Professional Documents
Culture Documents
คำพิพากษาศาลฎีกาหน้า123
คำพิพากษาศาลฎีกาหน้า123
คำพิพากษาศาลฎีกา
1. คำพิพากษาฎีกาที่ 2603/2533
ข้อกฎหมาย : ประมวลรัษฎากร มาตรา 3 อัฏฐ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 (ม.
22, 135(3))
กรณีสืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานประเมินของโจทก์แจ้งการประเมินให้ลูกหนี้ (จำเลย) ชำระภาษีเงินได้
บุคคลธรรมดาและภาษีการค้าให้โจทก์รวม 326,425.40 บาท ลูกหนี้ไม่อุทธรณ์การประเมินและไม่ชำระค่าภาษี
อากร โจทก์จึงนำคดีมาฟ้ องขอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลาย วันที่ 29 สิงหาคม 2526 ศาลมีคำ
พิพากษาให้ลูกหนี้เป็นบุคคลล้มละลาย วันที่ 18 กันยายน 2528 ลูกหนี้ยื่นคำร้องว่าขณะที่อยู่ในระหว่างการ
พิจารณาของศาลฎีกาก่อนศาลนั้นพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้พิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดนั้น
ได้มีแถลงการณ์กระทรวงการคลังลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2525 เปิ ดโอกาสให้ผู้มีหน้าที่เสียภาษีอากรชำระภาษี
อากรเพิ่มเติมให้ถูกต้องภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2525 โดยผู้เสียภาษีจะได้รับประโยชน์ที่จะไม่ต้องรับผิดเสีย
เงินเพิ่มหรือเบี้ยปรับใด สรรพากรจังหวัดนนทบุรีจึงมีหนังสือลงวันที่ 21 มีนาคม 2525 แจ้งให้ลูกหนี้ทราบว่า
ตามที่ได้แจ้งประเมินไปยังลูกหนี้ว่าเป็นหนี้ภาษีอากรจำนวน 296,800.98 บาท นั้น หากลูกหนี้จะชำระเงินภาษี
อากรภายในระยะเวลาข้างต้น ลูกหนี้จะได้รับยกเว้นไม่ต้องชำระเบี้ยปรับเงินเพิ่มตามแถลงการณ์กระทรวงการ
คลัง คงต้องชำระเฉพาะเงินภาษีอากรเพียง 88,806.33 บาท เท่านั้น ลูกหนี้จึงนำเงินจำนวนดังกล่าวไปชำระต่อ
สรรพากรอำเภอเมืองนนทบุรี โดยมีเงื่อนไงตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังข้อ 4 ที่ว่า "ถ้าภาษีอากรค้างนั้น
ค้างอยู่ในชั้นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือต่อศาล ผู้เสียภาษีอากรต้องขอถอนอุทธรณ์หรือ
ถอนฟ้ องนั้น และได้รับอนุมัติเสียก่อน" ลูกหนี้จึงได้ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา แต่ศาลฎีกาไม่อนุญาต โจทก์จึงไม่รับ
เงินค่าภาษีอากรดังกล่าวและส่งเงินนั้นเข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายลูกหนี้เห็นว่าตามประมวล
รัษฎากร พ.ศ. 2481 มาตรา 3 อัฎฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังมีอำนาจขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลาที่
บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรได้ แต่หาได้มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขให้ลูกหนี้ขอถอนฎีกาและให้ศาลอนุญาตเสีย
ก่อนไม่ ดังนั้น ข้อตกลงที่ลูกหนี้ทำไว้กับสรรพากรอำเภอเมืองนนทบุรีเรื่องขอถอนฎีกาและศาลฎีกาต้อง
อนุญาตเสียก่อนจึงไม่มีผลแต่อย่างใด เมื่อลูกหนี้ชำระภาษีอากรตามแถลงการณ์กระทรวงการคลังแล้ว จึงไม่มี
ภาษีอากรที่ลูกหนี้จะต้องชำระให้โจทก์อีก หนี้สินของลูกหนี้ในคดีนี้จึงเป็นอันได้ชำระเต็มจำนวนแล้ว ขอให้
ศาลมีคำสั่งยกเลิกการล้มละลายตามมาตรา 135(2) และ (3) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์คัดค้านว่า สรรพากรอำเภอ
เมืองนนทบุรีริบเงินค่าภาษีของลูกหนี้ไว้โดยมีเงื่อนไขว่าถ้าภาษีอากรที่ค้างนั้นศาลไม่อนุญาตให้ถอนฟ้ องถือว่า
การชำระภาษีของลูกหนี้ไม่เข้าเงื่อนไขตามแถลงการณ์กระทรวงการคลัง เมื่อศาลฎีกาไม่อนุญาตให้ถอนฎีกา
สรรพากรอำเภอเมืองนนทบุรีจึงส่งเงินจำนวนนั้นต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อรวบรวมไว้ในกองทรัพย์สิน
ของลูกหนี้สำหรับแบ่งให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เพียงรายเดียวที่ขอรับชำระหนี้และศาลมีคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้
หน้า 2
2. คำพิพากษาฎีกาที่ 627/2542
ข้อกฎหมาย : พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 122
คดีทั้ง 19 สำนวนนี้สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่12 กรกฎาคม 2526 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูก
หนี้ (จำเลย)เด็ดขาด ผู้ร้องทั้ง 19 ราย ต่างยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า ลูกหนี้ซึ่งเดิมใช้ชื่อว่า"บริษัท
เสรีสากลธุรกิจ จำกัด"ได้ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินไว้กับผู้ร้องทั้ง 19 ราย ขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์รับสิทธิตาม
สัญญาและปฏิบัติตามสัญญาต่อผู้ร้องทั้ง 19 รายเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยกคำร้องผู้ร้องทั้ง 19 ราย จึงยื่นคำร้อง
ต่อศาลขอให้มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยอมรับสิทธิตามสัญญากับโอนที่ดินที่เช่าซื้อให้แก่ผู้ร้อง ศาล
ชั้นต้นเห็นว่าคำร้องของ ผู้ร้องทั้ง 19 ราย และคำร้องของ ผู้อื่นอีก 49 รายอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อที่ดิน
ทำนองเดียวกัน และพยานหลักฐานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ส่วนมากเป็นชุดเดียวกัน เพื่อสะดวกแก่การ
พิจารณาจึงมีคำสั่งให้รวมพิจารณาคำร้องทั้ง 68 รายเข้าด้วยกันโดยให้เรียกผู้ร้อง 19 สำนวนนี้ว่า ผู้ร้องที่ 4 ที่ 10
ที่ 11 ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 ที่ 21 ที่ 27 ที่ 31 ที่ 35 ที่ 45 ที่ 47 ที่ 50 ที่ 52 ที่ 62 ที่ 68 ที่ 69 ที่ 98 และที่ 99 ตามลำดับ
ส่วนเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้เรียกว่าผู้คัดค้าน
หน้า 4
ผู้ร้องที่ 68 และผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องที่ 68 และผู้คัดค้านฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติได้ว่า ผู้ร้องที่ 4 ที่ 10 ที่ 11
ที่ 15 ที่ 16 ที่ 18 ที่ 21 ที่ 27 ที่ 31 ที่ 35 ที่ 45 ที่ 47 ที่ 50 ที่ 52 ที่ 62 ที่ 68 ที่ 69 ที่ 98 และที่ 99 ได้ทำสัญญาเช่าซื้อ
ที่ดินซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของลูกหนี้อันเป็นที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 4059, 711 ถึง 716, 33375 ถึง
33382, 27629,27630 ไว้กับลูกหนี้ และผู้ร้องดังกล่าวเว้นแต่ผู้ร้องที่ 68 ได้ชำระค่าเช่าซื้อที่ดินให้แก่ลูกหนี้ครบ
ถ้วนตามสัญญาแล้วก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่12 กรกฎาคม 2526 ต่อมาผู้ร้อง
ทั้ง 19 ราย ได้ยื่นคำร้องต่อผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ให้ยอมรับสิทธิตามสัญญาเช่า
ซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เช่าซื้อตามสัญญาให้แก่ผู้ร้อง คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้คัดค้านและผู้
ร้องที่ 68 ว่า ผู้คัดค้านมีอำนาจที่จะไม่รับสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อระหว่างผู้ร้องทั้ง 19 ราย กับลูกหนี้เพราะมีภาระ
เกินควรกว่าประโยชน์ที่กองทรัพย์สินของลูกหนี้จะพึงได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 122
หรือไม่เห็นว่า สำหรับผู้ร้องทั้ง 18 ราย ยกเว้นผู้ร้องที่ 68 นั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าผู้ร้องได้ชำระค่าเช่าซื้อที่ดิน
ให้แก่ลูกหนี้ครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว ลูกหนี้ย่อมไม่มีสิทธิใดที่จะได้รับจากผู้ร้องอีก ลูกหนี้คงมีแต่เพียง
หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญาเช่าซื้อคือการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่ผู้ร้องแต่ละรายต่อไป ซึ่งหมายความ
ว่าผู้ร้องเป็นฝ่ ายมีสิทธิอันจะพึงได้รับตามสัญญาเช่าซื้อ หาใช่เป็นสิทธิตามสัญญาที่ลูกหนี้จะพึงได้รับมาไม่กรณี
ดังกล่าวจึงไม่อยู่ในวิสัยที่ผู้คัดค้านจะมาพิจารณาว่า สิทธิตามสัญญาที่ผู้ร้องจะพึงได้รับไปนี้มีภาระเกินควรกว่า
ประโยชน์อันจะพึงได้แก่กองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 122 หรือไม่
ดังนั้น คำสั่งของผู้คัดค้านที่ปฏิเสธไม่ยอมรับสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อของผู้ร้องทั้ง 18 รายจึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ
เหตุผลที่ผู้คัดค้านยกขึ้นมาอ้างในฎีกาฟังไม่ขึ้น สำหรับผู้ร้องที่ 68 ที่ฎีกาว่า เหตุที่ผู้ร้องยังไม่ชำระค่าเช่าซื้ออีก
หนึ่งงวดแก่ลูกหนี้ เพราะลูกหนี้ไม่ยอมรับชำระเงินงวดสุดท้ายเอง ลูกหนี้จึงเป็นฝ่ ายผิดสัญญานั้น ผู้ร้องนำพยาน
เข้าสืบว่า ผู้ร้องได้เช่าซื้อที่ดินจากลูกหนี้รวม 2 แปลงเป็นเงิน 78,750 บาท แบ่งชำระเป็นงวดรวม 100 งวด ผู้ร้อง
ได้ชำระค่าเช่าซื้อแก่ลูกหนี้ไปแล้วรวม 99 งวด คงค้างชำระเป็นเงิน 18,350 บาท เมื่อครบกำหนดชำระเงินงวด
สุดท้าย ผู้ร้องได้ติดต่อกับลูกหนี้เพื่อชำระเงินและให้ลูกหนี้ดำเนินการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ผู้ร้องหลายครั้ง แต่
ลูกหนี้ไม่ยอมรับชำระเงินและไม่โอนกรรมสิทธิ์ ที่ดินให้ผู้ร้อง จนกระทั่งผู้ร้องทราบว่าลูกหนี้ถูกศาลมีคำสั่ง
พิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจึงได้ติดต่อกับผู้คัดค้านเพื่อขอให้ปฏิเสธตามสัญญา และขอชำระเงินค่าเช่าซื้องวดสุดท้าย
แต่ผู้คัดค้านได้มีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง เห็นว่า ข้อนำสืบของผู้ร้องที่ 68 ดังกล่าว ผู้คัดค้านซึ่งเข้ามาต่อสู้คดี
แทนลูกหนี้ในศาลชั้นต้นมิได้ซักค้านหรือนำพยานเข้าสืบเพื่อหักล้างข้ออ้างของผู้ร้องแต่ประการใด ดังนั้น จึง
ต้องรับฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อครบกำหนดชำระเงินค่าเช่าซื้องวดสุดท้าย ผู้ร้องที่ 68 ได้ติดต่อกับลูกหนี้เพื่อให้โอน
กรรมสิทธิ์ที่ดินและรับเงินงวดสุดท้ายแล้ว แต่ลูกหนี้ไม่รับชำระเงินเอง และไม่สามารถดำเนินการโอนที่ดินตาม
สัญญาให้แก่ผู้ร้องที่ 68 ได้ ทั้งนี้เนื่องจากลูกหนี้ได้นำที่ดินที่ให้เช่าซื้อไปจำนองไว้แก่ธนาคารและบุคคลอื่นแล้ว
หน้า 6
3. คำพิพากษาฎีกาที่ 2964/2553
ข้อกฎหมาย : พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 93 , พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483
มาตรา 25
คดีสืบเนื่องจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลย (ลูกหนี้) ทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 10
มิถุนายน 2547 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ประกาศโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในหนังสือพิมพ์รายวันแนว
หน้าฉบับวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 และโฆษณาในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2547 ครบกำหนดยื่น
คำขอรับชำระหนี้ในวันที่ 18 ตุลาคม 2547 เนื่องจากวันที่ 17 ตุลาคม 2547 ตรงกับวันหยุดราชการ ต่อมาวันที่ 27
ธันวาคม 2549 เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จำนวน 53,296,373.68 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483
มาตรา 93 และมาตรา 94 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำสั่งว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ยื่นคำร้องในคดีแพ่ง
หมายเลขดำที่ ธ.711/2546 ขอไม่เข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตแล้วเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2549
คดีจึงไม่มีเหตุตามมาตรา 93 ที่เจ้าหนี้จะขอรับชำระหนี้ได้ จึงไม่รับคำขอรับชำระหนี้
เจ้าหนี้ยื่นคำร้องคัดค้านว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2546 เจ้าหนี้เป็นโจทก์ยื่นฟ้ องจำเลยที่ 2 กับพวกรวม 6
คน ต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ ธ.711/2546 ทุนทรัพย์ 47,535,365.61 บาท ระหว่างพิจารณาคดีจำเลยทั้งหก
ได้เจรจาขอชำระหนี้กับเจ้าหนี้หลายครั้ง และศาลอนุญาตให้เลื่อนคดีเพื่อรอฟังผลการเจรจา ต่อมาวันที่ 20
ธันวาคม 2548 เจ้าหนี้ได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งว่าเพิ่งทราบว่าศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2
เด็ดขาด ขอเลื่อนคดีเพื่อให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาดำเนินคดีแทน ศาลสอบแล้ว จำเลยที่ 2 แถลงรับว่า
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เด็ดขาดจริง ศาลแพ่งจึงมีหมายแจ้งให้เจ้าพนักงานพิทักษ์
ทรัพย์เข้ามาว่าคดีแทน ต่อมาวันที่ 6 มีนาคม 2549 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องขอให้ศาลแพ่งจำหน่ายคดี
ส่วนของจำเลยที่ 2 ออกจากสารบบความ เจ้าหนี้แถลงคัดค้านว่าเพิ่งทราบคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดโดยก่อน
หน้านี้จำเลยที่ 2 มาศาล แต่ไม่ได้แถลงให้เจ้าหนี้และศาลทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวแต่อย่างใด ทำให้เจ้าหนี้ไม่ได้
ยื่นคำขอรับชำระหนี้จนล่วงพ้นระยะเวลาที่จะขอรับชำระหนี้แล้ว ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า เจ้าหนี้เพิ่งทราบ
ว่าจำเลยที่ 2 ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด และพ้นกำหนดระยะเวลาที่เจ้าหนี้จะยื่นคำขอ
ชำระหนี้ดังกล่าว การจำหน่ายคดีในส่วนของจำเลยที่ 2 จะทำให้เจ้าหนี้ได้รับความเสียหาย จึงยกคำร้องของเจ้า
พนักงานพิทักษ์ทรัพย์ หลังจากนั้นวันที่ 15 พฤษภาคม 2549 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลงต่อศาลแพ่งขอ
ไม่เข้าว่าคดีแทนศาลแพ่งอนุญาตตามที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำแถลง ต่อมาศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้
จำเลยที่ 2 ร่วมกันรับผิดชำระเงินตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 12,481,435.02 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา
ร้อยละ 11 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2545 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และชำระหนี้ตามตั๋ว
สัญญาใช้เงินจำนวน 32,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยจำนวน 2,102,355.90 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 11 ต่อ
ปี ของต้นเงินจำนวน 32,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้ องจนกว่าจะชำระเสร็จกับให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชา
หน้า 8
4. คำพิพากษาฎีกาที่ 2650/2550
ข้อกฎหมาย : พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 26, 24 , 22 , ประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55
โจทก์ฟ้ องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่โจทก์ฟ้ องว่า ก่อนฟ้ องคดีนี้จำเลยถูกศาลล้มละลายกลาง
มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดกรณีจึงเป็นไปตามมาตรา 15 และ 22 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ดัง
นั้นโจทก์จึงไม่อาจฟ้ องจำเลยคดีนี้ได้ จึงมีคำสั่งไม่รับฟ้ อง จำหน่ายคดีออกจากสารบบความคืนค่าขึ้นศาลให้
โจทก์ทั้งหมด
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตาม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้ องจำเลยหรือไม่
เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 บัญญัติว่า "เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือ
หน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตน
หน้า 11
5. คำพิพากษาฎีกาที่ 593/2538
ข้อกฎหมาย : ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 306 , พระราชบัญญัติล้ม
ละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 , 110 , 112
คดีสืบเนื่องมาจากเจ้าพนักงานบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11826/2523 ของศาลแพ่งได้ขายทอด
ตลาดทรัพย์พิพาท คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 1532 พร้อมสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกหนี้(จำเลย ) ที่ 2 ในคดี
นี้ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นโจทก์ในคดีแพ่งดังกล่าวในราคา 14,000,000 บาท เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์2531
โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์ได้ร้องขอให้ผู้คัดค้านที่ 2 เพิกถอนการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท และ ใหโอนทรัพย์
พิพาทเข้ามาในคดีนี้ แต่ผู้คัดค้านที่ 2 มีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์ คำสั่งของผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เพราะลูกหนี้ที่ 2 ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2530 ก่อนการบังคับคดีแพ่ง ได้ สำเร็จบริบูรณ์
เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงต้องโอนอำนาจการบังคับคดี มาให้ผู้คัดค้านที่ 2 จัดการต่อไป การที่เจ้าพนักงานบังคับ
คดียังคงขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทของลูกหนี้ที่ 2 ให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2531 ในขณะที่
ศาลยังมิได้พิพากษาให้ลูกหนี้ ที่ 2 เป็นบุคคลล้มละลายย่อมไม่มีอำนาจจะทำได้ตามกฎหมาย และราคาทรัพย์ที่
ตกลงขายให้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ก็ต่ำกว่าความเป็นจริงมากทั้งไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ เจ้าหนี้รายอื่น นอกจาก
นี้เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งกำหนดวันขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทให้โจทก์ทราบ ทำให้ไม่มีโอกาสไป
ควบคุมการขายทอดตลาด และการที่ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 2 เท่ากับ
สละสิทธิในฐานะเป็นเจ้าหนี้มีประกันจึงต้องโอนทรัพย์พิพาทเข้ามาไว้ในคดีล้มละลายขอให้ มีคำสั่งเพิกถอนคำ
สั่งของผู้คัดค้านที่ 2 ที่ยกคำร้องของโจทก์ และขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ทรัพย์พิพาท แล้วโอนทรัพย์
พิพาทเข้ามาไว้ในคดีล้มละลายต่อไป
ผู้คัดค้านที่ 1 ยื่นคำคัดค้านว่าคดีแพ่งหมายเลขแดง ที่11826/2523 ของศาลแพ่งถึงที่สุดแล้ว ผู้คัดค้านที่ 1
ในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิยึดทรัพย์พิพาทซึ่งจำนองไว้แก่ผู้คัดค้านที่ 1 ขายทอดตลาด เพื่อนำเงินมา
ชำระหนี้ได้ ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ซื้อทรัพย์พิพาทจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตในราคา 14,000,000 บาท ซึ่ง สูง
กว่าราคาประเมินเมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีหักค่าใช้จ่าย ค่าธรรมเนียม และจ่ายเงินให้แก่เจ้าหนี้มีประกัน แล้ว
หน้า 13
หากมีเหลือก็ส่งเป็นทรัพย์สินในคดีล้มละลายจัดแบ่งให้แก่เจ้าหนี้รายอื่นได้โดยไม่ต้องเพิกถอน การขายทอด
ตลาด และการบังคับคดีเสร็จบริบูรณ์แล้วขอให้ยกคำร้อง
ผู้คัดค้านที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้รับจำนองทรัพย์พิพาทได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้ม
ละลายต่อผู้คัดค้านที่ 2 ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันโดยขอให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน แล้ว
ขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ผู้คัดค้านที่ 1 จึงมีอำนาจให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์
พิพาทต่อไปได้โดยไม่ต้องโอนทรัพย์พิพาทเข้ามาในคดีล้มละลายก่อนการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทไม่ใช่การ
ขายทอดตลาดในคดีล้มละลาย ซึ่งไม่ต้องรอให้ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ที่ 2 เป็นบุคคลล้มละลายก่อนทั้งไม่ต้อง
แจ้งวันขายทอดตลาดให้โจทก์ทราบ และโจทก์ไม่มีหลักฐานสนับสนุนว่าราคาที่ขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทได้
นั้นต่ำกว่าปกติขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ให้ยกคำร้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้คัดค้านที่ 1 เป็นเจ้าหนี้มีประกันของลูกหนี้ที่ 2 ตามคำ
พิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 11826/2523 ของศาลแพ่งและได้ดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์พิพาทของลูกหนี้ที่ 2
ซึ่งจำนองเป็นหลักประกันตามคำพิพากษาดังกล่าว โดยขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทมาขายทอด
ตลาด แต่ก่อนการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ที่ 2 เด็ดขาด เจ้าพนักงาน
บังคับคดีได้หารือกับผู้คัดค้านที่ 2 ผู้คัดค้านที่ 2 ได้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทต่อไป
และหากมีเงินสุทธิเหลือหลังจากหักชำระหนี้จำนองแก่ผู้คัดค้านที่ 1 แล้ว ก็ให้โอนเข้ามาในคดีล้มละลาย เจ้า
พนักงานบังคับคดีทำการขายทอดตลาด 7 ครั้ง ปรากฏว่าผู้คัดค้านที่ 1 เป็นผู้ซื้อได้ในราคา 14 ล้านบาทซึ่งสูงกว่า
ราคาที่ประเมินไว้ที่โจทก์ฎีกาว่าการที่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามพระราช
บัญญัติล้มละลาย พ.ศ 2483 มาตรา 96(3) โดยขอให้ผู้คัดค้านที่ 2 ขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทแล้ว ขอรับชำระหนี้
สำหรับจำนวนที่ขาดอยู่ ต่อมาผู้การค้าที่ 2 มีคำสั่งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการขายทอดตลาดไปนั้น การ
ขายทอดตลาดโดยเจ้าพนักงานบังคับคดีจึงถือว่าเป็นการขายทอดตลาดในคดีล้มละลายตามคำสั่งของผู้คัดค้านที่
2 และโดยผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเมื่อปรากฏว่าไม่ได้มีการแจ้งวันขายทอดตลาดให้แก่โจทก์และเจ้าหนี้อื่นในฐานะผู้มี
ส่วนได้ส่วนเสียในคดีล้มละลาย เพื่อเปิ ดโอกาสให้โจทก์และเจ้าหนี้อื่นเข้ามาตรวจสอบดูแลควบคุมการขายทอด
ตลาดเป็นเหตุให้ขายทรัพย์พิพาทได้ในราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก ก่อให้เกิดความเสียหายแก่กองทรัพย์สิน
ของลูกหนี้และเจ้าหนี้ทั้งปวง อีกทั้งเกิดความเสียเปรียบระหว่างเจ้าหนี้อื่น จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น
เห็นว่าเมื่อศาลสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้แล้ว พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ 2483 มาตรา 22(2) บัญญัติให้
หน้า 14
อำนาจเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แด่ผู้เดียวในการเก็บรวบรวมและรับเงินหรือทรัพย์สินซึ่งจะตกได้แก่ลูกหนี้หรือ
ซึ่งลูกหนี้มีสิทธิ์จะได้รับจากผู้อื่นแม้ทรัพย์สินนั้นจะอยู่ในระหว่างการบังคับคดีของเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ตาม
เจ้าพนักงานบังคับคดีก็ยังต้องปฏิบัติตามคำขอของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เกี่ยวกับทรัพย์สินนั้น เว้นแต่การ
บังคับคดีนั้นได้สำเร็จบริบูรณ์แล้วก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ตามมาตรา 110 วรรคแรกประกอบด้วย
มาตรา 112 ทั้งนี้ด้วยวัตถุประสงค์ที่จะรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้มาแบ่งเฉลี่ยให้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายโดยเสมอ
ภาคตามส่วน อย่างไรก็ตามอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังกล่าวไม่กระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้มีประกัน
ในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สิน อันเป็นหลักประกันตามมาตรา 110 วรรคท้าย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้คัดค้านที่
1 เป็นเจ้าหนี้จำนองทรัพย์พิพาทของลูกหนี้ที่ 2 ได้ฟ้ องบังคับจำนองและทำการบังคับคดีโดยนำเจ้าพนักงาน
บังคับคดียึดทรัพย์พิพาทเพื่อขายทอดตลาดแล้ว ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ที่ 2 เด็ดขาดในคดีนี้ ผู้
คัดค้านที่ 2 ย่อมไม่มีอำนาจที่จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีโอนการยึดทรัพย์พิพาทไว้ในคดีล้มละลายเพราะ
เป็นการกระทบต่อสิทธิของผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้มีประกันในการบังคับแก่ทรัพย์อันเป็นหลักประกัน
โดยตรงเทียบตามนัย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5744/2531 ระหว่างบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มหาสมุทรจำกัด โจทก์
ธนาคารกรุงไทย จำกัด ผู้ร้องนางสาวเล็กผาสุขวณิชย์ จำเลย ดังนั้นการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาด
ทรัพย์พิพาทซึ่งจำนองเป็นหลักประกันต่อไปในการบังคับคดีแพ่ง แม้เป็นการปฏิบัติตามคำขอของผู้คัดค้านที่ 2
เมื่อคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ไม่กระทบถึงสิทธิดังกล่าวของผู้คัดค้านที่ 1 เช่นนี้จึงมีผลเท่ากับเจ้าพนักงานบังคับคดีได้
ขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทไป ตามอำนาจหน้าที่ของตนในการบังคับคดีแพ่งตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งภาค 4 ลักษณะ 2 การบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งหาใช่เป็นการขายทอด
ตลาดในคดีล้มละลาย อันเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้คัดค้านที่ 2 แต่ผู้เดียวตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ 2483
แต่ประการใด ไม่โจทก์หรือเจ้าหนี้อื่นจึงมิใช่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินที่จะขาย ซึ่งเจ้า
พนักงานบังคับคดีจะต้องแจ้งให้ทราบซึ่งวันขายทอดตลาดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่งมาตรา 306
6. คำพิพากษาฎีกาที่ 771/2552
ข้อกฎหมาย : พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 89 , 10
หน้า 15
7. คำพิพากษาฎีกาที่ 1854/2553
ข้อกฎหมาย : พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/75 , 90/67
คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ฟื้ นฟูกิจการของลูกหนี้เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2543 และ
ตั้งบริษัทสำนักงานพิพัฒน์และเพื่อน จำกัด เป็นผู้ทำแผน ต่อมาเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2544 ศาลมีคำสั่งเห็นชอบ
ด้วยแผนโดยมีบริษัทเพชรบุรี แมเนจเม้นท์ จำกัด (ผู้ร้อง) เป็นผู้บริหารแผน
ต่อมาวันที่ 2 เมษายน 2550 ผู้รับมอบอำนาจผู้รับโอนสิทธิเรียกร้องจากเจ้าหนี้รายที่ 3 ที่ 6 และที่ 11 ยื่น
คำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้บริหารแผนพ้นจากตำแหน่งและมีคำสั่งแต่งตั้งบริษัทแพนเอเชีย แพลนเนอร์ จำกัด
เป็นผู้บริหารแผนคนใหม่
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ผู้ร้องพ้นจากตำแหน่งผู้บริหารแผนของลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้ม
ละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/67 โดยให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นผู้บริหารแผนชั่วคราวและให้เจ้าพนักงาน
หน้า 17
พิทักษ์ทรัพย์ดำเนินการจัดประชุมเจ้าหนี้เพื่อเลือกผู้บริหารแผนคนใหม่โดยเร็วที่สุด ทั้งให้ขยายระยะเวลาดำเนิน
การตามแผนออกไปอีก 1 ปี
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา โดยศาลฎีกาอนุญาตให้อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้ นฟูกิจการของลูก
หนี้เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2551
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า เมื่อศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกเลิกการฟื้ นฟูกิจการของลูกหนี้
แล้ว ย่อมมีผลทำให้ลูกหนี้หลุดพ้นจากการฟื้ นฟูกิจการภายใต้การกำกับของศาลเข้าสู่สภาวะการดำเนินธุรกิจ
ตามปกติ กรณีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาอุทธรณ์ของผู้ร้องที่อุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลล้มละลายกลางที่มีคำ
สั่งให้ผู้ร้องพ้นจากตำแหน่งผู้บริหารแผนของลูกหนี้อีกต่อไป
ให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความของศาลฎีกา ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
8. คำพิพากษาฎีกาที่ 4797/2553
ข้อกฎหมาย : พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 77 , 81/1
โจทก์ฟ้ องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้ อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483
มาตรา 14 และให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 เฉพาะค่า
ทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร พิพากษายกฟ้ องจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียม
ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ข้อแรกมีว่า
โจทก์มีอำนาจนำหนี้ดังกล่าวมาฟ้ องจำเลยที่ 2 เป็นคดีล้มละลายหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ก่อนถูกโจทก์ฟ้ อง
คดีนี้จำเลยที่ 2 ถูกศาลแพ่งมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2543 และพิพากษาให้เป็นบุคคลล้ม
ละลายเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2544 จำเลยที่ 2 ได้รับการปลดจากล้มละลายตามพระราชบัญญัติล้มละลาย
หน้า 18
9. คำพิพากษาฎีกาที่ 4619/2553
ข้อกฎหมาย : ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 , พระราชบัญญัติล้ม
ละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 8 , พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542
มาตรา 14
โจทก์ฟ้ องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้ อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483
มาตรา 14 และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่า
ทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษา
ตามยอมคดีศาลแพ่งหมายเลขแดงที่ 13068/2540 ซึ่งพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ 4,246,561.04 บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 3,342,330 บาท นับถัดจากวันฟ้ องจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยผ่อน
ชำระเป็นรายเดือนเดือนละไม่น้อยกว่า 30,000 บาท กำหนดชำระให้เสร็จสิ้นภายใน 12 เดือน นับแต่วันที่ 3
กรกฎาคม 2540 กับค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนที่ศาลไม่สั่งคืนหลังจากศาลมีคำพิพากษาจำเลยไม่ชำระหนี้
คำนวณยอดหนี้ถึงวันฟ้ องคดีนี้เป็นเงิน 6,929,143.65 บาท โจทก์ขอศาลออกหมายบังคับคดีและสืบหาทรัพย์สิน
ของจำเลยโดยยื่นคำขอตรวจสอบการถือกรรมสิทธิ์ ที่ดินของจำเลยที่สำนักงานที่ดินซึ่งจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่แล้ว
หน้า 19
ไม่พบว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ที่ดินแต่อย่างใด และจำเลยถูกยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดีในคดีของศาลแพ่ง
หมายเลขแดงที่ 29046/2540 ซึ่งเป็นที่ดินจำนวน 8 แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นทรัพย์จำนองและไม่พอ
ชำระหนี้แก่โจทก์ผู้รับจำนองในคดีดังกล่าว กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามพระราช
บัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 8 (5) มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยประการแรกว่า ฟ้ องโจทก์
เป็นฟ้ องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่1293/2547 ของศาลล้มละลายกลางหรือไม่ เห็นว่า คดีหมายเลขแดงที่
1293/2547 ของศาลล้มละลายกลาง โจทก์ฟ้ องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลแพ่งคดี
หมายเลขแดงที่ 13068/2540 รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 5,808,985.85 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า
1,000,000 บาท โจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ไม่น้อยกว่าสองครั้งซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อย
กว่าสามสิบวันและจำเลยได้รับหนังสือทวงถามแล้ว แต่จำเลยไม่ชำระหนี้นอกจากนี้จำเลยถูกกรมสรรพากรยึด
ที่ดินโฉนดเลขที่ 13440 ตำบลสามเสนใน(บางซื่อฝั่งใต้) อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานคร ซึ่งติดจำนอง
สถาบันการเงินอื่นในวงเงิน 15,000,000 บาท จำเลยไม่มีทรัพย์สินอื่น ที่ดินจำนองดังกล่าวไม่พอชำระหนี้จำนอง
หนี้ค่าภาษีอากรและหนี้โจทก์ จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์
ของจำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้ องโดยวินิจฉัยว่า
จำเลยนำสืบได้ว่า จำเลยมีที่ดินโฉนดเลขที่ 13440 มีราคามากกว่าหนี้ที่ค้างชำระแก่โจทก์และหนี้จำนองรวมกัน
กรณีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว คดีถึงที่สุดแล้วส่วนคดีนี้โจทก์ฟ้ องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำ
พิพากษาตามยอมของศาลแพ่งในคดีเดียวกันซึ่งคำนวณยอดหนี้ถึงวันฟ้ องเป็นเงิน 6,929,143.65 บาท โจทก์ขอ
ศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว แต่จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ และจำเลยถูกยึด
ทรัพย์ตามหมายบังคับคดีในคดีอื่น ซึ่งทรัพย์ที่ยึดเป็นทรัพย์ติดจำนองและไม่พอชำระหนี้แก่เจ้าหนี้โจทก์ผู้รับ
จำนอง ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและ
พิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย เห็นว่า แม้คดีหมายเลขแดงที่ 1293/2547 ของศาลล้มละลายกลางกับคดีนี้
โจทก์จะนำหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมของศาลในคดีเดียวกันมาฟ้ องจำเลย และมีประเด็นอย่างเดียวกันว่า
จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ก็ตาม แต่เหตุที่อ้างว่าจำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวในคดีหมายเลขแดงที่
1293/2547 ของศาลล้มละลายกลางกับคดีนี้เป็นคนละเหตุกัน ประกอบกับทรัพย์จำนองที่จำเลยนำสืบและเป็น
เหตุให้ศาลวินิจฉัยยกฟ้ องโจทก์ในคดีดังกล่าว จำเลยได้โอนขายให้แก่บุคคลภายนอกเพื่อชำระหนี้สถาบันการ
เงินอื่นไปแล้ว โจทก์ฟ้ องคดีนี้อ้างเหตุความมีหนี้สินล้นพ้นตัวของจำเลยโดยจำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่าง
ใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้โจทก์ได้และจำเลยถูกเจ้าหนี้อื่นยึดทรัพย์ตามหมายบังคับคดีซึ่งเป็นเหตุที่เกิดขึ้นใหม่
ดังนั้นฟ้ องโจทก์คดีนี้จึงมิได้รื้อร้องฟ้ องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับเหตุในคดี
หมายเลขแดงที่ 1293/2547 ของศาลล้มละลายกลาง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลาย พ.ศ.2542 มาตรา 14 ฟ้ องโจทก์คดีนี้
จึงไม่เป็นฟ้ องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 1293/2547 ของศาลล้มละลายกลาง ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
หน้า 20
จำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้การทำนองเดียวกันขอให้ยกฟ้ อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้ม
ละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 14 ให้จำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยหักจากกองทรัพย์สิน
ของจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยที่ 3 และที่ 4 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ทำหนังสือค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่
1 ตามสัญญาเบิกเงินทุนหมุนเวียนไว้แก่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4
ทำสัญญารับจะชำระหนี้ที่เกิดจากการที่โจทก์ทำหนังสือค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้แก่โจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูก
หนี้ร่วม ปรากฏว่าในวันที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ทำสัญญารับจะชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ไว้แก่โจทก์นั้น มูลหนี้ตาม
สัญญาค้ำประกันที่โจทก์อาจถูกเรียกร้องจากบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้ชำระหนี้ได้เกิดขึ้น
แล้ว เพียงแต่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญาค้ำประกัน โจทก์จึง
เป็นผู้ที่อาจใช้สิทธิไล่เบี้ยจากจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามสัญญารับจะชำระหนี้ในเวลาภายหน้าได้ เมื่อจำเลยที่ 3 และ
ที่ 4 ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด โจทก์ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่โจทก์
อาจใช้สิทธิไล่เบี้ยในเวลาภายหน้าจากกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่
วันโฆษณาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 27, 91, 94 และ 101 แต่
ปรากฏว่าบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเจ้าหนี้ได้ใช้สิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีที่จำเลยที่ 3
และที่ 4 ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้ว โจทก์จึงยื่นคำขอรับชำระหนี้ไม่ได้เพราะต้อง
ห้ามตามมาตรา 101 วรรคหนึ่งตอนท้าย แต่การที่โจทก์ชำระหนี้ให้แก่บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่ง
ประเทศไทยไปย่อมมีผลให้โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้รายดังกล่าวไปใช้สิทธิเรียกร้องบังคับเอาแก่กอง
ทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 229 โจทก์จะนำหนี้ที่มูลแห่งหนี้
ได้เกิดขึ้นก่อนวันที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เด็ดขาดมาฟ้ องให้จำเลยดัง
กล่าวล้มละลายซ้ำอีกคดีหนึ่งหาได้ไม่ ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เด็ดขาด
มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของจำเลยที่ 3 และที่ 4 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้ องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลล้ม
ละลายกลาง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองชั้นศาลในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ให้เป็นพับ
หน้า 25
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า กรณีมีปัญหาตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอรับคืนเงินที่
ผู้ร้องจ่ายแทนจำเลยเป็นค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจากการขายทอดตลาดทรัพย์ของผู้คัดค้านหรือไม่ เห็นว่า การ
ที่ผู้คัดค้านในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยดำเนินการขายทอดตลาดที่ดินของจำเลย เงินที่ได้จากการ
ขายทอดตลาดที่ดินดังกล่าวเป็นเงินได้ของกองทรัพย์สินของจำเลย จำเลยโดยผู้คัดค้านมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้
จากการขายอสังหาริมทรัพย์ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (8) ที่ผู้คัดค้านกำหนดเงื่อนไขในประกาศขายทอด
ตลาดทรัพย์และข้อตกลงในหนังสือสัญญาซื้อขาย ให้ผู้ซื้อทรัพย์ได้จากการขายทอดตลาดเป็นผู้ชำระค่าภาษี
ต่างๆ จากการขายอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลรัษฎากร แล้วนำใบเสร็จรับเงินที่มีรายการชำระค่าภาษีเงินได้หัก
ณ ที่จ่ายมาขอคืนภาษีภายใน 15 วัน นับแต่วันรับหนังสือโอนกรรมสิทธิ์หรือภายใน 20 วันนับแต่ชำระราคาครบ
ถ้วน หากไม่มาขอคืนภายในกำหนดดังกล่าวถือว่าผู้ซื้อทรัพย์ไม่ติดใจขอรับเงินภาษีคืน เป็นเพียงเพื่อให้การ
จัดการทรัพย์สินของจำเลยดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยและสะดวกรวดเร็วเท่านั้น ทั้งเป็นประโยชน์แก่เจ้า
พนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่ไม่จำต้องนำส่งหรือไปชำระภาษีดังกล่าวด้วยตนเองโดยผลักภาระให้ผู้ซื้อทรัพย์ไปชำระ
ภาษีแล้วนำใบเสร็จรับเงินมาขอคืนเงินที่ชำระเป็นค่าภาษีหัก ณ ที่จ่ายจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ นอกจากนี้
เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จำหน่ายทรัพย์ของจำเลยในคดีล้มละลายแล้ว ทรัพย์สินซึ่งเหลือจากที่กันไว้สำหรับ
ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต้องจัดแบ่งในระหว่างเจ้าหนี้โดยเร็ว การแบ่งทรัพย์สินต้อง
กระทำทุกระยะเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันที่ศาลพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลาย เว้นแต่ศาลจะได้อนุญาตให้
ขยายเวลาต่อไปโดยมีเหตุสมควร ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 124 ซึ่งเจ้าพนักงานพิทักษ์
ทรัพย์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อไปคือการจัดทำบัญชีแสดงรายการรับ - จ่าย และจ่ายเงินตามบัญชีแสดงรายการรับ -
จ่ายนั้น ในการทำบัญชีแสดงรายการรับ - จ่ายเงิน เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สามารถกันเงินในส่วนที่ผู้ซื้อทรัพย์
จะมาขอรับคืนเงินที่จ่ายเป็นค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายได้ แล้วแจ้งให้ผู้ซื้อทรัพย์มารับเงินคืน หากผู้ซื้อทรัพย์ไม่
มารับคืนภายในห้าปี นับแต่วันที่ศาลสั่งปิ ดคดีเงินดังกล่าวก็จะตกเป็นของแผ่นดิน ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย
พ.ศ.2483 มาตรา 176 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะกำหนดเงื่อนไขหรือข้อตกลงในประกาศขายทอดตลาดทรัพย์
หรือหนังสือสัญญาซื้อขายโดยกำหนดเวลาให้ผู้ซื้อทรัพย์มารับเงินที่จ่ายเป็นค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายคืนภายใน
กำหนดเวลาที่ผิดแผกแตกต่างจากกำหนดเวลาตามบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวหาได้ไม่ คดีนี้ปรากฏว่า ภายหลัง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดที่ดินของจำเลยแล้ว เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังมิได้จัดทำบัญชีแสดง
รายการรับ - จ่ายเงิน ที่ได้จากการขายทอดตลาดหรือดำเนินการใดเพื่อให้มีการจ่ายเงินที่จ่ายเป็นค่าภาษีเงินได้หัก
ณ ที่จ่ายแก่ผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องได้ชำระค่าภาษีเงินได้จากการขายที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินแล้ว ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอรับ
คืนเงินที่ผู้ร้องจ่ายแทนจำเลยไปเป็นค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจากการขายทอดตลาดของผู้คัดค้านได้ ผู้คัดค้าน
หน้า 40
มีหน้าที่ต้องจ่ายเงินดังกล่าวคืนให้แก่ผู้ร้อง ที่ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องนั้นศาลฎีกาไม่เห็น
พ้องด้วย
พิพากษากลับ ให้ผู้คัดค้านจ่ายเงินที่ผู้ร้องจ่ายแทนจำเลยเป็นค่าภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายจำนวน 150,000
บาท คืนให้แก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางสั่งยกคำร้องให้ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า แม้พระราชบัญญัติล้ม
ละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 77 จะบัญญัติว่า "คำสั่งปลดจากล้มละลาย ทำให้บุคคลล้มละลายหลุดพ้นจากหนี้ทั้ง
ปวงอันพึงขอรับชำระได้..." ซึ่งมีความหมายว่า เมื่อบุคคลล้มละลายคนใดได้รับการปลดจากล้มละลายแล้ว
บุคคลนั้นย่อมหลุดพ้นจากหนี้ทั้งปวงที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
กำหนด ไม่ว่าหนี้นั้นจะเป็นหนี้สามัญหรือหนี้มีประกันที่เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้ โดยสละสิทธิที่มีอยู่
เหนือทรัพย์อันเป็นหลักประกันนั้นก็ตาม แต่เมื่อคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ไม่มีผลกระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้
มีประกันตามความในมาตรา 110 วรรคสาม โจทก์ในคดีนี้ผู้เป็นเจ้าหนี้มีประกันเหนือทรัพย์สินซึ่งจำนองของ
จำเลยที่ 4 จึงย่อมมีสิทธิเลือกที่จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายที่จำเลยที่ 4 ถูกศาลแพ่งสั่งพิทักษ์ทรัพย์
เด็ดขาดภายในระยะเวลาที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดหรือไม่ก็ได้ สุดแท้แต่โจทก์จะเห็นสมควรว่าวิธีการ
ใดจะเหมาะสมและเป็นประโยชน์แก่ตนมากกว่ากัน เพราะหากขอรับชำระหนี้ร่วมกับเจ้าหนี้สามัญก็จะต้องสละ
สิทธิที่จะพึงได้รับชำระหนี้จากหลักประกันนั้นก่อนเจ้าหนี้รายอื่น แต่ถ้าไม่ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเพราะ
เห็นว่าหลักประกันที่มีอยู่นั้นคุ้มกับจำนวนหนี้ โจทก์ก็ยังคงครองสิทธิจำนองเหนือทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน
อยู่ในลำดับเดิมต่อไป เมื่อโจทก์ไม่ขอรับชำระหนี้ในคดีที่จำเลยที่ 4 ถูกฟ้ องล้มละลายแล้วเช่นนี้ หนี้ที่จำเลยที่ 4
มีอยู่แก่โจทก์ในคดีนี้จึงไม่ใช่หนี้อันพึงขอรับชำระได้ตามนัยแห่งมาตรา 77 ดังกล่าว ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 4
ได้รับการปลดจากล้มละลายแล้ว จึงไม่ทำให้จำเลยที่ 4 หลุดพ้นจากหนี้จำนองที่มีอยู่แก่โจทก์ในคดีนี้แต่อย่างใด
ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งยกคำร้องขอให้งดการขายทอดตลาดทรัพย์สิน
ซึ่งจำนองของจำเลยที่ 4 จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้เป็นพับ
หน้า 42
ว่าทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันมีราคามากกว่าจำนวนหนี้ราคาส่วนที่เหลือเกินจำนวนหนี้ย่อมเป็นทรัพย์สินใน
คดีล้มละลายอันอาจแบ่งแก่เจ้าหนี้ได้ ซึ่งเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะรวบรวมจัดการตามมาตรา
22 และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีอำนาจขายตามวิธีการที่สะดวกและเป็นผลดีที่สุดตามมาตรา 123 ในกรณีเช่น
นี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จึงมีหน้าที่ต้องดำเนินการยึดทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันออกขายตามคำร้องของเจ้า
หนี้ จะสั่งงดดำเนินการและให้เจ้าหนี้ไปดำเนินการตามกฎหมายอื่นไม่ได้ แต่ถ้าปรากฏว่าจำนวนหนี้ท่วมราคา
ทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันและไม่มีกรณีต้องร้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลหรือการกระทำใดแล้ว ประกอบกับ
ที่ประชุมเจ้าหนี้มีมติไม่ประสงค์จะดำเนินการต่อทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน เนื่องจากเห็นว่าจำนวนหนี้ค้าง
ชำระท่วมราคาทรัพย์สินอันเป็นหลักประกัน การบังคับคดีต่อทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันไม่มีประโยชน์ต่อ
กองทรัพย์สินของลูกหนี้อย่างใด ที่ผู้คัดค้านได้มีคำสั่งงดดำเนินการต่อทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันตามมติที่
ประชุมเจ้าหนี้นั้นจึงชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับศาลล่างทั้งสอง ฎีกาผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ผู้คัดค้านแก้ฎีกาเองจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้
เพิกถอนการบังคับคดีของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์และเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ดำเนินการตามคำสั่งของเจ้า
พนักงานพิทักษ์ทรัพย์เสียทั้งหมดและให้ปล่อยที่ดินคืนแก่ผู้ร้อง
ศาลล้มละลายกลางไม่รับคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า การที่ลูกหนี้ผู้ล้มละลายเป็นโจทก์ในคดีของศาลแพ่งกรุงเทพใต้
หมายเลขแดงที่ 19601/2538 ระหว่าง บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์มหานครทรัสต์ จำกัด (มหาชน) โจทก์ สิบตำรวจ
เอกโฆษิต ที่ 1 นายวรวุฒิ ที่ 2 จำเลย ซึ่งศาลพิพากษาให้ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีร่วมกันชำระหนี้ และหลัง
จากศาลได้มีคำพิพากษาแล้วจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ ลูกหนี้ในฐานะโจทก์ในคดีแพ่งได้ดำเนินการบังคับคดี
และมีการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 110941 ตำบลคลองกุ่ม อำเภอบางกะปิ กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างออก
ขายทอดตลาด ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดอันมีผลให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มี
อำนาจในการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้แต่เพียงผู้เดียวตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483
กล่าวคือในคดีแพ่งของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ย่อมมีอำนาจขอเข้าเป็นเจ้าหนี้ตามคำ
พิพากษาในการที่จะบังคับตามสิทธิในคดีแพ่งต่อไป การที่ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีแพ่งโต้แย้งว่าลูกหนี้ซึ่ง
เป็นโจทก์ในคดีไม่มีสิทธิในการบังคับคดีต่อไป เนื่องจากมีการโอนสิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาให้แก่บริษัท
โพเทนท์ โพรดักส์ จำกัด ไปก่อนแล้ว และขอให้คืนทรัพย์ที่ยึดแก่ผู้ร้องเป็นข้อพิพาทโต้แย้งสิทธิในการบังคับ
คดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 19601/2538 ผู้ร้องจะต้องยื่นคำร้องในคดีแพ่ง และอำนาจในการพิจารณาลูกหนี้ซึ่ง
เป็นโจทก์ในคดีแพ่งจะมีสิทธิบังคับคดีหรือไม่ย่อมเป็นอำนาจของศาลในคดีแพ่ง ผู้ร้องจะยื่นคำร้องต่อศาลล้ม
ละลายกลางโดยอ้างว่าเป็นการคัดค้านการกระทำของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หาได้ไม่ ศาลล้มละลายกลางมีคำ
สั่งไม่รับคำร้องของผู้ร้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นนี้ให้เป็นพับ