีแ่ ยก
1-5 จากหลักฐานที่พบในที่เกิดเหตุในคดีฆาตกรรม นักเรียนคิดว่าผู้ต้องสงสัยหมายเลขใดเป็น
ไดจากผูปวยโดยอาศัยพาหะ เชน รีโทรไวรัส
ผู้ร้ายในคดีฆาตกรรม พร้อมทั้งอธิบายเหตุผลประกอบ
ผู้ต้องสงสัย ซึง่ พาหะจะแทรกยีนเขาสูโ ครโมโซมและรวมกับ
หลักฐาน 1 2 3 4 5 จีโนมของเซลล จากนั้นนําเซลลใสกลับเขาสู
รางกายของผูปวยอีกครั้ง ซึ่งจะทําใหรางกาย
ผูปวยสามารถสรางโปรตีนที่ปกติหรือผลผลิตที่
ตองการได โดยการทํายีนบําบัดจะทํากับเซลล
ที่มีความสามารถในการแบงตัวไดตลอดชีวิต
ของผูปวย เชน เซลลไขกระดูก เซลลตนกําเนิด
ของเซลลเม็ดเลือด เซลลภูมิคุมกัน เปนตน
ภาพที่ 6.23
8. เทคโนโลยีทาง DNA ถูกน�ามาใช้ประโยชน์เชิงการเกษตร สิง่ แวดล้อม และอุตสาหกรรมอย่างไร 7. จากหลักฐานในที่เกิดเหตุ เมื่อตรวจลายพิมพ
DNA ทีเ่ ก็บไดจากเหยือ่ กับผูต อ งสงสัยหมายเลข
9. จงอธิบายผลเสียที่อาจเกิดขึ้นจากการสร้างสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมและการป้องกันผลเสียที่
อาจเกิดขึ้นจากสิ่งมีชีวิตดัดแปรพันธุกรรมเหล่านั้น 1-5 พบวา ผูตองสงสัยหมายเลข 5 มีลายพิมพ
10. เพราะเหตุใดจึงต้องค�านึงถึงจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีทาง DNA ในมนุษย์
DNA เหมือนกับลายพิมพ DNA ที่เก็บไดจาก
เหยื่อในที่เกิดเหตุ ดังนั้น ผูตองสงสัยหมายเลข
พันธุศาสตร์และ
เทคโนโลยีทาง DNA
97 5 จึงเปนผูรายในคดีฆาตกรรมนี้
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 1 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายหลักฐานต่าง ๆ ที่ แบบสืบเสาะ - ต รวจแบบทดสอบ - ทักษะการสังเกต - มีวินัย
หลักฐานที่ ม.4 เล่ม 2 สนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการ หาความรู้ ก่อนเรียน - ทักษะการส�ำรวจ - ใฝ่เรียนรู้
บ่งบอกถึง - แบบฝึกหัดชีววิทยา ของสิง่ มีชีวิตได้ (K) (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการเปรียบ - มุ่งมั่นใน
วิวัฒนาการ ม.4 เล่ม 2 2. อธิบายการเกิดวิวัฒนาการ Instructional - ตรวจรายงานและ เทียบ การท�ำงาน
ของสิ่งมีชีวิต - PowerPoint ของมนุษย์ได้ (K) Model) ป้ายนิเทศจากกิจกรรม - ทักษะการให้เหตุผล
ประกอบการสอน 3. เขียนล�ำดับขั้นการเกิด ซากดึกดำ�บรรพ์ของ - ทักษะการวิเคราะห์
5 วิวัฒนาการของมนุษย์ได้ (P) สิ่งมีชีวิต - ทักษะการเชื่อมโยง
ชั่วโมง 4. น�ำเสนอผลงานและจัดท�ำ - ตรวจรายงาน เรื่อง
ป้ายนิเทศอย่างได้ถูกต้อง (P) วิวัฒนาการของมนุษย์
5. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา (A) - ตรวจใบงาน เรื่อง ความ
6. รับผิดชอบต่อภาระที่ได้รับ ใกล้ชิดทางวิวัฒนาการ
มอบหมายในการท�ำ ของสิ่งมีชีวิต
กิจกรรมกลุ่ม (A) - ตรวจใบงาน เรื่อง
วิวัฒนาการของมนุษย์
- ประเมินการนำ�เสนอ
ผลงาน
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
แผนฯ ที่ 2 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายแนวคิดเกี่ยวกับ แบบสืบเสาะ - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการรวบรวม - มีวินัย
แนวคิด ม.4 เล่ม 2 วิวัฒนาการของลามาร์กได้ หาความรู้ - ตรวจผังสรุป เรื่อง ข้อมูล - ใฝ่เรียนรู้
เกี่ยวกับ - แบบฝึกหัดชีววิทยา (K) (5Es สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการ - ทักษะการให้เหตุผล - มุ่งมั่นใน
วิวัฒนาการ ม.4 เล่ม 2 2. อธิบายแนวคิดเกี่ยวกับ Instructional จากการคัดเลือกโดย - ทักษะการสรุป การท�ำงาน
ของสิ่งมีชีวิต - PowerPoint วิวัฒนาการของดาร์วินได้ Model) ธรรมชาติตามแนวคิด อ้างอิง
ประกอบการสอน (K) ของดาร์วิน - ทักษะการวิเคราะห์
2 3. เปรียบเทียบแนวคิดเกี่ยวกับ - ตรวจใบงาน เรื่อง - ทักษะการคิด
ชั่วโมง วิวัฒนาการของลามาร์ก แนวคิดเกี่ยวกับ อย่างมีเหตุผล
และดาร์วินได้ (K) วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
4. ตรวจสอบแนวคิดเกี่ยวกับ - สังเกตพฤติกรรม
วิวัฒนาการของลามาร์ก การทำ�งานรายบุคคล
และดาร์วินได้ (P) - สังเกตความมีวินัย
5. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา (A) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
T110
แผนการจัด คุณลักษณะ
สื่อที่ใช้ จุดประสงค์ วิธีสอน ประเมิน ทักษะที่ได้
การเรียนรู้ อันพึงประสงค์
แผนฯ ที่ 3 - ห นังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายทฤษฎีของฮาร์ดี- แบบสืบเสาะ - ต รวจแบบฝึกหัด - ท ักษะการส�ำรวจ - มีวินัย
พันธุศาสตร์ ม.4 เล่ม 2 ไวน์เบิร์ก และภาวะดุลของ หาความรู้ - ตรวจผังสรุป เรื่อง ค้นหา-ทักษะการ - ใฝ่เรียนรู้
ประชากร - แบบฝึกหัดชีววิทยา ฮาร์ด-ี ไวน์เบิร์กได้ (K) (5Es กฎของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก วิเคราะห์ - มุ่งมั่นใน
ม.4 เล่ม 2 2. คำ� นวณความถี่ของแอลลีล Instructional - ตรวจผังมโนทัศน์ เรื่อง - ทักษะการคิด การท�ำงาน
5 - PowerPoint และความถี่ของจีโนไทป์ใน Model) ปัจจัยที่มีผลต่อการ อย่างมีเหตุผล
ประกอบการสอน กลุ่มประชากรที่อยู่ภายใต้ เปลี่ยนแปลงความถี่ของ - ทักษะการน�ำ
ชั่วโมง
ภาวะดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก แอลลีลในประชากร ความรู้ไปใช้
ได้ (K) - ตรวจกิจกรรม เรื่อง การ
3. ประยุกต์ใช้ความรู้จากสมดุล ใช้กฎของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก
ของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กในการ - ตรวจกิจกรรม เรื่อง การ
หาความถี่ของแอลลีลของ คัดเลือกโดยธรรมชาติ
โรคทางพันธุกรรมได้ (K) - ตรวจใบงาน เรื่อง
4. อธิบายปัจจัยที่ทำ� ให้เกิดการ การหาความถี่ของ
เปลี่ยนแปลงความถี่ของ แอลลีลในประชากร
แอลลีลในประชากรได้ (K) - ตรวจใบงาน เรื่องการ
5. ทำ� ตามขัน้ ตอนการหาความถี่ ประยุกต์ใช้ประโยชน์จาก
ของแอลลีล และความถี่ของ กฎของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก
จีโนไทป์ในกลุ่มประชากรที่ - สังเกตพฤติกรรม
อยู่ภายใต้ภาวะดุลของ การทำ�งานรายบุคคล
ฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กได้ (P) - สังเกตความมีวินัย
6. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา (A) ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
แผนฯ ที่ 4 - หนังสือเรียนชีววิทยา 1. อธิบายความหมายของสปีชสี ์ แบบสืบเสาะ - ต รวจแบบทดสอบ - ทกั ษะการส�ำรวจ - มีวินัย
ก�ำเนิดของสปีชีส์ ม.4 เล่ม 2 ได้ (K) หาความรู้ หลังเรียน ค้นหา - ใฝ่เรียนรู้
- แบบฝึกหัดชีววิทยา 2. อธิบายหลักการเกิดสปีชีส์ (5Es - ตรวจแบบฝึกหัด - ทักษะการรวบรวม - มุ่งมั่นใน
2 ม.4 เล่ม 2
- PowerPoint
ใหม่ของสิ่งมีชีวิตได้ (K) Instructional
Model)
- ตรวจผังสรุป เรือ่ ง การ
เกิดสปีชีส์ใหม่ของ
ข้อมูล
- ทักษะการจ�ำแนก
การท�ำงาน
3. ยกตัวอย่างสิ่งมีชีวิตที่เกิด
ชั่วโมง
ประกอบการสอน สปีชีส์ใหม่ได้ (K) สิ่งมีชีวิต ประเภท
4. นำ� เสนอผลงานและจัดท�ำ - ตรวจรายงาน เรื่อง การ - ทักษะการคิด
ป้ายนิเทศอย่างได้ถูกต้อง ปรับปรุงพันธุ์พืชแบบ อย่างมีเหตุผล
(P) พอลิพลอยดี
5. สนใจใฝ่รู้ในการศึกษา (A) - ตรวจ Unit Question
ท้ายหน่วยการเรียนรู้ที่ 7
ในหนังสือเรียนชีววิทยา
ม.4 เล่ม 2
- ตรวจแบบทดสอบท้าย
หน่วยการเรียนรู้ที่ 7
ในแบบฝึกหัดชีววิทยา
ม.4 เล่ม 2
- ประเมินการนำ�เสนอ
ผลงาน
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานรายบุคคล
- สังเกตพฤติกรรม
การทำ�งานกลุ่ม
- สังเกตความมีวินัย
ใฝ่เรียนรู้ และมุ่งมั่น
ในการทำ�งาน
T111
Chapter Concept Overview
หลักฐานที่บงบอกถึงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
• หลักฐานจากซากดึกด�าบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต : การศึกษาหลักฐานที่แสดงล�าดับการเกิดวิวัฒนาการ และบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของ
สิ่งมีชีวิตจากอดีตถึงปจจุบัน โดยคาดคะเนอายุของซากดึกด�าบรรพ์จากอายุของชั้นหินตะกอน
• หลักฐานกายวิภาคเปรียบเทียบ : การศึกษาวิวัฒนาการจากโครงสร้างภายในของสิ่งมีชีวิต แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่ โครงสร้างที่มี
ต้นก�าเนิดเดียวกัน (homologous structure) เป็นโครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดเดียวกัน แต่ท�าหน้าที่ต่างกัน และโครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดต่างกัน
(analogous structure) เป็นโครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดต่างกัน แต่ท�าหน้าที่เหมือนกัน
ระยะกลาง
ระยะปลาย
อเมริกาใต้ ออสเตรเลีย
แอนตาร์ติก
บริเวณที่พบซากดึกด�าบรรพ์
ของไซโนกาทัส ซึ่งเป็นสัตว์ บริเวณที่พบซากดึกด�าบรรพ์
เลื้ อ ยคลานโบราณที่ อ าศั ย กลอสโซพเทรีส ซึ่งเป็นพืช
บนบก บริเวณที่พบซากดึกด�าบรรพ์ ตระกูลเฟร์นชนิดหนึ่ง
ของมีโซซอรัส ซึ่งเป็นสัตว์
เลื้อยคลานโบราณที่อาศัยอยู่
ในน�้าจืด
T112
หน่วยการเรียนรู้ที่ 7
• หลักฐานสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของมนุษย์ :
ไพลสโตซีน
จากการศึกษาซากดึกด�าบรรพ์ของกะโหลกศีรษะ และ
0
โครงกระดูก รวมทัง้ การเปรียบเทียบล�าดับเบสบนสาย
DNA ระหว่างมนุษย์กบั ลิงชิมแปนซี จึงเชือ่ ว่ามนุษย์
Homo sapiens
แยกสายวิวัฒนาการมาจากไพรเมตกลุ่มลิงไม่มีหาง 1
ล้านปี
(ape) Homo erectus
2 Homo habilis
Australopithecus robustus
4 Australopithecus afarensis
Homo habilis มีสมองขนาด 600-750 ลบ.ซม. น�้าหนัก 40-50 กิโลกรัม ล�าตัวตรง เดิน 2 ขา
เริ่มมีการใช้สมองและการใช้มือประดิษฐ์สิ่งของและเครื่องใช้จากหิน
Homo erectus มีร่างกายสูง สมองขนาด 1,100 ลบ.ซม. มีการใช้ไฟและประดิษฐ์เครื่องมือจากหิน
โดย H. erectus ที่รู้จักดี ได้แก่ มนุษย์ชวา และมนุษย์ปกกิ่ง
แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
• แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของลามาร์ก เสนอแนวคิด 2 แนวคิด ได้แก่
- กฎการใช้และไม่ใช้ (Law of use and disuse) : อวัยวะส่วนใดที่มีการใช้งานมากในการด�ารงชีวิตจะมีขนาดใหญ่และแข็งแรง แต่อวัยวะ
ส่วนใดที่ไม่มีการใช้งานจะอ่อนแอและเสื่อมลง
- กฎแห่งการถ่ายทอดลักษณะที่เกิดขึ้นใหม่ (Law of inheritance of acquired characteristic) : การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสิ่งมีชีวิต
ที่เกิดขึ้นภายในชั่วรุ่นจากกฎการใช้และไม่ใช้ จะสามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกหลานได้
• แนวคิดเกีย่ วกับวิวฒ
ั นาการของดาร์วนิ ผูไ้ ด้รบั ยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งการศึกษาวิวฒ
ั นาการของสิง่ มีชวี ติ โดยเสนอเป็นทฤษฎีการคัดเลือก
โดยธรรมชาติ (theory of natural selection) มีใจความส�าคัญ
- การคัดเลือกโดยธรรมชาติท�าให้สิ่งมีชีวิตแต่ละตัวมีความสามารถในการอยู่รอด และให้ก�าเนิดลูกหลานได้แตกต่างกัน
- การคัดเลือกโดยธรรมชาติเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมที่ประชากรอาศัยอยู่กับลักษณะความแปรผันทางพันธุกรรมของ
สมาชิกในประชากร
- ผลจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติท�าให้ประชากรมีการปรับตัวให้เหมาะสมเพื่อสามารถด�ารงชีวิตในสภาพแวดล้อมนั้น ๆ ได้
T113
พันธุศาสตร์ประชากร
การศึกษาการเปลีย่ นแปลงความถีข่ องยีนหรือความถีข่ องแอลลีลทีเ่ ป็นองค์ประกอบทางพันธุกรรมของประชากร ซึง่ มีผลต่อการเกิดวิวฒ
ั นาการ
ของสิ่งมีชีวิต
• การหาความถีข่ องแอลลีลในประชากร : การหาปริมาณของแอลลีลชนิดต่าง ๆ เมือ่ คิดเป็นสัดส่วนของจ�ำนวนแอลลีลทัง้ หมดของยีนต�ำแหน่ง
เดียวกันในประชากร มีสูตร ดังนี้
ความถี่ของแอลลีล = จ�ำนวนแอลลีลที่ปรากฏในจีโนไทป์ในประชากร
จ�ำนวนแอลลีลทั้งหมดในประชากร
• กฎของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก กล่าวว่า เมื่อประชากรอยู่ในภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก ความถี่ของแอลลีลหรือความถี่ของจีโนไทป์ใน
ยีนพูลจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งผลรวมของแอลลีลของยีนหนึ่ง ๆ ในประชากรจะเท่ากับ 1 เสมอ (p + q = 1) และประชากรต้องอยู่ภาย
ใต้เงื่อนไขต่าง ๆ ดังนี้
- ประชากรมีขนาดใหญ่
- ไม่มีการถ่ายเทยีนระหว่างกลุ่มประชากร (ไม่มีการอพยพเข้าหรือออก)
- ไม่มีการเกิดกลาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงของแอลลีลในกลุ่มประชากร
- การผสมพันธุ์ของสมาชิกในประชากรต้องเป็นแบบสุ่ม โดยสมาชิกทุกตัวมีโอกาสผสมพันธุ์ได้เท่ากัน
- ไม่เกิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ซึ่งสิ่งมีชีวิตทุกตัวมีโอกาสอยู่รอดและประสบความส�ำเร็จในการสืบพันธุ์เท่ากัน
จากกฎของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก สามารถใช้คาดคะเนความถี่ของแอลลีลเกี่ยวกับโรคทางพันธุกรรมในยีนพูลของประชากร เช่น โรคโลหิตจาง
ชนิดซิกเคิลเซลล์ โรคผิวเผือก เป็นต้น
• ปัจจัยที่ทำ� ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล ที่มีผลท�ำให้สิ่งมีชีวิตเกิดวิวัฒนาการ มีดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงความถี่แบบไม่เจาะจง มีลักษณะแบบสุ่ม และไม่มีทิศทางที่แน่นอน แบ่งออก 2 ประเภท คือ
ผลกระทบจากผู้ก่อตั้ง (founder effect) ปรากฏการณ์คอขวด (bottleneck effect)
การเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลที่เกิดกับกลุ่มประชากร การเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลที่เกิดกับกลุ่มประชากร
ขนาดเล็กทีเ่ ป็นผลจากการอพยพ การแยกตัวของกลุม่ ประชากร ที่ขนาดใหญ่ และมีความหลากหลายทางพันธุกรรม แต่มี
ขนาดใหญ่ไปอยู่ในแหล่งที่อยู่ใหม่ที่อุดมสมบูรณ์ และประสบ เหตุการณ์ทที่ ำ� ให้เกิดการลดจ�ำนวนประชากรอย่างรวดเร็ว เช่น
ความส�ำเร็จในการเพิ่มจ�ำนวนประชากร ภัยพิบตั ทิ างธรรมชาติตา่ ง ๆ ซึง่ ประชากรทีร่ อดชีวติ จะสามารถ
เพิ่มจ�ำนวนขึ้นมาใหม่ แต่จะมีการเปลี่ยนแปลงของความถี่
แอลลีลที่อาจมีบางแอลลีลหายไป และบางแอลลีลเพิ่มขึ้นมา
ความผิดพลาดของการ การปฏิสนธิในตัวเอง
แบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
2n = 6 4n = 12
เตตระพลอยด์
เซลล์สืบพันธุ์ผิดปกติ
2n = 6
- การเกิดพอลิพลอยดีภายในสิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กัน (allopolyploid)
เซลล์สืบพันธุ์ เซลล์สืบพันธุ์
n=2 n=5
ลูกผสม F1 ลูกผสม F2
2n = 5 2n = 10
สปีชีส์ A
2n = 4 ไมโอซิส
แบ่งเซลล์แบบ 2n = 10
เซลล์สืบพันธุ์ ไมโอซิสผิดพลาด เซลล์สืบพันธุ์
n=3 n=5
สปีชีส์ B
2n = 6
T115
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น�า
วิวฒ
ั นาการ
กระตุน้ ความสนใจ
1. ครูแจงผลการเรียนรูประจําหนวยการเรียนรู
7
หนวยการเรียนรู้ที่
ใหนักเรียนทราบ
2. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบกอนเรียน
3. ครู นํ า ภาพสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี ลั ก ษณะเหมื อ นและ
แตกตางกันมาใหนักเรียนดู และถามคําถาม
Big Question กับนักเรียนวา เพราะเหตุใด ผลการเรียนรู สิ่งมีชีวิตที่พบในปจจุบันมีมากมายหลายชนิด ทั้งที่อาศัยอยู่
สิ่งมีชีวิตตางๆ บนโลกจึงมีลักษณะที่เหมือน 12. สืบค้นข้อมูลและอธิบายเกี่ยวกับ บนบกและในน�า้ บางชนิดมีลกั ษณะทีค่ ล้ายคลึงกันมากแม้อยูค่ น
หลักฐานที่สนับสนุนและข้อมูลที่ ละพื้นที่ หรือบางชนิดมีลักษณะที่แตกต่างกันแม้จะอยูใ่ นพืน้ ที่
และแตกตางกันออกไป ใช้อธิบายการเกิดวิวัฒนาการของ
สิง่ มีชวี ติ ได้ เดียวกัน ซึง่ เป็นผลจากการเปลีย่ นแปลงทางพันธุกรรมในประชากร
4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ลักษณะที่เหมือน 13. อธิบายและเปรียบเทียบแนวคิด จากลั ก ษณะที่ เ คยเหมื อ นกั น ก็ เ ริ่ ม แตกต่ า งมากขึ้ น เรื่ อ ย ๆ
และแตกตางกันของสิ่งมีชีวิตเปนผลมาจาก เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
และกลายเป็นลักษณะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สิ่งเหล่านี้
ของฌอง ลามาร์ก และทฤษฎีเกีย่ ว
วิ วั ฒ นาการ ซึ่ ง เป น การเปลี่ ย นแปลงของ กับวิวฒ ั นาการของชาลส์ ดาร์วนิ ได้ ล้วนเป็นพื้นฐานของการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
สิง่ มีชวี ติ อยางละเล็กละนอย จนทําใหสงิ่ มีชวี ติ 14. ระบุสาระส�าคัญและอธิบายเงือ่ นไข
ของภาวะสมดุลฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก
มีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปจากบรรพบุรุษ ปัจจัยที่ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
ความถี่ ข องแอลลี ล พร้ อ มทั้ ง
ค�านวณหาความถี่ของแอลลีลและ
จีโนไทป์ของประชากรโดยใช้หลัก
ฮาร์ด-ี ไวน์เบิรก์ ได้
15. สืบค้นข้อมูล อภิปราย และอธิบาย
กระบวนการเกิดสปีชสี ์ใหม่ของ
สิง่ มีชวี ติ ได้
à¾ÃÒÐà˵Øã´
ÊÔè§ÁÕªÕÇÔµµ‹Ò§ æ º¹âÅ¡
แนวตอบ Big Question ¨Ö§ÁÕÅѡɳзÕèàËÁ×͹
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตแตละชนิดจะมีการปรับตัว ËÃ×Íᵡµ‹Ò§¡Ñ¹
ด า นต า งๆ ให เ หมาะสมต อ การดํ า รงชี วิ ต ใน
สภาพแวดลอม ทําใหสิ่งมีชีวิตแตละชนิดมีลักษณะ
แตกต า งกั น ออกไป หรื อ กล า วได ว า สิ่ ง มี ชี วิ ต
มี วิ วั ฒ นาการเกิ ด ขึ้ น ทํ า ให สิ่ ง มี ชี วิ ต แต ล ะชนิ ด
มีลักษณะที่เหมือนและแตกตางกัน
เกร็ดแนะครู
การเรียนการสอน เรื่อง วิวัฒนาการ เปนเรื่องที่มองเห็นภาพไดยาก
เนื่องจากวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเปนกระบวนการที่ใชเวลายาวนาน ซึ่งไม
สามารถเฝาสังเกตได ดังนั้น ครูจึงควรเนนการใชภาพ วีดิทัศน หรือการ
ยกตัวอยางสิ่งมีชีวิตที่เกิดวิวัฒนาการ เพื่อชวยใหงายตอการทําความเขาใจ
ของนักเรียน ควรใหนักเรียนไดฝกคํานวณเกี่ยวกับพันธุศาสตรประชากร และ
การจัดการสอนควรเนนกระบวนการกลุม เพือ่ ใหนกั เรียนไดรว มอภิปราย และมี
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
T116
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
Prior Knowledge
หลั ก ฐานใดบ ง บอกว า ใน 1. หลักฐานทีบ่ ง่ บอกถึงวิวฒ
ั นาการ 1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา วิวัฒนาการของ
อดี ต มี สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ ไ ม พ บใน สิ่งมีชีวิตเปนกระบวนการที่ใชเวลานาน ซึ่ง
ปจจุบัน เคยอาศัยอยู
ของสิ่งมีชีวิต ยากต อ การตรวจสอบ นั ก วิ ท ยาศาสตร จึ ง
การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตอย่างละเล็กอย่างละน้อย รวบรวมขอมูลและหลักฐานตางๆ ที่สนับสนุน
จนท� า ให้ สิ่ ง มี ชี วิ ต นั้ น มี ลั ก ษณะที่ เ ปลี่ ย นไปจากบรรพบุ รุ ษ การเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
และสามารถถ่ายทอดลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไปยังรุ่นต่อไป ท�าให้ลูกหลานมีลักษณะที่แตกต่าง 2. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน
จากบรรพบุรุษ และสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ การเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตลักษณะนี้ เรียกว่า ความรูเดิมของนักเรียน
วิวัฒนาการ (evolution)
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาหลั ก ฐานจากซาก-
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตเป็นกระบวนการที่ใช้ระยะเวลายาวนาน ซึ่งส่วนใหญ่ไม่สามารถ
ดึกดําบรรพของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเปนหลักฐานที่
เฝ้าสังเกต หรือน�าการทดสอบในห้องปฏิบัติการมาอธิบายการเกิดวิวัฒนาการท�าได้ยาก (ยกเว้น
สิง่ มีชวี ติ บางกลุม่ เช่น แบคทีเรีย) ดังนัน้ นักวิทยาศาสตร์ทเี่ ชือ่ ว่าสิง่ มีชวี ติ มีววิ ฒ ั นาการจึงรวบรวม แสดงลําดับขั้นการเกิดวิวัฒนาการ และบงชี้
ข้อมูลและหลักฐานต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตจากอดีตถึง
ปจจุบนั โดยคาดคะเนอายุของซากดึกดําบรรพ
1.1 หลักฐานจากซากดึกดําบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต จากอายุของชั้นหินตะกอน
สิ่งมีชีวิตทุกชนิดทั้งพืชและสัตว์ เมื่อตายไปจะถูกย่อยสลายผุพังจนไม่มีซากที่สมบูรณ์เหลือ
อยู่ แต่ในบางสภาวะ เช่น การอยู่ภายในน�้าแข็ง การอยู่ในยางไม้ (อ�าพัน)1 การถูกทับถมอย่าง
รวดเร็ว การอยูใ่ นสภาวะอากาศเย็นจัดหรือแห้งแล้ง ซึง่ เชือ้ จุลนิ ทรียไ์ ม่สามารถเข้าไปย่อยสลายได้
รวมทัง้ สิง่ ทีม่ คี วามคงทนและยากต่อการท�าลาย เช่น ฟัน กระดูก เปลือก และชิน้ ส่วนทีม่ โี ครงสร้าง
เป็นโพรงหรือรู ซึ่งจะมีแร่เข้าไปตกผลึกอยู่ภายในช่องว่างท�าให้แข็งขึ้นจนกลายเป็นหิน ท�าให้เกิด
ซากหรือร่องรอยที่ยังคงเหลืออยู่ให้เห็น เรียกซากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ว่า ซากดึกด�าบรรพ์ (fossil)
T117
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
4. ครูถามคําถามนักเรียนวา การค้ น พบซากดึ ก ด� า บรรพ์ เ ปรี ย บเสมื อ นการค้ น พบ H. O. T. S.
• ซากดึกดําบรรพที่พบในหินตะกอนชั้นลาง หลักฐานอย่างหนึ่งที่สนับสนุนว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นปรากฏ คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
กับหินตะกอนชั้นบน ซากดึกดําบรรพที่พบ อยูบ่ นโลกในอดีต แต่ในปัจจุบนั ได้สญู พันธุไ์ ปแล้ว เช่น ไดโนเสาร์ สิ่ ง มี ชี วิ ต กลุ ่ ม
เซลล์
ใดมีเโยือกาสพบ
อ่ บุขา้ งแก้ม
ในหินชั้นใดมีอายุมากกวากัน เป็ น ต้ น แต่ อ ย่ า งไรก็ ต าม มี สิ่ ง มี ชี วิ ต บางชนิ ด ที่ พ บเป็ น
( แนวตอบ โดยทั่ ว ไปโครงสร า งของ เป็ น ซากดึ ก -
ซากดึกด�าบรรพ์ในอดีต และยังคงพบมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เรียก
สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้ว่า ซากดึกด�าบรรพ์ที่ยังมีชีวิต 1(living fossil)
ด�าบรรพ์ได้ยาก เพราะเหตุใด
ซากดึกดําบรรพที่พบในหินตะกอนชั้นบน พร้ อ มยกตั ว อย่ า งสิ่ ง มี ชี วิ ต
จะมี อ ายุ น อ ยกว า ในหิ น ตะกอนชั้ น ล า ง เช่น แมงดาทะเล หวายทะนอย แมลงปอ เป็นต้น เหล่านั้น
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตในระยะแรกๆ จะตาย
และถูกทับถมอยูในหินตะกอนชั้นลาง จึง
ทําใหมคี วามซับซอนของโครงสรางนอยกวา
ซากดึกดําบรรพที่พบในหินตะกอนชั้นบน
สวนหินตะกอนชั้นบนจะพบโครงสรางที่มี
ความสมบูรณและมีลักษณะใกลเคียงกับ
สิ่งมีชีวิตในปจจุบัน) ภาพที่ 7.3 แมงดาทะเลและแมลงปอ ถูกพบว่าเป็นซากดึกด�าบรรพ์ในอดีต แต่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
5. ครูถามคําถามทาทายการคิดขั้นสูง (H.O.T.S.) จากการศึ ก ษาซากดึ ก ด� า บรรพ์ ซึ่ ง จะพบมากในหิ น ชั้ น หรื อ หิ น ตะกอนชั้ น ต่ า ง ๆ
กับนักเรียน ซากดึกด�าบรรพ์ที่พบในหินแต่ละชั้นจะแตกต่างกัน ซึ่งนักวิทยาศาสตร์สามารถคาดคะเนอายุ
ของซากดึกด�าบรรพ์ได้จากอายุของชั้นหินที่ซากดึกด�าบรรพ์นั้นฝังตัวอยู่ ดังนั้น หลักฐานจาก
ซากดึกด�าบรรพ์จึงสามารถบอกล�าดับการเกิดของสิ่งมีชีวิตบนโลกได้ โดยซากดึกด�าบรรพ์ที่พบ
ในหินชั้นล่างย่อมมีอายุมากกว่าซากดึกด�าบรรพ์ที่พบในหินชั้นบน และเมื่อพิจารณาถึงโครงสร้าง
ของซากดึกด�าบรรพ์ที่พบในหินชั้นบนจะมีความซับซ้อนและมีโครงสร้างใกล้เคียงกับสิ่งมีชีวิตใน
ปัจจุบนั มากกว่า นอกจากนัน้ ซากดึกด�าบรรพ์ยงั เป็นหลักฐานทีบ่ ง่ ชีใ้ ห้เห็นถึงการเปลีย่ นแปลงของ
สิ่งมีชีวิตจากอดีตจนถึงปัจจุบันอีกด้วย
B iology
Focus อายุของซากดึกด�าบรรพ์
การบอกอายุของซากดึกด�าบรรพ์ สามารถบอกได้ 2 แบบ คือ
1. อายุเปรียบเทียบ (relative age) คือ อายุของซากดึกด�าบรรพ์ทบี่ อกจากการเปรียบเทียบกับ
แนวคําตอบ H.O.T.S. ซากดึกด�าบรรพ์ หิน หรือเหตุการณ์ทางธรณีวทิ ยาอืน่ ๆ จึงสามารถบอกเพียงว่าอายุแก่กว่าหรืออ่อนกว่า
เท่านั้น
สิ่งมีชีวิตกลุมสัตวไมมีกระดูกสันหลัง เชน 2. อายุสัมบูรณ์ (absolute age) คือ อายุของซากดึกด�าบรรพ์ที่ค�านวณหาจากไอโซโทปของ
หนอนตั ว กลม หนอนตั ว แบน ไส เ ดื อ น และ ธาตุกัมมันตรังสี จึงสามารถบอกเป็นจ�านวนปีได้
พืชตางๆ เนื่องจากเปนสิ่งมีชีวิตที่ไมมีโครงสราง 100
แข็ ง ภายใน ทํ า ให ถู ก ย อ ยโดยจุ ลิ น ทรี ย ไ ด ง า ย
จึงไมหลงเหลือซากสิ่งมีชีวิตในปจจุบัน
T118
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
การศึ ก ษาตั ว อย่ า งชิ้ น ส่ ว นซากดึ ก ด� า บรรพ์ ข องม้ า ที่ พ บในช่ ว งเวลาต่ า ง ๆ ท� า ให้ 6. ครูใหนักเรียนศึกษาวิวัฒนาการของมาจาก
นักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายเกีย่ วกับวิวฒ ั นาการของม้าจากอดีตจนถึงปัจจุบนั ได้ ทัง้ นีก้ ารศึกษา อดีตจนถึงปจจุบัน ในตารางที่ 7.1
ดังกล่าวจ�าเป็นอย่างยิ่งที่ชิ้นส่วนของซากดึกด�าบรรพ์จะต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พอสมควรจึงจะ 7. ครูถามคําถามนักเรียนวา
สามารถอธิบายเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตได้ •ï จากซากดึกดําบรรพของมา นักเรียนคิดวา
มามีวิวัฒนาการอยางไร
ตารางที่ 7.1 : วิวัฒนำกำรของมำจำกอดีตจนถึงปจจุบัน (แนวตอบ จากซากดึกดําบรรพของมา พบวา
ยุค อายุ (ล้านปี) จีนัส ความสูง (นิ้ว) ลักษณะขา ลักษณะตัวม้า มีวิวัฒนาการของขาที่ยาวขึ้น ซึ่งทําใหมามี
ความสูงเพิ่มขึ้น)
อีโอซีน 8. ครูใหนักเรียนแบงกลุม ออกเปน 4 กลุม ทํา
54 Hyracotherium 11
(Eocene) กิจกรรม ซากดึกดําบรรพของสิ่งมีชีวิต โดยให
นักเรียนจับฉลากเลือกซากดึกดําบรรพ ดังนี้
กลุมที่ 1 ชางแมมมอธ ประเทศไซบีเรีย
กลุมที่ 2 โครงกระดูกมนุษยทวารวดี จังหวัด
โอลิโกซีน
(Oligocene) 38 Mesohippus 24 สุพรรณบุรี
กลุมที่ 3 ซากดึกดําบรรพปลาโบราณภูนาํ้ จัน้
จังหวัดกาฬสินธุ
กลุมที่ 4 ซากดึกดําบรรพไดโนเสาร จังหวัด
ไมโอซีน 25 Merychippus 40
ขอนแกน
(Miocene) ใหนักเรียนคนควาขอมูล พรอมจัดทํารายงาน
และปายนิเทศ เพื่อนําเสนอหนาชั้นเรียนใน
ชั่วโมงถัดไป
พลิโอซีน 7 Pliohippus 43 อธิบายความรู
(Pliocene)
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายถึงวิวฒ
ั นาการ
ของมาจากอดีตจนถึงปจจุบัน
2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายถึงหลักฐาน
ไพลสโตซีน 2.5-0.01 Equus 50
จากซากดึกดําบรรพของสิ่งมีชีวิต
(Pleistocene)
วิวัฒนาการ 101
T119
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอ อย่างไรก็ตาม ซากดึกด�าบรรพ์เป็นเพียงหลักฐานหนึ่งเท่านั้นที่สามารถน�ามาใช้อธิบายการ
ปายนิเทศจากกิจกรรม ซากดึกดําบรรพของสิ่งมี เกิดวิวฒ
ั นาการเพราะซากดึกด�าบรรพ์ทคี่ น้ พบส่วนใหญ่ยงั ไม่สมบูรณ์ สิง่ มีชวี ติ อีกหลายชนิดทีย่ งั ไม่
ชีวิต กลุมละ 10 นาที และใหนักเรียนกลุมอื่นๆ ถูกค้นพบและอีกหลายชนิดทีไ่ ม่มโี อกาสเกิดซากดึกด�าบรรพ์ได้ ดังนัน้ หลักฐานจากซากดึกด�าบรรพ์
ถามคําถามกลุมที่นําเสนอ อยางนอย 1 คําถาม/ จึงให้รายละเอียดได้ไม่เพียงพอ จ�าเป็นต้องอาศัยหลักฐานอื่น ๆ มาสนับสนุนเพิ่มเติม
กลุม
อธิบายความรู้
ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายกิ จ กรรม กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
ซากดึ ก ดํ า บรรพ ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต จากหลั ก ฐาน • การลงความเห็นจากข้อมูล
ซากดึกด�าบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป
ซากดึกดําบรรพของสิง่ มีชวี ติ ตางๆ พรอมอภิปราย • การจัดท�าสือ
่ และสือ่ ความหมายข้อมูล
ถึงความใกลเคียงของซากดึกดําบรรพกับสิ่งมี จิตวิทยาศาสตร์
• ความมีเหตุผล
ชีวิตกลุมอื่นๆ • ความร่วมมือช่วยเหลือ
วิธปี ฏิบตั ิ • ความรับผิดชอบ
อภิปรายผลกิจกรรม
102
T120
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
1.2 หลักฐานจากกายวิภาคเปรียบเทียบ 1. ครูใหนักเรียนศึกษาหลักฐานจากกายวิภาค
สิง่ มีชวี ติ บางชนิดเมือ่ ดูลกั ษณะรูปร่างภายนอก จะเห็นว่ามีลกั ษณะทีแ่ ตกต่างกันและไม่นา่ จะ เปรียบทียบ เชน การศึกษาโครงสรางรยางค
จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันได้ แต่จากการศึกษาโครงสร้างต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น การศึกษาโครงสร้าง คูหนาของสัตวมีกระดูกสันหลัง ไดแก แขน
รยางค์ค1ู่หน้าของสัตว์มีกระดูกสันหลังบางชนิด พบว่า มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก มนุษย ขาแมว ครีบหนาของวาฬ ปกคางคาว
2. ครูถามคําถามนักเรียนวา
กระดูกต้นแขน • โครงสรางรยางคคูหนาของสิ่งมีชีวิตเหลานี้
กระดูกปลายแขน มีลักษณะเหมือนหรือแตกตางกัน อยางไร
(แนวตอบ โครงสรางรยางคคหู นามีโครงสราง
กระดูกข้อมือ กระดูกเหมือนกัน แตทําหนาที่แตกตางกัน
กระดูกฝ่ามือ เช น แขนของมนุ ษ ย ใ ช สํ า หรั บ การหยิ บ
กระดูกนิ้วมือ
จั บ สิ่ ง ของ ขาแมวใช สํ า หรั บ การเดิ น
แขนมนุษย์ ขาแมว รยางค์คู่หน้าของวาฬ ปีกค้างคาว ครี บ หน า ของวาฬใช สํ า หรั บ การว า ยนํ้ า
ภาพที่ 7.4 โครงสร้างที่คล้ายคลึงกันมากของแขนมนุษย์ ขาแมว รยางค์คู่หน้าของวาฬ และปีกค้างคาว ปกคางคาวใหสําหรับการบิน)
3. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี
จากภาพเป็นโครงกระดูกรยางค์คู่หน้าของสัตว์มีกระดูกสันหลังบางชนิด ได้แก่ แขนมนุษย์
ขาแมว รยางค์คหู่ น้าของวาฬ และปีกค้างคาว โครงสร้างกระดูกรยางค์เหล่านีแ้ ม้ทา� หน้าทีแ่ ตกต่างกัน โครงสรางเหมือนกัน แตทําหนาที่แตกตาง
เพื่อการด�ารงชีวิตในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ เช่น แขนของคนใช้ส�าหรับการหยิบจับสิ่งของ ขาของ กัน เรียกวา โครงสรางที่มีตนกําเนิดเดียวกัน
แมวใช้สา� หรับการเดิน ครีบหน้าของวาฬใช้สา� หรับการว่ายน�า้ และปีกของค้างคาวใช้สา� หรับการบิน ซึ่งแสดงใหเห็นวาเปนสิ่งมีชีวิตมีความใกลชิด
แต่เมื่อพิจารณาถึงโครงกระดูกรยางค์จะพบว่ามีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้าง ทางสายวิวัฒนาการ
และต้นก�าเนิดเดียวกันถึงแม้ว่าจะท�าหน้าที่แตกต่างกัน เรียกโครงสร้างลักษณะนี้ว่าโครงสร้าง 4. ครูใหนักเรียนศึกษาโครงสรางของปกคางคาว
ที่มีต้นก�าเนิดเดียวกัน (homologous structure) และปกผีเสื้อ และถามคําถามนักเรียนวา
ในขณะเดียวกัน โครงสร้างภายนอกของสัตว์บางชนิด แม้ว่ามีลักษณะและหน้าที่คล้ายกัน • โครงสราง 2 โครงสรางนี้มีลักษณะเหมือน
แต่โครงสร้างภายในแตกต่างกัน เช่น ปีกผีเสื้อและปีกค้างคาว เรียกโครงสร้างที่มี หรือแตกตางกัน อยางไร
ลักษณะแตกต่างกันแต่ท�าหน้าที่เหมือนกันนี้ (แนวตอบ โครงสรางของปกคางคาวและ
ว่า โครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดต่างกัน (analogous ปกผีเสื้อ แมวาโครงสรางทั้ง 2 จะมีหนาที่
structure) เหมือนกัน แตโครงสรางภายในมีลักษณะ
ดั ง นั้ น สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี โ ครงสร้ า งที่ มี ต ้ น ตางกัน)
ก�าเนิดเดียวกันจะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน 5. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี
ซึ่ ง มี วิ วั ฒ นาการมาจากบรรพบุ รุ ษ เดี ย วกั น โครงสรางแตกตางกัน แตทําหนาที่เหมือนกัน
แต่สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดต่างกัน ภาพที่ 7.5 โครงสร้างที่แตกต่างกันของปีกผีเสื้อและ เรี ย กว า โครงสร า งที่ มี ต น กํ า เนิ ด ต า งกั น
จะถือว่าไม่มีความสัมพันธ์กันทางบรรพบุรุษ ปีกค้างคาว
แสดงใหเห็นวาเปนสิง่ มีชวี ติ ทีไ่ มมคี วามใกลชดิ
วิวัฒนาการ 103
ทางสายวิวัฒนาการ
T121
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
6. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาหลั ก ฐานจากวิ ท ยา 1.3 หลักฐานจากวิทยาเอ็มบริโอเปรียบเทียบ
เอ็มบริโอเปรียบเทียบ จากการพัฒนาการของ ในกรณีที่ไม่สามารถศึกษากายวิภาคเปรียบเทียบในระยะตัวเต็มวัยได้ นักชีววิทยาได้ศึกษา
เอ็มบริโอของสัตวมีกระดูกสันหลัง และถาม และพบว่าสัตว์บางชนิดมีระยะเอ็มบริโอ (embryo) ที่คล้า1ยคลึงกัน เช่น ปลา สัตว์เลื้อยคลาน นก
คําถามนักเรียนวา สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน�้านม และมนุษย์ ซึ่งในระยะเอ็มบริโอจะเจริญเติบโตเป็นขั้น ๆ ตั้งแต่ไข่ได้รับ
• เอ็มบริโอของสัตวมีกระดูกสันหลังตางๆ มี การผสมเป็นไซโกต 2แล้วไซโกตเจริญเป็นเอ็มบริโอซึง่ มีความคล้ายคลึงกัน ลักษณะดังกล่าวสามารถ
การพัฒนาเหมือนหรือแตกตางกัน อยางไร ใช้เป็นหลักฐานสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตได้เช่นกัน
(แนวตอบ ในระยะแรกของการเจริญของ
ช่องเหงือก
เอ็มบริโอของสัตวมกี ระดูกสันหลังเหลานีจ้ ะ ระยะเอ็มบริโอ หาง
มีลักษณะที่คลายคลึงกัน แตในระยะปลาย
จะมีการปรับเปลี่ยนรูปรางใหเหมาะสมตอ
การดํารงชีวิตของสัตวแตละชนิด เชน หาง
ระยะการพัฒนา ระยะกลาง
ยังพบอยูในสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ยกเวนมนุษย
หรือชองเหงือกจะพบเฉพาะในปลา และ
ซาลาเมนเดอรเทานั้น)
7. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การปรับเปลี่ยน
รูปรางใหเหมาะสมตอการดํารงชีวิตของสัตว ระยะปลาย
แตละชนิดในระยะปลายเปนผลจากการเกิด
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
ปลา ซาลามานเดอร์ เต่า นก สัตว์เลี้ยงลูก มนุษย์
อธิบายความรู้ ด้วยน�้านม
ภาพที่ 7.6 เอ็มบริโอและพัฒนาการหลังระยะเอ็มบริโอของสัตว์มีกระดูกสันหลังบางชนิด
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
หลักฐานจากกายวิภาคเปรียบทียบ จากภาพเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอของสัตว์มกี ระดูกสันหลัง พบว่า ระยะแรก ๆ
2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ จะมีอวัยวะบางอย่างคล้ายคลึงกัน เช่น การมีชอ่ งเหงือกและหาง แต่ตอ่ มาเมือ่ สัตว์มกี ระดูกสันหลัง
หลักฐานจากวิทยาเอ็มบริโอเปรียบเทียบ แต่ละชนิดเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัย ช่องเหงือกยังคงมีอยู่ในสัตว์บางชนิดเพื่อท�าหน้าที่ใน
การหายใจ เช่น ปลาและตัวอ่อนของซาลามานเดอร์ แต่ในสัตว์มีกระดูกสันหลังชนิดอื่น ๆ จะปรับ
เปลีย่ นไปในระหว่างการเจริญเติบโตเพือ่ ให้เหมาะสมกับการด�ารงชีวติ ส�าหรับส่วนหางยังคงพบอยู่
ในสัตว์หลายชนิดยกเว้นมนุษย์ ซึง่ ลักษณะทีค่ ล้ายคลึงกันในระหว่างการเจริญเติบโตของเอ็มบริโอนี้
อาจบ่งชี้ได้ว่าสัตว์มีกระดูกสันหลังเหล่านี้ต่างมีวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน แต่ในระยะ
ปลายเกิดการปรับเปลี่ยนรูปร่างขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเกิดวิวัฒนาการเพื่อให้เหมาะสมต่อการ
ด�ารงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันนั่นเอง
104
T122
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
1.4 หลักฐานด้านชีววิทยาระดับโมเลกุล 1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาหลั ก ฐานด า นชี ว วิ ท ยา
หลักฐานด้านชีววิทยาระดับโมเลกุลเป็นหลักฐานที่ละเอียดที่สุดในการระบุความสัมพันธ์ ระดั บ โมเลกุ ล ซึ่ ง เป น หลั ก ฐานที่ ร ะบุ ถึ ง
ของสิ่งมีชีวิต โดยสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มีดีเอ็นเอเป็นสารพันธุกรรม ซึ่งล�าดับเบสในสายดีเอ็นเอจะ ความสั ม พั น ธ ข องสิ่ ง มี ชี วิ ต โดยใช ก าร
ท�าหน้าที่เป็นรหัสพันธุกรรมในการสังเคราะห์โปรตีน ซึ่งการสังเคราะห์โปรตีนชนิดเดียวกันจะใช้ เปรี ย บเที ย บลํ า ดั บ เบสบนสายดี เ อ็ น เอของ
รหัสพันธุกรรมเดียวกัน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงล�าดับเบสในสายดีเอ็นเอจะมีผลต่อโปรตีนที่ถูก สิ่งมีชีวิต และใหนักเรียนศึกษาตารางที่ 7.2
สังเคราะห์และอาจท�าให้เกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เปรียบเทียบตําแหนงกรดอะมิโนในเฮโมโกลบิน
จากความก้าวหน้าของเทคนิคทางชีวเคมี ท�าให้สามารถวิเคราะห์หาล�าดับกรดอะมิโนใน ของสิง่ มีชวี ติ ตางๆ และถามคําถามนักเรียนวา
โปรตีนทีส่ า� คัญบางชนิดได้ โดยในสัตว์กลุม่ ใดกลุม่ หนึง่ จะมีลา� ดับกรดอะมิโนของโปรตีนทีค่ ล้ายคลึง • สิ่งมีชีวิตกลุมใดมีความสัมพันธใกลชิดกับ
กัน แต่จะมีความแตกต่างกันเฉพาะจุดเท่านั้น จุดทีแ่ ตกต่างกันของกรดอะมิโนจะเป็นเครือ่ งหมาย มนุษยมากที่สุด เพราะเหตุใด
บ่งชี้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการ ตัวอย่างเช่น ต�าแหน่งกรดอะมิโนในสายพอลิเพปไทด์ (แนวตอบ ลิงรีซัสจะมีความสัมพันธใกลชิด
ของเฮโมโกลบินที่แตกต่างกันระหว่างมนุษย์ ลิงรีซัส หนู ไก่ กบ และปลาปากกลม ดังตาราง กั บ มนุ ษ ย ม ากที่ สุ ด เนื่ อ งจากมี ตํ า แหน ง
กรดอะมิโนในเฮโมโกลบินแตกตางจากของ
ตารางที่ 7.2 : เปรียบเทียบต�ำแหน่งกรดอะมิโนในเฮโมโกลบินของสิง่ มีชวี ติ ต่ำงๆ ทีแ่ ตกต่ำงจำกมนุษย์
มนุษยนอยที่สุด)
สิ่งมีชีวิต จ�านวนต�าแหน่งกรดอะมิโนในเฮโมโกลบินที่แตกต่างจากมนุษย์
2. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า ลํ า ดั บ เบสบน
มนุษย์ 0
สายดี เ อ็ น เอสามารถระบุ ค วามใกล ชิ ด ทาง
ลิงรีซัส 8 สายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตได โดยสิ่งมีชีวิต
หนู 27 ที่มีลําดับเบสบนสายดีเอ็นเอแตกตางกันนอย
ไก่ 42 แสดงวามีความใกลชิดทางสายวิวัฒนาการ
กบ 67
ปลาปากกลม 127
T123
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
3. ครูใหนกั เรียนศึกษาหลักฐานทางชีวภูมศิ าสตร 1.5 หลักฐานทางชีวภูมิศาสตร
ซึง่ ศึกษาถึงการแพรกระจายพันธุข องสิง่ มีชวี ติ ชีวภูมิศาสตร (biogeography) เปนการศึกษาการกระจายพันธุของสิ่งมีชีวิตตาง ๆ ซึ่งเปน
ตางๆ และถามคําถามนักเรียนวา ขอมูลสําคัญสําหรับการศึกษาวิวัฒนาการ ทําใหทราบวาสิ่งมีชีวิตในปจจุบันมีวิวัฒนาการมาจาก
• เพราะเหตุใดนกฟนซบนหมูเ กาะกาลาปากอส สิ่งมีชีวิตในอดีต โดยลักษณะทางภูมิศาสตรที่แตกตางกันสงผลใหมีการกระจายพันธุของพืชและ
จึงมีหลากหลายสายพันธุ สัตวหลากหลายสปชีสออกไป และสิ่งกีดขวางบางอยาง เชน ภูเขา มหาสมุทร มีผลทําใหเกิดการ
( แนวตอบ เนื่ อ งจากการอพยพ และแพร แบงแยกและเกิดเปนสปชีสใหมในที่สุด
กระจายไปอยูตามเกาะตางๆ ในหมูเกาะ การศึ ก ษาการแพร ก ระจายของนกฟ น ซ ใ นหมู เ กาะ
กาลาปากอส ซึ่งแตละเกาะจะมีปจจัยที่ กาลาปากอส ซึ่งเปนหมูเกาะที่เกิดจากภูเขาไฟในมหาสมุทร
สงผลตอการดํารงชีวิตแตกตางกัน ทําให แปซิฟก ตอนใต และอยูห า งจากทวีปอเมริกาใตไปทางทิศตะวันตก
นกฟนซตองมีการปรับตัวเพื่อความอยูรอด ประมาณ 960 กิโลเมตร จากการศึกษาพบวานกฟนซในหมูเ กาะ
ในรูปแบบที่ตางกัน จึงทําใหในปจจุบันมี กาลาปากอสมี ลั ก ษณะคล า ยกั บ นกฟ น ซ ที่ อ าศั ย อยู ใ นทวี ป
นกฟนซหลายสายพันธุ) อเมริกาใตมากกวานกฟนซทอี่ าศัยอยูใ นหมูเ กาะอืน่ ๆ จึงอาจเปน
4. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา นกฟนซทมี่ ลี กั ษณะ ไปไดวาบรรพบุรุษของนกฟนซอาจอพยพและแพรกระจายจาก
แตกตางกันเปนผลมาจากการเกิดวิวฒ ั นาการ ทวีปอเมริกาใตมาอยูบนเกาะ เมื่อเวลาผานไปก็เกิดวิวัฒนาการ
เนื่ อ งจากแต เ ดิ ม เคยเป น สายพั น ธุ เ ดี ย วกั น ภาพที่ 7.7 การแพรกระจายของ
จนกลายเปนนกฟนซสายพันธุตาง ๆ ที่อาศัยอยูบนเกาะใน
นกฟนซบนหมูเกาะกาลาปากอส หมูเกาะกาลาปากอส 1
แตเมื่อมีการแพรกระจายจากทวีปอเมริกาใต
นอกจากนัน้ การศึกษาซากดึกดําบรรพของสัตวเลือ้ ยคลานในทวีปตาง ๆ พบวา มีความใกลเคียง
มาอยูบ นเกาะตางๆ ของหมูเ กาะกาลาปากอส
กันมาก และเมื่อเปรียบเทียบชั้นหินพบวาชั้นหินของทวีปตาง ๆ สามารถตอกันไดสนิทอีกดวย จึง
ทําใหเกิดวิวัฒนาการของนกฟนซตามแหลง
ทําใหเชื่อไดวาทวีปตาง ๆ เคยเชื่อมตอเปนแผนดินผืนเดียวกันมากอน
ที่อยูอาศัยที่แตกตางกัน เพื่อใหเหมาะสมตอ
การดํารงชีวิตในสภาพแวดลอมที่แตกตางกัน บริเวณที่พบซากดึกดําบรรพ
แอฟริกา ของลิสโทรซอลัส ซึง่ เปนสัตว
อินเดีย เลื้ อ ยคลานโบราณที่ อ าศั ย
อธิบายความรู อยูบนบก
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ อเมริกาใต ออสเตรเลีย
หลักฐานดานชีววิทยาระดับโมเลกุล แอนตารติก
2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ บริเวณที่พบซากดึกดําบรรพ
หลักฐานทางชีวภูมิศาสตร ของไซโนกาทัส ซึ่งเปนสัตว บริเวณที่พบซากดึกดําบรรพ
เลื้ อ ยคลานโบราณที่ อ าศั ย กลอสโซพเทรีส ซึ่งเปนพืช
3. ครูใหนกั เรียนทําใบงาน เรือ่ ง ความใกลชดิ ทาง บนบก บริเวณที่พบซากดึกดําบรรพ ตระกูลเฟรนชนิดหนึ่ง
สายวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ของมีโซซอรัส ซึ่งเปนสตว
เลื้ อ ยคลานโบราณที่ อ าศั ย
อยูในนํ้าจืด
ภาพที่ 7.8 ซากดึกบรรพของสัตวเลื้อยคลานในทวีปตาง ๆ
106
T124
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
Homo erectus
ศาสตร์ทราบว่ามนุษย์แยกสาย
วิ วั ฒ นาการมาจากไพรเมต 1 2 Homo habilis
มีวิวัฒนาการสูงขึ้นก็จะมีความจุของสมอง
กลุ่มลิงไม่มีหาง 2(ape) เมื่อ Australopithecus robustus เพิ่ ม มากขึ้ น ส ง ผลต อ ความสามารถใน
ไพลโอซีน
วิวัฒนาการ 107
T125
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ จากหลักฐานกระดูกเชิงกราน กระดูกกะโหลกศีรษะ และรอยเท้าบนหิน บ่งชี้ว่า
วิวัฒนาการของมนุษย A. afarensis มีการเดิน 2 ขา มีแขนยาวกว่ามนุษย์ปัจจุบัน ซึ่งเหมาะกับการเคลื่อนที่บนต้นไม้
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง วิวัฒนาการของ จึงเชือ่ กันว่า สามารถเคลือ่ นทีไ่ ด้ทงั้ พืน้ ดินและบนต้นไม้ ซึง่ เหมาะกับลักษณะสภาพแวดล้อมทีเ่ ป็น
มนุษย ป่าโปร่งและต้นไม้ ล�าตัวมีความสูงประมาณ 1-1.5 เมตร สมองมีความจุ 400-500 ลบ.ซม. มีฟัน
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด ที่ปรับเปลี่ยนมาให้กินอาหารได้หลายแบบ รู้จักการสร้างเครื่องมือแบบง่าย ๆ อีกทั้งยังพบว่า
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 A. afarensis มีช่วงเวลาในการด�ารงพันธุ์ได้นานถึง 1 ล้านปี และเป็นบรรพบุรุษของออสตราโลพิ-
เทคัสสปีชีส์อื่น ๆ และมนุษย์ในจีนัสโฮโมด้วย
2. โฮโม (Homo) มีหลักฐานสนับสนุนว่ามีวิวัฒนาการเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 2 ล้านปีที่
ผ่านมา โดยอาศัยอยูใ่ นทวีปแอฟริกา ซึง่ เป็นช่วงเวลาทีอ่ อสตราโลพิเทคัสยังไม่สญู พันธุ์ ซึง่ พบอยู่
หลายสปีชีส์ ดังนี้
- Homo habilis มีอายุมากที่สุด มีความจุสมอง
ประมาณ 600-750 ลบ.ซม. มีน�้าหนักประมาณ 40-50 กิโลกรัม
ล�าตัวตั้งตรงและเดิน 2 ขา มีกระดูกปลายนิ้วมือคล้ายกับมนุษย์
ปัจจุบนั แต่มขี นาดใหญ่กว่า แสดงว่ามีทกั ษะการใช้มอื และหยิบจับ
สิ่งของได้ดี อีกทั้งยังพบหินที่น�ามาประดิษฐ์เครื่องใช้อยู่บริเวณ
เดียวกันที่พบซากดึกด�าบรรพ์ แสดงว่า H. habilis เริ่มใช้สมอง
และมือประดิษฐ์สิ่งของเครื่องใช้จากหินเพื่อใช้ด�ารงชีวิต โดย
ภาพที่ 7.11 กะโหลกศีรษะของ H. habilis ถือเป็นไพรเมตกลุม ่ แรกทีจ่ ดั อยูใ่ นสกุลเดียวกันมนุษย์
H. habilis
แม้ว่าจะต่างสปีชีส์กับมนุษย์ในปัจจุบันก็ตาม
- Homo erectus เป็นมนุษย์สปีชีส์แรกที่อพยพออกจากแอฟริกา พบในแถบเอเชีย
รวมทั้งหมู่เกาะอินโดนีเชีย ซากดึกด�าบรรพ์ที่พบและรู้จักกันดี คือ มนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง
H. erectus มีอายุประมาณ 1.8 ล้านปีถึง 500,000 ปี ตั้งถิ่นฐาน
อยูใ่ นเอเชียไม่นอ้ ยกว่า 1.5 ล้านปี โดยมีรา่ งกายสูงและมีความจุ
สมองประมาณ 1,100 ลบ.ซม. ซึ่งเพศชายมีล�าตัวใหญ่เป็น
1.2 เท่าของเพศหญิง มนุษย์ยุคนี้เริ่มรู้จักการใช้ไฟและประดิษฐ์
เครือ่ งมือจากหินได้ดี มีความประณีตมากขึน้ ขนาดสมองทีโ่ ตขึน้
ของ H. erectus น่าจะมีความสัมพันธ์กับการพัฒนาทางด้าน
วัฒนธรรม สังคมและการใช้ภาษา ในขณะทีม่ กี ารแพร่กระจายของ
ภาพที่ 7.12 กะโหลกศีรษะของ H. erectus จากแอฟริกามายังเอเชีย พบว่า H. erectus บางส่วน
H. erectus ได้อพยพเข้าไปอยู่ในแถบยุโรปด้วยเช่นกัน
108
ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
- Homo sapiens มีวิวัฒนาการมาจาก H. erectus โดยซับสปีชีส์แรกที่พบคือ มนุษย์ ครูใหนกั เรียนทํารายงาน เรือ่ ง วิวฒ
ั นาการของ
นีแอนเดอร์ทลั (Neanderthal man) มีชวี ติ อยูเ่ มือ่ ประมาณ 200,000-30,000 ปีทผี่ า่ นมา จากหลักฐาน มนุษย โดยการสืบคนหลักฐานดานตางๆ ทีส่ ามารถ
ซากดึกด�าบรรพ์พบว่า มนุษย์นีแอนเดอร์ทัลมีสมองขนาดใหญ่เหมือนกับมนุษย์ปัจจุบัน มีความจุ อธิบายถึงการเกิดวิวฒ ั นาการของมนุษยได
ประมาณ 1,400 ลบ.ซม. แต่กะโหลกศีรษะมีกระดูกคิ้วยื่นออกมา จมูกกว้าง คางสั้น จึงจัดให้
มนุษย์นีแอนเดอร์ทัลอยู่ในสปีชีส์เดียวกับมนุษย์ปัจจุบัน แต่แยก
เป็นซับสปีชีส์ คือ H. sapiens neanderthalensis โดยมนุษย์ ขัน้ ประเมิน
นีแอนเดอร์ทัล มีการอยู่รวมกันเป็นชุมชน ล่าสัตว์ร่วมกัน รู้จัก ตรวจสอบผล
การใช้ไฟ ใช้หนังสัตว์นุ่งห่ม เริ่มมีวัฒนธรรมการฝังศพที่ตกแต่ง 1. ครูตรวจสอบผลจากแบบทดสอบกอนเรียน
ด้วยดอกไม้ และฝังศพพร้อมกับเครื่องมือเครื่องใช้ อีกทั้งยังพบ 2. ครูตรวจสอบผลจากรายงาน และปายนิเทศ
ซากกะโหลกของหมีในถ�า้ ซึง่ อาจเป็นส่วนหนึง่ ของพิธกี รรมทาง
จากกิจกรรม ซากดึกดําบรรพของสิ่งมีชีวิต
ศาสนา มนุษย์นีแอนเดอร์ทัลพบกระจายในบริเวณต่าง ๆ ตั้งแต่
ภาพที่ 7.13 กะโหลกศีรษะของ 3. ครูตรวจสอบผลจากรายงาน เรือ่ ง วิวฒ
ั นาการ
ยุโรป ตะวันออกกลาง แอฟริกา ไปจนถึงประเทศจีน
H. sapiens ของมนุษย
- มนุษย์โครแมนยอง (Cro-magnon man) อยูซ่ บั สปีชสี ์
4. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง ความใกลชดิ
เดียวกับ H. sapiens sapiens มีวิวัฒนาการเกิดขึ้นเมื่อ 40,000
ปีที่ผ่านมา และสูญพันธุ์ไปเมื่อ 20,000 ปีที่ผ่านมา โดยมีขนาด ทางวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
สมองใกล้เคียงกับมนุษย์ปจั จุบนั ประมาณ 1,400 ลบ.ซม. มีความ 5. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรื่อง วิวัฒนาการ
สามารถในการล่าสัตว์ และมีหลักฐานพบว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วย ของมนุษย
น�้านมหลายชนิดในยุคนั้นเริ่มสูญพันธุ์ จึงเชื่อว่าเกิดจากการ 6. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถามใน
ล่าสัตว์ของมนุษย์โครแมนยอง โดยใช้เครื่องมือที่ประดิษฐ์จาก แบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
หินและใช้หอกในการล่าสัตว์ มีความสามารถในการวาดภาพสัตว์ซงึ่
พบหลักฐานจากถ�า้ หลายแห่ง มีการแกะสลักกระดูกและเขากวาง ภาพที่ 7.14 กะโหลกศีรษะของ
เป็นรูปต่าง ๆ และมีการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชนที่มีกฏเกณฑ์ มนุษย์โครแมนยอง
B iology
Focus สมมุติฐานของก�าเนิดมนุษย์ยุคปจจุบัน
(วิเคราะหคําตอบ มนุษยโครแมนยองอยูซับสปชีสเดียวกับมนุษย
คาชี้แจง : ให้ผู้สอนประเมินชิ้นงาน/ภาระงานของนักเรียนตามรายการที่กาหนด แล้วขีด ลงในช่องที่ตรงกับ ระดับคะแนน
ระดับคะแนน ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน
3 2 1
ระดับคะแนน
ลาดับที่ รายการประเมิน 1 เนื้อหาละเอียดชัดเจน
4 3 2 1
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
T127
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ น�า
กระตุน้ ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน เพราะเหตุใด จึงเชือ่ วา 2. แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
ความรูของนักเรียน สิง่ มีชวี ติ มีววิ ฒ
ั นาการ ของสิ่งมีชีวิต
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา นักวิทยาศาสตร เกิดขึน ้
ในอดีตมีความเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ บนโลกเกิดจาก
หลายทานพยายามเสนอแนวคิดเพื่ออธิบาย
พระเจ้าเป็นผู้สร้าง จนสมัยกรีกโบราณมีนักปรัชญาหลายท่าน
ว า สิ่ ง มี ชี วิ ต มี วั ฒ นาการเกิ ด ขึ้ น จริ ง ซึ่ ง มี ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตซึ่งยังขัดกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่ จนมี
นักวิทยาศาสตร 2 ทาน ทีเ่ สนอแนวคิดเกีย่ วกับ การค้นพบซากดึกด�าบรรพ์ของสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธ์ไปแล้ว รวมทั้งสภาพภูมิศาสตร์ของโลกมีการ
วิวัฒนาการที่สําคัญ คือ ฌอง ลามารก และ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จึงเชื่อว่าสิ่งมีชีวิตน่าจะปรับตัวให้สามารถด�ารงชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่
ชาลส ดารวิน เปลี่ยนแปลงได้
นักวิทยาศาสตร์หลายท่านพยายามเสนอแนวคิดเพื่ออธิบายว่าวิวัฒนาการมีจริงและเกิดขึ้น
ขัน้ สอน ได้อย่างไร โดยอาศัยหลักฐานด้านต่าง ๆ เพื่อยืนยันแนวโน้มการเกิดวิวัฒนาการ แนวคิดเกี่ยวกับ
ส�ารวจค้นหา วิวัฒนาการของนักวิทยาศาสตร์ที่ส�าคัญ มีดังนี้
1. ค รู ใ ห นั ก เ รี ย น ศึ ก ษ า แ น ว คิ ด เ กี่ ย ว กั บ 2.1 แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของลามาร์ก
วิ วั ฒ น า ก า ร ข อ ง ล า ม า ร ก ซึ่ ง เ ป น นั ก ในระหว่างปี พ.ศ. 2287-2372 ฌอง ลามาร์ก (Jean Lamarck)
วิ ท ยาศาสตร ค นแรกๆ ที่ นํ า เสนอแนวคิ ด นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส เป็นคนแรก ๆ ที่น�าเสนอแนวคิด
เกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต โดยเสนอ เกีย่ วกับวิวฒ
ั นาการ จากการเปรียบเทียบลักษณะของสิง่ มีชวี ติ ใน
แนวคิด 2 ประเด็น ไดแก กฎการใชและไมใช ยุคนั้นกับหลักฐานซากดึกด�าบรรพ์ที่ได้รวบรวมไว้ในพิพิธภัณฑ์
และกฎแหงการถายทอดลักษณะทีเ่ กิดขึน้ ใหม ลามาร์กได้เสนอแนวคิดเพื่ออธิบายว่าสิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยน
แปลงโครงสร้างให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมในขณะเกิด
วิวัฒนาการได้ 2 ประเด็น ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันอย่างแพร่หลาย
ภาพที่ 7.15 ฌอง ลามาร์ก
ประเด็นที่ 1 กล่าวว่า อวัยวะส่วนใดที่มีการใช้งานมากใน
(พ.ศ.2287-2372) การด� า รงชีวติ จะมีขนาดใหญ่และแข็งแรงขึน้ ส่วนอวัยวะทีไ่ ม่คอ่ ย
ได้ใช้งานจะอ่อนแอลง และเสื่อมลงไปในที่สุด เรียกแนวคิดนี้ว่า กฏการใช้และไม่ใช้ (Law of use
and disuse)
แนวตอบ Prior Knowledge
ประเด็นที่ 2 กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นโดยการใช้และไม่ใช้
เนื่ อ งจากมี ก ารพบหลั ก ฐานหลายอย า งที่ จะยังคงอยู่ภายในชั่วรุ่นนั้น และสามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานต่อไปได้ เรียกแนวคิดนี้ว่า
สนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต เชน กฏแห่งการถ่ายทอดลักษณะที่เกิดขึ้นมาใหม่ (Law of inheritance of acquired characteristic)
หลักฐานจากซากดึกดําบรรพ ซึ่งพบวามีลักษณะ ลามากร์กใช้ทฤษฏีทั้ง 2 ประเด็นอธิบายการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขาของสัตว์พวกงู
ที่แตกตางจากสิ่งมีชีวิตในปจจุบัน หรือหลักฐาน เนื่องจากโครงกระดูกของงูยังมีซากขาเหลือติดอยู่ ซึ่งลามาร์คอธิบายว่างูอาศัยในสิ่งแวดล้อมที่
ดานชีววิทยาระดับโมเลกุล ซึ่งพบวาสิ่งมีชีวิต เป็นพงหญ้ารกทึบ การเลือ้ ยไปท�าให้ลา� ตัวยาว ส่วนขาทีไ่ ม่ได้ใช้งานจึงค่อย ๆ ลดขนาดเล็กลงและ
บางชนิดมีลําดับเบสบนสายดีเอ็นเอที่แตกตางกัน หายไป ลักษณะนี้ถ่ายทอดไปได้ ท�าให้งูรุ่นต่อ ๆ มาจึงไม่มีขา
เพียงเล็กนอย แตบางชนิดก็มีความแตกตางกัน 110
ขอสอบเนน การคิด
ขอใดกลาวเกี่ยวกับวิวัฒนาการของลามารกไดถูกตอง
1. สิ่งมีชีวิตจะปรับตัวใหเหมาะสมตอการดํารงชีวิตในสิ่งแวดลอม
2. สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะไมเหมาะสมจะถูกคัดทิ้งออกจากกลุมประชากร
3. โครงสรางที่เปลี่ยนแปลงในรุนพอแมจะไมสามารถถายทอดไปยังรูนลูกเสมอไป
4. โครงสรางที่มีการใชงานมากจะมีขนาดใหญ แตโครงสรางที่ไมไดใชงานจะมีขนาดเล็ก
5. สิง่ มีชวี ติ ทีม่ ลี กั ษณะเหมาะสมตอสิง่ แวดลอมเทานัน้ ทีจ่ ะสามารถถายทอดพันธุกรรมตอไปได
(วิเคราะหคําตอบ ลามารก เสนอแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตไว 2 ประเด็น ไดแก
ประเด็นที่ 1 กฎการใชและไมใช (Law of use and disuse) มีใจความสําคัญวา อวัยวะสวนใด
ที่มีการใชงานมากในการดํารงชีวิตจะมีขนาดใหญและแข็งแรง สวนอวัยวะที่ไมคอยไดใชงาน
จะออนแอลง และเสื่อมไปในที่สุด
ประเด็นที่ 2 กฎการถายทอดลักษณะที่เกิดขึ้นใหม (Law of inheritance of acquired char-
acteristic) มีใจความสําคัญวา การเปลีย่ นแปลงโครงสรางของสิง่ มีชวี ติ ทืเ่ กิดขึน้ โดยการใชและไม
ใชจะยังคงอยูภ ายในชัว่ รุน นัน้ และสามารถถายทอดไปยังรุน ลูกหลานตอไปได ดังนัน้ ตอบขอ 4.)
T128
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
อี ก ทั้ ง ลามาร์ ก ยั ง ใช้ แ นวคิ ด ทั้ ง สอง 1 2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาลั ก ษณะคอและขายาว
ประเด็นอธิบายการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของ ของยีราฟจากทฤษฎีวิวัฒนาการของลามารก
ยีราฟที่มีลักษณะคอและขายาวในปัจจุบันว่า และถามคําถามนักเรียนวา
จากหลักฐานซากดึกด�าบรรพ์ของยีราฟในอดีต • ลักษณะคอและขายาวของยีราฟเกิดขึ้นได
บรรพบุรุษของยีราฟมีคอสั้นกว่ายีราฟปัจจุบัน อยางไร
ซึง่ กินใบอ่อนบนยอดไม้เป็นอาหาร เมือ่ ใบอ่อน (แนวตอบ ลามารก อธิบายวา ในอดีตยีราฟ
บริเวณด้านล่างถูกกินหมดจึงต้องยืดคอเพือ่ กิน มี ค อและขาสั้ น ซึ่ ง จะกิ น ใบอ อ นบริ เ วณ
ใบไม้จากต้นไม้ทสี่ งู ขึน้ และเนือ่ งจากการยืดคอ 2 ดานลางของตนไมเปนอาหาร แตเมื่อใบ
อย่างเดียวนัน้ ยังไม่เพียงพอจึงต้องเขย่งขาเพิม่ ออนบริเวณดานลางหมด จึงตองยืดคอและ
ด้วย เมื่อเวลาผ่านไปจึงท�าให้ยีราฟมีคอและ เขยงขาเพือ่ กินใบออนทีอ่ ยูด า นบน จึงทําให
ขายาวขึ้น เมื่อยีราฟตัวนี้มีลูก ลูกที่เกิดมาจะมี ยีราฟมีคอและขายาว และสามารถถายทอด
คอและขายาวเหมือนแม่ และเป็นเช่นนี้ไป ลักษณะเหลานี้ไปยังรุนลูกหลานได)
หลายชั่วรุ่น ซึ่งเป็นสาเหตุให้ยีราฟรุ่นต่อ ๆ มา 3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ลามารก อธิบาย
มีคอยาวขึน้ เรือ่ ย ๆ จนในทีส่ ดุ ยีราฟจึงมีลกั ษณะ 3 ลักษณคอยาวของยีราฟวา บรรพบุรษุ ของยีราฟ
คอและขายาวอย่างที่เห็นในปัจจุบัน มีคอสั้นซึ่งกินใบออนบนยอดไมเปนอาหาร
เนือ่ งจากแนวคิดเกีย่ วกับวิวฒ ั นาการของ เมื่อใบออนบริเวณดานลางถูกกินหมดจึงตอง
ลามาร์กเป็นแนวคิดทีไ่ ม่มหี ลักฐานสนับสนุนว่า ยื ด คอเพื่ อ กิ น ใบไม จ ากต น ไม ที่ สู ง ขึ้ น และ
ลักษณะที่เกิดขึ้นมาใหม่ในชั่วชีวิตนั้นสามารถ เนื่องจากการยืดคออยางเดียวยังไมเพียงพอ
ถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อไปได้ ท�าให้ไม่ได้รับการ จึงตองเขยงขาดวย เมื่อเวลาผานไปจึงทําให
ยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้น ภาพที่ 7.16 ทฤษฎีการยืดคอและขาของยีราฟของลามาร์ก ยีราฟมีคอและขายาวขึน้ และสามารถสืบพันธุ
ในระหว่างปี พ.ศ. 2377-2457 เอากุสต์ ไวส์มันน์ (August Weisman) นักวิทยาศาสตร์ชาว ใหกําเนิดยีราฟรุนลูกที่มีคอและขายาว
เยอรมัน ท�าการทดลองตัดหางหนูประมาณ 20 ชั่วรุ่น จากผลการทดลอง พบว่า หนูที่เกิดใหม่
ยังคงมีหางตามปกติ จากผลการทดลองนี้จึงเป็นการคัดค้านแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของ
ลามาร์กอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม จากแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของลามาร์กได้กระตุ้นให้นักวิทยาศาสตร์เริ่ม
คิดว่า วิวัฒนาการเกิดขึ้นได้อย่างไร อีกทั้งลามาร์กยังเป็นนักวิทยาศาสตร์คนแรก ๆ ที่ยอมรับว่า
โลกได้ก�าเนิดมาหลายพันล้านปี สภาพแวดล้อมในแต่ละยุคมีความแตกต่างกันซึ่งเป็นแรงผลักดัน
ให้สิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่แตกต่างไปจากชนิดเดิมหรือเกิด
วิวัฒนาการนั่นเอง
วิวัฒนาการ 111
ขอสอบเนน การคิด
ลามารกใชแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการมาอธิบายลักษณะคอยาวของยีราฟไวอยางไร
(วิเคราะหคําตอบ ลามารก อธิบายวา ในอดีตยีราฟมีคอสั้น ซึ่งกินใบออนของตนไมเปนอาหาร
แตเมื่อใบออนบริเวณดานลางถูกกินหมด ทําใหยีราฟตองยืดคอใหยาวขึ้นเพื่อกินใบออนบนตนที่
อยูสูงขึ้น ซึ่งเมื่อเวลาผานไปทําใหยีราฟมีคอยาวขึ้น ซึ่งตรงกับกฎการใชและไมใชของลามารก
ที่กลาวไววา อวัยวะสวนใดที่มีการใชงานมากในการดํารงชีวิตจะมีขนาดใหญและแข็งแรง สวน
อวัยวะที่ไมคอยไดใชงานจะออนแอลง และเสื่อมไปในที่สุด และลักษณะคอยาวของยีราฟที่เกิด
ขึ้นยังสามารถถายทอดไปยังลูกหลานของยีราฟได ทําใหยีราฟในปจจุบันมีคอยาว ซึ่งตรงกับ
กฎการถายทอดลักษณะที่เกิดขึ้นใหมของลามารก ที่กลาวไววา การเปลี่ยนแปลงโครงสรางของ
สิ่งมีชีวิตทื่เกิดขึ้นโดยการใชและไมใชจะยังคงอยูภายในชั่วรุนนั้น และสามารถถายทอดไปยังรุน
ลูกหลานตอไปได)
T129
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
4. ค รู ใ ห นั ก เ รี ย น ศึ ก ษ า แ น ว คิ ด เ กี่ ย ว กั บ 2.2 แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของดาร์วิน
วิวฒั นาการของดารวนิ ซึง่ เปนนักวิทยาศาสตร
ที่ไดรับการยกยองวาเปนบิดาของการศึกษา ในระหว่างปี พ.ศ. 2352-2425 ชาลส์ ดาร์วิน (Charles
Darwin) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ผู้ซึ่งได้รับการยกย่อง
วิ วั ฒ นาการของสิ่ ง มี ชี วิ ต โดยการศึ ก ษา
ว่าเป็นบิดาของการศึกษาวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ดาร์วินได้
ความหลากหลายของสิ่ ง มี ชี วิ ต บนหมู เ กาะ
เดินทางส�ารวจสิ่งมีชีวิตในทวีปอเมริกาใต้และหมู่เกาะต่าง ๆ ใน
กาลาปากอส เชน นกฟนซ และถามคําถาม มหาสมุทรแปซิฟิก ระหว่างการเดินทางดาร์วินได้บันทึกและ
นักเรียนวา รวบรวมซากดึกด�าบรรพ์ รวมทั้งเก็บตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตที่พบ
ï• เพราะเหตุใดนกฟนซบนหมูเ กาะกาลาปากอส โดยดาร์วินสังเกตเห็นว่าสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ที่อาศัยอยู่ใน
จึงมีจะงอยปากที่แตกตางกัน สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันหรือในสภาพแวดล้อมที่คล้ายคลึง
(แนวตอบ แตเดิมนกฟนซกลุมแรกที่เขามา ภาพที่ 7.17 ชาลส์ ดาร์วิน กันแต่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลกันจะมีความแตกต่างกัน
(พ.ศ.2352-2425)
อาศัยในบริเวณนีอ้ าจไมไดมลี กั ษณะทีห่ ลาก
หลาย แตเมือ่ ประชากรนกฟนซเพิม่ มากขึน้ ในระหว่างการเดินทางดาร์วนิ ได้ศกึ ษาแนวคิดของชาลส์ ไลเอลล์ (Charles Lyell) จากหนังสือ
เรื่องหลักธรณีวิทยา (The Principles of Geology) ซึ่งกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดขึ้น
ทําใหอาหารขาดแคลน และประชากรนกฟนซ
อย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าโลกจะเกิดขึ้นมานานหลายพันล้านปีก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ยังคง
ส ว นน อ ยที่ มี จ ะงอยปากแตกต า งไปที่
เกิดขึน้ อยูเ่ สมอ นับเป็นการจุดประกายความสงสัยของดาร์วนิ ว่า สิง่ มีชวี ติ น่าจะมีการเปลีย่ นแปลง
สามารถกินอาหารอื่นแทนได จึงสามารถ ได้เช่นเดียวกับเปลือกโลก
สื บ พั น ธุ เ พิ่ ม จํ า นวนประชากรได ม ากขึ้ น
ส ง ผลต อ ประชากรของนกฟ น ซ ใ ห มี ก าร ในปี พ.ศ. 2378 ดาร์วินเดินทางมาถึงหมู่เกาะกาลาปากอสในมหาสมุทรแปซิฟิก พบว่า
เปลี่ยนแปลงอยางคอยเปนคอยไป ซึ่งจาก
มีสิ่งมีชีวิตมากมายหลายชนิด ซึ่งแต่ละบริเวณของเกาะจะมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่เหมือนกันเลย ดาร์วิน
จึงเก็บตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ และจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ไว้มากมาย ตัวอย่าง
กระบวนการนี้ทําใหนกฟนซมีจะงอยปาก
สิ่งมีชีวิตที่ดาร์วินสังเกตพบในหมู่เกาะกาลาปากอส เช่น นกฟินซ์ ดาร์วินได้สังเกตพบว่านกฟินซ์
หลายแบบดังที่เห็นในปจจุบัน)
ที่พบแพร่กระจายอยู่ตามเกาะต่าง ๆ มีมากถึง 14 ชนิด ในขณะ
ที่บนแผ่นดินใหญ่มีเพียงชนิดเดียว นกฟินซ์ที่พบแต่ละชนิดมี
ขนาดและรูปร่างของจะงอยปากที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับแหล่ง
อาหารของเกาะนั้น ๆ ดาร์วินเชื่อว่าบรรพบุรุษของนกฟินซ์บน
เกาะกาลาปากอสน่าจะมีบรรพบุรุษมาจากนกฟิ
1 นซ์บนแผ่นดิน
ใหญ่ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางธรณีจึงท�าให้หมู่เกาะแยกออก
จากแผ่นดินใหญ่ ท�าให้เกิดการแปรผันทางพันธุกรรมของบรรพ-
บุรุษนกฟินซ์ เมื่อเวลายิ่งผ่านยาวนานขึ้นท�าให้เกิดวิวัฒนาการ
ภาพที่ 7.18 นกฟินซ์บนหมู่เกาะ จนกลายเป็นนกฟินซ์สปีชีส์ใหม่ขึ้น
กาลาปากอส
112
T130
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
5. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ï• แนวคิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติสามารถ
นํามาอธิบายลักษณะคอยาวของยีราฟได
แมล
ง อยางไร
ผลไม เ ม ล็ ด แ ล ะ ตร้นช (แนวตอบ บรรพบุรุษของยีราฟมีทั้งสายพันธุ
คอสั้ น และสายพั น ธุ ค อยาว โดยยี ร าฟ
้ กระบองเพ
สายพันธุคอยาวสามารถกินยอดออนไดทั้ง
ดานลาง และยอดออนบนตนไมสูง แตพวก
เ ม ล็ ด สายพั น ธุ ค อสั้ น จะสามารถกิ น ได เ ฉพาะ
ยอดอ อ นด า นล า งเท า นั้ น ดั ง นั้ น ยี ร าฟ
สายพันธุค อยาวจะสามารถดํารงชีวติ และมี
โอกาสสืบพันธุไดมากกวาสายพันธุคอสั้น
ภาพที่ 7.19 ลักษณะจะงอยปากที่แตกต่างกันของนกฟินซ์ในหมู่เกาะกาลาปากอส ทํ า ให ยี ร าฟสายพั น ธุ ค อยาวเพิ่ ม จํ า นวน
ไดมากขึ้นในรุนตอๆ มา จนในปจจุบันมี
ภายหลังการเดินทางที่ยาวนานถึง 5 ปี เมื่อเดินทางกลับถึงประเทศอังกฤษ ดาร์วินจึงได้
เฉพาะยีราฟสายพันธุคอยาวเทานั้น)
เริม่ ศึกษาเกีย่ วกับสิง่ มีชวี ติ ทีไ่ ด้บนั ทึกและเก็บตัวอย่างมายาวนานตลอดการเดินทาง รวมทัง้ ศึกษา
บทความเกี่ยวกับอัตราการเพิ่มประชากรของโทมัส มัลทัส (Thomas Malthus) จากข้อมูลต่าง ๆ อธิบายความรู
เหล่านี้ ท�าให้ดาร์วนิ เริม่ เข้าใจเกีย่ วกับกลไกการเกิดวิวฒ ั นาการของสิง่ มีชวี ติ ดาร์วนิ คิดว่าสิง่ มีชวี ติ
มีความหลากหลายตามธรรมชาติและปัจจัยทางธรรมชาติ เช่น ปริมาณอาหารที่มีอยู่อย่างจ�ากัด 1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับแนวคิด
ท�าให้สิ่งมีชีวิตที่เหมาะสมกว่าเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดและถ่ายทอดลักษณะที่เหมาะสมกับสภาพ เกี่ยวกับวิวัฒนาการของลามารก
แวดล้อมนั้นไปสู่ลูกหลาน ท�าให้สิ่งมีชีวิตในปัจจุบันมีลักษณะแตกต่างจากสิ่งมีชีวิตที่มีในอดีต 2. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกีย่ วกับแนวคิด
ลักษณะดังกล่าวถือเป็นการปรับตัวเชิงวิวัฒนาการ (evolutionary adaptation) ของสิ่งมีชีวิตให้เข้า เกี่ยวกับวิวัฒนาการของดารวิน
กับสภาพแวดล้อมเพื่อเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ และเกิดเป็นแนวคิดของดาร์วิน คือ ทฤษฎี
การคัดเลือกโดยธรรมชาติ (theory of natural selection)
B iology
Focus อัตราการเพิ่มประชากรของโทมัส มัลทัส
T131
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ดารวินไดเสนอ ดาร์วินใช้ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติอธิบายลักษณะคอของยีราฟว่า บรรพบุรุษของ
ผลงานร ว มกั บ อั ล เฟรด รั ส เซล วอลเลซ ยีราฟมีทั้งพวกคอสั้นและคอยาว พวกยีราฟที่คอยาวสามารถกินยอดไม้ได้ทั้งยอดไม้พุ่มเตี้ยและ
ที่ มี แ นวคิ ด เช น เดี ย วกั บ ของดาร วิ น โดยมี ยอดไม้บนต้นไม้สูง ในขณะที่พวกที่มีคอสั้นจะสามารถกินได้เฉพาะยอดไม้พุ่มเตี้ยเท่านั้น ดังนั้น
สาระสําคัญวา สิ่งมีชีวิตมีวิวัฒนาการเกิดขึ้น ยีราฟทีม่ คี อยาวจะสามารถด�ารงชีวติ และมีลกู ได้มากกว่าพวกคอสัน้ ท�าให้ยรี าฟคอยาวเพิม่ จ�านวน
ซึ่ ง มี ก ลไกการคั ด เลื อ กโดยธรรมชาติ ก อ ให ได้มากขึ้นในรุ่นต่อ ๆ มา จนในปัจจุบันมีเฉพาะยีราฟคอยาวเท่านั้น
เกิดวิวัฒนาการ ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซ (Alfred
2. ครูใหนักเรียนศึกษาขอสรุปของเมียรจากการ Russel Wallace) นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ศึกษาความ
วิเคราะหทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ หลากหลายของสิ่งมีชีวิตในหมู่เกาะมาเลย์ และเสนอผลงาน
ที่มีเนื้อหาตรงกับแนวคิดการเกิดวิวัฒนาการจากการคัดเลือก
โดยธรรมชาติของดาร์วิน
ในปี พ.ศ. 2401 อัลเฟรดและดาร์วนิ ได้รว่ มกันเสนอผลงาน
ดังกล่าวในที่ประชุมวิทยาศาสตร์ และในปี พ.ศ. 2402 ดาร์วิน
ได้ตีพิมพ์ผลงานของตัวเองในหนังสือเรื่อง ว่าด้วยก�าเนิดสปีชีส์
ภาพที่ 7.21 อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซ โดยการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (On the Origin of Species by
(พ.ศ.2366-2456) Means of Natural Selection) โดยมีสาระส�าคัญ คือ สิ่งมีชีวิต
มีวิวัฒนาการเกิดขึ้น โดยมีกลไกการคัดเลือกโดยธรรมชาติที่ก่อให้เกิดวิวัฒนาการ ซึ่งขัดต่อ
ความเชื่อของชาวตะวันตกอย่างรุนแรงเพราะดาร์วินแสดงให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง
มาจากบรรพบุรษุ จนท�าให้เกิดความคิดว่ามนุษย์เองก็ไม่ได้มหี น้าตาอย่างทีเ่ ห็นในปัจจุบนั มาตัง้ แต่
แรกเริม่ แต่เนือ่ งด้วยข้อมูลและหลักฐานประกอบมากมายท�าให้แนวคิดของดาร์วนิ ได้รบั ความสนใจ
และเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง
ภายหลังจากการเสนอแนวคิดของดาร์วนิ
ไม่ น าน ได้ มี ผู ้ ค ้ น พบซากดึ ก ด� า บรรพ์ ข อง
สัตว์เลีอ้ ยคลานทีม่ ขี นและปี
1 กเหมือนนก ทีม่ ชี อื่ ว่า
อาร์คีออปเทอริกซ์ (Archaeopteryx ) ซึ่งมี
ลักษณะอยู่กึ่งกลางระหว่างไดโนเสาร์และนก
ในปัจจุบัน ซึ่งข้อเท็จจริงนี้พิสูจน์ให้เห็นอย่าง
ชัดเจนว่าสัตว์เลื้อยคลานน่าจะเป็นบรรพบุรุษ
ของนก และสิ่งมีชีวิตก�าเนิดมาจากบรรพุรุษ
ดึกด�าบรรพ์ ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นมามีหน้าตาเหมือน
ภาพที่ 7.22 ซากดึกด�าบรรพ์ของอาร์คีออปเทอริกซ์ ในปัจจุบันโดยทันที
114
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
ในระหว่างปี พ.ศ. 2447- 2548 เอินส์ เมียร์ (Ernst Mayr) นักชีววิทยาวิวัฒนาการ 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ชาวเยอรมัน ได้วเิ คราะห์ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของดาร์วนิ ทีป่ รากฏอยูใ่ นหนังสือ ว่าด้วย ï• จากข อ สรุ ป ของเมี ย ร นั ก เรี ย นสามารถ
ก�าเนิดความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตโดยการคัดเลือกโดยธรรมชาติ โดยเมียร์ได้ตั้งข้อสังเกต อธิบายแนวคิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
จ�านวน 5 ข้อ ดังนี้ ของดารวินไดอยางไร
ข้อสังเกตที่ 1 สิ่งมีชีวิตมีความสามารถในการสืบพันธุ์และให้ก�าเนิดลูกหลานได้จ�านวนมาก (แนวตอบ
ข้อสังเกตที่ 2 จ�านวนสมาชิกของประชากรแต่ละสปีชีส์ในแต่ละรุ่นมักมีจ�านวนคงที่ ï• การคัดเลือกโดยธรรมชาติทําใหสิ่งมีชีวิต
ข้อสังเกตที่ 3 ปัจจัยที่จ�าเป็นต่อการด�ารงชีวิตของสิ่งมีชีวิตมีปริมาณจ�ากัด แตละตัวมีความสามารถในการอยูรอดและ
ข้อสังเกตที่ 4 สิ่งมีชีวิตแต่ละตัวในประชากรมีลักษณะแปรผันที่แตกต่างกัน ถายทอดลักษณะดังกลาวไปยังลูกหลานได
ข้อสังเกตที่ 5 ความแปรผันที่เกิดขึ้นนี้สามารถถ่ายทอดไปยังรุ่นต่อไปได้ แตกตางกัน
จากข้อสังเกตทั้ง 5 ข้อ ท�าให้เมียร์เกิดข้อสรุปจ�านวน 3 ข้อ ดังนี้ • การคั ด เลื อ กโดยธรรมชาติ เ กิ ด ขึ้ น จาก
ข้อสรุปที่ 1 สิ่งมีชีวิตมีการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อการอยู่รอด เพื่อให้ได้สิ่งที่จ�าเป็นต่อการด�ารงชีวิต ปฏิสัมพันธระหวางสิ่งแวดลอมที่สิ่งมีชีวิต
ซึ่งมีจ�านวนจ�ากัด จึงมีสมาชิกเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดในแต่ละรุ่น (จากข้อสังเกต อาศั ย อยู กั บ ลั ก ษณะความแปรผั น ทาง
ที่ 1-3) พันธุกรรมของสมาชิกในแตละสปชีส
ข้อสรุปที่ 2 การอยู่รอดของสมาชิกในสิ่งแวดล้อมไม่ได้เกิดขึ้นอย่างสุ่ม แต่เป็นผลมาจาก • ผลการจากคัดเลือกโดยธรรมชาติทําให
ลักษณะทางพันธุกรรมที่แตกต่างกัน สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมจะมีโอกาส สิ่ ง มี ชี วิ ต มี ก ารปรั บ ตั ว เชิ ง วิ วั ฒ นาการให
อยูร่ อดและให้กา� เนิดลูกหลานได้มากกว่าสิง่ มีชวี ติ ทีม่ ลี กั ษณะไม่เหมาะสมกับสิง่ แวดล้อม (จากข้อ สามารถดํ า รงชี วิ ต อยู ไ ด ใ นสิ่ ง แวดล อ ม
นั้นๆ ทําใหเกิดความแตกตางไปจากสปชีส
สังเกตที่ 4-5)
เดิมมากขึ้นจนในที่สุดเกิดสิ่งมีชีวิตสปชีส
ข้อสรุปที่ 3 การที่สิ่งมีชีวิตแต่ละตัวมีศักยภาพในการอยู่รอดและให้ก�าเนิดลูกหลานไม่ ใหม)
เท่ากัน ท�าให้ประชากรมีการเปลีย่ นแปลงไปทีละเล็กละน้อย และมีลกั ษณะทีเ่ หมาะสมกับสิง่ แวดล้อม 4. ครูถามคําถามทาทายการคิดขั้นสูง (H.O.T.S.)
สะสมเพิ่มขึ้นในแต่ละรุ่น
กับนักเรียน
จากข้อสรุปของเมียร์ท�าให้สามารถสรุปแนวคิดของดาร์วินได้ ดังนี้
อธิบายความรู้
ข้อสรุปแนวคิดของดาร์วน
ิ
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับความ
การคัดเลือกโดยธรรมชาติท�าให้สิ่งมีชีวิตแต่ละตัวมีความสามารถในการอยู่รอดและถ่ายทอดลักษณะ
ดังกล่าวไปยังลูกหลานได้แตกต่างกัน แตกตางระหวางแนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการ
การคัดเลือกโดยธรรมชาติเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งแวดล้อมที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่กับลักษณะ ของลามารกและของดารวิน
ความแปรผันทางพันธุกรรมของสมาชิกในแต่ละสปีชีส์ 2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง แนวคิดเกี่ยวกับ
ผลการจากคัดเลือกโดยธรรมชาติท�าให้สิ่งมีชีวิตมีการปรับตัวเชิงวิวัฒนาการให้สามารถด�ารงชีวิต วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
อยู่ได้ในสิ่งแวดล้อมนั้น ๆ ท�าให้เกิดความแตกต่างไปจากสปีชีส์เดิมมากขึ้นจนในที่สุดเกิดสิ่งมีชีวิต
สปีชีส์ใหม่
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
ชีววิทยา ม.4 เลม 2
วิวัฒนาการ 115
T133
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
ครูใหนักเรียนสืบคนขอมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่ การคัดเลือกโดยธรรมชาติตามแนวคิดของดาร์วนิ เป็นการ H. O. T. S.
มีวิวัฒนาการจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติตาม คัดเลือกสิ่งมีชีวิตที่เป็นสมาชิกในแต่ละสปีชีส์ที่มีความแปรผัน คําถามทาทายการคิดขั้นสูง
แนวคิดของดารวิน โดยยกตัวอยางสิ่งมีชีวิตมา 1 ทางพันธุกรรมท�าให้มีลักษณะแตกต่างกันไป หากลักษณะที่ แนวคิ ด เกี่ ย ว
ชนิด และทําผังสรุปสงครูผูสอน แปรผันนัน้ เหมาะสมกับสิง่ แวดล้อม สมาชิกตัวนัน้ จะถูกคัดเลือก กัเซลล์
บวิเวยือ่ ัฒบุขนาการ
า้ งแก้ม
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน
14-16
11-13
8-10
ระดับคุณภาพ
ดีมาก
ดี
พอใช้
จึงทําใหปจ จุบนั พบเฉพาะยีราฟสายพันธุค อยาว ดังนัน้ ตอบขอ 2.)
T134
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
แนวคิดของชาลล ดารวิน 3. พันธุศาสตร์ประชากร 1. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน
สนับสนุนการเกิดวิวฒ ั นา- ความรูเดิมของนักเรียน
พั น ธุ ศ าสตร์ ป ระชากร เป็ น การศึ ก ษาเกี่ ย วกั บ การ
การของสิ่งมีชีวิตอยางไร
เปลี่ยนแปลงและวิวัฒนาการด้านพันธุกรรมในระดับประชากร 2. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา จากแนวคิดเกีย่ วกับ
โดยเน้นศึกษาด้านการเปลีย่ นแปลงความถีย่ นี (gene frequency) วิวัฒนาการของชาลส ดารวิน และแนวคิด
หรือความถีข่ องแอลลีล (allele frequency) ทีเ่ ป็นองค์ประกอบทางพันธุกรรมของประชากร รวมถึง เกี่ยวกับการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม
ปัจจัยทีท่ า� ให้ความถีข่ องแอลลีลเปลีย่ นแปลง ซึง่ การเปลีย่ นแปลงของความถีน่ เี้ ป็นพืน้ ฐานทีท่ า� ให้ ของเมนเดล จึ ง ถู ก นํ า มาใช อ ธิ บ าย เรื่ อ ง
เกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต พันธุศาสตรประชากร
ประชากร (population) หมายถึง กลุม่ ของสิง่ มีชวี ติ ทีอ่ าศัยอยูร่ วมกันในบริเวณเดียวกันและ
ช่วงเวลาเดียวกัน โดยสมาชิกในประชากรของสิง่ มีชวี ติ นัน้ สามารถสืบพันธุก์ นั ได้ และให้กา� เนิดลูก ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
ที่ไม่เป็นหมัน รวมทั้งสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ได้เป็นอย่างดี
1. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา พันธุศาสตรประชากร
ในประชากรหนึ่ ง ๆ จะประกอบด้ ว ย
เปนการศึกษาการเปลี่ยนแปลงความถี่ของยีน
สมาชิกที่มียีนควบคุมลักษณะต่าง ๆ จ�านวน
มาก โดยยีนทั้งหมดที่อยู่ในประชากรในช่วง แอลลีล และจีโนไทปในยีนพูลของประชากร
เวลาหนึ่ง เรียกว่า ยีนพูล (gene pool) ซึ่ง รวมทั้ ง ป จ จั ย ที่ ทํ า ให เ กิ ด การเปลี่ ย นแปลง
ประกอบด้วยแอลลีลทุกแอลลีลจากทุก ๆ ยีน ความถี่ ข องแอลลี ล ซึ่ ง ทํ า ให สิ่ ง มี ชี วิ ต เกิ ด
ของสมาชิกทุกตัวในประชากรนัน้ ๆ เช่น ยีนพูล วิวัฒนาการ และถามคําถามนักเรียนวา
ในประชากรผีเสือ้ กลุม่ หนึง่ ประกอบด้วยแอลลีล ï• ประชากร คืออะไร
2 แอลลีล คือ แอลลีล A และ a จึงมีรูปแบบ (แนวตอบ ประชากร คือ กลุม ของสิง่ มีชวี ติ
จีโนไทป์ได้ 3 แบบ คือ AA Aa และ aa ทีอ่ าศัยอยูร วมกันในบริเวณเดียวกันและชวง
ภาพที่ 7.23 ยีนพูลในประชากรผีเสื้อ เวลาเดียวกัน ซึ่งสมาชิกในประชากรของ
3.1 การหาความถี่ของแอลลีลในประชากร สิง่ มีชวี ติ ตองสามารถสืบพันธุก นั ได)
ï• ยีนพูลหมายถึงอะไร
ความถี่ของแอลลีล หมายถึง ปริมาณของแอลลีลชนิดต่าง ๆ เมื่อคิดเป็นสัดส่วนหรือร้อยละ
ของจ�านวนแอลลีลทั้งหมดของยีนต�าแหน่งเดียวกันในประชากร (แนวตอบ ยีนพูล หมายถึง ยีนทั้งหมดที่มี
ในสิ่งมีชีวิตที่เป็นดิพลอยด์ แต่ละเซลล์จะมีจ�านวนโครโมโซม 2 ชุด และแต่ละยีนจะมี 2 อยูในประชากรในชวงเวลาหนึ่ง ประกอบ
แอลลีล ซึ่งหากทราบปริมาณจีโนไทป์ชนิดต่าง ๆ ในประชากร ก็จะสามารถค�านวณหาความถี่ ดวยแอลลีลทุกแอลลีลของสมาชิกทุกตัวใน
ของจีโนไทป (genotype frequency) ได้ ซึง่ เป็นอัตราส่วนของจีโนไทป์ชนิดหนึง่ ต่อจ�านวนจีโนไทป์ ประชากร)
ทั้งหมดในประชากร
แนวตอบ Prior Knowledge
สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ ถู ก คั ด เลื อ กให อ ยู ใ นสิ่ ง แวดล อ ม
วิวัฒนาการ 117
จะอาศั ย การปรั บ เปลี่ ย นทางสรี ร ะ พฤติ ก รรม
และรูปแบบการดํารงชีวิต ซึ่งการปรับเปลี่ยนของ
สิ่งมีชีวิตเหลานี้มีผลทําใหสิ่งมีชีวิตเกิดวิวัฒนาการ
ขอสอบเนน การคิด
ประชากรดอกไมชนิดหนึ่งจํานวน 1,200 ตน มีดอกสีนํ้าเงิน 300 ตน ดอกสีฟา 600 ตน และ
ดอกสีขาว 300 ตน ความถี่จีโนไทปของดอกไมทั้งหมดเปนเทาใด (กําหนดให แอลลีล B ควบคุม
ดอกสีนํ้าเงิน และแอลลีล B ʹ ควบคุมดอกสีขาว)
ขอ ดอกสีนํ้าเงิน (BB) ดอกสีฟา (BBʹ) ดอกสีขาว (BʹBʹ)
1. 0.30 0.60 0.10
2. 0.15 0.55 0.30
3. 0.25 0.50 0.25
4. 0.45 0.25 0.30
5. 0.20 0.60 0.20
T135
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาการหาความถี่ ข อง ตัวอย่างการหาความถี่ของแอลลีลในประชากร เช่น ในป่าแห่งหนึ่งมีประชากรลิงอาศัยอยู่
แอลลี ล ในกลุ ม ประชากร และให นั ก เรี ย น 1,000 ตัว ประกอบด้วยลิงที่มีหมู่เลือด M จีโนไทป์ MM 640 ตัว หมู่เลือด MN จีโนไทป์ MN
ศึกษาการหาความถี่ของแอลลีลของหมูเลือด 320 ตัว และหมู่เลือด N จีโนไทป์ NN 40 ตัว ความถี่จีโนไทป์สามารถค�านวณได้ ดังนี้
ในประชากรลิง
3. ครูยกตัวอยางการหาความถี่ของแอลลีลใน หมู่เลือด M หมู่เลือด MN หมู่เลือด N
ประชากรที่นอกเหนือจากในหนังสือเรียน เชน จีโนไทป์ (จ�านวน) MM (640) MN (320) NN (40)
ï•ï ในประชากรแห ง หนึ่ ง มี แ อลลี ล ควบคุ ม 640 320 40
ดอกไมสีแดง (RR) แอลลีลควบคุมดอกไม
ความถี่จีโนไทป์ 1,000 = 0.64 MM 1,000 = 0.32 MN 1,000 = 0.04 NN
สี ช มพู (Rr) และแอลลี ล ควบคุ ม ดอกไม เมื่อทราบความถี่ของจีโนไทป์จะสามารถค�านวณหาความถี่ของแอลลีลได้ จากสูตร
สีขาว (rr) โดยมีดอกไมสแี ดง 600 ตน ดอกไม ความถี่ของแอลลีล = จ�านวนแอลลีลที่ปรากฏในจีโนไทป์ในประชากร
สีชมพู 360 ตน และดอกไมสีขาว 40 ตน จ�านวนแอลลีลทั้งหมดในประชากร
จงหาความถี่ของของแอลลีล R และ r ใน = (2 × จ�านวนจีโนไทป์ฮอมอไซกัส) + จ�านวนจีโนไทป์เฮเทอโรไซกัส
ประชากรดอกไมกลุมนี้ 2 × จ�านวนประชากรทั้งหมด
(แนวตอบ ความถีข่ องแอลลีล R เทากับ 0.69 ความถี่ของแอลลีล M = (2 (2× 640) + 320 = 0.8
× 1,000)
และความถีข่ องแอลลีล r เทากับ 0.31)
ความถี่ของแอลลีล N = (2(2× ×40)1,000)
+ 320 = 0.2
อธิบายความรู้
ดังนั้น ประชากรลิงในป่าแห่งนี้จะมีความถี่ของแอลลีล M = 0.8 และความถี่ของแอลลีล
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
N = 0.2 และเมื่อสิ่งมีชีวิตผสมพันธุ์กันจะเกิดการส่งผ่านแอลลีลทางเซลล์สืบพันธุ์ไปยังสิ่งมีชีวิต
การหาความถี่ของแอลลีลในประชากร รุ่นลูก ดังนั้น แอลลีลจึงยังคงอยู่ในยีนพูลตลอดเวลา แต่ยีนพูลสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การหาความถี่ เมื่อความถี่ของแอลลีลเปลี่ยนแปลงไป
ของแอลลีลในประชากร
3.2 กฎของฮาร์ดี - ไวน์เบิร์ก
ในปี พ.ศ. 2151 ก็อดฟรีย์ แฮโรลด์ ฮาร์ดี (Godfrey Harold Hardy) นักคณิตศาสตร์ชาว
อังกฤษ และวิลเฮล์ม ไวน์เบิร์ก (Wilhelm Weinberg) นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ได้ศึกษายีนพูลของ
ประชากรและค้นพบกฎทีเ่ กีย่ วข้องกับความถีข่ องแอลลีลในประชากร และได้เสนอเป็นกฎทีเ่ รียกว่า
กฎของฮาร์ดี -ไวน์เบิร์ก (Hardy-Weinberg Law) มีใจความส�าคัญว่า ความถี่ของแอลลีลและ
ความถี่ของจีโนไทป์ในยีนพูลของประชากรจะมีค่าคงที่ในทุก ๆ รุ่น ถ้าไม่มีบางปัจจัยมาเกี่ยวข้อง
เช่น การกลาย การคัดเลือกโดยธรรมชาติ การเลือกคู่ผสมพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนอย่าง
ไม่เจาะจง และการถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีน เป็นต้น
118
ขอสอบเนน การคิด
ประชากรแหงหนึ่ง พบวา มีจํานวนประชากรที่เปนทาลัสซีเมีย 50 คน พาหะของธาลัสซีเมีย
320 คน และคนปกติ 130 คน หากกําหนดให T แทนแอลลีลปกติ และ t แทนแอลลีลธาลัสซีเมีย
จงหาความถี่ของแอลลีล T และ t เปนเทาใด ตามลําดับ
1. 0.52 และ 0.48 2. 0.58 และ 0.42
3. 0.64 และ 0.36 4. 0.70 และ 0.30
5. 0.76 และ 0.24
(วิเคราะหคําตอบ ความถี่ของแอลลีล = จํานวนแอลลีลที่ปรากฏในจีโนไทปในประชากร
จํานวนแอลลีลทั้งหมดในประชากร
แอลลีล T = (130 ×1,000
2) + 320 = 0.58
ความถี่ของแอลลีล T และ t เทากับ 0.58 และ 0.42 ตามลําดับ ดังนั้น ตอบขอ 2.)
T136
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
จากตัวอย่างหมู่เลือดของประชากรลิง พบยีนพูลของเซลล์สืบพันธุ์ในรุ่นพ่อแม่ โดยแอลลีล 1. ครูอธิบายใหนกั เรียนฟงวา ความถีข่ องแอลลีล
M มีความถี่เท่ากับ 0.8 และแอลลีล N มีความถี่เท่ากับ 0.2 ถ้าประชากรลิงมีโอกาสผสมพันธุ์ได้ ในประชากรจะมีคาคงที่ในทุกๆ รุน ก็ตอเมื่อ
เท่า ๆ กัน จะสามารถใช้กฎของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กในการท�านายหมู่เลือดของประชากรในรุ่นลูกได้ ประชากรอยูใ นภาวะสมดุลของฮารดี-ไวนเบิรก
ดังนี้ 2. ครูใหนักเรียนศึกษากฎของฮารดี- ไวนเบิรก
การรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์จากประชากรในรุ่นพ่อแม่ ที่มีใจความสําคัญวา ความถี่ของแอลลีลและ
ความถี่ของจีโนไทปในยีนพูลของประชากรจะ
เซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย
มีคา คงทีใ่ นทุกๆ รุน ถาไมมปี จ จัยบางประการ
M = 0.8 N = 0.2
มาเกี่ยวของ และใหนักเรียนศึกษาความถี่ของ
M = 0.8 MM = 0.64 MN = 0.16 แอลลีลของหมูเลือดในประชากรลิงของรุนลูก
เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้
N = 0.2 MN = 0.16 NN = 0.04 จากแอลลีลในรุนพอแม
3. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา จากการศึกษา
ดังนั้น ความถี่ของจีโนไทป์ในรุ่นลูกของประชากรลิงในป่าแห่งนี้เป็น ดังนี้ แอลลีลของหมูเลือดในประชากรลิง จะเห็นวา
MM = 0.64 MN = 0.32 NN = 0.04 ความถี่ ข องแอลลี ล ในรุ น ลู ก จะเท า กั บ
จะเห็นว่า ความถี่ของจีโนไทป์ในรุ่นลูกยังคงมีความถี่ของจีโนไทป์และความถี่ของแอลลีล ความถี่ ข องแอลลี ล ในรุ น พ อ แม แสดงว า
เหมือนประชากรในรุ่นพ่อแม่ คือ ความถี่ของแอลลีล M = 0.8 และความถี่ของแอลลีล N = 0.2 ยีนพูลของประชากรลิงกลุม นีอ้ ยูใ นภาวะสมดุล
การคงที่ของความถี่นี้อาจกล่าวได้ว่ายีนพูลของประชากรอยู่ในภาวะสมดุลของฮาร์ดี - ไวน์เบิร์ก ของฮารดี-ไวนเบิรก ซึ่งจะมีคาเทากับ 1 เสมอ
(Hardy-Weinberg Equilibrium; HWE)
จากตัวอย่างหมู่เลือดของประชากรลิงนั้น แอลลีลในเซลล์สืบพันธุ์จะมารวมกันเป็นจีโนไทป์
ในประชากรรุน่ ถัดไป ถ้าในตัวอย่างทัง้ เซลล์สบื พันธุเ์ พศผูแ้ ละเพศเมียมีความถีข่ องแอลลีล M เท่ากับ
p และมีความถี่ของแอลลีล N เท่ากับ q
ดังนั้น ความถี่ของแอลลีล M = p = 0.8 และความถี่ของแอลลีล N = q = 0.2 จะเห็นว่า
p + q = 1 ซึ่งผลรวมความถี่ของแอลลีลของยีนหนึ่ง ๆ ในประชากรจะมีค่าเท่ากับ 1 เป็นสมการ
ของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กที่สามารถน�ามาใช้หาความถี่ของแอลลีลได้นั่นเอง เมื่อเซลล์สืบพันธุ์รวมกัน
จากการผสมพันธุ์แบบสุ่มจะได้จีโนไทป์รุ่นต่อไป คือ MM MN และ NN
โดยที่ความถี่ของจีโนไทป์จะเป็นไปตามกฎการคูณ คือ
ความถี่ของจีโนไทป์ MM คือ p × p = p2 = (0.8)2 = 0.64
ความถี่ของจีโนไทป์ MN คือ 2pq = 2(0.8)(0.2) = 0.32
ความถี่ของจีโนไทป์ NN คือ q × q = q2 = (0.2)2 = 0.04
เมื่อรวมความถี่ของทุกจีโนไทป์จะมีค่าเท่ากับ 1 นั่นคือ p2 + 2pq + q2 = 1 ซึ่งจากสมการ
ของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กนี้สามารถน�ามาใช้หาความถี่ของจีโนไทป์ของยีนพูลในประชากรได้
วิวัฒนาการ 119
ขอสอบเนน การคิด
ประชากรหนูกลุมหนึ่ง 1,500 ตัว มีหนูขนสีเหลือง (bb) 25% ของประชากรหนูทั้งหมด สวนที่เหลือเปนประชากรหนูสีดําซึ่งเปนลักษณะเดน
หากประชากรหนูกลุมนี้อยูในภาวะสมดุลฮารดี-ไวนเบิรก จงคํานวณหาหนูขนสีดําพันธุทางมีจํานวนเทาใด
1. 350 2. 450 3. 550 4. 650 5. 750
(วิเคราะหคําตอบ กําหนดให B แทนแอลลีลเดน แสดงลักษณะสีดํา หากประชากรหนูอยูในภาวะสมดุลฮารดี-ไวนเบิรก p2 + 2pq + q2 = 1
b แทนแอลลีลดอย แสดงลักษณะสีเหลือง ประชากรหนูขนสีดําพันธุทาง (Bb) = 2pq
จากหนูขนสีเหลือง (bb) มีจํานวนรอยละ 25 = 2 × 0.5 × 0.5
25
= 100 = 0.5
= 0.25 จากประชากรหนู 1,500 ตั ว มี ป ระชากรหนู ขนสีดําพันธุทาง
ความถี่ของแอลลีล b = 0.5 = 0.5 × 1,500
จากความถี่ของแอลลีล b สามาถหาความถี่ของแอลลีล B ไดจาก p + q = 1 = 750 ตัว
เมื่อกําหนดให B = p และ b = q ดังนั้น ตอบขอ 5.)
ความถี่ของแอลลีล B p+q = 1
p = 1 - 0.5
= 0.5
T137
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
4. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา ประชากรที่อยูใน เมื่อประชากรอยู่ในภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก ความถี่ของแอลลีลและความถี่ของ
ภาวะภาวะสมดุลของฮารดี-ไวนเบิรกได จะ จีโนไทป์ในยีนพูลของประชากรจะคงที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะถ่ายทอดพันธุกรรมผ่านไป
ตองอยูภายใตเงื่อนไขตางๆ เชน ประชากร กี่รุ่นก็ตาม หรืออาจกล่าวได้ว่าไม่มีวิวัฒนาการเกิดขึ้น แต่ประชากรใด ๆ จะอยู่ในภาวะสมดุลของ
มีขนาดใหญ ไมมีการกลาย ไมมีการคัดเลือก ฮาร์ดี-ไวน์เบิร์กได้ จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข ได้แก่
โดยธรรมชาติ ไม มี ก ารเลื อ กคู ผ สมพั น ธุ - กลุ่มประชากรต้องมีขนาดใหญ่
และไมมีการถายเทเคลื่อนยายยีน และถาม - ไม่มีการถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีนระหว่างกลุ่มประชากร (ไม่มีการอพยพเข้าหรือออก)
คําถามนักเรียนวา - ไม่เกิดการกลาย ซึ่งเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงของแอลลีลในกลุ่มประชากร
ï •ï ในธรรมชาติ ประชากรจะเกิดภาวะสมดุล - การผสมพันธุข์ องสมาชิกในประชากรต้องเป็นแบบสุม่ โดยสมาชิกทุกตัวมีโอกาสผสมพันธุ์
ฮารดี-ไวนเบิรกไดหรือไม เพราะเหตุใด ได้เท่ากัน
(แนวตอบ ในธรรมชาติจะเกิดภาวะสมดุล - ไม่เกิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตทุกตัวมีโอกาสอยู่รอดและประสบความส�าเร็จ
ของฮารด-ี ไวนเบิรก ไดยาก เพราะประชากร ในการสืบพันธุ์ได้เท่ากัน
ในธรรมชาติ อ าจไม ไ ด อ ยู ใ นเงื่ อ นไขของ จากกฏของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก สามารถน�ามาประยุกต์ใช้ในการคาดคะเนความถี่ของแอลลีล
ภาวะสมดุลของฮารดี-ไวนเบิรก เนื่องจาก ทีเ่ กีย่ วข้องกับโรคทางพันธุกรรมได้ ตัวอย่างเช่น การสุม่ ประชากรในจังหวัดหนึง่ จ�านวน 10,000 คน
ประชากรอาจมี ข นาดเล็ ก มี ก ารถ า ยเท พบว่า มีประชากรผิวเผือกจ�านวน 4 คน หากประชากรอยู่ในสภาวะสมดุลตามทฤษฎีของฮาร์ดี-
ไวน์เบิรก์ จะสามารถหาความถีข่ องแอลลีลทีท่ า� ให้เกิดโรคผิวเผือก และความถีข่ องแอลลีลของคน
เคลื่อนยายยีนระหวางกลุมประชากร อาจ
ที่เป็นพาหะของโรคได้
เกิดการกลาย สมาชิกมีการเลือกคูผ สมพันธุ
หากก�าหนดให้ จีโนไทป์ RR แสดงลักษณะของคนปกติ
และเกิดการคัดเลือกโดยธรรมชาติ) จีโนไทป์ rr แสดงลักษณะของโรคผิวเผือก
อธิบายความรู้ ดังนั้น ความถี่ของ rr คือ q2 = 10,000 4
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับภาวะ = 0.0004
สมดุลของฮารดี-ไวนเบิรก q = 0.02
2. ครูใหนักเรียนทําใบงาน เรื่อง การประยุกตใช ความถี่ของ RR คือ p = 1 - q
ประโยชนจากกฎของฮารดี-ไวนเบิรก = 1 - 0.02
3. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด = 0.98
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 ความถี่ของ Rr (พาหะ) = 2pq
= 2 × 0.98 × 0.02
= 0.04
จากการค�านวณ แสดงว่าในประชากรแห่งนี้มีความถี่ของแอลลีลที่ท�าให้เกิดโรคผิวเผือก
เท่ากับ 0.02 หรือร้อยละ 2 และความถีข่ องแอลลีลทีแ่ สดงถึงการเป็นพาหะของโรคผิวเผือกเท่ากับ
0.04 หรือร้อยละ 4
120
ขอสอบเนน การคิด
กําหนดใหความถี่ของแอลลีล A เทากับ 0.6 หากประชากรอยูในสมดุลฮารดี-ไวนเบิรก
ความถี่จีโนไทปของ Aa เปนเทาใด
1. 0.32 2. 0.48 3. 0.54 4. 0.62 5. 0.70
(วิเคราะหคําตอบ เมือ่ ประชากรอยูใ นสมดุลฮารด-ี ไวนเบิรก สามารถหาความถีจ่ โี นไทปได ดังนี้
ความถี่ของแอลลีล A (p) = 0.6
จาก p+q = 1
q = 1 - 0.6
q = 0.4
ความถี่ของแอลลีล a = q = 0.4
ความถี่จีโนไทปของ Aa = 2pq
= 2 × 0.6 × 0.4
= 0.48
ดังนั้น ความถี่ของแอลลีล Aa เทากับ 0.48 ดังนั้น ตอบขอ 2.)
T138
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การลงความเห็นจากข้อมูล 1. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า กฎของฮาร ดี -
การใชกฎของฮาร์ดี - ไวน์เบิร์ก • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป
ไวนเบิรกสามารถนํามาประยุกตใชคาดคะเน
จิตวิทยาศาสตร์ ความถี่ ข องแอลลี ล ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ โรคทาง
ความมีเหตุผล
จงตอบค�าถามต่อไปนี้ •
• ความรอบคอบ
พันธุกรรมได
2. ครูใหนักเรียนศึกษาการหาความถี่ของแอลลีล
1. ในกลุ่มประชากร 300 คน พบคนเป็นโรคทางพันธุกรรมที่มีจีโนไทป์ aa จ�านวนร้อยละ 9 ถ้าประชากร
กลุ่มนี้อยู่ในภาวะสมดลุของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก จงค�านวณหาว่าในประชากรกลุ่มนี้มีจีโนไทป์ปกติ (AA) ที่ทําใหเกิดโรคผิวเผือก และแอลลีลของคนที่
คนที่เป็นพาหะ (Aa) และคนที่เป็นโรคทางพันธุกรรม (aa) เป็นเท่าไร เปนพาหะ จากการใชกฎของฮารดี-ไวนเบิรก
2. จากประชากรผีเสื้อเริ่มต้นในโรงเรือนแห่งหนึ่ง ประกอบด้วยผีเสื้อที่มีจีโนไทป์ MM 200 ตัว Mm 400 3. ครูใหนกั เรียนทํากิจกรรม การใชกฎของฮารดี-
ตัวและ mm 400 ตัว หากในประชากรผีเสื้อกลุ่มนี้เกิดการผสมพันธุ์กันแบบสุ่ม จงหาความถี่ของจีโนไทป์ ไวน เ บิ ร ก โดยบั น ทึ ก ลงในสมุ ด บั น ทึ ก ของ
และความถี่ของแอลลีลในรุ่นลูก
นักเรียน
อภิปรายผลกิจกรรม
อธิบายความรู้
จากกิจกรรมนี้ จะสามารถค�านวณหาความถี่ของแอลลีลในประชากรโดยอาศัยกฎของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก
ซึ่งผลรวมความถี่ของแอลลีลของยีนหนึ่ง ๆ ในประชากรจะมีค่าเท่ากับ 1 เสมอ (p + q = 1) อีกทั้งยังสามารถ 1. ครู สุ ม เลื อ กนั ก เรี ย นออกมาเฉลยกิ จ กรรม
น�าไปประยุกต์ใช้ในการคาดคะเนความถี่ของแอลลีลเกี่ยวกับโรคทางพันธุกรรมในยีนพูลของประชากร เช่น การใชกฎของฮารดี-ไวนเบิรก
โรคโลหิตจางชนิดซิกเคิลเซลล์ โรคผิวเผือก เป็นต้น
2. ครูและนักเรียนรวมกันเฉลยกิจกรรม การใช
กฎของฮารดี-ไวนเบิรก
3. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
3.3 ปจจัยที่ทําให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล การประยุกตใชประโยชนจากกฎของฮารดี-
การเปลี่ ย นแปลงความถี่ ข องแอลลี ล ไวนเบิรก
ส่งผลให้โครงสร้างทางพันธุกรรมของประชากร
เปลี่ ย นแปลงตามไปด้ ว ย ซึ่ ง อาจเกิ ด การ
วิวัฒนาการระดับมหภาค
เปลีย่ นแปลงเพียงเล็กน้อยจนไม่สามารถสังเกต
เห็น การเปลีย่ นแปลงทางพันธุกรรมของยีนพูล
ในประชากรเพียงเล็กน้อยนี้ เรียกว่า วิวฒ ั นาการ
ระดับจุลภาค (microevolution) ซึ่งถือได้ว่า
เป็ น การเกิ ด วิ วั ฒ นาการในระดั บ สปี ชี ส ์ ข อง
สิ่งมีชีวิต นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
ทางพันธุกรรมอาจก่อให้เกิดวิวฒ ั นาการในระดับ
ที่เหนือกว่าสปีชีส์ และท�าให้เกิดสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ วิวัฒนาการระดับจุลภาค
ใหม่ ไ ด้ เรี ย กว่ า วิ วั ฒ นาการระดั บ มหภาค ภาพที่ 7.24 วิวัฒนาการระดับจุลภาคและวิวัฒนาการ
(macroevolution) ระดับมหภาคของสิ่งมีชีวิต
วิวัฒนาการ 121
ขอสอบเนน การคิด
ประชากรกลุมหนึ่งอยูในสมดุลฮารดี-ไวนเบิรก มีความถี่ของแอลลีลผิวเผือก 0.03 ซึ่งเปนแอลลีลดอย หากประชากรกลุมนี้มีทั้งหมด 1,000 คน
จงคํานวณหาจํานวนประชากรที่มีผิวปกติ
1. 347 คน 2. 478 คน 3. 579 คน 4. 721 คน 5. 941 คน
(วิเคราะหคําตอบ กําหนดให A แทนแอลลีลปกติ ประชากรทั้งหมด 1,000 คน มีคนปกติ = 0.9409 × 1,000
a แทนแอลลีลผิวเผือก = 940.9 หรือ 941 คน
จาก p+q = 1 ประชากรทั้งหมด 1,000 คน มีคนปกติ 941 คน
ความถี่ของแอลลีล a (p) = 0.03 ดังนั้น ตอบขอ 5.)
ความถี่ของแอลลีล A (q) = 1 - 0.03
= 0.97
2 2
จาก p + 2pq + q = 1
ความถี่ของแอลลีลผิวปกติ AA (p2) = 0.972
= 0.9409
T139
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
สํารวจคนหา
1. ครู อ ธิ บ ายให นั ก เรี ย นฟ ง ว า ในธรรมชาติ ปัจจัยที่ท�าให้ความถี่ของแอลลีลในประชากรเปลี่ยนแปลงและเกิดวิวัฒนาการมี ดังนี้
ไม ส ามารถควบคุ ม เงื่ อ นไขต า งๆ ที่ ทํ า ให 1. การเปลีย่ นแปลงความถีย่ นี อย่างไม่เจาะจง เป็นการเปลีย่ นแปลงความถีท่ เี่ กิดขึน้ ใน
ประชากรสิ่ ง มี ชี วิ ต อยู ใ นสมดุ ล ของฮาร ดี - กลุ่มประชากรที่มีขนาดเล็ก อาจเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ ซึ่งไม่ได้เกิดจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
ไวนเบิรกได เนื่องจากมีปจจัยบางประการเขา และไม่สามารถคาดการณ์ได้ เช่น การเกิดภัยพิบตั ิ การเปลีย่ นแปลงสภาพแวดล้อมอย่างกะทันหัน
มาเกี่ยวของ ท�าให้บางแอลลีลไม่มีโอกาสถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกได้ เป็นต้น
2. ครูใหนกั เรียนศึกษาการเปลีย่ นแปลงความถีย่ นี การศึกษาการเปลีย่ นแปลงความถีย่ นี ของประชากรดอกไม้ชนิดหนึง่ ซึง่ มีทงั้ ดอกสีแดง และ
อยางไมเจาะจง ซึง่ แบงออกเปน 2 สถานการณ ดอกสีม่วง จ�านวน 10 ต้น ต่อมาเมื่อสุ่มประชากรดอกไม้จ�านวน 5 ต้น ย้ายมาปลูกในแปลงใหม่
และได้แพร่พันธุ์จนเป็นประชากรดอกไม้รุ่นที่ 2 และได้สุ่มประชากรดอกไม้รุ่นที่ 2 จ�านวน 2 ต้น
ไดแก ผลกระทบจากผูกอตั้ง ซึ่งเกิดจากการ
มาปลูกในแปลงใหม่ จนกระทั้งแพร่พันธุ์เป็นประชากรดอกไม้ในรุ่นที่ 3 ดังนี้
แยกตั ว ของกลุ ม ประชากรขนาดเล็ ก และ
ประสบผลสํ า เร็ จ ในแหล ง ที่ อ ยู อ าศั ย ใหม
และปรากฏการณ ค อขวด ซึ่ ง เกิ ด กั บ กลุ ม
ประชากรขนาดใหญ ที่ มี ค วามหลากหลาย RR RR Rr RR rr RR RR RR RR
ทางพันธุกรรมมาก แตเกิดการลดจํานวนของ RR rr Rr Rr RR RR
ประชากรอยางรวดเร็วจากเหตุการณตางๆ
เชน ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ทําใหความหลาก RR Rr Rr rr Rr Rr RR RR RR
หลายทางพันธุกรรมลดลง มีเพียง 5 ต้น
แยกออกมาและให้ก�าเนิด
มีเพียง 2 ต้น
แยกออกมา และให้ก�าเนิด
Rr RR เปนประชากรรุ่นที่ 2 Rr rr เปนประชากรรุ่นที่ 3 RR RR
ภาพที่ 7.25 การเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนของประชากรดอกไม้
T140
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
2) ปรากฏการณ์คอขวด 1(bottleneck effect) เป็นปรากฏการณ์ทเี่ กิดขึน้ ในกลุม่ ประชากร 3. ครูถามคําถามนักเรียนวา
ที่มีขนาดใหญ่และมีความหลากหลายทางพันธุกรรมมาก แต่มีเหตุการณ์บางอย่างที่ท�าให้จ�านวน ï• การเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนอยางไมเจาะจง
ประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว เช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด น�้าท่วม การขาดแคลนอาหาร ทั้ง 2 สถานการณ มีลักษณะแตกตางกัน
โรคระบาด เป็นต้น ท�าให้กลุ่มประชากรมีขนาดเล็กลง จากนั้นเมื่อประชากรที่รอดชีวิตประสบ อยางไร
ความส�าเร็จในการสืบพันธุ์ก็จะสามารถเพิ่มขนาดประชากรขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เหตุการณ์ดังกล่าว (แนวตอบ ผลกระทบจากผูกอตั้ง เกิดจาก
เปรียบเสมือนปรากฏการณ์ผ่านคอขวด ซึ่งในกลุ่มประชากรใหม่ความถี่ของแอลลีลในยีนพลูจะ ประชากรมีการเคลือ่ นยายยีน และจะเกิดกับ
เปลี่ยนแปลงไปจากกลุ่มประชากรเดิม โดยบางแอลลีลจะเพิ่มมากขึ้น บางแอลลีลจะลดลง หรือ กลุม ประชากรขนาดเล็ก สวนปรากฏการณ
บางแอลลีลอาจหายไป และมีผลท�าให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมลดน้อยลงไป คอขวด เกิดจากภาวะวิกฤติของประชากร
ที่มีความเสี่ยงตอการสูญพันธุ และจะเกิด
กั บ กลุ ม ประชากรขนาดใหญ ที่ มี ค วาม
หลากหลายทางพันธุกรรม)
ï• การเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนอยางไมเจาะจง
มีผลตอการเปลีย่ นแปลงความถีข่ องแอลลีล
อยางไร
(แนวตอบ การเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนอยาง
ไมเจาะจง มีผลทําใหยีนพูลในประชากร
ประชากรเริ่มต้น เหตุการณ์คอขวด ประชากรที่รอดชีวิต เปลี่ ย นแปลง โดยบางแอลลี ล จะเพิ่ ม ขึ้ น
ภาพที่ 7.27 แบบจ�าลองปรากฏการณ์คอขวด บางแอลลีลจะลดลง และบางแอลลีลอาจ
หายไปจากกลุมประชากร ซึ่งมีผลทําให
ตัวอย่างเช่น การผ่านปรากฏการณ์คอขวดของแมวน�า้
ความหลากหลายทางพันธุกรรมลดลง)
ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของทวีปยุโรป เนื่องจากเมื่อประมาณ
ค.ศ. 1890 มีการล่าแมวน�้าอย่างมากท�าให้ประชากรแมวน�้าลด 4. ครูใหนักเรียนศึกษาการถายเทเคลื่อนยายยีน
จ�านวนลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งพบแมวน�้าเหลือรอดเพียงประมาณ ซึ่งเปนการเคลื่อนยายแอลลีลจากประชากร
20 ตัวเท่านั้น ต่อมาเมื่อแมวน�้าได้รับการอนุรักษ์และสามารถ หนึ่งไปยังอีกประชากรหนึ่งของสปชีสเดียวกัน
เพิม่ จ�านวนขึน้ มาได้ใหม่ จนปัจจุบนั มีประชากรแมวน�า้ ทางตอน และถามคําถามนักเรียนวา
เหนือของยุโรปประมาณ 30,000 ตัว และจากการศึกษายีน ï• การถ า ยเทเคลื่ อ นย า ยยี น มี ผ ลต อ การ
จ�านวน 24 ยีนของแมวน�้า พบว่าไม่มีความแตกต่างทาง เปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล อยางไร
พันธุกรรมเลย เมื่อเปรียบเทียบกับแมวน�้าทางตอนใต้ที่พบว่า (แนวตอบ ทําใหแอลลีลของกลุมประชากร
ภาพที่ 7.28 แมวน�้าทางตอนเหนือ
ยังมีความแตกต่างทางพันธุกรรมมาก เนื่องจากไม่ได้ผ่าน ของยุโรปจะไม่มีความแตกต่างทาง 2 กลุม มีบางแอลลีลเพิม่ ขึน้ และบางแอลลีล
ปรากฏการณ์คอขวด พันธุกรรม ลดลง ซึง่ ทําใหประชากร 2 กลุม มีความถี่
วิวัฒนาการ 123
ของแอลลี ล ใกล เ คี ย งกั น จนเหมื อ นเป น
ประชากรกลุม เดียวกัน)
T141
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
5. ครูใหนักเรียนศึกษาการเลือกคูผสมพันธุ ซึ่ง 2. การถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีน (gene flow) การถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีนระหว่างประชากร
ทํ า ให ส มาชิ ก บางส ว นไม มี โ อกาสผสมพั น ธุ เกิดขึ้นจากการอพยพเข้าหรืออพยพออกของสมาชิกในประชากร ท�าให้สัดส่วนของแอลลีลหรือ
และถามคําถามนักเรียนวา ความถีข่ องยีนในยีนพูลของประชากรเปลีย่ นแปลง นอกจากนีก้ ารถ่ายเทเคลือ่ นย้ายยีนยังเกิดขึน้ ใน
ï• การเลื อ กคู ผ สมพั น ธุ มี ผ ลต อ การเปลี่ ย น ลักษณะอืน่ ๆ เช่น การแพร่กระจายของละอองเรณูระหว่างประชากรพืชจากพืน้ ทีห่ นึง่ ไปยังพืน้ ทีอ่ นื่
แปลงความถี่ของแอลลีลอยางไร การอพยพย้ายถิ่นฐานระหว่างประชากร เป็นต้น ท�าให้ความถี่ของแอลลีลในประชากรทั้งสองมี
( แนวตอบ ทํ า ให ป ระชากรบางส ว นของ แนวโน้มแตกต่างกันน้อยลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดเปรียบเสมือนเป็นประชากรเดียวกัน
กลุม ประชากรไมมโี อกาสผสมพันธุ จึงทําให ตัวอย่างเช่น การศึกษาความถีข่ องแอลลีลในประชากรดอกไม้ชนิดหนึง่ ทีบ่ ริเวณริมฝัง่ แม่นา�้
บางแอลลีลลดลง และอาจหายไปจากกลุม โดยก�าหนดให้แอลลีล P แทนดอกไม้สีม่วง พบว่า ฝั่งด้าน A มีประชากรดอกไม้สีม่วงมากกว่า
ประชากร) สีแดง โดยมีความถี่ของแอลลีล P เท่ากับ 0.9 และฝั่งด้าน B มีประชากรดอกไม้สีแดงมากกว่า
6. ครูใหนักเรียนศึกษาการกลาย ซึ่งมีผลทําให สีมว่ 1ง โดยมีความถีข่ องแอลลีล P เท่ากับ 0.1 ต่อมามีลมพัดแรงเกิดขึน้ ในบริเวณนี้ ท�าให้มกี ารถ่าย
เกิดลักษณะใหมในกลุม ประชากร และหากเปน เรณูระหว่างประชากรดอกไม้ทั้ง 2 ฝั่ง และเมื่อเวลาผ่านไป พบว่า บริเวณฝั่งด้าน A มีประชากร
ลักษณะทีด่ แี ละเหมาะสมตอสภาพแวดลอมจะ ดอกไม้สแี ดงเพิม่ ขึน้ และดอกไม้สมี ว่ งลดลง โดยมีความถีข่ องแอลลีล P ลดลงเหลือ 0.6 และฝัง่ ด้าน
B มีประชากรดอกไม้สีม่วงเพิ่มมากขึ้น และมีประชากรดอกไม้สีแดงลดลง โดยมีความถี่ของ
เปนการเพิม่ แอลลีลใหมในประชากร และถาม
แอลลีล P เพิ่มขึ้นเป็น 0.4 ดังภาพ
คําถามนักเรียนวา
ï• การกลายมีผลตอการเปลี่ยนแปลงความถี่
ของแอลลีลอยางไร
(แนวตอบ การกลายที่ทําใหเกิดลักษณะที่ดี
แอลลี ล ใหม จ ะถู ก สะสมไว ใ นยี น พู ล ของ P = 0.9 P = 0.1 P = 0.6 P = 0.4
ประชากร ทําใหมีความหลากหลายทาง
พันธุกรรมของประชากร แตหากการกลาย
ทําใหเกิดลักษณะที่ไมดี แอลลีลใหมจะถูก A B A B
คัดทิง้ ออกจากยีนพูลของประชากร)
7. ครูใหนกั เรียนศึกษาการคัดเลือกโดยธรรมชาติ
ซึ่ ง ทํ า ให ป ระชากรที่ มี ลั ก ษณะเหมาะสมกั บ
สิ่งแวดลอมสามารถดํารงชีวิตและสืบพันธุให
ประชากรรุนตอไป โดยอาศัยการปรับเปลี่ยน
ลักษณะทางสรีระ พฤติกรรม และรูปแบบการ
ดํารงชีวติ ทีก่ ลมกลืนกับสิง่ แวดลอม แตสาํ หรับ
ภาพที่ 7.29 การถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีนระหว่างประชากรดอกไม้สีม่วงและสีแดงที่อยู่บริเวณริมฝั่งแม่น�้า
ประชากรที่ไมเหมาะสมกับสิ่งแวดลอมจะถูก
คัดทิ้งและลดจํานวนลงไป 124
T142
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
3. การเลือกคู่ผสมพันธุ์ เป็นรูปแบบของการผสมพันธุ์ที่พบในประชากรส่วนใหญ่ โดย 8. ครูถามคําถามนักเรียนวา
สมาชิกทุกตัวมีโอกาสผสมพันธุไ์ ด้เท่า ๆ กัน ซึง่ จะไม่มผี ลต่อการเปลีย่ นแปลงความถีข่ องแอลลีลใน ï• การคั ด เลื อ กโดยธรรมชาติ มี ผ ลต อ การ
ยีนพูลของประชากรทุกรุน่ แต่ในธรรมชาติโดยทัว่ ไป สมาชิกในประชากรมักมีการเลือกคูผ่ สมพันธุ์ เปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลอยางไร
หรือการผสมพันธุ์ไม่เปนแบบสุ่ม (non-random mating) ท�าให้สมาชิกบางส่วนของประชากรไม่มี (แนวตอบ การคัดเลือกสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะ
โอกาสได้ผสมพันธุ์ ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลในยีนพูลของประชากรในรุ่น เหมาะสมกั บ สิ่ ง แวดล อ มให ส ามารถดํ า รง
ต่อไป ชีวิต และสืบพันธุใหประชากรรุนตอไปได
4. การกลาย 1(mutation) เป็นการเปลีย่ นแปลงทีเ่ กิดขึน้ ทัง้ ในระดับยีนและระดับโครโมโซม ส ว นสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี ลั ก ษณะไม เ หมาะสมกั บ
ซึง่ เป็นปรากฏการณ์ทเี่ กิดขึน้ ตามธรรมชาติของสิง่ มีชวี ติ การเกิดการกลายเพียงอย่างเดียวไม่มผี ล สิ่ ง แวดล อ มจะถู ก คั ด ทิ้ ง และลดจํ า นวนลง
มากพอต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมของยีนพูลในประชากรขนาดใหญ่ภายใน
ซึ่ ง มี ผ ลทํ า ให บ างแอลลี ล เพิ่ ม ขึ้ น บาง
รุ่นเดียว เนื่องจากการกลายในธรรมชาติมักเกิดในอัตราที่ต�่ามาก โดยเกิดขึ้นในอัตรา 10-5 หรือ
10-6 ใน 1 ชัว่ อายุ การเปลีย่ นแปลงความถีเ่ พียงเล็กน้อยจึงต้องใช้เวลานานมาก เช่น อัตราการเกิด แอลลีลลดลง และบางแอลลีลอาจหายไปจาก
การกลาย 0.00001/ชั่วอายุ สามารถท�าให้ความถี่แอลลีลจาก 0.5 เปลี่ยนเป็น 0.49 อาจต้องใช้ กลุมประชากร)
เวลานานถึง 2,000 ชัว่ อายุ เป็นต้น แต่ในบางกรณีทมี่ ปี จั จัยอืน่ ร่วมด้วย เช่น การเลือกคูผ่ สมพันธุ์ 9. ครูใหนกั เรียนศึกษาตัวอยางการเปลีย่ นแปลง
การคัดเลือกโดยธรรมชาติ ซึง่ จะเอือ้ ให้สงิ่ มีชวี ติ ทีม่ ยี นี กลายอยูส่ ามารถเพิม่ จ�านวนได้อย่างรวดเร็ว ประชากรผีเสื้อกลางคืน Biston betularia
ถ้าการกลายเป็นลักษณะที่ดีและเหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม แอลลีลใหม่จะถูกสะสมไว้ในยีนพูล และถามคําถามนักเรียนวา
ท�าให้เกิดความหลากหลายทางพันธุกรรมของประชากร แต่หากการกลายท�าให้เกิดลักษณะที่ไม่ดี ï• ผี เ สื้ อ กลางคื น Biston betularia มี
และไม่เหมาะสมต่อสภาพแวดล้อม ลักษณะการกลายนั้นจะถูกคัดทิ้งไป กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติอยางไร
5. การคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) เป็นกลไกพื้นฐานของการเกิด (แนวตอบ ผีเสือ้ กลางคืน B. betularia จะอาศัย
วิวัฒนาการร่วมกับกลไกอื่น ๆ การคัดเลือกโดยธรรมชาติท�าให้ประชากรที่มีลักษณะเหมาะสมกับ ลักษณะสีตวั ทีค่ ลายคลึงกับสีของตนไมเพือ่
สิ่งแวดล้อมสามารถด�ารงชีวิตและแพร่พันธุ์ประชากรในรุ่นต่อไปได้ โดยอาศัยการปรับเปลี่ยน
อําพรางตัวจากผูลา ทําใหผีเสื้อที่มีสีตัว
ลักษณะทางสรีระ พฤติกรรม และรูปแบบการด�ารงชีวิตที่กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม แต่ส�าหรับ
ประชากรทีไ่ ม่เหมาะสมกับสิง่ แวดล้อมนัน้ จะถูกคัดทิง้ และลดจ�านวนลงไป ซึง่ มีผลท�าให้แอลลีลบาง แตกตางจากสีของตนไมถูกลามากกวา
แอลลีลในประชากรมีจ�านวนมากขึ้น บางแอลลีลมีจ�านวนลดลง จึงมีจํานวนลดลง จากเหตุการณนี้ทําให
B iology สมาชิกของประชากรทีม่ ลี กั ษณะเหมาะสม
Focus การเลือกคู่ผสมพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต กับสภาพแวดลอมจะมีจาํ นวนเพิม่ มากขึน้
สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่มีการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ โดยมีการเลือกคู่แบ่งเป็น 2 รูปแบบ คือ แตสมาชิกที่มีลักษณะไมเหมาะสมจะมี
การผสมพันธุ์แบบสุ่ม (random mating) เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นเป็นส่วนมากในประชากร ซึ่ง จํานวนลดลง)
การผสมพันธุ์แบบสุ่มจะไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนในแต่ละรุ่นมากนัก 10. ครูถามคําถามทาทายการคิดขัน้ สูง (H.O.T.S.)
การผสมพันธุไ์ ม่เปนแบบสุม่ (non-random mating) มีการจับคูผ่ สมพันธุโ์ ดยเลือกตามคุณสมบัติ
และลักษณะทางฟีโนไทป์ ถ้าการเลือกคู่ผสมพันธุ์ในกลุ่มมีแนวโน้มเกิดการผสมพันธุ์ภายในสายพันธุ์ กับนักเรียน
เดียวกันหรือในเครือญาติที่เรียกว่า อินบรีดดิ้ง (inbreeding) จะมีผลท�าให้ความถี่ของยีนหรือความถี่ อธิบายความรู้
ของจีโนไทป์เปลี่ยนแปลงไป และท�าเกิดวิวัฒนาการของประชากรขึ้น
1. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับปจจัย
วิวัฒนาการ 125 ที่มีผลตอการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด
ชีววิทยา ม.4 เลม 2
T143
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
ครูใหนักเรียนทํากิจกรรม การคัดเลือกโดย ตัวอย่างการคัดเลือกโดยธรรมชาติ 1เช่น ผีเสื้อกลางคืน Biston betularia ในเมือง
ธรรมชาติ โดยบันทึกลงสมุดบันทึกของนักเรียน เบอร์มงิ แฮม ประเทศอังกฤษ ซึง่ ผีเสือ้ กลางคืน B. betularia มีลกั ษณะสีตวั ทีแ่ ตกต่างกัน 2 ลักษณะ
คือ สีเทาและสีด�า เมื่อประมาณ 150 ปีที่แล้ว พบว่าประชากรผีเสื้อส่วนใหญ่มีตัวสีเทา เนื่องจาก
อธิบายความรู้
สีตวั สีเทามีสคี ล้ายคลึงกับสีของต้นไม้ทมี่ ไี ลเคน
1. ครู สุ ม เลื อ กนั ก เรี ย นออกมาเฉลยกิ จ กรรม เกาะอยู่ จึงช่วยอ�าพรางตัวจากผู้ล่าได้ดีกว่า
การคัดเลือกโดยธรรมชาติ ผีเสื้อตัวสีด�า ในเวลาต่อมา เมืองเบอร์มิงแฮม
2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น เฉลยกิ จ กรรม การ ถูกพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรม ซึ่งมีโรงงาน
คัดเลือกโดยธรรมชาติ ขนาดใหญ่จ�านวนมาก ท�าให้เขม่าควันจาก
โรงงานเกาะบริเวณต้นไม้จนกลายเป็นสีด�า
ขัน้ สรุป และพบว่าประชากรผีเสื้อตัวสีด�าเพิ่มมากขึ้น
ขยายความเข้าใจ เนื่ อ งจากสามารถอ� า พรางตั ว จากผู ้ ล ่ า ได้ ดี
และผี เ สื้ อ ตั ว สี เ ทาจะถู ก ล่ า จากผู ้ ล ่ า มากขึ้ น
1. ครูใหนักเรียนทําผังสรุป เรื่อง กฎของฮารดี- ภาพที่ 7.30 ผีเสื้อกลางคืน (Biston betularia) จนปัจจุบันผีเสื้อเกือบทั้งหมดมีลักษณะตัวสีด�า
ไวนเบิรก
ก่อนการพัฒนาเป็น หลังการพัฒนาเป็น
2. ครูใหนักเรียนทําผังมโนทัศน เรื่อง ปจจัยที่มี เมืองอุตสาหกรรม เมืองอุตสาหกรรม
ผลตอการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลใน
ประชากร
T144
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การลงความเห็นจากข้อมูล
1. ครู ต รวจสอบผลจากผั ง สรุ ป เรื่ อ ง กฎของ
การคัดเลือกโดยธรรมชาติ • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป
ฮารดี-ไวนเบิรก
จิตวิทยาศาสตร์ 2. ครูตรวจสอบผลจากผังมโนทัศน เรื่อง ปจจัย
ความมีเหตุผล ที่มีผลตอการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล
วิธปี ฏิบตั ิ •
• ความรอบคอบ
ในประชากร
การทดลองเกีย่ วกับการคัดเลือกโดยธรรมชาติของผีเสือ้ กลางคืน (Biston betularia) ซึง่ มีทงั้ ผีเสือ้ สีเทา
และผีเสื้อสีด�าที่ชอบอาศัยอยู่ตามเปลือกต้นไม้ การทดลองเริ่มจากการจับผีเสื้อมาติดเครื่องหมายและปล่อย 3. ครูตรวจสอบผลจากกิจกรรม การใชกฎของ
ไปในเมือง 2 แห่ง คือ เมือง A เป็นเมืองที่อากาศมีมลพิษน้อย ต้นไม้ยังคงมีไลเคนขึ้นอยู่ และเมือง B เป็น ฮารดี-ไวนเบิรก
เมืองที่ถูกพัฒนาเป็นเมืองอุตสาหกรรม อากาศมีมลพิษมาก จนกระทั่งไลเคนไม่สามารถเจริญได้ท�าให้เปลือก 4. ครูตรวจสอบผลจากกิจกรรม การคัดเลือก
ต้นไม้มีเขม่าสีด�าเกาะอยู่ หลังจากปล่อยผีเสื้อไประยะหนึ่งจึงจับผีเสื้อกลับมาและได้บันทึกข้อมูล ดังตาราง โดยธรรมชาติ
จ�านวนผีเสื้อกลางคืน (Biston betularia) 5. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การหาความถี่
สถานที่ทดลอง ของแอลลีลในประชากร
สีเทา สีด�า
จ�านวนที่ปล่อย 1,000 1,000 6. ครูตรวจสอบผลจากใบงาน เรือ่ ง การประยุกต
เมือง A ใชประโยชนจากกฎของฮารดี-ไวนเบิรก
จ�านวนที่จับกลับมา 258 76
7. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถามใน
จ�านวนที่ปล่อย 1,000 1,000
เมือง B แบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
จ�านวนที่จับกลับมา 98 389
?
ค�าถามท้ายกิจกรรม
1. นักเรียนจะอธิบายการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลในประชากรผีเสื้อในเมือง A และเมือง B อย่างไร แนวตอบ ค�าถามท้ายกิจกรรม
2. จากสถานการณ์นี้ ธรรมชาติมสี ว่ นเกีย่ วข้องต่อการเปลีย่ นแปลงความถีข่ องแอลลีลทีท่ า� ให้เกิดการคัดเลือก
ชนิดพันธุ์ของผีเสื้อกลางคืนอย่างไร 1. ในเมือง A จะพบผีเสื้อกลางคืน B. betularia
สีเทามากกวา เนื่องจากเปนเมืองที่มีมลพิษนอย
อภิปรายผลกิจกรรม ตนไมยังมีไลเคนเกาะอยู จึงทําใหผีเสื้อสีเทา
จากกิจกรรม จะเห็นว่าการคัดเลือกโดยธรรมชาติมีผลท�าให้จ�านวนสมาชิกของประชากรที่มีลักษณะ สามารถอําพรางตัวจากผูลาไดดีกวา สวนใน
เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมนั้น ๆ มีจ�านวนเพิ่มมากขึ้น และลักษณะที่ไม่เหมาะสมบางลักษณะจะถูกคัดทิ้ง เมือง B จะพบผีเสื้อกลางคืน B. betularia สีดํา
และลดจ�านวนลง เช่น ผีเสื้อกลางคืน B. betularia สีด�าในเมือง A จะสามารถจับได้จ�านวนน้อย เนื่องจาก มากกวา เนือ่ งจากมีมลพิษทางอากาศมาก ทําให
ลักษณะตัวสีดา� มีความแตกต่างจากสีของเปลือกต้นไม้ ซึง่ ในเมือง A ยังมีไลเคนขึน้ อยู่ จึงถูกล่าจากศัตรูได้งา่ ย เกิดเขมาควันเกาะบนตนไมมาก ผีเสื้อสีดําจึง
เช่นเดียวกับผีเสือ้ กลางคืน B. betularia สีเทาในเมือง B จะสามารถจับได้จา� นวนน้อยเช่นกัน เนือ่ งจากลักษณะ
ตัวสีเทามีความแตกต่างจากสีของเปลือกต้นไม้ ซึ่งในเมือง B ไม่มีไลเคนขึ้นอยู่เลย จึงถูกล่าจากศัตรูได้ง่าย สามารถอําพรางตัวจากผูลาไดมากกวา
ดังนั้น จึงท�าให้แอลลีลบางแอลลีลในประชากรมีจ�านวนเพิ่มมากขึ้น แต่บางแอลลีลจะมีจ�านวนลดลง 2. สิ่งแวดลอมเปนผลทําใหผีเสื้อกลางคืนชนิดนี้
ผานการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ซึ่งทําใหบาง
วิวัฒนาการ 127
แอลลี ล เพิ่ ม ขึ้ น บางแอลลี ล ลดลง หรื อ บาง
แอลลีลอาจหายไปจากกลุมประชากร
ความถี่ของแอลลีลในประชากรที่ทําใหมีสิ่งมีชีวิตมีการปรับตัว ลาดับที่
1
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
ความสอดคล้องกับจุดประสงค์
4
ระดับคะแนน
3 2 1
เคลื่อนยายยีน เปนการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลที่เปน
ระดับคะแนน
ประเด็นที่ประเมิน
4 3 2 1
1. ความ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานสอดคล้องกับ ผลงานไม่สอดคล้องกับ
สอดคล้องกับ จุดประสงค์ทุกประเด็น จุดประสงค์เป็นส่วน จุดประสงค์บางประเด็น จุดประสงค์
จุดประสงค์ ใหญ่
เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ
14-16 ดีมาก
11-13 ดี
8-10 พอใช้
T145
ต่ากว่า 8 ปรับปรุง
นํา นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ นํา
กระตุน ความสนใจ
Prior Knowledge
1. ครู นํ า ภาพนก 2 ชนิ ด ได แ ก Sternella คําวา “สปชสี ” 4. กําเนิดของสปีชีส์
neglecta และ Sternella magna มาให หมายความวาอยางไร วิ วั ฒ นาการเกิ ด จากการเปลี่ ย นแปลงโครงสร้ า งทาง
นักเรียนดู และถามคําถามกับนักเรียนวา พันธุกรรมของยีนพูลในประชากรจากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง ซึ่งอาจ
• นกทัง้ 2 ภาพนี้ เปนสายพันธุเ ดียวกันหรือไม เกิดจากการแปรผัน การสืบพันธุ์ และการคัดเลือกโดยธรรมชาติ และผลจากวิวฒ ั นาการของสิง่ มีชวี ติ
(แนวตอบ นกทัง้ 2 ภาพ เปนนกตางสายพันธุก นั อาจท�าให้เกิดสิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่เกิดขึ้นได้
แตมีลักษณะรูปรางที่คลายคลึงกัน)
2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา นกทั้ง 2 ภาพ มี 4.1 ความหมายของสปีชีส์
สายพันธุ หรือสปชีสที่ตางกัน ปัจจุบันแนวคิดเกี่ยวกับความหมายของสปีชีส์ไม่สามารถประยุกต์ใช้กับสิ่งมีชีวิตได้ทุกชนิด
3. ครูถามคําถาม Prior Knowledge เพือ่ ทบทวน จึงมีนักชีววิทยาหลายคนให้แนวคิดเกี่ยวกับความหมายของสปีชีส์ไว้ ดังนี้
ความรูเดิมของนักเรียน สปีชีส์ทางด้านสัณฐานวิทยา (morphological species concept) หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่มี
โครงสร้างภายนอกเหมือนกัน หรือการท�างานของโครงสร้างภายนอกคล้ายกัน ซึง่ จ�าแนกโดยใช้หลัก
ขัน้ สอน สัณฐานวิทยา (morphology) แต่อาจมีปญั หาในการแยกสปีชสี ท์ มี่ คี วามสัมพันธ์ใกล้ชดิ กันมาก และ
สํารวจคนหา มักมีลักษณะสัณฐานวิทยาคล้ายคลึงกันมาก เช่น นก Sternella neglecta และ Sternella magna
1. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาความหมายของสป ชี ส ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก เป็นต้น
แบ ง ออกเป น สป ชี ส ท างด า นสั ณ ฐานวิ ท ยา
และสปชีสทางดานชีววิทยา และถามคําถาม
นักเรียนวา
• สปชีสทางดานสัณฐานวิทยาและสปชีสทาง
ดานชีววิทยาแตกตางกันอยางไร
( แนวตอบ สป ชี ส ท างด า นสั ณ ฐานวิ ท ยา
หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่มีโครงสรางภายนอก
หรื อ การทํ า งานของโครงสร า งภายนอก
ที่ ค ล า ยคลึ ง กั น แต สิ่ ง มี ชี วิ ต ไม ส ามารถ Sternella neglecta Sternella magna
ผสมพันธุกันได แตสปชีสทางดานชีววิทยา ภาพที่ 7.32 นก 2 ชนิด ที่มีลักษณะคล้ายกันแต่คนละสปีชีส์
หมายถึง สิ่งมีชีวิตที่สามารถผสมพันธุกัน สปีชสี ท์ างด้านชีววิทยา (biological species concept) หมายถึง สิง่ มีชวี ติ ทีส่ ามารถผสมพันธุ์
1
และใหกาํ เนิดลูกทีไ่ มเปนหมัน ซึง่ นักชีววิทยา กันได้ในธรรมชาติและให้กา� เนิดลูกทีไ่ ม่เป็นหมัน แต่ในบางครัง้ สิง่ มีชวี ติ ต่างสปีชสี ก์ นั อาจสามารถ
ใชสมบัติของสปชีสทางดานชีววิทยาในการ ให้กา� เนิดลูกแต่เป็นหมัน ท�าให้สงิ่ มีชวี ติ แต่ละสปีชสี ไ์ ม่สามารถถ่ายทอดพันธุกรรมร่วมกับสิง่ มีชวี ติ
จําแนกสปชีสของสิ่งมีชีวิต) สปีชีส์อื่นได้ ซึ่งนักชีววิทยาใช้สมบัติทางพันธุศาสตร์และชีววิทยาในการจ�าแนกสปีชีส์โดยอาศัย
แนวตอบ Prior Knowledge หลักการที่ว่า สิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวกันจะผสมพันธุ์กันและให้ลูกรุ่นที่ไม่เป็นหมัน
สป ชี ส หมายถึ ง กลุ ม ของสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี 128
โครงสรางและหนาทีเ่ หมือนกัน สามารถผสมพันธุ
กันไดโดยที่ลูกที่ไมเปนหมัน
T146
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
4.2 การเกิดสปีชีส์ใหม่ 2. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การเกิดสปชีสใหม
การเกิดสปีชสี ใ์ หม่ (speciation) จะเกิดขึน้ เมือ่ ไม่มกี ารถ่ายเทเคลือ่ นย้ายยีนระหว่างประชากร ของสิ่งมีชีวิต จะเกิดขึ้นเมื่อไมมีการถายเท
ท�าให้ประชากรทัง้ สองมีโครงสร้างทางพันธุกรรมทีแ่ ตกต่างกันและเกิดเป็นสปีชสี ใ์ หม่ขนึ้ ทัง้ นีอ้ าจ เคลือ่ นยายยีนระหวางประชากร ทําใหประชากร
เกิดขึ้นในระยะเวลาอันสั้นหรือเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กทีละน้อยติดต่อกันเป็นเวลานาน ทั้งสองกลุมมีโครงสรางที่แตกตางกัน และ
การเกิดสปีชีส์ใหม่เกิดได้ 2 แนวทาง ดังนี้ เกิดเปนสปชีสใหม แบงออกเปน 2 แนวทาง
1. การเกิดสปีชีส์ใหม่จากการแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์ (allopatric speciation) ไดแก การเกิดสปชีสใหมจากการแบงแยก
เป็นการเกิดสปีชีส์ใหม่โดยมีสิ่งกีดขวาง เช่น ภูเขา แม่น�้า ทะเล ซึ่งสิ่งกีดขวางท�าให้ประชากร ทางภูมิศาสตร และการเกิดสปชีสใหมในเขต
ดั้งเดิมถูกแบ่งแยกออกเป็นกลุ่มย่อยและไม่มีการถ่ายเทเคลื่อนย้ายยีนระหว่างกัน จากนั้น ภูมิศาสตรเดียวกัน
แต่ละกลุ่มย่อยจะพัฒนาเปลี่ยนแปลงความแตกต่างทางพันธุกรรมต่อไปตามการคัดเลือก 3. ครูใหนกั เรียนศึกษาการเกิดสปชสี ใ หมจากการ
โดยธรรมชาติจนเกิดเป็นสปีชีส์ใหม่ ต่อมาแม้สิ่งกีดขวางจะหายไป ประชากรในกลุ่มย่อยสามารถ แบงแยกทางภูมิศาสตร ที่เกิดจากสิ่งกีดขวาง
ติดต่อถึงกันได้ แต่ก็ไม่สามารถถ่ายทอดพันธุกรรมร่วมกันเป็นยีนพูลเดียวกันได้อีกต่อไป
ทําใหประชากรดั้งเดิมถูกแบงแยกออกเปน
กลุม ยอย และทําใหไมมกี ารถายเทเคลือ่ นยาย
ยีนระหวางกัน และถามคําถามนักเรียนวา
ï• หากประชากรสปชีสใหมที่เกิดจากการแบง
แยกทางภูมิศาสตรกลับมาเจอกับประชากร
ดั้งเดิมจะสามารถผสมพันธุกันไดหรือไม
อยางไร
ภาพที่ 7.33 การเกิดสปีชีส์ใหม่ของต้นไม้จากการแบ่งแยกทางภูมิศาสตร์
(แนวตอบ ไมสามารถผสมพันธุก นั ได เพราะ
ตัวอย่างเช่น กระรอก 2 ชนิด ได้แก่ Anunospermophilus harrisi และ A. Leucurus ทีพ่ บ ยีนพูลของประชากรทัง้ สองกลุม แตกตางกัน)
บริเวณแกรนด์แคนยอน รัฐแอริโซนา ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึง่ มีลกั ษณะคล้ายกันมากและมีความ
ใกล้ชดิ ทางสายวิวฒ ั นาการ โดยการแยกกันของ 2 สปีชสี ์ เกิดจากการเปลีย่ นแปลงทางธรณีวทิ ยา
ท�าให้บริเวณแกรนด์แคนยอนถูกตัดขาดออกจากกันโดยแม่น�้าโคโลราโด ซึง่ นักวิทยาศาสตร์เชือ่ ว่า
กระรอก 2 สปีชีส์นี้เคยเป็นสปีชีส์เดียวกันมาก่อน ก่อนที่จะเกิดการแยกของแผ่นดินขึ้น
ขอสอบเนน การคิด
“จากการศึกษาประชากรนกยูงของนักวิทยาศาสตร พบวา ในอดีต นกยูงที่อยูบริเวณสองฝง
แมนํ้าเปนสิ่งมีชีวิตสปชีสเดียวกัน แตหลังการเกิดนํ้าปาไหลหลากทําใหประชากรนกยูงถูกแยก
ออกเปน 2 กลุม โดยมีแมนํ้าคั่นกลาง และเมื่อนักวิทยาศาสตรจับนกยูง 2 กลุมนี้มาเลี้ยงรวมกัน
พบวา นกยูงทั้ง 2 กลุม ไมสามารถผสมพันธุกันได”
จากขอความขางตน เพราะเหตุใดนกยูง 2 กลุมที่เคยเปนสปชีสเดียวกัน ถึงไมสามารถ
ผสมพันธุกันได
(วิเคราะหคําตอบ จากขอมูลขางตน แสดงใหเห็นวา มีการเกิดสปชีสใหมของนกยูง 2 กลุมนี้
ซึ่งมีกลไกลการเกิดสปชีสใหมจากการแบงแยกทางภูมิศาสตร เนื่องจากในอดีตนกยูงที่อยูบริเวณ
สองฝงแมนํ้าเปนสิ่งมีชีวิตสปชีสเดียวกัน แตถูกแบงแยกออกจากกันโดยมีแมนํ้าเปนสิ่งกีดขวาง
ทําใหประชากรนกยูง 2 กลุม ไมมกี ารถายเทเคลือ่ นยายยีนระหวางกัน และแตละกลุม มีการพัฒนา
เปลี่ยนแปลงความแตกตางทางพันธุกรรมจนไมสามารถกลับมาผสมพันธุกันไดอีก หรืออาจกลาว
ไดวา นกยูงทั้ง 2 กลุม มีสปชีสตางกัน)
T147
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
4. ครู ใ ห นั ก เรี ย นศึ ก ษาการเกิ ด สป ชี ส ใ หม 2. การเกิดสปีชีส์ใหม่ในเขตภูมิศาสตร์เดียวกัน (sympatric speciation) เป็นการ
ในเขตภู มิ ศ าสตร เ ดี ย วกั น ที่ เ กิ ด จากการ เกิดสปีชสี ใ์ หม่จากการแบ่งแยกประชากรดัง้ เดิมออกเป็นกลุม่ ย่อยในเชิงการสืบพันธุ์ เชิงพฤติกรรม
แบงแยกประชากรดั้งเดิมออกเปนกลุมยอยใน หรือเชิงนิเวศวิทยาอย่างใดอย่างหนึง่ หรือหลายอย่างผสมผสานกัน ประชากรกลุม่ ย่อยอาจยังคงมี
เชิงการสืบพันธุ พฤติกรรม หรือนิเวศวิทยา ขอบเขตอยู่ร่วมกันได้ โดยมีกลไกป้องกันท�าให้ประชากรดังเดิมและประชากรกลุ่มย่อยไม่สามารถ
ซึ่ ง ประชากรยั ง อาศั ย อยู ใ นบริ เ วณเดี ย วกั น ผสมพันธุ์กัน
แตไมสามารถผสมพันธุกับสายพันธุดั้งเดิมได
ความผิดพลาดของการ การปฏิสนธิในตัวเอง
แบ่งเซลล์แบบไมโอซิส
2n = 6 4n = 12
เตตระพลอยด์
เซลล์สืบพันธุ์ผิดปกติ
2n = 6
ภาพที่ 7.36 การเกิดพอลิพลอยดีในสิ่งมีชีวิตสปีชีส์เดียวกัน
130
T148
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
1
2) การเกิดพอลิพลอยดีในสิง่ มีชวี ติ ต่างสปีชสี ก์ นั (allopolyploidy) เป็นการเพิม่ จ�านวน 5. ครูใหนักเรียนศึกษาการเกิดสปชีสใหมในเขต
ชุดของโครโมโซมที่มีต้นก�าเนิดภายในสปีชีส์ต่างกันแต่มีความใกล้เคียงกันตามสายวิวัฒนาการ ภูมศิ าสตรเดียวกันของพืชพอลิพลอยดี แบงออก
ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้หลายกรณี ดังนี้ เป น การเกิ ด พอลิ พ ลอยดี ภ ายในสิ่ ง มี ชี วิ ต
- กรณีสปีชีส์ A และ B ผสมพันธุ์กัน ได้ลูกผสมที่เป็นหมันและสร้างเซลล์สืบพันธุ์ สปชีสเดียวกัน และสิ่งมีชีวิตที่ตางสปชีสกัน
ที่ไม่สมบูรณ์ แต่ด้วยความบังเอิญลูกผสมรุ่น F1 อาจมีความผิดปกติขณะสร้างเซลล์สืบพันธุ์ท�าให้ และถามคําถามนักเรียนวาา
มีจ�านวนโครโมโซมเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และสามารถสร้างเซลล์สืบพันธุ์ได้ เมื่อเซลล์สืบพันธุ์นี้ ï• กลไกใดที่ทําใหประชากรในเขตภูมิศาสตร
ผสมกันได้ไซโกตและเจริญเติบโตเป็นลูกผสมรุ่น F2 ที่ปกติ ซึ่งจัดเป็นพืชสปีชีส์ใหม่ เดียวกันไมสามารถถายเทเคลื่อนยายยีน
เซลล์สืบพันธุ์ เซลล์สืบพันธุ์ ระหวางกันได
n=2 n=5
ลูกผสม F1
2n = 5 2n = 10 ลูกผสม F2 (แนวตอบ การเปลีย่ นแปลงจํานวนโครโมโซม
สปีชีส์ A ของประชากร ทํ า ให ป ระชากรมี จํ า นวน
2n = 4 ไมโอซิส โครโมโซมเปลีย่ นแปลงไปจนไมสามารถผสม
แบ่งเซลล์แบบ 2n = 10 พันธุก บั ประชากรดัง้ เดิมได)
เซลล์สืบพันธุ์ ไมโอซิสผิดพลาด เซลล์สืบพันธุ์
n=3 n=5
สปีชีส์ B
2n = 6 ภาพที่ 7.37 การเกิดพอลิพลอยดีในสิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กัน
- กรณีพืชสปีชีส์ A บังเอิญมีความผิดปกติในการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ที่มีจ�านวน
โครโมโซมเป็น 2n และผสมพันธุ์กับพืชสปีชีส์ B ที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ปกติ ได้ลูกผสมที่มีจ�านวน
โครโมโซม 3n และด้วยเหตุบังเอิญลูกผสม F1 มีความผิดปกติ สามารถสร้างเซลล์สืบพันธุ์ที่มี
จ�านวนโครโมโซมเท่าเดิมได้ และหากเซลล์สบื พันธุด์ งั กล่าวผสมพันธุก์ บั เซลล์สบื พันธุป์ กติของพืช
สปีชีส์ B จึงจะสามารถเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ต่อไปได้กลายเป็นพืชสปีชีส์ใหม่
เซลล์สืบพันธุ์ผิดปกติ เซลล์สืบพันธุ์ผิดปกติ
2n = 4 n=7
ลูกผสม F1
ความผิดพลาด 3n = 7
สปีชีส์ A ของการแบ่งเซลล์
2n = 4 แบบไมโอซิส
พืชสปีชีส์ใหม่
เซลล์สืบพันธุ์ปกติ 2n = 10
n=3
สปีชีส์ B
2n = 6 เซลล์สืบพันธุ์ปกติ
n=3
ภาพที่ 7.38 การเกิดพอลิพลอยดีในสิ่งมีชีวิตต่างสปีชีส์กัน
วิวัฒนาการ 131
T149
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
6. ครูใหนักเรียนศึกษาการเกิดพอลิพลอยดีจาก ตัวอย่างของการเกิดพอลิพลอยดีของสิ่งมีชีวิตต่าง Biology
การทดลองของจอรจิ คารปเ ชงโก และครูถาม ชนิดกัน เช่น การทดลองของจอร์จิ คาร์ปเิ ชงโก (Georgii Karpe- in real life
คําถามนักเรียนวา chenko) นักพันธุศาสตร์ชาวรัสเซีย ได้ผสมพันธุ์ผักกาดแดง การเกิดพอลีพลอยดี ในพืชถูก
น�ามาพัฒนาพันธุ์พืชไร้เมล็ด
ï• การเกิดพอลิพลอยดีจากการทดลองของ ซึ่งมีจ�านวนโครโมโซม 18 โครโมโซม (2n=18) กับกะหล�่าปลี โดยการชั ก น� า ให้ จ� า นวนชุ ด
จอรจิ คารปเชงโก เปนการเกิดสปชีสใหม ซึ่งมีจ�านวนโครโมโซม 18 โครโมโซม (2n=18) เท่ากัน พบว่า โครโมโซมของพืชเพิ่มหรือลด
อยางไร ลูกผสมที่เกิดขึ้นในรุ่น F1 มีขนาดใหญ่ แข็งแรง แต่ไม่สามารถ ลง โดยการใช้สารเคมีบางชนิด
เช่ น สารโคลชิ ซิ น หรื อ การ
(แนวตอบ การเกิดพอลิพลอยดีในสิง่ มีชวี ติ ตาง ผสมพันธุต์ อ่ ไปได้ แต่ลกู ผสมรุน่ F1 บางต้นสามารถผสมพันธุก์ นั
ฉายรั ง สี แ กมมา พื ช ที่ ถู ก น� า
สปชสี ก นั เนือ่ งจากพืชทีใ่ ชในการทดลองเปน และได้ลกู ผสมรุน่ F2 ซึง่ มีโอกาสเกิดได้นอ้ ยมาก เมือ่ น�าลูกผสมรุน่ มาพัฒนาเป็นสายพันธุ์ ไร้เมล็ด
สิง่ มีชวี ติ ตางสปชสี ก นั แตมจี าํ นวนโครโมโซม F2 มาตรวจดูโครโมโซม พบว่ามีจา� นวนโครโมโซม 36 โครโมโซม เช่น กล้วย แตงโม องุน่ เป็นต้น
เทากัน จึงสามารถผสมพันธุก นั ได แตรนุ ลูก (4n=36) และไม่เป็นหมัน ดังนั้น ลูกผสมรุ่น F2 นี้ จึงเป็น
ทีไ่ ดจะเปนหมัน จึงไมสามารถผสมพันธุต อ สิ่งมีชีวิตสปีชีส์ใหม่ที่เกิดจากพอลิพลอยดี
ไปได อยางไรก็ตาม มีรนุ ลูกบางตนสามารถ n=9
ผสมพั น ธุ ต อ ได จึ ง ได รุ น หลานซึ่ ง ถื อ ว า เซลล์สืบพันธุ์
n=9
เปนสิ่งมีชีวิตสปชีสใหม เนื่องจากมีจํานวน
โครโมโซมเปลีย่ นแปลงไปจากรุน พอแม และ ผักกาดแดง
2n = 18
ไมเปนหมัน) ×
กะหล�่าปลี
2n = 18
ลูกผสม F1
n+n=9+9
(2n = 18) ลูกผสม F2
2n + 2n = 18 + 18
(4n = 36)
ถึงแม้ว่าการเกิดสปีชีส์ใหม่แบบพอลิพลอยดีในสัตว์จะพบได้น้อยกว่าในพืช แต่ก็สามารถ
เกิดขึ้นได้ อีกทั้งยังมีกลไกอื่น ๆ ที่สามารถท�าให้เกิดสปีชีส์ใหม่ แม้ว่ายังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่เดียว
กับบรรพบุรษุ เช่น การเปลีย่ นแปลงยีนเพียงไม่กยี่ นี ในตัวต่อ ซึง่ เป็นแมลงทีช่ ว่ ยผสมเกสรของพืช
กลุม่ มะเดือ่ ท�าให้ตวั ต่อทีม่ ยี นี เปลีย่ นแปลงและเลือกไปอาศัยอยูใ่ นต้นมะเดือ่ สปีชสี ใ์ หม่ไม่มโี อกาส
ได้พบและผสมพันธุก์ บั ตัวต่อในกลุม่ ประชากรเดิม แต่จะได้พบและผสมกับตัวต่อทีม่ ยี นี เปลีย่ นแปลง
เหมือนกัน จนกระทั่งเกิดตัวต่อ 2 สปีชีส์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกันในที่สุด
132
ขอสอบเนน การคิด
มะเขือเทศมีจาํ นวนโครโมโซม 24 คู (2n = 24) แตจากการตรวจสอบโครโมโซมของมะเขือเทศ
แปลงหนึ่ง พบวา มีโครโมโซมเพิ่มขึ้นเปน 48 คู (4n = 48) นักเรียนคิดวา มะเขือเทศแปลงนี้มี
การเกิดสปชีสใหมแบบใด และมีกระบวนการเกิดอยางไร
( วิเคราะหคําตอบ มะเขื อ เทศแปลงนี้ มี ก ลไกการเกิ ด สป ชี ส ใ หม ใ นเขตภู มิ ศ าตร เ ดี ย วกั น
เกิดจากการแบงแยกประชากรดั้งเดิมออกเปนกลุมยอยทางการสืบพันธุ ทําใหประชากรใหมมี
จํานวนโครโมโซมเพิม่ มากขึน้ และไมสามารถสืบพันธุก บั ประชากรดัง้ เดิมได โดยการเพิม่ ขึน้ ของ
จํานวนชุดของโครโมโซมในมะเขือเทศแปลงนี้ อาจเกิดจากความผิดพลาดของกระบวนการสราง
เซลลสบื พันธุใ นการแบงเซลลแบบไมโอซิส ทําใหเซลลสบื พันธุม จี าํ นวนโครโมโซม 2 ชุด (2n = 24)
และเมื่อเซลลสืบพันธุที่มีจํานวนโครโมโซม 2 ชุด มีการปฏิสนธิกับเซลลสืบพันธุที่มีจํานวน
โครโมโซม 2 ชุด เทากัน ทําใหมะเขือเทศมีจํานวนโครโมโซมเพิ่มขึ้นเปน 4 ชุด (4n=48) ซึ่งจัด
เปนมะเขือเทศสปชีสใหม)
T150
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
อธิบายความรู้
กิจกรรม ทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์
• การลงความเห็นจากข้อมูล
7. ครูอธิบายใหนักเรียนฟงวา การกระทําของ
การปรับปรุงพันธุ์พืชแบบพอลิพลอยดี • การตีความข้อมูลและการลงข้อสรุป มนุษยก็มีผลทําใหสิ่งมีชีวิตเกิดวิวัฒนาการ
• การจัดท�าสือ
่ และสือ่ ความหมายข้อมูล
จิตวิทยาศาสตร์ เป น สป ชี ส ใ หม ไ ด เ ช น กั น เช น แมลงที่ ดื้ อ
วิธปี ฏิบตั ิ • ความมีเหตุผล
• ความร่วมมือช่วยเหลือ
สารฆาแมลง เชื้อโรคที่ดื้อตอยาปฏิชีวนะ
• ความรับผิดชอบ 8. ครู ใ ห นั ก เรี ย นแบ ง กลุ ม กลุ ม ละ 5 คน
1. ให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลการปรับปรุงพันธุ์พืชแบบพอลิพลอยดีใน
ประเด็นต่อไปนี้ ทํ า กิ จ กรรม การปรั บ ปรุ ง พั น ธุ พื ช แบบ
1.1 ตัวอย่างพืชแบบพอลิพลอยดี พอลิพลอยดี แลวจัดทํารายงาน และปายนิเทศ
1.2 ขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์พืชแบบพอลิพลอยดี เพื่อนําเสนอในชั่วโมงตอไป
1.3 ประโยชน์ของการปรับปรุงพันธุ์พืชแบบพอลิพลอยดี
2. ให้นักเรียนจัดท�ารายงาน และน�าเสนอหน้าชั้นเรียน อธิบายความรู้
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
อภิปรายผลกิจกรรม การเกิดสปชีสของสิ่งมีชีวิต
จากกิจกรรม จะเห็นว่าเราสามารถพบพืชทีผ่ า่ นการปรับปรุงพันธุพ์ ชื แบบพอลิพลอยดีได้ในชีวติ ประจ�าวัน 2. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายเกี่ ย วกั บ
เช่น กล้วย แตงโม องุ่น ข้าวสาลี สตรอว์เบอร์รี เป็นต้น ซึ่งขั้นตอนการปรับปรุงพันธุ์พืชอาจใช้วิธีที่ การเกิ ด วิ วั ฒ นาการของสิ่ ง มี ชี วิ ต จากการ
แตกต่างกันออกไป เช่น การผสมพันธุ์พืชที่มีโครโมโซมเท่ากัน การใช้สารเคมีบางชนิด เป็นต้น โดยพืชที่ผ่าน
การปรับปรุงพันธุ์เหล่านี้จะมีคุณสมบัติบางประการที่ดีขึ้น และให้ลักษณะตามต้องการได้ เช่น ผลผลิตสูงขึ้น
กระทําของมนุษย
ผลหรือล�าต้นมีขนาดใหญ่กว่าพืชทั่วไป เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การพัฒนาอย่างรวดเร็วของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีส่งผลให้เกิด
วิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก ดังนี้
การดือ้ สารฆ่าแมลง เนือ่ งจากการใช้สารเคมีกา� จัดแมลงในครัวเรือนและในการเกษตรมากขึ
1 น้
ท�าให้มกี ารตกค้างของสารเคมีในสิง่ แวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหามลพิษ เช่น ดีดที ี ซึง่ เป็นสารเคมี
ทีน่ า� มาใช้กา� จัดศตรูพชื ในครัง้ แรกอาจก�าจัดแมลงได้เกือบทัง้ หมด แต่แมลงบางตัวอาจมียนี ต้าน
สารฆ่าแมลง ท�าให้มชี วี ติ รอดและให้กา� เนิดลูกหลาน ซึง่ เป็นการเพิม่ ยีนต้านสารฆ่าแมลงในประชากร
และเมือ่ มีการใช้สารฆ่าแมลงมากขึน้ จะท�าให้แมลงมีการดือ้ สารฆ่าแมลงเพิม่ ามากขึน้
การดื้อยาปฏิชีวนะ การใช้ยาปฏิชีวนะทางการแพทย์เพื่อท�าลายแบคทีเรียบางสายพันธุ์
แต่ที่บางสายพันธุ์สามารถต้านทานต่อยาปฏิชีวนะจนมีโอกาสอยู่รอดและเพิ่มจ�านวนได้มากขึ้น
อีกทั้งแบคทีเรียจะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางพันธุกรรมให้สามารถต้านทานต่อยาปฏิชีวนะ
ได้มากขึ้น จึงต้องคิดค้นยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์รุนแรงขึ้นเพื่อใช้ท�าลายแบคทีเรีย
วิวัฒนาการ 133
T151
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สอน
ส�ารวจค้นหา
ครู ใ ห นั ก เรี ย นแต ล ะกลุ ม ออกมานํ า เสนอ
Summary
กิจกรรม การปรับปรุงพันธุพืชแบบพอลิพลอยดี วิวฒ
ั นาการ
หนาชั้นเรียนกลุมละ 5 นาที
หลักฐานที่บ่งบอกถึงวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
อธิบายความรู้ • หลักฐานจากซากดึกด�าบรรพ์ของสิ่งมีชีวิต เป็นการศึกษาวิวัฒนาการจากหลักฐานที่แสดงล�าดับการเกิด
วิวัฒนาการ และบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสิ่งมีชีวิตจากอดีตถึงปัจจุบัน โดยคาดคะเนอายุของ
1. ครู แ ละนั ก เรี ย นร ว มกั น อภิ ป รายกิ จ กรรม ซากดึกด�าบรรพ์จากอายุชั้นหิน
การปรับปรุงพันธุพืชแบบพอลิพลอยดี • หลักฐานกายวิภาคเปรียบเทียบ เป็นการศึกษาวิวฒ ั นาการจากโครงสร้างภายในของสิง่ มีชวี ติ แบ่งออกเป็น
2. ครู ใ ห นั ก เรี ย นทํ า แบบฝ ก หั ด ในแบบฝ ก หั ด 2 ชนิด
ชีววิทยา ม.4 เลม 2 โครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดเดียวกัน โครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดต่างกัน
โครงสร้างทีม่ ตี น้ ก�าเนิดเดียวกัน แต่มหี น้าทีแ่ ตกต่างกัน โครงสร้างที่มีต้นก�าเนิดต่างกัน แต่มีหน้าที่เหมือนกัน
ขอสอบเนน การคิด
จากการวิเคราะหลาํ ดับเบสบนสายดีเอ็นเอของโปรตีนแอกทินและ จากขอมูลขางตน สิ่งมีชีวิตชนิดใด มีความสัมพันธทางวิวัฒนาการ
ไมโอซิน ซึง่ เปนโปรตีนสําคัญในเซลลกลามเนือ้ ของสิง่ มีชวี ติ ชนิดตางๆ ใกลชิดกับมนุษยมากที่สุด
พบวามีความแตกตางจากของลําดับเบสที่แตกตางจากของมนุษย 1. มา 2. วาฬ
ดังตาราง 3. แมว 4. โลมา
ลําดับเบสบนสายดีเอ็นเอของโปรตีนแอกทินและไมโอซิน 5. นกแกว
สิ่งมีชีวิต ที่แตกตางจากของมนุษย
สุนัข 72
(วิเคราะหคาํ ตอบ สิง่ มีชวี ติ ทีม่ ลี าํ ดับเบสบนสายดีเอ็นเอแตกตางกันนอย
โลมา 12 แสดงวามีความสัมพันธใกลชิดทางวิวัฒนาการมากที่สุด ซึ่งจากตาราง
ชาง 36 พบวา โลมามีลําดับเบสบนสายดีเอ็นเอของโปรตีนแอกทินและไมโอซิน
วาฬ 18 ที่แตกตางจากของมนุษยนอยที่สุด แสดงวา โลมามีความสัมพันธทาง
แมว 48 วิวัฒนาการใกลชิดกับมนุษยมากที่สุด ดังนั้น ตอบขอ 4.)
มา 87
เสือ 148
นกแกว 152
T152
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ สรุป
ขยายความเข้าใจ
• หลักฐานสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของมนุษย หลักฐานจากซากดึกดําบรรพ และการเปรียบเทียบ 1. ครูใหนักเรียนทําผังสรุป เรื่อง การเกิดสปชีส
ลําดับเบสบนสาย DNA ระหวางมนุษยกับลิงชิมแปนซี พบวา มนุษยแยกสายวิวัฒนาการมาจาก
ไพรเมตกลุมลิงไมมีหางเมื่อประมาณ 5-7 ลานปที่ผานมา โดยคาดคะเนลําดับขั้นตอนการสืบสาย ใหมของสิง่ มีชวี ติ โดยยกตัวอยางการเกิดสปชสี
วิวัฒนาการของมนุษยได ดังนี้ ใหมของสิ่งมีชีวิตมา 1 ชนิด พรอมระบุกลไก
- ออสตราโลพิเทคัส ของการเกิดสปชีสใหมของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น
บรรพบุรุษที่คลายคลึงกับมนุษยที่สุด ซากดึกดําบรรพที่รูจักดี คือ ลูซี โดยสืบคนขอมูลจากวารสารทางวิชาการ หรือ
(Australopithecus afarensis) 1 มีการเดิน 2 ขา ลําตัวมีความสูง
ประมาณ 1-1.5 เมตร สมองมีความจุ 400-500 ลบ.ซม. เคลื่อนที่ สื่อออนไลน
ไดทั้งพื้นดินและบนตนไม มีการกินอาหารหลายรูปแบบ 2. ครูใหนักเรียนทํา Self Check เพื่อตรวจสอบ
- โฮโม
Homo habilis มีสมองขนาด 600-750 ลบ.ซม. นํา้ หนัก 40-50 กิโลกรัม ความเขาใจของตนเอง
ลําตัวตรง เดิน 2 ขา เริ่มมีการใชสมองและการใชมือประดิษฐ 3. ครูใหนักเรียนทํา Unit Question ทายหนวย
สิ่งของเครื่องใชจากหิน
Homo erectus มีรางกายสูง สมองขนาด 1,100 ลบ.ซม. มีการใชไฟ การเรียนรูที่ 7 ในหนังสือเรียนชีววิทยา ม.4
และประดิษฐเครือ่ งมือจากหิน โดย H. erectus ทีร่ จู กั ดี คือ มนุษยชวา เลม 2
และมนุษยปกกิ่ง
4. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบทายหนวยการ
Homo sapiens มีสมองขนาด 1,400 ลบ.ซม. มีกระดูกคิ้วยื่นออกมา
จมูกกวาง คางสั้น มีการอยูรวมกันเปนหมู ลาสัตวรวมกัน รูจักใชไฟ เรียนรูที่ 7 ในแบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2
และเครือ่ งหนังสัตวนงุ หม และเริม่ มีวฒ
ั นธรรม โดยซับสปชสี แ รกทีพ่ บ 5. ครูใหนักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียน
คือ นีแอนเดอรทัล
มนุษยโครแมนยอง อยูซับสปชีสเดียวกับมนุษยยุคปจจุบัน คือ
H. sapiens sapiens มีขนาดสมอง 1,400 ลบ.ซม. มีความสามารถ
ในการลาสัตว ประดิษฐเครือ่ งมือจากหิน วาดภาพโดยใชสี และมีการอยู
รวมกันเปนชุมชุนทีมีกฏเกณฑ
ภาพที่ 7.43
แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
• แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของลามารก อธิบายวา สิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงโครงสรางใหเหมาะสมกับ
สภาพแวดลอมขณะเกิดวิวัฒนาการ โดยเสนอแนวคิด 2 แนวคิด
- กฎการใชและไมใช : อวัยวะสวนใดทีม่ กี ารใชมากในการดํารงชีวติ จะมีขนาดใหญและแข็งแรง แตอวัยวะ
สวนใดที่ไมมีการใชงานจะออนแอและเสื่อมลง
- กฎแหงการถายทอดลักษณะที่เกิดขึ้นใหม : การเปลี่ยนแปลงโครงสรางของสิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นภายใน
ชั่วรุนนั้น และสามารถถายทอดไปยังรุนลูกหลานได
• แนวคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการของดารวิน
- ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ มีสาระสําคัญ ดังนี้
• การคัดเลือกโดยธรรมชาติทาํ ใหสงิ่ มีชวี ติ แตละตัวมีความสามารถในการอยูร อด และใหกาํ เนิดลูกหลานได
แตกตางกัน
• การคัดเลือกโดยธรรมชาติเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธระหวางสิ่งแวดลอมที่ประชากรอาศัยอยูกับลักษณะ
ความแปรผันทางพันธุกรรมของสมาชิกในประชากร
• ผลจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติทําใหประชากรมีการปรับตัวใหเหมาะสมเพื่อสามารถดํารงชีวิตใน
สิ่งแวดลอมนั้นได วิวัฒนาการ 135
T153
นํา สอน สรุป ประเมิน
ขัน้ ประเมิน
ตรวจสอบผล
1. ครูตรวจสอบผลจากผังสรุป เรือ่ ง การเกิดสปชสี พันธุศาสตร์ประชากร
ใหมของสิ่งมีชีวิต • พันธุศาสตร์ประชากร เป็นการศึกษาการเปลี่ยนแปลงความถี่ของยีนหรือความถี่ของแอลลีลที่เป็น
องค์ประกอบทางพันธุกรรมของประชากร ซึ่งมีผลต่อการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต
2. ครูตรวจสอบผลจากรายงานและการนําเสนอ
• การหาความถี่ของแอลลีลในประชากร
กิจกรรม การปรับปรุงพันธุพ ชื แบบพอลิพลอยดี
3. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถาม Unit ความถี่แอลลีล = จ�านวนแอลลีลที่ปรากฏในจีโนไทป์ในประชากร
จ�านวนแอลลีลทั้งหมดในประชากร
Question ท า ยหน ว ยการเรี ย นรู ที่ 7 ใน
หนังสือเรียนชีววิทยา ม.4 เลม 2 • กฎของฮาร์ด-ี ไวน์เบิรก์ เมือ่ ประชากรอยูใ่ นภาวะสมดุลของฮาร์ด-ี ไวน์เบิรก์ ความถีข่ องแอลลีลหรือความถี่
4. ครูตรวจสอบผลจากการทําแบบทดสอบทาย ของจีโนไทป์ในยีนพูลจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งผลรวมของแอลลีลของยีนหนึ่ง ๆ ในประชากรจะเท่ากับ
1 เสมอ (p + q = 1) และประชากรต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขต่าง ๆ ได้แก่ ประชากรมีขนาดใหญ่ ไม่มี
หนวยการเรียนรูที่ 7 ในแบบฝกหัดชีววิทยา การถ่ายเทยีนระหว่างกลุ่มประชากร ไม่เกิดการกลาย สมาชิกทุกตัวมีโอกาสผสมพันธุ์เท่ากัน ไม่เกิด
ม.4 เลม 2 การคัดเลือกโดยธรรมชาติ และจากกฎของฮาร์ดไี วน์เบิรก์ สามารถใช้คาดคะเนความถีข่ องแอลลีลเกีย่ วกับ
5. ครู ต รวจสอบผลจากการตอบคํ า ถามใน โรคทางพันธุกรรมในยีนพูลของประชากร เช่น โรคโลหิตจางชนิดซิกเคิลเซลล์ โรคผิวเผือก เป็นต้น
• ปัจจัยที่ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีล ประกอบด้วย
แบบฝกหัดชีววิทยา ม.4 เลม 2 - การเปลีย่ นแปลงความถีแ่ บบไม่เจาะจง มีลกั ษณะแบบสุม่ และไม่มที ศิ ทางทีแ่ น่นอน แบ่งออก 2 ประเภท
6. ครูตรวจสอบผลจากแบบทดสอบหลังเรียน
ผลกระทบจากผู้ก่อตั้ง : เกิดจากการย้ายถิ่นของ ปรากฏการณ์คอขวด : เกิดจากประชากรขนาดใหญ่
ประชากรขนาดเล็กไปอยู่ในแหล่งที่อยู่ใหม่ และ ลดจ�านวนลงอย่างรวดเร็ว เนือ่ งจากภัยธรรมชาติ เช่น
ประสบความส�าเร็จในการสืบพันธุ์ ท�าให้ได้ประชากร แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ท�าให้บางแอลลีลในกลุม่
ใหม่เกิดขึ้นในแหล่งที่อยู่ใหม่ ประชากรเพิ่มขึ้น ลดลง หรือหายไป
136
ลาดับที่
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
ระดับคะแนน
ลาดับที่
1
ระดับคะแนน
รายการประเมิน
เนื้อหาละเอียดชัดเจน
3
ระดับคะแนน
2
1 5. ประชากรทุกตัวในกลุมมีโอกาสผสมพันธุเทากัน
4 3 2 1
2 ความถูกต้องของเนื้อหา
T154
ต่ากว่า 6 ปรับปรุง
นํา สอน สรุป ประเมิน
3. ประชากรทีอ่ ยูใ่ นภาวะสมดุลของฮาร์ด-ี ไวน์เบิรก์ จะมีความถีข่ องแอลลีล 3.2 ในการดํารงชีวติ เชน ชองเหงือกของมนุษยจะ
สม
ใน
9. ปจจัยที่มีผลตอการเปลี่ยนแปลงความถี่ของ
แอลลีล มีดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงความถี่ยีนอยางไมเจาะจง U nit
คําชี้แจง :
Question 7
ให้ นั ก เรี ย นตอบค� า ถามต่ อ ไปนี้
ทําใหบางแอลลีลเพิ่มขึ้น บางแอลลีลลดลง
และบางแอลลี ล อาจหายไปจากกลุ ม 1. จากโครงสร้างต่อไปนี้
ประชากร ซึ่งมีผลทําใหความหลากหลาย
ทางพันธุกรรมลดนอยลง ปีกค้างคาว คลีบวาฬ ปีกผีเสื้อ ขาหน้าจระเข้ ขาหน้าซาลามานเดอร์
- การถายเทเคลื่อนยายยีน ทําใหแอลลีลของ ขาหน้าตุ่น แขนคน ปีกนก ปีกแมลงปอ ปีกเพนกวิน
กลุมประชากร 2 กลุม มีบางแอลลีลเพิ่มขึ้น จงจ�าแนกประเภทของโครงสร้างเหล่านี้ตามหลักฐานทางกายวิภาคเปรียบเทียบ พร้อมอธิบาย
และบางแอลลีลลดลง ซึ่งทําใหประชากร เหตุผลประกอบ
2 กลุม มีความถี่ของแอลลีลใกลเคียงกัน
จนเหมือนเปนประชากรกลุมเดียวกัน 2. จงอธิบายความสัมพันธ์ของการเจริญของเอ็มบริโอของปลา ซาลามานเดอร์ เต่า ไก่ หมู และมนุษย์
- การเลือกคูผสมพันธุ ทําใหประชากรบาง 3. ก�าหนดให้กรดอะมิโนที่แตกต่างกันของไซโตโครม-ซีของมนุษย์ ลิงซีรัส กระต่าย และม้า ดังนี้
สวนของกลุมประชากรไมมีโอกาสผสมพันธุ
สิ่งมีชีวิต ลิงซีรัส กระต่าย ม้า
จึงทําใหบางแอลลีลลดลง และอาจหายไป
มนุษย์ 1 9 12
จากกลุมประชากร
- การกลายทีท่ าํ ใหเกิดลักษณะทีด่ ี แอลลีลใหม ลิงซีรัส - 8 11
จะถูกสะสมไวในยีนพูลของประชากร ทําให กระต่าย - - 3
เพิ่ ม ความหลากหลายทางพั น ธุ ก รรม
ของประชากร แต ห ากการกลายที่ ทํ า ให จงอธิบายความสัมพันธ์ทางวิวัฒนาการของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ จากข้อมูลในตาราง
เกิดลักษณะที่ไมดี แอลลีลใหมจะถูกคัดทิ้ง
ออกจากยีนพูลของประชากร 4. แนวคิดของลามาร์กและแนวคิดของดาร์วนิ เกีย่ วกับลักษณะคอยาวของยีราฟ มีความเหมือนหรือ
แตกต่างกัน อย่างไร
- การคัดเลือกโดยธรรมชาติ เปนการคัดเลือก
สิง่ มีชวี ติ ทีม่ ลี กั ษณะเหมาะสมกับสิง่ แวดลอม 5. ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของดาร์วินสนับสนุนการเกิดวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตอย่างไร
ใหสามารถดํารงชีวติ และสืบพันธุใ หประชากร
รุ น ต อ ไปได ส ว นสิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ มี ลั ก ษณะไม 6. ในพื้นที่แหน่งหนึ่งมีประชากรจ�านวน 500 คน ประชากรนี้มีความถี่ของแอลลีล A = 0.7 และ
a = 0.3 ถ้าประชากรนี้อยู่ในภาวะสมดุลของฮาร์ดี-ไวน์เบิร์ก จงหาจ�านวนประชากรที่มีจีโนไทป์
เหมาะสมกับสิ่งแวดลอมจะถูกคัดทิ้งและ
ในแบบต่าง ๆ
ลดจํานวนลง ซึ่งทําใหบางแอลลีลเพิ่มขึ้น
บางแอลลีลลดลง และบางแอลลีลอาจใหไป 7. การส�ารวจกลุม่ ประชากรในประเทศอังกฤษ จ�านวน 8,254 คน พบว่ามีหมูเ่ ลือด ดังนี้ M = 2,564
จากกลุมประชากร คน MN = 4,632 คน และ N = 1,058 คน จงค�านวณหาความถี่ของแอลลีล M และ N
138
T156
นํา สอน สรุป ประเมิน
T157
S T E M Project
การเพาะพันธุ์ปลากัด
การเพาะพันธุ์ปลากัด เริ่มจากการคัดเลือกพ่อพันธ์ุ
และแม่พันธุ์เพื่อให้ได้ลักษณะของลูกปลากัดตามที่ต้องการ
โดยการพัฒนาและปรับปรุงสายพันธุ์ของปลากัด ซึ่งจะคอย
จับคู่ให้พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ปลากัดเพื่อให้เกิดสีสันใหม่ ๆ
หลังจากที่ได้พ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ตามลักษณะที่ต้องการแล้ว
น�ำพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์มาใส่ขวดแก้วแยกขวดเพื่อให้ปลากัด
ทั้งสองเพศได้เทียบคู่กัน และพร้อมส�ำหรับการผสมพันธุ์
ซึง่ สังเกตจากปลากัดเพศผูจ้ ะก่อหวอด (ฟองอากาศทีล่ อยอยู่
บนผิวน�้ำเป็นแพ) จากนั้นจึงน�ำมาใส่ในภาชนะที่เตรียมไว้
ส�ำหรับการผสมพันธุ์และปล่อยทิ้งไว้ให้เกิดการผสมพันธุ์
เมื่อผสมพันธุ์และเพศเมียวางไข่แล้วให้แยกตัวเมียออกมา
ส่ ว นเพศผู ้ ป ล่ อ ยให้ ดู แ ลไข่ จ นลู ก ปลากั ด ฟั ก ออกจากไข่
แล้วจึงน�ำลูกปลามาแยกเลี้ยงให้เป็นตัวเต็มวัยต่อไป
สถานการณ์
ในอีกสามเดือนข้างหน้ามีออเดอร์เพื่อส่งปลากัดไปประเทศอิหร่าน 50,000 ตัว ซึ่งลูกค้าต้องการปลากัดสีเหลือง
สีแดง และสีน�้ำเงิน
เชื่อมโยงสู่ไอเดีย
ข้อจ�ำกัด
การเพาะพันธุ์ปลากัด ต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้ Science การคัดเลือกพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ปลากัดเพื่อ
ให้ได้ลูกปลากัดที่มีลักษณะ (สีและขนาด)
• ปลากัดต้องมีขนาด 5 ซม. ขึ้นไป ตามต้องการ เนือ่ งจากลักษณะทางพันธุกรรม
• ระยะเวลาเลี้ยง 2 เดือน ของพ่ อ และแม่ จ ะถู ก ส่ ง ผ่ า นไปยั ง ลู ก ผ่ า น
การสืบพันธุ์ จะท�ำให้ได้ลกู ทีม่ ลี กั ษณะเหมือน
• พื้นที่ที่ใช้ในการเลี้ยง 28 ตารางเมตร หรือแตกต่างจากพ่อและแม่ตามต้องการ
Technology อุ ป กรณ์ การให้ อาหารปลากั ด แบบครั้ ง ละ
วัสดุและอุปกรณ์ หลายตัว และภาชนะในการเพาะพันธุ์ปลากัด
ที่ดัดแปลงให้เหมาะสม
1. ปลากัดพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ (สีแตกต่างกันเพื่อให้ได้สี
ของลูกปลากัดตามต้องการ) Engineering ออกแบบอุ ป กรณ์ ใ ห้ อาหารปลากั ด ครั้ ง ละ
2. ภาชนะ เช่น อ่างดินเผา กะละมัง ถัง ตุ่มน�้ำขนาดเล็ก หลาย ๆ ตัว และออกแบบลักษณะลูกปลากัด
เพื่อใช้คัดเลือกพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ปลากัด
3. ขวดแก้ว
4. น�้ำสะอาด
5. พันธุ์ไม้น�้ำ เช่น พลูด่าง จอก
Mathematics ความน่าจะเป็นทีจ่ ะได้ลกู ปลากัดตามลักษณะ
ที่ต้องการ และการค�ำนวณพื้นที่การวางขวด
T158
1 ระบุปญหา
วิเคราะห์สถานการณ์ และระบุ
แนวทางการแก้ปัญหา เพื่อเป็น
แนวทางในการสร้างสรรค์ชนิ้ งาน
6 นําเสนอวิธีการแกปญหา 2 รวบรวมขอมูลและแนวคิด
รวบรวมแนวคิดที่ได้ และปัญหา สืบค้นความรู้ และรวบรวม
ที่พบในกิจกรรม เพื่อน�าเสนอวิธี ข้อมูลที่น�าไปแก้ปัญหา แล้ว
การแก้ปัญหา สรุปข้อมูลความรู้ที่ได้มาโดย
สังเขป
ขั้นตอน
การท�ากิจกรรม
ร่วมกันวางแผนการสร้างสรรค์
ชิ้นงานอย่างเป็นล�าดับขั้นตอน
แล้ ว ตรวจสอบการด� า เนิ น การ
หากไม่ตรงตามแผนจะมีวิธีการ
แก้ไขอย่างไร
การประเมินผลงาน
ระดับคุณภาพ
เกณฑ์การประเมิน
1 2 3 4 5
• ลักษณะของลูกปลากัดที่ได้
• ความสมบูรณ์แข็งแรงของลูกปลากัด
• คัดเลือกพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ได้อย่างเหมาะสม
• ระยะเวลาในการเพาะพันธุ์
T159
บรรณานุ ก รม
กิตติพัฒน์ อุโฆษกิจ. 2557. พันธุศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร : ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ประดิษฐ์ พงศ์ทองค�ำ. 2554. พันธุศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : ส�ำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
วรวุฒิ จุฬาลักษณานุกูล. 2551. พันธุศาสตร์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วรรณทิพา รอดแรงค้า. 2544. การสอนวิทยาศาสตร์ที่เน้นทักษะกระบวนการ. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพมหานคร : สถาบัน
พัฒนาคุณภาพวิชาการ.
ศึกษาธิการ, กระทรวง. (ม.ป.ป.). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.
2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. ม.ป.ท. : ม.ป.พ.
ศุภณัฐ ไพโรหกุล. 2555. Essential Biology. กรุงเทพมหานคร : ธนาเพรส.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (ม.ป.ป.). คูม่ อื การใช้หลักสูตรกลุม่ สาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ ส�ำหรับหลักสูตร
อนาคต ระดับมัธยมศึกษา. กรุงเทพมหานคร : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
Boone, K. 2007. Biology Expression. Singapore : Panpac Education.
Boone, K. 2007. Biology Expression-An Inquiry Approach. Singapore : EPB Pan Pacific.
Campbell, N. A., Reece, J. B. 2005 Biology. 7th ed. San Francisco : Pearson, Benjamin Cummings.
Grimm, A. et al. 2008. Science & Technology. United Kingdom : Parragon Publishing.
Hartwell, L.H. et al. 2000. Genetics : From Genes to Genome. Boston : McGraw-Hill Higher Education.
Lewis, R. et al. 2002. Life. New York : McGraw-Hill Higher Education.
Lewis, R. et al. 2005. Human Genetic : Concept and Application. Boston : McGraw-Hill Higher Education.
T160
สร้างอนาคตเด็กไทย
ด้วยนวัตกรรมการเรียนรูร
้ ะดับโลก ĔïðøąÖĆîÙčèõćóÿČęĂÖćøđøĊ÷îøĎšøć÷üĉßćđóĉęöđêĉö
ĀîĆÜÿČĂđøĊ÷îøć÷üĉßćđóĉęöđêĉöüĉì÷ćýćÿêøŤĒúąđìÙēîēú÷Ċǰ ßĊüüĉì÷ćǰ ßĆĚîöĆí÷öýċÖþćðŘìĊęǰ đúŠöǰ
êćöñúÖćøđøĊ÷îøĎšǰÖúŠčöÿćøąÖćøđøĊ÷îøĎšüĉì÷ćýćÿêøŤĒúąđìÙēîēú÷Ċǰ ÞïĆïðøĆïðøčÜǰóýǰ ǰêćöĀúĆÖÿĎêø
คู่มือครู
ĒÖîÖúćÜÖćøýċÖþć×ĆĚîóČĚîåćîǰóčìíýĆÖøćßǰǰđúŠöîĊĚǰïøĉþĆìǰĂĆÖþøđÝøĉâìĆýîŤǰĂÝìǰÝĞćÖĆéǰđðŨîñĎšÝĆéóĉöóŤ
đñ÷ĒóøŠǰĒúąÝĞćĀîŠć÷ǰēé÷ĕéšÝĆéìĞćÙĞćĂíĉïć÷øć÷üĉßćđóĉęöđêĉöìĊęöĊìĆĚÜñúÖćøđøĊ÷îøĎšǰÿćøąÖćøđøĊ÷îøĎšđóĉęöđêĉö
ĒúąĂÜÙŤ ð øąÖĂïÿĞ ć ÙĆ â ĂČę î ìĊę ÿĞ ć îĆ Ö óĉ ö óŤ ÝĆ é ìĞ ć ×ċĚ î ǰ đóČę Ă ĔĀš ÿ ëćîýċ Ö þćĕéš đ ìĊ ÷ ïđÙĊ ÷ ÜÖĆ ï ĀúĆ Ö ÿĎ ê ø×ĂÜ
ÿëćîýċÖþćǰĒúąóĉÝćøèćđúČĂÖĔßšĀîĆÜÿČĂîĊĚðøąÖĂïÖćøÝĆéÖćøđøĊ÷îøĎšǰĔĀšÿĂéÙúšĂÜÖĆïĀúĆÖÿĎêøÿëćîýċÖþć
×ĂÜêîĕéšêćöÙüćöđĀöćąÿö
ǰ ǰ
ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ îć÷ßĆ÷èøÜÙŤ úĉöðşÖĉêêĉÿĉî
ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ǰ ÖøøöÖćøñĎšÝĆéÖćøǰïøĉþĆìǰĂĆÖþøđÝøĉâìĆýîŤǰĂÝìǰÝĞćÖĆé
>> ราคาเล่มนักเรียนโปรดดูจากใบสัง
่ ซือ
้ ของ อจท.
คู่มือครู นร. ชีววิทยา ม.4 ล.2
บริษท
ั อักษรเจริญทัศน์ อจท. จำกัด
142 ถนนตะนาว เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร 10200 8 858649 138095
โทร. 0 2622 2999 (อัตโนมัติ 20 คูส
่ าย) 350.-
ID Line : @aksornkrumattayom www.aksorn.com อักษรเจริญทัศน์ อจท.
ราคานีเ้ ป็นของฉบับคูม
่ อ
ื ครูเท่านัน
้