Professional Documents
Culture Documents
พันธะ
พันธะ
แรงยึดเหนี่ยวอนุภาคของสาร
แรงยึดเหนี่ยวภายในโมเลกุล
พันธะโคเวเลนต์ , พันธะไอออนิก, พันธะโลหะ
แรงยึดเหนี่ยวทางเคมี
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล
แรงแวนเดอร์วาลส์ , พันธะไฮโดรเจน
แรงดึงดูดระหว่างขั้ว
พันธะเคมีภายในอะตอม
พันธะไอออนิก (Ionic bond)
พันธะโควาเลนต์ (Covalent bond)
พันธะโลหะ (Metal bond)
พันธะไอออนิก (Ionic bond) : เป็นพันธะที่เกิดจากแรงกระทา
ระหว่างอะตอม 2 อะตอมที่มีประจุต่างกัน โดยจะเกิดการแลกเปลี่ยน
อิเล็กตรอนเกิดขึ้น ทาให้เกิดแรงดึงดูดทางไฟฟ้าสถิตระหว่างประจุที่
ต่างกัน โดย
atom ที่ สูญเสีย e- จะกลายเป็น อิออนบวก (Cation)
atom ที่ รับ e- จะกลายเป็น อิออนลบ (Anion)
3
Properties of Molecules
5
พันธะโคเวเลนต์
พันธะโคเวเลนต์ (Covalent bond) หมายถึง
พันธะที่ใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนร่วมกัน
การเกิดพันธะโคเวเลนต์
นิวเคลียสของอะตอมทั้งสองจะต้องเข้ามาอยู่ใกล้กันในระยะที่
เหมาะสม เพื่อทาให้แรงดึงดูดทั้งหมดของระบบเท่ากับแรงผลัก
ทาให้อยู่ในภาวะสมดุลกัน รวมทั้งมีการใช้อิเล็กตรอนร่วมกันเกิดเป็นโมเลกุล
เรียกว่า เกิดพันธะโคเวเลนต์
ธาตุที่จะเกิดพันธะโคเวเลนต์
ส่วนมากเป็นธาตุอโลหะกับอโลหะ , อโลหะกับกึ่งโลหะ
เนื่องจากธาตุอโลหะมีพลังงานไอออไนเซชันค่อนข้างสูง
จึงเสียอิเล็กตรอนได้ยาก
ใช้อิเล็กตรอนร่วมกันเกิดเป็นพันธะโคเวเลนต์
แรงยึดเหนีย่ วระหว่าง อะตอม
• แรงดึงดูด
• แรงผลัก
Hydrogen bonding
กฎ ออกเตต
Noble N oble gas
In 1916, Gilbert N. Lewis pointed gas notation
out that the lack of chemical reactivity He 1s2
of the noble gases indicates a high Ne [He]2s 2 2p 6
degree of stability of their electron Ar [N e]3s 2 3p6
Configurations Kr [A r]4s 2 4p6
Xe [Kr]5s 2 5p6
ให้เขียนไว้ระหว่างสัญลักษณ์ของอะตอมคู่ร่วมพันธะ
ชนิดของพันธะโคเวเลนต์
พิจารณาจากจานวนอิเล็กตรอนที่ใช้ร่วมกันของอะตอมคู่ร่วมพันธะ ดังนี้
ก. พันธะเดี่ยว
เกิดจากอะตอมคู่สร้างพันธะทั้งสอง ใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 1 คู่
ใช้เส้น 1 เส้น ( ) แทนพันธะเดี่ยว เช่น
Cl Cl
H N H
H
ชนิดของพันธะโคเวเลนต์
พันธะเดี่ยว(Single bond)
ข. พันธะคู่
เกิดจากอะตอมคู่สร้างพันธะทั้งสอง ใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 2 คู่
ใช้เส้น 2 เส้น ( ) แทนพันธะคู่ เช่น
O O
O C O
H C C H
H H
ชนิดของพันธะโคเวเลนต์
พันธะคู(่ Double bond)
ค. พันธะสาม
เกิดจากอะตอมคู่สร้างพันธะทั้งสอง ใช้อิเล็กตรอนร่วมกัน 3 คู่
ใช้เส้น 3 เส้น ( ) แทนพันธะสาม เช่น
N N
H C N
ชนิดของพันธะโคเวเลนต์
พันธะสาม(Triple bond)
ข้อยกเว้นสาหรับกฎออกเตต
โมเลกุลโคเวเลนต์จะมีการจัดเรียงอิเล็กตรอนเป็นไปตามกฎออกเตต
ซึ่งทาให้สารประกอบอยู่ในสภาพที่เสถียร แต่อย่างไรก็ตามพบว่า
สารประกอบบางชนิด มีการจัดเรียงอิเล็กตรอนไม่เป็นไปตามกฎออกเตต
จัดเป็นข้อยกเว้นสาหรับกฎออกเตต
ก. พวกที่ไม่ครบออกเตต
ได้แก่ สารประกอบของธาตุในคาบที่ 2 ของตารางธาตุ
ที่มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนน้อยกว่า 4 เช่น Be B
ตัวอย่าง BeCl2 BeF2 BF3 BCl3
ข. พวกที่เกินออกเตต
ได้แก่ สารประกอบของธาตุที่อยู่ในคาบที่ 3 ของตารางธาตุเป็น
ต้นไป สามารถสร้างพันธะแล้วทาให้อิเล็กตรอนเกินแปด เช่น
PCl5 SF6 เป็นต้น
Cl Cl F
F F
P Cl S
Cl F F
Cl F
พันธะโคออดิเนตโคเวเลนต์
จะเป็นการใช้อิเล็กตรอนร่วมกันอีกแบบหนึ่ง
โดยทีอ่ ิเล็กตรอนคู่ร่วมพันธะทั้ง 2 ตัว
จะได้มาจากอะตอมคู่สร้างพันธะเพียงตัวเดียว
อีกอะตอมหนึ่งเพียงแต่เข้ามาใช้อิเล็กตรอนด้วย
เพื่อให้ครบออกเตตเท่านั้น
หลักการเขียนสูตรลิวอิสของสารประกอบโคเวเลนต์
• หาจานวนเวเลนต์อิเลคตรอนทั้งหมดของสารนัน้
• เขียนโครงสร้างสูตรโดยให้อะตอมที่มีค่า EN ต่าเป็นอะตอมกลาง
• คานวนหา non-bonding electron
• กระจาย non-bonding electron ทั้งหมดไปยังอะตอมที่อยู่
รอบอะตอมกลางให้ครบแปด ถ้าไม่ครบหรือเหลืออิเลคตรอนให้เปลี่ยน
พันธะเดี่ยวเป็นพันธะคู่
ประจุฟอร์มาล (Formal Charge)
FC = V – N – B/2
เรโซแนนซ์ (Resonance)
เรโซแนนซ์ คือ ปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถจะเขียนสูตรโครงสร้าง
แทนได้เพียงสูตรเดียวตามสมบัติที่เป็นจริง จึงเขียนอยู่ในรูปที่เรียกว่า
เรโซแนนซ์ หรือ เรโซแนนซ์ไฮบริด (Resonance hybrid)
โครงสร้างเรโซแนนซ์แบบใดเป็นไปได้มากสุด
• มีประจุฟอร์มาลต่าที่สุด
• อะตอมที่มีค่า EN สูงกว่า มักมีประจุฟอร์มาลเป็นลบ เนื่องจากมี
ความสามารถดึงอิเลคตรอนมากกว่า (แต่ไม่เสมอไป)
• อะตอมชนิดเดียวกันจะไม่มีประจุฟอร์มาลที่มีเครื่องหมายตรงข้าม
• เป็นไปตามกฎออกเตตมากที่สุด
เช่น CO2
• จงเขียนโครงสร้างเรโซแนนซ์ของสารต่อไปนี้
1. เบนซีน
2. โอโซน
การเขียนสูตรโมเลกุลของสารประกอบโคเวเลนต์
1. เรียงลาดับธาตุให้ถูกต้องตามหลักสากล ดังนี้คือ
Si , C , Sb , As , P , N , H , Te , Se , S , At , I , Br , Cl , O , F ตามลาดับ
2. ถ้าจานวนอะตอมของธาตุมากกว่าหนึ่ง ให้เขียนจานวนอะตอมด้วยตัวเลข
แสดงไว้มมุ ล่างขวา (อะตอมเดียว ไม่ต้องเขียน)
3. หลักการเขียนสูตรสารประกอบโคเวเลนต์ ใช้จานวนอิเล็กตรอนที่แต่ละ
อะตอมของธาตุที่ต้องการตามกฎออกเตตคูณไขว้
การเรียกชื่อสารประกอบโคเวเลนต์
1. อ่านชื่อธาตุข้างหน้าก่อน แล้วตามด้วยธาตุที่อยู่ข้างหลัง
เปลี่ยนพยางค์ท้ายเป็น - ide
2. ระบุจานวนอะตอมของธาตุด้วยตัวเลขในภาษากรีก
3. ถ้าธาตุแรกมีอะตอมเดียวไม่ต้องระบุจานวนอะตอม
แต่ธาตุข้างหลังต้องระบุจานวนอะตอมเสมอแม้มีเพียงอะตอมเดียว
พลังงานพันธะ
พลังงานพันธะ หมายถึง พลังงานปริมาณน้อยที่สุดทีใ่ ช้เพื่อสลายพันธะ
ระหว่างอะตอมภายในโมเลกุลที่อยู่ในสถานะแก๊ส
พลังงานพันธะ
Ex ให้คานวณหาค่าพลังงานความร้อนของปฏิกิริยา
CH4 + Cl2 CH3Cl + HCl
โดยกาหนดพลังงานดังนี้
D(C-H) = 416 kJ/mol D(Cl-Cl) = 243 kJ/mol
D(C-Cl) = 328 kJ/mol D(H-Cl) = 428 kJ/mol
วิธีทา
พลังงานที่ใช้สลายพันธะทั้งหมด = 4 D(C-H) + D(Cl-Cl)
= 4(416) + 243 = 1907 kJ
พลังงานที่เกิดจากการสร้างพันธะทั้งหมด = 3D(C-H) + D(C-Cl) + D(H-Cl)
= 3(416) + 326 + 428
= 2004 kJ
พลังงานความร้อนของปฏิกิริยา = 1907 - 2004 = - 97 kJ
ตอบ ปฏิกิริยานี้คายความร้อน 97 kJ/mol
ความยาวพันธะ
ความยาวพันธะ หมายถึง ระยะที่สั้นที่สดุ ระหว่างนิวเคลียสของ
ธาตุ 2 อะตอมที่สร้างพันธะกัน
ความยาวพันธะ
ไอโซเมอริซมึ ( Isomerism)
ปรากฏการณ์ที่สารประกอบอินทรีย์มีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่มีสมบัติ
แตกต่างกันเรียกว่า ไอโซเมอริซึม
และเรียกสารแต่ละชนิดว่า ไอโซเมอร์ (Isomer)
เส้นตรง (Linear)
รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์
ทรงสี่หน้า (Tetrahedral)
รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์
รูปตัวที (T-shaped)
รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์
ทรงแปดหน้า (Octahedral)
รูปร่างโมเลกุลโคเวเลนต์
# อิเล็กตรอนที่สร้างพหุพันธะครอบครองที่ว่างมากกว่า
อิเล็กตรอนที่สร้างพันธะเดี่ยว
ทฤษฎีพันธะเวเลนซ์
( Valence Bond Theory , VBT)
# พันธะโคเวเลนต์เกิดขึ้นโดยออร์บิทัลอะตอม (Atomic orbital : AO)
วงนอกสุดที่มีอิเล็กตรอนบรรจุอยู่เพียงตัวเดียวซ้อน (Overlap) กับ
ออร์บิทัลอะตอวงนอกสุดที่มีอิเล็กตรอนเพียงตัวเดียวของอีกอะตอมหนึ่ง
และอิเล็กตรอนทั้งสองจะจัดตัวให้มีสปินตรงกันข้ามอยู่ในออร์บิทัลนี้
ออร์บิทัลไฮบริไดเซชัน
( orbital hybridization)
# กล่าวว่า “เมื่ออะตอม 2 อะตอมเข้าใกล้กันอิทธิพลของนิวเคลียส
ของอะตอมทั้งสองจะทาให้พฤติกรรมของอิเล็กตรอนในแต่ละอะตอม
เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นออร์บิทัลของอะตอมที่เกิดพันธะจะแตกต่างไปจาก
ออร์บิทัลอะตอมในอะตอมเดี่ยวเวเลนซ์ออร์บิทัลที่มีพลังงานใกล้เคียงกัน
ของอะตอมเดียวกันจะเข้ามารวมกันเกิดเป็นออร์บิทัลอะตอมใหม่ ซึ่งมี
รูปร่าง ทิศทาง และพลังงานเปลี่ยนไปจากเดิม”
ออร์บิทัลไฮบริไดเซชัน
( orbital hybridization)
# ออร์บิทัลอะตอมที่เกิดขึ้นใหม่เรียกว่า ไฮบริดออร์บิทัลอะตอม
(Hybrid atomic orbital) หรือ ไฮบริดออร์บิทัล (Hybrid orbitals)
จานวนไฮบริดออร์บิทัลที่ได้นี้จะเท่ากับจานวนออร์บิทัลอะตอมที่มา
รวมกัน
Hybridization : sp3
Hybridization : sp3
Hybridization : sp3
Hybridization : sp3
Hybridization : sp2
Hybridization : sp
โมเลกุลทีม่ ีพันธะคู่ : sp2
โมเลกุลทีม่ ีพันธะคู่ : sp2
โมเลกุลทีม่ ีพันธะคู่ : sp2
โมเลกุลทีม่ ีพันธะสาม : sp
โมเลกุลทีม่ ีพันธะสาม : sp
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์
แรงแวนเดอวาลส์
•Dispersion forces หรือ London forces
•Dipole-Dipole forces
•Dipole-induced dipole force
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์
•Dispersion forces หรือ London forces
พิจารณา
-โมเลกุลไม่มีขั้ว
-โมเลกุลมีขั้วกับ
ไม่มีขั้ว
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์
พันธะไฮโดรเจน
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลโคเวเลนต์
พันธะไฮโดรเจน
สารประกอบไฮโดรเจนกับธาตุหมู่ 4-7 แนวโน้ม bp. จะมากขึ้นตาม MW
Na + Cl
Na+ + Cl-
พันธะไอออนิก
• ตัวอย่างการเขียนสูตรสารประกอบไอออนิก
+
* Na กับ Cl - NaCl
* K + กับ Br- KBr
* NH4+ กับ Cl- NH4Cl
* Ba2+ กับ OH- Ba(OH)2
* CH3COO- กับ H+ CH3COOH
+
* NH4 กับ PO4 3-
(NH4)3PO4
พันธะไอออนิก
ไอออนบวกและไอออนลบของธาตุบางธาตุในตารางธาตุ
Li+ N3- O2- F-
H+
Na+ Mg2+ H- Al3+ P3- S2- Cl-
• MnO4-: permanganate
ลองทาแบบฝึกหัด
1. จงอ่านชื่อสารประกอบต่อไปนี้
ก. NaOH • โซเดียมไฮดรอกไซด์
ข. NH4Cl • แอมโมเนียมคลอไรด์
ค. CaCO3 • แคลเซียมคาร์บอเนต
ง. Al2O3 • อลูมิเนียมออกไซด์
จ. Pb(NO3)2 • เลด(II)ไนเตรท
ฉ. Fe2O3.2H2O • ไอร์ออน(III)ออกไซด์ไดไฮเดรต
โครงสร้างของสารประกอบไอออนิก
โครงสร้างของสารประกอบไอออนิก
NaCl
โครงสร้างของสารประกอบไอออนิก
Ca2+
F-
ทาแบบฝึกหัด หน้า 17
Ionic Bonds As
“Intermolecular” Forces
• There are no molecules in an ionic solid, and therefore
there can’t be any intermolecular forces.
• There are simply inter-ionic attractions.
• Lattice energy is a measure of the strength of inter-
ionic attraction.
• The attractive force between a pair of oppositely
charged ions increases as the charges on the ions
increase and as the ionic radii decrease. Lattice energies
increase accordingly.
Interionic Forces of Attraction
ทดสอบ
• NH4Cl มีพันธะใดบ้างในโมเลกุล ตาแหน่งใด
สมบัติของของสารประกอบไอออนิก
การละลายน้าของสารประกอบไอออนิก
ขั้น 1 E1
พลังงาน
ขั้น 2 E2
CuSO4(s)
พลังงานที่คายออกมา
Cu2+(aq) + SO42-(aq)
สภาพการละลาย บอกให้ทราบถึง
1. ความสามารถในการละลายของสารประกอบไอออนิกที่ไม่เท่ากัน
จึงเป็นคุณสมบัติเฉพาะของแต่ละสาร
2. สามารถกาหนด / บ่งชี้ได้ว่า การละลายจะเกิดตะกอนเมื่อไร
สรุป สภาพการละลายของสารประกอบไอออนิก
ละลายน้าได้ ( Soluble )
1. สารประกอบทุกชนิดของโลหะแอลคาไล ( หมู่ 1 )
2. สารประกอบแอมโมเนียม ( NH4+)
3. สารประกอบทุกชนิดของ NO3- , ClO3- , ClO4-
4. สารประกอบส่วนใหญ่ของ Cl- , Br- , I - ยกเว้นกับ Ag+ , Hg 22+ และ Pb2+
5. สารประกอบส่วนใหญ่ของ SO42 - ยกเว้น BaSO4 , HgSO4 , PbSO4
ไม่ละลายน้า ( Insoluble )
1. สารประกอบส่วนใหญ่ของ OH –
ยกเว้น OH – ของโลหะแอลคาไล และของ Ba(OH)2
ส่วน Ca(OH)2 ละลายได้เล็กน้อย
2. สารประกอบ CO32 - , PO43 - , S 2 –
ยกเว้น สารประกอบของโลหะแอลคาไล ( หมู่ 1 ) และ NH4+
ตัวอย่าง จงจาแนกสารประกอบไอออนิกต่อไปนี้ออกเป็นสารที่
ละลายได้ ละลายได้เล็กน้อย หรือไม่ละลาย
ก) Ag2SO4 ไม่ละลาย ง) CuS ไม่ละลาย
ข) CaCO3 ไม่ละลาย จ) Ca(OH)2 ละลายได้เล็กน้อย
ค) Na3PO4 ละลาย ฉ) ZnSO4 ละลาย
Electrical Conductance of Ionic Compounds
Fig. 9.9
• สมการไอออนิก
• 2AgNO3 (aq) + H2SO4 (aq) Ag2SO4 (s) + 2HNO3 (aq)
• สมการไอออนิกสุทธิ
Net ionic form ; 2Ag+(aq) + SO42-(aq) Ag2SO4 (s)
• ทาการทดลอง 2.2 การเกิดปฏิกิริยาของสารประกอบไอออนิก
การเขียนสมการไอออนิก
• หลักการเขียนสมการไอออนิก
1. ให้เขียนเฉพาะส่วนไอออนหรือโมเลกุลของสารทาปฏิกิรยิ ากันเท่านั้น
2. ถ้าสารทีเ่ กี่ยวข้องในปฏิกริ ิยาเป็นสารที่ไม่ละลายน้าหรือไม่แตกตัวเป็น
ไอออนหรือเป็นออกไซด์หรือเป็นก๊าซให้เขียนสูตรของสารนั้นในสมการ
ได้
3. ดุลสมการไอออนิกโดยทาจานวนอะตอมและจานวนไอออนของธาตุทุก
ธาตุ พร้อมทั้งดุลประจุทั้งซ้ายและขวาของสมการให้เท่ากัน
• 2AgNO3 (aq) + H2SO4 (aq) Ag2SO4 (s) + 2HNO3 (aq)
2Ag+(aq) + 2NO3- (aq) + 2H +(aq)+ SO42-(aq) Ag2SO4(s)+ 2H +(aq) + 2NO3- (aq)
3. การเกิดพันธะในโลหะแสดงได้ด้วยแบบจาลองทะเล
อิเล็กตรอน
พันธะโลหะ
พันธะโลหะ
สมบัติของโลหะ
1. โลหะนาความร้อนและนาไฟฟ้าได้ดี เนื่องจากเวเลนซ์
อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ไปมาได้ทั่วทั้งก้อนโลหะ
2. โลหะมีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง เนื่องจากเวเลนซ์
อิเล็กตรอนของอะตอมทั้งหมดยึดอะตอมไว้อย่างแข็งแรง
3. โลหะสามารถนามาตีให้แผ่ออกเป็นแผ่นและดึงเป็นเส้นได้
เนื่องจากมีกลุ่มเวเลนซ์อิเล็กตรอนช่วยยึดอนุภาคไว้
4. โลหะสะท้อนแสงได้ เนื่องจากการรับและปล่อยคลื่นแสง
จากกลุ่มเวเลนซ์อิเล็กตรอนที่เคลื่อนที่ได้โดยอิสระ