Professional Documents
Culture Documents
Ans - Exercise - Reaction Rate
Ans - Exercise - Reaction Rate
เฉลยแบบฝึกหัด
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
(0.2000 M- 0.1964 M)
=
(30 s - 20 s)
= 3.6 10–4 M s-1
[O 2 ]
อัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณของ O2 =
t
(0.0500 M- 0.0491 M)
=
(30 s - 20 s)
= 9.0 10–5 M s-1
สาขาเคมี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2
สาขาเคมี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 3
1.3 ความเข้มข้นของ NO2 เมือ่ เวลาผ่านไป 1 นาที เท่ากับ 2.2 10–2 M s-1
[NO 2 ]
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี =
4t
[NO 2 ]t =60 - [NO 2 ]t =0
=
4(t60 - t0 )
[NO 2 ]t =60 - 0 M
9.0 10–5 M s-1 =
4(60 s - 0 s)
[NO2]t=60 – 0 mol/dm3 = (9.0 10–5 M s-1)(240 s)
[NO2]t=60 = 2.2 10–2 M
5.0 g - 0.0 g
2. 2.1 อัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ย =
6.0 s - 0.0 s
= 0.83 g/s
3.3 g - 0.0 g
2.2 อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ช่วงเวลา 0.0 – 1.5 วินาที =
1.5 s - 0.0 s
= 2.2 g/s
2.3 คํานวณจากกราฟดังนี้
6
5
B C
4
ปริมาณ PbI2 (g)
A
3
2
1
0
0 1 2 3 4 5 6 7 8
เวลา (s)
สาขาเคมี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 4
4.8 g - 3.0 g
อัตราการเกิดปฏิกิริยาที่จุด A =
3.0 s - 1.0 s
= 0.90 g/s
4.9 g - 4.7 g
อัตราการเกิดปฏิกิริยาที่จุด B =
5.0 s - 3.5 s
= 0.13 g/s
3. ควรเลือกใช้โลหะแพลทินัมเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เนื่องจากทําให้ค่าพลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาลดลงได้
มากกว่า จึงเกิดปฏิกิริยาเคมีได้ง่ายกว่า เขียนสมการเคมีได้ดังนี้
2HI(g) → H2(g) + I2(g)
4. 4.1
พลังงาน (kJ)
A- - -B
300
Ea
150
A+B AB
100
การดําเนินไปของปฏิกริ ิยา
4.2 ปฏิกิริยาคายพลังงาน
4.3 E = 100 kJ – 150 kJ = –50 kJ
4.4 Ea = 300 kJ – 150 kJ = 150 kJ
สาขาเคมี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 5
สาขาเคมี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 6
6.
ปฏิกิริยาเคมีเกิดช้า ปฏิกิริยาเคมีเกิดเร็ว ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ความเข้มข้นของสารตั้งต้น
การเพิ่มความเข้มข้นเป็นการเพิ่มจํานวนอนุภาค ทําให้อนุภาคมี
.......................................................................................................
โอกาสชนกันได้มากขึ้น อนุภาคที่มีพลังงานสูงพอที่จะเกิดปฏิกิริยา
.......................................................................................................
จึงมีจํานวนมากขึ้น อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจึงสูงขึ้น
.......................................................................................................
ความเข้มข้นต่ํา ความเข้มข้นสูง
........................
พื้นทีผ่ วิ ของสารตั้งต้น
การใช้สารที่มขี นาดเล็กลงเป็นการเพิ่มพื้นที่ผิวของสาร ซึ่งจะทําให้
อนุภาคมีโอกาสชนกันได้มากขึ้น อนุภาคทีม่ พี ลังงานสูงพอที่จะ
เกิดปฏิกิริยาจึงมีจํานวนมากขึ้น อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจึงสูงขึ้น
พื้นที่ผิวน้อย พื้นที่ผิวมาก
อุณหภูมิ
การเพิ ่มอุณหภูมิทําให้อนุภาคเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น จึงมีโอกาสชนกัน
.......................................................................................................
ได้ มากขึ้น อนุภาคที่มีพลังงานสูงพอที่จะเกิดปฏิกิริยาจึงมีจํานวน
.......................................................................................................
มากขึ ้น อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจึงเพิ่มขึ้น
.......................................................................................................
อุณหภูมิต่ํา อุณหภูมิสูง
ตัวเร่งปฏิกิริยา
พลังงาน (kJ/mol)
พลังงาน (kJ/mol)
Ea การใช้ตัวเร่งปฏิกิริยาทําให้ปฏิกิริยามีพลังงานก่อกัมมันต์
.......................................................................................................
Ea น้อยกว่าเมื่อไม่มีตัวเร่งปฏิกิริยา อนุภาคทีม่ ีพลังงานสูงพอที่จะ
.......................................................................................................
การดําเนินไปของปฏิกิริยา การดําเนินไปของปฏิกิริยา
เกิดปฏิกิริยาจึงมีจํานวนมากขึ้น อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจึง
.......................................................................................................
สูงขึ้น
.......................................................................................................
ไม่มตี ัวเร่งปฏิกิรยิ า มีตัวเร่งปฏิกิริยา
สาขาเคมี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 7
7.4
เวลา การทดลองที่ 1 การทดลองที่ 2
(min) มวลสารทีว่ ัดได้ (g) มวล CO2 (g) มวลสารที่วัดได้ (g) มวล CO2 (g)
เริ่มต้น 10.0 0 10.0 0
0.5 9.78 0.22 9.55 0.45
1.0 9.59 0.41 9.18 0.82
1.5 9.41 0.59 8.85 1.15
2.0 9.22 0.78 8.65 1.35
2.5 9.07 0.93 8.50 1.50
3.0 8.93 1.07 8.39 1.61
3.5 8.84 1.16 8.34 1.66
4.0 8.77 1.23 8.32 1.68
4.5 8.72 1.28 8.31 1.69
5.0 8.65 1.35 8.30 1.70
7.5 เขียนกราฟได้ดังนี้
1.8
การทดลองที่ 2
1.6
1.4
การทดลองที่ 1
มวล CO2 (g)
1.2
1.0
0.8
0.6
0.4
0.2
0.0
0 1 2 3 4 5 6 เวลา (min)
7.6 การทดลองที่ 2 ซึ่ งใช้ CaCO3 เม็ ด เล็ กมีอั ต ราการเกิ ด ปฏิ กิริ ย าเคมี สู ง กว่ าาการทดลองที่ 1 ซึ่ ง ใช้
CaCO3 เม็ดใหญ่ โดยพิจารณาจากกราฟของการทดลองที่ 2 ที่มีความชันมากกว่า (หรือพิจารณาจาก
แก๊ส CO2 ที่มีปริมาณมากกว่า) แสดงว่าใช้เวลาในการเกิดปฏิกิริยาน้อยกว่า เนื่องจาก CaCO3 เม็ดเล็กมี
พื้นที่ผิวมากกว่า CaCO3 เม็ดใหญ่ ทําให้อนุภาคมีโอกาสที่จะชนกันมากขึ้น อนุภาคที่มีพลังงานสูง
พอที่จะเกิดปฏิกิริยาจึงมีจํานวนมากขึ้น อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีจึงสูงขึ้น
สาขาเคมี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 8
8. 8.1 เขียนกราฟได้ดังนี้
60
50 การทดลองที่ 2
ปริมาณ O2 (cm3)
40 การทดลองที่ 1
30
20
10
0
0 1 2 3 4 5 6 7 8 เวลา (min)
สาขาเคมี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 9
H2O2
189 kJ/mol
O2 + H2O
การดําเนินไปของปฏิกิริยา
9.3 ควรใช้ตัวเร่งปฏิกิริยา และเลือกใช้เอนไซม์คะตาเลสเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเพราะพลังงานก่อมันมันต์ของ
ปฏิกิริยามีค่าน้อยทีส่ ุด จึงสามารถเกิดปฏิกริ ิยาเคมีได้เร็วที่สุด
สาขาเคมี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 10
10oC
การกระจายของโมเลกุล
25oC
40oC
พลังงาน Ea
กราฟแสดงการกระจายพลังงานจลน์ของโมเลกุลที่อุณหภูมิต่าง ๆ
12.
การทดลองที่ 1 2 3 4 5
เส้นกราฟ D A E B C
ซึ่งมีวิธีการคิดดังนี้
1. ปริมาณสารที่เกิดขึ้น ขึ้นกับปริมาณสาร Y จึงแบ่งตามปริมาณสาร Y เป็น 2 กลุ่ม คือ
- กลุ่มทีใ่ ช้สาร Y 0.01 mol ได้แก่ การทดลองที่ 1 และ 3 ซึง่ น่าจะเป็นกราฟ D หรือ E
- กลุ่มทีใ่ ช้สาร Y 0.02 mol ได้แก่ การทดลองที่ 2 4 และ 5 ซึ่งน่าจะเป็นกราฟ A B หรือ C
2. การทดลองที่ 1 ใช้สาร X ที่เป็นผง จึงมีอตั ราเร็วมากกว่าการทดลองที่ 3 ซึ่งใช้สาร X ที่เป็นเม็ด
ดังนั้นการทดลองที่ 1 จึงเป็นกราฟ D ซึ่งมีความชันมากกว่ากราฟ E
3. การทดลองที่ 2 ใช้สาร X ที่เป็นผง จึงมีอตั ราเร็วมากกว่าการทดลองที่ 4 และ 5 ซึ่งใช้สาร X ที่เป็น
เม็ด ดังนั้นการทดลองที่ 2 จึงเป็นกราฟ A ซึ่งมีความชันมากกว่ากราฟ B และ C
4. การทดลองที่ 4 ทําการทดลองทีอ่ ุณหภูมิสงู กว่าการทดลองที่ 5 จึงมีอตั ราเร็วมากกว่า ดังนั้นการ
ทดลองที่ 4 จึงเป็นกราฟ B ซึ่งมีความชันมากกว่ากราฟ C
สาขาเคมี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 11
13. 13.1 อัตราการเกิดแก๊ส H2 ที่ช่วงเวลา 5 – 15 วินาที ของการทดลองที่ 1 และ 2 มีค่าเท่ากับ 0.010 และ
0.020 mol/dm3s ตามลําดับ
วิธีคํานวณ
การทดลองที่ 1 Mg(s) + 2HCl(aq) MgCl2(aq) + H2(g)
(8.0 g - 12.8 g)
ที่ช่วงเวลา 5 – 15 s ปริมาณ Mg ที่ลดลง = = –0.20 mol
24 g/mol
จากสมการเคมี Mg ลดลง 0.20 mol จะเกิด H2 0.20 mol ดังนั้น
0.20 mol
ที่ช่วงเวลา 5 – 15 s ปริมาณ H2 ที่เกิดขึ้น = = 0.10 M
2 dm3
[H2 ]
ที่ช่วงเวลา 5 – 15 s อัตราการเกิดแก๊ส H2 =
t
0.10 M
=
(15 s - 5 s)
= 0.010 M s-1
การทดลองที่ 2 2H2O(l) 2H2(g) + O2(g)
0.6
ความเข้มข้น H2 (mol/dm3)
0.5
0.4
0.3
0.2
0.1
0
0 2 4 6 8 10 12 14 16 18 20
เวลา (s)
[H2 ]
ที่ช่วงเวลา 5 – 15 s อัตราการแก๊ส H2 =
t
(0.45 M - 0.25 M)
=
(15 s - 5 s)
= 0.020 M s-1
สาขาเคมี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี 12
[H2 ]
อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี =
t
= 0.010 m M s-1
สาขาเคมี สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี