Professional Documents
Culture Documents
Psujssh, Journal Manager, 3
Psujssh, Journal Manager, 3
46 วารสารกึ่งวิชาการ
“ กับผู้หญิงแกมักชมว่า สวยเหมือนนางบุษบา
ถามว่าท�ำไม แกบอกว่าคนเราที่น่าเกลียดที่สุดคือตอนตื่นนอนใช่ ไหม
เราบอกว่าใช่ นายผีจึงบอกว่าตัวบุษบาที่เขาแอบไปวาดรูป
เป็นรูปทีเ่ พิง่ ตืน่ นอน ไปทิง้ ไว้ให้จรกามาเก็บ
ยังหลงแทบตาย
จึงเห็นได้ว่านักประพันธ์นี่ละเอียดลึกซึ้ง ”
48 วารสารกึ่งวิชาการ
เราพบว่าขณะรับราชการอยูท่ ปี่ ตั ตานี นายผีได้เขียน
จดหมายถึงพระยาอนุมานราชธน ปราชญ์คนส�าคัญ
แห่งสยามสมัยอย่างน้อย 2 ฉบับโดยเขียนภาษา
มลายูถนิ่ (ยาวี - อักขระอาหรับ) อธิบายประกอบไว้
ด้วย ในจดหมายฉบับที่ 1 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2486
นายผีพรรณนาถึงความส�าคัญในการเรียนภาษา
มลายูไว้เสียอย่างเลิศเลอ “ได้ทราบว่า ทางแผนก
อักษรศาสตร์มีการเรียนภาษามลายูก็ดีใจ เพราะ
ได้เห็นความจ�าเป็นอยู่ ก่อนไปอยู่เมืองตานีไม่ค่อย
จะแลเห็ น ความจ� า เป็ น อะไรนั ก เพราะเวลานั้ น ในจดหมายฉบับที่ 2 วันที่ 25 ธันวาคม 2486
หางอึ่งยังไม่งอก พอไปอยู่ได้ 3 เดือนเศษ หางอึ่ง นายผีเล่าถึงการเรียนภาษาอาหรับโดยเทียบเคียง
งอกออกมานิดหนึง่ ความคิดทีเ่ คยมีวา่ ภาษามลายู กับภาษามลายูวา่ “เพราะเมือ่ จะเริม่ เรียนภาษานี้ ได้
ไม่มอี า� นาจอะไรในภาษาไทยนักนัน้ ก็กลายเป็นคิด หัดเสียงเสียก่อนกับผูท้ ไี่ ปเมกกะมา เป็นดาโตะใหญ่
ขึ้นได้ว่าออกจะมีอ�านาจมากอยู่ ฉะนั้นการที่แผนก อยู่ในตานี และเป็นผู้ที่จะกล่าวได้ว่าการถือบวชนั้น
อักษรศาสตร์ให้มีการสอนภาษามลายูขึ้นอีกภาษา ต้องแลเห็นดาวนั้นๆ ขึ้นตรงนั้นๆ เสียก่อนด้วย และ
หนึ่งจึงเป็นการสมควรยิ่งนัก แต่คงจะได้สอนกันแต่ เขายังเป็นผู้รู้ภาษาอังกฤษดีเหมือนกัน ไว้ใจได้”
หลักๆและใช้ต�าราของฝรั่งเป็นพื้น อันที่จริงจะเรียน นายผีเรียนทั้งภาษามลายูกลางและมลายูถิ่น
อะไร ถ้ารู้ภาษาฝรั่งอยู่แล้วก็นับว่าสะดวก แต่ดู แล้วยังแตะภาษาอาหรับอีกด้วยในขณะที่มีความ
เหมือนว่าวิชาภาษานั้น ถ้าจะเรียนกันให้เอาภาษา แตกฉานในภาษาอุรดูเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และก็
อันแวดล้อมภาษาเราอยูม่ าไขภาษาของเราเองแล้ว ตวัดกลับไปเทียบเคียงภาษาบาลีสันสกฤตซึ่งเป็น
น่าจะต้องโดดลงไปในภาษานั้นเอง อย่างภาษา พื้นฐานส�าคัญของภาษาไทยและภาษามลายู นาย
มลายูนี้ ทีแรกผมก็เรียนเป็นไต่ภาษาสะพานภาษา ผีเล่าไว้ในจดหมายฉบับที่ 2 อีกตอนหนึ่งโดยย�้าถึง
ฝรัง่ ไปสูฝ่ งั ภาษามลายู พอข้ามไปถึงฝัง ทีม่ ตี วั อักษร เจตนารมณ์ในการเรียนภาษาและความใฝฝันอัน
มลายูแล้ว เลยรู้สึกว่าสะพานที่ได้ข้ามมานั้นผุอยู่ เรืองรองของตนว่า “เราพูดภาษาไทยประโยคหนึ่ง
เคราะห์ไม่ดี, ไต่ไม่ระวังอาจหักโครมลงได้ง่ายๆ” มีบาลีสนั สกฤตเต็มบันได เขาพูดมลายูประโยคหนึง่
50 วารสารกึ่งวิชาการ
มาทางด่านบริเวนเจ็ดหัวเมือง พวกแรกเรียกว่าเข้า
มาโดยทางตรง พวกหลังเรียกว่าเข้ามาโดยทางอ้อม
พวกที่เข้ามาทางตรงได้ปรากตรูปเปนภาสามลายู
แท้ เช่น บุหลง บุหงา ชนิส พวกที่มาทางอ้อมได้
ถูกแปลงตัวเสียก่อนไนบริเวณเจ็ดหัวเมือง ครัน้ เข้า
มาถึงไจกลางเมืองไทยก็แปลงรูปไปจนเกือบจ�า
ไม่ได้ เช่น ชะแง้ มึง กู เปราะ ที่ว่ามีที่มา 2 ทางนี้
ก็เพราะภาสามลายูเปนภาสาทีไ่ ช้อยูไ่ นแหลมมลายู
และตามหมู ่ เ กาะไต้ แ หลมนั้ น ลงไป หรื อ ตั้ ง แต่
อ่าวเบงกอลลงไปจนถึงเกาะบอร์เนียวและหมูเ่ กาะ
ฟลิปปนส์ ภาสาจึงอาดติดเรือแล่นข้ามทเลเข้ามา
เลยก็ ไ ด้ พวกมาทางเรื อ ถ้ า ไม่ แ วะที่ ไ หนซึ่ ง หยู ่
ต�า่ กว่าบางสะพานไหย่ ซึง่ เปนต�าบลแบ่งภาสาแล้ว
ก็ เ ลยเข้ า ไปไนบริ เ วนอ่ า วไทยได้ ขึ้ น บกที เ ดี ย ว
พวกเดินเดินเข้ามาก็จ�าต้องผ่านด่านบริเวนเจ็ด
หัวเมืองเสียก่อน ได้รับวัธนธัมไนดินแดนเขตเจ็ด แท้จงิ ภาสามลายูมไิ ช่ภาสาของประชาชาติ เปนแต่
หัวเมืองมากก็แปลงตัวเสีย แล้วจึงเลยเข้ามา ถ้า ภาสาของประชาชนซึ่งกะจัดกะจายหยู่ไนแหลม
แวะที่อื่นเหนือเขตเจ็ดหัวเมืองขึ้นมาก็ถูกแปลงตัว มลายู และทางตะวันออกของอ่าวเบงกอลดังกล่าว
บ้างเหมือนกัน แต่เล็กน้อย เพราะวัธนธัมของภาสา แล้ว เขาถือกันว่าภาสาที่ถูกต้องคือ ภาสาที่พูดกัน
ไม่แรงเท่าไนเขตเจ็ดหัวเมืองนั้น จ�าพวกที่เข้ามา ไนรัถไซบุรี และรัถเปรัก
โดยตรงและโดยอ้อมนัน้ ก็ไม่เปนภาสาทีม่ ีระเบียบ ระเบียบของภาสามลายูถา้ จะจัดออกเปนพวก
เดียวกันแน่นอนนัก เพราะได้กล่าวแล้วภาสามลายู ไหย่ๆ ตามหมูเ่ หล่าของการพูดจาแล้ว ก็อาดแบ่งได้
มีไช้หยู่ไนบริเวนกว้างขวาง ถ้อยค�าไนถิ่นต่างๆ แม้ เปน 4 พวกคือ 1. ภาสาในราชส�านัก (ภาสาดาลัม)
ไม่ ทิ้ ง หลั ก เดิ ม อั น ส่ อ ไห้ เ ห็ น ถึ ง ความเปนภาสา 2. ภาสาผูด้ ี (ภาสาบังสะวัน) 3. ภาสาพ่อค้า (ภาสา
เดียวกันก็จิง ก็ยังมีส�าเนียงและความหมายแตก ดาคัง) 4. มิสรภาสา (ภาสากเจากัน) ภาสาเหล่านี้
ต่างกันไป ในเมืองไทยเราตามชนบทบางทีคนละต�า มีวิธีพูด (style) ไม่เหมือนกัน ภาสาดาลัมก็เปน
บนภาสาที่ไช้ก็ผิดกันเสียแล้ว... ฉะนั้นภาสามลายู หย่างราชาสัพท์ของเราคือไช้กนั แต่กบั เจ้านาย และ
ไนถิ่นต่างๆ จึงผิดกันได้มาก ไนไซบุรี ตรังกานู ภาสานี้มีมาแบบเดียวกับราชาสัพท์ของเราเหมือน
ปะหัง ปัตตานี พูดส�าเนียงต่างกันไกล ภาสาที่พูด กัน เช่นค�าว่า บุตร บุตรี เขาไช้เรียกลูกชายลูกสาว
กันไนปนงั นัน้ บางทีกเ็ อาไปพูดไนมละกาและโชนัน สุ ล ต่ า นหรื อ ราชาทั้ ง ๆ ที่ เ ปนค� า ธั ม ดาไนภาสา
ไม่ได้ ไนเปรักเองเมื่อมีคนพูดมลายูออกไปแล้ว ก็รู้ สันสกริต ดุจเราไช้ภาสาเขมนธัมดาเปนราชาสัพท์
ได้ทีเดียวว่าเปนคนไนถิ่นไหน ภาสามลายูที่แท้จะ ของเรา เช่น บันทม ประทับ เปนต้น ส่วนภาสา
หาได้แต่ไนบริเวนซึ่งคนไนท้องที่นั้นไม่พูดภาสาอื่น ผู้ดีคือภาสาสุภาพ ไช้พูดไนหมู่บุคคลที่ได้รับการ
52 วารสารกึ่งวิชาการ
ยังเปนปาเถือ่ นหยูเ่ กีย่ วกับอาหารบ้าง ความเปนหยู่ ทางภาสาชวาอีกต่อหนึ่ง เพราะภาสาสันสกริตได้
ที่อาสัยบ้าง กิจการไนการด�าเนินชีวิตไนครอบครัว แพร่หลายไนชวาประกอบไปด้วยลัทธิพราหมน์
บ้าง การหาผักหาปลา และการท�าสวนครัวเล็กๆ มากมาย
น้อยๆ ไม่เปนล�่าเปนสัน เวลานั้นยังไม่มีการท�านา 3. ทางภาสาอาหรับ การที่ภาสาอาหรับเข้า
ไหย่โต ไม่มีไถ เพราะเราจะเห็นได้ว่าค�า ไถ (ตังคา ปะปนไนภาสามลายู นี้ ก็ โ ดยเข้ า มาทางสาสนา
ลา) ไม่ได้เปนภาสาเดิม เปนภาสาสันสกริตทีพ่ งึ่ เข้า อิสลามซึ่งชาวมลายูทั้งหมดได้นับถือ แต่ได้เข้ามา
มาพายหลัง ทีหลังภาสาสันสกริต โดยมากเป็นถ้อยค�าทีเ่ กีย่ วแก่
2. ทางภาสาสั น สกริ ต ต่ อ มาพวกแขกไน จรรยาแห่งสาสนาอิสลามเปนพื้น มีจ�านวนไม่น้อย
ภารตวรรสได้เริ่มเข้าไปสู่พวกไนดินแดนมลายูเดิม เหมือนกันเช่น กิเลส ว่า นัฟสู, ความหมาย ว่า
ได้ น� า อารยะธั ม อั น สู ง ของตนเข้ า ไปด้ ว ยรวมทั้ ง มานา, กลอน ว่า ชแอร์ (Shear) เปนต้น นอกจาก
ภาสา เหตุนี้ภาสามลายูจึงได้รับอิทธิพลจากภาสา ที่มา 3 สายไหย่ๆ นี้แล้ว ภาสามลายูยังมีที่มาจาก
สันสกริตดุจภาสาไทยเหมือนกัน คือภาสาสันสกริต ภาสาอืน่ ๆ อันเปนไปเพราะความสัมพันธ์กบั ชนชาติ
ได้เข้ายึดความเปนไหย่ไนภาสามลายูไว้ได้ เราจะ ที่ พู ด ภาสานั้ น ๆ โดยมากเนื่ อ งจากการค้ า ขาย
เห็นว่าไนภาสามลายูเต็มไปด้วยค�าภาสาสันสกริต เพราะเมืองมลายูเปนเมืองริมทเลบ้างเล็กน้อย เช่น
เช่นเดียวกับภาสาไทย เราพูดไทยประโยคหนึ่งมี ภาสาจีน ฝรัง่ ฯลฯ ดุจดังภาสาอืน่ ทัง้ หลายทัว่ ไปใน
ภาสาสันสกริตปนอย่างน้อย 60% ฉันได พวกมลายู โลก อันภาสาที่ไช้พูดกันนั้นก็เปนหย่างของทั้งปวง
พูดภาสามลายูประโยคหนึ่งก็มีภาสาสันสกริตปน อาสั ย สั ง กรระหว่ า งภาสาทั้ ง หลายจึ ง ประเสิ ด
ไนจ� า นวนเท่ า ๆ กั น ฉั น นั้ น ...พวกมลายู นั บ ถื อ ถ้าภาสาไทยเราไม่มคี วามระคนปนเปของภาสาอืน่
สาสนาอิสลามโดยตลอด และสาสนาอิสลามนั้นมี หยู่ด้วย รสของภาสาไทยจะเปนรสที่ซาบซ่านไจก็
ลั ก สนะในทางบั ง คั บ ยิ่ ง กว่ า สาสนาไดๆ ทั้ ง สิ้ น หาได้ไม่ อาหารถ้าประกอบด้วยสิ่งไรแต่สิ่งเดียว
ภาสาของสาสนาอิสลาม คืออาหรับ เช่นเดียวกับ อาหารนั้นไม่น่ากิน เพราะอาหารอาสัยการปรุงปน
ภาสาของสาสนาพุทธ คือบาลี แต่ภาสาของสาสนา หลายสิ่งที่มีหลายรสลงด้วยกันดังนั้นดอก อาหาร
อิสลามก็ยังไม่สามารถลบล้างภาสาสันสกริตไน
มลายูได้เหมือนภาสาบาลีไม่สามารถลบล้างภาสา
สั น สกริ ต ไนภาสาไทยได้ ...เมื่ อ มี ค� า สั น สกริ ต
เข้ามา ภาสามลายูก็จเรินขึ้นเพราะได้มีถ้อยค�า
สแดงความรู ้ สึ ก แห่ ง จิ ต ไจ สแดงความคิ ด เห็ น
สแดงถึงศีลธัมความดีความชัว่ และยังสแดงถึงลัทธิ
พราหมน์ด้วย เช่น สันสกริต หริ=ตะวัน มลายูมีค�า
หารี แปลว่า วัน ส่วนตะวัน ว่า มาตาหารี แปลว่า
ตะวัน เพราะ มาตา แปลว่า ตา ส่วนมากภาสา
สันสกริตแม้ว่าจะไช้พูดด้วยก็ตาม ได้ไช้ไนภาสา
หนังสือมากกว่าภาสาพูด โดยมากมาจากเรื่องราว
54 วารสารกึ่งวิชาการ
“ความสันนิถานของนาย อ.พลจันท์
เกี่ยวกับค�าภาสาไทยท่ี่ว่ามาหรือเนื่องมาจากภาสามลายูนั้น
ฉันเองเห็นว่ายังไม่มีหลักถานและเหตุผลมาสนับสนุนเพียงพอ
เช่น ค�าว่า กะบือ ถ้าจะถือว่ามาจากภาสามลายู
ก็จะต้องสแดงด้วยว่า ไม่ ได้มาจากภาสาเขมน”
56 วารสารกึ่งวิชาการ
อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าสังเกตบางประการใน
วรรณกรรมการเมืองโลกอิสลามและมลายูที่เป็น
บทความทางวิช าการ นิทานการเมือ ง เรื่องสั้น
การเมืองและเรือ่ งสัน้ แปลการเมืองของนายผีทงั้ 16
เรื่องข้างต้นดังต่อไปนี้
1. บทความทางภาษา ‘ความเกี่ยวข้องของ
ภาสามลายูไนภาสาไทย (ตอนต้น)’ ที่ตีพิมพ์ใน
วรรนคดี ส ารฉะบั บ นี้ มี ค วามยาวถึ ง 29 หน้ า
จากจ�ำนวนทัง้ หมด 90 หน้า คิดเป็นหนึง่ ในสามของ
เล่ม ซึ่งในบทบรรนาธิการ กล่าวถึงค�ำ ‘กะบือ’ ว่า
ไม่ใช่ภาษามลายู ปรากฎว่า ค�ำๆ นีม้ ใี ช้ใน Bahasa
Indonesia เขียนว่า ‘Kerbau’ ตรงกับความหมาย
ในภาษาอังกฤษว่า ‘Water Buffalo’ น่าเสียดายที่
ยังไม่พบว่ามีบทความทางภาษาของนายผีในเรื่อง
นี้ต่อจาก ‘ตอนต้น’
2. นิ ท านการเมื อ งและเรื่ อ งสั้ น การเมื อ ง 5. เรื่องสั้นแปล วรรณกรรมการเมืองภาษา
บางเรื่ อ งร่ ว มสมั ย กั บ การเรี ย กร้ อ งเอกราชของ อุรดูของ ‘ราษิท ชาหัน’ เป็นหลักฐานยืนยันว่า
อิ น โดนี เ ซี ย ซึ่ ง ได้ ป ระกาศเอกราชเมื่ อ วั น ที่ 17 นายผีมีความแตกฉานในภาษาอุรดูจริงตามข้อมูล
สิงหาคม 2488 ของคุณยืนหยัด ใจสมุทรและท่านอื่นๆ
3. นิทานการเมืองและเรื่องสั้นการเมืองบาง 6. นอกเหนือจากวรรณกรรมการเมืองโลก
เรื่องมีตัวเอกชายชื่อ ‘กุลิศ’ ซึ่งเป็นนามประพันธ์ อิสลามและมลายู นายผียังมีบทความมลายู-ชวา
ของอัศนี พลจันทร และตัวเอกหญิงชื่อ ‘ฟาตีมะห์’ จ�ำนวนหนึ่งตีพิมพ์ในสยามนิกร พ.ศ. 2490 เช่น
ชื่อเดียวกับเจ้าของบ้านที่นายผีเช่าอยู่ 2 ปีระหว่าง หิกายัต ปันหยี กุตาสมิรัง อิเหนาฉบับอารีนครา
รับราชการที่ปัตตานี พ.ศ. 2485-2487 เป็นต้น และบทความการบ้านการเรือน ชื่อ ‘ยาหยี
4. นิ ท านการเมื อ งและเรื่ อ งสั้ น การเมื อ ง ปี๊ - ไหว่ว้ายฟาตีมาห์’ ตีพิม์ในปิยมิตรวันจันทร์ 22
บางเรื่อ งมี นครปัตตานีเป็นฉากในการเดินเรื่อง มิถุนายน 2502
สอดคล้องกับสถานะการณ์ทางการเมืองที่ก�ำลัง นายผี ‘อัศนี พลจันทร์’ เป็นมิตรร่วมรบกับ
คุ ก รุ ่ น ในจั ง หวั ด ชายแดนใต้ ข ณะนั้ น เช่ น การ มลายูมุสลิมที่ปัตตานี นายผีใช้กฎหมายคุ้มครอง
ประกาศใช้ ‘รัฐนิยม’ เป็นนโยบายสร้างชาติของ สิทธิเสรีภาพแก่ผู้ถูกข่มเหงโดยไม่มีก�ำแพงใดๆ
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ระหว่างปี 2482-2487 มาขวางกั้น นายผีใช้ปากกาขีดเขียนวรรณกรรม
และกรณีที่ฮัจญีสุหลงกับและคณะจากปัตตานี การเมืองโลกอิสลามและมลายูจนฟูเฟื่องเลื่องลือ
ยื่นค�ำร้อง 7 ข้อต่อนายยกรัฐมนตรี หลวงธ�ำรง บรรเจิดไสว ขอคารวะความดีงามของท่านมา ณ
นาวาสวัสดิ์ เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2490 ที่นี้