Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 13

หนังสือเกาเลาปจจุบัน

--> สมาน อูงามสิน


ในรอบ 3 ทศวรรษที่ผ่านมา แทบจะไม่มีใครที่
ไม่รู้จักเพลง ‘เดือนเพ็ญ’ หรือในชื่อเดิม ‘คิดถึงบ้าน’
ของ ‘อัศนี พลจันทร’ มหากวีของประชาชน หรือใน
เมื่อนายผี ชื่อนามประพันธ์ ‘นายผี’ ผู้เป็นเจ้าของเพลงนี้ซึ่งยัง

‘อัศนี พลจันทร’ ไม่แน่ชัดว่าแต่งขึ้นที่ไหน เมื่อไร อย่างไรก็ตาม ที่


ชัดเจนคือนายผีต้องการสื่อกับสังคมไทยถึงความ
ปราถนาที่จะคืนสู่แผ่นดินมารดรอันเป็นที่รักและ
เรียนภาษามลายู หวงแหนยิง่ หากพิจารณาจากท่อนหนึง่ ของบทเพลง
ซึง่ นายผีเขียนไว้วา่ ‘ลมเอยช่วยเป็นสือ่ ให้ น�ารักห่วง
วรรณกรรมการเมือง จากดวงใจ ของข้านีไ้ ปบอกเขา, น�า้ , นา ให้เมืองไทย
รูว้ า่ ไม่นานลูกทีจ่ ากมา จะไปซบหน้าแทบอกแม่เอย’
โลกอิสลามและมลายู นายผีได้รับปริญญาธรรมศาสตร์บัณฑิตเมื่อ
พ.ศ. 2483 ในสาขาวิชากฎหมายจากมหาวิทยาลัย
ก็ฟูเฟองเลื่องลือ ธรรมศาสตร์และการเมือง และเริ่มรับราชการเป็น
อัยการฝกหัดกองคดีเมือ่ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2484
บรรเจิดไสว แต่เนื่องจากเป็นคนตรงไปตรงมาและรักความเป็น
ธรรม นายผีจึงถูกย้ายไปอยู่ปัตตานีซึ่งเป็นเสมือน
หนึ่งแดนเนรเทศเป็นเวลา 2 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2485-
2487 ณ แผ่นดินแห่งความศรัทธาและสมรภูมิแห่ง
การลุกขึ้นสู้ของประชาชนตรงนี้ มีเรื่องราวมากมาย
ที่ถูกบันทึกไว้เป็นความทรงจ�าที่มิอาจลืมของเหล่า
ผู้ใฝสันติธรรม
ชีวิตราชการ 2 ปีของนายผีในแดนเนรเทศที่
ปัตตานีอัดแน่นเต็มเปี่ยมไปด้วยสารัตถะ นายผี
ให้การสนับสนุนอย่างลับๆ แก่ชาวมลายูทแี่ ข็งข้อกับ
อ�านาจรัฐภายใต้การน�าของจอมพล ป. พิบลู สงคราม
ที่ใช้นโยบายชาตินิยมกดขี่ข่มเหงชนชาติส่วนน้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวมลายูในเรื่องสิทธิเสรีภาพ
ทางศาสนาและวัฒนธรรม นี่คงเป็นสาเหตุใหญ่ที่
ท�าให้นายผีถกู ย้ายจากปัตตานีไปรับต�าแหน่งอัยการ
ผู ้ ช ่ ว ยชั้ น ตรี ที่ ส ระบุ รี เ มื่ อ วั น ที่ 1 มี น าคม 2487
นายผีใช้ชีวิตรับราชการอย่างลุ่มๆ ดอนๆ หาความ
ก้าวหน้าใดๆ ไม่ได้ วันที่ 10 พฤศจิกายน 2495 เกิด

ปที่ 38 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2560 45


หนึ่งกลับไปฝึกสอนที่ปัตตานี นายผีก็ให้ค�าแนะน�า
อย่ า งดี เราขั ด ข้ อ งอะไรแกก็ ช ่ ว ยเหลื อ แกเป็ น
นักศึกษา เรียนอะไรๆ อยู่เรื่อย ตอนนั้นยังซุ่มเรียน
ภาษายาวีอยู่ ที่รู้ว่าเรียนภาษายาวีเพราะว่าวันหนึง่
เราถามว่าฟาตีมะห์นี่เขียนอย่างไร แกเขียนให้ดู
ส่วนพูดนัน้ แกพูดได้แต่เดิมแล้ว ทีป่ ตั ตานีทกุ คนรูจ้ กั
ขุนเจริญที่ต่อมาได้เป็น ส.ส. เรารู้ว่าขุนเจริญเป็น
เสรีไทย แต่ไม่รู้ว่านายผีก็เป็น ทั้งสองคนนี่มีอะไร
กุ๊กกิ๊กๆ คุยกันอยู่เรื่อยจนกระทั่งนายผีถูกย้ายไป
สระบุรี ระหว่างที่ท�างาน ถ้าแกมีเรื่องอะไรไม่พอใจ
ในเรื่องงาน แกจะเขียนเป็นค�าประพันธ์ โคลง ฉันท์
ส่งไปยังกรมอัยการ บางทีแกเขียนเป็นฉันท์ให้เราอ่าน
ก็อา่ นไม่รเู้ รือ่ ง วันทีแ่ กย้ายจากปัตตานีนปี่ ระหลาด
อัศนี พลจันทร หรือนายผี ที่สุด ธรรมดาข้ า ราชการย้ า ยเขาต้ อ งเลี้ ย งกั น ที่
ศาลากลาง ทุกคนมางานเลี้ยง วันนั้นเขาก็เลี้ยง
กรณี ‘กบฏสันติภาพ’ นักคิดนักเขียนหัวก้าวหน้า อย่างนั้น เรานั่งอยู่ที่บ้าน เห็นแกเดินมาจึงถามว่า
จ�านวนหนึ่งถูกจับกุมคุมขัง ซึ่งนายผีก็มีชื่ออยู่ใน อ้าวคุณอัศน์ เขาเลี้ยงคุณแล้วท�าไมคุณไม่ไปล่ะ?
บั ญ ชี นี้ ด ้ ว ย นี่ คื อ จุ ด พลิ ก ผั น ที่ ส ่ ง ผลต่ อ ทิ ศ ทาง ผมไม่เห็นรู้เลย ก็ทุกคนเขาบอกไปงานเลี้ยงคุณ
การด�าเนินชีวติ หลังจบการศึกษา นายผีตดั สินใจยุติ ไม่เห็นเขาบอกผมเลย พวกจัดงานเลี้ยงก็นัดกันไป
ชีวิตราชการในปีนั้น และในปีตอ่ มา 2496 ก็เดินทาง แต่ไม่ได้บอกเจ้าตัว แกเลยไม่ไป พอมาที่บ้านก็พา
ไปศึกษาลัทธิมาร์กซ์-เลนินในฐานะสมาชิกพรรค ไปเลี้ยงกันเองในหมู่เพื่อนฝูง เป็นการเลี้ยงส่งแก
คอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่กรุงปักกิ่ง นายผีจึง มานึกๆ แกก็ประหลาด รุ่งขึ้นทางศาลากลางเขา
เดินทางเข้าสู่เขตปาเขาล�าเนาไพรในประเทศไทย เหมารถไปส่ง แกไม่ยอมไปรถคันนั้น แกเหมาของ
เพือ่ ท�าการต่อสูก้ บั อ�านาจรัฐตามอุดมการณ์ทใี่ ฝฝนั แกไปอีกคันหนึ่ง ในรถมีพวกไทยมุสลิมเต็มคันรถ
ความทรงจ�าของคุณฟาตีมะห์ คนรุ่นราวคราว เลย มี แ ต่ พ วกของแก คนที่ ป ั ต ตานี จึ ง เห็ น ว่ า
เดียวกับนายผีทไี่ ด้เล่าถึงบุคลิกภาพและความเป็นอยู่ ข้าราชการทีย่ า้ ยนีไ่ ม่มใี ครเหมือนแก สมบัตแิ กก็ไม่มี
ของนายผีไว้อย่างละเอียดขณะที่รับราชการอยู่ที่ อะไร เสื้ อ ผ้ า ก็ มี ไ ม่ กี่ ชุ ด เห็ น ราวสองชุ ด เท่ า นั้ น
ปัตตานีในปี 2485-2487 ในนิตยสาร ‘ถนนหนังสือ’ เข็มขัดก็ไม่คาด แต่หนังสือนีเ่ ต็มไปหมดเป็นลังๆเลย
ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 ตุลาคม 2548 ได้เปิดเผยโฉมหน้า ทีน่ า่ เสียดาย แกเป็นคนมีความรู้ แต่แกไม่ชอบใจวง
ความเป็นนักคิด นักเขียน นักอ่านของนายผีตั้งแต่ ราชการเมืองไทย เวลาแกแต่งเครื่องแบบตรวจการ
อายุแค่ยี่สิบกว่าๆ “ตอนนั้นนายผีเช่าบ้านป้าอยู่ที่ ก็ไม่มีใครเหมือนแก หมวกหนีบนี่ธรรมดาต้องเอา
ถนนมะกรูด หลังศาลากลาง ป้ารู้จักตอนปดเทอม ทางแหลมมาข้างหน้า แกเอาทางแหลมออกข้างๆ ใส่
กลับบ้านไปอยูห่ อ้ งแถวใกล้ๆ กัน คุน้ เคยกัน อีกตอน ขวางเสียนี่ ในเมืองปัตตานีทุกคนไม่มีใครเรียกคุณ

46 วารสารกึ่งวิชาการ
“ กับผู้หญิงแกมักชมว่า สวยเหมือนนางบุษบา
ถามว่าท�ำไม แกบอกว่าคนเราที่น่าเกลียดที่สุดคือตอนตื่นนอนใช่ ไหม
เราบอกว่าใช่ นายผีจึงบอกว่าตัวบุษบาที่เขาแอบไปวาดรูป
เป็นรูปทีเ่ พิง่ ตืน่ นอน ไปทิง้ ไว้ให้จรกามาเก็บ
ยังหลงแทบตาย
จึงเห็นได้ว่านักประพันธ์นี่ละเอียดลึกซึ้ง ”

อัศนี แต่เรียกคุณอัศจรรย์ แกก็ไม่แคร์ รองเท้าหนัง พ่อแก เราก็เลือ่ มใสในความสามารถ ในความฉลาด


ไม่เคยใส่ มีแต่รองเท้าผ้าใบสีนำ�้ ตาล กางเกงเก่าๆ ในตัวแก ต่อมาก็ได้ข่าวว่าแกมีครอบครัว เราชอบที่
สีกากี เสือ้ ก็สกี ากีแขนยาวเก่าๆ เวลาไม่คาดเข็มขัดแก แกมีความคิดไม่เหมือนชาวบ้าน จะพูดจาก็ใช้ค�ำ
เอาผ้าเช็ดหน้ามาผูกหูกางเกงให้อยู่ เวลาแกจะชม สละสลวย แต่แกไม่ชอบความรุนแรง ไม่ชอบชกต่อย
ใคร แหมเรานีเ่ ลิศลอยเชียวแหละ นีเ่ ป็นนิสยั อันหนึง่ ชอบแต่เขียนอย่างเดียว คนอย่างแกนีไ่ ม่ตอ้ งให้อะไร
ของแก พูดแล้วคิดถึงแกอยากจะเจอ กับผู้หญิงแก ให้โต๊ะแกสักตัวแล้วเลีย้ งดูแกอย่างดี ให้แกผลิตงาน
มักชมว่า สวยเหมือนนางบุษบา ถามว่าท�ำไม แก เขียนออกมาแนวไหนก็ได้ ทีป่ า้ อยากเจอเขาก็เพราะ
บอกว่าคนเราที่น่าเกลียดที่สุดคือตอนตื่นนอนใช่ ว่าเป็นคนเคยชอบพอกัน แก่ๆ เข้าแล้วก่อนจะตาย
ไหม เราบอกว่าใช่ นายผีจึงบอกว่าตัวบุษบาที่เขา เจอเพื่อนๆ สักทีก็ดี เรื่องดนตรีนี่ไม่เคยเห็นแกเล่น
แอบไปวาดรูปเป็นรูปทีเ่ พิง่ ตืน่ นอน ไปทิง้ ไว้ให้จรกา แกสนใจหนังสืออย่างเดียว จนแว่นตาหนาเตอะ
มาเก็บยังหลงแทบตาย จึงเห็นได้ว่านักประพันธ์นี่ อ่ า นแต่ ห นั ง สื อ ที่ ศ าลากลางมองไปแล้ ว ไม่ มี
ละเอียดลึกซึง้ อีกอย่างกับผูห้ ญิงแกไม่ชมนะ ว่าสวย ข้าราชการคนไหนเหมือนแก แกท�ำอะไรไปแล้วไม่
แกชอบใจใครก็มกั บอกว่าฉลาด พูดกันรูเ้ รือ่ ง บางที เคยกลัวใคร แต่ก็ไม่มีใครว่าอะไรแกทั้งๆ ที่ตอนนั้น
เจอกันแกไม่ชอบพูด ชอบเขียนแทน ไม่ชอบพูดเล่น แกยังเป็นคนหนุม่ อายุไม่ถงึ สามสิบ ซึง่ คนหนุม่ ทีค่ ดิ
วันหนึ่งป้ากลับจาก วค. สวนสุนันทาไปฝึกสอนที่ ได้อย่างนั้นหาได้ยาก นายผีอยู่ที่บ้านป้าตลอดจน
ปัตตานี เรารูว้ า่ แกเก่งวรรณคดีกถ็ ามเอาไปสอนเด็ก ย้าย เป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง หลังคามุงกระเบื้อง ทั้ง
ถามแกๆ ก็ไม่ตอบ ตอนเช้าพอเราจะไป แกใส่ซอง หลังมีห้องนอนอยู่สี่ห้อง แกก็อยู่เพียงห้องเดียว อยู่
ยื่ น ให้ เขี ย นให้ ห มดเลยว่ า ค� ำ นั้ น แปลว่ า อะไร อย่างสมถะมาก ของใช้ก็มีแต่ลังหนังสือ ก็พอสรุป
รากศัพท์เป็นมาอย่างไร บาลีเขียนอย่างไร สันสกฤต ได้วา่ แกไม่แคร์เรือ่ งอะไร แกมีแต่อดุ มคติแน่วแน่ไม่มี
เขียนอย่างไร เขียนให้อย่างละเอียด คนอย่างแกหายาก เปลีย่ นแปลง ไม่เคยให้ร้ายใคร”
กับหลวงประดิษฐ์แกพูดถึง นี่แกรักมาก เหมือนกับ อีกท่านหนึ่งคือ คุณยืนหยัด ใจสมุทร ประธาน

ปีที่ 38 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2560 47


กรรมการมูลนิธิอัศนี พลจันทร (นายผี) ประจ�าปี จากภาษาสันสกฤตเสียหลายแผ่น เขาจึงถูกตัง้ ฉายา
2557 คนรุน่ หลังซึง่ ได้คน้ คว้าและเขียนเรือ่ งราวของ ว่า ‘อัยการแพะ’ สองปีที่ปัตตานี เขาเป็นอัยการที่
นายผี ร ะหว่ า งรั บ ราชการที่ ป ั ต ตานี ไ ว้ ใ นหนั ง สื อ เข้าใจและเข้าถึงประชาชน เข้าคลุกคลีกับชาวบ้าน
“อุดมคติและแก่นเพชรแห่งวรรณกรรม นายผี อัศนี ถีบจักรยานออกไปเยี่ยมเยียนตามชนบท หัดภาษา
พลจันทร บนหนทางสู่ความเปลี่ยนแปลง” อย่างน่า มลายูถิ่น ฝกอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่าน ไม่กินเนื้อสุกร
ติดตามว่า “ระหว่างเรียนหนังสือที่ธรรมศาสตร์ ได้รับปันส่วนไม้ขีดไฟมาจากทางราชการ แบ่งไว้
เขาใช้เวลาส่วนหนึ่งเสาะหาความรู้เพิ่มเติมจากวัด ใช้เองบางส่วน นอกนั้นน�าไปแบ่งปันให้ชาวบ้าน
มหาธาตุและหอสมุดแห่งชาติ ความรู้ได้เพิ่มพูนจน สองครัวต่อหนึง่ กลัก ความรักทีเ่ ขามีให้ตอ่ ประชาชน
ภายหลังเขาได้เป็นผูร้ แู้ ตกฉานถึง 7 ภาษาคืออังกฤษ ปัตตานีจงึ ไม่มกี า� แพงชาติพนั ธ์ุ ศาสนา และวัฒนธรรม
ฝรั่ ง เศส จี น มลายู บาลี สั น สกฤต และอุ ร ดู มากั้นกลาง ต�ารวจจับชาวบ้านปัตตานีจ�านวนมาก
... ห้วงเวลาที่ถือว่าเป็นต�านานของอัยการอัศนี มาเปรียบเทียบปรับสังเวยลัทธิชาตินิยม ในข้อหา
พลจันทร เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2485 เมื่อเขา ฝาฝืนรัฐนิยมของรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม
มีอายุเพียง 23 ปีเศษ เนือ่ งจากกรมอัยการแต่งตัง้ ให้ เช่น กินหมาก สวมหมวกกาปีเยาะห์ คลุมผ้าฮิหญาบ
เป็นอัยการผูช้ ว่ ยจังหวัดปัตตานี (ซึง่ วิมล พลจันทร เป็นต้น พนักงานสอบสวนส่งส�านวนคดีมาเปรียบเทียบ
ผู้เป็นภริยาเรียกว่า ถูกเนรเทศ) และเป็นช่วงที่อยู่ใน ปรับมาขอความเห็นชอบจากพนักงานอัยการตาม
ระหว่างสงคราม ต้องกระเบียดกระเสียร ทอดแหหา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อัศนี
กุ้งปลามากิน เหลือก็แบ่งปันให้เพื่อนบ้าน เลี้ยงไก่ พลจันทร ใช้ความกล้าหาญสั่งว่า การเปรียบเทียบ
ไว้กินไข่ เลี้ยงแพะไว้รีดนม มิหน�าซ�้าแพะเจ้ากรรม ปรับไม่ชอบซึ่งมีผลเท่ากับสั่งไม่ฟองต้องคืนค่าปรับ
ยั ง ดอดเข้ า ไปกิ น ต้ น ฉบั บ งานแปล ‘ภควั ท คี ต า’ ให้กับผู้ต้องหาทุกคน ด้วยเหตุผลว่าผู้ต้องหาไม่รู้
ภาษาไทย ไม่เข้าใจกฎหมายไทย รัฐนิยมขัดต่อ
เสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนและขัดต่อหลัก
ความยุติธรรม ใช้บังคับไม่ได้ เขาเลือกยืนเคียงข้าง
ผูถ้ กู กดขีแ่ ทนทีจ่ ะเป็นผูก้ ดขีเ่ สียเอง ท�าให้กติ ติศพั ท์
เลื่องลือไปทั่วทั้งปัตตานีและในกรมอัยการ เพราะ
อัยการในท้องที่อื่นล้วนให้ความเห็นชอบกับการ
เปรียบเทียบปรับทั้งสิ้น มิหน�าซ�้ายังท้าทายอ�านาจ
รั ฐ ด้ ว ยการสวมหมวกกาปิ เ ยาะห์ ไ ปไหนมาไหน
อย่างเปิดเผย เมื่อเขาถูกย้ายไปสระบุรีจึงเป็นการ
พลัดพรากท่ามกลางหยาดน�าต้ าของประชาชนทีเ่ ขา
รักและรักเขา”
จากหนังสือ “ชีวิตและผลงาน:ต�านาน ‘นายผี’
อัศนี พลจันทร (2461-2530)” ของคณะกรรมการจัด
งาน ‘นายผีคนื ถิน่ แผ่นดินแม่’ ตีพมิ พ์ มกราคม 2541

48 วารสารกึ่งวิชาการ
เราพบว่าขณะรับราชการอยูท่ ปี่ ตั ตานี นายผีได้เขียน
จดหมายถึงพระยาอนุมานราชธน ปราชญ์คนส�าคัญ
แห่งสยามสมัยอย่างน้อย 2 ฉบับโดยเขียนภาษา
มลายูถนิ่ (ยาวี - อักขระอาหรับ) อธิบายประกอบไว้
ด้วย ในจดหมายฉบับที่ 1 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2486
นายผีพรรณนาถึงความส�าคัญในการเรียนภาษา
มลายูไว้เสียอย่างเลิศเลอ “ได้ทราบว่า ทางแผนก
อักษรศาสตร์มีการเรียนภาษามลายูก็ดีใจ เพราะ
ได้เห็นความจ�าเป็นอยู่ ก่อนไปอยู่เมืองตานีไม่ค่อย
จะแลเห็ น ความจ� า เป็ น อะไรนั ก เพราะเวลานั้ น ในจดหมายฉบับที่ 2 วันที่ 25 ธันวาคม 2486
หางอึ่งยังไม่งอก พอไปอยู่ได้ 3 เดือนเศษ หางอึ่ง นายผีเล่าถึงการเรียนภาษาอาหรับโดยเทียบเคียง
งอกออกมานิดหนึง่ ความคิดทีเ่ คยมีวา่ ภาษามลายู กับภาษามลายูวา่ “เพราะเมือ่ จะเริม่ เรียนภาษานี้ ได้
ไม่มอี า� นาจอะไรในภาษาไทยนักนัน้ ก็กลายเป็นคิด หัดเสียงเสียก่อนกับผูท้ ไี่ ปเมกกะมา เป็นดาโตะใหญ่
ขึ้นได้ว่าออกจะมีอ�านาจมากอยู่ ฉะนั้นการที่แผนก อยู่ในตานี และเป็นผู้ที่จะกล่าวได้ว่าการถือบวชนั้น
อักษรศาสตร์ให้มีการสอนภาษามลายูขึ้นอีกภาษา ต้องแลเห็นดาวนั้นๆ ขึ้นตรงนั้นๆ เสียก่อนด้วย และ
หนึ่งจึงเป็นการสมควรยิ่งนัก แต่คงจะได้สอนกันแต่ เขายังเป็นผู้รู้ภาษาอังกฤษดีเหมือนกัน ไว้ใจได้”
หลักๆและใช้ต�าราของฝรั่งเป็นพื้น อันที่จริงจะเรียน นายผีเรียนทั้งภาษามลายูกลางและมลายูถิ่น
อะไร ถ้ารู้ภาษาฝรั่งอยู่แล้วก็นับว่าสะดวก แต่ดู แล้วยังแตะภาษาอาหรับอีกด้วยในขณะที่มีความ
เหมือนว่าวิชาภาษานั้น ถ้าจะเรียนกันให้เอาภาษา แตกฉานในภาษาอุรดูเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และก็
อันแวดล้อมภาษาเราอยูม่ าไขภาษาของเราเองแล้ว ตวัดกลับไปเทียบเคียงภาษาบาลีสันสกฤตซึ่งเป็น
น่าจะต้องโดดลงไปในภาษานั้นเอง อย่างภาษา พื้นฐานส�าคัญของภาษาไทยและภาษามลายู นาย
มลายูนี้ ทีแรกผมก็เรียนเป็นไต่ภาษาสะพานภาษา ผีเล่าไว้ในจดหมายฉบับที่ 2 อีกตอนหนึ่งโดยย�้าถึง
ฝรัง่ ไปสูฝ่ งั ภาษามลายู พอข้ามไปถึงฝัง ทีม่ ตี วั อักษร เจตนารมณ์ในการเรียนภาษาและความใฝฝันอัน
มลายูแล้ว เลยรู้สึกว่าสะพานที่ได้ข้ามมานั้นผุอยู่ เรืองรองของตนว่า “เราพูดภาษาไทยประโยคหนึ่ง
เคราะห์ไม่ดี, ไต่ไม่ระวังอาจหักโครมลงได้ง่ายๆ” มีบาลีสนั สกฤตเต็มบันได เขาพูดมลายูประโยคหนึง่

ปที่ 38 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2560 49


ตระเวนไปในทุกหมู่ชนทุกชั้นทุกชนิด ก็เพื่อจะชิม
รสของเขาจัดว่าดีกว่าผึง้ หรือแมลงวัน และในการนี้
ผมย่อมช่วยแมลงวันเยาะผึง้ ได้วา่ แม้ในทีอ่ นั ต�า่ ทราม
ก็มมี ธุรสแฝงอยู่ ลืมตาขึน้ แต่เช้า เราก็นกึ ได้วา่ เวลา
นีเ้ ราตืน่ อยู่ และเมือ่ คืนหลับไปและฝัน ในฝันนัน้ ว่า
ตื่นอยู่ แต่ได้หลับและฝันไปอีกเหมือนกัน และก็ใน
ฝันนั้นว่าได้ฝันไปอีกชั้นหนึ่งเล่า แล้วมาหวนคิดว่า
ที่ลืมตาทะนงว่าตื่นอยู่ในเช้าวันนี้ ความจริงตื่นแน่
หรือ หรือเพียงแค่เป็นฝันตื่นของอีกตื่นหนึ่ง มาถึง
ตรงนี้ ความรู้เลยกลายเป็นไม่รู้ ในโลกนี้คืออะไรรู้
ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ผมว่าจะท�าความพอใจของผม
ให้เต็มและความพอใจอันนั้นมี 2 คือ 1. มีวิชา 2.
สมาคมกับปราชญ์”
วรรณกรรมการเมืองโลกอิสลามและมลายู
ที่ เ ป็ น ชิ้ น เอกของนายผี คื อ บทความทางภาษา
ก็มสี นั สกฤตกันนัน้ ผมเรียนภาษามลายูเข้าใจเร็วก็ “ความเกีย่ วข้องของภาสามลายูไนภาสาไทย (ตอน
ด้วยอันนี้และที่อุตส่าห์ก็โดยว่า 1. หวังจะล่วงรู้ ต้ น )” บทความชิ้ น นี้ น ายผี เ ขี ย นถึ ง ร่ อ งรอยทาง
ภาษาของตนเองให้ดีขึ้น 2. หวังจะล่วงรู้ภาษา ประวัติศาสตร์ที่ภาษามลายูไหลเข้าปะปนผสม
อาหรับต่อไป 3. หวังจะชุบชีวิตจิตใจคนในบริเวณ ผสานปนเปกับภาษาไทย รวมทัง้ แจกแจงหมวดหมู่
7 หัวเมืองให้เป็นไทย 100% 4. หวังจะรู้คุณธรรม ระเบียบของภาษามลายูไว้อีกด้วย “ว่าถึงภาสา
ดีขึ้น ตลอดจนให้มีความกว้างขวางในแง่ต่างๆ มลายูโดยเฉพาะ ไม่ใช่แต่เพียงค�าเช่น ปาหนัน
อั น เป็ น คุ ณ สมบั ติ ข องการเล่ า เรี ย นภาษาต่ า งๆ บุหรง เท่านั้นที่มาปนหยู่ไนภาสาไทย ยังมีค�าอื่น ๆ
อย่างไรก็ดี แม้ผมไม่หวังมาก กีรติคุณที่ว่าหญิงชั่ว อีกเปนอันมากไนค�าภาสามลายูซึ่งตรงกับค�าไน
คลีโอปาตราตรัสได้หลายภาษานัน้ ยังดังอยูใ่ นหัทย ภาสาไทย เราพึ่งมารู้สึกกันถึงความส�าคันข้อนี้
ประเทศอันเป็นไปด้วยความเห่อ แต่การเล่าเรียน ท่านสรี สเถียรโกเสสได้พากเพียรชี้ช่องทางแก่
นั้นต้องประกอบด้วยครูและต�ารับต�ารา ผมไม่รู้ กุลบุตรด้ว ยการเขียนอธิบายภาสาตระกูลชวา-
นิรุกติศาสตร์เลย และต�าราก็ไม่มี เลยใช้วิชาเดา มลายู ลงไนหนังสือวรรนคดีสารซึง่ ฉันเห็นแล้วท�าให้
ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ทผี่ ดิ นัน้ มากกว่าถูก ส่วนเวลานัน้ ดานไจยิ่ ง นั ก เพื่ อ สนั บ สนุ น ความตั้ ง ไจอั น ควน
ถ้าชีวิตผมยืนยาวเท่าไร เวลาของผมก็มีเท่านั้น สันเสินหาเสมอมิได้ของท่านสรี สเถียรโกเสสจึงได้
วิชาหนังสือเป็นอาหารของผมยิง่ กว่าข้าวแลน�า้ และ ตกลงไจจะเล่าถึงความพัวพันของภาสามลายูกับ
ผมหวังอยูแ่ ต่วา่ นอกจากความปลืม้ ใจแล้ว วิชาจะ ภาสาไทยพอเปนยาดังต่อไปนี้ ภาสามลายูทปี่ รากต
ช่วยดั่งกระแสน�้า อันน�าให้วารีบนคิริสิขรไหลลง ตัวอยูไ่ นภาสาไทยนัน้ ได้ไหลเข้ามาโดย 2 ทาง ทาง
ระดมปนกั บ น�้ า ในสาครสมุ ท รอั น ต�่ า ผมเที่ ย ว หนึง่ ตรงเข้าตามเมืองท่าแถวไกล้ ๆ อ่าวไทย อีกทาง

50 วารสารกึ่งวิชาการ
มาทางด่านบริเวนเจ็ดหัวเมือง พวกแรกเรียกว่าเข้า
มาโดยทางตรง พวกหลังเรียกว่าเข้ามาโดยทางอ้อม
พวกที่เข้ามาทางตรงได้ปรากตรูปเปนภาสามลายู
แท้ เช่น บุหลง บุหงา ชนิส พวกที่มาทางอ้อมได้
ถูกแปลงตัวเสียก่อนไนบริเวณเจ็ดหัวเมือง ครัน้ เข้า
มาถึงไจกลางเมืองไทยก็แปลงรูปไปจนเกือบจ�า
ไม่ได้ เช่น ชะแง้ มึง กู เปราะ ที่ว่ามีที่มา 2 ทางนี้
ก็เพราะภาสามลายูเปนภาสาทีไ่ ช้อยูไ่ นแหลมมลายู
และตามหมู ่ เ กาะไต้ แ หลมนั้ น ลงไป หรื อ ตั้ ง แต่
อ่าวเบงกอลลงไปจนถึงเกาะบอร์เนียวและหมูเ่ กาะ
ฟลิปปนส์ ภาสาจึงอาดติดเรือแล่นข้ามทเลเข้ามา
เลยก็ ไ ด้ พวกมาทางเรื อ ถ้ า ไม่ แ วะที่ ไ หนซึ่ ง หยู ่
ต�า่ กว่าบางสะพานไหย่ ซึง่ เปนต�าบลแบ่งภาสาแล้ว
ก็ เ ลยเข้ า ไปไนบริ เ วนอ่ า วไทยได้ ขึ้ น บกที เ ดี ย ว
พวกเดินเดินเข้ามาก็จ�าต้องผ่านด่านบริเวนเจ็ด
หัวเมืองเสียก่อน ได้รับวัธนธัมไนดินแดนเขตเจ็ด แท้จงิ ภาสามลายูมไิ ช่ภาสาของประชาชาติ เปนแต่
หัวเมืองมากก็แปลงตัวเสีย แล้วจึงเลยเข้ามา ถ้า ภาสาของประชาชนซึ่งกะจัดกะจายหยู่ไนแหลม
แวะที่อื่นเหนือเขตเจ็ดหัวเมืองขึ้นมาก็ถูกแปลงตัว มลายู และทางตะวันออกของอ่าวเบงกอลดังกล่าว
บ้างเหมือนกัน แต่เล็กน้อย เพราะวัธนธัมของภาสา แล้ว เขาถือกันว่าภาสาที่ถูกต้องคือ ภาสาที่พูดกัน
ไม่แรงเท่าไนเขตเจ็ดหัวเมืองนั้น จ�าพวกที่เข้ามา ไนรัถไซบุรี และรัถเปรัก
โดยตรงและโดยอ้อมนัน้ ก็ไม่เปนภาสาทีม่ ีระเบียบ ระเบียบของภาสามลายูถา้ จะจัดออกเปนพวก
เดียวกันแน่นอนนัก เพราะได้กล่าวแล้วภาสามลายู ไหย่ๆ ตามหมูเ่ หล่าของการพูดจาแล้ว ก็อาดแบ่งได้
มีไช้หยู่ไนบริเวนกว้างขวาง ถ้อยค�าไนถิ่นต่างๆ แม้ เปน 4 พวกคือ 1. ภาสาในราชส�านัก (ภาสาดาลัม)
ไม่ ทิ้ ง หลั ก เดิ ม อั น ส่ อ ไห้ เ ห็ น ถึ ง ความเปนภาสา 2. ภาสาผูด้ ี (ภาสาบังสะวัน) 3. ภาสาพ่อค้า (ภาสา
เดียวกันก็จิง ก็ยังมีส�าเนียงและความหมายแตก ดาคัง) 4. มิสรภาสา (ภาสากเจากัน) ภาสาเหล่านี้
ต่างกันไป ในเมืองไทยเราตามชนบทบางทีคนละต�า มีวิธีพูด (style) ไม่เหมือนกัน ภาสาดาลัมก็เปน
บนภาสาที่ไช้ก็ผิดกันเสียแล้ว... ฉะนั้นภาสามลายู หย่างราชาสัพท์ของเราคือไช้กนั แต่กบั เจ้านาย และ
ไนถิ่นต่างๆ จึงผิดกันได้มาก ไนไซบุรี ตรังกานู ภาสานี้มีมาแบบเดียวกับราชาสัพท์ของเราเหมือน
ปะหัง ปัตตานี พูดส�าเนียงต่างกันไกล ภาสาที่พูด กัน เช่นค�าว่า บุตร บุตรี เขาไช้เรียกลูกชายลูกสาว
กันไนปนงั นัน้ บางทีกเ็ อาไปพูดไนมละกาและโชนัน สุ ล ต่ า นหรื อ ราชาทั้ ง ๆ ที่ เ ปนค� า ธั ม ดาไนภาสา
ไม่ได้ ไนเปรักเองเมื่อมีคนพูดมลายูออกไปแล้ว ก็รู้ สันสกริต ดุจเราไช้ภาสาเขมนธัมดาเปนราชาสัพท์
ได้ทีเดียวว่าเปนคนไนถิ่นไหน ภาสามลายูที่แท้จะ ของเรา เช่น บันทม ประทับ เปนต้น ส่วนภาสา
หาได้แต่ไนบริเวนซึ่งคนไนท้องที่นั้นไม่พูดภาสาอื่น ผู้ดีคือภาสาสุภาพ ไช้พูดไนหมู่บุคคลที่ได้รับการ

ปที่ 38 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2560 51


ภาสาของสาสนาอิสลาม คืออาหรับ ที่เหนี่ยวรั้งไห้ภาสาอันมีระเบียบดีท�าลายลงแบบ
เดียวกับพวกที่เปนภาสาผู้ดีเกินไป เช่นประนามที่
เช่นเดียวกับภาสาของสาสนาพุทธ แปลว่าการเคารพไหว้ดว้ ยความนอบน้อมยิง่ ต่อมา
คือบาลี แต่ภาสาของสาสนาอิสลาม ได้หมายความว่าการขับไล่ด้วย ในภาสาตลาดไช้
ก็ยังไม่สามารถลบล้าง หมายความถึงการบริภาส แท้จิงภาสามลายูเองก็
เปนภาสาที่ปะปนยิ่งกว่าภาสาไทยอีก มีทั้งการ
ภาสาสันสกริตไนมลายูได้ รับค�าภาสาอื่นมาไช้โดยตรง และโดยการแปลงตัว
เหมือนภาสาบาลี ไม่สามารถลบล้าง เหมือนกัน ว่าโดยส่วนไหย่ภาสามลายูมที ม่ี า 3 ทาง
ภาสาสันสกริตไนภาสาไทยได้ 1. ทางภาสาพื้นเมืองเดิม คือเปนภาสาของ
พวกมลายูแท้มาแต่ดงั้ เดิม พวกมลายูเดิมนัน้ เขาว่า
…เมื่อมีค�าสันสกริตเข้ามา เปนเชื้ อ ชาติ แ ขกในอั ฟ ริ ก าผสมกั บ พวกแขกไน
ภาสามลายูก็จเรินขึ้นเพราะได้มี ภารตวรรส ต่อมามีพวกทิเบตผสมกับพวกยวนเข้า
ถ้อยค�าสแดงความรู้สึกแห่งจิตไจ ปะปนโดยลงมาตามล�าน�้าอิรวดี แต่ก่อนที่ภาสา
ของพวกทิเบตยวนจะแพร่หลายไปจนฝังรากมัน่ คง
นั้น ได้มีภาสาสันสกริตซึ่งเปนภาสามีอารยะธัม
สึกสาสูง หรือเปนคนชั้นสูง หย่างเดียวกับภาสาผู้ดี สูงกว่าแผ่เข้ามาหย่างมากมาย อันภาสาเดิมนัน้ เปน
ของเรา แต่ภาสาผู้ดีของเรามีวัธนธัมมาก จนถึง พวกค�าพยางค์เดียวโดยมาก และพยางค์หนึ่งๆ ก็
รังเกียดค�าบางค�า เช่น อีรม ต้องพูดเปนนางรม สแดงความหมายอันแน่นอน เมื่อจะไช้ไนความ
บางควาย ต้องเปน บางกะบือ (กะบือ เปนภาสา หมายอื่นที่มีความหมายเดิมสัมพันธ์หยู่ด้วย ก็ไช้
มลายูแปลงตัวโดยบริเวนเจ็ดหัวเมืองแปลว่า ควาย) ค�าพยางค์เดียวนัน้ ผสมเข้าไป หย่างเราผสมค�า แม่
จึงจะเรียกผูพ้ ดู เปนผูด้ แี ท้ แต่พวกไช้ภาสาผูด้ เี ช่นนี้ กับ น�า้ เข้าด้วยกันเปนแม่นา�้ เช่นเมือ่ จะพูดถึงสิง่ ไร
ได้ท�าลายภาสาเสียมากท�าไห้เราไม่รู้ว่าท�าไมหอย ทีม่ ลี กั สนะไปไนทางกลมๆ ผสมเข้าไปด้วย ส่วนการ
หย่างนั้นจึงเรียกนางรม ต่อไปแปลไม่ได้ก็จะเขียน ผสมนั้นก็เปลี่ยนส�าเนียง บู ไปตามแต่เสียงของค�า
นางรมย์ ให้แปลได้ไปอีกทีหนึ่ง ภาสาพ่อค้านั้น ที่มาต่อ คล้ายการไช้อุปสัคของบาลีสันสกริต เช่น
เขาไช้กนั ไนวงการค้าโดยเฉพาะ โดยมากมีคา� เฉพาะ เดือน = บู - ลัน กลม = บู - ลัด พูเขา = บู - กิต (พูเก็ต)
เกิดขึ้นและเริ่มปนภาสาต่างประเทศ ส่วนภาสา ในภาสาของพวกเซมังซึ่งกล่าวว่า เปนพวก
กเจากั น นั้ น เปนภาสาผสมแบบภาสาสแลงหรือ พื้นเพเดิมของมลายู ค�าว่า มือ เขาเรียก ตัง ฉะนั้น
ภาสาตลาด หนักลงไปกว่าภาสาพ่อค้า พวกสามัญ อะไรทีเ่ กีย่ วกับมือ ในภาสามลายูเขาไช้คา� ตัง ผสม
ชนหรือพวกทีไ่ ม่ได้รบั การสึกสาใช้พดู จากันเหมือน แทบทัง้ นัน้ เช่น มือ = ตัง - งัน ไม้เท้า = ตุง - กัต
เรามีค�าว่า เต๊าะ (มาจากมลายูแปลงตัวในบริเวน ภาสาเดิมเหล่านี้คือ ภาสาของคนที่ยังไม่มี
เจ็ดหัวเมืองก่อนแปลงตัวว่ามินตา) แปลว่า ขอ ความจเริน โดยมากเปนภาสาง่ายๆ ทีม่ ขี นึ้ ไว้สา� หรับ
หย่างกะลิม้ กะเหลีย่ เช่น เต๊าะผูห้ ยิง แท้จงิ ค�านีเ้ ดิม ไช้เรียกสิง่ ต่างๆ ทีเ่ ปนรูปธัม และเปนสิง่ ทีม่ หี ยูใ่ กล้ชดิ
แปลว่าขอหย่างสามัญ ภาสาตลาดนีเ้ ปนภาสาหนึง่ จ� า เปนของบุ ค คลซึ่ ง ด� า รงชี วิ ต หยู ่ ใ นดิ น แดนอั น

52 วารสารกึ่งวิชาการ
ยังเปนปาเถือ่ นหยูเ่ กีย่ วกับอาหารบ้าง ความเปนหยู่ ทางภาสาชวาอีกต่อหนึ่ง เพราะภาสาสันสกริตได้
ที่อาสัยบ้าง กิจการไนการด�าเนินชีวิตไนครอบครัว แพร่หลายไนชวาประกอบไปด้วยลัทธิพราหมน์
บ้าง การหาผักหาปลา และการท�าสวนครัวเล็กๆ มากมาย
น้อยๆ ไม่เปนล�่าเปนสัน เวลานั้นยังไม่มีการท�านา 3. ทางภาสาอาหรับ การที่ภาสาอาหรับเข้า
ไหย่โต ไม่มีไถ เพราะเราจะเห็นได้ว่าค�า ไถ (ตังคา ปะปนไนภาสามลายู นี้ ก็ โ ดยเข้ า มาทางสาสนา
ลา) ไม่ได้เปนภาสาเดิม เปนภาสาสันสกริตทีพ่ งึ่ เข้า อิสลามซึ่งชาวมลายูทั้งหมดได้นับถือ แต่ได้เข้ามา
มาพายหลัง ทีหลังภาสาสันสกริต โดยมากเป็นถ้อยค�าทีเ่ กีย่ วแก่
2. ทางภาสาสั น สกริ ต ต่ อ มาพวกแขกไน จรรยาแห่งสาสนาอิสลามเปนพื้น มีจ�านวนไม่น้อย
ภารตวรรสได้เริ่มเข้าไปสู่พวกไนดินแดนมลายูเดิม เหมือนกันเช่น กิเลส ว่า นัฟสู, ความหมาย ว่า
ได้ น� า อารยะธั ม อั น สู ง ของตนเข้ า ไปด้ ว ยรวมทั้ ง มานา, กลอน ว่า ชแอร์ (Shear) เปนต้น นอกจาก
ภาสา เหตุนี้ภาสามลายูจึงได้รับอิทธิพลจากภาสา ที่มา 3 สายไหย่ๆ นี้แล้ว ภาสามลายูยังมีที่มาจาก
สันสกริตดุจภาสาไทยเหมือนกัน คือภาสาสันสกริต ภาสาอืน่ ๆ อันเปนไปเพราะความสัมพันธ์กบั ชนชาติ
ได้เข้ายึดความเปนไหย่ไนภาสามลายูไว้ได้ เราจะ ที่ พู ด ภาสานั้ น ๆ โดยมากเนื่ อ งจากการค้ า ขาย
เห็นว่าไนภาสามลายูเต็มไปด้วยค�าภาสาสันสกริต เพราะเมืองมลายูเปนเมืองริมทเลบ้างเล็กน้อย เช่น
เช่นเดียวกับภาสาไทย เราพูดไทยประโยคหนึ่งมี ภาสาจีน ฝรัง่ ฯลฯ ดุจดังภาสาอืน่ ทัง้ หลายทัว่ ไปใน
ภาสาสันสกริตปนอย่างน้อย 60% ฉันได พวกมลายู โลก อันภาสาที่ไช้พูดกันนั้นก็เปนหย่างของทั้งปวง
พูดภาสามลายูประโยคหนึ่งก็มีภาสาสันสกริตปน อาสั ย สั ง กรระหว่ า งภาสาทั้ ง หลายจึ ง ประเสิ ด
ไนจ� า นวนเท่ า ๆ กั น ฉั น นั้ น ...พวกมลายู นั บ ถื อ ถ้าภาสาไทยเราไม่มคี วามระคนปนเปของภาสาอืน่
สาสนาอิสลามโดยตลอด และสาสนาอิสลามนั้นมี หยู่ด้วย รสของภาสาไทยจะเปนรสที่ซาบซ่านไจก็
ลั ก สนะในทางบั ง คั บ ยิ่ ง กว่ า สาสนาไดๆ ทั้ ง สิ้ น หาได้ไม่ อาหารถ้าประกอบด้วยสิ่งไรแต่สิ่งเดียว
ภาสาของสาสนาอิสลาม คืออาหรับ เช่นเดียวกับ อาหารนั้นไม่น่ากิน เพราะอาหารอาสัยการปรุงปน
ภาสาของสาสนาพุทธ คือบาลี แต่ภาสาของสาสนา หลายสิ่งที่มีหลายรสลงด้วยกันดังนั้นดอก อาหาร
อิสลามก็ยังไม่สามารถลบล้างภาสาสันสกริตไน
มลายูได้เหมือนภาสาบาลีไม่สามารถลบล้างภาสา
สั น สกริ ต ไนภาสาไทยได้ ...เมื่ อ มี ค� า สั น สกริ ต
เข้ามา ภาสามลายูก็จเรินขึ้นเพราะได้มีถ้อยค�า
สแดงความรู ้ สึ ก แห่ ง จิ ต ไจ สแดงความคิ ด เห็ น
สแดงถึงศีลธัมความดีความชัว่ และยังสแดงถึงลัทธิ
พราหมน์ด้วย เช่น สันสกริต หริ=ตะวัน มลายูมีค�า
หารี แปลว่า วัน ส่วนตะวัน ว่า มาตาหารี แปลว่า
ตะวัน เพราะ มาตา แปลว่า ตา ส่วนมากภาสา
สันสกริตแม้ว่าจะไช้พูดด้วยก็ตาม ได้ไช้ไนภาสา
หนังสือมากกว่าภาสาพูด โดยมากมาจากเรื่องราว

ปที่ 38 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2560 53


จึงเปนที่ชูรสชวนบริโภค ภาสาก็ดุจเดียวกัน เหตุนี้
การปนเปของภาสาไทยหรือภาสามลายู หรือภาสา
อื่นใดจึงไม่เปนของชั่วร้าย ถ้ารู้จักเลือกไช้และน�า
มาจ�าแลงแปลงตัวไห้เปนไทยทั้งรูปร่างและจิตไจ
ไห้เหมาะกับลักสนะของภาสาก็จะท�าไห้มีค�าไช้ไน
ภาสารุ่มรวยขึ้น กลับจะเปนความจเรินของภาสา
อั น เราเรี ย กกั น เดี๋ ย วนี้ ว ่ า วั ธ นธั ม (Culture of
Language)... เพราะเหตุว่า ภาสามลายูเปนภาสา
ที่ระคนด้วยภาสาอื่นๆ เปนอันมาก ฉะนั้นการที่เรา
ได้รบั ถ้อยค�าภาสามลายูเข้ามาจึงต้องพิเคราะห์โดย
ละเอียดลงไปอีกว่า ค�านั้นๆ ได้อาสัยลักสนะของ
ภาสามลายูชบุ ตัวแล้วหรือไม่ ถ้าไม่อาสัยและภาสา
นัน้ ก็ได้เคยมีตรงเข้ามาไนภาสาไทยของเราเองแล้ว ภาสาเมืองหลวงหรือภาสาราชการไม่ชัด แปร่งไป
เราไม่ควนนับว่าเปนค�าภาสามลายูเลย เช่นภาสา เหตุที่แปร่งก็เพราะลิ้นของพวกบริเวนเจ็ดหัวเมือง
จีน สันสกริต หรืออาหรับ ส�าหรับภาสาอาหรับโดย ติดมาข้างไทย จารีตประเพนี ขนบท�าเนียม อุปนิสยั
มากไม่ได้รบั การชุบแปลงตัวจากภาสามลายูเท่าไร ไจคอ เหล่านี้ได้ท�าไห้พูดภาสามลายูไปเสียคนละ
รูปค�าเดิมเปนหย่างไรก็มักหยู่หย่างนั้น ภาสาจีนก็ หย่างกับภาสาทีแ่ ท้จงิ อาดกล่าวได้วา่ คนมลายูไน
ดุจกัน มีที่ได้รับความเปลี่ยนแปลงเพราะลิ้นภาสา โชนันกับพวกทีพ่ ดู ภาสามลายูไนปัตตานีนนั้ พูดกัน
มลายูบ้างเล็กน้อย แต่ภาสาสันสกริตนั้นได้ถูก ไม่รู้เรื่อง ตั้งแต่ไวยกรน์ไปจนกะทั่งถ้อยค�าที่ไช้...”
จ�าแลงเพราะลักสนะของภาสามลายูมากหยู่ และ มีขอ้ ควรพิจารณาเกีย่ วกับบทความทางภาษา
เราก็ได้รับถ้อยค�าภาสาสันสกริตโดยตรงหยู่ทาง ‘ความเกี่ยวข้องของภาสามลายูไนภาสาไทย (ตอน
หนึ่งเหมือนกัน ฉะนั้นการที่จะวินิจฉัยว่า ค�าไดเปน ต้น)’ ของนายผีซงึ่ ปรากฎอยูใ่ นบทบรรณาธิการของ
ค�าที่เราเอามาจากสันสกริตโดยตรงทีเดียวหรือ วรรนคดีสารเล่มนีว้ า่ “ในการบ�ารุงวัธนธัมภาสาไทย
เอามาโดยผ่านภาสามลายูจึงเปนสิ่งที่ยาก เช่น ควนมีนักภาสาสาตรและฉเพาะหย่างยิ่งนักนิรุติ
ค�า ภาสา ค�านี้เราเอามาตรงจากสันสกริตแต่ไน สาตร ซึง่ จะช่วยกันค้นคว้าทีม่ าและความหมายของ
ภาสามลายูค�านี้ เขาก็เอามาจากสันสกริตเหมือน ค�าไนภาสาไทยเปนจ�านวนมากยิง่ ขึน้ นาย อ.พลจันท์
กัน ไม่มีการเปลี่ยนรูปไปเพราะอ�านาตภาสามลายู ซึง่ ได้เคยสแดงความสนไจไนภาสาสันสกริตมาแล้ว
เลย ฉะนัน้ เราต้องถือว่าไม่ไช่เปนค�าทีเ่ ราได้มาจาก นัน้ บัดนีไ้ ด้สกึ สาภาสามลายู และเรียบเรียงเรือ่ งส่ง
ภาสามลายู... ภาสามลายูทชี่ าวบริเวนเจ็ดหัวเมือง มา ฉันจึงมีความยินดีที่จะน�าลงไห้ และขอขอบคุน
ใช้พูดกันนั้นเปนเสมือนภาสาบ้านนอกของพวก สเถียรโกเสสที่ได้เติมเชิงอัถลงไว้ด้วย ความเห็น
มลายูเขาก็ว่าได้ คือมีส�าเนียงเพี้ยนผิดกันมากโดย หรือความสันนิถานของนาย อ.พลจันท์ เกีย่ วกับค�า
เฉพาะไนจังหวัดปัตตานีแทบจะเปนปรากริตภาสา ภาสาไทยท่ี่ว่ามาหรือเนื่องมาจากภาสามลายูนั้น
ของมลายูทีเดียว ถ้าจะเปรียบกับของเรา ก็คือพูด ฉั น เองเห็ น ว่ า ยั ง ไม่ มี ห ลั ก ถานและเหตุ ผ ลมา

54 วารสารกึ่งวิชาการ
“ความสันนิถานของนาย อ.พลจันท์
เกี่ยวกับค�าภาสาไทยท่ี่ว่ามาหรือเนื่องมาจากภาสามลายูนั้น
ฉันเองเห็นว่ายังไม่มีหลักถานและเหตุผลมาสนับสนุนเพียงพอ
เช่น ค�าว่า กะบือ ถ้าจะถือว่ามาจากภาสามลายู
ก็จะต้องสแดงด้วยว่า ไม่ ได้มาจากภาสาเขมน”

สนับสนุนเพียงพอ เช่น ค�าว่า กะบือ ถ้าจะถือว่ามา แม่จา ’ เป็นต้น มีความพยายามรวบรวมผลงานของ


จากภาสามลายู ก็จะต้องสแดงด้วยว่า ไม่ได้มาจาก นายผีโดยส�านักพิมพ์สามัญชนและคณะกรรมการ
ภาสาเขมน และไนการสันนิถานทีม่ าของค�า ก็ควน จัดงาน ‘นายผีคนื ถิน่ แผ่นดินแม่’ เมือ่ ปี 2540-2541
จะนึกถึงความหมายไห้หนักแน่นยิ่งขึ้น เช่น ค�าว่า และขณะนีม้ คี วามพยายามอีกครัง้ หนึง่ ใน ‘โครงการ
ประหลาด จะไห้มคี วามหมายว่า ยินดี นัน้ เปนการ อ่านนายผี’ ของส�านักพิมพ์อา่ นทีก่ า� ลังทะยอยพิมพ์
ฝนความจิง แต่ถ้านาย อ. พลจันท์ บากบั่นต่อไป ผลงานของนายผีออกมาสู่บรรณพิภพเป็นระยะๆ
ความรอบคอบก็จะบริบรู น์ขนึ้ เพราะสแดงว่ามีแวว ตั้งแต่ปี 2556
ดีหยูแ่ ล้ว” บรรณาธิการของวรรนคดีสารฉะบับนีค้ อื บทความทางภาษา ‘ความเกีย่ วข้องของภาสา
พระเจ้าวรวงส์เธอ พระองค์เจ้าวรรนไวทยากร และ มลายู ไ นภาสาไทย (ตอนต้ น )’ จึ ง เป็ น หนึ่ ง ใน
กรรมการของวรรนคดีสารยังประกอบด้วยผู้ทรง วรรณกรรมชัน้ เยีย่ มทัง้ หลายและนับเป็นวรรณกรรม
คุณวุฒิอีกหลายท่าน เช่น พนะ จอมพล ป. พิบูล ชิ้ น เอก ชิ้ น หนึ่ ง ของนายผี ที่ อ ธิ บ ายการเมื อ ง
สงคราม นาย ย.ส. อนุมานราชธน พนะ ว. วิจิตร โลกอิสลามและมลายูในขณะนั้น ยังมีวรรณกรรม
วาทการ เป็นต้น การเมืองในสายธารนี้อีกจ�านวนหนึ่งซึ่งถูกค้นพบ
นายผีก�าเนิดเมื่อปี 2461 และอ�าลาจากโลกนี้ และสมควรถูกบันทึกไว้ ณ ที่นี้ โดยเป็นไปตาม
ไปเมื่อปี 2530 ตลอดระยะเวลา 69 ปี นายผีได้ ล�าดับของช่วงเวลาที่เขียน
สร้างสรรค์วรรณกรรมชั้นเยี่ยมไว้เป็นจ�านวนมาก 1. ‘ความเกี่ยวข้องของภาสามลายูไนภาสา
บทกวีไม่น้อยกว่า 350 ชิ้น เรื่องสั้นกว่า 40 เรื่อง ไทย (ตอนต้น)’ บทความทางภาษา ใช้นามปากกา
บทความหลากหลายประเภทและเรื่ อ งแปลอี ก ‘อ.พลจั น ท์ ’ พิ ม พ์ ใ นวรรนคดี ส าร เล่ ม ที่ 10
มากมาย ความเป็นเอกอุทางวรรณศิลปของนายผี พรึสภาคม 2487 ปีที่ 2
ปรากฎอยู่ในบทความทางวิชาการอย่าง ‘อารย กับ 2. ‘ศาสนาอิสลามว่าด้วยอะไร’ บทความทาง
อนารย’ วรรณกรรมแปลอย่าง ‘ภควัทคีตา’ บทกวี ศาสนา ใช้นามปากกา ‘อ.ส.’ พิมพ์ในสยามนิกร
อย่าง ‘ความเปลี่ยนแปลง’ ‘อีศาน!’ ‘เราชนะแล้ว, วันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2489

ปที่ 38 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2560 55


3. ‘บริเวณ 7 หัวเมือง’ สารคดี ใช้นามปากกา 10. ‘ลาก่อน, สยาม--ลาก่อน’ เรือ่ งสัน้ การเมือง
‘อ.ส.’ พิมพ์ในสยามนิกร มกราคม 2490 ใช้นามปากกา ‘กุลิศ อินทุศักดิ์’ พิมพ์ในสยามนิกร
4. ‘การเมืองใน 7 หัวเมือง’ บทความทาง 3 ตุลาคม 2492
การเมือง พิมพ์ในสยามนิกร 2 กุมภาพันธ์ 2490 11. ‘ขบวนการดารูลิส์ลาม’ เรื่องสั้นการเมือง
5. ‘ฟาตีมะห์แห่งเกามอีบู’ นิทานการเมือง ใช้นามปากกา ‘กุลิศ อินทุศักดิ์’ พิมพ์ในสยามนิกร
ใช้ น ามปากกา ‘อิ น ทรายุ ธ ’ พิ ม พ์ ใ นมหาชน 24 ตุลาคม 2492
รายสัปดาห์ 27 มิถุนายน 2491 12. ‘The Scapegoat’ เรื่ อ งสั้ น การเมื อ ง
6. ‘การปฏิ วั ติ ที่ ห ่ า ม’ นิ ท านการเมื อ ง ใช้นามปากกา ‘กุลิศ อินทุศักดิ์’ พิมพ์ในสยามนิกร
ใช้นามปากกา ‘กุลิศ อินทุศักดิ์’ พิมพ์ในการเมือง วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน 2492
รายสัปดาห์ ปีที่ 5 ฉบับที่ 15 วันเสาร์ที่ 30 ตุลาคม 13. ‘จดหมายถึ ง มิ ล ลี่ ’ เรื่ อ งสั้ น การเมื อ ง
2491 และปีที่ 5 ฉบับที่ 16 วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน ใช้นามปากกา ‘กุลิศ อินทุศักดิ์’ พิมพ์ในสยามนิกร
2491 วันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2493
7. ‘กาเซะห์ ซายัง เซียม!’ นิทานการเมือง 14. ‘อิฟตารี’ เรื่องสั้นแปลการเมือง งานของ
ใช้นามปากกา ‘กุลิศ อินทุศักติ’ พิมพ์ในการเมือง ‘ราษิท ชาหัน’ นักเขียนอินเดีย ใช้นามปากกา ‘กุลิศ
รายสัปดาห์ 22 มกราคม 2492 อินทุศักดิ์’ พิมพ์ในอักษรสาส์น กรกฎาคม 2493
8. ‘สัมไป ฮาตี’ เรือ่ งสัน้ การเมืองใช้นามปากกา 15. ‘จากตนกูไปสูส่ ามัญชน’ เรือ่ งสัน้ การเมือง
‘กุลิศ อินทุศักดิ์’ พิมพ์ในอักษรสาส์น ฉะบับที่ 3 ใช้นามปากกา ‘กุลิศ อินทุศักดิ์’ พิมพ์ในสยามสมัย
มิถุนายน 2492 กันยายน 2493
9. ‘มรฺ เดกา สูเปโน มรฺเดก้า!’ เรือ่ งสัน้ การเมือง 16. ‘ความรักอันเริงแรง’ เรื่องสั้นการเมือง
ใช้นามปากกา ‘กุลิศ อินทุศักดิ์’ พิมพ์ในสยามนิกร ใช้นามปากกา ‘กุลิศ อินทุศักดิ์’ พิมพ์ในสยามสมัย
12 กันยายน 2492 มกราคม 2495

56 วารสารกึ่งวิชาการ
อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตบางประการใน
วรรณกรรมการเมืองโลกอิสลามและมลายูที่เป็น
บทความทางวิช าการ นิทานการเมือ ง เรื่องสั้น
การเมืองและเรือ่ งสัน้ แปลการเมืองของนายผีทงั้ 16
เรื่องข้างต้นดังต่อไปนี้
1. บทความทางภาษา ‘ความเกี่ยวข้องของ
ภาสามลายูไนภาสาไทย (ตอนต้น)’ ที่ตีพิมพ์ใน
วรรนคดี ส ารฉะบั บ นี้ มี ค วามยาวถึ ง 29 หน้ า
จากจ�ำนวนทัง้ หมด 90 หน้า คิดเป็นหนึง่ ในสามของ
เล่ม ซึ่งในบทบรรนาธิการ กล่าวถึงค�ำ ‘กะบือ’ ว่า
ไม่ใช่ภาษามลายู ปรากฎว่า ค�ำๆ นีม้ ใี ช้ใน Bahasa
Indonesia เขียนว่า ‘Kerbau’ ตรงกับความหมาย
ในภาษาอังกฤษว่า ‘Water Buffalo’ น่าเสียดายที่
ยังไม่พบว่ามีบทความทางภาษาของนายผีในเรื่อง
นี้ต่อจาก ‘ตอนต้น’
2. นิ ท านการเมื อ งและเรื่ อ งสั้ น การเมื อ ง 5. เรื่องสั้นแปล วรรณกรรมการเมืองภาษา
บางเรื่ อ งร่ ว มสมั ย กั บ การเรี ย กร้ อ งเอกราชของ อุรดูของ ‘ราษิท ชาหัน’ เป็นหลักฐานยืนยันว่า
อิ น โดนี เ ซี ย ซึ่ ง ได้ ป ระกาศเอกราชเมื่ อ วั น ที่ 17 นายผีมีความแตกฉานในภาษาอุรดูจริงตามข้อมูล
สิงหาคม 2488 ของคุณยืนหยัด ใจสมุทรและท่านอื่นๆ
3. นิทานการเมืองและเรื่องสั้นการเมืองบาง 6. นอกเหนือจากวรรณกรรมการเมืองโลก
เรื่องมีตัวเอกชายชื่อ ‘กุลิศ’ ซึ่งเป็นนามประพันธ์ อิสลามและมลายู นายผียังมีบทความมลายู-ชวา
ของอัศนี พลจันทร และตัวเอกหญิงชื่อ ‘ฟาตีมะห์’ จ�ำนวนหนึ่งตีพิมพ์ในสยามนิกร พ.ศ. 2490 เช่น
ชื่อเดียวกับเจ้าของบ้านที่นายผีเช่าอยู่ 2 ปีระหว่าง หิกายัต ปันหยี กุตาสมิรัง อิเหนาฉบับอารีนครา
รับราชการที่ปัตตานี พ.ศ. 2485-2487 เป็นต้น และบทความการบ้านการเรือน ชื่อ ‘ยาหยี
4. นิ ท านการเมื อ งและเรื่ อ งสั้ น การเมื อ ง ปี๊ - ไหว่ว้ายฟาตีมาห์’ ตีพิม์ในปิยมิตรวันจันทร์ 22
บางเรื่อ งมี นครปัตตานีเป็นฉากในการเดินเรื่อง มิถุนายน 2502
สอดคล้องกับสถานะการณ์ทางการเมืองที่ก�ำลัง นายผี ‘อัศนี พลจันทร์’ เป็นมิตรร่วมรบกับ
คุ ก รุ ่ น ในจั ง หวั ด ชายแดนใต้ ข ณะนั้ น เช่ น การ มลายูมุสลิมที่ปัตตานี นายผีใช้กฎหมายคุ้มครอง
ประกาศใช้ ‘รัฐนิยม’ เป็นนโยบายสร้างชาติของ สิทธิเสรีภาพแก่ผู้ถูกข่มเหงโดยไม่มีก�ำแพงใดๆ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ระหว่างปี 2482-2487 มาขวางกั้น นายผีใช้ปากกาขีดเขียนวรรณกรรม
และกรณีที่ฮัจญีสุหลงกับและคณะจากปัตตานี การเมืองโลกอิสลามและมลายูจนฟูเฟื่องเลื่องลือ
ยื่นค�ำร้อง 7 ข้อต่อนายยกรัฐมนตรี หลวงธ�ำรง บรรเจิดไสว ขอคารวะความดีงามของท่านมา ณ
นาวาสวัสดิ์ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2490 ที่นี้

ปีที่ 38 ฉบับที่ 1 มกราคม-เมษายน 2560 57

You might also like