Professional Documents
Culture Documents
ทักษะห้วหน้างาน
ทักษะห้วหน้างาน
ู น้องทาบ้าง ไม่ทาบ้าง หา
่ งทางหลบหลีกงานบ้าง ไม่คอ
ชอ ่ ยมีความร ับผิดชอบ ต้องคอยไปตาม ถึงจะ
ได้งานอย่างทีต ่ อ้ งการ บางครงไม่
ั้ ่ งไปตาม ก็ทาให้งานล่าชา้ และ เสย
วา ี หาย
จะมีวธิ จ
ี ัดการ ก ับลูกน้องให้มค
ี วามร ับผิดชอบในงาน มากขึน ้ ได้อย่างไรบ้าง
คร ับ
อภิวฒ
ุ ิ พิมลแสงสุรย
ิ า
apiwut@riverorchid.com
ในเรือ
่ งของการดาเนินการทางวินัยนี้ นับได ้ว่าเป็ นขอบเขตของงานอีกด ้านหนึง่ ของการ
บริหารงานบุคคล ทีม
่ น
ี ้ าหนั กความสาคัญอยูไ่ ม่น ้อย ดังนั น
้ การทีจ
่ ะต ้องปฏิบัตใิ ห ้ถูกต ้องและ
เป็ นไปในทางดี นั น ้ จึงเป็ นเรือ
่ งสาคัญทีฝ ่ ่ ายจัดการจะต ้องมีการดาเนินการอย่างระมัดระวัง และ
หวังผลทีจ ่ ะให ้เป็ นผลในทางบวก หรือพยายามให ้เกิดผลในทางทีด ่ ก
ี อ
่ นเสมอนัน้ จึงเป็ นวิธกี าร
ทีส
่ าคัญ กล่าวคือ เหมือนกับภาษิตทีพ ่ ดู ว่า “ก่อนทีจ่ ะจับเขาแขวนไว ้นัน ้ ควรจะให ้ความเป็ น
ธรรมทีจ่ ะให ้เขาได ้ทดลองทา หรือ ได ้มีโอกาสแก ้ตัวเสย ี ก่อน” ซงึ่ ตามปรัชญานีย ้ อ่ มจะเป็ น
ประโยชน์ทด ่ ะชว่ ยให ้การแก ้ไขปั ญหา พนั กงานทีม
ี่ ใี นการทีจ ่ ป
ี ั ญหาให ้ลุลว่ งไปด ้วยดี
ประเภทของพน ักงานทีม
่ ป
ี ญ
ั หา
ในเรือ
่ งของการดาเนินการทางวินัยและการแก ้ไขพฤติกรรมต่าง ๆ ของพนักงานนัน
้ อาจจะแบ่ง
แยกพนักงานทีม ่ ป
ี ั ญหาออกได ้เป็ น 4 ชนิด คือ
1. กลุม
่ พน ักงานผูซ้ งึ่ มีผลงานและคุณภาพ ตลอดจนปริมาณงานทีอ ่ ยูใ่ นระด ับทีไ่ ม่นา
่
ื เนือ
พอใจ อัน สบ ่ งมาจากการด ้อยความสามารถ การขาดการฝึ กอบรม หรือการไม่มค ี วามสนใจ
หรือไม่รักงานทีท
่ า
ประเภทที่ 1 พน ักงานทีด
่ อ ิ ธิภาพ (ineffective employee)
้ ยประสท
พนักงานทีซ ่ งึ่ ไม่สามารถปฏิบัตงิ านได ้อย่างมีประสท
ิ ธิภาพ อาจจะมีปัญหาสบื เนือ
่ งมาจาก
่ วข ้องกับสภาพของการทางานโดยตรง ซงึ่ น่าจะเป็ นปั ญหากลุม
สาเหตุทเี่ กีย ่ แรกทีง่ า่ ยทีส
่ ด
ุ ใน
การแก ้ไข ในเรือ ่ งนี้ Robert Mager และ Peter Pipe ได ้จัดวางรูปแบบของพฤติกรรมทีไ่ ม่พงึ
ประสงค์นี้ และได ้สร ้างรูปแบบของปั ญหาทีซ ่ งึ่ ฝ่ ายจัดการอาจจะใชเป็ ้ นหนทางสาหรับการแก ้ไข
ซงึ่ ปั ญหาทีเ่ กิดขึน ้ อาจเกิดจากกรณีใดกรณีหนึง่ ซงึ่ ฝ่ ายจัดการจะต ้องทาการตรวจสอบ
พิจารณาในการแก ้ไขเสมอนัน ้ คือ เริม
่ แรกทีส
่ ด ุ ถ ้าหากได ้เห็นว่าพนักงานไม่สามารถปฏิบัตงิ าน
ได ้ดีตามทีค ิ แล ้ว ผู ้บริหารสว่ นมากควรจะได ้คิดในขัน
่ ด ้ แรกเสย ี ก่อนว่า อาจจะเป็ นเพราะปั ญหา
อันสบ ื เนือ
่ งมาจากทางด ้านการขาดการฝึ กอบรม ซงึ่ ควรจะดาเนินตามคาถามทั่วไป 3 ประการ
และติดตามคาตอบเหล่านีใ้ นการวิเคราะห์ปัญหา คือ
จากนัน
้ ถ ้าหากได ้ผ่านคาถามชุดทีส
่ องนีแ ่ ั ญหาอันสบ
้ ล ้ว ถ ้าพบว่าไม่ใชป ื เนือ
่ งมาจากการด ้อย
ความชานาญแล ้ว ก็ควรจะดาเนินต่อไปในคาถามอีก 4 ประการ เพือ ่ ทีจ ่ ทีไ่ ม่ใช ่
่ ะค ้นหาปั ญหาอืน
เพราะการด ้อยความชานาญในการทางาน
คาถามกลุม
่ ที่ 3 มีดังนี้ คือ
ค) ควรจะได ้ดูตอ
่ ไปว่า ในการปฏิบัตงิ านนัน
้ ตัวงานทีใ่ ห ้คนงานทาอยูไ่ ด ้ให ้ความหมายทีส
่ าคัญ
หรือความพึงพอใจแก่พนักงานเท่าทีค ่ วรหรือเปล่า?
ง) ควรจะตรวจสอบดูวา่ มีอป
ุ สรรคประการใดบ ้างทีเ่ ป็ นผลกระทบต่อผลงานทีต
่ ้องการ?
เมือ ่ ได ้ดาเนินการจนเสร็จสน ิ้ ในการตรวจสอบทัง้ สามแนวทางแล ้ว ในขัน ้ สุดท ้ายก็คอ
ื การ
ดาเนินการหาวิธท ี จ
ี่ ะสามารถนามาใชแก้ ้ปั ญหาทีด
่ แ
ี ละดาเนินการให ้มีการแก ้ปั ญหานั น
้ จนเสร็จ
สนิ้
ประเภทที่ 2 พน ักงานทีม
่ ป
ี ญ ้ ร ัง และการติดยาเสพติด ต่างๆ
ั หาด้านพิษสุราเรือ
เพือ
่ ทีจ
่ ะให ้ปั ญหาเหล่านีห ิ้ ไป ฝ่ ายจัดการก็ยอ
้ มดสน ่ มต ้องมีการแก ้ไขโดยให ้ผู ้บังคับบัญชาและ
พนักงานร่วมปรึกษาหารือกัน ซงึ่ ควรจะได ้มีการถกปั ญหาต่อไปนีร้ ว่ มกัน คือ
ี หายทีเ่ กิดขึน
ก) ผู ้บังคับบัญชาควรจะได ้สรุปให ้ทราบถึงผลเสย ้ จากพนั กงานทีม
่ ป
ี ั ญหาพิษสุรา
เรือ
้ รัง ทีม
่ ผ
ี ลกระทบต่อบุคคลอืน
่ ๆ
ี้ จงถึงผลทีจ
ง) ผู ้บังคับบัญชาควรจะได ้ชแ ่ ะตามมา ถ ้าหากพนั กงานนั น
้ ไม่เข ้าร่วมในโครงการ
แก ้ไข นั่นคือจะต ้องออกจากงานในทีส ่ ด
ุ
ประเภทที่ 3 พน ักงานทีช
่ อบปฏิบ ัติผด
ิ กฎระเบียบโดยการล ักขโมยและก่ออาชญากรรม
หรือกระทาการผิดกฎหมายอืน ่ ๆ
ในเรือ
่ งนีน ี หายต่อหน่วยงานอยูไ่ ม่น ้อย วิธก
้ ับว่าเป็ นปั ญหาเสย ี ารแก ้ไขในปั ญหาทีพ ่ นักงานชอบ
ลักเล็กขโมยน ้อย หรือปั ญหาในทานองเดียวกันทีม ่ ก ี ารทาผิดกฎหมายนัน ้ วิธห
ี นึง่ ก็คอ
ื โดย
ี ารพิจารณาตรวจสอบจากประวัตใิ นใบสมัคร ซงึ่ ต ้องใชวิ้ ธก
วิธก ี ารและเทคนิคในการถ่วงน้ าหนั ก
้
3. แบบฟอร์มทีใ่ ชในการท างานต่าง ๆ ควรจะได ้มีการตรวจสอบอย่างครบถ ้วนในทุกขัน ้ ตอน
ของการดาเนินการ ซงึ่ หากมิได ้มีการควบคุมก็อาจจะมีชอ
่ งทีจ
่ ะเปิ ดโอกาสให ้มีการลักขโมย
หรือทาข ้อมูลเท็จต่าง ๆ
ิ สว่ นตัวเชน
5. โดยเฉพาะพนักงานสตรี จะต ้องมีการระมัดระวังทรัพย์สน ่ กระเป๋ าถือ ตลอดจน
ของใชส้ ว่ นตัวทีต
่ ด
ิ ตัวมา
7. มีระบบการจัดเก็บรักษากุญแจทีด
่ ี
ทัง้ หมดนีก
้ ็คอ
ื ระบบการรักษาความปลอดภัยทีจ่ ะต ้องจัดขึน ้ พร ้อมกันทุกจุด ซงึ่ ลักษณะความ
เข ้มงวดหรือการมีมาตรการจะให ้มีมากเพียงใดก็อยูท ่ ป
ี่ ั ญหาความจาเป็ นของแต่ละแห่ง
ประเภทที่ 4 พน ักงานทีช
่ อบปฎิบ ัติผด
ิ ระเบียบและกฎเกณฑ์
้
ก. ลักษณะของการใชวาจาที
ไ่ ม่สภ ่ การกล่าวคาหยาบ
ุ าพ เชน
ข. ลักษณะแสดงอาการข่มขูน
่ ั่นคือการขูอ
่ าฆาตต่อผู ้บังคับบัญชา
ค. การแสดงกิรย
ิ าทีไ่ ม่ดต
ี อ
่ ผู ้บังคับบัญชาทัง้ โดยทางตรงและโดยทางอ ้อม
ลูกน้ องไม่ รับผิดชอบจัดการอย่ างไร
ลูกน้ องไม่ รับผิดชอบจัดการอย่ างไร
1. มีความเป็นผูน
้ า (Leadership)
ผู ้นา หมายถึง การแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อผลงานทีเ่ กิดขึน ้ จากสมาชกิ ในทีม และ
สามารถโน ้มน ้าวจิตใจให ้ผู ้อืน
่ ปฏิบัตต
ิ ามแผนงานทีก
่ าหนดไว ้ด ้วยความเต็มใจ และเป็ นทีย
่ อมรับ
ของสมาชก ิ ทุกคนในทึม
5 คุณลักษณะพฤติกรรมด ้านผู ้นาทีล
่ ก
ู น ้องต ้องการมีดังต่อไปนี้
1. ิ ใจ
อยากเห็นหัวหน ้ามีความกล ้าตัดสน หรือตัดสน ิ ใจอย่างเด็ดขาด
้ ของทีม ไม่ใชโ่ ทษ
2. อยากเห็นหัวหน ้าแสดงความรับผิดชอบต่อผลงานทีเ่ กิดขึน
แต่ลก
ู น ้อง
3. อยากเห็นหัวหน ้าพูดจริง ทาจริง ไม่เหลาะแหละ
4. อยากเห็นหัวหน ้าปกป้ องลูกน ้องในเรือ ่ งต่างๆ เชน่ กล ้าพูด กล ้าแสดงความ
คิดเห็นแทนลูกน ้อง กล ้าชนกับหน่วยงานอืน
่
5. อยากเห็นหัวหน ้าเป็ นทีพ ึ ไม่สบายใจ
่ งึ่ พิง เวลาทีเ่ กิดปั ญหา หรือรู ้สก
2. มีความยุตธ
ิ รรม (Fair)
ความยุตธิ รรม หมายถึง ความเสมอภาคในการตัดสน ิ ใจ หรือให ้ความสาคัญกับคนใดหรือสงิ่ ใด
โดยทีไ่ ม่เอนเอียงไปด ้านใด ด ้านหนึง่ หรือฝ่ ายใดฝ่ ายหนึง่
5 พฤติกรรมทีผ
่ ู ้ตามคาดหวังจากหัวหน ้าด ้านความยุตธิ รรม มีดังนี้
1. อยากเห็นหัวหน ้าเป็ นคนมีเหตุผล
่ งสว่ นตัวกับเรือ
2. อยากเห็นหัวหน ้ารู ้จักแยกแยะเรือ ่ งงาน
3. อยากเห็นหัวหน ้าไม่แบ่งพรรค แบ่งพวก และรักลูกน ้องเท่ากันทุกคน
4. อยากเห็นหัวหน ้ารับฟั งความคิดเห็นของตนเองบ ้าง
5. อยากเห็นหัวหน ้าตัดสน ิ ใจโดยใชมาตรฐานเดี
้ ยวกับพนั กงานทุกคน
หัวหน ้างานต ้องมั่นฝึ กฝนตนเองในหลายๆ ด ้าน เชน ่ ต ้องรู ้จักใจแข็ง เห็นแก่ประโยชน์สว่ นรวม
่
มากกว่าสวนตัว แยกระหว่างเรือ ่
่ งสวนตัวกับเรือ
่ งงานออกจากกัน การฝึ กการบริหารด ้วยความ
้
จริง โดยไม่ใชอารมณ์ มามีสว่ นในการตัดสนิ ใจ และทีส ่ าคัญคือ ให ้ความเสมอภาคกับทุกคน
พฤติกรรมในแง่ลบทีไ่ ม่ควรทา มีดังนี้ ไม่ยต
ุ ธิ รรม ลาเอียง มักเอาใจใสแ่ ต่คนทีอ ิ เท่านั น
่ ยูใ่ กล ้ชด ้
ดังนัน
้ ิ ทาอะไรผิดก็รอดตัวเสมอ เล่นพรรคเล่นพวก (เด็กใคร เด็กมัน) สอง
คนทีใ่ กล ้ชด
มาตรฐาน ไม่ชอบหน ้าใครก็จ ้องแต่จะลงโทษคนนัน ้ หรือชอบใครก็เชยี ร์แต่คนนั น
้
3. มีความร ับผิดชอบ (Responsibility)
5 พฤติกรรมทีผ
่ ู ้ตามคาดหวังจากหัวหน ้าด ้านความยุตธิ รรม มีดังนี้
1. อยากเห็นหัวหน ้าปฏิบัตต
ิ ามหน ้าทีค
่ วามรับผิดชอบอย่างเคร่งครัด
2. อยากเห็นหัวหน ้ากล ้าทีจ
่ ะรับผิดชอบผลงานต่างๆ ทีเ่ กิดขึน
้ ทัง้ ทีด
่ แี ละไม่ด ี
3. อยากเห็นหัวหน ้าเอาใจใสง่ าน
4. อยากเห็นหัวหน ้าไปชว่ ยเหลือลูกน ้องทีร่ ับผิดชอบ
5. อยากเห็นหัวหน ้าทางานอย่างเต็มความสามารถ
4. ทางานเป็นระบบ (system)
การทางานอย่างเป็ นระบบ หมายถึง การทีเ่ รากาหนดขัน ้ ตอนและวิธป ี ฏิบัตงิ านได ้อย่างเหมาะสม
แล ้วนาไปปฏิบัตใิ ห ้สอดคล ้องกับการปฏิบัตงิ านจริง เชน ่ ขัน
้ ตอนการทางาน การสอ ื่ สาร การ
แก ้ไขปั ญหา การมอบหมายงาน การตรวจสอบติดตามงาน เป็ นต ้น โดยคานึงภึงสภาพแวดล ้อม
หรือปั จจัยต่างๆ ทีเ่ กีย
่ วข ้องกับการปฏิบัตงิ านทัง้ หมด ทาให ้ผู ้ปฏิบัตงิ านมีความเข ้าใจและ
สามารถปฏิบัตงิ านได ้อย่างถูกต ้องเหมาะสม และไม่เกิดความสบ ั สน
5 พฤติกรรมทีผ
่ ู ้ตามคาดหวังจากหัวหน ้าด ้านการทางานอย่างเป็ นระบบ มีดังนี้
1. ทางานอย่างเป็ นระบบ เชน ่ การวางแผนการสงั่ งาน การติดตามงาน การรายงาน การแก ้ไข
ปั ญหา
2. สร ้างมาตรฐานในการปฏิบัตงิ านให ้กับพนักงาน
3. ทาระบบทีม
่ ใี นปั จจุบัน ให ้ตรงกับความเป็ นจริงทีล
่ ก
ู น ้องปฏิบัต ิ
4. ไม่ควรมีการเปลีย ่ นแปลงการปฏิบัตงิ านบ่อยเกินไป
5. เมือ่ มีการเปลีย
่ นแปลงระบบ หรือรายละเอียดในการทางาน ควรแจ ้งให ้ลูกน ้องทราบอย่าง
ทันเวลา
หล ักการบริหารจ ัดการ POLC
Planing การวางแผนงาน โดยต ้องรู ้ว่าเป้ าหมายคืออะไร เราจะไปสูเ่ ป้ าหมายนั น
้ ได ้อย่างไร
ขัน ี ารทาอย่างไรบ ้าง และใครต ้องมามีสว่ นร่วม ระยะเวลา และผลลัพธ์ทค
้ ตอนวิธก ี่ าดหวัง
ผลกระทบทีอ ่ าจจะเกิดขึน
้ จากนัน
้ ก็มากาหนดแผนการดาเนินงานทีเ่ หมาะสมกับเรือ
่ งนัน
้ ๆ
Organizing การจัดองค์กร โดยจัดลูกน ้องให ้เหมาะสมกับงานตามกาลัง ความสามารถ
จากนัน
้ ก็กาหนดขัน้ ตอนวิธก ่ การสอ
ี ารต่างๆ เชน ื่ สาร การปฏิบัตงิ านให ้ชด
ั เจน เข ้าใจง่าย และที่
สาคัญให ้สอดคล ้องกับการปฏิบัตงิ านของตนเองมากทีส ่ ด
ุ เพราะจะทาให ้เกิดการยอมรับได ้ง่าย
Leading การเป็ นผู ้นา คือ หัวหน ้าควรให ้อานาจอย่างเหมาะสมกับลูกน ้องแต่ละคน ไม่ล ้วงลูก
ั สนตนเอง มอบหมายหรือสงั่ อะไรกับใคร ก็ต ้องจาให ้ได ้ อย่าไปสบ
ไม่จู ้จี้ ไม่สบ ั สน หรือ
่ นแปลงอะไรย่อยๆ เพราะลูกน ้องสว่ นใหญ่ไม่ชอบการเปลีย
เปลีย ่ นแปลง
Controling/Evaluaton การควบคุมงาน เมือ ่ มอบหมายงานอะไร ให ้กับใครแล ้ว ก็ควร
ควบคุมติดตามงานอย่างเหมาะสม ไม่มากหรือน ้อยเกินไป ตามความยากง่ายของงาน ซงึ่ ทาให ้
เราสามารถทีจ
่ ะทราบความคืบหน ้าของงาน และประเมินสถานการณ์ตา่ งๆ ทีเ่ กิดขึน
้ และ
สามารถแก ้ไขปั ญหาได ้ทันเวลาเมือ
่ เกิดข ้อผิดพลาด
5. มีความสามารถในการแก้ไขปัญหา (Problem solving)
หมายถึงความสามารถในการจัดการกับสงิ่ ผิดปกติ หรือความบกพร่องของสงิ่ ทีเ่ กิดขึน ้ เพือ ่ ลด
ความสูญเสยี ต่างๆ ทีจ ่ ะเกิดตามมา โดยหลักการของการแก ้ไขปั ญหาคือ แก ้ตรงต ้นตอของ
ปั ญหา ในระยะเวลาทีส่ นั ้ ทีส
่ ด ี ารแก ้ไขปั ญหาซ้า และการแก ้ไขปั ญหาด ้วยวิธน
ุ และไม่มก ี จ
ี้ ะต ้อง
ไม่ไปกระทบทาให ้ปั ญหาอืน ่ ๆ ตามมา
5 พฤติกรรมทีผ
่ ู ้ตามคาดหวังจากหัวหน ้าด ้านการแก ้ไขปั ญหา มีดังนี้
1.มีความสามารถในการแก ้ไขปั ญหา
2.เข ้าไปชว่ ยเหลือลูกน ้องในการแก ้ไขปั ญหา
3.ไม่ปกปิ ดปั ญหา
4.ควรหาทางป้ องกันปั ญหาดีกว่ารอให ้ปั ญหาเกิดแล ้วค่อยมาแก ้ไข
5. ควรรับฟั งวิธก
ี ารแก ้ไขปั ญหาของลูกน ้อง และควรแก ้ไขปั ญหาร่วมกัน
วิธก
ี ารแก้ไขแบบ PDCA
1.Plan คือ การวางแผนโดยเป็ นการวิเคราะห์ปัญหาว่า เราต ้องการแก ้ไขปั ญหาอะไร จากนัน
้ ก็
เก็บรวบรวมข ้อมูล แล ้วทาการวิเคราะห์ เพือ
่ หาสาเหตุของปั ญหา แล ้วกาหนดวิธก ี ารแก ้ไข
ปั ญหา
2. Do คือ การนาแผนงานไปปฏิบัตงิ านโดยมอบหมายให ้กับผู ้ทีเ่ กีย
่ วข ้องไปปฏิบัตต
ิ ามขัน
้ ตอน
ทีเ่ รา
กาหนดไว ้ตามตารางเวลาอย่าเคร่งครัด
3. Check คือ การตรวจสอบ และประเมินผลการแก ้ไขหรือปรับปรุงทีไ่ ด ้ร่วมมือร่วมใจกันทาไป
แล ้ว
4. Action คือ การกาหนดวิธก ี ารมาตรฐานต่างๆ กรณีทป ี่ ั ญหายุต ิ สามารถแก ้ไขได ้ ให ้นา
วิธก
ี ารทีเ่ ราปฏิบัตน ้ มาสร ้างเป็ นมาตรฐานการทางานต่อไป ถ ้าหากไม่สาเร็จ ซงึ่ อาจเกิดจาก
ิ ัน
การแก ้ไขทีไ่ ม่ถกู วิธ ี หรือผู ้แก ้ไขไม่ตงั ้ ใจ ให ้กลับไปข ้อ 1 เพือ่ แก ้ไขปั ญหากันต่อไป
6. เปิ ดใจร ับฟังความคิดเห็น (Open mind)
การทีจ่ ะเปิ ดใจได ้ต ้องเกิดจาก การยอมรับและเข ้าใจ ซงึ่ การยอมรับในทีน ่ ี้ คือ การทีเ่ รายอมรับ
ว่าคนเราแต่ละคน ต่างทีม ึ ษา เลีย
่ า ต่างการศก ้ งดู ย่อมมีความคิดทีแ
่ ตกต่างกันออกไป และสอง
คือ การแสดงความเข ้าใจก่อนว่า คนทุกคนย่อมมีความคิดเป็ นของตนเอง และสท ิ ธิท ์ จ
ี่ ะเสนอ
ความคิดเห็นของตนเองด ้วย การจะคิดได ้กว ้าง คิดได ้ไกลจะต ้องอาศัยการระดมสมอง (Brain
storming) หรือเปลีย ่ นความคิดเห็น การถกเถียง หรือการแสดงเหตุผล ซงึ่ ต ้องอาศัยหลายๆ คน
ชว่ ยกันคิด
5 พฤติกรรมทีผ
่ ู ้ตามคาดหวังจากหัวหน ้าด ้านการเปิ ดใจรับฟั ง มีดังนี้
1.อยากเห็นหัวหน ้าแสดงความจริงใจ
2.เปิ ดใจรับฟั งเรือ
่ งจริงๆทัง้ ทีด
่ แ
ี ละไม่ด ี
3.ไม่อยากให ้หัวหน ้าเอาเรือ ่ งอดีตมาตัดสน ิ ปั จจุบันโดยไม่ฟังเหตุผลก่อน
4. อยากให ้หัวหน ้าเปิ ดโอกาสกับลูกน ้องทุกคนในการพูดคุยแสดงความคิดเห็นอย่างเท่า
เทียมกัน
5. เวลามีปัญหา อยากให ้หัวหน ้าสอบถามจากเราโดยตรง ไม่ควรไปสอบถามจากคนอืน ่
่ ยเหลือและสน ับสนุน (Support)
7. การให้ความชว
การให ้ความชว่ ยเหลือและสนั บสนุน หมายถึง การมีน้ าใจ โอบอ ้อมอารี การสง่ เสริม ให ้ผู ้อืน ่
ได ้รับความสะดวกสบายหรือพ ้นทุกข์ หรือมีความเป็ นอยูท
่ ดี่ ข
ี น
ึ้ กว่าปั จจุบัน หัวหน ้าต ้องแสดง
ความจริงใจ และไม่หวังสงิ่ ใดตอบแทน อย่าทาแบบเสย ี ไม่ได ้ หรือทาแบบขอไปที
่ ู ้ตามคาดหวังจากหัวหน ้าด ้านการให ้ความชว่ ยเหลือ มีดังนี้
5 พฤติกรรมทีผ
1.เสย ี สละเพือ
่ ลูกน ้อง
2.สง่ เสริมและสนับสนุนให ้ลูกน ้องมีความเจริญก ้าวหน ้าในด ้านต่างๆ
3.ให ้กาลังใจลูกน ้องเสมอทัง้ คาพูดและการกระทา
4.เมือ่ มีปัญหาต ้องเข ้าไปชว่ ยเหลือไม่ทงิ้ กัน
5. มีความใสใ่ จในเรือ ่ งทีล
่ ก
ู น ้องร ้องขอหรือต ้องการ(ในเรือ
่ งทีถ
่ ก
ู ต ้อง)
ิ ในทีม (Team development)
8. การพ ัฒนาสมาชก
การพัฒนาทีม หมายถึงการทีเ่ ราปรับปรุงและเพิม ่ พูนความรู ้ความเข ้าใจ ประสบการณ์และทักษะ
ด ้านต่างๆ ทีจ ่ าเป็ น เพือ ิ ในทีมทุกคนสามารถปฏิบัตงิ านได ้ดีขน
่ ให ้สมาชก ึ้ และมีความก ้าวหน ้า
มากขึน ้ ทัง้ เพือ่ ตัวของพนักงานและเพือ ่ หน่วยงาน
หัวหน ้าต ้องรู ้ก่อนว่าลูกน ้องมีกค
ี่ น แต่ละคนมีนส ั ใจคออย่างไร และแต่ละคนมีหน ้าทีร่ ับผิดชอบ
ิ ย
อะไรบ ้าง และทีส ่ าคัญคือ แต่ละคนมีจด ุ อ่อน จุดแข็งอะไร มีความรู ้ ทักษะหรือประสบการณ์ท ี่
เพียงพอต่อการปฏิบัตงิ านหรือไม่ จากนัน้ ก็รบี พัฒนาลูกน ้องแต่ละคนให ้มีความรู ้ ทักษะ
ประสบการณ์ให ้เหมาะสมกับแต่ละคน การพัฒนามีได ้หลายวิธ ี เชน ่ OJT (On the job
training) การสอนงาน (Coaching) การมอบหมายงาน (Job assignment)
5 พฤติกรรมทีผ ิ ในทีม มีดังนี้
่ ู ้ตามคาดหวังจากหัวหน ้าด ้านการพัฒนาสมาชก
1.อยากเห็นหัวหน ้าให ้ความสาคัญกับการพัฒนาลูกน ้อง
2.อยากได ้โอกาสในการพัฒนาตนเอง
3.อยากมีโอกาสเติบโตก ้าวหน ้าในสายอาชพ ี
4.อยากมีความรู ้ใหม่ๆเพือ
่ ปรับปรุงการทางานให ้ดีขน ิ ธิภาพสูงขึน
ึ้ และมีประสท ้
5. อยากเก่งเหมือนกับหัวหน ้า
9. มีความคิดสร้างสรรค์ (Creative thinking)
ความคิดสร ้างสรรค์ (Creative thinking) หมายถึง การค ้นหาวิธก ี ารปฏิบัตงิ าน เพือ
่
ปรับปรุงเปลีย่ นแปลงสงทีป่ ิ ่ ฏิบัตอ
ิ ยูใ่ นปั จจุบัน ในทางทีถ ่ ก
ู ต ้องให ้ดีขน
ึ้ กว่าทีเ่ คยทามา โดยพึง
ระลึกไว ้เสมอว่า “วันนีต
้ ้องดีกว่าเมือ่ วาน และวันพรุง่ นี้ต ้องดีกว่าวันนี้”
5 พฤติกรรมทีผ
่ ู ้ตามคาดหวังจากหัวหน ้าด ้านการมีความคิดสร ้างสรรค์ มีดังนี้
1. อยากเห็นหัวหน ้ามีความคิดสร ้างสรรค์ใหม่ๆ เพือ ่ การปรับปรุงและพัฒนาด ้าน
ต่างๆให ้หน่วยงานดีขน ึ้ กว่าทีเ่ ป็ นอยู่
2. อยากเห็นหัวหน ้าให ้ความสาคัญกับการเปลีย ่ นแปลงด ้านต่างๆ ของหน่วยงาน
3. อยากเห็นการเปลีย ่ เครือ
่ นแปลงใหม่ๆ เชน ่ งมือ เครือ ี ารหรือสงิ่ อืน
่ งจักร วิธก ่ ๆ ที่
ทันสมัยมากกว่าทีเ่ ป็ นอยูใ่ นปั จจุบัน
4.อยากเห็นหัวหน ้าเปิ ดรับฟั งและเข ้าใจในความคิดสร ้างสรรค์ของลูกน ้อง
5. อยากเห็นหัวหน ้าให ้การสนับสนุนอย่างจริงจัง ให ้ลูกน ้องได ้คิดสร ้างสรรค์
หัวข ้อ รายละเอียดการเปลีย
่ นแปลง
1. มีหนทางอืน ้ าอย่างอืน
่ หรือใชท ่ ้ า เปลีย
่ ได ้ จากเดิมใสน ่ อกไม ้หรือใส ่
่ นเป็ นใสด
หรือไม่ ตะเกียบ
2. ประยุกต์ใชวั้ สดุอย่างอืน
่ ได ้ จากเดิมปากแก ้วเป็ นรูปวงกลม เปลีย
่ นปาก
หรือไม่ แก ้วเป็ นรูปหัวใจ
3. ถ ้าเพิม
่ เข ้าไป ลดลงมาหรือทา ออกแบบรูปทรงใหม่ หรือเพิม
่ ลวดลายที่
กลับกัน จะเป็ นอย่างไร ทันสมัยมากขึน
้
4. ถ ้าขยายขนาดให ้ใหญ่ขน
ึ้ หรือทา ทาให ้ใหญ่ขน
ึ้ เพือ
่ เอาไว ้เลีย
้ งปลาตัวเล็กๆ
เกินจริง จะเป็ นอย่างไร
้
6. ถ ้าใชแทน ่ ทน
วางแทนใหม่ ใสแ จากเดิมทาจากแก ้ว เปลีย
่ นเป็ นทาจาก
ใหม่ กระดาษ
7. ถ ้าตีลังกา ทากลับกัน หรือกลับ กลับด ้านจากแก ้วปากกว ้างก ้นแคบ เป็ นปาก
ด ้านหลัง จะเป็ นอย่างไร แก ้วแคบ แต่ก ้นกว ้าง
10. ไม่ถอ
ื ต ัว และให้เกียรติลก
ู น้อง (Respectation)
การให ้เกียรติ หมายถึง การปฏิบัตต
ิ อ
่ บุคคลอืน
่ โดยการให ้ความเคารพในสท ิ ธิและ
ความเป็ นคน โดยคานึงถึง กฏระเบียบ มารยาท ขนบธรรมเนียมประเพณีตา่ งๆ เริม ่ จากการเห็น
คุณค่าของความเป็ นคน ต ้องเอาใจเขามาใสใ่ จเรา เราอยากให ้เขาดีกับเราเท่าไร เราก็ต ้องทาดี
กับเขามากกว่านัน
้ สองเท่า
5 พฤติกรรมทีผ
่ ู ้ตามคาดหวังจากหัวหน ้าด ้านการให ้เกียรติ มีดังนี้
1.ให ้เกียรติผู ้อืน
่ และลูกน ้องโดยเห็นคุณค่าของความเป็ นคน
2.ให ้ความสนิทสนมและมีความเป็ นกันเองไม่ถอ ื ตัว
3.เคารพในสท ิ ธิของผู ้อืน
่
4.มีกริ ย
ิ ามารยาทพูดจาไพเราะ
5. ไม่ดถ ู ก ่ การศก
ู ลูกน ้องในด ้านต่างๆ เชน ึ ษา ฐานะครอบครัว หรือ สถานภาพต่างๆ
กลยุทธ์ การสั่ งงานให้ ได้ ผล
กลยุทธ์การสังงานให้
่ ได้ผล
การสังงานเป็
่ นภาระหน้าทีข่ องผูบ้ ริหารทุกระดับทีจ่ ะต้องเกีย่ วข้องกับการสังบุ ่ คลากร
ภายในองค์กรให้สามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผูบ้ ริหารจะต้องวิเคราะห์ขอ้ มูลของ
ปญั หาเฉพาะหน้าต่างๆ ทีเ่ กิดขึน้ แล้ววินิจฉัยสั ่งงานไปยังผูอ้ ยูใ่ ต้บงั คับบัญชาของตนให้
ทราบถึงแนวทางสาหรับการแก้ไขข้อบกพร่องในการปฏิบตั งิ านให้มปี ระสิทธิภาพยิง่ ขึน้ ซึง่
ผูบ้ ริหารหรือหัวหน้างานนัน้ ได้ช่อื ว่าเป็ นผูท้ ต่ี อ้ งอาศัยผูใ้ ต้บงั คับบัญชา ทีม่ คี วามรู้
ความสามารถมาช่วยปฏิบตั งิ านให้บรรลุเป้าหมายตามทีต่ นได้วางแผนไว้ ในการสั ่งงานและ
กระตุน้ ให้คนทางานด้วยความเต็มใจนัน้ ผูบ้ ริหารทีด่ จี ะต้องมีความรูเ้ กีย่ วกับ ศิลปของการ
เป็ นผูน้ า หลักมนุ ษยสัมพันธ์ พฤติกรรมของบุคคลในองค์กร และประการสุดท้ายคือต้องรู้
หลักจิตวิทยาในการสังงาน
่ จึงจะสามารถสังงานได้ ่ อย่างมีประสิทธิภาพ และทาให้การทางาน
นัน้ บรรลุตามเป้าหมายทีไ่ ด้ตงั ้ ไว้
การสังงาน
่ คือการทีผ่ บู้ ริหารหรือหัวหน้างานมอบหมายงานให้ผใู้ ต้บงั คับบัญชาทาพร้อม
ทัง้ แนะนาวิธกี ารปฏิบตั ิ เพือ่ ให้บรรลุวตั ถุประสงค์ขององค์กร การสังงานนี ่ ้มคี วามหมาย
รวมทัง้ การขอร้องให้ปฏิ บตั ิ เป็ นการสังที ่ ใ่ ช้คาพูดทีน่ ุ่มนวล มักใช้คาพูดว่า “ช่วย....” ใน
่ ปฏิบตั ิ การขออาสาสมัครในการปฏิ บตั ิ เป็ นการสังที
การสังให้ ่ ผ่ สู้ งต้
ั ่ องมีความมันใจว่
่ า
จะต้องมีผอู้ าสาทางานให้ หรือรูอ้ ยูแ่ ล้วว่ามีผทู้ ส่ี ามารถทางานนัน้ ได้ แต่ตอ้ งการให้เกียรติเขา
ให้เขารูส้ กึ ภาคภูมใิ จทีจ่ ะทางานให้ และการออกคาสั ่งแบบบังคับให้ปฏิ บตั ิ การสังแบบนี ่ ้
ต้องการความเด็ดขาด ผูก้ ระทาตามคาสังอาจจะไม่ ่ มคี วามรู้ ความสามารถในการคิด เช่น
การสังเพราะมี
่ เวลาน้อย ต้องการความเร่งรีบ
แต่บอ่ ยครัง้ ก็พบว่าผูส้ ั ่งงานไม่สามารถทีจ่ ะสั ่งผูร้ บั คาสั ่งให้ทางานได้สมั ฤทธิผลอย่
์ างมี
ประสิทธิภาพ อันเนื่องมาจากปญั หาทีเ่ กิดจากผูส้ ั ่งงาน และผูร้ บั งานทีส่ าคัญดังแสดงใน
ตารางที่ 1
ปัญหาของผูส้ งงาน
ั่ ปัญหาของผูร้ บั คาสัง่
-สังงานไม่
่ ชดั เจน -ไม่เข้าใจคาสัง่ ไม่กล้าซักถาม
-ใช้อานาจในการสังโดยไม่ ่ คานึงถึงความ -รับและถ่ายทอดคาสังไม่ ่ ชดั เจน
เป็ นไปได้
-ไม่ปฏิบตั ติ ามคาสัง่
-เปลีย่ นแปลงคาสังบ่ ่ อย
-รับคาสังแล้
่ วลืม
-ไม่รบั ผิดชอบเมื่อมีการปฏิบตั ผิ ดิ เพราะ
-ไม่มคี วามสามารถในการทางานทีถ่ ูกสังให้
่
คาสังผิ ่ ด
ทา
-สังงานข้
่ ามขัน้ ตอน
-ไม่สามารถทางานให้เสร็จทันเวลาตาม
-ผูส้ งงานไม่
ั่ มเี วลาให้ซกั ถาม กาหนด
-ใช้อารมณ์ในการสังงาน
่ -ไม่รายงานผลการปฏิบตั งิ านให้ผสู้ งงาน
ั่
ทราบ
-สังงานมากไปในขณะเดี
่ ยวกัน
-สังงานซ
่ ้าซากน่าเบื่อหน่าย
-สังงานแล้
่ วลืมว่าตนเองเป็ นคนสัง่
-ผูส้ งงานมี
ั่ มากเกินไป
-ขาดการติดตามผลการสังงาน
่
-สังงานล่
่ าช้าไม่ทนั เหตุการณ์
ลักษณะของการสังงานที
่ ่ดี
2. งานที่สงต้
ั ่ องมีลกั ษณะที่เป็ นไปได้ ถ้างานทีส่ งเป็
ั ่ นงานทีส่ ุดวิสยั ของผูใ้ ต้บงั คับบัญชาที่
จะทาได้ ย่อมไม่ได้รบั ความร่วมมือ ผูส้ งงานจะต้
ั่ องรูถ้ งึ ความสามารถของผูร้ บั คาสัง่
ทรัพยากรต่างๆทีจ่ ะต้องใช้ และระยะเวลาทีก่ าหนดว่าพอเพียงหรือไม่
3. คาสังต้
่ องมีความสมบูรณ์ โดยทีเ่ มื่อผูใ้ ต้บงั คับบัญชารับคาสังนั
่ น้ แล้ว ต้องมีความ
เข้าใจอย่างชัดเจนว่าผูส้ งงานต้
ั่ องการให้ทาอะไร
5. ถ้อยคาที่ใช้ในคาสังควรใช้
่ ถ้อยคาที่ชวนให้ผ้รู บั คาสั ่งเต็มใจปฏิ บตั ิ ตามคาสัง่
ลักษณะของคาสังต้่ องไม่แฝงการวางอานาจของผูบ้ งั คับบัญชา ต้องใช้วธิ อี อกคาสังในรู
่ ปแบบ
ของการจูงใจ
6. คาสังควรมี
่ ลกั ษณะเป็ นการแนะนา มากกว่าคาสังที
่ ม่ ลี กั ษณะแบบเผด็จการ
7. การอธิ บายเหตุผลประกอบการสั ่งงาน มีสว่ นช่วยให้ผปู้ ฏิบตั งิ านปฏิบตั ติ ามด้วยความ
เต็มใจ เพราะการทีค่ นเราต้องทาอะไรตามคาสังคนอื ่ ่นโดยไม่ทราบว่าทาไปเพือ่ อะไร หวัง
ผลอะไรจากการทางานนัน้ เขาจะขาดความรูส้ กึ กระตือรือร้นในการทางาน ฉะนัน้ จึงเป็ นการ
สมควรเป็นอย่างยิง่ ทีผ่ สู้ งงานต้
ั่ องอธิบายเหตุผลทีต่ อ้ งทางานนัน้ ให้ผรู้ บั คาสังทราบ
่ โดยไม่
แสดงอารมณ์ฉุนเฉียว
ข้อควรระวังในการสังงาน
่
ในการสังงานที
่ ด่ ี พึงระวังและพยายามหลีกเลีย่ งพฤติกรรมการสังงานดั
่ งต่อไปนี้
1. สังงานขณะโกรธ
่ เพราะจะเป็ นการสังตามอารมณ์
่ ขาดหลักการจูงใจในการสังงาน
่
4. สังงานหลายเรื
่ ่องในขณะเดียวกัน เนื่องมาจากงานเร่ง หรือมีงานค้างทีย่ งั ไม่สงก่
ั ่ อนนี้
ประเภทของการสังงาน
่
การสังงานสามารถจ
่ าแนกออกได้เป็ น 3 ประเภททีส่ าคัญ ดังต่อไปนี้คอื
1. การสังงานโดยตรง
่ มักใช้ในกรณีดงั ต่อไปนี้
- มีเหตุฉุกเฉิน
- เมื่อต้องการให้มกี ารควบคุมอย่างเข้มงวดกวดขัน
- เมื่อต้องปฏิบตั เิ ป็ นการฉับพลัน
2. การสังงานโดยวิ
่ ธีขอร้อง มักใช้ในกรณีดงั ต่อไปนี้
- ในงานปกติ
- เมื่อมอบหมายงานให้เขาทาโดยใช้ดุลยพินิจเองบ้าง
3. การสังงานโดยให้
่ การเสนอแนะ มักใช้ในกรณีดงั ต่อไปนี้
- ส่งเสริมความคิดริเริม่
- ใช้กบั คนรูง้ านดีในหน้าทีด่ อี ยูแ่ ล้ว
- ใช้กบั คนทีม่ คี วามรูส้ กึ รับผิดชอบต่อหน้าทีด่ อี ยูแ่ ล้ว
วิธกี ารวินิจฉัยสังงานที
่ ผ่ บู้ ริหารองค์กร ธุรกิจควรยึดถือไว้เป็ นแนวทางในการปฏิบตั มิ ี 3
ประการทีส่ าคัญด้วยกันคือ
การสังงานให้
่ มีประสิ ทธิ ภาพ
การสังงานที
่ ด่ แี ละมีประสิทธิภาพจะต้องเป็ นการติดต่อสื่อสารสองทางระหว่างผูอ้ อกคาสัง่
และผูร้ บั คาสัง่ คาสัง่ ระเบียบ และข้อบังคับย่อมใช้เป็ นแนวทางในการออกคาสังให้ ่
ผูใ้ ต้บงั คับบัญชาถือปฏิบตั ิ การสังงานจะต้
่ องเป็ นไปภายในขอบข่ายแห่งคาสัง่ ระเบียบ และ
ข้อปฏิบตั นิ นั ้ ๆ ผูบ้ งั คับบัญชาชัน้ สูงจะสังการอย่
่ างกว้างในด้านนโยบายและวัตถุประสงค์ของ
องค์กร แต่หวั หน้างานจะต้องสังการโดยอาศั่ ยวัตถุประสงค์ของหน่วยงานเป็ นแนวทาง การ
สังงานอาจแตกต่
่ างกันแล้วแต่เหตุการณ์ หรือแล้วแต่ผใู้ ต้บงั คับบัญชาแต่ละคน บางครัง้ อาจ
ต้องการความรวดเร็วฉับพลันในการปฏิบตั ิ แต่บางครัง้ เพียงให้ขอ้ เสนอ แนะนาทีค่ วรปฏิบตั ิ
แก่ผรู้ บั คาสังก็่ อาจเป็ นการเพียงพอแล้วก็ได้
บทสรุป
การสังงานเป็
่ นภาระหน้าทีข่ องผูบ้ ริหารทุกระดับทีจ่ ะต้องเกีย่ วข้องกับการสังบุ ่ คลากร
ภายในองค์กรให้สามารถทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผูบ้ ริหารจะต้องวิเคราะห์ขอ้ มูลของ
ปญั หาเฉพาะหน้าต่างๆ ทีเ่ กิดขึน้ แล้ววินิจฉัยสั ่งงานไปยังผูอ้ ยูใ่ ต้บงั คับบัญชาของตนให้
ทราบถึงแนวทางสาหรับการแก้ไขข้อบกพร่องในการปฏิบตั งิ านให้มปี ระสิทธิภาพ
ซึง่ การสังงานที
่ ด่ แี ละมีประสิทธิภาพจะต้องเป็ นการติดต่อสื่อสารสองทางระหว่างผูอ้ อก
คาสัง่ และผูร้ บั คาสัง่ การสังงานจะต้
่ องเป็ นไปภายในขอบข่ายแห่งคาสัง่ ระเบียบ และข้อ
ปฏิบตั ขิ ององค์กร ธุรกิจ ผูบ้ งั คับบัญชาชัน้ สูงจะสังการอย่ ่ างกว้างในด้านนโยบายและ
วัตถุประสงค์ขององค์กร แต่หวั หน้างานจะต้องสังการโดยอาศั ่ ยวัตถุประสงค์ของหน่วยงาน
เป็ นแนวทาง การสังงานอาจแตกต่
่ างกันแล้วแต่เหตุการณ์ หรือแล้วแต่ผใู้ ต้บงั คับบัญชาแต่ละ
คน บางครัง้ อาจต้องการความรวดเร็วฉับพลันในการปฏิบตั ิ แต่บางครัง้ เพียงให้ขอ้ เสนอ
แนะนาทีค่ วรปฏิบตั แิ ก่ผรู้ บั คาสังก็
่ อาจเป็ นการเพียงพอแล้วก็ได้ และการสังงานเป็
่ นลาย
ลักษณ์อกั ษร ควรใช้ในกรณี เมื่อต้องการจะส่งคาสั ่งนัน้ ไปให้อกี ฝา่ ยหนึ่งรับทราบ เมื่อผูร้ บั
คาสังเป็
่ นคนเข้าใจช้า หรือลืมเก่ง เมื่อคาสังนั ่ น้ มีรายละเอียดปลีกย่อย หรือในคาสังนั ่ น้ มี
ตัวเลขซึง่ ทาให้จาได้ยาก เมื่อต้องการจะให้ผรู้ บั คาสังเป็่ นผูร้ บั ผิดชอบโดยเคร่งครัด เมื่อคาสัง่
ให้ปฏิบตั งิ านนัน้ มีความสาคัญและเป็ นการจาเป็นทีจ่ ะให้มกี ารปฏิบตั ติ ามคาสังนั ่ น้ อย่าง
ถูกต้องทุกประการ
การสังงานอย่
่ างมีประสิทธิภาพของผูบ้ ริหารทุกระดับในองค์กร ธุรกิจ จะทาให้ผรู้ บั คาสัง่
เข้าใจตามคาสังถู
่ กต้องและปฏิบตั ติ ามคาสังด้
่ วยความเต็มใจ งานทีส่ งไปนั
ั ่ น้ สาเร็จลุลว่ ง
ด้วยดี นามาซึง่ การลดข้อผิดพลาดในการดาเนินกระบวนการทางธุรกิจ และเพิม่ ศักยภาพใน
การแข่งขันขององค์กร ธุรกิจ
การแก้ ไขปัญหา การหยุดงาน ของพนักงาน
มีคาถามจากเพือ ่ ง่ จดหมาย
่ น HR ว่า มีบริษัทใดบ ้าง ทีส
เลิกจ ้างไปยังทีอ่ ยูพ
่ นักงาน เมือ
่ พนักงานหยุดงานเกิน 3
วัน แล ้วหายไปเลย มีบ ้างไหมครับ ถ ้ามีชว่ ยแชร์
ตัวอย่างด ้วยครับ ปั จจุบน ั บริษัทเราแค่ตดั ชอ ื่ ออกจาก
ระบบเท่านัน ้ ครับ
เมือ
่ พนักงานหยุดงานเกินกว่า 3 วัน HR ควรดาเนินการ
ดังนี้
2) หรือพนักงานอาจจะกลับบ ้านต่างจังหวัด แล ้ว
ประสบอุบต ึ ตัว
ั เิ หตุนอนสลบอยู่ 3 – 4 วัน ไม่รู ้สก
ซงึ่ ก็เป็ นไปได ้ อาจจะติดต่อกลับมาหลังจากครบ 1
สปั ดาห์แล ้ว และปรากฎหลักฐานชด ั เจนว่า ยังไม่
สามารถกลับมาทางานได ้เป็ นเวลา 15วัน ก็ต ้อง
พิจารณาเรือ ่ งการลาป่ วยให ้พนักงาน ดังนัน ้ เมือ
่
เจอเหตุการณ์ใดๆ ิ ใจ
ก็ตามอย่าเพิง่ ด่วนตัดสน
สอบถามข ้อมูลให ้ชด ั เจนก่อน
เหตุอน
ั สมควร ได ้แก่ เหตุสด ุ วิสย ั ภัยธรรมชาติ
หรือเหตุผลสว่ นตัวตามหน ้าทีท
่ ม ี่ ต
ี อ ่
่ ครอบครัว เชน
ต ้องพาบุตร หรือภรรยาทีเ่ จ็บป่ วยกระทันหันไป
โรงพยาบาล
ตัวอย่างการเขียนจดหมายถึงพนักงาน
ื่ บริษัท
ชอ
วันที่ 7 ธันวาคม 2554
เรือ่ ง ขอให ้ท่านติดต่อหรือรายงานตัวต่อ
ผู ้บังคับบัญชาโดยเร็ว
เรียน นายสานึก รักดี พนักงานขับรถโฟล์คลิฟแผนก
ขนสง่ สน
ิ ค ้าฝ่ ายการตลาด รหัสพนักงาน 2055
ด ้วยตัง้ แต่วน
ั ที่ 1, 2 และ 6 ธันวาคม 2554
ท่านได ้หยุดงานไปเป็ นเวลา 3 วัน ทางบริษัท โดย
หัวหน ้างานและหัวหน ้าแผนกบุคคลได ้ไปเยีย ่ มท่าน
ทีบ ่ ้านพักในวันที่ 7 ธันวาคม ปรากฎว่าไม่มใี ครอยูท ่ ี่
บ ้านพัก สอบถามแล ้วไม่มใี ครทราบว่าท่านไปทีไ่ หน
รู ้แต่เพียงว่าท่านไม่ได ้อยูท ่ บ
ี่ ้านพักตัง้ แต่วน
ั ที่ 1
ธันวาคม2554 เป็ นต ้นมา
ตลอดเวลาทีท
่ า่ นหยุดงาน ท่านไม่มกี ารติดต่อ
หรือรายงานใดๆ ให ้ผู ้บังคับบัญชาของท่านทราบถึง
สาเหตุของการหยุดงานดังนัน ้ บริษัท ขอให ้ท่านรีบ
ติดต่อกลับมาทีบ ่ ริษัทโดยเร็ว หากท่านไม่ตด ิ ต่อ
กลับ บริษัทอาจพิจารณาว่า ท่านละทิง้ หน ้าทีเ่ กิน 3
วันโดยไม่มเี หตุผลความจาเป็ น อันถือว่าเป็ นกระทา
ผิดกรณีร ้ายแรง ตามข ้อบังคับเกีย ่ วกับการทางาน
หมวด 8 ข ้อ 3.5 เรือ ่ งละทิง้ หน ้าทีเ่ ป็ นเวลาสามวัน
ทางานติดต่อกันไม่วา่ จะมีวน ั หยุดคัน่ หรือไม่กต ็ าม
โดยไม่มเี หตุอน
ั สมควร
จึงเรียนมาเพือ
่ ทราบ
ลงชอื่ ........................................ผู ้จัดการฝ่ าย
ทรัพยากรมนุษย์
การดาเนินการทางวินัยทีห
่ วั หน ้างานและ HR ควรรู ้
http://www.oknation.net/blog/Smartlearning/201
1/03/23/entry-2
การดาเนินการทางวินัยที่ HR ควรรู ้ ตอน 6 (ตัวอย่าง
คาสงั่ เลิกจ ้าง:การทาร ้ายร่างกาย)
http://www.oknation.net/blog/Smartlearning/201
1/02/19/entry-1
การดาเนินการทางวินัยที่ HR ควรรู ้ ตอน 5 (ตัวอย่าง
คาสงั่ เลิกจ ้าง:พนักงานลาป่ วยเป็ นนิจ)
http://www.oknation.net/blog/Smartlearning/201
1/02/15/entry-1
.
มีเพือ ิ นั กศก
่ นๆ พีๆ่ น ้องๆ และนิสต ึ ษา HR หลายคนสง่ คาถาม
เกีย
่ วกับวิธก
ี ารคิด Turnover หรืออัตราการลาออกมา ผมก็เลย
เอามาสรุปให ้ใน Sheet อันเดียวจะได ้เห็นเปรียบเทียบ ว่ามี
หลายวิธใี นการคิดอัตราการลาออก สว่ นจะใชแบบไหนก็
้ ขนึ้ อยู่
กับสถานการณ์ครับ
3. ตงศู
ั้ นย์ร ับสม ัครงานต่างจ ังหว ัด (Remote Recruitment Office)
่ (Leaflet Distribution in
7. การแจกใบปลิวร ับสม ัครงานตามสถานีขนสง
Public Transportation)
จากนันเราก็
้ มานับอายุงานกันโดยใช้ สตู ร DATEDIF ซึง่ จะนับอายุงานแบบวัน
ชนวันให้ ผมแยกการนับอายุงานไว้ คนละคอลัมน์เพื่อให้ ง่ายต่อการดูและอธิบายครับ โดยวัน
สุดท้ ายที่นบั อายุงานก็คือวันสุดท้ ายของรอบการประเมินผล ตามนโยบายของแต่ละบริษัท ดู
สูตรการใช้ ได้ ตามเซล J12 (นับปี ) และ K12 (นับเดือน) ครับ
ส่วน การตังค่
้ าวันที่จะเริ่มและสิ ้นสุดการประเมินผลก่อน จากนันดู
้ ว่าตามนโยบาย
ของท่านเขาจ่ายเงินโบนัสหรื อปรับเงินขึ ้นแบบไหน ตามตัวอย่างผมตัด ณ วันที่ 30 มิถนุ ายน
นัน่ คือคนที่มาเริ่มงานกับบริษัทก่อน 1 มกราคม 2552 จะได้ รับการประเมินผลขึ ้นเงินเดือน
้ วนั ที่ 1 มกราคม - 30 มิถนุ ายน
และรับเงินโบนัสเต็มจานวน ส่วนคนที่มาเริ่มงานตังแต่
2552 จะได้ รับผลแบบตามสัดส่วน (Prorata) ส่วนคนไหนมาเริ่ มงานหลังวันที่ 30
มิถนุ ายน 2552 จะถูกเอาส่วนที่เหลือไปนับรวมจ่ายกับปี หน้ า
เกริน
่ นา
ผมคิดว่าทุกคนคงมีประสบการณ์ในการใชเครื ้ อ ่ งคอมพิวเตอร์เหมือนๆ
กับตัวผม คือมีคนบอกว่า "ทันทีทเี่ ราซอ ื้ เครือ ่ งออกจากร ้านมันก็ล ้าสมัย
ทันที" เพราะเทคโนโลยีด ้าน IT มีการพัฒนาไปเร็วมากและมีการ
เปลีย ่ นแปลงตลอดเวลา ทุกท่านคงเบือ ่ หน่ายกับการทีฮ ่ าร์ดแวร์ของ
เครือ ่ งคอมพิวเตอร์ทใี่ ชอยู ้ เ่ ผลอแผลบเดียวมันก็เก่าซะแล ้ว อย่าง
CPU Speed ทีส ่ ด
ุ ยอดๆ เคยซอ ื้ เมือ ่ ไม่กป ี่ ี ทผี่ า่ นมา 2.1 GHz ซอ ื้ ออก
จากร ้านประมาณ 2 หมืน ่ บาทก็หรูสด ุ ๆ แล ้ว ผ่านไปแต่ปีสองปี มันก็
กลายเป็ นเครือ ่ งทีด่ จ
ู ะล ้าหลังไปหน่อยซะแล ้ว ไหนจะฮาร์ดดิสก์อก ี ตอน
ซอ ื้ กะว่าใช ้ 500 GB เหลือๆ แต่พอใชจริ ้ ง ปี ทส ี่ องก็ชกั จะใกล ้เต็มแล ้ว
สว่ นทางด ้านซอฟท์แวร์เองก็มป ี ั ญหามากพอกันตัง้ แต่ Version ของ
ระบบปฏิบัตก ิ ารอย่าง Windows ทีพ ่ ัฒนาตัวใหม่ๆ ออกมาได ้ทุกปี แถว
ค่า License ก็แพงพอๆ กับทีจ ่ ะซอ ื้ เครือ ่ งใหม่ได ้เลย แล ้วถ ้าใคร
อยากจะซอ ื้ ซอฟท์แวร์ตัวใหม่ๆ มาใชช้ วั่ คราวแบบเฉพาะกิจ เชน ่ คนที่
เรียน ป.โท อยากใช ้ SPSS หรือ MATLAB ก็จะต ้องไปเดินหาซอ ื้ แผ่น
แล ้วก็ต ้องมาดูวา่ จะต ้องใชพื ้ น
้ ที่ Hard Disk ขนาดไหนถึงจะพอ แถม
ต ้องดูด ้วยว่า Spec เครือ ่ งเราจะรองรับไหม
ด ้วยปั ญหาทัง้ หลายเหล่านี้ จึงมีคนคิดขึน ้ มาว่าถ ้าหากเราขายระบบอะไร
สกั อย่างทีข ่ อให ้คนทีจ ่ ะเข ้ามาใชมี้ เครือ ่ งหรืออุปกรณ์ท ี่ Login หรือ
เชอ ื่ มต่อกับ Internet ได ้โดยไม่จาเป็ นต ้องมี Spec เครือ ่ งหรูๆ ขอแค่
ให ้มี Internet Explorer แล ้ว login เข ้าระบบแล ้วไปเลือกได ้ว่า วันนีฉ ้ ัน
อยากใชเครื ้ อ ่ งชว่ ยคานวณข ้อมูลรายได ้พนักงานทีม ่ อ
ี ยู่ 2,500 คนแบบ
ย ้อนหลัง 10 ปี อยากขอให ้ระบบจัดการข ้อมูลให ้ด ้วย เมือ ่ ขอระบบเสร็จ
ระบบก็จะไปค ้นหาดูวา่ ไอ ้เครือ ่ งทีม ่ อ ี ยูใ่ นเครือข่ายของระบบทีใ่ ห ้บริการ
อยูม ่ กี เี่ ครือ
่ งทีว่ า่ งๆ อยู่ จากนัน ้ มันก็จะกระจายการคานวณข ้อมูลออกไป
ให ้เครือ ่ งต่างๆ ในเครือข่าย ซงึ่ เราเองก็ไม่รู ้ว่าอยูไ่ หนบ ้างในโลก
จากนัน ้ พอคานวณเสร็จก็จะสง่ ผลลัพธ์กลับมาให ้ สว่ นใครทีอ ่ ยากใช ้
โปรแกรม Office ต่างๆ ก็ไปคลิกเลือกเลยว่าจะขอใชบริ ้ การโปรแกรม
อะไรบ ้าง โดยทีไ่ ม่ต ้องลงโปรแกรมทีเ่ ครือ ่ งเราเลย การทางานทัง้ หมด
ทาบนบราวเซอร์ทัง้ นัน ้ เพราะฉะนัน ้ เราก็จะตัดปั ญหาเรือ
่ งของ Spec
เครือ่ งหรือซอฟท์แวร์ไปได ้
สงิ่ ทีผ
่ มอธิบายมาข ้างต ้นนั่ นละครับคือภาพของสงิ่ ทีก่ าลังจะเกิดขึน
้ ใน
โลกการทางานทีเ่ รียกว่า Cloud Computing
ในขณะทีค ่ ณ
ุ JuaCompe's ให ้ความหมายไว ้ว่า cloud computing คือ
การขาย computation power โดย customers จะจ่ายเท่ากับจานวน
หน่วยทีใ่ ช ้ มองคล ้ายๆ web hosting แต่แทนทีเ่ ราจะให ้บริการ
hosting website, เรา hosting database server หรือ application
server สงิ่ ทีล
่ ก
ู ค ้าต ้องมีจะเหลือแค่"แก่น"จริงๆของ IT system นั่นคือ
business logic ทีถ ่ ก
ู ห่อด ้วย portable module อะไรซก ั อย่าง (เชน ่
EJB) ยุคต่อไปนีจ ้ ะมีคน run application server ไว ้ให ้ เราสามารถเอา
EJB ไป deploy ได ้ แล ้วจ่ายตังค์เท่าทีเ่ ราใช ้ computation power
ของ server นั น ้ ๆ (เชน ่ จ่ายตามจานวน request ทีเ่ ข ้ามา เป็ น
ต ้น) (จากหน ้าเว็บ
http://www.narisa.com/forums/index.php?app=blog&module=
display§ion=blog&blogid=15&showentry=1850 เมือ ่ วันที่ 11
ต.ค.53)
ว ัน พุ ธ ที่ 2 9 ก ัน ย า ย น พ . ศ . 2 5 5 3
การแยกคา MS-Excel
มีคนเขียน Email มาถามสมาชก ิ ในชมรม Excel for HR ซงึ่ มีคณ
ุ สาเริง
่ นๆ ผู ้เก่งกาจด ้าน Excel ทัง้ หลายชว่ ยตอบคาถาม
ยิง่ ถาวรสุขและเพือ
กันอยู่ และผมก็เป็ นสมาชก ิ อยูเ่ ชน่ เดียวกันว่า
จาก คุณสุรพล
=IF(LEFT(C3,6)="นางสาว",LEFT(C3,6),LEFT(C3,3))
=IF(LEFT(C3,6)="นางสาว",LEFT(C3,6),LEFT(C3,3))
สว่ นการตัดเอาเฉพาะชอ
ื่ ไม่รวมคานาหน ้ามา
ผมลองใชสู้ ตร
=IF(LEFT(C3,6)="นางสาว",MID(C3,7,15),MID(C3,4,15))
ิ ธิ คูณศรี
เสกสท
เขียนโดย Seksit Koonsri ที่ 00:29 ไม่มค
ี วามคิดเห็น:
ป้ ายกากับ: ตัดคา, แยกคา, Left, Mid, MS Excel
ว ัน จ ัน ท ร์ ท ี่ 2 2 กุ ม ภ า พ ัน ธ์ พ . ศ . 2 5 5 3
MS-Excel: การสร้างฐานข้อมูลการประเมินผลการปฏิบ ัติงาน
ประจาปี แบบง่าย - Force Ranking Chart (7) - ตอนจบ
ท ้ายทีส่ ด ้
ุ เราก็จะได ้กราฟเสนโค ้งรูประฆังควา่ เอาไว ้ให ้ผุ ้บริหารฝ่ าย
ต่างๆ ได ้นาไปดูเปรียบเทียบระหว่างจานวนพนักงานทีไ่ ด ้ผลการประเมิน
แต่ละระดับคะแนนตามนโยบายของบริษัทกับจานวนทีไ่ ด ้รับการปรับจริง
ซงึ่ จะชว่ ยลดปั ญหา Over Budget ได ้อีกทางหนึง่
เขียนโดย Seksit Koonsri ที่ 18:56 ไม่มค
ี วามคิดเห็น:
ป้ ายกากับ: การควบคุมงบประมาณ, การใช ้ MS-Excel, การสร ้างกราฟ
ประเมินผลการปฏิบัตงิ าน
MS-Excel: การสร้างฐานข้อมูลการประเมินผลการปฏิบ ัติงาน
ประจาปี แบบง่าย - Force Ranking Chart (6)
เมือ ่ ั งก์ชน
่ เข ้าสูฟ ั่ Format Data Series แล ้ว ให ้ไปคลิกที่ Line Style
แล ้วคลิกทีช ่ ง Smoothed Line แล ้วทาวิธก
่ อ ี ารเดียวกันกับกราฟอีก 1
้ เ่ หลือ
เสนที
เขียนโดย Seksit Koonsri ที่ 18:50 ไม่มค
ี วามคิดเห็น:
้
ป้ ายกากับ: กราฟเสนโค ้งระฆังควา่ Excel 2007, Format Data Series,
Line Style, Smoothed Line
MS-Excel: การสร้างฐานข้อมูลการประเมินผลการปฏิบ ัติงาน
ประจาปี แบบง่าย - Force Ranking Chart (5)
ว ัน พุ ธ ที่ 1 7 กุ ม ภ า พ ัน ธ์ พ . ศ . 2 5 5 3
ื่ เป็นเพศและสถานภาพ
MS-Excel: การแปลงคานาหน้าชอ
การรวมข ้อความเหล่านีท
้ าได ้หลายวิธ ี แต่ขอเอาวิธท
ี งี่ า่ ยๆ 2 วิธม
ี าฝาก
ั่ CONCATENATE กับเอา & มาใชดั้ งภาพครับ
คือฟั งก์ชน
เขียนโดย Seksit Koonsri ที่ 01:01 ไม่มค
ี วามคิดเห็น:
ื่ , ชอ
ป้ ายกากับ: การรวมข ้อความ, ข ้อมูลพนักงาน, คานาหน ้าชอ ื่ ,
นามสกุล, Concatenate, Excel
ว ัน อ ัง ค า ร ที่ 1 6 กุ ม ภ า พ ัน ธ์ พ . ศ . 2 5 5 3
MS-Excel: การใช ้ MS-Excel ชว ่ ยบ ันทึกตารางการทางานด้าน
ธุรการและสาน ักงาน
มี HR Admin มือใหม่หรือบางทีก็เป็ นผู ้ทีม
่ ป
ี ระสบการณ์แล ้วมักจะสบ ั สน
่ วายชวี ต
วุน ิ เกือบตลอดเวลา หากได ้รับมอบหมายให ้ดูแลการต่อสญ ั ญา
ต่างๆ รวมถึงงานประจาหรืองาน Routine ทีต ่ ้องไปติดต่อหน่วยงาน
ราชการต่างๆ แม ้นว่าบางทีลงบันทึกใน Outlook ไว ้แล ้วก็ยังหลงๆ ลืมๆ
เริม
่ จากจัดรายการงานทีต ่ ้องทาทัง้ หมดลงใน Sheet จากนัน ้ ก็ลงวันทีท ่ ี่
จะต ้องไปดาเนินการเอกสารนัน ้ ๆ แล ้วนับวันทีจ ่ ะครบกาหนดไป
ดาเนินการเอกสารนัน ้ ๆ ท ้ายทีส ุ ก็ใช ้ IF ร่วมกับ DATEDIF เพือ
่ ด ่ ชว่ ยให ้
เราทางานได ้โดยไม่มต ี กหล่น ซงึ่ การใชวิ้ ธก ี ารนีต
้ ารางบันทึกการ
ทางานของเราจะ Update วันและสงิ่ ทีต ่ ้องทาโดยอัตโนมัตเิ นือ่ งจากเรา
ใชฟั้ งก์ชน ั่ TODAY() มาชว่ ยในการ Reset วันให ้ตรงกับวันปั จจุบันทุก
ครัง้ ทีเ่ ปิ ดไฟล์นข
ี้ น
ึ้ มาครับ
้
ลองเอาไปประยุกต์ใชงานดู
ครับ
เขียนโดย Seksit Koonsri ที่ 01:51 ไม่มค
ี วามคิดเห็น:
ป้ ายกากับ: งานธุรการ, งานสานั กงาน, ตารางการทางาน, วางแผนการ
ทางานด ้วย Excel, Office Management, Routine Jobs
MS-Excel: การสร้างฐานข้อมูลการประเมินผลการปฏิบ ัติงาน
ประจาปี แบบง่าย-ตอนที่ 2
เมือ ่ ได ้จัดเตรียมข ้อมูลเบือ
้ งต ้นเพือ
่ การประเมินผลแล ้วเราก็มาต่อกัน
ด ้วยการแสดงผลคะแนนการประเมินทีไ่ ด ้จากแบบฟอร์มการประเมินผล
ซงึ่ ผู ้บังคับบัญชาของแต่ละฝ่ ายได ้นาไปประเมินให ้คะแนน
ผู ้ใต ้บังคับบัญชาแล ้ว ออกมาเป็ นเกรดหรือมาตรวัดตามทีแ ่ ต่ละบริษัท
ใชอยู ้ ่ ตามตัวอย่างต่อไปนี้
จากนัน้ ก็นาเกรดไปคิดเทียบโบนัสทีจ
่ ะได ้รับและคิดอัตราการขึน
้
เงินเดือนตามเกรดประเมินผล โดยใชฟั้ งก์ชน ั่ Vlookup
ตัวอย่างคาถามเกี่ยวกับเงินเดือนเหล่านี ้เช่น....
2.บริษัทเอาหลักเกณฑ์อะไรมากาหนดว่าพนักงานในตาแหน่งไหนควรจะได้ เงินเดือนเท่าไหร่
ก็เช่น....
ฯลฯ
ที่ผมยกมาให้ เห็นเป็ นตัวอย่างข้ างต้ นนี่แหละครับคือเรื่ องของ “หลักในการบริหารค่าตอบแทนของ
บริษัท” ซึง่ เป็ นหน้ าที่ของคนทางานด้ าน HR จาเป็ นจะต้ องอธิบายให้ กับ Line Manager ตลอดจน
พนักงานในบริษัททุกคนได้ รับทราบ เพื่อให้ เกิดความเข้ าใจที่ตรงกันและไม่ได้ เป็ นความลับนะครับ
ไม่ใช่อย่างงันนะครั
้ บ..อย่าเข้ าใจผิดคิดว่าผมจะให้ เอาโครงสร้ างเงินเดือนของบริษัทมาเปิ ดเผยสัก
หน่อย
ระยะเวลาทดลองงาน
โดยทัว่ ไปพนักงานทดลองงานมักจะมีเวลาทดลองงานกันตามกฎหมายแรงงานก็คือไม่เกิน 120
วัน เพราะเมื่อครบ 120 วันแล้ วหากองค์กรจะเลิกจ้ างโดยไม่มีเหตุผลตามมาตรา 119 ของพระราชบัญญัติ
คุ้มครองแรงงาน ปี พ.ศ.2541 แล้ วล่ะก็ องค์กรจะต้ องจ่ายค่าชดเชยให้ ตามอายุงาน (ตามมาตรา 118) ซึง่
หากท่านที่สงสัยว่าแล้ วมาตรา 118 หรื อ 119 เป็ นอย่างไรท่านก็ไปดาวน์โหลดพระราชบัญญัติค้ มุ ครอง
แรงงานปี 2541 ได้ ที่ www.mol.go.th ได้ นะครับ หรื อไปถามจากฝ่ ายทรัพยากรบุคคลของท่านก็ได้ ครับ
เพราะเขาควรจะต้ องรู้เรื่ องนี ้ดี
โดยองค์กรที่ปฏิบตั เิ ช่นนันอาจจะไม่
้ ทราบว่า กรณีที่พนักงานไม่ผา่ นทดลองงานแล้ วจะมี
ผลกระทบใดบ้ าง ?
แต่ถ้าหากว่าพนักงานนันไม่
้ ผา่ นทดลองงาน แล้ วไปแจ้ งกับตัวพนักงานในวันที่ 120 ว่า “นี่น้องจ๋า
....พี่ประเมินผลการทางานของน้ องในช่วงทดลองงานแล้ วพี่เห็นว่าน้ องยังทางานไม่ได้ ตามมาตรฐานที่
บริษัทกาหนดไว้ พี่วา่ พรุ่งนี ้น้ องคงไม่ต้องมาทางานแล้ วล่ะนะ....ไปหางานใหม่ก็แล้ วกัน ฯลฯ”
เช่ น สมมุตบิ ริษัทของท่ านจ่ ายค่ าจ้ างเป็ นรายเดือน ๆ ละครัง้ ในทุกวันที่ 28 ของเดือน
สมมุตวิ า่ ท่านต้ องการจะแจ้ งเลิกจ้ างให้ มีผลในวันที่ 1 ของเดือนถัดไป ท่านก็ต้องแจ้ งเลิกจ้ าง (เป็ นหนังสือ
เลิกจ้ าง) ภายในวันที่ 28 ของเดือนนี ้ (สมมุตเิ ป็ นเดือนพฤษภาคม) เพื่อให้ มีผลการเลิกจ้ างในวันที่ 28 ของ
เดือนถัดไป (คือ 28 มิถนุ ายน) ซึง่ เมื่อยืนหนังสือเลิกจ้ างให้ พนักงานทราบวันที่ 28 พฤษภาคม แล้ ววันรุ่งขึ ้น
(คือวันที่ 29 พฤษภาคม) พนักงานรายนี ้ก็ไม่ต้องมาทางาน (เพราะถูกเลิกจ้ าง) ดังนันบริ
้ ษัทก็ต้องจ่ายค่า
บอกกล่าวล่วงหน้ าไป 1 เดือน
การสัมภาษณ์งานนันนั
้ บว่าเป็ นปราการด่านสุดท้ ายขององค์กรที่จะให้ ผ้ บู ริหารได้ ดตู วั และพูดคุย
กับผู้สมัครงานก่อนที่จะนาผลจากการพูดคุยหรื อสัมภาษณ์มาประมวลเพื่อเปรี ยบเทียบกับบรรดาผู้สมัคร
งานในตาแหน่งเดียวกันว่าองค์กรจะเลือกใครเข้ าทางาน
มีอะไรในใบสมัครงาน ?
2. ชื่อ-นามสกุลผู้สมัครงาน
3. ตาแหน่งงานที่สมัคร
4. อัตราเงินเดือนที่ผ้ สู มัครคาดหวัง
5. ประวัตกิ ารศึกษา
6. ประวัตกิ ารทางาน
บทสรุป
………………………………………………….
มาตรา ๑๑๘ ให้ นายจ้ างจ่ ายค่ าชดเชยให้ แก่ ลูกจ้ างซึ่งเลิกจ้ างดังต่ อไปนี้
(๑) ลูกจ้ างซึ่งทางานติดต่ อกันครบหนึ่งร้ อยยี่สิบวัน แต่ ไม่ ครบหนึ่งปี ให้ จ่ายไม่ น้อยกว่ าค่ าจ้ าง
อัตราสุดท้ ายสามสิบวัน หรื อไม่ น้อยกว่ าค่ าจ้ างของการทางานสามสิบวันสุดท้ ายสาหรั บลูกจ้ างซึ่ง
ได้ รับค่ าจ้ างตามผลงานโดยคานวณเป็ นหน่ วย
(๒) ลูกจ้ างซึ่งทางานติดต่ อกันครบหนึ่งปี แต่ ไม่ ครบสามปี ให้ จ่ายไม่ น้อยกว่ าค่ าจ้ างอัตราสุดท้ าย
เก้ าสิบวัน หรื อไม่ น้อยกว่ าค่ าจ้ างของการทางานเก้ าสิบวันสุดท้ ายสาหรั บลูกจ้ างซึ่งได้ รับค่ าจ้ าง
ตามผลงานโดยคานวณเป็ นหน่ วย
(๓) ลูกจ้ างซึ่งทางานติดต่ อกันครบสามปี แต่ ไม่ ครบหกปี ให้ จ่ายไม่ น้อยกว่ าค่ าจ้ างอัตราสุดท้ าย
หนึ่งร้ อยแปดสิบวัน หรื อไม่ น้อยกว่ าค่ าจ้ างของการทางานหนึ่งร้ อยแปดสิบวันสุดท้ ายสาหรั บ
ลูกจ้ างซึ่งได้ รับค่ าจ้ างตามผลงานโดยคานวณเป็ นหน่ วย
(๔) ลูกจ้ างซึ่งทางานติดต่ อกันครบหกปี แต่ ไม่ ครบสิบปี ให้ จ่ายไม่ น้อยกว่ าค่ าจ้ างอัตราสุดท้ าย
สองร้ อยสี่สิบวัน หรื อไม่ น้อยกว่ าค่ าจ้ างของการทางานสองร้ อยสี่สิบวันสุดท้ ายสาหรั บลูกจ้ างซึ่ง
ได้ รับค่ าจ้ างตามผลงานโดยคานวณเป็ นหน่ วย
(๕) ลูกจ้ างซึง่ ทางานติดต่ อกันครบสิบปี ขึน้ ไป ให้ จ่ายไม่ น้อยกว่ าค่ าจ้ างอัตราสุดท้ ายสามร้ อยวัน
หรื อไม่ น้อยกว่ าค่ าจ้ างของการทางานสามร้ อยวันสุดท้ ายสาหรั บลูกจ้ างซึ่งได้ รับค่ าจ้ างตามผลงาน
โดยคานวณเป็ นหน่ วย
ยิ่งการจ้ างลูกจ้ าง (ที่เรี ยกว่าลูกจ้ างแบบชัว่ คราว) ชนิดต่อสัญญากันไปเรื่ อย ๆ จนเกินกว่า 120 วัน
เช่น สมมุตติ อ่ สัญญากันมา 3 ปี 2 เดือน เมื่อจะเลิกจ้ างลูกจ้ างก็จะต้ องจ่ายค่าชดเชยให้ ตามอายุงานคือ
180 วัน หรื อ 6 เท่าของค่าจ้ างนัน่ แหละครับ จะมาโมเมอ้ างว่าไม่ต้องจ่ายเพราะเป็ นลูกจ้ างแบบมี
ระยะเวลาไม่ได้ หรอกครับ เพราะโดยเนื ้อแท้ แล้ วการต่อสัญญาไปเรื่ อย ๆ แบบนี ้ก็คือ “สัญญาไม่มี
ระยะเวลา” สิ ้นสุดการจ้ างแบบเดียวกับสัญญาจ้ างพนักงานประจาทัว่ ไปนัน่ เองครับ
- ค่าล่วงเวลาในวันทางาน
- ค่าล่วงเวลาในวันหยุด
ซึง่ กาหนดเอาไว้ วา่ การที่ลกู จ้ างจะทางานเพื่อรับ “ค่าโอ” นัน้ นายจ้ างจะบังคับให้ ลกู จ้ างทาไม่ได้ ต้ องให้
ลูกจ้ างยินยอมที่จะทาเป็ นครัง้ ๆ ไป แต่ยกเว้ นงานที่ลกั ษณะหรื อสภาพของงานต้ องทาติดต่อกันไปถ้ าหยุด
จะเสียหายแก่งาน หรื อเป็ นงานฉุกเฉิน หรื อเป็ นงานอื่นตามที่กาหนดในกฎกระทรวง นายจ้ างอาจให้ ลกู จ้ าง
ทางานล่วงเวลาได้ เท่าที่จาเป็ น
ปั ญหาในเรื่อง OT กับงานบางงาน
จากประสบการณ์ทางานที่ผมเจอมา มักจะพบว่าผู้บริหารที่มีพนักงานขับรถยนต์ประจาตาแหน่ง
นัน้ มักจะต้ องมีการให้ พนักงานขับรถยนต์ทาโอที เช่น การไปรับนายที่บ้านแล้ วขับรถพามาที่ทางาน และ
เมื่อเลิกงานก็ขบั รถพานายกลับมาส่งบ้ าน
เพราะอะไรหรื อครับ ?
ท่านลองดูคาพิพากษาของศาลแรงงานในคดีนี ้สิครับ
ศาลแรงงานกลาง พิพากษายกฟ้องนายอุทัย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ า
........................................
สัญญาณเตือนการเกิดมลพิษโดยทั่วไป
แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้ า ก็เริ่มมีสญ
ั ญาณบอกเหตุมาเป็ นระยะ ๆ
เช่นอะไรบ้ างล่ะ ?
3. ไม่มีการแก้ ปัญหากันเป็ นทีม และมักแก้ ปัญหาให้ ถกู ใจผู้บริหารมากกว่าให้ ถกู ใจลูกค้ า(ตัว
จริง)
4. ผู้บริหารระดับสูงควบคุมอานาจตัดสินใจแก้ ปัญหาไว้ ให้ มากที่สดุ จนเกิด “คอขวด” ทาให้
ล่าช้ าเพราะ
รอการตัดสินใจจากเบื ้องบน
11.หลีกเลี่ยงการรับฟั งความคิดเห็นจากผู้อื่น
12.องค์กรเต็มไปด้ วยข่าวลือ การใส่ร้ายป้ายสี ใส่หน้ ากากเข้ าหากัน ซุบซิบนินทา
13.ผู้บริหารไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอะไรง่าย ๆ
17.ไม่จดั การกับคนที่มีปัญหาในองค์กรอย่างจริงจัง
18.คิดอยู่ในกรอบ
ก็ไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉันหรอก...โน่น..คนโน้ นต่างหากที่ต้องรับผิดชอบ...”
3. มีการแก้ ไขปั ญหาอย่างจริงจัง เข้ าถึงสาเหตุของปั ญหา และแก้ ไขปั ญหาเป็ นทีมยึดความ
ถูกต้ องมากกว่าถูกใจ
13.ผู้บริหารยืดหยุ่นและพร้ อมเปลี่ยนแปลง
18.หาวิธีการคิดริเริ่มใหม่ๆ และมักตังค
้ าถามว่า “วิธีการนี ้ยังเหมาะสมดีอยู่หรื อไม่ ?”
19.เปิ ดโอกาสให้ พนักงานเสนอความคิดแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงองค์กรหรื อวิธีการ
ทางานให้ ดีขึ ้น
บทสรุ ป
หัวหน้ างานกับการสอนงาน
ท่านลองทายสิครับว่าวิธีการพัฒนาพนักงานที่ดีที่สดุ คือวิธีใด.....
ดังนัน้ หัวหน้ าที่ดีจงึ จาเป็ นจะต้ องสอนงานเพื่อเตรี ยมความพร้ อมของลูกน้ องเพื่อให้ เติบโตขึ ้นมา
ทดแทนตัวเองในอนาคตถึงจะเรี ยกได้ วา่ เป็ นหัวหน้ าที่รักและหวังดีกบั ลูกน้ อง
ซึง่ การสอนงานนันไม่
้ จาเป็ นจะต้ องเป็ นการสอนงานอย่างเป็ นทางการในลักษณะการจัดฝึ กอบรม
ในห้ องอบรมแต่เพียงอย่างเดียว แต่หวั หน้ าสามารถจะสอนงานลูกน้ องได้ ตลอดเวลาไม่วา่ จะเป็ นใน
ลักษณะของการร่วมปรึกษาหารื อ, การพาไปติดต่องานหรื อแนะนาให้ ผ้ อู ื่นรู้จกั และให้ คาแนะนาเรื่ องต่าง ๆ
กับลูกน้ อง, การรับฟั งและช่วยลูกน้ องในการแก้ ปัญหาในเรื่ องต่าง ๆ ฯลฯ
1. หัวหน้ างานควรจะต้ อง รู้ จักลูกน้ องของตัวเอง เช่น รู้วา่ ลูกน้ องแต่ละคนทางานเป็ นอย่างไร มีความ
ละเอียดรอบคอบมากน้ อยแค่ไหน มีบคุ ลิกภาพหรื ออุปนิสยั ใจคออย่างไร เหมาะกับงานลักษณะไหน ซึง่
หัวหน้ างานนันท
้ างานกับลูกน้ องและเห็นกันอยูท่ กุ วันจึงควรจะต้ องสังเกตพฤติกรรมต่าง ๆ ของลูกน้ อง
ตลอดจนควรจะมีการพูดคุยหารื อกันเรื่ องงาน ซึง่ จะทาให้ หวั หน้ างานเห็นวิธีคดิ วิธีการแก้ ปัญหา จุดเด่น
จุดอ่อนของพนักงานแต่ละคนได้ มากยิ่งขึ ้น
..................................................
CEO ที่ประสบความสาเร็จ
จะมีคณ
ุ ลักษณะดังนี ้
ไม่วา่ จะพบเรื่ องร้ ายหรื อดี ไม่ใช่เพียงแค่ชี ้นิ ้วสัง่ การ ซึง่ Key word ในข้ อนี ้คือคาว่า “ความรับผิดชอบ” หรื อ
Accountability ซึง่ อาจเรี ยกให้ ชดั เจนว่า “สานึกในความรับผิดชอบ” ที่จะต้ องมีอยูส่ งู กว่าความรับผิดชอบ
“Responsibility” เช่น เมื่อหัวหน้ างานสัง่ ให้ ผ้ ใู ต้ บงั คับบัญชาทางานแล้ วงานประสบปั ญหาจนถูกตาหนิ
ผู้ใต้ บงั คับบัญชานันยั
้ งคงต้ องมีความรับผิดชอบที่เราเรี ยกว่า Responsibility ของเขาอยูส่ ว่ นหนึง่ แต่ที่
สาคัญ หัวหน้ าจะบอกว่านี่เป็ นความรับผิดชอบและเป็ นความผิดของผู้ใต้ บงั คับบัญชาแต่เพียงคนเดียว
ไม่ได้ ครับ หัวหน้ ายังจะต้ องมีสานึกในความรับผิดชอบ (Accountability) เพราะตัวเองยังเป็ นหัวหน้ าเขาอยู่
และจะต้ องเป็ นผู้รับผิดชอบสูงสุดอยู่ดี แม้ ว่าความผิดพลาดหรื อล้ มเหลวจะมาจากผู้ใต้ บงั คับบัญชาก็ตาม
ดังนันหั
้ วหน้ าที่คอยโบ้ ยความรับผิดชอบให้ ลกู น้ องเมื่องานผิดพลาดและบอกว่าฉันไม่ได้ ทา แต่ลกู น้ อง
ต่างหากที่ทาผิดพลาดน่ะ แสดงว่าท่านขาดคุณสมบัตขิ อง CEO ที่ประสบความสาเร็จแล้ วล่ะครับ
3. รู้จงั หวะว่าเมื่อไหร่ควรถอย (Know when to back off) ผู้นาที่ดีควรจะต้ องรู้สมรรถนะของผู้ใต้ บงั คับบัญชา
ของตนเองว่าใครทางานอะไรได้ ดีมากน้ อยแค่ไหน และดูแลให้ เขาทางานไปตามหน้ าที่งานโดยไม่เข้ าไป
จุกจิกหรื อทางานของผู้ใต้ บงั คับบัญชาแทนเสียเอง และไม่ควรคิดว่าตนเองรู้งานของผู้ใต้ บงั คับบัญชา แถม
ยังรู้สกึ ว่าตนเองทางานนันได้
้ ดีกว่าเขาเสียอีก เพราะถ้ าเป็ นอย่างนันในไม่
้ ช้าหัวหน้ างานคนนันก็
้ จะ
กลายเป็ น “ผู้จดั การวิญญาณเสมียน” ในที่สดุ ทางที่ดีควรถอยห่างออกมาแล้ วทาหน้ าที่เสมือนโค้ ชจะ
ดีกว่านะครับ
4. เชื่อมัน่ ในตัวผู้ใต้ บงั คับบัญชา ให้ ความสาคัญในเรื่ องคน (Invest in power people) ผู้นาที่ดีจะต้ องให้
ความสาคัญในเรื่ องคนตังแต่
้ การจ้ างหรื อการสรรหาคัดเลือกคนเข้ ามาทางานกับองค์การ เพราะนี่คือ
ปราการด่านแรกในการหาคนที่มีคณ
ุ ภาพเข้ ามาในองค์การ หากได้ คนไม่ดีเข้ ามาแล้ วจะเป็ นปั ญหากับ
องค์การในระยะยาว ซึง่ ในเรื่ องนี ้ผู้นาในองค์การให้ ความสาคัญมากครับ
ผู้นาที่ล้มเหลว
5. มองแต่เรื่ องร้ ายมากกว่าเรื่ องดี (Habitual Distrust) คิดแต่เรื่ องที่เป็ นลบ มองไปที่งานใดก็จะคิดแต่เรื่ องไม่
ดีไว้ ก่อน จะเรี ยกว่ามองโลกในแง่ร้ายก็ได้ นะครับ
6. ไม่นาตัวเข้ าไปผูกสัมพันธ์กบั ใคร หรื อไม่ตดิ ต่อคบค้ าสมาคมกับใคร (Aloofness) ผู้นาประเภทนี ้อาจจะ
เป็ นผู้นาประเภท “มัน่ ” มาก ๆ ประเภท “ข้ าแน่” มองคนรอบตัวด้ อยกว่าไปหมด ก็เลยไม่เห็นความสาคัญ
หรื อความจาเป็ นที่จะต้ องผูกสัมพันธ์กบั ใคร
11. อยากจะทาตัวให้ เป็ นคนที่คนอื่นรักอยูเ่ สมอ (Eagerness to please)เรี ยกว่าอยากสร้ างภาพให้ ตวั เองเป็ น
พ่อพระ หรื อแม่พระ ภาพพจน์ตวั เองจะต้ องดูดีเสมอ ซึง่ ในชีวิตจริงของผู้นานันจะต้
้ องมีทงั ้ “ให้ คณ
ุ ” และ
“ให้ โทษ” กับผู้ใต้ บงั คับบัญชาได้ หรื อในบางสถานการณ์ต้องการความชัดเจนเด็ดขาด หากผู้นายังต้ องการ
ทาตัวให้ เป็ นที่รักของคนรอบข้ างตลอดเวลานัน้ ผู้นาท่านนันก็
้ นา่ จะพบปั ญหาแล้ วล่ะครับ
ที่ผมนามาเล่าสูก่ นั ฟั งทังหมดข้
้ างต้ นนี ้คงจะพอประยุกต์ใช้ กบั หัวหน้ างานที่มีผ้ ใู ต้ บงั คับบัญชาในระดับ
ถัด ๆ ลงมาจาก CEO ตลอดจนทุกท่านที่สนใจด้ วยนะครับ เพราะคงไม่มีใครที่อยากจะย่าอยูใ่ นตาแหน่ง
เดิมโดยไม่มีการเลื่อนตาแหน่ง หรื อขาดความก้ าวหน้ าในงานใช่ไหมครับ ในขณะเดียวกันแม้ วนั นี ้ท่าน
อาจจะยังไม่ใช่ CEO แต่ทา่ นก็ลองดู CEO ของท่านในวันนี ้สิครับว่าเขาอยูใ่ นข้ อใดที่ทาให้ เขาประสบ
ความสาเร็จ หรื อเขากาลังอยู่ในข้ อใดที่กาลังจะนาพาตัวเขา (พร้ อมทังต
้ าแหน่ง) ไปสู่ความล้ มเหลว เพื่อ
เป็ นบทเรี ยนสาหรับตาแหน่งหน้ าที่การงานของท่านในวันข้ างหน้ าที่จะได้ ไม่ผิดพลาดซ ้ากับตัวอย่างที่ทา่ น
ได้ เห็นแล้ วไงครับ.
………………………..
นอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559
คิดให้ ดีก่อนจะย้ ายใครมาเป็ นผู้บริหารงาน HR
ปั ญหานี ้เกิดขึ ้นในบริษัทแห่งหนึง่ ที่เคยรับคนนอกมาเป็ นผู้จดั การฝ่ ายบุคคลมาแล้ วหลายคน แต่
ผู้จดั การฝ่ ายบุคคลที่เป็ นคนนอกเหล่านันมั
้ กจะทางานอยูไ่ ด้ ไม่นานนักแล้ วก็ลาออกไป ก็เลยทาให้ บริษัท
แห่งนันแก้
้ ปัญหาด้ วยการย้ ายผู้จดั การฝ่ ายอีกฝ่ ายหนึง่ ที่เป็ นคนเก่าและทางานมานานแต่เป็ นคนหมดไฟ
มาเป็ นผู้จดั การฝ่ ายบุคคลแทนเพราะคิดว่าการย้ ายผู้จดั การฝ่ ายที่หมดไฟคนนี ้มาเป็ นผู้จดั การฝ่ ายบุคคล
ไม่นา่ จะมีปัญหาอะไรเพราะเป็ นคนเก่ามาดูแลงาน HR ซึง่ เป็ นงานดูแลเกี่ยวกับพนักงานทัว่ ๆ ไป ยังไงเสีย
แกก็คงไม่ลาออกไปไหนเหมือนกับการจ้ างผู้จดั การฝ่ ายบุคคลคนนอกเข้ ามาหรอก บริ ษัทจะได้ หาคนอื่นมา
เป็ นผู้จดั การฝ่ ายแทนคนที่หมดไฟคนนี ้จะดีกว่า
- ฯลฯ
“วุฒภิ าวะ”
1. ทาไมพนักงานคนนันถึ
้ งได้ เงินเดือนเยอะกว่าลูกน้ องเรา (หรื อเยอะกว่าตัวเรา) ทัง้ ๆ ที่ลกู น้ อง
เราและตัวเราก็ทางานเยอะกว่า โดยคิดเข้ าข้ างลูกน้ องของตัวเอง และงานในฝ่ ายตัวเองว่าทามากกว่าคน
อื่น ก็เลยรู้สกึ ไม่ยตุ ธิ รรม แล้ วก็เอาไปพูดคุยปรับทุกข์กบั ลูกน้ องเก่าในฝ่ ายเดิม ลูกน้ องก็เอาไปพูด ต่อ ๆ กัน
ไปจนกระทัง่ เรื่ องเงินเดือนของพนักงานในฝ่ ายต่าง ๆ รั่วไหล เกิดการวิพากษ์วิจารณ์และลามไปจนเกิด
ปั ญหาเรี ยกร้ องขอเพิ่มเงินเดือนจากพนักงานที่อยากได้ เงินเดือนเท่ากับคนอื่นบ้ าง และเกิดปั ญหาในเรื่ อง
แรงงานสัมพันธ์ในที่สดุ
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
เป็ นเรื่ องแปลกแต่จริ งที่แม้ วา่ องค์กรจะมีกฎระเบียบในเรื่ องต่าง ๆ ที่ชดั เจนแล้ วก็ตาม ยังพบว่ามี
ผู้บริหารหรื อพนักงานตังกฎเกณฑ์
้ ของตัวเองซ้ อนกฎระเบียบขององค์กรขึ ้นมาที่ผมขอเรี ยกแบบเข้ าใจง่าย
ๆ ว่า “หลักกู” หรื อจะพูดให้ เพราะ ๆ หน่อยก็ต้องเรี ยกว่าหลักดุลพินิจ ซึง่ หลักกูนี่แหละครับจะเกิดปั ญหาใน
การบริ หารงานบุคคลตามมาอีกไม่น้อยเลย เช่น....
เพราะถ้ าผมเป็ นพนักงานทดลองงานคนที่ได้ 69% และไม่ได้ ตอ่ ทดลองงานแต่หวั หน้ าบอกให้ เขียน
ใบลาออกตามระเบียบของบริษัท ผมก็คงจะต้ องถามหัวหน้ าว่า....
………………………………….
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 08:01 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
U-net กับการทางาน
ผมเชื่อว่าวันนี ้ท่านคงได้ ยินเรื่ องของแนวคิดในการให้ นกั ศึกษาที่จะจบต้ องทดสอบ U-net โดยมี
วิชาที่จะสอบ 4 วิชาคือ 1. การใช้ ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร, การใช้ ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร 2. การใช้
สารสนเทศและเทคโนโลยีเพื่อการดารงชีวิต 3. การรู้เท่าทันสื่อ การคิดวิเคราะห์แก้ ปัญหา 4. การคิดอย่างมี
วิจารณญาณ ซึง่ ท่านที่อยากจะรู้เรื่ องเหล่านี ้เพิ่มเติมสามารถพิมพ์คาว่า “U-net” เข้ าไปดูในกูเกิ ้ลเอาเองนะ
ครับ แล้ วจะได้ ร้ ูว่าดราม่ากันขนาดไหน
หรื อถ้ าใครสอบไม่ผา่ นเกณฑ์ของ U-net (ซึง่ มีโอกาสสอบได้ ครัง้ เดียวในชีวิตเหมือนกับ O-net
แหละครับ) ก็แสดงว่าคน ๆ นันคงจะท
้ างานไม่เป็ นสัปปะรดคงไม่เหมาะกับที่จะรับเข้ าทางาน และองค์กร
ทังหลายก็
้ ไม่ควรรับนักศึกษาเหล่านี ้เข้ าทางาน
4. ดังนัน้ เรื่ องของสมรรถนะ ความสามารถ ศักยภาพ หรื อ Competency เป็ นเรื่ องปั จเจกบุคคล
(Individual) ที่คน ๆ นันจะมี
้ และตรงกับคุณสมบัตใิ นตาแหน่งงานที่องค์กรต้ องการหรื อไม่ ซึง่ แน่นอนว่า
องค์กรคงไม่ต้องการคนที่เรี ยนเก่ง ผ่านการสอบได้ คะแนนสูง แต่ไม่สามารถทางานได้ อย่างที่องค์กร
คาดหวังหรอกครับ เพราะโลกของการทางานไม่ใช่โลกของการเรี ยนหนังสือที่อาศัยเพียงการสอบเพียงอย่าง
เดียวอีกต่อไปแล้ ว การทางานต้ องการการลงมือปฏิบตั เิ ป็ นหลักนะครับ ซึง่ จะต่างจากโลกการศึกษาที่มีแต่
“การสอบ” ดังนันจึ
้ งต้ องเข้ าใจความแตกต่างระหว่างโลกของการเรี ยน กับโลกของการทางานด้ วยครับ
8. นี่ยงั ไม่ได้ พดู ถึงว่าต่อไปก็คงจะต้ องมีการเปิ ดคอร์ ส “ติว” เพื่อให้ นกั ศึกษาสอบ U-net ได้ คะแนน
สูง ๆ (คล้ าย ๆ กับการติวเพื่อสอบ O-net นัน่ แหละครับ) แล้ วการติวเพื่อให้ สอบได้ คะแนนสูง ๆ น่ะจะ
เกี่ยวข้ องกับงานไหม ให้ กลับไปอ่านในข้ อ 7 อีกครัง้ หนึง่ ครับ
ชัดเจนนะครับ
…………………………………..
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 16:58 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
วิธีการจัดการกับความขัดแย้ ง
โทมัส กับคิลแมน (Kenneth W. Thomas and Ralph H. Kilmann) ได้ ศกึ ษาว่าในกรณีที่คนเรา
เมื่อพบกับความขัดแย้ งแล้ วจะมีวิธีการจัดการ (หรื อขจัด) ความขัดแย้ งนันอย่
้ างไร ซึง่ ผลจากการศึกษาได้
จาแนกวิธีการจัดการกับความขัดแย้ งออกเป็ น 5 แนวทางดังนี ้คือ
จากวิธีการแก้ ไขความขัดแย้ งที่ผมได้ เล่าให้ ทา่ นทราบมาข้ างต้ น จะเห็นได้ วา่ แต่ละคนก็จะใช้ วิธีการแก้ ไข
ความขัดแย้ งที่แตกต่างกันไป ตามแต่บคุ ลิก ลักษณะ หรื อสไตล์ของแต่ละคน เช่น คนที่มีบคุ ลิกที่
ตรงไปตรงมากล้ าเผิชญหน้ า ยอมหักไม่ยอมงอ ก็มีแนวโน้ มที่จะใช้ วิธีที่หนึง่ คือวิธีเอาชนะมากกว่าวิธีอื่น
เป็ นต้ น
ซึง่ การเจรจาเพื่อยุตขิ ้ อขัดแย้ งไม่ได้ หมายความว่าคูข่ ดั แย้ งเจรจากันครัง้ สองครัง้ จะสามารถหาข้ อสรุป
ร่วมกันได้ นะครับ
อันนันก็
้ นิยายมากเกินไป !!
แต่ อาจจะต้ องเจรจากันเป็ นสิบ ๆ ครั้ ง หรื อมากกว่ านั้นก็ได้ แต่ ส่งิ สาคัญคือแม้ การเจรจาในครั้ ง
นั้น ๆ ยังไม่ สามารถบรรลุข้อตกลงได้ แต่ ต้องไม่ สิ้นหวังหรื อทิง้ การเจรจาซึ่งต้ องอาจจะต้ องทอด
ระยะเวลาออกไปแล้ วค่ อยนัดเจรจากันใหม่ เมื่อทั้งสองฝ่ ายมีความพร้ อม
แล้ วท่านล่ะครับ เมื่อพบกับความขัดแย้ ง ท่านใช้ วิธีใดในการแก้ ไขหรื อจัดการกับความขัดแย้ ง ?
สรุป
ความขัดแย้ งที่เกิดขึ ้นไม่วา่ จะเป็ นระหว่างบุคคลกับบุคคล บุคคลกับกลุม่ หรื อกลุม่ กับกลุม่ นัน้
ไม่ได้ มีแต่ผลเสียเพียงอย่างเดียวนะครับ ผลดีจากความขัดแย้ งก็มีดงั นี ้
1. ทาให้ องค์กรไม่หยุดนิ่ง
4. กระตุ้นให้ มีการหาข้ อมูลหรื อข้ อเท็จจริงใหม่ ๆ ซึง่ ก็จะทาให้ เราได้ ข้อมูล หรื อข้ อเท็จจริงใหม่ ๆ อันจะทาให้
ได้ แนวทางในการแก้ ไขปั ญหา หรื อหาทางออกใหม่ ๆ ด้ วยเช่นกัน
..........................................
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 07:20 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ดังนี ้ครับ....
ความขัดแย้ งมีสาเหตุมาจากอะไร
1. องค์ ประกอบด้ านบุคคล เป็ นสาเหตุของความขัดแย้ งที่เกิดจากบุคคล หรื อกลุ่มบุคคล แบ่งเป็ น 4 ส่วน
คือ
1.3 การรับรู้และการกระทา
3.3 กฎเกณฑ์ที่เข้ มงวด เป็ นสิ่งที่ตรงกันข้ ามกับความคลุมเครื อ กฎเกณฑ์ที่เข้ มงวดทาให้ บคุ คลอึดอัดในการ
ทางานและทาให้ เห็นว่าผู้บริ หารใช้ อานาจเกินความจาเป็ น
ประเภทของความขัดแย้ ง
2.1 ความขัดแย้ งประเภทได้ -เสีย (Zero Sum Conflict) นัน่ คือถ้ าฝ่ ายหนึง่ ได้ มากเท่าใด อีกฝ่ ายหนึง่ ก็จะเสีย
มากเท่านัน้ หรื อพูดได้ ว่าผลรวมของทังสองฝ่
้ ายมีคา่ เป็ นศูนย์ ซึง่ จะเป็ นความขัดแย้ งที่จะแข่งขันเอาแพ้ ชนะ
กันอย่างแท้ จริง เช่นการแข่งกันเทนนิสรอบชิงชนะเลิศ หากฝ่ ายหนึง่ ได้ ตาแหน่งชนะเลิศ อีกฝ่ ายหนึง่ ก็จะได้
ได้ ตาแหน่ง เพราะตาแหน่งชนะเลิศมีเพียงตาแหน่งเดียว เขาจึงต้ องเรี ยกผู้แพ้ วา่ ได้ ตาแหน่งรองชนะเลิศไง
ล่ะครับ
2.2 ความขัดแย้ งที่ต่างฝ่ ายต่ างได้ (Non Zero Sum Conflict หรือ Mixed motive Situation) เป็ นความ
ขัดแย้ งที่ตา่ งฝ่ ายต่างได้ ในลักษณะต่อรอง มีตวั กระตุ้น ทังการร่
้ วมมือและการเข่งขันเข้ าไปเกี่ยวข้ อง โดยคู่
ขัดแย้ งพยายามเอาประโยชน์ให้ มากที่สดุ เช่น การต่อรองสินค้ า เพราะผู้ซือ้ ต้ องการซื ้อให้ ถกู ที่สดุ ในขณะที่
ผู้ขายก็ต้องการขายให้ แพงที่สดุ จนในที่สดุ ตกลงกันได้ ที่ราคาที่ทงสองฝ่
ั้ ายพอใจไงครับ
3. ความขัดแย้ งระหว่ างกลุ่ม คือ ความขัดแย้ งที่เกิดขึ ้นระหว่างสมาชิกของกลุม่ ในองค์กร ซึง่ แบ่งออกเป็ น
อีก 3 ลักษณะคือ
3.2 มีความขัดแย้ งที่เกิดขึ ้นเมื่อคนหนึง่ ต้ องปฏิบตั ิตอ่ ผู้ที่มีอานาจเหนือตนขึ ้นไปเรี ยกว่าเกิดความขัดแย้ งใน
อานาจ
..........................................
ความขัดแย้ งในองค์ กร...มีวธิ ีจัดการอย่ างไร? (ตอนที่ 3)
เมื่อเราได้ ทราบถึงรูปแบบ สาเหตุ และประเภทของความขัดแย้ งไปแล้ ว คราวนี ้เราก็มาถึงวิธีการจัดการกับ
ความขัดแย้ งกันแล้ วนะครับ ลองมาดูกนั สิครับว่าท่านมีวิธีการขจัดความขัดแย้ งใกล้ เคียง หรื อแตกต่างจาก
ที่ผมจะพูดถึงต่อไปนี ้หรื อไม่อย่างไร
วิธีการจัดการกับความขัดแย้ ง
โทมัส กับคิลแมน (Kenneth W. Thomas and Ralph H. Kilmann) ได้ ศกึ ษาว่าในกรณีที่คนเรา
เมื่อพบกับความขัดแย้ งแล้ วจะมีวิธีการจัดการ (หรื อขจัด) ความขัดแย้ งนันอย่
้ างไร ซึง่ ผลจากการศึกษาได้
จาแนกวิธีการจัดการกับความขัดแย้ งออกเป็ น 5 แนวทางดังนี ้คือ
จากวิธีการแก้ ไขความขัดแย้ งที่ผมได้ เล่าให้ ทา่ นทราบมาข้ างต้ น จะเห็นได้ วา่ แต่ละคนก็จะใช้ วิธีการแก้ ไข
ความขัดแย้ งที่แตกต่างกันไป ตามแต่บคุ ลิก ลักษณะ หรื อสไตล์ของแต่ละคน เช่น คนที่มีบคุ ลิกที่
ตรงไปตรงมากล้ าเผิชญหน้ า ยอมหักไม่ยอมงอ ก็มีแนวโน้ มที่จะใช้ วิธีที่หนึง่ คือวิธีเอาชนะมากกว่าวิธีอื่น
เป็ นต้ น
ซึง่ การเจรจาเพื่อยุตขิ ้ อขัดแย้ งไม่ได้ หมายความว่าคูข่ ดั แย้ งเจรจากันครัง้ สองครัง้ จะสามารถหาข้ อสรุป
ร่วมกันได้ นะครับ
อันนันก็
้ นิยายมากเกินไป !!
แต่ อาจจะต้ องเจรจากันเป็ นสิบ ๆ ครั้ ง หรื อมากกว่ านั้นก็ได้ แต่ ส่งิ สาคัญคือแม้ การเจรจาในครั้ ง
นั้น ๆ ยังไม่ สามารถบรรลุข้อตกลงได้ แต่ ต้องไม่ สิ้นหวังหรื อทิง้ การเจรจาซึ่งต้ องอาจจะต้ องทอด
ระยะเวลาออกไปแล้ วค่ อยนัดเจรจากันใหม่ เมื่อทั้งสองฝ่ ายมีความพร้ อม
แล้ วท่านล่ะครับ เมื่อพบกับความขัดแย้ ง ท่านใช้ วิธีใดในการแก้ ไขหรื อจัดการกับความขัดแย้ ง ?
สรุป
1. ทาให้ องค์กรไม่หยุดนิ่ง
4. กระตุ้นให้ มีการหาข้ อมูลหรื อข้ อเท็จจริงใหม่ ๆ ซึง่ ก็จะทาให้ เราได้ ข้อมูล หรื อข้ อเท็จจริงใหม่ ๆ อันจะทาให้
ได้ แนวทางในการแก้ ไขปั ญหา หรื อหาทางออกใหม่ ๆ ด้ วยเช่นกัน
..........................................
คุยเฟื่ องเรื่อง TALENT (ตอนที่ 4) ตอนจบ
1.1 Talent ได้ รับการเรี ยนรู้ และพัฒนาอย่ างต่ อเนื่อง โดยปั จจัยสาคัญที่สดุ คือคนที่เป็ นหัวหน้ าของ Talent
ต้ องดูแลเอาใจใส่ ทาตัวเป็ นเสมอ Coach ให้ กบั Talent คอยเป็ นที่ปรึกษาให้ คาแนะนา ชี ้แนะ ไม่ใช่เอาแต่
คอยอิจฉาริ ษยากลัวว่า Talent จะมาเลื่อยขาเก้ าอี ้ตัวเอง ดังนันถ้
้ า Talent ได้ หวั หน้ าเป็ น Coach ที่ดีก็มี
โอกาสจะรักษา Talent เอาไว้ กบั องค์กรได้ เยอะแล้ วนะครับ
1.3 ระบบรางวัลที่ตอบแทน Talent อย่ างยุตธิ รรม มีตวั ชี ้วัดผลงานและมีเป้าหมาย Talent ได้ ทราบอย่าง
ชัดเจน ไม่ควรประเมินผลงานกันด้ วยการใช้ ความรู้สกึ นะครับ วันนี ้เป็ นยุคของการกาหนดตัวชี ้วัดหลัก
(Key Performance Indicators-KPIs) กันแล้ ว ซึง่ เรื่ องเหล่านี ้สามารถนามาใช้ ในการประเมินผลงานได้
อย่างเป็ นรูปธรรม เพื่อให้ เกิดความเป็ นธรรมสาหรับการจ่ายค่าตอบแทนให้ กบั Talent ดังนันถ้
้ าองค์กรไหน
ยังไม่ปรับปรุงเรื่ องนี ้ก็มีหวังว่า Talent อาจจะโบยบินไปที่อื่นได้ ง่าย ๆ นะครับ
1.4 งานที่ท้าทายและโอกาสความก้ าวหน้ า อันนี ้ผมได้ พดู ไปแล้ วในหัวข้ อก่อนหน้ านี ้นะครับคงไม่ต้องพูดซ ้า
2. ทาไม Talent ถึง Say Goodbye
2.1 หัวหน้ า TALENT มีพฤติกรรมที่เป็ นปั ญหา หัวหน้ า Talent นี่แหละครับเป็ นตัวการสาคัญเลยแหละ ถ้ า
มีพฤติกรรมเยี่ยงนี ้
- ขี ้อิจฉาริษยา ขาดวุฒิภาวะผู้นา
- ทุจริต เอาตัวรอด
- หัวหน้ าไม่เคยเอาใจใส่ มอง Talent เหมือนข้ าวนอกนา ไม่เคยติชม ให้ กาลังใจอะไรกันบ้ างเลย
- การควบคุมอารมณ์ไม่ดี EQ มีปัญหา
นี่เป็ นตัวอย่างพฤติกรรมของหัวหน้ าที่ Talent ระอาและทนไม่ได้ อย่าว่าแต่ Talent เลย ถ้ าท่านมีหวั หน้ าที่
มีพฤติกรรมอย่างที่ผมบอกมานี่ผมว่าท่านก็คงจะอยูไ่ ม่ไหวเหมือนกันใช่ไหมครับ
2.2 ไม่ ให้ อานาจในการตัดสินใจ ในองค์กรที่ไม่มีการกระจายอานาจการทางาน (Empowerment) ที่ดีก็ยงั
มักจะบริหารงานแบบรวมศูนย์อานาจ ทุกอย่างต้ องเสนอขึ ้นเบื ้องบนแล้ วรอว่าผู้บริ หารระดับสูงกว่าจะว่า
ยังไง ซึง่ เมื่อมอบหมายงานให้ Talent ทางานไปแต่พอถึงเวลาต้ องตัดสินใจก็ต้องวิ่งมาถามหัวหน้ าทุกครัง้
อย่างงี ้ Talent ก็อึดอัดแหละครับ เหมือนยักษ์ไม่มีกระบองอย่างงี ้ก็ไปหาที่อื่นที่เขาให้ ทงงานและอ
ั้ านาจ
ตัดสินใจไปด้ วยเพื่อจะได้ ทางานได้ รวดเร็วและรู้สกึ ภูมิใจในงานที่เขาทาดีกว่า
2.3 นโยบายของบริษัทไม่ แน่ นอน ผู้บริหารระดับสูงขาดวิสยั ทัศน์ โลเล ไร้ ทิศทาง เปลี่ยนนโยบายไปมา
อย่างงี ้ Talent ก็ขอไปหาองค์กรที่ผ้ บู ริหารมีความชัดเจนกว่านี ้ดีกว่า
2.4 บริหารงานโดยใช้ แต่ เพียงระบบอาวุโสเป็ นหลัก โดยดูเรื่ องความสามารถและผลงานเป็ นรอง เรื่ องนี ้
Talent รับไม่ได้ ครับ คือถ้ าทางานมานานแล้ วพิสจู น์ให้ Talent เห็นว่าเก่งเขาก็ยอมรับได้ แต่ถ้าอาศัยเพียง
แค่ทางานมานานแต่ความสามารถหรื อผลงานไม่ได้ ดีสมกับอายุงานที่อยูม่ านาน แล้ วเวลาเลื่อนตาแหน่งก็
ดูอาวุโสเป็ นหลัก Talent ก็จะร้ องเพลง “อย่างงี ้ต้ องลาออก..รู้แล้ วรู้รอดไป...”
2.6 ไม่ มีระบบรางวัลรองรั บ ซึง่ ในเรื่ องนี ้ผมยังพบเห็นได้ อยูเ่ สมอ ๆ ว่าในหลายองค์กรยังไม่มีแม้ แต่โครงสร้ าง
เงินเดือนเลยครับ อย่างนี ้จะเอาหลักเกณฑ์อะไรมาบริหารค่าตอบแทนให้ เกิดความยุติธรรมเพื่อดึงดูดใจ
Talent ได้ ละ่ ครับ คือถ้ ายังมีระบบการจ่ายค่าตอบแทนกันแบบตามใจฉัน (คือตามใจผู้บริหารระดับสูง)
เป็ นหลักมันก็จะเกิดปั ญหาดราม่าทานองที่วา่ “เงินเดือนของเราได้ เท่าไหร่..ไม่สาคัญเท่ากับเงินเดือนของ
เพื่อนได้ เท่าไหร่ ” แล้ วอย่างงี ้จะไปสร้ างระบบรางวัลหรื อค่าตอบแทนต่าง ๆ เพื่อรองรับให้ แข่งขันกับตลาด
เขาได้ ยงั ไงล่ะครับ
2.7 ระบบการประเมินผลงานไม่ ยุตธิ รรม คือยังใช้ วิธีการและรูปแบบการประเมินผลงานแบบเดิมคือมี
แบบฟอร์ มประเมินผลงานพร้ อมทังมี
้ ปัจจัยในการประเมินผลงาน 10-20 ข้ อแล้ วแยกเป็ น 5 เกรดคือ A B C
D E หรื อ 5 4 3 2 1 อะไรทานองนี ้ (วิธีการประเมินผลงานแบบนี ้อาจจะเรี ยกเป็ นภาษาวิชาการว่า
“Graphic Rating Scale” ซึง่ ผมมักจะเรี ยกว่าการประเมินผลแบบ “จิตสัมผัส”) โดยไม่คดิ ที่จะเอาระบบ
การประเมินผลงานแบบตัวชี ้วัดที่สาคัญหรื อ Key Performance Indicators –KPIs มาใช้ อย่างนี ้ Talent ก็
จะไม่ยอมรับการประเมินแบบใช้ ความรู้สกึ แล้ วก็ลาออกไปครับ
ปั จจัยที่ผมยกตัวอย่างมาพอเป็ นน ้าจิ ้มข้ างต้ นนี ้แหละครับที่มีสว่ นสาคัญที่มกั จะทาให้ Talent ที่องค์กร
อุตส่าห์ลงทุนลงแรง เสียเวลาในการพัฒนามาตังนานและตั
้ งความหวั
้ งว่าจะเป็ นกาลังสาคัญในอนาคตต้ อง
ลาออกไปในที่สดุ ครับ
……………………………………..
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 07:00 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ในเรื่ องนี ้เรามาคุยกันเรื่ องของปั ญหาในการพัฒนา Talent ในเรื่ องหลัก ๆ ว่ามีปัญหาอะไรกันบ้ างดังนี ้ครับ
1.1.3 นโยบายไม่ ต่อเนื่อง เช่น MD คนปั จจุบนั สนับสนุนโครงการ Talent อย่างเต็มที่ แต่พอ MD คนปั จจุบนั
เกษียณหรื อลาออกไป MD คนใหม่มาก็ไม่เห็นความสาคัญก็เลยไม่สนับสนุนเต็มที่เหมือนคนเก่า แถมยัง
ตัดงบประมาณออกอีกเพียบอย่างนี ้ก็มีปัญหาแล้ วล่ะครับ
1.2 ผู้บริหารระดับรอง ๆ ลงจาก MD มาไม่ ให้ ความร่ วมมือ เช่น MD ให้ HR เป็ นเจ้ าของโครงการแต่
หัวหน้ าของ Talent ไม่ร่วมมือในการทาหน้ าที่ Coach ให้ กบั Talent แถมหัวหน้ าบางคนยังอิจฉาริษยา
Talent แล้ วใช้ วาจาเป็ นอาวุธคอยติเตียนถากถาง Talent อยู่บอ่ ย ๆ เมื่อฝ่ ายบริหารรู้วา่ มีปัญหาทานองนี ้
ก็ไม่ทาอะไรกับผู้บริหารที่ไม่ให้ ความร่วมมืออย่างนี ้โครงการนี ้ก็ไปไม่รอดเหมือนกันนะครับ
1.3.2 ไม่ มีมาตรการจัดการกับ Talent ที่มีปัญหาในระหว่ างการพัฒนาอย่ างชัดเจน เช่น Talent ที่ไม่เข้ า
อบรมแต่ฝากเพื่อนเซ็นชื่อแทนกันเพื่อไม่ให้ เสียประวัติวา่ ขาดการอบรม, เมื่อ Talent ได้ รับมอบหมายงาน
มาทากลับเอางานนันไปให้
้ ลกู น้ องทาให้ แล้ วก็เอามานาเสนอเป็ นงานของตัวเอง, ในการทดสอบข้ อเขียนใน
ห้ องอบรมก็ลอกคาตอบกันเหมือนนักเรี ยนลอกข้ อสอบซึง่ เป็ นพฤติกรรมทุจริตโดยที่เจ้ าหน้ าที่ที่ดแู ลอยูไ่ ม่
กล้ ารายงานหรื อทาอะไรเพราะตาแหน่งต่ากว่า Talent ฯลฯ ดังนัน้ องค์กรจึงไม่ควรวัดผลสัมฤทธิ์ของ
Talent ในระหว่างการพัฒนาด้ วยการทดสอบข้ อเขียนเหมือนนักเรี ยนทาข้ อสอบแต่เพียงอย่างเดียวนะครับ
แต่ควรจะต้ องติดตามประเมินพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของ Talent บางคนเหล่านี ้และคัดกรองคนเหล่านี ้
ออกจาก Talent Pool อีกด้ วยนะครับ เพราะถ้ าไม่มีมาตรการดังกล่าว ในอนาคตองค์กรนันก็
้ จะมีแต่ผ้ นู า
องค์กรที่ทจุ ริตเพื่อให้ ตวั เองได้ ประโยชน์, ทางานเอาหน้ าโดยอาศัยผลงานของลูกน้ อง ฯลฯ ในที่สดุ ครับ
1.3.3 งบประมาณในการพัฒนา Talent ไม่ ต่อเนื่อง อันนี ้คงเข้ าใจได้ ดีนะครับ เพราะผมอธิบายไปข้ างต้ นแล้ ว
ว่าการพัฒนา Talent ไม่ได้ พฒ
ั นากันแค่ปีสองปี แต่ต้องพัฒนาระยะยาว ดังนันถ้
้ างบประมาณไม่ตอ่ เนื่องก็
เหมือนกับส่งลูกเรี ยนหนังสืออยูด่ ี ๆ พอมาวันหนึง่ ก็เอาออกจากโรงเรี ยนเสียดื ้อ ๆ ยังไงยังงันแหละครั
้ บ
1.3.4 ไม่ มีการประเมินทบทวนผลงานของ Talent รวมถึงมีการแจ้ งผล (Feedback) อย่ างจริงจัง ซึง่ ทาให้
Talent เองก็จะไม่ทราบว่าตนเองมีข้อบกพร่องที่จะต้ องปรับปรุงแก้ ไขยังไงบ้ าง ซึง่ เรื่ องนี ้จะเกี่ยวกับข้ อ 7.2
โดยตรงเลยครับ คือต้ องมีแผนงานและตัวชี ้วัดตลอดจนเป้าหมายในการพัฒนา Talent ที่ชดั เจนตังแต่
้ ต้น
เสียก่อนครับ
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
เมื่อตอนที่แล้ วผมได้ พดู นาให้ ทา่ นได้ เห็นว่า Talent คือใคร มีคณ
ุ สมบัตยิ งั ไงบ้ างรวมถึงลักษณะโดยทัว่ ไป
ของ Talent ที่องค์กรต่าง ๆ เขาว่าไว้ มาพอเป็ นไอเดียกันแล้ ว ในตอนนี ้ผมจะมาพูดถึงกระบวนการจัดการ
เกี่ยวกับ Talent ว่ามีขนตอนอะไรกั
ั้ นบ้ าง
ตามนี ้เลยนะครับ....
1.1.2 กรณีเป็ นคนในองค์กรก็จะให้ ผ้ บู งั คับบัญชาพิจารณากลัน่ กรองอีกสักครัง้ ว่า Talent ที่หวั หน้ าเสนอมาน่ะมี
คุณสมบัตติ า่ ง ๆ เหมาะสมจริงหรื อไม่
1.1.3 จัดการทดสอบ Talent ไม่วา่ จะเป็ นคนในหรื อคนนอกก็ตามเพื่อให้ แน่ใจว่า Talent ที่หวั หน้ าเสนอมาน่ะ
เป็ น Talent ตัวจริงเสียงจริงหรื อเป็ นเด็กของป๋ าดันเจ๊ ดนั กันแน่ ถึงต้ องมีการทดสอบ Talent หลาย ๆ
อย่างเช่น ทดสอบด้ านภาวะผู้นา, ทดสอบเรื่ องการแก้ ปัญหาและตัดสินใจ, EQ เป็ นต้ น ซึง่ แบบทดสอบ
เหล่านี ้มักเป็ นแบบทดสอบข้ อเขียนโดยอาจจะแบ่งออกลักษณะของการทาสอบเป็ น
1.1.3.1 องค์กรสร้ างแบบทดสอบเพื่อคัดกรอง Talent ขึ ้นมาเองซึง่ วิธีนี ้อาจจะมีคา่ ใช้ จ่ายที่ไม่สงู มากนัก
1.1.3.2 จ้ างบริษัทที่ปรึกษาที่เขามีแบบทดสอบอยูแ่ ล้ ว เข้ ามาดาเนินการ ซึง่ ก็จะมีคา่ ใช้ จา่ ยที่สงู มากขึ ้นไปด้ วย
1.3 การใช้ งาน (Utilization) เมื่อองค์กรพัฒนา Talent แล้ วต้ องใช้ งานซะให้ ค้ มุ ..เอ๊ ย..ใช้ งาน Talent ให้
เหมาะสมกับความสามารถ มีสายความก้ าวหน้ ารองรับ เช่น มองหาตาแหน่งที่เหมาะสมที่มีลกั ษณะงาน
ท้ าทายให้ Talent ได้ ใช้ ความสามารถของตัวเองที่มีได้ อย่างเต็มที่ ยกตัวอย่างก็เช่นไม่ควรให้ ทหารที่ผา่ น
หลักสูตรรบพิเศษไปทางานล้ างรถ หรื อทาครัวอะไรทานองนี ้แหละครับ ก็ต้องส่งให้ เขาไปปฏิบตั ภิ ารกิจที่ท้า
ทายและได้ ใช้ ความสามารถสมศักดิ์ศรี รบพิเศษจริ งไหมครับ
1.4 การธารงรักษา (Retention) เรื่ องนี ้ก็เป็ นเรื่ องสาคัญที่องค์กรจะต้ องมีแผนในการรักษา Talent เอาไว้ ให้ ได้
เพราะคนเหล่านี ้องค์กรอุตส่าห์เลี ้ยงดูฟมู ฟั กพัฒนามาเป็ นอย่างดีจนมีความสามารถขนาดนี ้ก็ย่อมเป็ นที่
ต้ องตาต้ องใจหมายปองสาหรับองค์กรอื่นที่เขาอยากจะมาชิงตัวไป ดังนันองค์
้ กรต่าง ๆ ก็มกั จะมีแผนใน
การรักษา Talent เช่น มีการบริหารค่าตอบแทนสาหรับ Talent อย่างเหมาะสมไม่วา่ จะเป็ นการขึ ้นเงินเดือน
ประจาปี หรื อการให้ โบนัสก็จะเป็ นพิเศษกว่าพนักงานอื่น, การเลื่อนชันเลื
้ ่อนตาแหน่งก็จะเป็ นแบบ “โตเร็ว”
หรื อ Fast Track บางแห่งอาจจะมีการให้ ห้ นุ ของบริษัทเพื่อจะได้ ผกู ใจไว้ ให้ อยูก่ บั องค์กรนาน ๆ เช่นการให้
หุ้นราคาพาร์ แต่ห้ามขายภายในกี่ปีก็วา่ กันไปถ้ าลาออก็จะหมดสิทธิในหุ้นเหล่านี ้เป็ นต้ น หรื อแม้ แต่การ
วางตัว Talent เป็ น “ทายาท” หรื อ Successor ในตาแหน่งงานสาคัญ ๆ เพื่อให้ Talent รู้สกึ ว่าตนเองได้ รับ
การยอมรับจากผู้บริหารระดับสูงว่าจะมีอนาคตที่ดีกบั องค์กร เป็ นต้ น
..................................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
1. Talent คือใคร ?
ก็ตอบได้ ว่า Talent หมายถึงคนที่มีศกั ยภาพสูง (High Performance & Potential) ที่จะพัฒนาขีด
ความสามารถให้ เก่งและดีได้ มากยิ่งขึ ้นไปกว่านี ้และจะเป็ นกาลังสาคัญขององค์กรในอนาคต ซึง่ Talent
อาจเป็ นได้ ทงคนที
ั ้ ่เติบโตไปในสายบริ หารจัดการ (Management) หรื อเติบโตไปในสายวิชาชีพ
(Professional หรื อ Specialist) ก็ได้ แต่เท่าที่ผมเห็นมาส่วนใหญ่มกั จะมุง่ เน้ นไปในสายบริหารจัดการเสีย
เป็ นหลัก
ปรมาจารย์ชื่อดังด้ าน HR ที่ชื่อ Dave Ulrich (หารายละเอียดของ Ulrich ได้ ในกูเกิ ้ลนะครับ) ได้ นิยาม
คุณสมบัตขิ องคนที่จะเป็ น Talent ในหนังสือ HR Transformation Building Human Resources from the
Outside In ซึง่ ตีพิมพ์ครัง้ แรก ใน ปี 2009 เอาไว้ 3 ประการ หรื อเรี ยกว่า 3 C คือ
2.1 Commitment หมายถึง Talent ต้ องเป็ นคนที่มงุ่ มัน่ ในผลสาเร็จสูง ไม่ยอ่ ท้ อถอดใจง่าย ๆ มีความผูกพันกับ
องค์กร รับผิดชอบในงานจนบรรลุเป้าหมายที่ตงไว้
ั ้ เสมอ คือตังใจแล้
้ วต้ องทางานนันให้
้ สาเร็จแม้ วา่ จะมี
อุปสรรคมากแค่ไหนนัน่ แหละครับ
2.2 Competence หมายถึง Talent ต้ องมีความรู้ ทักษะในงานที่ร้ ูลกึ รู้จริงเก่งงาน มีคณ
ุ ลักษณะในตัวที่
เหมาะสมกับงานที่ปฏิบตั ิ มีขีดความสามารถในตัวเหมาะกับงานที่รับผิดชอบหรื อจะเรี ยกว่ามี
Competency เหมาะกับงานก็ได้ ครับ
2.3 Contribution หมายถึง Talent ต้ องเป็ นคนที่พร้ อมอุทิศตัวให้ กบั งานและองค์กรจนกลายเป็ นตัวหลักที่
สาคัญสาหรับองค์กร และมีสว่ นเกื ้อหนุนให้ หน่วยงานหรื อองค์กรบรรลุผลสาเร็จจนเกิดการยอมรับว่าคน ๆ
นี ้แหละคือตัวจริงเสียงจริงสาหรับหน่วยงานหรื อองค์กร
3. ลักษณะทั่วไปของ Talent
ที่ผมบอกมาในข้ อ 2 นันคื
้ อคุณสมบัติ 3C ของคนที่จะเป็ น Talent ในสายตาของ Dave Ulrich นะครับ แต่
ในองค์กรโดยทัว่ ไปเท่าที่ผมประมวลมาจะกาหนดลักษณะของคนที่จะเป็ น Talent ไว้ อีกหลาย ๆ ประการ
ดังนี ้ครับ
3.4 มีความคิดสร้ างสรรค์และ ใฝ่ เรี ยนรู้ Update ความรู้และประสบการณ์ใหม่ ๆ อยูเ่ สมอ
4.1 คุณสมบัติตวั บุคคล หมายถึง Talent จะต้ องสามารถปฏิบตั ติ วั ให้ สอดคล้ องกับค่านิยม (หรื อวัฒนธรรม)
องค์กร, นโยบายขององค์กรได้ เป็ นอย่างดี
...............................................
เวลาที่ทา่ นไปซื ้ออาหารท่านก็มกั จะคิดว่าอาหารที่หน้ าตาหน้ ากินคงจะต้ องอร่อย หรื อร้ านอาหารร้ านนี ้ยี่ห้อดัง
น่าจะทาอาหารอร่อยทุกอย่าง
เมื่อเราซื ้อมากินแล้ วก็อาจจะตรงกันข้ ามกับความคิดในครัง้ แรก !!
เกี่ยวสิครับ เกี่ยวเยอะเสียด้ วย ถ้ าท่านเท่าทันหรื อเข้ าใจเรื่องของ Halo Effect อย่างน้ อยก็จะทาให้ ทา่ นลด
ความผิดพลาดในการบริ หารงานบุคคลลงไม่น้อยเลยทีเดียว
ผมขอเริ่ มตังแต่
้ ดา่ นแรกคือการตัดสินใจรับคนเข้ าทางานเลยนะครับ
หลายครัง้ ที่หวั หน้ าผู้ประเมินผลงานจะประเมินจากบุคลิกภาพ อุปนิสยั ใจคอ หรื อวัตรปฏิบตั ิของลูกน้ องมากกว่าการ
ประเมินที่ตวั ผลงานที่ลกู น้ องทาได้
เช่น....
ถ้ าลูกน้ องเป็ นคนยิ ้มแย้ ม หน้ าตาเป็ นมิตร แจ่มใส พูดง่าย ใช้ คล่อง มาเช้ า-กลับดึก คอยซื ้อข้ าวกลางวันมาให้ หวั หน้ าอยู่
บ่อย ๆ ก็มกั จะประเมินผลว่าลูกน้ องคนนี ้เป็ นคนมีหน่วยก้ านดี ทางานดี
หัวหน้ างานจะไม่ได้ ประเมินที่ตวั ผลงาน (Output) ที่ลกู น้ องทาได้ จริ ง พูดง่าย ๆ ว่าหัวหน้ าไม่เคยเอา JD (Job
Description) ของลูกน้ องคนนี ้มาดูด้วยซ ้าไปว่าเขาทางานได้ ตามหน้ าที่รับผิดชอบใน JD หรื อไม่
“อ่านหนังสือ..อย่าดูแค่ปก”
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
เราประเมินผลการปฏิบตั ิงานจากอะไร ?
แต่ที่ผมบอกมานันมั
้ นเป็ นแค่หลักการน่ะสิครับ !!
แต่ไปประเมินจากคุณลักษณะของลูกน้ องที่หวั หน้ าชื่นชอบ (หรื อไม่ชอบ) เช่น ถ้ าหัวหน้ าชอบลูกน้ องที่ยิ ้มแย้ ม
แจ่มใส พูดง่ายใช้ คล่อง อ่อนน้ อมเชื่อฟั ง ไม่โต้ แย้ งไม่หือ หรื อมาเช้ ากลับดึก ฯลฯ ก็จะประเมินผลการปฏิบตั ิงานลูกน้ อง
เหล่านี ้ไปทางเกรด A หรื อ B
ด้ วยซ ้า
………………………………….
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
หัวหน้ างานคนที่ 1 : ให้ สมปองได้ ขึ ้นเงินเดือนมากกว่าสมหวัง เพราะทางานเสร็ จเรี ยบร้ อยบริ ษัทไม่ต้องจ่ายโอที
แม้ สมปองจะมาสายไปบ้ างแต่ก็พอยอมรับได้ เพราะงานเสร็ จตามกาหนดและเรี ยบร้ อย
หัวหน้ างานคนที่ 2 : ให้ สมหวังได้ ขึ ้นเงินเดือนมากกว่าสมปอง เพราะงานเสร็ จและเรี ยบร้ อยเหมือนกัน แม้ บริษัท
จะมีคา่ ใช้ จา่ ยเรื่ องโอทีเพิ่มสักหน่อยก็ไหวเพราะบริ ษัทมีสถานะการเงินดี แต่รับไม่ได้ ที่สมปองไม่ทาตามกฎระเบียบและ
ชอบมาสาย จะเป็ นตัวอย่างที่ไม่ดีกบั พนักงานคนอื่นให้ เลียนแบบ
ซึง่ การทางานด้ วยการใช้ ความรู้สกึ หรื ออคติสว่ นบุคคลทานองนี ้ก็มกั จะทาให้ การตัดสินใจผิดเพี ้ยนและเกิด
ปั ญหาตามมาในภายหลังอยูเ่ สมอ เพราะหัวหน้ างานจะตอบคาถามลูกน้ องไม่ได้ ชดั เจนว่าเหตุใดถึงตัดสินใจอย่างนัน้
เหมือนกรณีตวั อย่างที่ผมยกมานีแ่ หละครับ
2. มีการกาหนดหลักเกณฑ์เรื่องป่ วย ลา มาสาย ขาดงาน ฯลฯ ให้ ชดั เจน ว่าถ้ าหากพนักงานทางานแล้ วมีการป่ วยลา
มาสาย ขาดงาน ฯลฯ ได้ มากน้ อยแค่ไหน ถ้ าขาดงานหรื อสายเกินกว่ากี่ชวั่ โมงหรื อกี่วนั บริ ษัทจะหักเงินเท่าไหร่หรื อถ้ าการ
ขาด ลา มาสายนันจะมี
้ ผลกระทบต่อการพิจารณาขึ ้นเงินเดือนประจาปี หรื อจ่ายโบนัสของลูกน้ องตอนปลายปี ยังไงบ้ าง
3. มีเกณฑ์ในการให้ คะแนนซึง่ อาจจะมีการถ่วงน ้าหนักของปั จจัยต่าง ๆ ไม่วา่ จะเป็ นเรื่ องของผลงาน (KPIs) หรื อเรื่ อง
การป่ วย ลา มาสาย ขาดงานที่จะมีผลต่อการพิจารณาขึ ้นเงินเดือนประจาปี หรื อการจ่ายโบนัสให้ ชดั เจน
จากที่ผมเสนอมาข้ างต้ นนี ้ก็เพื่ออยากจะให้ ข้อคิดกับหัวหน้ างานทีม่ กั จะชอบใช้ ความรู้สกึ เพื่อแก้ ปัญหามากกว่า
ใช้ หลักเกณฑ์หรื อกติกาในการตัดสินใจเรื่ องของคน ซึง่ ถ้ าใช้ ความรู้สกึ ในการแก้ ปัญหามากจนเกินไปโดยลืมคิดถึง
หลักเกณฑ์หรื อกติกาแล้ วมันก็มกั จะเกิดปั ญหาตามมาในภายหลังอยูเ่ สมอ ๆ แถมยังจะตอบคาถามผู้คนไม่ได้ ชดั เจน เกิด
ปั ญหาข้ อครหาเรื่ องสองมาตรฐานความไม่เป็ นธรรมตามมาอีกต่างหาก
…………………………………………
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
MBO คืออะไร ?
บทนา
เมื่อดูชื่อเรื่ องของบทความนี ้จากข้ างต้ นแล้ ว สาหรับท่านที่เคยได้ ยินหรื อเคยใช้ ระบบการบริ หารจัดการโดยมีวตั ถุประสงค์
หรื อเป้าหมาย (Management by Objective หรื อ MBO) มาแล้ วย่อมจะเข้ าใจไม่ผิดหรอกครับ แต่สาหรับคนในยุคใหม่
หลาย ๆ คนยังไม่เคยได้ ยินหรื อเคยทราบมาก่อนว่าคืออะไร หลายครัง้ ที่ผมบรรยายเรื่ องเกี่ยวกับการประเมินผลการ
ปฏิบตั ิงาน แล้ วพอพูดถึงคาว่า "MBO" ถามว่าคืออะไร หลายคนจะอึ ้ง งง ๆ หรื อตอบว่าคงคล้ าย ๆ กับ MBA หรื อ
ปริ ญญาโทบริ หารธุรกิจอะไรไปโน่น
วันนี ้ผมจึงขอนาให้ ทา่ นรู้จกั กับ MBO ให้ มากขึ ้นดังนี ้ครับ
การกาเนิดของ MBO
ความหมายของ MBO
ดร.ดรักเกอร์ ให้ ความหมายของ MBO ไว้ วา่ หมายถึง “เป็ นการบริ หารซึง่ ผู้บงั คับบัญชาและผู้ใต้ บงั คับบัญชา
ร่วมกันกาหนดวัตถุประสงค์ มาตรฐาน และเลือกปฏิบตั ิงาน โดยผู้ใต้ บงั คับบัญชามีภาระหน้ าที่ และความรับผิดชอบต่อ
วัตถุประสงค์ โดยมีผ้ บู งั คับบัญชาสนันสนุน และกระตุ้นเพื่อให้ เกิดการควบคุมตนเองฉะนัน้ ความสาคัญของการวางแผน
และการควบคุมจึงขึ ้นอยูก่ บั ความสามารถในการบริ หารข้ อมูลโดยการสร้ างความสัมพันธ์ของระบบข้ อมูลกับการวางแผน
และการควบคุมสนับสนุนการตัดสินใจร่วมกัน”
หากพูดง่าย ๆ ภาษาชาวบ้ านก็คอื การบริ หารจัดการโดยที่ต้องมีการหันหน้ าเข้ าหากันระหว่างหัวหน้ ากับลูกน้ อง
เพื่อพูดคุยกันในเรื่ องวัตถุประสงค์หรื อเป้าหมายของงานให้ มีความเข้ าใจตรงกันทีช่ ดั เจนเสียก่อน เรี ยกว่าให้ มกี ารสือ่ สาร 2
ทางนัน่ แหละครับ
กระบวนการของ MBO
1. การกาหนดเป้าหมายขององค์กร
ในขันนี
้ ้หัวหน้ าก็จะต้ องมีการตรวจสอบความคืบหน้ าของงานว่าลูกน้ องทางานไปได้ เท่าไร ซึง่ หัวหน้ าก็จะต้ องกาหนด
วิธีการติดตามผลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การให้ ลกู น้ องรายงานความคืบหน้ าในที่ประชุม, การให้ ทาเป็ นรายงาน เพื่อ
เปรี ยบเทียบกับเป้าหมายว่าลูกน้ องสามารถปฏิบตั ิงานไปได้ กี่เปอร์ เซ็นต์ตามกรอบระยะเวลาที่ตกลงกันไว้ แล้ ว และจะ
บรรลุเป้าหมายเมื่อใด เป็ นไปตามแผนงานหรื อไม่ หรื อจะต้ องมีการปรับเปลีย่ นแผนงานหรื อไม่อย่างไร เป็ นต้ น
6. มีระบบรางวัลรองรับ
ลักษณะของเป้าหมายที่กาหนดร่วมกัน
จากกระบวนการของ MBO ข้ างต้ น ผมขอขยายถึงเป้าหมายหรื อวัตถุประสงค์ร่วมกันระหว่างหัวหน้ ากับลูกน้ อง
ดังนี ้คือ
1. เป้าหมายที่กาหนดขึ ้นนันจะต้
้ องสอดคล้ องกับกลยุทธ์หรื อทิศทางที่องค์กรจะมุง่ ไป เช่น องค์กรมีนโยบายในการเพิ่ม
ยอดขายขึ ้นจากปี ที่ผา่ นมาอีก 20 เปอร์ เซ็นต์
ในขณะที่ฝ่ายบริการลูกค้ าก็จะต้ องรับเป้าหมายนี ้มาถ่ายทอดให้ กบั พนักงานในฝ่ ายบริ การลูกค้ าเพือ่ สร้ างความ
ประทับใจให้ กบั ลูกค้ าได้ อย่างไร โดยมีเป้าหมายที่ชดั เจน เช่น การจัดทาแบบสอบถามความพึงพอใจของลูกค้ าเพื่อนา
กลับมาประมวลผลว่าดีขึ ้นหรื อไม่อย่างไร เพราะจะมีผลกระทบต่อยอดขายด้ วยเช่นกัน เช่น การกาหนดเป้าหมายว่า
พนักงานบริ การลูกค้ าจะต้ องออกตลาดไปพบลูกค้ าอย่างน้ อยสัปดาห์ละ 3 วัน เพื่อสอบถามความพึงพอใจของลูกค้ าราย
ใหญ่ เป็ นต้ น
ในฝ่ ายฝึ กอบรมก็จะต้ องรับนโยบายเพิม่ ยอดขายขึ ้นมากอีก 20 เปอร์ เซ็นต์มาจัดการฝึ กอบรมให้ กบั พนักงาน
ขาย, พนักงานบริ การลูกค้ า เช่น อาจกาหนดเป้าหมายให้ จะต้ องมีชวั่ โมงเข้ าอบรมความรู้ในเรื่ องการขาย และการ
ให้ บริ การลูกค้ าอย่างน้ อยคนละ 30 ชัว่ โมง ต่อคน ต่อปี เป็ นต้ น
2. เป้าหมายจะต้ องมีความท้ าทาย ดังที่ได้ ยกตัวอย่างที่ผมได้ ยกมาให้ เห็นข้ างต้ น ซึง่ เป้าหมายของแต่ละหน่วยงานนัน้
จะต้ องมีความท้ าทาย ไม่ยากจนทาให้ ผ้ ปู ฏิบตั ิท้อแท้ หรื อไม่ง่ายจนไม่ร้ ูจะกาหนดเป้าไว้ ทาไม ซึง่ หัวหน้ ากับลูกน้ องจะต้ อง
มาตกลงกันในเรื่ องเป้าหมายเพื่อให้ เข้ าใจตรงกันครับ
3. เป้าหมายนันจะต้
้ องวัดผลได้ เป็ นรูปธรรม ซึง่ ควรจะต้ องมีการวัดผลได้ ทงเชิ
ั ้ งปริ มาณและเชิงคุณภาพประกอบกัน
ครับ
4. มีระบบรางวัลรองรับ
3. การเริ่ มทา BSC จะเริ่ มจากการหาวิสยั ทัศน์ ภารกิจ และกลยุทธ์ขององค์กรก่อน แล้ วจึงนากลยุทธ์นนมาแปลงเป็
ั้ น
ดัชนีชี ้วัดหลักเพือ่ ให้ บรรลุวตั ถุประสงค์ตามกลยุทธ์
บทสรุป
ปั จจุบนั เครื่ องมือทีเ่ รี ยกว่า MBO นี ้ก็ยงั ไม่ถึงกับล้ าสมัยนะครับ เพราะยังมีองค์กรต่าง ๆ ยังใช้ กนั อยูบ่ ้ าง แต่สว่ น
ใหญ่แล้ วหันมาใช้ เครื่ องมือทีเ่ รี ยกว่า BSC กันมากแล้ วล่ะครับ
.......................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
Indicators-KPIs) ในระดับต่าง ๆ ไม่วา่ จะเป็ นระดับองค์กร ระดับหน่วยงาน หรื อระดับบุคคล ซึง่ เป็ นที่ทราบกันดีแล้ วและ
ผมคงไม่ต้องมาอธิบายขยายซ ้านะครับ
แต่แม้ วา่ จะมีระบบการประเมินผลการปฏิบตั ิงานโดยมีตวั ชี ้วัดที่แสดงให้ เห็นถึงเป้าหมายของงานอย่างชัดเจน
แล้ วก็ตาม เมื่อสิ ้นสุดการประเมินผลการปฏิบตั ิงานนัน้ โดยทัว่ ไปควรจะต้ องมีการแจ้ งผลการปฏิบตั ิงาน ซึง่ ก็จะมีวิธีการ
โดยทัว่ ไปก็คือ ผู้บงั คับบัญชา (ผู้ประเมิน) จะต้ องเชิญผู้ใต้ บงั คับบัญชา (ผู้ถกู ประเมิน) มาพบปะพูดคุยในเรื่ องผลงานที่
ผ่านมาว่าดีหรื อไม่ดีอย่างไร แล้ วก็จะต้ องทาการแจ้ งผลการปฏิบตั งิ านเพื่อให้ มกี ารปรับปรุงและพัฒนาการทางานของผู้ถกู
ประเมินให้ ดีมากยิง่ ขึ ้น ซึง่ การแจ้ งผลการปฏิบตั ิงานถือเป็ นการ Feedback ให้ ผ้ ปู ฏิบตั ิได้ ทราบว่าตัวเองทางานเป็ น
อย่างไรในมุมมองของหัวหน้ านัน่ เอง
1. หัวหน้ าจะต้ องเข้ าใจบุคลิกลักษณะ ความเป็ นอยู่ อุปนิสยั ใจคอ ประวัติตลอดจนพฤติกรรมของลูกน้ องให้ ดีก่อนนะ
ครับว่าลูกน้ องเป็ นคนอย่างไร เป็ นคนเปิ ดใจรับฟั ง หรื อเป็ นพวกดื ้อหัวชนฝา เพื่อจะได้ เตรี ยมการในขันต่
้ อไป เรี ยกว่าต้ องรู้
เขารู้เราก่อนยังไงล่ะครับ
การดาเนินการแจ้ งผลการปฏิบตั งิ าน
1. สร้ างบรรยากาศในห้ องแจ้ งผลในลักษณะผ่อนคลาย เช่น การยิ ้มทักทาย การสบสายตาลูกน้ องอย่างจริงใจ การเชิญ
ให้ เขานัง่ ตามสบาย ผู้ประเมินควรจะมีภาษากายในลักษณะเป็ นมิตรและเป็ นธรรมชาติ จะพบหลายครัง้ นะครับว่าผู้
ประเมินจะไม่ได้ คานึงถึงภาษากายเหล่านี ้ และมักจะหน้ านิ่วคิ ้วขมวด หรื อทาท่าเตรี ยมจะเฉ่งลูกน้ องเสียตังแต่
้ แรกเจอซึง่
ถ้ าบรรยากาศไม่ดีตงแต่
ั ้ แรกก็จะมีผลทาให้ ลกู น้ องเกิดความรู้สกึ ต่อต้ านแล้ วล่ะครับ
2. เริ่ มต้ นพูดเกริ่ นนาในเรื่ องทัว่ ไป เรื่ องที่ลกู น้ องทางานดี เรื่ องที่ประสบความสาเร็ จที่ผา่ นมา หรื อการไต่ถามความ
คิดเห็นต่องานในปั จจุบนั ว่าเป็ นอย่างไร ไม่ควรเข้ าเรื่ องหรื อพูดตาหนิผลงานของลูกน้ องที่มีปัญหาในทันทีตงแต่
ั ้ แรก ซึง่ ผู้
ประเมินควรขึ ้นต้ นด้ วยคาพูดทานองนี ้ครับ “เป็ นยังไงบ้ าง งานที่รับผิดชอบอยูม่ ีอะไรหนักใจบ้ างไหม งาน.......ที่คณ
ุ ทาเมื่อ
สองเดือนที่แล้ วได้ รับคาชมเชยจากผู้ใหญ่มากเลยนะ.....ฯลฯ”
3. ระหว่างที่ผ้ ถู กู ประเมินพูดเรื่ องราวต่าง ๆ ให้ ฟัง ผู้แจ้ งผลควรจะรับฟั งด้ วยภาษากายทีแ่ สดงให้ เห็นว่ารับฟั งอยูเ่ สมอ
ใช้ หลัก “สุ-จิ-ปุ-ลิ” หรื อ “ฟั ง-คิดสรุปประเด็นที่เขาพูดให้ ฟัง-ถามคาถามสลับบ้ างเป็ นระยะเพื่อให้ เขารู้วา่ เราสนใจเรื่ องนี ้
อยู-่ และจดบันทึกเรื่ องที่เขาพูดเป็ นระยะ ซึง่ จะช่วยให้ เราจดจาเรื่ องได้ ดีมากยิง่ ขึ ้นครับ
7. หลีกเลีย่ งการพูดโต้ แย้ งเมือ่ มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ควรควบคุมอารมณ์น ้าเสียง มีสติเท่าทันตัวเอง ควรหารื อกัน
ด้ วยเหตุผล และไม่ควรด่วนตัดสินใจว่าเราจะถูกหมดทุกเรื่ อง หากเรื่ องที่ผ้ ถู กู ประเมินแย้ งมาว่ามีข้ อจากัดหรื อมีปัจจัยที่
ก่อให้ เกิดปั ญหาต่าง ๆ ก็ต้องเปิ ดใจรับฟั งนะครับ
...............................................
เซ็นสั ญญาจ้ างแล้วแต่ ไม่ ไปทางาน..บริษทั จะให้ จ่ายค่ าเสี ยหายได้ หรือไม่ ?
กรณีตามหัวข้ อข้ างบนนี ้ก็คงจะเป็ นอีกปั ญหาหนึง่ ที่หลายคนยังสงสัยอยูว่ า่ ถ้ าเซ็นสัญญาจ้ างแล้ ว
เราไม่สามารถไปทางานกับบริษัทที่เราเซ็นสัญญาจ้ างได้ จะมีผลยังไง
นี่ถงึ ได้ เป็ นปั ญหาว่ าถ้ าฉลองไม่ ไปทางานที่บริษัท ก ตามสัญญาจ้ างฉลองจะต้ องจ่ าย
ค่ าเสียหายตามสัญญาหรื อไม่ ?
2. หากฉลองอธิบายเหตุผลทังหลายทั
้ งปวงแล้
้ ว บริ ษัท ก ก็ยงั คงยืนยัน (และดึงดัน) ที่จะให้ ฉลองจ่าย
ค่าเสียหายให้ สองเท่า (คือ 60,000 บาท) ตามสัญญาให้ ได้ บริษัท ก ก็คงจะต้ องไปฟ้องศาลแรงงานเอาเอง
แล้ วไปพิสจู น์ให้ ศาลท่านเห็นว่าการที่ฉลองไม่มาเริ่มงานตามสัญญาจ้ างนี ้ทาให้ บริษัทเกิดความเสียหาย
อย่างไรเป็ นจานวนเงินเท่าไหร่ ซึง่ ก็ขึ ้นอยูก่ บั ศาลจะวินิจฉัยข้ อเท็จจริงและข้ อกฎหมายต่าง ๆ แล้ วล่ะครับ
ว่าบริษัท ก จะสามารถเรี ยกค่าเสียหายจากฉลองได้ หรื อไม่และเท่าไหร่ ซึง่ แน่นอนว่าบริษัท ก จะต้ อง
เสียเวลาขึ ้นโรงขึ ้นศาลเตรี ยมข้ อมูลต่าง ๆ ไปให้ ศาลดูคงไม่ใช่ไปศาลครัง้ สองครัง้ แล้ วจบ ก็อยูท่ ี่ว่าบริ ษัท ก
จะยอมเสียเวลาหรื อเปล่าซึง่ ก็ไม่แน่นะครับว่าในที่สดุ แล้ วศาลจะเห็นด้ วยกับบริษัท ก หรื อไม่
………………………………………..
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 06:52 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: การสรรหาคัดเลือกบุคลากร
เพราะผมไปเจอการตังกระทู
้ ้ ดา่ HR ที่ทาหน้ าที่สมั ภาษณ์ผ้ สู มัครงานเกี่ยวกับการใช้ คาถามต่าง ๆ
ในระหว่างการสัมภาษณ์ และก็กลายเป็ นกระทู้ยอดนิยมแล้ วก็มีคนเข้ ามาเม้ นท์มาเม้ าท์ดา่ คนที่ทางาน HR
(ที่ไม่ใช่คนใช้ คาถามไม่เหมาะสมคนนัน)
้ แบบเหมาเข่งว่าคนทางาน HR พูดจาไม่ดี, ชอบเหยียดหยามคน
อื่น ฯลฯ ทาให้ เกิดภาพด้ านลบกับอาชีพ HR เพียงเพราะคนที่ทางาน HR บางคนเท่านันที
้ ่ยงั ขาดทักษะการ
สัมภาษณ์วา่ อะไรควรถามไม่ควรถามก็เลยทาให้ คนที่ทางาน HR ที่ดี ๆ พลอยถูกสังคมมองไปในภาพลบไป
ด้ วย
- ทาไมน้ องแต่งตัวมอซอจังเลย
แล้ วก็เลยมีบรรดาขาเม้ นท์ขาเม้ าท์เข้ ามาร่วมด้ วยช่วยกันด่า HR หรื อผู้สมั ภาษณ์ที่เป็ น Line Manager ที่
ปากเบาชอบถามอะไรโดยไม่คดิ เสียก่อนว่าอะไรควรถาม (ควรพูด) หรื อไม่ควรถาม
ถ้ ามีเหตุผลในการตังค
้ าถามแบบแย่ ๆ ตามตัวอย่างข้ างต้ น ผมยังยืนยันว่าเป็ นการ “แถ” อยูน่ นั่ เอง
ครับ เพราะในการสัมภาษณ์นะ่ มักจะใช้ เวลาโดยเฉลี่ยประมาณคนละหนึง่ ชัว่ โมง (บวก-ลบ) กะอีแค่ใช้
คาถามยัว่ ยุ หรื อคาถามเชิงล้ อเลียนดูถกู ผู้สมัครงานแบบนี ้มันไม่ได้ วดั ในเรื่ องการควบคุมอารมณ์ของ
ผู้สมัครงานได้ ชดั เจนหรอกครับ
แถมยังจะทาให้ ผ้ ูสมัครงานรู้ สึกย่าแย่ กับบริษัทนัน้ ๆ หรื อกับ HR คนสัมภาษณ์ อีก
ต่ างหาก !!
อันที่จริงแล้ วถ้ าคนที่ทาหน้ าที่สมั ภาษณ์มีการเตรี ยมคาถามเอาไว้ ลว่ งหน้ าแบบ Structured
Interview แล้ วใช้ คาถามนันกั
้ บผู้สมัครงานแบบเดียวกันและมีเกณฑ์ในการประเมินเพื่อวัดความเหมาะตรง
กับตาแหน่งงานของผู้สมัครแต่ละรายอย่างชัดเจน ก็จะลดปั ญหาชนิดที่ถามแบบเทพดลใจเพราะไม่ได้
เตรี ยมคาถามอะไรมาก่อนก็เลย เหมือนถามไปโดยปากพาไปจนกระทัง่ ปากพาจนทาให้ คนเขาด่าในที่สดุ
……………………………….
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 08:05 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: การสรรหาคัดเลือกบุคลากร
ดังนี ้ครับ....
1. ดูว่าตาแหน่งงานที่เราต้ องการจะรับนันคื
้ อตาแหน่งอะไร และตาแหน่งนัน้ JD ต้ องรับผิดชอบอะไรบ้ าง
2. ในตาแหน่งงานนันต้
้ องการ K S A คือต้ องการให้ คนที่มาทางานในตาแหน่งนี ้มีความรู้ มีทกั ษะ และมี
คุณลักษณะภายในอะไรในงานนี ้บ้ างที่จะทาให้ สามารถทางานในตาแหน่งนี ้ได้ อย่างสาเร็จลุลว่ งตาม JD
เช่น องค์กรต้ องการคนเข้ ามาทางานในตาแหน่งเจ้ าหน้ าที่บคุ คล ต้ องรับผิดชอบในเรื่ องการสรรหาว่าจ้ าง,
การทาเงินเดือนและสวัสดิการ, การวางแผนและจัดการฝึ กอบรม ก็ต้องการคนที่มีความรู้ในงาน
(Knowledge) คือความรู้กฎหมายแรงงาน, ความรู้เกี่ยวกับภาษีบคุ คลธรรมดา, ความรู้กฎหมาย
ประกันสังคม ต้ องการคนที่มีทกั ษะในการสัมภาษณ์ , ทักษะการสื่อสารและประสานงาน และมีคณ
ุ ลักษณะ
ภายในคือมีมนุษยสัมพันธ์ , มีความรับผิดชอบ เป็ นต้ น
ที่ผมเสนอมาข้ างต้ นนี ้ถ้ าใครผ่านการทดสอบ (ข้ อเขียนหรื อสัมภาษณ์) เข้ ามาได้ ไม่วา่ จะจบจากสถาบัน
ไหน หรื อเกรดเฉลี่ยเท่าไหร่ก็ไม่สาคัญเพราะผู้สมัครทุกคนจะต้ องผ่านหลักเกณฑ์เดียวกันหากใครผ่านเข้ า
มาทางานได้ ก็ถือว่ามีสมรรถนะที่ใกล้ เคียงกัน
เรื่ องนี ้ก็ไม่ใช่เรื่ องใหม่อะไร หรื อเป็ นเรื่ องเกินจริงหรื อทาไม่ได้ นะครับ มันอยูท่ ี่ว่าองค์กรไหนจะให้
ความสาคัญและจะทาหรื อไม่เท่านันเอง
้ ถ้ าองค์กรไหนทาตามนี ้ก็จะมีโอกาสได้ คนที่ “ใช่” ที่เหมาะกับ
ตาแหน่งงานนัน้ ๆ มากยิ่งขึ ้นกว่าการใช้ “อคติ” ในการรับคนเข้ ามาทางาน
ข้ อคิดปิ ดท้ ายสาหรับเรื่ องนี ้ก็คือ หาคนว่ายากแล้ วรักษาคนเอาไว้ ยิ่งยากกว่า ไม่วา่ จะไปตัง้
กฎเกณฑ์ในการคัดเลือกโดยใช้ สถาบันที่จบเป็ นหลักหรื อ CBI ก็ตาม เมื่อรับเข้ ามาเป็ นพนักงานแล้ ว
องค์ กรเคยคิดหาวิธีผูก “ใจ” ให้ เขาอยู่กับองค์ กรไว้ บ้างหรื อไม่ ครั บ ?
………………………………………..
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 19:40 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: การสรรหาคัดเลือกบุคลากร
1.4 ดังนัน้ ในกรณีที่เป็ นปั ญหาเช่นที่ถามมาคือผู้สมัครบางคนที่เป็ นคนคิดสร้ างสรรค์ได้ ดีมีความมุง่ มัน่ แต่ขาด
Competency ในการนาเสนอ หรื อขาดภาวะผู้นา กรรมการสัมภาษณ์ก็จะให้ คะแนนไปตามเกณฑ์ของแต่
ละปั จจัยแบบแยกส่วนในการพิจารณา พูดง่าย ๆ คือ Competency ตัวไหนของผู้สมัครที่ดีหรื อไม่ดีก็ให้
คะแนนกันไปตามเนื ้อผ้ า แล้ วจะนาคะแนนของทุกเรื่ องมาประมวลผลดูคะแนนรวมก่อนว่าโดยภาพรวม
แล้ วผู้สมัครคนไหนบ้ างที่สอบผ่านในภาพรวม
1.5 จากข้ อ 1.4 ก็จะเห็นได้ ว่าผู้สมัครที่คดิ สร้ างสรรค์ได้ ดี, มีความมุง่ มัน่ ในการทางานในกลุม่ ก็จะได้ คะแนนใน
เรื่ องนี ้สูง แต่ถ้าขาดภาวะผู้นาหรื อการนาเสนอไม่ดีก็จะทาให้ เสียคะแนนส่วนนี ้ไป ในทานองเดียวกันคนที่
นาผลงานของเพื่อนมาเสนอแต่ตวั เองไม่ได้ คิดงานเองก็จะได้ คะแนนในเรื่ องการนาเสนอแต่เรื่ องของ
ความคิดสร้ างสรรค์ก็จะได้ คะแนนน้ อยลงไป เป็ นต้ น ซึง่ ตรงนี ้เป็ นความรับผิดชอบของคนที่เป็ นกรรมการ
ประจากลุม่ จะต้ องสังเกตพฤติกรรมของผู้สมัครอย่างใกล้ ชิดอยู่แล้ ว
1.8 วิธีการที่ผมบอกมานี ้มักจะใช้ กบั บริ ษัทที่มีคนสนใจสมัครเข้ าทางานมาก ๆ ซี่งไม่คอ่ ยได้ ใช้ กนั ในบริษัท
กลางถึงเล็ก (SMEs) ซึง่ บริษัททัว่ ไปมักจะใช้ วิธีการทดสอบข้ อเขียน (บ้ าง) และส่วนใหญ่ก็มีการสัมภาษณ์
เพื่อคัดเลือกผู้สมัครงานแบบปกติทวั่ ไป แต่ ท่ ีแย่ คือบริษัทอีกไม่ น้อยที่ใช้ วิธีการสัมภาษณ์ เพื่อ
คัดเลือกคนแบบไม่ ได้ เตรี ยมการอะไรเลยแม้ แต่ เตรี ยมคาถามก่ อนการสัมภาษณ์ หรือที่เรียกว่ า
“Unstructured Interview” ยิ่งทาให้ ได้ คนที่ไม่ เหมาะสมเขามาเป็ นปั ญหากับบริษัทมากขึน้ ไปอีก
วิธีการที่ผมเล่ามาข้ างต้ นคือการสรรหาคัดเลือกสาหรับบริษัทที่มีรูปแบบที่มีการทดสอบแบบกิจกรรม
กลุม่ ซึง่ จะมีการเตรี ยมกิจกรรม, หลักเกณฑ์การให้ คะแนนตาม Competency ที่ต้องการ รวมถึงคาถามที่
เตรี ยมไว้ สาหรับการสัมภาษณ์เพื่อคัดเลือก (Structured Interview) ผู้สมัครงานแล้ ว คงจะพอให้ ทา่ นได้
เข้ าใจแล้ วนะครับว่าบริ ษัทที่เขาทดสอบผู้สมัครงานแบบเป็ นกลุม่ เขามีการคัดเลือกกันยังไง ซึง่ ถ้ าใครเด่น
เรื่ องไหนหรื อด้ อยเรื่ องไหนก็จะว่ากันไปตามเรื่ องนัน้ ๆ แล้ วคณะกรรมการก็จะมาสรุปกันอีกครัง้ ว่าใครจะ
เหมาะที่สดุ สาหรับตาแหน่งนี ้ ก็ขึ ้นอยูก่ บั ตัวผู้สมัครงานแล้ วล่ะครับว่ามี Competency เหมาะสมกับ
ตาแหน่งงานนัน้ ๆ หรื อไม่
……………………………………
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 19:36 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: การสรรหาคัดเลือกบุคลากร
ผู้สมัครงานควรจะถามเรื่องเงินเดือนเมือ่ ไหร่ ดี ?
ผู้สมัครงาน : “เราควรจะถามเรื่ องเงินเดือนกับผู้สมั ภาษณ์ (ไม่วา่ จะเป็ น HR หรื อ Line Manager ก็ตาม)
ดีหรื อไม่”
ผู้สัมภาษณ์ : “เราควรจะตอบคาถามข้ างต้ นยังไงดี”
แต่ ....โลกทุกวันนีค้ ือโลกของ Social media ครั บ..เมื่อเรารู้ ..โลกต้ องรู้ ด้วย !!
………………………………..
วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559
คาถามมีอยูว่ า่
1. พนักงานบริ ษัทแห่งหนึง่ เงินเดือน 20,000 บาท ได้ รับค่าครองชีพเดือนละ 2,000 บาท ค่าภาษา
3,000 บาท ถามว่าในทางกฎหมายแรงงานแล้ วพนักงานคนนี ้จะมี “รายได้ ” เดือนละ 25,000 บาท ใช่
หรื อไม่ ?
ดังนัน้ ในบริ ษัทห้ างร้ านองค์กรต่าง ๆ ที่มีชื่อเรี ยกการจ่ายค่าตอบแทนว่า “เงินเดือน” หรื อคาอื่น ๆ
ก็จะต้ องนาค่าตอบแทนที่จา่ ยในชื่อต่าง ๆ นันมาเที
้ ยบกับมาตรา 5 ของกฎหมายแรงงานดูว่าเงิน
ค่าตอบแทนเหล่านันอะไรเป็
้ น “ค่าจ้ าง” อะไรไม่ใช่ “ค่าจ้ าง”
ถึงแม้ บริษัทจะเรี ยกเงินที่จา่ ยให้ แตกต่างออกเป็ นคาว่า “ค่าครองชีพ” หรื อ “ค่าภาษา” แล้ วก็ตาม
เราก็ต้องนาลักษณะการจ่ายค่าตอบแทนเหล่านี ้มาเปรี ยบเทียบกับความหมายของคาว่า “ค่าจ้ าง” ตาม
มาตรา 5 (ข้ างต้ น) ด้ วยเช่นเดียวกันถึงจะตอบได้ วา่ เงินเหล่านี ้เป็ น “ค่าจ้ าง” หรื อไม่
………………………………………….
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 07:48 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ตัวอย่างคาถามเกี่ยวกับเงินเดือนเหล่านี ้เช่น....
2.บริษัทเอาหลักเกณฑ์อะไรมากาหนดว่าพนักงานในตาแหน่งไหนควรจะได้ เงินเดือนเท่าไหร่
ฯลฯ
คาถามตามตัวอย่างที่ผมบอกมาข้ างต้ นนี่เป็ นเพียงส่วนน้ อยเท่านันนะครั
้ บที่พนักงานรวมถึงผู้บริหาร
ก็เช่น....
ฯลฯ
ไม่ใช่อย่างงันนะครั
้ บ..อย่าเข้ าใจผิดคิดว่าผมจะให้ เอาโครงสร้ างเงินเดือนของบริษัทมาเปิ ดเผยสัก
หน่อย
………………………………..
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 09:48 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ปัญหาในการบริหารค่ าตอบแทน
ปั จจัยอันดับต้ น ๆ ที่ทาให้ คนตัดสินใจลาออกนัน่ ก็คือเรื่ อง “ค่าตอบแทน” ท่านว่าจริงไหมครับ แม้
จะมีความพยายามจากทุกบริษัทว่าเรื่ องเงินเดือนเป็ นความลับห้ ามเอาไปบอกกัน แม้ แต่จะสิ ้นเดือนก็ยงั
ต้ องทา Slip เงินเดือนปิ ดผนึกไว้ เป็ นอย่างดีนยั ว่ากลัวไม่ลบั แต่แล้ วพนักงานอีกไม่น้อยก็เปิ ดแลกกันดูกบั
เพื่อน ๆ ให้ เกิดดราม่ากันอยู่บอ่ ย ๆ
3. ทังข้
้ อ 1 และข้ อ 2 นี ้ผมพูดถึงการกาหนดอัตราเริ่มต้ นตามคุณวุฒิที่พอรับเข้ าทางานแล้ วให้ อย่างนี ้
ทันทีเลยโดยไม่ได้ มีการพิสจู น์หรื อทดสอบอะไรเลยนะครับว่าพนักงานที่จบสถาบันที่กาหนด หรื อจบเกียรติ
นิยมจะมีความสามารถทางานในตาแหน่งงานนี ้ได้ ดีหรื อไม่แค่ไหน ซึง่ ถ้ าบริษัทที่ระบบการคัดเลือกที่ดีมี
การทดสอบผู้สมัครงาน หรื อมีการทดลองให้ ทางานไปก่อนว่าใครมีความสามารถ (Competency) เหมาะ
กับตาแหน่งงานเสียก่อนก็ยงั พออนุโลมหลักเกณฑ์ทานองนี ้ได้ บ้างเพราะถือว่าได้ ทดสอบหรื อได้ มีการ
ประเมินผลการทางานกันไปแล้ วว่าเก่งจริง
4. ขึน้ เงินเดือนประจาปี เท่ ากันทุกคนโดยไม่ ได้ ดูผลการปฏิบัตงิ านว่าใครทางานดีควรจะมีการ
พิจารณาให้ ขึ ้นเงินเดือนมากกว่าคนที่ขี ้เกียจไม่มีผลงาน หรื อทางานผิดพลาดบ่อย ทางานแล้ วเกิดความ
เสียหายอยูเ่ ป็ นประจา เช่นขึ ้นเงินเดือนให้ ทกุ คน ๆ ละ 500 บาทไม่วา่ ใครจะทางานดีมีผลงานหรื อจะไม่มี
ผลงานเป็ นชิ ้นเป็ นอันก็ได้ 500 บาทเช่นเดียวกัน อย่างนี ้ใครอยากจะขยันตังใจท
้ างานล่ะครับ
6. มีนโยบายจ่ ายเงินเดือนมูลฐาน (Base Salary) ให้ ไม่ สูงนัก แต่ เอารายได้ อ่ ืน ๆ มาโปะไว้ กับ
เงินเดือนมูลฐาน เช่น รับพนักงานจบปริญญาตรี จา่ ย 10,000 บาท (สมมุตวิ า่ ตลาดเขาจ่ายอยูท่ ี่ 15,000
บาท) แต่มีนโยบายให้ พนักงานทาโอ(ที) ซึง่ ถ้ าพนักงานขยันทาโอทีก็จะได้ รายได้ ตอ่ เดือน 15,000 บาท
แปลว่ามีการกาหนดโครงสร้ างค่าตอบแทนไปเน้ นที่รายได้ อื่นแทนที่จะเป็ นฐานเงินเดือน แสดงว่ารายได้ 1
ใน 3 ของพนักงาน (33%) คือ 5,000 บาทไม่ใช่เงินเดือนมูลฐานที่จะแข่งขันกับตลาดได้ แล้ วบริษัทเคยไปดู
ต่อหรื อไม่วา่ หากทาอย่างนี ้จานวนชัว่ โมงการทางานล่วงเวลาจะเกิน 36 ชัว่ โมงต่อสัปดาห์ซงึ่ ผิดกฎหมาย
แรงงานหรื อไม่ หรื อหากออเดอร์ ลดลงในอนาคตหรื อเศรษฐกิจไม่ดีบริ ษัทจะต้ องลดชัว่ โมงการทาโอทีลง
หรื องดการทาโอทีจะทาให้ พนักงานเกิดขาดรายได้ ที่เคยได้ มาประจาแล้ วจะทาให้ พนักงานมีปัญหาในเรื่ อง
การเงินของครอบครัวอย่างยังไงบ้ าง หรื อในระยะยาวการที่พนักงานต้ องทางานล่วงเวลาอย่างต่อเนื่องไป
ทุกวันทุกเดือนทุกปี และหลาย ๆ ปี ติดต่อกันจะทาให้ พนักงานมีสขุ ภาพที่เสื่อมโทรมยังไงบ้ าง และใน
อนาคตบริษัทจะมีแต่พนักงานขี ้โรคหรื อไม่ ฯลฯ
…………………………………….
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 07:01 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
คนที่เป็ นผู้กาหนดค่ าจ้ างตัวจริงหรื อ “ตลาด” นะครั บ ไม่ ใช่ นายจ้ าง หรื อผู้บริหารเป็ นคน
กาหนด ซึง่ ยังมีเจ้ าของกิจการหรื อผู้บริหารระดับสูงหลายคนยังเข้ าใจว่าฉันเป็ นผู้กาหนดค่าจ้ างใน
ตาแหน่งงานต่าง ๆ ในบริษัท และก็กาหนดค่าจ้ างตามใจฉันโดยไม่เคยไปดูเลยว่าในตลาดเขาจ่ายกัน
เท่าไหร่ในตาแหน่งต่าง ๆ ที่ทางานอย่างเดียวกัน
ถ้ าจะถามว่ าแล้ วจะรู้ ได้ ยังไงว่ าตลาดเขาจ่ ายกันอยู่เท่ าไหร่ ในตาแหน่ งงานต่ าง ๆ ?
คาตอบก็คือ บริษัทของท่านก็ต้องเข้ าร่วมการสารวจค่าตอบแทนกับองค์กรที่เขาเป็ นคนกลางใน
การสารวจค่าตอบแทนประจาปี ซึง่ ก็มีอยูห่ ลาย ๆ องค์กรที่เขาทากันทุกปี เช่น สมาคมจัดการงานบุคคล
แห่งประเทศไทย (PMAT) หรื อบริ ษัท HR Center จากัด เป็ นต้ น
………………………………..
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 07:01 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
1. พนักงานที่จบใหม่เอี่ยมและยังไม่มีประสบการณ์ทางานมาก่อน และ
2. พนักงานที่เคยทางานและมีประสบการณ์ทางานมาแล้ ว
ถ้ างันควรท
้ ายังไงเพื่อลดปั ญหาเหล่านี ้ลง ?
ผมเสนอดังนี ้ครับ
สมมุตวิ า่ บริษัทจ้ างเจ้ าหน้ าที่การตลาดมาเมื่อ 3 ปี ที่แล้ วที่อตั ราจบใหม่ 15,000 บาท ค่าเฉลี่ยขึ ้นเงินเดือน
ประจาปี ของบริ ษัทปี ละประมาณ 6 เปอร์ เซ็นต์ ปี ที่ 1 เงินเดือนจะเท่ากับ 15,900 บาท (ขึ ้นเงินเดือน 900
บาท) ปี ที่ 2 เงินเดือนเท่ากับ 16,860 บาท (ขึ ้นเงินเดือน 954 บาทแต่ปัดเศษให้ ลงตัว) ปี ที่ 3 เงินเดือน
เท่ากับ 17,900 บาท (ขึ ้นเงินเดือน 1,012 บาทแต่ปัดเศษให้ ลงตัว)
ดังนัน้ ถ้ าบริ ษัทจะรับเจ้ าหน้ าที่การตลาดเข้ ามาใหม่โดยต้ องการประสบการณ์ทางาน 1 ปี ก็จะมี
อัตราจ้ างอยู่ที่ 15,900 หรื อ 16,000 บาท แต่ถ้ามีประสบการณ์ทางาน 2 ปี ก็จะมีอตั ราเริ่มต้ นอยูท่ ี่ 16,800
หรื อ 17,000 บาท และถ้ ามีประสบการณ์ทางาน 3 ปี จะมีอตั ราเริ่มต้ นที่ 17,900 หรื อ 18,000 บาท เป็ นต้ น
ที่เล่ามาทังหมดนี
้ ้ผมไม่ ได้ คาดหวังให้ ท่านก๊ อปปี ้ วิธีท่ ีผมเสนอมาไปใช้ ทงั ้ หมดนะครับ
เพียงแต่แค่เป็ นการแชร์ ไอเดียในวิธีที่ผมเคยทามาเท่านัน้ ซึง่ อาจจะเหมาะหรื อไม่เหมาะกับบริษัทของท่าน
ก็ได้ แต่สิ่งที่ผมต้ องการคืออยากให้ ทา่ นลองคิดต่อยอดหรื อพัฒนาวิธีการเหล่านี ้ให้ ดีขึ ้นกว่าเดิมมากกว่า
ครับ
โดยวัตถุประสงค์ของเรื่ องที่เล่ามาทังหมดนี
้ ้ก็เพื่อต้ องการให้ ทา่ นมีการบริหารค่าตอบแทนที่เสมอ
ภาคและเป็ นธรรม จะได้ ลดปั ญหาดราม่าในบริษัทของท่านให้ น้อยลงยังไงล่ะครับ
………………………………
ผมได้ เล่าให้ ทา่ นฟั งในเรื่ องที่วา่ คนทางาน HR ควรจะมีการปรับตัวอย่างไรให้ พร้ อมรับ AEC มาถึง
ตอนนี ้เป็ นตอนที่ 3 แล้ วนะครับ เพื่อไม่ให้ เสียเวลาเรามาพูดกันในข้ อต่อไปดังนี ้ครับ
เรื่ องนี ้เป็ นเรื่ องจาเป็ นสาหรับ HR อีกเรื่ องหนึง่ เลยนะครับ ที่ HR จะต้ องศึกษาเรื่ องกฎหมายที่
เกี่ยวข้ องกับการทางานของประเทศในกลุม่ อาเซียน เช่น กฎหมายแรงงานของแต่ละประเทศ, กฎหมาย
ภาษี เงินได้ บคุ คลธรรมดา, กฎหมายเรื่ องเกี่ยวกับกองทุนสารองเลี ้ยงชีพ, ประกันสังคม, การทาเรื่ องขอ
อนุญาตทางานในแต่ละประเทศว่ามีขนตอนวิ
ั้ ธีการอย่างไร เป็ นต้ น
9. ระบบฐานข้ อมูลบุคลากร หรื อ HRIS (Human Resource Information System) เป็ นเรื่อง
สาคัญ
…………………………………….
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 07:49 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ผมไม่ได้ หมายความอย่างนันเสี
้ ยทีเดียว จริงอยูท่ ี่หลายองค์กรมีเครื่ องคอมพิวเตอร์ ให้ ใช้ แต่เราใช้
คอมพิวเตอร์ ทาอะไรครับ ? บางคนก็ใช้ คอมพิวเตอร์ แทนเครื่ องพิมพ์ดีดคือพิมพ์งานที่เป็ นเอกสารเข้ าไฟล์
เพื่อที่จะสัง่ ให้ เครื่ องพิมพ์ทาการพิมพ์ไฟล์นนออกมาเป็
ั้ นกระดาษเพื่อนาส่งผู้บริหารหรื อหน่วยงานอื่น ๆ กัน
ต่อไป หรื อจะเรี ยกว่าแปลงดิจิตอลกลับเป็ นอนาล็อกก็ได้ จากข้ อมูลของ www.thai-aec.com พบว่า
ประเทศที่ใช้ คอมพิวเตอร์ สงู สุด 5 อันดับแรกคือ 1. สิงคโปร์ 2. บรูไน 3. มาเลเซีย 4. เวียดนาม และ 5.
ฟิ ลิปปิ นส์ ส่วนไทยยังไม่ติด 5 อันดับแรกเลยนะครับ
ดังนันคนที
้ ่ทางาน HR ควรจะต้ องคิดหาวิธีใช้ คอมพิวเตอร์ มาใช้ ประโยชน์มากขึ ้นหรื อไม่ เช่น
4.2 หาวิธีลดงานกระดาษ (Paper Work) โดยการนา Software ด้ าน HR หรื อที่เรี ยกว่า HRIS
(Human Resource Information System) มาใช้ แทนการเก็บข้ อมูลพนักงานในด้ านต่าง ๆ ที่ยงั เป็ นแฟ้ม
กระดาษ, การประเมินผลต่าง ๆ ผ่านระบบ IT ที่ไม่ต้องใช้ แบบฟอร์ มกระดาษ, การลาแบบ On Line โดยไม่
ต้ องใช้ กระดาษ, การสมัครงานผ่านเว็บไซด์ของบริษัท, การให้ ผ้ สู มัครงานอัดคลิปนาเสนอตัวเองเพื่อสมัคร
งาน, การสัมภาษณ์โดยใช้ Face time ในกรณีอยูไ่ กลกัน ฯลฯ ซึง่ จะช่วยให้ งานสะดวกรวดเร็วขึ ้น เรี ยกค้ น
ข้ อมูลง่ายลดเวลาการทางานลงเพื่อเอาเวลาไปทาประโยชน์อื่นที่ดีกว่านี ้
4.3 เพิ่มทักษะความชานาญในการใช้ ซอฟแวร์ ตา่ ง ๆ ให้ มากขึ ้น โดยสนใจใฝ่ เรี ยนรู้และนาซอฟแวร์
ที่นา่ สนใจมาประยุกต์ใช้ กบั งานด้ านต่าง ๆ ของ HR
5.1 รับรู้และเข้ าใจใน Business Plan ของบริษัท (ซึง่ ก็ต้องเกิดจากการที่ HR จะต้ องมีความรู้ใน
ธุรกิจที่ดีเสียก่อนที่ผมพูดไปแล้ วในข้ อที่ 1 ตอนที่แล้ ว) คือทราบทิศทางการดาเนินธุรกิจในอนาคตของ
บริษัทโดยเข้ าร่วมประชุม และรับทราบนโยบายทางธุรกิจเพื่อนามาสูก่ ารคิดและวางแผนบุคลากรในด้ าน
ต่าง ๆ
5.2 วิเคราะห์และนาเสนอแผนอัตรากาลัง/แผนการสรรหาคัดเลือกบุคลากร
5.3 วางแผนและนาเสนอกลยุทธ์ด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการที่สามารถแข่งขันได้
5.4 นาเสนอการประเมินผลการปฏิบตั งิ านที่วดั ผลงานได้ ชดั เจน และนาผลการปฏิบตั ิงานไปใช้ ใน
ด้ านต่าง ๆ อย่างเหมาะสมสอดคล้ องกับเป้าหมายของบริ ษัท
ว้ า ! หมดโควต้ าอีกแล้ ว คงต้ องต่อในตอนหน้ าซึง่ เป็ นตอนที่ 3 ว่า HR ควรจะต้ องปรับตัวเพื่อรับกับ
AEC อย่างไร ซึง่ คงจะจบครบถ้ วนในตอนหน้ านี่แหละครับ
..........................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
1.1 HR ต้ องขวนขวายใฝ่ หาความรู้ในเชิงธุรกิจ (Business Acumen) ให้ มากขึ ้น เพื่อจะได้ คยุ กับฝ่ ายบริหาร
หรื อฝ่ ายอื่น ๆ รู้เรื่ อง ไม่ใช่ร้ ูแค่เรื่ องรับคนเข้ า-เอาคนออก หรื อรู้เฉพาะแต่งานของ HR เพียงอย่างเดียวจริง
ไหมครับ ดังนัน้ HR ควรจะต้ องมีความรู้ทางด้ านธุรกิจด้ วย เช่น เขาพูดเรื่ อง 4P’s เราก็ควรจะต้ องรู้วา่ คือ
อะไร ไปคุยกับฝ่ ายขายก็ต้องรู้เรื่ องของการขาย ติดต่อฝ่ ายบัญชีการเงินก็ควรจะต้ องพูดคุยกับเขาในเรื่ อง
งบการเงินได้ ร้ ูจกั เรื่ อง Ratio บ้ าง อันที่จริงแล้ วคนที่ทางาน HR ควรจะไปเรี ยนรู้หลักสูตรประเภท Mini
MBA เพื่อให้ ร้ ูจกั ธุรกิจไว้ บ้าง หรื อถ้ าเรี ยนต่อปริญญาโทด้ าน MBA ก็จะเป็ นประโยชน์เพราะจะได้ เข้ าใจ
เรื่ องของธุรกิจมากขึ ้นและจะทาให้ คยุ กับบรรดา Line Manager หรื อผู้บริหารได้ ด้วยความเข้ าใจที่ตรงกัน
มากขึ ้น และจะทาให้ Line Manager เกิดความยอมรับมากขึ ้นด้ วยนะครับ
1.2 ต้ อง Update ความรู้ตา่ ง ๆ อยูเ่ สมอ ๆ มีคา ๆ หนึง่ บอกว่า “ใครมีข้อมูลข่าวสารดี คนนันได้
้ เปรี ยบ” ดังนัน้
HR จะต้ องสนใจติดตามข่าวสารไม่วา่ จะเป็ นด้ านเศรษฐกิจ, สังคม, การเมือง, ต่างประเทศ, กีฬา,
การเกษตร, เทคโนโลยี ฯลฯ เพื่อจะได้ มีข้อมูลประกอบการวิเคราะห์นาเสนอเรื่ องต่าง ๆ ได้ อย่างถูกต้ อง
แม่นยา หรื อจะบอกว่า HR ยุค AEC นี ้ต้ อง “รู้ลกึ รู้รอบ” ก็ได้ ครับ
เรื่ องนี ้ก็เป็ นเรื่ องสาคัญสาหรับคนทางาน HR (หรื อคนทางานในฝ่ ายอื่นก็ตาม) ที่จะต้ องหันมาให้ ความ
สนใจในการสื่อสารภาษาอังกฤษซึง่ ถือเป็ นภาษากลางของอาเซียนให้ ได้ แล้ วล่ะครับ
………………………………….
อะไรคือสวัสดิการ..อะไรคือค่าจ้ าง ?
เมื่อไหร่ที่จวั่ หัวมาแบบนี ้รับรองได้ วา่ จะเป็ นประเด็นเรียกแขกได้ ทกุ ที เพราะเรื่ องเหล่านี ้เป็ นเรื่ องที่ จะนาไปสูก่ าร
ปฏิบตั ิในเรื่ องต่าง ๆ ให้ ถกู ต้ อง ผมยกตัวอย่างเช่น บริ ษัทจ้ างเลขานุการผู้บริ หารเข้ ามาที่เงินเดือน 15,000 บาท และมี
“ค่าภาษา” (เนื่องจากเลขาฯจะต้ องใช้ ภาษาญี่ปนสุ่ าหรับติดต่อกับชาวต่างชาติ) อีกเดือนละ 3,000 บาท
ตกลงว่า “ค่าจ้ าง” ของเลขานุการคนนี ้เป็ นเท่าไหร่ครับ 15,000 บาท หรื อ 18,000 บาท ?
อธิบายแบบง่าย ๆ ว่าค่าจ้ างจะต้ องเป็ น “เงิน” เท่านัน้ เป็ นคูปองหรื ออย่างอื่นไม่ได้ , ค่าจ้ างเป็ นเงินที่เป็ นการจ่ายเพื่อเป็ น
ค่าตอบแทนในการทางาน ดังนันถ้
้ าหากเงินที่นายจ้ างจ่ายให้ ลกู จ้ างที่เป็ นสวัสดิการซึง่ นายจ้ างมีระเบียบปฏิบตั ิในเรื่ องการ
ให้ สวัสดิการ เช่น ค่าอาหาร, ค่าเช่าบ้ าน, ค่าเบี ้ยประกันชีวิตและสุขภาพของลูกจ้ าง, เงินช่วยเหลือค่าน ้าประปา, ค่าไฟฟ้ า
โดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือด้ านสวัสดิการความเป็ นอยูข่ องลูกจ้ าง อย่างนี ้แล้ วก็ไม่ถือเป็ นค่าจ้ าง หรื อค่าล่วงเวลาก็ไม่
ถือเป็ นค่าจ้ างครับเนื่องจากเป็ นการจ่ายนอกระยะเวลาทางานปกติ
ส่วนตัวอย่างของเลขาฯที่ผมยกตัวอย่างมาข้ างต้ นนัน้ ถ้ าท่านเข้ าใจคานิยามของคาว่า “ค่าจ้ าง” ดีแล้ ว ท่านจะตอบได้ เลย
นะครับว่าตกลงค่าจ้ างของเลขาฯ คนนี ้คือเท่าไหร่ผมให้ เวลาท่านลองคิดดูก่อนนะครับ....ติ๊กต่อก..ติ๊กต่อก...
คาตอบคือ ค่าจ้ างของเลขาฯคนนี ้คือ 18,000 บาทครับ เพราะว่าค่าภาษา 3,000 บาท ถือว่าเป็ นค่าจ้ างด้ วยเนื่องจากเป็ น
ค่าตอบแทนการทางานในตาแหน่งเลขานุการที่จาเป็ นต้ องใช้ ภาษาญี่ปนในการท
ุ่ างาน ถ้ าหากลูกจ้ างคนนี ้ไปทางานใน
ตาแหน่งงานอื่นที่ไม่ได้ ใช้ ภาษาญี่ปนในการท
ุ่ างานบริ ษัทก็ไม่ได้ จ่ายค่าภาษาให้ ดังนันค่
้ าภาษาจึงเป็ นค่าตอบแทนการ
ทางานในตาแหน่งเลขานุการยังไงล่ะครับ
ค่าครองชีพมีศพั ท์เทคนิคว่า “Cost of Living Allowance” หรื อ COLA ซึง่ คนที่ทางานด้ าน HR รุ่นใหม่ ๆ หลายคนไม่
รู้จกั คา ๆ นี ้กันแล้ ว ไปนึกถึงยี่ห้อน ้าอัดลมกันเสียนี่
………………………………..
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ตอบ
เพราะถ้ ามีการทาโครงสร้ างเงินเดือนมาอย่างถูกต้ องแล้ ว คาถามนี ้จะไม่มีทางเกิดขึ ้นได้ เลยครับ เพราะถ้ าหากคนที่เพิ่งจบ
วุฒิใดก็ตามแต่เงินเดือนกลับถึงเพดานตันนัน้ แสดงว่ามีข้อผิดพลาดในการออกแบบโครงสร้ างเงินเดือนแล้ วน่ะสิครับ
ผมขอตอบคาถามแรกก่อนดังนี ้....
กรณีเงินเดือนถึงเพดานแล้ ว ในทางปฏิบตั ิบริ ษัทจะไม่ปรับเงินเดือนให้ อีกแล้ วนะครับ ไม่วา่ จะด้ วยเหตุผลใดก็ตาม เพราะ
โดยหลักการแล้ วบริ ษัทไม่ควรจะปรับเงินเดือนเพิ่มให้ โดยขยายเพดานโครงสร้ างเงินเดือนขึ ้นไปเพือ่ ใครคนใดคนหนึง่
ดังนันถ้
้ าพนักงานคนนี ้ไม่อยากเงินเดือนตัน ก็ต้องสร้ างผลงานและ Promote ขึ ้นไปในระดับชันถั
้ ดไปซึง่ จะทาให้ เพดาน
เงินเดือนขยับต่อไปได้ ครับ
ส่วนคาถามที่สองที่ถามว่า วุฒิปริ ญญาตรี เฉลี่ยปั จจุบนั เท่าไหร่ ตอบได้ วา่ ประมาณ 13,000 บาท (สาหรับคนจบสาย
สังคมศาสตร์ -อ้ างอิงผลการสารวจค่าตอบแทนปี 2555-56 ของ HR Center)
จากทังหมดที
้ ่ผมอธิบายมานี ้จึงขอแนะนาให้ บริษัทของท่านทาการประเมินค่างานและทาโครงสร้ างเงินเดือนเพื่อลดปั ญหา
ในเรื่ องค่าตอบแทนลง และท่านยังจะควบคุม Staff Cost ให้ เหมาะสมมากยิง่ ขึ ้นอีกด้ วย ส่วนวิธีการว่าจะทาโครงสร้ าง
เงินเดือนอย่างไรก็หาอ่านได้ ใน Blog นี ้ หมวดการบริ หารค่าตอบแทน หรื อหมวดปั ญหาค่าตอบแทนดูก่อนก็ได้ นะครับ
...............................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
ตอบ
ซึง่ ผมอยากจะบอกว่าคาแนะนาทานองนี ้สุม่ เสีย่ งที่จะทาให้ ลกู จ้ างนาไปฟ้ องศาลแรงงานเพื่อให้ วินจิ ฉัยว่านายจ้ างจ่าย
ค่าจ้ างขันต
้ ่าถูกต้ องตามกฎหมายแรงงานหรื อไม่ ซึง่ ไม่ควรแนะนาให้ มกี ารปฏิบตั ิแบบ “เลีย่ งบาลี” เช่นนี ้ เพราะนี่ไม่ใช่คน
ที่ทางานโดยใช้ วชิ าชีพด้ าน HR นะครับ
คนที่เป็ น HR มืออาชีพควรจะต้ องให้ คาแนะนาสิง่ ที่ถกู ต้ องกับฝ่ ายบริ หารว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรผิดอะไรถูก เรื่ อง
ไหนทาแล้ วบริ ษัทจะมีความเสีย่ งมากน้ อยแค่ไหนอย่างไร และควรจะป้องกันหรื อบริ หารความเสีย่ งในเรื่ องของบุคลากร
อย่างไร ไม่ใช่จะให้ คาแนะนาที่ “ถูกใจ” ฝ่ ายบริ หารเพียงอย่างเดียว แต่ไม่ใช่คาแนะนาที่ “ถูกต้ อง” และต้ องกล้ ายืนยันใน
สิง่ ที่ถกู ต้ องอย่างมัน่ คง รวมถึงจะต้ องมองถึงผลกระทบในเชิงแรงงานสัมพันธ์ในองค์กรด้ วยนะครับ
ซึง่ ฐานของ “ค่าจ้ าง” ที่จะต้ องนามาคานวณโอที, ค่าชดเชย, ค่าบอกกล่าวล่วงหน้ าจะต้ องรวมสารพัดค่า เช่น ค่าครองชีพ,
ค่าอาหาร, ค่ากะ, ค่าตาแหน่ง, ค่าเซอร์ วิสชาร์ จ ฯลฯ ด้ วยสิครับ
ดังนันลู
้ กจ้ างจึงมีสทิ ธิฟ้องศาลแรงงานให้ นายจ้ างจ่ายโอที, ค่าชดเชย, ค่าบอกกล่าวล่วงหน้ าที่นายจ้ างจ่ายผิดพลาดไปใน
ครัง้ ก่อนหน้ านี ้ โดยใช้ ฐานค่าจ้ างขันต
้ ่า (เดิม) บวกสารพัดค่าต่าง ๆ ได้ จริ งไหมครับ
อีกประการหนึง่ บางเรื่ องยังต้ องมาดูกนั อีกนะครับว่าเป็ น "ค่าจ้ าง" หรื อไม่ เช่น ค่าอาหารที่เคยจ่ายเป็ นคูปองรายวัน ๆ ละ
30 บาท อย่างนี ้ไม่ใช่คา่ จ้ างนะครับ เพราะไม่ได้ จา่ ยเป็ นเงินและเป็ นเงินสวัสดิการสาหรับลูกจ้ าง เป็ นต้ น จะไปโมเมเหมา
รวมเข้ าไปในค่าจ้ างขันต
้ ่าไม่ได้ เป็ นต้ น เห็นไหมครับว่าเรื่ องเหล่านี ้มีรายละเอียดของมันอยู่ ดังนันการจะมาแนะน
้ าแบบ
เหวี่ยงแหให้ นบั รวมเป็ นค่าจ้ างขันต
้ ่านันมี
้ โอกาสจะเกิดปั ญหากับบริ ษัทในภายหลังครับ
3. การแนะนาให้ เปลีย่ นสภาพการจ้ างจากลูกจ้ างรายเดือนให้ เป็ นรายวันก็ถือเป็ นการเปลีย่ นสภาพการจ้ าง ซึง่ ถ้ าหาก
ลูกจ้ างไม่ยินยอมนายจ้ างก็ทาไม่ได้ นะครับ เพราะถ้ าฝื นทาลูกจ้ างก็จะสามารถนาไปฟ้ องศาลแรงงานได้ ซึง่ จะทาให้ บริ ษัท
เสียชื่อเสียงเปล่า ๆ
จะดีกว่าการที่ผ้ บู ริ หารมาคอยนัง่ คิดลดต้ นทุนด้ านบุคลากรแบบสุม่ เสีย่ งหรื อตุกติกแล้ วทาให้ เกิดปั ญหาด้ านแรงงาน
สัมพันธ์ตามมาในภายหลังจริ งไหมครับ
...................................................
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 08:05 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
ตอบ
จากประสบการณ์ของผมนันในกรณี
้ ที่บริ ษัทใดจาเป็ นจะต้ องจ้ างพนักงานทางานที่ต้องใช้ ภาษาต่างประเทศ เช่น
ภาษาอังกฤษ, จีน, ญี่ปนุ่ ฯลฯ บริ ษัทนันก็
้ มกั จะให้ เป็ น “ค่าภาษา” แยกต่างหากจากเงินเดือน
เช่น ในบริ ษัทแห่งหนึง่ ทีผ่ มเคยทางานมี Call Center ที่จะต้ องให้ บริ การตอบข้ อซักถามจากลูกค้ าต่างประเทศซึง่
จะต้ องใช้ ภาษาอังกฤษสาหรับพนักงาน Call Center กลุม่ หนึง่ ทีต่ ้ องมีทกั ษะการฟั ง, พูด, อ่าน, เขียนภาษาอังกฤษ
พนักงาน Call Center กลุม่ นี ้บริ ษัทก็จะมีการทดสอบทักษะภาษาอังกฤษตังแต่
้ ตอนสัมภาษณ์เข้ ามาทางานด้ วย
ภาษาอังกฤษ จะต้ องมีผลการทดสอบ TOEIC ไม่ต่ากว่า 600 มายื่นกับทางบริ ษัท ซึง่ หากผู้สมัครงานคนใดผ่านเกณฑ์การ
ทดสอบดังกล่าว บริ ษัทก็จะรับเข้ าทางานและมี “ค่าภาษา” เพิ่มให้ อีกนอกเหนือจากเงินเดือนตามปกติ
...............................................
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
ตอบ
.................................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
คาถาม
ตอบ
ส่วนคาถามข้ อ 1 ที่คณ
ุ บอกว่าช่างที่จบวุฒิปวส.ทางานเก่งกว่าวิศวกรที่จบปริ ญญาตรี จนกระทัง่ MD อยากจะ
ให้ เปลีย่ นชื่อตาแหน่งช่างทีจ่ บปวส.เป็ นวิศวกรนัน้
ผมอยากจะให้ คณ
ุ หาโอกาสทาความเข้ าใจกับ MD ในเรื่ องของผลงาน+ความสามารถของคน กับชื่อตาแหน่ง
หรื อการเรี ยนจบคุณวุฒิใด ๆ นันเป็
้ นคนละเรื่ องกันนะครับ
ยกตัวอย่างก็คือ....
ถ้ าใครมีคณ
ุ ลักษณะภายใน (Attributes) ที่เหมาะสมในงานที่ทา เช่น ในงานนี ้ต้ องการความอดทน, ต้ องการ
ความละเอียดรอบคอบ, ต้ องการ Service Mind แล้ วคน ๆ นันก็
้ มีคณ
ุ ลักษณะภายในตรงกับที่องค์กรต้ องการ
ในกรณีที่คณ
ุ ถามมาก็พอจะบอกได้ วา่ ช่างทีจ่ บปวส.มี Competency ตรงกับที่ MD ต้ องการ ส่วนวิศวกรอาจจะ
ยังขาด Competency (หรื อจะเรี ยกว่ายังมี Competency Gap ก็ได้ นะครับ) จึงทาให้ ไม่สามารถจะทาผลงานออกมาได้
อย่างที่ MD ต้ องการ
ซึง่ ในเรื่ องนี ้ไม่เกี่ยวกับว่าช่างคนนี ้จบปวส. หรื อวิศวกรคนนี ้จบปริญญาตรี วศิ วะมาเลยจริงไหมครับ เพราะคนที่
จบปวส.ด้ านช่างมานันก็
้ ไม่ได้ แปลว่าจะทางานได้ เก่งเหมือนกับช่างคนนี ้ทุกคน หรื อทานองเดียวกันวิศวกรที่เรี ยนจบ
ปริ ญญาตรี วศิ วะมาก็ไม่ได้ แปลว่าจะทางานได้ ไม่เก่งเหมือนวิศวกรคนนี ้ทุกคนเช่นเดียวกัน
ดังนัน้ เรื่ องของความสามารถ (Competency) ในการทางานจึงเป็ นเรื่ องของ “ปั จเจกบุคคล” หรื อตัวใครก็ตวั
คนนัน้ ว่าเขามี K+S+A เหมาะตรงกับงานอย่างที่ผมยกตัวอย่างมาข้ างต้ นหรื อไม่ตา่ งหาก ไม่ได้ เกี่ยวกับเรี ยนจบอะไรมา
หรื อได้ เกรดเท่าไหร่มา หรื อจบมาจากสถาบันไหน
ผมจึงไม่เห็นความจาเป็ นว่าทาไมจึงต้ องเปลีย่ นชื่อตาแหน่งช่างทีจ่ บปวส.เป็ นวิศวกร หรื อแม้ จะเปลีย่ นเป็ นชื่ออื่น
ๆ ถ้ าเขาทางานดีก็ตอบแทนด้ วยเรื่ องการขึ ้นเงินเดือนตามผลงานก็ถกู ต้ องแล้ วนี่ครับ หรื อถ้ าเขามีความสามารถในการ
บริ หารจัดการได้ ต่อไปก็อาจจะพิจารณาเลือ่ นตาแหน่งให้ เป็ นหัวหน้ าช่าง หรื อเป็ นผู้จดั การต่อไปในอนาคตได้ จริ งไหมครับ
ผมเชื่อว่าเมื่อคุณอ่านมาถึงตรงนี ้น่าจะเป็ นแนวทางให้ คณ
ุ ได้ ไปคุยกับ MD เพื่อทาความเข้ าใจในเรื่องเหล่านี ้แล้ ว
นะครับ
...............................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
ตอบ
การปรับค่าจ้ างขันต
้ ่าต้ องปรับตามที่กระทรวงแรงงานกาหนด ส่วนที่วา่ การจะปรับค่ากะขึ ้นหรื อจะยังคงค่ากะไว้
เท่าเดิมเป็ นเรื่ องของทางบริ ษัท
ยกตัวอย่างเช่น สมมุติโรงงานของคุณอยูท่ ี่สระบุรี บริ ษัทเพิง่ ปรับค่าจ้ างขันต
้ า่ จาก 193 บาท เป็ น 269 บาท (ปรับ
ขึ ้น 76 บาทต่อคน) ปั จจุบนั บริษัทให้ คา่ กะอยู่ 40 บาท
หากบริ ษัทเห็นว่าบริษัทต้ องแบกรับภาระการปรับค่าจ้ างขันต
้ ่าถึง 76 บาทต่อคน ถ้ ามีคนงาน 100 คนที่รับค่าจ้ าง
ขันต
้ ่าในอัตราเดิมและจะต้ องได้ รับการปรับเป็ นอัตราใหม่ซงึ่ ทาให้ บริ ษัทจะต้ องมีคา่ ใช้ จา่ ยเพิ่มขึ ้นวันละ 76x100=7,600
บาท เดือนละ 7,600x30=228,000 บาท
ถ้ าบริ ษัทมีเงินและอยากจะปรับค่ากะเพิ่มให้ พนักงานอีกพนักงานก็ชอบล่ะครับ (ก็เพิ่มค่ากะให้ ใครจะไม่ชอบล่ะ
ครับ)
แต่ถ้าบริษัทบอกไม่ไหวแล้ วขอคงค่ากะไว้ เท่าเดิมก่อนก็ไม่ผิดอะไร
..............................................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
วันเสาร์ ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555
ปรับแต่คา่ จ้ างขันต
้ า่ ไม่ปรับปริ ญญาตรี หมื่นห้ า ต่อไปใครอยากเรี ยนปริ ญญาตรี ?
ตอบ
ต่อมาเมื่อรัฐบาลโดยกระทรวงแรงงานประกาศการจ่ายค่าจ้ างขันต
้ ่าเป็ นวันละ 300 บาท (ลูกจ้ างรายเดือน ๆ ละ 9,000
บาท) จึงมีผลกระทบกับการจ่ายเงินเดือนสาหรับผู้ที่จบตามคุณวุฒิใหม่ดงั กล่าว ทาให้ บริ ษัทต่าง ๆ ต้ องหันมาปรับ
เงินเดือนให้ กบั พนักงาน 2 กลุม่ คือ
1. กลุม่ ที่จบใหม่ในวุฒิ ปวช., ปวส., ปริ ญญาตรี , สูงกว่าปริ ญญาตรี ขึ ้นไป ส่วนจะปรับขึ ้นเป็ นเท่าไหร่นนก็
ั ้ อยูท่ ี่ขีด
ความสามารถในการจ่ายของบริษัทครับ เพราะถ้ าไม่ปรับก็จะไม่สามารถดึงดูดหรื อจูงใจผู้ที่จบใหม่เข้ ามาทางานกับบริ ษัท
ได้
ที่ผมพูดมาข้ างต้ นเป็ นหลักปฏิบตั ิทวั่ ไปในบริ ษัทต่าง ๆ เพื่อจะ “รักษาคนใน และจูงใจคนนอก” เข้ ามาร่วมงาน
จากผลกระทบทังสองข้
้ อนี ้ก็คือ “คนใหม่ก็ไม่มาทางาน ส่วนคนเก่าก็ทะยอยลาออก” แล้ วในที่สดุ บริ ษัทจะเป็ น
อย่างไร ลองนาเรื่ องนี ้ไปคุยกับฝ่ ายบริ หารดูนะครับ
อย่างที่ผมเคยพูดไว้ เสมอว่าผมเห็นใจบรรดาผู้ประกอบการโดยเฉพาะกลุม่ SME ที่ได้ รับผลกระทบในเรื่ องนี ้
ค่อนข้ างหนัก บางแห่งถึงกับปิ ดกิจการ แต่จะทายังไงได้ ละ่ ครับสาหรับบทเรี ยนราคาแพงครัง้ นี ้ที่มีการปรับค่าจ้ างขันต
้ ่า
แบบ “ก้ าวกระโดด” (ถึง 40 เปอร์ เซ็นต์) อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ดังนัน้ ปั ญหาที่คณ
ุ บอกมาว่า “ต่อไปใครจะส่งลูกหลานเรี ยนปริ ญญาตรี ให้ เปลืองในเมื่อค่าแรงพอ ๆ กับค่าจ้ าง
ขันต
้ ่า” นัน้ ผมกลับเห็นตรงกันข้ ามกับคุณนะครับคือ นอกจากจะส่งลูกหลานเรี ยนปริ ญญาตรี แล้ วยังไม่พอยังส่งเสริ มให้
จบสูงกว่าปริ ญญาตรี ด้วยต่างหาก
....................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
ควรประเมินค่างานทุกปี หรื อไม่, ปริ ญญาตรี 15,000 บังคับบริ ษัทเอกชนให้ จา่ ยหรื อไม่
1. หากองค์กรได้ ประเมินค่างานไปแล้ ว จาเป็ นจะต้ องประเมินค่างานกันทุก ๆ ปี หรื อไม่ หรื อเมื่อไหร่ ถึงจะต้ องมีการ
ประเมินค่างานกันใหม่ และ
2. การกาหนดอัตราเริ่ มต้ นตามคุณวุฒิปริ ญญาตรี 15,000 บาท ใช้ บงั คับกับบริ ษัทต่าง ๆ เหมือนกับเรื่ องค่าจ้ างขันต
้ ่าวัน
ละ 300 บาท หรื อไม่
ผมตอบดังนี ้นะครับ
1. ถ้ าองค์กรของท่านได้ มีการประเมินค่างานไปแล้ วไม่วา่ จะประเมินค่างานเอง หรื อจ้ างบริ ษัทที่ปรึ กษาเข้ ามาประเมินค่า
งานไปแล้ ว) มาก ไม่วา่ จะเป็ นการเพิ่มหรื อลดอานาจ หน้ าที่ ความรับผิดชอบ สภาพแวดล้ อมในการทางาน การแก้ ปัญหา
และตัดสินใจ ฯลฯ ซึง่ มีความเปลีย่ นแปลงไปอย่างชัดเจน
1.2 มีการปรับเปลีย่ นโครงสร้ างตาแหน่งงานใหม่ ทาให้ เกิดหน่วยงานใหม่ หรื อมีตาแหน่งงานใหม่ที่อาจจะไม่เคยมี
แต่ถ้าองค์กรของท่านจ้ างบริ ษัทที่ปรึกษา (หรื อคนนอก) เข้ ามาทาการประเมินค่างานให้ ท่านก็ควรจะให้ เขาสอน หรื อ
ถ่ายทอดวิธีการ (How to) ประเมินค่างานเมื่อมีตาแหน่งงานใหม่เพิ่มขึ ้น หรื อเมื่อมีค่างานในตาแหน่งต่าง ๆ เปลีย่ นแปลง
ไปเอาไว้ ด้วย และทางที่ดีควรจะมีการจดบันทึกหลักการวิธีการประเมินค่างานที่ทางบริ ษัทที่ปรึกษาเขาบอกไว้ ให้ ละเอียด
ด้ วยนะครับ เพราะไม่แน่วา่ กว่าองค์กรของท่านจะมีการประเมินค่างานใหม่อย่างที่ผมบอกก็อาจจะหลังจากที่ทาการ
ประเมินค่างานทังองค์
้ กรเสร็จไปแล้ วสัก 3-5 ปี ก็เป็ นได้ ซึง่ ถ้ าไม่จดบันทึกวิธีการไว้ ก็จะลืมกันหมดและพอถึงเวลาจริงก็จะ
ทาไม่ได้ ต้องไปเสียเงินจ้ างให้ เขามาประเมินค่างานใหม่อกี ซึง่ เป็ นเงินไม่ใช่น้อย ๆ นะครับ
ส่วนคาถามข้ อที่ 2 นัน้ ท่านที่ทราบคาตอบแล้ วก็อย่าเพิ่งเบื่อนะครับ เพราะต้ องยอมรับว่ายังมีคนที่ไม่ร้ ูในเรื่ องนี ้ก็มี เมื่อไม่
รู้แล้ วถามมาก็ต้องตอบกันไปแหละครับ
ดังนันในเรื
้ ่ องของปริ ญญาตรี ที่เริ่มต้ น 15,000 บาทนัน้ ตอบได้ วา่ "บริ ษัทห้ างร้ านต่าง ๆ จะจ้ างผู้สมัครงานที่จบปริ ญญา
ตรี ที่ต่ากว่า 15,000 บาทได้ ครับ" ตราบใดที่ทา่ นไม่จ่ายตา่ กว่าค่าจ้ างขันต
้ ่าคือวันละ 300 บาท ก็ไม่ผิดกฎหมายแรงงาน
.......................................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
เพราะถ้ ามีโครงสร้ างเงินเดือนแล้ วท่านก็จะเข้ าใจว่าอัตราเริ่ มต้ นตามคุณวุฒิการศึกษา หรื อการกาหนดอัตราเริ่ มต้ น
ในตาแหน่งใด ๆ โดยไม่มเี พดานเงินเดือนสูงสุดสาหรับระดับชันหรื
้ อตาแหน่งนัน้ ๆ (หรื อทีเ่ ราเรี ยกว่าอัตราเงินเดือนตัน)
เราจะไม่เรี ยกว่าเป็ นโครงสร้ างเงินเดิอนครับ
.................................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
เป็ นระยะเวลาติดต่อกันยาวนาน และไม่มีทีทา่ จะลดลง ทาให้ สนิ ค้ าอุปโภคบริ โภคที่จาเป็ นต่อการครองชีพ เช่น ปั จจัยสี่
ต่าง ๆ ไม่วา่ จะเป็ น อาหาร เครื่ องนุง่ ห่ม ที่อยูอ่ าศัย ยารักษาโรค ฯลฯ มีราคาเพิ่มสูงมากขึ ้น กรณีนี ้หลายบริ ษัทก็จะมีการ
ปรับเงินเดือนหรื อค่าครองชีพ หรือเงินช่วยเหลืออื่น ๆ ก็ตามเข้ าไปเพื่อช่วยเหลือพนักงาน ซึง่ เจ้ าค่าครองชีพนี่แหละครับที่
ในที่สดุ มักจะถูกพนักงานเรี ยกร้ องให้ นากลับเข้ าไปรวมกับฐานเงินเดือนในที่สดุ แล้ วเวลาผ่านไปก็จะเรี ยกร้ องขอค่าครอง
ชีพกันใหม่เป็ นวงจรแบบนี ้ไปเรื่ อย ๆ การปรับเงินเดือนให้ กบั พนักงานเพราะเหตุนี ้แหละครับที่จะทาให้ ในที่สดุ องค์กร
จะต้ องมีการปรับโครงสร้ างเงินเดือนเพื่อให้ รองรับกับสภาวะการณ์ดงั กล่าว
4. นโยบายของบริ ษัท เช่น บริ ษัทมีนโยบายที่อยากจะจ่ายค่าตอบแทนให้ สงู กว่าคูแ่ ข่งขันเพื่อต้ องการจูงใจคนนอกให้ เข้ า
มาร่วมงานกับบริ ษัท และรักษาคนในไว้ ให้ อยูก่ บั บริ ษัทไม่ให้ ไหลไปสูบ่ ริ ษัทคูแ่ ข่ง ก็เลยมีนโยบายในการออกแบบ
โครงสร้ างเงินเดือนให้ มคี า่ กลาง (MidPoint) ของทุกกระบอกเงินเดือนสูงกว่าตลาด (ซึง่ ปกติโดยทัว่ ไปในองค์กรไทย ๆ
นันมั
้ กจะออกแบบโครงสร้่ างเงินเดือนให้ อยูป่ ระมาณค่าเฉลีย่ ของตลาด) 75 เปอร์ เซ็นต์ เป็ นต้ น ซึง่ นโยบายของบริษัท
อย่างนี ้ผมเคยเจอตอนที่ผมทางานอยูอ่ งค์กรต่างชาติแห่งหนึง่ ประมาณปี 2534-38 เพราะองค์กรนันเขามี
้ ขีด
ความสามารถในการจ่าย (Ability to pay) สูง หรื อพูดง่าย ๆ ว่า "เงินถึง" จึงจะสามารถกาหนดนโยบายทานองนี ้ได้ ซึง่
นโยบายอย่างนี ้แหละครับทีจ่ ะมีผลต่อการปรับโครงสร้ างเงินเดือน
....................................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
เราสามารถออกแบบโครงสร้ างเงินเดือนให้ คา่ สูงสุด (Max) ของกระบอกเงินเดือนปั จจุบนั เท่ากับค่าตา่ สุด (Min) ของ
กระบอกถัดไปได้ หรื อไม่ ?
ดังนี ้ครับ....
1. บริ ษัทก็จะต้ องมีต้นทุนค่าใช้ จา่ ยด้ านบุคลากร (Staff Cost) สูงขึ ้นเวลามีพนักงานเลือ่ นชันเลื
้ อ่ นตาแหน่งสูงขึ ้นไป
เพราะจะมีโอกาสปรับเงินเดือนให้ กบั พนักงานที่เลือ่ นชันสู
้ งขึ ้นไปเป็ นจานวนเงินที่มากกว่าปกติ ผมยกตัวอย่างในหลาย
บริ ษัทมักจะมีหลักเกณฑ์การปรับเงินเดือนเมื่อได้ รับการเลือ่ นตาแหน่งเช่น จะปรับเงินเดือนให้ 10 เปอร์ เซ็นต์แต่ไม่เกินค่า
กลาง (Midpoint) ของกระบอกเงินเดือนถัดไป
ยังจาได้ นะครับ)
โครงสร้ างเงินเดือนกระบอกที่ 2 ที่อยูถ่ ดั ขึ ้นไปมีอตั รา Min=12,000 (มีอตั รา Min เท่ากับ Max ของกระบอกที่ 1 พอดี ซึง่
จะทาให้ ไม่มีสว่ นเหลือ่ มหรื อ Overlap ยังไงล่ะครับ) และมีอตั ราสูงสุด (Max)=18,000 ก็จะมีคา่ กลางเท่ากับ 15,000
บาท
แต่ถ้าสมมุตวิ า่ กระบอกเงินเดือน 1 และ 2 มีสว่ นเหลือ่ มกันคือ กระบอกที่ 2 มี Min=10,000 บาท (Min ของกระบอกที่ 2
เท่ากับค่ากลางของกระบอกที่ 1 ทาให้ มีสว่ นเหลือ่ มกันอยู)่ และMax=15,000 บาท กระบอกเงินเดือน 2 ใหม่นี ้จะมีคา่
กลางเท่ากับ 12,500 บาท ถ้ าหากนายอดุลย์ปัจจุบนั มีเงินเดือน 12,000 บาท แล้ วได้ เลือ่ นขึ ้นไปในกระบอกที่2 ก็จะไม่ได้
รับการปรับเงินเดือนเนื่องจากเงินเดือนเกินค่ากลางของกระบอกที่ 2 (คือ 12,500 บาท) จะทาให้ บริ ษัทไม่ต้องมี Staff
Cost ที่สงู ขึ ้นเนื่องจากการปรับเงินเดือนในครัง้ นี ้ครับ
แตกต่างกันมาก (สังเกตจาก Midpoint Progress ที่มีคา่ 50 เปอร์ เซ็นต์) ซึง่ ค่ามาตรฐานทัว่ ไปควรอยูร่ ะหว่าง 25 ถึง 40
เปอร์ เซ็นต์ เป็ นอย่างสูง (ถ้ าจะให้ สวย ๆ ควรอยูท่ คี่ า่ ประมาณ 30-35 เปอร์ เซ็นต์) เพราะหากมีคา่ Midpoint Progress
สูงมากเกินไปก็จะทาให้ บริ ษัทมี Staff Cost สุงมากขึ ้นในการปรับเงินเดือนพนักงานกรณีเลือ่ นตาแหน่ง แต่ถ้าต่าเกินไปก็
จะไม่จงู ใจให้ พนักงานอยาก Promote เพราะจะมีโอกาสได้ ปรับเงินเดือนเนื่องจากการเลือ่ นตาแหน่งลดลง (แม้ วา่ บริ ษัท
จะประหยัด Staff Cost ไปได้ บ้างก็ตาม)
จากเหตุผลดังกล่าวจึงเป็ นคาตอบว่าในทางปฏิบตั แิ ล้ ว ในการออกแบบโครงสร้ างเงินเดือนไม่ควรออกแบบให้ คา่ Max
ของกระบอกปั จจุบนั เท่ากับค่า Min ของกระบอกเงินเดือนถัดไป โดยไม่ให้ มีสว่ นเหลือ่ มครับ !
.........................................................
2. การวางแผนคือการคิดไว้ ล่วงหน้ า ชีวิตต้ องมีการวางแผน ท่านได้ วางแผนชีวติ ของท่านในปี 2559 หรื อยัง
ครับว่าในปี หน้ าที่จะมาถึงนี ้ท่านจะทาอะไรบ้ าง แผนที่ทา่ นวางไว้ ควรจะเป็ นเรื่ องที่ทาให้ การงานของท่านดีขึ ้น ชีวิตดีขึ ้น มี
สิง่ ที่ต้องทาหรื อมีกิจกรรมที่ชดั เจน มีตวั วัดผลสาเร็ จได้ ชดั เจนเพื่อทบทวนในตอนปลายปี ว่าเราได้ ทาตามแผนไปได้ แค่ไหน
เพื่อจะได้ เป็ นข้ อมูลสาหรับแผนในปี ถัดไปเพื่อให้ ชีวิตของเราดีขึ ้น แต่ถ้าเราไม่มีการวางแผนเราก็จะทางานไปเรื่ อย ๆ แบบ
ไม่มีทิศทาง
3. ความสาเร็ จไม่ เคยเกิดขึน้ ได้ ด้วยการอธิษฐานร้ องขอเพียงอย่ างเดียว ผมดูซีรีย์เรื่ องพระพุทธเจ้ ามหา
ศาสดาโลกตอนหนึง่ ที่พระพุทธเจ้ าถามพระเจ้ าปเสนทิโกศลว่า “ถ้ าท่านอยากจะข้ ามลาน ้าจากฝั่ งนี ้ไปฝั่ งโน้ นท่านควรทา
อย่างไร” พระเจ้ าปเสนทิโกศลตอบว่า “ถ้ าลาน ้านี ้ตื ้นเราก็ต้องเดินลุยน ้าข้ ามไป ถ้ าลาน ้านี ้ลึกเราก็ต้องพายเรื อข้ ามไป”
พระพุทธเจ้ าท่านถามต่อไปว่า “ถ้ ามีใครสักคนสวดอ้ อนวอนร้ องขอให้ ฝั่งโน้ นย้ ายมาหาเราในฝั่ งนี ้ล่ะจะเป็ นไปได้ ไหม” พระ
เจ้ าปเสนทิโกศลตอบว่า “มีแต่คนโง่หรื อไร้ สติเท่านันแหละที
้ ่ทาอย่างนัน้ ” พระพุทธเจ้ าจึงสอนว่าก็เช่นเดียวกันทุกอย่างอยู่
ที่ตวั เราที่จะต้ องเป็ นคนลงมือทาไม่ใช่อยากได้ อะไรแล้ วอธิษฐานอ้ อนวอนร้ องขอโดยไม่ทาอะไรเลย เพราะการทาเช่นนันก็
้
เหมือนคนไร้ สตินนั่ แหละ
5. ปั ญหาทาให้ เรารู้ จักวิธีการแก้ ปัญหา ไม่ มีปัญหาอะไรที่แก้ ไม่ ได้ คนทีป่ ระสบความสาเร็ จทุกคนล้ วนแต่เจอ
ปั ญหาหนัก ๆ และรู้จกั วิธีจดั การกับปั ญหาหนัก ๆ มาแล้ วทังนั
้ น้ ปั ญหากับปั ญญาจึงเป็ นของคูก่ นั คิดง่าย ๆ ว่าเมื่อไหร่มี
ปั ญหา ปั ญญาจะตามมาเสมอ
7. Work life balance เป็ นสิง่ สาคัญ ทางานอย่างมีสติพอเหมาะพอควร Work hard แล้ วต้ อง Work
smart ด้ วยอย่าบ้ างานมากจนเกินไป อะไรที่มากไปหรื อน้ อยไปย่อมไม่ดีทงนั
ั ้ น้ หาเวลาพักผ่อนหย่อนใจ ดูแลสุขภาพ
กายและใจของตัวเองให้ ดดี ้ วย เพราะหากสุขภาพของเราแย่ไปไม่มีใครจะมาดูแลได้ นอกจากตัวเราเองนะครับ
ปี ใหม่นี ้ผมก็ขออานาจคุณพระศรี รัตนตรัยและสิง่ ศักดิ์สทิ ธิ์ที่ทา่ นเคารพนับถือ ได้ เป็ นกาลังใจให้ ทา่ นและครอบครัว
ประสบแต่ความสาเร็ จในสิง่ ดี ๆ ที่ทา่ นได้ ปฏิบตั ิ มีความสุขกายสบายใจในปี ใหม่ที่กาลังจะมาถึงนี ้ด้ วยนะครับ
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
เป็ นเรื่ องแปลกแต่จริ งที่แม้ วา่ องค์กรจะมีกฎระเบียบในเรื่ องต่าง ๆ ที่ชดั เจนแล้ วก็ตาม ยังพบว่ามี
ผู้บริหารหรื อพนักงานตังกฎเกณฑ์
้ ของตัวเองซ้ อนกฎระเบียบขององค์กรขึ ้นมาที่ผมขอเรี ยกแบบเข้ าใจง่าย
ๆ ว่า “หลักกู” หรื อจะพูดให้ เพราะ ๆ หน่อยก็ต้องเรี ยกว่าหลักดุลพินิจ ซึง่ หลักกูนี่แหละครับจะเกิดปั ญหาใน
การบริ หารงานบุคคลตามมาอีกไม่น้อยเลย เช่น....
เพราะถ้ าผมเป็ นพนักงานทดลองงานคนที่ได้ 69% และไม่ได้ ตอ่ ทดลองงานแต่หวั หน้ าบอกให้ เขียน
ใบลาออกตามระเบียบของบริษัท ผมก็คงจะต้ องถามหัวหน้ าว่า....
………………………………….
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 08:01 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
เซ็นสั ญญาจ้ างแล้วแต่ ไม่ ไปทางาน..บริษทั จะให้ จ่ายค่ าเสี ยหายได้ หรือไม่ ?
กรณีตามหัวข้ อข้ างบนนี ้ก็คงจะเป็ นอีกปั ญหาหนึง่ ที่หลายคนยังสงสัยอยูว่ า่ ถ้ าเซ็นสัญญาจ้ างแล้ ว
เราไม่สามารถไปทางานกับบริษัทที่เราเซ็นสัญญาจ้ างได้ จะมีผลยังไง
นี่ถงึ ได้ เป็ นปั ญหาว่ าถ้ าฉลองไม่ ไปทางานที่บริษัท ก ตามสัญญาจ้ างฉลองจะต้ องจ่ าย
ค่ าเสียหายตามสัญญาหรื อไม่ ?
2. หากฉลองอธิบายเหตุผลทังหลายทั
้ งปวงแล้
้ ว บริ ษัท ก ก็ยงั คงยืนยัน (และดึงดัน) ที่จะให้ ฉลองจ่าย
ค่าเสียหายให้ สองเท่า (คือ 60,000 บาท) ตามสัญญาให้ ได้ บริษัท ก ก็คงจะต้ องไปฟ้องศาลแรงงานเอาเอง
แล้ วไปพิสจู น์ให้ ศาลท่านเห็นว่าการที่ฉลองไม่มาเริ่มงานตามสัญญาจ้ างนี ้ทาให้ บริษัทเกิดความเสียหาย
อย่างไรเป็ นจานวนเงินเท่าไหร่ ซึง่ ก็ขึ ้นอยูก่ บั ศาลจะวินิจฉัยข้ อเท็จจริงและข้ อกฎหมายต่าง ๆ แล้ วล่ะครับ
ว่าบริษัท ก จะสามารถเรี ยกค่าเสียหายจากฉลองได้ หรื อไม่และเท่าไหร่ ซึง่ แน่นอนว่าบริษัท ก จะต้ อง
เสียเวลาขึ ้นโรงขึ ้นศาลเตรี ยมข้ อมูลต่าง ๆ ไปให้ ศาลดูคงไม่ใช่ไปศาลครัง้ สองครัง้ แล้ วจบ ก็อยูท่ ี่ว่าบริ ษัท ก
จะยอมเสียเวลาหรื อเปล่าซึง่ ก็ไม่แน่นะครับว่าในที่สดุ แล้ วศาลจะเห็นด้ วยกับบริษัท ก หรื อไม่
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: การสรรหาคัดเลือกบุคลากร
……………………………………
ก็ตอบว่ า “ได้ ”
……………………………….
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 08:45 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
เรามีวธิ ีปรับเงินเดือนแบบไหนกันบ้ าง ?
- คุณวุฒิไม่ต่ากว่า.....
- มีอายุงานอยูใ่ นตาแหน่งเดิมมาไม่น้อยกว่า.....ปี
………………………………………….
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 06:33 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
เรื่ องที่จะนามาคุยกันในวันนี ้ก็เป็ นเรื่ องที่ยงั พบเห็นได้ ตามบริษัททัว่ ไปอยูจ่ นบางครัง้ กลายเป็ น
ความเข้ าใจที่ผิด ๆ และทาต่อ ๆ กันมานานจนกระทัง่ ถึงทุกวันนี ้
ตัวผมเองในฐานะที่เคยดูแลทังงานบุ
้ คคลและธุรการในบริษัทที่ยงั จับเอาสองงานนี ้มาไว้ ด้วยกัน
มาแล้ วก็เลยอยากจะขอแยกแยะงานทังสองงานนี
้ ้ให้ ชดั เจนคือ
2. งานบุคคล (หรื อปั จจุบนั ก็จะเรี ยกให้ หรู ๆ ว่า HR หรื อ Human Resource) เป็ นงานที่ต้องดูแลรับผิดชอบ
ดังนี ้
2.5 สร้ างแรงงานสัมพันธ์ ท่ ดี ีให้ เกิดขึน้ ในองค์ กร โดยจะต้ องทาหน้ าที่เป็ นที่ปรึกษาให้ คาแนะนาในเรื่ อง
กฎหมายแรงงานอย่างถูกต้ องทังกั
้ บฝ่ ายบริหาร, Line Manager รวมไปจนถึงระดับพนักงานรากหญ้ าให้
บริษัท ดังนัน้ HR จึงต้ องมีความรู้ในเรื่ องกฎหมายแรงงานให้ เยอะ ๆ หน่อย หมัน่ Update ติดตามแนวคา
พิพากษาศาลฎีกาในคดีแรงงานเป็ นระยะ จะได้ ร้ ูลึกรู้จริงให้ คาแนะนาชาวบ้ านเขาได้ ถกู ต้ อง ทาให้ เขาเกิด
ความเชื่อถือในตัว HR รวมถึงการเป็ นกาวใจคอยประสานความเข้ าใจที่ดีระหว่างฝ่ ายบริหารกับพนักงาน
อย่างสม่าเสมอ
2.6 ทัง้ 5 ข้ อที่ผมพูดมาข้ างต้ นนัน้ HR ยุคใหม่จะต้ องมีหวั ทาง IT (Information Technology) คือจะต้ องนา
ทังหมดมาเข้
้ าระบบ HRIS (Human Resource Information System) คือรู้จกั นาเอาซอฟแวร์ คอมพิวเตอร์
มาช่วยในการเก็บข้ อมูล, ประมวลผลและรายงานข้ อมูลอย่างเป็ นระบบ, ระบบประเมินต่าง ๆ ฯลฯ ไม่ใช่อยู่
บนระบบงานเอกสารแบบเดิม ๆ
จากที่ผมอธิบายมาข้ างต้ นนี ้ ผมเชื่อว่าท่านที่เป็ นผู้บริหารโดยเฉพาะคนที่เป็ น MD หรื อ CEO
น่าจะมีความเข้ าใจในความแตกต่างระหว่างงาน HR กับงานธุรการอย่างชัดเจนแล้ วนะครับ
เมื่อเข้ าใจตามนีแ้ ล้ วผมคิดว่ าถึงเวลาแล้ วล่ ะครับที่ MD หรือ CEO ควรจะต้ องแยกงาน
HR ออกจากงานธุรการ เพื่อให้ HR ทางานในงานที่เขาควรจะต้ องทาให้ ดีเสียก่ อน เพราะทุกวันนี ้
ถ้ าต้ องไปทางานธุรการด้ วย ผมบอกได้ เลยว่ าเวลาส่ วนใหญ่ 70-80 เปอร์ เซ็นต์ จะหมดไปกับงาน
ธุรการจนทาให้ ไม่ สามารถมาทางาน HR ให้ ดีขนึ ้ ได้ หรอกครับ
ฉันใดก็ฉนั นัน....
้
……………………………………..
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 09:07 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: การบริ หารงานบุคคล
เพราะจากประสบการณ์ที่ผมเจอมาก็คือ
3. ดังนันงบประมาณที
้ ่ใส่ลงไปในการจัดฝึ กอบรมในแต่ละปี ก็จะเหมือนกับ “ตาน ้าพริกละลายแม่น ้า” เพราะ
บริษัทเพียงแค่จดั ฝึ กอบรมไปตามแผน และหลักสูตรฝึ กอบรมในแต่ละหลักสูตรก็ไม่มีทิศทางที่ชดั เจนว่าจะ
พัฒนาพนักงานไปในด้ านไหนยังไง ขาดการติดตามผลการฝึ กอบรมว่าพนักงานที่เข้ าอบรมแล้ วจะนาเอาสิ่ง
ที่ได้ เรี ยนรู้ไปใช้ อย่างเป็ นรูปธรรมเป็ นมรรคเป็ นผลบ้ างหรื อเปล่า ฯลฯ ดังนัน้ ส่วนใหญ่ของงบประมาณที่จดั
ฝึ กอบรมไปก็มีแนวโน้ มจะสูญเปล่า
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: การพัฒนาบุคลากร
สาเหตุของการลาออกทีแ่ ท้ จริงคืออะไร..ผู้บริหารคิดจะแก้ไขหรือไม่ ?
ท่านเห็นด้ วยไหมครับ ?
ดังนันกว่
้ าจะค้ นหากันมาได้ ก็ไม่ง่ายแล้ ว การรักษาคนเหล่านี ้ให้ อยูก่ บั องค์กรก็ยิ่งยากเข้ าไปอีก
เพราะด้ วยค่านิยมการทางานของคนรุ่นใหม่ (ที่เรามักจะเรี ยกว่า Gen Y) ก็เปลี่ยนแปลงไปจากคนรุ่นก่อน
หน้ านี ้ รวมถึงความเจริญทางเทคโนโลยีในโลกออนไลน์ก็มีมากกว่าแต่ก่อนเยอะ ทาให้ โอกาสที่จะทาให้ คน
รุ่นใหม่มีชอ่ งทางในการหางานในลักษณะต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับตัวเองมีความเป็ นอิสระมากขึ ้นกว่าการมา
เป็ นพนักงานประจาบริ ษัท ทางานแปดโมงเช้ าถึงห้ าโมงเย็น ก็ยิ่งทาให้ การธารงรักษาพนักงานไว้ ยิ่งยาก
มากขึ ้น
ในวันนี ้ผมก็เลยอยากจะขอประมวลรวบรวมสาเหตุการลาออกของพนักงานมาเพื่อให้ ข้อคิด
สาหรับท่านที่เป็ นผู้บริหารได้ อา่ นเพื่อเป็ นเหมือนกระจกเงาสะท้ อนว่าองค์กรของเราเป็ นแบบนี ้อยู่หรื อไม่
เพื่อจะได้ นาเรื่ องเหล่านี ้กลับมาแก้ ไขเพื่อลดการลาออกและรักษาคนที่เก่งและดีไว้ กบั องค์กรของท่านให้ ดี
มากยิ่งขึ ้น
สาเหตุการลาออกที่สาคัญ ๆ ของพนักงานมีดงั นี ้
11. เอารัดเอาเปรี ยบพนักงานแม้ เป็ นเรื่ องเล็ก ๆ น้ อย ๆ แต่ก็บอ่ ย ๆ จนพนักงานรู้สกึ ไม่ยตุ ธิ รรม เช่น ทางาน
ล่วงเวลาก็ไม่ให้ คา่ โอที หรื อใช้ ให้ พนักงานเดินทางไปปฏิบตั งิ านนอกสถานที่แต่ไม่จา่ ยค่าพาหนะให้ หรื อ
จ่ายค่าพาหนะให้ ก็น้อยจนพนักงานต้ องควักกระเป๋ าตัวเองจ่ายสมทบ ฯลฯ เข้ าทานองพนักงานต้ องเอาเนื ้อ
หนูไปปะเนื ้อช้ าง
ทังหมดที
้ ่ผมบอกมานี ้เป็ นตัวอย่างหลัก ๆ ที่ทาให้ ในที่สดุ พนักงานก็ตดั สินใจลาออกทิ ้งองค์กรไปในที่สดุ
และก็หลายครัง้ ทาให้ องค์กรเสียคนดีมีฝีมือไปอย่างน่าเสียดาย
……………………………………….
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 05:32 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
5. ในการเลื่อนชันเลื
้ ่อนตาแหน่งพนักงานไม่มีหลักเกณฑ์การเลื่อนตาแหน่งที่ชดั เจน ไม่มีหลักเกณฑ์การปรับ
เงินเดือนเมื่อเลื่อนตาแหน่ง ทุกอย่างอยูท่ ี่ใจกรรมการผู้จดั การ หรื อใจเถ้ าแก่วา่ จะให้ เลื่อนหรื อให้ ปรับ
เงินเดือนหรื อไม่
7. ผลจากการพูดเอาใจหรื อให้ ความหวังตามข้ อ 6 ทาให้ ผ้ สู มัครงาน (ซึง่ บริษัทไม่ได้ ตอบรับเข้ าทางาน) นาไป
โพสไว้ ในสื่อออนไลน์แบบนี ้ครับ “วันนี ้เรามาสมัครงานตาแหน่ง......บริษัท.....เขาให้ เรา 20,000 บาท เพื่อน
ๆ ว่าน่าสนใจมัย๊ ....” ท่านลองคิดดูสิครับว่าเมื่อพนักงานในบริษัทของเราไปเห็นข้ อความนี ้เข้ าแล้ วพนักงาน
คนนี ้ที่อยูใ่ นตาแหน่งเดียวกันนี ้ตอนนี ้ได้ รับอยู่ 18,000 บาท จะคิดยังไงกับผู้บริหารของบริษัท
ฯลฯ
และถ้าผูบ้ ริ หารยังมี มมุ มองเรื ่องการบริ หารค่าตอบแทนแบบแคบ ๆ ว่าเรื ่องเงิ นเดื อนเป็ นความลับ
จะบริ หารยังไงพนักงานก็คงไม่รู้อย่างนี แ้ ล้วล่ะก็ บริ ษัทนัน้ ก็ยงั คงต้องเจอกับปั ญหาพนักงานลาออกเพราะ
ผูบ้ ริ หารไม่สามารถตอบคาถามพืน้ ๆ ว่าทาไมเงิ นเดื อนของเขาน้อยกว่าเพือ่ นทัง้ ๆ ที ่ทางานเหมื อน ๆ กัน
อยู่เรื ่อย ๆ แหละครับ
………………………………..
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 06:08 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
เรื่ องที่ผมจะเล่าให้ ทา่ นฟั งวันนี ้ผมว่าเป็ นเรื่ องที่เกิดขึ ้นมานานแล้ วล่ะ เป็ นเรื่ องที่เรามักจะเคยได้ ยิน
อยูบ่ อ่ ย ๆ ซ ้าไปซ ้ามาจนคล้ าย ๆ กับจะเป็ นปรากฎการณ์แบบเดจาวู (Dejavu) กันไปแล้ ว จนทุกวันนี ้ผมไป
บรรยายที่บริ ษัทไหนก็ยงั ได้ ยินเรื่ องทานองนี ้อยูบ่ อ่ ย ๆ ซึง่ ก็คล้ าย ๆ กับตอนที่ผมทางานประจาอยูก่ ็เคย
ประสบพบมากับตัวเองแบบเดียวกันนี ้
ยกตัวอย่างเช่น....
1. ฝ่ ายบุคคลเสนอจัดการอบรมหลักสูตร “เทคนิคการสัมภาษณ์ให้ กบั Line Manager” ที่จะต้ องไปทาหน้ าที่
สัมภาษณ์ผ้ สู มัครงานเพื่อให้ คดั เลือกคนที่มีคณ
ุ สมบัตเิ หมาะตรงตามที่บริษัทคาดหวัง โดยแจ้ งไปที่ MD ว่า
จะมีวิทยากรภายในคือ ผู้จดั การฝ่ ายบุคคลเป็ นผู้สอน ซึง่ MD ก็อาจจะมีคาถามกลับมาว่า “HR จะสอนได้
เร๊ อ..ผมว่าเอาวิทยากรภายนอกมาสอนจะดีกว่ามัง๊ น่าเชื่อถือดี....ฯลฯ” แปลความหมายได้ วา่ ถ้ า HR สอน
เองก็ไม่นา่ เชื่อถือ แต่ถ้าเสียตังค์จ้างวิทยากรภายนอกมาสอนจะได้ นา่ เชื่อถือ ??
2. ผู้จดั การแผนกจัดซื ้อย้ ายไปเป็ นผู้ชว่ ยผู้จดั การฝ่ ายธุรการ แทนที่บริ ษัทจะพิจารณาผู้ชว่ ยผู้จดั การแผนก
จัดซื ้อให้ ขึ ้นมาดารงตาแหน่งแทน ก็จะมีคาพูดทานองที่ว่า “ผู้ชว่ ยผู้จดั การแผนกจัดซื ้อยังมือไม่ถึง ยังเลื่อน
เป็ นผู้จดั การแผนกจัดซื ้อไม่ได้ หรอก....หาคนนอกเข้ ามาแทนก็แล้ วกัน....”
ฯลฯ
ผมเสนออย่างนี ้ดีไหมครับ
1. บริษัทของท่ านควรจะเริ่มต้ นที่จะค้ นหาสมรรถนะหรือขีดความสามารถที่เรี ยกเป็ นภาษาฝรั่ง (เพราะ
ฝรั่งเป็ นคนคิด) ว่า “Competency” ของตาแหน่งงานต่าง ๆ ในแต่ละฝ่ ายให้ ชดั เจนเสียก่อน โดยแนวคิดที่
อธิบายแบบง่าย ๆ ก็คือ คนที่ทางานในฝ่ ายนัน้ ๆ จะต้ องมีขีดความสามารถในหน้ าที่งาน หรื อ Functional
Competency (ผมขอเรี ยกย่อ ๆ ว่า FC นะครับ) อะไรบ้ าง เช่น คนทางานด้ าน HR ควรจะต้ องมีความรู้
ด้ านกฎหมายแรงงาน, คนทางานฝ่ ายซ่อมบารุงควรจะมีทกั ษะการซ่อมบารุงเครื่ องจักร, คนทางานบัญชี
ต้ องมีความรู้ด้านกฎหมายภาษี , คนทางานฝ่ ายขายต้ องมีทกั ษะการขาย เป็ นต้ น ซึง่ FC ก็จะประกอบด้ วย
K S A คือ K=Knowledge พนักงานจะต้ องมีความรู้ในงานที่ทาอยูย่ งั ไงที่หน่วยงานต้ องการ, S=Skills
พนักงานจะต้ องมีทกั ษะหรื อต้ องลงมือปฏิบตั ิอะไรที่สาคัญที่หน่วยงานต้ องการ และ A=Attributes
พนักงานจะต้ องมีคณ
ุ ลักษณะภายในอะไรที่จะทาให้ งานนันส
้ าเร็จลุลว่ งราบรื่ นได้ ดีบ้าง ซึง่ แต่ละหน่วยงาน
ต้ องช่วยกันคิดและค้ นหา K S A ออกมา
…………………………………..
อันนี ้ก็เจอบ่อยครับ ยกตัวอย่างเช่น บริษัททาสัญญาจ้ างนาย A เข้ ามาเป็ นพนักงานชัว่ คราวซึง่ นาย A แกก็
ทางานเหมือนพนักงานปฏิบตั กิ ารทัว่ ไปในบริษัท เช่น เข้ ามาเป็ นพนักงานขายสินค้ า โดยทาสัญญาตังแต่
้
วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม เป็ นเวลา 1 ปี โดยมีเงื่อนไขว่าถ้ านาย A ทางานไม่เป็ นที่นา่ พอใจ บริษัท
จะพิจารณาไม่ตอ่ สัญญา แต่ถ้าทางานดีก็จะต่อสัญญาออกไปคราวละ 1 ปี ขอให้ ทา่ นผู้บริหารบริษัททราบ
ด้ วยนะครับว่า ถ้ าหากนาย A ทางานมาตังแต่
้ 120 วันขึ ้นไป นาย A ก็จะมีสถานะเป็ น “ลูกจ้ าง” ของบริษัท
โดยสมบูรณ์แล้ ว นัน่ คือถ้ าบริษัทจะเลิกจ้ างเพราะผลงานไม่ดี, โหงวเฮ้ งเป็ นกาลกิณีกบั หัวหน้ า, เจ็บป่ วย
บ่อย ๆ ฯลฯ ซึง่ ไม่ได้ เกิดจากการกระทาความผิดร้ ายแรงตามมาตรา 119 ของกฎหมายแรงงาน (ไปหาอ่าน
กฎหมายแรงงานเพิ่มนะครับ) แล้ วล่ะก็ บริษัทจะต้ องจ่ายค่าชดเชยและค่าบอกกล่าวล่วงหน้ าครับ แม้ จะ
อ้ างว่าในสัญญาระบุไว้ และพนักงานก็เซ็นรับทราบเงื่อนไขก็ตาม สัญญาดังกล่าวจะเป็ น “โมฆะ” นะครับ
เพราะมันขัดกับกฎหมายแรงงาน
หรื อให้ มีวนั หยุดตามประเพณี (มาตรา 29) ซึง่ กฎหมายกาหนดให้ ต้องมีอย่างน้ อยปี ละ 13 วัน (รวมวัน
แรงงานแห่งชาติ) โดยจะต้ องประกาศให้ ลกู จ้ างทราบล่วงหน้ า พูดง่าย ๆ ว่าเมื่อถึงช่วงปลาย ๆ ปี ของทุกปี
บริษัทจะต้ องมีประกาศวันหยุดตามประเพณีในปี ถัดไปว่าจะมีวนั หยุดตามประเพณีคือวันไหนบ้ างอย่าง
น้ อย 13 วัน แต่ก็แปลกนะครับที่หลายบริษัทไม่มีประกาศแจ้ งให้ พนักงานทราบ แถมไม่ให้ พนักงานหยุดอีก
ต่างหาก ซึง่ ถ้ าหากพนักงานไปร้ องเรี ยนแรงงานเขตพื ้นที่ หรื อไปฟ้องศาลแรงงานบริษัทก็ผิดเต็มประตูเลย
นะครับ
ซึง่ ตามกฎหมายแรงงาน (มาตรา 32) นัน้ ลูกจ้ างมีสิทธิลาป่ วยได้ เท่าที่ป่วยจริง ผมหมายถึงว่าลูกจ้ างต้ อง
ป่ วยจริง ๆ จนไม่สามารถมาทางานทาการได้ นะครับ แต่ป่วยการเมือง, ป่ วยเพราะอยากอู้งานนี่ ถ้ าบริษัท
พิสจู น์ได้ หรื อจับได้ ไล่ทนั ว่าไม่ป่วยจริงก็ไม่อนุญาตได้ และหักเงินในวันที่ป่วยปลอมได้ แถมยังเป็ นความผิด
ทางวินยั ซึง่ สามารถออกหนังสือตักเตือนได้ อีกด้ วยนะครับ แต่นี่ผมกาลังพูดถึงพนักงานที่เขาป่ วยจริง
บริษัทก็ต้องอนุญาตให้ เขาลาป่ วยได้ ตามที่ป่วยจริงนะครับ ไม่ใช่ให้ แค่ 30 วัน ซึง่ ไม่ถกู ต้ องครับ
…………………………………….
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 19:52 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
สังเกตที่ผมขีดเส้ นใต้ ไว้ มีอยู่ 3 เรื่ องคือ ปี หนึง่ ต้ องให้ ลกู จ้ างหยุดพักร้ อนปี หนึง่ ไม่ต่ากว่า 6 วัน
ทางาน โดยให้ บริ ษัทเป็ นผู้กาหนดล่วงหน้ าหรื อบริ ษัทกับพนักงานอาจจะตกลงกันเรื่ องวันหยุดพักร้ อนก็ได้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: กฎหมายแรงงาน
พระบรมราโชวาท 9 ข้ อคิดจากพ่อ
เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2556 ผมเลยขออัญเชิญพระบรมราโชวาทจากบางตอนของหนังสือ "108 มงคลพระ
บรมราโชวาท" มาเพื่อเป็ นข้ อคิด และน้ อมนาไปปฏิบตั ิสาหรับทุกท่านดังนี ้ครับ
1.สัจวาจา คือรากฐานของการประสบความสาเร็ จ
2.ความสงบหนักแน่น ทาให้ เกิดความยังคิ
้ ด
6.ความคิดต่างกันไม่เสียหายหากใช้ สติปัญญา
............................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: การจัดการ
3. หัวหน้ างานจึงควรจะต้ องแยกแยะให้ ดีระหว่างลูกน้ องที่ป่วยจริง กับลูกน้ องที่มกั จะชอบอ้ างว่าป่ วย (แต่
ไม่ได้ ป่วยจริง) จะได้ มีการปฏิบตั กิ บั ลูกน้ องได้ อย่างถูกต้ องและเท่าทันลูกน้ อง
จากแนวคาพิพากษาศาลฎีกาข้ างต้ นคงจะเป็ นคาตอบสาหรับหัวเรื่ องในวันนี ้ได้ แล้ วว่า...ถ้ าลูกน้ องของท่าน
ไม่ได้ ป่วยจริง แล้ วมาอ้ างว่าป่ วยและจะขอลาป่ วยถ้ าท่านพิสจู น์ได้ อย่างที่ผมบอกไปในข้ างต้ น (เช่นการไป
เยี่ยมเยียนดูซิวา่ ป่ วยจริงหรื อไม่) ว่าเขาไม่ได้ ป่วยจริง ก็ไม่ต้องอนุญาตให้ ลาป่ วยและจะถือว่าเป็ นการขาด
งานโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรอีกด้ วยครับ
.......................................
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 07:17 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: กฎหมายแรงงาน
2. การจ้ างเป็ นพนักงานชัว่ คราว แบบมีระยะเวลา เช่น จ้ างเข้ ามาเป็ นพนักงานโดยทาสัญญาจ้ างกันปี ต่อปี
ครบปี หากผลงานดีก็จะต่อสัญญากันไปอีก 1 ปี เป็ นต้ น
การเลิกจ้ างแบบนีท้ ่ านจะต้ องจ่ ายค่ าชดเชย และค่ าบอกกล่ าวล่ วงหน้ าตามกฎหมาย
แรงงานครับ !!
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: กฎหมายแรงงาน
วันนี ้ผมมีเรื่ องมาเล่าสูก่ นั ฟั งเพื่อให้ ได้ ข้อคิดสาหรับคนที่เป็ นหัวหน้ างานกันอีกแล้ วครับ แต่ทา
ความเข้ าใจกันก่อนว่าคาว่า “หัวหน้ างาน” ของผมหมายถึงคนที่มีลกู น้ องไม่วา่ จะมีชื่อเรี ยกตามตาแหน่งว่า
อะไรก็ตาม เช่น ซุปเปอร์ ไวเซอร์ , ลีดเดอร์ , ผู้จดั การ, VP ฯลฯ ไม่หมายถึงชื่อตาแหน่งนะครับ ใครที่มีลกู น้ อง
คนนันแหละเป็
้ นหัวหน้ างาน
“เม้ าท์อะไรก็ไม่มนั ส์เท่าเม้ าท์หวั หน้ า...” จริงไหมครับ ? หรื อใครไม่เคยพูดถึงหัวหน้ ากับญาติสนิท
มิตรสหายบ้ างเลยยกมือขึ ้น !
6. หัวหน้ างานทางานตัวเป็ นเกลียวหัวเป็ นงู ปากว่ามือถึงชอบฉวยโอกาสแต๊ ะอัง๋ ลวนลาม หรื อจีบลูกน้ องของ
ตัวเอง บางคนเลยเถิดถึงกับได้ ลกู น้ องเป็ นบ้ านเล็กบ้ านน้ อย
7. หัวหน้ างานที่ควบคุมอารมณ์ตวั เองไม่ได้ จดุ เดือดต่า ฟิ วส์ขาดง่าย มีวาจาเป็ นอาวุธ ดาวพุธเป็ นวินาศ
ลูกน้ องไม่กล้ าเข้ าใกล้ เพราะไม่ร้ ูองค์อสูรจะลงประทับหัวหน้ าเมื่อไหร่
ฯลฯ
1. มาทางานตรงเวลา ใครมาสายก็ว่ากล่าวตักเตือนโดยไม่เลือกปฏิบตั ิ
3. รับฟั งและเปิ ดโอกาสให้ ลกู น้ องได้ แสดงความคิดเห็นอยูเ่ สมอ รู้จกั การทางานเป็ นทีม รู้จกั พูดชมเชยเมื่อ
ลูกน้ องทาดี ขอบคุณเมื่อลูกน้ องทาดี และพูดให้ กาลังใจเมื่อลูกน้ องเริ่มท้ อถอย
ฯลฯ
พฤติกรรมทังสองด้
้ านที่ผมยกตัวอย่างมานี ้ ผมก็ทราบนะครับว่าหัวหน้ างานทุกคนก็ร้ ูว่าควรแสดง
พฤติกรรมแบบไหนกับลูกน้ อง แต่แม้ วา่ รู้ทงรู
ั ้ ้ วา่ ควรทาอย่างไร เวลาทางานจริงหัวหน้ างานจะเตือนสติ
ตัวเองให้ แสดงพฤติกรรมที่เหมาะสมและสมควรกับลูกน้ องหรื อไม่ เพื่อให้ เขาพูดถึงหัวหน้ างานในทางบวก
วันนี้ท่านที่เป็ นหัวหน้ างานได้ แสดงพฤติกรรมที่เป็ นตัวอย่ างที่ดีสาหรั บลูกน้ อง เพื่อให้ ลูกน้ องเกิด
ความเชื่อมั่นเลื่อมใสศรั ทธา และยอมรั บบ้ างแล้ วหรื อยังครั บ
……………………………..
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 06:52 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ข้ อคิดก่อนการปรับค่ าตอบแทน
“ทาไมปรับค่าน ้ามันรถให้ พนักงานจาก 1,100 บาท เป็ น 1,400 บาท แล้ วพนักงานก็ยงั ไม่พอใจ”
“จะปรับค่าอาหารจากเดิมวันละ 30 บาท เป็ นวันละ 40 บาทเหมาะหรื อไม่”
ฯลฯ
1. ในการปรับค่ าตอบแทนไม่ ควรปรับโดยใช้ “ความรู้ สึก” ของฝ่ ายบริหาร เช่น MD สัง่ มาที่ HR ให้ ปรับ
ค่าครองชีพจาก 1,000 บาท เป็ น 1,100 บาท เพราะได้ ยินหรื ออ่านข่าวว่าบริษัทนันบริ
้ ษัทนี ้เขาปรับค่าครอง
ชีพให้ พนักงาน 100-200 บาท หรื อปรับค่าอาหารจากวันละ 30 บาทเป็ น 35 บาท เพราะเมื่อคืนเทพมา
เข้ าฝั นว่าควรปรับค่าอาหารเพิ่มขึ ้นอีก 5 บาท (จริง ๆ ก็เป็ นความคิดของ MD ไปเองแหละครับว่าควรปรับ
5 บาท อิ..อิ..) เป็ นต้ น
2. ก่ อนการปรับค่ าตอบแทน สิ่งสาคัญคือ HR จะต้ องหาข้ อมูลจากแหล่ งต่ าง ๆ อย่ างรอบด้ าน เช่น
จากผลการสารวจค่าตอบแทน, โทรศัพท์สอบถามเพื่อนฝูงในวงการที่ดแู ลเรื่ องค่าตอบแทน, จาก
หนังสือพิมพ์, อินเตอร์ เน็ต, ข้ อมูลการจ่ายค่าตอบแทนของบริษัทในปั จจุบนั , เหตุผลในอดีตเกี่ยวกับการ
จ่ายค่าตอบแทนของบริษัทว่าเดิมเขามีแนวคิดอย่างไร ฯลฯ คือหาข้ อมูลอย่างรอบด้ านให้ ได้ มากที่สดุ
เสียก่อน แล้ วจึงนาข้ อมูลเหล่านี ้มาวิเคราะห์และประมวลอย่างรอบคอบดูวา่ บริษัทของเราควรจะปรับ
ค่าตอบแทนเรื่ องใด เป็ นเงินเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมโดยคิดถึงหลัก 3 ข้ อของการบริหารค่าจ้ างที่ผมเคยพูด
ไว้ เสมอ ๆ คือ
ในความเห็นของฝ่ าย HR ควรเลือกแบบที่......เพราะ.......
แล้ วก็นาเข้ าที่ประชุมฝ่ ายบริ หารเพื่อพิจารณาตัดสินใจ
จากทังหมดที
้ ่ผมเล่ามาให้ ฟังนี ้ ในข้ อ 2 เป็ นสิ่งสาคัญที่สดุ ในเรื่ องของการปรับค่าตอบแทนที่ผมอยากจะ
เน้ นครับ
หลักอันหนึง่ ของการปรับค่าตอบแทนที่สอนกันมาเสมอคือ....
…………………………..
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 07:15 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ข้ อคิดในการจ่ ายโบนัส
1. จ่ ายเท่ ากันทุกคน ๆ ละกี่เดือนก็วา่ กันไป เช่น จ่ายให้ คนละ 1 เดือนปี ละครัง้ เท่ากันทุกคน
ข้ อดี
- คานวณงบประมาณการจ่ายง่ายไม่ต้องคิดอะไรมากเพราะจ่ายเท่ากันทุกคน
ข้ อด้ อย
ข้ อดี
- พนักงานที่ขยัน มีผลการปฏิบตั งิ านดีก็จะมีกาลังใจในการทางานให้ ดียิ่งขึ ้น ในขณะที่พนักงานที่ไม่ขยัน ไม่
มีผลงานบางคนก็อาจจะต้ องลาออกไปเพราะรับไม่ได้ กบั การไม่ได้ รับโบนัส
ข้ อด้ อย
………………………………………
วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555
วิธีกระตุ้นการเรียนรู้ ในองค์ กร
สัปดาห์นี ้ก็เป็ นสัปดาห์สดุ ท้ ายของปี 2556 แล้ วนะครับ เรื่ องปิ ดท้ ายปลายปี นี ้ผมก็เลยขอนาเสนอ
แบบเบา ๆ แต่เป็ นเรื่ องสาคัญที่มกั จะถูกมองข้ าม
ดังนันสมมุ
้ ตฐิ านที่บอกว่าคนไม่รักการเรี ยนรู้เพราะเหตุว่าจบต่ากว่าปริญญาตรี ในความคิดเห็น
ของผมนัน้ ผมปฏิเสธสมมุติฐานนี ้แน่นอนครับ
Learning) เป็ นประจา เช่น จัดประชุม Share Learning ทุก ๆ 3 เดือน ซึง่ การประชุมดังกล่าวควรเปิ ด
โอกาสให้ พนักงานทุกระดับเข้ าร่วมรับฟั ง เรื่ องที่นามาแลกเปลี่ยนซึง่ กันและกันนันอาจจะไม่
้ จาเป็ นต้ องเป็ น
เรื่ องงานเพียงอย่างเดียว อาจจะเป็ นเรื่ องความรู้รอบตัวที่นา่ สนใจ เช่น การให้ พนักงานที่ไปงานทอดกฐิ น
ของบริษัทในต่างจังหวัดมาเล่าเรื่ องราวความประทับใจให้ เพื่อนพนักงานฟั ง เป็ นต้ น หลักของการจัด
แลกเปลี่ยนองค์ ความรู้ ในแบบนีก้ ็คือ การทาให้ พนักงานทุกคนมีส่วนร่ วมในการแลกเปลี่ยนความ
คิดเห็นไม่วา่ จะเป็ นผู้นาการแสดงความคิดเห็น หรื อเปิ ดโอกาสให้ มีการซักถามไขข้ อข้ องใจ ฯลฯ ไม่ควร
ผูกขาดการเล่าเรื่ องไว้ ที่ผ้ บู ริ หารหรื อหัวหน้ าเพียงบางคนครับ
เช่น ชมรมกีฬา ชมรมถ่ายภาพ ชมรมท่องเที่ยว ฯลฯ แล้ วก็ให้ ชมรมเหล่านี ้เป็ นตัวตังตั
้ วตีในการทา
กิจกรรมตามข้ อ 3 ก็ยงั ได้ ซึง่ จะทาให้ เกิดกิจกรรมต่อเนื่องและเสริมสร้ างการเรี ยนรู้ทงแบบที
ั้ ่เป็ นทางการ
และไม่เป็ นทางการขึ ้นในหมู่พนักงานครับ
หรื อ KM กันมาบ้ างแล้ วนะครับ พูดแบบง่าย ๆ ก็คือห้ องสมุดแบบดิจิทลั (Digital) นัน่ เอง คือการนาองค์
ความรู้ทงหลายไปใส่
ั้ ไว้ ในฐานข้ อมูลที่เป็ นระบบคอมพิวเตอร์ ขององค์กร (ใส่ไว้ ใน Server ของบริษัท) แล้ ว
ให้ พนักงานที่สนใจอยากจะรู้เรื่ องอะไรก็เข้ าไปที่ฐานข้ อมูลนัน้ ๆ เพื่อค้ นหาสิ่งที่ตวั เองอยากเรี ยนรู้ ซึง่ ก็
คล้ าย ๆ กับเรามีห้องสมุด เมื่อสงสัยอยากค้ นหาเรื่ องอะไรที่เราสนใจเราก็ไปหาหนังสือนัน้ ๆ จากห้ องสมุด
นัน่ เอง แต่ต้องไม่ลืมว่าหากองค์กรไม่กระตุ้นให้ คนเกิดความอยากที่จะเรี ยนรู้เสียก่อนแล้ วถึงมีห้องสมุดคน
ก็ไม่เข้ าไปหรอกนะครับ ผมเห็นมาก็หลายองค์กรแล้ วที่อตุ ส่าห์ทาห้ องสมุดขึ ้นมาแต่ก็กลายเป็ นห้ องสมุด
ร้ างเพราะไม่มีพนักงานเข้ าไปนัง่ อ่านหรื อใช้ ห้องสมุดนันเลย
้ จนต้ องปิ ดไปในที่สดุ เพราะองค์กรไม่มีการ
กระตุ้นหรื อสร้ างแรงจูงใจให้ คนเกิดความอยากเรี ยนรู้เสียก่อนนัน่ เอง
…………………………………
วันอังคารที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2555
จะทายังไงดี !!??
มาตรา ๓๐ ลูกจ้ างซึง่ ทางานติดต่ อกันมาแล้ วครบหนึ่งปี มีสิทธิหยุดพักผ่ อนประจาปี ได้ ปีหนึ่งไม่
น้ อยกว่ าหกวันทางานโดยให้ นายจ้ างเป็ นผู้กาหนดวันหยุดดังกล่าวให้ แก่ลกู จ้ างล่วงหน้ าหรื อกาหนดให้
ตามที่นายจ้ างและลูกจ้ างตกลงกัน ในปี ต่อมานายจ้ างอาจกาหนดวันหยุดพักผ่อนประจาปี ให้ แก่ลกู จ้ าง
มากกว่าหกวันทางานก็ได้ นายจ้ างและลูกจ้ างอาจตกลงกันล่วงหน้ าให้ สะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อน
ประจาปี ที่ยงั มิได้ หยุดในปี นันรวมเข้
้ ากับปี ต่อๆ ไปได้ สาหรับลูกจ้ างซึง่ ทางานยังไม่ครบหนึง่ ปี นายจ้ างอาจ
กาหนดวันหยุดพักผ่อนประจาปี ให้ แก่ลกู จ้ างโดยคานวณให้ ตามส่วนก็ได้
ดังนัน้ ถ้ าจะถามว่าแล้ วถ้ าหัวหน้ า (ซึง่ ก็คือบริษัทหรือนายจ้ างนัน่ แหละครับ) ไม่ให้ ลาจะทายังไง ?
เพราะพนักงานเขาจะต้ องได้ รับสิทธิตามกฎหมายมาตรา 30 แล้ ว ซึง่ บริษัทก็ควรจะต้ องให้ เขาตามสิทธิ แต่ถ้ามีงานด่วนปลายปี จนไม่สามารถ
จะให้ ลาพักร้ อนตามสิทธิได้ ผมว่าบริษัทก็ควรจะทาอย่างใดอย่างหนึง่ ในสองข้ อข้ างต้ น โดยมีการพูดจากันให้ เข้ าใจน่าจะเป็ นทางออกที่ดีน ะครับ
.................................................
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 14:20 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: กฎหมายแรงงาน
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: กฎหมายแรงงาน
ควร
ไม่ ควร
……………………………………
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 07:55 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: การสรรหาคัดเลือกบุคลากร
เครื่ องมือยอดนิยมในการพัฒนาบุคลากรตังแต่
้ อดีตมาจนถึงปั จจุบนั และจะยังคงมีอยูต่ อ่ ไปใน
อนาคตคงหนีไม่พ้น “การฝึ กอบรม” ซึง่ การจัดฝึ กอบรมให้ กบั พนักงานนันก็
้ มกั มีวตั ถุประสงค์หลัก ๆ เพื่อ
พัฒนาการปฏิบตั งิ านที่ดีขึ ้นเป็ นไปตามเป้าหมาย และลดปั ญหาเกี่ยวกับการทางานหรื อปั ญหาด้ าน
ทัศนคติในการทางานลง ฯลฯ
วิธีการประเมินผลการฝึ กอบรมแบบเดิม
แน่นอนว่าในการจัดการฝึ กอบรมแต่ละครัง้ บริ ษัทก็มกั จะใช้ วิธีสง่ แบบสอบถามให้ กบั ผู้เข้ ารับการ
อบรมตอบในช่วงท้ าย ๆ ก่อนที่จะจบการฝึ กอบรมว่าการสอนของวิทยากรเป็ นอย่างไรบ้ าง, เนื ้อหาหลักสูตร
เป็ นยังไง, สถานที่จดั ฝึ กอบรมเหมาะสมไหม, อาหารอร่อยไหม ฯลฯ เมื่อผู้เข้ ารับการอบรมทาการ
ประเมินผลเสร็จก็จะส่งแบบประเมินผลให้ กบั เจ้ าหน้ าที่จดั ฝึ กอบรมเพื่อนาไปประมวลผลและนาเสนอกับ
ผู้บริหารเพื่อรับทราบผลการประเมินต่อไป
1. หลักสูตรผู้บริ หารงานธนาคาร
2. หลักสูตรการบริหารธุรกิจเชิงกลยุทธ์
คาถามก็คือ....
แล้ วธนาคารแห่ งนีจ้ ะแน่ ใจได้ อย่ างไรครั บว่ าผู้ท่ ผี ่ านการฝึ กอบรมแล้ วจะมีความพร้ อมที่จะเป็ น
ผู้จัดการสาขาที่เหมาะสมได้ จริง ?
น่าคิดนะครับ
ยิ่งกว่านัน้ หากพนักงานดังกล่าวผ่านการฝึ กอบรมไปแล้ วสัก 6 เดือนหรื อ 1 ปี จึงได้ รับการ
พิจารณาให้ เลื่อนตาแหน่งสูงขึ ้นไป เขายังจะจาสิ่งที่ได้ รับการอบรมได้ อยูห่ รื อไม่ ?
ท่านคิดว่าใครจะมีคณ
ุ สมบัติ (Competency) เหมาะสมกับตาแหน่งผู้จดั การสาขามากกว่ากันครับ
?
ดังนันองค์
้ กรจึงควรหันกลับมาทบทวนกันดีไหมครับว่า ในการฝึ กอบรมที่จดั ให้ กบั พนักงานไปแล้ ว
นัน้ เพื่อไม่ให้ เกิดการลงทุนที่สญ
ู เปล่าดังที่ผมบอกไปแล้ ว องค์กรควรจะมีการประเมินผลและติดตามผล
ว่าผู้เข้ ารับการอบรมได้ นาสิ่งที่เรี ยนรู้ไปใช้ ให้ เกิดประโยชน์ และทาให้ ผ้ เู ข้ ารับการอบรมมีพฤติกรรมที่
เหมาะสมหรื อมีพฒ
ั นาการที่ดีมากยิ่งขึ ้นมากหรื อน้ อยเพียงใด
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: การพัฒนาบุคลากร
จะตอบคาถามยังไงดี ?
บังเอิญผมได้ อ่านกระทู้คาถามในเว็บไซด์แห่งหนึง่ ซึง่ มีผ้ โู พสถามเข้ าไปว่า ปั จจุบนั ทางานอยู่ในบริ ษัทลูกของบริ ษัทขนาดใหญ่แห่งหนึง่ ที่เป็ นที่รู่ ้ จกั กัน
ดีในเรื่ องความมัน่ คง แต่ปรากฎว่าบริษัทลูกที่เขาทางานอยู่นนขาดทุ
ั้ น และถูกยุบแผนกถูกบีบให้ ออก จึงต้ องไปหางานใหม่
ควรจะตอบคาถามกรรมการสัมภาษณ์อย่างไรดี ?
...........................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: การสรรหาคัดเลือกบุคลากร
หน้ าทีก่ ารตักเตือน การออกหนังสื อตักเตือน และ แจ้ งเลิกจ้ างควรเป็ นหน้ าทีข่ องใคร ?
วันนี ้ผมได้ รับคาถามที่เป็ นปั ญหาซึง่ มักจะเกิดขึ ้นได้ บอ่ ย ๆ ในการทางาน แต่เมื่อเกิดปั ญหาทานอง
นี ้ขึ ้นมาเมื่อไหร่ก็ยงั มักเป็ นเรื่ องถกเถียงกันระหว่างหัวหน้ างาน (Line Manager) กับ HR อยูเ่ ป็ นประจา
เหมือนกัน
คาถามก็คือ “หน้ าที่การตักเตือน การออกหนังสือตักเตือน และ แจ้ งเลิกจ้ างควรเป็ นหน้ าที่
ของใคร ?”
ผมมักจะเปรี ยบเทียบอยูเ่ สมอว่า “หัวหน้ างานกับลูกน้ อง” ก็เปรี ยบเสมือน “พ่อแม่กบั ลูก” ถ้ า
หัวหน้ าไม่ดแู ล อบรม สัง่ สอน ตักเตือนลูกแล้ ว....
แต่ การตักเตือนจะเป็ นหน้ าที่ของหัวหน้ างาน ไม่ ใช่ หน้ าที่ของ HR แต่ จะให้ HR นั่งเป็ น
พยานรู้ เห็นการตักเตือนนัน้ ก็ย่อมได้ ครั บ
...........................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: กฎหมายแรงงาน
เรื่ องนี ้เป็ นเรื่ องจาเป็ นสาหรับ HR อีกเรื่ องหนึง่ เลยนะครับ ที่ HR จะต้ องศึกษาเรื่ องกฎหมายที่
เกี่ยวข้ องกับการทางานของประเทศในกลุม่ อาเซียน เช่น กฎหมายแรงงานของแต่ละประเทศ, กฎหมาย
ภาษีเงินได้ บคุ คลธรรมดา, กฎหมายเรื่ องเกี่ยวกับกองทุนสารองเลี ้ยงชีพ, ประกันสังคม, การทาเรื่ องขอ
อนุญาตทางานในแต่ละประเทศว่ามีขนตอนวิ
ั้ ธีการอย่างไร เป็ นต้ น
9. ระบบฐานข้ อมูลบุคลากร หรื อ HRIS (Human Resource Information System) เป็ นเรื่อง
สาคัญ
เรื่ องหนึง่ ที่ผมเห็นว่าควรจะต้ องปรับปรุงและพัฒนาให้ เร็วที่สดุ ไม่วา่ จะเป็ นคนที่ทางาน HR หรื อไม่
ก็ตาม นัน่ คือเราจาเป็ นจะต้ องพัฒนาทักษะการสื่อสารด้ วยภาษาอังกฤษให้ ดีขึ ้นกว่านี ้นะครับ เพราะ
จากข้ อมูลของ EF Proficiency Index พบว่าทักษะการใช้ ภาษาอังกฤษสาหรับประเทศที่ไม่ได้ ใช้
ภาษาอังกฤษเป็ นภาษาหลักนัน้
…………………………………….
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 07:49 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ผมไม่ได้ หมายความอย่างนันเสี
้ ยทีเดียว จริงอยูท่ ี่หลายองค์กรมีเครื่ องคอมพิวเตอร์ ให้ ใช้ แต่เราใช้
คอมพิวเตอร์ ทาอะไรครับ ? บางคนก็ใช้ คอมพิวเตอร์ แทนเครื่ องพิมพ์ดีดคือพิมพ์งานที่เป็ นเอกสารเข้ าไฟล์
เพื่อที่จะสัง่ ให้ เครื่ องพิมพ์ทาการพิมพ์ไฟล์นนออกมาเป็
ั้ นกระดาษเพื่อนาส่งผู้บริหารหรื อหน่วยงานอื่น ๆ กัน
ต่อไป หรื อจะเรี ยกว่าแปลงดิจิตอลกลับเป็ นอนาล็อกก็ได้ จากข้ อมูลของ www.thai-aec.com พบว่า
ประเทศที่ใช้ คอมพิวเตอร์ สงู สุด 5 อันดับแรกคือ 1. สิงคโปร์ 2. บรูไน 3. มาเลเซีย 4. เวียดนาม และ 5.
ฟิ ลิปปิ นส์ ส่วนไทยยังไม่ติด 5 อันดับแรกเลยนะครับ
ดังนันคนที
้ ่ทางาน HR ควรจะต้ องคิดหาวิธีใช้ คอมพิวเตอร์ มาใช้ ประโยชน์มากขึ ้นหรื อไม่ เช่น
4.2 หาวิธีลดงานกระดาษ (Paper Work) โดยการนา Software ด้ าน HR หรื อที่เรี ยกว่า HRIS
(Human Resource Information System) มาใช้ แทนการเก็บข้ อมูลพนักงานในด้ านต่าง ๆ ที่ยงั เป็ นแฟ้ม
กระดาษ, การประเมินผลต่าง ๆ ผ่านระบบ IT ที่ไม่ต้องใช้ แบบฟอร์ มกระดาษ, การลาแบบ On Line โดยไม่
ต้ องใช้ กระดาษ, การสมัครงานผ่านเว็บไซด์ของบริษัท, การให้ ผ้ สู มัครงานอัดคลิปนาเสนอตัวเองเพื่อสมัคร
งาน, การสัมภาษณ์โดยใช้ Face time ในกรณีอยูไ่ กลกัน ฯลฯ ซึง่ จะช่วยให้ งานสะดวกรวดเร็วขึ ้น เรี ยกค้ น
ข้ อมูลง่ายลดเวลาการทางานลงเพื่อเอาเวลาไปทาประโยชน์อื่นที่ดีกว่านี ้
5.1 รับรู้และเข้ าใจใน Business Plan ของบริษัท (ซึง่ ก็ต้องเกิดจากการที่ HR จะต้ องมีความรู้ใน
ธุรกิจที่ดีเสียก่อนที่ผมพูดไปแล้ วในข้ อที่ 1 ตอนที่แล้ ว) คือทราบทิศทางการดาเนินธุรกิจในอนาคตของ
บริษัทโดยเข้ าร่วมประชุม และรับทราบนโยบายทางธุรกิจเพื่อนามาสูก่ ารคิดและวางแผนบุคลากรในด้ าน
ต่าง ๆ
5.2 วิเคราะห์และนาเสนอแผนอัตรากาลัง/แผนการสรรหาคัดเลือกบุคลากร
5.3 วางแผนและนาเสนอกลยุทธ์ด้านค่าตอบแทนและสวัสดิการที่สามารถแข่งขันได้
ว้ า ! หมดโควต้ าอีกแล้ ว คงต้ องต่อในตอนหน้ าซึง่ เป็ นตอนที่ 3 ว่า HR ควรจะต้ องปรับตัวเพื่อรับกับ
AEC อย่างไร ซึง่ คงจะจบครบถ้ วนในตอนหน้ านี่แหละครับ
..........................................
2. นายจ้ างให้ สะสมวันลาพักร้ อนไปปี หน้ าถึงเดือนเมษายน แล้ วตัดทิง้ โดยไม่ จ่ายได้ หรือไม่
3. ให้ สะสมวันลาพักร้ อนไปได้ ก่ ีปี แล้ วตัดทิง้ โดยไม่ จ่ายให้ ได้ หรือไม่
ตอบ
จึงตอบคาถามได้ ดงั นี ้
1. คุณถามมาว่า “ถ้ าให้ สิทธิพนักงานแล้ ว พนักงานไม่ลาพักร้ อน” ผมเข้ าใจว่า ผู้บริหารได้ จดั วันหยุดพักผ่อน
ประจาปี ให้ กบั พนักงานแล้ ว เช่น แจ้ งให้ พนักงานหยุดพักผ่อนประจาปี ในวันที่ 1-6 มีนาคมแล้ ว (สมมุติ
พนักงานมีสิทธิหยุดพักผ่อนประจาปี ได้ 6 วัน) แต่พนักงานไม่หยุดในวันที่บริ ษัทจัดให้ อย่างนี ้แล้ วล่ะก็ สิ ้น
ปี บริษัทก็ไม่ต้องจ่ายค่าวันหยุดพักผ่อนประจาปี เพราะในวรรคแรกของมาตรา 30 บอกไว้ แล้ วว่า “....โดย
ให้ นายจ้ างเป็ นผู้กาหนดวันหยุดดังกล่ าวให้ แก่ ลูกจ้ างล่ วงหน้ า หรื อกาหนดให้ ตามที่นายจ้ างและ
ลูกจ้ างตกลงกัน....”
อธิบายได้ ว่า ถ้ านายจ้ างจัดให้ ลกู จ้ างหยุดพักผ่อน หรื อนายจ้ างและลูกจ้ างตกลงกันเรื่ องวันหยุดพักผ่อน
แล้ ว แต่ลกู จ้ างไม่ประสงค์จะใช้ สิทธิดงั กล่าว นายจ้ างก็ไม่ต้องจ่ายค่าวันหยุดพักร้ อนครับ
แต่ในทางกลับกัน ถ้ านายจ้ างกาหนดให้ ลกู จ้ างหยุด หรื อนายจ้ างและลูกจ้ างตกลงกันแล้ วจะลูกจ้ างจะ
หยุดพักผ่อนประจาปี ว่าเป็ นวันใด แล้ วนายจ้ างมาบอกกับลูกจ้ างว่า “นี่คณ
ุ ฉันให้ คณ
ุ หยุดตามที่บอกไว้
ไม่ได้ เพราะมีออเดอร์ มาเยอะ มีงานต้ องทาขอเลื่อนไปก่อน” ทาให้ ลกู จ้ างเลยไม่ได้ หยุดพักผ่อนประจาปี
อย่างนี ้แล้ วนายจ้ างก็จะต้ องจ่ายค่าวันหยุดพักผ่อนประจาปี ให้ กบั ลูกจ้ างครับ (ถ้ าบริ ษัทไม่มีกฎระเบียบ
เรื่ องมีการสะสมวันหยุดพักผ่อนประจาปี เอาไว้ ในปี ถัดไป)
3. การจะให้ มีวนั หยุดพักผ่อนสะสมไปได้ กี่ปี ก็อยูท่ ี่บริ ษัทของคุณที่จะมีกฎระเบียบในเรื่ องนี ้ไว้ อย่างไร ก็
ปฏิบตั ิตามนัน้ เพราะในมาตรา 30 บอกไว้ ชดั เจนแล้ วว่า “....นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าให้
สะสมและเลือ่ นวันหยุดพักผ่อนประจาปี ทีย่ งั มิ ได้หยุดในปี นัน้ รวมเข้ากับปี ต่อๆ ไปได้....” ดังนันถ้
้ ามี
ข้ อบังคับการทางานเกี่ยวกับแนวปฏิบตั ใิ นเรื่ องวันหยุดพักผ่อนประจาปี ระหว่างบริ ษัทและพนักงานกัน
อย่างไร (ซึง่ บริ ษัทก็จะต้ องมีการระบุเรื่ องสิทธิการลาพักผ่อนประจาปี อยูแ่ ล้ ว) ก็ปฏิบตั ิตามข้ อบังคับ การ
ทางานนันครั
้ บ
.........................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
1. มีการประเมินค่างานสาหรับตาแหน่งงานต่าง ๆ กันทังประเทศ
้ ซึง่ ก็แน่นอนว่ามหาศาลมาก เพราะตาแหน่ง
งานต่าง ๆ จะมีทงภาครั
ั้ ฐ (ราชการ) รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ซึง่ ก็จะมีตาแหน่งงานต่าง ๆ มากมาย
หรื อจะเรี ยกว่ามีตาแหน่งงานที่หลากหลายตังแต่
้ ตาแหน่งที่สงู สุดไปถึงตาแหน่งที่ต่าสุดของทังประเทศ
้
3. ต้ องมาถ่วงน ้าหนักปั จจัยที่กาหนดขึ ้นตามข้ อ 2 ไม่ให้ เกิน 100 เปอร์ เซ็นต์ ว่าปั จจัยที่กาหนดนันควรจะมี
้
น ้าหนักสักกี่เปอร์ เซ็นต์ดี ซึง่ ก็จะมีคาถามเหมือนกับข้ อ 2 อีกนัน่ แหละครับว่าใครจะเป็ นคนกาหนดชี ้ขาดว่า
ปั จจัยไหนควรจะมีน ้าหนักสักกี่เปอร์ เซ็นต์
ผมไม่ ได้ บอกว่ า “ทาไม่ ได้ ” นะครับ มีเงื่อนไขแต่ เพียงว่ าถ้ าตอบคาถามข้ อ 1 ถึง 4 ได้ ก็จะทาการ
ประเมินค่ างานทัง้ ประเทศได้ และจะนาไปสู่การทาโครงสร้ างเงินเดือนทัง้ ประเทศได้ เช่ นเดียวกัน
ครับ
5. เมื่อสามารถทาการประเมินค่างานได้ ทกุ ตาแหน่งงาน และจัดแบ่งกลุม่ งาน (Job Group) ได้ ทงหมดแล้
ั้ ว
นัน่ แหละครับจะเป็ นฐานในการนามาจัดทาโครงสร้ างเงินเดือนของทุกตาแหน่งงานทังประเทศได้
้ ตอ่ ไป
........................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
ปรับค่ าจ้ างขั้นตา่ 300 บาทต่ อวัน ครอบคลุมถึงลูกจ้ างชั่วคราวทีส่ ั ญญาเป็ นฤดูกาล 6 เดือน
12 เดือนหรือไม่ รวม ปวช., ปวส. อัตราเดียวกันหรือไม่
ตอบ
การปรับค่าจ้ างขันต
้ ่า 300 บาทต่อวันมีผลกับลูกจ้ างทุกคนโดยไม่เลือกว่าเป็ นลูกจ้ างประจา
ลูกจ้ างชัว่ คราว หรื อลูกจ้ างตามฤดูกาลครับ
พูดง่ าย ๆ ว่ าถ้ าใครเป็ น “ลูกจ้ าง” ก็จะได้ รับการปรั บค่ าจ้ างขัน้ ต่าตามที่กระทรวงแรงงาน
ประกาศทัง้ หมดแหละครั บ สาหรั บการปรั บให้ เป็ น 300 บาทต่ อวันก็จะมีผลกับลูกจ้ างใน 7
จังหวัดคือ กรุงเทพมหานคร, ภูเก็ต, นครปฐม, สมุทรสาคร, สมุทรปราการ, ปทุมธานี และ
นนทบุรีรวม 7 จังหวัดจากเดิมเป็ น 300 บาท สาหรับจังหวัดอื่น ๆ ก็ปรับเพิ่มขึน้ จากเดิมอีก 40
เปอร์ เซ็นต์ และจะมีผลตัง้ แต่ วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็ นต้ นไปครับ
สาหรับคนที่จบคุณวุฒิ ปวช., ปวส. หรื อปริญญาตรี นันก็
้ อยูท่ ี่แต่ละองค์กรจะต้ องไปดูกนั เอาเอง
ว่า ผลจากการปรับค่าจ้ างขันต
้ ่าจะไปกระทบกับอัตราจ้ างเริ่มต้ นตามวุฒิตา่ ง ๆ มากน้ อยแค่ไหน
..................................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
.......................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
8. มีการสื่อสารที่ดีในองค์การ (Communication)
เหตุใดองค์ กรจึงควรจะสารวจความพึงพอใจของพนักงาน
1. ด้ านค่าตอบแทนและสวัสดิการ
2. ด้ านสัมพันธภาพในหน่วยงาน
3. ด้ านการปกครองบังคับบัญชาของผู้บงั คับบัญชา
6. ด้ านการฝึ กอบรมและพัฒนาตนเอง
หรื อท่านอาจจะต้ องการสอบถามในเรื่ องอื่น ๆ มากกว่านี ้ก็สามารถทาได้ โดยแจ้ งหัวข้ อเหล่านี ้ให้ กบั
นักศึกษาฝึ กงานไปทาการออกแบบ รวมถึงวิธีการวัดผลและนาเสนอ ซึง่ องค์กรของท่านก็อาจจะทาวุฒิบตั ร
ชมเชยให้ กบั นักศึกษาฝึ กงาน หากผลงานออกมาเป็ นที่น่าพอใจ ซึง่ ก็จะเป็ นเครดิตของนักศึกษาฝึ กงาน
และดีกว่าการให้ นกั ศึกษาฝึ กงานมาฝึ กงานแค่เพียงถ่ายเอกสาร เย็บเล่มเอกสาร กับส่งแฟกซ์ (เหมือนกับที่
บางหน่วยงานชอบทา) เป็ นไหน ๆ
...............................................
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 07:13 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: การจัดการ
5. เงินสมทบประกันสังคม หรื อกองทุนสารองเลี ้ยงชีพที่บริษัทจะต้ องมีคา่ ใช้ จา่ ยเพิ่มขึ ้น เป็ นต้ น โดยดูว่าจะมี
Staff Cost เพิ่มขึ ้นเป็ นเท่าไหร่
7. ปรับเงินเดือนพนักงานเก่าที่เข้ ามาก่อนทังพนั
้ กงานที่เดิมจ้ างอยูท่ ี่วนั ละ 215 บาท, พนักงานเก่าที่จบปวช.,
ปวส., ปริญญาตรี , ปริญญาโท ที่มีผลกระทบจากการปรับเงินเดือนพนักงานใหม่ตามสูตร Compression
Adjustment ที่ผมเคยเขียนไว้ ในเรื่ อง “จะปรับคนเก่าอย่างไร..ถ้ าคนใหม่ได้ 300 หรื อ 15,000” ซึง่ ท่าน
สามารถหาอ่านย้ อนหลังได้ ที่ http://tamrongsakk.blogspot.com และคานวณผลรวมออกมาว่าจะต้ อง
ปรับเงินเดือนพนักงานเก่าเหล่านี ้เป็ นเงินเท่าไหร่
ทังหมดที
้ ่ผมเขียนมานี ้ไม่ได้ ต้องการให้ ผ้ รู ับผิดชอบด้ านค่าตอบแทน หรื อผู้บริหารเกิดความตื่นตระหนกแต่
อย่างไร แต่ต้องการชี ้ให้ เห็นว่าเมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ ้นเราควรจะปรับตัวเราเพื่อรับกับความ
เปลี่ยนแปลงนันได้
้ อย่างไร
.........................................
ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์
081-846-2525
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
คาถามนี ้น่าคิดดีนะครับ....
เพราะค่าครองชีพ (ที่มีศพั ท์ทาง HR ว่า “Cost of Living Allowance” หรือ COLA ครับ) ซึง่ คนที่
ทางาน HR ในยุคใหม่นี่ไม่คอ่ ยจะรู้จกั คานี ้กันแล้ วนะครับ เวลาผมพูดถึง “COLA” ทีไร แม้ แต่คนที่ทางาน
HR บางคนก็มกั จะคิดว่าผมพูดถึงยี่ห้อน ้าอัดลมซะบ่อย ๆ ซึง่ ที่จริงแล้ วมันคือคาย่อของคาว่า “ค่าครองชีพ”
นัน่ เองครับ
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
ดังนันเมื
้ ่อตาแหน่งไม่มีให้ Promote มากนักจึงต้ องแก้ ด้วยการทาโครงสร้ างเงินเดือนให้ มีคา่ RS
สูงเพื่อยังเป็ นทางหนึง่ ที่จะยังพอรักษาคนเอาไว้ ได้ ครับ
นี่จงึ เป็ นเหตุผลว่า RS ไม่จาเป็ นต้ องมีคา่ ที่ตายตัวทุกกระบอกเงินเดือน (ในทางปฏิบตั ิ) เสมอไป
ครับ
.................................
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
3. ในกรณีที่ผ้ ปู ฏิบตั งิ านขาดสมรรถนะ (หรื อเรี ยกว่ามี Competency Gap) ไม่เป็ นไปตามที่องค์กรต้ องการ
องค์กรก็จะต้ องมีแผนพัฒนาเป็ นรายบุคคล (Individual Development Plan – IDP) เพื่อสร้ างสมรรถนะให้
เป็ นไปอย่างที่องค์กรต้ องการ และมีการติดตามผลการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ด้ านการสรรหาคัดเลือกบุคลากร
……………………………………
เขียนโดย ธารงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ ที่ 11:10 ลิงก์ไปยังบทความนี ้
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: การพัฒนาบุคลากร
2. จะมีการประเมินผลการปฏิบตั งิ านระหว่างรักษาการ
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
ส่งอีเมลข้ อมูลนีBlogThis!
้ แชร์ ไปที่ Twitterแชร์ ไปที่ Facebookแชร์ ใน Pinterest
ป้ายกากับ: ปั ญหาค่าตอบแทน
ข้ อคิดในการพัฒนา Talent
ในปั จจุบนั ผมเห็นหลายองค์กรต่างก็กาลังพยายามค้ นหาเดอะสตาร์ หรื อ Talent ขององค์กร และ
ทาการพัฒนากันอย่างเอาจริ งเอาจัง ซึง่ ก็เป็ นเรื่ องที่ดีนะครับที่องค์กรเหล่านันเห็
้ นความสาคัญของคนใน
และหาวิธีการพัฒนาคนในให้ เติบโตก้ าวหน้ าไปพร้ อม ๆ กับองค์กร ดีกว่าจะเอาแต่มงุ่ หาคนนอกเข้ ามาแถม
ตังเงิ
้ นเดือนแพง ๆ แล้ วในที่สดุ คนนอกก็อยูไ่ ด้ ไม่นานแล้ วก็ลาออกไป ทาให้ คนในเกิดความรู้สกึ ที่ไม่ดีอีก
ต่างหาก
แล้ วมันผิดปกติตรงไหนล่ ะ ?