Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 78

วิ

ชา : Engineering Materials
เนื
อหาวิ
ชา : 238 : 01 Metals

ขอที
้ 1:
แร่
Bauxite ที
เป็
นวัตถุ
ดบ
ิในการถลุ
งอะลู
มเิ
นี
ยม มี
สารประกอบใดเป็
นสารประกอบหลัก

1 : Bayer
2: Al2O3
3: Al2(SO4)3
4: Na3AlF6
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 2:
เหล็
กหล่
อ หมายถึ
ง เหล็
กที
มี
ปริ
มาณของธาตุ
คาร์
บอนผสมอยู
ร่
ะหว่
างค่
าดังขอใด

1 : 0.022 ­ 6.7 % โดยนํ


าหนัก
2 : 1.2 ­ 6.7 % โดยนํ
าหนัก
3 : 2.0 ­ 4.3 % โดยนํ
าหนัก
4 : 2.0 ­ 6.7 % โดยนํ
าหนัก
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 3:
เหล็
กกลาคาร์
้ บอนปานกลาง มี
ปริ
มาณของธาตุ
คาร์
บอนผสมอยู
เ่
ป็
นปริ
มาณเท่
าใด

1 : 0.40 % โดยปริมาตร
2 : 0.40 % โดยนําหนัก
3 : 0.04 % โดยปริมาตร
4 : 0.04 % โดยนําหนัก
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 4:
เหล็
กกลาคาร์
้ บอนตํ
า มักนิ
ยมนํ ้ ตเป็
ามาใชผลิ นผลิ
ตภัณฑ์
ในขอใด

1 : ตัวถังรถยนต์
2 : ลู
กสู บ
3 : มี
ดกลึ ง
4 : ดอกสว่ าน
คํ
าตอบที ถู กตอง
้: 1

ขอที
้ 5:
เหล็
กกลาคาร์
้ บอนปานกลางมี
คา่
ความแข็
ง (Hardness) เป็
นอย่
างไร เที
ยบกับเหล็
กกลาคาร์
้ บอนสู
งภายใตเงื
้อนไขสภาวะการอบชุ
บเหมื
อนกัน

1 : นอยกว่
้ า
2 : มากกว่ า
3 : เท่
ากัน
4 : ไม่
สามารถระบุไดว่
้าเป็
นอย่
างไร
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 6:
ขอใดต่
้ อไปนี
ไม่
ใช่
วต
ั ถุ
ประสงค์
ของการเติ
มธาตุ
โครเมี
ยม (Cr) ในเหล็
กกลาผสมสู
้ ง (High alloy steels)

1 : ลดการผุ
กร่
อน
2 : เพิ
มความแข็
งแรง
3 : เพิ
มความเหนี
ยว ขึ
นรู
ปง่
าย
4 : เพิ
มความสามารถในการตานทานการคื
้ บ (Creep)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 7:
ในกระบวนการผลิ
ตเหล็
กหล่
อเหนี
ยว (Nodular cast iron) ธาตุ
ใดที
เติ
มลงไปเพื
อทํ
าใหแกรไฟต์
้ รวมตัวกันเป็
นอนุ
ภาคทรงกลม

1 : โครเมี
ยม
2 : ซี
เรี
ยม
3 : คาร์
บอน
4 : โคบอลต์
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 8:
ทองเหลื
อง (Brass) คื
อโลหะผสมของธาตุ
หลักธาตุ
ใด

1 : ทองแดง และเงิ

2 : ทองแดง และดีบก

3 : ทองแดง และตะกัว
4 : ทองแดง และสังกะสี
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 9:
โลหะผสมสู
งกลุ

่ซู
เปอร์
อล
ั ลอย (Superalloys) เช่
น Nickel­based superalloys มักนิ
ยมนํ ้
าไปใชงานใดในปั จจุ
บน

1 : ใบพัดในเครื
องกังหันก๊
าซในเครื
องบินไอพ่น
2 : อุ
ปกรณ์ ภายในเครื
องคอมพิ วเตอร์
เช่
น ฮาร์
ดดิ
สค์
3 : ลู
กสูบเครื
องยนต์
4 : มี
ดกลึง
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 10 :
โลหะใดไม่
ใช่
โลหะทนไฟ (Refractory Metal)

1 : ทังสเตน
2 : โมลิบดินัม
3 : แทนทาลัม
4 : เยอรมันเนียม
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 4

ขอที
้ 11 :
โลหะใดจัดเป็
นโลหะมี
สกุ
ล (Noble Metal)

1 : ทังสเตน
2 : แพลติ นัม
3 : ซิลก
ิอน
4 : เยอรมันเนียม
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 12 :
ขอใดคื
้ อลักษณะเด่
นของโลหะทัวไป

1 : เป็นฉนวนความรอนที
้ ดี
2 : เป็นตัวนําความรอนที
้ ดี
3 : เป็นตัวตานทานการกั
้ ดกร่
อนที
ดี
4 : มีความยื ดหยุน
่สู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 13 :
โลหะใดจัดเป็
นโลหะหนัก

1 : แมกนีเซียม
2 : อะลู
มเินี
ยม
3 : เบอริ
ลเลียม
4 : โมลิ
บดิ นัม
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 4

ขอที
้ 14 :
โลหะใดที
ไม่
ควรนํ
ามาเป็
นภาชนะบรรจุ
อาหาร

1 : อะลู
มเินี
ยม
2 : ตะกัว
3 : ดี
บก

4 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ม
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 15 :
โลหะใดไม่
เหมาะสมสํ
าหรับนํ
ามาทํ
าเป็
นกระทะเพื
อปรุ
งอาหาร

1 : อะลู
มเินี
ยม
2 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ม
3 : ทองแดง
4 : แมกนีเซียม
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 16 :
พิวเตอร์
(Pewter) คื
อ โลหะผสมใด

1 : ดี
บก
ุผสม
2 : ทองแดงผสม
3 : อะลู
มเิ
นี
ยมผสม
4 : ไทเทเนี
ยมผสม
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 17 :
โลหะใดที
นํ ้าเป็
ามาใชทํ นชิ
นส่
วนเครื
องบิ
นนอยที
้ สุด

1 : ไทเทเนียม
2 : อะลูมเิ
นี
ยม
3 : สังกะสี
4 : นิ
กเกิล
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 18 :
เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มเกรด 18­8 หมายถึ
ง เหล็
กกลาที
้ ผสมโลหะชนิ
ดใดเป็
นปริ
มาณสู
งสุ
ดสองชนิ
ดแรก

1 : โครเมี
ยม­นิ
เกิล
2 : ไทเทเนี
ยม­นิเกิล
3 : โครเมี
ยม­ซิ
ลกิอน
4 : ไทเทเนี
ยม­ซิลก
ิอน
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 19 :
ผลิ
ตภัณฑ์
ใดที
ไม่ ้ มเิ
สามารถใชอะลูนี
ยมเป็
นส่
วนผสมหลักได ้

1 : วงลอรถยนต์

2 : ตัวถังรถยนต์
3 : กระป๋ องนํ
าอัดลม

4 : ไสหลอดไฟ
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 20 :
เหล็
กหล่
อชนิ
ดใดต่
อไปนี
สามารถทนแรงกระแทกไดดี
้ทสุ
ีด

1 : เหล็
กหล่
อเทา
2 : เหล็
กหล่
อขาว
3 : เหล็
กหล่
อผสมโครเมียมสู

4 : เหล็
กหล่
ออบเหนียว
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 21 :
เหล็
กชนิ
ดใดต่
อไปนี
สามารถกลึ
งเพื
อตกแต่
งขึ
นรู
ปไดง่
้ายที
สุ

1 : เหล็
กกลาชุ
้บแข็ ง
2 : เหล็
กหล่
อขาว
3 : เหล็
กหล่
อกราไฟต์ กลม
4 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มเฟร์
ไรต์
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 22 :
เหล็
กกลาชนิ
้ ดใดมี
สภาพดึ
งยื
ดได ้
(Ductility) มากที
สุ
ด ภายใตสภาวะการอบชุ
้ บที
เหมื
อนกัน

1 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนตํ า
2 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนปานกลาง
3 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนสู ง
4 : เหล็
กกลาเครื
้ องมื อ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 23 :
ในกระบวนการผลิ
ตเหล็
กหล่
อเทา ธาตุ
ใดที
ตองเติ
้ มลงไปเพื
อทํ
าใหคาร์
้ บอนรวมตัวกันเป็
นกราไฟต์

1 : อะลูมเินี
ยม
2 : ซิ
ลกิอน
3 : แคลเซี ยม
4 : แมกนี เซียม
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 24 :
ขอใดไม่
้ ใช่
สมบัตข
ิองเหล็
กกลาคาร์
้ บอนตํ

1 : มี
ความเหนี
ยวสูง
2 : สามารถตกแต่งขึนรู
ปไดง่
้าย
3 : สามารถชุ
บแข็งไดง่
้าย
4 : ไม่
สามารถรับแรงกระแทกไดมาก

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 25 :
ขอใดไม่
้ ใช่
สมบัตเิ
ด่
นของอะลู
มเิ
นี
ยม

1 : นํ
าหนักเบา
2 : ทนอุ
ณหภู มไิดสู


3 : อ่
อนแต่เหนียว
4 : นํ
าความรอนได
้ ดี ้
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 26 :
บรอนซ์
คื
อ โลหะผสมชนิ
ดใด

1 : ทองแดงผสมดี บก

2 : อะลู
มเิ
นี
ยมผสมทองแดง
3 : ดี
บก
ุผสมตะกัว
4 : นิ
เกิ
ลผสมไทเทเนี ยม
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 27 :
ขอใดคื
้ อลักษณะเด่
นของเหล็
กหล่
อขาว

1 : แข็ง ยากต่อการตกแต่ง
2 : อ่อน เหนียว ตกแต่
ง­ขึ
นรู
ปไดง่

าย
3 : รับแรงอัดและแรงสันสะเทื
อนไดดี

4 : ไม่ทนต่อการเสียดสี
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1
ขอที
้ 28 :
เหล็
กหล่
อเทาต่
างจากเหล็
กหล่
อขาวอย่
างไร

1 : เหล็
กหล่
อเทามี
ซลิก
ิอนเป็นส่วนผสม แต่
เหล็กหล่อขาวไม่
มี
2 : เหล็
กหล่
อเทามี
กราไฟต์อสิระเป็
นส่
วนหนึงของโครงสราง
้ แต่
เหล็
กหล่
อขาวไม่
มี
3 : เหล็
กหล่
อเทามี
ความแข็ งมากกว่
าเหล็
กหล่ อขาว
4 : เหล็
กหล่
อเทาสามารถรับแรงกระแทกไดน้ อยกว่
้ าเหล็ กหล่
อขาว
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 29 :
ผลิ
ตภัณฑ์
ใดไม่
ควรเลื
อกทํ
าจากเหล็
กกลาคาร์
้ บอนตํ

1 : ใบมีดกลึ

2 : ลวด
3 : เหล็กแผ่

4 : ท่อ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 30 :
ในกระบวนการผลิ
ตเหล็
กหล่
อกราไฟต์
กลม ธาตุ
ใดที
ตองเติ
้ มลงไปเพื
อทํ
าใหกราไฟต์
้ อส
ิระเป็
นทรงกลม

1 : อะลูมเินี
ยม
2 : ซิ
ลกิอน
3 : แคลเซี ยม
4 : แมกนี เซียม
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 31 :
เหล็
กกลาผสมชนิ
้ ดใดที
ไม่
สามารถชุ
บแข็
งไดดี

1 : เหล็
กกลาโมลิ
้ บดิ นัม
2 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มออสเทไนต์
3 : เหล็
กกลาแมงกานี
้ ส
4 : เหล็
กกลาโครเมี
้ ยม
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 32 :
เหล็
กกลาถู
้กแบ่
งแยกออกจากเหล็
กหล่
อดวยปริ
้ มาณคาร์
บอนกี
เปอร์
เซ็
นต์

1 : 1%
2 : 2%
3 : 3%
4 : 4%
คํ
าตอบทีถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 33 :
ธาตุ
ผสมใดทีสว่
มี นสํ
าคัญในการทํ
าใหเหล็
้ กกลาไร
้ สนิ
้ มทนต่
อการเกิ
ดสนิ
มในบรรยากาศปกติ
และตองมี
้ ปริมาณธาตุ
อย่
างนอยสุ
้ ดเท่
าใด

1 : 13% โดยนําหนักโครเมี
ยม
2 : 8% โดยนําหนักโครเมี
ยม
3 : 13% โดยนําหนักนิ
เกิ

4 : 8% โดยนําหนักนิ
เกิ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 34 :
ขอความใดต่
้ อไปนี
เป็
นการกล่
าวที
ถู
กตอง

1 : เหล็
กกลา้Hypoeutectoid plain­carbon คื
อเหล็กกลาที
้ มี
ปริ
มาณคาร์บอนมากกว่
า 0.8% โดยนํ
าหนัก
2 : เหล็ ้ ใชในงานก่
กเสนที ้ อสรางทํ
้ าจากเหล็ กหล่อ
3 : ธาตุ
ทมี
ีบทบาทในการทํ าใหเหล็
้ กกลาไร้ สนิ
้ มสามารถทนต่อการกัดกร่
อนไดดี
้คอ
ืโครเมียม
4 : เหล็
กหล่อเป็
นโลหะผสมประเภท Ferrous ที มี
ปริมาณคาร์
บอนนอยกว่
้ า 2.4% โดยนํ าหนัก
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 35 :
โลหะใดต่
อไปนี
มี
จด
ุหลอมเหลวที
ตํ
าที
สุ

1 : ทองแดง
2 : ทองแดงผสมสังกะสี
3 : ทองแดงผสมเหล็ก
4 : ทองแดงผสมนิ
เกิล
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 36 :
ชินงานใดต่
อไปนี
มี
ความแข็
งแรงสู
งสุ

1 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนตํ าชุ
บแข็

2 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนปานกลางชุ บแข็

3 : เหล็
กกลาผสมตํ
้ าชุ
บแข็ง
4 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มออสเทไนต์
ชบ
ุแข็

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 37 :
โลหะชนิ
ดใดต่
อไปนี
ที
เหมาะสมสํ
าหรับทํ
าเครื
องยนต์
(Engine block) สํ
าหรับรถแข่
งมากที
สุ

1 : เหล็
กกลา้(Steel) เนื
องจากหล่ อง่ายทีสุ

2 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ ม (Stainless steel) เพราะทนต่
อการเกิดสนิ
มไดดี

3 : อะลู
มเิ
นี
ยมผสม (Aluminium alloy) เพราะมี นํ
าหนักเบา
4 : โลหะผสมยิงยวด (Superalloy) เพราะทนอุ ณหภูมส
ิงูไดดี

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 38 :
วัสดุ
แม่
เหล็
กถาวรชนิ
ดใดต่
อไปนี
ที
ใหกํ
้าลังแม่
เหล็
กสู
งสุ

1 : เหล็กคาร์บอน
2 : อัลนิโค (Alnico)
3 : เฟร์ไรต์(Hard Ferrite)
4 : นิโอดิเมี
ยม­บอรอน (NdFeB)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 39 :
กเสน้เหล็
เหล็ กขออ
้อย้ ที ้
ใชในงานก่
อสรางทั
้ วไป เป็
นเหล็
กในกลุ

่ใด

1 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนตํา
2 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนปานกลาง
3 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนสูง
4 : เหล็
กกลาผสม

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 40 :
โลหะชนิ
ดใดต่
อไปนี
สามารถนํ
ามารี
ดเย็
นเป็
นแผ่
นบางไดง่
้ายที
สุ

1 : อะลู
มเิ
นี
ยม
2 : ทองแดง
3 : ทองเหลือง
4 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ม
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 41 :
โลหะชนิ
ดใดต่
อไปนี
ขึ
นรู
ปเย็
นไดยากที
้ สุ ด

1 : ทองเหลื
อง (Brass)
2 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนตํ า (Low carbon steel)
3 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มเฟร์ไรต์ (Ferritic stainless steel)
4 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มออสเทไนต์ (Austenetic stainless steel)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 42 :
โลหะชนิ
ดใดต่
อไปนี
ที
เหมาะสํ
าหรับการผลิ
ตวงลอรถยนต์
้ มากที
สุ

1 : อะลู
มเิ
นี
ยมบริสท
ุธิ
2 : อะลู
มเิ
นี
ยมผสมซิ ลค
ิอน
3 : อะลู
มเิ
นี
ยมผสมทองแดง
4 : อะลู
มเิ
นี
ยมผสมแมงกานี ส
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 43 :
โลหะชนิ
ดใดต่
อไปนี
ไม่
เกิ
ดสนิ

1 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ม
2 : ทองแดง
3 : อะลู
มเินี
ยม
4 : ขอ้1 2 และ 3 ผิ

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 44 :
เหล็
กกลาชนิ
้ ดใดต่
อไปนี
เหมาะสํ ้ อุ
าหรับใชงานทีณหภู
มส
ิงู

1 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนสู ง (High carbon steel)
2 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มเฟร์
ไรต์(Ferritic stainless steel)
3 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มออสเทไนต์ (Austenetic stainless steel)
4 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มมาร์
เทนไซต์ (Martensitic stainless steel)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 45 :
เหล็
กหล่
อชนิ
ดใดต่
อไปนี
เหมาะสํ
าหรับงานที
ตองทนต่
้ อการสึ
กหรอไดดี

1 : เหล็
กหล่
อเทา (Gray cast iron)
2 : เหล็
กหล่
อขาว (White cast iron)
3 : เหล็
กหล่
อเหนี
ยว (Ductile iron)
4 : เหล็
กหล่
ออบเหนียว (Malleable iron)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 46 :
โลหะชนิ
ดใดต่
อไปนี
เหมาะสํ
าหรับการผลิ
ตถังไฮโดรเจนเหลวสํ
าหรับยานอวกาศมากที
สุ

1 : อะลู
มเิ
นี
ยมผสมทองแดง
2 : อะลู
มเิ
นี
ยมผสมลิ
เทียม
3 : อะลู
มเิ
นี
ยมผสมซิ
ลคิอน
4 : อะลู
มเิ
นี
ยมผสมสังกะสี
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 47 :
โลหะกลุ

่ใดต่
อไปนี
เหมาะสํ
าหรับผลิ
ตกระดู
กเที
ยม (Surgical implants) มากที
สุ

1 : อะลู
มเินี
ยมผสม (Aluminium alloys)
2 : ไทเทเนียมผสม (Titanium alloys)
3 : แมกนีเซียมผสม (Magnesium alloys)
4 : ทองแดงผสม (Copper alloys)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 48 :
ขอใดไม่
้ ใช่
คณ
ุลักษณะเด่
นของเหล็
กกลาคาร์
้ บอน

1 : ทนทานการกัดกร่อนไดดี

2 : มี
สมบัตท
ิางกลอยู ใ่
นเกณฑ์ดจ
ีงึสามารถนํ ้
าไปใชงานได หลากหลายทางวิ
้ ศวกรรม
3 : เหล็
กกลาที
้ มีปริ
มาณคาร์บอนตํามักนํ ้าเหล็
าไปใชทํ กเสน้เหล็
กขออ
้อย้ สํ
าหรับอุ
ตสาหกรรมก่
อสราง

4 : สามารถขึนรู
ปไดทั
้งรอนและเย็
้ น
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

เนื
อหาวิ
ชา : 239 : 02 Engineering polymers

ขอที
้ 49 :
ขอใดไม่
้ ใช่
วส
ั ดุ
พอลิ
เมอร์

1 : ยาง (Rubber)
2 : พลาสติก (Plastic)
3 : ไม ้
(Wood)
4 : แกว้(Glass)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 4

ขอที
้ 50 :
ยางที
ผ่
านกระบวนการ Vulcanization แลว้จัดเป็
นพอลิ
เมอร์
ประเภทใด

1 : พอลิ
เมอร์
แบบสายโซ่ ตรง (Linear polymer)
2 : พอลิ
เมอร์
แบบครอสลิ งค์ (Crosslinked polymer)
3 : พอลิ
เมอร์
แบบสายเดี ยว (Single chain polymer)
4 : พอลิ
เมอร์
แบบกิง (Branched polymer)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 51 :
ขอใดเป็
้ นพอลิ
เมอร์
แบบโครงข่
าย (network)

1 : พอลิ
สไตรี
น (Polystyrene)
2 : ฟี
นอลฟอร์
มลั ดี
ไฮด์ (Phenol­formaldehyde)
3 : พอลิ
เอทธิ
ลน
ี(Polyethylene)
4 : พอลิ
พรอพิ
ลน ี(Polypropylene)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 52 :
ขอใดเป็
้ นลักษณะของเทอร์
โมพลาสติ
ก (Thermoplastic)

1 : แข็
งตัวเมื
อถู
กความรอน
้ และอ่
อนตัวเมื
อลดอุ ณหภู มิ
2 : อ่
อนตัวเมื
อถู
กความรอน
้ แต่
กลับมาแข็งตัวเมื
อลดอุ ณหภู
มิ
3 : แข็
งตัวเมื
อถู
กความรอน
้ และไม่
สามารถทํ าใหอ่
้อนตัวไดอี
้ก
4 : แข็
งตัวเมื
อถู
กความรอน
้ แต่
สามารถทําใหอ่้อนตัวไดเมื
้อลดอุ
ณหภู
มิ
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 53 :
พอลิ
เมอร์
ใดต่
อไปนี
เป็
นเทอร์
โมเซ็
ตติ
ง (Thermosetting)

1 : พอลิ
พรอพิลน
ี(Polypropylene)
2 : พอลิ
เอทธิ
ลนี(Polyethylene)
3 : พอลิ
เอสเทอร์
ไม่อมตั
ิ ว (Unsaturated polyester)
4 : พอลิ
ไวนี
ลคลอไรด์ (Polyvinyl chloride)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 54 :
ขอใดต่
้ อไปนี
กล่
าวไม่
ถก
ูตอง

1 : โคพอลิเมอร์(Copolymer) ประกอบดวย ้ มอนอเมอร์ มากกว่


าหนึ
งชนิ
ดเรี
ยงต่อกัน
2 : อัลเทอร์
เนตโคพอลิ เมอร์(Alternate copolymer) ประกอบดวย
้ มอนอเมอร์
มากกว่ าหนึงชนิดเรียงต่
อแบบสลับกัน
3 : แรนดอมโคพอลิ เมอร์(Random copolymer) ประกอบดวย ้ มอนอเมอร์มากกว่
าหนึ งชนิดเรี
ยงต่ อแบบสุ่

4 : กราฟท์โคพอลิ เมอร์(Graft copolymer) ประกอบดวย้ มอนอเมอร์
มากกว่าหนึ
งชนิ ดเรี
ยงต่ออยูใ่นสายโซ่ทเป็ ้
ีนเสนตรง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 55 :
ปั จจัยใดมี
ผลต่
อสมบัตเิ
ชิ
งกลของพอลิ
เมอร์
แบบกึ
งผลึ
ก (Semicrystalline polymers)

1 : นํ
าหนักโมเลกุ ล (Molecular weight)
2 : ระดับของสภาพเป็ นผลึ ก (Degree of crystallinity)
3 : การอบอ่ อน (Annealing)
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 4
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 56 :
จากกราฟความเคน­ความเครี
้ ้
ยด (Stress­strain plot) กราฟเสนใดแสดงสมบั
ตขิองวัสดุ
ยด
ืหยุ

่(Elastomeric polymer)

1:I
2 : II
3 : III
4 : IV
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 57 :
พอลิ
เมอร์
ใดต่
อไปนี
เป็
นเทอร์
โมพลาสติ
ก (Thermoplastics)

1 : PVC
2 : Epoxy resins
3 : Polyester
4 : Melamine
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 58 :
ขอใดต่
้ อไปนี
ไม่
ใช่
พอลิ
เมอร์

1 : พอลิเอทิลน
ี(Polyethylene)
2 : พอลิคาร์โบเนต (Polycarbonate)
3 : ซิ
ลคิอนคาร์ ไบด์ (Silicon carbide)
4 : ซิ
ลโิคน (Silicone)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 3

ขอที
้ 59 :
เพราะเหตุ
ใดยางรถยนต์
จงึ
มี ีํ
สดา

1 : เนื
องจากตองสั
้ มผัสถนนซึ งมี
ความสกปรก จึ
งผสมสีดําลงไป
2 : เนื
องจากตองการให
้ มี
้ความแข็งแรงขึ
น จึ
งใส่
สารเสริ
มแรงชนิดหนึ
งซึ
งมีีํ
สด าลงไป
3 : เพื
อใหง่้
ายต่อการดู
แลรักษา
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 60 :
โดยทัวไปพอลิ
เมอร์
มส
ีมบัตเิ
ชิ
งกลในขอใดต่
้ อไปนี
มากกว่
าวัสดุ
วศ
ิวกรรมชนิ
ดอื
นๆ

1 : Tensile Strength
2 : Modulus of Elasticity
3 : Yield Strength
4 : Elongation
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 61 :
วัตถุ
ดบ
ิที ้
ใชในการผลิ
ตพอลิ
เมอร์
มาจากแหล่
งใด

1 : แก๊สธรรมชาติ
2 : นํ
ามันปิโตรเลี
ยม
3 : ผลิตผลทางการเกษตร
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 62 :
ขอใดต่
้ อไปนี
ไม่
ใช่
ลก
ั ษณะหรื
อสมบัตข
ิองเทอร์
โมเซตติ
ง (Thermosetting)

1 : มี
โครงสรางตาข่
้ าย
2 : นํ
ามาขึ
นรู
ปใหม่ไม่
ได ้
3 : ทนแรงกระแทกไดดี้
4 : ทนความรอนได
้ ดี ้
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 63 :
ขอใดต่
้ อไปนี
ไม่
ใช่
โครงสรางของโคพอลิ
้ เมอร์
(Copolymer)

1 : โครงสรางแบบบล็
้ อก (Block)
2 : โครงสรางแบบสลั
้ บ (Alternating)
3 : โครงสรางแบบเชิ
้ งเสน้(Linear)
4 : โครงสรางแบบสุ
้ ่(Random)

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3
ขอที
้ 64 :
ขวดพลาสติ
กใสที ้ นํ
ใชบรรจุาอัดลมในทองตลาดมั
้ กทํ
าดวยพอลิ
้ เมอร์
ชนิ
ดใด

1 : พอลิ
โพรพิ
ลนี(Polypropylene)
2 : พอลิ
สไตรี
น (Polystyrene)
3 : พอลิ
เอทิ
ลน
ีเทอร์ ฟาทาเลต (Polyethylene terephthalate)
4 : พอลิ
เมทิ
ล เมทาครีเลต (Polymethyl methacrylate)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 65 :
เราสามารถเพิ
มสมบัตใิ
นการรับแรงกระแทกใหกั้
บพลาสติ
กที
เปราะไดโดยการผสมสิ
้ งใดต่
อไปนี
ลงไปในพลาสติ

1 : ยาง (Rubber)
2 : สารเสริมแรง (Reinforcing filler)
3 : สารป้องกันการแตกหักของสายโซ่ โมเลกุ
ล (Stabilizer)
4 : สารเพิมเนื
อ (Extender)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 66 :
ถานํ
้าขวดพลาสติ
กที
ทํ
าจากพอลิ
เอทิ
ลน
ีไปบรรจุ
นํ
าอัดลมและปิ
ดฝาใหแน่
้ น จะเกิ
ดสิ
งใดขึ

1 : ไม่
มส ิ
ีงใดเปลี
ยนแปลง
2 : นํ
าอัดลมจะมี
สทีจางลง

3 : แก๊
สคาร์บอนไดออกไซด์ จะระเหยออกไป
4 : ปริ
มาณของนํ าอัดลมจะลดลง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 67 :
ขอใดต่
้ อไปนี
ไม่
เป็
นความจริ

1 : โดยทัวไป พอลิเมอร์
มคีา่การนําความรอนที
้ ตํ ากว่
าโลหะมาก
2 : โดยทัวไป อากาศมีคา่การนํ าความรอนที
้ ตํ ากว่
าพอลิเมอร์
มาก
3 : โดยทัวไป พอลิเมอร์
มคีา่สัมประสิ
ทธิของการขยายตัวเมื
อไดรั้บความรอนมากกว่
้ าโลหะ
4 : โดยทัวไป เซรามิ
กมีคา่สัมประสิทธิ
ของการขยายตัวเมือไดรั้
บความรอนมากกว่
้ าพอลิ
เมอร์
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 68 :
กระบวนการในขอใดต่
้ อไปนี
เป็
นกระบวนการสรางพอลิ
้ เมอร์
จากมอนอเมอร์

1 : Monomerization
2 : Polymerization
3 : Hydration
4 : Annealing
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 69 :
เทฟลอน (Teflon) คื
อชื
อทางการคาของพอลิ
้ เมอร์
ในขอใด

1 : Polystyrene
2 : Polyurethane
3 : Polytetrafluoroethylene
4 : Polyvinyl chloride
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 3

ขอที
้ 70 :
พลาสติ
กในขอใดที
้ สามารถนํ
ามาใหความร
้ อนแล้ วหลอมเหลวเพื
้ อนํ
าไปขึ
นรู
ปใหม่
ได ้

1 : ไนลอน
2 : เมลามี

3 : เบคาไลท์
4 : อี
พอกซี
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 71 :
ขอใดจั
้ ดเป็
นวัสดุ
อล
ีาสโตเมอร์

1 : เมลามีน
2 : อะคริลคิ
3 : ซิลโิ
คน
4 : เทฟลอน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 72 :
ขอใดกล่
้ าวไม่
ถก
ูตอง

1 : เทอร์
โมเซตติงมี
ความแข็งแกร่
งสู
ง เนื
องจากมี
โครงสรางตาข่
้ ายทีแน่
นหนา
2 : เทอร์
โมพลาสติกแสดงพฤติ กรรมทางความรอนด
้ วยการเปลี
้ ยนแปลงสมบัตทิางกายภาพเพี
ยงอย่
างเดี
ยว
3 : อี
ลาสโตเมอร์แสดงพฤติกรรมทางความรอนด
้ วยการเปลี
้ ยนแปลงทางกายภาพและทางเคมี โดยมี
โครงสรางตาข่
้ ายหลวมๆ เกิ
ดขึ

4 : เทอร์
โมเซตติงสามารถนํ
ามาใหความร
้ อนแล้ วหลอมเหลวเพื
้ อนําไปขึ
นรู
ปใหม่ได ้
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 73 :
ขอใดกล่
้ าวเกี
ยวกับ Tg ของพอลิ
เมอร์
ถก
ูตองที
้ สุด

1 : Tg เป็
นอุ
ณหภูมทิใช ้
ี บ่
งบอกการเปลี ยนสถานะของพอลิ เมอร์
จากแข็งเปราะเป็นหลอมเหลว
2 : ถาพอลิ
้ เมอร์ ถก
ูนํ ้ ณ อุ
าไปใชงาน ณหภูมสิงู
กล่าว Tg พอลิเมอร์
นันจะมี
ความแข็ งเปราะ
3 : Tg เป็
นสมบัตท
ิางความรอนของพอลิ
้ เมอร์ทแสดงการเปลี
ี ยนสถานะในส่ วนทีเป็นอสัณฐาน (Amorphous region)
o
4 : ถา้Tg ของพอลิเมอร์
เท่
ากับ ­20 C แสดงว่า เมื
อนํ ้ ณ อุ
ามาใชงาน ณหภูมห ้ (25oC) จะมี
ิอง ความแข็งเปราะ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

เนื
อหาวิ
ชา : 240 : 03 Engineering ceramics

ขอที
้ 74 :
ปฏิ
กริ

ิาที
เกิ
ดขึ
นเมื
อผสมซี
เมนต์
กบ
ั นํ
าคื
อปฏิ
กริ

ิาใด

1 : ปฏิ
กริ

ิา Hydration
2 : ปฏิ
กริ

ิา Oxidation
3 : ปฏิ
กริ

ิา Reduction
4 : ปฏิ
กริ

ิา Dehydration
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 75 :
การเติ
มแร่
ยป
ิซัม (Gypsum) ลงในซี
เมนต์
มวี

ั ถุ
ประสงค์
อย่
างไร

1 : เพื
อลดตนทุ
้ นวัตถุดบ

2 : เพื
อควบคุมเวลาการแข็ งตัวของซี
เมนต์
3 : เพื
อเพิ
มความแข็ งแรงใหกั้
บซี
เมนต์
4 : เพื
อใหซี
้เมนต์
มอ ีายุ ้ นานขึ
การใชงานที น
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 76 :
ทําไมเซรามิ
กโดยทัวไปมี
สมบัตท
ิแข็
ี ง (Hard) และเปราะ (Brittle) กว่
าโลหะ

1 : การเคลื
อนทีของ Dislocation เกิ
ดขึ
นในเซรามิ กไดง่

ายกว่
าโลหะ
2 : เซรามิ
กทัวไปยึ
ดกันดวยพั
้ นธะแวนเดอร์ วาลส์ แต่โลหะยึ
ดกันดวยพั
้ นธะโลหะ
3 : ในเซรามิ
ก ระนาบอะตอมเกิ ดการเลื
อน (Slip) ไดบางระนาบเท่
้ านัน
4 : เซรามิ
กมี
ความหนาแน่ นสู
งกว่าโลหะ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 77 :
ขอใดไม่
้ ใช่
สมบัตข
ิองเซรามิ

1 : เป็
นฉนวนทังทางความรอนและไฟฟ้
้ า
2 : ความตานทานต่
้ อแรงกระแทกตํ

3 : ทนต่อแรงดึงไดดี

4 : เฉื
อยต่อการเกิ
ดปฏิ
กริ

ิาเคมี
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 78 :
ขอใดไม่
้ ใช่
ผลที
เกิ
ดจากการเกิ
ดรู
พรุ
น (Porosity) ในเนื
ออิ
ฐทนไฟ

1 : อิ
ฐทนไฟเป็นฉนวนทางความรอนที
้ ดีขน

2 : อิ
ฐทนไฟสามารถทนต่อการเปลียนแปลงอุ
ณหภู
มไิ
ดดี

ขนึ
3 : อิ
ฐทนไฟมีความตานทานต่
้ อการผุ
กร่
อนดี
ขน

4 : อิ
ฐทนไฟมีความแข็
งแรงลดลง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 79 :
วัสดุ
ในขอใดเหมาะที
้ จะทํ
าเป็
นวัสดุ
ขด
ั ถู
(Abrasive material)

1 : เหล็

2 : อะลู
มนิา
3 : พอลิเอทิลน

4 : ไม ้
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 80 :
Glass transition temperature คื
ออะไร

1 : อุ
ณหภู
มจ
ิดุหลอมเหลว (Melting point) ของแกว้
2 : อุ
ณหภู
มท
ิแก
ี วมี
้สภาพการนํ าไฟฟ้ า
3 : อุ
ณหภู
มท
ิแก
ี วเปลี
้ ยนจากสภาพที มีความหนื ดสู
งเป็
นสภาพที
แข็
งและเปราะ
4 : อุ
ณหภู
มท
ิแก
ี วกลายเป็
้ นไอ
คํ
าตอบทีถู
กตอง้: 3

ขอที
้ 81 :
ขอใดไม่
้ ใช่
เซรามิ
กวิ
ศวกรรม (Engineering ceramic)

1 : พอร์ซเิลน (Porcelain)
2 : อะลูมนิา (Alumina)
3 : ซิลก
ิอนไนไตรด์ (Silicon nitride)
4 : เซอร์โคเนีย (Zirconia)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 1

ขอที
้ 82 :
เซรามิ
กลักษณะใดที
ไม่
เหมาะสมสํ
าหรับการนํ ้าเป็
ามาใชทํ นกระดู
กเที
ยม

1 : เซรามิ
กที
มี
สมบัตต
ิานทานการผุ
้ กร่
อนที
ดี
2 : เซรามิ
กที
มี
ความหนาแน่ นสูง
3 : เซรามิ
กที
มี
ความแข็งแรงสูง
4 : เซรามิ
กที
สามารถยึดติ
ดกับเนือเยื
อไดดี

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 83 :
ทําไมปั จจุ
บน
ั นิ
ยมนํ
าเซรามิ
กวิ
ศวกรรม เช่
น อะลู
มน ้าหัวเที
ิา (Alumina) มาใชทํ ยนแทนโลหะ

1 : เซรามิ
กมีความแข็ งแรงมากกว่ าโลหะที
อุ
ณหภู
มส
ิงู
2 : เซรามิ
กเป็นวัสดุ
เปราะกว่าโลหะ
3 : เซรามิ
กมีการนําไฟฟ้าทีดีกว่
าโลหะ
4 : เซรามิ
กมีความหนาแน่ นตํากว่
าโลหะ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 84 :
ขอใดกล่
้ าวถู
กตอง

1 : การขึนรู
ปแกวจะทํ
้ าขณะที แกวมี
้สภาพเป็ นของเหลวที
มี
ความหนื
ดสู

2 : การขึนรู
ปแกวจะเกิ
้ ดปฏิ กริ

ิา Sintering
3 : แกวโดยทั
้ วไปเป็นของแข็งที
มีผลึก
4 : หลังจากขึนรู
ปแกวแล
้ วต
้องนํ
้ าแกวไปอบและเผา

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 85 :
การเพิ
มความแข็
งแรงใหกั้
บแกวโดยวิ
้ ธเี ทมเปอร์
(Temper) หรื
อ Chemical treatment มี
หลักการอย่
างไร

1 : ทํ
าใหเกิ
้ดความเคนแรงดึ
้ งที
ผิวและความเคนแรงอั
้ ดภายในเนื อแกว้
2 : ทํ
าใหเกิ
้ดความเคนแรงอั
้ ดที ผิ
วและความเคนแรงดึ
้ งภายในเนื
อแกว้
3 : ทํ
าใหเกิ
้ดความเคนแรงอั
้ ดในเนื อแกว้
4 : ทํ
าใหเกิ
้ดความเคนแรงดึ
้ งในเนื
อแกว้
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 86 :
เซรามิ
กประเภทใดมี
ความเหนี
ยว (Toughness) ดี
ทสุ
ีดที
อุ
ณหภู
มห
ิอง

1 : ซิ
ลกิอนไนไตรด์ (Silicon nitride)
2 : ซิ
ลกิอนคาร์ ไบด์ (Silicon carbide)
3 : อะลูมนิา (Alumina)
4 : Partially stabilized zirconia
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 4

ขอที
้ 87 :
Glass­ceramic แตกต่
างจาก แกว้(Glass) อย่
างไร

1 : แกวโปร่
้ งใสแต่ Glass­ceramic ไม่
โปร่งใส
2 : แกวไม่
้ นําไฟฟ้
า แต่Glass­ceramic นํ
าไฟฟ้า
3 : แกวนํ
้าความรอนได
้ ไม่้ด ีแต่Glass­ceramic สามารถนําความรอนได
้ ้
4 : แกวทนการเปลี
้ ยนแปลงความรอน ้ (Thermal shock) ได ้
แต่Glass­ceramic ทนไม่
ได ้
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 88 :
Pyroelectric ceramic มี
สมบัตเิ
ด่
นในขอใด

1 : สามารถเปลี
ยนสมบัตท
ิางกลใหเป็
้นสมบัตไิ
ฟฟ้า
2 : สามารถเปลี
ยนสมบัตท
ิางไฟฟ้าใหเป็
้นสมบัตทิางกล
3 : สามารถเปลี
ยนสมบัตท
ิางไฟฟ้าใหเป็
้นสมบัตทิางเคมี
4 : สามารถเปลี
ยนสมบัตท
ิางความรอนให
้ เป็
้นสมบัตทิางไฟฟ้

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 89 :
เซรามิ
กประเภทแกวต่
้างจากเซรามิ
กโดยทัวไปอย่
างไร

1 : แกวไม่
้ มผีลึก แต่
เซรามิกโดยทัวไปเป็
นโครงสรางที
้ มีผลึ
ก (Crystalline)
2 : แกวสามารถดึ
้ งยื
ดได ้
แต่เซรามิ
กโดยทัวไปมี
สมบัตเิ
ปราะ
3 : แกวทนแรงดึ
้ งไดดี
้แต่เซรามิ
กทนแรงอัดไดดี

4 : แกวทนทานต่
้ อสารเคมีไดดี
้แต่เซรามิ
กโดยทัวไปเกิ
ดปฏิกริ

ิาไดง่้าย
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 90 :
ผลิ
ตภัณฑ์
ใดต่
อไปนี
ไม่
จํ
าเป็ ้ วั้
นตองใช สดุ
เซรามิ

1 : กระสวยอวกาศ
2 : เตาเผา
3 : ลู
กถวยไฟฟ้
้ า (Electrical insulator)
4 : มี
ดผ่าตัด
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 91 :
ชว่
ขอใดไม่
้ ยทํ
าใหวั้
สดุ
ทผลิ
ี ตจากอะลู
มน
ิา (Alumina) มี
สมบัตโิ
ปร่
งแสง (Translucent) ได ้
1 : อะลู
มนิาที ้
ใชมีความบริ สท
ุธ์ สงู
มาก
2 : เป็
นวัสดุผลึ
กเดียว (Single crystal)
3 : การจัดเรี
ยงตัวของผลึ กมีทศิทางใกลเคี
้ยงกันมาก
4 : ขอบเกรน (Grain boundary) มี ความหนามาก
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 92 :
กระถางปลู
กตนไม
้ ้ โอ่
งดิ
น อิ
ฐมอญ จัดเป็
นเซรามิ
กประเภทใด

1 : Stoneware
2 : Earthenware
3 : Porcelain
4 : Bone China
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 93 :
วัสดุ
ทนไฟที ้
ใชในเตาเผาอุ
ณหภู
มส
ิงู
มักทํ
าจากวัสดุ
ในขอใดต่
้ อไปนี

1 : CaO
2 : Feldspar
3 : Cement
4 : Mullite
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 94 :
วัสดุ
แบเรี
ยมไททาเนต (BaTiO3) มี
โครงผลึ
กแบบใด

1 : โครงผลึกซีเซี
ยมคลอไรด์
2 : โครงผลึกโซเดียมคลอไรด์
3 : โครงผลึกฟลูออไรด์
4 : โครงผลึกเพอรอฟสไกต์
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 95 :
ขอใดไม่
้ ใช่
วส
ั ดุ
โครงสรางซิ
้ ลเิ
กต

1 : อะลู
มน
ิา
2 : ควอทซ์
3 : ไมกา้
4 : ทัลค์
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 96 :
วัสดุ
เซรามิ
กมี
พันธะชนิ
ดใด

1 : พันธะโลหะ
2 : พันธะโควาเลนต์
3 : พันธะไอออนิก
4 : พันธะไอออนิกร่
วมพันธะโควาเลนต์
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

เนื
อหาวิ
ชา : 241 : 04 Asphalt wood and concrete

ขอที
้ 97 :
ไมจั้
ดเป็
นวัสดุ
ประเภทใด

1 : วัสดุ
เชิงประกอบ
2 : พอลิ คาร์บอเนต
3 : พอลิ ไวนิลคลอไรด์
4 : พอลิ เมอร์
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 98 :
เพราะเหตุ
ใดไมจึ
้งรับแรงดัด (Bending force) ไดดี

้ ยงตัวในทิ
1 : เสนใยเรี ศใดทิ
ศหนึ

2 : มี
ความเหนี ยวสู

3 : เนื
อไมมี
้ความหนาแน่นสู

4 : ไมมี

นําหนักเบา
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 99 :
ขอใดเป็
้ นส่ วนประกอบหลักของยางมะตอย (Asphalt)

1 : ธาตุ
คาร์
บอน (C) และ ไนโตรเจน (N)
2 : ธาตุ
คาร์
บอน (C) และ ไฮโดรเจน (H)
3 : ธาตุ
คาร์
บอน (C) และ ซัลเฟอร์
(S)
4 : ธาตุ
คาร์
บอน (C) และ ออกซิเจน (O)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 100 :
ไมมี้
สมบัตท
ิางกลตามขอใด

1 : เท่
ากันทุกทิศทาง
2 : ความแข็ งแรงตามแนวความยาวมากกว่
าแนวขวาง
3 : ความแข็ ้ ากว่
งแรงขนานเสนใยตํ าความแข็
งแรงตังฉาก
4 : โมดู
ลสั เท่
ากันทุ
กทิ
ศทาง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 101 :
ยางมะตอย (Asphalt) และยางมะตอยผสม (Asphalt mix) มี
สมบัตต
ิา่
งกันอย่
างไร

1 : ยางมะตอยมี
แรงเสียดทาน (Friction) มากกว่ายางมะตอยผสม
2 : ยางมะตอยผสมมีแรงเสี
ยดทาน (Friction) มากกว่ ายางมะตอย
3 : ยางมะตอยและยางมะตอยผสมใชทํ ้าพืนรับแรงที
มีสมบัตใิ
กลเคี
้ยงกัน
4 : ยางมะตอยแข็งแรงมากกว่
ายางมะตอยผสม
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 102 :

การใชคอนกรี
ตในการก่
อสราง
้ คอนกรี
ตถู ้อใหรั้
กใชเพื บแรงประเภทใด

1 : แรงดึง (Tension)
2 : แรงอัด (Compression)
3 : แรงเฉือน (Shear)
4 : แรงบิด (Torsion)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 103 :
ความสามารถในการทํ
างาน (Workability) ของคอนกรี
ตสามารถทดสอบดวยวิ
้ ธใี

1 : การทดสอบความลา้(Fatigue test)
้ ด (Compressive test)
2 : การทดสอบโดยใชแรงอั
3 : การทดสอบความแข็งแบบบริ เนลล์ (Brinell)
4 : การทดสอบการยุ
บตัว (Slump test)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 104 :
ส่วนประกอบหลักของคอนกรี
ตคื
อขอใด

1 : ทราย (Sand) หิ
นฟั นมา้(Feldspar) และซี เมนต์ (Cement)
2 : หิ
นย่
อย (Aggregate) หิ นฟั นมา้(Feldspar) และซีเมนต์(Cement)
3 : ทราย (Sand) หิ
นย่
อย (Aggregate) และซี เมนต์ (Cement)
4 : ทราย (Sand) หิ
นย่
อย (Aggregate) และบิ ทเูมน (Bitumen)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

เนื
อหาวิ
ชา : 242 : 05 Phase equilibrium diagrams and their interpretation

ขอที
้ 105 :
สมการ delta ferrite + L ­­> austenite เรี
ยกปฏิ
กริ

ิานี
ว่
าปฏิ
กริ

ิาใด

1 : Eutectoid
2 : Eutectic
3 : Peritectic
4 : Peritectoid
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 3

ขอที
้ 106 :
ขอใดไม่
้ ใช่
ขอมู
้ลทีสามารถทราบไดจากแผนภาพเฟส
้ (Phase diagram)

1 : สภาพการละลายไดของธาตุ
้ หนึ
งในอี
กธาตุ
หนึ

2 : อุ
ณหภูมทิสารเริ
ี มหลอมละลาย
3 : ความดันที
สารเปลี
ยนเฟส
4 : ปริ
มาตรของสารทีหลอมเหลว
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 107 :
ขอใดไม่
้ ใช่
ขอมู
้ลทีสามารถทราบไดจากแผนภาพเฟส
้ (Phase diagram)

1 : อุ
ณหภูมท
ิโลหะผสมเริ
ี มแข็งตัวเป็
นของแข็

2 : สภาพการละลายไดของธาตุ
้ หนึงในอี
กธาตุ
หนึ
ง ณ สภาวะสมดุ

3 : เฟสต่
างๆ ที
มีอยู
ใ่
นเนื
อวัสดุ
4 : ขนาดและรูปร่
างของโครงสรางจุ
้ ลภาค
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 108 :
ขอใดคื
้ อปฏิ
กริ

ิาที
เกิ
ดขึ
นในแผนภาพเฟสของ Fe­Fe3C ที
กํ
าหนดให ้
1 : Peritic, Eutectic, Eutectoid
2 : Peritectic, Eutectic, Eutectoid
3 : Peritectic, Eutectic, Eutectertic
4 : Peritectic, Eutectic, Monotectic
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 109 :
ปฏิ กริ

ิายู
เทกทอยด์
(Eutectoid) ของเหล็
กกลาคาร์
้ บอน เกิ
ดที
ปริ
มาณคาร์
บอนกี
เปอร์
เซ็
นต์
โดยนํ
าหนัก

1 : 0.025%
2 : 0.8%
3 : 2.0%
4 : 4.3%
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 110 :
โครงสรางใดคื
้ อโครงสรางของเหล็
้ กกลาคาร์
้ บอนส่
วนผสมยู
เทกทอยด์
ทเย็
ีนตัวอย่ ้ ผ่
างชาๆ านปฏิ
กริ

ิายู
เทคทอยด์
เรี
ยกโครงสรางที
้ เกิ
ดขึ
นว่
าอะไร

1 : เฟร์ไรต์(Ferrite)
2 : เพอร์ไลต์ (Pearlite)
3 : ออสเทไนต์ (Austenite)
4 : ซีเมนไทต์ (Cementite)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 2

ขอที
้ 111 :
ขอใดไม่
้ ใช่
ขอมู
้ลทีไดจากการอ่
้ านแผนภาพเฟสในสภาวะที
สมดุ

1 : ชนิ
ดของเฟสทีเกิ
ดขึ

2 : ปริ
มาณของเฟสทีเกิ
ดขึ

3 : อุ
ณหภูมท
ิสารเริ
ี มแข็ งตัว (Solidify) หรื
อหลอมเหลว (Melt)
4 : ชนิ
ดของโครงสรางผลึ
้ กของเฟสที เกิ
ดขึน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 112 :
ขอที
้ 112 :
สารละลาย (Solution) และของผสม (Mixture) แตกต่
างกันอย่
างไร

1 : สารละลายจะเกิ
ดการแยกกันของสารทําใหเกิ
้ดเฟสมากกว่าหนึงเฟส ของผสมจะเกิ
ดเป็นเนื
อเดี
ยวกันมี
เพี
ยงหนึ
งเฟส
2 : สารละลายจะเกิ
ดเฉพาะในของเหลวเท่านัน ของผสมจะเกิ
ดจากการผสมของเหลวและของแข็ งดวยกั
้ น
3 : สารละลายจะเกิ
ดเป็
นเนื
อเดี
ยวกันมี
เพี
ยงหนึงเฟส ของผสมจะเกิดการแยกกันของสารทําใหเกิ
้ดเฟสมากกว่ าหนึ
งเฟส
4 : สารละลายจะเกิ
ดจากการรวมกันของของเหลวและของแข็ งเป็
นเฟสเดียว ของผสมจะเกิ
ดจากการรวมกันของสารทําใหกลายเป็
้ นเฟสเดี
ยว
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 113 :
เสน้Liquidus มี
ความสํ
าคัญอย่
างไร

1 : ภายใตสภาวะที
้ สมดุ
ล เฟสจะเป็
นเฟสของเหลวทังหมดที อุ
ณหภูมต
ิํ
ากว่าเสน้Liquidus
2 : ภายใตสภาวะที
้ สมดุ
ล อุ
ณหภูมทิอยู
ีต่ํ าเสน้Liquidus เฟสของเหลวเปลี
ากว่ ยนเป็
นเฟสของแข็ ง
3 : ภายใตสภาวะที
้ สมดุ
ล เฟสของแข็ งชนิดหนึงจะเริ
มเกิดเป็
นเฟสของแข็งมากกว่ าหนึงชนิ เสน้Liquidus
ดที
4 : ภายใตสภาวะที
้ สมดุ
ล อุ
ณหภูมสิงู
กว่าเสน้Liquidus เฟสของเหลวเริ
มเกิดเป็นเฟสของแข็งทังหมด
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 114 :
เสน้Solidus มี
ความสํ
าคัญอย่
างไร

1 : ภายใตสภาวะที
้ สมดุ
ล เฟสของแข็
งชนิดหนึงจะเริ
มเกิ
ดเป็นเฟสของแข็งมากกว่
าหนึ
งชนิ เสน้Solidus
ดที
2 : ภายใตสภาวะที
้ สมดุ
ล อุ
ณหภูมท
ิอยู
ีต
่ํ าเสน้Solidus จะประกอบดวยเฟสของเหลวและเฟสของแข็
ากว่ ้ ง
3 : ภายใตสภาวะที
้ สมดุ
ล อุ
ณหภูมท
ิอยู
ีต
่ํ าเสน้Solidus เฟสของเหลวจะเปลี
ากว่ ยนเป็
นเฟสของแข็ งทังหมด
4 : ภายใตสภาวะที
้ สมดุ
ล อุ
ณหภูมท
ิอยู
ีส
่งู าเสน้Solidus จะประกอบดวยเฟสของแข็
กว่ ้ งทังหมด
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 115 :
ขอใดไม่
้ ใช่ั ษณะของเสน้Solvus
ลก

1 : ภายใตสภาวะที
้ สมดุ
ล เฟสของแข็ งชนิดหนึงจะเริ
มเกิ
ดเป็นเฟสของแข็ งมากกว่าหนึ งชนิดที เสน้Solvus
2 : ภายใตสภาวะที
้ สมดุ
ล อุ
ณหภู มทิอยู
ีต ่ํ าเสน้Solvus จะประกอบดวยเฟสของเหลวและเฟสของแข็
ากว่ ้ ง
3 : ภายใตสภาวะที
้ ล เสน้Solvus จะเป็
สมดุ ้
นเสนแสดงขี ดจํากัดการละลาย (Solubility limit) ของเฟสของแข็งสองเฟส
4 : ภายใตสภาวะที
้ สมดุ
ลอุณหภูมท ี อเสน้Solvus เป็
ิเหนื นเฟสของแข็ งทังหมด
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 116 :
ขอใดไม่
้ ทํ
าใหเกิ
้ด Isomorphous systems

1 : โครงสรางผลึ
้ กของแต่ ละธาตุ มโีครงสรางแบบเดี
้ ยวกัน
2 : ธาตุ
แต่ละตัวตองรวมกั
้ นเกิ
ดเป็นสารประกอบ (Compound)
3 : ขนาดของอะตอมทังสองธาตุ มคีวามแตกต่ างกันไม่
เกิ
น 15%
4 : ธาตุ
แต่ละตัวควรมี
คา่Valence electron เหมื
อนกัน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 117 :
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – นิ
กเกิ
ล (Ni) โลหะผสมประกอบดวยทองแดง
้ าหนักและนิ
47%โดยนํ กเกิ
ล 53% โดยนํ
าหนัก ที
1300 องศาเซลเซี
ยส
ประกอบดวยเฟสอะไร

1 : เฟสของเหลว และเฟสของแข็
งα
2 : เฟสของแข็งα
3 : เฟสสารประกอบ Cu­Ni
4 : เฟสของเหลว
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 118 :
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – นิ กเกิ
ล (Ni) โลหะผสมประกอบดวยทองแดง
้ 30% โดยนํ
าหนักและนิ
กเกิ
ล 70% โดยนํ
าหนัก ถู
กใหความร
้ อนจากอุ
้ ณหภู
มิ
หอง ้ อยากทราบว่
าเฟสของเหลวเริ
มเกิ
ดขึ
นทีอุ
ณหภู มใิ

1 : ประมาณ 1200 องศาเซลเซี
ยส
2 : ประมาณ 1300 องศาเซลเซี
ยส
3 : ประมาณ 1350 องศาเซลเซี
ยส
4 : ประมาณ 1380 องศาเซลเซี
ยส
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 119 :
ขอใดไม่
้ เกี
ยวของกั
้ บการเกิ
ดโครงสรางแกน
้ (Cored structure)

1 : เกิ
ดในสภาวะทีไม่
สมดุล
2 : เกิ
ดจากความเขมข
้ นของส่
้ วนประกอบทางเคมี(Chemical composition) ในแต่
ละส่
วนต่
างกัน
3 : สามารถแกไขได
้ โดยการทํ
้ ากรรมวิ
ธท
ีางความรอน
้ (Heat treatment)
4 : การเย็
นตัวลงอย่ ้
างชาๆ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 120 :
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – นิเกิ
ล (Ni) โลหะผสมประกอบดวยทองแดง
้ 47%โดยนําหนักและนิ
เกิ
ล 53%โดยนํ
าหนักที1300 องศาเซลเซี
ยส ประกอบ
ดวยเฟสสองเฟส
้ คื
อ เฟสของแข็ง α ซึ สว่
งมี นประกอบโดยนํ าหนักของทองแดง 42% และ นิ
เกิ
ล 58% และเฟสของเหลวซึ สว่
งมี นประกอบโดยนําหนักของ
ทองแดง 55% และ นิ
เกิ
ล 45% อยากทราบเปอร์เซ็นต์โดยนํ
าหนักของเฟสทังสองของโลหะผสมนี

1 : เปอร์
เซ็
นต์
ของเฟสของเหลว คื
อ 61.5% และ เปอร์
เซ็
นต์
ของเฟสของแข็
ง α คื
อ 38.5%
2 : เปอร์
เซ็
นต์
ของเฟสของเหลว คื
อ 38.5% และ เปอร์
เซ็
นต์
ของเฟสของแข็
ง α คื
อ 61.5%
3 : เปอร์
เซ็
นต์
ของเฟสของเหลว คื
อ 44.5% และ เปอร์
เซ็
นต์
ของเฟสของแข็
ง α คื
อ 55.5%
4 : เปอร์
เซ็
นต์
ของเฟสของเหลว คื
อ 55.5% และ เปอร์
เซ็
นต์
ของเฟสของแข็
ง α คื
อ 44.5%
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 121 :
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – นิ
กเกิ า Degree of freedom บนเสน้Liquidus มี
ล (Ni) ค่ คา่
เท่
าใด
1 : Degree of freedom = 0
2 : Degree of freedom = 1
3 : Degree of freedom = 2
4 : Degree of freedom = 3
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 2

ขอที
้ 122 :
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – สังกะสี(Zn) ในช่ วงอุ
ณหภู
มติงแต่
ั 500 องศาเซลเซี
ยส ถึ
ง 750 องศาเซลเซี
ยส ของโลหะผสมที
มี
เปอร์
เซ็
นต์
โดยนํ
าหนัก
ของสังกะสี
ตงแต่
ั 60% ถึ
ง 100% มี
ปฏิ
กริย
ิา Invariant ใดเกิ
ดขึ
นบาง

1 : Eutectic reaction และ Eutectoid reaction


2 : Peritectic reaction และ Eutectoid reaction
3 : Eutectic reaction และ Peritectoid reaction
4 : Monotectic reaction และ Eutectoid reaction
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 2

ขอที
้ 123 :
จากแผนภาพเฟสของ นิ
กเกิ
ล (Ni)­ ไททาเนี
ยม (Ti) มี
ปฏิ
กริ

ิา Invariant ใดเกิ
ดขึ
นบาง

1 : Monotectic reaction, Peritectic reaction และ Eutectoid reaction
2 : Monotectic reaction, Peritectic reaction และ Peritectoid reaction
3 : Peritectic reaction, Eutectic reaction และ Eutectoid reaction
4 : Eutectoid reaction, Peritectoid reactionและ Peritectic reaction
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 3

ขอที
้ 124 :
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – เงิ
น (Ag) โลหะผสมประกอบดวยทองแดง
้ 10% โดยนําหนักและเงิ
น 90%โดยนํ
าหนัก ถู
กใหความร
้ อนจนเกิ
้ ดเฟสของแข็

และเฟสของเหลว ถาส่
้วนประกอบของเฟสของเหลวประกอบดวยเงิ
้ น (Ag) 85%โดยนํ
าหนัก อยากทราบว่าโลหะผสมนีถู
กใหความร
้ อนถึ
้ งอุณหภู
มเิ
ท่าใด

1 : ประมาณ 750 องศาเซลเซี


ยส
2 : ประมาณ 800 องศาเซลเซี
ยส
3 : ประมาณ 850 องศาเซลเซี
ยส
4 : ประมาณ 950 องศาเซลเซี
ยส
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 125 :
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – สังกะสี
(Zn) โลหะผสมประกอบดวยทองแดง
้ าหนักและสังกะสี
20%โดยนํ าหนัก ที
80%โดยนํ 598 องศาเซลเซี
ยส
ประกอบดวยเฟสอะไร

1 : เฟสของเหลว และเฟสของแข็งδ
2 : เฟสของเหลว และเฟสของแข็งε
3 : เฟสของแข็
งε
4 : เฟสของเหลว เฟสของแข็
ง δ และเฟสของแข็
งε
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 126 :
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – เงิ
น (Ag) โลหะผสมประกอบดวยทองแดง
้ าหนัก และเงิ
10%โดยนํ น 90%โดยนํ
าหนัก ถู
กใหความร
้ อนจนเกิ
้ ดเฟสของแข็ง
β และเฟสของเหลว ถาส่
้วนประกอบของเฟสของเหลวประกอบดวยเงิ
้ น (Ag) 85% โดยนํ
าหนัก อยากทราบว่
าเฟสของแข็
ง β ประกอบดวยเงิ
้ นกี เปอร์
เซ็
นต์
โดยนํ

หนัก

1 : ประมาณ 90% โดยนํ


าหนัก
2 : ประมาณ 95% โดยนํ
าหนัก
3 : ประมาณ 5% โดยนํ
าหนัก
4 : ประมาณ 10% โดยนํ
าหนัก
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 127 :
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – นิ
กเกิ
ล (Ni) โลหะผสมประกอบดวยทองแดง
้ าหนักและนิ
30%โดยนํ เกิ
ล 70%โดยนํ
าหนัก ที
1350 องศาเซลเซี
ยส
ประกอบดวยเฟสอะไร

1 : เฟสของเหลว
2 : เฟสของเหลว และเฟสของแข็
งα
3 : เฟสของแข็
งα
4 : เฟสของสารประกอบระหว่
างทองแดงและนิ
เกิ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 128 :
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – สังกะสี
(Zn) โลหะผสมประกอบดวยทองแดง
้ าหนักและสังกะสี
20%โดยนํ าหนัก ที
80%โดยนํ 800 องศาเซลเซี
ยส

ประกอบดวยเฟสอะไร

1 : เฟสของเหลว
2 : เฟสของเหลว และเฟสของแข็
งδ
3 : เฟสของเหลว และเฟสของแข็
งε
4 : เฟสของแข็
งγ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 129 :
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – สังกะสี
(Zn) โลหะผสมประกอบดวยทองแดง
้ าหนักและสังกะสี
20%โดยนํ าหนัก ที
80%โดยนํ 500 องศาเซลเซี
ยส
ประกอบดวยเฟสอะไร

1 : เฟสของเหลว
2 : เฟสของแข็
งε
3 : เฟสของแข็
งδ
4 : เฟสของเหลว และเฟสของแข็
งε
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 130 :
จากแผนภาพเฟสของตะกัว (Pb) – ดี
บก
ุ(Sn) โลหะผสมประกอบดวยดี
้ บกุ40%โดยนํ
าหนักและตะกัว 60%โดยนํ
าหนัก ที
150 องศาเซลเซี
ยส ประกอบดวยเฟส

อะไรบาง

1 : เฟสของแข็
งสองชนิ ดคื
อ (α Pb) และ (βSn)
2 : เฟสของแข็
ง (α Pb) และเฟสของเหลว
3 : เฟสของแข็
ง (βSn) และเฟสของเหลว
4 : เฟสของเหลว
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 131 :
จากแผนภาพเฟสของตะกัว (Pb) – ดี
บก
ุ(Sn) โลหะผสมประกอบดวยดี
้ บกุ61.9%โดยนํ
าหนักและตะกัว 38.1%โดยนํ
าหนัก ที
183 องศาเซลเซี
ยส ประกอบดวย

เฟสอะไรบาง

1 : เฟสของแข็
งสองชนิ ดคื
อ (α Pb) และ (βSn) และเฟสของเหลว
2 : เฟสของแข็
ง (α Pb) และเฟสของเหลว
3 : เฟสของแข็
ง (βSn) และเฟสของเหลว
4 : เฟสของแข็
งสองชนิ ดคื
อ (α Pb) และ (βSn)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 132 :
จากแผนภาพเฟสของตะกัว (Pb) – ดี
บก
ุ(Sn) บริ
เวณที
เป็
น α มี
ความหมายว่
าอย่
างไร

1 : เฟสสารละลายของแข็
ง (α Pb) ที
มี
โครงสรางผลึ
้ กของดี
บก
ุและตะกัวอยูร่
ว่
มกัน
2 : เฟสสารละลายของแข็
ง (α Pb) ที
มี
โครงสรางผลึ
้ กของตะกัว และมี
อะตอมของดี บก
ุแทรกอยู ใ่
นโครงสราง

3 : เฟสสารละลายของแข็
ง (α Pb) ที
มี
โครงสรางผลึ
้ กแตกต่
างจากโครงสรางของดี
้ บก
ุและตะกัว
4 : เฟสสารละลายของแข็
ง (α Pb) ที
มี
โครงสรางผลึ
้ กของดี
บก
ุและมี อะตอมของตะกัวแทรกอยู ใ่
นโครงสราง

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 133 :
ขอใดไม่
้ ใช่
ลก
ั ษณะของโครงสรางจุ
้ ลภาคของส่
วนประกอบ Eutectic
1 : Lamellar
2 : Rodlike
3 : Globular
4 : Homogeneous
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 134 :
ปฏิ กริ

ิาต่
อไปนี
ขอใดไม่
้ ใช่
ปฏิ
กริ

ิา Invariant

1 : Eutectic reaction
2 : Monotectic reaction
3 : Peritectoid reaction
4 : Oxidation reaction
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 4

ขอที
้ 135 :
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – นิ
กเกิ
ล (Ni) ค่ างเสน้Solidus และ Liquidus มี
า Degree of freedom ระหว่ คา่
เท่
าใด

1 : Degree of freedom = 0
2 : Degree of freedom = 1
3 : Degree of freedom = 2
4 : Degree of freedom = 3
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 2

ขอที
้ 136 :
ขอใดต่
้ อไปนี
เป็
นปฏิ
กริ

ิา Monotectic

1:

2:

3:

4:
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 137 :
กรรมวิ
ธก
ีารชุ ใชตั้
บที วกลางชนิ
ดใดต่
อไปนี
ที
ทํ
าใหเกิ
้ดอัตราการคายความรอนจากชิ
้ นงานมากที
สุ

1 : อากาศปกติ
2 : อากาศในเตาอบ
3 : นํ
าเปล่า
4 : นํ
ามัน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 138 :
กรรมวิ
ธก
ีารอบชนิ
ดใดต่
อไปนี
ทํ
าใหช้ิ
นงานมี
ความแข็
งแรงสู
งที
สุ

1 : การอบในกระบวนการ (Process annealing)


2 : การอบปรกติ (Normalizing)
3 : การอบอ่อนเต็มที(Full annealing)
ยรอยไดซงิ(Spheroidizing)
4 : สเฟี
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 139 :
ในการอบอ่
อนเต็
มที ิ
(Full annealing) ชนงานถู
กทํ
าใหเย็
้นลงดวยตั
้ วกลางชนิ
ดใด

1 : อากาศปรกติ
นอกเตาอบ
2 : อากาศในเตาอบ
3 : นํ
าเปล่า
4 : นํ
ามัน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 140 :
ในการอบปรกติ ิ
(Normalizing) ชนงานถู
กทํ
าใหเย็
้นลงดวยตั
้ วกลางชนิ
ดใด

1 : อากาศปรกติ นอกเตาอบ
2 : อากาศในเตาอบ
3 : นํ
าเปล่า
4 : นํ
ามัน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 141 :
ขอใดคื
้ อโครงสรางที
้ ไดจากการเย็
้ นตัวอย่ ้ ของเหล็
างชาๆ กกลาคาร์
้ บอนตํ
าที
มี
โครงสรางออสเทไนต์
้ (Austenite)

1 : เพอร์
ไลต์(Pearlite) และ เฟร์
ไรต์
(Ferrite)
2 : เพอร์
ไลต์(Pearlite) และ ซเี
มนไทต์(Cementite)
3 : เบไนต์(Bainite)
4 : มาร์
เทนไซต์ (Martensite)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 142 :
จากแผนภาพการแปลงคงอุ ณหภูมิ
(Isothermal transformation diagram) ของเหล็
กกลาคาร์
้ บอน 1.13 wt%C ขอใดคื
้ อโครงสรางสุ้ ดทายของช
้ ิ
นงานเหล็กกลา้
คาร์บอน 1.13 wt%C ขนาดเล็
กทีถู
กอบที อุ
ณหภู มิ 920 องศาเซลเซย ีส จนมี
โครงสรางเป็
้ นออสเทไนต์ ิ อนทํ
(Austenite) ตลอดทังชนก่ าใหเย็
้นตัวลงอย่
างรวดเร็


จนชนงานมี อณุหภูมิ
400 องศาเซลเซยีส และแชช ่นงานไว
ิ ที
้อุณหภู มน
ินาน
ี 1 นาที ก่
อนทําใหเย็
้นตัวถึ
งอุ
ณหภู มหิอง

1 : ออสเทไนต์(Austenite) และ เบไนต์ (Bainite)


2 : ออสเทไนต์(Austenite) เบไนต์ (Bainite) และ มาร์
เทนไซต์(Martensite)
3 : เบไนต์
(Bainite) และ มาร์
เทนไซต์ (Martensite)
4 : ซเี
มนไทต์(Cementite) เบไนต์ (Bainite)และ มาร์เทนไซต์(Martensite)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 143 :
ขอใดคื
้ อวัตถุ
ประสงค์
ของการอบปรกติ
(Normalizing)

1 : เพื
อปรับปรุ ชงิ
งสมบัตเิ กลใหดี
้ขนึ
2 : เพื
อปรับปรุ
งโครงสรางให
้ สมํ
้ าเสมอ
3 : เป็
นการทําลายความเครียดภายใน
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 144 :
ขอใดคื
้ อวัตถุ
ประสงค์
ของการอบอ่
อน (Annealing)

1 : เพื
อเพิมความแข็ งแรง
2 : เพื
อใหได้โครงสร
้ างที
้ มี ความอ่
อนตัวสู

3 : เพื
อเพิมความแข็ งใหกั้
บวัสดุ
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 145 :
ขอใดคื
้ อปั จจัยที
มี
ผลต่
อความแข็
งของเหล็
กกลาคาร์
้ บอนปานกลาง

1 : ปริ
มาณคาร์
บอน
2 : อุ
ณหภู มกิอ
่นการชุบแข็

3 : อัตราการชุบแข็ง
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 146 :
โครงสรางเพอร์
้ ไลต์
(Pearlite) ในเหล็
กกลาเป็
้ นโครงสรางที
้ ไดจากปฏิ
้ กริ

ิาอะไร

1 : ยู
เทกติก (Eutectic)
2 : ยู
เทกทอยด์ (Eutectoid)
3 : เพริ
เทกติก (Peritectic)
4 : เพริ
เทกทอยด์ (Peritectoid)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 2

ขอที
้ 147 :
ในภาวะสมดุ ล ณ อุ
ณหภู
มต
ิํ
ากว่
าอุ
ณหภูมย
ิเู
ทคทอยด์
เล็
กนอย
้ โครงสรางเหล็
้ กกลาคาร์
้ บอนตํ
า (0.2wt%C) ประกอบดวยโครงสร
้ างของเฟสกึ
้ งเสถี
ยร (Metastable
phase) ใดบาง
้ และเกิ
ดขึ
นในปริ
มาณเท่
าใด

1 : เฟร์
ไรต์(Ferrite) 80% และ เพอร์
ไลต์
(Pearlite) 20%
2 : เฟร์
ไรต์(Ferrite) 20% และ เพอร์
ไลต์
(Pearlite) 80%
3 : เฟร์
ไรต์(Ferrite) 75% และ เพอร์
ไลต์
(Pearlite) 25%
4 : เฟร์
ไรต์(Ferrite) 25% และ เพอร์
ไลต์
(Pearlite) 75%
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 148 :
ลักษณะโครงสรางบริ ื (HAZ) ในเหล็
้ เวณรอบรอยเชอม กกลาคาร์ าสว่
้ บอนตํ นที
ติ
ดกับบริ ื อ ขอใดต่
เวณหลอมเหลว (Fusion zone) ของรอยเชอมคื ้ อไปนี

1 : โครงสรางมี
้ ขนาดเกรนหยาบ
2 : โครงสรางมี
้ ขนาดเกรนละเอี ยด
3 : โครงสรางเป็
้ นมาร์ เทนไซต์ (Martensite)
4 : โครงสรางเป็
้ นเบไนต์ (Bainite)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 149 :
จากแผนภาพเฟสดี บกุ­ตะกัว โครงสรางของโลหะผสมดี
้ บก
ุและตะกัวที
อุ
ณหภู
มต
ิํ
ากว่
า 183˚C เล็
กนอย
้ ประกอบดวยเฟส
้ Proeutectic α 73.2% โดยนํ
าหนัก และ
าหนัก สว่
เฟสของ Eutectic (α + β) 26.8% โดยนํ นผสมของโลหะนี
คือขอใด

1 : ดี
บก
ุ20% และตะกัว 80% โดยนํ
าหนัก
2 : ดี
บก
ุ25% และตะกัว 75% โดยนํ
าหนัก
3 : ดี
บก
ุ30% และตะกัว 70% โดยนํ
าหนัก
4 : ดี
บก
ุ35% และตะกัว 65% โดยนํ
าหนัก
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 150 :
จากแผนภาพเฟสดี
บก
ุ­ตะกัว โลหะผสมของดี
บก
ุ85% และตะกัว 15% โดยนํ
าหนัก จํ
านวน 750 กรัมที
อุ
ณหภู
มส
ิงู
กว่
า 183˚C เล็
กนอย
้ ประกอบดวยเฟส

Proeutectic β กี
กรัม

1 : 323.4
2 : 482.6
3 : 526.7
4 : 651.2
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 151 :
จากแผนภาพเฟสดี
บก
ุ­ตะกัว โลหะผสมของดี
บก
ุ85% และตะกัว 15% โดยนํ
าหนัก จํ
านวน 750 กรัมที
อุ
ณหภู
มต
ิํ
ากว่
า 183˚C เล็
กนอย
้ ประกอบดวยเฟส
้ α กี
กรัม
1 : 323.65
2 : 240.64
3 : 120.75
4 : 94.36
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 152 :
จากแผนภาพเฟสของทองแดง (Cu) – เงิ น (Ag) โครงสรางของโลหะผสมทองแดงและเงิ
้ นที
อุณหภู
มต
ิํ
ากว่
า 779˚C เล็
กนอย
้ ประกอบดวยเฟส
้ Proeutectic α
68% โดยนํ าหนัก สว่
าหนัก และเฟสของ Eutectic (α + β) 32% โดยนํ นผสมของโลหะนี
คื
อขอใด

1 : ทองแดง 10% และเงิ


น 90% โดยนํ
าหนัก
2 : ทองแดง 15% และเงิ
น 85% โดยนํ
าหนัก
3 : ทองแดง 20% และเงิ
น 80% โดยนํ
าหนัก
4 : ทองแดง 25% และเงิ
น 75% โดยนํ
าหนัก
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 153 :
โลหะผสมของทองแดง 70% และ เงิ
น 30% โดยนํ
าหนัก จํ
านวน 800 กรัม ที
อุ
ณหภู
มต
ิํากว่ ีส เล็
า 779 องศาเซลเซย กนอย
้ จะมี
เฟสใดเกิ
ดขึ
นบางและเกิ
้ ดขึ
นเป็

จํ
านวนเท่
าใด

1 : เฟส (Cu) 410.5 กรัม และเฟส (Ag) 389.5 กรัม


2 : เฟส (Cu) 501.7 กรัม และเฟส (Ag) 298.3 กรัม
3 : เฟส (Cu) 524.6 กรัม และเฟส (Ag) 275.4 กรัม
4 : เฟส (Cu) 588.8 กรัม และเฟส (Ag) 211.5 กรัม
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 4

ขอที
้ 154 :
โลหะผสมของทองแดง 70% และ เงิ
น 30% โดยนํ
าหนัก จํ
านวน 800 กรัม ที
อุ
ณหภู
มส
ิงู
กว่ ีส เล็
า 779 องศาเซลเซย กนอย
้ จะมี
เฟสใดเกิ
ดขึ
นบางและเกิ
้ ดขึ
นเป็

จํ
านวนเท่
าใด

1 : เฟส (Cu) 610.5 กรัม และเฟส (Ag) 189.5 กรัม


2 : เฟส (Cu) 510.7 กรัม และเฟส (Ag) 298.3 กรัม
3 : เฟส (Cu) 524.6 กรัม และเฟส (Ag) 275.4 กรัม
4 : เฟส (Cu) 730 กรัม และเฟส (Ag) 70 กรัม
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 3

ขอที
้ 155 :
จากแผนภาพเฟสของ นิ
กเกิ
ล (Ni)­ ไททาเนี
ยม (Ti) ขอใดคื
้ อปฏิกริ

ิา Eutectic ที
เกิ
ดขึ

1:

2:

3:

4:
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 156 :
จากแผนภาพเฟสของ นิ
กเกิ
ล (Ni) ­ ไททาเนี
ยม (Ti) ขอใดคื
้ อปฏิกริ

ิา Peritectic ที
เกิ
ดขึ

1:

2:

3:

4:

คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 4
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 157 :

ในระบบ Ternary ซงประกอบด ้ ว่
วยส นประกอบ 3 ชนิด อยากทราบว่
าถาให
้ อุ้
ณหภู
มส
ิามารถเปลี
ยนแปลงได ้
แต่
ความดันมี
คา่
คงที
จะมี
จํ
านวนเฟสเกิ
ดขึ
นไดมาก

ทีสุดพรอมกั
้ นกี เฟสทีอุ
ณหภู ิละสว่
มแ นประกอบเดียวกัน

1:5
2:4
3:3
4:2
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 158 :
จากแผนภาพเฟสทองแดง­เงิ
น ถาโลหะผสมของทองแดง
้ 70% และ เงิ
น 30% โดยนํ
าหนัก จํ
านวน 800 กรัม ที
อุ
ณหภู
มิ ีส จะมี
800 องศาเซลเซย เฟสใดเกิ
ดขึ

บางและเกิ
้ ดขึ
นเป็
นจํ
านวนเท่
าใด

1 : เฟส (Cu) 610.5 กรัม และเฟสของเหลว 189.5 กรัม


2 : เฟส (Cu) 549.6 กรัม และเฟสของเหลว 250.4 กรัม
3 : เฟส (Cu) 580.6 กรัม และเฟสของเหลว 219.4 กรัม
4 : เฟส (Cu) 730 กรัม และเฟสของเหลว 70 กรัม
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 2

ขอที
้ 159 :
ขอใดต่
้ อไปนี ใชเ่
ไม่ ฟสในเหล็
กกลาคาร์
้ บอน (Carbon steel)

1 : เหล็
กบริสทุธิ
2 : เฟร์
ไรต์(Ferrite)
3 : ซเี
มนไทต์ (Cementite)
4 : ออสเทไนต์ (Austenite)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 1

ขอที
้ 160 :
ซเี มนไทต์
(Cementite) ในเหล็
กกลาคาร์
้ บอนเป็
นเฟส (Phase) ชนิ
ดใด

1 : ธาตุ
บริสท
ุธิ
2 : สารละลายของแข็ ง (Solid solution)
3 : สารประกอบ (Compound)
4 : สารประกอบระหว่างโลหะ (Intermetallic compound)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 161 :
เหล็กกลาคาร์
้ บอน 0.8wt%C ชุ
บในนํ
าเย็
นจากอุ
ณหภู
มิ ีส จะไดโครงสร
1000 องศาเซลเซย ้ างใด

1 : มาร์
เทนไซต์ (Martensite)
2 : เฟร์
ไรต์(Ferrite)
3 : เพอร์
ไลต์ (Pearlite)
4 : ออสเทไนต์ (Austenite)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 1

ขอที
้ 162 :
โลหะผสมในขอใดต่
้ อไปนี
ที
สามารถเพิ
มความแข็
งแรงโดยการบ่
มแข็
ง (Age hardening) ได ้

1 : Al + 4wt%Cu
2 : Al + 8wt%Cu
3 : Al + 12wt%Cu
4 : Al + 16wt%Cu
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 163 :
เฟสของแข็
งเฟสแรกที
เกิ
ดจากการแข็
งตัวจากสภาวะของเหลวของ Al+20wt%Si คื
อขอใด

1 : (Al)
2 : (Si)
3 : Eutectic ((Al)+(Si))
4 : สารประกอบอะลู มเินี ิไิ
ยมซล ซด์
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 164 :
โครงสรางงานหล่
้ อทองเหลื
อง (Zn+ 20wt%Cu) โดยทัวไป จะเป็
นดังในขอใด

1 : สารละลายของแข็ง (Solid solution) สว่นผสมเท่ากันทุ


กตํ าแหน่

2 : สารละลายของแข็ง (Solid solution) ลักษณะเป็นเดนไดรท์ (Dendrite)
3 : สารประกอบ (Compound) สว่ นผสมเท่ ากันทุ
กตํ
าแหน่ง
4 : สารประกอบ (Compound) ลักษณะเป็ นเดนไดรท์ (Dendrite)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 165 :
ชว่ งการแข็
งตัว (Freezing range) ของโลหะผสม Cu + 40wt%Ni มี
คา่
ประมาณเท่
าใด
ีส
1 : 10 องศาเซลเซย
ีส
2 : 40 องศาเซลเซย
3 : 100 องศาเซลเซยีส
4 : 150 องศาเซลเซยีส
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 166 :
โลหะผสม Cu + 40wt%Ni แข็
งตัวอย่ ้ ในภาวะสมดุ
างชาๆ ล การแข็
งตัวจะเริ
มตนและส
้ ิ ดที
นสุ อุ
ณหภู
มใิ ีส)
ดโดยประมาณ (องศาเซลเซย

1 : เริ ิ ด 1085
มตน้1455 สนสุ
2 : เริ ิ ด 1240
มตน้1455 สนสุ
3 : เริ ิ ด 1240
มตน้1280 สนสุ
4 : เริ ิ ด 1085
มตน้1280 สนสุ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 167 :
โครงสรางที
้ เกิ
ดขึ
นจากการแข็
งตัวของโลหะผสม Pb + 30wt%Sn ในภาวะสมดุ
ล ประกอบดวยโครงสร
้ างยู
้ เทกติ
ก (Eutectic microconstituent) ประมาณเท่
าใด
1 : 16%
2 : 26%
3 : 36%
4 : 46%
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 168 :
ขอมู
้ลในขอใดต่
้ อไปนี
ที
ไม่
สามารถหาไดจากแผนภาพเฟส
้ (Phase diagram)

1 : ชนิดของเฟสในภาวะสมดุ

2 : สว่
นผสมของเฟสในภาวะสมดุล
3 : ปริ
มาณของเฟสในภาวะสมดุล
4 : รู
ปร่
างของเฟสในภาวะสมดุ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 169 :
โครงสรางที
้ ไดจากกระบวนการมาร์
้ เทมเปอริ
ง (Martempering) คื
อโครงสรางใด

1 : เฟร์
ไรต์(Ferrite)
2 : เพอร์
ไรต์(Pearite)
3 : เบไนต์(Bainite)
4 : มาร์
เทนไซต์ (Martensite)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 170 :
ธาตุใดสง่
เสริ
มใหเกิ
้ดแกรไฟต์
(Graphite) แทนที
จะเกิ
ดคาร์
ไบด์
(Carbide) ในเหล็
กหล่

1 : Cr
2 : Mn
3 : Mo
4 : Si
คํ
าตอบทีถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 171 :
วัตถุ
ประสงค์
หลักของการอบคื
นไฟ (Tempering) คื
อขอใด

1 : เพิ
มความแข็
งใหกั้
บเพอร์
ไลต์(Pearlite)
2 : เพิ
มความแข็
งใหกั้
บมาร์
เทนไซต์ (Martensite)
3 : เพิ
มความเหนี
ยวใหกั้
บเพอร์
ไลต์(Pearlite)
4 : เพิ
มความเหนี
ยวใหกั้
บมาร์
เทนไซต์ (Martensite)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 172 :
(Normalizing) สํ
การอบปรกติ าหรับเหล็
กกลา้0.2wt%C ควรอบที
อุ
ณหภู
มใิ ีส)
ด (องศาเซลเซย

1 : 700
2 : 800
3 : 950
4 : 1050
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3
ขอที
้ 173 :
อุณหภู
มท
ิเหมาะสมในการบ่
ี มเพื
อเพิ ง (Aging) สํ
มความแข็ าหรับโลหะผสม Al + 4wt%Cu คื
อขอใด ีส)
้ (องศาเซลเซย

1 : 200
2 : 400
3 : 500
4 : 600
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 174 :
ในการหล่
อโลหะผสม Cu + 10wt%Sn จะเกิ
ดปฏิ
กริ

ิาเพริ
เทกติ
ก (Peritectic) ไดหรื
้อไม่

1 : ไม่
สามารถเกิ เพราะสว่
ดได ้ นผสมไม่ ่ว่
ใชส นผสมเพริเทกติ

2 : ไม่
สามารถเกิ
ดได ้
เพราะปริมาณดีบกุนอยเกิ
้ นไป
3 : สามารถเกิ
ดไดในกรณี
้ ทการแข็
ี งตัวเป็
นไปอย่ างไม่
สมดุ

4 : สามารถเกิ
ดไดในทุ
้ กกรณี ไม่
วา่
การแข็ งตัวจะเป็
นแบบสมดุลหรื
อไม่
กต
็าม
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 175 :
โครงสรางงานหล่
้ อของโลหะชนิ
ดใดต่
อไปนี
ที
จะไม่
มเี
ดนไดรต์
(Dendrite) ปรากฏใหเห็
้นอย่ ั เจน
างชด
1 : ทองเหลือง
2 : อะลู
มเิ
นี
ยมผสมซล ิค
ิอน
3 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนตํ า
4 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ม
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 176 :
การเปลี
ยนเฟสจากออสเทไนต์
(Austenite) เป็
นเบไนต์
(Bainite) ของเหล็
กกลาคาร์
้ บอน 0.8wt%C ที
อุ
ณหภู
มิ ีส เกิ
300 องศาเซลเซย ดขึ
นไดค่
้ ้ า้เพราะ
อนขางช

เหตุ
ใด

1 : แรงผลัก (Driving force) ตํ


า เนื
องจากอุณหภูมต
ิําเกิ
นไป
2 : อัตราการแพร่ซมึ(Diffusion rate) ของคาร์
บอนตําเกิ
นไป
3 : อัตราการแพร่ซมึ(Diffusion rate) ของเหล็
กตํ
าเกินไป
4 : เหล็กมี
ปริมาณคาร์ บอนสู งเกินไป
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

เนื
อหาวิ
ชา : 243 : 06 Mechanical properties and testing

ขอที
้ 177 :
แท่ งทองเหลืองทรงกระบอกขนาดเสนผ่ ้ านศู นย์กลาง 10 มม. ยาว 150 มม. ไดรั้
บความรอนที
้ อุ ณหภูมห
ิอง ีส) จนมี
้ (25 องศาเซลเซย อณ
ุหภู
มถิงึ160 องศา
เซลเซยีส ทําใหเส ้ านศู
้นผ่ นย์กลางของแท่ งทองเหลื องมีขนาดเพิ มขึ
นเท่าไร กําหนดใหค่
้ ั ประสท
าสม ิธิการขยายตัวทางความรอนของทองเหลื
้ อง คื
อ 20.0 (องศา
เซลเซยีส x 10­6) และค่
า Poisson’s Ratio = 0.34

1 : 0.0095 มม.
2 : 0.0270 มม.
3 : 0.0345 มม.
4 : 0.0375 มม.
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 178 :
สว่
วัสดุ นใหญ่
ในกลุ

่ใดที
เปราะ (Brittle) มากที
สุ

1 : พลาสติก
2 : ยาง
3 : โลหะ
4 : เซรามิ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 179 :
สว่
วัสดุ นใหญ่
ในกลุ

่ใดมี
สภาพยื
ดหยุ

่ได ้
(Ductile) มากที
สุ

1 : โลหะ
2 : เซรามิก
3 : พอลิ เมอร์
เชงิ
4 : วัสดุ ประกอบ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 180 :
สว่
วัสดุ นใหญ่
ในกลุ

่ใดมี
ความแข็
งตึ
ง (Stiffness) มากที
สุ

1 : โลหะ
2 : เซรามิ

3 : พลาสติก
4 : ยาง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 181 :
การครี
พ (Creep) ของวัสดุ
โลหะ หมายถึ ีรู
ง การเสย ปที
อุ
ณหภู
มส
ิงู
ในลักษณะใด
ีรู
1 : การเสย ปถาวรของวัสดุ(Plastic deformation) เนื
องจากไดรั้
บแรงดึงเกิ
นจุดคราก (Yield point) เป็
นเวลานานๆ
ีรู
2 : การเสย ั
ปชวคราวของวัสดุ (Elastic deformation) เนื
องจากไดรั้
บแรงดึงเกิ
นจุ
ดคราก (Yield point) เป็นเวลานานๆ
ีรู
3 : การเสย ปถาวรของวัสดุ(Plastic deformation) เนื
องจากไดรั้
บแรงดึงตํ
ากว่าจุ
ดคราก (Yield point) เป็
นเวลานานๆ
ีรู
4 : การเสย ั
ปชวคราวของวัสดุ (Elastic deformation) เนื
องจากไดรั้
บแรงดึงตํ
ากว่
าจุ
ดคราก (Yield point) เป็นเวลานานๆ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 182 :
วัสดุ
ในขอใดต่
้ อไปนี
มี
ความแข็
ง (Hardness) มากที
สุ

1 : เหล็กหล่อขาว
2 : เหล็กกลาเครื
้ องมือ
3 : อะลูมน
ิา
4 : แท่งนาโนเพชร
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 183 :
ภายใตแรงดึ
้ งอย่างไรที
ทํ
าใหเหล็
้ กกลาคาร์
้ บอนตํ ีรู
าเสย ปอย่
างไม่
สมํ
าเสมอ (Non­uniform deformation)

้ งนอยกว่
1 : ใชแรงดึ ้ าความตานแรงคราก
้ (Yield strength)
้ งมากกว่
2 : ใชแรงดึ าความตานแรงคราก
้ (Yield strength)
้ งนอยกว่
3 : ใชแรงดึ ้ าความตานแรงดึ
้ ง (Tensile strength)
้ งมากกว่
4 : ใชแรงดึ าความตานแรงดึ
้ ง (Tensile strength)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 184 :
สมบัตใิ
ดบ่ ีงพลังงานที
งชถึ วัสดุ
ดด
ูกลื ้ ว่
นไวในช ีรู
งการเสย ั
ปชวคราวของวั
สดุ
(Elastic deformation) และเมื
อมี
การปลดแรงกระทํ
าออกแลว้พลังงานนี
จะตองถู
้ ก
คลายกลับคื
นมา

1 : ความเหนี ยว (Toughness)
2 : มอดุลสั ของรีซเิ
ลียนซ ์(Modulus of resilience)
3 : ความแข็ งแรง (Strength)
4 : อัตราสว่นของปั วซอง (Poisson’s ratio)
คํ
าตอบที ถู กตอง
้: 2

ขอที
้ 185 :
สมบัตใิ
ดบ่ ีงพลังงานที
งชถึ วัสดุ
ดด
ูกลื
นไวก่
้อนทีิ
ชนงานแตกหั

1 : มอดุลสั ของสภาพยื ดหยุ น


่(Modulus of elasticity)
2 : ความแข็ งแรง (Strength)
3 : ความเหนี ยว (Toughness)
4 : อัตราสว่นของปั วซอง (Poisson’s ratio)
คํ
าตอบที ถู กตอง
้: 3

ขอที
้ 186 :
สมบัตใิ
ดบ่ ี
งชการเปลี
ยนแปลงขนาดของแท่งโลหะตามทิ
ศทางการดึ
งเที
ยบกับขนาดเดิ
มในทิ
ศทางนันต่
อการเปลี
ยนแปลงขนาดของแท่
งโลหะในทิ
ศทางตังฉาก
กับทิ
ศทางการดึ
งเที
ยบกับขนาดเดิ
มในทิ
ศทางนัน

1 : มอดุลสั ของสภาพยื ดหยุ น


่(Modulus of elasticity)
2 : ความแข็ งแรง (Strength)
3 : ความเหนี ยว (Toughness)
4 : อัตราสว่นของปั วซอง (Poisson’s ratio)
คํ
าตอบที ถู กตอง
้: 4

ขอที
้ 187 :
เซรามิ
กสามารถรับแรงชนิ
ดใดไดดี
้ทสุ
ีด

1 : แรงดึง (Tension)
2 : แรงอัด (Compression)
3 : แรงบิด (Torsion)
4 : แรงกระแทก (Impact)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 188 :

ชนงานในลั
กษณะใดที
ตานทานการเส
้ ีรู
ย ปดวยการดึ
้ งมากที
สุ


1 : ชนงานที
มี
ความแข็งตึงมาก (Stiffness)

2 : ชนงานที
มี
ความเหนียวมาก (Toughness)

3 : ชนงานที
มี
สภาพดึงยืดไดมาก
้ (Ductility)

4 : ชนงานที
มี
ความแข็งแรงสูง (Strength)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 189 :
เหมาะสมสํ
การทดสอบใดที าหรับหาค่
าความเหนี
ยว (Toughness) ของวัสดุ
มากที
สุ

1 : Impact test
2 : Bending test
3 : Creep test
4 : Hardness test
คํ
าตอบที ถูกตอง ้: 1

ขอที
้ 190 :
เครืองวัดความแข็ เนลเหมาะสมสํ
งแบบบริ าหรับวัดความแข็
งของวัสดุ
ชนิ
ดใดต่
อไปนี
มากที
สุ

1 : เหล็
กหล่อเทา
2 : ยางพารา

3 : ไมส้

4 : พลาสติก
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 191 :
แท่ งโลหะผสมของอลู มเิ
นี
ยมมี ้ านศู
เสนผ่ นย์
กลาง 15 มิ
ลลิเมตร นําไปทดสอบดวยแรงดึ
้ ง (Tension) 24.5 กิ
โลนิ
วตัน ถาเส ้ านศู
้ นผ่ นย์
กลางของโลหะผสมนี
กลาย
เป็ น 14.5 มิ
ลลิ
เมตร จงหาค่าความเคนทางวิ
้ ศวกรรม (Engineering stress) ในหน่
วย MPa

1 : 139
2 : 148
3 : 160
4 : 183
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 192 :
วัสดุ
ในขอใดต่
้ อไปนี
มี
ความแข็
งแรง (Strength) มากที
สุ

1 : ท่อนาโนคาร์
บอน
2 : เหล็กหล่
อเทา
3 : ไททาเนียมผสมนิเกิ

4 : เพชร
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 193 :
ขอใดถู
้ กตอง

1 : ความเคนจริ
้ ง คื
อ แรงกระทํ
าต่อหนึงหน่วยพื
นที ิ
ของชนงานเริ
มตนก่
้ อนรับแรง
2 : ความเคนทางวิ
้ ศวกรรม คื
อ แรงกระทําต่
อหนึงหน่
วยพื
นที ิ
ของชนงานในขณะใด ๆ
3 : ความเครี
ยดจริ
ง คื
อ การเปลี ิ
ยนแปลงความยาวของชนงานต่ อหนึงหน่ ิ
วยความยาวของชนงานเริ
มตนก่
้ อนการเปลี
ยนแปลง
4 : ความเครี
ยดทางวิศวกรรม คื
อ การเปลี ิ
ยนแปลงความยาวของชนงานต่อหนึงหน่ ิ
วยความยาวของชนงานเริ
มตนก่
้ อนการเปลี
ยนแปลง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 194 :
จงคํานวณค่ามอดุ ลส
ั ของสภาพยื ดหยุน
่(Modulus of elasticity) ของวัสดุ
M จากขอมู
้ลต่ อไปนี วัสดุ
M ไดรั้
บแรงดึ ึ าใหเกิ
ง (Tension) ซงทํ ้ดการเสย ีรูปอย่ าง

ชวคราว (Elastic deformation) โดยมี
คา่ความเคนทางวิ
้ ศวกรรม (Engineering stress) เท่
ากับ 500 MPa และความเครียดทางวิ ศวกรรม (Engineering strain) เท่
ากับ
0.001

1 : 500 GPa
2 : 50 GPa
3 : 5 GPa
4 : 0.5 GPa
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 195 :
ภายใตแรงดึ
้ ง (Tension) อย่
างไรที
ทํ
าใหช้ิ
นงานเส ีรู
ย ปแบบยื
ดหยุ

่(Elastic deformation)

้ งนอยกว่
1 : ใชแรงดึ ้ าความตานแรงคราก
้ (Yield strength)
้ งมากกว่
2 : ใชแรงดึ าความตานแรงคราก
้ (Yield strength)
้ งนอยกว่
3 : ใชแรงดึ ้ าความตานแรงดึ
้ ง (Tensile strength)
้ งมากกว่
4 : ใชแรงดึ าความตานแรงดึ
้ ง (Tensile strength)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 196 :
ภายใตแรงดึ
้ ง (Tension) อย่
างไรที
ทํ
าใหช้ิ
นงานเส ีรู
ย ปอย่
างถาวร (Plastic deformation)

้ งนอยกว่
1 : ใชแรงดึ ้ าความตานแรงคราก
้ (Yield strength)
้ งมากกว่
2 : ใชแรงดึ าความตานแรงคราก
้ (Yield strength)
้ งนอยกว่
3 : ใชแรงดึ ้ าความตานแรงดึ
้ ง (Tensile strength)
้ งมากกว่
4 : ใชแรงดึ าความตานแรงดึ
้ ง (Tensile strength)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 197 :
ภายใตแรงดึ
้ ง (Tension) อย่
างไรที
ทํ
าใหช้ิ
นงานอะลู
มเิ
นี ีรู
ยมเสย ปอย่
างถาวรและสมํ ิ (Uniform­plastic deformation)
าเสมอตลอดทังชนงาน

้ งนอยกว่
1 : ใชแรงดึ ้ าความตานแรงคราก
้ (Yield strength)
้ งมากกว่
2 : ใชแรงดึ าความตานแรงคราก
้ (Yield strength)
้ งมากกว่
3 : ใชแรงดึ าความตานแรงคราก
้ (Yield strength) แต่
นอยกว่
้ าความตานแรงดึ
้ ง (Tensile strength)
้ งมากกว่
4 : ใชแรงดึ าความตานแรงดึ
้ ง (Tensile strength)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 198 :
ความสามารถในการเปลี
ยนแปลงรู
ปร่
างของวัสดุ
กอ
่นการแตกหัก หมายถึ
ง สมบัตข
ิอใด

1 : ความแข็
งตึ
ง (Stiffness)

2 : สภาพดึงยื
ดได ้(Ductility)
3 : ความยื
ดหยุน
่(Resilience)
4 : ความลา้(Fatigue)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 199 :
ขอใดกล่
้ าวผิ
ด เกี
ยวกับกฎของฮุ
ก (Hooke’s law)
1 : ความสมั พันธ์
ของความเคน้(Stress) และความเครียด (Strain) ที ึนและกัน
แปรผันตรงซงกั
2 : ค่
าคงที ของการแปรผันทีเป็
นไปตามกฎของฮุ ก คื
อ ค่
ามอดุ ลสั สภาพยืดหยุน
่(Modulus of elasticity)
ีรู
3 : การเสย ปทีเกิ
ดขึ ึ
นซงความเค น้(Stress) และความเครี ึนและกันนี
ยด (Strain) แปรผันตรงซงกั เรี
ยกว่ ีรู
า การเสย ปอย่
างถาวร (Plastic deformation)
4 : ค่
ามอดุ ลส
ั สภาพยื
ดหยุน
่เป็นค่
าทีบอกถึ งความแข็งตึง (Stiffness) ของวัสดุ
ในการตานทานต่
้ อการเสย ีรูปแบบยื ดหยุ

่(Elastic deformation) ของวัสดุ
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 200 :
ความลา้(Fatigue) ของวัสดุ
หมายถึ
งอะไร

1 : การยืดตัวที
ละนอย
้ เนื
องจากวัสดุ
รับแรงเป็
นเวลานาน
2 : วัสดุ
มค
ีวามแข็งแรงลดลง เนื ํ
องจากรับแรงซาซาก
ึ ิ
3 : การสกหรอของชนงาน เนื ํ
องจากรับแรงซาซากเป็นเวลานาน
4 : การแตกราวของช
้ ิ เนื
นงาน ํ
องจากรับแรงซาซากเป็นเวลานาน
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 201 :
การทดสอบความแข็
งของเหล็
กหล่ ้
อเทา (Gray cast iron) ควรใชวิ
ธท
ีดสอบแบบใด

1 : บริ
เนลล์(Brinell)
2 : วิ
กเกอร์
ส (Vickers)
3 : รอคเวลล์ซี(Rockwell C)
4 : รอคเวลล์เอ (Rockwell A)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 202 :
สภาพดึ
งยื
ดได ้
(Ductility) ของโลหะสามารถทดสอบไดโดยวิ
้ ธใีด

้ ง (Tensile test)
1 : การทดสอบโดยใชแรงดึ
2 : การทดสอบความแข็ง (Hardness test)

3 : การทดสอบโดยใชแรงกระแทก (Impact test)
4 : การทดสอบความลา้(Fatigue test)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 203 :
จงคํ านวณค่ าความเครียดทางวิ
ศวกรรม (Engineering strain) ของวัสดุ
รป
ูร่างเป็นแท่งยาว 2.2 เมตร และพื
นที
หนาตั
้ดเป็
นรู ี ยมจัตรุ
ปสเหลี ัสมี
ความยาวแต่
ละดาน

เท่ ากับ 50 มิ
ลลิเมตร เมื
อนํ
าไปรับแรงดึ
งปรากฏว่าความยาวเพิ มขึ
นเป็น 2.202 เมตร

1 : 0.09
2 : 0.009
3 : 0.0009
4 : 0.00009
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 204 :
จงคํานวณค่
าความเคนทางวิ
้ ศวกรรม (Engineering stress) ของวัสดุ
รป ้ านศู
ูทรงกระบอกเสนผ่ นย์
กลาง 10 มิ
ลลิ
เมตร ยาว 1 เมตร และถู
กรับแรงดึ
งขนาด 50,000 N

1 : 640 GPa
2 : 640 MPa
3 : 640 kPa
4 : 640 Pa
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 205 :
ลวดทองแดงยาว 500 มิ
ลลิ
เมตร มี
คา่
มอดุ ลส
ั ของสภาพยื ดหยุ

่(Modulus of elasticity) 110 GPa ถู
กดึ
งดวยแรงดึ
้ งจนมี ีรู
ความเคน้350 MPa หากการเสย ปที
เกิ

ขึนนี
เป็ ีรู
นการเสย ปแบบยื
ดหยุ

่(Elastic deformation) ลวดทองแดงจะถู
กยืดออกจนมี ความยาวเปลียนแปลงไปจากเดิ
มกีมิ
ลลิ
เมตร

1 : 0.016
2 : 0.16
3 : 1.6
4 : 16
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 206 :
เมื อนํ
าวัสดุ
A และวัสดุ
B มาทดสอบแรงดึ
งไดความส
้ ั พันธ์
ม ระหว่
างความเคนและความเครี
้ ยดดังรู
ป จากผลการทดสอบ ขอใดต่
้ อไปนี
เปรี
ยบเที
ยบสมบัตข
ิองวัสดุ
A และวัสดุ B ไดถู
้กตองที
้ สุด

1 : วัสดุ
A มี
ความแข็งตึง (Stiffness) มากกว่
าวัสดุB
2 : วัสดุ
A มี
ความเหนียว (Toughness) มากกว่ าวัสดุB
3 : วัสดุ
A มี
ความยื
ดหยุ น
่(Resilience) มากกว่ าวัสดุB
4 : วัสดุ
A มี
สภาพดึงยืดได ้(Ductility) มากกว่
าวัสดุB
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 207 :
แท่ งโลหะมี พนที
ื หนาตั ้ดเป็ นรู ี ยมผื
ปสเหลี นผา้มี
ขนาดกวางเท่
้ ากับ 7 เซนติเมตร ความหนาเท่ ากับ 3 เซนติ
เมตร ทํ
าจากเหล็
กกลาเกรด
้ ึคา่
1020 ซงมี ความตาน

แรงดึ ง (Tensile strength) เท่
ากับ 380 MPa และค่
าความตานแรงคราก
้ (Yield strength) เท่
ากับ 180 MPa เมื
อแท่งโลหะนี
ไดรั้
บแรงดึ
ง 25,000 นิ
วตัน จะเกิ
ดการ
เสย ีรู
ปอย่ างไร
1 : เกิ ีรู
ดการเสย ปแบบยืดหยุน

2 : เกิ ีรู
ดการเสย ปอย่ ีรู
างถาวรโดยเสย ปอย่
างสมํ ิ
าเสมอตลอดทังชนงาน
3 : เกิ ีรู
ดการเสย ปอย่ ีรู
างถาวรโดยเสย ปอย่
างไม่
สมํ ิ
าเสมอตลอดทังชนงาน
4 : เกิ ีรู
ดการเสย ปอย่ ีรู
างถาวรโดยเสย ปอย่
างไม่
สมํ ิ
าเสมอตลอดทังชนงานและแตกหั

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 208 :

ชนงานทดสอบชนิ ดหนึ งเมื
อไดรั้
บความเคน้30,000 lb/in2 จะก่
อใหเกิ
้ดความเครี
ยดเท่
ากับ 0.05 จงคํ
านวณหาค่
ามอดุ
ลส
ั ของสภาพยื
ดหยุ

่(Modulus of
elasticity) ในหน่ ิ
วย lb/in2 ของชนงานทดสอบนี

1:

2:

3:

4:
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 209 :
หากตองการเปรี
้ ยบเที
ยบการเปลี
ยนแปลงขนาดของวัสดุ
ตามทิ
ศทางการดึ
งต่
อการเปลี
ยนแปลงขนาดในทิ
ศทางตังฉากกับทิ
ศทางการดึ
งของวัสดุ
ชนิ
ดต่
างๆ ควร
นําสมบัตข
ิองวัสดุ
ในขอใดต่
้ อไปนี มาพิ
จารณาเปรี
ยบเที
ยบ

1 : ความเคน้(Stress)
2 : อัตราสว่นของปั วซอง (Poisson’s ratio)
3 : ความเหนี ยว (Toughness)
4 : มอดุลสั ของสภาพยื ดหยุน
่(Modulus of elasticity)
คํ
าตอบที ถู กตอง
้: 2

ขอที
้ 210 :
วัสดุ
ในขอใดต่
้ อไปนี
มี
ความแข็
ง (Hardness) มากที
สุ

1 : พอลิ ไวนิ
ลคลอไรด์
2 : เหล็กกลาไร
้ สนิ
้ มมาเทนไซต์
3 : เหล็กหล่อเทา
4 : ซลิก
ิอนคาร์ไบด์
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 211 :
วัสดุิ งถู
ชนหนึ กดึ น 2 สว่
งจนขาดเป็ น พบว่
าบริ
เวณรอยขาดแยกแตกแบบราบเรี
ยบ แสดงว่
าวัสดุ
นน่
ีาจะมี
สมบัตอ
ิย่
างไร

1 : มี
ความแข็
งตึง (Stiffness) สู
ง และความแข็ง (Hardness) สูง
2 : มี
ความแข็
งตึง (Stiffness) สู
ง และสภาพดึงยืดได ้
(Ductility) สู

3 : มี
ความแข็
ง (Hardness) ตํ า และสภาพดึงยื
ดได ้(Ductility) สู

4 : มี
ความแข็
ง (Hardness) ตํ า และสภาพดึงยื
ดได ้(Ductility) ตํ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 212 :
ขอใดเป็
้ นภาพแสดงการเกิ
ดครี
พ (Creep) ของวัสดุ

1:

2:
3:

4:
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 213 :
เมื อนํ ิ
าชนงานทดสอบที มีความยาวเริ ้ านศู
มตน้50 มม. เสนผ่ นย์
กลางเริ
มตน้12.5 มม. มาทดสอบแรงดึ
งปรากฎว่
าไดความส
้ ั พันธ์
ม ระหว่
างแรงที ้
ใชดึ
งกับระยะยื

ดังรูป ค่
ายังมอดุ
ลส
ั ของวัสดุ
นมี
ีคา่
เป็นเท่
าไร

1 : 18 GPa
2 : 18 MPa
3 : 37 GPa
4 : 37 MPa
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 214 :
เมื อนํ ิ
าชนงานทดสอบที มีความยาวเริ ้ านศู
มตน้50 มม. เสนผ่ นย์
กลางเริ
มตน้12.5 มม. มาทดสอบแรงดึ
งปรากฎว่
าไดความส
้ ั พันธ์
ม ระหว่
างแรงที ้
ใชดึ
งกับระยะยื

ดังรูป ค่
า yield strength at 0.2% offset ของวัสดุ
นมี
ีคา่
เป็นเท่
าไร
1 : 67 GPa
2 : 67 MPa
3 : 90 GPa
4 : 90 MPa
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 215 :
การทดสอบวัดค่
าความแข็
งแบบใดที ใชกั้
ไม่ บวัสดุ
โลหะ

1 : บริ
เนล (Brinell)
2 : วิ
กเกอร์
ส (Vickers)
3 : นู
ป (Knoop)
4 : ชอร์(Shore)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 216 :
เมื อนํ
าวัสดุ
เหนี
ยวไปทํ
าการทดสอบแรงดึ
งจะใหค่
้าผลทดสอบเป็
นอย่
างไร

1 : มอดุลส
ั ของสภาพยื ดหยุ น
่(Modulus of elasticity) มากๆ
2 : ความแข็ งแรง (Strength) นอยๆ

3 : เปอร์
เซน ็ต์การยืดตัว (Percentage elongation) มากๆ
4 : มอดุลสั ของรีซเิ
ลียนซ ์ (Modulus of resilience) นอยๆ

คํ
าตอบที ถู กตอง
้: 3

ขอที
้ 217 :
ขอใดไม่
้ ่า่
ใชค ทีไดจากการทดสอบแรงดึ
้ ง

1 : มอดุลส
ั ของสภาพยื ดหยุ น
่(Modulus of elasticity)
2 : ความแข็ งแรง (Strength)
3 : เปอร์
เซน็ต์การยืดตัว (Percentage elongation)
4 : ความแข็ ง (Hardness)
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 4

ขอที
้ 218 :

เสนกราฟ S­N เป็
นผลที
ไดจากการทดสอบสมบั
้ ตดิานใดของวั
้ สดุ

1 : แรงดัด (Bending)
2 : ความลา้(Fatigue)
3 : การครีพ (Creep)
4 : แรงกระแทก (Impact)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 219 :
ค่าเปอร์ ็ต์
เซน การลดลงของพื
นที
หนาตั
้ด (Percent reduction in area) จากการทดสอบแรงดึ
งเป็
นค่
าที
แสดงสมบัตใิ
ดของวัสดุ

1 : สภาพดึ งยื
ดได ้(Ductility)
2 : มอดุ
ลส
ั ของสภาพยื ดหยุ น
่(Modulus of elasticity)
3 : ความแข็ งแรง (Strength)
4 : มอดุ
ลสั ของรีซเิ
ลียนซ ์(Modulus of resilience)
คํ
าตอบที ถู กตอง
้: 1

ขอที
้ 220 :
ขอใดไม่
้ ่ลที
ใชผ ไดจากการทดสอบความล
้ า้(Fatigue)

1 : ขี
ดจํ
ากัดความลา้(Fatigue limit)
2 : ความแข็งแรงต่
อความลา้(Fatigue strength)
3 : อายุ ้ องจากความลา้(Fatigue life)
การใชงานเนื
4 : ความเหนียวต่
อความลา้(Fatigue toughness)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 221 :
จากการทดสอบสมบัตด
ิานการดึ
้ งของอะลู
มเิ
นี
ยม ตํ
าแหน่
งใดในกราฟแสดงจุ
ดเริ
มเกิ
ดปรากฏการณ์
คอคอดของวัสดุ

1:A
2:B
3:C
4:D
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 3
ขอที
้ 222 :
เมื อนํ ิ
าชนงานทดสอบที มีความยาวเริ ้ านศู
มตน้50 มม. เสนผ่ นย์ กลางเริมตน้10 มม. มาทดสอบแรงดึ
งปรากฏว่
าไดความส
้ ั พันธ์
ม ระหว่
างแรงที ้
ใชดึ
งกับความยาวที
เปลี ยนไปดังรู
ป ถามว่
าวัสดุ
นมี
ีคา่
ความตานแรงดึ
้ ง (Tensile strength) เป็
นเท่
าไร

1 : 191 Pa
2 : 764 Pa
3 : 191 MPa
4 : 764 MPa
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 223 :
จากการทดสอบสมบัตด
ิานการดึ
้ งของอะลู
มเิ
นี
ยม ตํ
าแหน่
งใดในกราฟแสดงจุ
ดคราก (Yield point) ของวัสดุ

1:A
2:B
3:C
4:D
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 224 :
จากกราฟขางล่
้ างเป็
นผลการทดสอบสมบัตข
ิองวัสดุ
ดานใด

1 : ทดสอบความลา้(Fatigue)
2 : ทดสอบการครีพ (Creep)
3 : ทดสอบแรงอัด (Compression)
4 : ทดสอบแรงดัด (Bending)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 225 :
ปรากฏการณ์
คอคอด (Necking) ของการทดสอบแรงดึ
งวัสดุ
เหล็
กกลาคาร์
้ บอนตํ
าเริ
มเกิ นในชว่
ดขึ งใด

1 : ก่
อนถึงจุ
ดคราก (Yield point)
2 : เมื
อถึ
งจุ
ดคราก (Yield point)
3 : จุ
ดความเคนสู
้ งสุด
4 : จุ
ดแตกหัก
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 3

ขอที
้ 226 :
ขอใดกล่
้ าวเกี
ยวกับขี
ดจํ
ากัดความลา้(Fatigue limit) ถู
กตอง

1 : เป็นค่
าความเคนสลั
้ บสูงสุดที
ไม่
กอ่ใหเกิ
้ดความลา้
2 : ขีดจํ
ากัดอายุ ้ อไดรั้
การใชงานเมื บแรงกระทํ ํ ามา
าซาไปซ ํ
3 : ถาได
้ รั้
บความเคนสลั
้ บมากกว่าขี
ดจํากัดนี
จะไม่ทํ
าใหเกิ ีหายจากความลา้
้ดความเสย
4 : ถาได
้ รั้
บความเคนสลั
้ บนอยกว่
้ าขี ดจํากัดนี
จะทําใหเกิ ีหายจากความลา้
้ดความเสย
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 227 :
ขอใดกล่
้ าวเกี
ยวกับผลการทดสอบความลาในภาพข
้ างล่
้ างไดถู
้กตอง

1 : ถาวั
้สดุ ไดรั้
บความเคนสลั
้ บทีี
50 MPa จะมี
อายุ ้ 1,000,000 รอบ
การใชงาน
2 : ถาวั
้สดุ ไดรั้
บความเคนสลั
้ บทีี
40 MPa จะมี
อายุ ้ 1,000,000 รอบ
การใชงาน
3 : ถาวั
้สดุ ไดรั้
บความเคนสลั
้ บทีี
30 MPa จะมี
อายุ ้ 1,000,000 รอบ
การใชงาน
4 : ถาวั
้สดุ ไดรั้
บความเคนสลั
้ บทีี
20 MPa จะไม่
เกิ ีหายเนื
ดความเสย องจากความลา้
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 4

ขอที
้ 228 :
แท่ งไนลอนมีพนที
ื หนาตั
้ดเป็นรู ี ยมผื
ปสเหลี นผา้มี ขนาดกวางเท่
้ ากับ 7 เซนติ เมตร ความหนาเท่
ากับ 3 เซนติ ึคา่
เมตร ซงมี ความตานแรงดึ
้ ง (Tensile strength)
เท่ ากับ 75 MPa และค่
าความตานแรงคราก
้ (Yield strength) เท่
ากับ 50 MPa ควรใหแท่
้ งไนลอนไดรั้
บแรงดึงเท่
าใดจึ
งจะไม่
เกิ ีรู
ดการเสย ปอย่างถาวร

1 : 50 kN
2 : 150 kN
3 : 50 MN
4 : 150 MN
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 229 :
แท่ งไนลอนมี
พนที
ื หนาตั้ดเป็ นรูปวงกลม มี ้ านศู
ขนาดเสนผ่ นย์
กลาง เท่
ากับ 5 เซนติ ึคา่
เมตร ซงมี ความตานแรงดึ
้ ง (Tensile strength) เท่
ากับ 75 MPa และค่
าความ
ตานแรงคราก
้ (Yield strength) เท่
ากับ 50 MPa เมื
อแท่
งไนลอนนี
ไดรั้
บแรงดึง 20 กิ
โลนิ
วตัน จะเกิ ีรู
ดการเสย ปอย่
างไร

1 : เกิ ีรู
ดการเสย ปอย่ ีรู
างถาวรโดยเสย ปอย่
างไม่
สมํ ิ
าเสมอตลอดทังชนงานและแตกหั

2 : เกิ ีรู
ดการเสย ปอย่ ีรู
างถาวรโดยเสย ปอย่
างสมํ ิ
าเสมอตลอดทังชนงาน
3 : เกิ ีรู
ดการเสย ปอย่ ีรู
างถาวรโดยเสย ปอย่
างไม่
สมํ ิ
าเสมอตลอดทังชนงาน
4 : เกิ ีรู
ดการเสย ปแบบยืดหยุน

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

เนื
อหาวิ
ชา : 244 : 07 Physical and chemical properties and testing

ขอที
้ 230 :
สว่
วัสดุ นใหญ่
ในกลุ

่ใดมีั ประสท
สม ิธิ
การขยายตัวเนื
องจากความรอนมากที
้ สุ

1 : โลหะ
2 : เซรามิก
3 : พอลิ เมอร์
เชงิ
4 : วัสดุ ประกอบ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 231 :
สว่
วัสดุ นใหญ่
ในกลุ

่ใดมีั ประสท
สม ิธิ
การขยายตัวเนื
องจากความรอนน
้ อยที
้ สุ

1 : โลหะ
2 : เซรามิก
3 : พอลิ เมอร์
เชงิ
4 : วัสดุ ประกอบ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 232 :
สว่
วัสดุ นใหญ่
ในกลุ

่ใดสามารถนํ
าความรอนได
้ ดี ้
ทสุ
ีด

1 : โลหะ
2 : เซรามิ

3 : พอลิ เมอร์
เชงิ
4 : วัสดุ ประกอบ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 233 :
วัสดุ ดใดเหมาะสํ
ชนิ าหรับนํ
ามาทํ
าเป็
นตัวนํ
าความรอนได
้ ดี ้
ทสุ
ีด

1 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ม
2 : อะลู
มเิ
นี
ยม
3 : พลาสติก
4 : กระจก
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 234 :
วัสดุ
ประเภทใดที
มี่งว่
ชอ างของแถบพลังงาน (Energy band gap) กวาง

1 : สารตัวนํา (Conductor)
2 : สารกึงตัวนํา (Semiconductor)
3 : ฉนวน (Insulator)
4 : ขอ้1 2 และ 3 ผิ ด
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 3

ขอที
้ 235 :
โครงสรางอิ
้ เล็
กตรอนของสารกึ
งตัวนํ
าทางไฟฟ้
า (Semiconductor) คื
อขอใด

1 : โครงสรางของสารที
้ มี
อเิล็
กตรอนไม่ มแถบเวเลนซ ์
เต็ (Valance band)
2 : โครงสรางของสารที
้ ระดับพลังงานของแถบการนํ ้ ก
า (Conduction band) ซอนอยู ั ระดับพลังงานของแถบเวเลนซ ์
่บ (Valance band)
3 : โครงสรางของสารที
้ มี
อเิล็
กตรอนเต็มแถบเวเลนซ ์
(Valance band) แต่ ่งว่
ชอ างระหว่างแถบเวเลนซ ์(Valance band) และแถบการนํ า (Conduction band) ห่
างกันไม่
มาก
4 : โครงสรางของสารที
้ มี
อเิล็
กตรอนเต็มแถบเวเลนซ ์
(Valance band) แต่ ่งว่
ชอ างระหว่างแถบเวเลนซ ์(Valance band) และแถบการนํ า (Conduction band) ห่
างกันมาก
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 236 :
โครงสรางของสารตั
้ วนํ
าไฟฟ้
าคื
อขอใด

1 : โครงสรางของสารที
้ มี
อเิล็
กตรอนไม่ มแถบเวเลนซ ์
เต็ (Valance band)
2 : โครงสรางของสารที
้ ระดับพลังงานของแถบการนํ ้ ก
า (Conduction band) ซอนอยูั ระดับพลังงานของแถบเวเลนซ ์
่บ (Valance band)
3 : ถู
กทังขอ้1 และ 2
4 : ขอ้1 2 และ 3 ผิ

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 237 :
แม่ เหล็
กถาวร (Hard magnet) หมายถึ
งขอใด

1 : วัสดุ
ทง่
ีายต่
อการทํ าเป็นแม่
เหล็

2 : วัสดุ
ทสามารถรั
ี กษาภาวะการเป็นแม่เหล็
กไดดี

3 : วัสดุ
ทต
ีองใช ้
้ สนามแม่ เหล็
กภายนอกนอยเพื
้ อทําเป็
นแม่
เหล็

4 : เหล็กที
มี
สนามแม่ เหล็กตกคางอยู
้ ภ ่ายใน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 238 :
แม่ เหล็ ั
กชวคราว (Soft magnet) หมายถึ
งขอใด

1 : วัสดุ
ทง่
ีายต่
อการทําเป็นแม่
เหล็

2 : วัสดุ
ทสามารถลบล
ี างอํ
้ านาจแม่ เหล็
กไดง่
้าย
3 : วัสดุ
ทตีองใช ้
้ สนามแม่ เหล็
กภายนอกนอยเพื
้ อทําเป็
นแม่
เหล็

4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 239 :
อุณหภู
มค
ิรู
ี(Curie temperature) คื
อ อุ
ณหภู
มใิ

1 : อุ
ณหภู
มท
ิเกิ
ีดการเปลียนโครงสรางผลึ
้ ก
2 : อุ
ณหภู
มท
ิเกิ
ีดการเปลียนสภาพความเป็นแม่
เหล็

3 : อุ
ณหภู
มท
ิความจุ
ี ความรอนจํ
้ าเพาะมีคา่
คงที
4 : อุ
ณหภู
มท
ิของแข็
ี งมี
ความหนืดลดลง
คํ
าตอบทีถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 240 :
เมื อแสงตกกระทบวัสดุ
ใดๆ ปรากฏการณ์
ใดสามารถเกิ
ดขึ
นไดบ้
าง

1 : แสงสะทอนกลั
้ บ
2 : แสงผ่านทะลุ โดยเกิ
ดการหักเหขึ
นภายใน
3 : แสงถูกดูดกลืน
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 241 :
เมื อแสงตกกระทบลงบนวัสดุ
โปร่
งใส (Transparent) ไม่ีี
มส จะเกิ
ดปรากฏการณ์
ใดขึ

1 : แสงสะทอนกลั
้ บ
2 : แสงผ่านทะลุ โดยเกิ
ดการหักเหขึ
นภายใน
3 : แสงถูกดูดกลืน
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2
ขอที
้ 242 :
เซลล์
แสงอาทิ
ตย์ ้ กการใดในการเปลี
(Solar cell) ใชหลั ยนพลังงานจากแสงใหเป็
้นพลังงานไฟฟ้

1 : การดูดกลืนพลังงานของแสงในสารกึงตัวนํ

2 : การหักเหของคลื นแสงในสารกึ
งตัวนํ

3 : การสะทอนของแสงที
้ ผิ
วของสารกึงตัวนํ

4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 243 :
วัสดุ
ใดต่
อไปนี
มี
คา่
ความเป็
นแม่
เหล็
กตํ
าที
สุ

1 : วัสดุ
ไดอะแมกนิตกิ(Diamagnetic material)
2 : วัสดุ
พาราแมกนิตกิ(Paramagnetic material)
3 : วัสดุ
เฟร์
โรแมกนิตกิ(Ferromagnetic material)
4 : วัสดุ
เฟร์
รแ
ิมกนิตกิ(Ferrignetic material)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 1

ขอที
้ 244 :
ไดโอดเปล่ ้ กการใดในการทํ
งแสง (Light emitting diode, LED) ใชหลั างาน

1 : การสะทอนแสง
้ (Reflection)
2 : การดูดกลืนแสง (Absorption)
3 : การหักเหของแสง (Refraction)
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 245 :
แว่ ้ กการใดในการทํ
นขยาย (Magnifier) ใชหลั างาน

1 : การสะทอนแสง
้ (Reflection)
2 : การดูดกลืนแสง (Absorption)
3 : การหักเหของแสง (Refraction)
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 246 :
โลหะในขอใดต่
้ อไปนี
มี
สภาพนํ
าไฟฟ้
า (Electrical conductivity) นอยที
้ สุด

1 : ทองแดงบริ
สท
ุธิ ที ้ ณ อุ
ใชงาน ณหภูมต
ิํา
2 : ทองแดงบริ
สท
ุธิ ที ้ ณ อุ
ใชงาน ณหภูมส
ิงู
3 : ทองแดงผสมนิเกิ
ลและผ่านกระบวนการรีดเย็
น ที ้ ณ อุ
ใชงาน ณหภู
มต
ิํา
4 : ทองแดงผสมนิเกิ
ลและผ่านกระบวนการรีดเย็
น ที ้ ณ อุ
ใชงาน ณหภู
มส
ิงู
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 247 :
โลหะในขอใดต่
้ อไปนี
มี
สภาพตานทานไฟฟ้
้ า (Electrical resistivity) นอยที
้ สุด

1 : ทองแดงบริ
สท
ุธิ ที ้ ณ อุ
ใชงาน ณหภูมต
ิํา
2 : ทองแดงบริ
สท
ุธิ ที ้ ณ อุ
ใชงาน ณหภูมส
ิงู
3 : ทองแดงผสมนิเกิ
ลและผ่านกระบวนการรีดเย็
น ที ้ ณ อุ
ใชงาน ณหภู
มต
ิํา
4 : ทองแดงผสมนิเกิ
ลและผ่านกระบวนการรีดเย็
น ที ้ ณ อุ
ใชงาน ณหภู
มส
ิงู
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 248 :
ถาต้องการเพิ
้ มสภาพนํ
าไฟฟ้
า (Electrical conductivity) ใหกั้
บสารกึ
งตัวนํ
า (Semiconductor) ควรทํ
าอย่
างไร

1 : ลดอุณหภู มก ้
ิารใชงาน
2 : เติ
มสารเจือปน
3 : นํ
าไปผ่ านกระบวนการขึ
นรู
ปเย็

4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 249 :
ถาต้องการเพิ
้ มสภาพนํ
าไฟฟ้
า (Electrical conductivity) ใหกั้
บสารตัวนํ
า (Conductor) ควรทํ
าอย่
างไร

1 : ลดอุณหภู มก ้
ิารใชงาน
2 : เติ
มสารเจือปน
3 : นํ
าไปผ่ านกระบวนการขึ
นรู
ปเย็

4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 250 :
เมื ั ผัสโต๊
อสม ะไมและโต๊
้ ะเหล็
กที
ตังอยู
ใ่
นหองปรั
้ บอากาศบริ
เวณเดี
ยวกัน เราจะรู
ส้
กึโต๊
ะเย็
นไม่
เท่
ากันอย่
างไร

1 : โต๊
ะเหล็กเย็
นกว่า เพราะเหล็
กมี
ความจุ
ความรอนมากกว่
้ าไม ้
2 : โต๊
ะเหล็กเย็
นกว่า เพราะเหล็
กถ่
ายเทความรอนได
้ ดี ้
กว่
าไม ้
3 : โต๊
ะเหล็กเย็
นกว่า เพราะเหล็
กมี
ความหนาแน่นมากกว่
าไม ้
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 251 :
ถาให
้ ความร
้ อนกั ิ
้ บชนงานที
มี
ความหนามากจะเกิ ิ น
ดสงใดขึ

1 : ชนงานบวมขึน เนืองจากการขยายตัวทางความรอนที
้ ผิ ิ
วชนงานมากกว่า

2 : ชนงานหดตัวลง เนืองจากการหดตัวภายในชนงานิ
3 : ผิ ิ
วชนงานเกิดการแตกราว
้ เนื ิ
องจากการหดตัวภายในชนงาน
4 : เกิ
ดความเคนอั
้ ด (Compressive stress) ที
ผิ ิ และความเคนดึ
วชนงาน ิ
้ ง (Tensile stress) ภายในชนงาน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 252 :
เพราะเหตุ
ใดจึ นสใี
งเห็ นวัสดุ
โปร่
งใส (Transparent) บางชนิ

1 : แสงทีสง่ผ่
านถูกดู นไปในบางชว่
ดกลื งความยาวคลื

2 : แสงทีสง่ผ่
านเกิดการหักเหขึ
นภายในเนื
อวัสดุ
3 : มี
การผสมเม็ ดสลีงในเนื
อวัสดุ
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 253 :
ขอใดต่
้ อไปนี
ทํ
าใหเกิ
้ดสนิ
มไม่
มส
ีบีนผิ ิ
วชนงานเหล็
กกลาที
้ มี
รอยขี
ดข่
วนในบรรยากาศที
มี ื
ความชน

1 : ผิ ิ
วชนงานถู
กเคลื ้ งั กะส ี
อบดวยส
2 : ผิ ิ
วชนงานถู
กเคลือบดวยโครเมี
้ ยม
3 : ผิ ิ
วชนงานถู
กเคลือบดวยดี
้ บก ุ
4 : ผิ ิ
วชนงานถู ็ทํ
กเชด าความสะอาดดวยนํ
้ าสะอาดเป็
นประจํ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 254 :
ขอความใดต่
้ อไปนี
เป็
นการกล่
าวที
ถู
กตอง

1 : เงิ
นมี
คา่สภาพนํ าไฟฟ้า (Electrical conductivity) ดี กว่าทอง
2 : ลวดตัวนําที
มี
ขนาดพื นที หนาตั
้ดมากมี การนําไฟฟ้ าแย่กว่ าลวดตัวนํ
าทีมี
ขนาดพื
นที
หนาตั
้ดนอยกว่
้ าในวัสดุ
เดี
ยวกันที
มี
ความยาวเท่
ากัน
3 : อะลู
มเินี
ยมมีคา่
สภาพตานทานไฟฟ้
้ า (Electrical resistivity) มากกว่
าเพชร
4 : อุ
ณหภู มไิม่
มผ
ีลต่ อความสามารถในการนํ าไฟฟ้ าในวัสดุ ทเป็
ีนโลหะ
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 255 :
ขอความใดต่
้ อไปนี
เป็
นการกล่
าวที
ผิ

1 : N­type เป็นสารกึงตัวนํ
าประเภท Extrinsic semiconductor
2 : อุ
ณหภู มสิงูมี
ผลต่ อความสามารถในการนํ าไฟฟ้าในวัสดุทเป็
ีนสารกึ งตัวนํา
3 : การเติ
ม (Doping) ดวยธาตุ
้ โบรอน (B3+ ) เขาไปแทนที
้ ซลิกิอน (Si4+ ) ในโครงสรางผลึ
้ กทํ าใหเกิ
้ดเป็
นสารกึ
งตัวนํ
าแบบ N­type
4 : การแพร่ (Diffusion) มี
บทบาทอย่ างมากในการทํ าสารกึงตัวนํ
าประเภท Extrinsic semiconductor
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 3

ขอที
้ 256 :
สว่
วัสดุ นใหญ่
ในกลุ

่ใดต่
อไปนี
มี
จด
ุหลอมเหลว (Melting point) สู
งที
สุ

1 : เซรามิ

2 : โลหะ
3 : พอลิเมอร์
4 : ไม ้
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 257 :
ลวดทองเหลื องยาว 1 เมตร ถู
กทําใหร้ อนจนมี
้ อณ
ุหภู มส
ิงู70 องศาเซลเซยีส จากอุณหภู มิ30 องศาเซลเซย ีส ขณะทีปลายทังสองขางถู
้ กยึด จงหาขนาดของ
ความเคนที
้ เกิ
ดขึนในหน่ วย MPa กําหนดใหค่ ้ามอดูลสั ของสภาพยื ดหยุน
่(Modulus of elasticity) ของทองเหลืองมี ั ประสท
คา่97 GPa และสม ิธิ
การขยายตัว
เนื องจากความรอน
้ (Coeffeicient of thermal expansion) ของทองเหลื องมีคา่20×10­6 องศาเซลเซย ีส­1

1 : +0.08
2 : ­0.08
3 : +77.60
4 : ­77.60
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 258 :
วัสดุ
ในขอใดต่
้ อไปนี
เกิ
ดการขยายตัวเนื
องจากความรอนสู
้ งทีสุ

1 : ซลิก
ิา
2 : เหล็กกลา้
3 : พอลิ เอทิลน

4 : อะลูมนิา
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 259 :
วัสดุ
ในขอใดต่
้ อไปนี
มี
คา่
ความจุ
ความรอนสู
้ งทีสุ

1 : แกว้
2 : ทังสเตน
3 : พอลิไวนิลคลอไรด์
4 : อะลูมเิ
นี
ยม
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 260 :
วัสดุ
ในขอใดต่
้ อไปนี
สามารถนํ
าไฟฟ้
าไดดี
้ขนเมื
ึ ออุณหภู
มล
ิดลง
1 : อะลูมเิ
นียม
ิก
2 : ซล ิอน
3 : พอลิเอสเทอร์
4 : แคดเมี ยมซลั ไฟด์
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 261 :
การทํ
างานของอุ
ปกรณ์
วด
ั แสงทัวไปในการถ่
ายภาพเกี
ยวของกั
้ บปรากฏการณ์
ใด

1 : การเปล่งแสง (Luminescence)
2 : การนําไฟฟ้าดวยแสง
้ (Photoconductivity)
3 : การเรื
องแสงแบบฟลู ออเรสเซนซ ์(Fluorescence)
องแสงแบบฟอสฟอเรสเซนซ ์
4 : การเรื (Phosphorescence)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 262 :
เพราะเหตุ
ใดพอลิ
เมอร์
ทมี
ีความเป็
นผลึ
กสู
งจึ
งไม่
โปร่
งใส (Transparent)

1 : การมี
ผลึ
กทํ
าใหเกิ
้ดการเปล่งแสงมาก
2 : การมี
ผลึ
กทํ
าใหเกิ
้ดการเรื
องแสงมาก
3 : การมี
ผลึ
กทํ
าใหเกิ
้ดการกระเจิ
งของแสงในเนื อวัสดุ
มาก
4 : การมี
ผลึ
กทํ
าใหอิ
้เล็
กตรอนเลื ั
อนระดับชนพลั
งงานไดมาก้
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 263 :
หากตองการตรวจสอบวั
้ สดุ
ตวั อย่
างว่
าเป็
นแม่
เหล็
กถาวร (Hard magnet) หรื
อแม่
เหล็ ั
กชวคราว (Soft magnet) ควรพิ
จารณาจากสมบัตใิ
นขอใดต่
้ อไปนี

1 : ค่
าความไวต่อสภาพแม่ เหล็
ก (Magnetic susceptibility)
2 : ค่
าความสามารถซมึซบั แม่
เหล็ ก (Magnetic permeability)

3 : เสนโคงฮ ิ
้สเทอรี ิ
ซส (Hysteresis loop)
4 : ค่
าคงทีไดอิ
เล็
กทริ
ก (Dielectric constant)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 264 :
ขอใดต่
้ อไปนี ใชว่
ไม่ ส
ั ดุ
ไดอะแมกนิ
ตก

1 : อะลู มน
ิัมออกไซด์ (Al2O3)
2 : แมกนี ไทต์ (Fe3O4)
3 : ทองแดง (Cu)
4 : สงั กะส ี
(Zn)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 265 :
ขอใดไม่
้ ่ม่
ใชแ เหล็
กถาวร

1 : วัสดุ
ไดอะแมกนิ ตก

2 : วัสดุ
พาราแมกนิ ตก

3 : วัสดุ
เฟร์
โรแมกนิตกิ
4 : ขอ้1 และ 2 ถู

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

เนื
อหาวิ
ชา : 245 : 08 Structures of materials

ขอที
้ 266 :
พันธะใดเป็
นพันธะทางกายภาพ (Physical bond)

1 : พันธะโลหะ (Metallic bond)


2 : พันธะไอออนิก (Ionic bond)
3 : พันธะโควาเลนซ ์(Covalent bond)
4 : พันธะแวนเดอร์วาลส ์(Van der Waals bond)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 267 :
โครงสรางผลึ
้ กชนิดใดมี
การจัดเรี
ยงอะตอมอย่
างหนาแน่
นที
สุ

1 : โครงสรางลู
้ กบาศก์
อย่
างง่
าย (Simple cubic)
2 : โครงสรางลู
้ กบาศก์
กงกลางเซล
ึ (Body­centered cubic)
3 : โครงสรางลู
้ กบาศก์
กงกลางผิ
ึ วหนา้(Face­centered cubic)
4 : โครงสรางออร์
้ โทรอมบิ กกึ
งกลางฐาน (Base­centered orthorhombic)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 268 :
โครงสรางของออสเทไนต์
้ (Austenite) ในเหล็
กกลา้มี
โครงสรางผลึ
้ กรูปแบบใด

1 : Body­centered cubic (BCC)


2 : Face­centered cubic (FCC)
3 : Hexagonal close­packed (HCP)
4 : Body­centered cubic (BCC) และ Face­centered cubic (FCC)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 2

ขอที
้ 269 :
วัสดุ
ชนิ
ดใดต่
อไปนี
มี
พันธะหลักเป็
นพันธะโคเวเลนต์
(Covalent bond)
1 : Ni
2 : SiC
3 : H2O ระหว่
างโมเลกุ

4 : MgO
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 270 :
ทังสเตนที
20 องศาเซลเซยีส มี
โครงสรางผลึ
้ กแบบ Body­centered cubic (BCC) โดยมี
คา่lattice parameter 0.3165 นาโนเมตร (nm) จงคํ
านวณหาค่
ารัศมี
อะตอม
ของโลหะทังสเตนในหน่วยนาโนเมตร (nm)

1 : 0.1371
2 : 0.1432
3 : 0.2315
4 : 0.7309
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 271 :
กําหนดให ้
a, b, c คื
อค่าความยาวแต่
ละดานของหน่
้ วยเซลล์
และ α, β, γ คื
อมุ
มระหว่
างดาน
้ ถาพบว่
้ าโครงสรางผลึ
้ กแบบหนึ
งมี
คา่a≠b≠c และ α = β = γ = 90
องศา อยากทราบว่ าโครงสรางผลึ
้ กนี มี ืาอะไร
ชอว่

1 : Cubic
2 : Tetragonal
3 : Orthorhombic
4 : Monoclinic
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 3

ขอที
้ 272 :
กําหนดให ้
a, b, c คื
อค่
าความยาวแต่ละดานของหน่
้ วยเซลล์
และ α, β, γ คื
อมุ
มระหว่างดาน
้ ถาพบว่
้ าโครงสรางผลึ
้ กแบบหนึ งมี
คา่a = b = c และ α = β = γ = 90
องศา มี
อะตอมอยู ต
่ามมุ
มทุกมุ
ม และมี
อะตอมอยู

่งกลางหน
ึ าทั
้ งหกหนาของหน่
้ วยเซลล์อยากทราบว่
าโครงสรางผลึ
้ กนี มีืาอะไร
ชอว่

1 : Simple cubic
2 : Body­centered cubic
3 : Simple orthorhombic
4 : Face­centered cubic
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 4

ขอที
้ 273 :
โครงสรางผลึ
้ กแบบ body­centered cubic (BCC) ในหนึ
งหน่
วยเซลล์
(Unit cell) ประกอบดวยกี
้ อะตอม

1 : 1 อะตอม
2 : 2 อะตอม
3 : 3 อะตอม
4 : 4 อะตอม
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 274 :
โครงสรางผลึ
้ กแบบ Face­centered cubic (FCC) ในหนึ
งหน่
วยเซลล์
(Unit cell) ประกอบดวยกี
้ อะตอม

1 : 1 อะตอม
2 : 2 อะตอม
3 : 3 อะตอม
4 : 4 อะตอม
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 275 :
โครงสรางผลึ
้ กแบบ Hexagonal closed pack (HCP) ในหนึ
งหน่
วยเซลล์
(Unit cell) ประกอบดวยกี
้ อะตอม

1 : 2 อะตอม
2 : 4 อะตอม
3 : 6 อะตอม
4 : 8 อะตอม
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 276 :
ขอใดต่
้ อไปนี
มี
โครงสรางแบบ
้ Closed­pack

1 : Body­centered tetragonal
2 : Body­centered cubic
3 : Face­centered cubic
4 : Base­centered orthorhombic
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 3

ขอที
้ 277 :
พลาสติ
กใสจะมี
โครงสรางภายในเป็
้ นแบบใด

1 : ไม่
มคีวามเป็นผลึ

2 : มี
ความเป็นผลึกที
มีขนาดเล็
กกว่
าความยาวคลื
นแสง
3 : ขอ้1 และ 2 ถู

4 : ขอ้1 และ 2 ผิ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 278 :
ขอใดไม่
้ ่าเหตุ
ใชส ททํ
ีาใหพอลิ
้ เมอร์
ชนิ
ดที
สามารถเกิ
ดโครงสรางผลึ
้ กไดมี

ลกั ษณะเป็
นแบบกึ
งผลึ
ก (Semicrystalline) เท่
านัน
1 : เพราะพอลิเมอร์มโีครงสรางผลึ
้ กที ยุ
ง่ ั ซอน
ยากซบ ้
2 : เพราะพอลิเมอร์มสีายโซโ่มเลกุ
ลที
ยาวมาก
3 : เพราะการจัดเรี
ยงตัวใหเป็
้นระเบี
ยบของทุ กโมเลกุ
ลของพอลิ
เมอร์
ทํ
าไดยาก

4 : เพราะพอลิเมอร์มสีายโซโ่มเลกุ
ลที ั
สนเกิ นไป
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 279 :
ปริ มาณความเป็
นผลึ
กของพอลิ
เมอร์
มผ
ีลต่
อความหนาแน่
นของพอลิ
เมอร์
ชนิ
ดนันอย่
างไร

1 : ปริ
มาณผลึ
กทีมากขึ
น ทํ
าใหความหนาแน่
้ นเพิ
มขึ

2 : ปริ
มาณผลึ
กทีมากขึ
น ทํ
าใหความหนาแน่
้ นลดลง
3 : ปริ
มาณผลึ
กทีมากขึ
น อาจทํ
าใหความหนาแน่
้ นเพิ
มขึ
นหรื
อลดลงก็
ได ้
4 : ปริ
มาณผลึ
กไม่มผ
ีลต่
อความหนาแน่น
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 280 :
พันธะเคมี
ทเกิ ่ลักของโมเลกุ
ีดในสายโซห ลพอลิ
เมอร์
คอ
ืพันธะชนิ
ดใด

1 : พันธะโคเวเลนต์ (Covalent bond)


2 : พันธะไอออนิก (Ionic bond)
3 : พันธะโลหะ (Metallic bond)
4 : พันธะแวนเดอร์วาลส ์(Van der Waals bond)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 281 :
โครงสรางโมเลกุ
้ ลของพอลิ
เอทิ
ลน
ี(Polyethylene) แบบกิ
ง (Branched) มี
สมบัตต
ิา่
งจากโครงสรางโมเลกุ
้ ลของพอลิ
เอทิ
ลน ้ (Linear) อย่
ีแบบเสนตรง างไร

1 : ความแข็งแรงเพิ
มขึ

2 : ความเป็
นผลึกลดลง
3 : การยื
ดและหดตัวลดลง
4 : ความทนต่อการถูกขี
ดข่
วนเพิ
มขึ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 282 :
ขอใดคื
้ อคํ
าจํ
ากัดความของ Tg (Glass transition temperature)

1 : อุ
ณหภู
มทิสายโซ
ี ร่องของโมเลกุ
ลพอลิ
เมอร์
สามารถเคลื
อนที
ได ้
2 : อุ
ณหภู
มทิสายโซ
ี ห่ลักของโมเลกุ
ลพอลิ
เมอร์
สามารถเคลื
อนที
ได ้
3 : อุ
ณหภู
มใินการเกิ
ดผลึ ก
4 : อุ
ณหภู
มใินการหลอมเหลว
คํ
าตอบทีถู
กตอง้: 2

ขอที
้ 283 :
ถานํ
้าพอลิ
เมอร์
ทมี
ีโครงสรางภายในเป็
้ นแบบกึงผลึ
ก (Semicrystalline polymer) มาอบที
อุ
ณหภู
มส
ิงู
กว่
า Tg (Glass transition temperature) ประมาณ 10 – 20
องศาเซลเซยีส เป็ ั
นเวลา 24 ชวโมง ผลที
ไดจะเป็
้ นอย่ างไร

1 : สภาพดึ
งยืดได ้
(Ductility) เพิ
มขึ

2 : ความแข็
งแรงทีจุดคราก (Yield strength) ลดลง
3 : ค่
ามอดุ
ลส
ั สภาพยื ดหยุน
่(Modulus of elasticity) เพิ
มขึ

4 : ความแข็
ง (Hardness) ลดลง
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 3

ขอที
้ 284 :
พอลิเมอร์
ทไม่
ี สามารถเกิ
ดโครงสรางผลึ
้ กได ้
คื
อพอลิ
เมอร์
ชนิ
ดใดต่
อไปนี

1 : พอลิ
เอทิลน
ี(Polyethylene)
2 : พอลิ
เอทิลน
ีเทเรฟทาเลต (Polyethylene terephthalate)
3 : ไนลอน (Nylon)
4 : พอลิ
สไตรีน (Polystyrene)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 285 :
ขอใดคื
้ อโครงสรางผลึ
้ กของมาร์
เทนไซต์
(Martensite)

1 : Face­centered cubic (FCC)


2 : Body­centered cubic (BCC)
3 : Body­centered tetragonal (BCT)
4 : Face­centered tetragonal (FCT)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 3

ขอที
้ 286 :
ขอใดคื
้ อโครงสรางผลึ
้ กของเบไนต์
(Bainite)

1 : Face­centered cubic (FCC)


2 : Body­centered cubic (BCC)
3 : Body­centered tetragonal (BCT)
4 : Face­centered tetragonal (FCT)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 2

ขอที
้ 287 :
โครงสรางจุ ื
้ ลภาคของรอยเชอมเหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มออสเทไนต์
(Austenite stainless steel) บริ
เวณพื
นที
หลอมเหลว (Fusion zone) ประกอบดวยเฟสต่
้ างๆ ดังในขอ้
ใดต่อไปนี
1 : ออสเทไนต์
(Austenite)
2 : ออสเทไนต์
(Austenite) และ เฟร์
ไรต์
(Ferrite)
3 : ออสเทไนต์
(Austenite) และ เพอร์
ไลต์(Pearlite)
4 : ออสเทไนต์
(Austenite) และ คาร์
ไบด์(Carbide)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 288 :
การเกิ
ดขอบกพร่
้ องแบบ Schottky มักเกิ
ดกับผลึ
กที
ยึ
ดกันดวยพั
้ นธะชนิ
ดใด

1 : พันธะโลหะ (Metallic bond)


2 : พันธะโควาเลนท์ (Covalent bond)
3 : พันธะไอออนิก (Ionic bond)
4 : พันธะแวนเดอร์วาลส ์(Van der Waals bond)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 289 :
ทําไมขอบกพร่
้ องแบบ Frenkel มักเกิ
ดกับ Cation มากกว่
า Anion

1 : Cation มี
ขนาดใหญ่ กว่
า Anion
2 : Anion มีขนาดใหญ่ กว่
า Cation
3 : การแทรกของ Anion ในผลึ กเกิดไดง่
้ายกว่

4 : Anion มักจะอยู
ไ่ม่
เป็
นระเบี
ยบ
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 290 :
ทําไมแกรไฟต์
(Graphite) ถึ
งสามารถหลุ
ดออกเป็
นแผ่
นๆไดง่
้าย

1 : ระหว่ ั
างชนของโครงสร างแกรไฟต์
้ ยดึกันดวยพั
้ นธะไอออนิ ก (Ionic bond)
2 : ระหว่ ั
างชนของโครงสร างแกรไฟต์
้ ไม่มก
ีารยึดกันดวยพั
้ นธะใดๆ
3 : ระหว่ ั
างชนของแกรไฟต์ ยด
ึกันดวยพั
้ นธะโควาเลนท์ (Covalent bond)
4 : ระหว่ ั
างชนของโครงสร างแกรไฟต์
้ เป็ วาลส ์
นพันธะแวนเดอร์ (Van der Waals bond)
คํ
าตอบที ถู
กตอง ้: 4

ขอที
้ 291 :
ขอใดต่
้ อไปนี ใชโ่
ไม่ ครงสรางผลึ
้ กของเซรามิ

1 : BaTiO3
2 : NaCl
3 : Al2O3
4 : CH4
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 292 :
ขอใดไม่
้ ถก
ูตองเมื
้ อกล่าวถึ
งโครงสรางของแก
้ ว้

1 : แกวมี
้โครงสรางเป็
้ นตาข่ าย (Network structure) ที
มี
ทศ
ิทางไม่ แน่
นอน
2 : พันธะของโครงสรางของแก
้ วยึ
้ดกันดวยพั
้ นธะไอออนิ ก (Ionic bond)
3 : แกวมี
้โครงสรางแบบไม่
้ เป็
นผลึก
4 : โครงสรางของแก
้ วเกิ ดกันของ SiO44 ­
้ ดจากการยึ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 293 :
โครงสรางผลึ ความสํ
้ กแบบ Perovskite มี าคัญสํ
าหรับวัสดุ
ประเภทใด

1 : Pyroelectric material
2 : Piezoelectric material
3 : Semiconductor
4 : Capacitor
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 2

ขอที
้ 294 :
ขอใดไม่
้ ่งค์
ใชอ ประกอบของอะตอม

1 : นิ
วเคลี
ยร์
2 : นิ
วตรอน
3 : อิ
เล็
กตรอน
4 : โปรตอน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 295 :
พันธะในขอใดต่
้ อไปนี
มี
ความแข็
งแรงนอยที
้ สุด

1 : พันธะไอออนิก
2 : พันธะแวนเดอร์วาลส ์
3 : พันธะโลหะ
4 : พันธะไฮโดรเจน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 296 :
โครงสรางผลึ
้ กในขอใดต่
้ อไปนี
ที
อะตอมมี
การบรรจุ ิที
แบบชด สุ
ด (closed pack)

1 : FCC และ BCC


2 : FCC และ HCP
3 : BCC และ HCP
4 : Simple cubic และ HCP
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 297 :
พันธะใดต่
อไปนี
เกิ
ดขึ
นระหว่
างโมเลกุ
ลของนํ
าในนํ
าแข็

1 : พันธะโคเวเลนซ ์
2 : พันธะไอออนิก
3 : พันธะไฮโดรเจน
4 : พันธะโลหะ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 298 :
สารประกอบของ LiAg มี
หน่
วยเซลล์
เป็
นแบบ Simple cubic และอะตอมทังสองชนิ
ดต่
างมี
เลขโคออร์
ดเิ ั เท่
นชน ากับ 8 ดังนัน หน่
วยเซลล์
ดงั กล่
าวนี
จะมี
ลก
ั ษณะ
เหมือนกับผลึ
กในขอใด

1 : NaCl
2 : ZnS
3 : CsCl
4 : AgCl
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 299 :
ขอใดกล่
้ าวถึ
งพันธะไอออนิ
กไม่
ถก
ูตอง

1 : เป็
นพันธะที
เกิ
ดระหว่
างธาตุโลหะและธาตุ ึคา่
อโลหะซงมี อิเลคโตรเนกาติ
วต
ิต่
ีางกันมากๆ
2 : เป็
นพันธะที
เกิ
ดแรงยึดเหนี
ยวระหว่
างไอออนบวกและไอออนลบ
3 : ขนาดของไอออนยิ งมีขนาดใหญ่พลังงานพันธะจะยิ
งมี
คา่เพิมมากขึ

4 : ของแข็งที
เกิ
ดพันธะไอออนิกจะมี
การจัดเรี
ยงไอออนใหมี
้ความเป็นกลางทางไฟฟ้ า
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 300 :
พันธะที
เกิ
ดขึ างสายโซโ่
นระหว่ มเลกุ
ลของพอลิ
เมอร์
เป็
นพันธะชนิ
ดใด

1 : พันธะแวนเดอร์วาลส ์(Van der Waals bond)


2 : พันธะโลหะ (Metallic bond)
3 : พันธะไอออนิก (Ionic bond)
4 : พันธะโควาเลนซ ์(Covalent bond)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 301 :
ตําหนิ
แบบใดพบไดเฉพาะในเซรามิ
้ กเท่
านัน

1 : ตํ
าหนิ ่งว่
แบบชอ าง (Vacancy)
2 : ตํ
าหนิ
แบบดิ
สโลเคชนั (Dislocation)
3 : ตํ
าหนิ
แบบชอตกี(Schottky defect)
4 : ตํ
าหนิ ่
แบบแทรกชองว่ างระหว่างอะตอม (Interstitial defect)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 302 :
โดยทัวไปอะตอมโลหะมี
การจัดเรี
ยงตัวของโครงสรางเป็
้ นอย่างไร

1 : ผลึกเดี
ยว (Single crystal)
2 : หพุผลึก (Polycrystalline)
3 : กึ
งผลึก (Semi­crystalline)
ั ฐาน (Amorphous)
4 : อสณ
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 303 :
เหตุใดยาง (Rubber) สามารถดึ
งยื
ดไดมากและกลั
้ บคื ร่
นสูป
ูร่
างเดิ
มหลังปล่
อยแรงกระทํ

1 : เพราะโครงสรางโมเลกุ
้ ลเป็
นแบบสายโซต่รง (Linear polymer) สู

2 : เพราะโครงสรางโมเลกุ
้ ลเป็
นแบบโครงร่
างตาข่าย (Network polymer) สูง
3 : เพราะโครงสรางมี ื อระหว่
้ การเชอมต่ างสายโซโ่มเลกุลในระดับหนึ ง (Lightly crosslinked polymer)
4 : เพราะโครงสรางโมเลกุ
้ ลเป็
นแบบกิ
งกาน
้ (Branched polymer) สูง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 304 :
ปฏิ กริ

ิาใดที
ทํ
าใหเกิ ื
้ดการเชอมสายโซโ่
มเลกุ
ลในยาง (Rubber)

1 : Polymerization
2 : Oxidation
3 : Condensation
4 : Vulcanization
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 4

ขอที
้ 305 :
ขอใดคื
้ อลักษณะเด่
นของวัสดุ
อล
ิาสโตเมอร์
(Elastomer)

1 : มี
ความแข็
งและความแข็งแรงสู

2 : มี
สภาพดึ
งยื
ดไดสู
้งและกลับคื
นสู่ภาพเดิ
ส มหลังปล่
อยแรงกระทํ

3 : ทนความรอนได
้ สู ้

4 : สามารถขึ
นรู ํ เมื
ปซาได ้อใหความร
้ อน ้
4 : สามารถขึ
นรู ํ เมื
ปซาได ้อใหความร
้ อน ้
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 306 :
เหตุใดโลหะจึ
งมี
การนํ
าไฟฟ้
าและความรอนได
้ ดี ้

1 : เพราะโครงสรางมี
้ ความเป็ นผลึ
กสูง
2 : เพราะโครงสรางมี
้ การจัดเรี
ยงตัวของอะตอมหนาแน่

3 : เพราะโครงสรางมี
้ อเิ ล็
กตรอนอิ
สระ
4 : เพราะโครงสรางมี
้ ทงแอนไอออนและแคทไอออน
ั (Anion and cation)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 307 :
เหล็กกลาคาร์
้ บอนตํ
ามี
การจัดเรี
ยงของโครงสรางอะตอมอย่
้ างไรที
อุ
ณหภู
มห
ิอง

1 : Body­centered cubic (BCC)


2 : Face­centered cubic (FCC)
3 : Body­centered tetragonal (BCT)
4 : Face­centered tetragonal (FCT)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 1

ขอที
้ 308 :
ิ อไปนี
สงใดต่ ไม่
สามารถพบไดในวั
้ สดุผลึ
กเดี
ยว (Single crystal)

1 : ตํ
าหนิ
แบบชอ่งว่
าง (Vacancy)
2 : รอยต่
อระหว่
างเกรน (Grain boundary)
3 : รอยต่
อระหว่
างเฟส (Phase boundary)
4 : ตํ
าหนิ
แบบแทรกชอ ่งว่างระหว่างอะตอม (Interstitial defect)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 309 :
ขอใดต่
้ อไปนี
ไม่ ่ั จจัยที
ใชป มี
ผลต่
อการจัดเรี
ยงตัวของโครงสรางอะตอมในเซรามิ
้ ก

1 : ชนิ
ดของตํ
าหนิ
2 : ขนาดของอะตอม
3 : สมดุ
ลประจุ
ของโครงสราง

4 : ชนิ
ดของอะตอม
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 310 :
ขอใดคื
้ อลักษณะทัวไปของพอลิ
เมอร์
ชนิ
ดเทอร์
โมเซตติ
ง (Thermosetting)

1 : มี
โครงสรางโมเลกุ
้ ลเป็
นแบบโครงร่
างตาข่าย (Network) สามารถขึนรู
ปใหม่
ไดเมื
้อใหความร
้ อน้
2 : มี
โครงสรางโมเลกุ
้ ลเป็
นแบบสายโซต่รง (Linear) สามารถขึ
นรู
ปใหม่ไดเมื
้อใหความร
้ อน ้
3 : มี
โครงสรางโมเลกุ
้ ลเป็
นแบบโครงร่
างตาข่าย (Network) ไม่
สามารถขึนรู
ปใหม่
ไดเมื
้อใหความร
้ อน ้
4 : มี
โครงสรางโมเลกุ
้ ลเป็
นแบบกิ
ง (Branched) ไม่
สามารถขึนรู
ปใหม่ไดเมื
้อใหความร
้ อน ้
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 311 :
ตําหนิ
แบบใดไม่
สามารถเพิ
มความแข็
งแรงใหช้ิ
นงานโลหะได ้

1 : ตํ
าหนิ
แบบแทนที(Substitutional defect)
2 : ตํ
าหนิ
แบบแทรกตัวในชอ่งว่าง (Interstitial defect)
3 : ตํ
าหนิ ่งว่
แบบชอ าง (Vacancy)
4 : ตํ
าหนิ
แบบดิ
สโลเคชนั (Dislocation)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 312 :
ขอใดคื
้ อลักษณะของตํ
าหนิ
แบบชอตกี
(Schottky defect)

1 : เกิ
ดการแทรกตัวของแคทไอออน และเกิ ่งว่
ดชอ างของแคทไอออนในโครงสราง

2 : เกิ
ดการแทรกตัวของแอนไอออน และเกิ ่งว่
ดชอ างของแอนไอออนในโครงสราง

3 : เกิ
ดการแทรกตัวของแอนไอออน และเกิ ่งว่
ดชอ างของแอนไอออนในโครงสราง

4 : เกิ ่งว่
ดชอ างของแคทไอออนและแอนไอออนในโครงสราง้
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 313 :
ขอใดต่
้ อไปนี
กล่
าวไม่
ถก
ูตองเกี
้ ยวกับโครงสรางพอลิ
้ เมอร์

1 : พันธะที
เกิ
ดขึ
นภายในและระหว่ างสายโซโ่ มเลกุลเป็
นพันธะโควาเลนต์
2 : โครงสรางโมเลกุ
้ ลหลักประกอบไปดวยคาร์
้ บอนและไฮโดรเจน
3 : สายโซโ่มเลกุลโดยทัวไปมี
นํ
าหนัก 10,000 ถึ
ง 1,000,000 กรัมต่
อโมล
4 : มี
โครงสรางทั
้ งแบบธรรมชาติ และแบบสงั เคราะห์
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 314 :
กําหนดใหไอออน
้ Zn2+ และ S2­ มี
ขนาดรัศมี
0.074 และ 0.184 นาโนเมตร ตามลํ
าดับ จากตารางต่
อไปนี
จงทํ
านายลักษณะรู
ปแบบโครงสรางผลึ
้ กของ
สารประกอบ ZnS

ั ว่นขนาดของแคทไอออน
อตราส
รู
ปแบบโครงสร้
างผลึ
กเซรามิ

ต่
อแอนไอออน (rcation/ ranion)
< 0.155 linear
0.155 ­ 0.225 Triangular
0.225 ­ 0.414 Tetrahedral
0.414 ­ 0.732 Octahedral
0.732 ­ 1.0 Cubic

1 : Triangular
2 : Tetrahedral
3 : Octahedral
4 : Cubic
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 2

เนื
อหาวิ
ชา : 246 : 09 Processing­Structure relationships

ขอที
้ 315 :
ขอใดต่
้ อไปนี
ถู
กตองที
้ สุด

1 : เหล็
กโครงสราง้ FCC มี ความแข็
งแรงเพิ
มขึ ้ าเหล็
นชากว่ กโครงสราง
้ BCC ระหว่
างการขึ
นรู
ปเย็
น (Cold working)
2 : การเคลือน (Dislocation) ในผลึ
กโครงสราง
้ FCC สามารถเคลื
อนทีไดยากกว่
้ าในผลึ
กโครงสราง
้ BCC
3 : การเคลือน (Dislocation) ในผลึ
กโครงสราง
้ FCC สามารถเคลื
อนทีไดง่
้ายกว่
าในผลึ
กโครงสราง
้ HCP
4 : ขอ้1 2 และ 3 ผิ

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 316 :
การชุ
บแข็
งเหล็
กกลาคาร์
้ บอนปานกลาง ตองทํ
้ าการเผาเหล็
กจนไดโครงสร
้ างใดก่
้ อนทําใหเย็
้นตัวอย่
างรวดเร็

1 : เฟร์
ไรต์(Ferrite)
2 : ออสเทไนต์ (Austenite)
3 : ซเี
มนไทต์ (Cementite)
4 : มาร์
เทนไซต์ (Martensite)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 317 :
เหล็กหล่
อขาว (White cast iron) มี
โครงสรางจุ
้ ลภาคดังในขอใดต่
้ อไปนี

1 : เฟร์
ไรต์และ เพอร์
ไลต์(Ferrite & Pearlite)
2 : ซเี
มนไทต์ และ เพอร์
ไลต์ (Cementite & Pearlite)
3 : เฟร์
ไรต์และ แกรไฟต์(Ferrite & Graphite)
4 : เพอร์
ไลต์และ แกรไฟต์ (Peartite & Graphite)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 318 :
ขอใดคื
้ อโครงสรางของเหล็
้ กกลาคาร์
้ บอนปานกลางที
ไดจากการปล่
้ อยใหเย็
้นอย่ ้ จากโครงสรางออสเทไนต์
างชาๆ ้ (Austenite)

1 : Cementite + Pearlite
2 : Ferrite + Pearlite
3 : Bainite + Pearlite
4 : Martensite + Pearlite
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 319 :
ขอใดคื
้ อโครงสรางจุ
้ ลภาคของเหล็
กกลาคาร์
้ บอนที
ผ่
านการเผาดวยอุ
้ ณหภู
มค
ิงที ีส เป็
ประมาณ 730 ­ 750 องศาเซลเซย ั
นเวลานาน 20 ชวโมง

1 : เพอร์
ไลต์หยาบ (Coarse pearlite)
2 : เพอร์
ไลต์ละเอี
ยด (Fine pearlite)
3 : สเฟี
ยรอยไดต์ (Spheroidite)
4 : เบไนต์แบบขนนก (Feathery bainite)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 320 :
ในกระบวนการหล่
อโลหะ เมื
อโลหะที
หลอมเหลวเกิ
ดการแข็
งตัว และเกิ ่งว่
ดโพรงชอ างขึ ิ ซงถื
นภายในชนงาน ึอว่
าเป็
นความบกพร่
องประเภทใด

1 : ความบกพร่
องแบบจุ

องแบบเสน้
2 : ความบกพร่
3 : ความบกพร่
องแบบระนาบ
4 : ความบกพร่
องแบบปริมาตร
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 321 :
ขอใดกล่
้ าวไม่
ถก
ูตอง

1 : Equiaxed grains เป็


นเกรนที
เกิ
ดจากผลึกทีโตสมําเสมอในทุกทิ
ศทาง
2 : Columnar grains พบบริเวณทีนํ ั ผัสกับผิ
าโลหะสม วแม่
พมิพ์
3 : Equiaxed grains เกิ
ดเนื
องจากนํ
าโลหะเย็นตัวอย่
างรวดเร็

4 : Columnar grains มิทศ
ิทางเติ ่ายในของแม่
บโตเขาสู
้ภ พม
ิพ์
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 2

เนื
อหาวิ
ชา : 247 : 10 Structure­Property relationships

ขอที
้ 322 :
เพราะเหตุ
ใดเหล็
กแผ่
นที
ผ่
านกระบวนการขึ
นรู
ปดวยวิ
้ ธรี

ีเย็
น (Cold rolling) จึ
งมี
ความแข็
งมากกว่
าเหล็
กแผ่
นที
ผลิ
ตดวยวิ
้ ธรี

ีรอน
้ (Hot rolling)

1 : การรี
ดเย็
นทํ
าใหแผ่
้ นเหล็กเกิ
ด Work hardening โดยไม่ ทํ
าใหเกิ
้ดผลึกใหม่
(Recrystallization)
2 : การรี
ดเย็
นทํ
าใหมี
้ความเคนตกค
้ าง ้ (Residual stress) บนผิ
วเหล็
กแผ่
นนอยกว่
้ าการรี ดรอน

3 : การรี
ดเย็
นทํ
าใหผิ

วเหล็
กแผ่ นเกิ
ดออกไซด์
มากกว่าการรี
ดรอน

4 : การรี
ดเย็
นทํ
าใหโครงสร
้ างจุ
้ ลภาคมีขนาดใหญ่ขน

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 323 :
ขันตอนใดต่
อไปนี
ไม่ ่นตอนในการเกิ
ใชข ั ดปฏิ
กริ

ิาพอลิ
เมอร์ ั
ไรเซชนแบบเติ
ม (Addition Polymerization)

1 : ขันเริ
มตนปฏิ
้ กริย
ิา (Initiation)
2 : ขันตอนการดําเนิ
นไปของปฏิ กริย
ิา (Propagation)
3 : ขันตอนการเกิดโครงสรางตาข่
้ าย (Vulcanization)
ิ ดปฏิ
4 : ขันตอนการสนสุ กริ ย
ิา (Termination)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 324 :
เหล็กกลาคาร์
้ บอนปานกลาง (0.4wt%C) ในขอใดต่
้ อไปนี
มี
ความแข็
งมากที
สุ

1 : อบที
อุ
ณหภูมิ ีส ปล่
1050 องศาเซลเซย อยใหเย็
้นในเตา
2 : อบที
อุ
ณหภูมิ ีส ปล่
1050 องศาเซลเซย อยใหเย็
้นในอากาศ
3 : อบที
อุ
ณหภูมิ ีส ปล่
950 องศาเซลเซย อยใหเย็
้นในเตา
4 : อบที
อุ
ณหภูมิ ี
950 องศาเซลเซยส ปล่
อยใหเย็
้นในนํ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 325 :
โครงสรางที
้ ทนต่
อการคื
บ (Creep) ไดดี
้ทสุ
ีดคื
อ ขอใดต่
้ อไปนี

1 : ผลึ
กเดียว (Single crystal)
2 : โครงสรางที
้ มี เกรนขนาดใหญ่
3 : โครงสรางที
้ มี เกรนขนาดเล็ ก
4 : โครงสรางที
้ มี เกรนรูปร่างเรียวยาว
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 1

ขอที
้ 326 :
โครงสรางของเหล็
้ กกลาคาร์
้ บอนในขอใดต่
้ อไปนี
ที
ทนต่
อแรงกระแทกที
อุ
ณหภู
มต
ิําไดดี
้ทสุ
ีด

1 : ออสเทไนต์ (Austenite) เกรนขนาดใหญ่


2 : เฟร์
ไรต์(Ferrite) เกรนขนาดใหญ่
3 : ออสเทไนต์ (Austenite) เกรนขนาดเล็

4 : เฟร์
ไรต์(Ferrite) เกรนขนาดเล็ก
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 327 :
สารประกอบออกไซด์ ชว่
ประเภทใดที ยทํ
าใหความหนื
้ ดของแกวตํ
้าลง

1:์ Na2O
2 : Al2O3
3 : SiO2
4 : TiO2
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 328 :
การเติ
มสาร Intermediate oxides ในแกวเพื
้ อประโยชน์
อะไร

1 : เพื
อใหสามารถขึ
้ นรู
ปแกวได
้ ง่
้ายขึ

2 : เพื
อใหแก
้วมี
้ความหนื ดตํ
าลง
3 : เพื
อปรับปรุ
งสมบัตขิองแกว้
4 : เพื
อทํ
าใหแก
้วหลอมตั
้ วที
อุณหภูมต
ิําลง
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 329 :
การเติ
มสาร Glass­modifying oxide ในแกวเพื
้ อประโยชน์
อะไร

1 : เพื
อใหแก
้วมี
้ความตานทานต่
้ อการเปลี
ยนแปลงอุ
ณหภู
มิ
(Thermal shock resistance)
2 : เพื
อใหแก
้วมี
้ความหนื
ดตําลง
3 : เพื
อใหแก
้วมี
้ความแข็
งสู
งขึน
4 : เพื
อใหแก
้วมี
้ผลึ
กเกิ
ดขึ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 330 :
ในกรรมวิ
ธก ื นงานเหล็
ีารเชอมช ิ กกลาคาร์
้ บอนสู
ง (High carbon steel) โครงสรางทางจุ
้ ลภาคในบริ
เวณกระทบรอน ิ
้ (Heat­affected zone) ของชนงานสามารถเกิ

การเปลี
ยนแปลงไดเป็
้นอะไร

1 : เพอร์
ไลต์
หยาบ และเฟร์ไลต์(Coarse Pearlite & Ferrite)
2 : เพอร์ หยาบ และซเี
ไลต์ มนไทต์ (Coarse Pearlite & Cementite)
3 : เพอร์
ไลต์
ละเอี
ยด และเฟร์ไลต์(Fine Pearlite & Ferrite)
4 : เพอร์
ไลต์ ยด และซเี
ละเอี มนไทต์ (Fine Pearlite & Cementite)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 331 :
อุณหภู
มท ี กสํ
ิเหมาะสมในการเผาเหล็ าหรับกระบวนการชุ
บแข็
งควรอยูนชว่
ใ่ งใด และเพราะเหตุ
ใด

1 : มากกว่ ีส เพราะเหล็
า 727 องศาเซลเซย กสามารถเปลี ยนโครงสรางเป็
้ นออสเทไนต์
(Austenite) ไดทั
้งหมด
2 : มากกว่ ีส เพราะเหล็
า 912 องศาเซลเซย กสามารถเปลี ยนโครงสรางเป็
้ นออสเทไนต์
(Austenite) ไดทั
้งหมด
3 : มากกว่ ีส เพราะประหยัดพลังงานเชอเพลิ
า 727 องศาเซลเซย ื งมากที สุ

4 : มากกว่ ีส เพราะประหยัดพลังงานเชอเพลิ
า 912 องศาเซลเซย ื งมากที
สุ

4 : มากกว่ ีส เพราะประหยัดพลังงานเชอเพลิ
า 912 องศาเซลเซย ื งมากที
สุ

คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 1

ขอที
้ 332 :
ขอใดต่
้ อไปนี
ถู
กตอง
้ เมื
อใหพอลิ
้ เอทิ
ลน
ีที
หลอมเหลวค่
อยๆเย็
นตัวลงอย่ ้ จนถึ
างชาๆ งอุ
ณหภู
มห
ิอง

1 : พอลิ
เอทิ
ลน
ีจะยังคงเป็นพอลิเมอร์ ั ฐาน
อ สณ
2 : พอลิ
เอทิ
ลน
ีจะตกผลึ ก
3 : พอลิ
เอทิ
ลน
ีจะมีสมบัตคิลายแก
้ ว้
4 : พอลิ
เอทิ
ลน
ีจะมีบางบริเวณทีมี
สมบัตคิลายแก
้ ว้และมี
บางบริ
เวณที
มี
สมบัตค
ิลายยาง

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 333 :
เหล็กกลาไร
้ สนิ
้ มชนิ
ดใดต่
อไปนี
ที
แม่
เหล็
กดู
ดไม่
ตด

1 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มเฟร์ไรต์(Ferritic stainless steel)
2 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ ม ออสเทนไนต์ (Austenitic stainless steel)
3 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มมาร์เทนไซต์ (Martensitic stainless steel)
4 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มดูเพล็กซ ์
(Duplex stainless steel)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 334 :
ขอความใดต่
้ อไปนี
เป็
นการกล่
าวที
ผิ

1 : วัสดุ
ทมี
ีโครงสรางผลึ
้ กแบบ FCC มี คา่
การจัดเรี
ยงตัวของอะตอม (Atomic packing factor, APF) มากกว่
าวัสดุ
ทมี
ีโครงสรางผลึ
้ กแบบ BCC
2 : วัสดุ
ทมี
ีเกรนเป็
นจํ
านวนมากมีความแข็งแรงมากกว่ าวัสดุทมี
ีเกรนจํานวนนอยกว่
้ าในปริมาตรเดียวกันของวัสดุชนิ
ดเดี
ยวกัน
3 : วัสดุ
ทมี
ีเกรนเป็
นจํ
านวนมากมีการนํ
าไฟฟ้าทีแย่กว่าวัสดุ ทมี
ีเกรนจํานวนนอยกว่
้ าในปริมาตรเดี ยวกันของวัสดุ
ชนิดเดี
ยวกัน
4 : วัสดุ
ทมี
ีความบกพร่องประเภทจุ
ดแบบ Self­interstitial มี
ความแข็งนอยกว่
้ าวัสดุ
ทไม่
ี มคีวามบกพร่ องประเภทจุดของวัสดุ
ชนิ
ดเดี
ยวกัน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 335 :
ถาแสงสามารถส
้ ่งทะลุ
อ ผา่
นแผ่
นบางของอะลู
มเิ
นี
ยมออกไซด์
(Al2O3) ไดทั
้งหมด ขอใดคื
้ อโครงสรางของอะลู
้ มเิ
นี
ยมออกไซด์
แผ่
นนัน

1 : ผลึกเดี
ยว (Single crystal)
2 : พหุผลึก (Polycrystal) เนื
อแน่นไม่
มช
ีอ่งว่
างภายใน
3 : พหุผลึก (Polycrystal) ทีมี่งว่
ชอ างภายใน
ั ฐาน (Amorphous)
4 : อสณ
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 336 :
ถาแสงสามารถส
้ ่งทะลุ
อ ผา่
นแผ่
นบางของอะลู
มเิ
นี
ยมออกไซด์ ้ ว่
(Al2O3) ไดบางส น ขอใดคื
้ อโครงสรางของอะลู
้ มเิ
นี
ยมออกไซด์
แผ่
นนัน

1 : ผลึ กเดี
ยว (Single crystal)
2 : พหุ ผลึก (Polycrystal) เนื
อแน่นไม่
มช
ีอ่งว่
างภายใน
3 : พหุ ผลึก (Polycrystal) ทีมี่งว่
ชอ างภายใน

4 : อสณฐาน (Amorphous)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 337 :
ถาแสงไม่
้ ่งทะลุ
สามารถสอ ผา่
นแผ่
นบางของอะลู
มเิ
นี
ยมออกไซด์
(Al2O3) ได ้
ขอใดคื
้ อโครงสรางของอะลู
้ มเิ
นี
ยมออกไซด์
แผ่
นนัน

1 : ผลึกเดี
ยว (Single crystal)
2 : พหุผลึก (Polycrystal) เนื
อแน่นไม่
มช
ีอ่งว่
างภายใน
3 : พหุผลึก (Polycrystal) ทีมี่งว่
ชอ างภายใน
ั ฐาน (Amorphous)
4 : อสณ
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 338 :
ในโลหะชนิ
ดเดี
ยวกัน ลักษณะทางโครงสรางจุ
้ ลภาคใดต่
อไปนี
ที ีรู
สามารถเสย ปจากการดึ
งไดง่
้ายที
สุ

1 : มี
เกรนเป็นทรงกลม
2 : มี
เกรนเป็นรู
ปเข็ม
3 : มี
เกรนเป็นรู
ปแผ่น
4 : เท่
ากันในทุกลักษณะของโครงสราง

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 339 :
โครงสรางผลึ
้ กชนิดใดต่
อไปนี ีรู
สามารถเสย ปจากการดึ
งไดง่
้ายที
สุ

1 : Hexagonal closed­pack (HCP)


2 : Face­centered cubic (FCC)
3 : Body­centered cubic (BCC)
4 : Simple cubic (SC)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 2

ขอที
้ 340 :
เพราะเหตุ
ใดเซอร์
โคเนี
ยมออกไซด์ (ZrO2) ทีผสมดวยอิ
้ เที
ยมออกไซด์
(Y2O3) หรื
อที
เรี
ยกว่
า Yttria­stabilized zirconia (YSZ) จึ
งสามารถนํ ้นตัวตรวจ
ามาใชเป็
วัดปริ าซออกซเิ
มาณก๊ จน (Oxygen sensor) ได ้

1 : เนื
องจากการผสมอิ
เที
ยมออกไซด์ทํ
าใหเกิ
้ดชอ่งว่
างของประจุ
บวก (Cation vacancy) ขึ
นในโครงสรางผลึ
้ กของเซอร์
โคเนี
ยมออกไซด์
ทํ ้ เิ
าใหออกซ จนไอออนสามารถเคลื
อนที
เขามาได
้ ้
จึง
้ ดปริ
สามารถใชตรวจวั มาณออกซเิจนได ้
2 : เนื
องจากการผสมอิ
เที
ยมออกไซด์ทํ
าใหเกิ
้ดชอ่งว่
างของประจุ
ลบ (Anion vacancy) ขึนในโครงสรางผลึ
้ กของเซอร์โคเนี
ยมออกไซด์
ทํ ้ เิ
าใหออกซ จนไอออนสามารถเคลื
อนที
เขามาได
้ ้
จึ

้ ดปริ
สามารถใชตรวจวั มาณออกซเิจนได ้
3 : เนื
องจากอิ
เที
ยมไอออนมี
ขนาดเล็
กกว่
าเซอร์
โคเนี
ยมไอออน เมื
อผสมกันแลวเกิ
้ ดการแทนที
ของประจุ น สง่
บวกขึ ผลใหโครงสร
้ างผลึ
้ กของเซอร์
โคเนี
ยมออกไซด์
เกิ
ดการหดตัว ทํ
าให ้
3 : เนื
องจากอิเที
ยมไอออนมีขนาดเล็
กกว่าเซอร์
โคเนี
ยมไอออน เมือผสมกันแลวเกิ
้ ดการแทนทีของประจุ น สง่
บวกขึ ผลใหโครงสร
้ างผลึ
้ กของเซอร์โคเนี
ยมออกไซด์
เกิ
ดการหดตัว ทํ
าให ้
ออกซเิ จนไอออนสามารถเคลื อนที
เขามาได
้ ้จึ ้ ดปริ
งสามารถใชตรวจวั มาณออกซเิจนได ้
4 : เนื
องจากเนืองจากอิ
เที
ยมไอออนมีขนาดใหญ่ กว่
าเซอร์
โคเนี
ยมไอออน เมือผสมกันแลวเกิ
้ ดการแทนทีของประจุ น สง่
บวกขึ ผลใหโครงสร
้ างผลึ
้ กของเซอร์
โคเนี
ยมออกไซด์เกิ
ดการขยายตัว
ทํ ้ เิ
าใหออกซ จนไอออนสามารถเคลือนทีเขามาได
้ ้
จึ ้ ดปริ
งสามารถใชตรวจวั มาณออกซเิจนได ้
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 341 :
ทําไมเซรามิ
กที
มี
โครงสรางคล
้ ายกั
้ บผลึ
กเดี
ยว (Like a single crystal) ถึ
งยอมใหแสงผ่
้ านได ้
(Translucent)

1 : เนื
องจากภายในเกรนมีการจัดเรี
ยงอะตอมที
เกื
อบจะอยู
ใ่
นทิ
ศทางเดี
ยวกัน
2 : เนื
องจากขอบเกรนมีความหนา
3 : เนื
องจากภายในเกรนมีธาตุ
อนมาแทรก

4 : เนื
องจากมี่งว่
ชอ างเกิ
ดขึนภายในเกรน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 342 :
โครงสรางจุ
้ ลภาคระหว่
างเพอร์
ไลต์
หยาบ (Coarse pearlite) และเพอร์
ไลต์
ละเอี
ยด (Fine pearlite) โครงสรางใดมี
้ ความแข็
งแรงมากกว่
า และเพราะอะไร

1 : เพอร์
ไลต์
หยาบแข็งแรงมากกว่
า เพราะมีปริ
มาณคาร์
บอนอิสระมากกว่

2 : เพอร์
ไลต์
ละเอี
ยดแข็งแรงมากกว่
า เพราะมี
ปริ
มาณคาร์บอนอิ
สระมากกว่า
3 : เพอร์
ไลต์
หยาบแข็งแรงมากกว่
า เพราะมีขนาดของเกรนใหญ่กว่

4 : เพอร์
ไลต์
ละเอี
ยดแข็งแรงมากกว่
า เพราะมี
ขนาดของเกรนเล็
กกว่า
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 343 :
จงเรี
ยงลํ
าดับโครงสรางจุ
้ ลภาคที
มี
ความแข็
งจากมากไปนอย

1 : เพอร์
ไลต์(Pearlite), เบไนต์ (Bainite), มาร์
เทนไซต์ (Martensite)
2 : เบไนต์(Bainite), เพอร์ไลต์(Pearlite), มาร์
เทนไซต์ (Martensite)
3 : มาร์
เทนไซต์ (Martensite), เบไนต์ (Bainite), เพอร์
ไลต์
(Pearlite)
4 : เบไนต์(Bainite), มาร์เทนไซต์ (Martensite), เพอร์ไลต์
(Pearlite)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 344 :
โครงสรางของเหล็
้ ้ ยรอยไดซ ์
กกลาสเฟี (Spheroidized steel) มี
สมบัตท
ิางกลอย่
างไร และเพราะอะไร

1 : มี
ความแข็
งสู
ง เพราะปรากฏโครงสรางของซ
้ เี
มนไทต์ (Cementite) แบบแท่ง
2 : มี
ความอ่
อนตัวสู
ง เพราะปรากฏโครงสรางของซ
้ เี
มนไทต์ (Cementite) แบบกลม
3 : มี
ความแข็
งสู
ง เพราะปรากฏโครงสรางของกราไฟต์
้ (Graphite) แบบแท่ ง
4 : มี
ความอ่
อนตัวสู
ง เพราะปรากฏโครงสรางของกราไฟต์
้ (Graphite) แบบกลม
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 345 :
เซรามิ
กทัวไปมี
คา่
ของสมบัตใิ
นขอใดน
้ อยกว่
้ าของโลหะทัวไป

1 : Hardness
2 : Thermal insulation
3 : Toughness
4 : Chemical resistance
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 3

ขอที
้ 346 :
วัสดุ
ในขอใดสามารถดู
้ ดกลื
นพลังงานไวก่
้อนที ีรู
จะเสย ปทรงอย่
างถาวรไดสู
้ง

1 : แผ่
นพลาสติ กพอลิ
สไตรี

2 : แผ่
นยาง
3 : แผ่
นกระจก
นสงั กะส ี
4 : แผ่
คํ
าตอบที ถู กตอง
้: 2

ขอที
้ 347 :
ขอใดกล่
้ าวถึ
งกระบวนการเกิ
ดผลึ
กใหม่
(Recrystallization) ไม่
ถก
ูตอง

1 : ตองเกิ
้ ดการเปลี ยนรู
ปนอยที
้ สุ ดค่
าหนึ
งจึ
งจะสามารถเกิ ดผลึ
กใหม่ได ้
2 : ถาปริ
้ มาณการเปลี ยนรูปนอยจะทํ
้ าใหอุ
้ณหภูมใินการเกิดผลึ
กใหม่สงู
ขึน
3 : ขนาดเกรนสุดทายหลั
้ งการเกิ ดผลึ
กใหม่
จะขึ
นอยูก
่บั ปริ
มาณการเปลียนรูป
4 : โลหะบริสท
ุธิ
มี
อณุหภูมกิารเกิ
ดผลึ
กใหม่
สงู
กว่าโลหะผสม
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 348 :
ขอใดไม่
้ ่ารเปลี
ใชก อโลหะในชว่
ยนแปลงภายในเนื งการคื
นตัว (Recovery) เมื
อนํ
าโลหะที
ผ่
านการขึ
นรู
ปเย็
นมาทํ
าการอบอ่
อน

1 : ความแข็งแรงลดลงเล็ กนอย

2 : ความเคนตกค
้ างลดลง

3 : จํ
านวนดิ ั
สโลเคชนเพิ มขึ

4 : ความอ่อนตัวเพิ
มขึน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 349 :
กระบวนการอัดรี
ด (Extrusion) เป็
นขันตอนหนึ
งที
นํ ้
ามาใชขึ
นรู
ปผลิ
ตภัณฑ์
พลาสติ
กต่
างๆ ยกเวนข
้ อใด

1 : ท่
อนํา
2 : ยางรถยนต์
3 : ฉนวนหุ
มสายไฟ

4 : ถุ
งพลาสติ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 350 :
การทํ
าใหเหล็
้ กกลาคาร์
้ บอนตํ
าเย็
นตัวอย่ ว (Quenching) สง่
างรวดเร็ ผลต่
อโครงสรางจุ
้ ลภาคและสมบัตท
ิางกลอย่
างไร

1 : โครงสรางจุ
้ ลภาคมีขนาดเกรนหยาบ ความแข็งแรงตํา
2 : โครงสรางจุ
้ ลภาคมีขนาดเกรนหยาบ ความแข็งแรงสูง
3 : โครงสรางจุ
้ ลภาคมีขนาดเกรนละเอี
ยด ความแข็งแรงตํา
4 : โครงสรางจุ
้ ลภาคมีขนาดเกรนละเอี
ยด ความแข็งแรงสูง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 351 :
ในงานโลหกรรมผง (Powder metallurgy) ขันตอนใดที
ทํ
าใหช้ื
นงานมี
ความแข็
งแรงเพิ
มขึ
นอย่
างมาก

1 : Mixing
2 : Pressing
3 : Sintering
4 : Machining
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 352 :
ขอใดคื
้ อลักษณะโครงสรางและสมบั
้ ตทิพบได
ี ในพอลิ
้ เมอร์
ชนิ
ดเทอร์
โมเซตติ
ง (Thermosetting)

1 : โครงสรางแบบสายโซ
้ ่รง มี
ต ความแข็ งสู

2 : โครงสรางแบบโครงตาข่
้ าย (Network) มีสภาพดึ
งยื
ดตํา
3 : โครงสรางแบบกิ
้ ง ตานทานการกั
้ ดกร่ อนไดดี

4 : โครงสรางแบบครอสลิ
้ งค์(Crosslink) มี
สภาพดึ
งยื
ดสู

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 353 :
ในการผลิ ้
ตเสนใยพอลิ
เมอร์
มก
ั มี
การดึ
งยื
ด (Stretching) หลังจากการผลิ ้
ตเสนใยแลว้เพราะสาเหตุ
ใดเป็
นหลัก

1 : เพิ ้
มความยาวของเสนใย
2 : เพิ ้
มเงางามของเสนใย
3 : ชว่
ยใหง่
้ายต่
อการจัดเก็ ้
บเสนใย
4 : เพิ
มความแข็ ้
งแรงของเสนใย
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 354 :
เหตุใดเหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มจึ
งมี
ความตานทานการเกิ
้ ดสนิ
มไดดี

1 : มี
ธาตุ
นเิ
กิ
ลผสมอยู่ ึ ว่
ซงช ยสรางช ั ลม
้ นฟิ ์นิเกิ
ลออกไซด์ ป้
องกันการเกิ ด Oxidation ที
ผิ ิ
วชนงานได ดี

2 : มี
ธาตุ
โครเมียมผสมอยู
่ ึ ว่
ซงช ยสรางช ั ลม
้ นฟิ ์โครเมี
ยมออกไซด์ ป้องกันการเกิด Oxidation ที
ผิ ิ
วชนงานได ดี

3 : มี
ธาตุ
โครเมียมผสมอยู
่ ึ ว่
ซงช ยสรางช ั ลม
้ นฟิ ์โครเมี
ยมคาร์
ไบด์ ป้องกันการเกิด Oxidation ทีผิ ิ
วชนงานได ดี

4 : มี
ธาตุ
อะลูมเิ
นี
ยมผสมอยู่ ึ ว่
ซงช ยสรางช ั ลม
้ นฟิ ์อะลูมเิ
นี
ยมออกไซด์ ป้องกันการเกิด Oxidation ทีผิ ิ
วชนงานไดดี

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 355 :
ขอใดเรี
้ ยงลํ
าดับโครงสรางเหล็
้ กกลาที
้ มี
ความแข็
งมากไปนอย

1 : ซเี
มนไทต์ > เพอร์ไลต์> มาร์
เทนไซต์
2 : มาร์
เทนไซต์ > เพอร์ไลต์> เบไนต์
3 : เบไนต์> เพอร์ไลต์> เฟร์
ไรต์
4 : มาร์
เทรไซต์ > เฟร์
ไรต์> ซเี
มนไทต์
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 356 :
ในการใหความร
้ อนเพื
้ อขึ
นรู
ปผลิ
ตภัณฑ์
แกว้(Glass product) จํ
าเป็
นตองพิ
้ จารณาสมบัตใิ
ดเป็
นหลัก

1 : ความหนืด
2 : ความหนาแน่น
3 : ความใส
4 : ความแข็ง
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 357 :
ขอใดเรี
้ ยงลํ ชว่
าดับตัวกลางที ยในการชุ
บแข็
งเหล็
กกลาจากน
้ อยไปมากได
้ ถู

กตอง

1 : นํ
า, อากาศ, เตา
2 : นํ
ามัน, อากาศ, เตา
3 : เตา, นํ
า, นํามัน
4 : อากาศ, นํ ามัน, นํ

คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 4

ขอที
้ 358 :
ขอใดไม่
้ ่าเหตุ
ใชส ของการขึ
นรู
ปหัวนอตหรื
้ อตะปู
ดวยวิ
้ ธก
ีารอัดขึ
นรู
ปเย็
น (Cold forging)

1 : เพิ
มความแข็

2 : เพิ
มความแข็
งแรง
3 : เพิ
มความแข็
งไดขนาดรู
้ ปร่
างที
แม่
นยํ

4 : เพิ
มสภาพดึ
งยืดไดดี
้ขน

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4
ขอที
้ 359 :
โครงสรางพอลิ
้ เมอร์
ทมี
ีความเป็
นผลึ น สง่
กมากขึ ผลต่
อสมบัตโิ
ดยทัวไปอย่
างไร

1 : มี
จด
ุหลอมเหลวสูงขึ

2 : มี
ความแข็
งแรงมากขึ

3 : มี
ความสามารถในการละลายดี
ขน

4 : มี
ความหนาแน่นมากขึ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 360 :
ขอใดเปรี
้ ยบเที
ยบโครงสรางหรื
้ อสมบัตริ
ะหว่
างผลิ
ตภัณฑ์
แกว้(Glass product) และกลาสเซรามิ
ก (Glass ceramic) ไม่
ถก
ูตอง

1 : ผลิ
ตภัณฑ์แกวมี
้โครงสรางอส
้ ณ ั ฐาน กลาสเซรามิกมี
โครงสรางผลึ
้ ก
2 : ผลิ
ตภัณฑ์แกวมี
้ลก
ั ษณะใส กลาสเซรามิ กมี
ลก
ั ษณะขุน
่ทึบ
3 : ผลิ
ตภัณฑ์แกวมี
้ความแข็งแรงสูง กลาสเซรามิกมี
ความแข็งแรงตํ

4 : ผลิ
ตภัณฑ์แกวนํ
้าความรอนได
้ ตํ ้า กลาสเซรามิกนํ
าความรอนได
้ สู ้ง
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 361 :
ในการเตรี
ยมผลิ
ตภัณฑ์
เซรามิ
กดิ
น (Clay product) มักจะคัดแยกขนาดอนุ
ภาคของดิ ้ามาผสมกันในอัตราสว่
นแลวนํ นต่
างๆ เพราะสาเหตุ
ใด

1 : ลดราคาตนทุ
้น
2 : ลดปริ
มาณรู
พรุน
3 : ลดปริ
มาณนําที ้ ้
ตองใช
4 : ลดความแข็
งเปราะ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 362 :
ขันตอนใดต่
อไปนี สามารถชว่
ไม่ ยเพิ
มความแข็
งแรงใหกั้
บผลิ
ตภัณฑ์
เทอร์
โมพลาสติ


1 : การใชความเครี
ยดเหนี ยวนําใหเกิ
้ดโครงสรางผลึ
้ ก
2 : การเพิ
มความยาวเฉลี ยของสายโซโ่ มเลกุ

3 : การผสมสารเติ
มแต่ ง (Filler)
4 : การหลอมผนึก (Sintering) ของสายโซโ่
มเลกุ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 363 :
ขอใดแสดงความส
้ ั พันธ์
ม ระหว่
างกระบวนการและโครงสรางได
้ ถู ้
กตอง

1 : การสงั เคราะห์
พอลิ เมอร์แบบเติม (Addition polymerization) ทํ
าใหเกิ
้ดพอลิ เมอร์
แบบโครงร่
างตาข่าย
2 : การหลอมผนึ ก (Sintering) ในเซรามิ
กทําใหโครงสร
้ างอนุ
้ ภาคดิ ื ดกันโดยมี
นเชอมติ รพ
ูรุ
นเพิ
มมากขึ น
3 : การรี
ดรอนแผ่
้ นโลหะทํ าใหโครงสร
้ างจุ
้ ลภาคมี เกรนละเอียด
4 : การชุ บแข็งแบบตกตะกอนในโลหะผสม ตองทํ ้ าใหโครงสร
้ างของแข็
้ งเกิ
ดการละลายอย่างยิ
งยวด (Super saturated solid solution) ก่
อนทํ
าใหเกิ
้ดการตกตะกอน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 364 :
กระบวนการใดต่
อไปนี สามารถชว่
ไม่ ยเพิ
มความแข็
งแรงใหกั้ ิ
บชนงานโลหะได ้

1 : การทําคาร์ รซงิ(Carburizing)
บไู
2 : การทําสเฟี รอยไดซงิ(Spheroidizing)
ยร์
3 : การรี
ดเย็

4 : การอัดขึ
นรู

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 365 :
หากมี
การเพิ
มปริ
มาณธาตุ
คาร์
บอนใหกั้
บเหล็
กกลา้จะมี
ผลต่
อโครงสรางและสมบั
้ ตอิย่
างไร

1 : เกิ
ดปริ
มาณเฟสเฟร์
ไรต์
มากขึ
น มี
ความแข็
งเพิ
มขึ

2 : เกิ
ดปริ
มาณเฟสเฟร์
ไรต์
มากขึ
น มี
ความแข็
งลดลง
3 : เกิ มาณเฟสซเี
ดปริ มนไทต์มากขึ
น มี
ความแข็
งเพิ
มขึ

4 : เกิ มาณเฟสซเี
ดปริ มนไทต์มากขึ
น มี
ความแข็
งลดลง
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 366 :
เหตุใดการผลิ
ตดอกสว่
านแบบหัวเพชรจึ
งออกแบบใหผลิ
้ ตเป็
นผลึ
กเพชรเคลื
อบบนแกนโลหะ แทนที
การออกแบบเป็
นดอกสว่
านเพชรทังแท่

1 : เพิ
มความเหนี
ยวใหกั้
บดอกสว่
าน
2 : เพิ
มความแข็
งใหกั้
บดอกสว่
าน
3 : เพิ
มความทนต่อความรอนให
้ กั้บดอกสว่
าน
4 : เพิ
มความตานทานการกั
้ ดกร่
อนใหกั้
บดอกสว่
าน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 367 :
ขอใดกล่
้ าวถู
กตองเกี
้ ยวกับวัสดุ
กลุ

่อิ
ลาสโตเมอร์
(Elastomer)

1 : ไม่สามารถนํ
ามารี
ไซเคิล (Recycle) ไดเลย

2 : มี
โครงสรางชนิ
้ ด Crosslink
3 : มักจะขึ
นรู
ปดวยวิ
้ ธกีารขึ
นรูปดวยความร
้ อน
้ (Thermoforming)
4 : อุ
ณหภู มก
ิารเปลี
ยนสภาพเป็ นแกวมี
้คา่ สู
งกว่
าอุ
ณหภูมหิอง

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 368 :
ขอใดจั
้ บคู

่ลิ
ตภัณฑ์
กบ
ั กระบวนการผลิ
ตที
เหมาะสมไดไม่
้ถกูตอง

1 : ท่
อประปา ผลิตดวยกระบวนการ
้ Extrusion
2 : แป้
นกดโทรศพั ท์ผลิ
ตดวยกระบวนการ
้ Injection molding
3 : ยางแผ่
นปู
พนื ผลิตดวยกระบวนการ
้ Compression molding
4 : ขวดแกลลอน ผลิ ตดวยกระบวนการ
้ Thermoforming
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 369 :
จุดประสงค์ ้สที
หลักในการใชแก๊ ้ ม (Shielding gas) จํ
ใชปกคลุ าพวก Ar, He หรื ื วยไฟฟ้
อ CO2 ในการเชอมด ้ า คื
อขอใด

1 : ชว่
ยใหโครงสร
้ างจุ
้ ลภาคบริ ื เกรนละเอี
เวณรอยเชอมมี ยด
2 : ชว่
ยในการหลอมละลายระหว่ ื บชนงาน
างลวดเชอมกั ิ
องกันออกซเิ
3 : ป้ จนทําปฏิกริย ื
ิากับรอยเชอม
4 : ไม่
ทําใหเกิ
้ดสารมลทิ ื
น (Slag) ในแนวเชอม
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 370 :
ในการพิ
จารณาเลื สํ
อกวัสดุ ิ ว่
าหรับทดแทนชนส นชวี
ภาพ ควรคํ
านึ
งถึ
งปั จจัยใดเป็
นอันดับแรก

1 : ความแข็งแรง
2 : ความทนทานต่ อสารเคมี
3 : ความเหนียว
4 : ความเขากั
้นไดกั้ บชวี
ภาพ
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 4

ขอที
้ 371 :
ขอใดต่
้ อไปนี
กล่
าวถู
กตอง

1 : กระบวนการคาร์
บไูรซงิ(Carburizing) ใชเพิ
้มความตานทานการกั
้ ดกร่
อนใหกั้บเหล็กกลา้
2 : กระบวนการ Condensation polymerization ใชส้งั เคราะห์
พอลิเมอร์ ึ ดผลิ
ซงเกิ ตภัณฑ์ ขางเคี
้ ยง (Byproduct) เสมอ
3 : กระบวนการอบ (Drying) ผลิตภัณฑ์เซรามิ กดิ ้ความชนหลั
น (Clay product) ใชไล่ ื งจากกระบวนการหลอมผนึ ก (Sintering)

4 : กระบวนการ Tempering ใชลดความเค นตกค
้ างในผลิ
้ ตภัณฑ์
แกว้(Glass product)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 372 :
ขอใดกล่
้ าวไม่
เหมาะสมเกี อกใชวั้
ยวกับการเลื สดุ
ประกอบ

1 : เฟสเนื
อพืนโลหะมีความเหนียวสูง เฟสเสริ
มแรงเซรามิกชว่ยเพิ
มความแข็ ง
2 : เฟสเนื
อพืนพอลิเมอร์
มน
ีํ มแรงโลหะชว่
าหนักเบา เฟสเสริ ยเพิมความแข็งแรง
3 : เฟสเนื
อพืนเซรามิ
กทนการกัดกร่ อนดีเฟสเสริมแรงเซรามิ ่
กชวยเพิมความแข็ งที
อุ
ณหภู
มส
ิงู
4 : เฟสเนื
อพืนโลหะทนความรอนได
้ ดี ้เฟสเสริมแรงพอลิเมอร์ชว่
ยเพิ
มความแข็ ง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 373 :
ขอใดต่
้ อไปนี
กล่
าวไม่
ถก
ูตองเกี
้ ยวกับโครงสรางและสมบั
้ ตขิองพอลิ
เมอร์

1 : โครงสรางแบบโครงตาข่
้ าย (Network) มี
ความยื
ดหยุน
่สู
งกว่าโครงสรางแบบสายโซ
้ ่รง

2 : โครงสรางแบบสายโซ
้ ต่รงสามารถขึนรูปใหม่ไดเมื
้อใหความร
้ อน ้
3 : โครงสรางแบบกิ
้ งมี
จด
ุหลอมเหลวตํ ากว่าแบบสายโซต่รง
4 : โครงสรางแบบสายโซ
้ ต่รงมีความหนาแน่ นมากกว่าแบบกิง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 374 :
ขอใดต่
้ อไปนี
กล่
าวไม่
ถก
ูตอง

1 : กระบวนการ Polymerization ในพอลิ เมอร์


ทํ
าใหเกิ ื อของสายโซโ่
้ดการเชอมต่ มเลกุ

2 : กระบวนการ Sintering ในงานโลหกรรมผง เป็ นการหลอมผนึ กอนุ
ภาคทําใหเกิ
้ดความแข็
งแรง
3 : ปฎิกริ

ิา Hydration ทํ ้เี
าใหซ มนต์
เกิ
ดการแข็งตัว
4 : ปฎิกริ

ิา Vitrification เกิ
ดขึ
นในกระบวนการหลอมแกว้ทํ าใหมี
้รพ
ูรุ
นสู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 375 :
ขอใดกล่
้ าวถู
กตองเกี
้ ยวผลิ
ตภัณฑ์
พอลิ
เมอร์

1 : โครงสรางที
้ มี ความยาวสายโซส่งู
จะมีความแข็งแรงตํ

2 : โครงสรางที
้ มี ความหนาแน่นสู
งจะมีความเหนียวสู

3 : โครงสรางที
้ มี ความเป็
นผลึกสู
งจะป้ ึผ่
องกันการซม านของก๊
าซไดดี

4 : โครงสรางแบบโครงร่
้ างตาข่
ายจะเกิดการะลายไดดี

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 376 :
กระบวนการทางความรอนอาจส
้ ง่
ผลใหเหล็
้ กกลาไร
้ สนิ
้ มมี ี อการแตกตามรอยขอบเกรนมากขึ
ความเปราะและเสยงต่ นเพราะเหตุ
ใด

1 : อาจทํ
าใหเกิ
้ดการแพร่
ของโครเมี ิ
ยมออกไปจากชนงานมากขึ

2 : อาจทํ
าใหเกิ
้ดสารประกอบโครเมี
ยมคลอไรด์
ทขอบเกรนมากขึ
ี น
3 : อาจทํ
าใหเกิ
้ดสารประกอบโครเมี
ยมคาร์
ไบด์
ทขอบเกรนมากขึ
ี น
4 : อาจทํ
าใหเกิ
้ดสารประกอบโครเมี
ยมออกไซด์
ทขอบเกรนมากขึ
ี น
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 377 :
ขอใดต่
้ อไปนี
เปรี
ยบเที
ยบขอมู
้ลระหว่
างเหล็
กกลาเกรด
้ AISI 1010 และ AISI 304 ไดถู
้กตอง

1 : เหล็
กกลาเกรด
้ AIS 1010 ตานทานการกั
้ ดกร่อนไดดี
้กว่า เกรด AISI 304
2 : เหล็
กกลาเกรด
้ AIS 1010 มี
ปริ
มาณธาตุ
นเิกิ
ลมากกว่
า เกรด AISI 304
3 : เหล็
กกลาเกรด
้ AIS 1010 มี
โครงสรางผลึ
้ กเป็ นแบบ BCC แต่
เกรด AISI 304 เป็
นแบบ FCC
4 : เหล็
กกลาเกรด
้ AIS 1010 มี
ราคาสู
งกว่
าเกรด AISI 304
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 378 :
ขอใดคื
้ อลักษณะโครงสรางผลึ
้ กและสมบัตเิ
ด่
นของวัสดุ
เพี
ยโซอิ
เล็
กทริ
ก (Piezoelectric material)

1 : โครงสรางอส
้ ณ ั ฐาน สามารถเปลี
ยนแรงทางกลเป็
นแม่เหล็
กได ้
2 : โครงสรางผลึ
้ กแบบสมมาตร สามารถเปลี ยนแรงทางกลเป็นความรอนได
้ ้
3 : โครงสรางผลึ
้ กแบบสมมาตร สามารถเปลี ยนพลังงานไฟฟ้าเป็
นความรอนได
้ ้
4 : โครงสรางผลึ
้ กแบบไม่ สมมาตร สามารถเปลี
ยนแรงทางกลเป็ นไฟฟ้
าได ้
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 379 :
กระบวนการประกอบแผงวงจรอิ เล็
กทรอนิกส ์
นิ
ยมหลอมโลหะบัดกรี ่ตะกัว­ดี
เชน บก ื ดกับทองแดงบนแผ่
ุของตัววงจรรวมเชอมติ นวงจร ทํ
าใหเกิ ั
้ดชนสารประกอบ
เชงิโลหะ (Intermetallic compound) ชนิ
ด ทองแดง­ดี
บก
ุระหว่ ึ นสารประกอบเช
างกลาง ซงช ั งิ
โลหะนี
มีขอดี
้ และขอเส
้ย ีอย่
างไร

1 : ชว่
ยใหตั้
ววงจรยึ
ดเกาะกับแผงวงจร และนํ
าไฟฟ้าไดดี

ขนึ
2 : ชว่
ยเพิ
มการนําไฟฟ้าไดดี
้ขน
ึแต่มรี
อยต่อความเปราะสู

3 : ชว่
ยใหตั้
ววงจรยึ
ดเกาะกับแผงวงจร แต่
ลดสภาพการนํ าไฟฟ้

4 : ชว่
ยเพิ
มการนําไฟฟ้า และทนความรอนได
้ ดี ้ขน

คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 2

ขอที
้ 380 :
การเหนี ยวนํ
าใหเกิ
้ดโครงสรางผลึ
้ กดวยความเครี
้ ยด (Strain­induced crystallization) ในระหว่
างกระบวนการเป่
าขึ
นรู ก สง่
ป (Blow molding) ขวดพลาสติ ผลต่

ผลิ ตภัณฑ์ทได
ี อย่
้างไร

1 : มี
ความแข็
งแรงและความใสมากขึ

2 : มี
สภาพดึ
งยื
ดและความขุน
่มากขึ

3 : มี
ความแข็
งและความสามารถในการละลายลดลง
4 : มี
สภาพดึ
งยื
ดและความแข็งลดลง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

เนื
อหาวิ
ชา : 248 : 11 Methods and tools for structure investigation

ขอที
้ 381 :
ถาต้องการวิ
้ เคราะห์
โครงสรางจุ ิ
้ ลภาคของชนงานโลหะดวยกล
้ องจุ
้ ลทรรศน์
แบบแสง (Optical microscope) ควรเตรี ิ
ยมชนงานอย่
างไร

1 : ขัดผิ ิ
วชนงานให เรี
้ยบ
2 : ขัดผิ ิ
วชนงานให เรี
้ยบและกัดผิ ิ
วชนงานด วยกรด

3 : ขัดผิ ิ
วจนชนงานมี ความบางมาก ๆ
4 : ไม่ตองเตรี
้ ยมผิ ิ
วชนงาน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 382 :
ถาต้องการวิ
้ เคราะห์
ลก
ั ษณะทางโครงสรางจุ
้ ลภาคของหองเครื
้ องยนต์
ดเี
ซลที
ผ่
านกรรมวิ
ธก
ีารหล่
อ ควรเลื ้ องมื
อกใชเครื อใด

ยวเบนของรังสเี
1 : มาตรวัดการเลี อกซ ์
(X­ray diffractometer)
2 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ อเิ
ล็
กตรอนแบบสอ ่งผ่ าน (Transmission electron microscope)
3 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ อเิ
ล็
กตรอนแบบกราดวิ เคราะห์(Scanning electron microscope)
4 : กลองถ่
้ ายรู ปดิจต
ิอล (Digital camera)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 383 :
ถาต้องการตรวจสอบการยึ
้ ดติ
ดของผลิ
ตภัณฑ์
วงจรรวม (Integrated circuit) บนแผงวงจรรวม (Printed circuit board) ดวยการยึ
้ ดพื
นผิ
ว (Surface mount) ควรเลื
อก
้ องมื
ใชเครื อใด

1 : กลองถ่
้ ายรู ปดิจต
ิอล (Digital camera)
2 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ แบบแสง (Optical microscope)
3 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ อเิ
ล็
กตรอนแบบสอ ่งผ่ าน (Transmission electron microscope)
ยวเบนของรังสเี
4 : มาตรวัดการเลี กซ ์
อ็ (X­ray diffractometer)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 384 :
ถาต้องการวิ
้ เคราะห์
การกระจายตัวของเฟสที
เกิ
ดขึ ื ดติ
นจากกระบวนการเชอมยึ ดของผลิ
ตภัณฑ์
วงจรรวม (Integrated circuit) บนแผงวงจรรวม (Printed circuit
board) ควรเลื ้ องมื
อกใชเครื อใด

ยวเบนของรังสเี
1 : มาตรวัดการเลี อกซ ์(X­ray diffractometer)
2 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ แบบแสง (Optical microscope)
3 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ อเิ
ล็
กตรอนแบบกราดวิ เคราะห์ (Scanning electron microscope)
4 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ อเิ
ล็
กตรอนแบบสอ ่งผ่ าน (Transmission electron microscope)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 385 :
ถาต้องการวิ
้ เคราะห์
โครงสรางผลึ
้ กของวัสดุ
ควรเลื ้ องมื
อกใชเครื อใด

ยวเบนของรังสเี
1 : มาตรวัดการเลี อกซ ์
(X­ray diffractometer)
2 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ แบบแสง (Optical microscope)
3 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ อเิ
ล็
กตรอนแบบกราดวิ เคราะห์ (Scanning electron microscope)
4 : กลองถ่
้ ายรู ปดิจต
ิอล (Digital camera)

คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 386 :
ถาต
้องการวิ
้ เคราะห์
ทศ
ิทางการเรี
ยงตัวของอะตอมในแว่
นผลึ ิก
กซล ิอน (Silicon wafer) ควรเลื ้ องมื
อกใชเครื อใด

1 : กลองจุ
้ ลทรรศน์แบบแสง (Optical microscope)
2 : กลองจุ
้ ลทรรศน์อเิ
ล็
กตรอนแบบกราดวิ เคราะห์(Scanning electron microscope)
3 : กลองจุ
้ ลทรรศน์อเิ
ล็
กตรอนแบบสอ ่งผ่ าน (Transmission electron microscope)
4 : กลองถ่
้ ายรู
ปดิจต
ิอล (Digital camera)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 387 :
ถาต้องการบั
้ นทึ
กภาพของท่
อนํ
าที
เกิ
ดการผุ
กร่
อน ควรเลื ้ องมื
อกใชเครื อใด

1 : กลองถ่
้ ายรู
ปดิจต
ิอล (Digital camera)
2 : กลองจุ
้ ลทรรศน์แบบแสง (Optical microscope)
3 : กลองจุ
้ ลทรรศน์อเิ
ล็
กตรอนแบบกราดวิ เคราะห์
(Scanning electron microscope)
4 : กลองจุ
้ ลทรรศน์อเิกตรอนแบบสง่
ล็ ผ่
าน (Transmission electron microscope)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 388 :
ถาต้องการวิ
้ เคราะห์
รป
ูร่
างของผลึ
กนาโนคาร์
บอนที
ผลิ
ตได ้
ควรเลื ้ องมื
อกใชเครื อใด

1 : มาตรวัดการเลียวเบนของรังสเี
อกซ ์(X­ray diffractometer)
2 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ แบบแสง (Optical microscope)
3 : เครื องแสงของรังสเี
องวัดการเรื อกซ ์(X­ray fluorescence spectroscope)
4 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ อเิ
ล็
กตรอนแบบสอ ่งผ่าน (Transmission electron microscope)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 389 :
ถาต้องการวิ
้ เคราะห์
โครงสรางจุ
้ ลภาคของกอนโลหะด
้ วยกํ
้ าลังขยายขนาด 5,000 เท่
า ควรเลื ้ องมื
อกใชเครื อใด

1 : Optical microscope
2 : Optical spectroscope
3 : Scanning electron microscope
4 : Scanning tunneling electron microscope
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 390 :
ขอใดไม่
้ ่งที
ใชส ิ กลองจุ
้ ลทรรศน์
อเิ
ล็
กตรอนแบบกราดวิ
เคราะห์
(Scanning electron microscope) สามารถใหผลการวิ
้ เคราะห์
ได ้

1 : การกระจายตัวของเฟส
2 : ลักษณะพืนผิ
วทีแตกหัก
3 : โครงสรางผลึ
้ กของเฟสต่ ิ
างๆ ในชนงาน
4 : รู
ปร่
างของเฟสต่ ิ
างๆ ในชนงาน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 391 :
ถาต้องการวิ
้ เคราะห์
โครงสรางการจั
้ ดเรี
ยงตัวของอะตอมต่
างๆ ควรเลื ้ องมื
อกใชเครื อใด

ยวเบนของรังสเี
1 : มาตรวัดการเลี อกซ ์
(X­ray diffractometer)
2 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ อเิ
ล็
กตรอนแบบกราดวิ เคราะห์ (Scanning electron microscope)
3 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ แบบแสง (Optical microscope)
4 : กลองถ่
้ ายรู ปดิจต
ิอล (Digital camera)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 392 :
กฏในขอใดต่
้ อไปนี
ที
จํ
าเป็
นต่ ึษาโครงสรางผลึ
อการศก ้ กดวยเทคนิ
้ ยวเบนของรังสเี
คการเลี กซ ์
อ็

1 : Pauli exclusion principle


2 : Bragg’s law
3 : Hund’s rule
4 : Lever rule
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 393 :
เครืองมื
อใดต่
อไปนี ้
สามารถใชถ่
ายภาพโครงสรางจุ
้ ลภาคไดกํ
้าลังขยายที
สู
งที
สุ

ยวเบนของรังสเี
1 : มาตรวัดการเลี อกซ ์
(X­ray diffractometer)
2 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ อเิ
ล็
กตรอนแบบกราดวิ เคราะห์ (Scanning electron microscope)
3 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ แบบแสง (Optical microscope)
4 : กลองถ่
้ ายรู ปดิจต
ิอล (Digital camera)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 394 :
เครืองมื
อใดต่
อไปนี ้
สามารถใชถ่
ายภาพอนุ ั เจนที
ภาคขนาด 30 นาโนเมตร ไดช้
ด สุ

ยวเบนของรังสเี
1 : มาตรวัดการเลี อกซ ์
(X­ray diffractometer)
2 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ อเิ
ล็
กตรอนแบบสอ ่งผ่ าน (Transmission electron microscope)
3 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ แบบแสง (Optical microscope)
4 : กลองถ่
้ ายรู ปดิจต
ิอล (Digital camera)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 395 :
เครืองมื ้
อใดสามารถใชวิ
เคราะห์
วส
ั ดุ
ไดทั
้งโครงสรางจุ
้ ลภาคและโครงสรางผลึ
้ ก
1 : กลองถ่
้ ายรู ปดิจต
ิอล (Digital camera)
2 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ แบบแสง (Optical microscope)
3 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ อเิ
ล็
กตรอนแบบสอ ่งผ่ าน (Transmission electron microscope)
ยวเบนของรังสเี
4 : มาตรวัดการเลี อกซ ์
(X­ray diffractometer)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 396 :
ในการเปรี
ยบเที
ยบโครงสรางจุ
้ ลภาคระหว่
างแผ่
นเหล็
กกลาที
้ ผ่
านกระบวนการรี
ดรอนและที
้ ผ่
านกระบวนการรี
ดเย็
น ควรเลื ้ องมื
อกใชเครื อใด

ยวเบนของรังสเี
1 : มาตรวัดการเลี อกซ ์
(X­ray diffractometer)
2 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ อเิ
ล็
กตรอนแบบสอ ่งผ่ าน (Transmission electron microscope)
3 : กลองจุ
้ ลทรรศน์ แบบแสง (Optical microscope)
4 : กลองถ่
้ ายรู ปดิจต
ิอล (Digital camera)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

เนื
อหาวิ
ชา : 249 : 12 Metals processing

ขอที
้ 397 :
ในการดึ
งเหล็
กใหเป็ ้ ตองใช
้นเสนลวด ้ งในชว่
้ แรงดึ งใด

1 : ไม่
เกิ
นความตานแรงคราก
้ (Yield strength)
2 : ไม่
เกิ
นความตานแรงดึ
้ ง (Tensile strength)
3 : มากกว่าความตานแรงคราก
้ (Yield strength) แต่
ไม่
เกิ
นความตานแรงดึ
้ ง (Tensile strength)
4 : มากกว่าความตานแรงดึ
้ ง (Tensile strength) แต่
ไม่
ถงึจุ
ดแตกหัก (Fracture point)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 398 :

ในการตัดชนงานต องเลื
้ อกมีดตัดอย่
างไร

1 : มี
ดตัดตองมี
้ ความแข็งมากกว่ ิ
าชนงาน
2 : มี
ดตัดตองมี
้ ความแข็งแรงมากกว่ ิ
าชนงาน
3 : มี
ดตัดตองมี
้ ความเหนียวมากกว่ ิ
าชนงาน
4 : มี
ดตัดทนความรอนได
้ ดี้
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 399 :
ขอใดคื
้ อขอดี
้ ของการขึ
นรู
ปดวยการหล่
้ อแบบหล่
อทราย (Sand casting)

1 : ผลิ
ตไดเร็
้ว คราวละมาก ๆ
2 : ตนทุ
้ นแบบหล่ อตํ


3 : ชนงานมี
ผวิเรี
ยบ ไม่
ตองตกแต่
้ งเพิ


4 : ขนาดชนงานมี ความแม่
นยําสู

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 400 :
การขึ
นรู
ปเย็
น (Cold working) หมายถึ
ง การขึ
นรู
ปดวยแรงทางกล
้ ณ อุ
ณหภู
มใิ

1 : อุ
ณหภู
มต
ิํากว่
าอุณหภู
มห
ิอง

2 : อุ
ณหภู
มต
ิํากว่
าอุณหภู
มก
ิารเกิ
ดผลึ
ก (Crystallization temperature)
3 : อุ
ณหภู
มต
ิํากว่
าอุณหภู
มก
ิารตกผลึ
กใหม่ (Recrystallization temperature)
4 : อุ
ณหภู
มต
ิํากว่
าอุณหภู
มก
ิารเปลี
ยนสภาพจากเปราะเป็ นดึงยื
ดได ้(Ductile­brittle transition temperature)
คํ
าตอบทีถู
กตอง้: 3

ขอที
้ 401 :
กรรมวิ
ธก
ีารทางความรอนใด
้ คื ิ
อ การเผาชนงานที
ขึ
นรู
ปดวยผงโลหะ
้ เพื
อใหผงโลหะเช
้ ื ดกัน
อมติ

1 : การอบอ่
อน (Annealing)
2 : การอบปกติ (Normalizing)
3 : การอบคื
นตัว (Tempering)
ิเตอร์
4 : การอบซน (Sintering)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 402 :
กรรมวิ
ธก
ีารขึ
นรู
ปโลหะใดต่
อไปนี
ที
ก่
อใหเกิ
้ดการสู
ญเปล่
าของวัตถุ
ดบ
ินอยที
้ สุด

1 : การหล่
อดวยแม่
้ พม ิพ์ ทราย (Sand casting)
2 : การหล่ ้แบบ (Die casting)
อแบบใชแม่
3 : การขึ
นรู
ปโลหะผง (Powder Metallurgy)
4 : การตกแต่ง (Machining)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 403 :
ในการขึ
นรู
ปเย็
น (Cold working) ขอใดต่
้ อไปนี
ถู
กตองที
้ สุด

1 : ควบคุ ิ
มขนาดของชนงานให เที
้ยงตรงไดยาก ้
2 : เกิ
ดออกไซด์ทผิ ิ
ีวชนงาน

3 : ชนงานมีความแข็ง (Hardness) มากขึ น
4 : เกิ
ดการตกผลึกใหม่ (Recrystallization)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 404 :
ขอใดคื
้ อขอดี
้ ของการขึ
นรู
ปรอน
้ (Hot working) ของโลหะ

1 : สามารถลดขนาดชนงานได คราวละมาก
้ ๆ
2 : สามารถควบคุ ิ
มขนาดของชนงานได ง่
้าย

3 : ชนงานมีความแข็งเพิ
มมากขึ

4 : ผิ ิ
วชนงานเรี
ยบ เงางาม
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 405 :
ขอใดคื
้ อขอด
้ อยของการขึ
้ นรู
ปรอน
้ (Hot working) ของโลหะ

1 : ควบคุ ิ
มขนาดของชนงานให เที
้ยงตรงไดยาก้

2 : ชนงานมีความเปราะมากขึน
3 : เกิ
ดความเคนตกค
้ างภายในเนื
้ ิ
อชนงานมากขึ


4 : ชนงานมีสภาพดึงยื
ด (Ductility) ลดลง
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 406 :
ขอใดคื
้ อขอดี
้ ของการขึ
นรู
ปเย็
น (Cold working) ของโลหะ

1 : ไดผิ
้ ิ
วชนงานเรียบเป็นมัน สะอาด

2 : ชนงานมี ความแข็ งเพิ
มมากขึน
3 : สามารถควบคุ ิ
มขนาดของชนงานได ง่
้าย
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 407 :
กรรมวิ
ธก
ีารผลิ
ตใดต่
อไปนี
สามารถผลิ
ตหัวคอนได
้ แข็้ งแรงที
สุ

1 : การหล่อขึนรู
ป (Casting)
2 : การทุบขึนรู
ป (Forging)
3 : การตกแต่ งขึ
นรูป (Machining)
4 : การอัดรี
ด (Extrusion)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 408 :
ในการหล่ ิ ว่
อชนส นอะลู
มเิ
นี
ยมผสม ธาตุ
ผสมชนิ
ดใดที
ทํ
าใหจุ
้ดหลอมเหลวของอะลู
มเิ
นี
ยมตํ
าลงมากที
สุ

1 : ทองแดง
ิค
2 : ซล ิอน
3 : นิ
เกิ

4 : แมงกานีส
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 409 :
ถาต้องการผลิ
้ ิ ว่
ตชนส นงานหล่
ออะลู
มเิ
นี
ยมเป็
นจํ
านวนมาก ควรเลื ้ ธก
อกใชกรรมวิีารหล่
อชนิ
ดใดต่
อไปนี

1 : การหล่
อดวยแม่
้ พม ิพ์ทราย (Sand Casting)
2 : การหล่
อจากแบบพอกหุ น
่(Investment casting)
3 : การหล่ ้แบบ (Die casting)
อแบบใชแม่
4 : การหล่
อแบบต่
อเนือง (Continuous casting)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 410 :

ชนงานโลหะที
ผ่
านการขึ
นรู
ปดวยกรรมวิ
้ ธก
ีารรี
ดเย็
น (Cold rolling) จะมี
ลก
ั ษณะใด

1 : ผิ
วเรี
ยบ ความแข็งแรงลดลง
2 : ผิ
วเรี
ยบ ความแข็งแรงเพิ
มขึ

3 : ผิ
วหยาบ ความแข็ งแรงลดลง
4 : ผิ
วหยาบ ความแข็ งแรงเพิ
มขึ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 411 :
การหล่ ิ
อชนงานเครื
องประดับ นิ ้
ยมใชการหล่
อแบบใด

1 : การหล่
อดวยแม่
้ พม ิพ์ทราย (Sand casting)
2 : การหล่
อจากแบบพอกหุ น
่(Investment casting)
3 : การหล่ ้แบบ (Die casting)
อแบบใชแม่
4 : การหล่
อแบบต่
อเนือง (Continuous casting)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 412 :
ประแจ (Wrench) ที ้
สามารถใชงานไดทนทาน
้ เป็
นผลิ
ตภัณฑ์
ทมั
ีกจะไดจากการขึ
้ นรู
ปดวยกรรมวิ
้ ธใี
ดต่
อไปนี

1 : การรี
ด (Rolling)
2 : การทุบขึนรู
ป (Forging)
3 : การหล่อ (Casting)
4 : การอัดรี
ด (Extrusion)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 413 :
ลวดสํ ้าตะปู
าหรับใชทํ เป็
นผลิ
ตภัณฑ์
ทมั
ีกจะไดจากกรรมวิ
้ ธก
ีารขึ
นรู
ปใดต่
อไปนี

1 : การรี
ดรอน
้ (Hot rolling)
2 : การอัดรี
ด (Extrusion)
3 : การดึงรี
ด (Drawing)
4 : การรี
ดเย็
น (Cold rolling)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 414 :
มีดกลึ
งที
มี
ความเหนี
ยว (Toughness) มาก จะมี
ผลต่
อการกลึ
งอย่
างไร


1 : สามารถใชความเร็วสู
งได ้
2 : สามารถกินลึ ิ
กชนงานได คราวละมาก
้ ๆ
3 : กลึ
งไดช้ิ
นงานผิวเรี
ยบ
4 : มี
ดกลึงทนต่อการสกึดี
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 415 :
ถาต้องการตั
้ ดแต่ ิ
งชนงานให เป็
้นร่องรู
ปตัว L ดังรู
ปขางล่
้ างนี
ควรเลื ้ ธก
อกใชกรรมวิีารใด

1 : การกลึง (Turning)
2 : การกัด (Milling)
3 : การไส (Shaping)
4 : การเจาะ (Drilling)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 416 :
ในการแล่
นประสาน (Brazing) เพื
อทํ
าใหแผ่
้ นเหล็
กสองแผ่ ื ดกัน ควรเลื
นเชอมติ ้ อมชนิ
อกใชลวดเช ื ดใดต่
อไปนี

1 : เหล็
กกลา้
2 : อะลู
มเิ
นี
ยม
3 : ทองแดง
4 : ทองเหลือง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 417 :
รู
ขน ึ(Riser) ในงานหล่
อมี
ไวเพื
้ออะไร

1 : เพื
อใหนํ
้าโลหะลนออกมานอกแบบ

2 : เพื
อใหนํ
้าโลหะในสว่นรู
ขนึ(Riser) เติ
มเต็ ิ ว่
มในชนส นงานหล่
อขณะแข็
งตัว
3 : เพื
อใหมี
้การหดตัวหลังการเย็
นตัวของงานหล่ อ
4 : เพื
อเพิ
มนําหนักในการกดทับแบบงานหล่ อ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 418 :
ปากแม่
แบบ (Gate) ในงานหล่
อมี
ไวเพื
้ออะไร

1 : เป็ ่งสํ
นชอ าหรับนําโลหะวิงเขาแม่
้ แบบ
2 : เป็ ่งสํ
นชอ าหรับเทนําโลหะ
3 : เป็ ่งวิ
นชอ งของรู ขนึ(Riser)
4 : เป็
นรู
ไอของแบบหล่ อทราย
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 419 :
วัสดุ
ในขอใดต่
้ อไปนี
มี
ความแข็
ง (Hardness) สู
งที
สุ

1 : เหล็
กกลาความเร็
้ วรอบสู ง (High speed steel)
2 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนสู ง (High carbon steel)
3 : อะลู
มนิา (Alumina)
4 : Cubic boron nitride
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 420 :
วัสดุ
ในขอใดต่
้ อไปนี
มี
ความเหนี
ยว (Toughness) สู
งที
สุ

1 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนสู ง (High carbon steel)
2 : เหล็
กกลาความเร็
้ วรอบสู ง (High speed steel)
3 : อะลู
มนิา (Alumina)
4 : Cubic boron nitride
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 421 :
เหล็กกลาชนิ
้ ดใดต่
อไปนี
ตัดแต่
งไดยากที
้ สุ ด

1 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มเฟร์ไรต์(Ferritic stainless steel)
2 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนตํ า (Low carbon steel)
3 : เหล็
กกลาผสม
้ (Alloy steel)
4 : เหล็
กกลาเครื
้ องมื อ (Tool steel)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 422 :
ในการรีด Slab เพื
อใหได
้เหล็
้ กแผ่
น (Sheet metal) ดวยกรรมวิ
้ ธก
ีารรี
ดรอน
้ (Hot rolling) ควรเลื ้
อกใชลู
กรี
ดแบบใด และความเร็
วรอบอย่
างไร เพื
อลดขนาดอย่
าง
รวดเร็


1 : ควรใชลู
กรี
ดขนาดใหญ่
ผิ
วหยาบ และความเร็
วสูง

2 : ควรใชลู
กรี
ดขนาดใหญ่
ผิ
วหยาบ และความเร็
วรอบตํา

3 : ควรใชลู
กรี
ดขนาดใหญ่
ผิ
วละเอี
ยด และความเร็
วรอบสูง

4 : ควรใชลู
กรี
ดขนาดใหญ่
ผิ
วละเอี
ยด และความเร็
วรอบตํา
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 423 :
ในการขึ
นรู
ปรอน ้
้ (Hot working) ของโลหะ ควรใชอุ
ณหภู
มท
ิมากกว่
ี าค่
าใด

1 : อุ
ณหภู
มต
ิกผลึก (Recrystallization Temperature)
2 : อุ
ณหภู
มย
ิเูทกทอยด์ (Eutectoid Temperature)
3 : อุ
ณหภู
มย
ิเูทกติ
ก (Eutectic Temperature)
4 : อุ
ณหภู
มจ
ิดุหลอมเหลว (Melting Temperature)
คํ
าตอบทีถู
กตอง้: 1

ขอที
้ 424 :
Anodizing คื
ออะไร

1 : การชุ
บผิ
วเหล็กใหสวยงาม

2 : การชุ
บแข็
งนิเกิ

3 : การชุ
บแข็
งผิวอะลู
มเิ
นี
ยม
4 : การทํ
าอะลู
มเินี
ยมใหอ่
้อน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 425 :
โลหะในขอใดต่
้ อไปนี
สามารถหล่
อไดง่
้ายที
สุ

1 : เหล็
กหล่
อเทา (Gray cast iron)
2 : เหล็
กหล่
อขาว (White cast iron)
3 : เหล็
กหล่
อเหนี
ยว (Ductile cast iron)
4 : เหล็
กหล่
ออบเหนียว (Malleable cast iron)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 426 :
กระบวนการในขอใดต่
้ อไปนี
สามารถชุ
บแข็
งผิ
วเหล็
กที
ใหความแข็
้ งสู
งที
สุ

1 : คาร์ รซงิ(Carburizing)
บไู
2 : ไนไตร์ดงิ(Nitriding)

3 : ใชกระแสเหนี ยวนํ า (Induction hardening)

4 : ใชเปลวเพลิ ง (Flame hardening)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 2

ขอที
้ 427 :
การลดปั ญหาการแตกราวในการเช
้ ื
อมเหล็
กกลาผสมตํ
้ าสามารถทํ
าไดโดยวิ
้ ธใีดต่
อไปนี

1 : ใหความร
้ อนช ิ
้ นงานก่ ื
อนเชอม

2 : อบชนงานหลั ื
งการเชอม

3 : ใชก๊
าซเฉือยคลุ ื
มขณะเชอม

4 : เชอมโดยใช ้
กํ
าลังไฟฟ้
าตํ

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 428 :
กระบวนการผลิ
ตในขอใดต่
้ อไปนี
ที
เหมาะที
สุ
ดในการผลิ
ตใบพัดของเครื
องกังหันก๊
าซ (Gas turbine blades)

1 : การหล่
อดวยแม่
้ พม ิพ์ทราย (Sand casting)
2 : การหล่ ้แบบ (Die casting)
อแบบใชแม่
3 : การหล่
อจากแบบพอกหุ น
่(Investment casting)
4 : การทุ
บขึ
นรู
ป (Forging)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 429 :
กรรมวิ
ธใี
ดต่
อไปนี
สามารถผลิ
ตแผ่
นเหล็
กกลาที
้ มี
ขนาดเที
ยงตรงตามที
ตองการได
้ ดี

ทสุ
ีด

1 : การรี
ดรอน
้ (Hot rolling)
2 : การรี
ดเย็
น (Cold rolling)
3 : การทุ
บขึนรูป (Forging)
4 : การดึ
งรี
ด (Drawing)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 430 :
ขอใดไม่
้ ่ลไกการเพิ
ใชก มความแข็
งแรงใหกั้
บอะลู
มเิ
นี
ยมและอะลู
มเิ
นี
ยมผสม

1 : การขึ
นรู
ปเย็
น (Cold working)
2 : การขึ
นรู
ปรอน
้ (Hot working)
3 : การชุ
บแข็งแบบตกตะกอน (Precipitate hardening)
4 : การทํ
าใหเป็
้นสารละลายของแข็ ง (Solid solution)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 431 :
กรรมวิ
ธใี
ดต่ เหมาะสํ
อไปนี าหรับผลิ
ตภัณฑ์
โลหะที
มี
จด
ุหลอมเหลวสู
งและมี
สภาพการดึ
งยื
ดไดน้
อย

1 : การหล่อแบบพอกหุ น
่(Investment casting)
2 : การอัดรีด (Extrusion)
3 : กรรมวิธโีลหะผง (Powder metallurgy)
4 : การรี
ดรอน้ (Hot rolling)
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 3

ขอที
้ 432 :
เหมาะสมสํ
กระบวนการใดที าหรับการขึ
นรู
ปแผ่
นโลหะใหเป็ ิ
้นชนงานรู
ปถวย

1 : การหล่อขึนรู
ป (Casting)
2 : การทุบขึนรู
ป (Forging)
3 : การลากขึ นรู
ป (Deep drawing)
4 : การอัดรี
ด (Extrusion)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 433 :
กรรมวิ
ธใี
ดต่
อไปนี
ไม่
สามารถเพิ
มความแข็
งแรงใหช้ิ
นงานโลหะได ้

1 : การรี
ดรอน
้ (Hot rolling)
2 : การรี
ดเย็
น (Cold rolling)
3 : การทุ
บขึนรูป (Forging)
4 : การดึ
งรี
ด (Drawing)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 434 :
การอบปกติ
(Normalizing) ของเหล็
กกลาคาร์
้ บอนตํ
า จะตองมี
้ การใหความร
้ อนและการเย็
้ ิ
นตัวของชนงานอย่
างไร

1 : ใหความร
้ อนจนช
้ ิ
นงานเปลี
ยนโครงสรางเป็
้ นออสเทไนต์
และเฟร์
ไรต์
และปล่
อยใหเย็
้นตัวในเตาอบ
2 : ใหความร
้ อนจนช
้ ิ
นงานเปลี
ยนโครงสรางเป็
้ นออสเทไนต์
ทงหมด
ั และปล่
อยใหเย็
้นตัวในอากาศ
3 : ใหความร
้ อนจนช
้ ิ
นงานเปลี
ยนโครงสรางเป็
้ นออสเทไนต์
ทงหมด
ั และปล่
อยใหเย็
้นตัวในนํ

4 : ใหความร
้ อนจนช
้ ิ
นงานเปลี
ยนโครงสรางเป็ และซเี
้ นออสเทไนต์ มนไทต์และปล่
อยใหเย็
้นตัวในนํ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

เนื
อหาวิ
ชา : 250 : 13 Ceramics processing

ขอที
้ 435 :
ผลิ ตภัณฑ์
เซรามิ
กในขอใดเหมาะกั
้ บการขึ
นรู
ปโดยการอัด (Pressing)

1 : อ่
างลางหน
้ า้
2 : กระเบืองปู
พนและผนั
ื ง
3 : แจกัน
4 : ถวยกาแฟ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 436 :
ผลิ ตภัณฑ์
เซรามิ
กในขอใดเหมาะกั
้ บการขึ
นรู
ปโดยการหล่
อแบบ (Slip casting)

1 : อ่
างลางหน
้ า้
2 : กระเบืองปู
พนและผนั
ื ง
3 : โอ่
งมังกร
4 : ท่
อระบายนํ า
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 437 :
ผลิ ตภัณฑ์
เซรามิ
กในขอใดเหมาะกั
้ บการขึ
นรู
ปโดยการอัดรี
ด (Extrusion)

1 : สุ
ขภัณฑ์ในหองนํ
้ า
2 : ถวยกาแฟ

3 : กระเบื
องมุ
งหลังคา
4 : ท่
อนําทิ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 438 :
ขอใดต่
้ อไปนี
จะไม่
เกิ
ดขึ
นเมื
อใหความร
้ อนกั้ บเซรามิ
กในกระบวนการอบแหง้(Drying)

1 : นํ
าระหว่
างอนุภาคถูกขจัดออก
2 : สารอิ
นทรียถ
์กูขจัดออก
3 : ผลิ
ตภัณฑ์หลังอบมี ขนาดใหญ่ขน

4 : ผลิ
ตภัณฑ์หลังอบมี ความแข็
งแรงตํ
าและเปราะ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 439 :
ขอใดต่
้ อไปนี
ไม่
เกิ
ดขึ
นในกระบวนการ Sintering

1 : Solid­state diffusion
2 : อนุภาคเกิ ื อกันบริ
ดการเชอมต่ เวณที ั ผัสกับอนุ
สม ภาคอื

3 : เกิ
ดการหลอมละลายเป็ นของเหลว

4 : ชองว่างระหว่ างอนุ ภาคมี
ขนาดเล็
กลง
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 3

ขอที
้ 440 :
ในการขึ
นรู
ปเซรามิ
กชนิ
ดที
มี
ดน
ิเป็
นองค์
ประกอบหลัก (Clay products) โดยวิ
ธก อแบบ (Slip casting) ใชวั้
ีารหล่ สดุ
ใดเป็
นแบบหล่

1 : ทราย
2 : โลหะ
3 : ยาง
4 : ปู
นปลาสเตอร์
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 441 :
ในการผลิ
ตเซรามิ
กชนิ
ดที
มี
ดน
ิเป็
นองค์
ประกอบหลัก (Clay products) ดวยวิ
้ ธกีารหล่
อแบบ (Slip casting) แบบที ้
ใชในการขึ
นรู
ปควรมี
ลก
ั ษณะอย่
างไรและเพราะ
เหตุใด

1 : เนื
องจากผลิตภัณฑ์
ทได
ี มี
้การขยายขนาด จึ งตองทํ
้ าใหแบบมี
้ ขนาดเล็ กกว่างานจริ

2 : เนื
องจากผลิตภัณฑ์
ทได
ี มี
้จะมี
ขนาดเท่ าเดิ
ม ดังนันแบบจะมี
ขนาดเท่
างานจริง
3 : เนื
องจากผลิตภัณฑ์
ทได
ี มี
้การหดตัว จึ
งตองทํ
้ าใหแบบมี
้ ขนาดใหญ่ กว่
างานจริ ง
4 : ผลิตภัณฑ์ทได
ี อาจจะหดตั
้ วหรือขยายตัวก็ได ้
การเผือขนาดแบบแลวแต่
้ ชนิ ดของผลิตภัณฑ์
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 442 :
กระจก เป็
นผลิ
ตภัณฑ์
ทมั
ีกจะไดจากการขึ
้ นรู
ปแบบใด

1 : การเป่า (Blowing)
2 : การอัด (Pressing)
3 : การดึง (Drawing)
4 : การอัดรีด (Extrusion)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 3

ขอที
้ 443 :
ผลิ ตภัณฑ์
ประเภทใดขึ
นรู
ปโดยการเป่
า (Blowing)

1 : ขวดแกว้
2 : จานแกว้
3 : กระจก
4 : เลนส ์
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 444 :
้ ใชว่
ขอใดไม่ ต
ั ถุ
ประสงค์ ้
ในการใชดิ
นเป็
นวัตถุ
ดบ
ิในเซรามิ
กดังเดิ
ม (Conventional ceramics)

นชว่
1 : ดิ ยในเรื
องความเหนี
ยวขณะขึนรู
ปทํ
าใหขึ
้นรู
ปไดง่
้าย
นชว่
2 : ดิ ยใหเซรามิ
้ กคงรู ปอยู
ไ่
ดขณะเผา

นชว่
3 : ดิ ยใหเซรามิ
้ กมี ความหนาแน่นสู

4 : ดิ
นมี
ราคาถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 445 :
ในการบดผสมวัตถุิสํ
ดบ าหรับผลิ
ตเซรามิ
ก ทํ
าไมจึ
งตองมี
้ การควบคุ
มการกระจายขนาดอนุ
ภาค (Particle size distribution)

1 : เพื
อใหวั้
ตถุ
ดบ
ิหลอมตัวไดง่
้าย
2 : เพื
อใหวั้
ตถุ
ดบ
ิสามารถอัดตัวกันเพื
อใหมี
้ ่งว่
ชอ างนอยที
้ สุด
3 : เพื
อใหวั้
ตถุ
ดบ
ิผสมกันไดดี
้ยงขึ
ิน
4 : เพื
อใหวั้
ตถุ
ดบ
ิไม่เกิ
ดการหดตัวหลังใหความร
้ อน ้
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 2

ขอที
้ 446 :
ถาต้องการขึ
้ นรู
ปท่
อเซรามิ
กที
มี
ความยาวและมี
หนาตั
้ดเหมื ิ 1 เมตร ควรขึ
อนกันตลอดความยาวชนงาน นรู
ปดวยวิ
้ ธใี

1 : การอัด (Pressing)
2 : การอัดรีด (Extrusion)
3 : การฉีด (Injection)
4 : การเป่า (Blowing)
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 2

ขอที
้ 447 :
ในกระบวนการอบ ทํ
าไมผลิ
ตภัณฑ์
เซรามิ
กที
ผนังมี
ความหนามากมี
แนวโนมที
้ จะเกิ
ดการแตกไดง่
้ายกว่
าเซรามิ
กที
มี
ผนังบาง

1 : การหดตัวที
ผิ อสว่
ว (Surface) กับเนื นใน (Interior) มี
คา่
แตกต่ างกัน
2 : ผลิ
ตภัณฑ์ผนังหนาตองอบที
้ อุณหภูมส
ิงู
กว่าผลิ ตภัณฑ์ ผนังบาง
3 : นํ อสว่
าในเนื นใน (Interior) ของผลิตภัณฑ์ผนังหนาสามารถกํ าจัดออกไดง่
้าย
4 : ผลิ
ตภัณฑ์ผนังหนามีความแข็ งแรงนอยกว่
้ าผลิ ตภัณฑ์ ผนังบาง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 448 :
การเกิ
ดเป็
นเนื
อแกว้(Vitrification) จะทํ
าใหเกิ
้ดผลในขอใด

ั ประสท
1 : สม ิธิการขยายตัวเนื องจากความรอน ้ (Coefficient of thermal expansion) ตํ
าลง
2 : การนําความรอน้ (Thermal conductivity) ตํ าลง
3 : การนําไฟฟ้ า (Electrical conductivity) ดี
ขน

4 : การเสยีรู
ป (Warpage) ตํ าลง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 449 :
ในเซรามิ
กแบบดังเดิ
ม (Conventional ceramic) การเติ
ม Flux จะมี
ประโยชน์
ในเรื
องใด

1 : ทํ
าใหผลิ
้ ตภัณฑ์
เกิ
ดเป็
นเนื
อแกว้
2 : ทํ
าใหการเกิ
้ ดเป็ นเนื
อแกวสามารถเกิ
้ ดที
อุ
ณหภู
มต
ิําลง
3 : ไม่
ใหผลิ
้ ตภัณฑ์เกิ
ดการหดตัว
4 : ทํ
าใหมี
้ความเปราะนอยลง

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 450 :
ขอใดเป็ สํ
้ นกระบวนการทีาคัญที ้
ใชในการทํ รภัย (Safety glass) สํ
ากระจกนิ าหรับกระจกหนารถ

1 : Pressing
2 : Drying
3 : Tempering
4 : Blowing
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 451 :
กระบวนการในขอใดต่
้ อไปนี
ทํ
าใหช้ิ
นงานเซรามิ
กมี
ความหนาแน่
นและความแข็
งแรงเพิ
มขึ
นมาก

1 : Drying
2 : Pressing
3 : Casting
4 : Sintering
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 452 :
ขวดเบี
ยร์
เป็
นผลิ
ตภัณฑ์
ทมั
ีกจะไดจากกรรมวิ
้ ธก
ีารขึ
นรู
ปใดต่
อไปนี

1 : Pressing
2 : Extrusion
3 : Blowing
4 : Casting
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 453 :
กระจกหนาต่
้างเป็
นผลิ
ตภัณฑ์
ทมั
ีกจะไดจากกรรมวิ
้ ธก
ีารขึ
นรู
ปใดต่
อไปนี

1 : Pressing
2 : Drawing
3 : Blowing
4 : Casting
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 454 :
ขอใดกล่
้ าวเกี
ยวกับกรรมวิ
ธท
ีางความรอนของแก
้ วไม่
้ ถกูตอง

1 : การอบอ่อนแกวทํ
้าเพื อลดปริมาณความเคนตกค
้ างของช
้ ิ
นงาน
2 : การอบอ่อนแกวทํ
้าไดโดยการให
้ ความร
้ อนถึ ้ งจุดอ่อนตัวแลวปล่
้ อยใหเย็ ้ จนถึ
้นตัวชาๆ งอุณหภูมห
ิอง

3 : การเพิ
มความแข็ งใหกั้
บแกว้(Glass tempering) ทํ
าไดโดยการให
้ ความร
้ อนถึ้ งจุ ดอ่อนตัว แลวทํ
้ าใหเย็
้นตัวอย่
างรวดเร็
วโดยการเป่
าลม

4 : ชนงานทีเย็
นตัวอย่างรวดเร็
วจากการเพิ มความแข็งใหกั้
บแกว้(Glass tempering) จะทํ
าใหเกิ
้ดความเคนอั
้ ดทีผิ
วและเกิดความเคนแรงดึ
้ งที
เนื
อภายใน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

เนื
อหาวิ
ชา : 251 : 14 Polymers processing

ขอที
้ 455 :
ผลิ ตภัณฑ์
พอลิ
เมอร์
ทได
ี จากการขึ
้ นรู
ปดวยเครื
้ องอัดรี
ด (Extrusion) จะมี
ลก
ั ษณะแบบใด

1 : เป็
นภาชนะกลวง
2 : รู
ปร่
างลักษณะซบ ั ซอนมาก

3 : รู
ปร่
างหนาตั
้ดเหมื ิ
อนกันตลอดความยาวของชนงาน
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถู

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 456 :
กระบวนการขึ
นรู
ปชนิ
ดใดที
ไม่ิมใชกั้
นย บพอลิ
เมอร์
ชนิ
ดเทอร์
โมพลาสติ
ก (Thermoplastic)

1 : การฉีดขึนรู
ป (Injection molding)
2 : การเป่าขึ
นรู
ป (Blow molding)
3 : การอัดรี
ด (Extrusion)
4 : การอัดเขากั
้บแบบ (Compression molding)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 457 :
้ อสว่
ขอใดคื สํ
นประกอบทีาคัญของเครื
องขึ
นรู
ปแบบฉี
ด (Injection molding)

1 : หน่วยฉีด (Injection unit)


2 : หน่วยจับยึด (Clamping unit)
3 : แม่พม
ิพ์ (Mold)
4 : ขอ้1 2 และ 3 ถูก
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 4

ขอที
้ 458 :
ท่อพลาสติ
ก เป็
นผลิ
ตภัณฑ์
ทได
ี จากการขึ
้ นรู
ปแบบใด

1 : การฉีดขึนรู
ป (Injection molding)
2 : การเป่าขึ
นรู
ป (Blow molding)
3 : การอัดรี
ด (Extrusion)
4 : การอัดเขากั
้บแบบ (Compression molding)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 459 :
ขวดพลาสติ
ก เป็
นผลิ
ตภัณฑ์
ทมั
ีกจะไดจากการขึ
้ นรู
ปแบบใด

1 : การฉีดขึนรู
ป (Injection molding)
2 : การเป่าขึ
นรู
ป (Blow molding)
3 : การอัดรี
ด (Extrusion)
4 : การอัดเขากั
้บแบบ (Compression molding)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 460 :
ผงถ่าน (Carbon black) ที ้นสว่
ใชเป็ นผสมในยางรถยนต์
เป็
นสารเติ
มแต่
งชนิ
ดใด

1 : สี(Colorant)
2 : สารเสริมแรง (Reinforcing filler)
3 : สารไม่เสริ
มแรง (Non­reinforcing filler)
4 : สารป้องกันการติดไฟ (Flame retardant)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 461 :
ผลิ ตภัณฑ์
ททํ
ีาจากพอลิ
เมอร์
ชนิ
ดใดต่
อไปนี
มี
การหดตัวหลังกระบวนการขึ
นรู
ปมากที
สุ

1 : วัสดุ
ยดืหยุ

่(Elastomer)
2 : เทอร์โมเซตติง (Thermosetting)
3 : เทอร์โมพลาสติ กชนิดที
เกิดโครงสรางผลึ
้ ก (Crystalline thermoplastic)
4 : เทอร์โมพลาสติ กชนิดที
ไม่เกิดโครงสรางผลึ
้ ก (Non­crystalline thermoplastic)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 462 :
สารเติ
มแต่
งชนิ
ดไม่
เสริ
มแรง (Non­reinforcing filler) นิ ้
ยมใชผสมในพอลิ
เมอร์
กอ
่นทํ
าการขึ
นรู
ปเพราะเหตุ
ใด

1 : เพื
อใหส้ีวยขึ
ส น
2 : เพื
อลดตนทุ
้น
3 : เพื
อใหใช ้ ว่
้ในช งอุ
ณหภู
มท
ิกว
ี างขึ
้ น
4 : เพื ้
อใชในการหล่ อลื

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 463 :
พอลิไวนิ
ล คลอไรด์
(Polyvinyl chloride) สามารถนํ ้นท่
ามาใชเป็ อสายยางได ้
ถาหากเติ
้ มสารเติ
มแต่
งชนิ
ดใดลงไปในกระบวนการผลิ

1 : สารหล่อลื
น (Lubricant)
2 : สารเสริ
มแรง (Reinforcing filler)
องกันการแตกหักของสายโซโ่
3 : สารป้ มเลกุ
ล (Stabilizer)
4 : สารพลาสติไซเซอร์ (Plasticizer)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 464 :
เพราะเหตุ
ใดกระบวนการขึนรู
ปแบบอัดเขากั
้บแบบ (Compression molding) จึ ยมใชกั้
งนิ บพอลิ
เมอร์
ชนิ
ดเทอร์
โมเซตติ
ง (Thermosetting) มากกว่
าพอลิ
เมอร์
ชนิ

เทอร์
โมพลาสติก (Thermoplastic)

1 : ประหยัดพลังงาน เนื
องจากในกระบวนการผลิ ตเทอร์โมเซตติ ง มี
ความตองการใช
้ ้
อุ
ณหภู
มท
ิตํ
ีากว่
าในกระบวนการผลิ
ตเทอร์
โมพลาสติ

2 : การขึ
นรูปเทอร์
โมเซตติง ไม่
จําเป็
นตองมี
้ การหล่อเย็น
3 : ผลิตภัณฑ์ทได
ี จากการขึ
้ นรูปเทอร์โมเซตติ
ง มี
ผวิ
ทีเป็นมันวาวกว่


4 : ใชเวลาในการขึนรูปนอยกว่
้ า
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 465 :
สารเติ
มแต่
งที
นิ ้
ยมใชในการทํ
าใหยางเกิ
้ ดโครงสรางตาข่
้ าย (Network) ขณะขึ
นรู
ปคื
อขอใด

1 : หิ
นปูน
2 : กํ
ามะถัน
3 : ผงถ่
าน
4 : ขี
ผึ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 466 :
กระบวนการขึนรูปพอลิเมอร์
โดยวิ
ธก
ีารอัดรี
ดเป่
าขึ
นรู
ป (Extrusion blow molding) จะมี
ความแตกต่
างจากกระบวนการขึ
นรู
ปโดยวิ
ธก
ีารฉี
ดเป่
าขึ
นรู
ป (Injection
blow molding) อย่
างไร

1 : ชนิ
ดของพอลิ เมอร์
ทใช ้ างกัน
ี แตกต่
2 : ผลิ
ตภัณฑ์ทได
ี เป็
้นภาชนะกลวง
3 : รู
ปร่
างผลิ
ตภัณฑ์ ทได
ี มี
้ ั ซอนเหมื
ความซบ ้ อนกัน
4 : เทคนิคที ้
ใชในการเป่าดวยวิ
้ ธก
ีารฉี
ดเป่
าขึ
นรู
ป (Injection blow molding) ยุ
ง่
ยากกว่
าการเป่
าดวยวิ
้ ธกีารอัดรี
ดเป่
าขึ
นรู
ป (Extrusion blow molding)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 467 :

ชอนพลาสติ
กตักไอศกรี
ม เป็
นผลิ
ตภัณฑ์
ทมั
ีกจะไดจากการขึ
้ นรู
ปแบบใด

1 : การหล่อ (Casting)
2 : การอัดเขาแบบ
้ (Compression molding)
3 : การฉีดขึ
นรูป (Injection molding)
4 : การอัดรี
ด (Extrusion)
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 3
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 468 :
กล่ กใสสํ
องพลาสติ ่นมเคกช
าหรับใสข ิ กๆ เป็
้ นเล็ นผลิ
ตภัณฑ์
ทมั
ีกจะไดจากการขึ
้ นรู
ปแบบใด

1 : การขึนรู
ปดวยความร
้ อน
้ (Thermo­forming)
2 : การอัดเขาแบบ
้ (Compression molding)
3 : การฉีดขึนรู
ป (Injection molding)
4 : การเป่าขึ
นรู
ป (Blow molding)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 469 :
จานขาวเมลามี
้ น (Melamine) เป็
นผลิ
ตภัณฑ์
ทมั
ีกจะไดจากการขึ
้ นรู
ปแบบใด

1 : การอัดรี
ด (Extrusion)
2 : การอัดเขาแบบ
้ (Compression molding)
3 : การฉีดขึนรู
ป (Injection molding)
4 : การเป่าขึ
นรู
ป (Blow molding)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 470 :
ยางลบดิ
นสอ เป็
นผลิ
ตภัณฑ์
ทมั
ีกจะไดจากการขึ
้ นรู
ปแบบใด

1 : การอัดรี
ด (Extrusion)
2 : การอัดเขาแบบ
้ (Compression molding)
3 : การฉีดขึนรู
ป (Injection molding)
4 : การเป่าขึ
นรู
ป (Blow molding)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 471 :
สารเติ
มแต่
งประเภทใดต่ ใชส้
อไปนี ํ
าหรับลดความรุ
นแรงของอัคคี
ภย
ั ที
เกิ
ดขึ
นกับวัสดุ
พอลิ
เมอร์

1 : Stabilizer
2 : Colorant
3 : Flame retardant
4 : Filler
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 472 :
แผ่ นฟิ
ลม
์พลาสติ
กเป็
นผลิ
ตภัณฑ์
ทมั
ีกจะไดจากกรรมวิ
้ ธก
ีารขึ
นรู
ปใดต่
อไปนี

1 : Injection molding
2 : Extrusion
3 : Compression molding

4 : Blow molding
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 473 :
ขันตอนใดต่
อไปนี
ที
ไม่
เกี ้ บการสงั เคราะห์
ยวของกั พอลิ
เมอร์
แบบเติ
ม (Addition polymerization)

1 : Initiation
2 : Termination
3 : Condensation
4 : Propagation
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 474 :
ผลิ ตภัณฑ์
ในขอใดไม่
้ สามารถขึ
นรู
ปดวยกระบวนการฉี
้ ด (Injection molding) ได ้

1 : เปลื
อกหุมสายเคเบิ
้ ล
2 : ใบพัดลม
3 : แผ่ ีี
น ซด
4 : ฝาครอบโทรศพั ท์
มอ
ืถื

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 475 :
แกลลอนนํ
ามันควรผลิ
ตดวยกระบวนการขึ
้ นรู
ปใด

1 : การฉีดขึนรู
ป (Injection molding)
2 : การเป่าขึ
นรู
ป (Blow molding)
3 : การอัดรี
ด (Extrusion)
4 : การอัดเขาแบบ
้ (Compression molding)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

ขอที
้ 476 :
พอลิเมอร์
ชนิ
ดใดนิ
ยมขึ
นรู
ปดวยกระบวนการอั
้ ดเขาแบบ
้ (Compression molding)

1 : พอลิ
สไตรี
น (Polystyrene)
2 : พอลิ
เอทธิ
ลน
ี(Polyethylene)
3 : พอลิ
พรอพิ
ลน ี(Polypropylene)
4 : ฟี
นอลฟอร์
มลั ดี
ไฮด์ (Phenol­formaldehyde)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4
ขอที
้ 477 :
ผลิ ตภัณฑ์
ใดที
ไม่
สามารถขึ
นรู
ปไดด้
วยกระบวนการอั
้ ดรี
ด (Extrusion)

1 : สายยางฉี ดนํ

2 : เคสโทรศพั ท์
มอืถื

3 : หลอดกาแฟ
4 : แผ่
นฟิลม
์พลาสติ ก
คํ
าตอบที ถูกตอง้: 2

เนื
อหาวิ
ชา : 252 : 15 Composite materials

ขอที
้ 478 :
วัตถุ
ประสงค์ เชงิ
หลักในการพัฒนาวัสดุ ประกอบ (Composites) คื
อขอใด

1 : เพิ
มความรวดเร็วในการผลิ ิธิ
ตและประสท ภาพการผลิ ต
2 : ลดตนทุ
้ นการผลิต เพิ
มความสามารถในการแข่
งขัน
3 : ปรับปรุ
งสมบัตบ ิ เชน
ิางประการของชนงาน ่ความแข็ งแรง
4 : ลดผลกระทบต่ ิ
อสงแวดล อมและใช
้ ้พยากรใหคุ
ทรั ้มค่
้า
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 479 :
วัสดุ
ในขอใดต่
้ อไปนี ใชว่
ไม่ ส เชงิ
ั ดุ ประกอบ (Composites)

1 : ทังสเตนคาไบด์ (Tungsten carbide)


2 : เซอร์เมท
3 : คอนกรี ตเสริ
มเหล็
ก (Reinforced concrete)
4 : พรีเพรก
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 480 :
ผลิ ตภัณฑ์
ใดต่
อไปนี
ที
นิ
ยมผลิ เชงิ
ตจากวัสดุ ประกอบ (Composites)

1 : ถวยกาแฟ

2 : หมอหุ
้ งขาว

3 : ไมเทนนิ
้ ส
4 : กรอบแว่นตา
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 481 :
ไฟเบอร์
กลาส (Fiberglass) เป็
นวัสดุ
ชนิ
ดใด

เชงิ
1 : วัสดุ ประกอบ (Composite) ที
มี
อล
ีาสโตเมอร์
(Elastomer) เป็
นโครงสรางพื
้ น (Matrix)

เชงิ
2 : วัสดุ ประกอบ (Composite) ที
มีเซรามิ
ก (Ceramic) เป็
นโครงสรางพื
้ น
เชงิ
3 : วัสดุ ประกอบทีมี
แกว้(Glass) เป็
นโครงสรางพื
้ น (Matrix)

เชงิ
4 : วัสดุ ประกอบ (Composite) ที
มี
เทอร์
โมเซท (Thermoset) เป็
นโครงสรางพื
้ น (Matrix)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 482 :
ใยแกว้(Glass fibers) ประกอบดวยสารประกอบชนิ
้ ดใดมากที
สุ

1 : SiO2
2 : Al2O3
3 : CaO
4 : MgO
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 483 :
เซอร์
เมท (Cermet) เป็
นวัสดุ
ชนิ
ดใด

1 : เซรามิก
เชงิ
2 : วัสดุ ประกอบ (Composite) มี
โลหะเป็
นโครงสรางพื
้ น (Matrix)
เชงิ
3 : วัสดุ ประกอบ (Composite) มี
เซรามิ
กเป็
นโครงสรางพื
้ น (Matrix)
4 : โลหะชนิ ดหนึง มี
ความแข็
งสู ้นมี
ง ใชเป็ ดกลึง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 484 :
เคฟลาร์
(Kevlar) เป็ ้
นเสนใยชนิ
ดใด


1 : เสนใยธรรมชาติ

2 : เสนใยพอลิ สงั เคราะห์
เมอร์

3 : เสนใยแก ว้

4 : เสนใยคาร์บอน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 485 :
กระบวนการในขอใดต่
้ อไปนี
ที ้
ใชในการผลิ ้
ตเสนใยคาร์
บอน (Carbon fibers)

1 : Pyrolysis
2 : Hydrolysis
3 : Synthesis
4 : Analysis
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1
ขอที
้ 486 :
เชงิ
วัสดุ ประกอบ (Composite) ชนิ
ดใดต่
อไปนีเหมาะสํ
ที าหรับผลิ
ตกานสู
้ บ (Connecting rods) ในเครื
องยนต์

1 : อะลู
มเิ
นี
ยมเสริ
มใยแกว้(Glass fibers)
2 : อะลู
มเิ
นี
ยมเสริ
มใยซลิก
ิอนคาร์ ไบด์ (SiC)
3 : อะลู
มเิ
นี
ยมเสริ
มใยหิน (Asbestos)
4 : อะลู
มเิ
นี
ยมเสริ
มใยเหล็ก (Steel)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 487 :
ขอใดต่
้ อไปนี
เป็ เชงิ
นวัสดุ ประกอบที
มี
สมบัตแ
ิบบไอโซทรอปิ

1 : คานไม ้
2 : โครงเครื
องบินไฟเบอร์
กลาส
3 : ยางรถยนต์เสริ
มแรงดวยคาร์
้ บอนแบล็ ก
ิ ว่
4 : ชนส นกระสวยอวกาศทํ ้
าจากเสนใยยาวเคฟลาร์ พอกซ ี
และอี (Kevlar­epoxy)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 488 :
ขอใดไม่
้ ้
ใชวิ
ธเี
พิมความแข็
งแรงใหกั้ เชงิ
บวัสดุ ประกอบ

1 : ลดขนาดของอนุ ภาคใหเล็
้กลง

2 : ลดความยาวเสนใยเสริ มแรงใหส้ั
นลง
3 : เพิ
มแรงยึดเหนี
ยวระหว่างเนื
อพืนและอนุ
ภาคเสริ
มแรง
4 : ปรับการกระจายตัวของอนุภาคในเนื
อพื
นใหสมํ
้ าเสมอ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 489 :
ขอใดต่
้ อไปนี
คื
อหนาที เชงิ
้ ของเฟสกระจายตัว (Disperse phase) ในวัสดุ ประกอบ

1 : เป็นตัวกลางในการถ่
ายโอนแรงจากภายนอกใหกั้ บวัสดุ
ผสม
2 : เสริมสมบัตข
ิองวัสดุ
ผสมใหดี
้ขนึ
3 : ป้ ีหายของเฟสเนื
องกันความเสย อพื
น (Matrix) จากสภาพแวดลอม

4 : ลดตนทุ
้ นการผลิ ต
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 490 :
ขอใดจั
้ ดเป็ เชงิ
นวัสดุ ประกอบ (Composites)

1 : อะลู
มเิ
นี
ยม+ผงคาร์ไบด์
2 : พอลิพรอพิลน
ี+พอลิ เอทิ
ลน

3 : พี
วซ
ี+ียางไนไตรล์
4 : อะลู
มเิ
นี
ยม+ซล ิก
ิอน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 491 :
ขอใดกล่
้ าวไม่
ถก
ูตอง

1 : สารเสริมแรงสว่
นมากมีความเหนี
ยวสูง
2 : การทํา PMC ชว่ยเพิ
มความแข็งแรงใหสู
้งขึ

3 : การทํา MMC ชว่ ยเพิ
มความตานทานต่
้ อการเกิ
ดครี
พใหสู
้งขึ

4 : การทํ ่
า CMC ชวยเพิ มความเหนี
ยวใหสู
้งขึ

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 1

ขอที
้ 492 :
สารเสริ
มแรงชนิ ้าวัสดุ
ดใดใชทํ เชงิ
ประกอบแบบโครงสราง
้ (Structural composite)


1 : เสนใยแก วชนิ
้ ดสน ั
2 : วิ
สเกอร์ซลิก
ิอนคาร์ไบด์
3 : ผงทังสเตนคาร์ไบด์
4 : แผงรังผึ

คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 4

ขอที
้ 493 :
คอนกรี
ตเป็ เชงิ
นวัสดุ ประกอบ (Composites) ที
มี
วส
ั ดุ
ชนิ
ดใดเป็
นเฟสเนื
อพื
น (Matrix)

1 : หิ

2 : ซเี
มนต์
3 : ยิ
ปซมั
4 : ทราย
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 494 :
วิสเกอร์
เป็
นวัสดุ
เสริ
มแรงที
มี
ลก
ั ษณะเป็
นอย่
างไร

1 : อนุ
ภาคผงเม็ดกลม
2 : อนุ
ภาครู ี ยม
ปทรงสเหลี

3 : เสนใยผลึกเดี
ยว

4 : เสนลวด
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 495 :
ขอใดไม่
้ ่ลของการทํ
ใชผ เชงิ
าวัสดุ ประกอบ (Composites) ที
มี
โลหะเป็
นเฟสเนื
อพื
น (Matrix)
1 : เพิ
มความเหนียว
2 : เพิ
มความตานทานต่
้ อการสกึหรอ
3 : เพิ
มมอดุ
ลสั จํ
าเพาะ
4 : เพิ
มความตานทานต่
้ อการเกิ
ดครี
พ (Creep)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 1

ขอที
้ 496 :
วัสดุ
เซอร์
เมท (Cermet) เป็ เชงิ
นวัสดุ ประกอบ (Composite) ที
มี
ลก
ั ษณะเป็
นอย่
างไร

1 : วัสดุ
เซรามิ
กเป็นโครงสรางพื
้ น (Matrix) เสริ
มแรงดวยโลหะ

2 : วัสดุ
โลหะเป็นโครงสรางพื
้ น (Matrix) และเสริ
มแรงดวยเซรามิ
้ ก
3 : วัสดุ
พอลิเมอร์
เป็นโครงสรางพื
้ น (Matrix) และเสริ
มแรงดวยเซรามิ
้ ก
4 : วัสดุ
พอลิเมอร์
เป็นโครงสรางพื
้ น (Matrix) และเสริ
มแรงดวยโลหะ

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 2

เนื
อหาวิ
ชา : :

ขอที
้ 497 :
ความลา้(Fatigue) หมายถึ
งเหตุ
การณ์
ใด

1 : การยื
ดตัวอย่ ้ ของวัสดุ
างชาๆ
2 : การแตกหักของวัสดุเนื
องจากไดรั้
บแรงดึ

3 : การแตกหักของวัสดุเนื
องจากไดรั้
บแรงกด
4 : การแตกหักของวัสดุเนื
องจากไดรั้ ํ ามา
บแรงแบบซาไปซ ํ
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 4

ขอที
้ 498 :
วัสดุิ งมี
ชนหนึ ความตานแรงคราก
้ (Yield strength) เท่
ากับ 300 MPa เมื
อนํ
าวัสดุิ มารับแรงซงก่
ชนนี ึอใหเกิ
้ดความเคนเท่
้ ากับ 200 MPa โดยเป็
นการรับแรงดึ
งสลับ

กับการรับแรงอัด ซงอาจทํ
าใหวั้
สดุ ิ งกล่
ชนดั าวมี
โอกาสที จะเกิ
ดการแตกหักประเภทใดมากที สุ

1 : แตกหักแบบเปราะ
2 : แตกหักแบบเหนี ยว
3 : ความลา้(Fatigue)
4 : ความคืบ (Creep)
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 499 :
ขอใดกล่
้ าวผิ
ด เกี
ยวกับการแตกหักของวัสดุ

1 : การแตกหักแบบเหนี
ยว (Ductile fracture) จะเกิดหลังจากการเสยีรู
ปอย่างถาวร (Plastic deformation) และการขยายรอยแตก (Crack) จะเกิ ดอย่ ้
างชาๆ
2 : การแตกหักแบบเปราะ (Brittle fracture) จะเกิ
ดโดยไม่
มก ีรู
ีารเสย ปอย่ ึการขยายรอยแตก (Crack) ไดรวดเร็
างถาวร (Plastic deformation) ซงมี ้ ว
3 : การเกิ
ดคอคอด (Necking) ของวัสดุ จะเกิดขึนก่
อนการแตกหักแบบเหนี ยว (Ductile fracture) และแบบเปราะ (Brittle fracture) เสมอ
4 : วัสดุ
ทเหนี
ี ยว เชน่พอลิเมอร์ และเหล็ กกลาบางชนิ
้ ด จะสามารถดู ดกลื
นพลังงานที ้
ใชในการทํ าใหวั้
สดุ
แตกหักไดมากกว่
้ าวัสดุทเปราะ
ี ่เซรามิ
เชน ก
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 500 :
โลหะผสมทองแดงถู ้
กใชงานโดยได รั้
บความเคนแบบวั
้ ฏจักร (Cycle stresses) ที ีส เมื
25 องศาเซลเซย อถู ้
กใชไปนานระยะหนึ
งเกิ
ดการแตกหักขึ
นแมว่
้าความเคน้
ทีไดรั้
บมี
คา่
นอยกว่
้ าค่าความตานแรงคราก
้ ีหายนี
ความเสย เป็
นการแตกหักแบบใด

1 : การแตกราวเนื
้ องจากการคื บ (Creep fracture)
2 : การแตกหักลา้(Fatigue fracture)
3 : การแตกราวเปราะ
้ (Brittle fracture)
4 : การแตกราวเหนี
้ ยว (Ductile fracture)
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 2

ขอที
้ 501 :
ีหายเนื
ความเสย องจากการคื
บ (Creep) มักเกิ
ดขึ
นเมื
อโลหะถู
กนํ ้
าไปใชงานในสภาวะใด

้ อุ
1 : ใชงานที ณหภู
มหิอง
้ และไดรั้
บความเคนแบบวั
้ ฏจักร (Cycle stresses) เป็
นเวลานาน
้ อุ
2 : ใชงานที ณหภู
มติํ
ากว่
าอุ
ณหภู มห
ิอง
้ และไดรั้
บความเคนแบบวั
้ ฏจักร (Cycle stresses) เป็
นเวลานาน
้ อุ
3 : ใชงานที ณหภู
มติํ
ากว่
าอุ
ณหภู มห
ิอง
้ และไดรั้
บความเคนคงที
้ เป็ นเวลานาน
้ อุ
4 : ใชงานที ณหภู
มสิงูและไดรั้
บความเคนคงที
้ เป็ นเวลานาน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 502 :
โลหะในขอใดต่
้ อไปนี
มี
ความตานทานการกั
้ ดกร่
อน (Corrosion resistance) ในบรรยากาศปกติ
นอยที
้ สุด

1 : เหล็
กกลา้
2 : เหล็
กหล่อ
3 : อะลู
มเิ
นี
ยม
4 : ทองแดง
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 503 :
โลหะในขอใดต่
้ อไปนี
มี
ความตานทานการกั
้ ดกร่
อน (Corrosion resistance) ในบรรยากาศปกติ
สงู
ทีสุ

1 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มเฟอร์
ไรต์(Ferritic stainless steel)
2 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มมาร์
เทนไซต์ (Martensitic stainless steel)
3 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มออสเทไนต์ (Austenitic stainless steel)
4 : เหล็
กกลาไร
้ สนิ
้ มแปซฟิิ
ก (Pacific stainless steel)
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 504 :
โลหะในขอใดต่
้ อไปนี
ควรนํ
ามาเคลื
อบผิ
วเหล็
กเพื
อป้
องกันการเกิ
ดสนิ
มและเพิ
มความแข็
งใหกั้
บเหล็

โลหะในขอใดต่
้ อไปนี
ควรนํ
ามาเคลื
อบผิ
วเหล็
กเพื
อป้
องกันการเกิ
ดสนิ
มและเพิ
มความแข็
งใหกั้
บเหล็

1 : สงั กะส ี
2 : โครเมี ยม
3 : อะลู มเิ
นี
ยม
4 : ดีบกุ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 505 :
เทพีเสรี
ภาพทํ
ามาจากทองแดงบริ
สท
ุธิ
เพราะเหตุ
ใดเทพี
เสรี
ภาพจึ สเี
งมี ขี
ยว

การทาสเี
1 : มี ขี
ยวเพื
อป้องกันการผุ
กร่
อน
2 : เกิ
ดการผุ
กร่
อนทีผิ
วเกิ
ดเป็นทองแดงออกไซด์ สเี
ขี
ยว
3 : เกิ
ดการผุ
กร่
อนทีผิ
วเกิ
ดเป็นทองแดงซลั เฟตสเี
ขียว
4 : เกิ
ดการผุ
กร่
อนทีผิ
วเกิ
ดเป็นทองแดงคลอไรด์ สเีขี
ยว
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 3

ขอที
้ 506 :

1 : Cd เกิ
ดการกัดกร่
อน และ Cd เป็
นขัวแคโทด
2 : Cd เกิ
ดการกัดกร่
อน และ Cu เป็
นขัวแคโทด
3 : Cu เกิ
ดการกัดกร่
อน และ Cd เป็
นขัวแคโทด
4 : Cu เกิ
ดการกัดกร่
อน และ Cu เป็
นขัวแคโทด
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 507 :

1 : +0.740 Volts
2 : ­0.740 Volts
3 : +0.066 Volts
4 : ­0.066 Volts
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 508 :
ปฏิ กริ

ิาที
ขัวแอโนดควรเป็
นอย่
างไร

1:

2:

3:

4:
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 509 :
ปฏิ กริ

ิาที
ขัวแคโทดควรเป็
นอย่
างไร

1:

2:

3:
4:
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 510 :
สมการของการเกิ
ดรี ์วรเป็
ดอกซค นอย่
างไร

1:

2:

3:

4:
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 511 :

1 : ­0.3814 Volts
2 : +0.3814 Volts
3 : ­0.7628 Volts
4 : +0.7628 Volts
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 512 :
โลหะทีั ผัสกับสารละลายนํ
สม าไฟฟ้
าไดแล
้ วเกิ
้ ดการกัดกร่
อนที
พื
นผิ
วนันเป็
นผลของการเกิ
ดปฏิ
กริ

ิาใด

1 : ปฏิ
กริ

ิารี
ดก
ั ชนั โลหะเกิ ดการสู ีอิ
ญเสย เลคตรอน
2 : ปฏิ
กริ

ิารี
ดกั ชนั โลหะไดรั้
บอิเลคตรอน
3 : ปฏิ ิาออกซเิ
กริ
ย ั โลหะไดรั้
ดชน บอิ
เลคตรอน
4 : ปฏิ ิาออกซเิ
กริ
ย ดชนั โลหะเกิ
ดการสู
ญเสย ีอิ
เลคตรอน
คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 513 :
วัสดุ
ชนิ
ดใดเมื
อเกิ
ดการแตกหักจะมี
ลก
ั ษณะเป็
นผิ
วที
เรี
ยบ

1 : พอลิเอทิลน

2 : เหล็
กกลาคาร์
้ บอนตํ

3 : อะลู
มเินี
ยม
4 : เซรามิ

คํ
าตอบที ถูกตอง
้: 4

ขอที
้ 514 :
ลักษณะการแตกหักของวัสดุ
ในขอใดที
้ แสดงว่
าวัสดุ
นันมี
การแตกหักแบบเปราะ

1 : ผิ
วรอยแตกหักมี ลก
ั ษณะเรียบราบ
2 : เกิ
ดรอยหยักของการยื ดตัวเป็ ้
นเสนของวั
สดุ
บริเวณผิ
วแตกหัก
3 : เกิ
ดคอคอดขึ นจนเป็นปลายแหลมก่ อนแตกหัก
4 : ผิ
วแตกหักมีลก
ั ษณะเป็นถวยและโคน

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 515 :
จากการทดสอบสมบัตก
ิารทนแรงดึ
ง คาดว่
าวัสดุ
นมี
ีรอยแตกหักเป็
นอย่
างไร
1 : ผิ
วแตกหักมีลก
ั ษณะเป็นถวยและโคน

2 : เกิ
ดคอคอดขึ นจนเป็นปลายแหลมก่ อนแตกหัก
3 : เกิ
ดรอยหยักของการยื ดตัวเป็ ้
นเสนของวั
สดุ
บริเวณผิ
วแตกหัก
4 : ผิ
วรอยแตกหักมี ลก
ั ษณะเรียบราบ
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 516 :
ขอใดเป็
้ นลักษณะการแตกหักแบบเปราะ

1:

2:

3:

4:
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 517 :
ขอใดเป็ ื
้ นลักษณะการเสอมสภาพของพอลิ
เมอร์
เมื
ออยู
ใ่
นของเหลว

1 : สายโซโ่มเลกุ
ลขาดจากกัน (Chain scission)
2 : เกิ
ดออกไซด์ทผิ
ีว
3 : พองบวม
4 : แข็
งตัวมากขึ

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 518 :
ขอใดไม่
้ ่ั จจัยของการเสอมสภาพของพอลิ
ใชป ื เมอร์
ททํ
ีาใหสายโซ
้ โ่
มเลกุ
ลขาดจากกัน (Chain scission)

1 : ของเหลว
2 : ความรอน ้
ีวูี
3 : รังสย
4 : ออกซเิ จน
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 519 :
้ สง่
สภาพแวดลอมใดไม่ ผลต่
อการกัดกร่
อนของเหล็
กกลาคาร์
้ บอนตํ

1 : นํ
าเกลื

2 : ขี
ผึ
งเหลว
3 : สารละลายกรด
4 : ความชนื
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 520 :
ขอใดเป็
้ นลักษณะการแตกหักของวัสดุ
เซรามิ

1 : เกิ
ดคอคอดขึ นจนเป็นปลายแหลมก่ อนแตกหัก
2 : เกิ
ดรอยหยักของการยื ดตัวเป็ ้
นเสนของวั
สดุ
บริเวณผิ
วแตกหัก
3 : ผิ
วรอยแตกหักมี ลก
ั ษณะเรียบราบ
4 : ผิ
วแตกหักมีลก
ั ษณะเป็นถวยและโคน

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

ขอที
้ 521 :
ในการทดสอบวัสดุ
พบว่
าใหค่
้าทนแรงกระแทกตํ
ามาก แสดงว่
าวัสดุ
นันมี
ลก
ั ษณะการแตกหักแบบใด

1:
2:

3:

4:
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 522 :
วัสดุ
ชนิ
ดใดมี
ความตานทานการครี
้ พ (Creep) มากที
สุ

1:A
2:B
3:C
4:D
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 523 :
วัสดุ
ชนิ
ดใดมี
อายุ ้
การใชงานมากที
สุ
ดภายใตการรั
้ บแรงกระทํ
าคงที

1:A
2:B
3:C
4:D
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 4

ขอที
้ 524 :
วัสดุ
ชนิ
ดใดมี
อายุ ้
การใชงานมากที
สุ
ดภายใตการรั
้ บแรงกระทํ ํ ามาด
าซาไปซ ํ วยความเค
้ น้30 MPa

1:A
2:B
3:C
4:D
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 1
ขอที
้ 525 :
ถาต้องการเลื
้ อกวัสดุ ้
ไปใชงานโดยไดรั้
บแรงกระทํ ํ ามาด
าซาไปซ ํ วยความเค
้ น้20 MPa วัสดุ
ชนิ
ดใดปลอดภัยจากการแตกหักมากที
สุ

1:A
2:B
3:C
4:D
คํ
าตอบที
ถู
กตอง
้: 1

ขอที
้ 526 :
ใชว่
ปั จจัยใดไม่ ธิ
กีารลดการพองบวมของพอลิ
เมอร์
ทอยู
ี ใ่
นของเหลว

1 : เพิ
มครอสลิงค์
ในโครงสรางโมเลกุ
้ ลพอลิเมอร์
2 : เพิ
มความเป็นกิ
งกานของโครงสร
้ างโมเลกุ
้ ลพอลิ
เมอร์
3 : เพิ
มนํ
าหนักโมเลกุลของพอลิเมอร์
4 : เพิ
มปริ
มาณผลึ กในโครงสรางโมเลกุ
้ ลพอลิเมอร์
คํ
าตอบที ถู
กตอง้: 2

ขอที
้ 527 :
ขอใดไม่
้ ่ก
ใชล ื
ั ษณะการเสอมสภาพของไนลอนเมื
อถู
กนํ ้
าไปใชงานในสภาวะที
มี
นํ

1 : บวมพอง
2 : การเกิ
ดออกไซด์ ทผิ
ีว
3 : ความแข็งแรงลดลง
4 : มี
ความอ่อนตัว
คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 2

ขอที
้ 528 :
ถานํ
้าวัสดุ
พอลิ
พรอพิ
ลน ้ อุ
ีไปใชงานทีณหภู
มต
ิํ
ากว่
าอุ
ณหภู
มิ
Tg วัสดุ
นันจะมี
ลก
ั ษณะการแตกหักแบบใด

1 : เกิ
ดคอคอดขึ นจนเป็นปลายแหลมก่ อนแตกหัก
2 : เกิ
ดรอยหยักของการยื ดตัวเป็ ้
นเสนของวั
สดุ
บริเวณผิ
วแตกหัก
3 : ผิ
วรอยแตกหักมี ลก
ั ษณะเรียบราบ
4 : ผิ
วแตกหักมีลก
ั ษณะเป็นถวยและโคน

คํ
าตอบที ถู
กตอง
้: 3

You might also like