Professional Documents
Culture Documents
Chapter 4-27jun23 - With Cover
Chapter 4-27jun23 - With Cover
Chapter 4-27jun23 - With Cover
รายวิชา EN113602
อุทกวิทยา (Hydrology)
รศ.ดร.กิตติเวช ขันติยวิชัย
สาขาวิชาวิศวกรรมโยธา
คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บทที่ 4
น้ำใต้ผิวดิน
(Subsurface Water)
น้ำฝนที่ไหลซึมลงผ่านผิวดินจะถูกกักเก็บไว้ในโพรงระหว่างเม็ดดิน และมีอากาศผสมอยู่ด้วย ซึ่งการไหล
ดังกล่าวเรียกว่า “การไหลแบบไม่อิ่มตัวด้วยน้ำ (Unsaturated flow)” และสามารถไหลซึมลึกลงไปกักเก็บใน
ชั้ น น้ ำ ใต้ ดิ น น้ ำ ในชั้ น น้ ำ ใต้ ดิ น (Aquifer) จะมี “การไหลแบบอิ่ ม ตั ว ด้ ว ยน้ ำ (Saturated groundwater
flow)”
น้ำใต้ดิน → สำคัญสำหรับพื้นที่ที่ไม่มีแหล่งน้ำผิวดินกักเก็บ /ไหลผ่านในฤดูแล้ง + ไม่เพียงพอต่อความ
ต้องการน้ำ → ลำน้ำที่มีน้ำไหลตลอดปีก็มีที่มาจากน้ำใต้ดิน → เป็นส่วนหนึ่งของวงจรอุทกวิทยา
4.1 ลักษณะทางอุทกวิทยาของชั้นใต้ผิวดิน
การไหลของน้ำใต้ดินจะขึ้นอยู่กับ:
• ลักษณะของชั้นดิน → ชนิดของดิน, ความหนาของแต่ละชั้น และลักษณะการเรียงตัวของชั้นดิน
• คุณสมบัติทางอุทกวิทยาของดินแต่ละชั้น ได้แก่
▪ ความซึมผ่านได้ (Hydraulic conductivity) → น้ำจะไหลซึมผ่านดินที่เป็นตัวกลางพรุนได้เร็ว
เพียงใด
▪ ความพรุน (Porosity) → โพรงหรือช่องว่างระหว่างเม็ดดินมีปริมาตรมากเพียงใดเมื่อเทียบกับ
เนื้อดิน
▪ ความสามารถในการอัดแน่น (Compressibility) ของชั้นดิน → ปริมาณน้ำที่จะถูกบีบออกจาก
โพรงเมื่อชั้นดินเกิดการอัดแน่น
ระบบน้ำผิวดินและน้ำใต้ผิวดินจะเชื่อมโยงกันได้ผ่าน:
▪ กระบวนการซึมลง ในบริเวณที่ชั้นน้ำใต้ดินโผล่ขึ้นสู่ระดับผิวดิน → เกิดเป็นพื้นที่อัดเสริมของน้ำ
ใต้ดิน (Recharge Area)
▪ การคายระเหย = กระบวนการที่น้ำใต้ผิวดินซึมขึ้นสู่ผิวดิน แล้วระเหยคู่กับการคายน้ำของพืช
ออกสู่บรรยากาศ
▪ การไหลขึ้นสู่ผิวดิน เกิดจากการที่น้ำใต้ดินมีแรงดันอยู่ในระดับที่สูงกว่าผิวดินตรงจุดที่ชั้นน้ำใต้ดิน
โผล่ขึ้นสู่ผิวดิน เกิดเป็นน้ำพุที่ไหลเข้าลำน้ำ, หนอง, บึง ฯลฯ
ระดับน้ำใต้ดินจะสูงขึ้น → ระยะทางห่างออกไปจากแหล่งน้ำ
ระดับน้ำใต้ดิน < ระดับน้ำในแหล่งน้ำ (ลำน้ำ) → ลำน้ำจะไหลเสริม/ซึมออกจากลำน้ำ เพื่อเพิ่มปริมาณ
น้ำใต้ดิน (Influent stream)
ระดับน้ำใต้ดิน > ระดับน้ำในแหล่งน้ำ (ลำน้ำ) → น้ำใต้ดินจะไหลเสริมเข้าลำน้ำ (Effluent stream)
4.3 คุณสมบัติของชั้นให้น้ำใต้ดินที่มีผลต่อน้ำใต้ดิน
น้ำใต้ดิน → แผ่กระจายอยู่ตามช่องว่างระหว่างเม็ดดิน /รอยหินแตกในเขตอิ่มตัวด้วยน้ำ → คุณสมบัติ
ของชั้นให้น้ำใต้ดิน จึงมีผลต่อปริมาณน้ำใต้ดิน
1) ความพรุน (Porosity)
อัตราส่วนระหว่างปริมาตรช่องว่าง (Void, Vv) ของดิน/หินที่มีรอยแตกต่อปริมาตรทั้งหมดของดิน/
หิน (V)
VV
n= ( 4.1)
V
บทที่ 4 น้ำใต้ผิวดิน (Subsurface Water) 137
โดยที่ VV = ปริมาตรของช่องว่าง
V = ปริมาตรทั้งหมด
ชนิดของดินและหิน n, %
กรวด (Gravel) 25 – 40
ทราย (Sand) 25 – 40
ดินตะกอน (Silt) 35 – 50
ดินเหนียว (Clay) 40 – 70
หินบะซอลท์มีรอยแตก (Fractured basalt) 5 – 50
หินทราย (Sandstone) 5 – 30
หินปูน (Limestone , Dolomite) 0 – 20
หินดินดาน (Shale) 0 – 10
หินแข็ง (Dense crystalline rock) 0–5
ชนิดของดินและหิน K, m/day
ดินเหนียวที่อยู่ใกล้ผิวดิน (Clay near surface) 0.01 – 0.2
ดินเหนียวผสมกรวดทราย (Sandy clay) 0.001 – 0.1
ดินเหนียวที่อยู่ลึก (Deep clay beds) 10-8 – 10-2
ดินร่วน (Loam soils) 0.1 – 1
ดินทรายละเอียด (Fine sand) 1–5
ดินทรายปานกลาง (Medium sand) 5 – 20
ดินทรายหยาบ (Coarse sand) 20 – 100
กรวด (Gravel) 100 – 1,000
กรวดผสมทราย (Sand and gravel mixes) 5 – 100
หินทราย (Sandstone) 0.001 – 1
หินปูนมีรอยแตก (Carbonate rock) 0.01 – 1
หินดินดาน (Shale) 10-7
หินแข็ง (Dense solid rock) < 10-5
หินที่มีรอยแตก (Fracture rock) 0.001 – 10
EN113602 อุทกวิทยา (Hydrology) 138
h
q = −K ( 4.2 )
L
h
Q = −KA ( *)
L
เครื่องหมายลบ → น้ำไหลไปในทิศทางที่แรงขับลดลง
q
v= ( 4.3)
n
ทิศทางการไหลของน้ำใต้ดิน
การไหลของน้ำใต้ดิน = การไหลซึมอย่างช้าๆ → การไหลแบบราบเรียบ (Laminar flow) → เขียนทิศ
ทางการไหลได้ โดยการเขียนตาข่ายการไหล (Flow net) ดังรูปที่ 4.6
จากรู ป เส้ น ศั ก ย์ ค วามดั น เท่ า กั น , Equipotential lines = บริ เวณแนวเส้ น ที่ มี ค วามดั น ชลศาสตร์
P
(Hydraulic head, h) เท่ากัน = (Pressure head, ) + (Elevation head, z)
EN113602 อุทกวิทยา (Hydrology) 140
อัตราการไหลทั้งหมด → พื้นฐานสมการของดาร์ซี่
M
Q= KH (**)
N
โดยที่ Q = อัตราการไหลทั้งหมด
M = จำนวนช่องของการไหล
N = จำนวนช่องของเส้นศักย์ความดันเท่ากัน
K = คุณสมบัติของตัวกลางพรุน (Hydraulic conductivity)
H = ผลต่างของเส้นศักย์ความดันเท่ากัน
บทที่ 4 น้ำใต้ผิวดิน (Subsurface Water) 141
วิธีทำ หาอัตราการไหล
h m 0.8 m 3
= 0.65 10−2 ( 4 m 2 )
m
Q = KA = 0.0208
L s 1m s
h m
Q = KA = 50 ( 20 m 1 m ) ( 0.004 ) = 4 m / day / m
3
L day
4.5 การไหลคงที่ของน้ำใต้ดินเข้าบ่อบาดาล
การไหลคงที่ของน้ำใต้ดิน (Steady groundwater flow) เข้าบ่อบาดาลแยกวิเคราะห์ได้ 2 กรณี คือ
▪ กรณีชั้นให้น้ำใต้ดินอิสระ (Unconfined aquifer)
▪ กรณีชั้นให้น้ำบาดาล (Confined aquifer)
h 22 − h12
Q = K (***)
r
ln 2
r1
โดยที่ Q = อัตราการสูบ
h1, h2 = ระดับน้ำใต้ดินของบ่อสังเกตการณ์ที่ 1 และ 2
r1, r2 = รัศมีจากบ่อสูบถึงบ่อสังเกตการณ์ที่ 1 และ 2
K = ค่าสัมประสิทธิ์การซึมผ่าน
ในกรณีที่มีบ่อสังเกตการณ์ 1 บ่อ ที่รัศมี r ใดๆ สามารถหาอัตราการสูบได้จากการกำหนดให้ h1 =
hw, h2 = h, r1 = rw และ r2 = r อัตราการสูบ Q จะมีค่าเท่ากับ
h 2 − h 2w
Q = K (****)
r
ln
rw
บทที่ 4 น้ำใต้ผิวดิน (Subsurface Water) 143
h 2 − h 2w
Q = K
r
ln
rw
36.52 − h 2
= ( 7.823 10−5 )
3
m w
0.025
s 25
ln 0.15
h w = 28.49 m
y w = 40 − h w
= 40 − 28.49
= 11.51 m
h 2 − h1
Q = 2KD (1)
r
ln 2
r1
โดยที่ Q = อัตราการสูบ
h1, h2 = ระดับน้ำใต้ดินของบ่อสังเกตการณ์ที่ 1 และ 2
r1, r2 = รัศมีจากบ่อสูบถึงบ่อสังเกตการณ์ที่ 1 และ 2
K = ค่าสัมประสิทธิ์การซึมผ่าน
D = ความหนาของชั้นให้น้ำบาดาล
T = KD
K
( h1 + h 2 )
2
EN113602 อุทกวิทยา (Hydrology) 146
y 2 − y1
Q = 2T ( 2)
r
ln 2
r1
ถ้ า กำหนดให้ ที่ รั ศ มี อิ ท ธิ พ ล (Radius of influence) r2 = R ซึ่ ง เป็ น บริ เวณที่ ไม่ มี ผ ลกระทบ
เนื่องจากการสูบน้ำบาดาล → ไม่มีการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำใต้ดิน (y = 0) และระดับน้ำสูง H → r1 = rw,
r2 = R, y1 = yw และ y2 = 0 สมการที่ (2) จะเขียนได้เป็น
2Ty w
Q= ( 3)
R
ln
rw
รัศมีอิทธิพล → กำหนดระยะห่างระหว่างบ่อน้ำบาดาล/ขอบเขตของบ่อน้ำบาดาลไม่ให้กระทบต่อ
การใช้น้ำ
บทที่ 4 น้ำใต้ผิวดิน (Subsurface Water) 147
▪ ค่าสัมประสิทธิ์การซึมผ่าน 45 m/day
m 1 day 1 hr 1 min −4
K = 45 m / day = 45 = 5.208 10 m / s
day 24 hr 60 min 60 sec
▪ ค่าสัมประสิทธิ์การไหลผ่าน (T)
2Ty w
Q=
R
ln
rw
2 (10.416 10−3 m 2 / s ) ( 3m )
=
300 m
ln
0.15 m
= 0.02583 m3 / s
m3 1, 000 litre 60 s
= 0.02583
s 1 m 3 1 min
= 1,550 litre / min
EN113602 อุทกวิทยา (Hydrology) 148
4.6 การไหลไม่คงที่ของน้ำใต้ดินเข้าบ่อบาดาล
การไหลซึมของน้ำใต้ดินเข้าสู่บ่อบาดาลจะเป็นการไหลไม่คงที่ มีการเปลี่ยนแปลงระดับน้ำในบ่อน้ำบาดาล
ตามเวลา ดังนั้นถ้าพิจารณาบ่อน้ำบาดาลแห่งหนึ่ง เมื่อมีการสูบน้ำออกจากบ่อน้ำบาดาลด้วยอัตราการสูบ Q
คงที่ เป็นเวลา t จะทำให้ระดับน้ำใต้ดินที่รัศมี r ใดๆ มีระยะน้ำลด = y
โดยมีสมการการไหลไม่คงที่เข้าบ่อน้ำบาดาลในชั้นให้น้ำบาดาลดังแสดงในสมการที่ (4)
2 h 1 h Sc h
+ = ( 4)
r 2 r r T t
วิธีการที่ใช้ในการวิเคราะห์การไหลไม่คงที่ในบ่อน้ำบาดาลที่นิยมใช้ในงานโดยทั่วไปมี 3 วิธีคือ
▪ วิธีของ Theis
▪ วิธีของ Cooper – Jacob
▪ วิธีของ Chow
ระยะน้ำลด:
Q e− u
( 5)
4T u u
y= du
r 2Sc
u= ( 6)
4Tt
บทที่ 4 น้ำใต้ผิวดิน (Subsurface Water) 149
Q u2 u3
y= −0.5772 − ln u + u − + − ... (9)
4T 2 2! 3 3!
u2 u3
W ( u ) = −0.5772 − ln u + u − + − ... (10 )
2 2! 3 3!
ระยะน้ำลด
Q
y= W (u) (11)
4T
r2 4 T
= u (12 )
t Sc
จากสมการที่ (11) และ (12) พบว่า เมื่อ Q, T และ Sc =ค่าคงที่ → ความสัมพันธ์ระหว่าง W(u)
และ u คล้ ายกับ ความสั มพั น ธ์ร ะหว่าง y และ r2/t → หาค่า Sc และ T ได้ โดยการเขี ยนกราฟ ตาม
ขั้นตอนดังแสดงในรูป
รูปที่ 4.13 การลงจุดโค้งต้นแบบ (Type curves) จากตารางที่ 4.3 (วิโรจน์ ชัยธรรม, 2539)
EN113602 อุทกวิทยา (Hydrology) 152
ตารางแสดงผลการวัดระยะน้ำลดที่บ่อสังเกตการณ์
เวลา (hr) ระยะน้ำลด (m) เวลา (hr) ระยะน้ำลด (m)
0.25 0.10 4.00 1.39
0.50 0.29 5.00 1.55
0.75 0.44 6.00 1.66
1.00 0.58 7.00 1.78
1.50 0.80 8.00 1.84
2.00 1.00 9.00 1.92
3.00 1.20 10.00 2.00
Q
y= W (u)
4T
Q
T= W (u)
4y
0.06 m3 / s
= 1.22
4 0.84 m
m3
= 0.00693 m / s / m = 0.00693 s
3 60 60 24 s = 598.75 m3 / day / m
m 1 day
r 2Sc
u =
4Tt
4Tu ( 4 598.75 m / day / m 0.20 )
3
Sc = 2 = = 0.08
r /t 6, 000 m 2 / day
EN113602 อุทกวิทยา (Hydrology) 154
ค) จงหาระยะน้ำลดที่บ่อน้ำบาดาลหลังจากสูบน้ำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาครึ่งปี และ 1 ปี
• เมื่อเวลาผ่านไป ½ ปี หรือ 183 วัน ที่บ่อน้ำบาดาล (r = 0.25 m)
- หาค่า u จากสมการที่ (6)
r 2Sc
u=
4Tt
=
( 0.25 2
m 2 0.08 )
4 598.75 m3 / day / m 183 day
= 1.14 10−8
= 12.22 m
=
( 0.25 2
m 2 0.08 )
4 598.75 m 3 / day / m 365 day
= 5.72 10−9
= 12.68 m
r 2 Sc
u=
4Tt
สมการที่ (6) เมื่อ Sc และ T คงที่ สำหรับค่า r น้อยๆ และ t มากๆ จะมีผลทำให้ตัวแปรไร้มิติมีค่า
น้อยมาก ซึ่งวิธีของ Cooper – Jacob จะกำหนดค่าตัวแปรไร้มิติในกรณี u มีค่าน้อย (u < 0.01) จะทำ
ให้เทอมขวามือของฟังก์ชั่นบ่อ (สมการที่ 10) เหลือเพียง 2 เทอมแรก คือ
ฟังก์ชั่นบ่อ
W ( u ) = −0.5772 − ln u (13)
ระยะน้ำลด
Q
y= ( −0.5772 − ln u ) (14 )
4T
ระยะน้ำลด
Q r 2Sc
y= − 0.5772 − ln (15)
4T 4Tt
เมื่อสู บ น้ ำจากบ่ อน้ ำบาดาลด้ว ยอัตราการสู บ Q (คงที่ ) และบ่อสั งเกตการณ์ อยู่ห่ างจากบ่อน้ ำ
บาดาล r (คงที่) โดยมี T กับ Sc คงที่ ดังนั้น
• ที่เวลา t1 บ่อสังเกตการณ์มีระยะน้ำลด คือ
ระยะน้ำลด
Q r 2Sc
y1 = −0.5772 − ln (16 )
4T 4Tt1
EN113602 อุทกวิทยา (Hydrology) 156
ระยะน้ำลด
Q r 2Sc
y2 = −0.5772 − ln (17 )
4T 4Tt 2
ผลต่างของระยะน้ำลด
y = y 2 − y1
Q r 2Sc r 2Sc
= ln − ln
4T 4Tt1 4Tt 2
Q t
= ln 2 (18)
4T t1
2.3Q t
y = log 2 (19 )
4T t1
2.3Q
สมการที่ (19) จะเห็ น ได้ ว่ า เมื่ อ 4T เป็ น ค่ า คงที่ ดั ง นั้ น เมื่ อ นำระยะน้ ำ ลด y ของบ่ อ
สังเกตการณ์ที่เวลา t ต่างๆ มาเขียนกราฟกึ่งเลขยกกำลัง (Semilogarithmic graph) จะได้กราฟเส้นตรงดังรูป
ความลาด (Slope);
y 2.3Q
m= = ( 20 )
t 4T
log 2
t1
2.3Q t
T= log 2 ( 21)
4y t1
t 100
log 2 = log =1 ( 22 )
t1 10
2.3Q
T= ( 23)
4y
Q r 2Sc
0= −0.5772 − ln
4T 4Tt 0
2.25Tt 0
Sc = ( 24 )
r2
EN113602 อุทกวิทยา (Hydrology) 158
ตัวอย่างที่ 4.6: จากข้อมูลในตัวอย่างที่ 4.6 ใช้วิธีของ Cooper – Jacob สำหรับ ก) หาค่ า สั ม ประสิ ท ธิ์ ก าร
ไหลผ่าน (T) ข) หาค่าสัมประสิทธิ์การเก็บกัก (Sc) ค) หาระยะน้ำลดที่บ่อน้ำบาดาลหลังจากสูบน้ำอย่างต่อเนื่อง
เป็นเวลา ½ ปี และ 1 ปี
วิธีทำ ก) ค่าสัมประสิทธิ์การไหลผ่าน (T)
• เขียนกราฟกึ่งเลขยกกำลังระยะน้ำลด y และเวลาตั้งแต่เริ่มสูบน้ำ t
2.3Q
T=
4y
2.3 ( 0.06 m 3 / s )
=
4 (1.48 m )
= 0.0074 m 3 / s / m
m3 / s 60 60 24 s
= 0.0074
m 1 day
= 639.36 m / day / m
3
ข) ค่าสัมประสิทธิ์การเก็บกัก (Sc)
จากรูป ที่ y = 0; ค่า t0 = 0.44 hr แทนค่าลงในสมการที่ (24)
บทที่ 4 น้ำใต้ผิวดิน (Subsurface Water) 159
2.25Tt 0
Sc =
r2
=
(
2.25 ( 639.36 m3 / day / m ) 0.44 hr 1 day
24 hr )
( 20 )
2
m2
= 0.066
ค) ระยะน้ำลดที่บ่อน้ำบาดาลหลังจากสูบน้ำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาครึ่งปี และ 1 ปี
• เมื่อเวลาผ่านไป ½ ปี หรือ 183 วัน ที่บ่อน้ำบาดาล (r = 0.25 m) ระยะน้ำลดสามารถหาได้
จากสมการที่ (15)
Q r 2Sc
y= −0.5772 − ln
4T 4Tt
0.06 ( 0.25 ) 0.066
2
= −0.5772 − ln
4 0.0074 4 0.0074 183 86, 400
= 11.60 m
Q r 2Sc
y= − 0.5772 − ln
4T 4Tt
0.06 ( 0.25 ) 0.066
2
= −0.5772 − ln
4 0.0074 4 0.0074 365 86, 400
= 12.00 m
ความสัมพันธ์ระหว่างระยะน้ำลดกับเวลา
y
F(u) = ( 25)
y
Q W (u)
T= ( 26 )
4y
4Ttu
Sc = ( 27 )
r2
EN113602 อุทกวิทยา (Hydrology) 162
ตัวอย่างที่ 4.7: จากข้อมูลในตัวอย่างที่ 4.6 โดยใช้วิธีของ Chow สำหรับคำนวณ ก) หาค่ า สั ม ประสิ ท ธิ์ ก าร
ไหลผ่าน (T) ข) หาค่าสัมประสิทธิ์การเก็บกัก (Sc) ค) หาระยะน้ำลดที่บ่อน้ำบาดาลหลังจากสูบน้ำอย่างต่อเนื่อง
เป็นเวลา ½ ปี และ 1 ปี
วิธีทำ ก) ค่าสัมประสิทธิ์การไหลผ่าน (T)
• นำข้อมูลระยะน้ำลด y และเวลาตั้งแต่เริ่มสูบน้ำ t มาเขียนกราฟความสัมพันธ์ในรูปของกราฟ
กึ่งเลขยกกำลัง ดังรูป
ความสัมพันธ์ระหว่างระยะน้ำลดกับเวลา
จากรูปความสัมพันธ์ระหว่างค่า F(u), W(u) และ u → ที่ F(u) = 0.95; ค่า u = 0.08 และ
W(u) = 1.98
Q W (u)
T=
4y
=
( 0.06 m / s ) (1.98)
3
4 (1.4 m )
m3 / s 60 60 24 s
= 0.0068 m / s / m = 0.0068
3
= 587.52 m / day / m
3
m 1 day
บทที่ 4 น้ำใต้ผิวดิน (Subsurface Water) 163
ข) ค่าสัมประสิทธิ์การเก็บกัก (Sc)
4Ttu
Sc =
r2
=
(
4 ( 0.0068 m3 / s / m ) 3.9 hr 3, 600 s
1 hr ) 0.08
202 m 2
= 0.076
ค) ระยะน้ำลดที่บ่อน้ำบาดาลหลังจากสูบน้ำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาครึ่งปี และ 1 ปี
• เมื่อเวลาผ่านไป ½ ปี หรือ 183 วัน ที่บ่อน้ำบาดาล (r = 0.25 m) ระยะน้ำลดสามารถหาได้
จากสมการที่ (15)
Q r 2Sc
y= − 0.5772 − ln
4T 4Tt
0.06 ( 0.25 ) 0.076
2
= −0.5772 − ln
4 0.0068 4 0.0068 183 86, 400
= 12.46 m
Q r 2Sc
y= −0.5772 − ln
4T 4Tt
0.06 ( 0.25 ) 0.076
2
= −0.5772 − ln
4 0.0068 4 0.0068 365 86, 400
= 12.94 m
น้ำในดินสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนคือ
1) Hygroscopic water เป็ น น้ ำที่ เกาะติ ด อยู่ กั บ เม็ ด ดิ น โดยแรงดึ งดู ด ของโมเลกุ ล และจะไม่
เคลื่อนที่นอกจากจะเกิดการระเหย
2) Capillary water ถูกยึดเหนี่ยวกับเม็ดดินโดยแรงตึงผิวของน้ำและสามารถเคลื่อนที่รอบๆ เม็ด
ดินได้
3) Gravitational water เป็นส่วนของน้ำที่เคลื่อนที่หรือไหลออกจากช่องว่างของดินได้ตามแรง
โน้มถ่วงของโลก
Vw
= ; 0n ( 4.5)
Vv
โดยทั่วไปมักจะกำหนดให้ปริมาณความชื้นเป็นความสูงของน้ำต่อความสูงของปริมาตรดิน
เช่น = 0.01 หมายถึง มีน้ำสูง 1 mm ต่อความหนาของดิน 10 cm
Vw
Sw = ; 0 Sw 1 ( 4.6 )
Vv
ปริมาณความชื้นในดินและระดับความอิ่มตัวด้วยน้ำ มีความสัมพันธ์กันดังนี้
= nSw ( 4.7 )
บทที่ 4 น้ำใต้ผิวดิน (Subsurface Water) 165
ปริมาณความชื้นในชั้นดินที่ไม่อิ่มตัวด้วยน้ำเหนือระดับน้ำใต้ดิน
n e = n − FC ( 4.8)
• การซึมลง (Infiltration)
ในที่นี้จะกล่าวถึงกระบวนการซึมลงโดยอาศัยกฎการไหลผ่านตัวกลางพรุนในสภาพไม่อิ่มตัวด้วยน้ำ ซึ่ง
มีพื้นฐานมาจากสมการสภาพต่อเนื่องของการไหลผ่านตัวกลางพรุนในทิศทางเดียว ดังนี้
q
+ =0 ( 4.10 )
t z
h
q = −K
L
P
และจากสมการที่ (4.4) เมื่อกำหนดให้ = จะได้
h =+z
( + z)
q = −K ( 4.11)
z
d
= −K + K
d z
= −D + K ( 4.12 )
z
= D + K ( 4.13)
t z z
- สมการของ Phillip
เป็ น การแก้สมการของ Richard โดยอาศัยวิธีการ Boltzman transformation; B() = zt-1/2 ใน
การแปลงสมการที่ (4.13) ให้อยู่ในรูปของสมการเชิงอนุพันธ์ ทำให้สามารถประมาณค่าของปริมาณการ
ซึมลงสะสม (Cumulative infiltration, F(t)) และอัตราการซึมลง (Infiltration rate, f(t)) ได้ดังนี้
F ( t ) = St1 2 + Kt ( 4.14 )
1
f ( t ) = St −1 2 + K ( 4.15)
2
ตั ว อย่ า งที่ 4.8: เครื่ อ งมื อ วัด การซึ ม แบบทรงกระบอกสำหรับ ทดลองการดู ด ซึ ม ตามแนวนอนของดิ น มี
พื้นที่หน้าตัด 40 cm2 เมื่อเวลาผ่านไป 15 min น้ำปริมาณ 100 cm3 ซึมเข้าไปในทรงกระบอก โดยที่ค่าความ
ซึมผ่านได้ของดินมีค่าเท่ากับ 0.4 cm/hr จงหาปริมาณการซึมเมื่อเวลาผ่านไป 30 min ซึ่งเป็นเวลาที่เริ่มเกิด
การซึมลงตามแนวดิ่ง
วิธีทำ หาปริมาณการซึมลงสะสม (F);
100 cm3
F= = 2.5 cm
40 cm2
ในกรณีของการดูดซึมตามแนวนอนอย่างเดียว ค่าปริมาณการซึมลงสะสมจะเป็นฟังก์ชั่นของแรงดูดซึม
(Suction force) เพียงอย่างเดียว เมื่อเวลาผ่านไป 15 min หรือ 0.25 hr สามารถหาค่า S ได้จากสมการ
F(t) = St1 2
2.5 cm = S ( 0.25 )
1/2
S = 5 cm.hr −1/2
F ( t ) = St1 2 + Kt
= 5 ( 0.5 ) + ( 0.4 0.5 )
1/2
= 3.74 cm
บทที่ 4 น้ำใต้ผิวดิน (Subsurface Water) 169
4.8 โจทย์ตัวอย่างทบทวนด้วยตนเอง
ข้อที่ 1: บ่อบาดาลแห่งหนึ่ง มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.61 m สูบน้ำขึ้นมาด้วยอัตราการสูบ 2.21 x 10-2 m3/s
เป็นเวลา 100 วัน จงหาระยะน้ำลดที่บ่อบาดาลแห่งนี้ โดยวิธีของ Theis กำหนดให้สัมประสิทธิ์การเก็บกัก (Sc)
= 2.74 x 10-4 และสัมประสิทธิ์การไหลผ่าน (T) = 2.63 x 10-3 m2/s
วิธีทำ รัศมีบ่อน้ำบาดาล: r = 0.61/2 = 0.305 m
จากสมการที่ 6 หาตัวแปรไร้มิติ
r 2Sc
u=
4Tt
( 0.305 m ) ( 2.74 10 −4 )
2
=
4 ( 2.63 10−3 m 2 / s ) (100 days 86, 400 s / days )
= 2.80 10−10
Q
y= W (u)
4T
=
( 2.2110−2 m3 / s ) ( 21.419 )
4 ( 2.63 10−3 m 2 / s )
= 14.32 m
4.9 แบบฝึกหัดท้ายบทที่ 4
ตารางแสดงผลการวัดระยะน้ำลดที่บ่อสังเกตการณ์