Professional Documents
Culture Documents
228 32+40 การศึกษาที่มาของผู้พิพากษาในระบบศาลยุติธรรมเชิงเปรียบเทียบ
228 32+40 การศึกษาที่มาของผู้พิพากษาในระบบศาลยุติธรรมเชิงเปรียบเทียบ
228 32+40 การศึกษาที่มาของผู้พิพากษาในระบบศาลยุติธรรมเชิงเปรียบเทียบ
เปรียบเทียบ
โดย
นายกิตติศักดิ์ พิริยะธัญญากรม
นายอชิระ ศุกร์สวัสดีรตั น์
ใบรองปกหน้า
การศึกษาที่มาของผู้พิพากษาในระบบศาลยุติธรรมเชิง
เปรียบเทียบ
โดย
คานา
สารบัญ
เรื่อง หน้า
คานา............................................................................................................................................... ก
สารบัญ............................................................................................................................................ ข
บทที่ 1 บทนา ................................................................................................................................... 1
บทที่ 2 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอาชีพผู้พิพากษา..................................................................................... 2
2.1 นิยามของผู้พิพากษา ................................................................................................................ 2
2.2 พัฒนาการของอาชีพผู้พิพากษาในประวัติศาสตร์โลก ...................................................................... 2
บทที่ 1 บทนา
อาชีพผู้พิพากษานั้นเป็นอาชีพที่มีความสาคัญเป็นอย่างมาก เพราะว่าผู้พิพากษานั้นทาหน้าที่
เป็นผู้ตัดสินประเด็นปัญหาข้อพิพาท ทั้งทางกฎหมายและข้อเท็จจริง รวมไปถึงยังมีบทบาทในการ
ตีความกฎหมายต่าง ๆ ที่ถูกร่างโดยสภานิติบัญญัติเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ด้วยหน้าที่เช่นนี้เอง
จึ ง ท าให้ ก ารคั ด เลื อ กผู้ พิ พ ากษานั้ น มี ค วามส าคั ญ เป็ น อย่ า งยิ่ ง หากผู้ พิ พ ากษาได้ รั บ เลื อ กมาจาก
กระบวนการที่ มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพและมี คุ ณ สมบั ติ ค รบถ้ ว นเหมาะสมตามที่ ก ฎหมายได้ ก าหนดเป็ น
หลั กเกณฑ์ ย่ อมน ามาซึ่งผลลั พ ธ์ ที่ดี ใ นการปฏิ บัติ ห น้ า ที่ที่ ส ามารถใช้วิจ ารณญาณของตนได้ อ ย่ า ง
เหมาะสมและเชี่ยวชาญในการพิจารณาคดีต่าง ๆ ในทางกลับกัน หากเป็นผู้พิพากษาที่ขึ้นสู่ตาแหน่งจาก
การอานวยของพวกพ้องโดยไม่ได้มีความสามารถหรือความยุติธรรมในจิตใจ ก็จะตัดสินอย่างไม่เป็น
กลางและขาดความน่าเชื่อถือ เสื่อมไปซึ่งประโยชน์แห่งความยุติธรรม ด้วยเหตุนี้ การวางระบบการ
คัดเลือกบุคคลขึ้นสู่ตาแหน่งผู้พิพากษาจึงมีความสาคัญอย่างยิ่ง
เพื่อที่จะทาให้เกิดความมั่นใจว่าผู้ที่ถูกเลื อกมาให้เป็นผู้พิพากษาจะมีคุณสมบัติเหมาะสม มี
ความรู้ด้านกฎหมายเป็นอย่างดี และเข้าใจบริบทของสั งคมเพื่อให้ตัดสินคดีไปอย่างถูกต้องและเป็น
ธรรมนั้น ต้องเริ่มพิจารณาจากระบบการคัดเลือกที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ตาแหน่งว่ามีการกาหนด
คุณสมัติอย่างไร วิธีการทาสอบเหมาะสมหรือไม่
ด้วยเหตุนี้การศึกษาที่มาของผู้พิพากษา ตลอดจนปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบการคัดเลือกจึงไม่
ควรถูกมองข้าม และควรถูกนามาพิจารณาเพื่อประโยชน์สูงสุดของวงการนิติศาสตร์ และประโยชน์แห่ง
ความยุ ติธ รรมต่อไป โดยจะมีการน าข้อมูล ของระบบการคัดเลื อกผู้ พิพากษาในประเทศต่าง ๆ มา
เปรียบเทียบกับระบบการคัดเลือกของประเทศไทย และจะนาข้อดีของแต่ละระบบมาปรับใช้อย่างไรให้
สอดคล้องกับสังคมไทย
2
บทที่ 2 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอาชีพผู้พิพากษา
2.1 นิยามของผู้พิพากษา
ผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้นเป็นผู้ที่มีอานาจและหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี แต่
โบราณนั้นเรียกว่า “ตระลาการ” โดยผู้พิพากษาจะทาหน้าที่เป็นตัวกลางในการตัดสินคดีข้อพิพาท
ระหว่างคนในสังคม เพื่อให้เกิดความยุติธรรมที่สุดโดยไม่มีความลาเอียง ซึ่งคาว่า “ตุลาการ” มาจากคา
ว่า “ตุลา” ที่แปลว่าคันชั่ง และ “การ” ที่แปลว่าการกระทาหรือผู้กระทา อุปมาว่าเป็นผู้กระทาการ
ตัดสินคดีด้วยความเที่ยงธรรมไม่เอนเอียงเหมือนกับคันชั่ง คาว่าตุลาการ จึงแปลว่า “ผู้กระทาความ
เที่ยงตรง” นั่นเอง
2.2 พัฒนาการของอาชีพผู้พิพากษาในประวัติศาสตร์โลก
ในประวัติศาสตร์โลกนั้น ผู้พิพากษาทาหน้าที่ตัดสินคดีต่าง ๆ แทนพระมหากษัตริย์ โดยระบบ
กฎหมายที่แตกต่างกัน จะทาให้หน้าที่ของผู้พิพากษาแตกต่างกันออกไปด้วย
ในระบบ Common Law หรือกฎหมายจารีตประเพณีนั้น ส่วนใหญ่ผู้พิพากษาจะทาหน้าที่ใน
การเป็นผู้กาหนดโทษและพิจารณาอธิบายเรื่องเกี่ยวกับข้อกฎหมายเท่านั้น โดยจะพิพากษาเองแค่ในคดี
แพ่ง แต่ในคดีอาญา จะใช้ลูกขุนซึ่งเป็นขุนนางหรือประชาชนที่ถูกคัดเลือกมาทาหน้าที่ตัดสินถูกผิด โดย
ผู้พิพากษาจะทาหน้าที่เพียงกาหนดโทษเท่านั้น แต่ในระบบ Civil Law `หรือระบบกฎหมายลายลักษณ์
อักษร ผู้พิพากษาเพียงผู้เดียวที่จะตัดสินถูกผิดโดยไม่จาเป็นต้องอาศัยลูกขุน
2.3 พัฒนาการของอาชีพผู้พิพากษาในประวัติศาสตร์ไทย
ในอดีตสมัยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อานาจอธิปไตยล้วนแล้วแต่เป็นของพระมหากษัตริย์
อานาจตุลาการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอานาจอธิปไตยจึงเป็นพระราชอานาจของพระมหากษัตริย์โดยตรง
ด้วย ในสมัยสุโขทัยนั้น นอกจากกษัตริย์จะทรงปกครองเมืองแล้ว ยังต้องทรงชาระคดีความของราษฎร
ด้วยพระองค์เอง ตามแบบพ่อปกครองลูก กล่าวคือ เมื่อราษฎรมีทุกข์ร้อนประการใด ก็ต้องมาร้องทุกข์
ต่อพ่อเมืองโดยตรง1 แต่ก็มีตาแหน่งขุนนางทีเ่ รียกว่าขุนศาลตระลาการขึ้น มีหน้าที่ช่วยวินิจฉัยอรรถคดี
ต่าง ๆ โดยมีกษัตริย์ทรงควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด
ภาพที่ 1 ภาพถ่ายเนติบณ
ั ฑิตไทยรุ่นแรก ร.ศ.116 (พ.ศ. 2440)
หมายเหตุ. จาก ห้องสมุดสัญญา ธรรมศักดิ,์
https://www.facebook.com/TULawLibrary/photos/a.665444986897175/2920750498033268/
บทที่ 3 ระบบการคัดเลือกผู้พิพากษา
ในโลกนี้นั้นแต่ละประเทศก็ล้วนแล้วแต่มีระบบกฎหมายที่แตกต่างกันไป ดังนั้นแล้ว ขั้นตอน
วิธีการในการคัดเลือกผู้พิพากษาก็ย่อมแตกต่างกันไปด้วย ในบางประเทศจะใช้ระบบการสอบคัดเลือก
บางประเทศจะเป็นการเลือกตั้ง บางประเทศใช้การแต่งตั้ง หรือบางประเทศจะใช้การอบรมจากอาชีพ
อื่น ๆ ด้านกฎหมาย ในบทนี้จึงได้รวบรวมระบบการคัดเลือกต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ เพื่อให้ได้ศึกษา
และเปรียบเทียบอย่างชัดเจน
3.1 ราชอาณาจักรไทย
การคั ด เลื อ กผู้ พิ พ ากษาของประเทศไทยนั้น จะต้ อ งเป็ นไปตามที่ พ ระราชบัญ ญั ติ ระเบียบ
ข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 ซึ่งได้กาหนดในมาตรา 14 ไว้ว่า
“การบรรจุข้าราชการตุลาการและแต่งตั้งให้ดารงตาแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา ให้ประธานศาล
ฎีกาเป็นผู้สั่งบรรจุและแต่งตั้งโดยวิธีการสอบคัดเลือก การทดสอบความรู้หรือการคัดเลือกพิเศษตามที่
บัญญัติไว้ในส่วนที่ 2 ของหมวดนี้” ("พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ.
2543," 2543)
โดยการสอบคัดเลือกตามมาตรา 14 นั้นไม่ใช่การสอบคัดเลือกมาเป็นผู้พิพากษาโดยทันที แต่
การสอบคัดเลือกดังกล่าวนั้นคือการสอบคัดเลือกเป็นผู้ช่วยผู้พิพากษา เนื่องจากผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษาได้
นั้นต้องเคยดารงตาแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษามาก่อนเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี ดังที่กาหนดไว้ใน
มาตรา 15 วรรคแรก ของพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543
การสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการในตาแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษานั้นเป็นที่รู้จักกัน
ดีในชื่อ “สนามใหญ่” “สนามเล็ก” และ “สนามจิ๋ว” โดยสนามเล็กและสนามจิ๋วจะใช้คาว่า “ทดสอบ
ความรู้” มิใช่ “การสอบคัดเลือก” ซึ่งคุณสมบัติในการสมัครนั้นแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ คุณสมบัติ
ทั่วไป และ คุณสมบัติเฉพาะของผู้เข้าสอบในสนามต่าง ๆ
คุณสมบัติทั่วไป คือคุณสมบัติที่ใช้ในการสอบทุกสนาม ซึ่งหนึ่งในคุณสมบัติที่สาคัญ คือ ผู้สมัคร
ต้องมีสัญชาติไทยโดยการเกิดและอายุไม่ต่ากว่ายี่สิบห้าปีบริบูรณ์4 ส่วนผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกพิเศษ
ต้องมีอายุไม่ต่ากว่าสามสิบห้าปีบริบูรณ์ และ คุณสมบัติเฉพาะซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ใช้ในการเข้าสอบสนาม
ต่าง ๆ ที่จะแยกออกไปตามวุฒิการศึกษา ดังนี้
3.2.2 การทดสอบความรู้เพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการในตาแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา
เฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 28 (2) (ก) (ข) (ค) (ง) (จ) (ฉ) (ช) หรือเรียกว่า “สนามเล็ก”
ผู้สอบสนามเล็กจะต้องเป็นผู้สอบไล่ได้ตามหลักสูตรของสานักอบรมกฎหมายแห่งเนติ
บัณฑิตยสภา (เนติบัณฑิตไทย) ต้องจบปริญญาโทกฎหมาย และมีประสบการณ์ประกอบอาชีพด้าน
กฎหมายไม่ต่ากว่าหนึ่งปี หรือ เป็นอาจารย์ในคณะนิติศาสตร์ 5 ปี หรือ เป็นข้าราชการทางานในศาล 6
ปี หรือ สอบไล่ได้ปริญญาโทหรือเอกในสาขาวิชาที่กรรมการตุลาการกาหนด และเป็นนิติศาสตร์บัณฑิต
ที่ได้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายไม่น้อยกว่าสามปี6
3.3.3 การทดสอบความรู้เพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการในตาแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา
เฉพาะผู้ที่มีคุณสมบัติตามมาตรา 28 (2) (ก) (ข) หรือเรียกว่า “สนามจิ๋ว”
ผู้สอบสนามเล็กจะต้องเป็นผู้สอบไล่ได้ตามหลักสูตรของสานักอบรมกฎหมายแห่งเนติ
บั ณฑิตยสภา (เนติบั ณฑิตไทย) และส าเร็จการศึกษาปริญญาในด้านกฎหมายจากต่างประเทศที่มี
หลักสูตรไม่ต่ากว่า 3 ปี ซึ่งเทียบไม่ต่ากว่าปริญญาตรี หรือถ้าเป็นหลักสูตร 2 ปี ต้องมีประสบการณ์การ
ทางานด้านกฎหมายอย่างน้อย 1 ปี ประกอบกัน หรือเป็นผู้จบปริญญาเอกกฎหมายในไทย7
3.4.1 การทดสอบสนามใหญ่
ในวันแรกของสนามใหญ่จะมีการสอบวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 6 ข้อ และกฎหมายอาญา
4 ข้อ เวลา 4 ชั่วโมง 10 นาที คะแนนเต็ม 100 คะแนน
วั น ที่ ส องจะมี ก ารสอบวิ ช ากฎหมายลั ก ษณะพยาน 3 ข้ อ พระธรรมนู ญ ศาลยุติ ธ รรมและ
กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาคดีอาญาในศาลแขวง 1 ข้อ กฎหมายรัฐธรรมนูญ 1
ข้อ และให้เลือกสอบกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชน
และครอบครัว กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงาน กฎหมายล้มละลาย
กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ หรือกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค จานวน 2 ข้อ เวลา 2 ชั่วโมง 55
นาที คะแนนเต็ม 70 คะแนน และสอบภาษาอังกฤษโดยจานวนข้อตามแต่คณะกรรมการกาหนด เวลา
1 ชั่วโมง คะแนนเต็ม 10 คะแนน
วันสุดท้าย สอบวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง 6 ข้อ และกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
4 ข้อ คะแนนเต็ม 100 คะแนน เวลา 4 ชั่วโมง 10 นาที8
3.4.2 การทาสอบสนามเล็ก
วันแรกของสนามเล็กจะมีการสอบวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 3 ข้อ และกฎหมายอาญา 2
ข้อ เวลา 2 ชั่วโมง 5 นาที คะแนนเต็ม 50 คะแนน
วันที่สองจะมีการสอบวิชากฎหมายลักษณะพยาน พระธรรมนูญศาลยุติธรรมและกฎหมายว่า
ด้วยการจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาคดีอาญาในศาลแขวง กฎหมายรัฐธรรมนูญหรือภาษาอังกฤษ
อย่างละ 1 ข้อ และให้เลือกสอบกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณา
คดีเยาวชนและครอบครัว กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงาน กฎหมาย
ล้มละลาย กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ หรือกฎหมายวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค จานวน 1 ข้อ เวลา 1
ชั่วโมง 40 นาที คะแนนเต็ม 40 คะแนน และสอบภาษาอังกฤษอีก 2 ข้อ เวลา 1 ชั่วโมง คะแนนเต็ม
20 คะแนน
วันสุดท้าย สอบวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อย่าง
ละ 3 ข้อ คะแนนเต็ม 60 คะแนน เวลา 2 ชั่วโมง 30 นาที9
3.4.3 การทดสอบสนามจิ๋ว
วันแรกของสนามจิ๋วจะมีการสอบวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ 3 ข้อ และกฎหมายอาญา 2
ข้อ เวลา 2 ชั่วโมง 5 นาที คะแนนเต็ม 50 คะแนน
วันที่สองจะมีการสอบวิชากฎหมายลักษณะพยาน 1 ข้อ และให้เลือกสอบกฎหมายว่าด้วยการ
จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว กฎหมายทรัพย์สิ นทาง
ปัญญา กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแรงงาน กฎหมายล้มละลาย กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ หรือ
กฎหมายวิธีพิจ ารณาคดีผู้ บริ โภค จ านวน 1 ข้อ เวลา 50 นาที คะแนนเต็ม 40 คะแนน และสอบ
ภาษาอังกฤษอีก 3 ข้อ เวลา 3 ชั่วโมง คะแนนเต็ม 60 คะแนน
วันสุดท้าย สอบวิชากฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อย่าง
ละ 2 ข้อ คะแนนเต็ม 40 คะแนน เวลา 1 ชั่วโมง 40 นาที10
3.2 ญี่ปุ่น
บุคคลที่จะสามารถเป็นผู้พิพากษาได้นั้น จะต้องผ่านขั้นตอนตามกฎหมาย ซึ่งปัจจุบันกาหนดว่า
ต้องผ่านการศึกษากฎหมาย จากคณะนิติศาสตร์หรือโรงเรียนกฎหมาย และจะต้องผ่านการทดสอบของ
เนติบัณฑิตแห่งชาติ11 จากนั้นจะต้องเข้ารับการฝึกอบรมเป็นเวลา 1 ปี ที่ สถาบันวิจัยและฝึกอบรม
กฎหมายของประเทศญี่ปุ่น ขั้นตอนสุดท้ายคือการผ่านการทดสอบสุดท้าย สาหรับผู้ที่ผ่านการทดสอบ
ดังกล่าวนั้นจะได้เป็นสมาชิกเนติบัณฑิตแห่งชาติของประเทศญี่ปุ่น โดยจะมีการทดสอบดังนี้
การทดสอบของเนติบัณฑิตแห่งชาติของประเทศญี่ปุ่นนั้นมี 2 ครั้ง แบ่งออกเป็นการทดสอบ
แรกและการทดสอบครั้งที่ 2 โดยการทดสอบแรกนั้นจะเป็นการทดสอบเพื่อที่จะได้รู้ ว่าผู้เข้ารับการ
ทดสอบมีคุณสมบัติที่จะเข้ารับการทดสอบครั้งสุดท้ายหรือไม่ และ การทดสอบครั้งที่ 2 หรือการทดสอบ
สุดท้าย ประกอบไปด้วยข้อสอบข้อเขียน เรียงความและการสอบปากเปล่า โดยข้อเขียนจะมีวิชาหลัก 3
วิชาคือรัฐธรรมนูญแห่งประเทศญี่ปุ่น กฎหมายแพ่ง และกฎหมายอาญา การสอบเรียงความและการ
สอบปากเปล่ านั้ น จะมี 6 วิช าได้แก่ รัฐ ธรรมนูญแห่ งประเทศญี่ปุ่น กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา
กฎหมายพาณิชย์ กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (The Secretariat
of the Judicial Reform Council, 1999)
โดยเมื่อเป็นสมาชิกของเนติบัณฑิตแห่งชาติแล้วก็จะสามารถประกอบอาชีพทางกฎหมายได้
โดยผู้พิพากษานั้นจะถูกคัดเลือกมาจากผู้ช่วยผู้พิพากษา อัยการ และทนายความ ที่มีอายุงานอย่างน้อย
3.3 สหรัฐอเมริกา
เกณฑ์การคัดเลือกผู้พิพากษาในสหรัฐอเมริกาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับว่า เป็นผู้พิพากษา
รัฐบาลกลาง หรือเป็นผู้พิพากษาในระดับมลรัฐ ซึ่งผู้พิพากษารัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาอาจมาจาก
การเสนอชื่อจากประธานาธิบดี โดยอิงจากความเห็นและความยินยอมของสมาชิกสภาสูง หรืออาจได้รับ
การเสนอแนะจากพรรคการเมืองในระดับมลรัฐหรือสภาสูงที่มาจากมลรัฐนั้น ๆ และสังกัดพรรคเดียวกัน
กับประธานาธิบดี ในขณะที่ผู้พิพากษาในระดับมลรัฐจะมีวิธีการคัดเลือกที่แตกต่างกันไปในแต่ละมลรัฐ
ด้วยการคัดเลือกผู้พิพากษาในระดับมลรัฐจะมี 3 วิธี หลักได้แก่ การแต่งตั้งโดยผู้ว่าการรัฐ การเลือกตั้ง
และการใช้วิธีผสมแบบแต่งตั้งและเลือกตั้ง
สหรัฐอเมริกาไม่ได้มีการกาหนดคุณสมบัติของผู้พิพากษาส่วนรัฐบาลกลางไว้12 กล่าวคือผู้ที่ถูก
เสนอชื่อให้เป็นผู้พิพากษาอาจไม่จาเป็นต้องมีความรู้ด้านกฎหมายก็ได้ แต่ในทางปฏิบัติผู้ที่ได้รับการ
เสนอชื่อส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีประสบการณ์ทางด้านกฎหมาย ส่วนคุณสมบัติของผู้พิพากษาในระดับมลรัฐ
จะมีการกาหนดคุณสมบัติที่แตกต่างกันไปในแต่ล ะรัฐ เช่น รัฐแมรี่แลนด์ ได้กาหนดอายุขั้นต่าของผู้
พิพากษาไว้ที่ 30 ปี ส่วนรัฐเท็กซัสก็ได้กาหนดอายุขั้นต่าของผู้พิพากษาชั้นต้น ไว้ที่ 25 ปีเช่นเดียวกันกับ
ประเทศไทย ต่างกันตรงที่รัฐเท็กซัสมีการกาหนดไว้ด้วยว่าผู้ที่จะถูกแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาได้นั้น ต้องเป็น
ผู้มีประสบการณ์ทางด้านกฎหมายโดยการเป็นผู้พิพากษาหรือทนายความมาก่อนเป็นระยะเวลาถึง 4 ปี
ซึ่งประเทศไทยกาหนดให้ผู้ส มัครสอบต้องมีประสบการณ์ทางกฎหมายเพียง 1-2 ปีเท่านั้น และไม่
จาเป็นต้องประกอบอาชีพทนายความมาก่อนก็ได้
นอกจากนี้การประเมินคุณสมบัติของผู้พิ พากษาในสหรัฐอเมริกา ยังมีการประเมินคุณสมบัติที่
ไม่เป็นรูปธรรมด้วยเช่นสภาวะทางอารมณ์ การใช้เหตุผล ความสุขุมรอบคอบ มารยาท ความอดทน
ความไม่ลาเอียง หรือแม้กระทั่งชื่อเสียงในการประกอบอาชีพทางกฎหมายที่ผ่านมา และถึงแม้จะมีการ
กาหนดว่าผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษาจะต้องมีประสบการณ์ถึง 4 ปีแล้ว แต่บันทึกข้อความ
ระหว่างสมาชิกคณะกรรมการร่างกฎหมายคัดเลือกผู้พิพากษารัฐเท็กซัส13 ในปีค.ศ. 2020 ยังได้กล่าวถึง
ความเป็นไปได้ในการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษา โดยจะขยาย
ระยะเวลาการทางานเป็นทนายความหรือผู้พิพากษาให้นานมากยิ่งขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประสบการณ์
ทางานมีผลต่อการประกอบอาชีพผู้พิพากษาเป็นอย่างมาก
3.4 สหราชอาณาจักร
ในสหราชอาณาจักร ผู้ที่จะเข้ามาเป็นผู้พิพากษานั้นจะมาจากการแต่งตั้งผ่านการรับสมัครโดย
คณะกรรมการแต่งตั้งผู้พิพากษา 14 ซึ่งผู้สมัครต้องส่งใบสมัครให้แก่คณะกรรมการ และทาการทดสอบ
เพื่อประเมิณคุณสมบัติ ว่าด้วยเรื่องของการคิดวิเคราะห์ และการตัดสินใจในแต่ละสถานการณ์ โดยใบ
สมัครจะต้องประกอบไปด้ว ยการประเมินตนเองที่ต้ องแสดงให้ เห็ นว่าผู้ ส มัครมีประสบการณ์ แ ละ
ความสามารถในการตัดสินใจในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ดี สามารถเข้าใจข้อมูลต่าง ๆ ได้ และมีความ
เชี่ยวชาญทางกฎหมาย ส่วนการทดสอบจะเป็นการทดสอบเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล การชี้แจงปัญห่า
และความเข้าใจในกฎหมาย ซึ่งมีทั้งแบบทดสอบที่เป็นปรนัยและอัตนัย โดยในส่วนของอัตนัยนั้นจะเป็น
การจาลองสถานการณ์และจะถูกประเมินโดยผู้พิพากษา
เมื่อผ่านการทดสอบแล้วจะได้รับการพิจารณาใบสมัคร โดยคณะกรรมการฯ จะทาการปรึกษา
กับบุคคลที่ปฏิบัติงานในตาแหน่งที่สมัคร หรือบุคคลอื่น เพื่อให้ได้ความคิดเห็นที่หลากหลาย ยุติธรรม
และโปร่ ง ใส โดยถ้ า ได้ รั บ การคั ด เลื อ ก ในวั น คั ด เลื อ กผู้ ส มั ค รจะต้ อ งท าการสั ม ภาษณ์ กั บ คณะผู้
สัมภาษณ์15 โดยผู้สมัครจะต้องทาการตอบคาถามเกี่ยวกับแหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งต้องแสดง
บทบาทสมมุติที่จ ะแสดงให้ เห็ น ถึงการทางานจริงในศาล โดยที่ห ากผู้ ส มัครผ่านการคัดเลื อก คณะ
กรรมการฯ จะทาการส่งคาแนะนาผู้สมัครให้ผู้ที่ต้องรับผิดชอบ เช่น หัวหน้าองค์คณะอาวุโส16 ทาการ
ตัดสินต่อไป และเมื่อดาเนินการทุกอย่างเสร็จสิ้น ผู้สมัครที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็น
ผู้พิพากษา โดยรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม17
โดยทั่ ว ไปแล้ ว แม้ จ ะไม่ ไ ด้ มี ก ารก าหนดอายุ ขั้ น ต่ า แต่ ผู้ ส มั ค รผู้ พิ พ ากษาส่ ว นใหญ่ จ ะมี
ประสบการณ์ด้านกฎหมายเฉลี่ย 17 ปีในการสมัครผู้พิพากษาศาลชั้นต้น และเฉลี่ย 27 ปี ในการสมัคร
ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยอายุที่ได้รับการคัดเลือกมากที่สุดจะอยู่ที่ช่วงอายุ 50 ปี18
17 Lord Chancellor
18 Justice, T. M. (2020). Diversity of the judiciary: Legal professions, new appointments, and current post
3.5 สหพันธรัฐเยอรมนี
ส าหรั บ ประเทศเยอรมนี จ ะมีการกาหนดให้ ผู้ ที่จะมาเป็นผู้ พิ พากษาต้องจบการศึ กษาจาก
มหาวิทยาลัยทางกฎหมาย19 โดยจะต้องเป็นมหาวิทยาลัยที่มีหลักสูตรตามที่ German Judiciary Act
กาหนด ผู้ที่ต้องการสมัครเป็นผู้พิพากษาต้องผ่านการฝึกงานเพื่อเตรียมความพร้อมเป็นเวลาถึง 2 ปี
การฝึกงานนั้นต้องฝึกที่ศาลที่มีการดาเนินคดีแพ่งและคดีอาญา รวมทั้งต้องฝึกงานกับที่ปรึกษากฎหมาย
และหน่วยงานของรัฐด้วย 20 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าประเทศเยอรมนีต้องการให้ผู้พิพากษามีค วามเข้าใจถึง
การใช้กฎหมายในมิติที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังต้องผ่านการทดสอบ 2 ครั้ง ได้แก่การทดสอบที่เป็น
ข้อเขียนโดยมหาวิทยาลัยเมื่อสาเร็จการศึกษา และการทดสอบของรัฐที่เป็นการสอบข้อเขียนและการ
สอบปากเปล่า21 ซึ่งการสอบดังกล่าวนี้เป็นเพียงการสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งคุณสมบัติที่จะประกอบวิชาชีพ
ทางกฎหมายเท่านั้น มีใช่หมายความว่าเมื่อสอบผ่านแล้วจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาโดยทันที ผู้ที่
สอบผ่านจะต้องผ่านกระบวนการคัดเลือกผู้พิพากษาอีกครั้ง22
ซึ่งขั้นตอนการคัดเลือกผู้พิพากษา จะเริ่มต้นเมื่อมีการประกาศรับสมัครผู้พิพากษาซึ่ง ประกาศ
โดยกระทรวงที่รับผิดชอบการศาลนั้น กระบวนการคัดเลือกจะเริ่มโดยการประกาศรับสมัครสาธารณะ
โดยผู้ที่ประสงค์จะต้องยื่นใบสมัคร หน่วยงานที่รับผิดชอบการคัดเลือกจะรวบรวมข้อมูลต่างๆและส่งให้
ผู้มีอานาจพิจารณา ซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวกับผู้สมัครอันได้แก่ ใบสมัคร ผลการทดสอบแห่งรัฐครั้งที่ 2 ผลการ
ประเมินการปฏิบัติหน้าที่ในระหว่างฝึกงาน และในบางศาลอาจมีการเรียกผู้สมัครมาทาการสัมภาษณ์
และมีการจัดให้ทดลองปฏิบัติหน้าที่ในตาแหน่งผู้พิพากษาหรือทดสอบการจัดการเอกสารต่างๆ และให้
ผู้สมัครพิจารณาและคาสั่งว่าจะสั่งการอย่างไร
ในการประเมินความสามารถในการทางาน จะพิจารณาจากทักษะในการใช้กฎหมายและนิติวิธี
ความเป็ น กลาง และความสามารถในการควบคุมและกากับการพิจารณาคดีในศาล นอกจากนี้ยั ง
พิจารณาในความสามารถส่วนตัว เช่น ความสามารถในการตัดสินใจ การใช้อานาจ ควบคุมตนเอง ความ
รับผิดชอบ การสื่อสาร การจัดการกับความขัดแย้งและการทางานร่วมกับผู้อื่น เป็นต้น ผู้ที่ผ่านการ
คัดเลือกจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษาทดลองปฏิบัติหน้าที่เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปีแต่ไม่
เกิน 5 ปี หากผลการปฏิบัติหน้าที่เป็นที่น่าพอใจก็จะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษาเต็มตัว
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
11
3.6 สาธารณรัฐฝรั่งเศส
ในการเข้าสู่ตาแหน่งผู้พิพากษาทั่วไปของฝรั่งเศสนั้น แม้ว่าจะไม่ได้มีการกาหนดอายุขั้นต่า แต่
การเข้าสู่ตาแหน่งของผู้พิพากษาในประเทศฝรั่งเศสจะเน้นไปที่การอบรมเป็นหลัก เนื่องจากก่อนจะเข้า
สู่ตาแหน่งได้ ผู้สมัครจะต้องเป็นผู้พิพากษาฝึกหัดทั่วไปที่ผ่านการอบรมจากวิทยาลัยตุลาการแห่งชาติ
และในการที่จะเป็นผู้พิพากษาฝึกหัดได้นั้นมีวิธีในการเข้าสู่ตาแหน่งดังกล่าวได้ 3 วิธีด้วยกัน ได้แก่ การ
สอบแข่งขัน สอบแข่งขันพิเศษ หรือการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษาฝึกหัดทั่วไป โดยผู้ที่เข้ามาโดยวิธี
ดังกล่าวอาจไม่จาเป็นต้องจบการศึกษาคณะนิติศาสตร์หรือมีประสบการณ์ทางานทางด้านกฎหมายก็ได้
ในส่วนของคุณสมบัติของผู้พิพากษาที่มีการกาหนดอายุงานและประสบการณ์การทางานเป็น
สาระสาคัญนั้น จะปรากฏในวิธีของการสอบแข่งขันและการสอบแข่งขันพิเศษ
หากเป็นการสอบแข่งขันทั่วไปจะไม่มีการกาหนดอายุขั้นต่าของผู้สมัครสอบ แต่จะมีการ
กาหนดอายุขั้นสูงและวุฒิการศึกษาไว้ โดยผู้สมัครจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้ ประเภทแรก ผู้ที่
จบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและมีอายุไม่เกิน 31 ปี ประเภทที่ 2 ผู้ที่เป็นข้าราชการที่ปฏิบัติงาน
มาแล้วอย่างน้อย 4 ปีและมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับบุคคลประเภทที่ 1 โดยที่มีอายุไม่เกิน 46 ปี 5 เดือน
และประเภทสุดท้าย คือผู้ที่มีประสบการณ์งานพิเศษมาแล้ว 8 ปีโดยที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี โดยเมื่อ
ผู้สมัครได้ผ่านการทดสอบดังกล่าวแล้วจะต้องได้รับการฝึกอบรมเป็นเวลา 2 ปี 7 เดือน ทั้งในทางทฤษฎี
และทางปฏิบัติจริง ทั้ง คณะกรรมการอิสระอาจพิจารณาให้ผู้ผ่านการทดสอบฝึกอบรมเพิ่มเติมจากเดิม
อีก 1 ปีหากเห็นว่าเป็นการเหมาะสม รวมทั้งจะให้คาแนะนาเรื่องสถานที่ของการดารงตาแหน่งครั้งแรก
ให้แก่ผู้พิพากษาฝึกหัด ซึ่งถ้าหากได้เลื่อนตาแหน่งแล้วผู้พิพากษาฝึกหัดจะต้องเข้ารับการฝึกงานในศาล
แห่งใหม่เป็นระยะเวลาอีก 4 เดือนด้วย
ตรงกันข้ามกับการสอบแข่งขันทั่วไป ในการสอบแข่งขันพิเศษของประเทศฝรั่งเศสนั้นได้มีการ
กาหนดอายุขั้นต่าและประสบการณ์ทางานของผู้สมัครสอบไว้ เนื่องจากเป็นช่องทางในการทาให้
สามารถเข้าสู่ตาแหน่งตุลาการชั้นสองหรือตุลาการชั้นหนึ่งเลยได้ โดยผู้สมัครสอบเพื่อเป็นตุลาการชั้น
สองจะต้องมีอายุ 35 ปีขึ้นไป และมีประสบการณ์ในการทางานด้านกฎหมาย การปกครอง
เศรษฐศาสตร์ หรือสังคมเป็นเวลาถึง 10 ปี ส่วนผู้ที่จะสอบแข่งขันเป็นตุลาการชั้นหนึ่งจะต้องมีอายุ
อย่างน้อย 50 ปี และมีประสบการณ์ทางานเช่นเดียวกับผู้สมัครตุลาการชั้นสองเป็นระยะเวลา 15 ปีเป็น
อย่างน้อย ทั้งนี้เมื่อผู้สมัครผ่านการทดสอบ ก็ต้องผ่านการอบรมในวิทยาลัยตุลาการเช่นเดียวกัน23
3.7 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกมีผู้พิพากษาทั้งสิ้นจานวน 15 คน โดยจะต้องเป็นผู้
ได้รับการเลือกมาจากที่ประชุมของสมัชชาสหประชาชาติ และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
โดยมีวาระการดารงตาแหน่ง 9 ปี
ในการคัดเลือกผู้พิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศนั้นจะเริ่มจากการเสนอชื่อผู้ที่
เหมาะสม โดยรัฐสมาชิกขององค์การสหประชาชาติที่ต้องการเสนอชื่อบุคคลโดยตรงโดยไม่ตั้ง
คณะกรรมการคัดเลือก หรือหากรัฐสมาชิกสหประชาชาติใดมีนักกฎหมายจานวน 4 คน ซึ่งมีคุณสมบัติ
สามารถที่จะเป็นอนุญาโตตุลาการของศาลประจาอนุญาโตตุลาการ ก็อาจมอบหมายให้นักกฎหมายทั้ง
4 คนนั้นทาการเสนอชื่อผู้สมัครเข้าดารงตาแหน่งผู้พิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในนามของรัฐ
ตนได้ หรือรัฐสมาชิกสหประชาชาติจะแต่งตั้งคณะกรรมการหมู่ธงประจาชาติ24ของตนขึ้นเพื่อหาผู้ที่
เหมาะสมเป็นผู้สมัครดารงตาแหน่งผู้พิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศก็ได้ โดยสามารถเสนอ
รายชื่อผู้ที่รับผู้เสนอเหตุว่าเหมาะสมได้ 4 ชื่อ
ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนทั้งในคณะมนตรีความมั่นคงแห่ง
สหประชาชาติและในสมัชชาสหประชาชาติด้วยคะแนนเสียงข้างมากเด็ดขาด
บทที่ 4 การนามาปรับใช้ในระบบศาลยุติธรรมไทย
4.1 ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบการคัดเลือกผู้พิพากษาของประเทศไทย
ในระบบการคัดเลือกของประเทศไทยนั้น ได้มีปัญหาที่เห็นได้ชัดอยู่หลายประการด้วยกันหาก
เทียบกับระบบการคัดเลือกของประเทศอื่น โดยจะมีประเด็นสาคัญที่ต้องพิจารณา 3 ประเด็นหลัก คือ
4.1.1 ความไม่เหมาะสมของเกณฑ์อายุในการสมัครสอบคัดเลือกหรือทดสอบความรู้
การกาหนดให้ผู้สมัครสอบมีอายุเพียงแค่ 25 ปีก็สามารถสมัครสอบได้ ทาให้เกิดข้อสงสัยว่าผู้ที่
จะมาเป็นผู้พิพากษาในอนาคตนั้ นมีความรู้และประสบการณ์มากพอที่จะเข้าใจบริบทในสังคมและ
เหตุการณ์ต่าง ๆ ด้วยอายุดังกล่าวหรือไม่
เนื่องมาจากว่าโดยปกติ ในประเทศไทยนั้นผู้ที่จบการศึกษานิติศาสตร์บัณฑิตจะมีอายุประมาณ
22 ปี และการที่จะมีสิทธิสอบผู้ช่วยผู้ พิพากษานั้นก็จาเป็นต้องสอบไล่ได้ เนติบัณฑิต ซึ่งใช้เวลาอีกอย่าง
น้อยที่สุด 1 ปี กล่าวคืออายุ 23 ปี
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วผู้สมัครก็อาจมีเพียงแค่มุมมองทางกฎหมายเท่านั้น เพราะมีประสบการณ์
เพียงแค่ด้านกฎหมาย แม้จะกาหนดว่าต้องทางานก่อน 1-2 ปี แต่ก็ไม่อาจวั ดได้ว่าบุคคลดังกล่ าวมี
ประสบการณ์ชีวิตเพียงใด มากพอที่นามาใช้ในการวินิจฉัยคดีที่เกิดขึ้นจริงหรือไม่ เพราะในบางกรณีการ
มองด้วยมุมมองที่คับแคบของนิติศาสตร์ก็ไม่อาจไขคาตอบได้
4.1.2 ความไม่เหมาะสมของการกาหนดให้ผู้เข้าสมัครสอบมีประสบการณ์การทางานด้าน
กฎหมายเพียง 1-2 ปี
ถึงแม้ว่าเมื่อ ผ่านการทดสอบแล้ว ผู้ที่สอบผ่านต้องดารงตาแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษาก่อนเป็น
ระยะเวลา 1 ปี แต่หากรวมระยะเวลาทั้งหมดแล้ว จะเห็ นได้ว่าผู้พิพากษาบางคนอาจมีประสบการณ์
ทางานด้านกฎหมายเพียงแค่ 2 – 3 ปีเท่านั้นก่อนจะมาเป็นผู้พิพากษา จึง นามาสู่ข้อสงสัยที่ว่า หากผู้
พิพากษาที่มีประสบการณ์การทางานแค่ 2 – 3 ปี และมีเพียงความรู้ด้านกฎหมายอย่างเดียวจะสามารถ
ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพราะในศาลชั้นต้นนั้น ผู้พิพากษาเพียงคนเดี ยวก็มีอานาจ
ในการไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคาร้องหรือคาขอที่ยื่นต่อศาลทั้งหมด อานาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญา
และโดยเฉพาะการพิจารณาคดีที่ใช้ ผู้พิพากษาคนเดียว ซึ่งไม่มีผู้ พิพากษาคนอื่นเข้ามาร่วมพิจารณา
ด้วย25
ภาพที่ 3 อัตราส่วนคะแนนและวิชาในการคัดเลือกผู้พิพากษาแยกตามสนามต่าง ๆ
หมายเหตุ. จาก iLaw, https://ilaw.or.th/node/5877
4.2 แนวทางการปรับปรุงวิธีการคัดเลือกโดยองค์กรตุลาการ
เมื่อเปรียบเทียบการกาหนดคุณสมบัติของการเป็นผู้พิพากษาในประเทศต่าง ๆ กับประเทศไทย
แล้ว จะเห็นได้ว่าประเทศอื่น ๆ นั้นได้ให้ความสาคั ญกับประสบการณ์การทางานเป็นอย่างมาก เช่น
สหราชอาณาจักรที่คัดเลือกจากผู้ที่มีประสบการณ์การทางานอย่างยาวนาน ทาให้ได้ผู้ที่มีความสามารถ
เป็นเลิศ และเมื่อประกอบกับวัยวุฒิของผู้ที่ได้รับการคัดเลือกแล้ว ก็ย่อมทาให้ได้รับความน่าเชื่อถือเป็น
อย่างดี ประเทศญี่ปุ่นที่ผู้ที่จะเป็นผู้พิพากษาได้นั้นต้องเป็นอัยการ ทนายความ หรือผู้ช่วยผู้พิพากษาเป็น
เวลา 10 ปีจึงจะได้รับการพิจารณา หรือแม้กระทั่งฝรั่งเศสที่ไม่ได้กาหนดประสบการณ์ทางานยาวนาน
เท่าสองประเทศข้างต้น แต่ก็ยังกาหนดระยะเวลาการทางานนานกว่าประเทศไทย และมีการฝึกอบรมที่
ใช้ระยะเวลานานกว่าประเทศไทยอีกด้วย ดังนั้นการคัดเลือกผู้พิพากษาในไทยจึงควรดูจากอายุและ
ประสบการณ์ให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยกาหนดอายุขึ้นต่าและประสบการณ์ทางานให้มากขึ้น รวมทั้งควร
ให้ความสาคัญกับการอบรมและฝึกงานผู้พิพากษาให้มากขึ้นเช่นกัน
การคัดเลือกผู้พิพากษาในต่างประเทศไม่ได้เน้นแค่ความรู้ทางกฎหมายเพียงอย่ างเดียว แต่
พิจารณารวมไปถึงทักษะการคิดวิเคราะห์ ความเข้ าใจในข้อเท็จจริงและปัญหาแห่งคดี อีกทั้งยังเป็น
องค์ ป ระกอบที่ ส าคั ญ ในการคั ด เลื อ กผู้ พิ พ ากษาในหลาย ๆ ประเทศ ในขณะที่ ป ระเทศไทยให้
ความสาคัญเพียงแค่ความรู้ทางกฎหมายเท่านั้น ดังนั้นจึงควรให้ความสาคัญกับทักษะอื่นนอกเหนือจาก
ด้านกฎหมาย ก็อาจส่งผลให้ผู้พิพากษาที่ถูกคัดเลือกนั้นมีทั้งความรู้ความสามารถด้านกฎหมายและการ
ปรั บ ใช้กฎหมายเข้าสู่ ข้อ เท็จ จริ ง รวมทั้งยังเข้าใจบริบทที่ แตกต่า งออกไปของสั ง คม ซึ่งส่ งผลเป็ น
ประโยชน์ต่อความยุติธรรม
และสุดท้าย การแยกออกเป็นสนามเล็กและสนามจิ๋วนั้นควรจะใช้เฉพาะในกรณีที่ต้องการผู้
พิพากษาที่มีความรู้เฉพาะด้านจากปริญญาโทหรือมหาวิทยาลัยต่างประเทศ เช่น กฎหมายพาณิชย์นาวี
กฎหมายสิ่งแวดล้อม กฎหมายภาษี กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายอวกาศ และให้ไปปฏิบัติ
หน้าที่ในส่วนของศาลชานัญพิเศษหรือแผนกคดีเฉพาะในศาลฎีกามากกว่าศาลยุติธรรมทั่วไป เนื่องจาก
ความรู้เฉพาะด้านที่กล่ าวมานั้ น ไม่ค่อยมีความจาเป็นในศาลยุติธรรมทั่ว ไป เพราะศาลชั้นต้น ทั่ว ไป
ส่วนมากจะพิจารณาคดีแพ่งสามัญหรือคดีอาญาสามัญมากกว่า การให้ผู้ที่มีความสามารถเฉพาะทางไป
ทางานทั่วไปก็เสื่อมซึ่งประโยชน์ที่อาจสร้างได้เสียเปล่า รวมถึงการทดสอบที่ใช้ความรู้ด้านกฎหมาย
สามัญเพียงแค่ 15 และ 11 ข้อตามลาดับเท่านั้น
17
บทที่ 5 สรุป
การที่กระบวนการเข้าสู่ตาแหน่งผู้พิพากษาในประเทศไทยได้ให้ความสาคัญกับความรู้ทางด้าน
กฎหมายเป็นอย่างมาก และผู้ที่มีคะแนนผ่านเกณฑ์ที่กาหนดไว้ในแต่ล ะสนามเท่านั้นจึงจะได้ดารง
ตาแหน่ งผู้ ช่ว ยผู้ พิพากษา แสดงให้ เห็ นว่าประเทศไทยให้ ความส าคัญกับความรู้ความสามารถทาง
กฎหมาย ซึ่งนับได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีแล้ว
แต่กระนั้นก็ยังมีข้อบกพร่องอีกมากหากเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ เช่น ประเทศญี่ปุ่นที่ต้อง
ประกอบอาชีพทนายความ อัยการ หรือผู้ช่วยผู้พิพากษาถึง 10 ปี ประเทศฝรั่งเศสที่ให้ความสาคัญกับ
การอบรมผู้ พิ พ ากษาใหม่ ใ ห้ เ ข้ า ใจถึ ง บริ บ ททั้ ง ในด้ า นกฎหมายและชี วิ ต จริ ง โดยให้ ไ ปฝึ ก งานใน
หน่วยงานต่าง ๆ ทั้งรัฐและเอกชนก่อน สหราชอาณาจักรที่ให้ความสาคัญกับประสบการณ์เป็นอย่าง
มาก และทาให้ได้ผู้พิพากษาที่พร้ อมทั้งวัยวุฒิและคุณวุฒิ ประเทศเยอรมนีที่ให้ ความสาคัญกั บการ
ฝึกงานเช่นเดียวกับฝรั่งเศส แต่ก็มีการทดสอบด้านอื่น ๆ เช่น การตัดสินใจ การปฏิบัติหน้าที่ เป็นต้น
ดังนั้นแล้ว ก็นับว่าเป็นเรื่องดี หากประเทศไทยจะเรียนรู้จากการคัดเลือกของประเทศอื่น ๆ
เหล่านี้ และมีการทดสอบหรือพิจารณาศักยภาพอื่น ๆ เพิ่มเติมดังที่กล่าวไปข้างต้น หรือมีการเพิ่มเกณฑ์
คุณสมบัติอายุและประสบการณ์ให้มากกว่าเดิม รวมไปถึงการจัดการกับสนามเล็กและสนามจิ๋ว ที่ไม่ได้
สร้างประโยชน์มากหากยังใช้ระบบแบบเดิมที่ให้ไปทางานที่เดียวกับคนที่สอบเข้ามาด้วยสนามใหญ่ซึ่ง
เน้ น คะแนนกฎหมาย ให้ ไปทางานด้านกฎหมายเฉพาะในศาลช าคัญ พิเ ศษหรื อแผนกคดีต่าง ๆ ที่
ต้องการความรู้ความสามารถเฉพาะทางแทน การทาเช่น อาจจะทาให้ คุณสมบัติในการคัดเลื อกนั้น
เป็นไปได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น และส่งผลต่อเนื่องไปยังการปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพภายหลัง
การเข้าสู่ตาแหน่งด้วยนั่นเอง
18
บรรณานุกรม
บรรณานุกรม (ต่อ)
The Secretariat of the Judicial Reform Council. (1999). The Japanese Judicial System.
เข้าถึงได้จาก https://japan.kantei.go.jp/judiciary/0620system.html
20
ภาคผนวก
21
22
23
24
25
26
27
ใบรองปกหลัง
ปกหลัง