Professional Documents
Culture Documents
๑๐๘ ข้อธรรม ขีณาลโย 108 DHAMMA KHEENALAYO
๑๐๘ ข้อธรรม ขีณาลโย 108 DHAMMA KHEENALAYO
ด้วยพุทธานุภาเวนะ
ด้วยธรรมานุภาเวนะ
ด้วยสังฆานุภาเวนะ
น้อมกราบเท้าองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้า
คณะผู้จัดท�ำ
ค�ำขอขมา
ด้วยกายก็ดี
ด้วยวาจาก็ดี
ด้วยใจก็ดี
“จากข้าราชการตุลาการระดับสูง สู่ร่มกาสาวพัสตร์สายวัดป่า”
ในเพศฆราวาส ท่านเจริญเติบโตในสายงานของนักกฎหมาย
จบนิติศาสตร์บัณฑิต
จบเนติบัณฑิตไทย
สอบผู้พิพากษาได้ในครั้งแรก
และเจริญก้าวหน้าอย่างมากในสายงานตุลาการ ได้ด�ำรงต�ำแหน่งส�ำคัญ อาทิ
- ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลแพ่ง
- รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลแพ่ง
- ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลอุทธรณ์ภาค ๑
- ผู้ก่อตั้งชมรมผู้ปฏิบัติธรรม ส�ำนักงานศาลยุติธรรม
ขอน้อมน�ำพระสัทธรรมอันออกจากใจอันบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า
น�ำมาพิจารณาตามจนมีความรู้แจ้ง (วิชชา) เกิดขึ้นที่ใจ
และขอเป็นผู้ตรัสรู้ตามพระสมณโคดมพระพุทธเจ้าในปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ
Prayer
For the dhamma of the pure Buddha to be pour into this heart
and lighten up the path to enlightenment
as one of Gautama Buddha disciples.
อารัมภบทธรรม
This morning, Luangta has awoken since first light. These past few days,
it seems he was well rested.
In his journey on past fateful nights, Luangta had gazed upon the sky, and
witnessed through a car windowpane. He muttered.
�These past years, I never saw the stars shining so brightly... I have only
seen my disciple's faces, whom I've dedicated to teach to reach nirvana.�
His disciples watched him from afar, to ease his rest, and to let him absorb
the spirit of nature. They did not disturb his recuperative meditation.
001
๐๐๑
ทางโลก “ มี ” . . . . ไม่มีที่สิ้นสุด
ทางธรรมสิ้นสุด ที่ ความ . . . “ ไม่มี ”
002
๐๐๒
ธรรมะ
ไม่ใช่ การสวดมนต์ไหว้พระ หรือ นั่งสมาธิ เดินจงกรม
แต่ ธรรมะ คือ การยอมรับความจริงตามความเป็นจริง
. . . ว่าไม่มีสิ่งใดที่เที่ยง
และไม่มีสิ่งใดที่ ยึดมั่นถือมั่นได้
003
๐๐๓
“ ธรรม ” ไม่ได้อยู่ไกล
ไม่ได้อยู่ที่หลวงตา
ไม่ได้อยู่ที่พ่อแม่ครูอาจารย์
อยู่ที่ “ ใจ ” ของเราทุกคนนั่นแหละ
เรียนที่ใจ พบที่ใจ
พบใจ ... พบธรรม
ถึงใจ ... ถึงพระนิพพาน
004
๐๐๔
การปฏิบัติธรรม
มิได้ปฏิบัติ
เพื่อให้ | ตัวเรา | พ้นทุกข์
แต่ปฏิบัติ เพื่อให้รู้ว่า
ตัวเรา ... | ไม่มี |
จึงสิ้นหลง สิ้นยึด
005
๐๐๕
เพราะมี เรา จะไปหา ความสิ้นหลงอย่างถาวร
จึง “ หลง ” ไปอย่างถาวร
006
๐๐๖
ชีวิต ก็แค่ละครฉากหนึ่ง
ที่ต้องเล่นจนจบ
แต่ ไม่ยึด ตัวละครว่า
เป็น ตัวเรา
007
๐๐๗
เกิด ก็ เพื่อ ตาย
พบ ก็ เพื่อ จาก
ได้มา เพื่อ พลัดพราก
แล้วเจ้ายังจะยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดได้อีก
008
๐๐๘
ร้ อ ย รั ด ผู ก มั ด
ยิ่ ง ยึ ด ยิ่ ง ทุ ก ข์
009
๐๐๙
ทุกสรรพสิ่ง
ล้วน
เกิดขึ้น ใน เบื้องต้น
แปรปรวน ใน ท่ามกลาง
ดับสลาย ใน ที่สุด
Everything
was brought into an existence at the beginning,
changes as time goes by
and eventually, reaches its end.
010
๐๑๐
มาจากดิน..กลับคืนสู่ดิน
มาจากน�้ำ..กลับคืนสู่น�้ำ
ยืมธรรมชาติมาใช้
ถึงเวลา..ก็ต้องคืนธรรมชาติไป
“ ป ล่ อ ย ว า ง ”
011
๐๑๑
น้อมพิจารณาลงที่ภายในกายเรา
. . เมื่อเห็น อ นิ จ จั ง ชัด . .
อ นั ต ต า ย่อมแจ่มแจ้งเอง
สิ้นหลง . . สิ้นยึด . . สิ้นสมมติ . . พ้นทุกข์
012
๐๑๒
“ สติ ” เป็นเขื่อนกั้น
ไม่ให้ฟุ้งซ่านไปในกิเลส
“ ใจ ” จึงสงบ
เกิด “ ปัญญา ” เห็นว่าทุก ๆ สิ่ง . . มันเป็นสังขาร
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ตัวตนของเรา . . “ ไม่มี ”
013
๐๑๓
อวิชชา คือ ความไม่รู้
ไม่รู้ต้น ไม่รู้กลาง ไม่รู้ปลาย
ไม่รู้ว่าปัจจุบันเราเป็นใคร มาจากไหน แล้วจะไปไหน
หลงยึดถือว่า . . มีตัวเรา เป็นตัวเป็นตนในความรู้สึก
เมื่อพิจารณาจนสิ้นความหลงว่า มีเรา ตัวเรา ของเรา
ก็ สิ้นอวิชชา
Ignorance is Unawareness.
Unaware of the beginning, in between, and the end
Unaware of the one's identity, origin, and destination
Deceived into believing that oneself truly exists.
By understanding that one came from nothingness
and let go of the premise belief,
One can be liberated from Ignorance (Avidya).
014
๐๑๔
จิต .... ใจ
๐๑๕
The Thought and the Mind
The Thought is the shadow or expression of the Mind.
The Thought has movement,
but the Mind is motionless
The Thought can be designed,
but the Mind cannot
The Thought is Sankhara (has existence),
but the Mind is Visankhara (Non-self).
The Thought exist,
but Mind is null.
The Thought is like a bird,
while Mind is like the sky.
The Thought is like a fish,
while the Mind is like a river.
Both naturally exist and are free from one another.
A bird cannot become the sky, nor can a fish become a river.
They coexist and are dependent of each other.
015
นก กับ ฟ้า
นกบินไปในท้องฟ้า
คือ ความเคลื่อนไหวที่มีในความไม่เคลื่อนไหว
นก .. ไม่อาจทิ้งร่องรอยไว้ในท้องฟ้าฉันใด
“ สังขาร ” ความเคลื่อนไหว
ก็ย่อมไม่ทิ้งร่องรอยไว้ในใจ
หรือ “ วิสังขาร ” ฉันนั้น
๐๑๖
“The Bird
and the Sky”
016
“ สั ง ข า ร ” และ “ วิ สั ง ข า ร ”
เป็นธรรมชาติที่ ไม่เคยมีเรา
017
๐๑๗
เอา สังขาร ไปเป็น วิสังขาร
มันมีแต่ " สังขาร " กับ " สังขาร "
018
๐๑๘
มีเพียง ปัจจุบันขณะ
เราไม่มีหน้าที่อะไรใด ๆ กับผล
มีเพียงหน้าที่
ในการท�ำเหตุปัจจัยให้ดี...เท่านั้น
019
๐๑๙
คนจะล่วงทุกข์ได้
เพราะ
ค ว า ม เ พี ย ร
Only through grit and perseverance, shall one end all suffering
020
๐๒๐
การปฏิบัติ ... ไม่ได้ไปท�ำให้อัตตาเป็นอนัตตา
แต่ให้เห็นว่า ... ความรู้สึกเป็นอัตตา นั้นคือ อนัตตา
021
๐๒๑
ขันธ์ห้าไม่ใช่อวิชชา ไม่ใช่นิพพาน
ไม่ต้องไปยุ่ง หรือ ดับมัน
ปล่อยให้ขันธ์ห้า เป็นอย่างที่มันเป็น
หรือ ปล่อยวาง
จึงเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ
022
๐๒๒
สังขาร ไหลไป
ใจได้แต่ รู้
023
๐๒๓
เมื่อมี...ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นในใจ
ไม่ต้องท�ำอะไร...แค่มีความรู้สึกตัวขึ้นมา
ไม่หลงจมไปใน ราคะ โทสะ โมหะ
สติ ปัญญา จะค่อย ๆ เกิด
เมื่อเห็นความจริงว่า
สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในใจย่อมดับไปเป็นธรรมดา
ให้จิตเรียนรู้และเห็นโทษเอง
ก็จะหลุดพ้นเอง
024
๐๒๔
เห็น “ ไอ้บ้า ” ในตัวเราไหม...ที่มันพูดไม่หยุดน่ะ
ปฏิบัติเพื่อให้เห็น “ ไอ้บ้า ” นี่แหละ
025
๐๒๕
รับรู้ทุก “ ประตู ”
ตา หู
จมูก ลิ้น
กาย ใจ
ด้วย “ ใจ ” ที่เป็นกลาง
Know through the 6 senses
through the eyes, ears, nose, tongue, body and mind
without prejudice.
026
๐๒๖
จงอยู่กับ “ รู้ ” ... อย่าอยู่กับ “ คิด ”
Just know
Do not fall, trapped in the thoughts.
027
๐๒๗
“ รู้ ” เองจากใจว่า . .
ความรู้สึก นึกคิด อารมณ์ ล้วนเป็นเพียง “ สังขาร ”
เป็นคลื่น wave vibration ที่เกิดเอง ดับเอง
เกิดเอง ดับเอง ตลอดเวลา
ไม่มีตัวตน ตัวเรา ของเรา จริง ๆ
028
๐๒๘
รู้อยู่ เห็นอยู่ ทุกขณะปัจจุบัน
ไม่มีใครยึดถือ
ก็...พ้ น ทุ ก ข์
Cessation of Suffering
is to know and see at every present moment without attachment.
029
๐๒๙
รู้แท้ ๆ คือ “ ฮู้ ซือ ซือ ”
รู้ แบบ ตรงไปตรงมา
สุขก็รู้ .. ทุกข์ก็รู้
เลือกไม่ได้
สักแต่ว่า “ รู้ ” ก็พอแล้ว
030
๐๓๐
“ รู้ ” แบบไม่มีตัวเรา ไปเป็นผู้รู้
ก็ . . ไม่มีผู้ยึด
พ้นทุกข์ (นิพพาน)
031
๐๓๑
ไม่ต้องไปอยากได้ “ รู้ ที่ ไม่ คิด ”
เพราะถ้าแค่รู้ ก็ไม่ได้คิดแล้ว
032
๐๓๒
ให้รู้ความคิด
แต่อย่าติดความคิดไป
Be aware of thoughts.
But do not cling on to them.
033
๐๓๓
รู้ไม่เกิด รู้ไม่ดับ
รู้ไม่จาง รู้ไม่หาย
รู้ .. ไม่ยึด
ไม่ยึด .. รู้
“ ธาตุรู้ ” ตามธรรมชาติ
ไม่มีตัวตน
034
๐๓๔
อยู่กับ..รู้
รู้ว่า “ ไม่มีอะไรที่ยึดได้ ”
ทั้ง สังขาร และ วิสังขาร
Mind
knows that there is nothing that can be held on to,
Neither Sankhara (Formation) or Visankhara (Nothingness).
035
๐๓๕
อย่าทิ้ง “ รู้ ”
แต่
ไม่ยึด “ รู้ ”
036
๐๓๖
“ รู้ ” ทุกอาการ
ทุก ๆ อาการ ไม่ใช่ รู้
037
๐๓๗
“ รู้ ” สังขาร
ไม่หลงไปเป็นมัน
และไม่ไปไล่ดับมัน
038
๐๓๘
อย่า “ ไ ห ล ” ไปกับสังขาร
อย่า “ ห นี ” ออกจากมัน
อย่า “ ห ยุ ด ” นิ่งเฉย ไม่รับรู้มัน
แต่จงรับรู้ความจริง ตามความเป็นจริง
กระทั่ง “ รู้ ” ออกมาจากใจ ว่า
ทุกสรรพสิ่งล้วน “ ว่ า ง เ ป ล่ า ”
ไม่มีสาระแก่นสาร ให้ยึดมั่นถือมั่น
039
๐๓๙
ถ้าอยากหยุด มันไม่หยุด
ต้องหยุดอยาก จึงจะหยุด
040
๐๔๐
อยู่กับปัจจุบัน
รู้ในปัจจุบัน
รู้ว่าไม่มีอะไรยึดถือได้
รู้ว่าไม่มีอะไร ที่เป็น “ ตัวเรา ” “ ของเรา ”
041
๐๔๑
พ้น จาก ทุกข์
เพราะ
“รู้” เรื่อง “รู้” เหตุ แห่งทุกข์
042
๐๔๒
กิเลส เป็นเพียงของจรมา
เปรียบดั่งขณะจิตที่หลงยึดถือ
เหมือนเมฆมาบังพระอาทิตย์
หากไม่หลงยึดถือสิ่งใด
ไม่ว่าสุขทุกข์ ดีชั่ว
ก็เป็นเพียงธรรมชาติ
ที่ผ่านมาแล้วผ่านไปของเขาเอง
เหมือนกับนกบินผ่านท้องฟ้า
ย่อมไม่ทิ้งร่องรอย
๐๔๓
Defilement (Kilesa)
is merely a visitor.
043
สังขารปัจจุบันขณะ เปรียบดั่งสายน�้ำที่ไหลผ่าน
ไหลเข้ามา...แล้วก็ ไหลออกไป
ไม่มีอะไร ที่เข้ามาแล้ว...ไม่ผ่านไป
ทุกสิ่งล้วน มาและไป...เป็นธรรมชาติ ธรรมดา
044
๐๔๔
อารมณ์ต่าง ๆ .. ที่มันเกิด
ทั้งหงุดหงิด น้อยใจ ดีใจ เสียใจ
ไม่ต้องพยายาม ลบอะไรออกไป
ยิ่งลบ...ยิ่งเห็นร่องรอย
เพราะมันมี “ ตั ว เ ร า ” เข้าไปจัดการ
เพียงแค่ไม่ยึด และ ไม่ผลักไส ในสิ่งต่าง ๆ
สักแต่ว่า | รู้ |
045
๐๔๕
การปฏิบัติ ไม่ใช่คิดว่า ... ตัวเราไม่มี
แต่ “ รู้ ” ว่า ... ไม่มีตัวเรา
046
๐๔๖
จะมีสภาวะใด
ดี .. ไม่ดี .. ชอบ .. ไม่ชอบ
ก็ปล่อยให้มันเป็นอย่างที่เป็น
ปล่อยวางที่ใจ
ไม่ใช่เอาใจไปปล่อยวาง
047
๐๔๗
ธรรมชาติ นั้นเกื้อกูลกัน แต่ไม่ยึดถือกัน
ถ้าหากไร้เสียซึ่ง ดิน น�้ำ แสงแดด และอากาศ
ทุกชีวิตก็ไม่อาจอยู่ได้
ถ้าหากเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
เพราะไม่ยึดว่ามีตัวเรา ของเรา
ก็จะพ้นจากทุกข์โดยถาวร
048
๐๔๘
ธรรมะท่ามกลางธรรมชาติ
ความเกิดดับ เกิดดับ ในความไม่เกิดดับ
หรือความเคลื่อนไหว เคลื่อนไหว ในความไม่เคลื่อนไหว
สิ่งใดเคลื่อนไหว เกิดดับเปลี่ยนแปลง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดไม่อาจเคลื่อนไหว ไม่เกิดดับ ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เป็นทุกข์
สมดั่งค�ำตรัสของพระพุทธองค์ว่า
“ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
นอกจากทุกข์แล้ว
ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไม่มีอะไรตั้งอยู่
ไม่มีอะไรดับไป”
Dhamma
within Nature
049
๐๔๙
น�้ำ ไหล นิ่ง
ผู้ใดเห็นความสงบในความเคลื่อนไหว
เห็นความว่างในความมี
ใจจะสุขสงบนิรันดร์
นั ต ถิ สั น ติ ป ะ รั ง สุ ขั ง
“ สุขใดเหนือกว่าใจที่สงบ เป็นไม่มี ”
050
๐๕๐
ยอมรับทุกสิ่งตามที่มันเป็น
ไม่ว่าจะ ดี หรือ ไม่
ทุกสิ่งล้วนแต่ เกิดขึ้น และ ดับไป
ไม่มีอะไรที่จะเหลือให้ยึดมั่นถือมั่น
051
๐๕๑
อดีต ปัจจุบัน อนาคต จบไป
เพราะ ปล่อยวาง ที่ใจ
ใน ปัจจุบัน
052
๐๕๒
ไม่มี ผู้ยึดถือ
ไม่มี ผู้ทุกข์
053
๐๕๓
ใจ ไร้ตัวใจ
ไม่มีใคร ไปยึดอะไรไว้
ปล่อยวางหมด จบที่ใจ
054
๐๕๔
ที่สุดของปัญญา
คือ
ก า ร ป ล่ อ ย ว า ง
055
๐๕๕
ปล่อยให้ทุกอย่าง..เป็นอย่างที่มันเป็น
คือ
ป ล่ อ ย ว า ง
056
๐๕๖
ป ล่ อ ย ว า ง
คือ
ปล่อยวาง สิ่งที่รู้ ที่เห็น ที่เป็น ทุกขณะปัจจุบัน
ไม่ใช่ปล่อยวาง “ สติ ปัญญา ” เลยไม่รู้เห็นอะไรเลย
057
๐๕๗
ไม่ใช่เอาตัวเราไปปล่อยวาง
เเต่ .. ปล่อยวางตัวเรา
ปล่อยวางที่ใจ .. พ้นทุกข์
058
๐๕๘
อย่าทิ้ง สติ
ทั้งรู้ ทั้งเห็น
จนกว่า..เป็นธรรมจริงที่ใจ
059
๐๕๙
พบผู้รู้
ปล่อยวางผู้รู้
แ ค่ รู้
ไม่มี...ผู้รู้
060
๐๖๐
ไม่ว่ามีสภาวะอัศจรรย์แค่ไหน
ก็เป็นแค่ สังขาร
ถ้ายึดไว้ก็เป็นทุกข์
“วาง”
061
๐๖๑
มีที่หมาย ก็มีที่ไป
เวียนวนเกิดตาย ไม่จบสิ้น
วางที่หมาย หมดที่ไป จบที่ใจ...ปล่อยวาง
062
๐๖๒
ไ ม่ ดู ด ไ ม่ ผ ลั ก
รู้ทุกอย่าง แต่ไม่ยึดสักอย่าง
จึงพ้นทุกข์
063
๐๖๓
อิสระจากความยึดถือ
เพียง “ รู้ ” และ
“ ปล่อยวาง ”
064
๐๖๔
อาศัยสติปัญญา
เพื่อปล่อยวางตัวเรา
ปล่อยวางแม้กระทั่ง ... ตัวเราผู้ปล่อยวาง
065
๐๖๕
เมื่อ ปล่อยวาง “ความปรุงแต่ง”
และไม่โหยหา “ความไม่ปรุงแต่ง”
ก็ สิ้นยึด ทั้งสังขารและวิสังขาร
จึงพบ ใจที่เป็นพุทธะ
ใจที่ รู้จริง รู้แจ้ง รู้พ้น สิ้นอวิชชา กิเลสตัณหา
066
๐๖๖
สิ้ น ยึ ด ... พ้ น ทุ ก ข์
067
๐๖๗
ใจสงบ
ก็ พบ ธ ร ร ม
068
๐๖๘
เมื่อใจถึงธรรม...เมื่อธรรมถึงใจ
ทุกสรรพสิ่ง ล้วนเป็น ธ ร ร ม
069
๐๖๙
ธ ร ร ม ทั้งหลาย ... มีเพียงปัจจุบัน
070
๐๗๐
ชีวิตจิตใจมีอยู่ตามปกติ
สุขทุกข์ ผ่องใส เศร้าหมอง มีอยู่ปกติ
แต่ผู้ยึดมั่นถือมั่น “ ไม่มี ”
071
๐๗๑
เส้นทางนี้ .. ไม่มีผู้มา และ ไม่มีผู้ไป
สิ้นสุด .. เมื่อ “ หยุด ” เดินทาง
On this journey,
No one ever start it,
nor will travel to anywhere.
This journey ends,
only when one ends it.
072
๐๗๒
ต้องเดินทางจนถึงที่สุด
แต่จบด้วย “ หยุด ” การเดินทาง
จบที่ใจ หยุดที่ใจ
073
๐๗๓
นิพพาน คือ ไม่มีตัวเรา ของเรา
เพราะ รู้ว่า ตัวเราไม่มี
รู้ว่า ความมี เกิดจาก ความไม่มี
มันเกิดเองดับเอง
ธรรมชาติเป็นเช่นนี้
074
๐๗๔
ความไม่มี...ไม่ใช่ความว่าง
ความไม่มี…ไม่มีแม้แต่ “ ความว่าง ”
075
๐๗๕
“ สิ้นยึด ” .. ตัวตนก็ดับหายไป
“ ดั่งเปลวไฟที่สิ้นเชื้อ ”
076
๐๗๖
“ สิ้นผู้เสวย ” . . . แค่นั้น
077
๐๗๗
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
รวมลงอยู่ที่ “ ใจ ”
The Buddha, the dhamma, and the Noble Monk, all reside as one in
the Heart
078
๐๗๘
ที่สุดแห่งทุกข์
ไม่ใช่อยู่ตรงที่ .. เกิดดับ
แต่อยู่ตรงที่ .. ไม่เกิดดับ
079
๐๗๙
อกิริยาจิต
คือ
“ ที่สุดแห่งทุกข์ ”
พ้นจาก สังขาร ทั้งปวง
Motionlessness
is the cessation of suffering
080
๐๘๐
เมื่อ สิ้นอวิชชา
ความเป็นตัวตน..ในความรู้สึก
จึง ดับไป
081
๐๘๑
ผู้ใด ดับสังขารปรุงแต่งได้สมบูรณ์
ผู้นั้น จะพบ ความสุขที่แท้จริง
082
๐๘๒
ร่ม..กางออก มิได้ท�ำให้ฝนหยุดตก
แต่ กางออก เพื่อมิให้เปียกฝน
การปฏิบัติธรรม ก็มิได้ท�ำให้ทุกข์ไม่มี
แต่ ท�ำให้ ไม่มีผู้ใดไปทุกข์
083
๐๘๓
พระพุทธองค์ ทรงตรัสสอนว่า
สุดท้ายของการปฏิบัติธรรมนั้น “ ไม่ได้อะไรเลย ”
แต่ตถาคตสามารถบอกได้ถึง “ สิ่งที่หายไป ”
คือ กิเลส ตัณหา อวิชชา ได้สูญสิ้นไป
084
๐๘๔
เมื่อความปรารถนาความสุขหมดไป
ความทุกข์ก็ดับลงพร้อม
085
๐๘๕
ธรรมทั้งปวง รวมลงตรงความ สิ้นยึด
086
๐๘๖
สิ้ น ยึ ด
ก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
087
๐๘๗
เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด
เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้จึงดับ
เพราะไม่มีสิ่งใดเกิด จึงไม่มีสิ่งใดดับ
ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นเช่นนั้นเอง
รู้ตามธรรมชาติ...อยู่อย่างนี้
“ ที่สุดแล้วมันไม่มีอะไร ”
088
๐๘๘
“ จบลงที่ใจ ” ในปัจจุบัน
วาง...ทุกอย่าง
ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต
แม้ปัจจุบันก็ไม่รักษาไว้
“ สิ้นผู้เสวย สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น ”
กลายเป็นใจที่สงบ...ว่างเปล่า
มีแต่...ความสงบร่มเย็น
089
๐๘๙
ไม่มีอะไรให้ยึดถือ
ไม่มีอะไรให้ปล่อยวาง
ไม่มีใครจะไปได้ ไปมี ไปเป็นอะไร
ไม่มีตัวตนของผู้ที่จะพ้นทุกข์
090
๐๙๐
ทุกข์นั่นแหละมีอยู่
แต่ผู้ทุกข์หามีไม่
การกระท�ำมีอยู่
แต่ผู้ท�ำไม่มี
นิพพานมีอยู่
แต่คนผู้นิพพานไม่มี
ทางก็มีอยู่
แต่ผู้เดินทางไม่มี
๐๙๑
Pain and suffering exists,
but the one who suffers does not.
Actions exist,
but the one who acts does not.
Nirvana exists,
but the one who has attained nirvana
does not.
091
ที่สุด..ไม่มีที่สุด
ไม่มีที่หมาย ไม่มีที่ไป
มันไม่มีอะไร..จะไปเป็นอะไร
เพราะมัน....“ ไม่มี ”
092
๐๙๒
สูงสุด คือ จุดเริ่มต้น
คือ ความ “ ไม่มี ” อะไร
093
๐๙๓
ไม่มีตัวเรา มาแต่แรก
ใยต้อง “ ปล่อยวาง ” ตัวเรา
094
๐๙๔
มาจากความว่างเปล่า
กลับคืนสู่ความว่างเปล่า
095
๐๙๕
ใช้ชีวิตอย่างสมมติ
แต่ใจเป็น วิ มุ ต ติ
096
๐๙๖
ไม่มีตัวเรา ไป นิพพาน
เพราะ นิพพาน คือ สิ้นตัวเรา
097
๐๙๗
ไม่มีเรา…เท่านั้น
จบ
098
๐๙๘
ไม่มี “ ตัว ” ไปรับ
เห็นจีวรที่ตากอยู่ตรงนั้นไหม ?
ประเดี๋ยวก็สงบ ประเดี๋ยวก็ปลิว
เขากระเพื่อม ตามแรงลม
พิจารณาให้ดี
ถ้าไม่มี จีวร
ลม แม้พัดแรงเท่าใด
จะมีสิ่งใดปลิว
099
๐๙๙
สิ้นโลก เหลือธรรม (ใจว่าง)
สิ้นยึดทั้งโลกทั้งธรรม...“ นิพพาน ”
100
๑๐๐
ในนั้น
ไม่มีโลก ไม่มีธรรม
ไม่มีสมมติ ไม่มีวิมุตติ
ไม่มีอะไรเลยที่ยึดได้
เปล่าเปล่า
... บริสุทธิ์ ...
There,
Has no world or dhamma,
Has no condition or liberation.
There is nothing to be held on to.
Just purely, nothing
101
๑๐๑
ที่สุด..ของการปฏิบัติธรรม
ไม่มีผู้ถึงอะไร
ไม่มีผู้ได้อะไร
ไม่มีผู้เป็นอะไร
ไม่มีที่หมาย ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต
ไม่มีผู้หยุดอยู่ในปัจจุบัน
102
๑๐๒
ความเกิดดับ เกิดดับ ในความไม่เกิดดับ
ปล่อยวาง..ทั้งความ “ เกิดดับ ” และความ “ ไม่เกิดดับ ”
พ้นทุกข์
103
๑๐๓
จิ ต เป็น ก ล า ง
วาง ใ จ เป็น ๑
“ เ อ ก ะ ธั ม โ ม ”
All Thoughts and Feeling exist but do not affect the mind.
When one lets go of the mind, everything will become one with nature.
E-KA-THAM-MO, The one and only Dhamma
104
๑๐๔
ห ยุ ด ทํ า
ครั้งหนึ่ง ..
หลวงตา ได้มีโอกาสจาริกไปกราบเยี่ยมพระเถระรูปหนึ่งบนเขาสูง
พระเถระ เมตตาต้อนรับด้วยความอบอุ่น
พร้อมทั้งสนทนาธรรมอย่างเป็นกันเอง
มีช่วงหนึ่ง พระเถระได้ปรารภขึ้นว่า ..
“ เราเพียร ท�ำทุก ๆ สิ่งทุก ๆ อย่างมาหมดแล้ว ”
“ แต่ไม่เห็นแม้เงาพระนิพพาน ”
หลวงตานิ่งส�ำรวมสักครู่ แล้วกล่าวขึ้นว่า
“ กราบขอโอกาสครับ ”
“ ยังมี สิ่งสิ่งหนึ่ง ”
“ ที่หลวงปู่ ยังมิได้ท�ำ ”
“ สิ่งนั้น . . . คือ ”
“ ห ยุ ด ทํ า ”
๑๐๕
Stop Doing
105
รู้ แ ท้ .. ไม่ปรากฏร่องรอย
ในวันหนึ่ง . . .
หลวงตา พิจารณาโดยแยบคาย เห็นว่า เป็นโอกาสอันเหมาะสม
ที่จะกราบเรียน ถวายแก้ข้อติดขัดแห่งการปฏิบัติอันละเอียดลึกซึ้ง
แด่พระสุปฏิปันโนพรรษาสูงรูปหนึ่ง ที่มีความสนิทคุ้นเคย
เมื่อพบกัน
หลวงตาได้ให้ศิษย์ ทั้งพระทั้งโยม ออกไปจากห้อง เพื่อสนทนาธรรมโดยล�ำพัง
“ หลวงพ่ออยู่กับรู้ที่ไม่คิดตลอดเวลา ”
“ กราบขอโอกาสครับหลวงพ่อ ”
“ หลวงพ่อยึด รู้ ”
“ แม้เป็น รู้ .. ที่ไม่คิด ”
“ แต่ !!! ก็ยังเป็น รู้ ที่ยังคงติดอยู่ ให้ปรากฏร่องรอย ”
๑๐๖
เมื่อได้ฟังดังนี้ . . .
. . ฉับพลัน! เกิด ธ ร ร ม กระแทกใจ
โลกธาตุสะเทือนสนั่นภายใน
อย่างที่ไม่เคยมาก่อน . .
เ ข้ า ใ จ . . ถึง “ ใ จ ”
ดาบแห่งธรรม คมกริบ ..
เพียงดาบเดียว .. บ่หลาย
. . เพียงพอ ส�ำหรับผู้มีธรรม
ที่เปี่ยมด้วยปัญญา และ ปราศจากมานะทิฏฐิ
๑๐๖
The Pure Mind (Buddha)
has no remains
One day, Luangta felt that it was time for the senior noble
monk, who Luangta is familiar with, to receive the practical
guidance.
Luangta stated, �With all due respect, you are being attached
to pure mind. Although your pure mind seems not to be
thinking anymore; however, the mind still traceable.”
106
Luang Pu Dune Atulo also taught, “Find the pure mind, then
destroy it.”
The Dhamma that Luangta told him had shaken the noble
monk’s world like never before. The noble monk had finally
truly comprehended. Peace of mind then blossomed, thus,
leaving him speechless.
106
ป ล่ อ ย ว า ง . . ผู้ปล่อยวาง
จริยวัตรอันงดงามประการหนึ่ง ที่องค์หลวงตาน้อมท�ำอยู่เสมอ
คือการจาริกไปกราบเยี่ยมพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เคารพคุ้นเคย
ณ วัดถ�้ำบนเขาแห่งหนึ่ง อันสัปปายะ
การสนทนาที่เปี่ยมด้วยอรรถรสทางธรรม ด�ำเนินไปอย่างสนิทอบอุ่น . .
. . . จนมาตอนท้าย หลวงปู่ เมตตายื่นมือมาให้หลวงตาจับ พร้อมเอ่ยขึ้นว่า
“ หลวงตา ดู ซิ ว่า ” . .
“ เรา .. ปล่อยวางหมดแล้ว ! ”
“ ปล่อยวางหมดทุกอย่างเลย ! ! ! ”
“ ไม่มีอะไรแล้ว ที่ไม่ ปล่อยวาง ”
“ กราบขอโอกาสครับ หลวงปู่ ”
“ ยังครับ . . หลวงปู่ ”
“ หลวงปู่ . . ยังวางไม่หมด ครับ ”
“ หลวงปู่ ยังไม่ได้ . . ปล่อยวาง . .ผู้ ป ล่ อ ย ว า ง . . ”
๑๐๗
สิ้นประโยคนี้ . . .
หลวงปู่ นิ่งตะลึงครู่ใหญ่ . .
. . แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าออกไปไกล
คล้ายดั่งทุกสรรพสิ่ง ล้วนถูก “ปล่อยวาง” จนหมดสิ้น
. . “ เรา ปล่อยวางหมดทุกอย่างแล้ว ”
. . “ เสร็จแล้ววันหนึ่ง มีคนมาบอกเราว่า ”
. . “ เรายังไม่ได้ปล่อยวาง .. ผู้ ป ล่ อ ย ว า ง ”
. . “ ขี้ผงเข้าตาตัวเอง .. เขี่ยไม่ออก ”
. . . องค์หลวงปู่ ร�ำพึงขึ้นกับสายลม
โ ล ก ธ า ตุ . . เ งี ย บ ส ง บ ส งั ด
..ไม่มีค�ำพูดใด ๆ ออกจากใจของท่านอีก..
. . . แม้แต่ผู้ปล่อยวางยังไม่เหลือ
แล้วจะเหลืออะไรให้พูดอีกเล่า . . .
๑๐๗
Let go of the one who let go
Then Luangta kindly replied, “No, not yet. You still did not
let go of the one who let go.”
107
The monk shifted his gaze towards the sky and uttered,
“I always thought that I have already let go of everything,
then, someone told me that I did not let go of the one
who let go.”
If there is nothing left, even the one who let go, then,
to say anymore than that would be unnecessary.
107
ดิ้นรนค้นหา เหมือนคนบ้า
สัจธรรม ย่อมไม่ดิ้นรน
ห ยุ ด ดิ้ น ร น
จึง พบ ธ ร ร ม
Like a madman,
seeking desperately and relentlessly
will not allow dhamma to blossom.
Only when there is peace
is when one will find dhamma.
108
๑๐๘
ชื่อหนังสือ
๑๐๘ ข้อธรรม ขีณาลโย
ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์
พระณัฐ เขมปญฺโญ
มยุรี เนียมนัด
บรรณาธิการ
จิรัฏฐ์ จารุทัศน์
ฝ่ายศิลป์
ชนวีร์ จารุทัศน์
กองบรรณาธิการ
รวิณท์มาด โรจนอนันต์
ณิชมาศ โรจนอนันต์
ทีมแปล
จิรัฏฐ์ จารุทัศน์
ศิริวรรณ ธนวณิชย์วรชัย
ฐปนี ปิ่นทอง
อัทธ์ เหว่ยเหย้า อัง
ณัฐิดา ร่องวารี
สุรเชษฐ์ เหลืองสอาด
พัชรี โรจนอนันต์
สุเมธ โรจนอนันต์
พิสูจน์อักษร
ปรางทิพย์ ปางพุฒิพงษ์
อภิวุฒิ จารุทัศน์
ผู้จัดพิมพ์
สุเมธ โรจนอนันต์
เลขมาตรฐานหนังสือ (ISBN): 978-616-568-969-4
พิมพ์ครั้งที่ ๑: สิงหาคม ๒๕๖๓ จ�ำนวนพิมพ์ ๒,๐๐๐ เล่ม
พิมพ์ที่ บริษัท ศิลป์สยามบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ จ�ำกัด
โทรศัพท์ ๐๒๔๔๔-๓๓๕๑-๒ e-mail: silpasiamprinting@hotmail.com