Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 59

ตัว

อย
่าง
ลิ่วเหยา
(ฉบับปรับปรุง)
六爻
เล่ม 1
่าง
Priest พีต้า
เขียน
อย
Bou Ptrn
แปล
ตัว

Lotsawa
เรียบเรียง

ก า ร อ่ า น คื อ ร า ก ฐ า น ที่ สํ า คั ญ
เฉิงเฉียนพลิกอ่านคัมภีร์เก่าแก่เล่มหนึ่งที่อยู่ในตะกร้าสะพายหลังของอาจารย์
ตำราโบราณใช้ศัพท์ที่เข้าใจยาก เฉิงเฉียนความรู้ไม่ถึงขั้น
ตำราส่วนใหญ่จึงเหมือน “พบพานแต่ไม่รู้จัก” แต่เขามีความสุขที่ได้ทำเช่นนี้
และไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเลยแม้แต่น้อย…ไม่ว่าในตำราของอาจารย์จะเขียนอะไรบ้าง
นี่นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ได้หยิบจับตำราอย่างเปิดเผย
— Priest พีต้า
ลิ่วเหยา (ฉบับปรับปรุง) เล่ม 1
将进酒

ในเครือบริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)


378 ถนนชัยพฤกษ์ (บรมราชชนนี) เขตตลิ่งชัน กรุงเทพฯ 10170
โทรศัพท์ 0-2422-9999 ต่อ 4964, 4969 E-mail: info@amarin.co.th
www. amarinbooks.com   amarinbooks   Rose Publishing
Published originally under the title of《六爻》(Liu Yao))
Author © Priest
Thai edition rights under license granted byÊ 北京晋江原创网络科技有限公司
(Beijing Jinjiang Original Network Technology Co., Ltd.)

All rights reserved.


่าง
Thai edition copyright © 2022 Amarin Printing and Publishing Public Co., Ltd.
Arranged through IS Agency Co., Ltd., Taiwan

สือ่ ดิจทิ ลั นีใ้ หบริการดาวนโหลดสําหรับผูรบั บริการตามเงือ่ นไขทีก่ ําหนดเทานัน้


การทําซํา้ ดัดแปลง เผยแพร ไมมวี ธิ ใี ดๆนอกเหนือจากเงือ่ นไขทีก่ ําหนด
อย
ถือเปนความผิดอาญาตาม พรบ.ลิขสิทธิ์ และ พรบ.วาดวยการกระทําความผิดเกีย่ วกับคอมพิวเตอร

เลขมาตรฐานสากลประจ าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 978-616-18-3747-1


ตัว

เจ้าของ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา บริษัทอมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)


กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ระริน อุทกะพันธุ์ ปัญจรุ่งโรจน์ • กรรมการผู้จัดการ อุษณีย์ วิรัตกพันธ์
ที่ปรึกษาสายงานสำนักพิมพ์ในเครือ องอาจ จิระอร • บรรณาธิการอำนวยการ สิริกานต์ ผลงาม
บรรณาธิการบริหาร ใจรัตน์ สมบัติพิบูลย์ • บรรณาธิการต้นฉบับ ชนากานต์ วังวิบูลย์, เจนจิรา ใจวีระวัฒนา
บรรณาธิการภาษาจีน นภาลัย จันทรากุล • ผู้ตรวจทานต้นฉบับ จินดารัตน์ ธรรมรงวุทย์
ผู้จัดการฝ่ายการผลิต อมราลักษณ์ เชยกลิ่น • ศิลปกรรม ชินวัชร ยศศิริพันธุ์ • คอมพิวเตอร์ สุนิดา ภาวะทรัพย์
พิสูจน์อักษร ณัฐภรณ์ รัตนสถิตกุล, ส่องนภา ภักตร์วิลัย • ฝ่ายการตลาด กุลพัฒนี บัวละออ
คํานําสํานักพิมพ์
เฉิ ง เฉี ย นไม่ รู้ เ ลยว่ า ความรู้ สึ ก ของการเป็ น บุ ต รชายเป็ น เช่ น ไร
เด็ ก ตั ว เล็ ก ๆ เดิ ม ควรจะช่ า งพู ด ช่ า งคุ ย กระโดดโลดเต้ น แต่ ใ นเมื่ อ
เฉิงเฉียนมิใช่บุตรชายย่อมไม่มีสิทธิ์พูดมากหรือซุกซน และเมื่อรู้ว่าบิดา
มารดาขายเขาแล้ว เขาจึงตัดขาดสายสัมพันธ์แต่โดยดีทันทีโดยไม่มีคำพูด
อะไรสักคำ อีกทั้งในใจยังรู้สึกสงบอย่างประหลาด ราวกับคาดไว้แล้วว่า
่าง
จะต้องมีวันนี้ จากนั้นเขาก็ตามผู้บรรลุมู่ชุนออกเดินทางไปทั้ง ๆ ที่หนทาง
ข้างหน้ารางเลือนเหมือนความมืดมนไร้ขอบเขต และไม่รู้เลยว่าเขาจะได้
พบเจอกับศิษย์พี่ศิษย์น้อง ‘ผู้ร่วมลิขิตฟ้า ร่วมชะตากรรม’
อย
ตัว
1

เฉิงเฉียน อายุเทียม สิบขวบ ร่างกายโตช้าตามไม่ทันอายุ


1

่าง
ใกล้ยามเที่ยง เขาหอบฟืนเข้ามาในเรือน เนื่องจากหอบทั้งมัดไม่ไหว
จึงต้องวิ่งไปมาสองเที่ยว จากนั้นก็ซับเหงื่อ ก้มหน้าก้มตาก่อไฟทำอาหาร
อย
อย่างสบายใจ
ช่วงนี้ที่บ้านมีอาคันตุกะ บิดาเขายุ่งกับการอยู่เป็นเพื่อนอาคันตุกะ
หน้าที่ต่าง ๆ เช่น ล้างผัก หุงหาอาหาร ก่อไฟ และผ่าฟืน ทั้งหมดจึง
ตกอยู่ที่เขา ทำให้เขายุ่งจนหัวหมุนเป็นลูกข่างขาสั้น พร้อมจะหมดแรงได้
ตัว

ทุกเมื่อ
เนื่องจากตัวเล็กเตี้ย แม้เฉิงเฉียนจะเอื้อมถึงโต๊ะวางเตา แต่การ
หยิ บ จั บ หม้ อ ใหญ่ ยั ง คงไม่ ค่ อ ยสะดวก จึ ง ต้ อ งหาม้ า นั่ ง เล็ ก ตั ว หนึ่ ง จาก
มุมห้องมารองขาเหยียบขึ้นไป
ขาทั้งสี่ของม้านั่งสั้นยาวไม่เท่ากัน บิดเบี้ยวเฉเก เฉิงเฉียนรู้หลักการ
เหยียบม้านั่งตัวนี้ทำอาหารตั้งแต่อายุหกขวบ หลังจากเกือบหน้าคะมำลงไป
ในหม้อจนกลายเป็นน้ำแกงเนื้อคนนับครั้งไม่ถ้วน เขาจึงได้เรียนรู้ว่าจะอยู่
ร่วมกับเจ้าที่รองขานี้อย่างสันติสุข พยุงตัวไม่ให้โคลงเคลงได้อย่างไร
วั น นี้ ข ณะที่ เ ขากำลั ง ยื น อยู่ บ นม้ า นั่ ง พลางเติ ม น้ ำ ลงในหม้ อ ใหญ่

1
“ซวีซุ่ย” เป็นการนับอายุตามแบบจีน ซึ่งจะเพิ่มจากอายุจริง 1 ปี โดยนับว่าอายุเท่ากับ 1 ปี
ตั้งแต่วันแรกที่เกิดมา

1
ลิ่วเหยา เล่ม 1

พี่ชายก็กลับมา
พี่ชายใหญ่สกุลเฉิงอายุสิบห้าปี นับว่าเป็นเด็กโตแล้ว เขาเดินเข้ามา
ในเรื อ นเงี ย บ ๆ พร้ อ มกลิ่ น เหงื่ อ เต็ ม ตั ว กวาดตามองไปรอบ ๆ จากนั้ น
ก็เข้าไปหิ้วตัวน้องชายลงมาจากม้านั่ง รุนหลังเฉิงเฉียนอย่างไม่หนักไม่เบา
พลางเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้าเอง เจ้าไปเล่นเถอะ”
เฉิงเฉียนย่อมไม่มีทางออกไปเล่นโดยไม่คิดอะไรได้ เขาเรียกพี่ชาย
จากนั้นนั่งยอง ๆ อย่างว่าง่ายอยู่ด้านข้างเงียบ ๆ ช่วยดึงหีบเป่าลมเตาไฟ
พลางส่งเสียงฮึบ ๆ
เฉิงต้าหลาง2 ก้มหน้ามองเขา ไม่ได้พูดอะไร แต่ในดวงตาฉายแวว
ซับซ้อนเล็กน้อย
่าง
สกุ ล เฉิ ง มี บุ ต รสามคน เฉิ ง เฉี ย นเป็ น คนรอง ทุ ก คนเรี ย กเขาว่ า
“เฉิงเอ้อร์หลาง”3 จนกระทั่งอาคันตุกะผู้นั้นมาถึงเมื่อวาน
อย
ต้าหลางรูว้ า่ บัดนีค้ ำว่า “เอ้อร์หลาง” เกรงว่าคงเรียกมาจนถึงทีส่ ดุ แล้ว
ชื่อเล่นเรียบง่ายพร้อมกับน้องรองของเขาคนนี้กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป และ
ออกเดินทางไกลไปที่อื่น
อาคันตุกะทีม่ าเป็นนักพรต มาทักว่าชือ่ แซ่ผูอ้ ืน่ ไม่เป็นมงคล อวดอ้าง
ตัว

คุยเขื่องว่าตนเป็น “ผู้บรรลุมู่ชุน” เพียงแต่ดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว ผู้บรรลุ


คนนี้ ค งมิ ไ ด้ มี วิ ช าจริ ง แต่ อ ย่ า งใด เห็ น เพี ย งเขาไว้ เ คราแพะหร็ อ มแหร็ ม
ดวงตารู ป สามเหลี่ ย มจะปิ ด มิ ปิ ด แหล่ ใต้ ชุ ด คลุ ม ยาวพลิ้ ว เผยให้ เ ห็ น ขา
เรียวยาวผอมกะหร่อง มองไม่ออกว่ามีสง่าเป็นอมตะดุจเทพเซียนที่ใด กลับ
เหมือนเซียนเซิง4 ดูดวงที่หลอกลวงต้มตุ๋นเสียมากกว่า
เดิมผู้บรรลุผ่านทางมาที่นี่ระหว่างท่องทัศนาจรและแวะมาขอน้ำดื่ม
สักชาม คิดไม่ถึงว่าจะได้พบเฉิงเอ้อร์หลาง
ตอนนั้นเฉิงเอ้อร์หลางเพิ่งกลับมาจากข้างนอก...ในหมู่บ้านมีถงเซิง5

“ต้าหลาง” คำเรียกบุตรชายคนโต
2

“เอ้อร์หลาง” คำเรียกบุตรชายคนที่สอง
3

4
หรื อ “ซิ น แส” (สำเนี ย งแต้ จิ๋ ว ) เป็ น คำเรี ย กบั ณ ฑิ ต หรื อ บุ ค คลผู้ มี ค วามรู้ ผู้ เ ชี่ ย วชาญ
ในแขนงต่าง ๆ ในเชิงยกย่อง

2
Priest พีต้า

ชราที่ จ นป่ า นนี้ ก็ ยั ง สอบไม่ ผ่ า นเสี ย ที ผู้ ห นึ่ ง เปิ ด รั บ ศิ ษ ย์ ส อนเขี ย นอ่ า น
วิชาความรู้ของถงเซิงชราไม่นับว่าดีอะไร แต่เรื่องเก็บค่าสอนนี่ร้ายกาจนัก
เนื้ อ แห้ ง ผั ก ผลไม้ ข องครอบครั ว ชาวนาเขาไม่ เ หลื อ บแล รั บ แต่ เ งิ น ทอง
ของมีค่า อีกทั้งจำนวนไม่แน่นอน...พอหมดทีก็ยื่นมือถลุงเอาจากนักเรียนที
พฤติกรรมของเขาไม่เหมาะจะเป็นผู้ถ่ายทอดความรู้บรรยายตำรา
ปราชญ์ จ ริ ง ๆ แต่ จ นใจที่ เ ด็ ก ๆ ในหมู่ บ้ า นชนบทไม่ ไ ด้ มี โ อกาสร่ ำ เรี ย น
หนั ง สื อ ง่ า ยนั ก ทั้ ง ในรั ศ มี ห ลายสิ บ หลี่ 6 ก็ ห าอาจารย์ ส อนหนั ง สื อ คนอื่ น
ไม่ได้แล้ว
ด้ ว ยฐานะครอบครั ว ของสกุ ล เฉิ ง ย่ อ มไม่ มี ทุ น รอนให้ ลู ก ๆ ได้
เล่าเรียนหนังสือ แต่พวกศัพท์แสงที่ออกเสียงลำบากและเข้าใจยากเหล่านั้น
่าง
กลั บ ดึ ง ดู ด เฉิ ง เอ้ อ ร์ ห ลางอย่ า งประหลาด ทำให้ เ ขาซึ่ ง ไม่ อ าจไปฟั ง อย่ า ง
โจ่งแจ้งได้แต่ต้องแอบไปฟังอยู่เป็นประจำ
อย
ถงเซิ ง ชรารู้ ว่ า น้ ำ ลายทุ ก หยดที่ ก ระเซ็ น ออกมาล้ ว นมาจากความ
เหนื่อยยากอุตสาหะของตน ดังนั้นจึงไม่ยอมให้ผู้คนฟังเปล่า บรรยายได้
ครึ่งหนึ่งก็ต้องออกมาตระเวนดูรอบ ๆ ทีหนึ่งด้วยความหวาดระแวงอยู่เสมอ
เฉิ ง เอ้ อ ร์ ห ลางจำต้ อ งทำตั ว เป็ น ลิ ง หลบ ๆ ซ่ อ น ๆ อยู่ บ นต้ น ไหฺ ว 7
ตัว

ใหญ่หน้าประตูเรือนของถงเซิงชรา ทุกครั้งที่แอบฟังล้วนมีแต่เรื่อง “การ


ปลูกฝังคุณธรรม การปกครองเรือน การสร้างสันติให้ใต้หล้า” ฟังจนเหงื่อ
ชุ่มหน้าผาก
เมื่ อ วานเย็ น เฉิ ง เอ้ อ ร์ ห ลางซึ่ ง อยู่ ใ นสภาพเหงื่ อ ชุ่ ม ศี ร ษะถู ก บิ ด า
สั่งให้ยกน้ำมาให้อาคันตุกะชามหนึ่ง อาคันตุกะประหลาดผู้นั้นกลับไม่รับ
เขายื่นมือเหี่ยวแห้งราวกับกิ่งไม้เย็นเฉียบออกมา มิได้จับกระดูก8 ทั้งมิได้
ใช้ทักษะพลังพิสดารอะไร เพียงเชยใบหน้าของเอ้อร์หลางขึ้นเบา ๆ สบตา
กับเด็กน้อยที่พยายามทำท่าเลียนแบบ “ปัญญาชน” อย่างสุดฤทธิ์
5
คำเรียกปัญญาชนที่สอบขุนนางไม่ผ่าน
6
1 หลี่ เท่ากับ 500 เมตร
7
ต้นโลคัสต์ (Locust) เป็นไม้ยืนต้น ดอกเป็นช่อสีขาว มีกลิ่นหอม
8
คือการดูโหงวเฮ้งที่สัมผัสลักษณะกระดูกเพื่อทำนายดวงชะตา

3
ลิ่วเหยา เล่ม 1

ไม่รู้ว่าผู้บรรลุมองเห็นแววอะไรในตัวเขาจากรูปลักษณ์นี้ หลังจาก
ดูเสร็จก็พยักหน้าอย่างจริงจัง เอ่ยกับคนสกุลเฉิงเป็นตุเป็นตะว่า “ข้าเห็น
คุ ณ สมบั ติ ล้ ำ เลิ ศ ของเด็ ก คนนี้ ภายหน้ า จะมี โ อกาสก้ า วหน้ า ถึ ง ขี ด สุ ด
ไม่แน่ว่าอาจมีโชควาสนาสูงส่ง มิใช่สัตว์เล็กในสระน้ำ9”
ตอนที่ผู้บรรลุกล่าวเช่นนี้ ต้าหลางก็อยู่ในที่นั้นด้วย ต้าหลางเป็น
ลู ก จ้ า งฝึ ก หั ด ที่ ติ ด ตามจ่ า งกุ้ ย 10 อยู่ ภ ายนอก ได้ พ บเจอผู้ ค นที่ ขึ้ น เหนื อ
ล่องใต้มาไม่น้อย นับว่าพอจะมีหูตาเปิดกว้างอยู่บ้าง แต่ก็ยังไม่เคยเห็น
ใครใช้ตาคู่เดียวก็อ้างว่ามองเห็นคุณสมบัติของคนว่าดีหรือร้ายมาก่อน
ต้าหลางกำลังคิดจะโต้แย้งนักต้มตุ๋นแห่งยุทธภพผู้นี้อย่างดูแคลน
แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก เขาก็พบว่าบิดาของตนคล้อยตามคำชวนเชื่อนี้เสียแล้ว
่าง
ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจอะไรขึ้นมาอย่างอกสั่นขวัญแขวน
เดิมสกุลเฉิงมิได้ร่ำรวย ปีก่อนมารดาเขาให้กำเนิดน้องชายคนเล็ก
อย
อี ก คน น้ อ งชายคนเล็ ก คลอดยาก ทำให้ ห ลั ง จากนั้ น มารดาก็ ร่ า งกาย
อ่อนแอจนลุกจากเตียงไม่ไหว เมื่อเป็นเช่นนี้ในบ้านจึงขาดแรงงานไปหนึ่ง
คน ซ้ ำ ยั ง มี ค นป่ ว ยที่ ต้ อ งกิ น ยาทั้ ง วั น เพิ่ ม มาอี ก หนึ่ ง คน จากเดิ ม ที่ มิ ไ ด้
ร่ำรวยอยู่แล้วจึงยิ่งชักหน้าไม่ถึงหลังกว่าเดิม
ตัว

ปี นี้ ก ารเก็ บ เกี่ ย วไม่ ดี ไม่ มี ฝ นตกลงมาสั ก หยดหลายเดื อ นแล้ ว


มองไปก็เห็นแต่ที่นาร้างที่ไม่มีข้าวให้เก็บเกี่ยวสักเมล็ด พี่น้องสามคน...
คงจะเลี้ยงไม่ไหวแล้ว
ต้าหลางรู้ว่าบิดามารดาคิดอย่างไร ตัวเขาเป็นลูกจ้างฝึกหัดมาได้
ปีครึ่ง อีกหนึ่งปีครึ่งจึงจะมีค่าตอบแทนให้คนที่บ้านได้เห็น นี่คือความหวัง
ในภายหน้าของสกุลเฉิง ส่วนน้องชายคนเล็กยังแบเบาะ คนเป็นพ่อแม่
ย่ อ มไม่ อ าจทอดทิ้ ง ได้ ดั ง นั้ น จึ ง เหลื อ เพี ย งเอ้ อ ร์ ห ลางคนกลางซึ่ ง เป็ น
ส่ ว นเกิ น เก็ บ ไว้ ก็ ไ ม่ มี ป ระโยชน์ หากยกให้ นั ก พรตที่ ผ่ า นทางมารั บ ไป
ฝึกเซียน ก็จะเป็นที่ไปทางหนึ่ง

9
วลีนี้เป็นการอุปมา หมายถึง ผู้มีใจทะเยอทะยานที่จะทำการใหญ่
10
เรียกคนดูแลร้าน ผู้จัดการร้าน

4
Priest พีต้า

หากฝึ ก สำเร็ จ ก็ เ รี ย กได้ ว่ า “หญ้ า งอกงามเหนื อ สุ ส าน” 11 นั บ เป็ น


โชคใหญ่ของสกุลเฉิง หากฝึกไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร ให้เขาติดตามคนอื่นไป
จะท่องยุทธภพก็ดี จะหลอกลวงต้มตุ๋นก็ช่าง ขอเพียงมีข้าวให้กินจนโตได้
ก็นับเป็นทางออก
ผูบ้ รรลุมูช่ นุ กับหัวหน้าครอบครัวสกุลเฉิงทีห่ ตู าคับแคบยืน่ หมูยืน่ แมว
กัน ตกลง “การค้าขาย” ครั้งนี้อย่างรวดเร็ว ผู้บรรลุทิ้งเศษเงินแท่งหนึ่งให้
พวกเขามื อ หนึ่ ง ยื่ น เงิ น มื อ หนึ่ ง ยื่ น คน เฉิ ง เอ้ อ ร์ ห ลางจึ ง เปลี่ ย นชื่ อ เป็ น
เฉิงเฉียนนับจากนั้น บ่ายวันนี้เขาต้องสละทางโลก ติดตามอาจารย์ออก
เดินทางแล้ว
ต้าหลางอายุห่างกับน้องรองคนนี้หลายปี ยามปกติอยู่ด้วยกันก็ไม่มี
่าง
อะไรให้พูดคุย มิได้คลุกคลีใกล้ชิดกันนัก แต่น้องรองรู้ความตั้งแต่เด็ก
ไม่เคยงอแงกวนใจ ทั้งไม่เคยก่อปัญหา เสื้อผ้าก็ใส่ของที่เหลือจากพี่ชาย
อย
กินดื่มก็ให้น้องชายกับมารดาที่ป่วยก่อน ทำงานเป็นเสาหลัก ไม่เคยปริปาก
บ่น
ต้าหลางแม้ปากมิได้พูดออกมา แต่ในใจก็รักน้องชายคนนี้
ทว่าจนปัญญาที่ครอบครัวยากจน เลี้ยงดูไม่ไหว ยังไม่ถึงเวลาที่
ตัว

ต้าหลางแห่งสกุลเฉิงอย่างเขาจะดูแลครอบครัว เรื่องใหญ่น้อยทั้งหลาย
พูดไปก็เปล่าประโยชน์
แต่ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไข คิดจะขายก็ขายได้หรือ
ต้าหลางยิ่งคิดยิ่งไม่สบอารมณ์ นึกอยากหยิบทัพพีใหญ่มาฟาดหัว
นั ก ต้ ม ตุ๋ น เฒ่ า ผู้ นี้ ใ ห้ ยุ บ แต่ พ อคิ ด ดู แ ล้ ว สุ ด ท้ า ยก็ ไ ม่ ก ล้ า ...จะว่ า ไป
หากเขามีความกล้านี้จริง เขาคงไม่ต้องไปเป็นลูกจ้างฝึกหัดคอยติดตาม
รั บ ใช้ ผู้ อื่ น แล้ ว ไปปล้ น ชิ ง บ้ า นเรื อ น เงิ น ทองไม่ ยิ่ ง ไหลมาเทมามากกว่ า
หรอกหรือ
เฉิงเฉียนใช่ว่าจะโง่เขลาไม่รับรู้ถึงแผนการของบิดามารดาและความ
กลัดกลุ้มของพี่ชาย

11
หมายถึง พื้นดินมีพลังดี ลูกหลานจะเจริญรุ่งเรือง

5
ลิ่วเหยา เล่ม 1

ถึงเขาไม่นับว่าหลักแหลมเกินวัย ไม่อาจเทียบกับเด็กอัจฉริยะที่เป็น
กวีตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ เป็นอัครมหาเสนาบดีตั้งแต่อายุสิบสามปีเหล่านั้น
แต่ก็มีไหวพริบมากกว่าระดับปกติ
บิ ด าทำงานหามรุ่ ง หามค่ ำ พี่ ช ายออกจากบ้ า นตั้ ง แต่ เ ช้ า จรดเย็ น
ในสายตามารดามี เ พี ย งพี่ ใ หญ่ กั บ น้ อ งชายคนเล็ ก ไม่ มี เ ขา ด้ ว ยเหตุ นี้
ในบ้านสกุลเฉิง แม้ไม่มีใครดุด่าทุบตี แต่ก็ไม่มีใครสนใจเขา เรื่องเหล่านี้
เฉิงเฉียนรู้ดีแก่ใจ เขารู้ความมาตั้งแต่เกิด พยายามไม่งอแงให้ผู้คนชิงชัง
เรื่องเกินเลยที่สุดที่เคยทำตั้งแต่เกิดมามีเพียงปีนต้นไม้หน้าเรือนถงเซิงชรา
เพื่อแอบฟังตำราปราชญ์เหลวไหลไม่เข้าท่าเท่านั้น
เขาสุขุมรอบคอบ ขยันขันแข็ง มองตนเองเป็นเสี่ยวเอ้อร์น้อย เป็น
่าง
คนงานตัวน้อย เป็นเด็กรับใช้...แต่ไม่เคยเป็นบุตรชาย
เฉิงเฉียนไม่รู้เลยว่าความรู้สึกของการเป็นบุตรชายเป็นเช่นไร
อย
เด็กตัวเล็ก ๆ เดิมควรจะช่างพูดช่างคุย กระโดดโลดเต้น แต่ในเมื่อ
เฉิงเฉียนมิใช่บุตรชายย่อมไม่มีสิทธิ์พูดมากหรือซุกซน ได้แต่ต้องเก็บงำ
คำพูดไว้ในใจ มิอาจเปิดเผยสู่ภายนอก ได้แต่ต้องเสียบคมเอาไว้ข้างใน
ทิ่มแทงจิตใจจนเป็นหลุมเป็นโพรงมากมายในทรวงอกน้อย ๆ ของเขา
ตัว

เฉิงเฉียนที่จิตใจด้านชารู้ว่าตอนนี้บิดามารดาขายเขาแล้ว ในใจกลับ
รู้สึกสงบอย่างประหลาด ราวกับคาดไว้แล้วว่าจะต้องมีวันนี้
ก่ อ นออกเดิ น ทาง มารดาที่ ยั ง ป่ ว ยของเฉิ ง เฉี ย นลุ ก จากเตี ย งเป็ น
ครั้งแรก เรียกเขามาข้างเตียงแล้วยัดห่อของเล็ก ๆ ห่อหนึ่งให้เขาด้วยขอบตา
แดงก่ำ ในนั้นมีเสื้อผ้าสะอาดสำหรับผลัดเปลี่ยนสองสามชุดกับแป้งหมัก
ย่างโหลหนึ่ง เสื้อผ้าไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นของที่พี่ชายสวมไม่ได้แล้ว ส่วน
แป้งย่างนั้นบิดาเป็นคนทำให้เมื่อคืน
ถึ ง อย่ า งไรก็ เ ป็ น ลู ก ในไส้ มารดามองเขาแล้ ว อดยื่ น มื อ ล้ ว งเข้ า ไป
ในแขนเสื้ อ มิ ไ ด้ เฉิ ง เฉี ย นเห็ น นางหยิ บ เหรี ย ญทองแดงพวงหนึ่ ง ออกมา
ด้วยมือสั่นเทา เหรียญทองแดงสีหม่นนั้นพลันสะกิดหัวใจอันเย็นชาของ
เฉิงเฉียน เขาเหมือนสัตว์น้อยที่ตัวจับแข็ง ขยับปลายจมูกอยู่ใต้พื้นหิมะ
สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของมารดาเล็กน้อย

6
Priest พีต้า

แต่บิดาที่อยู่ข้าง ๆ เห็นเงินพวงนั้นเข้าเสียก่อนจึงส่งเสียงกระแอม
หนัก ๆ ทีหนึง่ ขึน้ มา มารดาจึงจำต้องเก็บเงินพวงนัน้ กลับไปด้วยน้ำตาคลอเบ้า
กลิน่ อายของมารดาราวกับบุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี หายวับไป
ในบัดดลโดยที่เฉิงเฉียนไม่ทันได้ประจักษ์
“เอ้อร์หลาง มานี่” มารดาที่ไม่มีหัวจิตหัวใจจูงมือเฉิงเฉียน พาเขา
ไปที่ห้องด้านใน เดินได้ไม่ถึงสองก้าวก็เหนื่อยหอบ
นางหาเก้าอี้มานั่งลงอย่างอ่อนเพลีย ชี้ตะเกียงน้ำมันดวงน้อยที่แขวน
อยู่บนหลังคา ถามเสียงอ่อนแรง “เอ้อร์หลาง เจ้ารู้หรือไม่ว่านั่นคืออะไร”
เฉิงเฉียนเงยหน้ามองดูอย่างเฉยชา “ตะเกียงฉางหมิง12 ของเซียน”
ตะเกียงน้อยที่รูปลักษณ์ไม่สะดุดตานี้คือสมบัติตกทอดของสกุลเฉิง
่าง
ของพวกเขา ว่ากันว่าเป็นสินเดิมของย่าทวดของเฉิงเฉียน ตะเกียงมีขนาด
เท่าฝ่ามือ ไม่มีไส้ตะเกียงและไม่ใช้น้ำมัน ใต้ฐานไม้อูมู่13 โบราณเรียบง่าย
อย
สลักคาถาไว้สองสามแถว มันจึงสามารถเปล่งแสงได้เอง ส่องสว่างอยู่ใน
พื้นที่คับแคบแห่งนี้มานมนาน
เพียงแต่เฉิงเฉียนคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แขวนของบ้าบอนี่ไว้ตรงนี้
นอกจากเรียกแมลงในฤดูร้อนแล้ว ยังจะมีประโยชน์อะไรอีก
ตัว

แต่ ใ นเมื่ อ เป็ น วั ต ถุ เ ซี ย นก็ ไ ม่ จ ำเป็ น ต้ อ งมี ป ระโยชน์ ใ ช้ ส อยจริ ง จั ง


ขอเพียงสามารถถือออกมาโอ้อวดครั้งสองครั้งยามที่เพื่อนบ้านมาเป็นแขก
สำหรับคนชนบทมันก็คือสมบัติที่ตกทอดต่อไปหลายชั่วอายุคนได้แล้ว
ทีเ่ รียกว่า “วัตถุเซียน” ก็คอื สิง่ ของที่ “เซียน” สลักอาคมไว้ คนธรรมดา
จะลอกเลียนก็มิอาจทำได้...วัตถุเซียนมีมากมายหลายประเภท ประโยชน์
ใช้ ส อยมี ห ลากหลาย อย่ า งเช่ น ตะเกี ย งที่ ไ ม่ ต้ อ งเติ ม น้ ำ มั น กระดาษที่
ไม่กลัวไฟเผา เตียงที่อุ่นในฤดูหนาวและเย็นในฤดูร้อน เป็นต้น

12
“ฉางหมิง” มีความหมายว่า สว่างนิรันดร์ เป็นธรรมเนียมในการจุดตะเกียงหรือเทียนทิ้งไว้
ให้สว่างตลอดเวลาจนกว่าน้ำมันจะแห้งหรือดับไปเอง โดยมากใช้จุดเพื่อบวงสรวง หรือจุดในสุสาน
กษัตริย์และเชื้อพระวงศ์
13
ไม้เอโบนี (Ebony) หรือเรียกว่าไม้ดำ เป็นไม้ที่มีเปลือกนอกสีเหลืองอ่อนอมเทา แกนใน
เป็นสีน้ำตาลแดงและเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อแก่จัด

7
ลิ่วเหยา เล่ม 1

แต่ก่อนปากทางเข้าหมู่บ้านเคยมีนักเล่านิทานที่ท่องมาทั่วยุทธภพ
คนหนึ่ง เล่าว่าในเมืองใหญ่ที่เจริญรุ่งเรือง บ้านเรือนก่อด้วย “อิฐเซียน”
สะท้อนแสงตะวันดั่งหลังคาแก้วหลิวหลี 14 วิจิตรหรูหราราวกับพระราชวัง
ชามข้าวที่บ้านเศรษฐีใช้ยังมียันต์ที่เซียนขั้นสูงเขียน สามารถป้องกันร้อยพิษ
ขจัดร้อยโรค เศษกระเบื้องชิ้นหนึ่งที่บิ่นออกมาจากชามมีราคาสี่ตำลึงทอง
แต่ก็ยังเป็นที่ต้องการของผู้คนอย่างมาก
“เซี ย น” ก็ คื อ “ผู้ ฝึ ก บำเพ็ ญ ” หรื อ เรี ย กได้ ว่ า เป็ น “นั ก พรต” หรื อ
“ผู้บรรลุ”...โดยทั่วไปคำว่านักพรตคือการเรียกขานตนเองให้ฟังดูถ่อมตัว
เล็กน้อย
ว่ากันว่าพวกเขาดูดซับพลังปราณเข้าร่าง สื่อสารกับฟ้าดินเพื่อแสวง
่าง
หามรรคา หากพลังฝึกบำเพ็ญลึกล้ำก็ยังสามารถอิ่มทิพย์ เหินฟ้าดำดิน
ถึงขั้นเป็นอมตะ สำเร็จเป็นเซียน...ตำนานต่าง ๆ นานาแพร่หลายเป็นวงกว้าง
อย
แต่เซียนที่แท้จริงนั้นมีกี่จมูกกี่ตาก็ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อน เพียงแค่
ได้ฟังเรื่องราวมหัศจรรย์มาเท่านั้น
บรรดาเซียนท่องพเนจร ร่องรอยไม่แน่นอน วัตถุเซียนชั้นดียิ่งมีค่า
หายาก เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงต่างพากันแสวงหา
ตัว

มารดาสกุลเฉิงก้มมองเฉิงเฉียนด้วยสีหน้าจริงจัง เอ่ยด้วยน้ำเสียง
อบอุ่นที่แทบจะเหมือนเอาใจ “รอเอ้อร์หลางสำเร็จกลับมาแล้ว ทำตะเกียง
ฉางหมิงให้แม่สักดวงดีหรือไม่”
เฉิงเฉียนไม่ตอบ เพียงจ้องนางด้วยดวงตากลมโต คิดในใจอย่าง
เย็ น ชาว่ า ฝั น ไปเถอะ วั น นี้ ท่ า นส่ ง ข้ า ออกจากประตู ภายหน้ า ไม่ ว่ า ข้ า
จะสำเร็จหรือไม่ จะเป็นหรือตาย เป็นหมูหรือหมา ข้าก็ไม่มีวันกลับมาดู
ท่านอีก
มารดาสกุลเฉิงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง นางพบว่าเด็กคนนี้ไม่เหมือนบิดา
มารดา กลับมีเค้าของพี่ชายใหญ่ของนางเล็กน้อย

14
เครื่องแก้วโบราณชนิดหนึ่งที่เกิดจากศิลปะการหลอมคริสตัลสีที่มีความละเอียดอ่อนซับซ้อน
มีความใสแวววาว หลากหลายสีสัน เป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของจีนที่มีมานานนับพันปี

8
Priest พีต้า

พี่ ช ายนางเหมื อ นควั น ขาวกลุ่ ม เล็ ก ๆ ที่ พ วยพุ่ ง ขึ้ น มาบนหลุ ม ศพ


บรรพชน15 ของบ้านนาง ตั้งแต่เล็กก็ดูไม่เหมือนลูกชาวนา รูปร่างหน้าตา
งดงามเหมือนภาพวาด บิดามารดาส่งเขาเรียนหนังสือจนหมดเนื้อหมดตัว
เขาเองก็มานะบากบั่น อายุสิบเอ็ดขวบสอบได้ซิ่วไฉ16 ผู้คนต่างบอกว่าบ้าน
นางมีเทพเหวินชวี17 จุติลงมา
เพียงแต่เทพเหวินชวีคงไม่อยากอยู่บนโลกมนุษย์นานนัก ยังไม่ทัน
สอบจวี่เหริน18 เขาก็ป่วยสิ้นบุญไปเสียก่อน
ตอนที่พี่ชายตาย นางยังเด็ก ความทรงจำบางอย่างเลือนรางไปแล้ว
ตอนนี้จู่ ๆ ก็ห วนนึ ก ถึ งขึ้ น มา ยามที่ค นผู้นั้ น มี ชีวิ ตอยู่ก็เ ป็ น เช่ น นี้ ไม่ว่ า
ในใจจะยินดีล้นพ้นหรือโกรธเกรี้ยวสุดแสน เขาล้วนเพียงแค่มองดูอย่าง
่าง
ผ่ อ นคลาย เก็ บ อารมณ์ ส ำรวมตั ว จนสงบนิ่ ง ชวนให้ ผู้ ค นหวาดหวั่ น จน
ดูไม่น่าเข้าใกล้
อย
มารดาสกุ ล เฉิ ง คลายมื อ ที่ จั บ จู ง เฉิ ง เฉี ย นออกอย่ า งมิ อ าจควบคุ ม
ขณะเดียวกันเฉิงเฉียนก็ผละถอยหลังอย่างแนบเนียน
เขาจึงตัดขาดสายสัมพันธ์แม่ลูกทันทีแต่โดยดีเช่นนี้ โดยไม่มีคำพูด
อะไรสักคำ
ตัว

เฉิงเฉียนคิดว่าทุกสิ่งที่เขาทำมิได้เกิดจากความเคียดแค้น ความ
เคียดแค้นเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผล...บิดามารดามีบุญคุณให้กำเนิดและเลี้ยงดู
ต่อให้บุญคุณของพวกเขาจะล้มเลิกกลางคัน เลี้ยงดูได้ครึ่งทางก็ไม่เอาเขา
แล้ว เช่นนั้นอย่างมากก็ถือว่าความชอบกับความผิดหักล้างกัน
เขาก้ ม หน้ า มองปลายเท้ า เอ่ ย กั บ ตนเองในใจว่ า ในสายตาบิ ด า
มารดาไม่มีข้าก็ไม่เป็นไร ขายข้าให้นักพรตตาสามเหลี่ยมก็ไม่เป็นไรเช่นกัน

หมายถึ ง มี เ รื่ อ งดี เ กิ ด ขึ้ น หรื อ การมี โ ชคได้ รั บ ราชการ แต่ ใ นขณะเดี ย วกั น ก็ สื่ อ เจตนา
15

ในทำนองประชดประชัน ดูถูกด้วย
16
เรียกผู้ที่สอบผ่านระบบสอบเข้ารับราชการ รอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น จัดสอบปีละครั้ง
17
เทพแห่งโชคลาภ การศึกษา การสอบเข้ารับราชการ
18
เรียกผู้ที่ผ่านการสอบเข้ารับราชการระดับภูมิภาค (มณฑล) ผู้เข้าสอบจะต้องมีคุณวุฒิซิ่วไฉ
ก่อน จัดสอบทุกสามปี

9
2

เฉิงเฉียน ตามผู้บรรลุมู่ชุนออกเดินทางไป่าง
ผู้บรรลุมู่ชุนรูปร่างเหมือนต้นไม้แห้งเหี่ยว ผอมจนเห็นเส้นเลือดปูด
อย
สามเส้นบนศีรษะ หมวกที่สวมบนหัวเอียงไปเอนมาเจียนจะหล่น มือหนึ่ง
จูงเฉิงเฉียน ดูแล้วเหมือนหัวหน้าคณะละครที่เร่แสดงกายกรรมขายศิลป์
ไปทั่ว จูงเด็กรับใช้ที่เพิ่งลักพาตัวมา
เฉิงเฉียนแม้รูปร่างยังเป็นเด็กน้อย แต่หัวใจเขาเป็นเด็กหนุ่มแล้ว
ตัว

เขาเดินไปเงียบ ๆ ทว่าสุดท้ายยังคงอดหันกลับไปมองมิได้
เห็นแผ่นหลังมารดาแบกตะกร้าขาด ๆ ในตะกร้าคือน้องชายคนเล็ก
ที่กำลังหลับสนิท นอกตะกร้าคือใบหน้าพร่าเลือนที่กำลังร้องไห้ของมารดา
ส่วนบิดาก้มหน้านิ่งอยู่ข้าง ๆ ไม่รู้ว่ากำลังถอนหายใจหรือรู้สึกผิด ไม่ยอม
เงยหน้าขึ้นมองเขาแม้แต่แวบเดียว เพียงยืนเป็นเงาดำอยู่เช่นนั้น
เฉิ ง เฉี ย นรั้ ง สายตากลั บ โดยไม่ อ าลั ย อาวรณ์ อี ก หนทางข้ า งหน้ า
รางเลือนเหมือนความมืดมนไร้ขอบเขต เขาจับมือผอมข้างนั้นของอาจารย์
ราวกับจับตะเกียงที่เป็นมรดกตกทอดของสกุลเฉิงดวงนั้น...แม้จะมีคำว่า
“เซียน” ต่อท้ายอวดอ้างอย่างไม่ละอาย แต่มันก็แค่ส่องแสงสว่างออกไปได้
เพียงไม่กี่ชุ่น1 ใต้ฝ่าเท้าเท่านั้น เป็นของประดับมากกว่าจะใช้งานได้จริง

1
1 ชุ่น เท่ากับ 1 นิ้ว

10
Priest พีต้า

โดยทั่วไปการเดินทางมีอยู่สองแบบ แบบหนึ่งเรียกว่า “ทัศนาจร”


อีกแบบเรียกว่า “พเนจร”
เฉิงเฉียนติดตามอาจารย์ ไม่เพียงต้องนอนกลางดินกินกลางทราย
ยังต้องถูกตาเฒ่าผู้นี้พูดหลักการเหลวไหลกรอกหู เป็นการเดินทางที่แม้แต่
คำว่า “พเนจร” ก็ไม่คู่ควรด้วยซ้ำ
หากกล่าวถึงการฝึกเซียนแสวงหามรรคา เฉิงเฉียนเองก็เคยได้ยิน
มาบ้าง
ผู้คนมากมายในโลกต่างเพ้อฝัน คนที่ต้องการถามหาสำนักเซียน
มีมากเหมือนปลาจี้ข้ามแม่น้ำ
ในสมั ย อดี ต หวงตี้ สำนั ก ใหญ่ น้ อ ยมี ม ากมายเหมื อ นกบเขี ย ดใน
่าง
แอ่งน้ำหลังฝน ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านชาวนาพ่อค้าหรือใครก็ตาม ขอเพียง
ในบ้านมีลูกมีหลาน ไม่ขาดลูกเด็กเล็กแดง พวกเขาก็จะกรูกันไปใช้เส้นสาย
อย
ส่งลูกหลานเข้าสำนักต่าง ๆ เพื่อฝึกเซียนแสวงหามรรคา ร่ำเรียนปาหี่จำพวก
“อกแกร่งทลายหินยักษ์” นอกเหนือจากนี้แล้ว ก็ยังไม่เคยเห็นผู้ใดประสบ
ความสำเร็จจริง ๆ เลยสักคน
สมั ย นั้ น นั ก เล่ น แร่ แ ปรธาตุ มี ม ากกว่ า คนทำอาหาร คนท่ อ งบ่ น
ตัว

มนตรามีมากกว่าคนทำนา ถึงขั้นหลายปีผ่านไปก็ยังไม่มีผู้ใดจริงจังกับการ
อ่ า นตำราฝึ ก ยุ ท ธ์ ทำให้ บ รรดานั ก ต้ ม ตุ๋ น แห่ ง ยุ ท ธภพที่ ไ ม่ ท ำการทำงาน
เพ่นพ่านไปทั่ว
ว่ากันว่านั่นเป็นยุคที่การแสวงหามรรคาเซียนแพร่หลายที่สุด อำเภอ
หนึ่งตั้งแต่ตะวันออกจรดตะวันตกมีเพียงแปดหมู่บ้านในระยะสิบหลี่ แต่
กลับมีสำนักฝึกเซียนตั้งเรียงรายถึงยี่สิบกว่าแห่ง เพียงซื้อเคล็ดวิชาตูดหมา
สภาพกลางเก่ากลางใหม่จากพ่อค้าเร่ ก็กล้าปักธงตั้งสำนักฝึกเซียน เรียก
คนรวบทรัพย์โดยมิชอบแล้ว
หากคนเหล่านี้เหาะขึ้นสวรรค์ได้จริง ก็ไม่รู้ว่าประตูสวรรค์ทิศใต้2
2
กล่าวกันว่า เขาไท่ซานคือตัวแทนของสวรรค์ ยอดเขาเป็นที่ตั้งของท้องพระโรงสวรรค์ และ
มีประตูสวรรค์ทั้งหมดสี่ทิศ โดยประตูสวรรค์ทิศใต้เป็นประตูทางเข้าหลักไปยังท้องพระโรงสวรรค์ มุ่ง
ตรงไปสู่ตำหนักหลิงเซียวเป่าของจักรพรรดิหยก

11
ลิ่วเหยา เล่ม 1

จะจุคนมากมายถึงเพียงนี้ได้หรือไม่
แม้ แ ต่ โ จรภู เ ขาที่ ป ล้ น สะดมตามบ้ า นเรื อ นก็ ยั ง ลุ ก ขึ้ น มาเฮตาม
เปลี่ย นชื่ อ จาก “ค่ า ยเฮยหู่”3 เอย “พรรคเอ้ อ หลาง” 4 เอย ไปเป็น “อาราม
ชิงเฟิง”5 บ้างละ “เรือนเสวียนซิน”6 บ้างละ จากนั้นก็สร้างมายากลจำพวก
“หยิบของในกระทะน้ำมันร้อน” “อ้าปากพ่นไฟ” ขึ้นมา ท่องบ่นอะไรงึมงำ
ส่งเดชก่อนจะดักปล้นกลางทาง ข่มขู่จนคนสัญจรไปมายกทรัพย์สินให้จน
หมดตัว
อดี ต หวงตี้ มี พื้ น เพเป็ น คนในกองทั พ อุ ป นิ สั ย แข็ ง กร้ า ว อารมณ์
รุนแรง เขาเห็นว่าหากประชาชนยังฝึกบำเพ็ญตามครรลองเสื่อมทรามเช่นนี้
ต่ อ ไป แคว้ น ต้ อ งไม่ เ ป็ น แคว้ น แน่ ดั ง นั้ น จึ ง ออกราชโองการกวาดล้ า ง
่าง
“เทพเซียน” ใหญ่น้อยที่ออกอาละวาดไปทั่วทุกท้องที่ในชนบท ไม่ว่าจะเป็น
เทพจริงหรือเซียนปลอมล้วนต้องถูกเนรเทศไปยังดินแดนรกร้างห่างไกล
อย
ทว่าราชโองการที่เดิมควรสะท้านฟ้าสะเทือนดินยังไม่ทันได้ออกจาก
ประตูวัง ขุนนางทั้งราชสำนักรู้ข่าวก็ตกใจจนวิญญาณหลุดลอย กลิ้งออกมา
จากที่นอนในคืนนั้น วิ่งไปเรียงแถวหน้าตำหนักใหญ่...ขุนนางเล็กอยู่หน้า
ขุนนางใหญ่ต่อท้าย เตรียมเอาหัวพุ่งชนเสาหน้าตำหนักทีละคนเพื่อใช้ความ
ตัว

ตายทัดทาน เพราะเกรงว่าหากฝ่าบาทล่วงเกินเซียนจะทำลายชะตาบ้านเมือง
ฝ่าบาทมิอาจให้ขุนนางทั้งราชสำนักตายอย่างอนาถได้จริง ๆ อีกทั้ง
เสามังกรพันก็ทานรับไม่ไหว
อดี ต หวงตี้ จึ ง ถู ก บี บ ให้ จ นใจ จำต้ อ งเก็ บ ราชโองการกลั บ คื น วั น
ต่ อ มาก็ ใ ห้ โ หราราชบั ณ ฑิ ต ตั้ ง “สำนั ก โหราศาสตร์ ” ขึ้ น โดยมี โ หราจารย์
ควบคุ ม ดู แ ลโดยตรง เชิ ญ ผู้ บ รรลุ ตั ว จริ ง หลายท่ า นมาควบคุ ม ทางอ้ อ ม
กำหนดให้ ต่ อ ไปสำนั ก เซี ย นใหญ่ น้ อ ยต้ อ งผ่ า นการตรวจสอบจากสำนั ก

3
แปลว่า พยัคฆ์ทมิฬ
4
แปลว่า หมาป่าโหย
5
แปลว่า ลมเย็น
6
แปลว่า จิตลับ เป็นศัพท์ทางเซน หมายถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในความลึกลับของสรรพสิ่ง
ต่าง ๆ

12
Priest พีต้า

โหราศาสตร์เสียก่อน หลังจากตรวจสอบจริงเท็จแล้วจึงจะได้รับป้ายเหล็ก7
สามารถรับศิษย์ได้ ห้ามชาวบ้านตั้งสำนักเองโดยพลการ
แน่นอนว่าแว่นแคว้นกว้างใหญ่ครอบคลุมเก้ามณฑล ออกตกพันหลี่
เหนือใต้ไกลห่าง คิดจะสั่งการดั่งใจย่อมเป็นไปไม่ได้ คำสั่งอันเป็นเอกภาพ
ยังมีชอ่ งโหว่ให้เจาะ นับประสาอะไรกับคำสัง่ ทางการไร้สาระตดหมาประเภทนี้
กระทั่งโจรดักปล้นและคนลักพาตัว ราชสำนักยังกำจัดได้ไม่หมด
ไหนเลยจะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องสำนักเซียนจะรับหรือไม่รับศิษย์ได้
สำนักเซียนจริงไม่ได้เห็นหวงตี้เฒ่าอยู่ในสายตา ควรทำสิ่งใดก็ทำ
สิ่งนั้น เหล่านักต้มตุ๋นในยุทธภพที่ร้อนตัวก็สงบเสงี่ยมลงบ้าง แต่สงบ-
เสงี่ยมได้เล็กน้อย...ป้ายเหล็กป้ายทองแดงอะไรต่าง ๆ ก็ใช่ว่าจะปลอมขึ้นมา
ไม่ได้ ่าง
เพียงแต่ความพยายามของอดีตหวงตี้ก็ไม่นับว่าสูญเปล่าเสียทีเดียว
อย
เมื่อผ่านการเคี่ยวกรำ ตรวจสอบอย่างกวดขันหลายครั้ง แม้ได้ผลน้อย
อย่ า งยิ่ ง แต่ ก็ ล ดทอนความกระตื อ รื อ ร้ น ในการฝึ ก เซี ย นของชาวบ้ า นลง
ได้มาก กอปรกับในละแวกทั้งใกล้ไกลไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดฝึกสำเร็จจริง
นานวันเข้าทุกคนบ้างก็ทำนา บ้างก็เลี้ยงแพะ ไม่ฝันกลางวันอีกแล้ว
ตัว

เมื่อถึงคราวหวงตี้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ ความนิยมฝึกเซียนใน
หมู่ชนก็เหมือนลมหายใจเฮือกสุดท้าย กระแสงมงายผ่านพ้นไปแล้ว หวงตี้
รู้ ดี ว่ า น้ ำ ใสเกิ น ไปปลาย่ อ มอยู่ ไ ม่ ไ ด้ 8 โดยมากจึ ง หลั บ ตาข้ า งหนึ่ ง ต่ อ
นักต้มตุ๋นที่ใช้การฝึกเซียนสร้างชื่อเสียงเหล่านี้ หากประชาชนไม่ร้องเรียน
ทางการก็ไม่สืบสวน
ต้นสายปลายเหตุเหล่านี้ เฉิงเฉียนเคยฟังถงเซิงชราเล่ามาแล้ว ด้วย

7
ในสมัยโบราณคือป้ายหรือแผ่นเหล็กที่หวงตี้มอบให้แก่ขุนนางหรือบุคคลผู้มีคุณความดีเป็น
รางวัล หรือมอบให้เป็นสัญญาหรือหนังสือรับรองสิทธิพิเศษ เช่น ป้ายอาญาสิทธิ์ ป้ายละเว้นโทษตาย
ก็จัดอยู่ในประเภทนี้
8
หมายถึ ง ไม่ มี ท างที่ จ ะทำให้ ทุ ก คนหรื อ ทุ ก สิ่ ง เป็ น ไปตามแนวทางไม่ ผิ ด เพี้ ย น จึ ง ไม่ ค วร
เถรตรงเกินไปในการแบ่งแยกไปถึงเรื่องเล็กน้อยต่าง ๆ เพราะจะทำให้คนรอบข้างไม่ชอบใจ รู้สึกอึดอัด
ที่จะอยู่ร่วมด้วย

13
ลิ่วเหยา เล่ม 1

เหตุนี้ในสายตาเขา มู่ชุนไม้ตะลุมพุก9 ซึ่งกำลังจูงเขาคนนี้ก็คือไม้ตะลุมพุก


ธรรมดาท่อนหนึ่ง...อย่างดีก็เป็นแค่ไม้ตะลุมพุกที่หาข้าวหาน้ำให้เขากินได้
ไม่มีค่าควรให้เคารพนับถือเป็นพิเศษ
มู่ชุนไม้ตะลุมพุกลูบหนวดเล็กที่สั่นริก ๆ สองข้าง ยังคงพูดจาส่งเดช
“สำนักเรานามว่าฝูเหยา เด็กน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าฝูเหยาคือสิ่งใด”
ถงเซิงชราผู้เกลียดชังเรื่องเหล่านี้ย่อมไม่ยอมบรรยายถึง เฉิงเฉียน
ผู้ได้รับการเบิกปัญญาจากเขา มากน้อยก็ย่อมได้รับอิทธิพลมาบ้าง ด้วย
เหตุนี้ในใจจึงเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม แต่ยังฝืนทำท่าล้างหูรอฟัง
มู่ ชุ น ยื่ น มื อ ชี้ ไ ปที่ เ บื้ อ งหน้ า เฉิ ง เฉี ย น การชี้ ค รั้ ง นี้ ข องเขาราวกั บ มี
พลังวิเศษบางอย่าง เพราะบริเวณที่ชี้ไปบังเกิดลมแรงโดยไร้ที่มา หมุนวน
่าง
กวาดหญ้าแห้งบนพื้นพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า จุดที่ยุบหายไปเป็นหย่อมบนพื้นหญ้า
มีสายฟ้าสีเหลืองสว่างวาบผ่าลงมา แทบจะทำให้เฉิงเฉียนตาบอด
อย
พลังวิเศษอันลี้ลับพิศวงที่เกิดจากการชี้นี้ทำให้เด็กชายถึงกับปากอ้า
ตาค้าง
ความจริงมู่ชุน เองก็ค าดไม่ถึงว่า จะเกิด เหตุผิด วิสัย นี้ จึงตะลึงไป
ทันที ครั้นเห็นว่าตนสามารถขู่เด็กเหลือขอที่หน้าตาอ่อนโยนจิตใจเยือกเย็น
ตัว

คนนี้ได้ จึงดึงมือกลับอย่างวางท่า
เขาสอดสองมื อ ผอมแห้ ง เข้ า ไปในแขนเสื้ อ เอ่ ย อย่ า งสบาย ๆ เชิ ง
โอ้อวด “ครั้นนกเผิง10 มุ่งสู่ทะเลทักษิณ ท้องนทีคลุ้มคลั่งสามพันหลี่ ตีลม
สลาตันสูงเก้าหมื่นหลี่ ร่อนถลาดุจวายุเดือนหก...ไร้รูปไร้ลักษณ์ ไร้ผูกมัด
แต่ โ คจรกั บ สายลม มาจากห้ ว งเหวลึ ก ไปสู่ ฟ ากฟ้ า ไร้ ข อบเขต นี่ ก็ คื อ
‘ฝูเหยา’ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
เฉิงเฉียนย่อมไม่เข้าใจ ในหัวใจดวงน้อยของเขา ความครั่นคร้าม
ต่อพลังที่ไม่แน่ชัดและความรู้สึกต่อต้านลัทธินอกรีตเกี่ยวกระหวัดพัวพัน

9
ไม้ตะลุมพุก หมายถึง ไม้ซักผ้า คำนี้ในบางภูมิภาค (เช่น ส่านซี) ใช้หมายถึง คนโง่เง่า
ไร้สมอง
10
นกยักษ์ในตำนาน เมื่อกระพือปีกจะทำให้เกิดลมพายุ ก่อความปั่นป่วนในท้องทะเล

14
Priest พีต้า

จนยากจะแยกออกจากกัน สุดท้ายเขาก็เกิดความยำเกรงต่อการไม่ยอมรับ
อาจารย์ วางมู่ชุนไว้ในระดับเดียวกับตะเกียงโปเกเหนือกำแพงที่บ้าน แล้ว
พยักหน้าอย่างมึนงง
มู่ ชุ น เชิ ด หน้ า จนหนวดกระดิ ก ด้ ว ยความพึ ง พอใจ กำลั ง จะอาศั ย
โอกาสนี้สำแดงอิทธิฤทธิ์อีกเล็กน้อย แต่คิดไม่ถึงว่าสวรรค์จะไม่ยอมไว้หน้า
เขาอีก ยังไม่ทันอ้าปาก คำคุยโวเมื่อครู่ก็ถูกเปิดโปงเสียแล้ว...หลังจาก
ฟ้ า ร้ อ ง ลมแรงหอบหนึ่ ง ก็ พั ด ปะทะใบหน้ า ดั บ กองไฟเบื้ อ งหน้ า ศิ ษ ย์
อาจารย์ทั้งสอง จากนั้นก็แปรเป็นลมคลั่งโหมกระหน่ำ ฟ้าแลบฟ้าร้องดัง
ประสานขึ้นมาพร้อมกัน ราวกับกำลังร้องเรียกพยับเมฆที่ดูมุ่งร้ายมาจาก
เบื้องตะวันตก
่าง
มู่ชุนไม่สนใจจะสำแดงอะไรอีก ร้องตะโกน “แย่แล้ว ฝนตกหนัก”
พู ด จบก็ ลุ ก พรวด มื อ หนึ่ ง แบกสั ม ภาระ มื อ หนึ่ ง หิ้ ว ตั ว เฉิ ง เฉี ย น
อย
ก้าวขาที่เหมือนต้นอ้อ ซอยเท้าเป็นไก่ป่าคอยาววิ่งหนีไป
น่ า เสี ย ดายที่ ฝ นมาเร็ ว เกิ น ไป ต่ อ ให้ เ ป็ น ไก่ ป่ า คอยาวก็ ห นี ไ ม่ พ้ น
ชะตากรรมที่ต้องเปียกปอนเป็นไก่ตกน้ำแกง
มู่ชุนอุ้มเฉิงเฉียนไว้ในอ้อมแขน ถอดเสื้อชั้นนอกที่ชุ่มน้ำฝนอย่าง
ตัว

รวดเร็วของตนคลุมตัวเด็กน้อยไว้ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย ปากก็ร้องตะโกน


ไปด้วย “โอ๊ย แย่แล้ว ฝนตกหนัก โอ๊ย นี่จะไปหลบที่ใดดีล่ะเนี่ย”
ในชีวิตของเฉิงเฉียนได้โดยสารสัตว์พาหนะทั้งสัตว์ปีกสัตว์บกนับ
ครั้งไม่ถ้วน...แต่นี่คงเป็นสัตว์พาหนะที่โคลงเคลงที่สุดและพูดพล่ามไร้สาระ
มากที่สุดเท่าที่เขาเคยนั่งมา
เสียงลมฝนและสายฟ้ากับเสียงโวยวายของอาจารย์ผสมปนเปกัน
หัวของเขาถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมของอาจารย์จนมองไม่เห็นอะไร แต่กลับ
ได้กลิ่นไม้จาง ๆ ไม่ชัดเจนจากแขนเสื้อคลุม
แขนข้างหนึ่งของอาจารย์โอบรอบอกเขา มืออีกข้างที่ว่างคอยป้อง
เหนื อ ศี ร ษะเขาไว้ ต ลอด กระดู ก ที่ นู น เด่ น บนร่ า งชายชราทิ่ ม เขาจนเจ็ บ
ทว่าการโอบกอดและปกป้องล้วนเป็นของจริง
ไม่รู้เพราะเหตุใด แม้เมื่อครู่ไก่ป่าคอยาวตัวนี้จะคุยโวโอ้อวดให้เขา

15
ลิ่วเหยา เล่ม 1

ฟั ง อย่ า งไม่ ล ะอาย แต่ ต อนนี้ เ ฉิ ง เฉี ย นราวกั บ เกิ ด ความรู้ สึ ก ใกล้ ชิ ด กั บ
อีกฝ่ายขึ้นโดยธรรมชาติ
เฉิงเฉียนห่มเสื้อชั้นนอกของมู่ชุน ลอบมองอาจารย์ที่เปียกโชกไป
ทั้งตัวท่ามกลางสายฝนผ่านรอยแยกของเสื้อคลุมเงียบ ๆ เป็นครั้งแรกตั้งแต่
เกิดมาที่ได้สัมผัสถึงการปฏิบัติอย่างที่เด็กคนหนึ่งพึงได้รับ เขาซึมซับความ
รู้สึกนี้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยอมรับอาจารย์อย่างยินยอมพร้อมใจ ทั้งยัง
ตั ด สิ น ใจว่ า ...ต่ อ ให้ อ าจารย์ ค นนี้ จ ะมี ค ำพู ด ไร้ ส าระเต็ ม ปาก สั ง กั ด ลั ท ธิ
นอกรีต เขาก็อภัยให้ได้

เฉิงเฉียนโดยสารอาจารย์ที่ผอมจนเห็นกระดูกจนกระทั่งมาถึงอารามเต๋า
ผุพังแห่งหนึ่งในสภาพเปียกปอน ่าง
“การกวาดล้าง” เป็นวงกว้างในสมัยอดีตหวงตี้ได้ขจัดสำนักเถื่อนไป
อย
มากมาย ทำให้เหลืออารามร้างของสำนักเถื่อนเหล่านั้นไว้ไม่น้อย ต่อมา
กลายเป็นที่พักแรมของพวกยาจกคนจรและเหล่านักเดินทางไร้ที่พัก
เฉิงเฉียนโผล่ศีรษะเล็ก ๆ ออกมาจากเสื้อชั้นนอกของมู่ชุน พอเงย
หน้าก็สบตากับรูปเคารพของเซียนใหญ่ในอารามเต๋า รูปเคารพที่ปั้นขึ้นจาก
ตัว

ดินนั้นทำให้เขาสะดุ้งตกใจ...บนศีรษะของรูปเคารพมุ่นมวยกลมสองข้าง
ใบหน้ากลมแป้น ไม่มีคอ สีหน้าดุดัน บนแก้มซ้ายขวามีสีแดงก่ำเป็นวง
ปากอ้าแยกเขี้ยว แสยะยิ้มเผยให้เห็นฟันหยักแหลม
อาจารย์ย่อมเห็น เช่น กัน เขารีบยกมือปิด ตาเฉิงเฉีย นไว้ วิจารณ์
อย่างเดือดดาล “เสื้ออ๋าว11 แดงดอกท้อ เสื้อคลุมเขียวมรกต เฮ้อ แต่งตัว
อุจาดเช่นนี้ ยังมีหน้ามากินของบูชาอยู่ที่นี่อีก เหลวไหลสิ้นดีจริง ๆ!”
เนื่องจากเฉิงเฉียนที่ยังเยาว์มีความรู้จำกัด จึงงุนงงทั้งตื่นตระหนก
เล็กน้อย
มู่ชุนเอ่ยเสียงขรึมเปี่ยมด้วยหลักการ “ผู้บำเพ็ญชำระจิตตัดกิเลส
พึงระวังกิรยิ าวาจาอยูเ่ สมอ แต่กลับแต่งตัวราวกับจะไปร้องงิว้ เช่นนี้ เหมาะสม

11
เสื้อท่อนบนตัวสั้น สำหรับใส่กันหนาว

16
Priest พีต้า

ที่ใดกัน!”
เขายังรู้ด้วยว่าสิ่งใดคือความเหมาะสม...เฉิงเฉียนเปลี่ยนมุมมองใหม่
เล็กน้อย
ยามนีเ้ องก็ได้กลิน่ เนือ้ จาง ๆ โชยมาจากด้านหลังอารามร้าง ขัดจังหวะ
การดู ถู ก เหยี ย ดหยั น ต่ อ โลกิ ย ะอั น ฟอนเฟะของอาจารย์ ที่ ก ำลั ง “ชำระจิ ต
ตัดกิเลส”
ลูกกระเดือกของมู่ชุนขยับเล็กน้อยอย่างมิอาจควบคุม พลันพูดต่อ
ไม่ออก เขาคว้าตัวเฉิงเฉียนเดินเลี้ยวไปด้านหลังรูปปั้นอุจาดนั้น แล้วก็พบ
ยาจกน้อยที่โตกว่าเฉิงเฉียนปีสองปีคนหนึ่ง
ยาจกน้อยไม่รู้ใช้เครื่องมืออะไร ขุดพื้นโถงด้านหลังอารามจนเป็น
่าง
หลุม กำลังย่างไก่ขอทาน12 ตัวอ้วนอยู่ข้างใน เขากะเทาะเปลือกโคลนออก
กลิ่นหอมฉุยตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ
อย
มู่ชุนกลืนน้ำลายเอื๊อก
คนเราหากผอมจนถึงระดับหนึ่งแล้ว เรื่องบางอย่างก็กลบเกลื่อนได้
ยากยิ่งนัก อย่างเช่นยามที่กำลังหิวโหย ลำคอเรียวเล็กที่เหมือนจะบีบเค้น
ได้นั้นย่อมยากจะปิดบังอาการตอบสนองตามสัญชาตญาณได้
ตัว

ผู้บรรลุมู่ชุนวางเฉิงเฉียนลงบนพื้น จากนั้นพยายามแสดงให้ศิษย์
น้อยเห็นว่า “ผู้บำเพ็ญต้องระวังกิริยาวาจาอยู่เสมอ” นั้นเป็นอย่างไร
เขาเช็ดคราบน้ำฝนบนหน้าจนสะอาด ปั้นหน้ายิ้มสง่างามดุจเซียน
แล้วเยื้องย่าง เดินหย่ง ๆ อย่างมีลีลา กรายไปข้างตัวยาจกน้อย เอ่ยถ้อยคำ
รื่นหูยืดยาวอย่างคล่องปร๋อต่อหน้าเฉิงเฉียน พรรณนาถึงสำนักเซียนต่างถิ่น
ที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมบรรเจิดงดงามแห่งหนึ่ง พูดจนยาจกน้อยตาค้าง
มู่ชุนมองยาจกน้อยที่หัวโตกว่าตัวผู้นั้น พลางหลอกล่ออย่างกระตือ-
รือร้น “ข้าเห็นคุณสมบัติล้ำเลิศของเจ้า ภายหน้าจะมีโอกาสก้าวหน้าถึง
ขีดสุด ไม่แน่ว่าอาจมีโชควาสนาสูงส่ง...เด็กน้อย เจ้าชื่อแซ่ใด”

มี ที่ ม าจากการที่ ข อทานแอบเข้ า ไปขโมยไก่ ใ นบ้ า นของเศรษฐี เมื่ อ กลั ว ถู ก จั บ ได้ จึ ง นำ


12

ดินเหนียวมาหุ้มไก่ไว้แล้วโยนเข้ากองไฟ

17
ลิ่วเหยา เล่ม 1

เฉิงเฉียนรู้สึกว่าคำพูดนี้ค่อนข้างคุ้นหู
ยาจกน้อยแม้ค่อนข้างมีความฉลาดแกมโกงอย่างคนเร่ร่อนอยู่บ้าง
แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเด็ก เมื่อถูกอาจารย์ใช้เล่ห์กลหลอกล่อด้วยท่าทาง
สมจริ ง สมจั ง ก็ เ คลิ บ เคลิ้ ม จนน้ ำ มู ก ใสไหลย้ อ ยลงมาสองสาย ตอบว่ า
“เสียวหู่ ไม่รู้แซ่”
“เช่นนั้นใช้ตามอาจารย์ แซ่หานก็แล้วกัน” มู่ชุนลูบเคราแพะ ยื่น
สถานะศิษย์อาจารย์ให้อย่างแนบเนียน “ข้าตั้งชื่อให้เจ้า...ชื่ออักษรเดียวว่า
ยวน ดีหรือไม่”
เฉิงเฉียน “...”
หานยวน พ้องเสียงกับคำว่าถูกปรักปรำอย่างไม่เป็นธรรม...เป็นชื่อ
ที่ทั้งมงคลและน่ายินดีเสียเหลือเกิน ่าง
อาจารย์คงหิวจนเลอะเลือนแล้วแน่ ๆ พอเจอกับไก่ขอทานหนังเกรียม
อย
เนื้อแน่น เขาจึงเลือกใช้คำไม่ค่อยถูก
ตัว

18
3

่าง
แม้ ห านยวน จะโตกว่าเฉิงเฉียนเล็กน้อย แต่ตามลำดับการเข้า
สำนักกลับกลายเป็นศิษย์น้องสี่ของเขา ด้วยเหตุนี้เฉิงเฉียนจึงเป็น “ศิษย์
อย
ปิดสำนัก”1 ได้เพียงไม่กี่วันก็กลายเป็นศิษย์พี่ของผู้อื่นไปเสียแล้ว
เห็นได้ว่าประตูหลังของสำนักฝูเหยาเปิดอยู่เสมอ
ส่วนไก่ขอทานตัวนั้น...ย่อมต้องถูกใช้เป็นเครื่องแสดงความกตัญญู
เข้าไปอยู่ในท้องของอาจารย์กว่าครึ่ง
ตัว

แม้กระทั่งไก่ก็อุดปากขี้จ้อของผู้บรรลุมู่ชุนไม่ได้ ไม่รู้เขาเอานิสัย
ชอบเทศนาสั่งสอนเช่นนี้มาจากที่ใด กินไปถามไป “ไก่นี่เอามาจากที่ใด”
หานยวนมีทักษะการใช้ลิ้นเป็นเลิศ...เขาแทะกระดูกโดยไม่ต้องใช้มือ
ยั ด เข้ า ปากไปทั้ ง ชิ้ น แก้ ม ป่ อ งอยู่ ไ ม่ กี่ ที ได้ ยิ น เสี ย งเคี้ ย วกระดู ก อ่ อ น
ดังกร้วม ๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็คายกระดูกสะอาดเกลี้ยงเกลาออกมา
เขาพ่นกระดูกในปากดังถุยอย่างหยาบคายแล้วตอบคำถามอาจารย์
“ขโมยมาจากในหมู่บ้านข้างหน้า”
ขงจื่อกล่าวว่า “ยามกินไม่เอ่ยคำ ยามนอนไม่พูดจา”
ไก่ขอทานส่งกลิ่นหอมฟุ้ง เดิมเฉิงเฉียนกำลังลังเลว่าจะฉีกน่องไก่มา
กินตามอาจารย์ดีหรือไม่ ทว่าพอเห็นสถานการณ์และได้ยินที่มาที่ไปแล้ว

1
หมายถึง ศิษย์คนสุดท้ายที่อาจารย์รับ หลังจากนั้นก็จะไม่รับศิษย์สายตรงอีก

19
ลิ่วเหยา เล่ม 1

เฉิงเฉียนก็ดึงมือกลับอย่างใจเด็ด แทะแป้งย่างที่แข็งโป๊กเป็นหินอยู่ด้านข้าง
เงียบ ๆ
หานยวนที่เป็นคนเช่นนี้ จะไปทำไก่ที่ดีเด่อะไรออกมาได้
มองจากมุ ม นี้ แม้ เ ฉิ ง เฉี ย นจะอายุ ยั ง น้ อ ย แต่ จิ ต เต๋ า และความ
มีหลักการแน่วแน่กว่าอาจารย์ไม้ตะลุมพุกของเขามาก
เห็นชัดว่าเรื่องนี้มิได้ส่งผลกระทบต่อความเจริญอาหารของผู้บรรลุ
มูช่ นุ แต่อย่างใด เขาเพียงแบ่งพืน้ ทีใ่ นปากครึง่ หนึง่ ระหว่างเคีย้ ว โคลงศีรษะ
พลางเอ่ ย “หยิ บ ฉวยโดยไม่ ถ ามคื อ ลั ก ขโมย ผู้ บ ำเพ็ ญ เช่ น ข้ า จะลั ก ไก่
ขโมยหมา2 ได้อย่างไร เฮ้อ มีอย่างที่ใด คราวหน้าอย่าทำอีก!”
หานยวนรับคำอย่างทื่อ ๆ ขอทานน้อยไม่เข้าใจอะไรเลยจึงไม่กล้า
โต้แย้ง ่าง
ลั ก ไก่ ข โมยหมาไม่ ไ ด้ แต่ ต้ ม ตุ๋ น หลอกลวงคงได้ สิ น ะ เฉิ ง เฉี ย น
อย
คิดอย่างค่อนแคะอยู่ข้าง ๆ จากนั้นเขาก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่ตนเปิดใจกว้าง
ยอมรับอาจารย์ตอนอยู่กลางฝนตกหนักไปแล้ว จึงได้แต่ทอดถอนใจอยู่ใน
อก...ช่างเถอะ
ตัว

หานยวนศิษย์น้องสี่ผู้นี้ จมูกเล็กตาเล็ก คางยังยื่นเล็กน้อย ดวงตาเล็ก ๆ


วิ บ วั บ ดู เ จ้ า เล่ ห์ ป ลิ้ น ปล้ อ นตลอดเวลา เห็ น แล้ ว ชวนให้ รู้ สึ ก ไม่ ช มชอบ
อย่างยิ่ง
เฉิงเฉียนเห็นหานยวนก็รู้สึกไม่ชอบใจ สารรูปขี้ริ้วมอซอยังพอว่า
แต่หานยวนยังได้ชื่อว่าเป็น “ศิษย์น้อง” อีกด้วย สำหรับเฉิงเฉียน ทุกอย่าง
ที่เกี่ยวข้องกับคำว่า “พี่น้อง” ยากจะทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีได้ แต่เขาเพียง
เก็บความรู้สึกไม่ชอบนั้นไว้เงียบ ๆ ภายนอกยังคงแสร้งอ่อนโยนเป็นมิตร
อย่างไม่ค่อยแนบเนียนนัก
ตอนอยู่ บ้ า นสกุ ล เฉิ ง เสื้ อ ผ้ า ใหม่ เ อี่ ย มเป็ น ของพี่ ช าย นมตุ๋ น ใส่
น้ำตาลเป็นของน้องชาย เรื่องดีไม่เคยหล่นใส่หัวเฉิงเฉียน มีแต่ถูกใช้งาน

2
หมายถึง ลักเล็กขโมยน้อย ทำเรื่องผิดศีลธรรม

20
Priest พีต้า

เป็นประจำ เฉิงเฉียนมิใช่คนใจกว้าง ย่อมบังเกิดความคับแค้นในใจ แต่


คำที่ ว่ า “บิ ด าเมตตาบุ ต รกตั ญ ญู พี่ น้ อ งเคารพรั ก ใคร่ กั น ” ที่ ถ งเซิ ง ชรา
พร่ ำ พู ด จนติ ด ปากนั้ น เขาเองก็ ฟั ง มา ด้ ว ยเหตุ นี้ บ่ อ ยครั้ ง จึ ง มั ก รู้ สึ ก ว่ า
ความคับข้องใจของตนช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
แต่เด็กตัวแค่นี้ยังไม่ทันได้ปลูกฝังการฝึกฝนตนเอง ดังนั้นเฉิงเฉียน
จึ ง ไม่ อ าจไม่ มี ค วามคั บ ข้ อ งใจโดยสิ้ น เชิ ง ได้ จ ริ ง ๆ ได้ แ ต่ แ สร้ ง ทำเป็ น ว่ า
ไม่ ไ ด้ คั บ ข้ อ งใจแม้ แ ต่ น้ อ ย...แม้ ย ามนี้ จ ะเข้ า สำนั ก แล้ ว เขาก็ ยั ง คงทำ
เหมือนเดิม
ในเมือ่ อาจารย์กลับกลอกไปมา เปิดประตูทีป่ ดิ แล้วออกอีก เฉิงเฉียน
จึงต้องเป็นศิษย์พี่โดยไม่มีทางเลือก
่าง
ระหว่างทางไม่ว่าจะทำเรื่องอะไร เขาต้องทำด้วยความเป็นศิษย์พี่
หากมีอาหารเครื่องดื่มเล็กน้อยก็ต้องให้อาจารย์ก่อนแล้วค่อยให้ศิษย์น้อง
อย
ไม่ง่ายเลยกว่าจะทำได้ถึงขั้นนี้ ด้วยเหตุนี้เฉิงเฉียนจึงต้องคอยพิจารณา
ตนเองเป็นประจำ เพื่อป้องกันมิให้สูญเสียความภาคภูมิในจริยธรรมทั้งห้า3
ของตน
เฉิงเฉียนตั้งเงื่อนไขกับตนเองอยู่เสมอ...บิดาของเขายากจนข้นแค้น
ตัว

มาทั้ ง ชี วิ ต เป็ น คนหยาบกระด้ า ง ขี้ ฉุ น เฉี ย ว จึ ง ปฏิ บั ติ ต่ อ เขาไม่ ดี นั ก


เฉิงเฉียนฟังคำพูดของถงเซิงชราจึงไม่กล้าเกลียดบิดาอย่างโจ่งแจ้ง ได้แต่
แอบสงสารบิดาอยู่เงียบ ๆ...ยามที่เด็กน้อยนึกถึงเรื่องน่าเจ็บปวดเหล่านั้น
ก็มักจะคิดว่า ข้ายอมตาย ดีกว่ากลายเป็นคนแบบบิดา
ด้วยเหตุนี้ ความภาคภูมิในความอ่อนโยนและความดีงามจึงเป็น
สิ่งที่เขาพยายามคำนึงถึงทุกครั้งที่กำลังสับสนและอับจนหนทาง จึงประคับ-
ประคองตนเองมาได้ ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจเสียไปเด็ดขาด
เพียงแต่ไม่นานเฉิงเฉียนก็พบว่าแม้ตนทำได้ไม่เลว แต่ศิษย์น้องผู้นี้
ไม่คู่ควรให้ดูแลโดยแท้จริง...เขาน่ารังเกียจไม่พอ นิสัยใจคอยังน่ารำคาญ

ประกอบด้วย ความอ่อนโยน ความเป็นคนดี ความเคารพนอบน้อม ความมัธยัสถ์ และ


3

ความอดทน

21
ลิ่วเหยา เล่ม 1

อีกด้วย
อย่างแรก หานยวนพูดมากไร้สาระยิ่งนัก ตอนที่ยังไม่เก็บยาจกน้อย
คนนี้มา ตลอดทางล้วนเป็นอาจารย์รับหน้าที่พร่ำบ่น หลังจากเก็บยาจกน้อย
ผู้นี้มาแล้ว แม้แต่ผู้บรรลุมู่ชุนก็ดูสุภาพเงียบขรึมขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด
ยาจกน้ อ ยเหมื อ นจะได้ แ รงบั น ดาลใจเรื่ อ ง “ลั ก ไก่ ข โมยหมา” ของ
อาจารย์ จึงแต่งเรื่องส่งเดชว่าตนปราบเพียงพอนตัวใหญ่ที่ยาวหนึ่งจั้ง4 กว่า
และขโมยไก่อวบมาได้อย่างไร
เขาแต่ งเรื่ อ งเป็ น ตุ เ ป็ น ตะ มื อ ไม้ ก็ ท ำท่ า ทำทางไปด้ ว ย มี จั งหวะ-
จะโคน มีตื่นเต้นหักมุม สีหน้าอารมณ์มาครบ ทั้งหมดนี้ล้วนเน้นความ
เก่งกาจปราดเปรื่องของเขา
่าง
เฉิ ง เฉี ย นพยายามตั้ ง ข้ อ สงสั ย อย่ า งมี ห ลั ก การ “จะมี เ พี ย งพอนที่
ตัวยาวตั้งหนึ่งจั้งกว่าได้อย่างไร”
อย
หานยวนถูกยั่วยุก็ยืดอกเชิดหน้าแก้ต่างทันที “ก็ย่อมต้องเป็นภูต
น่ะสิ อาจารย์ เพียงพอนเป็นภูตได้หรือไม่”
อาจารย์ฟังเรื่องภูตเพียงพอน ไม่รู้ถูกคำพูดใดสะกิดใจเข้า สีหน้า
เขาดูแปลก ๆ ชอบกล เหมือนปวดฟันและเหมือนมวนท้องนิดหน่อย ผ่าน
ตัว

ไปพักใหญ่จึงตอบอย่างใจลอยว่า “สรรพสิ่งมีวิญญาณ โดยทั่วไปก็น่าจะ


กลายเป็นภูตได้”
หานยวนราวกับได้คำรับรองหนักแน่น จึงเชิดคางใส่เฉิงเฉียนเล็กน้อย
ด้วยความย่ามใจอย่างไม่ปดิ บัง เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ศิษย์พีค่ งไม่คอ่ ย
ได้พบเห็นอะไรมามากก็เลยประหลาดใจ คนฝึกเป็นเซียนได้ สัตว์ย่อม
ฝึกเป็นภูตได้เช่นกัน”
เฉิงเฉียนไม่ตอบ เพียงลอบแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาทีหนึ่ง
หากมีเพียงพอนตัวยาวจั้งกว่าจริง สี่ขาของมันคงไม่พอให้ใช้แล้ว
ตัวยาวเหยียดเช่นนั้นต้องใช้หนังท้องไถพื้นไปจึงเคลื่อนไหวได้
หรือการที่ปีศาจบำเพ็ญตบะเป็นเวลานานแสนนานก็เพื่อให้ได้มาซึ่ง

4
1 จั้ง เท่ากับประมาณ 3.33 เมตร

22
Priest พีต้า

หนังท้องเหล็กแข็งแกร่งไร้ขน?
ปีศาจฝึกบำเพ็ญแสวงหาอะไร เฉิงเฉียนไม่เข้าใจ แต่เขาเข้าใจแล้ว
ว่าหานยวนแสวงหาอะไร
ยาจกน้อยผู้นี้เหมือนปลิงที่โตมาในคูน้ำเน่า พอได้กลิ่นคาวเลือด
ก็จะดูดดื่มช่วงชิงอย่างสุดชีวิต เนื้อในมีแต่ความชั่วร้าย...หานยวนกำลัง
แย่งชิงความโปรดปรานจากอาจารย์กับเขา
ยาจกน้อยคว้าทุกโอกาสไว้แน่น แสดงความห้าวหาญผิดธรรมดา
ของตนต่ อ หน้ า อาจารย์ ขณะเดี ย วกั น ก็ ค อยหาช่ อ งโหว่ ม าทำให้ ศิ ษ ย์ พี่ ที่
“อ่ อ นแอน่ า รั ง แก” อย่ า งเขาเสื่ อ มเสี ย เฉิ ง เฉี ย นเห็ น เขากระโดดโลดเต้ น
ก็ รู้ สึ ก ว่ า น่ า หั ว ร่ อ ยิ่ ง นั ก จึ ง เลี ย นแบบถงเซิ ง ชรา สรุ ป ข้ อ ดี ข้ อ เสี ย ของ
่าง
ศิษย์น้องสี่ในใจ วิญญูชนหนักแน่นแม้ตกยาก คนต่ำช้ายากแค้นกำเริบ-
เสิบสาน5...เดรัจฉานน้อย เจ้าเป็นแบบใด
อย
หลังจากเฉิงเฉียนได้ฟังวีรกรรม “หาญสู้ภูตเพียงพอน” ของหานยวน วัน
ต่ อ มาเขาก็ ไ ด้ เ ปิ ด หู เ ปิ ด ตาว่ า ศิ ษ ย์ น้ อ งเดรั จ ฉานน้ อ ยของเขา “เก่ ง กล้ า
ไม่ธรรมดา” เช่นไร
ตัว

วันนั้นอาจารย์เอนหลังงีบกลางวันอยู่ใต้ต้นไม้ เฉิงเฉียนพลิกอ่าน
คัมภีร์เก่าแก่เล่มหนึ่งที่อยู่ในตะกร้าสะพายหลังของอาจารย์ ตำราโบราณ
ใช้ศัพท์ที่เข้าใจยาก เฉิงเฉียนความรู้ไม่ถึงขั้น ตำราส่วนใหญ่จึงเหมือน
“พบพานแต่ไม่รู้จัก” แต่เขามีความสุขที่ได้ทำเช่นนี้ และไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
เลยแม้ แ ต่ น้ อ ย...ไม่ ว่ า ในตำราของอาจารย์ จ ะเขี ย นอะไรบ้ า ง นี่ นั บ เป็ น
ครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ได้หยิบจับตำราอย่างเปิดเผย
ศิษย์ทั้งสองคนที่ผู้บรรลุมู่ชุนเก็บมา คนหนึ่งเงียบกริบเป็นเสาไม้
คนหนึ่งอยู่ไม่สุขเหมือนลิงเหมือนม้า เสาไม้เฉิงเฉียนนิ่งสงบไม่เคลื่อนไหว
ลิงหานยวนไม่หยุดนิ่งแม้สักชั่วขณะ

มาจากคั ม ภี ร์ หลุ น อวี่ บท เว่ ย หลิ ง กง ของขงจื่ อ หมายถึ ง วิ ญ ญู ช นแม้ ต้ อ งตกอยู่ ใ น


5

ความยากลำบากก็ยังคงครองตนซื่อตรง อยู่ในศีลธรรม

23
ลิ่วเหยา เล่ม 1

ยามนี้ลิงหานไม่รู้ว่าวิ่งไปที่ใดแล้ว ส่วนเฉิงเฉียนกำลังมีความสุขที่
ได้สงบหูเสียที ใครจะรู้ว่าเงียบสงบอยู่ได้ไม่นาน ก็เห็นหานยวนวิ่งร้องห่ม-
ร้องไห้กลับมา
“อาจารย์...” หานยวนออดอ้อนเสียงหงุงหงิง
คำตอบของอาจารย์คือเสียงกรนแผ่วเบานุ่มนวล
หานยวนคร่ ำ ครวญต่ อ ปล่ อ ยโฮพลางชำเลื อ งมองเฉิ ง เฉี ย นที่ อ ยู่
ด้านข้างไปด้วย
เฉิงเฉียนสงสัยว่าอาจารย์หลับจริง ๆ หรือเพียงแค่แสร้งหลับเพื่อคอย
ดูว่าพวกเขาศิษย์พี่ศิษย์น้องจะอยู่ร่วมกันอย่างไร ตอนนี้ศิษย์น้องกำลัง
ร้องไห้ยกใหญ่ เขาเป็นศิษย์พี่จึงไม่อาจทำเป็นมองไม่เห็น จำต้องวางตำรา
ลง ถามอย่างอ่อนโยน “เป็นอะไรไป” ่าง
หานยวน “ข้างหน้ามีแม่น้ำ เดิมข้าคิดจะจับปลาให้อาจารย์กับศิษย์พี่
อย
กิน แต่ริมแม่น้ำมีหมาตัวใหญ่ มันวิ่งไล่ข้า”
เฉิงเฉียนลอบถอนหายใจ เขาย่อมกลัวสุนัขดุเช่นกัน แต่หานยวน
ทำหน้าทำตาเอ่ยเสียขึงขังว่าศิษย์น้องคิดจะจับปลาให้อาจารย์และศิษย์พี่
เพื่ อ แสดงความกตั ญ ญู แต่ ถู ก เดรั จ ฉานรั ง แก ต้ อ งให้ ศิ ษ ย์ พี่ อ อกหน้ า
ตัว

ศิษย์พี่ไหนเลยจะมีเหตุผลให้หดหัว
เขาจำต้องเก็บก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งจากบนพื้น คะเนน้ำหนักในมือ
จากนั้ น ลุ ก ขึ้ น เดิ น ตามหานยวนไปยั ง ริ ม แม่ น้ ำ เอ่ ย ด้ ว ยท่ า ที อ่ อ นโยนว่ า
“ได้ เช่นนั้นข้าจะไปดูกับเจ้า”
เฉิงเฉียนเตรียมตัวพร้อมแล้ว หากเจอสุนัขดุจริง เขาจะใช้ก้อนหิน
ในมือทุบท้ายทอยศิษย์น้อง ทุบไอ้เดรัจฉานน้อยนี่ให้เป็นแตงโมแหลกเละ
แล้วค่อยส่งต่อให้พี่สุนัขจัดการ
น่าเสียดายที่พอทั้งสองไปดูที่ริมแม่น้ำ สุนัขก็ไปแล้ว ทิ้งไว้เพียง
รอยเท้าน้อย ๆ ไม่กี่แถวบนพื้น
เฉิงเฉียนก้มลงสำรวจรอยเท้าสองแถวนั้น ประเมินได้ว่า “สุนัขดุ”
ตัวนั้นขนาดไม่เกินหนึ่งฉื่อ6 น่าจะเป็นหมาป่าน้อยวัยละอ่อน
เดรั จ ฉานน้ อ ยหานยวนผู้ นี้ ทำอะไรก็ ไ ม่ ร อด กิ น อะไรก็ ไ ม่ พ อ

24
Priest พีต้า

หน้าซือ่ ใจคด ยางอายไม่มี ขวัญเล็กเท่ารูเข็ม มีแต่เสียงขีโ้ ม้ทีด่ งั สนัน่ รูจ้ กั


แต่แย่งชิงความโปรดปราน
เฉิ ง เฉี ย นคิ ด เช่ น นี้ พ ลางไพล่ มื อ สองข้ า งที่ ถื อ ก้ อ นหิ น ไว้ ด้ า นหลั ง
มองศิษย์น้องที่ไม่มีอะไรดีสักอย่างของตนอย่างอ่อนโยน รู้สึกไม่อยากทุบ
เขาแล้ว...เฉิงเฉียนคร้านจะลดตัวไปเกลือกกลั้วกับเขา
เมื่อทั้งสองหิ้วปลาที่จับได้กลับมา อาจารย์ก็ “ตื่น” แล้ว กำลังมอง
พวกเขาด้วยความเมตตาและชื่นใจ
เฉิงเฉียนสบตากับอาจารย์แล้วก็รู้สึกมวนท้อง อยากอาเจียนอย่าง
บอกไม่ถูก
เขายังไม่ทันพูดอะไร หานยวนก็เขยิบเข้าไปสอพลอ เล่าอย่างตีไข่-
่าง
ใส่สีว่าศิษย์พี่อยากกินปลาอย่างไร ตนเอาชนะสุนัขดุตัวใหญ่เท่าวัวอย่างไร
ต่อหน้าอาจารย์
อย
เฉิงเฉียน “...”
เขาโมโหศิษย์น้องที่เปี่ยมพรสวรรค์ผู้นี้จนแทบหัวร่อ
ด้ ว ยประการฉะนี้ เฉิ ง เฉี ย นจึ ง ติ ด ตามนั ก ต้ ม ตุ๋ น ชราคนหนึ่ ง กั บ
หัวขโมยน้อยจอมคุยโวคนหนึ่ง เดินทางสิบกว่าวัน
ตัว

ในที่สุดคนทั้งสามก็มาถึงสำนักฝูเหยา

เฉิงเฉียนจากบ้านมาไกลเป็นครั้งแรกในชีวิต แต่เพราะมีอาจารย์ผู้ยอด-
เยี่ยมและศิษย์น้องเคียงข้าง ได้พบเห็นสิ่งแปลกใหม่มากมายในโลก จึง
ค่อนข้างมีความหนักแน่นที่ต่อให้ภูเขาถล่มลงมาก็ไม่ตกใจบ้างแล้ว
เดิมตอนที่เขาได้ยินคำว่า “สำนักฝูเหยา” ก็คิดว่าเป็นสถานที่เปลี่ยว
ร้างเสื่อมโทรมจึงไม่คาดหวังอะไรมากนัก คิดในใจว่าไม่แน่อาจเป็นอาราม
เต๋าเถื่อนรกร้างซอมซ่อ เข้าประตูยังต้องจุดธูปโขกศีรษะให้ “ปฐมาจารย์”
ที่แต่งตัวไม่อุจาด แต่มีรอยยิ้มอยู่เสมอ
ทว่าสำนักที่เห็นกลับเหนือความคาดหมายของเฉิงเฉียนอย่างมาก

6
1 ฉื่อ เท่ากับประมาณ 1 ฟุต

25
ลิ่วเหยา เล่ม 1

สำนักฝูเหยาครองภูเขาเล็กทั้งลูกเพียงลำพัง เขาลูกนั้นโอบล้อมด้วย
สายน้ำสามด้าน เมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไปจากเชิงเขา เห็นเป็นคลื่นเขียว
เหมือนกำลังพิโรธท่ามกลางขุนเขา สายลมพัดผ่านทิ้งร่องรอย
ท่ า มกลางเสี ย งนกขั บ ขานและแมลงร้ อ งระงมยั ง แทรกด้ ว ยเสี ย ง
กระเรียนร้อง บางครั้งยังเห็นเงาสีขาวพาดผ่านไป แผ่กระจายกลิ่นอายเซียน
ดุจแสงวูบหนึ่ง
ในขุนเขามีขั้นบันไดศิลาค่อย ๆ ไต่ระดับอย่างนุ่มนวล มองออกว่า
มีคนคอยกวาดเป็นประจำ ธารเล็กสายหนึ่งไหลลงมาจากยอดเขา เสียงดัง
แจ่มชัด
เมื่อขึ้นบันไดไปจนถึงไหล่เขา เฉิงเฉียนก็เห็นเรือนพักเป็นเงาตะคุ่ม
่าง
อยู่บนยอดเขา ประตูศิลาเก่าแก่เรียบง่ายตะไคร่จับครึ้มตั้งอยู่เบื้องหน้า
ด้านบนเขียนด้วยอักษรสองตัวเหมือนหงส์ฟ้อนมังกรเหินว่า ‘ฝูเหยา’
อย
อั ก ษรเขี ย นได้ ดี ห รื อ ไม่ เฉิ ง เฉี ย นดู ไ ม่ อ อก เขารู้ สึ ก เพี ย งอั ก ษร
สองตัวนี้เหมือนจะลอยขึ้นจากประตู มีความหยิ่งทะนงเหนือโลกหล้าชนิด
ทะยานฟ้าดิ่งเหว
ที่นี่มิใช่เขาเซียนกลางเมฆหมอกเหนือโลกมนุษย์ ทว่าในขุนเขากลับ
ตัว

แฝงด้วยความงดงามที่ยากจะบรรยาย พอเฉิงเฉียนก้าวเข้าไปในขุนเขา
ก็รู้สึกได้ว่าลมหายใจเข้าออกรวมถึงร่างกายของเขาเบาลงไม่น้อย
เขาเหลือบมองท้องฟ้าขนาดเท่าฝ่ามือจากใต้เงาไม้เขียวขจี ความ
รู้ สึ ก วิ เ ศษเหมื อ นนั่ ง ในบ่ อ น้ ำ มองฟ้ า สู ง แผ่ น ดิ น กว้ า งพุ่ ง ขึ้ น มาที่ ห ว่ า งคิ้ ว
ปลอดโปร่งสบายใจจนแทบจะหัวเราะร้องตะโกนกึกก้องไปทั่วขุนเขา
เพียงแต่เฉิงเฉียนอดกลั้นเอาไว้...สมัยอยู่ที่บ้าน เขาไม่กล้าส่งเสียง
เอะอะโวยวายในบ้านเพราะกลัวจะถูกบิดาตี เมื่ออยู่ที่นี่ก็ย่อมไม่กล้าทำ
ด้วยกลัวจะเสียมารยาทของหลักวิญญูชนที่เขาลอบฟังมาต่อหน้าหานยวน
จอมวายร้ายโสโครกผู้นี้
อาจารย์ลูบหัวสุนัขของศิษย์ที่เก็บมาใหม่ทั้งสองเบา ๆ พลางเอ่ยอย่าง
อ่อนโยน “ประเดี๋ยวตามข้าไปจุดธูปอาบน้ำผลัดเสื้อผ้า ข้าจะพาพวกเจ้าไป
คารวะ...”

26
Priest พีต้า

เฉิงเฉียนคิดเรื่อยเปื่อย ปฐมาจารย์ที่มีรอยยิ้มเสมอหรือ
อาจารย์กล่าว “ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้า”

่าง
อย
ตัว

27
4

เป็นถึงอาจารย์ เหตุใดต้อง “คารวะ” ศิษย์พี่ใหญ่ ่าง


เฉิงเฉียนกับหานยวนงุนงงเหมือนมีหมอกคลุมศีรษะ แต่อาจารย์
อย
กลั บ อธิ บ ายต่ อ เหมื อ นกลั ว ว่ า โลกจะวุ่ น วายไม่ พ อ “ไม่ ต้ อ งกั ง วล ศิ ษ ย์
พี่ใหญ่ของพวกเจ้าไม่สนใจอะไรหรอก ไม่ต้องกลัวเขา ทำตามอาจารย์ก็พอ”
เดี๋ยวก่อน อะไรคือ “ทำตามอาจารย์ก็พอ”
สรุปคือผู้บรรลุมู่ชุนได้เปลี่ยนหมอกจาง ๆ บนหัวศิษย์น้อยทั้งสอง
ตัว

กลายเป็นแอ่งโคลนหนาทึบเป็นที่เรียบร้อย
ผ่านซุ้มประตูเขาเข้าไป มีเต้าถง1 หลายคนมารอต้อนรับพร้อมกับ
เสียงธารน้ำไหลดังครืนครั่น
ในบรรดาเต้าถงเหล่านี้ ที่โตสุดอายุสิบเจ็ดสิบแปดปี เล็กสุดอายุ
สิบสามสิบสีป่ ี แต่ละคนหน้าตาหมดจดสดใสราวกับบริวารน้อยของเทพเซียน
ชายเสื้อพลิ้วไหวเองโดยไร้ลม
ไม่ต้องพูดถึงหานยวนที่ปากอ้าตาค้าง แม้แต่เฉิงเฉียนที่ค่อนข้าง
เชื่อมั่นในตนเองมาตลอดทางก็ยังเกิดความรู้สึกต่ำต้อยเล็กน้อย
เพราะความรู้สึกต่ำต้อยนี้ เฉิงเฉียนจึงเกิดอาการต่อต้านขึ้นมา เขา
ปั้นหน้าขรึมโดยไม่รู้ตัว ยืดตัวตรง ซ่อนความประหลาดใจและความเขลา

1
เป็นคำเรียกเด็กชายผู้ทำหน้าที่รับใช้นักบวช

28
Priest พีต้า

เอาไว้ลึก ๆ ไม่เผยออกมาแม้แต่น้อย
เต้าถงที่เป็นหัวหน้าเห็นผู้บรรลุมู่ชุนแต่ไกล คนยังไม่ทันถึงก็หัวเราะ
ขึน้ มาก่อน เอ่ยด้วยท่าทีสบาย ๆ “ครัง้ นีเ้ จ้าสำนักท่องไปทีใ่ ดมาหรือ เหตุใด
สภาพราวกับลี้ภัย...เอ๋ นี่มัน...เป็นคุณชายน้อยที่ลักพาตัวมาจากที่ใดกัน”
เฉิงเฉียนแยกย่อยคำทักทายอันสนิทสนมนี้ทีละถ้อยทีละคำ แต่ก็
ไม่ พ บความเคารพในนั้ น แม้ แ ต่ น้ อ ย ราวกั บ คนที่ เ ต้ า ถงทั ก ทายมิ ใ ช่
“เจ้าสำนัก” แต่เป็น “ลุงหานหมู่บ้านข้าง ๆ”
ผู้บรรลุมู่ชุนไม่นำพา ถึงขั้นเผยรอยยิ้มเฉยชาเล็กน้อย ชี้เฉิงเฉียน
และหานยวนพลางเอ่ย “ศิษย์ที่ข้ารับมาใหม่ยังเด็ก รบกวนพวกเจ้าจัดหา
ที่พักให้ด้วย”
เต้าถงยิ้ม “ให้พักที่ใด”่าง
“คนนี้พาไปเรือนทิศใต้” ผู้บรรลุมู่ชุนชี้ไปทางหานยวนอย่างส่ง ๆ
อย
จากนั้นก็ก้มหน้าลงคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ตั้งใจ สายตาสบเข้ากับเฉิงเฉียน
ซึ่งเงยหน้ามองขึ้นมาพอดี ในดวงตาแบ่งแยกดำขาวชัดเจนของเด็กน้อย
มี ค วามยั บ ยั้ ง ชั่ ง ใจโดยกำเนิ ด ทั้ ง ยั ง มี ค วามประหม่ า ต่ อ สภาพแวดล้ อ ม
แปลกใหม่เล็กน้อยจนแทบมิอาจสังเกตเห็น
ตัว

รอยยิ้มไม่จริงจังที่มุมปากผู้บรรลุมู่ชุนพลันเลือนหายไป ครู่ต่อมา
เขาก็ระบุชื่อสถานที่ที่จะให้เฉิงเฉียนไปพักด้วยท่าทีที่แทบจะเคร่งขรึม “ให้
เฉิงเฉียนไปพักที่ศาลาข้างแล้วกัน”

“ศาลาข้าง” มิใช่ศาลา แต่เป็นเรือนเล็กที่ห่างไกลมากแห่งหนึ่ง จุดประสงค์


เพื่อใช้เป็นที่ปลีกวิเวก ด้านหนึ่งของกำแพงที่ล้อมลานเรือนมีลำธารเล็ก
ไหลผ่านอย่างไร้สุ้มเสียง อีกด้านคือป่าไผ่ผืนใหญ่ เงียบสงบอย่างยิ่ง
ป่าไผ่มอี ายุพอสมควร แม้กระทัง่ ลมทีพ่ ดั ผ่านก็อาบย้อมด้วยกลิน่ อาย
เขียวขจี เรือนทั้งหลังราวกับตั้งอยู่กลางทะเลไผ่ เขียวจนชำระจิตใจและ
กิเลสได้เล็กน้อย
หน้าประตูเรือนแขวนตะเกียงฉางหมิงสองดวง สลักคาถาไว้เช่นกัน
แต่ ป ระณี ต กว่ า “มรดกตกทอด” ดวงนั้ น ของสกุ ล เฉิ ง มาก มั น แผ่ ล ำแสง

29
ลิ่วเหยา เล่ม 1

อ่อนโยน ลมพัดไม่ขยับ คนเดินไม่ตระหนก หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา ขนาบป้าย


ประตูตรงกลางที่เขียนอักษรสองตัว ‘ชิงอาน’2
อั ก ษรเหมื อ นจะเขี ย นโดยคนคนเดี ย วกั บ ที่ เ ขี ย นอั ก ษร “ฝู เ หยา”
เหนือซุ้มประตูเขา
เต้าถงผู้นำทางให้เฉิงเฉียนชื่อว่าเสวี่ยชิง อายุไล่เลี่ยกับพี่ชายคนโตที่
บ้านเฉิงเฉียน เสวี่ยชิงไม่สูงไม่เตี้ย ไม่อ้วนไม่ผอม เมื่อมองดูอย่างละเอียด
ก็นับว่าหน้าตาหมดจด แต่เครื่องหน้าออกจะจืดชืดไปสักหน่อย เป็นคนที่
ไม่สะดุดตาที่สุดในบรรดาเต้าถง พูดจาประหยัดถ้อยคำ คล้ายไม่ชอบทำตัว
โดดเด่น
“นี่คือศาลาข้างบนเขาของเรา มีชื่อว่าเรือนชิงอาน ได้ยินว่าแต่ก่อน
่าง
เจ้าสำนักเคยพำนักอยู่ที่นี่ ต่อมาเมื่อว่างลงก็เคยทำเป็นโรงเจ” เสวี่ยชิง
อธิบายอย่างเนิบช้า “อาจารย์อาสามรู้หรือไม่ว่าอะไรคือโรงเจ”
อย
ความจริ ง เฉิ ง เฉี ย นก็ ไ ม่ ค่ อ ยกระจ่ า ง แต่ ยั ง ทำที พ ยั ก หน้ า เหมื อ น
ไม่ใส่ใจนัก เดินตามเสวี่ยชิงเข้าไปในลานเรือนเล็ก ๆ ตรงกลางลานมีสระน้ำ
เล็ก ๆ ขนาดหนึง่ ตารางจัง้ ด้านล่างเป็นแท่นรองไม้อวีม๋ 3ู่ สีดำ สลักคาถาเอาไว้
น่าจะมีไว้ยึดอะไรสักอย่าง...น้ำในสระไม่ไหลเวียน แน่นิ่งไม่กระเพื่อม
ตัว

เมื่อเดินเข้าไปมองดูใกล้ ๆ จึงพบว่า ที่แท้นั่นมิใช่สระน้ำ แต่เป็น


หินอัญมณีหายากขนาดใหญ่
หิ น นั้ น มิ ใ ช่ ห ยกหรื อ มรกต มี สั ม ผั ส เย็ น เฉี ย บ เนื้ อ ในสี เ ขี ย วเข้ ม
เหลือบน้ำเงินเล็กน้อย แผ่ความสงบนิ่งอันเย็นเยียบและลุ่มลึกออกมา
เฉิงเฉียนไม่เคยเห็นวัตถุหายากเช่นนี้มาก่อน แม้จะไม่อยากทำตัว
เหมือนคนบ้านนอกเซ่อซ่า แต่ก็อดจ้องมองด้วยความตกตะลึงไปชั่วขณะ
มิได้
เสวี่ ย ชิ ง “สิ่ ง นี้ ข้ า ก็ ไ ม่ รู้ เ ช่ น กั น ว่ า คื อ อะไร แต่ พ วกเราเรี ย กมั น ว่ า
หินชำระใจ เจ้าสำนักเป็นคนหามา แต่ก่อนระหว่างถือศีลอด เขามักใช้มัน

2
แปลว่า สงบบริสุทธิ์
3
ไม้เอล์ม

30
Priest พีต้า

เป็ น ที่ ร องเวลาคั ด ลอกคั ม ภี ร์ พอมี มั น ปกปั ก อยู่ ที่ นี่ ก็ ท ำให้ เ รื อ นนี้ เ ย็ น
ขึ้นมากในฤดูร้อน”
เฉิงเฉียนชี้ไปที่ยันต์บนแท่นรองไม้อวี๋มู่พลางถามอย่างอดมิได้ “พี่
เสวี่ยชิง คาถานี้ใช้ทำอะไรหรือ”
เสวี่ยชิงคล้ายคาดไม่ถึงว่าเฉิงเฉียนจะเกรงใจเขาเช่นนี้จึงอึ้งไปครู่หนึ่ง
ก่อนตอบ “อาจารย์อาสามเกรงใจเช่นนี้ ข้ารับไม่ไหว...นี่มิใช่คาถา”
เฉิงเฉียนมองเขา เสวี่ยชิงเห็นความสงสัยที่ยังคงสงวนท่าทีไว้จาก
สายตาของอีกฝ่ายก็รู้สึกประหลาดใจ สายตาของเด็กคนนี้ราวกับจะเอ่ย
วาจาได้ เมื่อเทียบกับเด็กอีกคนที่เจ้าสำนักเก็บกลับมา เห็นชัดว่ามีนิสัย
ประณีตละเอียดอ่อนกว่ามาก
่าง
เสวี่ยชิงไม่รู้ว่าจะบรรยายอย่างไร เห็นอยู่ว่าเด็กคนนี้มีชาติกำเนิด
ไม่สูง อาจไม่เคยได้อ่านตำรับตำราด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายคล้ายกำลังพยายาม
อย
วางตนให้เป็นวิญญูชนผ่าเผย เข้มงวดกับตัวเองมากจนแสดงออกอย่าง
ระมัดระวังทุกอิริยาบถเสียเกินพอดี เหมือนไม่รู้ว่าควรใช้สีหน้าท่าทีเช่นไร
ในการคบหาผู้คน
พูดอย่างง่าย ๆ คือ ออกจะดัดจริตไปสักหน่อย...ทัง้ ยังเป็นการดัดจริต
ตัว

ที่ไม่มีเป้าหมายและต้นแบบแต่อย่างใด
คนเสแสร้งทั่วไปล้วนชวนให้รู้สึก รำคาญเล็ก น้อ ยอย่า งเลี่ย งไม่ได้
ต่ อ ให้ เ ป็ น เพี ย งเด็ ก ก็ ต าม แต่ ไ ม่ รู้ เ พราะเหตุ ใ ด เสวี่ ย ชิ ง มิ ไ ด้ ร ำคาญ
เฉิงเฉียน กลับเอ็นดูเขาอย่างบอกไม่ถูก ด้วยเหตุนี้จึงตอบด้วยน้ำเสียง
นุ่มนวล “อาจารย์อาสาม เสวี่ยชิงเป็นเพียงบริวารรับใช้ที่ด้อยคุณสมบัติ
คนหนึ่ง ดูแลชีวิตประจำวันของเจ้าสำนักและเหล่าอาจารย์อาน้อย มรรคา
แห่งยันต์คาถาลึกซึง้ กว้างไกล คนเช่นพวกเราไม่เข้าใจแม้เพียงผิวเผิน เพียง
แค่เคยได้ยนิ เจ้าสำนักกล่าวถึงไม่กคี่ ำแล้วจึงเรียนรูต้ ามเท่านัน้ อาจารย์อาสาม
ลองไปถามเจ้าสำนักหรือ...ศิษย์พี่ใหญ่ของข้า...ของท่านจะดีกว่า”
เฉิงเฉียนได้ยินคำว่า “ของข้า” อย่างฉับไว เมื่อนึกเชื่อมโยงกับท่าที
คุ้นเคยเป็นกันเองแต่ไม่ค่อยเคารพนอบน้อมที่เหล่าเต้าถงมีต่อเจ้าสำนัก
ในใจก็ยิ่งสงสัยมากขึ้น

31
ลิ่วเหยา เล่ม 1

ไม่นานเสวีย่ ชิงก็พาเขาไปแนะนำให้คุน้ เคยกับสิง่ ของเครือ่ งใช้ทัง้ หลาย


ในเรือนชิงอาน รีบปรนนิบัติเขาให้ชำระคราบไคลจากการเดินทาง แล้ว
ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่พอดีตัวให้ จัดการทำความสะอาดทั้งในนอกจนสะอาด
หมดจด จึงพาเขาออกมาอีกครั้ง
เฉิงเฉียนยังคงรักษาภาพลักษณ์ไม่แสดงความเขลาของตนออกมา
เลียบเคียงถามเสวี่ยชิงว่าศิษย์พี่ใหญ่คือใคร จึงได้รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ของเขา
แซ่เหยียน ชื่อว่าเหยียนเจิงหมิง มีชาติกำเนิดร่ำรวยสูงส่ง
ร่ำรวยสูงส่งถึงระดับใด ข้อนี้เฉิงเฉียนฟังแล้วสับสนมึนงง...เขาเป็น
เด็กยากจน ไม่มีกรอบความเข้าใจต่อคำว่า “ร่ำรวยสูงส่ง” คนที่เรียกว่า
“ร่ำรวยสูงส่ง” ที่เขาเคยพบเห็นก็มีแต่เจ้าของที่ดินแซ่หวังที่อยู่ท้ายหมู่บ้าน
่าง
เท่านั้น เจ้าของที่ดินแซ่หวังผู้นั้นแต่งอนุคนที่สามในวัยหกสิบปี ในสายตา
เฉิงเฉียน นั่นคือความร่ำรวยสูงส่งที่สุดแล้ว
อย
ได้ ยิ น ว่ า ปี ที่ เ หยี ย นเจิ ง หมิ ง อายุ เ จ็ ด ขวบ ไม่ รู้ เ ขาหนี อ อกจากบ้ า น
ด้วยเหตุขี้ปะติ๋วอะไร จากนั้นก็ถูกอาจารย์เจ้าเล่ห์...อาจารย์เจ้าแผนการของ
พวกเขาเก็บได้ นับว่ามีสายตาเฉียบคมจริง ๆ
นั ก ต้ ม ตุ๋ น ชราแสดงวาทศิ ล ป์ ลั ก พาตั ว ศิ ษ ย์ พี่ ใ หญ่ ที่ ใ นปี นั้ น อายุ
ตัว

ยั ง น้ อ ยไม่ รู้ อั น ตรายในโลก เข้ า สำนั ก กลายเป็ น ศิ ษ ย์ เ อกเปิ ด ขุ น เขา4 ได้


สำเร็จ
เมื่อคุณชายน้อยสกุลเหยียนหายตัวไป คนในครอบครัวย่อมร้อนรน
พวกเขาตามหากันสุดความสามารถจึงพบเหยียนเจิงหมิงผู้หลงเดินทางผิด
ในที่ สุ ด ...แต่ ไ ม่ รู้ ว่ า นายน้ อ ยเหยี ย นถู ก มู่ ชุ น กรอกยาลวงวิ ญ ญาณหรื อ
ไม่รักดีเอง จึงเหมือนถูกผีสิง เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมกลับบ้าน ยืนกราน
จะอยู่ฝึกบำเพ็ญกับอาจารย์ให้จงได้
นายน้อยผู้นี้ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจจนเสียนิสัยมาตั้งแต่เด็ก แน่นอน
ว่าสกุลเหยียนย่อมมิอาจทนมองบุตรรักของตนติดตามนักต้มตุ๋นในยุทธภพ
ที่เหมือนคนเปิดคณะละครเร่ไปตกระกำลำบาก หลังจากคัดค้านหลายครั้ง

4
หมายถึง ศิษย์สายตรงคนแรก ได้รับการถ่ายทอดวิชาจากอาจารย์โดยตรง

32
Priest พีต้า

ไม่เป็นผล สุดท้ายจึงจำต้องยอมประนีประนอม ออกเงินเลี้ยงสำนักนี้เอาไว้


เท่ากับเลี้ยงคณะละครให้นายน้อย
สำนั ก บำเพ็ ญ ในยุ ค นี้ มี ห ลากหลายรู ป แบบ แต่ ส ำนั ก ที่ แ ท้ จ ริ ง กั บ
ลัทธินอกรีตมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย ส่วนใหญ่ที่กระจายอยู่ในเก้ามณฑลคือ
สำนักเถื่อน
เฉิงเฉียนนับนิ้วในใจ สำนักที่มีเศรษฐีท้องถิ่นเลี้ยงดู ดำรงอยู่อย่าง
พอมีหน้ามีตาเหมือนสำนักฝูเหยาคงเรียกได้ว่าเป็น “สำนักประจำบ้าน”
ด้วยเหตุนี้จึงนับว่าเฉิงเฉียนเข้าใจแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขามิได้
เป็ น เพี ย งศิ ษ ย์ พี่ ใ หญ่ แต่ ยั ง รั บ บทบาทมากมาย เช่ น “ที่ พึ่ ง ของสำนั ก ”
“ผู้ ส นั บ สนุ น ของเจ้ า สำนั ก ” และ “ศิ ษ ย์ เ อกเปิ ด ขุ น เขาแห่ ง สำนั ก ฝู เ หยา”
่าง
ย่อมมีตำแหน่งสูงสุดในสำนัก แม้แต่อาจารย์ยังต้องประจบเอาใจ
ส่วนผู้ที่มีตำแหน่งสูงสุดในสำนักนั้น...เฉิงเฉียนเห็นก็รู้แล้วว่า เขา
อย
คือเด็กล้างผลาญที่ไม่อาจบรรยายได้หมดในคำเดียว
“เย่ อ หยิ่ ง ฟุ่ ม เฟื อ ย บ้ า กาม เหลวไหล” สี่ ค ำ แต่ ต อนนั้ น ศิ ษ ย์
พี่ใหญ่เพิ่งอายุสิบห้าปี ยังไม่มีความกล้าที่จะ “บ้ากาม” ดังนั้นจึงเหลือเพียง
“เย่อหยิ่ง” “ฟุ่มเฟือย” และ “เหลวไหล” ทั้งหมดนี้เขาไม่ขาดตกบกพร่อง
ตัว

เลยสักอย่างเดียว เป็นจริงดังว่าทุกคำ

ผู้บรรลุมู่ชุนพาศิษย์น้อยทั้งสองที่อาบน้ำจนสะอาดเกลี้ยงเกลาแล้วมาพบ
นายน้อยเป็นครั้งแรก
นายน้อยผู้นั้นกำลังหวีผม...มิใช่ว่าเจ้าสำนักเลอะเลือนไม่รู้มารยาท
รีบรุดไปรบกวนผู้อื่นตอนหวีผมอาบน้ำตั้งแต่เช้าตรู่หรอกนะ แต่เป็นศิษย์
พี่ใหญ่เองที่ต้องหวีผมวันละหลายครั้ง
ดีที่เขาอายุยังน้อย จึงไม่ต้องกลัวว่าจะหวีจนหัวล้านเป็นหย่อม
ผู้มีคุณสมบัติหวีผมให้ศิษย์พี่ใหญ่ อันดับแรกต้องเป็นสตรี อายุ
มิอาจน้อยเกินไปและมิอาจมากเกินไป รูปโฉมมิอาจมีจุดใดไม่งดงาม กลิ่น
กายต้องหอมกรุ่น วันหนึ่งตั้งแต่เช้าจรดค่ำนอกจากหวีผม จุดเครื่องหอม
แล้ ว นางก็ มิ ไ ด้ ท ำอะไร สองมื อ ต้ อ งเนี ย นนุ่ ม ขาวผ่ อ งดุ จ หยก มิ อ าจมี

33
ลิ่วเหยา เล่ม 1

หนังด้านให้เป็นที่ระคายแม้เพียงน้อยนิด
เต้าถงอย่างพวกเสวี่ยชิง เดิมก็เป็นบ่าวของสกุลเหยียนที่ถูกคัดเลือก
อย่างพิถีพิถันแล้วส่งมาบนเขาให้สำนักใช้งาน
เรื่องใกล้ตัวนายน้อยไม่ต้องใช้เต้าถง ได้ยินว่าเป็นเพราะเขาไม่ชอบ
บุ รุ ษ มื อ ไม้ งุ่ ม ง่ า ม ด้ ว ยเหตุ นี้ ผู้ ที่ ค อยปรนนิ บั ติ ข้ า งกายในเรื อ นจึ ง มี แ ต่
แม่นางน้อย ทำให้ในเรือนพักของเขาเต็มไปด้วยหมู่มวลผกานานาพรรณ
เหมือนเป็นวสันตฤดูอยู่เสมอ
ก่อนเข้าประตู เฉิงเฉียนลอบมองเคราแพะของอาจารย์อยู่นานและ
ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่ง...เคราของอาจารย์ก็หวีสางจนเรียบร้อยแล้ว
ระหว่างทางมาที่นี่ เสวี่ยชิงบอกว่าผู้บรรลุมู่ชุนจัดให้เขาไปอยู่เรือน
่าง
ชิ ง อานเพื่ อ ให้ เ ขาจิ ต ใจสงบ เฉิ ง เฉี ย นคั บ ข้ อ งอยู่ บ้ า ง ไม่ ย อมรั บ ว่ า ตน
จิตใจไม่สงบ ยามนี้เมื่อถึงที่พำนักของศิษย์พี่ใหญ่ เงยหน้าเห็นคำว่า “แดน
อย
เวินโหรว” 5 ในที่สุดก็วางใจ...ดูเหมือนจะมิใช่เขาที่จิตใจไม่สงบ แต่เป็น
อาจารย์เลอะเลือนมากแล้วต่างหาก
หานยวนที่อยู่ด้านข้างทำตัวออดอ้อน ถามอย่างสนใจว่า “อาจารย์
หน้าประตูของศิษย์พี่ใหญ่เขียนว่าอะไรหรือ”
ตัว

มู่ชุนลูบเคราพลางอ่านให้เขาฟัง หานยวนถามด้วยสีหน้าว่างเปล่า
“ความหมายคือส่งเสริมให้ภายหน้าศิษย์พี่เป็นคนอ่อนโยนขึ้นสักหน่อยหรือ”
มู่ ชุ น ได้ ยิ น ก็ ห น้ า ถอดสี กำชั บ ด้ ว ยความตกใจ “คำพู ด นี้ อ ย่ า ให้
ศิษย์พี่ใหญ่เจ้าได้ยินเป็นอันขาด”
เฉิ ง เฉี ย นกั บ หานยวนเห็ น ผู้ เ ป็ น เจ้ า สำนั ก ถึ ง กั บ หางจุ ก ตู ด เหมื อ น
สุนัขจรจัดก็คิดตรงกันอย่างหาได้ยาก มีอย่างที่ใด ไม่สนใจหลักการทั่วไป
ถึงเพียงนี้!
ทัง้ สองคิดเช่นนี้ แล้วก็สบตากัน ต่างมองเห็นความตืน่ กลัวบนใบหน้า
5
หรือ “เวินโหรวเซียง” แปลตรงตัวว่า “แดนอ่อนละมุน” โดยปกติใช้สื่อถึงผู้หญิงที่อ่อนโยน
เย้ายวน เป็นลักษณะแบบที่ผู้ชายชื่นชอบ มีที่มาจากจ้าวเฟยเยี่ยนซึ่งเป็นหวงโฮ่วของจักรพรรดิฮั่นเฉิง
นางเป็นที่โปรดปรานถึงขั้นทำให้หวงตี้ยอมทอดทิ้งสนมสามพัน โปรดปรานเพียงนางผู้เดียว ด้วยเหตุนี้
จึงใช้อุปมาถึงหญิงที่ช่างเอาอกเอาใจ ยอมตามผู้ชายในทางเพศรส

34
Priest พีต้า

ของกันและกัน ดังนั้นจึงรีบหางจุกตูดตามอาจารย์ เรียนรู้เคล็ดวิชาสำคัญ


อันดับหนึ่งของสำนัก...เคล็ดวิชาหางจุกตูด!
ความจริ ง ตอนที่ เ ฉิ ง เฉี ย นเห็ น ศิ ษ ย์ พี่ ใ หญ่ ข องเขาครั้ ง แรกก็ ถึ ง กั บ
ตกตะลึง
คนผู้นั้นยังดูเป็นเด็กหนุ่ม แต่กลับมีความเย่อหยิ่งอย่างยิ่ง เขาสวม
ชุ ด คลุ ม ผ้ า แพรต่ ว นสี ข าวดุ จ หิ ม ะ ผื น ผ้ า ปั ก ซ่ อ นลายที่ ผู้ ใ ดก็ ม องไม่ เ ห็ น
มีเพียงยามเคลื่อนไหวกระทบแสงเงาจึงจะเห็นเป็นประกายวิบวับเล็กน้อย
เขานั่งพิงพนักเก้าอี้สลักลายเหมือนคนไร้กระดูก ดวงตาหลุบลงครึ่งหนึ่ง
มือหนึ่งเท้าคาง เส้นผมดำยาวแผ่สยายดุจสาดน้ำหมึก
เหยียนเจิงหมิงได้ยินเสียงจึงเหลือบตาขึ้นอย่างไม่อินังขังขอบ หางตา
่าง
งอนยาวตวั ด กวาดอย่ า งเฉยชา ให้ ค วามรู้ สึ ก อ่ อ นช้ อ ยระคนถื อ ตั ว อย่ า ง
บอกไม่ถูก เขาเห็นอาจารย์แล้วแต่ไม่คิดจะลุกขึ้นแม้แต่น้อย ก้นยังนั่งอยู่
อย
บนเก้าอี้อย่างมั่นคง พลางเอ่ยปากอย่างเฉื่อยชา “อาจารย์ ท่านออกไป
คราวนี้ เก็บของเล่นอะไรกลับมาอีกสองชิ้นหรือ”
ราวกับเขาเติบโตช้ากว่าผู้อื่นอยู่บ้าง เสียงยังไม่แตกหนุ่ม กอปรกับ
เมื่อเจือน้ำเสียงที่ใส่จริต จึงฟังแล้วยิ่งแยกไม่ออกว่าเป็นบุรุษหรือสตรี
ตัว

เขาใส่จริตได้อย่างเป็นตัวของตัวเองทีเดียว ท่าทางไม่ชายไม่หญิง
เช่นนี้ กลับดูแล้วมิได้ผิดแปลกแต่อย่างใด
เจ้าสำนักปั้นหน้ายิ้ม ถูไม้ถูมือพลางแนะนำ “อ้อ นี่คือเฉิงเฉียน
ศิ ษ ย์ น้ อ งสามของเจ้ า นี่ คื อ หานยวน ศิ ษ ย์ น้ อ งสี่ ข องเจ้ า ล้ ว นยั ง เด็ ก
ไม่ รู้ ค วาม เจ้ า เป็ น ศิ ษ ย์ พี่ ใ หญ่ ภายหน้ า ต้ อ งช่ ว ยอาจารย์ ชี้ แ นะพวกเขา
ให้มากหน่อย”
พอเหยียนเจิงหมิงได้ยินชื่อหานยวน คิ้วเรียวก็เลิกขึ้น หนังหน้า
คล้ายกระตุกเล็กน้อย เขาลืมตาเหลือบมองศิษย์น้องสี่สดใหม่จากเตาด้วย
ท่าทางที่เห็นชัดว่ายอมลดตัวลงมา จากนั้นก็เลื่อนสายตาออกทันทีราวกับ
พบเจอมลทิน
“หานยวน?” ศิ ษ ย์ พี่ ใ หญ่ มี ท่ า ทางไม่ พ อใจ วิ จ ารณ์ อ ย่ า งเฉื่ อ ยชา
“คนเหมือนดังชื่อ หน้าตาไม่ได้รับความเป็นธรรมไปสักหน่อย”

35
ลิ่วเหยา เล่ม 1

ใบหน้าของหานยวนขาวจนซีดแล้ว
เหยียนเจิงหมิงทิ้งเขาไว้อย่างนั้น หันมายังเฉิงเฉียน
“เด็กคนนั้น” เขาเอ่ย “มานี่ ให้ข้าดูหน่อย”

่าง
อย
ตัว

36
5

เหยี ย นเจิ ง หมิ ง ทำมือเรียกเฉิงเฉียนด้วยท่าทีเหยียดหยัน


เหมือนกำลังเรียกสุนัขอย่างไรอย่างนั้น ่าง
การกระทำของเขาทำให้เฉิงเฉียนได้สติกลับมาจากความประหลาดใจ
ทันที
อย
เฉิ ง เฉี ย นรู้ สึ ก ถู ก ลดทอนศั ก ดิ์ ศ รี ยิ่ ง นั ก เพราะตั้ ง แต่ เ ล็ ก ก็ ไ ร้ ค น
รั ก ใคร่ ความรู้ สึ ก ต่ ำ ต้ อ ยเช่ น นี้ จึ ง ฝั ง เข้ า กระดู ก กลายเป็ น ความหยิ่ ง
ในศักดิ์ศรีอย่างแรงกล้าแทบถึงขั้นวิตกจริต เพียงแค่สายตาที่เหลือบมา
ตัว

แวบเดียว เขาก็รับรู้ได้อย่างฉับไว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่าทางที่เหมือนกำลัง


เรียกแมวแหย่สุนัขเช่นนี้
เฉิงเฉียนราวกับถูกคนราดน้ำเย็นใส่ศีรษะในเดือนสิบสองอันหนาว-
เหน็บ เย็นเฉียบจนเครื่องหน้าของเขาจับแข็ง ใบหน้าที่เยือกเย็นของเขา
ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ เขาเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว หลบมือของเหยียนเจิงหมิง
แล้วค้อมกายคารวะตามธรรมเนียม “ศิษย์พี่ใหญ่”
เหยี ย นเจิ ง หมิ ง ยื่ น หน้ า มามอง โน้ ม ตั ว ลงเล็ ก น้ อ ยตามเขา กลิ่ น
กล้วยไม้จาง ๆ ปกคลุมรอบกายเฉิงเฉียนทันที ไม่รู้ว่าเสื้อผ้าบนตัวเหยียน-
เจิงหมิงร่ำกลิ่นมาขนาดไหน แต่น่าจะเพียงพอให้ใช้ไล่แมลงได้เลย
ศิษย์พีใ่ หญ่นายน้อยผูน้ ีค้ งไม่รูจ้ กั ดูสหี น้าคนเป็นแน่ เพราะเขาไม่รบั รู้
ถึงอารมณ์เดือดพล่านที่แทบจะสะกดไม่อยู่ของเฉิงเฉียนโดยสิ้นเชิง
ถึ ง ขั้ น กวาดตามองเฉิ ง เฉี ย นตั้ ง แต่ ศี ร ษะจรดปลายเท้ า อย่ า งสบาย

37
ลิ่วเหยา เล่ม 1

อารมณ์เหมือนกำลังคัดเลือกม้า จากนั้นคงจะรู้สึกว่าพอเข้าตาจึงพยักหน้า
อย่างไม่ใส่ใจ เอ่ยคำพูดจริงใจประโยคหนึ่งให้ศิษย์น้องที่เพิ่งพบหน้ากัน
โดยไม่สนใจท่าทีตอบสนองของผู้อื่น
เขาเอ่ยโต้ง ๆ “ก็พอได้ ต่อไปโตขึ้นอย่าขี้เหร่เล่า”
กล่าวจบ นายน้อยก็ฝืนใจวาดมือผ่านเหนือศีรษะของเฉิงเฉียนหนึ่ง
ชุ่น ทำทีเป็นลูบศีรษะเฉิงเฉียนเพื่อแสดงความเป็นกันเองที่ศิษย์พี่ใหญ่พึงมี
จากนั้นก็สั่งการอย่างขอไปที “คนที่ ‘ไม่ได้รับความเป็นธรรม’ และ ‘คับข้อง
ใจ’1 ผู้นั้นข้าดูเสร็จแล้ว อาจารย์พาไปได้...อืม เสี่ยวอวี้เอ๋อร์หยิบเมล็ดสน
ตัด2 มา...ให้พวกเขาสองคนเอาไปกิน”
ใบหน้ า ชราของผู้ บ รรลุ มู่ ชุ น กระตุ ก เล็ ก น้ อ ย พลั น เกิ ด ความรู้ สึ ก
่าง
แปลกประหลาด เหมือนผู้ที่ตนพามาให้ศิษย์นอกคอกผู้นี้ดูมิใช่ศิษย์น้อง
สองคน แต่ เ ป็ น สาวใช้ ห้ อ งข้ า ง 3 สองคนที่ พ ามาจากแดนไกลเพื่ อ มอบให้
อย
อีกฝ่าย
...ทั้งยังเป็นสาวใช้ที่รูปโฉมไม่ชวนให้ชมชอบนัก!
เมล็ ด สนตั ด นี้ มิ ใ ช่ เ มล็ ด สนตั ด ธรรมดา มั น บรรจุ อ ยู่ ใ นถุ ง หอม
ใบเล็กประณีต แต่ละเม็ดเต็มแน่น ผิวนอกเคลือบน้ำตาลแวววาวโปร่งใส
ตัว

เคล้ากลิ่นดอกไม้ที่บอกไม่ถูก หอมจนกำซาบหัวใจ
ของกินประณีตเช่นนี้ เด็กในครอบครัวยากจนย่อมไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่ เ ฉิ ง เฉี ย นกลั บ ไม่ ส นใจแม้ แ ต่ น้ อ ย พอพ้ น ประตู ก็ ยั ด เมล็ ด สนตั ด ให้
หานยวนทั้งหมด พลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “สิ่งนี้ศิษย์น้องเอาไปกินเถอะ”
ความ “ใจกว้าง” ของเขาทำให้หานยวนตกตะลึงไปในทันที หานยวน
รั บ ถุ ง หอมมาด้ ว ยความรู้ สึ ก ซั บ ซ้ อ น ทั้ ง มี ท่ า ที ขั ด เขิ น เล็ ก น้ อ ยอย่ า งหา
ได้ยาก
ยาจกน้อยโตมาจนป่านนี้ แต่ไรมาล้วนต้องฉกชิงจึงได้กนิ ทุกคนต้อง
1
ในที่นี้เป็นการเล่นคำพ้องเสียงกับชื่อของหานยวน
2
“ซงจื่อถัง” เหมือนกับขนมถั่วตัด แต่ใช้เมล็ดสนแทนถั่วลิสง
3
หมายถึง สาวใช้ที่ติดตามข้างกาย ปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิด และต่อมายังสื่อความหมายถึง
สาวใช้อุ่นเตียงให้เจ้านายผู้ชายด้วย

38
Priest พีต้า

ดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด แต่ละคนใช้ชีวิตราวกับหมาป่า ใครจะไปมีเรี่ยวแรง


สนใจผู้อื่นเล่า
หานยวนรู้สึกร้อนระอุในอก ขณะกำลังซาบซึ้งก็บังเกิดความเข้าใจผิด
ใหญ่หลวงอย่างหนึ่งขึ้นมา...ศิษย์พี่น้อยที่เพิ่งรู้จักคนนี้คงมิใช่คนอ่อนแอ
รังแกง่าย แต่เขาแค่ไม่คิดเล็กคิดน้อยและดีต่อข้าต่างหาก
ผู้บรรลุมู่ชุนกลับมิได้เลอะเลือนถึงเพียงนั้น เขาเห็นชัดว่าเฉิงเฉียน
ปัดมือตนเองด้วยความรังเกียจราวกับบนมือเปื้อนสิ่งสกปรกอะไรสักอย่าง
จึ ง เข้ า ใจทั น ที ว่ า การที่ เ ด็ ก คนนี้ ใ ห้ เ มล็ ด สนตั ด แก่ ผู้ อื่ น มิ ใ ช่ เ พราะความ
เอื้อเฟื้อแต่อย่างใด เพียงแค่คร้านจะไว้หน้าศิษย์พี่ใหญ่ที่เหมือนภูตผีปีศาจ
ผู้นั้นต่างหาก
่าง
เพียงแต่จะว่าไป สิ่งล่อลวงใหญ่ที่สุดที่เด็กเหลือขออายุเท่านี้จะได้
พบเจอ ความจริงก็มีเพียงเรื่องกินกับดื่มเท่านั้น ทว่าเฉิงเฉียนกลับทนได้
อย
ไม่รับน้ำใจ ทั้งไม่แม้แต่จะเหลือบแล
ผู้บรรลุมู่ชุนคิดอย่างสะท้อนใจ ตัวบัดซบน้อยนี่ใจแข็งนัก ภายหน้า
หากไม่เป็นผู้เก่งกล้าก็ต้องเป็นภัยใหญ่หลวงแน่
เฉิงเฉียนตัวบัดซบน้อยจึงเข้าสู่สำนักฝูเหยาอย่างเป็นทางการเช่นนี้
ตัว

คืนแรกที่อยู่ในเรือนชิงอานของตน เฉิงเฉียนหลับรวดเดียวถึงยามขาล
สามเค่อ4 เขาหลับสนิท มิได้รู้สึกแปลกที่และมิได้คิดถึงบ้าน
รุ่งเช้าวันต่อมา เสวี่ยชิงเปลี่ยนชุดคลุมยาวให้เฉิงเฉียน มุ่นมวยผม
แต่งกายให้เสียจนสง่าดูดี
เดิมเด็กน้อยไม่จำเป็นต้องรวบผมสวมกวน5 แต่เสวี่ยชิงบอกว่าเขา

4
ยามขาล (อิ๋นสือ) คือช่วงเวลาระหว่าง 3.00 - 5.00 นาฬิกา หากเป็นยามขาลสามเค่อ จะ
หมายถึงเวลา 3.45 นาฬิกา
5
“กวน” เป็นเครื่องสวมศีรษะอย่างหนึ่งของจีน มีรูปทรงหลายแบบ บ้างคล้ายหมวกครอบ
ลงไปครึ่ ง ศี ร ษะ บ้ า งมี ลั ก ษณะเป็ น เกี้ ย วครอบมวยผม เป็ น สิ่ ง ที่ ใ ช้ บ่ ง บอกฐานะและสถานภาพทาง
สังคมของผู้สวมได้ ปกติผู้ชายจะถึงวัยสวมกวนเมื่ออายุประมาณ 20 ปี เพื่อแสดงถึงการที่เด็กหนุ่ม
ก้าวสู่วัยผู้ใหญ่เต็มตัว

39
ลิ่วเหยา เล่ม 1

เข้าสำนักเซียนแล้ว จึงมิอาจนับเป็นเด็กทางโลก
ความแตกต่างใหญ่ที่สุดระหว่างสำนักประจำบ้านกับสำนักเถื่อนคือ
สำนักเถื่อนเพียงแค่ตั้งขึ้นเล่น ๆ สำนักประจำบ้านแม้ที่มาไม่แน่ชัด แต่มอง
จากภายนอกก็ยังมีมรดกที่สืบทอดมาให้เห็นอยู่บ้าง
อันดับแรกคือยันต์คาถา ยันต์คาถาของเซียนที่หาได้ยากในตำนาน
ที่นี่มีอยู่แทบทุกหนแห่ง แม้แต่ตามต้นไม้ก้อนหินก็ยังสลักอาคมไว้เต็มไป
หมด เสวี่ยชิงชี้ยันต์คาถาบนรากของต้นไม้ต้นหนึ่งพลางเอ่ยกับเฉิงเฉียน
“หากอาจารย์อาสามหลงทางบนเขา ขอเพียงถามก้อนหินและต้นไม้เหล่านี้
ก็ได้แล้ว”
เสวี่ยชิงว่าพลางเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่งเพื่อสาธิตให้ดู เอ่ยกับราก
่าง
ต้นไม้ใหญ่ “โปรดนำทางไป ‘โถงปู้จือ’6...โถงปู้จือคือที่พำนักของเจ้าสำนัก
อาจารย์อาสามเพิ่งเข้าสำนัก วันนี้ต้องไปรับศีลจากเจ้าสำนัก”
อย
เฉิงเฉียนไม่สนใจจะตอบรับ เขามองรากไม้ที่เรืองแสงออกมาจาง ๆ
ด้วยความประหลาดใจ
ยามนี้ฟ้ายังไม่สว่างมาก แสงนั้นแผ่เป็นวงเล็ก ๆ หลายวง ขาวผ่อง
ดุจแสงจันทร์ ส่องสว่างขึ้นในป่าเขาจนบังเกิดกลิ่นอายเซียน บนก้อนหิน
ตัว

และต้นไม้ส่วนหนึ่งในละแวกใกล้เคียงเกิดเป็นเส้นทางคดเคี้ยวที่แจ่มชัด
สายหนึ่งในป่า
แม้ นี่ มิ ใ ช่ เ ครื่ อ งมื อ เซี ย นชิ้ น แรกที่ เ ฉิ ง เฉี ย นเคยพบเห็ น แต่ ก็ เ ป็ น
เครื่องมือที่มีประโยชน์ชิ้นแรกที่เฉิงเฉียนได้เจอ!
เสวี่ยชิงเก่งในการสังเกตท่าทีและคำพูด เขารู้ว่าเด็กคนนี้ชอบตีหน้า
นิ่งขรึมวางภูมิ ทั้งยังเสแสร้งอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้พอเห็นเขาตกตะลึงจึงมิได้
ฉีกหน้า เพียงรอให้เขาหันมาแล้วแนะนำอย่างสงบ “อาจารย์อาสามโปรดมา
ทางนี้ เดินตามแสงไป”
ขณะเดินไปตามทางที่ปูด้วยแสงเรือง เฉิงเฉียนรู้สึกราวกับตนกำลัง

6
แปลว่า โถงไม่รู้

40
Priest พีต้า

กลายเป็นอีกคนหนึ่ง กำลังจะมีชีวิตที่ต่างไปจากเดิม
เฉิงเฉียนถาม “พี่เสวี่ยชิง สิ่งเหล่านี้ใครเป็นคนทำหรือ”
เสวี่ ย ชิ ง แก้ ไ ขคำเรี ย กของเฉิ ง เฉี ย นไม่ ไ ด้ จึ ง ปล่ อ ยเลยตามเลย
พอได้ยินคำถามจึงตอบ “เจ้าสำนัก”
เฉิงเฉียนตกใจ ไม่ค่อยอยากเชื่อ
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ในสายตาของเฉิงเฉียน อาจารย์เจ้าสำนักของเขา
ยังคงเป็นไก่ป่าคอยาวที่พอจะน่ารักอยู่นิดหน่อย ไม่ได้เจริญตาและไม่ได้
มีประโยชน์อะไร...หรือเขาจะมิใช่นักต้มตุ๋น?
หรือเขาจะมีวิชาอะไรที่ไม่ให้คนรู้?
อาจารย์ก็อยู่ยงคงกระพัน เรียกลมเรียกฝนได้เหมือนในตำนานหรือ
่าง
เฉิงเฉียนจินตนาการด้วยความคาดหวังที่ค่อนข้างน่าเหลือเชื่อ แต่
แล้วก็พบว่าการนึกภาพความน่ายำเกรงที่แท้จริงของอาจารย์ยังคงเป็นเรื่อง
อย
ยากสำหรับเขา
เสวี่ยชิงพาเฉิงเฉียนเดินไปตามทางเล็กเรืองแสงจนมาถึงโถงปู้จือ
ของผู้บรรลุมู่ชุน
ความจริง “โถงปู้จือ” คือกระท่อมมุงจากเล็ก ๆ ไม่มีอุปกรณ์เซียน
ตัว

ไม่มีแผ่นป้ายสลักคำขวัญ หน้าประตูเรือนมีป้ายไม้ขนาดเท่าฝ่ามือแขวนไว้
บนนั้นมีลายสลักหยาบ ๆ รูปหัวสัตว์ เฉิงเฉียนมองด้วยความรู้สึกคุ้นตา
เล็กน้อย แต่ชัว่ ขณะนัน้ ยังนึกไม่ออกว่าคือสิง่ ใด ข้าง ๆ รูปหัวสัตว์ยงั มีอกั ษร
เล็ก ๆ แถวหนึ่งเขียนว่า ‘หนึ่งถามสามไม่รู้’ 7
กระท่อมมุงจากนี้ให้ความรู้สึกเหมือนได้กลับไปบ้านของตนในชนบท
ขึ้นมาชั่วขณะ ที่นี่เรียบง่ายเหลือเกิน แทบไม่มีอะไรเลย
ด้านหน้ากระท่อมเป็นลานเล็ก ๆ เงียบเหงา ในลานมีโต๊ะไม้เล็ก ๆ
สามขาตัวหนึ่ง จุดที่ควรเป็นขาอีกข้างเป๋ไปแล้ว มันหนุนอยู่บนก้อนหิน
บนโต๊ะไม้เต็มไปด้วยรอยปริแตก ผูบ้ รรลุมูช่ นุ นัง่ อยูท่ ีโ่ ต๊ะ กำลังจ้องถาดเล็ก

สามไม่รู้ คือ ไม่รู้เหตุที่มา ไม่รู้กระบวนการความเป็นไป และไม่รู้ผล เมื่อรวมกันแล้วจึง


7

หมายถึง ไม่รู้อะไรเลย

41
ลิ่วเหยา เล่ม 1

ใบหนึ่งบนโต๊ะอย่างใจลอย
ถาดนั้นเป็นเครื่องปั้นอย่างหยาบ ๆ ด้อยฝีมือยิ่งนัก รูปทรงจะเหลี่ยม
ก็ ไ ม่ เ หลี่ ย ม จะกลมก็ ไ ม่ ก ลม แม้ แ ต่ ก้ น ถาดก็ ป าดไม่ เ รี ย บ ในถาดมี
เหรียญทองแดงเก่าสนิมจับสองสามเหรียญวางกระจายอยู่ ทั้งสองสิ่งขับเน้น
กัน แผ่บรรยากาศหม่นทึมอันเก่าแก่โบราณออกมา
เฉิงเฉียนชะงักเท้าอย่างมิอาจควบคุม ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกว่าบนร่าง
อาจารย์ที่กำลังจ้องเหรียญทองแดงมีความน่าเกรงขามแรงกล้า
เสวี่ยชิงยิ้มพลางเอ่ย “วันนี้เจ้าสำนักเห็นคำทำนายใดจากฉักลักษณ์8
หรือ”
เจ้าสำนักได้ยินก็เก็บเหรียญทองแดงอย่างเคร่งขรึม สองมือสอด
่าง
เข้าไปในแขนเสื้อ เอ่ยอย่างสบาย ๆ “สวรรค์มีคำทำนาย อาหารวันนี้ต้อง
เพิ่มไก่ตุ๋นเห็ดอีกอย่างหนึ่ง”
อย
ขณะพู ด หนวดก็ พ ะเยิ บ เล็ ก น้ อ ย ลู ก ตาเล็ ก ๆ กลอกซ้ า ยขวาสอง
สามที ปลายจมูกขยับฟุดฟิด เผยความปรารถนาที่แท้จริงออกมา
เฉิงเฉียนเห็นสีหน้าท่าทีเช่นนี้ของเขาก็รู้สึกคุ้นตา จากนั้นก็เชื่อมโยง
ได้ ทั น ที นึ ก ออกแล้ ว ว่ า ...รู ป หั ว สั ต ว์ บ นป้ า ยไม้ ที่ ป ระตู โ ถงปู้ จื อ ก็ คื อ
ตัว

เพียงพอน!
คนโง่ในชนบทไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มิหนำซ้ำยังอ่านคัมภีร์
พุทธและเต๋าไม่เข้าใจ การกราบไหว้เทพบูชาพระล้วนทำอย่างมั่วซั่ว เทพ
เซียนนอกรีตอย่าง “เซียนใหญ่เหลือง” และ “เซียนใหญ่เขียว” ก็ปะปนอยู่
ในนั้นด้วย เป็นที่รู้จักของทุกบ้านทุกครัวเรือน
“เซี ย นใหญ่ เ หลื อ ง” หมายถึ ง ภู ต เพี ย งพอน “เซี ย นใหญ่ เ ขี ย ว”

8
“กว้า” หรือ “ข่วย” คือฉักลักษณ์หกเส้น เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้ในการเสี่ยงทายในคัมภีร์ อี้จิง
มี ลั ก ษณะเป็ น เส้ น เต็ ม (หยาง) และเส้ น ขาดสองท่ อ น (อิ น ) วางซ้ อ นกั น ประกอบด้ ว ยตรี ลั ก ษณ์
(trigram) บนสามเส้น และตรีลักษณ์ล่างสามเส้น เมื่อนำมาซ้อนกันจึงกลายเป็นเส้นที่ซ้อนกันอยู่หกชั้น
เรียกว่า “ฉักลักษณ์” ซึ่งมีรูปแบบแตกต่างกันทั้งสิ้น 64 ฉักลักษณ์ แต่ละฉักลักษณ์จะสื่อคำทำนาย
ที่แตกต่างกันไป 384 รูปแบบ ในการทำนายจะทอยเหรียญทองแดงสามเหรียญทั้งหมด 6 ครั้งเพื่อ
ระบุลักษณะเส้นฉักลักษณ์แต่ละเส้น

42
Priest พีต้า

หมายถึ ง ภู ต งู 9 และยั ง เรี ย กว่ า “งู เ ฝ้ า เรื อ น” ว่ า กั น ว่ า หากกราบไหว้ บู ช า


เซียนใหญ่ทั้งสองจะช่วยปกปักบ้านเรือน คุ้มครองความปลอดภัยในพื้นที่
ตอนเล็ก ๆ เฉิงเฉียนเคยเห็นแผ่นจารึกที่อุทิศให้เซียนใหญ่เหลือง
ตั้งอยู่ในหมู่บ้าน บนป้ายนั้นก็มีรูปหัวสัตว์เช่นนี้
พอคิดถึงตรงนี้เขาก็มองมู่ชุนอีกครั้ง แล้วก็เห็นว่าอีกฝ่ายเอวยาว
ขาสั้น ผอมจนเห็นกระดูก กอปรกับศีรษะเล็กหน้าแหลม โหนกแก้มสูง...
มองอย่างไรก็เป็นเพียงพอนที่กลายเป็นภูตแล้ว!
เฉิงเฉียนกอดความสงสัยที่ยากจะเอ่ยออกมา เดินขึ้นหน้าก้าวหนึ่ง
กายเนื้อทำความเคารพอาจารย์ที่สงสัยว่าจะเป็นเพียงพอนด้วยความรู้สึก
ซับซ้อน
่าง
อาจารย์ หั ว เราะหึ ๆ พลางโบกมื อ “ไม่ ต้ อ งมากพิ ธี เห็ น แล้ ว จั๊ ก จี้
สำนักฝูเหยาเราไม่นิยมขนบธรรมเนียม”
อย
เฉิงเฉียนคิดในใจอย่างขมขื่น เช่นนั้นนิยมอะไร ไก่ตุ๋นเห็ด?
เวลานี้ เ องหานยวนก็ ม าถึ ง เขาร้ อ งเรี ย กมาแต่ ไ กล “อาจารย์ !
ศิษย์พี่!”
หานยวนกลับเข้าใจด้วยตัวเองว่าอะไรคือ “ไม่นิยมขนบธรรมเนียม”
ตัว

พอเข้าประตูมาก็โวยวาย “โอ๊ยโหยว อาจารย์ เหตุใดที่พักของท่านถึงได้


ซอมซ่อเช่นนี้!”
ร้องทักจบ ยาจกน้อยก็เดินวนรอบลานของโถงปู้จือรอบหนึ่งราวกับ
คุ้นเคยมานาน สุดท้ายก็หยุดฝีเท้าลงเบื้องหน้าเฉิงเฉียน
ยาจกน้อยที่วิสัยทัศน์คับแคบผู้นี้ถูกซื้อตัวด้วยเมล็ดสนตัดหนึ่งถุง
ยอมรับแล้วว่าเฉิงเฉียนดีต่อเขาและไม่เรียกว่าศิษย์พี่อย่างมีลับลมคมใน
อีก ก้าวเข้าไปดึงแขนเสื้อของเฉิงเฉียนอย่างสนิทสนม “เสี่ยวเฉียน เหตุใด
เมื่อวานไม่มาเล่นกับข้า”
เฉิงเฉียนเห็นเขาก็รู้สึกรำคาญจึงถอยหลังครึ่งก้าวอย่างเงียบ ๆ ทันที

9
ภู ต เพี ย งพอน (หวงต้ า เซี ย น) และภู ต งู (ชิ ง ต้ า เซี ย นหรื อ หลิ่ ว เซี ย น) อยู่ ใ นกลุ่ ม สั ต ว์ ภู ต
ห้าชนิด (อู่ต้าเซียน) อีก 3 ชนิดคือ สุนัขจิ้งจอก (หูเซียน) เม่น (ไป๋เซียน) และหนู (ฮุยเซียน)

43
ลิ่วเหยา เล่ม 1

ก่อนจะชักแขนเสื้อของตนออกจากมือเขา เอ่ยเสียงกระด้าง “ศิษย์น้องสี่”


เสวี่ยชิงเปลี่ยนเครื่องแต่งกายของผู้ใหญ่ให้เฉิงเฉียน เผยให้เห็น
หน้าผากผ่องใสและโครงหน้าเรียวยาว ทั้งงดงามและน่ามองดุจมนุษย์หยก
หากคนผู้ นี้ ท ำจากหยกจริ ง ความไม่ เ ป็ น มิ ต รกั บ ผู้ ค นเล็ ก น้ อ ยนี้ ก็ พ อจะ
ให้อภัยได้
ตัวหานยวนเป็นยาจกที่ไม่มีพ่อแม่อบรมเลี้ยงดู เห็นผู้ใดไม่ถูกตา
ให้อย่างไรก็ไม่ถูกตา เห็นผู้ใดดีไม่ว่าอย่างไรก็ดีไปหมด...ตอนนี้สำหรับเขา
เฉิงเฉียนคือคนที่ไม่ว่ามองอย่างไรก็ดีไปหมด ดังนั้นเขาจึงไม่ถือสาความ
เย็นชาของอีกฝ่ายเลยสักนิด ทั้งยังคิดอย่างมีความสุข เด็กที่มีครอบครัว
เลี้ยงดูไม่เหมือนกับคนที่พเนจรไปทั่วอย่างเรา เขาขี้อาย ต่อไปข้าต้องดูแล
เขาให้มาก ่าง
ดวงตาของผู้บรรลุมู่ชุนแม้จะเล็ก แต่สายตาที่มองมากลับเหมือน
อย
คบเพลิง เขาสังเกตการณ์เงียบ ๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่งเสียงขัดจังหวะการ
คิดไปเองฝ่ายเดียวของหานยวน “เสี่ยวยวน มานี่”
หานยวนเดิ น ไปหน้ า โต๊ ะ เล็ ก ที่ โ คลงเคลงแทบล้ ม ตั ว นั้ น ด้ ว ยความ
อยากรู้อยากเห็น “อาจารย์ มีเรื่องใดหรือ”
ตัว

ผู้บรรลุมู่ชุนมองเขา เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แม้เจ้าจะเข้าสำนัก


ทีหลัง แต่อายุมากกว่าศิษย์พี่สามของเจ้าเล็กน้อย อาจารย์ต้องกำชับเจ้า
ก่อน”
ถึงจะเป็นอาจารย์ที่เหมือนเพียงพอน แต่ก็คืออาจารย์ เขาเคร่งขรึม
อย่างหาได้ยาก หานยวนยืดตัวตรงโดยมิอาจควบคุม
มู่ชุน “เจ้าเป็นคนคล่องแคล่วว่องไว เสียตรงที่เหลาะแหละเหลวไหล
ด้ ว ยเหตุ นี้ อ าจารย์ จ ะให้ ค ำว่ า ‘หิ น ผา’ แก่ เ จ้ า เป็ น วจนศี ล เพื่ อ เตื อ นสติ
มรรคาสวรรค์ห้ามคิดฉวยโอกาส ห้ามเย่อหยิ่งทะนงตน ห้ามจิตใจว้าวุ่น10
ภายหน้าต้องตั้งจิตรวบรวมสมาธิอยู่เสมอ มิอาจย่อหย่อนแม้แต่วันเดียว

10
มาจากบันทึกบทหนึ่งของเจิงกั๋วฟาน รัฐบุรุษ นักยุทธศาสตร์ นักเขียน และนักปรัชญา
ลัทธิขงจื่อสมัยปลายราชวงศ์ชิง

44
Priest พีต้า

เข้าใจหรือไม่”
หานยวนยกมือเช็ดน้ำมูก วจนศีลนี้เขาไม่เข้าใจแม้แต่ครึ่งประโยค
จึงส่งเสียง “ฮะ” อย่างงงงวย
ดีที่มู่ชุนมิได้เอาเรื่องเอาราวอะไรกับการเสียมารยาทของเขา พูดจบ
ก็หันมาหาเฉิงเฉียน
เฉิงเฉียนจึงพบว่า ความจริงอาจารย์มิได้มีตาสามเหลี่ยมแต่กำเนิด
เพียงแต่เปลือกตาสองชั้นหลุบเข้าด้านในเล็กน้อย ยามปกติจึงเหมือนดวงตา
หลุบลงอยู่เสมอ สายตาหลุกหลิกอย่างเห็นได้ชัด ลักษณะดูชั่วร้าย แต่พอ
เขาลืมตาขึ้นก็เห็นดวงตาที่มีสีขาวและดำชัดเจน ยามนี้สายตาเขาขรึมลง
เล็กน้อย สีหน้าที่มีต่อเฉิงเฉียนเปลี่ยนเป็นเข้มงวด
่าง
อย
ตัว

45
6

“เฉิงเฉียน” ่าง
ไม่รู้เพราะเหตุใด อาจารย์เรียกหานยวนว่า “เสี่ยวยวน” แต่ยามเรียก
อย
เฉิงเฉียนกลับเรียกทั้งชื่อและแซ่ ฟังไม่ออกว่าลำเอียงรักเขามากกว่าหรือ
อคติกับเขากันแน่ อีกทั้งน้ำเสียงยังเจือความจริงจังทุกคำ
เฉิงเฉียนเงยหน้าขึ้นอย่างทำตัวไม่ค่อยถูก มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ
กำแน่น
ตัว

“มานี่” ผู้บรรลุมู่ชุนมองเฉิงเฉียน จากนั้นเหมือนจะรับรู้ว่าตนจริงจัง


เกินไป จึงหลุบตาลงเล็กน้อย เก็บท่าทีกลับไปเป็นเพียงพอนที่หน้าตาใจดี
มีเมตตาอีกครั้ง น้ำเสียงอ่อนโยนลง “เจ้ามานี่”
ระหว่างที่พูด มู่ชุนก็ยกมือข้างหนึ่งวางบนศีรษะเฉิงเฉียน ความ
อบอุ่นเล็กน้อยจากฝ่ามือเขาถ่ายทอดสู่เฉิงเฉียนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวพร้อมกับ
กลิ่นพืชบางชนิดจากแขนเสื้อ
แต่นี่มิได้ช่วยปลอบโยนแต่อย่างใด เฉิงเฉียนยังคงลนลาน
เขาหวนนึ ก ถึ ง คำวิ จ ารณ์ ว่ า “เหลาะแหละเหลวไหล” ที่ อ าจารย์ พู ด
กับหานยวน ในใจคิดอย่างเป็นกังวล อาจารย์จะบอกว่าข้าเป็นอย่างไรนะ
เฉิงเฉียนรีบทบทวนชีวิตของตนเองตั้งแต่ต้นจนจบรอบหนึ่ง ตั้งใจ
คัดข้อบกพร่องของตนออกมาเพื่อเตรียมใจไว้ก่อนอาจารย์จะเอ่ยปาก
เฉิงเฉียนประเมินอย่างละเอียดในใจ เขาจะบอกว่าข้าใจแคบ? ไม่มี

46
Priest พีต้า

คุณธรรมเพียงพอ? หรือไม่เป็นมิตรพอ?
ทว่ า สุ ด ท้ า ยผู้ บ รรลุ มู่ ชุ น มิ ไ ด้ วิ จ ารณ์ ข้ อ บกพร่ อ งและให้ ว จนศี ล
อย่างซึ่งหน้าเหมือนตอนที่ทำกับหานยวน อาจารย์เจ้าสำนักของเขาถึงขั้น
ลั ง เลเล็ ก น้ อ ย คล้ า ยกำลั ง เสาะหาถ้ อ ยคำที่ เ หมาะสมอย่ า งยากเย็ น เป็ น
พิเศษ
ไม่รู้นานเท่าใด กระทั่งเฉิงเฉียนรอจนมือเท้าเย็นเฉียบจึงได้ยินมู่ชุน
เอ่ยอย่างระมัดระวัง แทบจะพูดออกมาทีละคำ “เจ้านั้น ตัวเจ้ารู้ดีแก่ใจ
ข้าไม่มีอะไรจะพูดเป็นพิเศษ ให้ ‘อิสระ’ แก่เจ้าเป็นศีล”
วจนศีลนี้เรียบง่ายนัก คลุมเครือไร้ขอบเขตจนยากจะเข้าใจความ
หมายไปชั่วขณะ เฉิงเฉียนอดนิ่วหน้าไม่ได้ ที่เตรียมใจไว้ล้วนไร้ประโยชน์
่าง
ความอัดอั้นในอกไม่ได้ผ่อนคลายลง กลับยิ่งถูกแขวนไว้สูงกว่าเดิม
เฉิงเฉียนหลุดปากถาม “อาจารย์ สิ่งใดคือ ‘อิสระ’ ”
อย
ถามจบก็รู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย เพราะไม่อยากแสดงออกว่า
ศีรษะใหญ่แต่ไร้สมองเหมือนหานยวน
เฉิ ง เฉี ย นพยายามตั้ ง สติ ลองหยั่ ง เชิ ง เจื อ ความไม่ มั่ น ใจเล็ ก น้ อ ย
ทำใจกล้าถามออกไป “ก็คือให้ข้าสงบจิตใจ ตั้งใจฝึกบำเพ็ญหรือ”
ตัว

มู่ชุนเงียบไป มิได้อธิบายอะไรต่อ สุดท้ายเพียงแค่พยักหน้าอย่าง


คลุมเครือ “ตอนนี้...ก็นับว่าใช่กระมัง”
ตอนนี้ใช่ ต่อไปก็มิใช่แล้วหรือ
แล้วอะไรคือ “ก็นับว่าใช่”
เฉิ ง เฉี ย นได้ ยิ น คำตอบแล้ ว ยิ่ ง สั บ สนมึ น งง เขาถึ ง ขั้ น ได้ ก ลิ่ น ของ
ความไม่แน่นอนของหนทางข้างหน้าจากคำพูดของผู้บรรลุมู่ชุนอย่างฉับไว
แต่ก็มองออกว่าอาจารย์ไม่อยากมากความอีก จึงต้องใช้ความยั้งคิดที่เขา
มี ม าก่ อ นวั ย ฝื น กลื น ความสงสั ย ในใจลงไป เพี ย งค้ อ มกายอย่ า งสุ ภ าพ
พลางตอบรับ “ขอรับ ขอบคุณอาจารย์ที่สั่งสอน”
ผู้บรรลุมู่ชุนถอนหายใจอย่างไร้สุ้มเสียง เขาดูเหมือนชายฉกรรจ์ที่
ไม่ล่ำสันผู้หนึ่งก็จริง แต่ความจริงกลับแก่จนเจนโลกแล้ว ย่อมมองเรื่อง
บางอย่ า งออก...เฉิ ง เฉี ย นเป็ น เด็ ก รู้ ธ รรมเนี ย ม เรี ย กเต้ า ถงที่ ดู แ ลความ

47
ลิ่วเหยา เล่ม 1

เป็ น อยู่ ใ ห้ ต นว่ า พี่ เห็ น ชั ด ว่ า มิ ใ ช่ เ พราะคิ ด ว่ า คนรอบข้ า งควรค่ า แก่ ก าร


เคารพนับถือเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะไม่ยอมทำลาย “ความสุภาพ” ที่ปรุงแต่ง
จนล้นเหลือของตนต่อหน้า “คนนอก” เหล่านั้น
ภาษิตกล่าวไว้ “ธรรมเนียมต้องมาพร้อมความซื่อสัตย์ หาไม่แล้วจะ
เป็นเหตุแห่งความวุ่นวาย”1 เด็กคนนี้แม้มีเชาวน์ปัญญาดีเพียงใด พรสวรรค์
ยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ธรรมชาติของเขายังห่างไกลจากเต๋าอย่างยิ่ง อีกทั้ง
เฉิงเฉียนคิดมากเกินไป ไม่รู้จักเอาใจคน...ทั้งยังทะนงตนยิ่งนัก ต่อให้
ทำเป็นก็คงไม่ยอมเอาใจใครเป็นแน่
ผู้ บ รรลุ มู่ ชุ น ปล่ อ ยเฉิ ง เฉี ย น กั ง วลเล็ ก น้ อ ยว่ า ภายหน้ า เด็ ก คนนี้
อาจจะหลงเดินทางผิด

ใกล้ ๆ
่าง
เขาพลิกโต๊ะสามขาผุพังขึ้นมา แล้วเรียกหานยวนกับเฉิงเฉียนเข้ามา
อย
อีกด้านของโต๊ะไม้เต็มไปด้วยรูเล็กรูน้อยที่เหมือนถูกแมลงเจาะไช
กระจายเป็นจุด ๆ ไปทั่วราวกับดวงดาว ดูน่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง ระหว่าง
รูแมลงเจาะเหล่านั้นจารึกตัวอักษรเล็ก ๆ จนเต็มแน่นไปหมด
มู่ ชุ น “นี่ คื อ สิ่ ง แรกที่ อ าจารย์ ถ่ า ยทอดให้ พ วกเจ้ า เมื่ อ เข้ า สำนั ก
ตัว

กฎเกณฑ์ของสำนักฝูเหยาเรา พวกเจ้าทั้งสองต้องจำให้ได้ทุกตัว นับจาก


วันนี้ไปให้คัดวันละหนึ่งจบ ทั้งหมดสี่สิบเก้าวัน”
เมื่อต้องเผชิญกับกฎเกณฑ์แต่ละข้อนี้ ในที่สุดเฉิงเฉียนก็เผยท่าที
ตกตะลึงที่เหมาะสมออกมา...เขามักรู้สึกว่ากฎเกณฑ์สำนักเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ไม่สมควรสลักอยู่ใต้โต๊ะไม้ชำรุดเช่นนี้
...ทั้งยังเป็นโต๊ะไม้สามขา
คนที่ตกตะลึงเช่นเดียวกับเขายังมีหานยวนที่อยู่ข้าง ๆ
ยาจกน้อยยืดคอยาว หน้าถอดสีเอ่ยอย่างตกใจ “โอ้โฮ นี่คือสิ่งใด
อาจารย์ มันรู้จักข้า แต่ข้าไม่รู้จักมัน!”
เฉิงเฉียน “...”

1
มาจากคัมภีร์ เต้าเต๋อจิง ของเหลาจื่อ

48
Priest พีต้า

อาจารย์ ที่ อ าจจะเป็ น เพี ย งพอนกลายร่ า งตั ว หนึ่ ง วจนศี ล ไร้ ส าระ
ประโยคหนึ่ง กฎเกณฑ์ที่สลักอยู่ใต้โต๊ะไม้ผุพังบทหนึ่ง ศิษย์พี่ที่เหมือน
สตรีคนหนึ่ง และยาจกน้อยที่ไม่รู้หนังสือคนหนึ่ง...จุดเริ่มต้นของหนทาง
การฝึ ก บำเพ็ ญ ของเขาไม่ ธ รรมดาเช่ น นี้ ต่ อ ไปยั ง จะฝึ ก อะไรออกมาได้ ดี
อีกหรือ
เฉิงเฉียนรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าช่างพร่าเลือน

ครั้นกลับถึงเรือนพักในตอนเย็น อารมณ์ของเฉิงเฉียนก็ดีขึ้น เพราะเขา


ได้รู้ว่าตนเองก็มีห้องหนังสือเช่นกัน ในห้องหนังสือไม่เพียงมีตำราจำนวน
มากที่เขาใฝ่ฝัน ยังมีกระดาษกับพู่กันที่เสวี่ยชิงเตรียมไว้ให้ด้วย
่าง
เฉิงเฉียนยังไม่เคยเขียนตัวอักษรบนกระดาษ...ต่อให้เอาความรู้ของ
บิดามารดาบังเกิดเกล้าของเขามารวมกันก็ยังไม่แน่ว่าจะเขียนหนึ่งถึงสิบได้
อย
ในบ้ า นย่ อ มไม่ มี ท างมี ข องเหล่ า นี้ หลายปี นี้ เ ขาอาศั ย ทั ก ษะผ่ า นตาจำได้
ไม่ลืมของตน ลอบจดจำตัวอักษรไม่น้อยจากถงเซิงชรา จากนั้นพอกลับไป
ก็ใช้กิ่งไม้วาดบนพื้นดินที่หน้าประตูบ้านตัวเอง ยามหลับยังฝันอยากได้
ลูบคลำสี่สิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ2
ตัว

เฉิงเฉียนหมกมุ่นโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนี้เขาจึงมิได้ฟังคำอาจารย์...
อาจารย์เพียงให้คัดลอกกฎเกณฑ์วันละหนึ่งจบ แต่ตอนที่เสวี่ยชิงเข้ามา
เรียกเขาไปกินข้าว เฉิงเฉียนก็คัดไปห้าจบแล้ว ทั้งยังไม่มีท่าทีจะหยุด
พู่กันขนหมาป่าต่างจากกิ่งไม้ เฉิงเฉียนจับกระดาษและพู่กันเป็น
ครั้งแรก ตัวอักษรที่เขียนออกมาย่อมไม่เข้าตา แต่มองออกว่าเขาพยายาม
เลียนแบบลายมือของผู้ที่สลักกฎเกณฑ์บนไม้กระดานที่เห็นในโถงปู้จือ เขา
ไม่เพียงจำกฎเกณฑ์ไว้ในหัวสมองอย่างละเอียดทุกข้อ แต่ยังจำลำดับขีด
เส้นตั้ง เส้นขวาง เส้นลากซ้าย เส้นลากขวา ทั้งหมดมาด้วย
เสวี่ ย ชิ ง พบว่ า ทุ ก ครั้ ง ที่ เ ขาคั ด จบหนึ่ ง บท ล้ ว นต้ อ งแก้ ไ ขจุ ด ที่
ไม่เหมือนและไม่ดีในรอบก่อน เลียนแบบอย่างตั้งอกตั้งใจราวกับรอบข้าง

2
ประกอบด้วย พู่กัน หมึก กระดาษเซวียนจื่อ และจานฝนหมึก

49
ลิ่วเหยา เล่ม 1

ไร้ผู้คน พอนั่งลงก็ไม่ขยับตัวไปไหนเลยกว่าครึ่งชั่วยาม ถึงขั้นมิได้สังเกต


เลยว่าเสวี่ยชิงเข้ามาในห้องหนังสือ
วั น แรกเฉิ ง เฉี ย นหลั บ สนิ ท วั น นี้ ก ลั บ นอนไม่ ห ลั บ เพราะตื่ น เต้ น
เล็กน้อย พอหลับตาก็รู้สึกเจ็บข้อมือ ในหัวสมองมีลายมือที่สลักกฎเกณฑ์
วูบขึ้นมา
ผู้ ที่ ส ลั ก กฎเกณฑ์ ต้ อ งเป็ น คนเดี ย วกั บ ที่ เ ขี ย นแผ่ น จารึ ก แน่ น อน
เฉิงเฉียนชอบตัวอักษรของคนผู้นั้นจนทบทวนซ้ำไปมา แผ่นจารึกยังพอ
ทำเนา แต่โต๊ะหักพังที่สลักกฎเกณฑ์ดูเหมือนจะตั้งอยู่ได้อีกไม่กี่ปีก็คงแย่
แล้ว เขาเดาว่ากฎเกณฑ์น่าจะเพิ่งถูกสลักลงไปได้ไม่นาน
นั่นเป็นตัวอักษรของผู้ใดกันนะ หรือจะเป็นของอาจารย์?
่าง
กระทั่ ง ยามที่ ผ ล็ อ ยหลั บ ไปโดยไม่ รู้ ตั ว เขาก็ ยั ง ครุ่ น คิ ด ถึ ง เรื่ อ งนี้
ในความเลื อ นรางราวกั บ มี บ างสิ่ ง ชั ก จู ง ให้ เ ขาวนเวี ย นอยู่ บ นเขาฝู เ หยา
อย
วนไปวนมาจนไปถึง “โถงปู้จือ” ที่ไปมาเมื่อตอนกลางวัน เฉิงเฉียนคิดอย่าง
ประหลาดใจสุดบรรยาย ข้ามาทำอะไรในเรือนของอาจารย์
เขาเดินเข้าไปอย่างไม่อาจควบคุม จากนั้นก็เห็นคนผู้หนึ่งในเรือน
คนผู้นั้นรูปร่างสูงโปร่ง น่าจะเป็นบุรุษ แต่ใบหน้าเลือนรางยิ่งนัก
ตัว

ราวกับซ่อนอยู่ในหมอกมืด เห็นกระดูกข้อต่อที่มือทั้งสองชัดเจน ขาวจน


ซีดราวกับภูตผีวิญญาณ
เฉิ ง เฉี ย นตกใจ ถอยหลั ง สองก้ า วตามสั ญ ชาตญาณ แต่ ก ลั บ นึ ก
เป็นห่วงอาจารย์ จึงรวบรวมความกล้าเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงอยู่
ในเรือนอาจารย์ข้า”
คนผู้นั้นยกมือ เฉิงเฉียนรู้สึกถึงแรงดูดมหาศาลกลุ่มหนึ่ง ดูดขา
ทั้งสองของเขาให้ลอยขึ้นจากพื้น พริบตาก็มาอยู่เบื้องหน้าบุรุษผู้นั้น
อีกฝ่ายยื่นมือมาสัมผัสใบหน้าของเฉิงเฉียน
เฉิงเฉียนขนลุกซู่ มือของคนผู้นี้เย็นเฉียบ เย็นจนเพียงแค่ถูกแตะ
เล็กน้อย ทั้งร่างก็เหมือนจับแข็ง
ทั น ใดนั้ น คนผู้ นั้ น ก็ จั บ ไหล่ ข องเฉิ ง เฉี ย นพลางหั ว เราะเบา ๆ “เจ้ า
ตัวน้อย ขวัญกล้านัก กลับไปซะ!”

50
Priest พีต้า

เฉิงเฉียนรู้สึกว่าตนถูกผลักแรง ๆ ทีหนึ่ง เขาตกใจสะดุ้งตื่นขึ้นบน


เตียงทั้งที่ฟ้ายังไม่สว่าง
พอฝั น เช่ น นี้ เ ขาก็ น อนไม่ ห ลั บ แล้ ว ได้ แ ต่ ลุ ก ขึ้ น มาจั ด การตั ว เอง
ให้เรียบร้อย วิ่งออกไปรดน้ำต้นไม้ในลานเรือนเพื่อฆ่าเวลา ทำเอาเสวี่ยชิง
ที่ส่งเขาไปยังโถงบรรยายยังรู้สึกอับอายที่ตื่นนอนช้ากว่า

โถงบรรยายคือศาลาหลังน้อย ในศาลามีโต๊ะเก้าอี้วางไว้ไม่กี่ตัว รอบด้าน


เป็ น พื้ น ที่ ว่ า งโล่ ง ตอนที่ พ วกเฉิ ง เฉี ย นมาถึ ง ยั ง เช้ า อยู่ แต่ มี เ ต้ า ถงกำลั ง
กวาดพื้น ต้มน้ำเตรียมชงชาแล้ว
เฉิงเฉียนเดินไปหาที่นั่งเงียบ ๆ เต้าถงยกชาร้อนมาให้เขาทันทีเหมือน
ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ่าง
แม้ เ ฉิ ง เฉี ย นจะรั ก ษาสี ห น้ า เรี ย บเฉย แต่ ก้ น ยั ง นั่ ง หมิ่ น อยู่ ที่ ข อบ
อย
ม้านั่งหินอย่างระมัดระวังตลอดเวลา...ช่วยไม่ได้ นี่เป็นความเคยชินที่กลาย
เป็นนิสัยไปแล้ว เขาอดทนกับความยากลำบากได้ แต่ไม่คุ้นชินกับความ
สุขสบาย การนั่งดื่มชามองผู้อื่นทำงานเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วน
ไม่สบายใจ
ตัว

รออยู่หนึ่งถ้วยชา3 เฉิงเฉียนจึงได้ยินเสียงฝีเท้า เขาเงยหน้าขึ้น เห็น


เด็กหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งเดินมาจากทางเดินเล็ก ๆ ด้านข้าง
เด็กหนุ่มคนนั้นสวมชุดคลุมสีน้ำเงินเข้ม ในอ้อมแขนกอดกระบี่ไม้
กว้างหนึ่งฝ่ามือกว่าเล่มหนึ่ง ฝีเท้ารวดเร็ว ตามองตรงไม่เหลียวซ้ายแลขวา
เต้าถงด้านหลังเขาไล่ตามมาอย่างงุ่มง่าม
เสวี่ยชิงเอ่ยกับเฉิงเฉียนเสียงเบา “นั่นคืออาจารย์อารอง”
ศิษย์พี่รองหลี่อวิ๋น เฉิงเฉียนเคยเห็นป้ายไม้ที่เขียนชื่อนี้อยู่ที่หลัง
ประตูของโถงปู้จือ เขารีบลุกขึ้นทักทาย “ศิษย์พี่รอง”
หลี่อวิ๋นเหมือนคิดไม่ถึงว่าในศาลาจะมีคนมาแล้ว พอได้ยินเสียง

คือช่วงเวลาที่ชายังร้อนจนกระทั่งจิบหมดถ้วย ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราเทียบ


3

ว่าประมาณ 10 - 15 นาที

51
ลิ่วเหยา เล่ม 1

ก็ชะงักฝีเท้า เงยหน้าเหลือบมองเฉิงเฉียน ลูกตาดำในดวงตาเขาดูจะใหญ่


กว่าคนทั่วไปอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้จึงให้ความรู้สึกไม่ค่อยอ่อนโยนนัก ยาม
มองใครก็ดูเย็นชา
...บางทีอาจมิใช่ให้ความรู้สึกเย็นชา แต่เป็นเดิมทีก็เย็นชาอยู่แล้ว
หลีอ่ วิน๋ เหลือบมองเฉิงเฉียนอย่างรวดเร็ว ทันใดนัน้ ก็ยิม้ ออกมาอย่าง
แข็งกระด้าง มองอย่างไรก็เหมือนมีเจตนาเคลือบแฝง “ข้าได้ยินว่าอาจารย์
พาศิษย์น้องน้อยสองคนกลับมา ก็คือเจ้าหรือ”
เฉิงเฉียนไม่ชอบสายตาของหลี่อวิ๋นโดยสัญชาตญาณ รู้สึกหม่นมัว
เหมือนไม่ใช่สิ่งดี ดังนั้นจึงเพียงตอบอย่างเรียบง่าย “เป็นข้ากับศิษย์น้องสี่
หานยวน”
่าง
หลี่ อ วิ๋ น เดิ น ขึ้ น หน้ า หนึ่ ง ก้ า ว เขยิ บ เข้ า มาถามด้ ว ยความสนใจ
“เช่นนั้นเจ้าชื่ออะไร”
อย
ท่าทีสนอกสนใจของเขาเหมือนหมาป่าเฒ่าที่เห็นกระต่าย เฉิงเฉียน
คิดจะถอยหลัง เพียงแต่ฝืนทนไว้ เขายืนตัวตรงอยู่ที่เดิม ตอบด้วยสีหน้า
เรียบเฉย “เฉิงเฉียน”
“อ้อ เสี่ยวเฉียน” หลี่อวิ๋นพยักหน้าคล้ายคุ้นเคยมานาน ก่อนจะ
ตัว

ยิ้มอย่างเสแสร้ง “สุขสวัสดิ์”
เบื้องหน้าเฉิงเฉียนเต็มไปด้วยฟันขาวเจิดจ้าของอีกฝ่าย จนถึงตอนนี้
เขาก็แน่ใจแล้วว่า ทั้งสำนักฝูเหยา นอกจากอาจารย์แล้วก็ไม่มีคนที่สองที่
ทำให้เขาชมชอบได้แม้สักน้อยนิดอีก
เพียงแต่อาจารย์ก็ยังไม่แน่ว่าจะใช่คน
ผ่ า นไปอี ก ครู่ ห นึ่ ง หานยวนกั บ อาจารย์ ก็ ม าถึ ง เช่ น กั น หานยวน
หย่อนก้นนั่งลงด้านหน้าเฉิงเฉียนอย่างไม่สนใจใครทั้งสิ้น ปากก็บ่นพึมพำ
ว่าเฉิงเฉียนไม่ไปเล่นกับเขา ขณะพูดยังฉวยโอกาสหยิบขนมน้ำชาทุกอย่าง
บนโต๊ะขึ้นมาชิม
หานยวนเดี๋ยวก็ส่งยิ้มปะเหลาะอาจารย์ เดี๋ยวก็หันมายักคิ้วหลิ่วตา
ให้เฉิงเฉียน ดูยุ่งแต่ไม่วุ่นวาย อธิบายได้คำเดียวว่า “คนขี้เหร่ชอบทำตัว
แปลกประหลาด”

52
Priest พีต้า

ส่วนศิษย์พี่ใหญ่เหยียนเจิงหมิงมาสายถึงสองเค่อ4 เดินหาวหวอด
เข้ามา
เขาย่อมไม่ยอมเดินมาจากที่พักเองเป็นอันขาด ต้องให้เต้าถงสองคน
หามเก้าอี้หวาย แบกเขามาตลอดทางจากแดนเวินโหรว
ดรุณีคนงามนางหนึ่งซอยเท้าคอยตามพัดให้เขาอยู่ด้านหลัง เต้าถง
อีกคนกางร่มอยู่ด้านข้าง
เหยียนเจิงหมิงมาถึงอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก ชุดขาวพลิ้วไสว ชายเสื้อ
สะบัดดั่งเมฆา
นายน้อยผู้นี้ราวไม่ได้มาที่นี่เพื่อเข้าเรียนยามเช้า แต่มาเพื่อก่อความ
วุ่นวาย
่าง
พอเข้ า มาในโถงบรรยาย ศิ ษ ย์ พี่ ใ หญ่ ก็ ป รายตามองหลี่ อ วิ๋ น อย่ า ง
ถือดี หางคิ้วฉายแววสะอิดสะเอียนอย่างชัดแจ้ง จากนั้นยังเหลือบมอง
อย
หานยวนและขนมที่ยังกินไม่หมดของเขาแวบหนึ่ง แวบนี้ทำเอาศิษย์พี่ใหญ่
มองจนต้ อ งกางพั ด จี บ ในมื อ ออกดั ง พึ่ บ ปิ ด ดวงตาไว้ เ พื่ อ ป้ อ งกั น ไม่ ใ ห้
สายตาไร้มลทินของตนต้องแปดเปื้อน
สุดท้ายเขาไม่มีทางเลือก จำต้องทำหน้านิ่งเดินไปด้านข้างเฉิงเฉียน
ตัว

เต้าถงข้างกายเดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าวเหมือนฝึกฝนมาอย่างดี จัดแจงเช็ด
ม้านั่งหินไปมาสี่รอบ วางเบาะรอง ชงชา จากนั้นก็วางชาร้อนไว้บนจานรอง
ที่มีคาถาสลักอยู่ด้านข้าง จานรองนั้นทำให้น้ำชาที่มีไอร้อนกรุ่นเย็นลงใน
ชั่วพริบตา เย็นจนผิวถ้วยด้านนอกมีไอน้ำเกาะอยู่เล็กน้อย เหยียนเจิงหมิง
หยิบขึ้นดื่มอย่างซึมกะทือ
เมื่ อ ขั้ น ตอนต่ า ง ๆ ข้ า งต้ น นี้ เ สร็ จ สิ้ น เรี ย บร้ อ ย ไม่ มี สิ่ ง ใดขาดตก-
บกพร่อง บั้นท้ายอันสูงส่งของนายน้อยเหยียนจึงนั่งลง
หลี่อวิ๋นทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนตามปกติ แต่สีหน้าปากอ้าตาค้าง
ของหานยวนราวกับกำลังบอกว่า นี่มันบ้าอะไร
ส่วนเฉิงเฉียนมองดูทุกอย่างในระยะใกล้ แม้เขามีนิสัยชอบเหน็บ-

4
1 เค่อ เท่ากับ 15 นาที

53
ลิ่วเหยา เล่ม 1

แนมเป็นประจำ แต่ยามนี้ก็ยังรู้สึกหมดคำจะพูดเช่นกัน
การเรียนช่วงเช้าอันชุลมุนวุ่นวายของสำนักฝูเหยาจึงเริ่มขึ้นท่ามกลาง
ความไม่ชอบขี้หน้ากันระหว่างศิษย์ทั้งสี่ของผู้บรรลุมู่ชุนเช่นนี้

่าง
อย
ตัว

54
ตัว
อย
่าง

You might also like