การแผ่รังสีของสิ่งมีชีวิต

You might also like

Download as docx, pdf, or txt
Download as docx, pdf, or txt
You are on page 1of 7

การแผ่รังสีของสิ่งมีชีวิตหมายถึงกระบวนการที่สิ่งมีชีวิตปล่อยหรือส่งออกพลังงานในรูปแบบของคลื่นหรืออนุภาค กระบวนการ

นี้สามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบและเหตุผล แต่เมื่อพูดถึง "การแผ่รังสีของสิ่งมีชีวิต" มักจะอ้างอิงถึงสองด้านหลัก คือ


การแผ่รังสีในเชิงชีวภาพและการแผ่รังสีเนื่องจากการใช้งานหรือการสัมผัสกับวัสดุรังสี

### การแผ่รังสีในเชิงชีวภาพ

1. **การแผ่รังสีความร้อน**: สิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบปล่อยความร้อนออกมาในรูปแบบของรังสีอินฟราเรด กระบวนการนี้เป็น


ส่วนหนึ่งของการควบคุมอุณหภูมิภายในร่างกาย
2. **การสร้างและการใช้พลังงานชีวภาพ**: ในกระบวนการเช่นการสังเคราะห์ด้วยแสง (Photosynthesis) พืชและสิ่งมีชีวิ
ตอื่นๆ ใช้พลังงานจากรังสีแสงอาทิตย์เพื่อสร้างสารอาหาร

### การแผ่รังสีเนื่องจากการใช้งานหรือการสัมผัสกับวัสดุรังสี

1. **การสัมผัสกับรังสีเทียม**: สิ่งมีชีวิตอาจสัมผัสกับรังสีเนื่องจากการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น การถ่ายภาพรังสี X-


ray หรือการรักษาด้วยรังสี

2. **การสัมผัสกับวัสดุรังสี**: ในกรณีที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีวัสดุรังสีหรือได้รับการสัมผัสกับวัสดุรังสี เช่น


เหตุการณ์รั่วไหลของรังสีนิวเคลียร์

### ผลกระทบของการแผ่รังสีต่อสิ่งมีชีวิต

การแผ่รังสีสามารถมีทั้งผลบวกและผลลบต่อสิ่งมีชีวิต ขึ้นอยู่กับประเภทและปริมาณของรังสีที่สัมผัส เช่น รังส

ี แสงอาทิตย์ช่วยให้เกิดกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงในพืช แต่รังสี UV จากแสงอาทิตย์สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง


ของ DNA และอาจนำไปสู่โรคมะเร็งผิวหนังได้ ในทางกลับกัน การสัมผัสกับรังสีระดับสูงในระยะเวลานานสามารถทำให้เกิด
ผลกระทบเชิงลบต่อสุขภาพ เช่น การเสียชีวิตของเซลล์ การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม และการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง

การแผ่รังสีของสิ่งมีชีวิตสามารถพบได้ในหลากหลายรูปแบบและกระบวนการ นี่คือตัวอย่างที่แสดงถึงความหลากหลายของ
การแผ่รังสีในธรรมชาติ:
### 1. **การสังเคราะห์ด้วยแสง (Photosynthesis)**

- **พืชและแอลจี**: ใช้พลังงานจากรังสีแสงอาทิตย์เพื่อเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำเป็ นกลูโคสและออกซิเจน


กระบวนการนี้ปล่อยออกซิเจนออกสู่บรรยากาศและเป็ นพื้นฐานของห่วงโซ่อาหารบนโลก

### 2. **การแผ่รังสีความร้อน**

- **มนุษย์และสัตว์**: ร่างกายปล่อยความร้อนออกมาในรูปแบบของรังสีอินฟราเรด ช่วยในการควบคุมอุณหภูมิภายใน


ร่างกาย

### 3. **การแผ่รังสีแสงในสิ่งมีชีวิตที่เรืองแสง**

- **หิ่งห้อยและสัตว์ทะเลบางชนิด**: ผลิตแสงผ่านกระบวนการทางเคมีที่เรียกว่า Bioluminescence ใช้สำหรับการดึงดูดคู่


ครอง การหาอาหาร และการป้ องกันตัว

### 4. **การปล่อยรังสี UV**

- **นกบางชนิด**: มีความสามารถในการมองเห็นแสง UV และใช้ประโยชน์จากการแผ่รังสี UV ในการดึงดูดคู่ครองหรือ


สื่อสาร

### 5. **การปล่อยรังสีอินฟราเรดในสัตว์ทะเล**

- **ปลาหมึกและสัตว์ทะเลลึก**: บางชนิดสามารถปล่อยหรือสะท้อนคลื่นอินฟราเรดเพื่อหลอกล่อเหยื่อหรือหลบหนีจากผู้ล่า

### 6. **การสัมผัสกับรังสีในระดับโมเลกุล**

- **แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีรังสีสูง**: เช่น ในบริเวณที่มีระดับรังสีธรรมชาติสูงหรือใกล้กับแหล่งรังสี เหล่านี้


ได้พัฒนากลไกในการซ่อมแซม DNA ที่เสียหาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

การแผ่รังสีของสิ่งมีชีวิตมีหลายตัวอย่างที่น่าสนใจ และมันแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายในวิธีที่สิ่งมีชีวิตใช้พลังงานหรือส่ง
สัญญาณไปยังสิ่งมีชีวิตอื่น ต่อไปนี้คือตัวอย่างของการแผ่รังสีในโลกของสิ่งมีชีวิต:
1. **การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช**: พืชและสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถในการสังเคราะห์ด้วยแสงใช้พลังงานจากรังสีแสง
อาทิตย์เพื่อแปลงคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำเป็ นออกซิเจนและกลูโคส กระบวนการนี้เป็ นตัวอย่างของการแผ่รังสีที่มีประโยชน์
ต่อเซลล์สิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศโดยรวม

2. **การปล่อยรังสีความร้อนในสัตว์เลือดอุ่น**: สัตว์เลือดอุ่น เช่น มนุษย์ และนก สามารถควบคุมอุณหภูมิของร่างกายโดย


การปล่อยความร้อนในรูปแบบของรังสีอินฟราเรด กระบวนการนี้ช่วยให้พวกเขาสามารถรักษาอุณหภูมิร่างกายให้คงที่ได้ แม้ใน
สภาพแวดล้อมที่อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง

3. **การสื่อสารผ่านการแผ่รังสีในสัตว์น้ำ**: บางชนิดของสัตว์น้ำ เช่น ปลาหมึก มีความสามารถในการเปลี่ยนสีหรือส่อง


สว่างโดยใช้โครงสร้างทางชีวภาพเพื่อส่งสัญญาณให้กับสัตว์ชนิดเดียวกันหรือหลีกเลี่ยงผู้ล่า

4. **การแผ่รังสี UV ของนกบางชนิด**: นกบางชนิดสามารถมองเห็นและสร้างรังสี UV ที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ พวก


เขาใช้ความสามารถนี้ในการสื่อสารและหาคู่ โดยส่งสัญญาณที่มีความหมายเฉพาะต่อนกชนิดเ

ดียวกัน

5. **การสร้างแสงไฟฟ้ าของแมลงหิ่งห้อย**: แมลงหิ่งห้อยมีอวัยวะพิเศษที่สามารถผลิตแสงไฟฟ้ าได้ กระบวนการนี้เกิดขึ้น


เมื่อเอนไซม์ในร่างกายของแมลงหิ่งห้อยทำปฏิกิริยากับโมเลกุลลูซิเฟอริน ซึ่งผลลัพธ์คือการผลิตแสงที่มีประสิทธิภาพสูงโดย
ไม่มีความร้อนเกิดขึ้น

ตัวอย่างเหล่านี้แสดงถึงวิธีที่สิ่งมีชีวิตใช้การแผ่รังสีในการอยู่รอด สื่อสาร และทำปฏิกิริยาต่อสิ่งแวดล้อมโดยรอบ ไม่ว่าจะ


เป็นการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ การปล่อยความร้อน หรือการสร้างแสงเพื่อสื่อสารหรือดึงดูดคู่ค้า
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

ในโลกของการวิจัยวิทยาศาสตร์ การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่สามารถปล่อยหรือเกี่ยวข้องกับรังสีพลังงานสูง เช่น รังสีอัลฟ่ า


หรือรังสีแกมม่า นั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่หาไม่ง่าย เนื่องจากสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนโลกไม่มีกลไกในการปล่อยหรือผลิตรังสี
พลังงานสูงในลักษณะนี้โดยตรง อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยบางส่วนที่สำรวจแง่มุมต่างๆ ของการโต้ตอบระหว่างสิ่งมีชีวิตกับรังสี
พลังงานสูง ดังตัวอย่างต่อไปนี้:

### 1. **การศึกษาเกี่ยวกับ Deinococcus radiodurans**


- **Deinococcus radiodurans** หรือ "จุลินทรีย์ทนรังสี" เป็นแบคทีเรียที่มีความสามารถในการทนทานต่อรังสีแกมม่า
และรังสีอัลฟ่ าได้ในระดับที่สูงมาก จุลินทรีย์ชนิดนี้ไม่ได้ปล่อยรังสีเอง แต่สามารถซ่อมแซม DNA ที่ได้รับความเสียหายจากรังสี
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ งานวิจัยเกี่ยวกับ D. radiodurans มุ่งเน้นไปที่การค้นหาว่าทำไมมันถึงมีความสามารถนี้และอาจนำ
ไปใช้ในการประยุกต์ใช้เพื่อประโยชน์ในการแพทย์และการสำรวจอวกาศ

### 2. **การใช้รังสีในการศึกษาสิ่งมีชีวิต**

- ในหลายๆ การวิจัย รังสีแกมม่าถูกใช้เพื่อศึกษาผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในพืชและ


จุลินทรีย์ การเปิ ดเผยสิ่งมีชีวิตต่อรังสีแกมม่าสามารถนำไปสู่การสร้างสายพันธุ์ใหม่ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเฉพาะ ซึ่งอาจมี
ประโยชน์ในการเกษตรหรือการศึกษาวิวัฒนาการ

###

3. **งานวิจัยเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในสภาพแวดล้อมที่มีรังสีสูง**

- งานวิจัยบางส่วนมุ่งเน้นไปที่การศึกษาวิธีที่สิ่งมีชีวิตสามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่มีรังสีสูง เช่น ในบริเวณรอบๆ


เหตุการณ์รั่วไหลของรังสีนิวเคลียร์ การศึกษาเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับกลไกการป้ องกันและการซ่อมแซมของสิ่งมีชีวิต
ต่อการเสียหายจากรังสี

### 4. **การใช้สิ่งมีชีวิตในการศึกษาการป้ องกันรังสี**

- แม้ว่าจะไม่ใช่การปล่อยรังสีโดยตรง แต่การศึกษาวิธีการที่สิ่งมีชีวิตต่างๆ ป้ องกันตัวเองจากรังสีพลังงานสูงนำไปสู่การพัฒนา


วิธีการป้ องกันรังสีสำหรับมนุษย์ในสถานการณ์เช่นการรักษาด้วยรังสีและการสำรวจอวกาศ

### 5. **Tardigrades หรือ "หมีน้ำ"**

- Tardigrades หรือหมีน้ำเป็ นอีกตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตที่แสดงความทนทานต่อรังสีและสภาวะแวดล้อมที่รุนแรงอื่นๆ การวิจัย


เกี่ยวกับ tardigrades ช่วยให้เข้าใจว่าสิ่งมีชีวิตสามารถอยู่รอดได้อย่างไรในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง รวมถึงการสัมผัสกับรังสี
พลังงานสูง
การศึกษาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตและรังสีพลังงานสูงให้ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับกลไกที่ชีวิตใช้ในการป้ องกันและซ่อมแซมตัวเองจาก
การเสียหายที่เกิดจากรังสี อย่างไรก็ตาม ต้องเน้นว่าสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่ไม่ได้ผลิตหรือปล่อยรังสีพลังงานสูงโดยตรง แต่พวกเขา
มีความสามารถในการอยู่รอดและปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่มีรังสี
……………………………………………………………………………………………………………….

การปลดปล่อยรังสีที่มีพลังงานสูงจากสิ่งมีชีวิตเป็ นเรื่องที่ไม่พบเห็นได้บ่อยในธรรมชาติเมื่อเทียบกับรูปแบบการปลดปล่อยพลัง
งานอื่นๆ เช่น รังสีอินฟราเรดจากกระบวนการเผาผลาญภายในร่างกาย หรือแสงที่สัตว์บางชนิดสามารถผลิตได้ เช่น แมลง
หิ่งห้อย อย่างไรก็ตาม ในบริบทของงานวิจัย มีการศึกษาและสำรวจเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่สามารถผลิตหรือทนต่อรังสีพลังงานสูง
ได้ในระดับหนึ่ง ตัวอย่างเหล่านี้รวมถึง:

### 1. **Deinococcus radiodurans**

- **Deinococcus radiodurans** เป็นแบคทีเรียที่มีความทนทานต่อรังสีสูงอย่างไม่ธรรมดา ถึงแม้จะไม่ได้ปลดปล่อยรังสี


อัลฟ่ าหรือรังสีแกมม่าโดยตรง แต่ความสามารถของมันในการซ่อมแซม DNA ที่ได้รับความเสียหายจากรังสีพลังงานสูงได้อย่าง
รวดเร็วทำให้มันกลายเป็ นสิ่งมีชีวิตที่น่าสนใจในการศึกษาความทนทานต่อรังสี

### 2. **Tardigrades (หมีน้ำ)**

- **Tardigrades** หรือหมีน้ำ มีชื่อเสียงในเรื่องของความสามารถในการทนทานต่อสภาวะแวดล้อมที่รุนแรงได้ รวมถึงการ


สัมผัสกับรังสีพลังงานสูง การศึกษาพบว่า หมีน้ำสามารถทนต่อรังสีแกมม่าในระดับที่สามารถฆ่าสิ่งมีชีวิตอื่นได้โดยไม่มีปัญหา

### 3. **ซูเปอร์โนวาและรังสีคอสมิก**

- ในขณะที่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่การศึกษาเกี่ยวกับการปล่อยรังสีพลังงานสูงจากซูเปอร์โนวาและรังสีคอสมิกให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลก
ระทบของรังสีเหล่านี้ต่อสิ่งมีชีวิตบนโ

ลกและในระบบสุริยะ

### 4. **การศึกษาในอวกาศ**
- งานวิจัยที่ทำบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ได้ศึกษาการทนทานของสิ่งมีชีวิตต่อรังสีคอสมิกซึ่งเป็นรังสีพลังงานสูงที่ไม่
สามารถพบได้บนผิวโลกเนื่องจากถูกบล็อกโดยชั้นบรรยากาศของโลก การทดลองเหล่านี้ช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับกลไก
การทนทานของสิ่งมีชีวิตและการปรับตัวในสภาวะที่มีรังสีสูง

### 5. **ศึกษาผลกระทบของรังสีแกมม่าบนเซลล์มนุษย์**

- มีการวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาผลกระทบของรังสีแกมม่าต่อเซลล์มนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่ง


ช่วยเพิ่มความเข้าใจในวิธีการป้ องกันและซ่อมแซมความเสียหายจากรังสีในเซลล์

การปลดปล่อยรังสีพลังงานสูงจากสิ่งมีชีวิตมีจำกัดและไม่เป็ นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในธรรมชาติ เนื่องจากสิ่งมีชีวิตส่วน


ใหญ่ไม่ได้สร้างหรือปลดปล่อยรังสีในระดับนั้น อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทนต่อรังสีพลังงานสูงเป็ นหัวข้อของการ
ศึกษาที่สำคัญเพื่อเข้าใจกลไกการป้ องกันและการซ่อมแซมในสิ่งมีชีวิตต่อสภาวะแวดล้อมที่รุนแรง และสามารถนำไปสู่การ
ประยุกต์ใช้ในหลายด้าน รวมถึงการแพทย์และการสำรวจอวกาศ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

For **Deinococcus radiodurans**, a study titled "New Insights into Radio-Resistance Mechanism
Revealed by (Phospho)Proteome Analysis of Deinococcus Radiodurans after Heavy Ion Irradiation"
explores the dynamic changes of D. radiodurans under various doses of heavy ion irradiation at different
time points. This research identifies 2359 proteins and 1110 high-confidence phosphosites, with a
significant portion showing notable changes upon irradiation, mostly upregulation. It highlights the
dose- and stage-dependent nature of the radio-resistance mechanism and underscores the role of
protein phosphorylation in the radiation response, suggesting pathways related to RNA metabolism and
antioxidation are activated post-irradiation【18†source】.

Another study, "The diversity and commonalities of the radiation-resistance mechanisms of Deinococcus
and its up-to-date applications," delves into the efficient repair of DNA damage, specifically through
homologous recombination and extended synthesis-dependent strand annealing (ESDSA), among other
mechanisms. It details how the RecFOR system plays a pivotal role in DNA terminus processing, with
proteins like RecN, SSB, and RecJ being crucial for repairing broken DNA. It also touches on the role of
the DdrB protein in assisting precise annealing of single-stranded DNA, facilitating the repair of DNA
damage induced by radiation【19†source】.

For **Tardigrades**, the article "Rising from the Ashes: DNA Repair in Deinococcus radiodurans" from
PLOS Genetics provides insights into the DNA repair mechanisms in D. radiodurans, which, although not
directly about tardigrades, offers context on the complexity of DNA repair systems that could be
analogous to those found in tardigrades. The paper discusses the two stages of genome reconstitution
post-irradiation, emphasizing the role of the RecFOR pathway in genome reconstitution and the
potential similarities in DNA repair mechanisms across different extremophiles, including
tardigrades【20†source】.

These studies offer a glimpse into the intricate and robust mechanisms that enable certain
microorganisms to withstand extreme conditions, including high levels of radiation, which can be
accessed for further detailed exploration at the respective links provided:

- For Deinococcus radiodurans: [New Insights into Radio-Resistance


Mechanism](https://www.mdpi.com/1422-0067/24/19/14817)【18†source】 and [The diversity and
commonalities of the radiation-resistance
mechanisms](https://amb-express.springeropen.com/articles/10.1186/s13568-017-0373-3)
【19†source】.

- For insights that might relate to tardigrades' resilience mechanisms through the lens of D. radiodurans'
DNA repair capabilities: [Rising from the Ashes: DNA Repair in Deinococcus radiodurans]
(https://journals.plos.org/plosgenetics/article?id=10.1371/journal.pgen.1000815) 【20†source】.

รังสีแกมม่าในธรรมชาติบนโลกส่วนใหญ่เกิดจากการสลายตัวกัมมันตภาพรังสีและการรังสีทุติยภูมิจากการโต้ตอบทาง
บรรยากาศกับอนุภาคจากคอสมิกเรย์ สารกัมมันตภาพรังสีที่สำคัญซึ่งปล่อยรังสีแกมม่า ได้แก่ โพแทสเซียม-40 ซึ่งพบได้ทั่วไป
ในหิน ดิน และแม้แต่ในอาหารและน้ำที่เราบริโภค【54†source】.

คอสมิกเรย์และรังสีแกมม่าทั้งสองมีพลังงานสูง แต่อาจมีช่วงพลังงานที่ต่างกัน คอสมิกเรย์ประกอบด้วยอนุภาคที่มีพลังงานสูง


มากจากนอกโลก เช่น โปรตอน อิเล็กตรอน และนิวเคลียร์หนัก ที่เดินทางเข้าสู่บรรยากาศโลก คอสมิกเรย์สามารถทำให้เกิดรังสี
แกมม่าได้เมื่อพวกมันโต้ตอบกับสสารในบรรยากาศหรือกับฝุ่ นอวกาศ ส่วนรังสีแกมม่าเป็ นรังสีแม่เหล็กไฟฟ้ าที่มีพลังงานสูง
สามารถเกิดจากกระบวนการทางนิวเคลียร์เช่นการสลายตัวกัมมันตภาพรังสี รังสีแกมม่าสามารถมีพลังงานตั้งแต่หลาย keV
ถึงหลาย MeV ทำให้มีความสามารถในการทะลุผ่านสสารได้ดี【54†source】.

You might also like