Professional Documents
Culture Documents
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
กก 1
ก
[ update ! "#$%%$!ก&'()*)!
ก (,#$#-* ./).2. 345/]
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ภาค ๑
บททั่วไป
ลักษณะ ๑
บทวิเคราะห์ศัพท์
ทบทวนหรือยืนยันหรืออธิบายข้อความแห่งคําพยานหลักฐาน และ
ปั ญ หาข้ อ กฎหมายและข้ อ เท็ จ จริ ง ทั้ ง ปวง คํ า แถลงการณ์ อ าจ
รวมอยู่ในคําคู่ความ
ๆ ตามกฎหมาย หรือในฐานะทนายความ
ลักษณะ ๒
ศาล
หมวด ๑
เขตอํานาจศาล
(๑) เมื่อได้พิจารณาถึงสภาพแห่งคําฟ้องและชั้น
ของศาลแล้ว ปรากฏว่า ศาลนั้นมีอํานาจที่จะพิจารณาพิพากษาคดี
นั้นได้ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
และ
(๑) ในกรณีที่มูลคดีเกิดขึ้นในเรือไทยหรืออากาศ
ยานไทยที ่อ ยู ่น อกราชอาณาจัก ร ให้ศ าลแพ่ง เป็น ศาลที ่ม ีเ ขต
อํานาจ
ม า ต ร า ๔ ท วิ 4[ ๑ ๐ ] คํ า ฟ้ อ ง เ กี่ ย ว ด้ ว ย
อ สั ง ห า ริ ม ท รั พ ย์ ห รื อ สิ ท ธิ ห รื อ ป ร ะ โ ย ช น์ อั น เ กี่ ย ว ด้ ว ย
อสังหาริมทรัพย์ ให้เสนอต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้นตั้งอยู่ในเขต
ศาล ไม่ว่าจําเลยจะมีภูมิลําเนาอยู่ในราชอาณาจักรหรือไม่ หรือต่อ
ศาลที่จําเลยมีภูมิลําเนาอยู่ในเขตศาล
คําฟ้องตามวรรคหนึ่ง ถ้าจําเลยมีทรัพย์สินที่อาจ
ถูกบังคับคดีได้อยู่ในราชอาณาจักร ไม่ว่าจะเป็นการชั่วคราวหรือ
ถาวร โจทก์จะเสนอคําฟ้องต่อศาลที่ทรัพย์สินนั้นอยู่ในเขตศาลก็ได้
ใ น ก ร ณี ที่ เ จ้ า ม ร ด ก ไ ม่ มี ภู มิ ลํ า เ น า อ ยู่ ใ น
ราชอาณาจักร ให้เสนอต่อศาลที่ทรัพย์มรดกอยู่ในเขตศาล
ห้ามมิให้ศาลออกคําสั่งอนุญาตตามวรรคหนึ่ง เว้น
แต่ศาลที่จะรับโอนคดีไปนั้นได้ยินยอมเสียก่อน ถ้าศาลที่จะรับโอน
คดีไม่ยินยอม ก็ให้ศาลที่จะโอนคดีนั้นส่งเรื่องให้อธิบดีผู้พิพากษา
ศาลอุทธรณ์ชี้ขาด คําสั่งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ให้เป็น
ที่สุด
การโอนคดีตามวรรคหนึ่ง ไม่กระทบกระเทือนถึง
กระบวนพิจารณาที่ได้ดําเนินการไปก่อนที่จะมีคําสั่งให้โอนคดี และ
ให้ ถือว่ าบรรดากระบวนพิ จ ารณาที่ ไ ด้ ดําเนิ น การไปแล้ ว นั้ น เป็ น
กระบวนพิจารณาของศาลแพ่งด้วย เว้นแต่ศาลแพ่งจะมีคําสั่งเป็น
อย่างอื่นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
เสนอคําฟ้องหรือคําร้องขอต่อศาลใด ถ้าพยานหลักฐานซึ่งจะเรียก
มาสืบหรือบุคคลหรือทรัพย์หรือสถานที่ที่จะต้องตรวจอยู่ในเขตศาล
ใด ให้เสนอต่อศาลนั้น
( ๔ ) คํ า ร้ อ ง ที่ เ ส น อ ใ ห้ ศ า ล ถ อ น คื น ห รื อ
เปลี่ยนแปลงคําสั่งหรือการอนุญาตที่ศาลได้ให้ไว้ก็ดีคําร้องที่เสนอ
ให้ศาลถอดถอนบุคคลใดจากฐานะที่ศาลได้แต่งตั้งไว้ก็ดี คําร้องที่
เสนอให้ศาลมีคําสั่งใดที่เกี่ยวกับการถอนคืนหรือเปลี่ยนแปลงคําสั่ง
หรือการอนุญาตหรือที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งเช่นว่านั้นก็ดีคําร้องขอ
หรือคําร้องอื่นใดที่เสนอเกี่ยวเนื่องกับคดีที่ศาลได้มีคําพิพากษาหรือ
คําสั่งไปแล้วก็ดี ให้เสนอต่อศาลในคดีที่ได้มีคําสั่ง การอนุญาต การ
แต่งตั้ง หรือคําพิพากษานั้น
คําสั่งใด ๆ ของอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์เช่น
ว่านี้ให้เป็นที่สุด
มาตรา ๑๐ ถ้าไม่อาจดําเนินกระบวนพิจารณาใน
ศาลชั้นต้นที่มีเขตศาลเหนือคดีนั้นได้โดยเหตุสุดวิสัย คู่ความฝ่ายที่
เสียหายหรืออาจเสียหายเพราะการนั้นจะยื่นคําขอฝ่ายเดียวโดยทํา
เป็ น คํ าร้ องต่ อศาลชั้ นต้ น ซึ่ งตนมี ภู มิ ลํ าเนาหรื ออยู่ ในเขตศาลใน
ขณะนั้นก็ได้ และให้ศาลนั้นมีอํานาจทําคําสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่
เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
หมวด ๒
16
การคัดค้านผู้พิพากษา
(๓) ถ้าเป็นผู้ที่ได้ถูกอ้างเป็นพยานโดยที่ได้รู้ได้เห็น
เหตุการณ์ หรือโดยเป็นผู้เชี่ยวชาญมีความรู้เป็นพิเศษเกี่ยวข้องกับ
คดีนั้น
(๕) ถ้าได้เป็นผู้พิพากษานั่งพิจารณาคดีเดียวกัน
นั้นในศาลอื่นมาแล้ว หรือเป็นอนุญาโตตุลาการมาแล้ว
17
(๖) ถ้ามีคดีอีกเรื่องหนึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณาซึ่ง
ผู้พิพากษานั้นเอง หรือภริยา หรือญาติทางสืบสายโลหิตตรงขึ้นไป
หรือตรงลงมาของผู้พิพากษานั้นฝ่ายหนึ่ง พิพาทกับคู่ความฝ่ายใดฝ่าย
หนึ่ง หรือภริยา หรือญาติทางสืบสายโลหิตตรงขึ้นไปหรือตรงลงมา
ของคู่ความฝ่ายนั้นอีกฝ่ายหนึ่ง
มาตรา ๑๒ เมื่อศาลใดมีผู้พิพากษาแต่เพียงคน
เดี ย ว ผู้ พิ พ ากษานั้ น อาจถู ก คั ด ค้ า นด้ ว ยเหตุ ใ ดเหตุ ห นึ่ ง ตามที่
กําหนดไว้ในมาตราก่อนนั้นได้ หรือด้วยเหตุประการอื่นอันมีสภาพ
ร้ า ยแรงซึ่ ง อาจทํ า ให้ ก ารพิ จ ารณาหรื อ พิ พ ากษาคดี เ สี ย ความ
ยุติธรรมไป
มาตรา ๑๓ ถ้ามีเหตุที่จะคัดค้านได้อย่างใดอย่าง
หนึ่งดังที่กล่าวไว้ในสองมาตราก่อนเกิดขึ้นแก่ผู้พิพากษาคนใดที่นั่ง
ในศาล
(๑) ผู้พิพากษานั้นเองจะยื่นคําบอกกล่าวต่อศาล
แสดงเหตุ ที่ ต นอาจถู ก คั ด ค้ า น แล้ ว ขอถอนตั ว ออกจากการนั่ ง
พิจารณาคดีนั้นก็ได้
18
เมื่อได้ยื่นคําร้องดังกล่าวแล้ว ให้ศาลงดกระบวน
พิจารณาทั้งปวงไว้ก่อนจนกว่าจะได้มีคําชี้ขาดในเรื่องที่คัดค้านนั้น
แล้ว แต่ความข้อนี้มิให้ใช้แก่กระบวนพิจารณาซึ่งจะต้องดําเนินโดยมิ
ชักช้า อนึ่ง กระบวนพิจารณาทั้งหลายที่ได้ดําเนินไปก่อนได้ยื่นคํา
ร้ อ งคั ด ค้ า นก็ ดี และกระบวนพิ จ ารณาทั้ ง หลายในคดี ที่ จ ะต้ อ ง
ดําเนินโดยมิชักช้า แม้ถึงว่าจะได้ดําเนินไปภายหลังที่ได้ยื่นคําร้อง
คัดค้านก็ดี เหล่านี้ย่อมสมบูรณ์ไม่เสียไป เพราะเหตุที่ศาลมีคําสั่ง
ยอมฟังคําคัดค้าน เว้นแต่ศาลจะได้กําหนดไว้ในคําสั่งเป็นอย่างอื่น
ถ้าศาลใดมีผู้พิพากษาหลายคน และผู้พิพากษาที่
มิ ได้ ถูก คั ดค้ านรวมทั้ ง ข้ า หลวงยุ ติธ รรม ถ้ าได้ นั่ ง พิ จ ารณาด้ ว ยมี
จํานวนครบที่จะเป็นองค์คณะและมีเสียงข้างมากตามที่กฎหมาย
ต้องการ ให้ศาลเช่นว่านั้นเป็นผู้ชี้ขาดคําคัดค้าน แต่ในกรณีที่อยู่ใน
19
ถ้าศาลใดมีผู้พิพากษาหลายคน และผู้พิพากษาที่
มิได้ถูกคัดค้าน แม้จะนับรวมข้าหลวงยุติธรรมเข้าด้วย ยังมีจํานวน
ไม่ ค รบที่ จ ะเป็ น องค์ ค ณะและมี เ สี ย งข้ า งมากตามที่ ก ฎหมาย
ต้อ งการ หรือ ถ้า ผู้พิพ ากษาคนเดีย วไม่ส ามารถมีคํา สั่ง ให้ย กคํา
คัด ค้า นเสีย ด้ว ยความเห็น พ้อ งของผู้พิพ ากษาอี กคนหนึ่ ง หรื อ
ข้าหลวงยุติธรรมตามที่บัญญัติไว้ในวรรคก่อน ให้ศาลซึ่งมีอํานาจสูง
กว่าศาลนั้นตามลําดับเป็นผู้ชี้ขาดคําคัดค้าน
เมื่อศาลที่ผู้พิพากษาแห่งศาลนั้น เองถูกคัดค้าน
จะต้องวินิจฉัยชี้ขาดคําคัดค้านห้ามมิให้ผู้พิพากษาที่ถูกคัดค้านนั้น
นั่งหรือออกเสียงกับผู้พิพากษาอื่น ๆ ในการพิจารณาและชี้ขาดคํา
คัดค้านนั้น
20
ถ้าผู้พิพากษาคนใดได้ขอถอนตัวออกจากการนั่ง
พิจารณาคดีก็ดี หรือศาลได้ยอมรับคําคัดค้านผู้พิพากษาคนใดก็ดี
ให้ผู้พิพากษาคนอื่นทําการแทนตามบทบัญญัติในพระธรรมนูญศาล
ยุติธรรม
หมวด ๓
อํานาจและหน้าที่ของศาล
มาตรา ๑๕ ห้ามมิให้ศาลใช้อํานาจนอกเขตศาล
เว้นแต่
(๒) ศาลจะออกหมายเรียกคู่ความหรือบุคคลนอก
เขตศาลก็ได้ ส่วนการที่จะนําบทบัญญัติมาตรา ๓๑, ๓๓, ๑๐๘,
๑๐๙ และ ๑๑๑ แห่งประมวลกฎหมายนี้และมาตรา ๑๔๗ แห่ง
21
กฎหมายลักษณะอาญามาใช้บังคับได้นั้น ต้องให้ศาลซึ่งมีอํานาจใน
เขตศาลนั้นสลักหลังหมายเสียก่อน
(๓)14[๒๐] หมายบังคับคดีและหมายของศาลที่
ออกให้ จั บ และกั ก ขั ง บุ ค คลผู้ ใ ดตามบทบั ญ ญั ติ แ ห่ ง ประมวล
กฎหมายนี้ อาจบังคับได้ไม่ว่าในที่ใด ๆ
ในกรณีที่มีการบังคับคดีนอกเขตศาลที่มีอํานาจใน
การบังคับ คดี ให้บั งคับตามมาตรา ๒๗๑ วรรคสาม วรรคสี่ และ
วรรคห้า15[๒๑]
คดีที่ศาลแพ่งได้รับไว้พิจารณาพิพากษาตามพระ
ธรรมนูญศาลยุติธรรมหรือที่ได้โอนไปยังศาลแพ่งตามมาตรา ๖/๑
ให้ศาลแพ่งมีอํานาจดําเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ นอกเขตศาลได้
ตามที่เห็นสมควร16[๒๒]
ให้ศาลที่กล่าวแล้วมีอํานาจที่จะแต่งตั้งศาลอื่นที่
เป็นศาลชั้นต้นให้ทําการซักถามหรือตรวจภายในบังคับบทบัญญัติ
มาตรา ๑๐๒ หรือดําเนินกระบวนพิจารณาแทนได้
มาตรา ๑๘ ให้ศาลมีอํานาจที่จะตรวจคําคู่ความ
ที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลได้รับไว้เพื่อยื่นต่อศาล หรือส่งให้แก่
คู่ความ หรือบุคคลใด ๆ
23
ถ้าศาลเห็นว่าคําคู่ความที่ได้ยื่นไว้ดังกล่าวแล้วนั้น
อ่านไม่ออกหรืออ่ านไม่เข้ าใจหรือเขีย นฟุ่มเฟือยเกิ นไป หรื อไม่ มี
รายการ ไม่ มี ล ายมื อ ชื่ อ ไม่ แนบเอกสารต่ า ง ๆ ตามที่ ก ฎหมาย
ต้ อ งการ หรื อ มิ ไ ด้ ชํ า ระหรื อ วางค่ า ธรรมเนี ย มศาลโดยถู ก ต้ อ ง
ครบถ้ วน ศาลจะมีคําสั่งให้คืน คําคู่ ความนั้นไปให้ ทํามาใหม่ หรื อ
แก้ ไ ขเพิ่ ม เติ ม หรื อ ชํ า ระหรื อ วางค่ า ธรรมเนี ย มศาลให้ ถู ก ต้ อ ง
ครบถ้วน ภายในระยะเวลาและกําหนดเงื่อนไขใด ๆ ตลอดจนเรื่อง
ค่ าฤชาธรรมเนี ย มตามที่ ศาลเห็ น สมควรก็ ได้ ถ้ ามิ ได้ ป ฏิ บั ติ ตาม
ข้อกําหนดของศาลในระยะเวลาหรือเงื่อนไขที่กําหนดไว้ก็ให้มีคําสั่ง
ไม่รับคําคู่ความนั้น17[๒๓]
ถ้าไม่มีข้อขัดข้องดังกล่าวแล้ว ก็ให้ศาลจดแจ้ง
แสดงการรับคําคู่ความนั้นไว้บนคําคู่ความนั้นเองหรือในที่อื่น
มาตรา ๑๙ ศาลมีอํานาจสั่งได้ตามที่เห็นสมควรให้
คู่ ความทุ กฝ่ าย หรื อฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ งมาศาลด้ วยตนเอง ถึ งแม้ ว่ า
คู่ความนั้น ๆ จะได้มีทนายความว่าต่างแก้ต่างอยู่แล้วก็ดี อนึ่ง ถ้า
ศาลเห็นว่าการที่คู่ความมาศาลด้วยตนเองอาจยังให้เกิดความตกลง
หรือการประนีประนอมยอมความดังที่บัญญัติไว้ในมาตราต่อไปนี้ ก็
ให้ศาลสั่งให้คู่ความมาศาลด้วยตนเอง
มาตรา ๒๑ เมื่อคู่ความฝ่ายใดเสนอคําขอหรือคํา
แถลงต่อศาล
ก่อนมีคําสั่งตามคําขอนั้น
มาตรา ๒๓ เมื่อศาลเห็นสมควรหรือมีคู่ความฝ่าย
ที่เกี่ยวข้องได้ยื่นคําขอโดยทําเป็นคําร้อง ให้ศาลมีอํานาจที่จะออก
คําสั่งขยายหรือย่นระยะเวลาตามที่กําหนดไว้ในประมวลกฎหมายนี้
หรือตามที่ศาลได้กําหนดไว้ หรือระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณา
ความแพ่ ง อั น กํ า หนดไว้ ใ นกฎหมายอื่ น เพื่ อ ให้ ดํ า เนิ น หรื อ มิ ใ ห้
28
ดําเนินกระบวนวิธีพิจารณาใด ๆ ก่อนสิ้นระยะเวลานั้นแต่การขยาย
หรือย่นเวลาเช่นว่านี้ให้พึงทําได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษ และศาล
ได้มีคําสั่งหรือคู่ความมีคําขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ใน
กรณีที่มีเหตุสุดวิสัย
ถ้าศาลเห็นว่าคําวินิจฉัยชี้ขาดเช่นว่านี้จะทําให้คดี
เสร็ จ ไปได้ ทั้งเรื่ องหรื อเฉพาะแต่ ป ระเด็ น แห่ งคดี บ างข้ อ ศาลจะ
วินิจฉัยชี้ขาดปัญหาที่กล่าวแล้วและพิพากษาคดีเรื่องนั้นหรือเฉพาะ
แต่ประเด็นที่เกี่ยวข้องไปโดยคําพิพากษาหรือคําสั่งฉบับเดียวกันก็
ได้
๒๔๗
มาตรา ๒๕ ถ้าคู่ความฝ่ายใดยื่นคําขอโดยทําเป็น
คําร้องให้ศาลสั่งกําหนดวิธีการอย่างใด ๆ ที่บัญญัติไว้ในภาค ๔ เพื่อ
คุ้มครองสิทธิของคู่ความในระหว่างการพิจารณา หรือเพื่ อบังคั บ
ตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง ให้ศาลมีคําสั่งอนุญาตหรือยกคําขอนั้น
เสียโดยไม่ชักช้า
ถ้าในเวลาที่ยื่นคําขอนั้นศาลจะชี้ขาดคดีได้อยู่แล้ว
ศาลจะวินิจฉัยคําขอนั้นในคําพิพากษา หรือในคําสั่งชี้ขาดคดีก็ได้
มาตรา ๒๗ ในกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติ
แห่ งประมวลกฎหมายนี้ ในข้ อที่ มุ่งหมายจะยั งให้ การเป็ นไปด้ ว ย
ความยุติธรรม หรือที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนใน
เรื่องการเขียน และการยื่นหรือการส่งคําคู่ความหรือเอกสารอื่น ๆ
หรือในการพิจารณาคดี การพิจารณาพยานหลักฐาน หรือการบังคับ
คดี เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายที่เสียหายเนื่องจากการ
ที่มิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นยื่นคําขอโดยทําเป็นคําร้อง ให้ศาลมีอํานาจที่
จะสั่ ง ให้ เ พิ ก ถอนการพิ จ ารณาที่ ผิ ดระเบี ย บนั้ น เสี ย ทั้ งหมดหรื อ
บางส่ ว น หรื อ สั่ งแก้ ไขหรื อ มี คํา สั่ งในเรื่ อ งนั้ น อย่ า งใดอย่ า งหนึ่ ง
ตามที่ศาลเห็นสมควร
ข้อค้านเรื่องผิดระเบียบนั้น คู่ความฝ่ายที่เสียหาย
อาจยกขึ้นกล่าวได้ไม่ว่าในเวลาใด ๆ ก่อนมีคําพิพากษา แต่ต้องไม่ช้า
กว่ า แปดวั น นั บ แต่ วั น ที่ คู่ ค วามฝ่ า ยนั้ น ได้ ท ราบข้ อ ความหรื อ
พฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น แต่ทั้งนี้คู่ความฝ่ายนั้นต้องมิได้
ดําเนิ น การอั นใดขึ้นใหม่ ห ลังจากที่ ได้ทราบเรื่องผิ ดระเบี ย บแล้ ว
หรือต้องมิได้ให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้น ๆ
มาตรา ๒๘ ถ้ามีคดีหลายเรื่องค้างพิจารณาอยู่ใน
ศาลเดียวกันหรือในศาลชั้นต้นสองศาลต่างกัน และคู่ความทั้งหมด
หรื อแต่ บ างฝ่ ายเป็ น คู่ ความรายเดี ย วกั น กั บ ทั้ งการพิ จ ารณาคดี
เหล่านั้น ถ้าได้รวมกันแล้ว จะเป็นการสะดวก หากศาลนั้นหรือศาล
หนึ่ งศาลใดเหล่านั้ น เห็ นสมควรให้ พิจ ารณาคดี รวมกั น หรื อหาก
คู่ความทั้งหมดหรือแต่บางฝ่ายมีคําขอให้พิจารณาคดีรวมกันโดย
แถลงไว้ในคําให้การหรือทําเป็นคําร้องไม่ว่าในเวลาใด ๆ ก่อนมีคํา
พิพากษา เมื่อศาลได้ฟังคู่ความทุกฝ่ายแห่งคดีนั้น ๆ แล้ว ถ้าศาล
เป็ น ที่ พ อใจว่ า คดี เ หล่ านั้ น เกี่ ย วเนื่ องกั น ก็ ให้ ศาลมี อํานาจออก
คําสั่งให้พิจารณาคดีเหล่านั้นรวมกัน
ถ้าจะโอนคดีมาจากอีกศาลหนึ่งหรือโอนคดีไปยัง
อีกศาลหนึ่งที่มีเขตอํานาจเหนือคดีนั้น ศาลจะมีคําสั่งก่อนที่ได้รับ
ความยินยอมของอีกศาลหนึ่งนั้นไม่ได้ แต่ถ้าศาลที่จ ะรับโอนคดี
ไม่ยิน ยอม ก็ใ ห้ศ าลที่จ ะโอนคดีนั้น ส่ง เรื่อ งให้อ ธิบ ดีผู้พิพ ากษา
ศาลอุท ธรณ์ชี้ข าด คํ า สั ่ง ของอธิบ ดีผู ้พิพ ากษาศาลอุท ธรณ์ใ ห้
เป็นที่สุด
มาตรา ๒๙ ถ้าคดีที่ฟ้องกันนั้นมีข้อหาหลายข้อ
ด้วยกันและศาลเห็นว่าข้อหาข้อหนึ่งข้อใดเหล่านั้น มิไ ด้เ กี่ย วข้อ ง
กัน กับ ข้อ อื่น ๆ เมื่อ ศาลเห็น สมควร หรือ เมื่อ คู่ค วามผู้มีส่ว นได้
เสีย ได้ยื่น คํา ขอโดยทํา เป็น คํ า ร้อ งให้ศ าลมีคํา สั่ง ให้แ ยกคดีเ สีย
โดยเร็ว ถ้าโจทก์ประสงค์จ ะให้พิจ ารณาข้อหาเช่นว่านั้น ต่อไป ก็
32
ให้ศาลดําเนินการพิจารณาคดีไปเสมือนหนึ่งว่าเป็นคดีอีกเรื่องหนึ่ง
ต่างหาก โดยมีเงื่อนไขที่ศาลจะกําหนดไว้ตามที่เห็นสมควร
ถ้าคดีที่ฟ้องกันนั้นมีข้อหาหลายข้อ และศาลเห็น
ว่าหากแยกพิ จ ารณาข้ อหาทั้งหมดหรื อข้อใดข้ อหนึ่ งออกจากกั น
แล้ว จะทําให้การพิจารณาข้อหาเหล่านั้นสะดวก ไม่ว่าเวลาใด ๆ
ก่อนมีคําพิพากษา เมื่อศาลเห็นสมควร หรือเมื่อคู่ความผู้มีส่วนได้
เสียยื่นคําขอโดยทําเป็นคําร้อง และเมื่อศาลได้ฟังคู่ความทุกฝ่าย
แล้ว ให้ศาลมีอํานาจสั่งแยกข้อหาเหล่านั้นทั้งหมดหรือแต่ข้อใดข้อ
หนึ่งออกพิจารณาต่างหากเป็นเรื่อง ๆ ไป
มาตรา ๓๐ ให้ศาลมีอํานาจออกข้อกําหนดใด ๆ
แก่ คู่ความฝ่ายใดฝ่ ายหนึ่ งหรือแก่ บุคคลภายนอกที่ อยู่ต่อหน้าศาล
ตามที่เห็นจําเป็น เพื่อรักษาความเรียบร้อยในบริเวณศาล และเพื่อให้
กระบวนพิจารณาดําเนินไปตามเที่ยงธรรมและรวดเร็ว อํานาจเช่นว่า
นี้ ให้รวมถึงการสั่งห้ามคู่ความมิให้ดําเนินกระบวนพิจารณาในทางก่อ
ความรํ าคาญ หรื อในทางประวิ งให้ ชั กช้ าหรื อในทางฟุ่ มเฟื อยเกิ น
สมควร
33
(๒)23[๒๙] เมื่อได้มีคําร้องและได้รับอนุญาตจาก
ศาลให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลตามมาตรา ๑๕๖/๑ แล้ว ปรากฏ
ว่าได้แสดงข้อเท็จจริงหรือเสนอพยานหลักฐานอันเป็นเท็จต่อศาล
ในการไต่สวนคําร้องขอยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
(๓) เมื่อรู้ว่าจะมีการส่งคําคู่ความหรือส่งเอกสาร
อื่น ๆ ถึงตน แล้วจงใจไปเสียให้พ้น หรือหาทางหลีกเลี่ยงที่จะไม่
รับคําคู่ความหรือเอกสารนั้นโดยสถานอื่น
ง. เป็นการชักจูงให้เกิดมีคําพยานเท็จ
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ให้นําวิเคราะห์ศัพท์
ทั้ ง ปวงในมาตรา ๔ แห่ ง พระราชบั ญ ญั ติ การพิ ม พ์ พุ ท ธศั ก ราช
๒๔๗๖ มาใช้บังคับ
36
มาตรา ๓๓ ถ้าคู่ความฝ่ายใดหรือบุคคลใดกระทํา
ความผิดฐานละเมิดอํานาจศาลใด ให้ศาลนั้นมีอํานาจสั่งลงโทษโดย
วิธีใดวิธีหนึ่ง หรือทั้งสองวิธีดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
ในกรณีกําหนดโทษจําคุกและปรับนั้นให้จําคุกได้
ไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
มาตรา ๓๔ ถ้าจะต้องดําเนินกระบวนพิจารณา
ทั้งเรื่องหรือแต่บางส่วน โดยทางอาศัยหรือโดยร้องขอต่อเจ้าหน้าที่
ในเมืองต่างประเทศ เมื่อไม่มีข้อตกลงระหว่า งประเทศอย่างใด
อย่างหนึ่ง หรือไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้สําหรับเรื่องนั้นแล้ว ให้ศาล
ปฏิบัติตามหลักทั่วไปแห่งกฎหมายระหว่างประเทศ
37
ข้อกําหนดตามวรรคหนึ่งเมื่อประกาศในราชกิจจา
นุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
หมวด ๔
การนั่งพิจารณา
มาตรา ๓๕ ถ้าประมวลกฎหมายนี้มิได้บัญญัติไว้
เป็นอย่างอื่น การนั่งพิจารณาคดีที่ยื่นไว้ต่อศาลใดจะต้องกระทําใน
ศาลนั้นในวันที่ศาลเปิดทําการและตามเวลาทํางานที่ศาลได้กําหนด
ไว้ แต่ ใ นกรณี มี เ หตุ ฉุ ก เฉิ น หรื อ เป็ น การจํ า เป็ น ศาลจะมี คํ า สั่ ง
กําหนดการนั่งพิจารณา ณ สถานที่อื่น หรือในวันหยุดงาน หรือใน
เวลาใด ๆ ก็ได้
ให้ผู้พิพากษาและเจ้าพนักงานศาลซึ่งปฏิบัติงาน
ในวั น หยุ ด งาน หรื อ ในเวลาใด ๆนอกเวลาทํ า การปกติ ไ ด้ รั บ
ค่าตอบแทนเป็ นพิ เศษ ตามระเบี ย บที่กระทรวงยุ ติธรรมกําหนด
โดยได้รับความเห็นชอบจากกระทรวงการคลัง26[๓๒]
มาตรา ๓๖ การนั่งพิจารณาคดีจะต้องกระทําใน
ศาลต่อหน้าคู่ความที่มาศาลและโดยเปิดเผย เว้นแต่
(๑) ในคดีเรื่องใดที่มีความจําเป็นเพื่อรักษาความ
เรี ย บร้ อยในศาล เมื่ อศาลได้ ขับไล่ คู่ความฝ่ ายใดออกไปเสี ย จาก
บริเวณศาลโดยที่ประพฤติไม่สมควร ศาลจะดําเนินการนั่งพิจารณา
คดีต่อไปลับหลังคู่ความฝ่ายนั้นก็ได้
ในบรรดาคดีทั้งปวงที่ฟ้องขอหย่าหรือฟ้องชายชู้
หรือฟ้องให้รับรองบุตร ให้ศาลห้ามมิให้มีการเปิดเผยซึ่งข้อเท็จจริง
หรือพฤติการณ์ใด ๆ ที่ศาลเห็นเป็นการไม่สมควร หรือพอจะเห็นได้
ว่าจะทําให้เกิดการเสียหายอันไม่เป็นธรรมแก่คู่ความหรือบุคคลที่
เกี่ยวข้อง
มาตรา ๓๘ ถ้าในวันที่กําหนดนัดนั่งพิจารณาศาล
ไม่มีเวลาพอที่จะดําเนินการนั่งพิจารณา เนื่องจากกิจธุระของศาล
ศาลจะมีคําสั่งให้เลื่อนการนั่งพิจารณาไปในวันอื่นตามที่เห็นสมควร
ก็ได้
มาตรา ๓๙ ถ้าการที่จะชี้ขาดตัดสินคดีเรื่องใดที่
ค้างพิจารณาอยู่ในศาลใดจําต้องอาศัยทั้งหมดหรือแต่บางส่วนซึ่งคํา
ชี้ขาดตัดสินบางข้อที่ศาลนั้นเองหรือศาลอื่นจะต้องกระทําเสียก่อน
หรือจําต้องรอให้เจ้าพนักงานฝ่ายธุรการวินิจฉัยชี้ขาดในข้อเช่นนั้น
เสียก่อน หรือถ้าปรากฏว่าได้มีการกระทําผิดอาญาเกิดขึ้นซึ่งอาจมี
การฟ้องร้องอันอาจกระทําให้การชี้ขาดตัดสินคดีที่พิจารณาอยู่นั้น
เปลี่ ย นแปลงไป หรื อ ในกรณี อื่นใดซึ่ งศาลเห็ น ว่ าถ้ าได้ เลื่ อนการ
พิ จ ารณาไปจั ก ทํ า ให้ ค วามยุ ติ ธ รรมดํ า เนิ น ไปด้ ว ยดี เมื่ อ ศาล
เห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความที่เกี่ยวข้องร้องขอ ศาลจะมีคําสั่งเลื่อน
การนั่งพิจารณาต่อไปจนกว่าจะได้มีการพิพากษาหรือชี้ขาดในข้อ
นั้น ๆ แล้วหรือภายในระยะเวลาใด ๆ ตามที่ศาลเห็นสมควรก็ได้
แล้วโดยไม่มีกําหนด เมื่อศาลเห็นสมควรหรือคู่ความที่เกี่ยวข้องร้อง
ขอ ศาลจะมีคําสั่ งให้เริ่มการนั่ งพิ จารณาต่ อไปในวั นใด ๆ ตามที่
เห็นสมควรก็ได้
เมื่อศาลจะสั่งให้เลื่อนการนั่งพิจารณา ศาลอาจสั่งให้
คู่ความฝ่ายนั้นเสียค่าป่วยการพยานซึ่งมาศาลตามหมายเรียกและเสีย
ค่าใช้จ่ายในการที่คู่ความฝ่ายอื่นมาศาล เช่น ค่าพาหนะเดินทางและ
ค่ า เช่ า ที่ พั ก ของตั ว ความ ทนายความ หรื อ พยาน เป็ น ต้ น ตาม
จํานวนที่ศาลเห็ นสมควร ถ้าคู่ ความฝ่ายที่ขอเลื่อนคดีไม่ชําระค่ า
ป่วยการหรือค่าใช้จ่ายตามที่ศาลกําหนด ให้ศาลยกคําขอเลื่อนคดี
นั้นเสีย
ค่าป่วยการหรือค่าใช้จ่ายที่จ่ายตามวรรคสองให้
ตกเป็นพับ
ค่าพาหนะและค่ าป่วยการของเจ้าพนักงานและ
แพทย์ ให้ถือว่าเป็นค่าฤชาธรรมเนียม และให้นํามาตรา ๑๖๖ มาใช้
บังคับ
มาตรา ๔๒ ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดีที่ค้าง
พิจารณาอยู่ในศาลได้มรณะเสียก่อนศาลพิพากษาคดี ให้ศาลเลื่อน
การนั่งพิจารณาไปจนกว่าทายาทของผู้มรณะหรือผู้จัดการทรัพ ย์
มรดกของผู้มรณะ หรือบุคคลอื่นใดที่ปกครองทรัพย์มรดกไว้ จะ
ได้เข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะ โดยมีคําขอเข้ามาเอง หรือโดย
ที่ศาลหมายเรียกให้เข้ามา เนื่องจากคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคําขอ
ฝ่ายเดียว คําขอเช่นว่านี้จะต้องยื่นภายในกําหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่
คู่ความฝ่ายนั้นมรณะ
ถ้าไม่มีคําขอของบุคคลดังกล่าวมาแล้ว หรือไม่มี
คําขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งภายในเวลาที่กําหนดไว้ ให้ศาลมี
คําสั่งจําหน่ายคดีเรื่องนั้นเสียจากสารบบความ
ประสงค์จะขอเข้ามาเป็นคู่ความแทน ก็ให้ยื่นคําขอโดยทําเป็นคําร้อง
ต่อศาลเพื่อการนั้น
มาตรา ๔๔ คําสั่งให้หมายเรียกบุคคลใดเข้ามา
แทนผู้มรณะนั้น จะต้องกําหนดระยะเวลาพอสมควรเพื่อให้บุคคล
นั้นมีโอกาสคัดค้านในศาลว่าตนมิได้เป็นทายาทของผู้มรณะ หรือ
มิได้เป็นผู้จัดการทรัพย์มรดกหรือผู้ปกครองทรัพย์มรดกนั้น
ถ้าบุคคลที่ถูกศาลหมายเรียกนั้น ยินยอมรับเข้า
มาเป็ น คู่ ค วามแทนผู้ ม รณะ ให้ ศ าลจดรายงานพิ ส ดารไว้ แ ละ
ดําเนินคดีต่อไป
ถ้าบุคคลนั้นไม่ยินยอมหรือไม่มาศาล ให้ศาลทํ า
การไต่สวนตามที่เห็นสมควร ถ้าศาลเห็นว่าหมายเรียกนั้นมีเหตุผล
45
ฟังได้ ก็ให้ออกคําสั่งตั้งบุคคลผู้ถูกเรียกเป็นคู่ความแทนผู้มรณะแล้ว
ดํ าเนิ น คดี ต่อไป ถ้ า ศาลเห็ น ว่ าข้ อคั ดค้ า นของบุ ค คลผู้ ถูก เรี ย กมี
เหตุผลฟังได้ ก็ให้ศาลสั่งเพิกถอนหมายเรียกนั้นเสีย และถ้าคู่ความ
ฝ่ า ยใดฝ่ า ยหนึ่ ง ไม่ ส ามารถเรี ย กทายาทอั น แท้ จ ริ งหรื อ ผู้ จั ด การ
ทรั พย์ มรดกหรื อบุ คคลที่ ปกครองทรั พย์ มรดกของผู้ มรณะเข้ ามา
เป็ น คู่ ความแทนผู้ มรณะได้ ภ ายในกําหนดเวลาหนึ่งปี ก็ ให้ ศาลมี
คําสั่งตามที่เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
มาตรา ๔๕ ถ้าปรากฏต่อศาลว่าคู่ความฝ่ายหนึ่ง
ตกเป็นผู้ไร้ความสามารถก็ดี หรือผู้แทนโดยชอบธรรมของคู่ความ
ฝ่ายที่เป็นผู้ไร้ความสามารถได้มรณะหรือหมดอํานาจเป็นผู้แทนก็ดี
ให้ ศาลเลื่ อนการนั่ งพิจ ารณาไปภายในระยะเวลาอั น สมควรเพื่ อ
ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้แทนโดยชอบธรรมคนใหม่จะได้แจ้งให้
ทราบถึงการได้รับแต่งตั้งของตนโดยยื่นคําขอเป็นคําร้องต่อศาลเพื่อ
การนั้ น ถ้ า มิ ได้ ยื่ น คํ าขอดั ง กล่ าวมาแล้ ว ให้ นํ า มาตรา ๕๖ มาใช้
บังคับ
พอสมควร เพื่อให้ตัวความมีโอกาสแจ้งให้ทราบถึงการแต่งตั้งหรือ
ความประสงค์ของตนนั้นก็ได้ในกรณีเช่นว่านี้ ถ้าตัวความมิได้แจ้งให้
ทราบภายในระยะเวลาที่ กําหนดไว้ ศาลจะมี คําสั่ งให้ เริ่ มการนั่ ง
พิจารณาต่อไปในวันใด ๆ ตามที่เห็นสมควรก็ได้
บทบัญญัติแห่งวรรคก่อนนั้น ให้นํามาใช้บังคับแก่
กรณีที่ผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้ ไร้ ความสามารถหมดอํ านาจลง
เพราะเหตุที่บุคคลนั้นได้มีความสามารถขึ้นแล้วด้วยโดยอนุโลม
หมวด ๕
รายงานและสํานวนความ
มาตรา ๔๖ บรรดากระบวนพิจารณาเกี่ยวด้วย
การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีแพ่งทั้งหลายซึ่งศาลเป็นผู้ทํา
นั้น ให้ทําเป็นภาษาไทย
บรรดาคําคู่ความและเอกสารหรือแผ่นกระดาษไม่
ว่าอย่างใด ๆ ที่ คู่ความหรือศาลหรือเจ้าพนักงานศาลได้ทําขึ้นซึ่ ง
ประกอบเป็นสํานวนของคดีนั้น ให้เขียนเป็นหนังสือไทยและเขียน
47
ด้วยหมึกหรือดีดพิมพ์หรือตีพิมพ์ ถ้ามีผิดตกที่ใดห้ามมิให้ขูดลบออก
แต่ ใ ห้ ขี ด ฆ่ า เสี ย แล้ ว เขี ย นลงใหม่ และผู้ เ ขี ย นต้ อ งลงชื่ อ ไว้ ที่ ริ ม
กระดาษ ถ้ามีข้อความตกเติมให้ผู้ตกเติมลงลายมือชื่อ หรือลงชื่อย่อ
ไว้เป็นสําคัญ
ถ้าต้นฉบับเอกสารหรือแผ่นกระดาษไม่ว่าอย่างใด
ๆ ที่ส่งต่อศาลได้ทําขึ้นเป็นภาษาต่างประเทศ ให้ศาลสั่งคู่ความฝ่าย
ที่ส่งให้ทําคําแปลทั้งฉบับหรือเฉพาะแต่ส่วนสําคัญ โดยมีคํารับรอง
มายื่นเพื่อแนบไว้กับต้นฉบับ
ถ้าคู่ความฝ่ายใดหรื อบุคคลใดที่มาศาลไม่เข้าใจ
ภาษาไทยหรือเป็นใบ้หรือหูหนวกและอ่านเขียนหนังสือไม่ได้ ให้ให้
คู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องจัดหาล่าม
ถ้าศาลมีเหตุอันควรสงสัยว่า ใบมอบอํานาจที่ยื่น
นั้นจะไม่ใช่ใบมอบอํานาจอันแท้จริงก็ดี หรือเมื่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง
ยื่นคําร้องแสดงเหตุอันควรสงสัยว่าใบมอบอํานาจนั้นจะมิใช่ใบมอบ
อํานาจอันแท้จริงก็ดี ให้ศาลมีอํานาจที่จะสั่งให้คู่ความหรือบุคคลที่
เกี่ยวข้องนั้นยื่นใบมอบอํานาจตามที่บัญญัติไว้ต่อไปนี้
48
ถ้าใบมอบอํานาจนั้นได้ทําในราชอาณาจักรสยาม
ต้องให้นายอําเภอเป็นพยาน ถ้าได้ทําในเมืองต่างประเทศที่มีกงสุล
สยาม ต้องให้กงสุลนั้นเป็นพยาน ถ้าได้ทําในเมืองต่างประเทศที่ไม่มี
กงสุลสยาม ต้องให้บุคคลเหล่านี้เป็นพยานคือเจ้าพนักงานโนตารี
ปับลิกหรือแมยิสเตร็ด หรือบุคคลอื่นซึ่งกฎหมายแห่งท้องถิ่นตั้งให้
เป็นผู้มีอํานาจเป็นพยานในเอกสารเช่นว่านี้ และต้องมีใบสําคัญของ
รัฐบาลต่างประเทศที่เกี่ยวข้องแสดงว่าบุคคลที่เป็นพยานนั้นเป็นผู้มี
อํานาจกระทําการได้
บทบั ญญั ติแห่ งมาตรานี้ ให้ ใช้ บั งคั บ แก่ ใบสํ าคั ญ
และเอกสารอื่น ๆ ทํานองเช่นว่ามานี้ ซึ่งคู่ความจะต้องยื่นต่อศาล
รายงานนั้นต้องมีรายการต่อไปนี้
(๑) เลขคดี
(๒) ชื่อคู่ความ
(๔) ข้อความโดยย่อเกี่ยวด้วยเรื่องที่กระทําและ
รายการข้อสําคัญอื่น ๆ
(๕) ลายมือชื่อผู้พิพากษา
เอกสารเช่นว่านั้น
มาตรา ๕๑ ให้เป็นหน้าที่ของศาลที่จะปฏิบัติดังนี้
(๓) รวบรวมรายงานและเอกสารที ่ ส ่ ง ต่ อ
ศาลหรื อ ศาลทํา ขึ้ น กั บ คํา สั่ ง และคํา พิ พ ากษาของศาล ไว้ใ น
สํานวนความเรื่องนั้น แล้วเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย
51
29[๓๕]
มาตรา ๕๑ วรรคสอง เพิ่มโดยพระราชบัญญัติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๘) พ.ศ.
๒๕๕๘
52
เด็ดขาดถึงที่สุดแล้วเรื่องใดได้มีการปฏิบัติตาม หรือบังคับไปแล้ว
หรือระยะเวลาที่กําหนดไว้เพื่อการบังคับนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว ให้
ศาลที่เก็ บสํ านวนนั้ นไว้ จัดส่งสํานวนนั้นไปยังกระทรวงยุติธ รรม
เพื่อเก็บรักษาไว้หรือจัดการตามกฎกระทรวงว่าด้วยการนั้น
ห้ามมิให้คัดสําเนาคําพิพากษาหรือคําสั่ง ก่อนที่ได้
อ่านคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นและก่อนที่ได้ลงทะเบียนในสารบบคํา
พิพากษา
ตรวจหรือขอคัดสําเนา หรือขอสําเนาเสมือนเป็นส่วนหนึ่งแห่งคําสั่ง
หรือคําพิพากษาก็ได้
ลักษณะ ๓
คู่ความ
มาตรา ๕๖ ผู้ไร้ความสามารถหรือผู้ทําการแทน
จะเสนอข้ อ หาต่ อ ศาลหรื อ ดํ า เนิ น กระบวนพิจ ารณาใด ๆ ได้
ต่อ เมื่อ ได้ป ฏิบัติต ามบทบัญ ญัติแ ห่ง ประมวลกฎหมายแพ่ง และ
พาณิช ย์ว ่า ด้ว ยความสามารถและตามบทบั ญ ญั ติ แ ห่ ง ประมวล
กฎหมายนี้ การให้อนุญาตหรือยินยอมตามบทบัญญัติเช่นว่านั้น ให้
ทําเป็นหนังสือยื่นต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสํานวนความ
ถ้าผู้ไร้ความสามารถไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรมหรือ
ผู้ แ ทนโดยชอบธรรมทํ า หน้ า ที่ ไ ม่ ไ ด้ ศาลมี อํ า นาจออกคํ า สั่ ง ให้
อนุญาตหรือให้ความยินยอมตามที่ต้องการ หรือตั้งผู้แทนเฉพาะคดี
นั้นให้แก่ผู้ไร้ความสามารถ ถ้าไม่มีบุคคลอื่นใดให้ศาลมีอํานาจตั้ง
พนักงานอัยการหรือเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองอื่นให้เป็นผู้แทนได้
56
มาตรา ๕๗ บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้า
มาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด
(๑) ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการ
จําเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิ
ของตนที่ มี อ ยู่ โดยยื่ น คํ า ร้ อ งขอต่ อ ศาลที่ ค ดี นั้ น อยู่ ใ นระหว่ า ง
พิจารณา หรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตาม
คําพิพากษาหรือคําสั่ง โดยยื่นคําร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับ
คดีนั้น
(๒) ด้วยความสมัครใจเองเพราะตนมีส่วนได้เสีย
ตามกฎหมายในผลแห่งคดีนั้นโดยยื่นคําร้องขอต่อศาลไม่ว่าเวลาใด
ๆ ก่อนมีคําพิพากษา ขออนุญาตเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจําเลยร่วม
หรื อเข้ าแทนที่ คู่ความฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ งเสี ย ที เดี ย วโดยได้ รั บ ความ
ยินยอมของคู่ความฝ่ายนั้น แต่ว่าแม้ศาลจะได้อนุญาตให้เข้าแทนที่
กันได้ก็ตาม คู่ความฝ่ายนั้นจําต้องผูกพันตนโดยคําพิพากษาของ
ศาลทุกประการเสมือนหนึ่งว่ามิได้มีการเข้าแทนที่กันเลย
ฝ่ายหนึ่งมีคําขอ ในกรณีที่กฎหมายบังคับให้บุคคลภายนอกเข้ามา
ในคดี หรือศาลเห็นจําเป็นที่จะเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีเพื่อ
ประโยชน์แห่งความยุติธรรม แต่ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะเรียก
บุคคลภายนอกเข้ามาในคดีดังกล่าว แล้วให้เรียกด้วยวิธียื่นคําร้อง
เพื่อให้หมายเรียกพร้อมกับคําฟ้องหรือคําให้การ หรือในเวลาใด ๆ
ต่อมาก่อนมีคําพิพากษาโดยได้รับอนุญาตจากศาล เมื่อศาลเป็นที่
พอใจว่าคําร้องนั้นไม่อาจยื่นก่อนนั้นได้
การส่งหมายเรียกบุคคลภายนอกตามอนุมาตรานี้
ต้องมีสําเนาคําขอ หรือคําสั่งของศาล แล้วแต่กรณี และคําฟ้องตั้ง
ต้นคดีนั้นแนบไปด้วย
ฤชาธรรมเนียม
ห้ามมิให้ผู้ร้องสอดที่ได้เป็นคู่ความตามอนุมาตรา
(๒) แห่งมาตราก่อน ใช้สิทธิอย่างอื่นนอกจากสิทธิที่มีอยู่แก่คู่ความ
ฝ่ายซึ่งตนเข้าเป็นโจทก์ร่วมหรือจําเลยร่วมในชั้นพิจารณาเมื่อตนร้อง
สอด และห้ามมิให้ใช้สิทธิเช่นว่านั้นในทางที่ขัดกับสิทธิของโจทก์
หรือจําเลยเดิม และให้ผู้ร้องสอดเสียค่าฤชาธรรมเนียมอันเกิดแต่
การที่ร้องสอด แต่ถ้าศาลได้อนุญาตให้เข้าแทนที่โจทก์หรือจําเลยเดิม
ผู้ร้องสอดจึงมีฐานะเสมอด้วยคู่ความที่ตนเข้าแทน
(๑) เนื่องจากความประมาทเลินเล่อของคู่ความ
นั้น ทําให้ผู้ร้องสอดเข้ามาเป็นคู่ความในคดีช้าเกินสมควรที่จะแสดง
ข้อเถียงอันเป็นสาระสําคัญได้ หรือ
(๒) เมื่อคู่ความนั้นจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่าง
ร้ า ยแรงมิ ไ ด้ ย กขึ้ น ใช้ ซึ่ ง ข้ อ เถี ย งในปั ญ หาข้ อ กฎหมายหรื อ
ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสําคัญซึ่งผู้ร้องสอดมิได้รู้ว่ามีอยู่เช่นนั้น
59
ของตน หรือจะตั้งแต่งทนายความคนเดียวหรือหลายคนให้ว่าความ
และดําเนินกระบวนพิจารณาแทนตนก็ได้
มาตรา ๖๒ ทนายความซึ่งคู่ความได้ตั้งแต่งนั้นมี
อํานาจว่าความและดําเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ แทนคู่ความได้
ตามที่ เ ห็ น สมควรเพื่ อ รั ก ษาผลประโยชน์ ข องคู่ ค วามนั้ น แต่ ถ้ า
กระบวนพิจ ารณาใดเป็ นไปในทางจํ าหน่ายสิ ทธิ ของคู่ ความ เช่ น
การยอมรับตามที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งเรียกร้อง การถอนฟ้อง การ
ประนีประนอมยอมความ การสละสิทธิ หรือใช้สิทธิในการอุทธรณ์
61
กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตาม ตัวความหรือผู้แทนจะ
ปฏิเสธหรือแก้ไขข้อเท็จจริงที่ทนายความของตนได้กล่าวด้วยวาจา
ต่อหน้าตนในศาลในขณะนั้นก็ได้ แม้ถึงว่าตัวความหรือผู้แทนนั้นจะ
มิได้สงวนสิทธิเช่นนั้นไว้ในใบแต่งทนายก็ดี
คดี มี เ หตุ ผ ลพิ เ ศษอั น เกี่ ย วกั บ คู่ ค วามฝ่ า ยใดฝ่ า ยหนึ่ ง หรื อ
ทนายความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดยเฉพาะ คู่ความหรือทนายความอาจ
ตั้งแต่งให้บุคคลใดทําการแทนได้ โดยยื่นใบมอบฉันทะต่อศาลทุก
ครั้ง เพื่อกระทํากิจการอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ คือกําหนดวัน
นั่งพิจารณาหรือวันสืบพยาน หรือวันฟังคําสั่ง คําบังคับ หรือคําชี้
ขาดใด ๆ ของศาล มาฟังคําสั่ง คําบังคับ หรือคําชี้ขาดใด ๆ ของ
ศาลหรือสลักหลังรับรู้ซึ่งข้อความนั้น ๆ รับสําเนาแห่งคําให้การ คํา
ร้องหรือเอกสารอื่น ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๗๑ และ ๗๒ และ
แสดงการรับรู้สิ่งเหล่านั้น
เมื่อศาลมีคําสั่งอนุญาตตามคําขอแล้ว ให้ศาลส่ง
คําสั่งนั้นให้ตัวความทราบโดยเร็วโดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธี
อื่นแทนแล้วแต่จะเห็นสมควร
31[๓๗]
มาตรา ๖๕ แก้ไ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญั ติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๐) พ.ศ.
๒๕๒๗
63
มาตรา ๖๖ ผู้ใดอ้างว่าเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม
ของตัวความหรือเป็นผู้แทนของนิติบุคคล เมื่อศาลเห็นสมควรหรือ
เมื่อคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องยื่นคําขอ โดยทําเป็นคําร้องในขณะที่ยื่น
คําฟ้องหรือคําให้การ ศาลจะทําการสอบสวนถึงอํานาจของผู้นั้นก็
ได้ และถ้ าเป็ น ที่ พ อใจว่ า ผู้ นั้ น ไม่ มีอํ า นาจ หรื อ อํ า นาจของผู้ นั้ น
บกพร่อง ศาลมี อํานาจยกฟ้องคดี นั้นเสีย หรื อมี คําพิ พากษาหรื อ
คําสั่งอย่างอื่นได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ลักษณะ ๔
การยื่นและส่งคําคู่ความและเอกสาร
มาตรา ๖๗ เมื่อประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมาย
อื่น บัญญัติว่า เอกสารใดจะต้ องส่งให้แ ก่คู่ค วามฝ่า ยใดฝ่า ยหนึ ่ง
หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง (เช่น คําคู่ความที่ทําโดยคําฟ้อง คําให้การ
หรือคําร้องหรือคําขอโดยทําเป็นคําร้อง หมายเรียกหรือหมายอื่น ๆ
สําเนาคําแถลงการณ์ หรือสําเนาพยานเอกสาร ฯลฯ) เอกสารนั้น
ต้ อ งทํ า ขึ้ น ให้ ป รากฏข้ อ ความแน่ ชั ด ถึ ง ตั ว บุ ค คลและมี ร ายการ
64
ต่อไปนี้
(๒) ชื่อคู่ความในคดี
ในการยื่นหรือส่งคําคู่ความ หรือเอกสารอื่นใดอัน
จะต้องทําตามแบบพิมพ์ที่จัดไว้ เจ้าพนักงาน คู่ความ หรือบุคคล
ผู้เกี่ยวข้องจะต้องใช้กระดาษแบบพิมพ์นั้น ส่วนราคากระดาษแบบ
พิ ม พ์ นั้ น ให้ เ รี ย กตามที่ รั ฐ มนตรี ว่ า การกระทรวงยุ ติ ธ รรมจะได้
กําหนดไว้
เพื่อประโยชน์แห่งประมวลกฎหมายนี้ ให้เรียกนิติ
บุคคลตามชื่อหรือตามชื่อที่จดทะเบียนและภูมิลําเนาหรือสํานักทํา
การงานของนิ ติบุคคลนั้น ให้ ถือเอาสํานักงานหรือสํานักงานแห่ ง
65
ใหญ่ซึ่งอยู่ภายในเขตศาลที่จะยื่นฟ้องคดีหรือที่คดีนั้นอยู่ในระหว่าง
พิจารณา32[๓๘]
34[๔๐]
มาตรา ๗๐ แก้ไ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญั ติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ.
๒๕๖๐
67
มาตรา ๗๒ คําร้องและคําแถลงการณ์ซึ่งได้ยื่นต่อ
ศาลภายในเวลาที่กฎหมายหรือศาลกํา หนดไว้ หรือ โดยข้อตกลง
ของคู่ความตามที่ศาลจดลงไว้ในรายงานนั้น ให้ผู้ยื่น คําร้องหรือ
คํ า แถลงการณ์นํ า ต้ น ฉบั บ ยื่ นไว้ ต่อ ศาลพร้ อมด้ ว ยสํ า เนาเพื่ อให้
คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องมารับไป
โดยทางเจ้าพนักงานศาล
68
(๒) โดยคู่ความฝ่ายที่ต้องส่งนั้นนําสําเนายื่นไว้ต่อ
ศาลพร้อมกับต้นฉบับ แล้วขอให้เจ้าพนักงานศาลเป็นผู้นําส่งให้แก่
คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในกรณี
เช่นนี้ ผู้ขอต้องไปกับเจ้าพนักงานศาลและเสียค่าธรรมเนียมในการ
ส่งนั้นด้วย
69
อนุโลม
มาตรา ๗๔ การส่งคําคู่ความหรือเอกสารอื่นใด
โดยเจ้าพนักงานศาลนั้นให้ปฏิบัติ ดังนี้
(๑) ให้ส่งในเวลากลางวันระหว่างพระอาทิตย์ขึ้น
และพระอาทิตย์ตก และ
มาตรา ๗๕ การส่งคําคู่ความหรือเอกสารอื่นใด
ให้ แ ก่ ท นายความที่ คู่ ค วามตั้ ง แต่ ง ให้ ว่ า คดี หรื อ ให้ แ ก่ บุ ค คลที่
ทนายความเช่นว่านั้นได้ตั้งแต่ง เพื่อกระทํากิจการอย่างใด ๆ ที่ระบุ
ไว้ในมาตรา ๖๔ นั้น ให้ถือว่าเป็นการส่งโดยชอบด้วยกฎหมาย
ใด ๆ ที่มีอายุเกินยี่สิบปี ซึ่งอยู่หรือทํางานในบ้านเรือนหรือที่สํานัก
ทําการงานที่ปรากฏว่าเป็นของคู่ความหรือบุคคลนั้น หรือได้ส่งคํา
คู่ความหรือเอกสารนั้นตามข้อความในคําสั่งของศาลให้ถือว่าเป็น
การเพียงพอที่จะฟังว่าได้มีการส่งคําคู่ความหรือเอกสารถูกต้องตาม
กฎหมายแล้ว
ในกรณีเช่นว่ามานี้ การส่งคําคู่ความหรือเอกสาร
แก่คู่ความฝ่ายใด ห้ามมิให้ส่งแก่คู่ความฝ่ายปรปักษ์เป็นผู้รับไว้แทน
มาตรา ๗๗ การส่งคําคู่ความหรือเอกสารอื่นใด
โดยเจ้าพนักงานศาลไปยังที่อื่นนอกจากภูมิลําเนา หรือสํานักทําการ
งานของคู่ความหรือของบุคคลซึ่งระบุไว้ในคําคู่ความ หรือเอกสาร
นั้น ให้ถือว่าเป็นการถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อ
(๑) คู่ความหรือบุคคลนั้นยอมรับคําคู่ความหรือ
เอกสารนั้นไว้ หรือ
(๒) การส่งคําคู่ความหรือเอกสารนั้นได้กระทําใน
ศาล
มาตรา ๗๘ ถ้าคู่ความหรือบุคคลที่ระบุไว้ในคํา
คู่ความหรือเอกสารปฏิเสธไม่ยอมรับคําคู่ความหรือเอกสารนั้นจาก
72
เจ้าพนักงานศาลโดยปราศจากเหตุอันชอบด้วยกฎหมาย เจ้าพนักงาน
นั้นชอบที่จะขอให้พนักงานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่มีอํานาจหรือ
เจ้าพนักงานตํารวจไปด้วยเพื่อเป็นพยาน และถ้าคู่ความหรือบุคคล
นั้นยังคงปฏิเสธไม่ยอมรับอยู่อีก ก็ให้วางคําคู่ความหรือเอกสารไว้
ณ ที่นั้น เมื่อได้ทําดังนี้แล้วให้ถือว่าการส่งคําคู่ความหรือเอกสารนั้น
เป็นการถูกต้องตามกฎหมาย
การส่งคําคู่ความหรือเอกสารโดยวิธีอื่น แทนนั้น
ให้มีผลใช้ได้ต่อเมื่อกําหนดเวลาสิบห้าวันหรือระยะเวลานานกว่า
นั้นตามที่ศาลเห็นสมควรกําหนด ได้ล่วงพ้นไปแล้วนับตั้งแต่เวลา
ที่คําคู่ความหรือเอกสารหรือประกาศแสดงการมอบหมายนั้นได้ปิด
ไว้ หรือการโฆษณาหรือวิธีอื่นใดตามที่ศาลสั่งนั้นได้ทําหรือได้ตั้งต้น
แล้ว
มาตรา ๘๐ การส่งคําคู่ความหรือเอกสารโดยเจ้า
พนักงานศาลหรือทางเจ้าพนักงานศาลนั้น ให้เจ้าพนักงานศาลส่งใบ
รับ ลงลายมือชื่อคู่ ความ หรื อผู้ รั บคํ าคู่ ความหรือเอกสาร หรือส่ ง
รายงานการส่งคําคู่ความหรือเอกสารลงลายมือชื่อเจ้าพนักงานศาล
ต่อศาล แล้วแต่กรณี เพื่อรวมไว้ในสํานวนความ
ใบรับนั้นจะทําโดยวิธีจดลงไว้ที่ต้นฉบับซึ่งยื่นต่อ
ศาลก็ได้
74
มาตรา ๘๑ การส่งหมายเรียกพยานโดยคู่ความที่
เกี่ยวข้องนั้นให้ปฏิบัติดังนี้
(๑) ให้ส่งในเวลากลางวันระหว่างพระอาทิตย์ขึ้น
และพระอาทิตย์ตก และ
มาตรา ๘๒ ถ้าจะต้องส่งคําคู่ความหรือเอกสาร
อื่นใดไปยังคู่ความหรือบุคคลหลายคน ให้ส่งสําเนาคําคู่ความหรือ
เอกสารที่จะต้องส่งไปให้ทุก ๆ คน ในกรณีที่ต้องส่งคําคู่ความหรือ
เอกสารโดยเจ้าพนักงานศาลหรือทางเจ้าพนักงานศาลนั้นให้คู่ความ
ฝ่ายซึ่งมีหน้าที่จัดการนําส่ง มอบสําเนาคําคู่ความหรือเอกสารต่อ
พนักงานเจ้าหน้าที่ให้พอกับจํานวนคู่ความหรือบุคคลที่จะต้องส่งให้
นั้น
มาตรา ๘๓ ถ้ าคู่ความฝ่ายใดจะต้องยื่นต่อศาล
หรือจะต้องส่งให้แก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือบุคคลภายนอกซึ่ง
75
คําคู่ความหรือเอกสารอื่นใด ภายในเวลาหรือก่อนเวลาที่กฎหมาย
หรือศาลได้กําหนดไว้ และการส่งเช่นว่านี้จะต้องกระทําโดยทางเจ้า
พนักงานศาล ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายนั้นได้ปฏิบัติตามความมุ่งหมาย
ของกฎหมายหรือของศาลแล้ว เมื่อคู่ความฝ่ายนั้นได้ส่งคําคู่ความ
หรือเอกสารเช่นว่านั้นแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลเพื่อให้ยื่นหรือ
ให้ ส่ งในเวลาหรื อก่ อ นเวลาที่ กําหนดนั้ น แล้ ว แม้ ถึงว่ าการรั บ คํ า
คู่ความหรือเอกสารหรือการขอให้ส่งคําคู่ความหรือเอกสาร หรือ
การส่ ง คํ า คู่ ค วามหรื อ เอกสารให้ แ ก่ คู่ ค วามอี ก ฝ่ า ยหนึ่ ง หรื อ
บุคคลภายนอกนั้นจะได้เป็นไปภายหลังเวลาที่กําหนดนั้นก็ดี
ถ้ า ประมวลกฎหมายนี้ บั ญ ญั ติ ไ ว้ ว่ า การส่ ง คํ า
คู่ ค วามหรื อ เอกสารอื่ น ใด จะต้ อ งให้ คู่ ค วามอี ก ฝ่ า ยหนึ่ ง หรื อ
บุคคลภายนอกทราบล่ วงหน้าตามระยะเวลาที่กําหนดไว้ ก่อนวั น
เริ่มต้นนั่งพิจารณาหรือสืบพยาน ให้ถือว่าคู่ความฝ่ายที่ต้องรับผิดใน
การส่งนั้นได้ปฏิบัติตามความมุ่งหมายของกฎหมายหรือของศาล
ตามที่บัญญัติไว้ในวรรคก่อนนั้นได้ต่อเมื่อคู่ความฝ่ายนั้นได้ยื่นคํา
คู่ความหรือเอกสารที่จะต้องส่งให้แก่พนักงานเจ้าหน้าที่ของศาลไม่
ต่ํากว่าสามวันก่อนวันเริ่มต้นแห่งระยะเวลาที่กําหนดล่วงหน้าไว้นั้น
ในกรณีที่คู่ความอาจส่งคําคู่ความหรือเอกสารโดย
วิธีส่งสําเนาตรงไปยังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกได้นั้น
บทบัญญัติแห่งมาตรานี้มิได้ห้ามคู่ความที่มีหน้าที่ต้องส่งคําคู่ความ
หรือเอกสารดังกล่าวแล้วในอันที่จะใช้วิธีเช่นว่านี้ แต่คู่ความฝ่าย
นั้นจะต้องส่งใบรับของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกต่อ
ศาลในเวลาหรือก่อนเวลาที่กฎหมายหรือศาลได้กําหนดไว้
76
เพื่อให้ศาลจัดส่งหมายเรียกและคําฟ้องตั้งต้นคดีแก่จําเลย ในกรณี
เช่นว่านี้ ถ้าไม่มีข้อตกลงระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี
กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น ให้โจทก์ทําคําแปลหมายเรียก คําฟ้องตั้งต้น
คดีและเอกสารอื่นใดที่จะส่งไปยังประเทศที่จําเลยมีภูมิลําเนาหรือ
สํานักทําการงานอยู่ เป็น ภาษาราชการของประเทศนั้น หรื อเป็ น
ภาษาอังกฤษ พร้อมทั้งคํารับรองคําแปลว่าถูกต้องยื่นต่อศาลพร้อม
กับคําร้องดังกล่าว และวางเงินค่าใช้จ่ายไว้ต่อศาลตามจํานวนและ
ภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด
ในกรณีที่ศาลเห็นสมควร ศาลจะมีคําสั่งให้โจทก์
จัดทําเอกสารอื่นเพิ่มเติมยื่นต่อศาลภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด
ก็ได้
การส่งคําคู่ความหรือเอกสารอื่นตามมาตรา ๘๓
ตรี แก่ ผู้ รั บ หรื อตั ว แทนหรื อทนายความ ให้ มีผ ลใช้ ได้ ต่อเมื่ อพ้ น
กําหนดเวลาสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้มีการส่งโดยชอบด้วยกฎหมาย
หรือบุคคลภายนอก ณ ภูมิลําเนาหรือสํานักทําการงานของบุคคล
ดังกล่าวนอกราชอาณาจักรถ้าโจทก์ยื่นคําขอฝ่ายเดียวโดยทําเป็น
คําร้องและสามารถแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า การส่งตาม
มาตรา ๘๓ สัต ต ไม่อ าจกระทํา ได้เ พราะเหตุที่ภูมิลํา เนาและ
สํานักทําการงานของบุคคลดังกล่าวไม่ปรากฏหรือเพราะเหตุอื่น
ใด หรือเมื่อ ศาลได้ดํา เนิน การตามมาตรา ๘๓ สัต ต แล้ว แต่ไ ม่
อาจทราบผลการส่งได้ถ้าศาลเห็นสมควร ก็ให้ศาลอนุญาตให้ส่ง
โดยวิธีปิดประกาศไว้ที่ศาลแทน ในกรณีเช่นว่านี้ ศาลจะสั่งให้ส่ง
โดยวิธ ีป ระกาศโฆษณาในหนัง สือ พิม พ์ห รือ โดยวิธ ีอื่น ใดด้ว ยก็
ได้44[๕๐]
ลักษณะ ๕
พยานหลักฐาน
หมวด ๑
หลักทั่วไป
(๑) ข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป
(๓) ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วใน
ศาล
มาตรา ๘๖ เมื่อศาลเห็นว่าพยานหลักฐานใดเป็น
พยานหลักฐานที่รับฟังไม่ได้ก็ดีหรือเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้
แต่ได้ยื่นฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ให้ศาลปฏิเสธ
ไม่รับพยานหลักฐานนั้นไว้
เมื่อศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
เป็นการจําเป็นที่จะต้องนําพยานหลักฐานอื่นอันเกี่ยวกับประเด็นใน
คดีมาสืบ เพิ่ มเติ ม ให้ศาลทํ าการสื บพยานหลักฐานต่อไป ซึ่งอาจ
รวมทั้ งการที่จ ะเรี ยกพยานที่สืบ แล้วมาสืบใหม่ ด้วย โดยไม่ ต้องมี
ฝ่ายใดร้องขอ
มาตรา ๘๗ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานใด
เว้นแต่
(๑) พยานหลักฐานนั้นเกี่ยวถึงข้อเท็จจริงที่คู่ความ
ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดในคดีจะต้องนําสืบ และ
อํานาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้
47[๕๓]
มาตรา ๘๘ แก้ไ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญั ติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ.
๒๕๓๘
เมื่อระยะเวลาที่กําหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตาม
วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง แล้วแต่กรณี ได้สิ้นสุดลงแล้ว ถ้าคู่ความ
ฝ่ายใดซึ่งได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้ว มีเหตุอันสมควรแสดงได้ว่า
ตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนําพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อ
ประโยชน์ของตน หรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่
หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด หรือถ้าคู่ความฝ่ายใดซึ่งมิได้ยื่นบัญชีระบุ
พยานแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า มีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถ
ยื่นบัญชีระบุพยานตามกําหนดเวลาดังกล่าวได้ คู่ความฝ่ายนั้นอาจ
ยื่นคําร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นต่อศาลพร้อมกับ
บัญชีระบุพยานและสําเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวไม่ว่าเวลาใด ๆ
ก่อนพิ พากษาคดี และถ้าศาลเห็นว่ า เพื่ อให้ การวินิจฉั ยชี้ขาดข้ อ
สํ า คั ญ แห่ ง ประเด็ น เป็ น ไปโดยเที่ ย งธรรม จํ า เป็ น จะต้ อ งสื บ
พยานหลักฐานเช่นว่านั้น ก็ให้ศาลอนุญาตตามคําร้อง
สืบพยานหลักฐานของตนเพื่อพิสูจน์ต่อพยานของคู่ความฝ่ายอื่นใน
กรณีต่อไปนี้
(๑) หักล้างหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขถ้อยคําพยาน
ในข้อความทั้งหลายซึ่งพยานเช่นว่านั้นเป็นผู้รู้เห็นหรือ
(๒) พิสูจน์ข้อความอย่างหนึ่งอย่างใดอันเกี่ยวด้วย
การกระทํา ถ้อยคํา เอกสาร หรือพยานหลักฐานอื่นใดซึ่งพยานเช่น
ว่านั้นได้กระทําขึ้น
อีกฝ่ายหนึ่งจะขอให้เรียกพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องมาสืบอีกก็ได้
หรือเมื่อศาลเห็นสมควรจะเรียกมาสืบเองก็ได้
ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดยื่นคําแถลงหรือคําร้องขอ
อนุญาตอ้างอิงเอกสารเป็นพยานหลักฐานตามมาตรา ๘๘ วรรคสอง
หรื อ วรรคสาม ให้ ยื่ น ต่ อ ศาลและส่ ง ให้ คู่ ค วามฝ่ า ยอื่ น ซึ่ ง สํ า เนา
เอกสารนั้นพร้อมกับการยื่นคําแถลงหรือคําร้องดังกล่าว เว้นแต่ศาล
จะอนุญาตให้ยื่นสําเนาเอกสารภายหลังเมื่อมีเหตุอันสมควร
50[๕๖]
มาตรา ๙๐ แก้ไ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญั ติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ.
๒๕๓๘
89
(๑) หนังสือราชการหรือข้อความอันเกี่ยวกับงาน
ของแผ่นดินซึ่งโดยสภาพจะต้องรักษาเป็นความลับไว้ชั่วคราวหรือ
ตลอดไป และคู่ความหรือบุคคลนั้นเป็นผู้รักษาไว้ หรือได้ทราบมา
โดยตําแหน่งราชการ หรือในหน้าที่ราชการ หรือกึ่งราชการอื่นใด
เมื่อคู่ความหรือบุคคลใดปฏิเสธไม่ยอมเบิกความ
91
หรือนําพยานหลักฐานมาแสดงดังกล่าวมาแล้ว ให้ศาลมีอํานาจที่จะ
หมายเรียกพนักงานเจ้าหน้าที่หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องให้มาศาลและ
ให้ชี้แจงข้อความตามที่ศาลต้องการเพื่อวินิจฉัยว่า การปฏิเสธนั้นชอบ
ด้วยเหตุผลหรือไม่ ถ้าศาลเห็นว่ า การปฏิเสธนั้นไม่มีเหตุผลฟังได้
ศาลมี อํ า นาจออกคํ า สั่ ง มิ ใ ห้ คู่ ค วามหรื อ บุ ค คลเช่ น ว่ า นั้ น ยก
ประโยชน์ แ ห่ ง มาตรานี้ ขึ้ น ใช้ และบั ง คั บ ให้ เ บิ ก ความหรื อ นํ า
พยานหลักฐานนั้นมาแสดงได้
ที่จะต้องสืบสําเนาเอกสารหรือพยานบุคคลแทนต้นฉบับเอกสารที่
นํามาไม่ได้นั้น ศาลจะอนุญาตให้นําสําเนาหรือพยานบุคคลมาสืบก็
ได้
(๓) ต้นฉบับเอกสารที่อยู่ในความอารักขาหรือใน
ความควบคุ มของทางราชการนั้ น จะนํ า มาแสดงได้ ต่ อ เมื่ อ ได้ รั บ
อนุญาตจากทางราชการที่เกี่ยวข้องเสียก่อน อนึ่ง สําเนาเอกสารซึ่ง
ผู้มีอํานาจหน้าที่ได้รับรองว่าถูกต้องแล้ว ให้ถือว่าเป็นอันเพียงพอใน
การที่จะนํามาแสดง เว้นแต่ศาลจะได้กําหนดเป็นอย่างอื่น
(๔) เมื่อคู่ความฝ่ายที่ถูกคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างอิง
เอกสารมาเป็นพยานหลักฐานยันตนมิได้คัดค้านการนําเอกสารนั้น
มาสืบตามมาตรา ๑๒๕ ให้ศาลรับฟังสําเนาเอกสารเช่นว่านั้นเป็น
พยานหลักฐานได้ แต่ทั้งนี้ไม่ตัดอํานาจศาลตามมาตรา ๑๒๕ วรรค
สาม
ถ้าศาลไม่ยอมรับไว้ซึ่งคําเบิกความของบุคคลใด
เพราะเห็นว่าบุคคลนั้นจะเป็นพยานหรือให้การดังกล่าวข้างต้นไม่ได้
94
และคู่ความฝ่ายที่เกี่ยวข้องร้องคัดค้านก่อนที่ศาลจะดําเนินคดีต่อไป
ให้ศาลจดรายงานระบุนามพยาน เหตุผลที่ไม่ยอมรับและข้อคัดค้าน
ของคู่ ความฝ่ า ยที่ เกี่ ย วข้ องไว้ ส่ ว นเหตุ ผ ลที่ คู่ ค วามฝ่ า ยคั ด ค้ า น
ยกขึ้นอ้างนั้น ให้ศาลใช้ดุลพินิจจดลงไว้ในรายงานหรือกําหนดให้
คู่ความฝ่ายนั้นยื่นคําแถลงต่อศาลเพื่อรวมไว้ในสํานวน
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า เว้นแต่
(๒) มีเหตุจําเป็นเนื่องจากไม่สามารถนําบุคคลซึ่ง
เป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การ
ในกรณีที่ศาลเห็นว่าไม่ควรรับไว้ซึ่งพยานบอกเล่าใด
ให้นําความในมาตรา ๙๕ วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๙๘ คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะอ้างบุคคล
ใดเป็นพยานของตนก็ได้เมื่อบุคคลนั้นเป็นผู้มีความรู้เชี่ยวชาญใน
ศิ ล ป วิ ท ยาศาสตร์ การฝี มื อ การค้ า หรื อ การงานที่ ทํ า หรื อ ใน
กฎหมายต่ า งประเทศ และซึ่ ง ความเห็ น ของพยานอาจเป็ น
ประโยชน์ในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อความในประเด็น ทั้งนี้ ไม่ว่าพยาน
จะเป็นผู้มีอาชีพในการนั้นหรือไม่
96
บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ไม่ตัดสิทธิของคู่ความใน
อันที่จะเรียกบุคคลผู้มีความรู้เชี่ยวชาญมาเป็นพยานฝ่ายตนได้
ถ้าคู่ความฝ่ายอื่นได้รับคําบอกกล่าวโดยชอบแล้ว
เมื่อคู่ความฝ่ายที่ส่งคําบอกกล่าวร้องขอต่อศาลในวันสืบพยาน ให้
ศาลสอบถามคู่ความฝ่ายอื่นว่าจะยอมรับข้อเท็จจริงตามที่ได้รับคํา
บอกกล่าวนั้นว่าถูกต้องหรือไม่ แล้วให้ศาลจดคําตอบไว้ในรายงาน
กระบวนพิ จ ารณา ถ้ า คู่ ค วามฝ่ า ยนั้ น ไม่ ต อบคํ า ถามเกี่ ย วกั บ
ข้อเท็จจริงใด หรือปฏิเสธข้อเท็จจริงใดโดยไม่มีเหตุแห่งการปฏิเสธ
โดยชัดแจ้ง ให้ถือว่ายอมรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว เว้นแต่ศาลจะเห็นว่า
คู่ความฝ่ายนั้นไม่อยู่ในวิสัยที่จะตอบหรือแสดงเหตุแห่งการปฏิเสธ
โดยชัดแจ้งในขณะนั้น ศาลจะมีคําสั่งให้คู่ความฝ่ายนั้นทําคําแถลง
เกี่ ย วกั บ ข้ อ เท็ จ จริ ง นั้ น มายื่ น ต่ อ ศาลภายในระยะเวลาที่ ศ าล
เห็นสมควรก็ได้
ซึ่งตนอาจต้องอ้างอิงในภายหน้าจะสูญหายหรือยากแก่การนํามา
หรือถ้าคู่ความฝ่ ายใดในคดี เกรงว่ าพยานหลักฐานซึ่ งตนจํ านงจะ
อ้างอิงจะสูญหายเสียก่อนที่จะนํามาสืบ หรือเป็นการยากที่จะนํามา
สืบในภายหลังบุคคลนั้นหรือคู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคําขอต่อศาลโดย
ทําเป็นคําร้องขอหรือคําร้องให้ศาลมีคําสั่งให้สืบพยานหลักฐานนั้น
ไว้ทันที
เมื่อศาลได้รับคําขอเช่นว่านั้น ให้ศาลหมายเรียกผู้
ขอและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกที่เกี่ยวข้องมายังศาล
และเมื่อได้ฟังบุคคลเหล่านั้นแล้ว ให้ศาลสั่งคําขอตามที่เห็นสมควร
ถ้าศาลสั่งอนุญาตตามคําขอแล้ว ให้สืบพยานไปตามที่บัญญัติไว้ใน
ประมวลกฎหมายนี้ ส่วนรายงานและเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ
การนั้นให้ศาลเก็บรักษาไว้
ในกรณีที่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกที่
เกี่ยวข้องไม่มีภูมิลําเนาอยู่ในราชอาณาจักรและยังมิได้เข้ามาในคดี
นั้น เมื่อศาลได้รับคําขอตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลสั่งคําขอนั้นอย่างคํา
ขออันอาจทําได้แต่ฝ่ายเดียว ถ้าศาลสั่งอนุ ญาตตามคําขอแล้วให้
สืบพยานไปฝ่ายเดียว55[๖๑]
55[๖ ๑ ]
ม า ต ร า ๑ ๐ ๑ ว ร ร ค ส า ม เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๒) พ.ศ. ๒๕๓๔
99
คําร้องตามวรรคหนึ่งต้องบรรยายถึงข้อเท็จจริงที่
แสดงว่ามีเหตุฉุกเฉินซึ่งจําเป็นต้องสืบพยานหลักฐานใดโดยเร่งด่วน
และไม่ ส ามารถแจ้งให้คู่ความฝ่ ายอื่ นทราบก่ อนได้ รวมทั้ งความ
เสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการที่มิได้มีการสืบพยานหลักฐานดังกล่าว
ส่วนในกรณีที่จะขอให้ศาลมีคําสั่งให้ยึดหรือให้ส่งต่อศาลซึ่งเอกสาร
หรื อ วั ต ถุ ที่ จ ะใช้ เ ป็ น พยานหลั ก ฐาน คํ า ร้ อ งนั้ น ต้ อ งบรรยายถึ ง
ข้อเท็จจริงที่แสดงถึงความจําเป็นที่จะต้องยึดหรือให้ส่งเอกสารหรือ
วัตถุนั้นว่ามีอยู่อย่างไร ในการนี้ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคําร้องนั้น
เว้นแต่จะเป็นที่พอใจของศาลจากการไต่สวนว่ามีเหตุฉุกเฉินและมี
ความจําเป็นตามคําร้องนั้นจริง แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิคู่ความฝ่ายอื่นที่
จะขอให้ศาลออกหมายเรีย กพยานดังกล่ าวมาศาล เพื่ อถามค้าน
และดํ า เนิ น การตามมาตรา ๑๑๗ ในภายหลั ง หากไม่ อ าจ
ดําเนินการดังกล่าวได้ ศาลต้องใช้ความระมัดระวังในการชั่งน้ําหนัก
พยานหลักฐาน
พยานหลักฐานเสร็จแล้ว ให้เป็นหน้าที่ของศาลที่รับแต่งตั้งจะต้อง
ส่งรายงานที่จําเป็นและเอกสารอื่น ๆ ทั้งหมดอันเกี่ยวข้องในการ
สืบพยานหลักฐานไปยังศาลที่พิจารณาคดี
ให้เจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่งเป็น
เจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาและให้นําความในมาตรา
๑๐๓ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มา ต ร า ๑ ๐ ๓ / ๓ 60[ ๖ ๖ ] เ พื่ อ ใ ห้ ก า ร สื บ
พยานหลักฐานเป็นไปโดยสะดวก รวดเร็ว และเที่ยงธรรมประธาน
ศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกามีอํานาจ
ออกข้ อ กํ า หนดใด ๆ เพิ่ ม เติ ม เกี่ ย วกั บ แนวทางการนํ า สื บ
59[๖๕] มาตรา ๑๐๓/๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๓) พ.ศ. ๒๕๕๐
พยานหลักฐานได้ แต่ต้องไม่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติในกฎหมาย
ในการวินิจฉัยว่าพยานบอกเล่าตามมาตรา ๙๕/
๑ หรือบันทึกถ้อยคําที่ผู้ให้ถ้อยคํามิได้มาศาลตามมาตรา ๑๒๐/๑
วรรคสามและวรรคสี่ หรือบันทึกถ้อยคําตามมาตรา ๑๒๐/๒ จะมี
น้ําหนักให้เชื่อได้หรือไม่เพียงใดนั้น ศาลจะต้องกระทําด้วยความ
ระมัดระวั งโดยคํานึ งถึ งสภาพ ลั กษณะและแหล่ งที่ มาของพยาน
บอกเล่าหรือบันทึกถ้อยคํานั้นด้วย61[๖๗]
กระทํ า ให้คู ่ค วามอีก ฝ่า ยหนึ ่ง ต้อ งเสีย ค่า ฤชาธรรมเนีย ม หรือ
ค่าธรรมเนียมเกินกว่าที่ควรเสีย ค่าฤชาธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นนั้น ให้
ถือว่าเป็นค่าฤชาธรรมเนียมอันไม่จําเป็นตามความหมายแห่งมาตรา
๑๖๖ และให้คู่ความฝ่ายที่ก่อให้เกิดขึ้นนั้นเป็นผู้ออกใช้ให้
หมวด ๒
ว่าด้วยการมาศาลของพยานและการซักถามพยาน
หมายเรียกพยานต้องมีข้อความดังนี้
(๒) สถานที่และวันเวลาซึ่งพยานจะต้องไป
ถ้าศาลเห็นว่าพยานจะไม่สามารถเบิกความได้โดย
มิได้ตระเตรียม ศาลจะจดแจ้งข้อเท็จจริงซึ่งพยานอาจถูกซักถามลง
ไว้ในหมายเรียกด้วยก็ได้
กรณีใด ๆ
(๑) แต่ศาลเห็นว่าข้ออ้างว่าพยานไม่สามารถมา
ศาลนั้นเป็นเพราะเหตุเจ็บป่วยของพยาน หรือพยานมีข้อแก้ตัวอัน
จําเป็นอย่างอื่นที่ฟังได้ ศาลจะเลื่อนการนั่งพิจารณาคดีไปเพื่อให้
พยานมาศาลหรือเพื่อสืบพยานนั้น ณ สถานที่และเวลาอันควรแก่
พฤติการณ์ก็ได้ หรือ
ต้องสาบานตนตามลัทธิศาสนาหรือจารีตประเพณีแห่งชาติของตน
หรือกล่าวคําปฏิญาณว่าจะให้การตามความสัตย์จริงเสียก่อน เว้น
แต่
(๓) พระภิกษุและสามเณรในพุทธศาสนา
(๔) บุคคลซึ่งคู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าไม่ต้อง
ให้สาบานหรือกล่าวคําปฏิญาณ
แต่ถ้าพยานคนใดเบิกความโดยได้ฟังคําพยานคน
ก่อนเบิกความต่อหน้าตนมาแล้ว และคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าศาล
ไม่ควรฟังคําเบิกความเช่นว่านี้ เพราะเป็นการผิดระเบียบถ้าศาล
เห็นว่าคําเบิกความเช่นว่านี้เป็นที่เชื่อฟังได้ หรือมิได้เปลี่ยนแปลงไป
โดยได้ฟังคําเบิกความของพยานคนก่อน หรือไม่สามารถทําให้คํา
วิ นิ จ ฉั ย ชี้ ขาดของศาลเปลี่ ย นแปลงไปได้ ศาลจะไม่ ฟังว่ า คํ าเบิ ก
ความเช่นว่านี้เป็นผิดระเบียบก็ได้
แล้วศาลอาจปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้
เมื่อได้ถามค้านพยานเสร็จแล้ว คู่ความฝ่ายที่อ้าง
พยานชอบที่จะถามติงได้
เมื่อได้ถามติงพยานเสร็จแล้ว ห้ามมิให้คู่ความฝ่าย
ใดซักถามพยานอีก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล ถ้าคู่ความฝ่าย
ใดได้รับอนุญาตให้ถามพยานได้ดังกล่าวนี้ คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งย่อม
ถามค้านพยานได้อีกในข้อที่เกี่ยวกับคําถามนั้น
คู่ความที่ระบุพยานคนใดไว้ จะไม่ติดใจสืบพยาน
คนนั้นก็ได้ ในเมื่อพยานคนนั้นยังมิได้เบิกความตามข้อถามของศาล
หรือของคู่ความฝ่ายที่อ้าง แต่ถ้าพยานได้เริ่มเบิกความแล้วพยาน
อาจถูกถามค้านหรือถามติงได้
คําถามนํา เว้นแต่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยินยอมหรือได้รับอนุญาตจาก
ศาล
ในการที่คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานจะถามติงพยาน
ห้ามมิให้คู่ความฝ่ายนั้นใช้คําถามอื่นใดนอกจากคําถามที่เกี่ยวกับคํา
พยานเบิกความตอบคําถามค้าน
(๑) คําถามอันไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี
ถ้าพยานสองคนหรือกว่านั้นเบิกความขัดกัน ใน
ข้อสําคัญแห่งประเด็น เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายใด
ฝ่ายหนึ่งมีคําขอ ให้ศาลมีอํานาจเรียกพยานเหล่านั้นมาสอบถาม
ปากคําพร้อมกันได้
คู่ความที่ประสงค์จะเสนอบันทึกถ้อยคําแทนการ
ซักถามพยานดังกล่าวตามวรรคหนึ่ง จะต้องยื่นคําร้องแสดงความ
จํานงพร้อมเหตุผลต่อศาลก่อนวันชี้สองสถาน หรือก่อนวันสืบพยาน
ในกรณี ที่ ไ ม่ มี ก ารชี้ ส องสถาน และให้ ศ าลพิ จ ารณากํ า หนด
ระยะเวลาที่คู่ความจะต้องยื่นบันทึกถ้อยคําดังกล่าวต่อศาลและส่ง
สําเนาบันทึกถ้อยคํานั้นให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งทราบล่วงหน้าไม่น้อย
กว่าเจ็ดวันก่อนวันสืบพยานคนนั้น เมื่อมีการยื่นบันทึกถ้อยคําต่อ
ศาลแล้วคู่ความที่ยื่นไม่อาจขอถอนบันทึกถ้อยคํานั้น บันทึกถ้อยคํา
นั้นเมื่อพยานเบิกความรับรองแล้วให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของคําเบิก
ความตอบคําซักถาม
ให้ผู้ให้ถ้อยคํามาศาลเพื่อเบิกความตอบคําซักถาม
เพิ่มเติม ตอบคําถามค้าน และคําถามติงของคู่ความหากผู้ให้ถ้อยคํา
ไม่ ม าศาล ให้ ศ าลปฏิ เ สธที่ จ ะรั บ ฟั ง บั น ทึ ก ถ้ อ ยคํ า ของผู้ นั้ น เป็ น
พยานหลั กฐานในคดี แต่ ถ้าศาลเห็น ว่าเป็ นกรณี จําเป็ นหรือมีเหตุ
สุดวิสัยที่ผู้ให้ถ้อยคําไม่สามารถมาศาลได้ และเพื่อประโยชน์แห่ง
ความยุติธรรม จะรับฟังบันทึกถ้อยคําที่ผู้ให้ถ้อยคํามิได้มาศาลนั้น
ประกอบพยานหลักฐานอื่นก็ได้
ในกรณีที่คู่ความตกลงกันให้ผู้ให้ถ้อยคําไม่ต้องมา
ศาล หรือคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งยินยอมหรือไม่ติดใจถามค้าน ให้ศาล
รับฟังบันทึกถ้อยคําดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีได้
สําหรับลายมือชื่อของผู้ให้ถ้อยคําให้นํามาตรา ๔๗
วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๑) ชื่อศาลและเลขคดี
(๓) ชื่อและสกุลของคู่ความ
(๖) ลายมือชื่อของผู้ให้ถ้อยคําและคู่ความฝ่ายผู้
เสนอบันทึกถ้อยคํา
ห้ามมิให้แก้ไขเพิ่มเติมบันทึกถ้อยคําที่ได้ยื่นไว้แล้ว
ต่อศาล เว้นแต่เป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดหรือผิดหลงเล็กน้อย
ความในวรรคหนึ่งไม่ใช้บังคับกับกรณีที่มีการใช้
หมวด ๓
การนําพยานเอกสารมาสืบ
(๑) ถ้าไม่สามารถจะนํามาหรือยื่นต้นฉบับเอกสาร
ดังกล่าวข้างต้น คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคําขอโดยทําเป็นคําร้องต่อ
ศาลในวันหรือก่อนวันที่กําหนดให้นํามาหรือให้ยื่นต้นฉบับเอกสาร
นั้น แถลงให้ทราบถึงความไม่สามารถที่จะปฏิบัติตามได้พร้อมทั้ง
เหตุผ ล ถ้า ศาลเห็น ว่า ผู ้ยื่น คํ า ขอไม่ส ามารถที่ จ ะนํ ามาหรื อยื่ น
ต้นฉบับเอกสารได้ ศาลจะมีคําสั่งอนุญาตให้นําต้นฉบับเอกสารมา
ในวั น ต่อ ไป หรือ จะสั ่ง เป็น อย่า งอื ่น ตามที ่เ ห็น สมควรเพื ่อ
ประโยชน์แ ห่ง ความยุติธ รรมก็ไ ด้ ในกรณีที ่ผู ้ยื่น คํ า ขอมี ค วาม
ประสงค์ เพี ย งให้ ศาลขยายระยะเวลาที่ ต นจะต้ องนํ ามาหรื อ ยื่ น
ต้นฉบับเอกสารนั้น คําขอนั้นจะทําเป็นคําขอฝ่ายเดียวก็ได้
อันสมควรแล้วแต่ศาลจะกําหนด ถ้าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งมีต้นฉบับ
เอกสารอยู่ ในครอบครองไม่ ป ฏิ บั ติตามคํ าสั่ งเช่ น ว่ านั้ น ให้ ถือว่ า
ข้อเท็จจริงแห่งข้ออ้างที่ผู้ขอจะต้องนําสืบโดยเอกสารนั้น คู่ความอีก
ฝ่ายหนึ่งได้ยอมรับแล้ว
ถ้าคู่ความซึ่งประสงค์จะคัดค้านไม่คัดค้านการอ้าง
เอกสารเสียก่อนการสืบพยานเอกสารนั้นเสร็จ หรือศาลไม่อนุญาต
ให้คัดค้านภายหลังนั้ น ห้ ามมิให้ คู่ความนั้นคั ดค้านการมี อยู่ และ
ความแท้จริงของเอกสารนั้น หรือความถูกต้องแห่งสําเนาเอกสาร
นั้น แต่ทั้งนี้ ไม่ตัดอํานาจของศาลในอัน ที่จะไต่สวนและชี้ ขาดใน
76[๘๒]
มาตรา ๑๒๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ.
๒๕๓๘
125
(๑) ตรวจสอบบรรดาเอกสารที่มิได้ถูกคัดค้านแล้ว
จดลงไว้ซึ่งการมีอยู่หรือข้อความแห่งเอกสารที่ถูกคัดค้าน
(๒) ซักถามพยานที่ทราบการมีอยู่หรือข้อความ
แห่ง เอกสารที ่ถ ูก คัด ค้า น หรือ พยานผู ้ที ่ส ามารถเบิ ก ความใน
ข้อความแท้จริงแห่งเอกสาร หรือความถูกต้องแห่งสําเนา
(๓) ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเอกสารที่ถูกคัดค้าน
นั้น
126
77[๘๓]
มาตรา ๑๒๗ ทวิ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๓๘
127
หมวด ๔
การตรวจและการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญโดยศาล
ถ้าการตรวจไม่สามารถกระทําได้ในศาล ให้ศาล
ทําการตรวจ ณ สถานที่ เวลา และภายในเงื่อนไข ตามที่ ศาลจะ
เห็นสมควร แล้วแต่สภาพแห่งการตรวจนั้น ๆ
ในกรณีที่การตรวจพิสูจน์ตามวรรคหนึ่งหรือวรรค
สองจําเป็นต้องเก็บตัวอย่าง เลือด เนื้อเยื่อ ผิวหนัง เส้นผมหรือขน
ปัสสาวะ อุจจาระ น้ําลายหรือสารคัดหลั่งอื่น สารพันธุกรรม หรือ
ส่ว นประกอบอื่ นของร่างกาย หรื อสิ่ งที่ อยู่ ในร่างกายจากคู่ ความ
หรือบุคคลใด ศาลอาจให้คู่ความหรือบุคคลใดรับการตรวจพิสูจน์
จากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอื่นได้ แต่ต้องกระทําเพียงเท่าที่จําเป็น
และสมควร ทั้ ง นี้ ถื อ เป็ น สิ ท ธิ ข องคู่ ค วามหรื อ บุ ค คลนั้ น ที่ จ ะ
ยินยอมหรือไม่ก็ได้
ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดไม่ยินยอมหรือไม่ให้ความ
ร่วมมือต่อการตรวจพิสูจน์ตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง หรือไม่ให้
ความยินยอมหรือกระทําการขัดขวางมิให้บุคคลที่เกี่ยวข้องให้ความ
ยิ น ยอมต่ อการตรวจเก็ บ ตั ว อย่ า งส่ ว นประกอบของร่ างกายตาม
วรรคสาม ก็ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่คู่ความ
ฝ่ายตรงข้ามกล่าวอ้าง
(๒) ผู้เชี่ยวชาญที่ศาลแต่งตั้งอาจถูกคัดค้านได้และ
ต้องสาบานหรือปฏิญาณตน ทั้งมีสิทธิที่จะได้รับค่าธรรมเนียมและ
รับชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ได้ออกไปตามที่กําหนดไว้ในกฎกระทรวงว่าด้วย
การนั้น
ถ้าผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้งจะต้องแสดงความเห็นด้วย
วาจาหรื อ ต้ อ งมาศาลเพื่ อ อธิ บ ายด้ ว ยวาจา ให้ นํ า บทบั ญ ญั ติ ใ น
ลักษณะนี้ว่าด้วยพยานบุคคลมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ลักษณะ ๖
คําพิพากษาและคําสั่ง
131
หมวด ๑
หลักทั่วไปว่าด้วยการชี้ขาดตัดสินคดี
จากสารบบความได้ โดยไม่ต้องมีคําวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นเรื่อง
นั้ น และให้ กํ า หนดเงื่ อ นไขในเรื่ อ งค่ า ฤชาธรรมเนี ย มตามที่
เห็นสมควร
80[๘ ๖ ]
ม า ต ร า ๑ ๓ ๒ ( ๑ ) แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๗) พ.ศ. ๒๕๔๒
81[๘ ๗ ]
ม า ต ร า ๑ ๓ ๒ (๒ ) แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
133
(๔) เมื่อศาลได้มีคําสั่งให้พิจารณาคดีรวมกันหรือ
ให้แยกกัน ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องโอนคดีไปยังอีกศาลหนึ่งดังที่บัญญัติไว้
ในมาตรา ๒๘ และ ๒๙
๒๔๙๙
83[๘๙]
มาตรา ๑๓๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๔๙๙
135
ในกรณีที่จําเลยวางเงินต่อศาลโดยไม่ยอมรับผิด
จําเลยจะรับ เงิน นั้น คืนไปก่อนที่มีคําพิพากษาว่าจําเลยไม่ต้องรับ
ผิดไม่ได้ การวางเงินเช่นว่านี้ ไม่เป็นเหตุระงับการเสียดอกเบี้ยหาก
จําเลยมีความรับผิดตามกฎหมายจะต้องเสีย
ถ้าโจทก์ยอมรับการชําระหนี้นั้นเป็นการพอใจเต็ม
ตามที่เรียกร้องแล้ว ให้ศาลพิพากษาคดีไปตามนั้น และคําพิพากษา
นั้นให้เป็นที่สุด
ถ้าโจทก์ไม่พอใจในการชําระหนี้เช่นว่านั้น โจทก์
ชอบที่จะดําเนินคดีนั้นต่อไปได้
พิพากษาไปตามนั้น
(๑) เมื่อมีข้อกล่าวอ้างว่าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ฉ้อฉล
(๒) เมื่ อคํ าพิ พากษานั้ นถู กกล่าวอ้ างว่ าเป็ น การ
ละเมิดต่อบทบัญญัติแห่ง
กฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
(๓) เมื่อคําพิพากษานั้นถูกกล่าวอ้างว่ามิได้เป็นไป
ตามข้อตกลงหรือการประนีประนอมยอมความ
หมวด ๒
ข้อความและผลแห่งคําพิพากษาและคําสั่ง
(๑) ศาลจะต้องประกอบครบถ้วนตามบทบัญญัติ
แห่งกฎหมายว่าด้วยเขตอํานาจศาล และอํานาจผู้พิพากษา
ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ถ้าผู้พิพากษาคนใดมีความเห็นแย้งก็ให้ผู้
พิ พากษาคนนั้ นเขี ยนใจความแห่ งความเห็ นแย้ งของตนกลั ดไว้ ใน
สํานวน และจะแสดงเหตุผลแห่งข้อแย้งไว้ด้วยก็ได้
ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๑๓ ที่ประชุมใหญ่
นั้ น สํ า หรั บ ศาลอุ ท ธรณ์ ใ ห้ ป ระกอบด้ว ยอย่า งน้อ ยผู ้พ ิพ ากษา
หัวหน้าคณะไม่น้อยกว่า ๑๐ คน สําหรับศาลฎีกาให้ประกอบด้วย
ผู้พิพากษาทุกคนซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ แต่ต้องไม่น้อยกว่ากึ่งจํานวนผู้
พิพากษาแห่งศาลนั้น และให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ หรือ
ประธานศาลฎีกา แล้วแต่กรณี หรือผู้ทําการแทน เป็นประธาน
เมื่อศาลที่พิพากษาคดี หรือที่ได้รับคําสั่งจาก
ศาลสูงให้อ่านคําพิพากษาหรือคําสั่ง ได้อ่านคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ตามบทบัญญัติในมาตรานี้วันใด ให้ถือว่าวันนั้นเป็นวันที่พิพากษา
หรือมีคําสั่งคดีนั้น
(๑) ชื่อศาลที่พิพากษาคดีนั้น
(๓) รายการแห่งคดี
(๔) เหตุผลแห่งคําวินิจฉัยทั้งปวง
(๕) คําวินิจฉัยของศาลในประเด็นแห่งคดีตลอดทั้ง
ค่าฤชาธรรมเนียม
ในกรณีที่ศาลมีอํานาจทําคําสั่งหรือพิพากษาคดีได้
ด้ ว ยวาจา การที่ ศ าลจะต้ อ งทํ า รายงานเกี่ ย วด้ ว ยคํ า สั่ ง หรื อ คํ า
พิพากษานั้ นไม่ จํ าต้ องจดแจ้ งรายการแห่ งคดี ห รื อเหตุ ผ ลแห่ งคํ า
วินิจฉัย แต่เมื่อคู่ความฝ่ายใดแจ้งความจํานงที่จะอุทธรณ์หรือได้ยื่น
อุทธรณ์ขึ้นมา ให้ศาลมีอํานาจทําคําชี้แจงแสดงรายการข้อสําคัญ
หรื อ เหตุ ผ ลแห่ ง คํ า วิ นิ จ ฉั ย กลั ด ไว้ กั บ บั น ทึ ก นั้ น ภายในเวลาอั น
สมควร
141
(๔) ในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าหรือค่าเสียหาย
อันต่อเนื่องคํานวณถึงวันฟ้อง เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะพิพากษา
ให้ชําระค่าเช่าและค่าเสียหายเช่นว่านี้จนถึงวันที่ได้ชําระเสร็จตาม
คําพิพากษาก็ได้
142
(๕) ในคดีที่อาจยกข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความ
สงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นอ้างได้นั้น เมื่อศาลเห็นสมควร ศาล
จะยกข้อเหล่านั้นขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปก็ได้
ไว้ในฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกา หรือโดยทําเป็นคําร้องส่วนหนึ่งต่างหาก
การทําคําสั่งเพิ่มเติมมาตรานี้ จะต้องไม่เป็นการ
กลับหรือแก้คําวินิจฉัยในคําพิพากษาหรือคําสั่งเดิม
เมื่อได้ทําคําสั่งเช่นว่านั้นแล้ว ห้ามไม่ให้คัดสําเนา
คําพิพากษาหรือคําสั่งเดิม เว้นแต่จะได้คัดสําเนาคําสั่งเพิ่มเติมนั้น
รวมไปด้วย
(๑) การแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลง
เล็กน้อยอื่น ๆ ตามมาตรา ๑๔๓
(๒) การพิจารณาใหม่แห่งคดีซึ่งได้พิจารณาและชี้
ขาดตัดสินไปฝ่ายเดียว ตามมาตรา ๒๐๙ และคดีที่เอกสารได้สูญ
หายหรือบุบสลายตามมาตรา ๕๓
(๔) การที่ศาลฎีกาหรือศาลอุทธรณ์ส่งคดีคืนไปยัง
ศาลล่างที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้น เพื่อให้พิพากษาใหม่
หรือพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามมาตรา ๒๔๓
87[๙ ๓ ]
ม า ต ร า ๑ ๔ ๔ (๕ ) แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
145
(๑) คําพิพากษาเกี่ยวด้วยฐานะหรือความสามารถ
ของบุ ค คล หรื อคํ า พิ พ ากษาสั่ ง ให้ เ ลิ ก นิ ติ บุ ค คล หรื อ คํ าสั่ ง เรื่ อ ง
ล้มละลายเหล่านี้ บุคคลภายนอกจะยกขึ้นอ้างอิงหรือจะใช้ยันแก่
บุคคลภายนอกก็ได้
88[๙๔]
มาตรา ๑๔๕ วรรคสอง แก้ ไ ขเพิ่ ม เติ ม โดย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
146
ที่สุดของสองศาลซึ่งต่างชั้นกัน ต่างกล่าวถึงการปฏิบัติชําระหนี้อัน
แบ่งแยกจากกันไม่ได้ และคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นขัดกัน ให้ถือ
ตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลที่สูงกว่า
ความ
คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจยื่นคําขอต่อศาลชั้นต้น
ซึ่งพิจารณาคดีนั้น ให้ออกใบสําคัญแสดงว่าคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ในคดีนั้นได้ถึงที่สุดแล้ว
(๑) เมื่อเป็นกระบวนพิจารณาชั้นบังคับคดีตามคํา
พิพากษาหรือคําสั่งของศาล
หมวด ๓
148
ค่าฤชาธรรมเนียม
ส่วนที่ ๑
การกําหนดและการชําระค่าฤชาธรรมเนียม และการยกเว้น
ค่าธรรมเนียมศาล89[๙๕]
ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้
หรื อ ก ฎ หมา ยอื่ น ว่ า ด้ ว ยกา รยกเ ว้ น ค่ าธ รร มเนี ย มศา ล
ค่าธรรมเนียมศาลที่เป็นค่าขึ้นศาล ให้คู่ความผู้ยื่นคําฟ้องเป็นผู้ชําระ
เมื่อยื่นคําฟ้อง
ค่าธรรมเนียมศาลนั้น ให้ชําระหรือนํามาวางศาล
เป็นเงินสดหรือเช็คซึ่งธนาคารรับรอง โดยเจ้าพนักงานศาลออก
ใบรับ ให้ หรือ ตามวิธีการที่กําหนดไว้ใ นข้อ กํา หนดของประธาน
ศาลฎีกา
ถ้าเนื่องจากศาลได้มีคําสั่งให้พิจารณาคดีรวมกัน
หรือให้แยกคดีกัน คําฟ้องใดหรือข้อหาอันมีอยู่ในคําฟ้องใดจะต้อง
91[๙๗]
มาตรา ๑๕๐ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ.
๒๕๕๑
151
ในกรณีที่บุคคลซึ่งเป็นคู่ความร่วมในคดีที่มูลความ
แห่งคดีเป็นการชําระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ต่างยื่นอุทธรณ์หรือ
ฎีกาแยกกัน โดยต่างได้เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาตาม
ความในวรรคสอง หากค่าขึ้นศาลดังกล่าวเมื่อรวมกันแล้วมีจํานวน
สูงกว่าค่าขึ้นศาลที่คู่ความเหล่านั้นต้องชําระในกรณีที่ยื่นอุทธรณ์
หรือฎีการ่วมกัน ให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา แล้วแต่กรณี มีคําสั่ง
คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่คู่ความเหล่านั้นตามส่วนของค่าขึ้นศาลที่
คู่ความแต่ละคนได้ชําระไปในเวลาที่ศาลนั้นมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ใหม่ หรือศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกามีคําสั่งให้ยกอุทธรณ์หรือฎีกา
โดยยังมิได้วินิจฉัยประเด็นแห่งอุทธรณ์หรือฎีกานั้น ให้ศาลมีคําสั่ง
ให้คืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด
เมื่อได้มีการถอนคําฟ้อง หรือเมื่อศาลได้ตัดสินให้
ยกคําฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่ หรือเมื่อคดีนั้นได้
เสร็จเด็ดขาดลงโดยสัญญาหรือการประนีประนอมยอมความหรือ
การพิพากษาตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ให้ศาลมีอํานาจที่
จะสั่งคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมด หรือบางส่วนแก่คู่ความซึ่งได้เสียไว้ได้
ตามที่เห็นสมควร
ในกรณีที่มีการทิ้งฟ้องหรือศาลสั่งจําหน่ายคดีใน
กรณี อื่ น ให้ ศ าลมี อํา นาจที่ จ ะสั่ ง คื น ค่ า ขึ้ น ศาลบางส่ ว นได้ ตามที่
เห็นสมควร
ถ้าศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกามีคําสั่งให้ส่งสํานวน
ความคืนไปยังศาลล่างเพื่อตัดสินใหม่หรือเพื่อพิจารณาใหม่ทั้งหมด
หรือแต่บางส่วนตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๔๓ ศาลอุทธรณ์หรือ
ศาลฎีกามีอํานาจที่จะยกเว้นมิให้คู่ความต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล
ในการดําเนินกระบวนพิจารณาใหม่ หรือในการที่จะยื่นอุทธรณ์หรือ
ฎีกาคัดค้านคําพิพากษาใหม่ของศาลล่างได้ตามที่เห็นสมควร
153
ถ้าผู้ซึ่งจะต้องชําระค่าฤชาธรรมเนียมตามวรรค
หนึ่ง ไม่ชําระ ศาลจะสั่ง ให้ง ดหรือ เพิก ถอนกระบวนพิจารณานั้น
หรือจะสั่งให้คู่ความฝ่ายอื่นเป็นผู้ชําระค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวก็
ได้หากคู่ความฝ่ายนั้นยินยอม
93[๙๙]
มาตรา ๑๕๒ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ.
๒๕๕๑
พาหนะเดินทาง และค่าเช่าที่พักของเจ้าพนักงานบังคับคดีตลอดจน
ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการบังคับคดีบรรดาที่กฎหมายบังคับให้ชําระ
ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ให้เจ้าหนี้ผู้ขอ
บังคับคดีนั้นเป็นผู้ชําระ
ในกรณีที่มีการเข้าดําเนินการบั งคับคดีต่อไปตาม
มาตรา ๓๒๗ หรือมาตรา ๓๒๙ (๒) ให้เจ้าหนี้ผู้เข้าดําเนินการบังคับ
คดี ต่ อ ไปเป็ น ผู้ ชํ า ระค่ า ฤชาธรรมเนี ย มในการบั ง คั บ คดี เ ฉพาะ
ทรัพย์สินในส่วนที่ดําเนินการบังคับคดีต่อไป95[๑๐๑]
๑๕๓ ให้ชําระตามวิธีการและอัตราที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาย
นี้หรือตามวิธีการและอัตราที่มีกฎหมายอื่นบังคับไว้
ตามคําสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือศาล แล้วแต่กรณี
บทบัญ ญัติม าตรานี้ใ ห้ใ ช้บัง คับ แก่เ จ้า หนี้ผู้เ ข้า
ดําเนินการบังคับคดีต่อไปตามมาตรา ๓๒๗ และมาตรา ๓๒๙ (๒)
โดยอนุโลม98[๑๐๔]
100[๑ ๐ ๖ ] ม า ต ร า ๑ ๕ ๖ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
157
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคําร้องเช่นว่านั้น เว้นแต่
จะเป็นที่เชื่อได้ว่าผู้ร้องไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาล
หรื อ หากผู้ ร้ อ งไม่ ไ ด้ รั บ ยกเว้ น ค่ า ธรรมเนี ย มศาลจะได้ รั บ ความ
เดือดร้อนเกินสมควรเมื่อพิจารณาถึงสถานะของผู้ร้อง และในกรณี
ผู้ร้องเป็ นโจทก์ หรื อผู้อุทธรณ์ห รือฎีกา การฟ้ องร้องหรื ออุทธรณ์
หรือฎีกานั้นมีเหตุผลอันสมควรด้วย
เมื่อคู่ความคนใดได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลใน
การฟ้องหรื อต่ อสู้ คดีในศาลชั้ นต้ นแล้วยื่ นคํ าร้องเช่น ว่านั้ นในชั้ น
อุ ทธรณ์ ห รื อฎี กา แล้ ว แต่ กรณี อี ก ให้ ถือว่ าคู่ ความนั้ น ยั งคงไม่ มี
ทรั พย์ สิ น พอจะเสีย ค่า ธรรมเนีย มศาลหรือ หากไม่ไ ด้ร ับ ยกเว้น
ค่าธรรมเนียมศาลแล้วจะได้รับความเดือดร้อนเกินสมควรอยู่ เว้น
แต่จะปรากฏต่อศาลเป็นอย่างอื่น
ใ น ก ร ณี ที่ ศ า ล มี คํ า สั่ ง อ นุ ญ า ต ใ ห้ ย ก เ ว้ น
ค่าธรรมเนียมศาลให้แต่เฉพาะบางส่วน หรือมีคําสั่งให้ยกคําร้อง ผู้
ขออาจอุทธรณ์คําสั่งนั้นต่อศาลได้ภายในกําหนดเจ็ดวันนับแต่วันมี
คําสั่ง คําสั่งของศาลอุทธรณ์เช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด
บุคคลใดได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในศาลใด บุคคลนั้นไม่ต้อง
เสีย ค่าธรรมเนีย มศาลในการดําเนิน กระบวนพิ จารณาในศาลนั้ น
ค่าธรรมเนียมเช่นว่านี้ให้รวมถึงเงินวางศาลในการยื่นฟ้องอุทธรณ์
หรือฎีกา ถ้าเป็นกรณีที่ศาลอนุญาตในระหว่างการพิจารณา การ
ยกเว้ น ไม่ ต้ อ งเสี ย ค่ า ธรรมเนี ย มศาลนั้ น ให้ ใ ช้ บั ง คั บ แต่ เ ฉพาะ
ค่าธรรมเนีย มศาลและเงิ นวางศาลที่จ ะต้องเสี ยหรื อวางภายหลั ง
คําสั่งอนุญาตเท่านั้น ส่วนค่าธรรมเนียมศาลหรือเงินวางศาลที่เสีย
หรือวางไว้ก่อนคําสั่งเช่นว่านั้นเป็นอันไม่ต้องคืน
103[๑ ๐ ๙ ]
ม า ต ร า ๑ ๕ ๘ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
160
ในกรณีตามวรรคหนึ่ง ถ้าศาลเห็นว่า
(๑) ค่าฤชาธรรมเนียมจะเป็นพับแก่คู่ความทั้งสอง
ฝ่าย ให้ศาลมีคําสั่งให้เอาชําระค่าธรรมเนียมศาลที่ผู้นั้นได้รับยกเว้น
จากทรัพย์สินที่ยึดหรืออายัดดังที่กล่าวไว้ในวรรคหนึ่งตามจํานวนที่
ศาลเห็นสมควร
(๒) คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะต้องชําระค่าฤชาธรรม
เนียมทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแทนผู้ที่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
ให้ศาลมีคําสั่งให้คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งนั้นชําระค่าธรรมเนียมศาลต่อ
ศาลในนามของผู้ที่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล แต่ถ้าคู่ความอีก
ฝ่ายหนึ่งนั้นไม่ปฏิบัติตามคําสั่ง ให้ศาลเอาชําระค่าธรรมเนียมศาล
104[๑ ๑ ๐ ]
ม า ต ร า ๑ ๕ ๙ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
161
(๓) ผู้ที่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะต้องชําระ
ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งหมดหรือแต่บางส่วนแทนคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง
ให้ศาลมีคําสั่งให้เอาชําระค่าฤชาธรรมเนียมนั้นจากทรัพย์สินที่ยึด
หรืออายัดดังที่กล่าวไว้ในวรรคหนึ่ง ส่วนค่าธรรมเนียมศาลที่ผู้นั้น
ได้รับยกเว้น ให้เอาชําระจากทรัพย์สินที่เหลือ ถ้าหากมี ตามจํานวน
ที่ศาลเห็นสมควร
105[๑ ๑ ๑ ]
ม า ต ร า ๑ ๖ ๐ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
162
ส่วนที่ ๒
ความรับผิดชั้นที่สุดในค่าฤชาธรรมเนียม106[๑๑๒]
106[๑๑๒]
ชื่ อ ส่ ว นที่ ๒ ความรั บ ผิ ด ชั้ น ที่ สุ ด ในค่ า ฤชา
ธรรมเนียม แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
107[๑ ๑ ๓ ]
ม า ต ร า ๑ ๖ ๑ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
163
คดีที่ไม่มีข้อพิพาทให้ฝ่ายเริ่มคดีเป็นผู้เสียค่าฤชา
ธรรมเนียม
ถ้าโจทก์ยอมรับเงินที่วางต่อศาลเป็นการพอใจเต็ม
ตามที่เรียกร้องแล้ว จําเลยต้องเป็นผู้รับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม
164
ถ้าโจทก์ยอมรับเงินที่วางต่อศาลนั้นเป็นการพอใจ
เพี ย งส่ ว นหนึ่ ง แห่ ง จํ า นวนเงิ น ที่ เ รี ย กร้ อ ง และดํ า เนิ น คดี ต่ อ ไป
จําเลยต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียม เว้นแต่ศาลจะได้พิพากษาให้
โจทก์ แพ้ คดี ในกรณี เ ช่ น นี้ โ จทก์ ต้ องเป็ น ผู้ รั บ ผิ ดในค่ าฤชาธรรม
เนียมทั้งสิ้นอันเกิดแต่การที่ตนไม่ยอมรับเงินที่วางต่อศาลเป็นการ
พอใจตามที่เรียกร้อง
ถ้าโจทก์ไม่พอใจในการชําระหนี้เช่นว่านั้น และ
ดําเนินคดีต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมให้อยู่ในดุลพินิจของศาล แต่ถ้า
ศาลเห็นว่าการชําระหนี้นั้นเป็นการพอใจเต็มตามที่โจทก์เรียกร้อง
แล้ว ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสิ้นอันเกิดแต่การที่โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมรับ
ชําระหนี้นั้น โจทก์ต้องเป็นผู้รับผิด
108[๑ ๑ ๔ ]
ม า ต ร า ๑ ๖ ๖ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
165
เสียค่าฤชาธรรมเนียมในกระบวนพิจารณาใด ๆ ที่ได้ดําเนินไปโดย
ไม่ จํ า เป็ น หรื อ มี ลั ก ษณะประวิ ง คดี หรื อ ที่ ต้ อ งดํ า เนิ น ไปเพราะ
ความผิดหรือความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง คู่ความฝ่ายนั้น
ต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมนั้น โดยมิพักคํานึงว่าคู่ความฝ่ายนั้น
จักได้ชนะคดีหรือไม่
ในกรณีที่มีข้อพิพาทในเรื่องที่ไม่เป็นประเด็นในคดี
ให้ศาลมีคําสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมสําหรับข้อพิพาทเช่นว่านี้ใน
คําสั่งชี้ขาดข้อพิพาทนั้น
ในกรณีที่มีการพิจารณาใหม่ ให้ศาลมีอํานาจที่จะ
สั่งเรื่องค่ าฤชาธรรมเนีย มสําหรั บการพิจารณาครั้งแรก และการ
พิจารณาใหม่ในคําพิพากษาหรือคําสั่งได้
109[๑ ๑ ๕ ]
ม า ต ร า ๑ ๖ ๙ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
ค่าฤชาธรรมเนียมค้างชําระค่าฤชาธรรมเนียมต่อศาลก็ดี หรือต่อเจ้า
พนั ก งานบั ง คั บ คดี ก็ ดี หรื อ ต่ อ บุ ค คลอื่ น ที่ มิ ใ ช่ เ จ้ า หนี้ ต ามคํ า
พิพากษาก็ดี ศาล เจ้าพนักงานบังคับคดี หรือบุคคลเช่นว่านั้นอาจ
บังคับเอาแก่ทรัพย์สินของบุคคลนั้นเสมือนหนึ่งเป็นลูกหนี้ตามคํา
พิพากษาเพื่อชําระค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวได้ ในกรณีเช่นนี้ ให้
ถื อว่ าหั ว หน้ าสํ า นั กงานประจํ าศาลยุ ติธ รรมชั้ น ต้ น เจ้ า พนั กงาน
บังคับ คดี หรือบุคคลที่ มีสิ ทธิ ได้ รับ ค่าฤชาธรรมเนี ยมนั้น แล้ว แต่
กรณี เป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา
พิพากษาหรือจากเงินที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้วางไว้
คําสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้อุทธรณ์ ไปยังศาล
อุทธรณ์ได้ และคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด
ภาค ๒
วิธีพิจารณาในศาลชั้นต้น
ลักษณะ ๑
วิธีพิจารณาสามัญในศาลชั้นต้น
ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติในภาคนี้ว่าด้วยคดีไม่มี
ข้อพิพาท คดีมโนสาเร่ คดีขาดนัด และคดีที่มอบให้อนุญาโตตุลาการ
ชี้ ข าด การฟ้ อ ง การพิ จ ารณาและชี้ ข าดตั ด สิ น คดี ใ นศาลชั้ น ต้ น
นอกจากจะต้ องบั งคั บ ตามบทบั ญญั ติ ทั่ว ไปแห่ งภาค ๑ แล้ ว ให้
บังคับตามบทบัญญัติในลักษณะนี้ด้วย
คําฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา
ของโจทก์และคําขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่น
ว่านั้น
ให้ศาลตรวจคําฟ้องนั้นแล้วสั่งให้รับไว้ หรือให้ยก
เสีย หรือให้คืนไป ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๘
(๑) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคําฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อ
ศาลเดียวกัน หรือต่อศาลอื่นและ
(๒) ถ้ามีเหตุเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในพฤติการณ์อัน
เกี่ยวด้วยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตศาลเหนือคดีนั้น เช่น การ
เปลี่ยนแปลงภูมิลําเนาของจําเลย การเปลี่ยนแปลงเช่นว่านี้หาตัด
อํานาจศาลที่รับฟ้องคดีไว้ในอันที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดี
นั้นไม่
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๐) พ.ศ. ๒๕๒๗
โจทก์เพิกเฉยไม่ร้องขอต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้ส่งหมายเรียกให้
แก้คดีแก่จําเลย และไม่แจ้งให้ศาลทราบเหตุแห่งการเพิกเฉยเช่นว่า
นั้นภายในกําหนดเจ็ดวันนับแต่วันยื่นคําฟ้อง
(๒) โจทก์เพิกเฉยไม่ดําเนินคดีภายในเวลาตามที่
ศาลเห็นสมควรกําหนดไว้เพื่อการนั้นโดยได้ส่งคําสั่งให้แก่โจทก์โดย
ชอบแล้ว
ภายหลังจําเลยยื่นคําให้การแล้ว โจทก์อาจยื่นคํา
ขอโดยทําเป็นคําร้องต่อศาลชั้นต้น เพื่ออนุญาตให้โจทก์ถอนคําฟ้อง
ได้ ศาลจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตหรืออนุญาตภายในเงื่อนไขตามที่
เห็นสมควรก็ได้ แต่
ให้จําเลยแสดงโดยชัดแจ้งในคําให้การว่า จําเลย
ยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน รวมทั้ง
เหตุแห่งการนั้น
จําเลยจะฟ้องแย้งมาในคําให้การก็ได้ แต่ถ้าฟ้อง
แย้งนั้นเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคําฟ้องเดิมแล้ว ให้ศาลสั่งให้จําเลย
ฟ้องเป็นคดีต่างหาก
ให้ศาลตรวจดูคําให้การนั้นแล้วสั่งให้รับไว้ หรือให้
คืนไปหรือสั่งไม่รับตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๘
บ ท บั ญ ญั ติ แ ห่ ง ม า ต ร า นี้ ใ ห้ ใ ช้ บั ง คั บ แ ก่
บุคคลภายนอกที่ถูกเรียกเข้ามาเป็นผู้ร้องสอดตามมาตรา ๕๗ (๓)
โดยอนุโลม
บทบัญญัติแห่งมาตราก่อน ให้ใช้บังคับแก่
คําให้การแก้ฟ้องแย้งนี้โดยอนุโลม
การแก้ไขนั้น โดยเฉพาะอาจเป็นการแก้ไขในข้อ
ต่อไปนี้
แต่ห้ามมิให้คู่ความฝ่ายใดเสนอคําฟ้องใดต่อศาล
ไม่ว่าโดยวิธีฟ้องเพิ่มเติมหรือฟ้องแย้ง ภายหลังที่ได้ยื่นคําฟ้องเดิม
ต่อศาลแล้ว เว้นแต่คําฟ้องเดิมและคําฟ้องภายหลังนี้จะเกี่ยวข้องกัน
พอที่จะรวมการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้
119[๑ ๒ ๕ ]
ม า ต ร า ๑ ๘ ๐ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
177
คําให้การที่คู่ความเสนอต่อศาลไว้แล้ว ให้ทําเป็นคําร้องยื่นต่อศาล
ก่อนวัน ชี้สองสถาน หรือก่อนวัน สืบ พยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน ใน
กรณีที่ไม่มีการชี้ส องสถาน เว้นแต่มีเหตุอันสมควรที่ไม่อาจยื่นคํา
ร้องได้ ก่อนนั้ น หรื อเป็น การขอแก้ ไขในเรื่ องที่ เกี่ ย วกั บ ความสงบ
เรี ยบร้อยของประชาชน หรื อเป็ นการแก้ ไขข้อผิดพลาดเล็ กน้ อย
หรือข้อผิดหลงเล็กน้อย
(๑) จําเลยคนใดคนหนึ่งขาดนัดยื่นคําให้การ
(๔) ศาลเห็นสมควรวินิจฉัยชี้ขาดคดีให้เสร็จไปทั้ง
เรื่องโดยไม่ต้องสืบพยาน
(๖) คดีที่ศาลเห็นว่ามีประเด็นข้อพิพาทไม่ยุ่งยาก
120[๑ ๒ ๖ ]ม า ต ร า ๑ ๘ ๒ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๔) พ.ศ. ๒๕๓๘
179
หรือไม่จําเป็นที่จะต้องชี้สองสถาน
ในกรณีที่ไม่ต้องมีการชี้สองสถาน ให้ศาลมีคําสั่ง
งดการชี้ ส องสถานและกํ าหนดวั น สื บ พยาน ถ้ าหากมี แล้ ว ให้ ส่ ง
คําสั่งดังกล่าวให้คู่ความทราบตามมาตรา ๑๘๔ เว้นแต่คู่ความฝ่าย
ใดจะได้ทราบหรือถือว่าได้ทราบคําสั่งดังกล่าวแล้ว
คู่ความอาจตกลงกันกะประเด็นข้อพิพาทโดยยื่น
คํ า แถลงร่ว มกัน ต่อ ศาลในกรณีเ ช่น ว่า นี ้ ให้ กํา หนดประเด็ น ข้ อ
พิพาทไปตามนั้น แต่ถ้าศาลเห็นว่าคําแถลงนั้นไม่ถูกต้อง ก็ให้ศาลมี
อํานาจที่จ ะมีคําสั่งยกคําแถลงนั้น แล้วดํ าเนิ นการชี้สองสถานไป
ตามมาตรา ๑๘๓
คู่ความมาศาล และให้ศาลตรวจคําคู่ความและคําแถลงของคู่ความ
แล้ ว นํ าข้ อ อ้ าง ข้ อเถี ย ง ที่ ป รากฏในคํ า คู่ ความและคํ า แถลงของ
คู่ความเทียบกันดู และสอบถามคู่ความทุกฝ่ายถึงข้ออ้าง ข้อเถียง
และพยานหลั ก ฐานที่ จ ะยื่ น ต่ อ ศาลว่ าฝ่ ายใดยอมรั บ หรื อ โต้ แย้ ง
ข้ออ้าง ข้อเถียงนั้นอย่างไร ข้อเท็จจริงใดที่คู่ความยอมรับกันก็เป็น
อันยุติไปตามนั้น ส่วนข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายหนึ่ง
ยกขึ้ น อ้ า งแต่ คํ า คู่ ค วามฝ่ า ยอื่ น ไม่ รั บ และเกี่ ย วเนื่ อ งโดยตรงกั บ
ประเด็นข้อพิพาทตามคําคู่ความให้ศาลกําหนดไว้เป็นประเด็นข้อ
พิ พาท และกํ า หนดให้ คู่ความฝ่ ายใดนํ าพยานหลั กฐานมาสื บใน
ประเด็นข้อใดก่อนหรือหลังก็ได้
ในการสอบถามคู่ความตามวรรคหนึ่ง คู่ความแต่ละ
ฝ่ายต้องตอบคําถามที่ศาลถามเองหรือถามตามคําขอของคู่ความฝ่าย
อื่น เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายอื่นยกขึ้นเป็นข้ออ้าง ข้อเถียง
และพยานหลักฐานต่าง ๆ ที่คู่ความจะยื่นต่อศาล ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่
ตอบคําถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด หรือปฏิเสธข้อเท็จจริงใดโดยไม่มี
เหตุผลอันสมควร ให้ถือว่ายอมรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว เว้นแต่คู่ความ
ฝ่ายนั้นไม่อยู่ในวิสัยที่จะตอบหรือแสดงเหตุผลแห่งการปฏิเสธได้ใน
ขณะนั้น
มาตรา ๒๒๖
คู่ความที่ไม่มาศาลนั้นไม่มีสิทธิคัดค้านว่าประเด็น
ข้อพิพาทและหน้าที่นําสืบที่ศาลกําหนดไว้นั้นไม่ถูกต้อง เว้นแต่เป็น
กรณีที่ไม่สามารถมาศาลได้ในวันชี้สองสถาน เพราะเหตุจําเป็นอัน
ไม่อาจก้าวล่วงได้ หรือเป็นการคัดค้านในเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบ
เรียบร้อยของประชาชน ในกรณีเช่นนี้ให้นํามาตรา ๑๘๓ วรรคสาม
มาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในกรณีที่ไม่มีการชี้สองสถาน ให้ศาลออกหมาย
กําหนดวันสืบพยานส่งให้แก่คู่ความทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบวัน
๒๕๓๘
125[๑ ๓ ๑ ]ม า ต ร า ๑ ๘ ๓ จั ต ว า ย ก เ ลิ ก โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๔) พ.ศ. ๒๕๓๘
126[๑ ๓ ๒ ]ม า ต ร า ๑ ๘ ๔ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๓) พ.ศ. ๒๕๓๕
183
ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติสามมาตราต่อไปนี้ ให้
ศาลสืบพยานตามประเด็นในข้อพิพาทตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายนี้ว่าด้วยพยานหลักฐาน และฟังคําแถลงการณ์ด้วยวาจา
ของคู่ความทั้งปวง
(๑) ให้เริ่มคดีโดยยื่นคําร้องขอต่อศาล
(๓) ทางแก้แห่งคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลนั้น
ให้ใช้ได้แต่โดยวิธียื่นอุทธรณ์หรือฎีกาเท่านั้น และให้อุทธรณ์ฎีกาได้
แต่เฉพาะในสองกรณีต่อไปนี้
(ก) ถ้าศาลได้ยกคําร้องขอของคู่ความฝ่ายที่
เริ่มคดีเสียทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือ
(๔) ถ้าบุคคลอื่นใดนอกจากคู่ความที่ได้ยื่นฟ้องคดี
อันไม่มีข้อพิพาทได้เข้ามาเกี่ยวข้องในคดีโดยตรงหรือโดยอ้อม ให้
ถื อ ว่ า บุ ค คลเช่ น ว่ า มานี้ เ ป็ น คู่ ค วาม และให้ ดํ า เนิ น คดี ไ ปตาม
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยคดีอันมีข้อพิพาท แต่ใน
คดีที่ยื่นคําร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง ให้คํา
อนุ ญ าตที่ ผู้ แ ทนโดยชอบธรรมได้ ป ฏิ เ สธเสี ย หรื อ ให้ ศ าลมี คํ า
พิ พ ากษาหรื อ คํ า สั่ ง ถอนคื น คํ า อนุ ญ าตอั น ได้ ใ ห้ ไ ว้ แ ก่ ผู้ ไ ร้
ความสามารถนั้น ให้ถือว่าเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท แม้ถึงว่าผู้แทนโดย
ชอบธรรมหรื อผู้ ไ ร้ ค วามสามารถนั้ น จะได้ ม าศาล และแสดงข้ อ
คัดค้านในการให้คําอนุญาตหรือถอนคืนคําอนุญาตเช่นว่านั้น
ลักษณะ ๒
วิธีพิจารณาวิสามัญในศาลชั้นต้น
หมวด ๑
วิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่
186
(๑)128[๑๓๔] คดีที่มีคําขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อัน
อาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือไม่เกินจํานวนที่
กําหนดในพระราชกฤษฎีกา
127[๑ ๓ ๓ ]ม า ต ร า ๑ ๘ ๙ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๒) พ.ศ. ๒๕๓๔
128[๑๓๔]
พระราชกฤษฎีก ากํา หนดจํา นวนเงิน ในคดี
มโนสาเร่ พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้กํา หนดขยายเป็น คดีที่มีคํา ขอให้ป ลดเปลื้อ ง
ทุกข์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ไม่เกินสามแสนบาท
(๑) จํานวนทุนทรัพย์หรือราคานั้นให้คํานวณตาม
คําเรียกร้องของโจทก์ ส่วนดอกผลอันมิถึงกําหนดเกิดขึ้นในเวลายื่น
คํ า ฟ้ อ งหรื อ ค่ า ธรรมเนี ย มศาลซึ่ ง อาจเป็ น อุ ป กรณ์ ร วมอยู่ ใ นคํ า
เรียกร้อง ห้ามไม่ให้คํานวณรวมเข้าด้วย
(๓)130[๑๓๖] คดีอันเกี่ยวด้วยทรัพย์สินที่มีข้อหา
หลายข้อ อันมีจํานวนทุนทรัพย์หรือราคาไม่เกินสี่หมื่นบาทหรือไม่
เกินจํานวนที่กําหนดในพระราชกฤษฎีกา ให้รวมจํานวนทุนทรัพย์
หรือราคาเหล่านั้นเข้าด้วยกัน แต่ถ้าข้อหาเหล่านั้นจะต้องเรียกร้อง
เอาแก่จําเลยหลายคน ถึงแม้ว่าถ้ารวมความรับผิดของจําเลยหลาย
คนนั้นเข้าด้วยกันแล้วจะไม่เป็นคดีมโนสาเร่ก็ตาม ให้ถือเอาจํานวน
ที่เรียกร้องเอาจากจําเลยคนหนึ่ง ๆ นั้น เป็นประมาณแก่การที่จะ
ถือว่าคดีนั้นเป็นคดีมโนสาเร่หรือไม่
ค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกานั้น ให้ผู้อุทธรณ์
หรือผู้ฎีกาเสียตามจํานวนทุนทรัพย์ หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทกัน
ในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา แล้วแต่กรณี
133[๑๓๙]
มาตรา ๑๙๐ จัตวา เพิ่มโดยพระราชบัญญัติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ.
๒๕๔๒
134[๑๔๐]
มาตรา ๑๙๐ จัตวา วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติม
โดยโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
(ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
135[๑ ๔ ๑ ]ม า ต ร า ๑ ๙ ๑ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๗) พ.ศ. ๒๕๔๒
190
ถ้าโจทก์มาแถลงข้อหาด้วยวาจาดังกล่าวแล้ว ให้
ศาลบั นทึ กรายการแห่งข้ อหาเหล่านั้นไว้ อ่านให้ โ จทก์ฟัง แล้ว ให้
โจทก์ลงลายมือชื่อไว้เป็นสําคัญ
ถ้าคดีนั้นไม่เป็นคดีมโนสาเร่ต่อไป เนื่องจากได้มี
คําฟ้องเพิ่มเติมยื่น เข้ ามาภายหลั ง และศาลนั้ นมี เขตอํานาจที่ จ ะ
พิจารณาคดีนั้นอย่างคดีสามัญได้ ก็ให้ศาลดําเนินการพิจารณาไป
อย่างคดีสามัญ
ในกรณีที่จําเลยฟ้องแย้งเข้ามาในคดีมโนสาเร่และ
ฟ้องแย้งนั้นมิใช่คดีมโนสาเร่ หรือในกรณีที่ศาลมีคําสั่งให้พิจารณา
คดี ส ามั ญ รวมกั บ คดี ม โนสาเร่ ให้ ศ าลดํ า เนิ น การพิ จ ารณาคดี
มโนสาเร่ไปอย่างคดีสามัญ แต่เมื่อศาลพิจารณาถึงจํานวนทุนทรัพย์
ลักษณะคดี สถานะของคู่ความ หรือเหตุสมควรประการอื่นแล้วเห็น
ว่า การนําบทบัญญัติในหมวดนี้ไปใช้บังคับแก่คดีในส่วนของฟ้อง
แย้งหรือคดีสามัญเช่นว่านั้นจะทําให้การดําเนินคดีเป็นไปด้วยความ
รวดเร็วและเป็นธรรมแก่คู่ความทุกฝ่าย ก็ให้ศาลมีอํานาจพิจารณา
คดีในส่วนของฟ้องแย้งหรือคดีสามัญนั้นอย่างคดีมโนสาเร่ได้136
[๑๔๒]
137[๑ ๔ ๓ ] ม า ต ร า ๑ ๙ ๒ ว ร ร ค ห้ า เ พิ่ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๗) พ.ศ. ๒๕๔๒
192
ในวันนัดพิจารณา เมื่อโจทก์และจําเลยมาพร้อม
กันแล้ว ให้ศาลไกล่เกลี่ยให้คู่ความได้ตกลงกันหรือประนีประนอม
ยอมความกันในข้อที่พิพาทนั้นก่อน
ถ้ า คู่ ค ว า ม ไ ม่ อ า จ ต ก ล ง กั น ห รื อ ไ ม่ อ า จ
ประนีประนอมยอมความกันได้และจําเลยยังไม่ได้ยื่นคําให้การให้
ศาลสอบถามคําให้การของจําเลย โดยจําเลยจะยื่นคําให้การเป็น
หนั ง สื อ หรื อ จะให้ ก ารด้ ว ยวาจาก็ ไ ด้ ในกรณี ยื่ น คํ า ให้ ก ารเป็ น
หนังสือให้ นํามาตรา ๑๙๑ วรรคสอง มาใช้บั งคั บโดยอนุโ ลม ใน
กรณีให้การด้วยวาจา ให้ศาลบันทึกคําให้การรวมทั้งเหตุการณ์นั้นไว้
อ่านให้จําเลยฟัง แล้วให้จําเลยลงลายมือชื่อไว้เป็นสําคัญ
ถ้าจําเลยไม่ให้การตามวรรคสาม ให้ศาลมีอํานาจ
ใช้ดุลพินิจมีคําสั่งไม่ยอมเลื่อนเวลาให้จําเลยยื่นคําให้การ โดยให้ถือ
138[๑๔๔]
มาตรา ๑๙๓ แก้ไขเพิ่มโดยพระราชบัญญัติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ.
๒๕๔๒
193
ว่าจําเลยขาดนัดยื่นคําให้การ และให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้
ขาดโดยนํามาตรา ๑๙๘ ทวิ มาใช้บังคับโดยอนุโลม แต่ในกรณีที่
ศาลมีคําสั่งให้สืบพยาน ก็ให้ศาลดําเนินการต่อไปตามมาตรา ๑๙๓
ตรี มาตรา ๑๙๓ จัตวา และมาตรา ๑๙๓ เบญจ139[๑๔๕]
เมื่อจําเลยได้รับหมายเรียกให้มาศาลตามมาตรา
๑๙๓ แล้วไม่มาในวันนัดพิจารณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้
เลื่อนคดี ถ้าจําเลยไม่ได้ยื่นคําให้การไว้ให้ถือว่าจําเลยขาดนัดยื่ น
คําให้การและให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งโดยนํามาตรา ๑๙๘
140[๑ ๔ ๖ ]ม า ต ร า ๑ ๙ ๓ ท วิ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
194
141[๑ ๔ ๗ ]ม า ต ร า ๑ ๙ ๓ ต รี แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
195
ในการสืบพยานไม่ว่าจะเป็นพยานที่คู่ความฝ่ายใด
อ้างหรือที่ศาลเรียกมาเอง ให้ศาลเป็นผู้ซักถามพยานก่อน เสร็จแล้ว
จึงให้ตัวความหรือทนายความซักถามเพิ่มเติมได้
ให้ศาลมีอํานาจซักถามพยานเกี่ยวกับข้อเท็จจริง
ใด ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับคดี แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นอ้างก็ตาม
143[๑๔๙]
มาตรา ๑๙๓ เบญจ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ.
๒๕๔๒
196
ให้ ศาลนั่งพิจ ารณาคดี ติดต่ อกั นไปโดยไม่ ต้องเลื่ อน เว้ นแต่ มีเหตุ
จําเป็น ศาลจะมีคําสั่งเลื่อนได้ครั้งละไม่เกินเจ็ดวัน
144[๑ ๕ ๐ ]ม า ต ร า ๑ ๙ ๕ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
145[๑ ๕ ๑ ]ม า ต ร า ๑ ๙ ๖ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑
197
ถ้าในระหว่างการพิจารณาปรากฏว่าคดีไม่ตกอยู่
ภายใต้บังคับแห่งมาตรานี้ ศาลอาจมีคําสั่งเพิกถอนคําสั่งเดิมแล้ว
ดําเนินการพิจารณาต่อไปตามข้อบังคับแห่งคดีสามัญได้
หมวด ๒
การพิจารณาโดยขาดนัด146[๑๕๒]
146[๑๕๒]
หมวด ๒ การพิ จ ารณาโดยขาดนัด มาตรา
๑๙๗ ถึ ง มาตรา ๒๐๙ แก้ ไ ขเพิ่ ม เติ ม โดยพระราชบั ญ ญั ติ แ ก้ ไ ขเพิ่ ม เติ ม
198
ส่วนที่ ๑
การขาดนัดยื่นคําให้การ
147[๑ ๕ ๓ ]
ม า ต ร า ๑ ๙ ๗ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๙) พ.ศ. ๒๕๔๓
199
ถ้าโจทก์ยื่นคําขอต่อศาลภายในกําหนดระยะเวลา
ดังกล่าวแล้ว ให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดคดีโดยขาดนัดไป
ตามมาตรา ๑๙๘ ทวิ แต่ถ้าศาลมีเหตุสงสัยว่าจํ าเลยจะไม่ทราบ
หมายเรียกให้ยื่นคําให้การ ก็ให้ศาลมีคําสั่งให้มีการส่งหมายเรียก
ใหม่ โดยวิ ธี ส่ ง หมายธรรมดาหรื อโดยวิ ธี อื่น แทนและจะกํ าหนด
เงื่อนไขอย่างใดตามที่เห็นสมควรเพื่อให้จําเลยได้ทราบหมายเรียก
นั้นก็ได้
148[๑ ๕ ๔ ]ม า ต ร า ๑ ๙ ๘ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๙) พ.ศ. ๒๕๔๓
พิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยจําเลยขาดนัด
ยื่นคําให้การมิได้ เว้นแต่ศาลเห็นว่าคําฟ้องของโจทก์มีมูลและไม่
ขัดต่อกฎหมาย ในการนี้ศาลจะยกขึ้นอ้างโดยลําพังซึ่งข้อกฎหมาย
อันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ได้
เพื่อประโยชน์ในการพิพากษาหรือมี คําสั่งชี้ขาด
คดีตามวรรคหนึ่ง ศาลอาจสืบพยานเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์หรือ
พยานหลักฐานอื่ นไปฝ่ ายเดี ยวตามที่เห็น ว่าจําเป็ นก็ ได้ แต่ในคดี
เกี่ ย วด้ ว ยสิ ทธิ แห่ งสภาพบุ คคล สิ ทธิ ในครอบครั ว หรื อคดี พิพาท
เกี่ยวด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ ให้ศาลสืบพยานหลักฐาน
โจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เอง
ตามที่เห็นว่าจําเป็น เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
พยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐาน
อื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจําเป็น
ถ้าโจทก์ไม่นําพยานหลักฐานมาสืบตามความใน
มาตรานี้ภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด ให้ถือว่าคดีของโจทก์ไม่มี
มูล และให้ศาลยกฟ้องของโจทก์
150[๑๕๖]
มาตรา ๑๙๘ ตรี เพิ่ ม โดยพระราชบั ญ ญั ติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ.
๒๕๔๓
202
ในกรณีที่จําเลยที่ขาดนัดยื่นคําให้การไม่มาศาลใน
วันสืบพยานของคู่ความอื่นมิให้ถือว่าจําเลยนั้นขาดนัดพิจารณา
ใน ก รณี ที ่ จํ า เ ล ย มิ ไ ด้ ยื ่ น คํ า ใ ห้ ก า ร ภ า ย ใ น
151[๑ ๕ ๗ ]
ม า ต ร า ๑ ๙ ๙ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๙) พ.ศ. ๒๕๔๓
203
การบังคับตามคําพิพากษาหรือคําสั่งแก่จําเลยที่
ขาดนั ดยื่น คําให้การนั้ นให้บั งคับ ตามมาตรา ๒๗๓ มาตรา ๒๘๙
และมาตรา ๓๓๘153[๑๕๙]
(๑) ศาลเคยมีคําสั่งให้พิจารณาคดีนั้นใหม่มาครั้ง
หนึ่งแล้ว
153[๑๕๙]
มาตรา ๑๙๙ ทวิ วรรคสอง แก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
(ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
154[๑๖๐]
มาตรา ๑๙๙ ตรี เพิ่ ม โดยพระราชบั ญ ญั ติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ.
๒๕๔๓
205
คําขอตามวรรคหนึ่งให้กล่าวโดยชัดแจ้งซึ่งเหตุที่
จําเลยได้ขาดนัดยื่นคําให้การและข้อคัดค้านคําตัดสินชี้ขาดของศาล
ที่แสดงให้ เห็ นว่ าหากศาลได้พิจารณาคดี นั้นใหม่ ตนอาจเป็ นฝ่ าย
ชนะ และในกรณีที่ยื่นคําขอล่าช้า ให้แสดงเหตุแห่งการที่ล่าช้านั้น
ด้วย
155[๑๖๑]
มาตรา ๑๙๙ จัตวา เพิ่มโดยพระราชบัญญัติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ.
๒๕๔๓
206
ในการพิจารณาคําขอให้พิจารณาคดีใหม่ ถ้ามีเหตุ
ควรเชื่อว่าการขาดนัดยื่นคําให้การนั้นมิได้เป็นไปโดยจงใจหรือมีเหตุ
อันสมควร และศาลเห็นว่าเหตุผลที่อ้างมาในคําขอนั้นผู้ขออาจมี
ทางชนะคดี ไ ด้ ทั้ ง ในกรณี ที่ ยื่ น คํ า ขอล่ าช้ า นั้ น ผู้ ข อได้ ยื่ น ภายใน
ระยะเวลาที่กําหนด ให้ศาลมีคําสั่งอนุญาตตามคําขอ ในกรณีเช่นนี้
ถ้ามีการอุทธรณ์หรือฎีกาคําพิพากษาหรือคําสั่งที่ให้คู่ความฝ่ายที่
ขาดนัดยื่นคําให้การแพ้คดี ให้ศาลแจ้งคําสั่งดังกล่าวให้ศาลอุทธรณ์
หรือศาลฎีกา แล้วแต่กรณี ทราบด้วย
เมื่อศาลได้มีคําสั่งอนุญาตตามคําขอให้พิจารณา
คดีใหม่ตามวรรคสอง คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลโดยจําเลยขาด
นัดยื่นคําให้การและคําพิพากษาหรือคําสั่งอื่น ๆ ของศาลอุทธรณ์
หรือศาลฎีกาในคดีเดียวกันนั้น และวิธีการบังคับคดีที่ได้ดําเนินไป
156[๑๖๒]
มาตรา ๑๙๙ เบญจ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติ
แก้ไ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจ ารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๙) พ.ศ.
๒๕๔๓
207
คําสั่งศาลที่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ให้เป็นที่สุด
แต่ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งไม่อนุญาตผู้ขออาจอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวได้
คําพิพากษาของศาลอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด
ส่วนที่ ๒
การขาดนัดพิจารณา
158[๑ ๖ ๔ ]ม า ต ร า ๒ ๐ ๐ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๙) พ.ศ. ๒๕๔๓
209
159[๑ ๖ ๕ ]ม า ต ร า ๒ ๐ ๑ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๙) พ.ศ. ๒๕๔๓
160[๑ ๖ ๖ ]ม า ต ร า ๒ ๐ ๒ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๙) พ.ศ. ๒๕๔๓
210
161[๑ ๖ ๗ ]ม า ต ร า ๒ ๐ ๓ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๙) พ.ศ. ๒๕๔๓
162[๑ ๖ ๘ ]ม า ต ร า ๒ ๐ ๔ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๙) พ.ศ. ๒๕๔๓
163[๑ ๖ ๙ ]ม า ต ร า ๒ ๐ ๕ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๙) พ.ศ. ๒๕๔๓
211
ศาลยอมให้คู่ความที่ขาดนัดพิจารณาคัดค้านพยานหลักฐานเช่นว่า
นั้น โดยวิธีถามค้านพยานของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งที่ได้สืบไปแล้วหรือ
โดยวิธีคัดค้านการระบุเอกสารหรือคัดค้านคําขอที่ให้ศาลไปทําการ
ตรวจหรือให้ตั้งผู้ เชี่ยวชาญของศาล แต่ ถ้าคู่ความอี กฝ่ายหนึ่งนํ า
พยานหลักฐานเข้าสืบยังไม่บริบูรณ์ ให้ศาลอนุญาตให้คู่ความที่ขาด
นัดพิจารณาหักล้างได้แต่เฉพาะพยานหลักฐานที่นําสืบภายหลังที่
ตนมาศาล
165[๑ ๗ ๑ ]ม า ต ร า ๒ ๐ ๗ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๑๙) พ.ศ. ๒๕๔๓
214
หมวด ๓
อนุญาโตตุลาการ
ข้อความแห่งข้อตกลงเช่นว่านั้นต่อศาล
ถ้าศาลเห็นว่าข้อตกลงนั้นไม่ผิดกฎหมาย ให้ศาล
อนุญาตตามคําขอนั้น
(๑) คู่ความชอบที่จะตั้งอนุญาโตตุลาการได้ฝ่าย
ละคน แต่ ถ้ า คดี มี โ จทก์ ร่ ว มหรื อ จํ า เลยร่ ว มหลายคน ให้ ตั้ ง
อนุญาโตตุลาการเพียงคนหนึ่งแทนโจทก์ร่วมทั้งหมดและคนหนึ่ง
แทนจําเลยร่วมทั้งหมด
(๒) ถ้าคู่ความจะตั้งอนุญาโตตุลาการคนเดียวหรือ
หลายคน ด้ว ยความเห็นชอบพร้อมกัน การตั้งเช่นว่ านี้ให้ทําเป็ น
หนังสือ ลงวัน เดือน ปี และให้คู่ความลงลายมือชื่อไว้เป็นสําคัญ
(๔) ถ้าศาลไม่เห็นชอบด้วยบุคคลที่คู่ความตั้งหรือ
ที่เสนอตั้งเป็นอนุญาโตตุลาการให้ศาลสั่งให้คู่ความตั้งบุคคลอื่นหรือ
216
เสนอบุคคลอื่นตั้งเป็นอนุญาโตตุลาการ ถ้าคู่ความมิได้ตั้งหรือเสนอ
ให้ตั้งบุคคลใดเป็นอนุญาโตตุลาการ ให้ศาลมีอํานาจตั้งบุคคลใดเป็น
อนุญาโตตุลาการได้ตามที่เห็นสมควร แล้วให้ศาลส่งคําสั่งเช่นว่านี้
ไปยังอนุญาโตตุลาการที่ตั้งขึ้น และคู่ความที่เกี่ยวข้องโดยทางเจ้า
พนักงานศาล
อนุญาโตตุลาการที่ตั้งขึ้นโดยชอบนั้น ถ้าเป็นกรณี
ที่ ศ าลหรื อ บุ ค คลภายนอกเป็ น ผู้ ตั้ ง คู่ ค วามฝ่ า ยใดฝ่ า ยหนึ่ ง จะ
คัดค้านก็ได้ หรือถ้าเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ตั้ง คู่ความอีก
ฝ่ายหนึ่งจะคัดค้านก็ได้ โดยอาศัยเหตุดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๑
หรื อ เหตุ ที่ อ นุ ญ าโตตุ ล าการนั้ น เป็ น ผู้ ไ ร้ ค วามสามารถ หรื อ ไม่
สามารถทํ า หน้ า ที่ อ นุ ญ าโตตุ ล าการได้ ในกรณี ที่ มี ก ารคั ด ค้ า น
อนุ ญ าโตตุ ล าการดั ง ว่ า นี้ ให้ นํ า บทบั ญ ญั ติ ว่ า ด้ ว ยการคั ด ค้ า นผู้
พิพากษามาใช้บังคับโดยอนุโลม
217
ม า ต ร า ๒ ๑ ๖ ก่ อ น ที่ จ ะ ทํ า คํ า ชี้ ข า ด ใ ห้
อนุ ญาโตตุ ล าการฟั งคู่ความทั้ งปวงและอาจทํ าการไต่ ส วนตามที่
เห็นสมควรในข้อพิพาทอันเสนอมาให้พิจารณานั้น
อนุญาโตตุลาการ อาจตรวจเอกสารทั้งปวงที่ยื่น
ขึ้ น มาและฟั ง พยาน หรื อ ผู้ เ ชี่ ย วชาญซึ่ ง เต็ ม ใจมาให้ ก าร ถ้ า
อนุญาโตตุลาการขอให้ศาลส่งคําคู่ความ หรือบรรดาเอกสารอื่น ๆ
218
ในสํานวนเช่นว่านี้มาให้ตรวจดู ให้ศาลจัดการให้ตามคําร้องขอนั้น
ถ้าอนุญาโตตุลาการเห็นว่าจําต้องดําเนินกระบวน
พิ จ ารณาอย่ างใด ที่ ต้องดํ าเนิ น ทางศาล (เช่ น หมายเรี ย กพยาน
หรือให้พยานสาบานตน หรือให้ส่งเอกสาร) อนุญาโตตุลาการอาจ
ยื่นคําขอโดยทําเป็นคําร้องต่อศาล ให้ศาลดําเนินกระบวนพิจารณา
เช่นว่านั้น ถ้าศาลเห็นว่ากระบวนพิจารณานั้นอยู่ในอํานาจศาลและ
พึงรับทําให้ได้แล้ว ให้ศาลจัดการให้ตามคําขอเช่นว่านี้ โดยเรียก
ค่าธรรมเนียมศาลตามอัตราที่กําหนดไว้สําหรับกระบวนพิจารณาที่
ขอให้จัดการนั้นจากอนุญาโตตุลาการ
แต่ถ้าศาลเห็นว่า คําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ขัดต่อกฎหมายประการใดประการหนึ่ง ให้ศาลมีอํานาจทําคําสั่ ง
ปฏิเสธไม่ยอมพิพากษาตามคําชี้ขาดนั้น แต่ถ้าคําชี้ขาดนั้นอาจแก้ไข
ให้ถูกต้องได้ ศาลอาจให้อนุญาโตตุลาการหรือคู่ความที่เกี่ยวข้อง
แก้ไขเสียก่อนภายในเวลาอันสมควรที่ศาลจะกําหนดไว้
เหตุประการอื่นไม่อาจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ก่อนให้คําชี้ขาด
หรือปฏิเสธ หรือเพิกเฉยไม่กระทําตามหน้าที่ของตนภายในเวลาอัน
สมควร ถ้าคู่ความไม่สามารถทําความตกลงกันเป็นอย่างอื่น ให้ถือ
ว่าข้อตกลงนั้นเป็นอันสิ้นสุด
เหตุต่อไปนี้
หมวด ๔
การดําเนินคดีแบบกลุ่ม169[๑๗๕]
169[๑๗๕]
หมวด ๔ การดํ า เนิ น คดี แ บบกลุ่ ม มาตรา
๒๒๒/๑ ถึงมาตรา ๒๒๒/๔๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๕๘
222
ส่วนที่ ๑
บททั่วไป
(๕) กําหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการบังคับคดีและเงิน
รางวัลของทนายความฝ่ายโจทก์
(๖) ออกข้อกําหนดเกี่ยวกับเรื่องที่จําเป็นอื่น ๆ ใน
การดําเนินคดีแบบกลุ่ม
ในกรณีที่มีการร้องขอให้ดําเนินคดีแบบกลุ่มในคดี
ซึ่งมีกฎหมายกําหนดวิธีพิจารณาความไว้เป็นการเฉพาะ ให้ศาลใน
คดี นั้ น มี อํานาจสั่ งให้ ดําเนิ น คดี แบบกลุ่ มและนํ าวิ ธี พิจารณาตาม
บทบัญญัติแห่งหมวดนี้มาใช้บังคับโดยอนุโลม
(๑) ไกล่เกลี่ยคดีแบบกลุ่ม
(๒) ตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐาน
(๓) บันทึกคําพยาน
(๔) ดําเนินการให้มีการคุ้มครองสิทธิของคู่ความ
และสมาชิกกลุ่มทั้งก่อนและระหว่างการพิจารณา
ในการปฏิบัติห น้าที่ตามบทบัญญัติแห่งหมวดนี้
ให้เจ้าพนักงานคดีแบบกลุ่มเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมาย
อาญาและให้มีอํานาจมีหนังสือเรียกบุคคลใดบุคคลหนึ่งมาให้ข้อมูล
หรือให้จัดส่งเอกสารเพื่อประกอบการพิจารณาเรื่องใดเรื่องหนึ่งตาม
อํานาจหน้าที่
ในกรณีที่กฎหมายวิธีพิจารณาความใดบัญญัติให้มี
เจ้าพนักงานคดีทําหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดําเนินคดีไว้เป็นการ
เฉพาะ ให้เจ้าพนักงานคดีดังกล่าวนอกจากมีหน้าที่ตามกฎหมายนั้น
แล้วมีหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งหมวดนี้ด้วย
227
ส่วนที่ ๒
การขออนุญาตให้ดําเนินคดีแบบกลุ่ม
(๑) คดีละเมิด
(๒) คดีผิดสัญญา
ในการดําเนินคดีแบบกลุ่ม ให้โจทก์ผู้เริ่มคดีเสียค่า
ขึ้นศาลตามคําขอบังคับเฉพาะในส่วนของโจทก์ผู้เริ่มคดีเท่านั้น
(๕) โจทก์ได้แสดงให้เห็นว่าโจทก์เป็นสมาชิกกลุ่มที่
มี คุ ณสมบั ติ ส่ ว นได้ เสี ย รวมตลอดทั้ ง การได้ ม าซึ่ ง สิ ท ธิ ก ารเป็ น
สมาชิกกลุ่ม ตามข้อกําหนดของประธานศาลฎีกา ถ้ามี และโจทก์
รวมทั้งทนายความที่โจทก์เสนอให้เป็นทนายความของกลุ่มสามารถ
ดําเนิ น คดี คุ้มครองสิ ทธิ ของกลุ่ มบุ คคลได้ อย่ างเพี ย งพอและเป็ น
ธรรม
ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งไม่อนุญาตให้ดําเนินคดีแบบ
กลุ่ม ให้ศาลดําเนินกระบวนพิจารณาต่อไปอย่างคดีสามัญ
ส่วนที่ ๓
การพิจารณาคดีแบบกลุ่ม
หากต่อมาปรากฏว่าค่าใช้จ่ายที่วางไว้มีจํานวนไม่
เพียงพอ ศาลจะสั่งให้มีการวางเงินค่าใช้จ่ายดังกล่าวเพิ่มเติมตาม
จํานวนที่เห็นสมควรก็ได้ ในกรณีที่โจทก์เพิกเฉยไม่ดําเนินการตาม
คําสั่งดังกล่าวและไม่แจ้งให้ศาลทราบเหตุแห่งการเพิกเฉยเช่นว่านั้น
ให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง
คําบอกกล่าวและประกาศอย่างน้อยต้องมีรายการ
ดังต่อไปนี้
(๑) ชื่อศาลและเลขคดี
(๒) ชื่อและที่อยู่ของคู่ความและทนายความฝ่าย
โจทก์
(๓) ข้อความโดยย่อของคําฟ้องและลักษณะของ
กลุ่มบุคคลที่ชัดเจน
(๔) ข้อความที่แสดงว่าศาลอนุญาตให้ดําเนินคดี
แบบกลุ่ม และวันเดือนปีที่ศาลมีคําสั่ง
(๗) ผลของการออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่ม
(๘) ผลของคําพิพากษาที่จะผูกพันสมาชิกกลุ่ม
และให้ถือว่าสมาชิกกลุ่มดังกล่าวไม่เป็นสมาชิกกลุ่มนับแต่วันที่ได้
แจ้งความประสงค์นั้นต่อศาล
เมื่อพ้นกําหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง สมาชิก
กลุ่มจะออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มไม่ได้ เว้นแต่จะได้รับอนุญาต
จากศาล และคําสั่งของศาลให้เป็นที่สุด
บุคคลที่ออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มแล้ว จะร้อง
ขอกลับเข้ามาเป็นสมาชิกกลุ่มอีกไม่ได้
สมาชิกกลุ่มและบุคคลที่ออกจากการเป็นสมาชิก
กลุ่มจะร้องสอดเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในการดําเนินคดีแบบกลุ่มโดย
อาศัยสิทธิตามมาตรา ๕๗ ไม่ได้
(๑) เข้าฟังการพิจารณาคดี
(๖) คัดค้านการร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ตามมาตรา
๒๒๒/๒๕ การที่โจทก์ขอถอนฟ้องตามมาตรา ๒๒๒/๒๘ การที่มีการ
ตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดีตาม
มาตรา ๒๒๒/๒๙ และการที่ คู่ ค วามตกลงกั น เสนอข้ อ พิ พ าทให้
อนุญาโตตุลาการเป็นผู้ชี้ขาดตามมาตรา ๒๒๒/๓๐
(๗) ตรวจและโต้แย้งคําขอรับชําระหนี้ตามมาตรา
๒๒๒/๔๐
สมาชิกกลุ่มจะแต่งตั้งทนายความเพื่อดําเนินการ
ตามวรรคหนึ่งก็ได้
239
หากความปรากฏต่อศาลในระหว่างการพิจารณา
ว่าทนายความฝ่ายโจทก์ไม่สามารถดําเนินคดีคุ้มครองสิทธิของกลุ่ม
บุคคลได้อย่างเพียงพอและเป็นธรรม หรือทนายความฝ่ายโจทก์ขอ
ถอนตัวจากการดําเนินคดีแบบกลุ่ม ศาลอาจมีคําสั่งให้โจทก์และ
สมาชิ ก กลุ่ ม จั ด หาทนายความคนใหม่ ม าดํ า เนิ น คดี แ ทนภายใน
ระยะเวลาที่ ศ าลกํ า หนด หากโจทก์ แ ละสมาชิ ก กลุ่ ม เพิ ก เฉยไม่
ดําเนินการดังกล่าว ให้นําความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม
คําสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด
(๒) ให้คู่ความนําต้นฉบับพยานเอกสารหรือพยาน
วัตถุทั้งหมดที่ประสงค์จะอ้างอิงและอยู่ในความครอบครองของตน
ที่สามารถนํามาศาลได้มาแสดงต่อศาล เพื่อให้ศาลและคู่ความอีก
ฝ่ายหนึ่งตรวจดู
ถ้าพยานหลักฐานดังกล่าวอยู่ในความครอบครอง
ของคู่ความฝ่ายอื่นหรือของบุคคลภายนอก คู่ความฝ่ายที่ประสงค์
จะอ้า งอิงต้องขอให้ศาลมีคํา สั่งเรีย กพยานหลักฐานนั้น มาจากผู้
ครอบครอง โดยยื่นคําขอต่อศาลพร้อมกับการยื่นบัญชีระบุพยาน
เพื่อให้ได้พยานหลักฐานนั้นมาก่อนวันนัดพร้อม
ในกรณีที่มีเหตุขัดข้องทําให้คู่ความไม่สามารถนํา
พยานหลักฐานที่อยู่ในความครอบครองของตนมาหรือยังไม่ได้มาซึ่ง
พยานหลั ก ฐานที่ ศ าลออกคํ า สั่ ง เรี ย กจากคู่ ค วามฝ่ า ยอื่ น หรื อ
บุคคลภายนอก หรือมีเหตุจําเป็นอื่นใด ถ้าศาลเห็นสมควร ก็ให้ศาล
เลื่อนวันนัดพร้อมออกไปตามที่เห็นสมควร
หากคู่ความฝ่ายใดจงใจไม่ดําเนินการดังกล่าวใน
วันนัดพร้อมหรือวันอื่นที่ศาลได้เลื่อนไป คู่ความฝ่ายนั้นไม่มีสิทธิที่
จะนําพยานหลักฐานดังกล่าวมาสืบในภายหลัง แต่ถ้าศาลเห็นว่า
เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจําเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานอัน
สําคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสําคัญในคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติ
แห่งอนุมาตรานี้ ให้ศาลมีอํานาจรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้
ในการสอบถามคู่ความดังกล่าว คู่ความแต่ละฝ่าย
ต้องตอบคําถามที่ศาลถามเอง หรือถามตามคําขอของคู่ความฝ่าย
อื่น เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่คู่ความฝ่ายอื่นยกเป็นข้ออ้าง ข้อเถียง และ
พยานหลักฐานต่าง ๆ ที่คู่ความได้ยื่นต่อศาล ถ้าคู่ความฝ่ายใดไม่
ตอบคําถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงใด หรือปฏิเสธข้อเท็จจริงใดโดยไม่มี
เหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้ง ให้ถือว่ายอมรับข้อเท็จจริงนั้นแล้ว
เว้นแต่ศาลจะเห็นว่าคู่ความฝ่ายนั้นไม่อยู่ในวิสัยที่จะตอบหรือแสดง
เหตุแห่งการปฏิเสธโดยชัดแจ้งได้ในขณะนั้นและเป็นข้อเท็จจริงที่
จําเป็นต่อการกําหนดประเด็นข้อพิพาท ศาลจะมีคําสั่งให้เลื่อนวัน
นัดพร้อมเฉพาะส่วนที่ยังไม่เสร็จสิ้นออกไป และให้คู่ความฝ่ายนั้น
ทําคําแถลงเกี่ยวกับข้อเท็จจริงนั้นมายื่นต่อศาลภายในเวลาที่ศาล
เห็นสมควรก็ได้
ในกรณีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่มาศาลในวั น
นัดพร้อมหรือวันอื่นที่ศาลได้เลื่อนไป ให้ศาลดําเนินการตามมาตรา
นี้โดยให้ถือว่าคู่ความที่ไม่มาศาลได้ทราบการดําเนินการในวันนั้น
แล้ ว และคู่ ค วามที่ ไ ม่ ม าศาลไม่ มี สิ ท ธิ ข อเลื่ อ นกํ า หนดนั ด หรื อ
คัดค้านประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นําสืบที่ศาลกําหนด เว้นแต่เป็น
กรณีที่ไม่สามารถมาศาลได้ในวันนัดพร้อมหรือวันอื่นที่ศาลได้เลื่อน
ไปเพราะเหตุจําเป็นอันไม่อาจก้าวล่วงเสียได้หรือเป็นการคัดค้าน
ประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
เมื่อศาลได้ดําเนินการตามมาตรานี้เสร็จสิ้ นแล้ ว
ให้ศาลกําหนดวันสืบพยานซึ่งมีระยะเวลาไม่น้อยกว่าสิบวันนับแต่
วันนัดพร้อมวันสุดท้าย
ให้ถือว่าวันนัดพร้อมวันแรกตามมาตรานี้เป็นวันชี้
สองสถานตามประมวลกฎหมายนี้
244
เดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่า
จําเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
ถ้าโจทก์ไม่นําพยานหลักฐานมาสืบตามความใน
วรรคหนึ่งภายในระยะเวลาที่ศาลกําหนด หรือในกรณีที่คู่ความทั้ง
สองฝ่ายหรือโจทก์ขาดนัดพิจารณา ให้บังคับตามบทบัญญัติมาตรา
๒๒๒/๒๕
ศาลอาจขอให้ผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญมาให้
ความเห็ น เพื่ อ ประกอบการพิ จ ารณาพิ พ ากษาคดี ไ ด้ แต่ ต้ อ งให้
คู่ความทุ กฝ่ ายทราบและไม่ ตัดสิ ทธิคู่ความในอั น ที่จ ะขอให้เรี ย ก
ผู้ ทรงคุ ณวุ ฒิ ห รื อ ผู้ เ ชี่ ย วชาญฝ่ า ยตนมาให้ ความเห็ นโต้ แ ย้ ง หรื อ
เพิ่มเติมความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญดังกล่าว
บุคคลที่ศาลขอให้มาตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
มีสิทธิได้รับค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง ค่าเช่ าที่พัก และการ
ชดใช้ค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไป ตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกาโดย
ได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม และไม่
ถื อว่ าเงิ น ที่ ศ าลสั่ งจ่ ายตามวรรคนี้ เ ป็ น ค่ า ฤชาธรรมเนี ย มในการ
ดําเนินคดีแบบกลุ่มที่คู่ความจะต้องชําระ
(๑) เมื่อโจทก์มิได้มีคุณสมบัติตามที่บัญญัติไว้ใน
มาตรา ๒๒๒/๑๒ (๕)
(๒) เมื่อโจทก์มรณะหรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ
(๓) เมื่อศาลมีคําสั่งพิทักษ์ทรัพย์โจทก์
(๔) เมื่อโจทก์ทิ้งฟ้อง
ถ้าศาลอนุญาตให้สมาชิกกลุ่มเข้าแทนที่โจทก์ ให้
โจทก์เดิมยังคงมีฐานะเป็นสมาชิกกลุ่มคนหนึ่งและทนายความของ
โจทก์เดิมยังคงเป็นทนายความของกลุ่มต่อไป ในกรณีตามมาตรา
๒๒๒/๒๕ (๕) และ (๖) ให้ศาลกําหนดวันสืบพยานใหม่โดยเร็ว ถ้า
ศาลไม่อนุญาตให้สมาชิกกลุ่มเข้าแทนที่โจทก์หรือไม่มีการร้องขอ
เข้าแทนที่โจทก์ ให้ศาลมีคําสั่งยกเลิกการดําเนินคดีแบบกลุ่มและให้
ดําเนินกระบวนพิจารณาต่อไปอย่างคดีสามัญ โดยให้ถือว่ากระบวน
พิ จ ารณาที่ ได้ กระทํ าไปแล้ ว มี ผ ลผู กพั น การดํ าเนิ น คดี ส ามั ญของ
โจทก์ต่อไปด้วย
คําสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด
ในกรณีที่จําเลยยื่นคําให้การแล้ว ห้ามไม่ให้ศาล
อนุญาตให้ถอนฟ้องโดยมิได้ฟังจําเลยก่อน
ในกรณีที่โจทก์เพิกเฉยไม่นําเงินค่าใช้จ่ายมาวาง
ศาลตามวรรคสามโดยไม่แจ้งให้ศาลทราบเหตุแห่งการเพิกเฉยเช่น
ว่านั้น ให้ศาลมีคําสั่งไม่อนุญาตให้ถอนคําฟ้อง
ในกรณีที่โจทก์เพิกเฉยไม่นําเงินค่าใช้จ่ายมาวาง
ศาลตามวรรคหนึ่งโดยไม่แจ้งให้ศาลทราบเหตุแห่งการเพิกเฉยเช่น
ว่ า นั้ น ใ ห้ ศ า ล มี คํ า สั่ ง ไ ม่ อ นุ ญ า ต ใ ห้ มี ก า ร ต ก ล ง กั น ห รื อ
ประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดี
(๑) ชื่อศาลและเลขคดี
(๒) ชื่อและที่อยู่ของคู่ความ
(๓) ข้อความโดยย่อของคําฟ้องและลักษณะของ
กลุ่มบุคคลที่ชัดเจน
(๕) สิทธิของสมาชิกกลุ่มและผลของคําสั่งอนุญาต
ของศาลตามมาตรา ๒๒๒/๒๘ มาตรา ๒๒๒/๒๙ หรื อ มาตรา
๒๒๒/๓๐ แล้วแต่กรณี
(๖) ผลของการออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มตาม
มาตรา ๒๒๒/๒๙ หรือมาตรา ๒๒๒/๓๐ แล้วแต่กรณี
(๑) ความจําเป็นในการดําเนินคดีแบบกลุ่มต่อไป
(๒) ความคุ้มครองหรือประโยชน์ของสมาชิกกลุ่ม
(๕) จํานวนของสมาชิกกลุ่มที่คัดค้าน
(๗) การตกลงกันหรือประนีประนอมยอมความกัน
ในประเด็นแห่งคดีของคู่ความมีความเป็นธรรมและเป็นประโยชน์
กับสมาชิกกลุ่ม
(๑) ศาลมีคําพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง
(๒) ศาลมีคําสั่งยกเลิกการดําเนินคดีแบบกลุ่ม
(๓) ศาลมีคําสั่งจําหน่ายคดีเพราะเหตุถอนฟ้อง
(๔) ศาลยกคําฟ้องเพราะเหตุคดีไม่อยู่ในอํานาจ
ศาลหรือโดยไม่ตัดสิทธิสมาชิกกลุ่มที่จะฟ้องคดีใหม่
(๕) สมาชิกกลุ่มออกจากการเป็นสมาชิกกลุ่มตาม
มาตรา ๒๒๒/๑๖ มาตรา ๒๒๒/๒๙ หรือมาตรา ๒๒๒/๓๐
ส่วนที่ ๔
คําพิพากษาและการบังคับคดี
257
สมาชิกกลุ่มมีสิทธิที่จะยื่นคําขอรับชําระหนี้ แต่ไม่
มีสิทธิที่จะดําเนินการบังคับคดีตามส่วนนี้ด้วยตนเอง
หากความปรากฏต่อศาลว่าทนายความฝ่ายโจทก์
ไม่สามารถดําเนินการบังคับคดีเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของสมาชิก
กลุ่มได้อย่างเพีย งพอและเป็นธรรม ศาลอาจมีคําสั่งให้โจทก์และ
สมาชิกกลุ่มจัดหาทนายความคนใหม่มาดําเนินการบังคับคดีต่อไป
ได้
(๓) ในกรณีที่ศาลพิพากษาให้จําเลยชําระหนี้เป็น
เงิน ต้องระบุจํานวนเงินที่จําเลยจะต้องชําระให้แก่โจทก์ รวมทั้ ง
หลักเกณฑ์และวิธีการคํานวณในการชําระเงินให้สมาชิกกลุ่ม
(๔) จํานวนเงินรางวัลของทนายความฝ่ายโจทก์
ตามมาตรา ๒๒๒/๓๗
โจทก์ยื่นบัญชีค่าใช้จ่ายดังกล่าวต่อศาลโดยให้ส่งสําเนาแก่จําเลย
ด้วย
ถ้าคําพิพากษากําหนดให้จําเลยใช้เงิน นอกจาก
ศาลต้ อ งคํ านึ งถึ งหลั กเกณฑ์ ต ามวรรคหนึ่ งแล้ ว ให้ ศาลคํ านึ งถึ ง
จํานวนเงินที่โจทก์และสมาชิกกลุ่มมีสิทธิได้รับประกอบด้วย โดย
กําหนดเป็นจํานวนร้อยละของจํานวนเงินดังกล่าว แต่จํานวนเงิน
รางวัลของทนายความฝ่ายโจทก์ดังกล่าวต้องไม่เกินร้อยละสามสิบ
ของจํานวนเงินนั้น
ถ้าคําพิพากษากําหนดให้จําเลยกระทําการหรืองด
เว้นกระทําการหรือส่งมอบทรัพย์สินและให้ใช้เงินรวมอยู่ด้วย ให้นํา
ความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ในการกําหนดจํานวนเงินรางวัลของทนายความ
ฝ่ายโจทก์ตามมาตรานี้ หากมีการเปลี่ยนทนายความฝ่ายโจทก์ ให้
ศาลกําหนดจํานวนเงินรางวัลของทนายความฝ่ายโจทก์ตามสัดส่วน
ของการทํางานและค่าใช้จ่ายที่ทนายความแต่ละคนเสียไป
ให้ถือว่าทนายความฝ่ายโจทก์เป็นเจ้าหนี้ตามคํา
พิ พ ากษาและจํ า เลยเป็ น ลู ก หนี้ ต ามคํ า พิ พ ากษาในส่ ว นของเงิ น
รางวัลของทนายความฝ่ายโจทก์ด้วย และเงินรางวัลดังกล่าวมิใช่ค่า
ฤชาธรรมเนียม
260
ให้ศาลชั้นต้นมีอํานาจพิจารณาสั่งคําร้องขอทุเลา
การบังคับตามคําพิพากษาคําสั่งของศาลชั้นต้นให้เป็นที่สุด
ในกรณีที่ศาลมีคําพิพากษาให้จําเลยชําระหนี้เป็น
เงินหรือชําระหนี้เป็นเงินรวมอยู่ด้วย ให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี
เพื่อดําเนินการต่อไป รวมทั้งกําหนดวันตามที่เห็นสมควรในคําบอก
207[๒๑๓] มาตรา ๒๒๒/๓๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๖) พ.ศ. ๒๕๕๘
กล่าวและประกาศตามวรรคหนึ่ง เพื่อให้สมาชิกกลุ่มยื่นคําขอรับ
ชํ า ระหนี ้ต ่อ เจ้า พนัก งานบัง คับ คดี แต่ ถ้ าเป็ น กรณี ที่ ศาลมี คํ า
พิพากษาให้จําเลยชําระหนี้อย่างอื่นและจําเป็นจะต้องมีการดําเนินการ
อย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อประโยชน์แก่การบังคับตามคําพิพากษา โจทก์
อาจยื่นคําขอต่อศาลเพื่อตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการได้
เมื่อพ้นกําหนดระยะเวลาตามวรรคสอง สมาชิก
กลุ่มที่ไม่ได้ยื่นคําขอรับชําระหนี้ไม่มีสิทธิขอเฉลี่ยทรัพย์สินหรือเงิน
ในการบังคับคดีตามส่วนนี้ เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย สมาชิก
กลุ่มที่ไม่ได้ยื่นคําขอรับชําระหนี้ภายในกําหนดระยะเวลา อาจยื่น
คําขอรับชําระหนี้ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ภายในสามสิบวันนับ
แต่วันพ้นกําหนดระยะเวลา
(๑) ให้ยกคําขอรับชําระหนี้
(๒) อนุญาตให้ได้รับชําระหนี้เต็มจํานวน
(๓) อนุญาตให้ได้รับชําระหนี้บางส่วน
คําสั่งของศาลตามวรรคสามให้อุทธรณ์และฎีกาได้
ภายใต้บทบัญญัติในภาค ๓ อุทธรณ์และฎีกา
212[๒๑๘]
มาตรา ๒๒๒/๔๓ วรรคหนึ่ง แก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
(ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
264
ในกรณีที่จํานวนเงินที่สมาชิกกลุ่มได้ยื่นคําขอรับ
ชํา ระหนี้ตามมาตรา ๒๒๒/๔๒ ยัง ไม่เป็นที่ยุติ ให้ศาลที่ได้รับคํา
ร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ตามวรรคหนึ่งรอการมีคําสั่งให้เฉลี่ยทรัพย์ไว้ก่อน
และเมื่ อได้ ข้อยุ ติในจํ านวนเงิ น ดั งกล่ าวแล้ ว ให้ ทนายความฝ่ า ย
โจทก์แจ้งให้ศาลนั้นทราบ
(๓) ค่าฤชาธรรมเนียมใช้แทนโจทก์
ส่วนที่ ๕
อุทธรณ์และฎีกา
ประกันให้ไว้ต่อศาลเฉพาะในส่วนที่จําเลยต้องรับผิดชําระหนี้ให้แก่
โจทก์ แต่ไม่ต้องนําเงินมาชําระหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลสําหรับ
เงินรางวัลของทนายความฝ่ายโจทก์
ส่วนที่ ๖
ค่าธรรมเนียม
ภาค ๓
อุทธรณ์และฎีกา
ลักษณะ ๑
อุทธรณ์
พิพากษาดังกล่าวเพื่อพิจารณารับรอง
ถ้าคู่ความฝ่ายใดมิได้ยกปัญหาข้อใดอันเกี่ยวด้วย
ความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นหรือคู่ความ
ฝ่ายใดไม่สามารถยกปัญหาข้อกฎหมายใด ๆ ขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้น
เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทําได้ หรือเพราะเหตุเป็นเรื่องที่
ไม่ ป ฏิ บั ติ ต ามบทบั ญ ญั ติ ว่ า ด้ ว ยกระบวนพิ จ ารณาชั้ น อุ ท ธรณ์
คู่ความที่เกี่ยวข้องย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาเช่นว่านั้นได้
(๑) ห้ามมิให้อุทธรณ์คําสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ไม่ว่าศาลจะได้มีคําสั่ง
ให้รับคําฟ้องไว้แล้วหรือไม่ ให้ถือว่าคําสั่งอย่างใดอย่างหนึ่งของศาล
นับตั้งแต่มีการยื่นคําฟ้องต่อศาลนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา ๒๒๗
และ ๒๒๘ เป็นคําสั่งระหว่างพิจารณา224[๒๓๐]
คําสั่งเช่นว่านี้ คู่ความย่อมอุทธรณ์ได้ภายในกําหนด
หนึ่งเดือน นับแต่วันมีคําสั่งเป็นต้นไป
แม้ถึงว่าจะมีอุทธรณ์ในระหว่างพิจารณา ให้ศาล
ดําเนินคดีต่อไป และมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีนั้น แต่
ถ้าในระหว่างพิจารณา คู่ความอุทธรณ์คําสั่งชนิดที่ระบุไว้ในอนุมาตรา
(๓) ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกลับหรือแก้ไขคําสั่งที่คู่ความอุทธรณ์
นั้น จะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดี หรือวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อใดที่
ศาลล่างมิได้วินิจฉัยไว้ ให้ศาลอุทธรณ์มีอํานาจทําคําสั่งให้ศาลล่าง
งดการพิ จ ารณาไว้ ใ นระหว่ า งอุ ท ธรณ์ หรื อ งดการวิ นิ จ ฉั ย คดี ไ ว้
จนกว่าศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์นั้น
ถ้าผู้พิพากษาที่ได้พิจารณาคดีนั้นมีความเห็นแย้ง
หรือได้รับรองไว้แล้ว หรือรับรองในเวลาที่ตรวจอุทธรณ์นั้นว่ามีเหตุ
อั น ควรอุ ท ธรณ์ ใ นปั ญ หาข้ อ เท็ จ จริ ง นั้ น ได้ ก็ ใ ห้ ศ าลมี คํ า สั่ ง รั บ
อุทธรณ์นั้นไว้พิจารณาในปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว
ถ้าไม่มีความเห็นแย้งหรือคํารับรองเช่นว่านั้น ให้
ศาลมีคําสั่งไม่รับอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงที่กล่าวแล้ว ในกรณี
เช่นนี้ ถ้าอธิบดีผู้พิพากษาหรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคมิได้เป็นคณะใน
คําสั่งนั้น ผู้อุทธรณ์ชอบที่จะยื่นคําร้องต่อศาลถึงอธิบดีผู้พิพากษา
หรืออธิบดีผู้พิพากษาภาคภายในเจ็ดวัน เมื่อศาลได้รับคําร้องเช่นว่า
นั้ น ให้ ศ าลส่ ง คํ า ร้ อ งนั้ น พร้ อ มด้ ว ยสํ า นวนความไปยั ง อธิ บ ดี ผู้
พิ พากษาหรื อ อธิ บ ดี ผู้ พิพากษาภาคเพื่ อมี คํ าสั่ ง ยื น ตามหรื อ กลั บ
คําสั่งของศาลนั้น คําสั่งของอธิบดีผู้พิพากษา หรืออธิบดีผู้พิพากษา
ภาค เช่นว่านี้ ให้เป็นที่สุด
บทบัญญัติแห่งมาตรานี้ ไม่ห้ามศาลในอันที่จะมี
คําสั่งตามมาตรา ๒๓๒ ปฏิเสธไม่ส่งอุทธรณ์ในเหตุอื่น หรือในอันที่
ศาลจะมีคําสั่งให้ส่งอุทธรณ์นั้นไปเท่าที่เป็นอุทธรณ์ในข้อกฎหมาย
คําขอเช่นว่านั้น ให้ผู้อุทธรณ์ยื่นต่อศาลชั้นต้นได้
จนถึ งเวลาที่ ศาลมี คําสั่ งอนุ ญาตให้ อุทธรณ์ ถ้ าภายหลั งศาลได้ มี
คําสั่งเช่นว่านี้แล้ว ให้ยื่นตรงต่อศาลอุทธรณ์ ถ้าได้ยื่นคําขอต่อศาล
ชั้ น ต้ น ก็ ให้ ศ าลรี บ ส่ งคํ า ขอนั้ น ไปยั งศาลอุ ทธรณ์ ในกรณี ที่ มีเหตุ
ฉุกเฉินอย่างยิ่ง เมื่อศาลชั้นต้นได้รับคําขอไว้ ก็ให้มีอํานาจทําคําสั่ง
ให้ทุเลาการบังคับไว้รอคําวินิจฉัยชี้ขาดของศาลอุทธรณ์ในคําขอเช่น
ว่านั้น
ถ้าผู้อุทธรณ์วางเงินต่อศาลชั้นต้นเป็นจํานวนพอ
ชําระหนี้ตามคําพิพากษารวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมในการฟ้องร้อง
และการบังคับคดี หรือได้หาประกันมาให้สําหรับเงินจํานวนเช่นว่านี้
จนเป็นที่พอใจของศาลให้ศาลที่กล่าวมาแล้วงดการบังคับคดีไว้ดังที่
บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙๒ (๑)227[๒๓๓]
เมื่อได้รับคําขอเช่นว่านี้ ศาลอุทธรณ์จะอนุญาตให้
ทุเลาการบังคับไว้ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินก็ได้ โดยมิต้องฟังคู่ความอีก
ฝ่ า ยหนึ่ ง แต่ ใ นกรณี เ ช่ น ว่ า นี้ ให้ ถื อ ว่ า คํ า สั่ ง นี้ เ ป็ น การชั่ ว คราว
227[๒๓๓]
มาตรา ๒๓๑ วรรคสาม แก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
277
จนกว่าศาลจะได้ฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งในภายหลัง ถ้าศาลมีคําสั่งให้
ทุเลาการบังคับไว้ตามที่ขอ คําสั่งนี้อาจอยู่ภายใต้บังคับเงื่อนไขใด ๆ
หรือไม่ก็ได้ ศาลจะมีคําสั่งให้ผู้อุทธรณ์ทําทัณฑ์บนว่าจะไม่ยักย้าย
จําหน่ายทรัพย์สินของตนในระหว่างอุทธรณ์ หรือให้หาประกันมา
ให้ ศ าลให้ พ อกั บ เงิ น ที่ ต้ อ งใช้ ต ามคํ า พิ พ ากษาหรื อ จะให้ ว างเงิ น
จํานวนนั้นต่อศาลก็ได้ ถ้าผู้อุทธรณ์ไม่ปฏิบัติตามคําสั่งนั้น ศาลจะ
สั่งให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้อุทธรณ์นั้นก็ได้ และถ้าทรัพย์สิน
เช่นว่านั้น หรือส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์ ศาลอาจมีคําสั่ง
ให้ เอาออกขายทอดตลาดก็ ได้ ถ้ าปรากฏว่ าการขายนั้ น เป็ น การ
จําเป็นและสมควร เพราะทรัพย์สินนั้นมีสภาพเป็นของเสียได้ง่าย
หรือว่าการเก็บรักษาไว้ในระหว่างอุทธรณ์น่าจะนําไปสู่ความยุ่งยาก
หรือจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเป็นจํานวนมาก
ความเห็นว่าการอุทธรณ์นั้นคู่ความที่ศาลพิพากษาให้ชนะจะต้อง
เสียค่าฤชาธรรมเนียมเพิ่มขึ้น ให้ศาลมีอํานาจกําหนดไว้ในคําสั่งให้ผู้
อุทธรณ์นําเงินมาวางศาลอีกให้พอกับจํานวนค่าฤชาธรรมเนียมซึ่ง
จะต้องเสียดังกล่าวแล้ว ตามอัตราที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น ก่อนสิ้น
ระยะเวลาอุทธรณ์หรือภายในระยะเวลาตามที่ศาลจะเห็นสมควร
อนุญาต หรือตามแต่ผู้อุทธรณ์จะมีคําขอขึ้นมาไม่เกินสิบวันนับแต่
สิ้ น ระยะเวลาอุ ท ธรณ์ นั้ น ถ้ า ผู้ อุ ท ธรณ์ ไ ม่ นํ า เงิ น จํ า นวนที่ ก ล่ า ว
ข้ า งต้ น มาวางศาลภายในกํ า หนดเวลาที่ อ นุ ญ าตไว้ ก็ ใ ห้ ศ าลยก
อุทธรณ์นั้นเสีย
แต่วันที่จําเลยอุทธรณ์ยื่นคําแก้อุทธรณ์ หรือถ้าจําเลยอุทธรณ์ไม่ยื่น
คําแก้อุทธรณ์ ภายในกําหนดเจ็ดวันนับแต่ระยะเวลาที่กําหนดไว้ใน
มาตรา ๒๓๗ สําหรับการยื่นคําแก้อุทธรณ์ได้สิ้นสุดลง ให้ศาลส่ ง
อุทธรณ์และคําแก้อุทธรณ์ถ้าหากมี พร้อมทั้งสํานวนและหลักฐาน
ต่าง ๆ ไปยังศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุ ทธรณ์ได้ รับฟ้องอุ ทธรณ์และ
สํานวนความไว้แล้ว ให้นําคดีลงสารบบความของศาลอุทธรณ์โดย
พลัน
เมื่อได้อ่านคําสั่งศาลอุทธรณ์ให้รับอุทธรณ์แล้ว ให้
ศาลชั้นต้นส่งสําเนาอุทธรณ์แก่จําเลยอุทธรณ์ และภายในกําหนด
เจ็ ด วั น นั บ แต่ วั น ที่ จํ า เลยอุ ท ธรณ์ ยื่ น คํ า แก้ อุ ท ธรณ์ หรื อ นั บ แต่
ระยะเวลาที่กําหนดไว้ในมาตรา ๒๓๗ สําหรับการยื่นคําแก้อุทธรณ์
ได้สิ้นสุดลง ให้ศาลส่งคําแก้อุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์หรือแจ้งให้
ทราบว่าไม่มีคําแก้อุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ได้รับคําแก้อุทธรณ์หรือ
280
แจ้งความเช่นว่าแล้ว ให้นําคดีลงสารบบความของศาลอุทธรณ์โดย
พลัน
(๓) ในคดีที่คู่ความอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย
ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาหรือวินิจฉัยปัญหา
ข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสําคัญในประเด็น ให้ศาลอุทธรณ์มีอํานาจ
ทําคํ าสั่ งให้ ศาลชั้ น ต้น พิ จารณาปั ญหาข้ อเท็ จจริ งเช่ น ว่านั้ น แล้ ว
พิพากษาไปตามรูปความ
ด้วยวาจาในชั้นศาลอุทธรณ์ได้ด้วย ถึงแม้ว่าตนจะมิได้แสดงความ
ประสงค์ไว้
(๒) เมื่อคดีปรากฏเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติ
แห่ ง ประมวลกฎหมายนี้ ว่ า ด้ ว ยการพิ จ ารณาหรื อ มี เ หตุ ที่ ศาลได้
ปฏิเสธไม่สืบพยานตามที่ผู้อุทธรณ์ร้องขอ และศาลอุทธรณ์เห็นว่ามี
เหตุ อัน สมควร ก็ให้ศาลอุ ทธรณ์ มีคําสั่ งยกคําพิพากษาหรื อคํ าสั่ ง
ศาลชั้นต้นนั้นแล้วกําหนดให้ศาลชั้นต้นซึ่งประกอบด้วยผู้พิพากษา
คณะเดิมหรือผู้พิพากษาอื่น หรือศาลชั้นต้นอื่นใดตามที่ศาลอุทธรณ์
จะเห็ น สมควร พิ จ ารณาคดี นั้ น ใหม่ ทั้ ง หมดหรื อ บางส่ ว น และ
พิพากษาหรือมีคําสั่งใหม่
(ก) การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงนั้นผิด
ต่อกฎหมาย ศาลอุทธรณ์อาจฟังข้อเท็จจริงใหม่แทนข้อเท็จจริงของ
ศาลชั้นต้น แล้วมีคําพิพากษาหรือคําสั่งชี้ขาดตัดสินคดีไปตามนั้น
หรือ
(ข) ข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นฟังมาไม่พอแก่การ
วินิ จ ฉัย ข้ อกฎหมาย ศาลอุ ทธรณ์ อาจทํา คํ า สั่ง ให้ย กคํา พิพากษา
หรือ คํ า สั ่ง ศาลชั ้น ต้น นั ้น เสีย แล้ว กํ า หนดให้ศ าลชั ้น ต้น ซึ ่ง
ประกอบด้ว ยผู ้พ ิพ ากษาคณะเดิ ม หรื อ ผู้ พิ พากษาอื่ น หรื อศาล
ชั้น ต้ น อื่ นใด ตามที่ ศาลอุ ทธรณ์ เห็ น สมควร พิ จ ารณาคดี นั้ นใหม่
ทั้งหมดหรือบางส่วน โดยดําเนินตามคําชี้ขาดของศาลอุทธรณ์แล้วมี
คําพิพากษาหรือคําสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีไปตามรูปความ ทั้งนี้ ไม่ว่า
จะปรากฏจากการอุทธรณ์หรือไม่
286
ด้วยการชําระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ และคู่ความแต่บางฝ่ายเป็นผู้
อุ ทธรณ์ ซึ่งทํ าให้ คําพิ พากษาหรื อคํ าสั่ งนั้ น มี ผ ลเป็ น ที่ สุ ดระหว่ า ง
คู่ความอื่น ๆ ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าควรกลับคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ที่อุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์มีอํานาจชี้ขาดว่าคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ศาลอุทธรณ์ ให้มีผลระหว่างคู่ความทุกฝ่ายในคดีในศาลชั้นต้นด้วย
(๒) ถ้าได้มีการอนุญาตให้ผู้ร้องสอดเข้ามาในคดี
แทนคู่ ค วามฝ่ า ยใด คํ า พิ พ ากษาศาลอุ ท ธรณ์ ย่ อ มมี ผ ลบั ง คั บ แก่
คู่ความฝ่ายนั้นด้วย
ลักษณะ ๒
ฎีกา
288
การขออนุญาตฎีกา ให้ยื่นคําร้องพร้อมกับคําฟ้อง
ฎีกาต่อศาลชั้นต้นที่มีคําพิพากษาหรือคําสั่งในคดีนั้นภายในกําหนด
หนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลอุทธรณ์
แล้วให้ศาลชั้นต้นรีบส่งคําร้องพร้อมคําฟ้องฎีกาดังกล่าวไปยังศาล
ฎีกา และให้ศาลฎีกาพิจารณาวินิจฉัยคําร้องให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว
การวินิจฉัยให้เป็นไปตามเสียงข้างมาก ถ้าคะแนน
เสียงเท่ากั นให้ บังคับ ตามความเห็นของฝ่ายที่เห็นควรอนุญาตให้
ฎีกา
(๒) เมื่อคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลอุทธรณ์ได้
วินิจฉัยข้อกฎหมายที่สําคัญขัดกันหรือขัดกับแนวบรรทัดฐานของคํา
พิพากษาหรือคําสั่งของศาลฎีกา
(๔) เมื่อคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลอุทธรณ์ขัด
กับคําพิพากษาหรือคําสั่งอันถึงที่สุดของศาลอื่น
(๕) เพื่อเป็นการพัฒนาการตีความกฎหมาย
(๖) ปัญหาสําคัญอื่นตามข้อกําหนดของประธาน
ศาลฎีกา
ข้ อ กํ า หนดของประธานศาลฎี ก าตามวรรคสอง
(๖) เมื่อได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาและประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้บังคับได้
ในกรณีที่ศาลฎีกามีคําสั่งไม่อนุญาตให้ฎีกา ให้คํา
พิพากษาหรือคําสั่งของศาลอุทธรณ์เป็นที่สุดตั้งแต่วันที่ได้อ่านคํา
พิพากษาหรือคําสั่งนั้น
ภาค ๔
วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาและการบังคับตามคําพิพากษาหรือ
คําสั่ง
ลักษณะ ๑
วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา
หมวด ๑
หลักทั่วไป
293
ถ้าศาลไต่สวนแล้วเห็นว่า มีเหตุอันสมควรหรือมี
เหตุเป็นที่เชื่อได้ แล้วแต่กรณี ก็ให้ศาลมีคําสั่งให้โจทก์วางเงินต่อ
ศาลหรือหาประกันมาให้ตามจํานวนและภายในระยะเวลาที่กําหนด
โดยจะกําหนดเงื่อนไขใด ๆ ตามที่เห็นสมควรก็ได้
ในระหว่างที่ศาลชั้นต้นยังมิได้ส่งสํานวนความไป
ยังศาลอุ ทธรณ์ ห รื อศาลฎี กา คํ าร้ องตามวรรคหนึ่ งให้ ยื่ น ต่ อศาล
ชั้นต้น และให้ศาลชั้นต้นทําการไต่สวน แล้วส่งคําร้องนั้นพร้อมด้วย
สํานวนความไปให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาสั่ง
บังคั บแห่ งเงื่ อนไขซึ่ งจะกล่าวต่ อไป เพื่ อจั ดให้ มีวิ ธี คุ้มครองใด ๆ
ดังต่อไปนี้
(๒) ให้ศาลมีคําสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จําเลยกระทํา
ซ้ํ า หรื อ กระทํ า ต่ อ ไป ซึ่ ง การละเมิ ด หรื อ การผิ ด สั ญ ญาหรื อ การ
กระทํ า ที่ ถู ก ฟ้ อ งร้ อ ง หรื อ มี คํ า สั่ ง อื่ นใดในอั น ที่ จ ะบรรเทาความ
เดือดร้อนเสียหายที่โจทก์อาจได้รับต่อไปเนื่องจากการกระทําของ
จําเลยหรือมี คําสั่ งห้ ามชั่ ว คราวมิ ให้จํ าเลยโอน ขาย ยั กย้ ายหรื อ
จําหน่ายซึ่งทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจําเลย หรือมีคําสั่ง
ให้หยุดหรือป้องกันการเปลืองไปเปล่าหรือการบุบสลายซึ่งทรัพย์สิน
ดังกล่าว ทั้งนี้ จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น
(๔) ให้จับกุมและกักขังจําเลยไว้ชั่วคราว
(๑) ในกรณีที่ยื่นคําขอให้ศาลมีคําสั่งตามมาตรา
๒๕๔ (๑) ต้องให้เป็นที่พอใจของศาลว่า
หรือขัดขวางต่อการบังคับตามคําบังคับใด ๆ ซึ่งอาจจะออกบังคับ
เอาแก่จําเลยหรือเพื่อจะทําให้โจทก์เสียเปรียบ หรือ
(ข) มีเหตุจําเป็นอื่นใดตามที่ศาลจะพิเคราะห์
เห็นเป็นการยุติธรรมและสมควร
(๒) ในกรณีที่ยื่นคําขอให้ศาลมีคําสั่งตามมาตรา
๒๕๔ (๒) ต้องให้เป็นที่พอใจของศาลว่า
(ก) จําเลยตั้งใจจะกระทําซ้ําหรือกระทําต่อไป
ซึ่งการละเมิด การผิดสัญญา หรือการกระทําที่ถูกฟ้องร้อง
(ค) ทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจําเลย
นั้นมีพฤติการณ์ว่าจะมีการกระทําให้เปลืองไปเปล่าหรือบุบสลาย
หรือโอนไปยังผู้อื่น หรือ
(๓) ในกรณีที่ยื่นคําขอให้ศาลมีคําสั่งตามมาตรา
๒๕๔ (๓) ต้องให้เป็นที่พอใจของศาลว่า
(ก) เป็นที่เกรงว่าจําเลยจะดําเนินการให้มีการ
จดทะเบียน แก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน หรือเพิกถอนการจด
298
ทะเบียนเกี่ยวกับทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจําเลยหรือที่
เกี่ ย วกั บ การกระทํ า ที่ ถู กฟ้ องร้ อ ง ซึ่ งการดํ า เนิ น การดั ง กล่ าวจะ
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ หรือ
(๔) ในกรณีที่ยื่นคําขอให้ศาลมีคําสั่งตามมาตรา
๒๕๔ (๔) ต้ อ งให้ เ ป็ น ที่ พ อใจของศาลว่ า เพื่ อ ที่ จ ะประวิ ง หรื อ
ขัดขวางต่ อการพิจารณาคดีหรื อการบังคั บตามคําบังคับใด ๆ ซึ่ ง
อาจจะออกบังคับเอาแก่จําเลย หรือเพื่อจะทําให้โจทก์เสียเปรียบ
(ก) จําเลยซ่อนตัวเพื่อจะไม่รับหมายเรียกหรือ
คําสั่งของศาล
(ข) จําเลยได้ยักย้ายไปให้พ้นอํานาจศาลหรือ
ซุกซ่อนเอกสารใด ๆ ซึ่งพอจะเห็นได้ว่าจะใช้เป็นพยานหลักฐานยัน
จําเลยในคดีที่อยู่ในระหว่างพิจารณา หรือทรัพย์สินที่พิพาท หรือ
ทรั พย์ สิ น ของจํ า เลยทั้ งหมดหรื อ แต่ บ างส่ ว น หรื อเป็ น ที่ เกรงว่ า
จําเลยจะจําหน่ายหรือทําลายเอกสารหรือทรัพย์สินเช่นว่านั้น หรือ
ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จําเลยโอน
ขาย ยักย้าย หรือจําหน่ายซึ่งทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของ
จําเลย ศาลจะกําหนดวิธีการโฆษณาตามที่เห็นสมควรเพื่อป้องกัน
การฉ้อฉลก็ได้
246[๒๕๒] มาตรา ๒๕๖ แก้ไขเพิม่ เติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๑๕) พ.ศ. ๒๕๓๘
ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งห้ามชั่วคราวมิให้จําเลยโอน
ขาย ยักย้าย หรือจําหน่ายซึ่งทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของ
จํ า เลยที่ ก ฎหมายกํ า หนดไว้ ใ ห้ จ ดทะเบี ย น หรื อ มี คํ า สั่ ง ให้ น าย
ทะเบีย น พนักงานเจ้ าหน้าที่ หรือบุคคลอื่ นผู้มีอํานาจหน้ าที่ตาม
กฎหมาย ระงับการจดทะเบียน การแก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียน
หรือการเพิกถอนการจดทะเบียนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าวหรือที่
เกี่ ย วกั บ การกระทํ า ที่ ถู ก ฟ้ อ งร้ อ ง ให้ ศ าลแจ้ ง คํ า สั่ ง นั้ น ให้ น าย
ทะเบีย น พนักงานเจ้ าหน้าที่ หรือบุคคลอื่ นผู้มีอํานาจหน้ าที่ตาม
กฎหมายทราบ และให้ บุ คคลดั ง กล่ าวบั น ทึ กคํ าสั่ งของศาลไว้ ใ น
ทะเบียน
บุคคลภายนอก ซึ่งพิสูจน์ได้ว่าได้รับโอนสุจริตและเสียค่าตอบแทน
ก่อนการแจ้งคําสั่งให้จําเลยทราบมิได้
คําสั่งศาลซึ่งอนุญาตตามคําขอที่ได้ยื่นตามมาตรา
๒๕๔ (๒) นั้น ให้บังคับจําเลยได้ทันที ถึงแม้ว่าจําเลยจะยังมิได้รับ
แจ้งคําสั่งเช่นว่านั้นก็ตาม เว้นแต่ศาลจะได้พิเคราะห์พฤติการณ์แห่ง
คดีแล้วเห็นสมควรให้คําสั่งมีผลบังคับเมื่อจําเลยได้รับแจ้งคําสั่งเช่น
ว่านั้นแล้ว
คําสั่งศาลซึ่งอนุญาตตามคําขอที่ได้ยื่นตามมาตรา
๒๕๔ (๓) ที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่พิพาทหรือทรัพย์สินของจําเลย นั้น
ให้มีผลใช้บังคับได้ทันที ถึงแม้ว่านายทะเบียน พนักงานเจ้าหน้าที่
หรือบุคคลอื่นผู้มีอํานาจหน้าที่ตามกฎหมายจะยังมิได้รับแจ้งคําสั่ง
เช่นว่านั้นก็ตาม เว้นแต่ศาลจะได้พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว
เห็นสมควรให้คําสั่งมีผลบังคับเมื่อบุคคลดังกล่าวได้รับแจ้งคําสั่งเช่น
ว่านั้นแล้ว
คําสั่งศาลซึ่งอนุญาตตามคําขอที่ได้ยื่นตามมาตรา
๒๕๔ (๓) ที่เกี่ยวกับการกระทําที่ถูกฟ้องร้องให้มีผลใช้บังคับแก่นาย
ทะเบีย น พนักงานเจ้ าหน้าที่ หรือบุคคลอื่ นผู้มีอํานาจหน้ าที่ตาม
กฎหมายต่อเมื่อบุคคลดังกล่าวได้รับแจ้งคําสั่งเช่นว่านั้นแล้ว
(๑) ถ้าคดีนั้นศาลตัดสินให้จําเลยเป็นฝ่ายชนะคดี
เต็มตามข้อหาหรือบางส่วนคําสั่งของศาลเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวใน
ส่วนที่จําเลยชนะคดีนั้น ให้ถือว่าเป็นอันยกเลิกเมื่อพ้นกําหนดเจ็ด
วันนับแต่วันที่ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง เว้นแต่โจทก์จะได้ยื่นคํา
ขอฝ่ายเดียวต่อศาลชั้นต้นภายในกําหนดเวลาดังกล่าว แสดงว่าตน
ประสงค์จะยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้น และมีเหตุ
อันสมควรที่ศาลจะมีคําสั่งให้วิธีการชั่วคราวเช่นว่านั้นยังคงมีผลใช้
บังคับต่อไปในกรณีเช่นว่านี้ ถ้าศาลชั้นต้นมีคําสั่งให้ยกคําขอของ
โจทก์ คํ าสั่ งของศาลให้ เป็ น ที่ สุ ด ถ้ าศาลชั้ น ต้ น มี คํา สั่ งให้ วิ ธี การ
ชั่ว คราวยังคงมีผ ลใช้ บั งคั บ ต่ อไป คํ าสั่ งของศาลชั้ น ต้ นให้ มีผ ลใช้
บังคับต่อไปจนกว่าจะครบกําหนดยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาหรือศาลมี
คําสั่งถึงที่สุดไม่รับอุทธรณ์หรือฎีกาแล้วแต่กรณี เมื่อมีการอุทธรณ์
หรือฎีกาแล้ว คําสั่งของศาลชั้นต้นให้มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าศาล
อุทธรณ์หรือศาลฎีกาจะมีคําสั่งเป็นอย่างอื่น
(๒) ถ้าคดีนั้นศาลตัดสินให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี
คําสั่งของศาลเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวยังคงมีผลใช้บังคับต่อไปเท่าที่
จําเป็นเพื่อปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล
305
ม า ต ร า ๒ ๖ ๑ 252[ ๒ ๕ ๘ ] จํ า เ ล ย ห รื อ
บุคคลภายนอกซึ่งได้รับหมายยึด หมายอายัด หรือคําสั่งตามมาตรา
๒๕๔ (๑) (๒) หรือ (๓) หรือจะต้องเสียหายเพราะหมายยึด หมาย
อายัด หรือคําสั่งดังกล่าว อาจมีคําขอต่อศาลให้ถอนหมาย เพิกถอน
คําสั่ง หรือแก้ไขเปลี่ยนแปลงคําสั่ง หมายยึด หรือหมายอายัด ซึ่ง
ออกตามคํ า สั่ งดั ง กล่ าวได้ แต่ ถ้าบุ คคลภายนอกเช่ น ว่ านั้ น ขอให้
ปล่อยทรัพย์สินที่ยึดหรือคัดค้านคําสั่งอายัดให้นํามาตรา ๓๒๓ หรือ
มาตรา ๓๒๕ แล้วแต่กรณี มาใช้บังคับโดยอนุโลม
จําเลยซึ่งถูกศาลออกคําสั่งจับกุมตามมาตรา ๒๕๔
(๔) อาจมีคําขอต่อศาลให้เพิกถอนคําสั่งถอนหมาย หรือให้ปล่อยตัว
ไปโดยไม่มีเงื่อนไขหรือให้ปล่อยตัวไปชั่วคราวโดยมีหลักประกันตาม
จํานวนที่ศาลเห็นสมควรหรือไม่ก็ได้
ถ้าปรากฏว่าวิธีการที่กําหนดไว้ตามมาตรา ๒๕๔
นั้น ไม่มีเหตุเพียงพอหรือมีเหตุอันสมควรประการอื่น ศาลจะมีคําสั่ง
อนุญาตตามคําขอหรือมีคําสั่งอื่นใดตามที่เห็นสมควร เพื่อประโยชน์
แห่งความยุติธรรมก็ได้ ทั้งนี้ ศาลจะกําหนดให้ผู้ขอวางเงินต่อศาล
หรือหาประกันมาให้ตามจํานวนและภายในระยะเวลาที่เห็นสมควร
หรือจะกําหนดเงื่อนไขใด ๆ ตามที่เห็นสมควรก็ได้แต่ในกรณีที่เป็น
การฟ้องเรียกเงิน ห้ามไม่ให้ศาลเรียกประกันเกินกว่าจํานวนเงินที่
ฟ้องรวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียม
(๒) ไม่ว่าคดีนั้นศาลจะชี้ขาดตัดสินให้โจทก์ชนะ
หรือแพ้คดี ถ้าปรากฏว่าศาลมีคําสั่งโดยมีความเห็นหลงไปว่าวิธีการ
เช่นว่านี้มีเหตุผลเพียงพอ โดยความผิดหรือเลินเล่อของผู้ขอ
เมื่อได้รับคําขอตามวรรคหนึ่ง ศาลมีอํานาจสั่งให้
แยกการพิจารณาเป็นสํานวนต่างหากจากคดีเดิม และเมื่อศาลทํา
การไต่สวนแล้วเห็นว่าคําขอนั้นรับฟังได้ก็ให้มีคําสั่งให้โจทก์ชดใช้ค่า
สินไหมทดแทนให้แก่จําเลยได้ตามจํานวนที่ศาลเห็นสมควร ถ้าศาล
ที่มีคําสั่งตามวิธีการชั่วคราวเป็นศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา เมื่อศาล
ชั้นต้นทําการไต่สวนแล้ว ให้ส่งสํานวนให้ศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกา
แล้ ว แต่ กรณี เป็ น ผู้ สั่ งคํ าขอนั้ น ถ้ าโจทก์ ไม่ ป ฏิ บั ติตามคํ าสั่ งศาล
ศาลมีอํานาจบังคับโจทก์เสมือนหนึ่งว่าเป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษา
หมวด ๒
คําขอในเหตุฉุกเฉิน
เพื่อให้ศาลมีคําสั่งหรือออกหมายตามที่ขอโดยไม่ชักช้าก็ได้
จําเลยอาจยื่นคําขอโดยพลัน ให้ศาลยกเลิกคําสั่ง
หรือหมายนั้นเสีย และให้นําบทบัญญัติแห่งวรรคก่อนมาใช้บังคับ
โดยอนุ โ ลม คํ าขอเช่ น ว่ า นี้ อ าจทํ าเป็ น คํ า ขอฝ่ า ยเดี ย วโดยได้ รั บ
อนุญาตจากศาล ถ้าศาลมีคําสั่งยกเลิกคําสั่งเดิมตามคําขอคําสั่งเช่น
ว่านี้ให้เป็นที่สุด
การที่ศาลยกคําขอในเหตุฉุกเฉินหรือยกเลิกคําสั่ง
ที่ได้ออกตามคําขอในเหตุฉุกเฉินนั้น ย่อมไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะเสนอ
คําขอตามมาตรา ๒๕๔ นั้นใหม่
ลักษณะ ๒
การบังคับคดีตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง262[๒๖๘]
หมวด ๑
หลักทั่วไป
ส่วนที่ ๑
ศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดี
263[๒ ๖ ๙ ]ม า ต ร า ๒ ๗ ๑ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
314
บั ง คั บ คดี เว้ น แต่ ศ าลอุ ท ธรณ์ ห รื อ ศาลฎี ก า แล้ ว แต่ ก รณี จะได้
กําหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ในกรณีที่จะต้องบังคับคดีนอกเขตศาล ให้ศาลที่มี
อํานาจในการบังคับคดีมีอํานาจตั้งให้ศาลอื่นบังคับคดีแทนได้ หรือ
เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาอาจยื่นคําแถลงหรือเจ้าพนักงานบังคับคดี
รายงานให้ ศ าลที่ จ ะมี ก ารบั ง คั บ คดี แ ทนทราบพร้ อ มด้ ว ยสํ า เนา
หมายบังคับคดีหรือสําเนาคําสั่งกําหนดวิธีการบังคับคดี ในกรณีเช่น
ว่านี้ ให้ศาลดังกล่าวแจ้งให้ศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดีทราบโดย
ไม่ชักช้า และให้ศาลที่จะมีการบังคับคดีแทนตั้งเจ้าพนักงานบังคับ
คดีหรือมีคําสั่งอื่นใดเพื่อดําเนินการบังคับคดีต่อไป
ในกรณีที่มีการบังคับคดีนอกเขตศาลโดยบกพร่อง
ผิดพลาด หรือฝ่าฝืนกฎหมาย ให้ศาลที่บังคับคดีแทนมีอํานาจสั่ง
เพิกถอนหรือแก้ไขกระบวนวิธีการบังคับคดีทั้งปวงหรือวิธีการบังคับ
คดี ใ ด ๆ โดยเฉพาะ หรื อ มี คํ า สั่ ง กํ า หนดวิ ธี ก ารอย่ า งใดแก่ เ จ้ า
พนั ก งานบั ง คั บ คดี เ พื่ อ แก้ ไ ขข้ อ บกพร่ อ ง ผิ ด พลาด หรื อ ฝ่ า ฝื น
กฎหมายนั้น รวมถึงดําเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดที่เกี่ยวเนื่องได้
เว้นแต่เมื่อการบังคับคดีได้เสร็จสิ้นและแจ้งผลการบังคับคดีไปยัง
315
ส่วนที่ ๒
คําบังคับ
264[๒ ๗ ๐ ]ม า ต ร า ๒ ๗ ๒ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
316
มาฟังคําพิพากษาหรือคําสั่ง มิได้อยู่ในศาลในเวลาที่ออกคําบังคับ
ให้บังคับตามมาตรา ๑๙๙ ทวิ หรือมาตรา ๒๐๗ แล้วแต่กรณี
ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้เริ่มนับ
แต่วันที่ถือว่าลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้ทราบคําบังคับแล้ว เว้นแต่
ศาลจะได้ กํ า หนดไว้ โ ดยชั ด แจ้ ง ในเวลาที่ อ อกคํ า บั ง คั บ หรื อ ใน
265[๒ ๗ ๑ ]ม า ต ร า ๒ ๗ ๓ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
317
ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดตามวรรคสี่
แล้ ว คํ า สั่ ง นั้ น ยั ง คงมี ผ ลต่ อ ไปเท่ า ที่ จํ า เป็ น เพื่ อ ปฏิ บั ติ ต ามคํ า
พิพากษาหรือคําสั่งของศาล แต่ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษามิได้ขอ
บังคับคดีภายในกําหนดสิบห้าวันนับแต่วันสิ้นระยะเวลาที่กําหนดไว้ใน
คําบังคับเพื่อให้ปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่ง ให้ถือว่าคําสั่งนั้น
เป็นอันยกเลิกเมื่อสิ้นระยะเวลาเช่นว่านั้น
ส่วนที่ ๓
การขอบังคับคดี
318
ถ้าคําพิพากษาหรือคําสั่งกําหนดให้ชําระหนี้เป็น
งวด เป็นรายเดือน หรือเป็นรายปี หรือกําหนดให้ชําระหนี้อย่างใด
ในอนาคต ให้นับ ระยะเวลาสิบ ปีต ามวรรคหนึ่ง ตั้ง แต่ว ัน ที่ห นี้
ตามคําพิพากษาหรือคําสั่งนั้นอาจบังคับให้ชําระได้
266[๒ ๗ ๒ ]
ม า ต ร า ๒ ๗ ๔ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
319
(๑) หนี้ที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังมิได้ปฏิบัติตาม
คําบังคับ
(๒) วิธีการที่ขอให้ศาลบังคับคดีนั้น
267[๒ ๗ ๓ ]ม า ต ร า ๒ ๗ ๕ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
320
ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งคุ้มครองประโยชน์ของเจ้าหนี้
ตามคําพิพากษาตามวรรคสองแล้ว คําสั่งนั้นยังคงมีผลต่อไปเท่าที่
จําเป็นเพื่อปฏิบัติตามคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาล
ส่วนที่ ๔
การพิจารณาคําขอบังคับคดี
321
(๑) ถ้าการบังคับคดีต้องทําโดยทางเจ้าพนักงาน
บังคับคดี ให้ศาลออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีและ
แจ้ ง ให้ เ จ้ า พนั ก งานบั ง คั บ คดี ท ราบเพื่ อ ดํ า เนิ น การต่ อ ไปตามที่
กําหนดไว้ในหมายนั้น
268[๒ ๗ ๔ ]
ม า ต ร า ๒ ๗ ๖ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
322
ในกรณีที่ผู้ขอบังคับคดีขอให้ดําเนินการอย่างหนึ่ง
อย่างใดเกี่ยวกับการบังคับคดี หากมีเหตุสงสัยว่าไม่สมควรบังคับคดี
แก่ ท รั พย์ สิ น ใด ห รื อมี เ ห ตุ ส ม ค ว ร อ ย่ าง อื่ น เพื่ อ คุ้ มค ร อ ง
บุ ค คลภายนอกที่ อ าจได้ รั บ ความเสี ย หายจากการดํ า เนิ น การ
ดังกล่าว ก่อนที่ศาลจะมีคําสั่งอนุญาตตามคําขอ ศาลมีอํานาจสั่งให้
ผู้ขอบังคับคดีวางเงินหรือหาประกันต่อศาลตามจํานวนและภายใน
ระยะเวลาที่ศาลเห็ น สมควรเพื่ อเป็น ประกั น การชํ าระค่ าสินไหม
ทดแทนสํ า หรั บ ความเสี ย หายอั น จะพึ ง เกิ ด ขึ้ น เนื่ อ งจากการ
ดําเนินการบังคั บคดีดังกล่ าวถ้ าผู้ ขอบั งคั บคดี ไม่ ปฏิบั ติตามคํ าสั่ ง
ศาล ให้ศาลมีคําสั่งยกคําขอให้ดําเนินการบังคับคดีนั้นเสียส่วนเงิน
หรือหลักประกันที่วางไว้ต่อศาลดังกล่าว เมื่อศาลเห็นว่าไม่มีความ
จํ า เป็ น ที่ จ ะต้ อ งวางไว้ ต่อ ไปจะสั่ ง คื น หรื อ ยกเลิ ก ประกั น นั้ น ก็ ไ ด้
คําสั่งของศาลตามวรรคนี้ให้เป็นที่สุด
คดี เดิ ม และเมื่ อศาลไต่ ส วนแล้ วเห็ น ว่ าคํ าร้ องนั้ น ฟั งได้ ให้ ศาลมี
คําสั่ งให้ ผู้ขอบังคับคดีช ดใช้ ค่าสินไหมทดแทนตามจํ า นวนที ่ศ าล
เห็น สมควรถ้า บุค คลดัง กล่า วไม่ป ฏิบัติต ามคํ า สั่ง ศาล ผู้ที่ไ ด้ร ับ
ความเสียหายอาจร้องขอให้ศาลบังคับคดีแก่บุคคลนั้นเสมือนหนึ่ง
ว่าเป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษา
ส่วนที่ ๕
การขอให้ศาลไต่สวนเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคํา
พิพากษา
ส่วนที่ ๖
อํานาจทั่วไปของเจ้าพนักงานบังคับคดี
325
เงินที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลภายนอก
นํามาวางโดยมิได้เป็นผลมาจากการยึดหรืออายัด ให้นํามาชําระหนี้
แก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาผู้ขอบังคับคดี เว้นแต่ในกรณีที่มีเจ้าหนี้ผู้
ขอเฉลี่ยตามมาตรา ๓๒๖ อยู่ก่อนแล้วในขณะที่มีการวางเงินนั้น ก็
ให้ถือว่าเป็นเงินที่ได้ยึดหรืออายัดไว้ตามบทบัญญัติในลักษณะ ๒
แห่งภาคนี้ แต่ให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมในการบังคับคดี
270[๒ ๗ ๖ ]
ม า ต ร า ๒ ๗ ๘ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
326
ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทําบันทึกวิธีการบังคับคดี
ทั้งหลายที่ได้จัดทําไปและเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัย แล้วรายงาน
ต่อศาลเป็นระยะ ๆ ไป
ในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานบังคับคดี เจ้า
พนั กงานบั งคั บ คดี จ ะมอบหมายให้ บุ คคลอื่ น ปฏิบั ติการแทนก็ ได้
ทั้งนี้ ตามคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กําหนดใน
กฎกระทรวง
271[๒ ๗ ๗ ]
ม า ต ร า ๒ ๗ ๙ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
327
เอกสารเช่นว่านั้น ตลอดจนมีอํานาจติดตามและเอาคืนซึ่งเงินหรือ
ทรัพย์สินหรือเอกสารดังกล่าวจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือเอาไว้
272[๒ ๗ ๘ ]ม า ต ร า ๒ ๘ ๐ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
328
ตอบรับหรือโดยทางไปรษณีย์ด่วนพิเศษในประเทศก็ได้ โดยให้ผู้มี
หน้าที่นําส่งเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย กรณีเช่นว่านี้ ให้ถือว่าเอกสารที่ส่งโดย
เจ้าพนักงานไปรษณีย์มีผลเสมือนเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นผู้ส่งและ
ให้ นํ าบทบั ญญั ติม าตรา ๗๔ มาตรา ๗๖ และมาตรา ๗๗ มาใช้
บังคับโดยอนุโลม
และกระทรวงการต่างประเทศ หากไม่อาจกระทําได้เพราะเหตุที่
ภูมิลําเนาและสํานักทําการงานของบุคคลดังกล่าวไม่ปรากฏหรือ
เพราะเหตุ อื่ น ใดหรื อ เมื่ อ ได้ ดํ า เนิ น การส่ ง ให้ แ ก่ คู่ ค วามหรื อ
บุคคลภายนอกแล้ว แต่ไม่อาจทราบผลการส่งได้ ถ้าเจ้าพนักงาน
บังคับคดีเห็นสมควร ให้มีอํานาจสั่งให้ส่งเอกสารโดยวิธีอื่นแทนได้
กล่าวคือ ปิดเอกสารไว้ในที่แลเห็นได้ง่าย ณ สํานักงานที่ตั้งของเจ้า
พนักงานบังคับคดี หรือลงโฆษณา หรือทําวิธีอื่นใดตามที่เห็นสมควร
273[๒ ๗ ๙ ]
ม า ต ร า ๒ ๘ ๑ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
330
274[๒ ๘ ๐ ]ม า ต ร า ๒ ๘ ๒ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
331
275[๒ ๘ ๑ ]ม า ต ร า ๒ ๘ ๓ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
332
277[๒ ๘ ๓ ]ม า ต ร า ๒ ๘ ๕ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
333
ในกรณีที่ความรับผิดตกแก่เจ้าพนักงานบังคับคดี
ตามวรรคหนึ่ง และเป็นเรื่องความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ใน
การปฏิบัติหน้าที่ การใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลตามกฎหมายว่าด้ว ย
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่หรือตามกฎหมายอื่นไม่ว่าโดย
บุคคลใด ให้อยู่ในอํานาจของศาลยุติธรรม
ถ้าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยึดทรัพย์สินหรืออายัด
สิทธิเรียกร้องอันจะต้องยึดหรืออายัด หรือไม่ขายทรัพย์สิน หรือไม่
ดําเนินการบังคับคดีในกรณีอื่น หรือไม่กระทําการดังกล่าวภายใน
เวลาอันควรโดยจงใจหรือปราศจากความระมัดระวังหรือโดยสมรู้
เป็น ใจกับ ลูก หนี ้ต ามคํ า พิพ ากษาเป็น เหตุใ ห้เ จ้ า หนี้ ต ามคํ า
พิพากษาได้รับความเสียหาย ให้นําความในวรรคสองมาใช้บังคับ
โดยอนุโลม
278[๒ ๘ ๔ ]ม า ต ร า ๒ ๘ ๖ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
334
ไปใช้บังคับโดยอนุโลมกับการดําเนินการบังคับคดีตามคําพิพากษา
หรือคําสั่งของศาลอื่นที่ไม่ใช่ศาลยุติธรรม คําว่า ศาลยุติธรรม ตาม
มาตรา ๒๘๕ วรรคสอง ให้หมายถึงศาลนั้น
ส่วนที่ ๗
ผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดี
279[๒ ๘ ๕ ]ม า ต ร า ๒ ๘ ๗ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
335
(๒) บุ คคลผู้ มีทรั พยสิ ทธิ หรื อได้ จดทะเบี ยนสิ ทธิ
ของตนเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ถูกบังคับคดี
(๕) บุคคลอื่นใดซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุแห่งการ
ดําเนินการบังคับคดีนั้น
280[๒ ๘ ๖ ]ม า ต ร า ๒ ๘ ๘ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
336
(๑) อยู่รู้เห็นด้วยในการดําเนินการบังคับคดีที่ตนมี
ส่ ว นได้ เ สี ย แต่ ต้ อ งไม่ ทํ า การป้ อ งกั น หรื อ ขั ด ขวางการบั ง คั บ คดี
รวมทั้งเข้าสู้ราคาหรือหาบุคคลอื่นเข้าสู้ราคาในการขายทอดตลาด
ส่วนที่ ๘
การงดการบังคับคดี
281[๒ ๘ ๗ ]
ม า ต ร า ๒ ๘ ๙ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
337
ในกรณีดังกล่าว ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษายื่นคํา
ร้องว่าตนอาจได้รับความเสียหายจากการยื่นคําขอดังกล่าวและมี
พยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคําขอนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อ
ประวิ ง การบั ง คั บ คดี ศาลมี อํ า นาจสั่ ง ให้ ลู ก หนี้ ต ามคํ า พิ พ ากษา
วางเงินหรือหาประกันตามที่ศาลเห็นสมควรภายในระยะเวลาที่ศาล
จะกําหนด เพื่อเป็นประกันการชําระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้
ตามคําพิพากษาสําหรับความเสียหายที่อาจได้รับเนื่องจากเหตุเนิ่น
ช้าในการบังคับคดีอันเกิดจากการยื่นคําขอนั้น หรือกําหนดวิธีการ
ชั่วคราวเพื่อคุ้มครองอย่างใด ๆ ตามที่เห็นสมควรก็ได้ ถ้าลูกหนี้ตาม
คําพิพากษาไม่ปฏิบัติตามคําสั่งศาล ให้ศาลสั่งเพิกถอนคําสั่งที่ให้งด
การบังคับคดี
(๓) เมื่อเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้แจ้งเป็นหนังสือ
ไปยั ง เจ้ า พนั ก งานบั ง คั บ คดี ว่ า ตนตกลงงดการบั ง คั บ คดี ไ ว้ ชั่ ว
ระยะเวลาที่ กําหนดไว้ ห รื อภายในเงื่ อนไขอย่ างใดอย่ างหนึ่ งโดย
338
(๔) เมื่อเจ้าหนี้ผู้ขอบังคับคดีไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๑๕๔
282[๒ ๘ ๘ ]ม า ต ร า ๒ ๙ ๐ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
339
ถ้าศาลเห็นว่าข้ออ้างของลูกหนี้ตามคําพิพากษามี
เหตุ ฟั ง ได้ ศาลอาจมี คํ า สั่ ง ให้ ง ดการบั ง คั บ คดี ไ ว้ คํ า สั่ ง นี้ อ าจอยู่
ภายใต้บังคับเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาใด ๆ หรือไม่ก็ได้ และศาลจะมี
คําสั่งให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาวางเงินหรือหาประกันต่อศาลตาม
จํานวนที่เห็นสมควรภายในระยะเวลาที่กําหนดเพื่อเป็นประกันการ
ชําระหนี้ตามคําพิพากษาและค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคํา
พิพากษาสําหรับความเสียหายที่อาจได้รับเนื่องจากเหตุเนิ่นช้าในการ
บังคับคดีอันเกิดจากการยื่นคําร้องนั้นด้วยก็ได้
คําสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด
283[๒ ๘ ๙ ]
ม า ต ร า ๒ ๙ ๑ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
340
ในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้งดการบังคับคดี
ไว้ ต ามมาตรา ๒๘๙ (๓) หรื อ (๔) ให้ เ จ้ า พนั ก งานบั ง คั บ คดี
ดําเนินการบังคับคดีต่อไปเมื่อระยะเวลาที่ให้งดการบังคับคดีได้ล่วง
พ้นไปแล้ว หรือมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้
กําหนดไว้ หรือเจ้าหนี้ผู้ขอบังคับคดีได้ปฏิบัติตามมาตรา ๑๕๔ แล้ว
ส่วนที่ ๙
การถอนการบังคับคดี
284[๒ ๙ ๐ ]ม า ต ร า ๒ ๙ ๒ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
341
เนียมและค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี หรือได้หาประกันมาให้
จนเป็นที่พอใจของศาลสําหรับจํานวนเงินเช่นว่านี้
(๓) เมื่อศาลได้แจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ
ว่าศาลมีคําสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ตามมาตรา ๑๙๙ เบญจ
วรรคสาม หรือมาตรา ๒๐๗
(๖) เมื่อเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้แจ้งเป็นหนังสือ
ไปยั ง เจ้ า พนั ก งานบั งคั บ คดี ว่ าตนสละสิท ธิใ นการบัง คับ คดี ใน
กรณีเ ช่น ว่า นี้ เจ้า หนี้ต ามคํา พิพ ากษานั้น จะบัง คับ คดีแ ก่ลูก หนี้
ตามคําพิพากษาสําหรับหนี้นั้นอีกมิได้
342
(๗) เมื่อเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาได้แจ้งเป็นหนังสือ
ไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าตนขอถอนการบังคับคดี
285[๒ ๙ ๑ ]
ม า ต ร า ๒ ๙ ๓ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
286[๒ ๙ ๒ ]
ม า ต ร า ๒ ๙ ๔ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
343
พนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาลขอให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินของผู้
นั้นเพื่อชําระค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี ในกรณีเช่นว่านี้ ให้
ถือว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา และผู้ขอให้
ยึดหรืออายัดเป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษาในส่วนที่เกี่ยวกับค่าฤชา
ธรรมเนียมในการบังคับคดีนั้น และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีบังคับ
คดีได้เอง โดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมทั้งปวง
ส่วนที่ ๑๐
การเพิกถอนหรือแก้ไขการบังคับคดีที่ผิดระเบียบ
หรือเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีรายงานต่อศาล หรือเมื่อเจ้าหนี้ตาม
คําพิพากษา ลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้
เสียในการบังคับคดีซึ่งต้องเสียหายเพราะเหตุดังกล่าว ยื่นคําร้องต่อ
ศาลให้ศาลมีอํานาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขคําบังคับ หมายบังคับคดี
หรือคําสั่งดังกล่าวทั้งหมดหรือบางส่วน หรือมีคําสั่งอย่างใดตามที่
ศาลเห็นสมควร
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ให้ถือว่าการบังคับคดี
ได้เสร็จลงเมื่อได้มีการดําเนินการดังต่อไปนี้
ในการยื่นคําร้องต่อศาลตามวรรคหนึ่งหรือวรรค
สอง หากมีพยานหลักฐานเบื้องต้นแสดงว่าคําร้องนั้นไม่มีมูลและยื่น
เข้ามาเพื่ อประวิงให้ชักช้า ศาลมีอํานาจสั่ งให้ ผู้ยื่นคํ าร้องวางเงิ น
หรื อ หาประกั น ต่ อ ศาลตามจํ า นวนและภายในระยะเวลาที่ ศ าล
เห็นสมควรเพื่อเป็นประกันการชําระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้
ตามคําพิพากษาหรือบุคคลนั้นสําหรับความเสียหายที่อาจได้รับจาก
การยื่นคําร้องนั้น ถ้าผู้ยื่นคําร้องไม่ปฏิบัติตามคําสั่งศาล ให้ศาลมี
คําสั่งยกคําร้องนั้นเสีย ส่วนเงินหรือประกันที่วางไว้ต่อศาลดังกล่าว
346
เมื่อศาลเห็นว่าไม่มีความจําเป็นต่อไป จะสั่งคืนหรือยกเลิกประกัน
นั้นก็ได้ คําสั่งของศาลที่ออกตามความในวรรคนี้ให้เป็นที่สุด
ในกรณีที่ศาลได้มีคําสั่งยกคําร้องที่ยื่นไว้ตามวรรค
หนึ่งหรือวรรคสอง ถ้าบุคคลที่ได้รับความเสียหายเนื่องจากการยื่น
คําร้องดังกล่าวเห็นว่าคําร้องนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงให้
ชักช้า บุคคลดังกล่าวอาจยื่นคําร้องต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่
วันที่มีคําสั่งยกคําร้อง เพื่อขอให้ศาลสั่งให้ผู้ยื่นคําร้องนั้นชดใช้ค่า
สิ นไหมทดแทน ในกรณี เ ช่ น ว่ า นี้ ให้ ศาลมี อํา นาจสั่ งให้ แ ยกการ
พิจารณาเป็นสํานวนต่างหากจากคดีเดิม และเมื่อศาลไต่สวนแล้ว
เห็ น ว่ าคํ า ร้ องนั้ น ฟั งได้ ให้ ศาลมี คําสั่ งให้ ผู้ ยื่ น คํ าร้ องนั้ น ชดใช้ ค่ า
สิ น ไหมทดแทนให้ แ ก่ บุ ค คลที่ ไ ด้ รั บ ความเสี ย หายดั ง กล่ า วตาม
จํานวนที่ศาลเห็นสมควร ถ้าผู้ยื่นคําร้องนั้นไม่ปฏิบัติตามคําสั่งศาล
บุคคลที่ได้รับความเสียหายอาจร้องขอให้ศาลบังคับคดีแก่ผู้ยื่นคํา
ร้องนั้นเสมือนหนึ่งว่าเป็นลูกหนี้ตามคําพิพากษา
หมวด ๒
การบังคับคดีในกรณีที่เป็นหนี้เงิน
347
ส่วนที่ ๑
อํานาจของเจ้าพนักงานบังคับคดี
(๑) ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคําพิพากษา
288[๒ ๙ ๔ ]ม า ต ร า ๒ ๙ ๖ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
348
289[๒ ๙ ๕ ]ม า ต ร า ๒ ๙ ๗ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
350
คําสั่งห้ามของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามวรรคหนึ่ง
ให้มีผลใช้บังคับได้ทันที และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งคําสั่งห้าม
290[๒ ๙ ๖ ]ม า ต ร า ๒ ๙ ๘ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
351
ในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่เพิกถอนคําสั่ง
ห้ามตามวรรคหนึ่ง ผู้ร้องนั้นจะยื่นคําร้องต่อศาลภายในสิบห้าวัน
291[๒ ๙ ๗ ]
ม า ต ร า ๒ ๙ ๙ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
353
นับแต่วันที่ทราบคําสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อขอให้เพิกถอน
คําสั่งห้ามโดยวางเงินหรือหาประกันมาให้ก็ได้ ให้ศาลส่งสําเนาคํา
ร้องแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีและเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเพื่อทําการ
ไต่สวนเป็นการด่วน คําสั่งของศาลให้เป็นที่สุด
ในกรณีที่ศาลมีคําสั่งให้ยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิ
เรี ยกร้ องตามมาตรา ๒๙๘ วรรคสาม ถ้ า ไม่ อาจยึ ดทรั พ ย์ สิ น หรื อ
อายั ดสิทธิเรี ยกร้ องนั้ นได้ แต่ได้ มีการวางเงินหรือประกั นไว้ แทน
ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องนั้น เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาอาจขอให้
ศาลดําเนินการบังคับคดีแก่เงินหรือประกันที่รับไว้หรือแก่ผู้ประกัน
ได้โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีใหม่
292[๒ ๙ ๘ ]
ม า ต ร า ๓ ๐ ๐ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
354
คดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ตามคําพิพากษา
หรื อขายทอดตลาดหรื อจําหน่ ายโดยวิธี อื่น ซึ่งทรั พย์ สิ น หรื อสิ ทธิ
เรี ย กร้ องที่ ได้ มาจากการยึ ดหรื ออายั ดหลายรายเกิ นกว่ าที่ พอจะ
ชําระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ ตามคํ าพิ พากษา พร้ อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียม
และค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับคดี
ส่วนที่ ๒
ทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
355
293[๒ ๙ ๙ ]ม า ต ร า ๓ ๐ ๑ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
356
วิชาชีพในกิจ การดัง กล่า วของลูก หนี้ต ามคํา พิพ ากษาอัน มีร าคา
รวมกัน เกิน กว่า จํา นวนราคาที่กํา หนดนั้น ในกรณีเ ช่น นี้ ให้เจ้ า
พนั ก งานบั ง คั บ คดี มี อํา นาจใช้ ดุล พิ นิ จ ไม่ อนุ ญาตหรื ออนุ ญาตได้
เท่าที่จําเป็นภายในบังคับแห่งเงื่อนไขตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดี
เห็นสมควร
(๕) ทรัพย์สินอย่างใดที่โอนกันไม่ได้ตามกฎหมาย
หรือตามกฎหมายย่อมไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี
ทรัพย์สินหรือจํานวนราคาทรัพย์สินที่เจ้าพนักงาน
บังคับคดีกําหนดตามวรรคหนึ่ง ลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือเจ้าหนี้
ตามคําพิพากษาอาจร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคําสั่งกําหนด
ใหม่ได้ คําสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวนั้น ลูกหนี้ตามคํา
พิพากษาหรือเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาอาจร้อ งคัด ค้า นต่อ ศาลได้
ภายในสิบ ห้า วัน นับ แต่ว ัน ที ่ไ ด้ท ราบคํ า สั ่ง ของเจ้า พนัก งาน
บังคับคดี ในกรณีเช่นนี้ ให้ศาลมีคําสั่งตามที่เห็นสมควร
357
ประโยชน์แห่งข้อยกเว้นที่บัญญัติไว้ในมาตรานี้ ให้
ขยายไปถึงทรัพย์สินตามวรรคหนึ่งอันเป็นของคู่สมรสของลูกหนี้ตาม
คําพิพากษาหรือของบุคคลอื่น ซึ่งทรัพย์สินเช่นว่านี้ตามกฎหมาย
อาจบังคับเอาชําระหนี้ตามคําพิพากษาได้
294[๓ ๐ ๐ ]ม า ต ร า ๓ ๐ ๒ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
358
จํานวนบุพการีและผู้สืบสันดานซึ่งอยู่ในความอุปการะของลูกหนี้
ตามคําพิพากษาด้วย และสําหรับในกรณีตาม (๑) และ (๓) ให้เจ้า
พนักงานบังคับคดีกําหนดให้ไม่น้อยกว่าอัตราเงินเดือนขั้นต่ําสุดของ
ข้าราชการพลเรือนในขณะนั้นและไม่เกินอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุด
ของข้าราชการพลเรือนในขณะนั้น
ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ลูกหนี้ตามคําพิพากษา
หรือบุคคลภายนอกผู้ มีส่ว นได้เสี ยในการบังคับคดีไม่เห็ นด้ว ยกั บ
จํานวนเงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกําหนด บุคคลดังกล่าวอาจยื่นคํา
ร้ อ งต่ อ ศาลภายในสิ บ ห้ า วั น นั บ แต่ วั น ที่ ไ ด้ ท ราบถึ ง การกํ า หนด
จํานวนเงินเช่นว่านั้น เพื่อขอให้ศาลกําหนดจํานวนเงินใหม่ได้
ในกรณีที่พฤติการณ์แห่งการดํารงชีพของลูกหนี้
ตามคําพิพากษาได้เปลี่ยนแปลงไป บุคคลตามวรรคสามจะยื่นคํา
ร้องให้ศาลหรือเจ้าพนักงานบังคับคดี แล้วแต่กรณี กําหนดจํานวน
เงินตาม (๑) และ (๓) ใหม่ก็ได้
ส่วนที่ ๓
การยึดทรัพย์สิน
360
295[๓ ๐ ๑ ]
ม า ต ร า ๓ ๐ ๓ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
361
(๒) แจ้งให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้
มีอํานาจหน้าที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นทราบ ถ้าได้
มีการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ไว้แล้ว ให้นายทะเบียนหรือพนักงาน
เจ้าหน้าที่บันทึกการยึดไว้ในทะเบียน
296[๓ ๐ ๒ ]
ม า ต ร า ๓ ๐ ๔ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
362
(๓) ในกรณีที่เป็นหลักทรัพย์ซึ่งฝากไว้กับศูนย์รับ
ฝากหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งรายการและจํานวนหลักทรัพย์ที่ยึดให้
ลูก หนี้ตามคํา พิพ ากษา ผู้อ อกหลัก ทรัพ ย์ ผู้ฝ ากหลัก ทรัพ ย์แ ละ
297[๓ ๐ ๓ ]ม า ต ร า ๓ ๐ ๕ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
363
ศูน ย์รับฝากหลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาด
หลักทรัพย์ ทราบ เพื่อปฏิบัติตามที่ได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานบังคับ
คดี
(๔) ในกรณีที่เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่มีการออกใบตรา
สาร ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีแจ้งรายการและจํานวนหลักทรัพย์ที่
ยึดให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาและผู้ออกหลักทรัพย์ทราบ เพื่อปฏิบัติ
ตามที่ได้รับแจ้งจากเจ้าพนักงานบังคับคดี
ในกรณี ที่ไม่สามารถแจ้งบุคคลตามวรรคหนึ่งได้
ให้ปิดประกาศแจ้งรายการและจํานวนหลักทรัพย์ที่ยึดไว้ในที่แลเห็น
ได้ง่าย ณ ภูมิลําเนาหรือสํานักทําการงานของบุคคลเช่นว่านั้น หรือ
แจ้งโดยวิธีอื่นใดตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควร และให้มี
ผลใช้ได้นับแต่เวลาที่ประกาศนั้นได้ปิดไว้หรือการแจ้งโดยวิธีอื่นใด
ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นสมควรนั้นได้ทําหรือได้ตั้งต้นแล้ว
298[๓ ๐ ๔ ]ม า ต ร า ๓ ๐ ๖ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
364
และให้มีผลเป็นการอายัดสิทธิเรียกร้องตามตั๋วเงินหรือตราสารนั้น
ด้วย
(๑) แจ้งการยึดให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาและห้าง
หุ้นส่วนจํากัดหรือบริษัทจํากัดที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาเป็นหุ้นส่วน
หรือผู้ถือหุ้นอยู่ทราบ ถ้าไม่สามารถกระทําได้ ให้ดําเนินการตาม
วิธีการที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๐๕ วรรคสอง
299[๓ ๐ ๕ ]
ม า ต ร า ๓ ๐ ๗ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
365
(๒) แจ้งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทนั้นบันทึก
การยึดไว้ในทะเบียน
(๒) แจ้งให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้
มีอํานาจหน้าที่จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นบันทึกการ
ยึดไว้ในทะเบียน
300[๓ ๐ ๖ ]
ม า ต ร า ๓ ๐ ๘ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
366
301[๓ ๐ ๗ ]
ม า ต ร า ๓ ๐ ๙ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
302[๓ ๐ ๘ ]
ม า ต ร า ๓ ๑ ๐ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
367
(๒) ในกรณีที่ได้มีการจดทะเบียนการเช่าทรัพย์สิน
หรื อ การให้ บ ริ ก ารดั ง กล่ า ว ให้ แ จ้ ง นายทะเบี ย นหรื อ พนั ก งาน
เจ้าหน้าที่ผู้มีอํานาจหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้นบันทึกการยึด
ไว้ในทะเบียนด้วย
303[๓ ๐ ๙ ]ม า ต ร า ๓ ๑ ๑ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
368
(๒) แจ้งให้นายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้
มี อํ า นาจหน้ า ที่ ต ามกฎหมายว่ า ด้ ว ยการนั้ น บั น ทึ ก การยึ ด ไว้ ใ น
ทะเบียน
(๒) แสดงให้เห็นประจักษ์แจ้งโดยการปิดประกาศ
ไว้ที่ทรัพย์นั้นว่า ได้มีการยึดทรัพย์นั้นแล้ว
(ก) ลูกหนี้ตามคําพิพากษา
304[๓ ๑ ๐ ]
ม า ต ร า ๓ ๑ ๒ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
369
(ค) เจ้าพนักงานที่ดินหรือพนักงานเจ้าหน้าที่
ผู้มีอํานาจหน้าที่จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์นั้น ถ้า
ทรัพย์ นั้นมีทะเบีย น ให้ เจ้าพนักงานที่ดิน หรือพนักงานเจ้าหน้าที่
บันทึกการยึดไว้ในทะเบียน
เมื่อได้แจ้ งการยึดให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาและ
เจ้ า พนั ก งานที่ ดิ น หรื อ พนั ก งานเจ้ า หน้ า ที่ ผู้ มี อํ า นาจหน้ า ที่ จ ด
ทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับทรัพย์นั้นแล้ว ให้ถือว่าเป็นการ
ยึดตามกฎหมาย
370
(๑) เครื่องอุปกรณ์และดอกผลนิตินัยของทรัพย์
นั้น
305[๓ ๑ ๑ ]ม า ต ร า ๓ ๑ ๓ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
306[๓ ๑ ๒ ]ม า ต ร า ๓ ๑ ๔ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
371
307[๓ ๑ ๓ ]
ม า ต ร า ๓ ๑ ๕ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
372
ว่าลูกหนี้ตามคําพิพากษาจะทําให้ทรัพย์สินนั้นเสียหายหรือเกรงว่า
จะเสียหาย โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นเองหรือเมื่อเจ้าหนี้ตามคํา
พิพากษาหรือบุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินนั้น
ร้องขอ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะรักษาทรัพย์สินนั้นเสียเองหรือตั้งให้
ผู้ใดเป็นผู้รักษาทรัพย์สินนั้นก็ได้
ส่วนที่ ๔
การอายัดสิทธิเรียกร้อง
308[๓ ๑ ๔ ]ม า ต ร า ๓ ๑ ๖ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
373
คําสั่งอายัดนั้นให้บังคับได้ไม่ว่าที่ใด ๆ
309[๓ ๑ ๕ ]
ม า ต ร า ๓ ๑ ๗ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
374
310[๓ ๑ ๖ ]ม า ต ร า ๓ ๑ ๘ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
311[๓ ๑ ๗ ]ม า ต ร า ๓ ๑ ๙ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
375
(๑) การที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้ก่อให้เกิดสิทธิ
แก่ บุ ค คลภายนอกเหนื อ สิ ท ธิ เ รี ย กร้ อ งที่ ไ ด้ ถู ก อายั ด โอน
เปลี่ยนแปลง หรือระงับซึ่งสิทธิเรียกร้องดังกล่าวภายหลังที่ได้ทํา
การอายัดไว้แล้วนั้น หาอาจใช้ยันแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาหรือเจ้า
พนักงานบังคับคดีได้ไม่ถึงแม้ว่าราคาแห่งสิทธิเรียกร้องนั้นจะเกิน
กว่าจํานวนหนี้ตามคํ าพิพากษากั บค่าฤชาธรรมเนีย มและค่าฤชา
ธรรมเนียมในการบังคับคดี และลูกหนี้ตามคําพิพากษาได้กระทํา
การดั ง กล่ า วแก่ สิ ท ธิ เ รี ย กร้ อ งที่ ถู ก อายั ด เพี ย งส่ ว นที่ มี ร าคาเกิ น
จํานวนนั้นก็ตาม
ความในวรรคหนึ่งมิให้ใช้บังคับแก่ผู้จํานองหรือผู้
จํานําซึ่งมิใช่ลูกหนี้ตามสิทธิเรียกร้องตามมาตรา ๓๑๙ วรรคสอง
หากผู้ จํ า นองหรื อ ผู้ จํ า นํ า พิ สู จ น์ ไ ด้ ว่ า ความระงั บ สิ้ น ไปแห่ ง การ
จํานองหรือการจํานําเกิดขึ้นโดยผู้จํานองหรือผู้จํานํากระทําการโดย
สุจริตและเสียค่าตอบแทนก่อนมีการแจ้งการอายัดไปยังผู้จํานอง
หรือผู้จํานําเพื่อทราบ
312[๓ ๑ ๘ ]
ม า ต ร า ๓ ๒ ๐ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
376
(๒) ถ้ าค่ าแห่ งสิ ทธิ เ รี ย กร้ อ งซึ่ งอายั ด ไว้ นั้ น ต้ อ ง
เสื่อมเสียไปเพราะความผิดของเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา เจ้าหนี้ตาม
คํ าพิ พากษาต้ องรั บผิ ดชดใช้ ค่ าสิ นไหมทดแทนให้ แก่ ลู กหนี้ ตามคํ า
พิ พ ากษาเพื่ อ ความเสี ย หายใด ๆ ซึ่ ง เกิ ด ขึ้ น แก่ ลู ก หนี้ ต ามคํ า
พิพากษานั้น
(๓) การชําระหนี้โดยบุคคลภายนอกตามที่ระบุไว้
ในคําสั่งอายัดนั้นให้ถือว่าเป็นการชําระหนี้ตามกฎหมาย
ส่วนที่ ๕
การขอให้ศาลบังคับบุคคลภายนอกชําระหนี้ตามสิทธิเรียกร้อง
313[๓ ๑ ๙ ]
ม า ต ร า ๓ ๒ ๑ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
377
ส่วนที่ ๖
สิทธิของบุคคลภายนอกและผู้มีส่วนได้เสียเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ถูก
บังคับคดี
378
315[๓ ๒ ๑ ]
ม า ต ร า ๓ ๒ ๓ แ ก้ ไ ข เ พิ่ ม เ ติ ม โ ด ย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่
๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
379
เมื่อ ศาลสั่ง รับ คํา ร้อ งขอไว้แ ล้ว ให้ส่ง สํา เนาคํา
ร้องขอแก่โจทก์หรือเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาจําเลยหรือลูกหนี้ตาม
คําพิพากษา และเจ้าพนักงานบังคับคดี เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดี
ได้ รั บ คํ า ร้ อ งขอเช่ น ว่ า นี้ ถ้ า ทรั พ ย์ สิ น ที่ ยึ ด นั้ นไม่ ใช่ ท รั พ ย์ สิ น ตาม
380
โจทก์หรือเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาอาจยื่นคําร้องว่า
คําร้องขอนั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อ ประวิง การบัง คับ คดี เมื่อ
ปรากฏพยานหลักฐานเบื้อ งต้น ว่าคําร้องนั้น ฟังได้ ศาลมีอํานาจ
สั่ง ให้ผู ้ก ล่า วอ้า งวางเงิ น หรื อหาประกั น ต่อศาลตามจํ านวนและ
ภายในระยะเวลาที่ ศาลเห็นสมควร เพื่ อเป็น ประกันการชําระค่ า
สินไหมทดแทนแก่โจทก์หรือเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาสําหรับความ
เสียหายที่อาจได้รับจากการยื่นคําร้องขอนั้น ถ้าผู้กล่าวอ้างไม่ปฏิบัติ
ตามคํ าสั่ งศาล ให้ ศาลมี คําสั่ งจํ าหน่ ายคดี ออกจากสารบบความ
ส่ว นเงิน หรื อประกัน ที่ วางไว้ต่อศาลดังกล่ าว เมื่ อศาลเห็ นว่ าไม่ มี
ความจํ าเป็น ต่อไป จะสั่งคืน หรื อยกเลิ กประกัน นั้นก็ ได้ คําสั่งของ
ศาลตามวรรคนี้ให้เป็นที่สุด
อ้างชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามจํานวนที่ศาลเห็นสมควรถ้าบุคคล
ดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามคําสั่งศาล โจทก์หรือเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา
อาจร้องขอให้ศาลบังคับคดีแก่บุคคลนั้นเสมือนหนึ่งว่าเป็นลูกหนี้ตาม
คําพิพากษา
(๑) ในกรณีที่เป็นผู้รับจํานองทรัพย์สินหรือเป็นผู้
ทรงบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์อันได้จดทะเบียนไว้ บุคคลนั้น
อาจยื่นคําร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีก่อนเอาทรัพย์สินนั้น
ออกขายหรือจําหน่าย ขอให้มีคําสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้
316[๓๒๒]
มาตรา ๓๒๔ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไ ข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
382
(๒) ในกรณีที่ปรากฏแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีว่า
ทรั พ ย์ สิ น ซึ่ ง ขายหรื อ จํ า หน่ า ยนั้ น เป็ น ของเจ้ า ของรวมอั น ได้ จ ด
ทะเบียนไว้ ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีกันเงินส่วนของเจ้าของรวมอื่น
นอกจากส่วนของลูกหนี้ตามคําพิพากษาออกจากเงินที่ได้จากการ
ขายหรือจําหน่ายทรัพย์สินนั้นตามที่กําหนดไว้ในมาตรา ๓๔๐
บุคคลผู้จะต้องเสียหายเพราะคําสั่งอายัดอาจยื่น
คําร้องคัดค้านคําสั่งดังกล่าวได้ภายในกําหนดเวลา ดังต่อไปนี้ ทั้งนี้
ต้องไม่ช้ากว่าสิบห้าวันนับแต่วันทราบคําสั่งอายัด
(๓) ถ้า สิท ธิเ รีย กร้อ งนั ้น เป็น การให้ชํ า ระหนี้
อย่า งอื ่น นอกจาก (๑) และ (๒) ให้ยื ่น คํ า ร้ อ งต่ อ ศาลก่ อ นที่
บุคคลภายนอกจะปฏิบัติการชําระหนี้
ในระหว่างการพิจารณาคําร้องคัดค้านตามวรรค
สาม เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาอาจยื่นคําร้องว่าคําร้องคัดค้านนั้นไม่มี
มู ล แล ะยื่ นเ ข้ า มา เ พื่ อ ปร ะวิ งก าร บั ง คั บค ดี เมื่ อป รา ก ฏ
พยานหลักฐานเบื้องต้นว่าคําร้องนั้นฟังได้ ศาลมีอํานาจสั่งให้ผู้ร้อง
คั ด ค้ า นวางเงิ น หรื อ หาประกั น ต่ อ ศาลตามจํ า นวนและภายใน
ระยะเวลาที่ศาลเห็นสมควร เพื่อเป็นประกันการชําระเงินค่าสินไหม
ทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาสําหรับความเสียหายที่อาจได้รับ
จากการยื่นคําร้องคัดค้านนั้น ถ้าผู้ร้องคัดค้านไม่ปฏิบัติตามคําสั่ง
ศาลให้ศาลมีคําสั่งจําหน่ายคําร้องคัดค้าน ส่วนเงินหรือประกันที่วาง
ไว้ต่อศาลดังกล่าว เมื่อศาลเห็นว่าไม่มีความจําเป็นต่อไป จะสั่งคืน
หรือยกเลิกประกันนั้นก็ได้
385
ในกรณีที่คําร้องคัดค้านตามวรรคหนึ่งหรือวรรค
สองไม่ มีมูล และยื่น เข้ ามาเพื่อประวิงการบั งคั บ คดี เจ้ าหนี้ ตามคํ า
พิพากษาอาจยื่นคําร้องต่อศาลภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลได้มี
คําสั่งยกคํ าร้องคัดค้ านเพื่อขอให้ ศาลสั่งให้ผู้ ร้ องคั ดค้ านชดใช้ ค่า
สินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ตนได้ ในกรณีเช่น
ว่านี้ ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้แยกการพิจารณาเป็นสํานวนต่างหากจาก
คดี เดิม และเมื่อศาลไต่ สวนแล้ ว เห็น ว่ าคํ าร้ องนั้ นฟั งได้ ให้ศาลมี
คํ าสั่ งให้ ผู้ ร้ อ งคั ด ค้ า นชดใช้ ค่ าสิ น ไหมทดแทนตามจํ า นวนที่ ศาล
เห็นสมควรถ้าบุคคลดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามคําสั่งศาล เจ้าหนี้ตามคํา
พิพากษาอาจร้องขอให้ศาลบังคับคดีแก่บุคคลนั้นเสมือนหนึ่งว่าเป็น
ลูกหนี้ตามคําพิพากษา
ส่วนที่ ๗
การขอเฉลี่ยและการเข้าดําเนินการบังคับคดีต่อไป
386
ห้ามมิให้ศาลอนุญาตตามคําร้องเช่นว่านี้ เว้นแต่
ศาลเห็นว่าผู้ ยื่นคําร้องไม่ สามารถเอาชําระได้จากทรัพย์สินอื่น ๆ
ของลูกหนี้ตามคําพิพากษา
ในกรณีที่มีผู้ยื่นคําร้องหลายคน ให้เจ้าพนักงาน
บังคับคดีออกหมายเรียกให้ผู้ยื่นคําร้องทุกคนมาทําความตกลงกัน
เลือกคนใดคนหนึ่งเป็นผู้ดําเนินการบังคับคดีต่อไป แต่ต้องแจ้งให้
ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามวัน ถ้าไม่สามารถตกลงกันได้ให้ผู้ยื่น
คํ า ร้ อ งซึ่ ง มาตามหมายเรี ย กและมี จํ า นวนหนี้ ม ากที่ สุ ด เป็ น
ผู้ดําเนินการบังคับคดีต่อไป ถ้าผู้ยื่นคําร้องดังกล่าวมีจํานวนหนี้มาก
ที่สุดเท่ากันหลายคน ให้ผู้ยื่นคําร้องซึ่งมีหนี้รายเก่าที่สุดเป็นผู้เข้า
ดําเนิ นการบังคั บคดีต่อไป ในกรณี ที่ผู้ ยื่น คําร้องรายใดไม่มาตาม
319[๓๒๕]
มาตรา ๓๒๗ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไ ข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
389
ในกรณีที่มีการเข้าดําเนินการบังคับคดีต่อไป ให้
ถือว่าผู้ขอเข้าดําเนินการบังคับคดีต่อไปเป็นเจ้าหนี้ผู้ขอยึดทรัพย์สิน
หรืออายัดสิทธิเรียกร้อง และให้ศาลที่ออกหมายบังคับคดีในคดีที่มี
การถอนการบังคับคดีเป็นศาลที่มีอํานาจในการบังคับคดี ถ้าเจ้าหนี้
ผู้เข้าดําเนินการบังคับคดีต่อไปจะขอให้บังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่ถูก
บังคับคดีไว้เดิมแต่เพียงบางส่วน ซึ่งเพียงพอแก่การชําระหนี้ของ
บรรดาเจ้าหนี้ตามวรรคหนึ่งพร้อมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมและค่าฤชา
ธรรมเนียมในการบังคับคดี ให้ยื่นคําร้องขออนุญาตต่อเจ้าพนักงาน
บังคับคดีภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่เข้าดําเนินการบังคับคดีต่อไป ใน
กรณี เ ช่ น ว่ า นี้ ให้ เ จ้ า พนั ก งานบั ง คั บ คดี มี คํ า สั่ ง อนุ ญ าตหรื อ ไม่
อนุญาตตามคําร้องหรือมีคําสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่เจ้าพนักงาน
บังคับคดีเห็นสมควรโดยคํานึงถึงส่วนได้เสียของบรรดาเจ้าหนี้ตาม
วรรคหนึ่ง เจ้าหนี้ผู้เข้าดําเนินการบังคับคดีต่อไปอาจร้องคัดค้าน
คําสั่ งของเจ้ าพนักงานบั งคั บคดีต่อศาลได้ ภายในสิ บห้ าวั นนั บแต่
วันที่ได้ทราบคําสั่งของเจ้าพนักงานบังคับคดี
(๑) ถ้าเป็นการถอนการบังคับคดีเพราะตนได้สละ
สิทธิในการบังคับคดีตามมาตรา ๒๙๒ (๖) ไม่มีสิทธิได้รับส่วนเฉลี่ย
390
ในทรัพย์สินหรือเงินที่ได้จากการขายหรือจําหน่ายทรัพย์สินในการ
บังคับคดี
ม า ต ร า ๓ ๒ ๘ 320[ ๓ ๒ ๖ ] เ จ ้า ห นี ้ผู ้เ ข ้า
ดํา เนิน การบัง คับ คดีต่อ ไปตามมาตรา ๓๒๗ อาจยื่น คํา ร้องต่อ
ศาลที่ มี อํ า นาจในการบั ง คั บ คดี ใ ห้ โ อนการบั ง คั บ คดี ไ ปยั ง ศาลที่
320[๓๒๖]
มาตรา ๓๒๘ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไ ข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
391
ในกรณีที่มีการโอนการบังคับคดีตามวรรคหนึ่ง ให้
ถือว่าศาลที่รับโอนเป็นศาลตามมาตรา ๒๗๑ วรรคหนึ่ง
321[๓๒๗]
มาตรา ๓๒๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไ ข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
392
ส่วนที่ ๘
การขายหรือจําหน่าย
ก่ อ นการขายทอดตลาดทรั พ ย์ สิ น หรื อ สิ ท ธิ
เรียกร้องตามวรรคหนึ่ง เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องแจ้งกําหนดวัน
เวลา และสถานที่ซึ่งจะทําการขายทอดตลาดให้บรรดาผู้มีส่วนได้
เสียในการบังคับคดีซึ่งปรากฏตามทะเบียนหรือประการอื่นได้ทราบ
ด้วย โดยจะทําการขายทอดตลาดในวันหยุดงานหรือในเวลาใด ๆ
นอกเวลาทําการปกติก็ได้ ทั้งนี้ กําหนดวันและเวลาขายดังกล่าว
จะต้ อ งไม่ น้ อ ยกว่ า หกสิ บ วั น นั บ แต่ วั น ยึ ด อายั ด หรื อ ส่ ง มอบ
ทรัพย์สินนั้น
เพื่อให้การขายทอดตลาดเป็นไปด้วยความเที่ยง
ธรรม บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีมีสิทธิเต็มที่ในการเข้าสู้
ราคาเองหรื อ หาบุ ค คลอื่ น เข้ า สู้ ร าคาเพื่ อ ให้ ไ ด้ ร าคาตามที่ ต น
ต้องการ และเมื่ อเจ้ าพนักงานบั งคั บคดีเคาะไม้ ขายให้แก่ผู้ เสนอ
ราคาสู ง สุ ด แล้ ว ห้ า มมิ ใ ห้ บุ ค คลผู้ มี ส่ ว นได้ เ สี ย ในการบั ง คั บ คดี
ทั้งหลายหยิบยกเรื่องราคาที่ได้จากการขายทอดตลาดมีจํานวนต่ํา
เกินสมควรมาเป็นเหตุขอให้มีการเพิกถอนการขายทอดตลาดนั้นอีก
395
ในกรณีที่การขายหรือจําหน่ายทรัพย์สินที่ถูกยึด
หรือที่ได้มีการส่งมอบตามคําสั่งอายัดกระทําได้โดยยาก หรือการ
ขายหรือจําหน่ายสิทธิเรียกร้องนั้นกระทําได้โดยยากเนื่องจากการ
ชํ าระหนี้ นั้ น ต้ องอาศั ย การชํ าระหนี้ ตอบแทนหรื อด้ ว ยเหตุ อื่นใด
และการบังคับคดีอาจล่าช้าเป็นการเสียหายแก่คู่ความทุกฝ่ายหรือ
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือแก่บุคคลผู้มีส่วนได้เสีย เมื่อเจ้าพนักงานบังคับ
คดีเห็นสมควรหรือคู่ความหรือบุคคลเช่นว่านั้นร้องขอ เจ้าพนักงาน
บังคับคดีจะมีคําสั่งกําหนดให้จําหน่ายโดยวิธีการอื่นใดที่สมควรก็ได้
ทั้งนี้ บุคคลผู้มีส่วนได้เสียในการบังคับคดีอาจคัดค้านคําสั่งหรือการ
ดําเนินการของเจ้าพนักงานบังคับคดี โดยยื่นคําร้องต่อศาลภายใน
สองวันนับแต่วันที่ได้ทราบคําสั่งหรือการดําเนินการนั้น คําสั่งของ
ศาลให้เป็นที่สุด
เขตศาลให้ออกหมายบังคับคดีเพื่อบังคับให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษา
หรื อ บริ ว ารออกไปจากอสั งหาริ มทรั พย์ นั้ นโดยให้ นํ า บทบั ญ ญั ติ
มาตรา ๒๗๑ มาตรา ๒๗๘ วรรคหนึ่ง มาตรา ๓๕๑ มาตรา ๓๕๒
มาตรา ๓๕๓ วรรคหนึ่ง (๑) และวรรคสอง มาตรา ๓๕๔ มาตรา
๓๖๑ มาตรา ๓๖๒ มาตรา ๓๖๓ และมาตรา ๓๖๔ มาใช้บังคับโดย
อนุโลม ทั้งนี้ ให้ถือว่าผู้ซื้อเป็นเจ้าหนี้ตามคําพิพากษา และลูกหนี้
ตามคําพิพากษาหรือบริวารที่อยู่อาศัยในอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็น
ลูกหนี้ตามคําพิพากษาตามบทบัญญัติดังกล่าว
ถ้าทรัพย์ สินที่จะขายทอดตลาดเป็นห้องชุดตาม
กฎหมายว่ า ด้ ว ยอาคารชุ ด ก่ อ นทํ า การขายทอดตลาด ให้ เ จ้ า
พนักงานบังคับคดีบอกกล่าวให้นิติบุคคลอาคารชุดแจ้งรายการหนี้
ค่าใช้จ่ายที่ต้องชําระเพื่อการออกหนังสือรับรองการปลอดหนี้ตาม
กฎหมายว่าด้วยอาคารชุดต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายในสามสิบ
327[๓๓๓] มาตรา ๓๓๕ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไ ข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
399
หากนิติบุคคลอาคารชุดไม่แจ้งรายการหนี้ที่ค้าง
ชําระดังกล่าวต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีภายในกําหนดเวลาตามวรรค
สองหรือแจ้งว่าไม่มีหนี้ที่ค้างชําระ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียน
โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ผู้ซื้อโดยไม่ต้องใช้หนังสือรับรองการปลอดหนี้
ถ้าทรัพย์สินที่จะขายทอดตลาดเป็นที่ดินจัดสรร
ตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน ก่อนทําการขายทอดตลาด ให้
เจ้ าพนั กงานบั งคั บ คดี บ อกกล่ าวให้ นิ ติบุ คคลหมู่ บ้ านจั ดสรรแจ้ ง
รายการหนี้ ค่ า บํ า รุ ง รั ก ษาและการจั ด การสาธารณู ป โภคพร้ อ ม
ค่าปรับตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดินต่อเจ้าพนักงานบังคับ
คดีภ ายในสามสิบ วัน นับ แต่ว ัน ที ่ไ ด้ร ับ คํ า บอกกล่า ว เมื ่อ ขาย
ทอดตลาดแล้ว ให้เ จ้า พนักงานบั งคับคดีกันเงิ นที่ได้ จากการขาย
ทอดตลาดไว้ เ พื่ อ ชํ า ระหนี้ ที่ ค้ า งชํ า ระดั ง กล่ า วจนถึ ง วั น ขาย
ทอดตลาดแก่นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรก่อนเจ้าหนี้จํานอง และให้
พนั กงานเจ้ าหน้ าที่ จ ดทะเบี ย นโอนสิ ทธิ ในที่ ดินให้ แก่ ผู้ ซื้อ ทั้ งนี้
หากมีการระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมไว้ ให้การระงับ
การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนั้นเป็นอันยกเลิกไป
400
หากนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรไม่แจ้งรายการหนี้ที่
ค้างชําระดังกล่ าวต่อเจ้ าพนักงานบัง คับ คดีภ ายในกํา หนดเวลา
ตามวรรคสี่ห รือแจ้ง ว่าไม่มีห นี้ที่ค้า งชํา ระ หรือในกรณีที่ยังมิไ ด้
จัด ตั้ง นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ให้พนักงานเจ้าหน้าที่จดทะเบียน
โอนสิทธิในที่ดินให้แก่ผู้ซื้อ ทั้งนี้ หากมีการระงับการจดทะเบียนสิทธิ
และนิติกรรมไว้ ให้การระงับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมนั้นเป็น
อันยกเลิกไป
การจ่ายเงินที่กันไว้ตามวรรคสองและวรรคสี่ ให้
เป็นไปตามบทบัญญัติในส่วนที่ ๑๐ การทําบัญชีส่วนเฉลี่ย และส่วน
ที่ ๑๑ เงินค้างจ่าย ของหมวดนี้
ส่วนที่ ๙
การตั้งผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์หรือการประกอบกิจการแทนการ
ขายหรือจําหน่าย
401
ส่วนที่ ๑๐
การทําบัญชีส่วนเฉลี่ย
ถ้ า ประมวลกฎหมายนี้ ห รื อ กฎหมายอื่ น มิ ไ ด้
บัญญั ติไว้ เป็น อย่างอื่ น ให้เจ้ าพนั กงานบั งคั บ คดีจั ดสรรหรือแบ่ ง
เฉลี่ยเงินตามวรรคหนึ่งดังบัญญัติไว้ในมาตราต่อไปนี้
ตามคําพิพากษาจะได้ล่วงพ้นไปแล้ว เว้นแต่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา
จะแสดงให้เ ป็น ที่พ อใจแก่ศ าลได้ว่า ลูก หนี ้ต ามคํ า พิพ ากษาได้
ทราบถึงการที่ถูกฟ้องนั้นแล้ว
(๒) จัดทําบัญชีส่วนเฉลี่ยแสดงจํานวนเงินที่จ่าย
ให้แก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาหรือผู้ทรงสิทธิเหนือทรัพย์สินนั้นแต่
ละคนจากเงิ น จํ า นวนสุ ท ธิ ที่ พ อแก่ ก ารที่ จ ะจ่ า ยให้ ต ามสิ ทธิ ข อง
บุ ค คลเช่ น ว่ านั้ น ตามบทบั ญ ญั ติ แ ห่ ง ประมวลกฎหมายแพ่ ง และ
พาณิชย์ ประมวลกฎหมายนี้ หรือกฎหมายอื่นโดยให้แสดงจํานวน
เงินที่กันส่วนให้แก่เจ้าของรวมไว้ในบัญชีดังกล่าวด้วย
(๓) ส่งคําบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ตามคําพิพากษา
เจ้าของรวม และบุคคลตาม (๒) ขอให้ตรวจสอบบัญชีส่วนเฉลี่ยนั้น
และให้ ยื่ นคํ าแถลงคั ดค้ านได้ ภายในสิ บห้ าวั นนั บแต่ วั นส่ งคํ าบอก
กล่าว
เมื่อได้ตรวจพิจารณาคําแถลงคัดค้านและได้ฟังคํา
ชี้แจงของผู้ซึ่งมาตามหมายเรียกแล้ ว ให้ เจ้าพนั กงานบั งคับ คดี ทํา
คําสั่งยืนตามหรือแก้ไขบัญชีส่วนเฉลี่ยนั้นแล้วอ่านคําสั่งดังกล่าวให้ผู้
ซึ่งมาตามหมายเรียกฟังและให้ลงลายมือชื่อรับทราบไว้
ในกรณีที่ไม่อาจทําคําสั่งได้ภายในวันที่กําหนด ให้
เจ้ าพนั กงานบั งคั บ คดี แจ้ ง ให้ ผู้ ซึ่งมาตามหมายเรี ย กหรื อตามนั ด
ทราบวันนัดฟังคําสั่งที่เลื่อนไปและให้ลงลายมือชื่อรับทราบไว้
ถ้าบุคคลตามวรรคหนึ่งมิได้ไปตามหมายเรียกหรือ
ตามนัดของเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ถือว่าได้ทราบวันนัดและคําสั่ง
ของเจ้าพนักงานบังคับคดีแล้ว
ในกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีคําสั่งแก้ไขบัญชี
ส่ ว นเฉลี่ ย บุ ค คลตามมาตรา ๓๔๑ อาจยื่ น คํ า ร้ อ งคั ดค้ านคํ า สั่ ง
ดังกล่าวต่อศาลได้ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้อ่านคําสั่ง
ในกรณีที่มีผู้ยื่นคําร้องคัดค้านตามวรรคหนึ่งหรือ
วรรคสอง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีเลื่อนการจ่ายส่วนเฉลี่ยไปก่อน
จนกว่าศาลจะได้มีคําสั่งหรือทําการจ่ายส่วนเฉลี่ยชั่วคราวตามมาตรา
๓๔๓
ถ้าไม่มีผู้ยื่นคําร้องคัดค้านตามวรรคหนึ่งหรือวรรค
สองให้ถือว่าบัญชีส่วนเฉลี่ยนั้นเป็นที่สุด และให้เจ้าพนักงานบังคับ
คดีจ่ายเงินให้แก่บุคคลตามบัญชีส่วนเฉลี่ยนั้น
คําสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด
ธรรมเนียมในการบังคับคดีแล้วและเงินเช่นว่านั้นอยู่ในบังคับที่จะต้อง
จ่ายแก่ เจ้าหนี้ ตามคําพิพากษาตามมาตรา ๓๒๙ หรื อถู กอายัดโดย
ประการอื่น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจ่ายเงินส่วนที่เหลือนั้นตาม
มาตรา ๓๒๙ หรือตามคําสั่งอายัดสิทธิเรียกร้อง แล้วแต่กรณี
ถ้าได้มีการขายทรัพย์สินรายใดตามมาตรา ๓๒๓
ไปแล้ว และได้มีคําพิพากษาถึงที่ สุดเป็นคุณแก่ผู้เรียกร้อง ให้เจ้ า
พนักงานบังคับคดีจ่ายเงินที่ได้จากการขายแก่ผู้เรียกร้องไป
ส่วนที่ ๑๑
เงินค้างจ่าย
409
หมวด ๓
การบังคับคดีในกรณีที่ให้ส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่ง
นําบทบัญญัติในหมวด ๒ การบังคับคดีในกรณีที่เป็นหนี้เงินมาใช้
บังคับโดยอนุโลม
ถ้าทรัพย์เฉพาะสิ่งของลูกหนี้ตามคําพิพากษาที่ต้อง
ส่งมอบแก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาเพื่อชําระหนี้ตามสิทธิเรีย กร้องได้
ถูกยึดหรืออายัดไว้เพื่อเอาชําระหนี้เงินในคดีอื่นแล้ว เจ้าหนี้ตาม
คําพิพากษาชอบที่จะยื่นคําร้องต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีก่อนมี
การขายทอดตลาดหรื อ จํ า หน่ า ยโดยวิ ธี อื่ น ขอให้ มี คํ า สั่ ง ให้ เ จ้ า
พนักงานบังคับคดีส่งมอบทรัพย์นั้นให้แก่ตน โดยต้องแสดงให้เป็นที่
พอใจแก่ศาลได้ว่า เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาผู้ขอยึดหรืออายัดทรัพย์
ในคดีอื่นนั้นสามารถบังคับคดีเอาจากทรัพย์สินอื่นของลูกหนี้ตามคํา
พิ พากษาได้ เ พี ย งพอ ทั้ ง นี้ ให้ ศาลแจ้ งให้ เ จ้ าพนั ก งานบั งคั บ คดี
ทราบและอาจมีคําสั่งงดการบังคับคดีไว้ในระหว่างพิจารณาก็ได้ ใน
339[๓๔๕]
มาตรา ๓๔๗ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไ ข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
411
กรณีเช่นว่านี้ ให้เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาชดใช้ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจาก
การยึดหรืออายัดทรัพย์แก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาผู้ขอยึดหรืออายัด
ทรัพย์ใ นคดี อื่ น นั้ น และให้ เ จ้ า หนี้ ต ามคํา พิ พ ากษาในคดี อื่ น นั้ น
ได้ รั บ ยกเว้ นไม่ ต้องเสี ย ค่ าธรรมเนี ย มเจ้ าพนั กงานบั งคั บ คดี
ถ้าเจ้าหนี้ตามคําพิพากษาไม่สามารถแสดงให้เป็น
ที่ พอใจแก่ ศาลได้ ตามวรรคสอง ให้ ศาลมี คํา สั่ งให้ เ จ้ าหนี้ ตามคํ า
พิ พ ากษามี สิ ท ธิ เ ข้ า เฉลี่ ย ในเงิ น ที่ ไ ด้ จ ากการขายหรื อ จํ า หน่ า ย
ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคําพิพากษาในคดีอื่นนั้น ในกรณีเช่นว่านี้
ให้นํามาตรา ๓๒๖ และมาตรา ๓๒๙ มาใช้บังคับ
การบังคับคดีในกรณีที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ตาม
คําพิพากษาส่งคืนหรือส่งมอบอสังหาริมทรัพย์เฉพาะสิ่ง ถ้ามีเหตุ
ขัดขวางหรือเหตุขัดข้องในการส่งคืนหรือส่งมอบอสังหาริมทรัพย์นั้น
แก่เจ้าหนี้ตามคําพิพากษา ให้นําบทบัญญัติในหมวด ๔ การบังคับ
คดีในกรณีที่ให้ขับไล่ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวด ๔
341[๓๔๗]
มาตรา ๓๔๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไ ข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
413
การบังคับคดีในกรณีที่ให้ขับไล่
การบังคับคดีในกรณีที่คําพิพากษาหรือคําสั่งให้
ลูก หนี้ต ามคํา พิพ ากษารื้อ ถอนสิ่ง ปลูก สร้า ง ไม้ยืน ต้น ไม้ล้ม ลุก
หรือ ธัญ ชาติ หรือ ขนย้า ยทรัพ ย์สิน ออกไปจากอสัง หาริม ทรัพ ย์
ที ่อ ยู ่อ าศัย หรื อ ทรั พ ย์ ที่ ค รอบครอง ให้ เ จ้ า พนั ก งานบั ง คั บ คดี
ดําเนินการตามมาตรา ๓๕๕
ส่วนที่ ๑
การบังคับคดีในกรณีที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาต้องออกไปจาก
อสังหาริมทรัพย์ ที่อยู่อาศัย
หรือทรัพย์ที่ครอบครอง
เงินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้มาจากการจําหน่าย
สิ่งของตามวรรคสอง (๑) หรือ (๒) ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือ
เจ้าของสิ่งของไม่มาขอรับคืนภายในกําหนดห้าปีนับแต่ได้รับแจ้ง
จากเจ้าพนักงานบังคับคดี ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ให้ลูกหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายที่เกิด
จากการดํ า เนิ น การตามมาตรานี้ และให้ ถื อ ว่ า เป็ น หนี้ ต ามคํ า
พิพากษาที่จะบังคับคดีกันต่อไป
417
เมื่อมีการจับกุมลูกหนี้ตามคําพิพากษาหรือบริวาร
ตาม (๑) แล้ว หรือในกรณีที่บุคคลดังกล่าวหลบหนีไปจากทรัพย์นั้น
แล้ว ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดําเนินการตามมาตรา ๓๕๒
(๒) บุคคลที่เข้ามาอยู่ในทรัพย์นั้นในระหว่างเวลา
ที่เจ้ าพนั กงานบั งคั บคดี ดําเนิน การให้ เจ้าหนี้ตามคําพิ พากษาเข้ า
ครอบครองทรัพย์นั้น
ส่วนที่ ๒
การบังคับคดีในกรณีที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษาต้องรื้อถอนสิ่งปลูก
สร้าง
ที่อยู่อาศัย หรือทรัพย์ที่ครอบครอง
กรณีตามวรรคหนึ่ง ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีปิด
ประกาศกําหนดการรื้อถอนหรือขนย้ายทรัพย์สินไว้ ณ บริเวณนั้น
ไม่ น้ อ ยกว่ า สิ บ ห้ า วั น และให้ เ จ้ า พนั ก งานบั ง คั บ คดี ใ ช้ ค วาม
ระมั ด ระวั งตามสมควรแก่ พฤติ การณ์ ในการรื้ อ ถอนหรื อขนย้ า ย
ทรัพย์สินนั้น
ในการจัดการกับวัสดุที่ถูกรื้อถอนและทรัพย์สินที่
ถู ก ขนย้ า ยออกจากอสั ง หาริ ม ทรั พ ย์ ที่ อ ยู่ อ าศั ย หรื อ ทรั พ ย์ ที่
ครอบครองนั้น ให้นําบทบัญญัติมาตรา ๓๕๒ วรรคสอง วรรคสาม
และวรรคสี่ มาใช้บังคับโดยอนุโลม
หมวด ๕
การบังคับคดีในกรณีที่ให้กระทําการหรืองดเว้นกระทําการ
ส่วนที่ ๑
การบังคับคดีในกรณีที่ให้กระทําการ
พิพากษาอาจมีคําขอให้ศาลมีคําสั่งให้ถือเอาคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ของศาลแทนการแสดงเจตนาของลูกหนี้ตามคําพิพากษานั้นได้
ถ้าการแสดงเจตนาของลูกหนี้ตามคําพิพากษาจะ
บริบูรณ์ต่อเมื่อได้จดทะเบียนต่อนายทะเบียนพนั กงานเจ้าหน้าที่
หรื อ บุ ค คลอื่ น ผู้ มี อํ า นาจหน้ า ที่ ต ามกฎหมาย เจ้ า หนี้ ต ามคํ า
พิพากษาอาจมีคําขอให้ศาลสั่งให้ดําเนินการจดทะเบียนให้ก็ได้ ใน
กรณีเช่นนี้ ให้บุคคลดังกล่าวนั้นจดทะเบียนไปตามคําสั่งศาล
ถ้าการกระทํานั้นเป็นกรณีที่อาจให้บุคคลภายนอกกระทําการแทน
ได้ เ จ้ า หนี้ ต ามคํ า พิ พ ากษาอาจมี คํ า ขอฝ่ า ยเดี ย วให้ ศ าลมี คํ า สั่ ง
อนุ ญ าตให้ บุ ค คลภายนอกกระทํ า การนั้ น แทนลู ก หนี้ ต ามคํ า
พิพากษา โดยลูกหนี้ตามคําพิพากษาเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
ส่วนที่ ๒
การบังคับคดีในกรณีที่ให้งดเว้นกระทําการ
351[๓๕๗]
มาตรา ๓๕๙ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไ ข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
424
(๒) รื้อถอนหรือทําลายทรัพย์สินอันเกิดจากการ
ไม่งดเว้นกระทําการนั้น เว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายว่าด้วยการนั้นได้
กําหนดวิธีการจัดการกับทรัพย์สินดังกล่าวไว้เป็นอย่างอื่นแล้ว
หมวด ๖
การบังคับคดีในกรณีได้มาซึ่งทรัพย์สินที่มีทะเบียน
หมวด ๗
การบังคับคดีในกรณีที่ขอให้ศาลสั่งจับกุมและกักขังลูกหนี้ตามคํา
พิพากษา
เมื่อได้รับคําขอตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลพิจารณาคํา
ขอโดยเร็ ว หากเป็ น ที่ พอใจจากพยานหลักฐานซึ่ งเจ้าหนี้ ตามคํ า
พิพากษานํามาสืบหรือที่ศาลเรียกมาสืบว่า ลูกหนี้ตามคําพิพากษา
สามารถที่จะปฏิบัติตามคําบังคับได้ถ้าได้กระทําการโดยสุจริต และ
เจ้าหนี้ตามคําพิพากษาไม่มีวิธีการบังคับอื่นใดที่จะใช้บั งคับได้ให้
ศาลออกหมายจับลูกหนี้ตามคําพิพากษา
353[๓๕๙]
มาตรา ๓๖๑ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไ ข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
427
ถ้าลูกหนี้ตามคําพิพากษามาศาลหรือถูกจับตัวมา
แต่ ลูกหนี้ตามคํ าพิ พากษาไม่ อาจแสดงเหตุ อันสมควรในการที่ ไม่
ปฏิบัติตามคําบังคับได้ ศาลมีอํานาจสั่งกักขังลูกหนี้ตามคําพิพากษา
ทันทีหรือในวันหนึ่งวันใดที่ลูกหนี้ตามคําพิพากษายังคงขัดขืนอยู่ก็
ได้ หากลู ก หนี้ ต ามคํ า พิ พ ากษาแสดงเหตุ อั น สมควรในการที่ ไ ม่
ปฏิ บั ติ ต ามคํ า บั ง คั บ ได้ หรื อ ตกลงที่ จ ะปฏิ บั ติ ต ามคํ า บั ง คั บ ทุ ก
ประการ ศาลจะมีคําสั่งให้ยกคําขอ หรือมีคําสั่งเป็นอย่างอื่นตามที่
เห็นสมควรก็ได้
ในกรณีที่ผิดสัญญาประกันตามวรรคหนึ่ง ศาลมี
อํ า นาจสั่ ง บั ง คั บ ตามสั ญ ญาประกั น หรื อ ตามจํ า นวนเงิ น ที่ ศ าล
เห็นสมควรโดยมิต้องฟ้องผู้ทําสัญญาประกันเป็นคดีใหม่
354[๓๖๐]
มาตรา ๓๖๒ เพิ่มโดยพระราชบัญญัติแก้ไ ข
เพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๓๐) พ.ศ. ๒๕๖๐
428
หมวด ๘
การบังคับในกรณีมีการประกันในศาล
ของศาล เช่น คํา สั่ง เกี่ย วกับ วิธีก ารชั่ว คราวก่อ นพิพ ากษาหรือ
ทุเ ลาการบังคับ คดีใ นระหว่า งอุท ธรณ์ห รือ ฎีก า หรือ ในกรณีอื่น
ใด เจ้า หนี้ต ามคํา พิพ ากษาในคดีนั้นชอบที่จะร้องขอต่อศาลให้สั่ง
จ่ายเงินหรือดําเนินการเรียกเงินมาจ่ายให้แก่ตนได้