Professional Documents
Culture Documents
Book - RU in CBR
Book - RU in CBR
ISBN 978-616-91226-7-8
ผูเขียน รศ.ดร.กาญจนา แกวเทพ
บรรณาธิการ กชกร ชิณะวงศ
พิมพครั้งที่ 1 เมษายน 2566 จํานวน 1,500 เลม
ผูสนับสนุน สํานักงานการวิจัยแหงชาติ (วช.)
96 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร
กรุงเทพมหานคร 10900
โทรศัพท 0 2579 1370
ผูจัดพิมพ มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อทองถิ่น
(Community – Based Research Institute Foundation)
ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ คณะเกษตรศาสตร
มหาวิทยาลัยเชียงใหม 50200
ตู ปณ.259 ปณฝ. มหาวิทยาลัยเชียงใหม อําเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม 50202
โทรศัพท/โทรสาร 0 5389 2662
สถาบันคลังสมองของชาติ
อาคารอุดมศึกษา 2 ชั้น 19 เลขที่ 328 ถนนศรีอยุธยา
แขวงทุงพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท 0 2126 7632-34 โทรสาร 0 2126 7635
Website: www.knit.or.th
ออกแบบ/พิมพที่ หจก.วนิดาการพิมพ 14/2 หมูที่ 5 ตําบลสันผีเสื้อ
อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม 50300
โทรศัพท/โทรสาร 0 5311 0503-4
คํ า นํ า
ในแวดวงของการทํ า งานวิ จั ย มั ก จะมี คํ า ถามถึ ง เรื่ อ งของ
“การใชประโยชนจากงานวิจัย” (Research Utilization หรือ RU) อยูเสมอ
ทั้งนี้เพื่อเปนการแสดงใหเห็นงานวิจัยชิ้นนั้นมีคุณคาและมีความหมาย
ต อ ชุ ม ชน สั ง คม และประเทศชาติ ทั้ ง ในมิ ติ ใ นเรื่ อ งของความคุ ม ค า
ทางเศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต ความงดงามในมิติสังคมวัฒนธรรม หรือ
การพัฒนาศักยภาพของผูคนที่มีสวนเกี่ยวของกับการทํางานวิจัย
“งานวิจัยเพื่อทองถิ่น” (Community-Based Research) หรือ
ที่เรียกกันติดปากวา CBR นั้น ก็มักจะมีคําถามจากสังคมเชนกันวา CBR
ถูกนําไปใชประโยชนอยางไรบาง ซึง่ หนังสือการใชประโยชนจากงานวิจยั
เพื่อทองถิ่น (RU in CBR) เลมนี้ รองศาสตราจารย ดร.กาญจนา แกวเทพ
ผูเ ขียนไดอธิบายใหเห็นภาพตลอดทัง้ สายนํา้ ของการทํางานวิจยั ในรูปแบบ
ของ CBR อยางชัดเจนและครอบคลุมวา งานวิจัยเพื่อทองถิ่นถูกนำไป
ใชประโยชนไดตั้งแตชวงตนน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ อันเปนประโยชนที่
เกิดขึน้ กับองคาพยพทีม่ สี ว นเกีย่ วของกับการทำงานวิจยั ทัง้ หมด ตัง้ แตระดับ
กลุม คนหรือชุมชนทองถิน่ ซึง่ เปนนักวิจยั ทีม่ บี ทบาทในการคนหาทางเลือก
ทางออกใหกับปญหาที่เกิดขึ้น เรียกไดวาผลที่เกิดขึ้นจากการทำงานวิจัย
เปนประโยชนกับผูคนที่ลงมือทำงานวิจัยอยางแนนอน เพราะเปนปญหา
ของชุมชนเอง นอกจากนี้หากมีการทำงานวิจัยรวมกันระหวางชุมชน
กั บ ภาคี เ ครื อ ข า ยอื่ น ๆ ผลลั พ ธ ข องการทำงานก็ จ ะเกิ ด ประโยชน กั บ
ภาคีหนวยงานตางๆ ที่เขามามีสวนรวมดวย และที่สำคัญในระหวาง
การดำเนินงานวิจัย กระบวนการหรือเครื่องมือการทำงาน CBR ในแตละ
ชวงของการดำเนินงานยังไดเอือ้ ประโยชนในการพัฒนาคน งาน และความรู
ใหเติบโตและผลิบานไปพรอมๆ กันดวย
ความนาสนใจของเนื้อหาของหนังสือเลมนี้ อยูที่การอธิบาย
ใหเห็นภาพของงานวิจัย CBR ที่ถูกนําไปใชประโยชนไดจริง โดย
เปนการอธิบายผานแนวคิดทฤษฎีทางวิชาการ พรอมกับการหยิบยก
กรณีศึกษาของงานวิจัย CBR มาประกอบ ทําใหผูอานเขาใจไดงาย
มีความชัดเจน และชวยคลายขอสงสัยในหลายประเด็น ที่สําคัญ
ยังเปนการชวยยกระดับความรูของงานวิจัย CBR ใหมีความแหลมคม
ยิ่ ง ขึ้ น อี ก ด ว ย ซึ่ ง ป จ จุ บั น แม ว า ยุ ค สมั ย ของการทํ า งานวิ จั ย CBR
จะเปลี่ยนผานไปอยางไร แตประโยชนที่เกิดขึ้นจากการทํางานวิจัย
ในรูปแบบนี้ยังคงคุณภาพคับแกว สมกับคํากลาวที่วา “จิ๋วแตแจว”
ฉะนั้นอยาไดรอชา ลองเปดอานเนื้อหาในเลม แลวทานจะรูวา
งานวิจัย CBR มีประโยชนตอใจมากมายเพียงใด
คณะทํางานมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อทองถิ่น
ส า ร บั ญ
บอกกล่าว 6
ส่วนที่ 1 ความเข้าใจทั่วไปเรื่อง RU 12
• 6 แบบจําลองของการใชประโยชนจากงานวิจัย : 13
ขอเสนอของ Weiss
• กรอบ RU ในระดับประเทศของไทย
• คุณลักษณะเฉพาะตัวของ CBR กับ RU
ส่วนที่
2 ปัจากงานวิ
จจัยเอื้ออํานวยเรื่องการใช้ประโยชน์
จัยเพื่ อท้องถิ่น
58
CBR ทบทวนตัวเองเรื่อง RU
ที่มาของขอเขียนชิ้นนี้เกิดขึ้นเนื่องจากในเดือนพฤศจิกายน 2564
ไดมีการประกาศพระราชบัญญัติสงเสริมการใชประโยชนผลงานวิจัยและ
นวัตกรรม พ.ศ. 2564 ซึ่งถือไดวาเปนการตอกหลักหมุดหมายที่สําคัญ
อีกหลักหนึง่ ขึน้ ในแวดวงการวิจยั ของไทย ผูเ ขียนตีความวา พระราชบัญญัติ
ฉบับนี้มีความหมายถึงการตอกยํ้า (อีกครั้งหนึ่ง) ถึงความสําคัญและความ
จําเปนตอการที่จะตองนําผลงานการวิจัยไปใชประโยชนในดานตางๆ
รวมทั้งยังมีความหมายถึงทาทีที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องการใชประโยชน
จากงานวิจัยของไทยที่ยิ่งนับวันก็ยิ่งขยายตัวมากขึ้นทั้งในเชิงปริมาณและ
เชิงคุณภาพ
ในวาระโอกาสเชนนี้ ผูเขียนจึงเห็นวาเปนเวลาอันเหมาะสมที่งาน
วิจยั เพือ่ ทองถิน่ (Community-Based Research – จากนีไ้ ปจะเรียกวา CBR)
จะไดถือโอกาสทบทวนตัวเองในเรื่อง “การใชประโยชนจากงานวิจัย”
(Research Utilization – จากนี้ไปจะเรียกวา RU) เพื่อสองกระจกยอนดู
ตัวเองวา CBR นั้นไดมีการนํางานวิจัยไปใชประโยชนบางหรือไม มากนอย
เพียงไร ใชประโยชนในดานใดบาง จะใชประโยชนจากงานวิจัยใหมากขึ้น
กวาที่เปนอยูไดหรือไม ฯลฯ ซึ่งเปนโจทยหลักๆ ของเรื่อง RU
8 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
กรอบ RU ในระดับ
ประเทศไทย
6 แบบจําลอง ของ คุณลักษณะเฉพาะของ
Weiss CBR กับ RU
สวนที่ 1:
ความเขาใจทั่วไปเรื่อง RU
เครื่องมือชวยงาน
RU ใน CBR
สวนที่ 3: การใชประโยชนจาก
ภาคปฏิบัติการ งานวิจัยเพื่อทองถิ่น นักวิจัย =
ผูใชประโยชน
ตัวอยางรูปแบบ/ สวนที่ 2:
กิจกรรม RU-CBR RU ไดตลอด
5 ปจจัยเอื้อตองาน สายน้ํา
RU ของ CBR
ระบบนิเวศ
ของการวิจัย
งานวิจัยแบบ
3 แบบแผน ของ “ยาชุด”
RU-CBR
ส่วนที่
1
ความเข้าใจทั่วไปเรื่อง
RU
สวนที่ 1 • ความเขาใจทั่วไปเรื่อง RU 13
ในเนื้อหาสวนแรกนี้ ผูเขียนจะขอนําเสนอทัศนะที่กวางขวางของ
C. Weiss (1979) ในเรือ่ งการใชประโยชนจากงานวิจยั จากนัน้ จะขยับภาพ
RU ใหแคบเขามาในกรอบ RU ระดับประเทศของไทย และตบทาย
ด ว ยการนํ า เสนอคุ ณ ลั ก ษณะเฉพาะตั ว ของ CBR ที่ จ ะส ง ผลต อ เรื่ อ ง
การใชประโยชนจากงานวิจัย
6 แบบจําลองของการใช้ประโยชน์จากงานวิจัย:
1 ข้อเสนอของ Weiss
Enlightenment Knowledge-Driven
Model Model
Political Interactive
Model Model
RU ในแบบแรกนี้ดูจะเปนความหมายแรกเริ่ม และมีตนกําเนิด
มาจากสาขาวิชาวิทยาศาสตรธรรมชาติ ในแบบจําลองนี้ไดเรียงลําดับ
ขั้นตอนของการใชประโยชนจากงานวิจัยไวดังนี้
นั้นอาจจะมีเสนทางเดินแบบเดินกลับไปกลับมาระหวางขั้นตอนตางๆ
(Iterative)
ระบุวายังขาด ทางเลือก
มีปญหาระดับ ตีความ/
ขอมูล/ ทําวิจัย ในการ
การตัดสินใจ ความรูอะไร ผลการวิจัย แกปญหา
18 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
ดูงานของคนอื่น แตหากเปนปญหาแบบที่สองก็ตองเนนการถอดบทเรียน
การแกไขปญหาของตัวเอง
(iii) ตัวอยางงานวิจัยที่เปนแบบฉบับของงานวิจัย CBR ในแบบ
จําลอง Problem-solving นี้ ก็เชนงานวิจัยเรื่อง “การพัฒนาตลาดชุมชน
เพื่ อ ยกระดั บ เศรษฐกิ จ และสั ง คมโดยเครื อ ข า ยชุ ม ชน ตำบลบ า นแยง
อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก” (นิคม คำภาพ, 2565) ที่มาของงานวิจัย
ชิ้ น นี้ เ กิ ด ขึ้ น เนื่ อ งมาจากพื้ น ที่ ต ำบลที่ ศึ ก ษาเป น พื้ น ที่ ที่ มี ผ ลผลิ ต ทาง
การเกษตรอยางหลากหลาย และที่ตั้งของชุมชนก็เปนชุมทางผานที่มีผูคน
เดิ น ทางสั ญ จรไปมาอย า งคั บ คั่ ง ซึ่ ง เหมาะที่ จ ะสร า ง “ตลาดกลาง”
เพื่อจำหนายผลผลิตทางการเกษตร อันจะสงผลตอการเพิ่มรายไดของ
เกษตรกร ในขั้นแรก เทศบาลผูรับผิดชอบพื้นที่ไดมองเห็นโอกาสดังกลาว
และไดลงมือกอสรางอาคารสถานทีเ่ พือ่ จัดทำตลาดขึน้ มา แตเมือ่ สรางเสร็จ
สมบูรณกไ็ มไดมกี ารเปดตลาดหรือมีการใชอาคารสถานทีด่ งั กลาว เนือ่ งจาก
รูปแบบการกอสรางไมเอือ้ อำนวยใหเดินทางเขาถึงไดสะดวก พอคาแมขาย
จึงไมมาใชบริการ อาคารที่กอสรางไวจึงถูกทิ้งรกราง และทำใหชุมชน
เสียโอกาสทางเศรษฐกิจ
ในป พ.ศ. 2564 ทีมวิจัยซึ่งประกอบดวยเครือขายเกษตรกรจาก
13 หมูบาน (ทั้งตําบล) ซึ่งเคยมีประสบการณการทํางานวิจัย CBR มาแลว
ในปที่แลว (พ.ศ. 2563) จึงไดมารวมตัวกันทําวิจัยเพื่อแกไขปญหาเรื่อง
การสรางตลาดดังกลาว งานวิจัยเริ่มตนจากการทบทวนวิธีการสรางตลาด
ทีผ่ า นมาของเทศบาล และตัง้ สมมติฐานวาปญหาทีเ่ ปดตลาดไมไดนา จะเกิด
มาจากตัวแปรเรือ่ ง “การขาดการมีสว นรวม” จากทุกภาคสวนทีเ่ กีย่ วของ
ทั้งดานเกษตรกรผูผลิต พอคา–แมคาผูขาย และผูซื้อ ดังนั้นงานวิจัยครั้งนี้
จึงเปนการแกมือขอผิดพลาดในอดีต กิจกรรมหลักของทีมวิจัยจึงเปน
การประสานงานกับผูคนกลุมตางๆ ที่เกี่ยวของกับเรื่องการสรางและ
การบริหารจัดการตลาด และเก็บรวบรวมขอมูลมาวิเคราะหสังเคราะห
20 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
ภาคี ห น ว ยงานรั ฐ ท อ งถิ่ น เป น หลั ก ทั้ ง นี้ เ นื่ อ งมาจากข อ เท็ จ จริ ง ที่ ว า
การขับเคลือ่ นงานของหนวยงานรัฐทองถิน่ นัน้ มักจะเกิดมาจากแรงผลักดัน
หลายๆ ดานหรือรอบดาน เชน จากนโยบายสวนกลาง จากกลุม นักการเมือง
ทองถิ่น จากกลุมผลประโยชนในพื้นที่ จากความสนใจและรสนิยมของ
ผูบริหารหนวยงานคนใหม เปนตน
ตั ว อย า งงานวิ จั ย แบบฉบั บ ของ CBR ก็ เช น งานวิ จั ย เรื่ อ ง
“การพั ฒ นานโยบายและแนวทางการขยายผลเพื่ อ รองรั บ สั ง คมสู ง วั ย
อยางมีสวนรวมของจังหวัดอุบลราชธานี” (กาญจนา ทองทั่ว และคณะ,
2564) ที ม วิ จั ย ในโครงการนี้ ไ ด ผ า นประสบการณ ก ารทํ า วิ จั ย เตรี ย ม
ความพรอมเรื่องสังคมสูงวัยมาแลวกับฝายชุมชนพื้นที่ในป พ.ศ. 2563
ในปตอมาคือป พ.ศ. 2564 ทีมวิจัยจึงไดขยับที่จะมาถายโอนบทเรียนและ
ประสบการณจากการวิจยั ดังกลาวเขาสูก ารเตรียมพรอมขององคกรปกครอง
สวนทองถิ่นและหนวยงานรัฐทองถิ่นที่มีภารกิจรับผิดชอบในประเด็น
สังคมสูงวัย เชน คณะกรรมการพัฒนาคุณภาพชีวิตระดับอำเภอ (พชอ.)
สำนักงานพัฒนาสังคมและความมัน่ คงของมนุษยระดับจังหวัด ซึง่ แนนอนวา
บรรดาองคกรและหนวยงานเหลานี้ยอมมีแนวคิด แนวนโยบาย แนวทาง
การทำงาน การกำหนดภารกิจ ที่มาพรอมกับการกำหนดงบประมาณ
สนับสนุน ฯลฯ ทัง้ ทีม่ าจากสวนกลางหรือหนวยเหนืออยูแ ลว ดังนัน้ ทีมวิจยั
จึงมิอาจจะหวังสูงจนเกินไปวาองคกรและหนวยงานเหลานี้จะยอมรับ
“แนวทางการทำงานแบบ CBR” เปนเพียงแนวทางเดียวหรือเปนแนวทางหลัก
ในการปฏิบัติงาน แตอยางนอยก็ขอใหหนวยงานเหลานี้พิจารณารับเอา
“บทเรียนที่เปนของจริง ซึ่งมีรูปธรรมและไดผานการพิสูจนมาแลว” มาไว
เปน “หนึ่งในตัวเลือกขององคกรดวย” (พูดงายๆ ก็คือ “ไมไดหวังจะเปน
หนึ่งเดียว แตก็ขอใหเปนหนึ่งใน...”)
ดู เ หมื อ นว า ด า นแรกที่ ที ม วิ จั ย ในโครงการนี้ จ ะต อ งฝ า ข า มไป
ใหไดกอน ก็คือการเคลียรพื้นที่ความเขาใจใหตรงกันวาการเตรียมพรอม
22 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
กับหัวขอวิจัยเปนสวนใหญ แตความจริงแลวยังมีหนวยงานอีกปกหนึ่ง
ที่มีสวนสําคัญในการกําหนดนโยบาย คือองคกรฝายการเมืองที่มีอํานาจ
ในการกําหนดนโยบายตางๆ ในการพัฒนาประเทศ และเทาที่ผานมา
ชองทางการสงผานขอเสนอแนะไปยังองคกรฝายการเมืองยังคงมีอยาง
จํากัด และขาดการผลักดันอยางเปนรูปธรรม งานวิจยั ชิน้ นีจ้ งึ เปนการเติมเต็ม
ชองวางดังกลาว
ในกรณีนี้นาจะถือวา ฝายทีมวิจัยเปนฝายเขี่ยลูกกอนในการ
ใช ป ระโยชน จ ากงานวิ จั ย โดยผ า นกลไกหนึ่ ง ทางการเมื อ ง คื อ พรรค/
นักการเมือง
(iv) ในกรณี ข องงานวิ จั ย CBR ได มี ก ารปรั บ แต ง ทั้ ง แนวคิ ด
ความหมาย และวิธีการดำเนินงานเกี่ยวกับคำวา “การเมือง/ความเปน
การเมือง” (Politic/Political) ออกมาจากตนฉบับเดิมของคำวา “การเมือง”
ไปอยางมาก ในชวงป พ.ศ. 2563 ทีมวิจัย CBR จำนวนหนึ่งที่ทำการศึกษา
โจทยวิจัยที่มี “มิติการเมือง” เขามาเกี่ยวของ ไดรวมกันพัฒนาตัวชี้วัด
ความเหลือ่ มล้ำทางการเมืองภายใตการ Coaching ของ อ.ไพสิฐ พาณิชยกลุ
ผลจากการศึกษารวมกันไดเพิ่มขยายแงมุมความเขาใจเรื่อง “การเมือง”
ออกไปอยางกวางขวาง เริ่มตั้งแตคำนิยามความหมายของ “การเมือง”
ที่มีอยางนอยถึง 6 ความหมาย (จากการเมืองแบบมีพรรคการเมือง
ไปจนถึงความหมายวา “ทุกหนแหงทีม่ คี วามสัมพันธเชิงอำนาจ” ทีน่ นั้ ยอมมี
“การเมือง”) หรือการขยายทัศนะของคนทั่วไปที่มีตอการเมืองที่มักจะ
คอนขางติดลบใหมีดานบวกเพิ่มมากขึ้นดวย เชน การมองวาการเมืองเปน
ทั้งเรื่องที่มีอันตราย (Danger) แตก็สามารถเปน “ทรัพยากร” (Resource)
ไดการเมืองเปนทั้ง Threat และ Opportunity ในสูตรการวิเคราะหของ
SWOT การเมืองมีไดหลายแกน ทัง้ การเมืองแนวตัง้ (การเมืองของกลไกรัฐ)
การเมืองแนวนอน (การเมืองของภาคประชาชน) การเมืองแนวเอียง
สวนที่ 1 • ความเขาใจทั่วไปเรื่อง RU 25
2 กรอบ RU ในระดับประเทศของไทย
เนื่องจากฝายงานวิจัยเพื่อทองถิ่นเปนหนวยงานยอยหนวยหนึ่ง
ในสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ดังนั้น นโยบายและแนวทาง
การดําเนินงานเกี่ยวกับเรื่อง RU ของ CBR จึงเปนไปตามทิศทางของ
สกว. ดวย ในที่นี้ ผูเขียนจึงจะขอถายภาพกวางใหเห็นแนวทางการทํางาน
ดาน RU ของ สกว. เพื่อเสริมความเขาใจในเรื่อง RU ของ CBR ในลําดับ
ตอไป
กอนหนาที่จะมีภารกิจตั้งหนวยงาน สกว. ขึ้นมานั้น เสียงพรํ่าบน
เกี่ยวกับการไมไดใชประโยชนจากงานวิจัยในสังคมไทยมักจะไดยินอยูเปน
ระยะๆ วาทกรรมที่ตกผลึกและสะทอนใหเห็นถึงปรากฏการณนี้ไดดีที่สุด
ก็คือ “ทําวิจัยเสร็จแลวก็ขึ้นหิ้ง” ที่มักไดยินอยูเปนประจําจากผูคนที่อยู
นอกวงการวิจัย
และอาจจะเนื่องมาจากปริบทดานการใชประโยชนจากงานวิจัย
ดังกลาว ทําใหเมื่อมีการกอตั้ง สกว. ขึ้นมาในป พ.ศ. 2535 โดยมีสถานะ
เปนสถาบันดานการสงเสริมการวิจยั ระดับชาติแหงที่ 2 (สถาบันแหงแรกคือ
สํ า นั ก งานการวิ จั ย แห ง ชาติ – วช.) สกว. จึ ง ถู ก มอบหมายให ป ก ธง
อยางแนนอนวาจะตองเนนเรื่องการใชประโยชนจากงานวิจัยใหอยูใน
สวนที่ 1 • ความเขาใจทั่วไปเรื่อง RU 29
• และพั ฒ นาการขั้ น สู ง สุ ด ของ สกว. ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ เรื่ อ งการ
ใชประโยชนจากงานวิจัย ก็คือการจัดตั้งฝายการใชประโยชนจากงานวิจัย
ขึ้นมาเปนหนวยงานหนึ่งใน สกว. (เมื่อราวป พ.ศ. 2557) มีการจัดทําแผน
ยุทธศาสตรที่เกี่ยวกับเรื่อง RU เอาไวอยางชัดเจน (ในแผนยุทธศาสตร
ป 2557–2560) รวมทั้งมีการตีพิมพเผยแพรรูปแบบการใชประโยชน
จากงานวิจยั ในดานตางๆ ในวารสารประชาคมวิจยั ซึง่ เปนวารสารเผยแพร
ผลงานของ สกว. รวมทั้งมีการระบุใหบรรดาโครงการวิจัยเขียนเอกสาร
Research Exploitation (RE) ทีแ่ สดงการใชประโยชนจากงานวิจยั ของตนเอง
ประกอบมาดวย
เชื่อมตอกับพนักงานของโรงแรมสวนสามพราน (มีฐานะเปนผูบริโภค
เจาประจํา) รวมทัง้ การทําการตลาดกับโรงแรมสวนสามพราน (ซึง่ ทําอาหาร
รับรองแขกของโรงแรม) ก็ยังเปนรูปแบบการตลาดแบบ B2B (Business
to Business) ที่มีความเสถียรอีกดวย
(iii) สวนผลผลิตที่เปนรูปธรรมก็มีทั้งสวนที่เปนระบบพาณิชย
เชิงมูลคา เชน การมีตลาดสุขใจทีเ่ ปนศูนยกลางซือ้ ขายสินคาดานออรแกนิก
ของเกษตรกรในพื้นที่ และมีผลผลิตที่เปนระบบพาณิชยเชิงคุณคา คือ
มีศูนยเรียนรูที่เปนสถานที่เชื่อมประสานกลุมธุรกิจตางๆ 2 ศูนย คือ
ศูนยเรียนรูลองนํ้าลุยสวน และศูนยเรียนรูเศรษฐกิจพอเพียง สวนตลาด
สุขใจนั้น นอกจากจะเปนพื้นที่ซื้อขายสินคาแลวก็ยังมีอีกฟงกชันหนึ่ง
คือเปนศูนยเรียนรูมีชีวิต (Living Learning Center)
(ค) การใชประโยชนดานสาธารณะ: คําจํากัดความ: เปนการ
ดําเนินงานเพื่อนําผลการวิจัยและนวัตกรรมไปใชในวงกวางเพื่อประโยชน
ของสังคมและประชาชนทั่วไปใหมีความรูความเขาใจ เกิดความตระหนัก
รูเทาทันการเปลี่ยนแปลง จึงนําไปสูการเปลี่ยนวิธีคิด พฤติกรรม เพื่อเพิ่ม
คุณภาพชีวิตของประชาชน สรางสังคมคุณภาพ และสงเสริมคุณภาพ
สิ่งแวดลอม
จากคําจํากัดความดังกลาวจะมองเห็นลักษณะเดนของ RU
ดานสาธารณะ ก็คือกลุมคนที่จะไดใชประโยชนคือ “สาธารณะ” (Public)
ทีม่ ไิ ดมกี ารจําเพาะเจาะจงวาเปนใคร กลาวคือ “ใครใครใชประโยชน ก็เขามา
ใชได” และเปนการใชประโยชนเชิงตั้งรับ กลาวคือ แลวแตความสมัครใจ
ของผูใช ลักษณะดังกลาวจึงมากําหนดรูปแบบของการเผยแพรผลงานวิจัย
ของ สกว. ผานชองทางตางๆ ที่จะนําเนื้อหาจากงานวิจัยไปสูสาธารณะ
เชน ในรูปแบบของหนังสือเลม วารสาร บทความที่ตีพิมพในหนังสือพิมพ
การใหสมั ภาษณแกวทิ ยุ–โทรทัศนเมือ่ มีประเด็นทีเ่ กีย่ วของ วิดโี อสรุปงานวิจยั
หนาเว็บไซต ฯลฯ
34 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
RU
ระดับชาติ/สาธารณะ
1. เชิงนโยบาย 2. เชิงพาณิชย (เศรษฐกิจ)
ระดับทองถิ่น สกสว. RU 4 เชิง
4. เชิงวิชาการ 3. เชิงสังคม-วัฒนธรรม
ชุมชน/พื้นที่
Pillar
นิยามการนําผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใชในประโยชน สกสว.
ดานนโยบาย ดานเศรษฐกิจ ดานสังคม ดานวิชาการ
รวมดานชุมชนพื้นที่
และดานสาธารณะ
การนําผลงานวิจัย การนําผลงานวิจัย การนําผลการวิจัย การนําผลงานวิจัย
และนวัตกรรม และนวัตกรรมไป และนวัตกรรม** และนวัตกรรมไปใช
ไปใชประโยชน ใชประโยชนเชิงพาณิชย ไปใชประโยชน ประโยชนดานวิชาการ
โดยอาจเปนสวนหนึ่ง เพื่อสรางมูลคาเพิ่ม ในการเปลี่ยนวิธีคิด ทั้งการวิจัย การเรียน
ของกระบวนการ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยี พฤติกรรม หรือ การสอน เพื่อใหเกิด
กําหนดนโยบาย จากตางประเทศ และ เกิดการนําไปปฏิบัติจริง การเผยแพรและ
แผนเชิงกลยุทธ เพิ่มประสิทธิภาพ นําไปสูการพัฒนาคน ตอยอดองคความรู
แนวปฏิบัติ ระเบียบ ในกระบวนการผลิต ชุมชนทองถิ่น สังคม โดยสามารถแสดง
มาตรการ กฎหมาย สินคาและการบริการ ที่มีคุณภาพ และ หลักฐานไดชัดเจน
หรือใชประกอบการ สิ่งแวดลอมที่ดี
ตัดสินใจเชิงนโยบาย โดยสามารถแสดง
ซึ่งสามารถแสดง หลักฐานไดชัดเจน
หลักฐานไดชัดเจน
**ผลงานวิจัยและนวัตกรรม หมายถึง องคความรู เทคโนโลยี บทสังเคราะหหรือประสบการณจากงานวิจัยและ
นวัตกรรมหรือการบริการวิชาการ
ลักษณะการใชประโยชน เชน การเผยแพร ผลักดัน ถายทอด สรางความตระหนัก สรางการมีสวนรวม หรือ
ขับเคลื่อนทางสังคม
สังคม ในที่นี้ครอบคลุม: ประชาชน ชุมชน พื้นที่ ความสัมพันธเชิงสังคม และสิ่งแวดลอม
โจทยการวิจัยที่สำคัญคือการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิตโค
และการลดตนทุนการผลิต (เชน ดานอาหารโค)
จากผลการวิจัยที่ผานมา (ในชวงป พ.ศ. 2563) ทีมวิจัยได
ชุดความรูว า หวงโซการผลิตโคตัง้ แตตน น้ำถึงปลายน้ำนัน้ มีทงั้ หมด 9 หวงโซ
ดังในภาพ
สายพันธุโคเนื้อ
2
การปรับเปลี่ยนแนวคิด 1 3 การปรับปรุงพันธุโคเนื้อ
กระบวนการ
การตลาด 9 ขยายหวงโซ 4 การเลี้ยงโคขุนระยะสั้น
การผลิตโคเนื้อ
คุณภาพดี
5 การจัดการและปองกันโรค
การจัดการขี้วัว 8
เครื่องมือและเทคโนโลยี 7 6 อาหารโคเนื้อ
การจัดการโคเนื้อ
วิธีการดำเนินการวิจัยจึงไดแกการนำหวงโซทั้ง 9 หวงโซนั้น
มาตรวจเช็คสภาพของกลุมวิสาหกิจเปาหมายทั้ง 10 กลุม วาแตละกลุม
ยังมี “รอยโหว” ในหวงโซขอใดบาง และเนื่องจากขอจํากัดเรื่องเวลาและ
งบประมาณในการวิจัย ทีมวิจัยไดลดปริมาณหวงโซจากตนแบบ 9 หวง
ใหเหลือ 7 หวง โดยตัดหวงโซชวงปลายนํ้าออกไป และไดเพิ่มหวงโซใหม
หวงที่ 10 คือ การเขาถึงแหลงเงินทุนเพิ่มเขามา และหลังจากทราบวามี
“รอยโหวในหวงโซใดบางแลว” ทีมวิจยั และกลุม เกษตรกรเปาหมายก็ไดรว มกัน
วางแผนออกแบบและลงมือดำเนินการทำกิจกรรมเพื่อปะผุรอยโหวตาม
สภาพความเปนจริงของแตละกลุม กิจกรรมปะผุนนั้ มีประมาณ 10 กิจกรรม
42 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
เชน การอบรมและลงมือปฏิบัติการเรื่องการใชฮอรโมนกระตุนการเปนสัด
ความรูเรื่องการผลิตอาหารผสม TMR และวิธีการใหอาหารอยางถูกตอง
การใชเทคโนโลยีอลั ตราซาวดตรวจโคทองและระบบสืบพันธุ การใหยาบํารุง
และยาถายพยาธิ การใชสายวัดนํ้าหนักตัวโค เปนตน
กลุมที่ไดใชประโยชนเบื้องตนเลยจากงานวิจัยครั้งนี้ ก็คือกลุม
ผู เ ลี้ ย งโคที่ เ ป น กลุ ม เป า หมาย 130 คน ที่ ไ ด ป ระโยชน เชิ ง พาณิ ช ย
ในหลายๆ ดาน เชน เพิ่มจำนวนโคที่เลี้ยง (เพิ่มผลผลิต) เพิ่มจำนวนโค
ที่ตั้งทอง (เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต) ลดคาใชจายอาหารโค หรือ
การรูนํ้าหนักโคที่ถูกตองก็เพิ่มอํานาจตอรองในการซื้อขายโค เปนตน
ส ว นผลประโยชน ใ นลำดั บ ต อ ไป ก็ มี ก ลุ ม ผู ไ ด ป ระโยชน อ ยู
หลายกลุม เชน ในกลุมสมาชิกเปาหมายการวิจัยไดเพิ่มโอกาสการเขาถึง
แหล ง ทุ น ดอกเบี้ ย ต่ ำ จากกองทุ น สงเคราะห เ กษตรกรเป น จำนวนเงิ น
ประมาณ 5 ลานบาท ตอจากนั้น กลุมผูไดใชผลประโยชนจากงานวิจัย
ในลำดับตอไปก็คือกลุมเกษตรกรเลี้ยงโคคนอื่นๆ ที่ทางโครงการวิจัยจะได
ดำเนินการตอไปในชวงของการขยายผล
(ค) การใชประโยชนดานสังคมและวัฒนธรรมระดับตําบล
จากคํานิยามทีค่ อ นขางจะกวางขวางของมิตดิ า นสังคม–วัฒนธรรม
ตามกรอบของ สกสว. ที่ไดกลาวมาขางตน แตทวา “แกนแนวคิดหลัก”
ในคำนิยามนัน้ ก็อาจจะหมายถึงการใชประโยชนจากงานวิจยั ทีน่ อกเหนือจาก
ดานเศรษฐกิจ ดานวิชาการ และดานนโยบาย โดยมุง เนนการนำผลการวิจยั
ไปปรับเปลีย่ นแปลงวิธคี ดิ พฤติกรรม หรือการนำไปปฏิบตั จิ ริงในทุกๆ เรือ่ ง
ทีเ่ กีย่ วกับ “สังคม–วัฒนธรรม” ไมวา จะเปนดานการศึกษา สุขภาพ สวัสดิภาพ
ความปลอดภัยในชีวิต มรดกทางวัฒนธรรมทั้งรูปธรรมและนามธรรม
ทั้ ง ยั ง รวมไปถึ ง เรื่ อ งการมี สิ่ ง แวดล อ มที่ ดี ทั้ ง สิ่ ง แวดล อ มทางธรรมชาติ
และสิ่งแวดลอมทางสังคมอีกดวย
สวนที่ 1 • ความเขาใจทั่วไปเรื่อง RU 43
กระบวนการ
เนน PAR
02 04
มีการทํางาน
03
รวมกับภาคี
ในการดําเนินการตามขัน้ ตอนของกระบวนการ
3.2 คาถาข้อที่ 2:
วิจัยนั้น ตองเปดโอกาสใหชาวบาน/กลุมคนในพื้นที่ไดเขามามีสวนรวม
“อยางแทจริง อยางสูงสุด และอยางครบวงจร” แนนอนวาในทางปฏิบัติ
ชาวบานแตละคนแตละกลุม ก็คงจะเขามามีสว นรวมทีม่ ากนอยแตกตางกันไป
และมีสวนรวมในหลายๆ ระดับ หลายรูปแบบ แตที่แนๆ ก็คือ ตองไมใชให
ชาวบานทุกคนมีสว นรวมเพียงแคใน “ฐานะกลุม ตัวอยางผูใ หขอ มูลเทานัน้ ”
(สนใจเรื่องการมีสวนรวมในงานวิจัย CBR โปรดดู “การมีสวนรวม:
คาถาขอที่ 2 ของงานวิจัยเพื่อทองถิ่น”, กาญจนา แกวเทพ, 2565)
และเชนเดียวกับคาถาขอที่ 1 ที่วา ทั้งเรื่องการมีสวนรวมและ
เรื่องการใชประโยชนจากงานวิจัยตางเปนเหตุและเปนผลตอกันและกัน
ในแงมุมแรก เมื่อการมีสวนรวมเปนเหตุ ก็จะสงผลถึง RU ในหลายๆ
สวนที่ 1 • ความเขาใจทั่วไปเรื่อง RU 49
หวงที่ 1:
ความรูสึกเปนเจาของ (Sense of belonging)
หวงที่ 2:
มองเห็นแงมุมที่จะเอาไปใชประโยชนไดจริง
PAR (Applicability)
ใน
CBR
หวงที่ 3:
ความยั่งยืนของงาน (Sustainability)
R D M Movement
Research
Development
สิง่ แวดลอม (ปา, แมนาํ้ , พืน้ ดิน) หรือกลุม อาชีพตางๆ และเมือ่ ลงมือทํางาน
ไปแลวไดพบวา ลําพังกําลังของชาวบานเทานั้นยังไมเพียงพอที่จะแกไข
ปญหาทีซ่ บั ซอนและหมักหมมได จึงจําเปนตองมีการแสวงหาความรวมมือ
จากภาคีภาคสวนตางๆ เชน หนวยงานรัฐในพื้นที่ การทํางานกับภาคี
ในลักษณะนีเ้ ปนการวางเสนทางการรับรูภ าคีในฐานะ “ผูใ หความรวมมือ/
ผูใหการชวยเหลือ” เปนสําคัญ
ในลําดับตอมา เมือ่ กลุม ชาวบานทีเ่ ขามาทําวิจยั CBR สามารถ
แกไขปญหาเฉพาะหนาหรือปญหาระยะสัน้ ไดผลแลว ก็จะมีการขยับแนวคิด
ตอไปวา หากตองการใหผลลัพธทเี่ กิดขึน้ ดํารงคงอยูต อ ไปในระยะยาว หรือ
หากตองการใหการขยายผลเปนไปอยางรวดเร็วมากกวาการขยายตัวตาม
แนวนอนแบบชาๆ ก็ควรทีจ่ ะขยายการทํางานไปถึงภาคีภาคสวนตางๆ ดวย
เชน การนําผลการวิจยั เขาสูก ารทําแผนงานของ อบต. การขยายผลการวิจยั
เขาสูส ถาบันการศึกษาในชุมชน ในชวงเวลานี้ ภาคีจะถูกรับรูใ นฐานะ “กลไก
การขยายผล” อันเปนการใชประโยชนจากงานวิจัยในระดับขั้นที่ 2
(ตอจากระดับขั้นที่ 1 คือกลุมชาวบาน)
สําหรับปญหาบางปญหาที่มีระดับความซับซอนมากขึ้น หรือ
เมือ่ วิเคราะหตน ตอสาเหตุของปญหาแลว ก็พบวา “ภาคีบางภาคีนนั่ แหละ”
เปนสวนหนึ่งของสาเหตุของปญหา สําหรับในกรณีนี้ การทํางานรวมกับ
ภาคีจะขยับสูงขึน้ ไปอีกกาวหนึง่ คือมีการรับรูว า “ภาคีเปนกลุม เปาหมาย
อีกกลุมหนึ่งที่จะตองทําการเปลี่ยนแปลง”
และในยุคสุดทาย อันไดแก ยุคทศวรรษที่ 3 ของ CBR เมื่อ
CBR เขยิบขึน้ มาเลนโจทยวจิ ยั ขนาดใหญไฟกะพริบเชนเรือ่ ง “ความเหลือ่ มลํา้
ทางสังคม” ซึ่งมีบรรดาผูเลนขาใหญ (เชนรัฐ) ไดดําเนินงานมากอนแลว
สําหรับ CBR นั้น แมวาโดยเนื้อในแลวจะสัมผัสกับปญหาความเหลื่อมลํ้า
อยูแ ลวในหลายๆ แงมมุ เชน กลุม เปาหมายของ CBR ก็คอื กลุม คน 40% ลาง
ที่ถูกผลกระทบจากความเหลื่อมลํ้ามากที่สุด และเปาหมายแบบแฝงๆ
52 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
ภาคีเปน ภาคีเปน
แคผูชวย เปาหมาย
ภาคีเปน
ภาคีเปน ผูอํานวย
เจาภาพ ภาคีเปน ความ
ผูรวมมือ สะดวก
บทบาทของภาคี
ดานหัว ดานกอย
การทํางาน
“การขอความรวมมือ การมุงความเปลี่ยนแปลง
กับภาคี
จากภาคี” ของภาคี
และในทั้ง 2 ดานของการทำงานกับภาคีนี้ก็จะเขามาเกี่ยวของ
โดยตรงกับเรื่องการใชประโยชนจากงานวิจัย CBR กลาวคือ ในดานหัว
การขอความร ว มมื อ จากภาคี นั้ น ภาคี ส ามารถจะเข า มาช ว ยในเรื่ อ ง
การใชประโยชนจากงานวิจยั ไดโดยตรงในชวงขยายผล เชน หลังจากบริหาร
จัดการเรื่องการทองเที่ยวในชุมชนไดแลว โรงเรียนในชุมชนอาจจะนำ
ผลการวิ จั ย ไปต อ ยอดด ว ยการช ว ยอบรมมั ค คุ เ ทศก น อ ยในโรงเรี ย น
ในสวนของดานกอย เมื่อภาคีมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ภาคีก็จะสามารถ
ทำหนาที่เปนหนวยงานที่ใชประโยชนจากงานวิจัยไดตอไป เชน เมื่อ อบต.
เขาใจวิธีการสรางอาชีพใหแกผูสูงอายุบนฐานภูมิปญญาเดิมจากการรวม
ทำงานวิจยั CBR อบต. ก็จะนำเอาวิธกี ารสรางอาชีพดังกลาวไปเปลีย่ นแปลง
รูปแบบหรือแผนงานการสนับสนุนอาชีพแกผูสูงวัยของ อบต. ตอไป
โดยเฉพาะกระบวนการวัดผลลัพธใหมีมาตรฐานและมีความนาเชื่อถือ
มากยิ่งขึ้น เชน จากแตเดิมงาน CBR มักจะพูดถึงผลลัพธจากการทําวิจัย
อยางลอยๆ แบบบานๆ วา “ทําวิจัย CBR จบแลวชาวบานเกงขึ้น ดีขึ้น”
แตในทศวรรษที่ 3 CBR จะตองลงรายละเอียดวา ทีว่ า “ชาวบานเกงขึน้ นัน้ ”
“เกงในดานไหน ใชอะไรเปนตัวชีว้ ดั และมีหลักฐานประกอบตัวชีว้ ดั อยางไร”
ดวยเหตุนี้ ในทศวรรษที่ 3 นี้ CBR จึงเสริมโหงวเฮงความ
นาเชื่อถือของผลงานดวยการศึกษาและจัดทําตัวชี้วัด รวมทั้งเก็บขอมูล
หลักฐานเชิงประจักษใหมากขึน้ กวาเดิม ในกระบวนการจัดทําตัวชีว้ ดั นี้ CBR
ไดพยายามรักษา DNA ของตนเองเอาไว เชน แสวงหาวิธกี ารสรางตัวชีว้ ดั
แบบมีสว นรวม (ทองคาถาควบ 2 ขอ คือ ขอ 2 และขอ 5 ไปพรอมๆ กันดวย)
หรือการใชประโยชนจากตัวชี้วัดในแบบ Multi-function เชน ใชตัวชี้วัดเปน
“กระจก” ส อ งสถานะ Check-in งานที่ กํ า ลั ง ทํ า อยู ใช ตั ว ชี้ วั ด เป น
“เข็มทิศ” นําทางการออกแบบกิจกรรมใหมๆ และใชตวั ชีว้ ดั เปน “ไมบรรทัด”
เพื่อเปรียบเทียบผลงานที่ทําไดจริงกับผลงานที่คาดหวังเอาไว เปนตน
2
ปัจจัยเอื้ออํานวย
RU ของ CBR
สวนที่ 2 • ปจจัยเอื้ออํานวยเรื่องการใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น 59
นักวิจัย=ผูใชประโยชนคนใน/เจาของปญหา
1
ปจจัย
นิเวศทางการวิจัย 5 เอื้ออํานวย 2 RU ไดตลอดสายน้ํา
ระบบบริหารจัดการ RU-CBR (ตน-กลาง-น้ํา)
4 3
3 แบบแผนของ RU-CBR งานวิจัยแบบ “ยาชุด” (ชุดโครงการ)
สวนที่ 2 • ปจจัยเอื้ออํานวยเรื่องการใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น 61
สําหรับปจจัยเอื้ออํานวยแรก ก็คือการที่นักวิจัยและผูใชประโยชน
เปนคนคนเดียวกัน ซึ่งตอเนื่องมาจากคาถาขอที่ 2 ของ CBR ที่เนนเรื่อง
“กระบวนการมีสว นรวมของชาวบาน/คนกลุม ตางๆ ในพืน้ ที”่ โดยมีรปู แบบ
สูงสุดของการมีสวนรวม คือ มารวมเปน “นักวิจัย” เองเลย
ในปจจัยที่ 1 นี้ มีแงมุมที่นาจะพิจารณาดังนี้
ที่มาของแนวคิด
1
3
2 รูปแบบยอย RU ใน CBR
4.1 ที่มาของแนวคิด
4.2 แบบแผนต้นฉบับของการใช้ประโยชน์จากงานวิจัยทั่วไป
นักวิจัย USERS
ผูใชประโยชนกลางทาง
(Value creation)
ชุมชนไดใชประโยชนทันที ผูใชประโยชนกลางทาง
จากภาพ ในรูปขางบนนั้นจะเปนภาพแบบฉบับการใชประโยชน
จากงานวิจัยทั่วๆ ไป ที่จะมีการแยกระหวาง “ฝายทําวิจัย” ซึ่งมักจะไดแก
นั ก วิ ช าการในสถาบั น การศึ ก ษา หรื อ นั ก วิ จั ย ในหน ว ยงานของรั ฐ
กั บ อี ก ฝ า ยหนึ่ง คือ “ฝ ายใชป ระโยชนจากงานวิจัย ” ซึ่งมัก จะได แ ก
เจาหนาที่จากหนวยงานรัฐ ภาคธุรกิจ ภาคนโยบาย ภาคประชาชน ฯลฯ
โดยที่ระหวาง 2 ปลายขั้วนี้ ก็อาจจะมี “กลุมผูใชประโยชนที่อยูกลางทาง”
ที่จะเพิ่มมูลคาของงานวิจัยดวยการนําไปใชประโยชนในรูปแบบตางๆ
ทีเ่ รียกวา “การเพิม่ มูลคาของงานวิจยั ” (Value creation) ดังตัวอยางในภาพ
64 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
ผูใชประโยชนกลางทาง
(Value creation)
ตัวอยางเชน ในการสงมะมวงออกไปขายในตลาดตางประเทศ
เนื่องจากระยะทางที่จะขนสงนั้นหางไกล หากเปนมะมวงเปลือกบาง
ธรรมดาแบบที่ขายภายในประเทศ กวาจะถึงมือผูบริโภคในตางประเทศ
มะมวงจะชํ้าเพราะการขนสงหลายทอด ดังนั้นหวงโซการวิจัยจึงเริ่มตนที่
นักวิชาการดานการเกษตรที่จะตองพัฒนาพันธุมะมวงที่มีเปลือกหนา
เป น พิ เ ศษ หลั ง จากได ผ ลการวิ จั ย แล ว นั ก วิ ช าการก็ จ ะทํ า การอบรม
การเพาะพั น ธุ ม ะม ว งเปลื อ กหนาให แ ก เ กษตรอํ า เภอ (เจ า หน า ที่ รั ฐ )
เปนผูใชประโยชนคนแรก ตอจากนั้นเกษตรอําเภอก็จะถายทอดความรู
ตอใหแกเกษตรกรผูปลูกมะมวงสงออกเปนผูใชประโยชนคนที่ 2 หลังจาก
มะมวงเปลือกหนาออกผลแลวก็ถูกสงตอถึงมือบริษัทสงออกผลไมซึ่งเปน
ผูใชประโยชนคนที่ 3 และคนสุดทายที่ไดใชประโยชนจากผลการวิจัยก็คือ
ผูบริโภคมะมวงในตางประเทศ
เรียนวิจัย ลงมือทําวิจัย
มากอน ภายหลัง
ทําไป
เสริม ทําไป
เพิ่มเติม
ระหวาง
ทาง เรียนรูไป
เรียนรูไป
ความรูในประเด็น/เนื้อหาที่ศึกษา
(Content)
1
ชุดความรูพื้นฐาน
ที่จําเปนของ CBR
(Triple bottom line)
3 2
ความรูเรื่องการบริหารจัดการโครงการ ความรูเรื่องวิธีวิทยาการวิจัยแบบ CBR
(Project management) (CBR methodology)
70 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
RU ไดตลอดสายน้ํา CBR
RU ตนน้ํา
RU กลางน้ํา
RU ปลายน้ํา
RU
RU แบบบริหารจัดการ
ตามแบบธรรมชาติ
5.1 การใช้ประโยชน์งานวิจัยตั้งแต่ต้นนํ้า
โครงการวิจัยครั้งนี้ การใชประโยชนจากกระบวนการวิจัยตั้งแตตนนํ้าเลย
ก็คือ การรูจัก “คนบานใกลเรือนเคียง” กันใหดีขึ้น และในขั้นตอมาก็คือ
“การกระชั บ ความสั ม พั น ธ ค นในพื้ น ที่ เ ดี ย วกั น ให แ น น แฟ น มากขึ้ น ”
ผลสืบเนื่องจากการมีทมี วิจัยที่เปนทั้งมือบน มือกลางๆ และมือลางเชนนี้
ทําใหเกิดทางเลือกหลายๆ ทางทีเ่ ปนจริงในการลดความเหลือ่ มลํา้ ทีค่ นกลุม
40% ลางไดรับอยู ในการเขาถึงสวัสดิการกองทุน
5.2 การใช้ประโยชน์งานวิจัยช่วงกลางนํ้า
ในเรื่องการใชประโยชนจากงานวิจัยในชวงกลางนํ้านั้น สําหรับ
งานวิจัย CBR แลวตองถือวา “เปนทาบังคับใหตองมีการใชประโยชน
ตรงจุดกลางทางนี้” อยูแลว เพราะหากพิจารณาดูจาก DNA ขั้นตอนการ
ทํางานวิจัยของ CBR ก็จะพบวาไดฝงสลัก “ขั้นตอนการออกแบบกิจกรรม
หรือการแกปญหา” (ขั้นตอนที่ 6) เอาไวในหวงโซ DNA อยูแลวดังในภาพ
ตัวอยางงานวิจัยที่จะยกมานําเสนอนี้จึงเปนแบบฉบับโดยทั่วไป
ของงานวิจัย CBR เกือบจะทุกชิ้นที่จะมีลักษณะเชนนี้ เชน งานวิจัยเรื่อง
“การบริหารจัดการนํา้ ลําหวยสาขาเพือ่ การปลูกพืชหลังนาโดยการมีสว นรวม
ของชุมชนบานกุดประทาย และบานกุดเจริญ ตําบลกุดประทาย อําเภอ
เดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี” (เสฎฐวุฒิ กลิ่นบัว, 2563)
จุดเจ็บของโครงการเริม่ มาจากขอเท็จจริงวา ในพืน้ ทีศ่ กึ ษา 2 ชุมชนนัน้
ในชวงฤดูทํานาที่ใชนํ้าฝนและนํ้าจากลําหวยก็จะมีปริมาณนํ้าที่เพียงพอ
แตทวาในชวงฤดูแลง เมื่อจะมีการปลูกพืชหลังนาจะเริ่มพบวาชุมชนมีนํ้า
ไมเพียงพอตอการปลูกพืช และจากการวิเคราะห “รูปแบบการบริหารจัดการ
นํ้าชวงกอนทําโครงการ” ทีมวิจัยก็ไดขอคนพบวา เกษตรกรยังขาดรูปแบบ
การบริหารจัดการนํ้าใหเหมาะสมและเพียงพอตอพืชปลูกหลังนา เชน
ไมมีการทําบอพักนํ้า หรือมีคาใชจายในการสูบนํ้าสวนตัวที่สูงมากจน
ไมคุมคาการผลิต เปนตน
76
ขั้นตอนการวิจัยแบบ CBR
1 แสวงหาตัวนักวิจัย
ฐานคิด / วิธีคิด กิจกรรมเสริม
2 (ก)
การพัฒนาโจทยวิจัย ประเภท
กิจกรรมเสริม ของ ลักษณะ / ธรรมชาติ
หลักการ งานวิจัย แบบสองดาน
3 การออกแบบวิจัย (ทวิลักษณ)
การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
กิจกรรมเสริม (ข)
4 การทําความเขาใจรวม ประเด็น
ของ มีกรอบ
งานวิจัย (Frame)
กิจกรรมเสริม
5 การจัดการขอมูล ยืดหยุน
(ค) (Flexibility)
• โจทยตองมาจากชุมชน กิจกรรมเสริม สาขาวิชาการ
• การมีสวนรวม 6 การใชประโยชนจากขอมูล ของ
• คิดกิจกรรมบนฐานขอมูล งานวิจัย
(วัดตัว ตัดเสื้อ) กิจกรรมเสริม
• กอนทํา ตองคิด 7 การถอด / สรุปบทเรียน
คิดแลว ทําได
สลับขั้นตอนได 1 4 อาจมีขั้นตอนแทรกตามความจําเปน
ผานแตละขั้นตอนไดหลายครั้ง / กลับไปกลับมา 2 3 บางขั้นตอนอาจยุบยวบ
ความยืดหยุน
สวนที่ 2 • ปจจัยเอื้ออํานวยเรื่องการใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น 77
กระบวนการศึกษาเปนไปตามหลักการศึกษาเรือ่ งการบริหารจัดการนํา้
กลาวคือ เริม่ ตนดวยการศึกษาดาน Supply เสียกอน ไดแก การศึกษาสภาพ
แหลงน้ำธรรมชาติและตรวจสอบภูมปิ ระเทศในบริเวณทีจ่ ะพัฒนาแหลงน้ำ
ใหถูกตอง เพื่อนำมาสูการพิจารณาดาน Demand วาควรจะปลูกพืช
ประเภทใดใหเหมาะสมกับพืน้ ทีแ่ ละปริมาณน้ำทีม่ อี ยูใ นชวงฤดูแลง รวมทัง้
ควรจะพัฒนาแหลงน้ำประเภทใด/อยางไร จึงเปนโจทยของการวิจัย
หลังจากเก็บและวิเคราะหขอมูลเรียบรอยแลว ภารกิจขั้นตอไปก็คือ
การใชประโยชนจากขอมูลทีเ่ ก็บมาไดเพือ่ วางแผนวา “ควรจะมีการเกาตรง
ที่คันตรงไหน” และไดลงมือทดลองปฏิบัติตามแผนกิจกรรม 6 กิจกรรม
ซึ่งถือไดวาเปนการใชประโยชนจากขอมูลการวิจัยในชวงกลางนํ้า คือ
(i) การจัดตัง้ กลุม ในการใชนาํ้ เพือ่ บริหารจัดการนํา้ ในระดับโซนพืน้ ที่
(ii) การจัดโซนการปลูกพืชใหเหมาะสมกับพื้นที่และปริมาณน้ำ
(iii) ทำฝายชะลอน้ำในลำหวย
(iv) ซอมแซมฝายที่มีอยู
(v) วางแผนจัดทำธนาคารน้ำใตดนิ บอเปด พรอมทัง้ กอตัง้ คณะกรรมการ
บริหารจัดการลำหวยอีก 6 คณะ เพือ่ ดูแลและบริหาร มีการสรางกฎระเบียบ
กติกาการใชน้ำในแตละโซน
(vi) มีการรณรงคใหทุกสวนของชุมชนรูถึงคุณคาของน้ำ และใช
อย า งพอประมาณและมี เ หตุ ผ ล เพื่ อ ให ท รั พ ยากรน้ ำ มี ใช อ ย า งทั่ ว ถึ ง
เกิดประสิทธิภาพอยางเต็มที่ มีความสมดุลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ
กลาวโดยสรุปคือ การแกไขจุดเจ็บของโครงการน้ำดวยการใชประโยชน
จากงานวิจยั ในชวงกลางน้ำนีด้ ำเนินไปอยางครบวงจร 3 วงจรของการบริหาร
จัดการน้ำ คือ ทั้งจัดหาและพัฒนา ทั้งจัดสรรและใช รวมทั้งอนุรักษและ
ฟนฟูแหลงน้ำใหคงอยูและมีใชอยางยืนยาว
78 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
5.3 ตัวอย่างของการบริหารจัดการงานวิจัยแบบตลอดทั้งสายธาร
ทีมวิจัยไดเขามาจัดระบบเพื่อใหเขาตรงสูเปาหมายคือ RU มากยิ่งขึ้น
กิ จ กรรมในขั้ น ตอนการเผยแพร เ พื่ อ การใช ป ระโยชน จ ากงานวิ จั ย จึ ง มี
หลากหลายรูปแบบ เชน
(i) การจัดอบรมปฏิบัติการกับกลุมสนใจเฉพาะ เพื่อใหกลุมนี้ได
นําไปใชประโยชนไดจริงๆ
(ii) การจัดประชุมทางวิชาการ ซึ่งเปนการใชประโยชนทางวิชาการ
ในรูปแบบที่เขมขน
(iii) การตีพิมพบทความลงวารสารวิจัย
(iv) การจัดทําเว็บไซตเพื่อเผยแพรแกสาธารณชนทั่วไป
ปัจจัยเอื้ออํานวยที่ 3: การออกแบบงานวิจัย
6 แบบ “ยาชุด/ชุดโครงการ”
จากการประมวลปญหาและอุปสรรคทีท่ าํ ใหไมสามารถนําผลการวิจยั
ไปใชประโยชนได สกว. ไดขอคนพบวามีอยูหลายขอที่เกี่ยวกับลักษณะ
ที่กระจัดกระจายของตัวงานวิจัยแตละโครงการเอง (Project) เชน สุธรรม
อารีกุล (2543, อางใน การวิจัยไทย, 2547) พบสาเหตุสําคัญเกี่ยวกับ
ตัวงานวิจัยที่มีลักษณะเปน “โครงการ” ดังนี้
• งานวิจัยแบงยอยและกระจายมากไป ทําใหผลงานวิจัยที่ผลิต
ออกมาเป น ส ว นเสี้ ย วเล็ ก ๆ และแต ล ะส ว นไม ส มบู ร ณ พ อที่ จ ะนํ า ไป
ใชประโยชนได
• ผลงานวิจัยใชไดเหมาะสมเฉพาะพื้นที่เทานั้น แตนําไปประยุกต
ใชในพื้นที่อื่นๆ ไมได
80 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
เรื่องความตองการใชนํ้าในหลายรูปแบบ สวนโซนปลายนํ้าจะมีปญหาขยะ
ปญหานํ้าเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมตามลักษณะของชุมชนแบบเมือง
และปญหาตลอดทัง้ สายนํา้ นัน้ ก็มคี วามเชือ่ มโยงถึงกันแบบหยิกเล็บ
ก็เจ็บถึงเนือ้ เชน หากปาตนนํา้ ถูกทําลายอยางรุนแรงจนไมมนี าํ้ โซนกลางนํา้
และปลายนํ้าก็จะพบกับปญหานํ้าแลงหรือนํ้าทวม นํ้าเซาะตลิ่งพัง ฯลฯ
ตามไปดวยอยางแนนอน
ดวยเหตุนี้ ในชุดโครงการนีจ้ งึ ออกแบบใหมโี ครงการยอย 4 โครงการ
คือ โครงการวิจัยตนนํ้า โครงการกลางนํ้า โครงการปลายนํ้า และโครงการ
กลไกประสานทั้ง 3 พื้นที่ สวนวิธีการดําเนินโครงการนั้น ทั้ง 4 โครงการ
จะเดินไปพรอมๆ กันและกอดคอรวมกันโดยตลอด ตั้งแตชวงรวมกัน
พัฒนาโจทย แลกเปลี่ยนขอมูลของแตละพื้นที่ เขารวมการทํากิจกรรม
บางอยางดวยกัน เปนตน
รูปแบบที่ 2: การจัดการชุดโครงการในเชิงประเด็น ตัวอยางเชน
ชุดโครงการเรือ่ ง “การจัดการความรูพ ลังงานทางเลือกเพือ่ ลดความเหลือ่ มล้ำ
ชุมชนทองถิ่นสุรินทร” (ปรีชา สังขเพ็ชร และปยศักดิ์ สุคันธพงษ, 2564)
จุ ด เริ่ ม ต น ของงานวิ จั ย ชิ้ น นี้ เ ริ่ ม จากที ม วิ จั ย ซึ่ ง เป น ที ม พี่ เ ลี้ ย งของ
ศูนยประสานงานวิจยั เพือ่ ทองถิน่ จังหวัดสุรนิ ทร ทีไ่ ดมปี ระสบการณคลุกคลี
กับงานวิจยั พลังงานทางเลือกมายาวนานนับ 10 ป และมีเงือ่ นไขเอือ้ อำนวย
เนื่องจากเรื่องพลังงานทางเลือกนั้นเปนวาระของจังหวัด ในระหวางป
พ.ศ. 2560 ทีมวิจยั เก็บขอมูลพบวา ชุมชนมีคา ใชจา ยดานพลังงานทัง้ สำหรับ
การดำเนินชีวติ ประจำวันและในระบบการผลิตสูงขึน้ ทุกป และแมวา จะเริม่
มีหนวยงานของรัฐริเริ่มการใชพลังงานทางเลือกในหลายๆ รูปแบบ เชน
เตาชีวมวล พลังงานโซลารเซลล ฯลฯ แตทวาประชาชนสวนใหญในชุมชน
ก็ยังมีปญหาเรื่องการเขาถึงหรือการใชอยางตอเนื่อง
ชุดความรูจ ากประสบการณทผี่ า นมาของทีมพีเ่ ลีย้ ง ทําใหทมี วิจยั ได
ขอสรุปวา หากจะมีการจัดการปญหาเรื่องการใชพลังงานทางเลือกให
สวนที่ 2 • ปจจัยเอื้ออํานวยเรื่องการใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น 83
ครบสูตรใหครบวงจรแลว ทางโครงการจะตองออกแบบโครงการยอย
ใหครบชุดใน 4 ประเด็น คือ เรื่องกลไกการจัดการพลังงานชุมชน (เชน
มี ค ณะทํ า งานเรื่ อ งพลั ง งานชุ ม ชนในทุ ก ระดั บ ) การพั ฒ นานวั ต กรรม
เทคโนโลยีทางเลือกที่เหมาะสม (ซึ่งเปนประเด็นเชิงเทคนิคที่ตองพัฒนา
อยางตอเนื่องอยูแลว) การจัดการพลังงานในระบบเกษตรกรรมยั่งยืน
(เชน การแปลงเครื่องมือทางการเกษตรที่ใชโซลารเซลลแบบตั้งอยูกับที่ให
เปนแบบ Mobile เพือ่ จะนําไปใชในไรนาไดสะดวก) และการบูรณาการแผน
พลังงานทางเลือก (เชน การมีแผนเรื่องพลังงานทางเลือกใหครบวงจร
ตั้งแตการประดิษฐสราง การประยุกตใช การติดตั้ง การมีกลุมชางซอมแซม
การคํานวณตนทุนและรายจายที่ลดไป ฯลฯ)
ดังนั้นในชวงระหวางป พ.ศ. 2560–2563 พี่เลี้ยงศูนยประสานงาน
วิจยั เพือ่ ทองถิน่ จังหวัดสุรนิ ทร จึงไดรว มมือกับเครือขายในการดําเนินงาน
ในลักษณะชุดโครงการที่ครอบคลุมทั้ง 4 ประเด็นของพลังงานทางเลือก
ของชุมชนในขอบเขต 9 ตําบลที่ศึกษา
รูปแบบที่ 3: การจัดการชุดโครงการในเชิงกาลเวลา ตัวอยางเชน
งานวิจัยในชุดโครงการการจัดการภัยพิบัตินํ้าทวมในจังหวัดอุบลราชธานี
(ทั พ ไท ชุ ม นาเสี ย ว, 2563) พื้ น ที่ ที่ ศึ ก ษาเป น บริ เวณที่ แ ม นํ้ า โขงและ
แมนํ้ามูลมาบรรจบกันเปนชวงปลายนํ้า ดังนั้นในฤดูนํ้าหลาก บริเวณนี้
จึงกลายเปนพื้นที่ที่มีนํ้าทวมอยางเปนประจําและซํ้าซากอยางแทบจะ
ไมอาจหลีกเลี่ยงได
งานวิ จั ย เกี่ ย วกั บ การบริ ห ารจั ด การภั ย พิ บั ติ นํ้ า ท ว มนี้ มี ตั ว แปร
ที่เขามาเกี่ยวของกับตัวปญหาและวิธีการแกปญหาอยูหลายตัวแปร เชน
ตัวแปรแรกเปนเรือ่ ง “ชวงระยะเวลา” (Periodization) ซึง่ อาจจะแยกไดเปน
2 ชวงเวลา คือ ชวงเวลาปกติ–นํ้ายังไมทวม (Normal period) และชวงเวลา
วิกฤต–ชวงที่มีนํ้าทวม (Crisis period) ซึ่งการศึกษาวิจัยจะตองดําเนินการ
ใหครบชุดทั้ง 2 ชวงเวลา
84 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
ปัจจัยเอื้ออํานวยที่ 4: 3 แบบแผนทางเลือกของ
7 สิ่งที่จะนํามาใช้ประโยชน์จาก CBR
โดยทั่วไปเมื่อพูดถึงเรื่องการใชประโยชนจากงานวิจัย ความเขาใจ
สวนใหญของคนทัว่ ไปก็มกั จะเขาใจวาเปนการใชประโยชนจาก “ผลงานวิจยั ”
หรือพูดอีกอยางหนึ่งวา เปนการใชประโยชนดานเนื้อหาของการวิจัย
หากอุปมาอุปไมยกับการใชประโยชนจากตนทุเรียน ก็คอื การเก็บผลทุเรียน
มากินนั่นเอง
แตจากประสบการณของ CBR ไดมีขอคนพบวา นอกเหนือไปจาก
การใชประโยชนดา นเนือ้ หาจากผลการวิจยั แลว การใชประโยชนจากงานวิจยั
CBR ยังเปนเสมือนการใชประโยชนจากสมุนไพร คือมีหลายทางเลือก
ของสิง่ ทีจ่ ะนํามาใชประโยชน เริม่ ตัง้ แตเอาสมุนไพรทัง้ ตนมาตมนํา้ กิน หรือ
เด็ดเอาเฉพาะผลมาใช หรือเอาใบ เอาแตราก เอาแตเปลือกมาใช เปนตน
ในที่นี้จึงจะขอเสนอทางเลือกของสิ่งที่จะนํามาใชประโยชนจาก
งานวิจยั CBR อยางนอย 3 แบบแผน โดยเทียบเคียงกับคําศัพทดา นฟุตบอล
ดังแสดงในภาพ
ใชผลการวิจัย
1 ลูกเต็ม มาทําวิจัย CBR เอง
3
แบบแผน 2 ลูกครึ่ง เอากระบวนการวิจัยแบบ CBR ไปใช
RU-CBR
นี่เปนกรณีตัวอยางของการนํากระบวนการวิจัยแบบ CBR ไป
ใชในภารกิจประจําของกลุมผูใชประโยชนที่เรียกวา “เปนการใชประโยชน
แบบลูกครึ่ง” ซึ่งกรณีของบริษัทปูนซิเมนตไทย จังหวัดลําปาง ที่ยกมาพูด
ถึงนัน้ ก็มใิ ชกรณียกเวน เพราะจากเอกสารบันทึกเรือ่ งการเขามารวมทํางาน
วิจยั CBR ของหนวยงานรัฐทองถิน่ เชน อบต. หรือเทศบาล (ดูรายละเอียด
ใน อบต. แนวใหม ใชวจิ ยั นําการพัฒนา สกว., 2549) เจาหนาทีห่ นวยงาน
รัฐทองถิ่นสวนใหญก็ระบุวา แมวาเมื่อกลับไปที่หนวยงานแลวจะไมไดทํา
เปนโครงการวิจัย แตก็ไดประยุกตเอา “กระบวนการทํางานแบบ CBR”
เขาไปใชในการทําภารกิจของตน
คนที่มีความรูความเขาใจ
1
องค 3
ของ
กระบวนการ
ทํางาน CBR
ระบบนิเวศ/โครงสราง 2 3 เครื่องมือชวยการทํางาน
8 ปัจจัยเอื้ออํานวยที่ 5: ระบบนิเวศของการวิจัย
มีการตั้งฝายงาน RU
ขึ้นมาเปนการเฉพาะ การขยายเพิ่มความหมาย
13
1 ของคําวา “การวิจัย”
มีการจําแนกประเภท RU
อยางชัดเจน 12
การขยายเพิ่ม
2
มีมาตรการกระจายความรู เปาหมายของการวิจัย
สูกลุมเปาหมายตางๆ 11
ในหลายชองทาง
3 การเปดโอกาสให
สรางสิ่งอํานวยความสะดวก ระบบนิเวศ นักวิจัย = ผูใชประโยชน
ในการเขาถึงผลการวิจัย 10 ที่เอื้ออํานวย
ตอ RU การจัดใหมีระบบพี่เลี้ยง
4
ใน สกว. และศูนยประสานงานฯ
การผสมผสาน
กระบวนการวิจัยกับ RU 9
การมีระบบบริหารที่ยืดหยุน
ใหอยูในเนื้อเดียวกัน 5 ตองานวิจัย CBR
(เชน ลดทอนความเขมงวด
8 เรื่องรูปแบบการเขียน
การจัดใหผูใชประโยชน
เขารวมกระบวนการ รายงานวิจัย)
6
ตั้งแตตนทาง 7
มีระบบงบประมาณและ การมี ผูทรงคุณวุฒิเปน
การติดตามผลที่ยืดหยุน กลไกกํากับและหนุนเสริม
|| คุณภาพงานวิจัย
คํานึงถึงวิถีของชุมชน ตลอดเสนทาง
(เชน ฤดูกาล)
ส่วนที่
3
เครื่องมือและรูปแบบ
RU ใน CBR
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 93
ดังไดกลาวมาแลวในขางตนวา การคาดหวังผลลัพธของการทํางาน
วิจัย CBR นั้น นอกจากความคาดหวังที่จะแกไขปญหาตางๆ ของชุมชน
ใหลุลวงไปไดแลวในเบื้องแรก (หวังวาจะได “ของ”) CBR ก็ยังตั้งเปาหมาย
ที่จะพัฒนาศักยภาพของ “คนทําวิจัย” ไปพรอมๆ กัน (หวังวาจะได “คน”)
และวิธีพัฒนาศักยภาพคนที่ดีที่สุดนั้น Steve Jobs ก็ไดเคยชี้แนะ
เอาไววา วิธีการพัฒนาศักยภาพของคนไดดีที่สุดนั้น ก็คือตองใหเครื่องมือ
(Tool) แกเขา ตัวอยางเครื่องมืองายๆ ในชีวิตประจําวันก็เชน เบ็ดตกปลา
เมื่อเราใหเบ็ดตกปลาแกคนคนหนึ่งนั้น เราก็จะเห็นฟงกชัน 2 ฟงกชัน
ของเครือ่ งมือนัน้ ฟงกชนั แรกเมือ่ คนคนนัน้ เริม่ ลงมือใชเบ็ดตกปลา เราก็จะ
94 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
CBR Tool
เกณฑ : Stage การวิจัย
เวทีพัฒนาโจทย/LogFrame/Outcome mapping
Stakeholder analysis
ก ชวงตนน้ํา สํารวจทุนชุมชน/ทําเนียบผูรู
(ตั้งโจทย) เวทีเสวนา AIC
แผนที่ชุมชน
Mind Map
Timeline
ข ชวงกลางน้ํา สัมภาษณแบบ PAR
จัดระบบขอมูล เครื่องมือวิเคราะห-สังเคราะห
คิดกิจกรรม แบบบมีสวนรวม
Change analysis ปฎิทินฤดูกาล
ค ชวงปลายน้ํา FSC.
คืนขอมูล
สรุปบทเรียน
PAR ในระดับตางๆ
1
Com. 4 RU 5 2 การวิเคราะห
Stakeholder
AAR
(After Action Review) 4 3 การคืนขอมูล
การถอดบทเรียน/สรุปบทเรียน
เครื่องมือสรางการมีสวนรวมนี้เปนเครื่องมือที่งานวิจัยทั่วๆ ไปก็ได
นํามาใชในขั้นตอนตางๆ ของการวิจัย เชน ขั้นตอนการพัฒนาโจทย
ขั้ น ตอนการเก็บขอ มูล หรือ ขั้ นตอนการลงมื อดํา เนินการแกไขป ญหา
อยางไรก็ตาม งานวิจัย CBR ก็มีแนวคิดและวิธีการใชเครื่องมือชิ้นนี้อยาง
วิจิตรพิสดารมากพอสมควร ในฐานะที่เครื่องมือนี้เปนคาถาขอที่ 2 ของ
CBR (ดูรายละเอียดใน กาญจนา แกวเทพ, การมีสวนรวม: คาถาขอที่ 2
ของงานวิจัยเพื่อทองถิ่น, 2565)
96 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
9.2 เครื่องมือการวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้เสีย
(Stakeholder Analysis: SH)
“โครงการเครือขายเกษตรกรและผูผลิตเกษตรอินทรีย”
ตารางความสัมพันธระหวางความสนใจและการมีอิทธิพล
Interest-Influence Grid
A B
สนใจมาก/มีอิทธิพลนอย สนใจมาก/มีอิทธิพลมาก
C D
สนใจนอย/มีอิทธิพลนอย สนใจนอย/มีอิทธิพลมาก
A B
เกษตรรายยอย ผูใชแรงงาน องคกรภาครัฐ นักการเมือง
C D
พอคาคนกลาง ธนาคารผูใหกูยืม สื่อมวลชน
High
Manage Prioritze
(จัดการผลกระทบทางลบที่อาจเกิดขึ้น (เนนการมีสวนรวมในทุกกระบวนการ
สงเสริมการมีสวนรวม สื่อสารตอเนื่อง บริหารจัดการ ความคาดหวัง
เพื่อสรางความรวมมือที่ดี) สรางความสัมพันธที่ดี)
4 1
Interest
Inform Monitor
(แจงความคืบหนาใหทราบ (รับทราบและตอบสนองความตองการ
เปนชวงๆ) และขอกังวลเทาที่ทําได ติดตามและ
Low ติดตอสื่อสารอยางใกลชิด)
3 2
Low Influence High
104 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
Direct beneficiary
ผูไดประโยชนโดยตรง
Champion End user
ผูนํา ผูใชคนสุดทาย
2
1 3 Indirect beneficiary
ผูไดผลประโยชนทางออม
4
วิธีแบงประเภท
Multiplier 11 Actors ของ 5 Victim
ผูขยายผล Stakeholder ผูไ ดรบั ผลกระทบทางลบ
Analysis
10 6
Influencer
ผูมีอิทธิพลทางความคิด Implementer
9 7 ผูดําเนินการ
8
Sponsor Blocker
ผูอุปถัมภ ผูเปนอุปสรรค
Gatekeeper
ผูควบคุมทรัพยากร
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 105
9.3 เครื่องมือการคืนข้อมูล
ชาวบาน/ กลุมคนอาน
กลุมผูให ใหสัมภาษณ นักวิจัย/
รายงาน
ขอมูล กรอกแบบสอบถาม นักวิชาการ
การวิจัย
108 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
ใหสัมภาษณ นักวิจัย
ชาวบาน/ จัดเวทีเสวนา
กลุมผูให
ขอมูล
รายงานขอมูล
คืนขอมูล
อยางไรก็ตาม กระบวนการคืนขอมูลนี้ก็ตองเปนกิจกรรม
ที่มีการออกแบบ (Designed activity) เพราะหากเปนกระบวนการที่ทําไป
ตามยถากรรม เชน นักวิจยั ทีเ่ ปนนักวิชาการทีล่ งไปทํางานในชุมชนทองถิน่
มักจะคืนขอมูลใหชุมชนดวยการสงเลมรายงานฉบับสมบูรณใหกับชุมชน
แตดวยธรรมชาติดานการสื่อสารของชาวบาน (ที่มีสถานะเปนผูรับสาร)
110 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
4. การคัดเลือก
+
2. กลุมเปาหมาย ออกแบบเนื้อหา
1. การกําหนด
วัตถุประสงค/
เปาหมาย
5. การคัดเลือก
+
ออกแบบ
3. ชวงเวลา กระบวนการ/
การคืนขอมูล รูปแบบ/ประเภท
สื่อที่ใช
ภาพวาดจํานวนมากมายหลายภาพ ทั้งภาพประวัติศาสตร
ของชุมชน ความอุดมสมบูรณของทรัพยากรธรรมชาติ ภาพเกีย่ วกับงานวิจยั
ฯลฯ ไดถูกนําไปติดตามจุดตางๆ ทั้งเพื่อบอกเลาเรื่องราวใหคนขางนอก
ที่มาเยี่ยมชมไดรับรู และก็ยังเปนเครื่องเตือนใจและปลูกสํานึกรักชุมชน–
รักสิ่งแวดลอมของคนในชุมชนเองดวย ซึ่งถือไดวาเปนเครื่องมือเชื่อมตอ
ที่นําไปสูการใชประโยชนจากงานวิจัยในหลายระดับ
จากประสบการณของผูเขียนที่ไดมีโอกาสลงไปเยี่ยมเยียน
พื้นที่ตางๆ ที่เคยมีการทําโครงการวิจัย CBR ก็ไดพบวา การเก็บบันทึก
ความรูหรือประวัติศาสตรของชุมชนเอาไวในภาพวาดขนาดใหญเชนกรณี
บานบางกลวยนอกนี้ มิใชขอยกเวน เพราะในหลายพื้นที่จะมีภาพของ
โครงการวิจยั CBR บาง ภาพของปราชญชมุ ชนบาง ภาพของประวัตศิ าสตร
ชุมชนบาง บันทึกเอาไวเปนภาพวาดขนาดใหญ และติดตั้งเอาไวหนา
หมูบานบาง หนาบานของผูใหญบานบาง ที่ศาลาประชาคมหรือที่วัด
ในชุมชน หากเห็นภาพประเภทนี้ ก็พอเดาไวไดกอนวาบานนี้คงนาจะผาน
มืองานวิจัย CBR มาแลวกระมัง
9.4 เครื่องมือการสรุปบทเรียน/การถอดบทเรียน
กอน หลัง
9.5 เครื่องมือการสื่อสารช่วยงาน RU
(แนนอนวาการแปลงแบบนี้ตองทําหลายตอหลายทอด) โดยคัดเลือก
ขอมูลสําคัญๆ สําหรับการทําอินโฟกราฟก เชน ขอมูลในเชิงตัวเลข ขอมูล
ในเชิงกระบวนการทําวิจัย และขอมูลของขอคนพบจากงานวิจัย และใช
ภาษาเขียนที่สื่อสารใหอานไดงาย หลีกเลี่ยงคําศัพทที่เปนวิชาการมากไป
ทีมวิจยั จะสงเอกสารสรุปนีใ้ หกลุม นักศึกษาเปาหมายไดคดั เลือก พรอมกับ
เอกสารประกอบอืน่ ๆ เชน ขอมูลในรูปแบบคลิปวิดโี อ และรายงานฉบับเต็ม
ตอจากนั้น ทีมวิจัยไดใชรูปแบบการประกวด โดยมีกลุมเปาหมาย
เปนนักศึกษาในระดับอุดมศึกษาทุกชั้นป ใหเลือกผลงานวิจัยที่ทีมวิจัย
คัดเลือกไวแลวสัก 1 เรื่อง จาก 100 เรื่อง (โดยเริ่มจากการอานเอกสาร
สรุปเนื้อหากอน แตนักศึกษาสวนใหญก็มักจะตามไปอานตนฉบับรายงาน
ผลงานวิ จั ย เองเมื่ อ จะลงมื อ สร า งสื่ อ ) แล ว นํ า เสนอเนื้ อ หาในรู ป ของ
อินโฟกราฟกที่เปนภาพนิ่งและแบบเคลื่อนไหว
ผลลั พ ธ ชั้ น ต น น า พอใจพอสมควร เพราะมี ผู ส นใจส ง ผลงาน
อินโฟกราฟก จํานวน 700 ผลงาน และโมชัน่ กราฟก 54 ผลงาน ตอจากนัน้
ทีมวิจยั ไดคดั เลือกผลงานทีม่ คี ณ ุ ภาพไปเผยแพรในแอปพลิเคชัน “แปลงราง”
ซึง่ เปนแอปพลิเคชันของ สกว. ทีจ่ ะมีการเชือ่ มตอกับหองสมุดอิเล็กทรอนิกส
ของ สกว. เพื่อผูที่สนใจจะสามารถดาวนโหลดไปใชงานไดตอไป
จากตัวอยางงานวิจยั ของการใชประโยชนจากงานวิจยั ดวยเครือ่ งมือ
การสื่อสารที่ไดกลาวมาแลว เมื่อ สกว. ไดจัดตั้งฝาย RU ขึ้นมาใน สกว.
ก็ ยิ่ ง มี ก ารสนั บ สนุ น การทํ า โครงการส ง เสริ ม งาน RU ด ว ยเครื่ อ งมื อ
การสื่อสารอีกหลายชุดในรูปแบบและวิธีการตางๆ กัน สําหรับงานวิจัย
เพื่อทองถิ่นนั้น มีการจัดทําชุดโครงการ “การใชประโยชนจากงานวิจัยดวย
เครื่องมือการสื่อสาร” (ดูรายละเอียดใน กาญจนา แกวเทพ และกําจร
หลุยยะพงศ, “การใชประโยชนจากงานวิจัยดวยเครื่องมือการสื่อสาร:
แนวคิดและบทสังเคราะห”, 2560) ซึ่งในชุดโครงการนี้ประกอบดวย
124 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
เมื่อเปรียบเทียบกระบวนการทํางานดานการตระเตรียมเนื้อหาของ
ผูสงสารของโครงการนี้กับงานวิจัยเรื่องอินโฟกราฟก (อริชัย และคณะ,
2561) ที่ไดกลาวมาแลว จะพบวาในโครงการนี้มีความเขมขนของการ
ตระเตรียมเนื้อหาความรูที่จะไปสื่อสารตออยางเอาจริงเอาจังมากกวา
หลายเทา เริ่มตั้งแตทีมวิจัยในโครงการยอยทั้ง 15 ชุด จะตองอานรายงาน
วิจัยฉบับเต็มที่จะเลือกไปสื่อสารตอแบบตองอานใหแตก ตองลงพื้นที่จริง
ตองตามลาหาตัวนักวิจัยทองถิ่นเพื่อซักถามถึง “เบื้องหนา เบื้องหลัง”
ของกระบวนการทําวิจยั คลายๆ กระบวนการทําสกูป สารคดีสนั้ ๆ เรือ่ งหนึง่
ส ว นรู ป แบบของการนํ า ส ง ความรู นั้ น ในขณะที่ ง านวิ จั ย เรื่ อ ง
อินโฟกราฟกไดกาํ หนดรูปแบบตายตัวเอาไวใหเลยวา ตองเปนกราฟกภาพนิง่
และโมชัน่ กราฟก แตทวาในงานวิจยั ชิน้ นีจ้ ะเปดปลายเอาไวเพือ่ ตอบโจทย
วิจัยวา จะสามารถนําสงในรูปแบบของอะไรไดบาง
ผลการวิจัยเบื้องตนเกี่ยวกับ “ประเภทของประเด็นของงานวิจัย
CBR” ทีถ่ กู คัดเลือกมาเปนตัวอยางนัน้ จะพบวามีอยู 3 กลุม ประเด็นใหญๆ
คือ
(ก) การวิจัยเพื่อการพัฒนากลุมคนที่ขาดโอกาส เชน คนพิการ
กลุมเด็กชาติพันธุ กลุมคนไรสัญชาติ กลุมผูสูงอายุ
(ข) การวิจัยเพื่อพัฒนาการเกษตรแบบครบวงจร ตั้งแตปรับปรุง
การผลิต พัฒนาการตลาด/ผูบ ริโภค การเผยแพรความรู (ศูนยเรียนรูเ กษตร
อินทรีย) และการสรางแบรนด
(ค) การวิจยั เพือ่ การบริหารจัดการทรัพยากร ทัง้ ทีเ่ ปนทรัพยากร
ธรรมชาติ เชน ปาและนํ้า ทรัพยากรที่เปนวัฒนธรรมชุมชน และทรัพยากร
ที่เปนฐานขอมูล
สวนผลการวิจยั ทีต่ อบโจทยหลักของโครงการวา เครือ่ งมือการสือ่ สาร
สามารถจะเลนบทเปนตัวชวยในงาน RU ไดอยางไรนัน้ ทางโครงการไดพบ
คําตอบวา การสื่อสารสามารถจะเลนไดอยางนอย 8 บทบาท ดังนี้
126 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
10 ตัวอย่างรูปแบบกิจกรรม RU–CBR
สําหรับในหัวขอสุดทายนี้ ผูเขียนจะขอยกตัวอยางรูปแบบหรือ
กิจกรรมการใชประโยชนทเี่ คยเกิดขึน้ จริงแลวในงานวิจยั เพือ่ ทองถิน่ จํานวน
2,000 กวาชิน้ ในรอบ 20 ปทผี่ า นมา ตัวอยางงานวิจยั ทีน่ าํ มายกตัวอยางนี้
มิใชเปนกรณียกเวน หากแตเปนแบบฉบับโดยทัว่ ไปของเรือ่ ง RU ในงานวิจยั
CBR
กอนที่จะถึงตัวอยาง RU แตละรูปแบบ ผูเขียนขอทวนความจําสัก
เล็ ก น อ ยเกี่ ย วกั บ ลั ก ษณะเฉพาะตั ว เรื่ อ งการใช ป ระโยชน จ ากงานวิ จั ย
เพื่อทองถิ่นที่ไดกลาวถึงมาแลวในตอนตน กลาวคือ งานวิจัย CBR นั้น
มักจะไมมีปญหาในการนําเอาการวิจัยไปใชประโยชน เนื่องจากถือกําเนิด
ขึ้นมาก็เพื่อภารกิจนี้อยูแลว อยางไรก็ตาม เนื่องจากในงานวิจัย CBR นั้น
นักวิจัยกับผูใชประโยชนเปนกลุมบุคคลเดียวกัน ดังนั้นการใชประโยชน
128 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
ในเบื้องแรก ประโยชนที่เกิดขึ้นจึงมักจะมีผูไดรับประโยชนเปนตัวนักวิจัย
ชุมชนหรือตัวชุมชนเองเปนสวนใหญ แตทวาประโยชนจากงานวิจัยนั้น
ก็มิไดหยุดอยูแตเฉพาะกลุมคนทําวิจัยนี้เทานั้น แตสามารถจะขยายผล
ออกไปถึงคนกลุมอื่นๆ เชน ภาคีของ CBR ได (ดูรายละเอียดตอไป)
สำหรับชวงเวลาของการใชประโยชนก็มิไดจำกัดวาจะตองเกิดขึ้น
หลังจากงานวิจยั เสร็จสิน้ แลวเทานัน้ หากทวาในงานวิจยั CBR นัน้ สามารถ
จะเก็ บ เกี่ ย วประโยชน ไ ปใช ไ ด ต ลอดทุ ก ช ว งขณะ ทั้ ง ต น น้ ำ กลางน้ ำ
และปลายน้ำ
และเมื่อใชกรอบมิติของการใชประโยชน 4–5 ดานที่ สกว. หรือ
สกสว. เคยระบุเอาไวก็จะพบวา งานวิจัย CBR 1 เรื่อง อาจจะตอบโจทย
เรือ่ งการใชประโยชนไดหลายดาน เชน เชิงพาณิชย เชิงนโยบาย เชิงวิชาการ
เชิงสังคม–วัฒนธรรม เชิงสาธารณะ แตทวาขอบเขตของการใชประโยชนนนั้
จะไมกวางขวางมากนัก เชน อาจจะเปนเพียงระดับชุมชนหมูบาน ตําบล
อําเภอ จังหวัด เพราะงานวิจยั CBR เปนงานวิจยั ขนาดจิว๋ ซึง่ คนทํางาน CBR
จะตองพยายามฝาขามขอจํากัดเรื่องขนาดที่เล็กนี้ เชน ตองมีการขยายผล
ไปในพื้นที่อื่นๆ หรือพยายามเขาสูนโยบายทองถิ่น เปนตน
แตแมงานวิจัย CBR จะไมสามารถนําไปใชประโยชนในแงของการ
สรางผลกระทบขนาดใหญได แตก็มีแงมุมอื่นๆ มาชดเชย เชน ผลลัพธที่
เปนผลประโยชนจากงานวิจยั นัน้ แมจะเล็ก แตกม็ สี ายโซของหวงโซผลลัพธ
ที่ยืดยาว รวมทั้งผลลัพธนั้นก็มักจะมีความยั่งยืนดวยเพราะเปนผลลัพธท่ี
ประคองดวย 2 มือ คือไดทงั้ “ของ” และไดทงั้ “คน” (ประมาณวา “รักนอยๆ
แตรักนานๆ” นั่นแหละ)
จากการกํ า หนดความหมายของ “คํ า หลั ก ต า งๆ (Keywords)
ที่เกี่ยวของกับการใชประโยชนจากงานวิจัยของสํานักงานคณะกรรมการ
สงเสริมวิทยาศาสตร วิจยั และนวัตกรรม (สกสว., 2564) ซึง่ ขอนํามาทบทวน
ณ ที่นี้อีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 129
1 เพื่อพัฒนา/ปรับปรุงกิจกรรม
Etc. 14
เพื่อการระดมทรัพยากร 13 2 เพื่อสรางหลักสูตรทองถิ่น
3
เพื่อสรางกลไกการ
เพื่อการสรางเครือขาย 12
ตัวอยางรูปแบบ/ จัดการของชุมชน
กิจกรรม
เพื่อการสราง 11 การใชประโยชน 4 เพื่อเสริมความเขมแข็ง
และพัฒนาพี่เลี้ยง ของกลุม
จากงานวิจัย
CBR 5 เพือ่ เพิม่ พูนมูลคาและ
เพื่อนําไปขยายผล 10 พัฒนาผลิตภัณฑ
6 เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
9
เพื่อสรางโมเดลแบบจําลอง 7 เพื่อสรางศูนยเรียนรู/แหลงเรียนรู
8
เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย
130 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
RU ในรูปแบบนี้เกิดขึ้นไดเพราะธรรมชาติแบบหัวกอยของ CBR
กลาวคือ ดานหัว CBR เปนงานวิจัยที่เกิดขึ้นเพราะมีปญหา (Problem-
oriented) ดังนัน้ งานวิจยั จึงจะศึกษาปญหาและสาเหตุตา งๆ ใหทะลุปรุโปรง
และอีกดานหนึ่งคือดานกอย กลาวคือ หลังจากทราบปญหาแจมแจงแลว
นักวิจัย CBR ก็จะลงมือแกไขดวยตัวเอง ไมใชนําเสนอใหคนอื่นทําเทานั้น
(Solution-oriented) เรียกวาครบอริยสัจทั้ง 4 ขั้นตอน (งานวิจัยวิชาการ
มักจะมีแคอริยสัจ 2 เทานั้น)
และการใชประโยชนในรูปแบบแรกนี้ มักจะเกิดขึน้ ในกรณีทปี่ ญ หานัน้
ไดเกิดขึ้นมายาวนานแลว รวมทั้งไดเคยมีวิธีการแกไขมาแลวหลายวิธี
แตทวายังแกไขไมได ที่เรียกวา “มีชองวางเชิงปฏิบัติ” (Practical gap)
จนกระทั่งเมื่อมีการนําเอาวิธีการวิจัยแบบ CBR ไปใช เพื่อเก็บขอมูลให
รอบดาน วิเคราะหหรือศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มทางเลือกของการแกปญหา
แลวก็มีการลงมือทดลองปฏิบัติ ติดตามผล แลวก็ทดลองใหมอีกจนกระทั่ง
สําเร็จลุลวง
ป ญ หาที่ ง านวิ จั ย หยิ บ จั บ มาศึ ก ษานั้ น อาจจั ด หมวดหมู ไ ด สั ก
13 ประเด็น (เศรษฐกิจ สิง่ แวดลอม การศึกษา ผูส งู วัย การจัดการทรัพยากร
การใชพลังทางเลือก ความมั่นคงทางอาหาร ฯลฯ) ในที่นี้จะยกตัวอยาง
การใชประโยชนจากงานวิจัย CBR ในปญหาดานสังคม (ปญหายาเสพติด)
และปญหาเศรษฐกิจ/ความมั่นคงของทางอาหาร มาดูสัก 2 กรณี
10.1.1 การใชประโยชนจากงานวิจยั เพือ่ แกไขปญหาสังคม เชน
งานวิจัยเรื่อง “การถอดบทเรียนแนวปฏิบัติที่ดีในการปองกันและแกไข
ปญหายาเสพติดในชุมชนเมืองโดยการมีสวนรวมของชุมชน: กรณีศึกษา
ชุมชนสะพานปูน เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร” (หฤทัย กมลศิรสิ กุล และ
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 131
ของหลักสูตรมีทั้งระยะสั้น คือการฝกทอผาดวยกี่มือ
จะชวยฝกใหเด็กมีสมาธิ (แกโรคสมาธิสั้นไดดี) และ
ในระยะยาว เด็กสามารถนําไปประกอบเปนอาชีพได
• เปนหลักสูตรขนาดปานกลาง เชน งานวิจัยเรื่อง “การ
สรางและพัฒนาหลักสูตรทองถิ่นดานการอนุรักษปา
ธรรมชาติ ที่ ยั่ ง ยื น ของชุ ม ชนแบบอุ ท ยานการศึ ก ษา
โดยภูมิปญญาชาวบาน จังหวัดรอยเอ็ด” (ฉลอง คูเมือง
และคณะ, 2546) ซึ่งดูจากชื่องานวิจัยก็เห็นไดเลยวา
ตั้งเปาอยูที่การทําหลักสูตรทองถิ่น
• เปนหลักสูตรขนาดใหญ ตัวอยางเชน “ชุดโครงการ
วิทยาลัยการแพทยพื้นบาน จังหวัดเชียงราย” (ยิ่งยง
เทาประเสริฐ, 2546) ซึ่งเปนชุดโครงการที่ไดศึกษา
องคประกอบของระบบการแพทยพนื้ บานอยางครบครัน
ทั้งตัวหมอ ตัวยาสมุนไพร องคความรูในการรักษา
ตัวผูชวย ระบบความเชื่อที่เกี่ยวของ ฯลฯ และศึกษา
อยางตอเนื่องมาเปนเวลาหลายป จนกระทั่งสามารถ
ใชประโยชนจากชุดโครงการมาจัดตั้งสถาบันวิทยาลัย
การแพทยพื้นบานในระบบการศึกษาได
10.2.2 หลั ก สู ต รนอกระบบการศึ ก ษา นอกเหนื อ จากการ
ใชประโยชนจากงานวิจัยในรูปแบบของการจัดทําหลักสูตรในระบบการ
ศึกษาแลว ก็ยังมีการนําไปใชประโยชนในรูปแบบของหลักสูตรนอกระบบ
การศึกษา เชน หลักสูตรการเรียนรู หลักสูตรฝกอบรมระยะสั้น ดังเชน
ตัวอยางงานวิจัยเรื่อง “การพัฒนากระบวนการสรางอาชีพใหมเพื่อสราง
ธุรกิจเพือ่ ชุมชนบนฐานองคความรูบ นฐานการผลิตจิง้ โกรงและพืชอินทรีย”
(สิริพล เพ็งโฉม และวรัญญา ทวมสัมฤทธิ์, 2564) ทีมวิจัยซึ่งเปนสมาชิก
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 137
ระบบการสรางอาชีพ ระบบการสรางอาชีพ
เกณฑวัด
แบบเดิม แบบใหม
1. ลักษณะของ เกษตรกรทั่วไป เริ่มเพิ่มคุณสมบัติเพื่อเจาะจงกลุมเปาหมาย
กลุมเปาหมาย ผูสูงอายุ และผูสนใจ 1. ชายหรือหญิง อายุ 25–50 ป
2. มีพื้นฐานดานเกษตร หรือเปนทายาท
เกษตรกร
3. มีตนทุนพื้นที่การผลิตอยางนอย
100 ตารางวา
4. มีเงินทุนไมนอยกวา 10,000 บาท
(เพื่อเปนหลักประกันวาจะมีการไป
ประกอบอาชีพจริง)
5. มีความสามารถใช IT
6. มีเครือขายเกษตรกรในดานการตลาด
2. จํานวน ตั้งแต 50 รายขึ้นไป ไมเกิน 20 รายตอรอบโครงการ
กลุมเปาหมาย
3. บทเรียน/ เนนเฉพาะดานทักษะ เนน 2 เปาหมาย คือ
หลักสูตร อาชีพ เชน การเลี้ยง 1. เนนการสราง Growth mindset
การขาย การเงิน 2. เนนการสรางทักษะใหครบวงจรอาชีพ
การออม เปนตน เปน 4 หลักสูตร และระหวางทาง
จะมีการหนุนเสริมเปนระยะ
4. ระยะเวลา 1–2 วัน แตไมเกิน 6 เดือนขึ้นไป แตไมเกิน 12 เดือน
3 เดือน
5. ลักษณะการ • เนนการถายทอด 1. การจัดกระบวนการแตละครั้ง
ดําเนินกิจกรรม ความรูจาก เนนการเก็บขอมูลผูเขารวม
นักวิชาการและ เพื่อนําไปปรับปรุง (แบบ PDCA)
เกษตรกรตนแบบ 2. เนนทักษะพื้นฐานในการทํางานกลุม
1–2 ครั้งตอโครงการ (Group skill) เชน ทักษะการฟง
และติดตามผล 3. เนนการมีสว นรวมในกระบวนการกลุม
• เนนการพัฒนา การสรางความไววางใจกัน การใหกาํ ลังใจกัน
ทักษะและสงมอบ 4. เนนการพัฒนา Growth mindset
อุปกรณ ความเปนผูนํา/ผูตามที่ดี/เนนการสราง
ความผูกพันระหวางกลุมกับชุมชน
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 139
การใชประโยชนในแงนี้จะพบมากในโจทยการวิจัยประเภทการ
บริหารจัดการทรัพยากรของชุมชน ซึ่งอาจจะเปนทรัพยากรตามธรรมชาติ
เชน ปาไม ลุมนํ้า หรือทรัพยากรที่มนุษยสรางขึ้นมา เชน ปญหาขยะ
เสนทางของการวิจัยประเภทนี้อาจจะเริ่มตั้งแตปญหาเปลาะแรก คือ
การขาดจิตสํานึกและขาดความตระหนักถึงปญหา เปลาะที่ 2 คือแมจะมี
จิตสํานึกแลว แตก็ขาดขอมูลหรือความรูมากพอที่จะจัดการ (หรือมีขอมูล/
ความรูที่ไมถูกตองแมนยํา) และเปลาะที่ 3 ก็คือการขาดกลไกที่จะบริหาร
จัดการแกปญหาตั้งแตเปลาะแรกและตอเนื่องมายังเปลาะอื่นๆ กลไก
ดังกลาวอาจจะประกอบดวยกลไกทีม่ ชี วี ติ (Living mechanism) เชน ตัวผูน าํ
คณะทํางานขับเคลื่อน คณะกรรมการกลุม และกลไกที่ไรชีวติ (Non-living
mechanism) เชน กฎกติกา ธรรมนูญ ขอบัญญัติ กองทุน แผนงาน เปนตน
ตัวอยางการใชประโยชนจากงานวิจยั CBR ทีจ่ ะนํามาใชในการสราง
กลไกการจัดการของชุมชนในที่นี้จะยกมา 2 กรณี ที่กรณีแรกจะเนนเรื่อง
การสรางกลไกขึน้ ใหมในระดับพืน้ ที่ และกรณีที่ 2 จะเปนการสรางกลไกใหม
ในระดับพื้นที่ที่เสริมเพิ่มเติมในระบบใหญของกลไกรัฐ
10.3.1 การสรางกลไกใหมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
ของชุมชน ไดแก ตัวอยางงานวิจัยเรื่อง “รูปแบบอนุรักษพันธุปลาทองถิ่น
ของชุมชนลํานํ้าวา ตําบลนํ้าพาง อําเภอแมจริม จังหวัดนาน” (วิชัย นิลคง
และคณะ, 2547) งานวิจัยชิ้นนี้ ถึงแมหัวหนาโครงการจะเปนเจาหนาที่
สาธารณสุขในพืน้ ที่ แตทวาก็มสี าํ นึกวาตนเองเปนลูกหลานของคนในชุมชน
และทีมวิจัยก็ประกอบดวยกํานันและผูใหญบานจากหลายบานในพื้นที่
ชุมชนลํานํ้าวาที่ศึกษามีทั้งตนทุนและจุดเจ็บไปพรอมๆ กัน ในแงตนทุน
ชุมชนตําบลนํ้าพางมีกระบวนการจัดการแหลงนํ้า มีการอนุรักษพันธุปลา
140 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
ยังไมสามารถดําเนินงานใหความยุติธรรมใหกับชุมชนไดอยางแทจริง
และทั่วถึง เชน เมื่อเกิดกรณีพิพาทหรือความขัดแยงระหวางคนกลุมตางๆ
ในขณะที่ในความเปนจริงกอนหนาที่จะเกิดกลไกรัฐสวนกลางขึ้นมานั้น
ในแตละชุมชนตางมี “กลไกเดิมของชุมชน” ที่บริหารจัดการเรื่องความ
ยุ ติ ธ รรมอยู แ ลว เชน ผูเฒาผู แก สภาผูอ าวุโส ธรรมเนียมประเพณี
การจัดการเหมืองฝาย เปนตน
ดังนั้น เปาหมายของชุดโครงการนี้จึงจะประสานกลไกเดิม
กับกลไกใหมโดยเฉพาะในระดับพื้นที่เพื่อทํางานเสริมเพิ่มเติมและแกไข
ขอจํากัดของกลไกรัฐ หากมีขอพิพาทหรือความขัดแยงใดที่สามารถจัดการ
ไดดวยกลไกใหมระดับพื้นที่นี้ก็ดําเนินการไปไดเลย กลไกใหมที่วานี้ก็คือ
“ศูนยยตุ ธิ รรมชุมชนตําบล” ทีเ่ ปนผลลัพธมาจากการศึกษาคนควาจากงาน
วิจยั ชุดนีว้ า ควรจะมีรปู แบบอยางไร องคประกอบตองมีใครบาง ตองมีบทบาท
ภารกิ จ อะไร โดยที่ ก ลไกใหม นี้ ไ ด ก อ ร า งสร า งขึ้ น มาจากการที่ ชุ ม ชน
มีสวนรวมสรางและรวมดําเนินการ และไดมาถึง 12 ศูนยฯ
มาอยางตอเนื่องนานนับ 10 ป เริ่มตั้งแตประเด็นการตอสูใหมีการใช
เครื่องมือทําการประมงที่ไมทําลายทรัพยากรธรรมชาติและถูกกฎหมาย
จนกระทัง่ ทองทะเลทีอ่ ยูใ นพืน้ ทีร่ บั ผิดชอบไดความอุดมสมบูรณกลับคืนมา
แตเมือ่ เกิดวิกฤตโควิด-19 ปญหาใหมกเ็ กิดขึน้ มาใหทดสอบ
ฝมือ เพราะในชวงเวลาดังกลาว กลุมคนรุนลูกหลานที่เดินทางไปทํางาน
ในตางประเทศ (มาเลเซีย) ตองตกงานและกลับมาอยูที่บาน คนกลุมนี้
ไมสามารถจะประกอบอาชีพประมงไดเพราะขาดแคลนทัง้ ทุนทางเศรษฐกิจ
(เรือประมง อุปกรณจบั ปลา) และทีส่ าํ คัญคือขาดความรูใ นอาชีพทําประมง
(ดูนํ้า ดูฟา ดูปลา ดูดาวไมเปน)
ดั ง นั้ น ชุ ม ชนจึ ง ต อ งแสวงหาอาชี พ ใหม เ พื่ อ มารองรั บ
คนกลุมนี้ และคําตอบสุดทายก็คือ ตองสรางอาชีพที่ตอเชื่อมมาจาก
ฐานอาชีพเดิม คือการแปรรูปสัตวนํ้านานาชนิดเพื่อเพิ่มมูลคาของสินคา
งานวิจัยชิ้นนี้มีความนาสนใจ 2 แงมุม ในเรื่องของการ
ใชประโยชนจากงานวิจยั แงมมุ แรกคือ “ความแปลกใหมในการเลือกวัตถุดบิ
ทีจ่ ะมาแปรรูป” โดยทัว่ ไปแลวในการเลือกวัตถุดบิ เชนสัตวนาํ้ ทีจ่ ะมาแปรรูป
เช น การเลื อ กประเภทกุ ง ที่ จ ะมาแปรรู ป เป น กุ ง แห ง นั้ น มั ก จะเลื อ ก
“กุง ดาวเดน” มาเพิม่ มูลคา เชน กุง แชบวย แตทวาในงานวิจยั ชิน้ นีก้ ลับเลือก
“กุ ง หวายแดง” ซึ่ ง เป น กุ ง เปลื อ กแข็ ง ไม เ ป น ที่ นิ ย มกิ น หรื อ เป น
“กุงนอกสายตา” มาเพิ่มมูลคาแทน ถือวาเปนรายการ “ปนดินใหเปนดาว”
เลยทีเดียว แตปญหาก็คือ แลวจะทําไดอยางไรเลา นี่ก็นําไปสูแงมุมที่ 2
แงมมุ ที่ 2 ก็คอื ความรูท จี่ ะนํามาแปรรูป (หรือตอง “ถอดรูป
เจาเงาะใหเปนพระสังขทอง”) ทีมวิจัยตระหนักดีวา กลุมคนที่นาจะมี
ความรูดีที่สุด ละเอียดออนและประณีตที่สุดที่จะแปรรูปกุงนอกสายตา
ดังกลาวนั้น นาจะเปนคนที่มีชีวิตอยูกับนํ้าอยูกับทะเลมาอยางยาวนาน
ดังนั้นทีมวิจัยจึงเลือกที่จะถอดเก็บความรูเรื่องการแปรรูปกุงหวายแดง
จากภูมิปญญาของคนเฒาคนแกในชุมชนเปนเบื้องตน แลวจึงคอยนํามา
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 147
ผสมผสานความรูวิชาการสมัยใหมเพิ่มเติมเขาไปทีหลัง (ดังคําบอกใบใน
ชื่อของโครงการวิจัย)
10.6.2 ตัวอยางงานวิจัยเพื่อการใชประโยชนในการพัฒนา
คุณภาพชีวิตของกลุมเปราะบาง เชน งานวิจัยเรื่อง “แนวทางการแกไข
ปญหากลุมคนไรบานในเขตเมืองกาญจนบุรี” (วิชาญ อุนอก และคณะ,
2564) งานวิจัยชิ้นนี้มีจุดโดดเดนที่นาจับตามองหลายประการ เชน
(i) ทีมวิจัยมีองคประกอบที่นาสนใจมาก เริ่มตั้งแตมีคน
ไรบานเองเขามาเปนทีมวิจัยถึง 3 ทาน (เจาของจุดเจ็บมาเปนหมอเอง)
การคัดเลือก “กลุม คนไรบา น” มาเปนทีมวิจยั นีส้ ะทอนใหเห็นทัศนะ 2 ดาน
ตอกลุมเปราะบาง คือ ดานแรกมองเห็น “ความขาด” ของคนกลุมนี้ เชน
ขาดบานทีอ่ ยูอ าศัย สวนอีกดานหนึง่ ก็มองเห็นวา แมคนกลุม นีจ้ ะ “ไรบา น”
แตก็ใชวา “จะยากไรไปเสียหมดทุกสิ่ง” เพราะพวกเขาไมไดไรประสบการณ
การตอสูกับชีวิต ไมไดไรประสบการณการประกอบอาชีพ ไมไดไรซึ่ง
ความใฝฝนที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น ไมไดไรความหวัง และที่สําคัญคือไมได
ไรศักยภาพที่จะเปนนักวิจัยชุมชน
สวนทีมวิจยั อีก 3 ทาน ก็เปนอาสาสมัครทีม่ ปี ระสบการณ
การทำงานดานการปกปกรักษาสิทธิดา นตางๆ โดยเฉพาะหัวหนาโครงการนัน้
มีประสบการณโดยตรงในการทำงานเรือ่ งทีอ่ ยูอ าศัย ซึง่ เปนหนึง่ ในปจจัยสี่
ของการดำรงชีวติ จึงถือไดวา ทีมวิจยั มีเสบียงกรังของความรูแ ละประสบการณ
มากพอที่จะเดินทัพทางไกลในประเด็นที่ศึกษา
(ii) โจทยขอแรกของโครงการ คือ การวิเคราะหปญหา
และสาเหตุของการมาเปนคนไรบาน (โดยที่คนกลุมนี้เคยเปน “คนมีบาน”
มากอน) และหลังจากนั้นก็แสวงหาทางออกเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต
ของกลุมเปาหมาย ขอคนพบจากการศึกษาที่ทีมวิจัยไดนํามาใชประโยชน
ไดทันทีบางขอก็คือ การทํางานในประเด็นคนไรบานนั้น ตองทํางานกับ
“คน 3 กลุม ดวย 5 แนวทาง” ดังในภาพ
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 149
1
5 เขาถึง
1
สรางพลังและ สิทธิพื้นฐาน
คนไร ความมั่นใจ
บาน ของคนไรบาน
3
2
คนทั่วไป 5 พัฒนา
คน 3 กลุม อาชีพ
แนวทาง
4
2
หนวยงาน/ ปรับทัศนคติ
คนในชุมชน 3
กลุมชวยเหลือ
พัฒนา
กลไกความรวมมือ
และเมื่อเปรียบเทียบกับหลักสูตรทองถิ่นในแง “รูปแบบ
การใชงาน” สำหรับหลักสูตรทองถิ่นนั้นอาจเรียกวาเปน “ระบบปดของ
การเรียนรู” (Closed system of learning) หมายความวา มีการโฟกัสอยาง
แนนอนแลววาผูเ รียนรูจ ะไดเรียนอะไรและเรียนอยางไร แตทวาศูนยเรียนรูน นั้
มักจะเปน “ระบบเปดของการเรียนรู” (Open system of learning) กลาวคือ
แมจะมีการจัดสถานที่ เนื้อหา วิธีการเรียนเอาไวแลว แตก็เปน “ผูเรียน”
ทีจ่ ะเลือกเอาเองวาจะเลือกเรียนแงมมุ ไหนไปบาง หรือจะเลือกเรียนอยางไร
10.7.2 องคประกอบของแหลงเรียนรู/ศูนยเรียนรู ผูเขียนลอง
ประมวลคุณลักษณะหรือองคประกอบของศูนยเรียนรูตามที่มีผูนําเสนอ
เอาไวไดประมาณนี้
เปาหมาย/ฟงกชัน
1
งบประมาณ 9 2 กลุมเปาหมาย
3 การบริหารจัดการ
สื่อการเรียนรู 8 องคประกอบ
ของศูนยเรียนรู
วิทยากร/ 7 4 อาคาร/สถานที่
ผูใหขอมูล
6 5 ขอมูล/ความรู
กิจกรรม/กระบวนการเรียนรู
(i) ใชเปนแหลงคนควาหาความรูเพิ่มเติมทั้งที่มีใน
ตําราเรียนและที่ไมมีตําราเรียน
(ii) ใชเปนสถานที่ในการจัดการเรียนการสอน การฝก
อบรม
(iii) ใชเปนสถานทีพ่ บปะ แลกเปลีย่ นความรู ประสบการณ
ความคิดเห็น
(iv) ใชเปนแหลงสถานที่ศึกษาดูงาน ฝกฝนอาชีพ
(v) ใชเปนสื่อเรียนรู สื่อประกอบการเรียนการสอน
ที่มีชีวิต เชน จิตรกรรมบนฝาผนังวัด ตนไม และสัตวประเภทตางๆ ที่มี
ในพื้นที่ ฯลฯ
(vi) ใชเปนสถานทีถ่ า ยทอดความรู ขอมูล ขาวสารทัว่ ๆ ไป
(vii) เปนสถานที่ประชาสัมพันธ เผยแพร แจงขอมูล
ที่ตองการสื่อไปถึงคนในชุมชน
(viii) เป น ศู น ย ก ลางในการรวบรวมหลั ก ฐานทาง
ประวัติศาสตร ศิลปวัฒนธรรม โบราณสถาน โบราณวัตถุ ฯลฯ ไมให
ลบเลือนสําหรับสืบตอไปยังชนรุนหลัง
(ix) ใชเปนศูนยกลางในการดําเนินกิจกรรมอื่นๆ อาทิ
เปนศูนยจัดจําหนายผลิตภัณฑชุมชน เปนจุดรวบรวมผลผลิต เปนพื้นที่
รวมกลุมทํากิจกรรมของกลุมแมบาน กลุมผูสูงอายุ กลุมเยาวชน ฯลฯ
(2) กลุมเปาหมาย หลังจากกดปุมเลือก “เปาหมาย” แลว
ผลพวงที่จะตามติดมาก็คือ “แลวใครจะมาเปนกลุมเปาหมาย” เนื่องจาก
ศูนยเรียนรูมีขอจํากัดทั้งในแงของอาคารสถานที่ งบประมาณ ตัวบุคคล
ผู รั บ ผิ ด ชอบ ฯลฯ ดั ง นั้ น หากศู น ย ฯ เล็ ง กลุ ม เป า หมายแบบตาโตว า
“เอาหมดทุกกลุมเปาหมาย” หรือ “ประชาชนทั่วไป” ก็อาจจะเปนไปไดวา
ศูนยเรียนรูนั้นก็อาจจะไมไดใครเลย
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 153
1 สํารวจและวิจัยภาษาขั้นพื้นฐาน
2 สรางความเขาใจและความตระหนักตอปญหาและการแกไข
4 สรางวรรณกรรมทองถิ่น
5 นําภาษาทองถิ่นเขาสูการเรียนในโรงเรียน
6 จัดตั้งศูนยเรียนรูชุมชน
7 จัดการเรียนการสอนภาษาและวัฒนธรรมในชุมชน
8 ศึกษาและฟนฟูความรูทองถิ่นในดานตางๆ บันทึกเปนภาษาเขียน
11 ผลักดันนโยบายภาษาแหงชาติ
ทีมวิจัยไดระบุความแตกตางระหวางโมเดลการฟนฟู
ภาษาแบบทั่วไปกับมหิดลโมเดล เอาไวดังนี้
โมเดลฟนฟูภาษาแบบทั่วไป มหิดลโมเดล
1. เปนการทํางานที่เกิดจากความสนใจ 1. เปนงานทีเ่ กิดจากความตองการของ
และความตองการของนักภาษาศาสตร เจาของภาษาที่มีความตระหนักและเล็งเห็น
คุณคาของภาษาของตน
2. นักวิชาการเปนผูวางแผนและ 2. นักวิจัยชุมชนมีการวิเคราะหวางแผนและ
ดําเนินการฝายเดียว ชุมชนมี ออกแบบการฟน ฟูภาษาทีเ่ หมาะสมกับตนเอง
บทบาทเปนผูบอกภาษา/ผูใหขอมูล
3. นักภาษาศาสตรใชสัทอักษรสากล 3. นักวิชาการดานภาษาศาสตรเปนผูทํางานรวม
เปนเครื่องมือบันทึกภาษา กับนักวิจัยชุมชนโดยประยุกตองคความรู
ชุมชนไมสามารถเขาถึง ตรวจสอบ ดานภาษาใหเหมาะสมกับชุมชน
หรือบันทึกไดดวยตนเอง
4. ผลงานที่ตีพิมพและเผยแพร 4. นักวิจัยชุมชนใชระบบเขียนภาษาทองถิ่น
ในรูปแบบงานวิจัยวิชาการ อักษรไทยเปนเครื่องมือในการบันทึกภาษา
ทําใหชุมชนไมสามารถเขาถึง ทําใหชุมชนสามารถบันทึกและตรวจสอบได
ดวยตนเอง
10.10.1 ความจําเปนของการใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อไป
ขยายผล
ดังที่ผูเขียนไดเกริ่นถึงธรรมชาติ/คุณลักษณะประการหนึ่ง
ของงานวิจัย CBR วาเปนงานวิจัยขนาดจิ๋ว ดังนั้นเมื่อทําวิจัยสําเร็จ
ในประเด็นหนึ่ง ในพื้นที่หนึ่ง กับคนกลุมหนึ่ง ทีมวิจัยจึงตระหนักถึง
“ขอบเขตการใชประโยชนอันจํากัดของตนเอง” รวมทั้งยังคิดลวงหนาไปถึง
“ความยั่งยืนของผลสําเร็จ” นั้นดวย
ดวยเหตุนี้ ทีมวิจยั CBR สวนใหญจงึ เหมือนมีสญ ั ชาตญาณ
ทีจ่ ะตอง “ขยายผล” ออกไปยังคนกลุม อืน่ ๆ พืน้ ทีอ่ นื่ ๆ ขยายกิจกรรมอืน่ ๆ
หรือไปสรางเครือขายถายเทความรูในที่อื่นๆ ตามหลักการที่วา “สิ่งที่เล็ก
168 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
กิจกรรมใหม
คนใหม/พื้นที่เดิม/ พื้นที่เดิมคนเดิม พื้นที่ใหมคนใหม
ประเด็นเดิม กิจกรรมเดิม
(ก)
การขยายแนวนอน
360 องศา
ของการขยายผล
(ค) (ข)
เครื่องมือเกา–ใหม การขยายผลแนวตั้ง
ในการขยายผล (ภาคี/นโยบาย)
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 169
เชิงนโยบาย ในที่นี้จะยกตัวอยางชุดงานวิจัยเรื่องการสงเสริมการอานของ
ศูนยประสานงานวิจยั เพือ่ ทองถิน่ การพัฒนาเด็กและเยาวชน จังหวัดยโสธร
ซึ่งไดเกาะติดกับประเด็นดังกลาวมานานนับสิบป ตั้งแตเริ่มมีโครงการ
รณรงคสงเสริมการอานของจังหวัด ป พ.ศ. 2550 และทีมพี่เลี้ยงศูนยฯ
ก็ไดเริ่มทําวิจัย CBR มาอยางตอเนื่อง
โจทยการวิจัยในยุคแรกๆ จะมุงเนนผลการวิจัยที่ให
ขอพิสูจนวา “การอานจะสงผลตอพัฒนาการของเด็กในทุกๆ ดาน” ไดจริง
หรื อ ไม แ ละอย า งไร ทั้ ง นี้ โ ดยมี เ ป า หมายเบื้ อ งหลั ง คื อ การสร า งความ
ตระหนักใหเห็นความสําคัญของการอาน (โดยมีลูกหลานของชาวบาน
เปนเปาลอ “อานหนังสือแลวจะฉลาดเนอ!”) และในป พ.ศ. 2552 ทางศูนยฯ
ก็ไดมีการสังเคราะหงานวิจัยสงเสริมการอานหลายๆ ชิ้นของโหนดยโสธร
ทีไ่ ดพสิ จู นผลลัพธของการอานหนังสือทีม่ ตี อ พัฒนาการดานตางๆ ของเด็ก
เปนการตอกฝาโลงโจทยวิจัยเรื่องความสําคัญของการอาน และโลงตอไป
ที่จะตองเปดฝาตอก็คือ แลวจะทําอยางไรใหมีการอานเกิดขึ้นอยางจริงจัง
ทั่วถึง และตอเนื่อง ซึ่งเปนโจทยงานวิจัยในชุดตอมา
คําตอบของงานวิจยั ในยุคที่ 2 พบวา การพัฒนาระบบ
การอานนั้นตองทําใหครบองคประกอบยอยๆ ของ “ทั้งระบบ” เชน
การเห็นความสําคัญของการอาน การจัดหาหนังสือใหตอเนื่องและทั่วถึง
เชน การมีระบบกระจายหนังสือเลมใหมๆ การมีระบบยืมหนังสือไปอาน
การจัดสงหนังสือเชิงรุก การมีงบประมาณสนับสนุนการจัดหาหนังสือ
การพัฒนาคนอานหนังสือใหเด็กฟงที่กระจายตัว การจัดทําหนังสือที่มี
เนือ้ หานาสนใจ–สอดคลองกับปริบทของชุมชน–สอดรับกับประเด็นปจจุบนั
(Current issue) การมีสถานที่เหมาะสมสําหรับการอาน “การทําทุกที่
ทุกเวลา ทุกชวงชีวิตใหมีการอาน” การมีกิจกรรมเสริมเพิ่มจากการอาน
การนําการอานไปใชประโยชนในชีวติ ประจําวัน การวัดและประเมินผลเรือ่ ง
การอาน เปนตน
174 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
กลาวโดยสรุปก็คือ ตองทําใหเรื่องของการสงเสริม
การอานเปนเรื่องของทุกคน ทุกภาคสวน เพื่อใหเกิด “การอานทุกบาน
อานทุกวัน อานทุกที่ อานทุกระดับ” ซึ่งหากจะไปใหถึงเปาที่กลาวมานี้
ก็ตอ งนําขอมูล/ผลการวิจยั /ขอเสนอแนะจากงานวิจยั มาจัดทําเปนขอเสนอ
เชิงนโยบายของเทศบาล อบต. กศน. โรงพยาบาล ฯลฯ จึงจะทําใหเรื่อง
ของการอานนั้นครอบคลุม ทั่วถึง และมีผลที่ยั่งยืนตอไปในอนาคต
งานวิ จั ย ชุ ด การอ า นยุ ค ที่ 3 จึ ง มี โ จทย ก ารวิ จั ย
ทีจ่ ะทดลองกับพืน้ ทีต่ น แบบบางแหงวาจะสรางนโยบายสงเสริมการอานได
อยางไร เชน งานวิจยั เรือ่ ง “การศึกษารูปแบบการพัฒนานโยบายสาธารณะ
ดานการอานในตําบลตนแบบ” (พินิจ คาดพันโน, 2563) ซึ่งทีมวิจัยที่เปน
พี่เลี้ยงของศูนยประสานฯ ไดทดลองลงมือปฏิบัติการไปเลย แนวคิดหลักที่
ทีมวิจัยนํามาใชถือเปนการทํานโยบายแบบ Inclusive policy design
(ปยะพงศ บุษบงก และพบสุข ชํ่าชอง, 2563) และใช “5 ขั้นตอนของ
การสรางนโยบาย” แบบทีเ่ ราคุน เคยกัน แตครัง้ นีม้ าในแบบ “จากลางขึน้ บน”
(Bottom-up approach) โดยเนนการมีสวนรวมในการรางนโยบายจาก
ทุกภาคสวน (ในงานวิจัยระดับตําบลนี้พบวาอยางนอยตองมีภาคี 5 สวน
แบบเบญจภาคี คือ กลุมครอบครัว หนวยงานรัฐทองถิ่น หนวยงานดาน
สาธารณสุขทองถิน่ หนวยงานโรงเรียนระดับทองถิน่ ตัวแทนชุมชน–ปราชญ
ชาวบาน) มิใชรูปแบบการรางนโยบายจากคนกลุมเล็กๆ กลุมหนึ่ง แตกลับ
นําไปใชกับคนสวนใหญ งานวิจัย CBR จึงเปนเครื่องมือที่ลงตัวสําหรับงาน
เก็บขอมูลและความคิดเห็นจากผูมีสวนเกี่ยวของ ซึ่งเปนปจจัยสําคัญ
สําหรับการจัดทํานโยบาย อยางไรก็ตาม การที่จะใชแนวทางการสราง
นโยบายแบบลางขึ้นบน และ Inclusive เชนนี้ ก็ตองมีการทํางานเตรียม
“ขางลาง” – ทุกภาคสวนที่เกี่ยวของมากอน (เปน Pre-condition factor)
ซึ่งในพื้นที่ตําบลหนองคู อําเภอเมือง จังหวัดยโสธร ไดดําเนินการมาแลว
ในงานวิจัยชิ้นกอนๆ
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 175
“ชุดความรูใหมที่จะบริหารจัดการงานวิจัยนองนุชสุดทอง” นี้วานาจะเปน
ไปในรูปแบบไหน อยางไร
ในกลุมชุดความรูที่เกี่ยวกับการบริหารจัดการงานวิจัย
CBR นี้ จะมีชุดความรูที่วาดวย “การสรางและการพัฒนาพี่เลี้ยง/โหนด”
อยูคอนขางมาก ทั้งนี้นาจะเนื่องจาก “โหนด/พี่เลี้ยง” เปนกลไกชนิดใหม
ที่ไมไดมีอยูในสารบบเดิมของ “การบริหารงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหรือ
การวิจยั เชิงวิชาการของ สกว.” จึงจําเปนตองคนควาสรางความเขาใจกันใหม
สรางวิธกี ารการบริหารจัดการกันใหม สรางระบบการบริหารจัดการเกีย่ วกับ
พี่เลี้ยงขึ้นมาใหม
และหากถอยหลั ง ของคํ า ถามต อ ไปอี ก ว า แล ว ทํ า ไม
การบริหารงานวิจัย CBR จึงตองมี “พี่เลี้ยง/โหนด” ดวยเลา เราก็ตองยอน
กลับมาดูที่เสนออกสตารทของงานวิจัย CBR วา นักกีฬา/นักวิจัยที่ถูก
ปลอยตัวออกมาทําวิจยั นัน้ CBR ไดนาํ เอา “คนทีไ่ มรจู กั วางานวิจยั คืออะไร
คนทีย่ งั ไมเคยเรียนวิชาวิจยั มากอน” มาเปนนักวิจยั แลวพวกเขาจะทําวิจยั
ไปได อ ย า งไร คํ า ตอบก็ คื อ “เวที นี้ ต อ งมี พี่ เ ลี้ ย ง” ที่ จ ะทํ า หน า ที่ เ ป น
เครื่องแปลงราง เปนลมใตปก เปนเข็มทิศชี้ทาง เปนชูชีพพยุงตัว ฯลฯ ให
“คนธรรมดาทัว่ ไปทีอ่ อกจากจุดสตารทมาเขาเสนชัยในฐานะนักวิจยั นัน่ เอง”
อยางไรก็ตาม คนที่จะมาเปน “พี่เลี้ยงงานวิจัย CBR”
(ทีใ่ นแวดวงเรียกกันวา “คนหนุนงานวิจยั ”) ก็มใิ ชจะเปนใครก็ได หรือนึกจะมา
เปนพีเ่ ลีย้ งก็เปนไดเลย ในทางตรงกันขาม การมาเปนพีเ่ ลีย้ งงานวิจยั CBR
นั้นตองมีกระบวนการคัดสรรอยางมีหลักเกณฑ (เชน เกณฑเบื้องตน คือ
มีจิตสํานึกตอความเปนไปของสวนรวม) ตองมีการฝกอบรม ตองมีการ
ทํางานทีม่ คี วามรูค วามเขาใจ ตองยึดกุมหลักการทํางาน ตองมีกระบวนการ
พัฒนาใหอาหารเสริมเปนระยะๆ หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงภูมินิเวศ
ของการทํางาน ซึ่งชุดความรูในการทํางานของพี่เลี้ยงนั้นก็เกิดมาจาก
การวิจัยที่มักจะมีลักษณะเฉพาะตัว คือ “มาจากการปฏิบัติ แลวก็กลับไป
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 177
สูการปฏิบัติ” ซึ่งเปนหลักประกันที่แนนอนวาจะมีการใชประโยชนจาก
งานวิจัยชุดที่วาดวย “พี่เลี้ยง” อยางแนนอน
10.11.2 3 โจทยใหญ และการใชประโยชนจากงานวิจัยชุด
“พี่เลี้ยง”
จากงานวิจยั CBR วาดวย “พีเ่ ลีย้ ง” โจทยวจิ ยั รอบๆ ปญหา
วาดวยการสรางพี่เลี้ยงประเภทตางๆ นั้น มักจะอยูรอบๆ 3 ประเด็นยอย
เหลานี้ คือ
• โจทย (i) บทบาทของพี่เลี้ยงงานวิจัย CBR ควรจะมี
อะไรบาง อะไรบางเปนสิ่งที่ตองทํา และอะไรบางเปนสิ่งที่ตองไมทํา
(Do & Don’t Principle) และผลจากการสังเคราะหงานวิจัยหลายๆ ชิ้นที่วา
ดวยเรื่องบทบาทของพี่เลี้ยง ก็อาจจะสรุปไดวาจะมีภารกิจอยู 5 ดานหลัก
(ที่แตกแขนงมาเปน 26 บทบาทยอย) ที่ลอไปกับธรรมชาติของงาน CBR
ดังในภาพ
ธรรมชาติของงานวิจัย CBR นั้น จะเปน “5 สูตรผสม
ของภารกิจ” คือ
(1) เปนภารกิจดานการวิจัย เพื่อคนควาหาความจริง
หรือหาคําตอบจากโจทยวิจัย
(2) เปนภารกิจดานการพัฒนา เพื่อสรางเปลี่ยนแปลง
ที่พึงปรารถนา
(3) เปนภารกิจดานการเรียนรู ทั้งเพื่อสราง “ความรู”
สราง “คนรู” สราง “พื้นที่เรียนรู”
(4) เปนภารกิจดานการประสานงาน ทัง้ ประสานกันเอง
ภายใน และประสานกับภายนอก เนื่องจากงาน
วิจัยเปน “กิจกรรมรวมหมู” (Collective activity)
(5) เปนภารกิจดานการขยายผล ดังเหตุผลที่ไดกลาว
มาแลว
178
2 คนหานักวิจัย 3 พัฒนาโจทยวิจัย
4 สรางความเขาใจกับชุมชน
1 คนหาพื้นที่ทําความเขาใจ
5 พัฒนาทักษะนักวิจัย
ดานงานวิจัย 1 วางแผนการทํางานรวม
4 สรางความเขาใจเกี่ยวกับงานวิจัยเพื่อทองถิ่นใหงายขึ้น 1 2 ใหคําปรึกษา/แนะนํา
การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
3 วิทยากรเผยแพรถายทอดความรู 3 ประสานรอยราว/ลดความขัดแยง
ดานการขยายผล 5 ดาว 5 แฉก 2 ดานงานพัฒนา
2 รวมเผยแพรประชาสัมพันธ 4 สังเกตการทํางาน
การดําเนินงาน บทบาท
Node 5 กํากับ-ติดตาม
1 รวมนําเสนอขอมูลและขอคนพบ
6 สรางกิจกรรมทางเลือกใหมๆ
4 3
ดานการประสานงาน ดานการเรียนรู
3 ชี้ชองทางการประสานงาน
ใหชุมชนเกิดการเรียนรู 1 จัดกระบวนการเรียนรูรวม
2 จัดกระบวนการเครือขาย
2 ทีมนักวิจัยกับหนวยงานภายนอก 8 สรางกิจกรรมเพื่อใหเกิดการเรียนรู
3 สงเสริมใหเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรูในชุมชน
1 ทีมนักวิจัยกับแหลงทุน 7 สรางการเรียนรูใหภาคสาธารณะ 4 สงเสริมใหเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรูกับหนวยงานภาคี
6 เติมเต็มองคความรูและทักษะที่จําเปน 5 หนุนเสริม เติมเต็มศักยภาพ
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 179
ในโครงการนี้จึงคัดเลือกผูชวยผูประสานงาน (เรียกวา
JSN) จาก 20 แหง นํามาจัดแบงกลุมโดยใชอายุการทํางานเปนเกณฑได
เปน 3 กลุม J1 มีอายุการทํางาน 1–2 ป J2 มีอายุการทํางาน 3–4 ป และ
J3 มีอายุการทํางาน 5 ปขนึ้ ไป กลุม J3 นีน้ า จะมีความเขาใจและประสบการณ
มากพอที่จะยกระดับขึ้นมาเปนพี่เลี้ยงได
กระบวนการวิจัยเริ่มตนดวยการระบุขีดความสามารถ
ทีท่ งั้ 3 กลุม ตองการการพัฒนา ตอจากนัน้ ก็ลงมือปฏิบตั กิ ารพัฒนาศักยภาพ
ของแตละกลุม และปดทายดวยการวัดผลเปรียบเทียบขีดความสามารถ
ชวงกอน–หลัง ซึ่งถือไดวาไดใชประโยชนจากการวิจัยในการสรางคนหนุน
งานวิจัยไดทันทีเลย
• โจทย (iii) กระบวนการสรางและพัฒนาพี่เลี้ยงจะมีวิธี
การอยางไรบางจึงจะบรรลุเปาหมายไดดที สี่ ดุ ซึง่ ในภาคปฏิบตั กิ าร ฝายวิจยั
เพื่อทองถิ่นก็ไดใชวิธีการแบบการ “บมเพาะคนทํางาน” เชน การฝกอบรม
การฝกการเรียนรูด ว ยการปฏิบตั งิ านจริง (on-the job-training) การแลกเปลีย่ น
ประสบการณ (Experience sharing) การเรียนรูจากรุนพี่ ฯลฯ
มีตัวอยางงานวิจัยที่ตอบโจทยเรื่องวิธีการสรางพี่เลี้ยง
ทีถ่ อื วาเปนนวัตกรรมเชิงวิธกี าร คืองานวิจยั เรือ่ ง “กระบวนการถอดบทเรียน
โครงการวิจยั ทีม่ คี ณ ุ ภาพเพือ่ การสรางการเรียนรูใ หกบั RC/Node ภาคอีสาน”
(สุวรรณา บัวพันธ และคณะ, 2553) ทีมวิจยั ใชเครือ่ งมือ “การถอดบทเรียน”
โดยเลือกโครงการวิจยั ทีป่ ระสบความสําเร็จ (Best practice) มาเปนตัวอยาง
จำนวน 20 โครงการ เพื่อวิเคราะหปจจัย เงื่อนไข และกระบวนการทำงาน
ทีน่ ำไปสูค วามสำเร็จ ในการถอดบทเรียนครัง้ นี้ กลุม ผูเ ขารวมการถอดบทเรียน
มีทั้งกลุมพี่เลี้ยงเกา (ซึ่งคงจะมีสวนเกี่ยวของกับการทำโครงการใหสำเร็จ)
และกลุ ม พี่ เ ลี้ ย งใหม ซึ่ ง คงยั ง ไม มี ป ระสบการณ แต ก ารได มี โ อกาส
เขารวมการถอดบทเรียนกรณีที่ประสบความสําเร็จนั้นเอง ถือไดวาเปน
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 181
กระบวนการพัฒนาพี่เลี้ยงรุนใหมดวยวิธีการ “ดูหนังทั้งเรื่องตั้งแตตน
จนจบ” (อย า ง happy ending) ภายใต ก ารชี้ แ นะของพี่ เ ลี้ ย งรุ น พี่ ไ ป
พรอมๆ กัน (ไดเห็นเบื้องหลังการถายทําไปดวย)
10.11.3 ประเภทตางๆ ของพี่เลี้ยง
จากเนื้อหาที่ไดกลาวมาตั้งแตตนวา ฝายวิจัยเพื่อทองถิ่น
ได ส ร า งกลไกใหม ๆ ในการหนุ น เสริ ม หรื อ เป น สะพานทอดเชื่ อ มให
“คนธรรมดาทัว่ ไป” ไดเดินขามมาสูฝ ง ของ “การเปนนักวิจยั ชุมชน” สะพาน
ทอดเชื่อมนั้นก็คือพี่เลี้ยง ซึ่งหากเรียกใหไดชัดเจนลงไปก็คือ “พี่เลี้ยง
ตนแบบ/ตนฉบับ” (เปนเครื่องแปลงราง)
ในชัน้ ตอมา เมือ่ ปริมาณงานวิจยั เพิม่ มากขึน้ แตการขยายตัว
ของปริมาณพีเ่ ลีย้ งตนฉบับตามไมทนั ทําใหปริมาณและคุณภาพหนุนเสริม
จากเครื่องแปลงรางเริ่มจะกะพรองกะแพรง การติดตามสถานการณของ
พืน้ ทีก่ ไ็ มทนั การ ดังนัน้ จึงเกิดนวัตกรรมครัง้ ที่ 2 ในเรือ่ งการสรางพีเ่ ลีย้ ง คือ
การสราง “พี่เลี้ยงตัวคูณ” ขึ้นมา
พีเ่ ลีย้ งตัวคูณ ก็คอื คนทีอ่ ยูใ นพืน้ ทีซ่ งึ่ อาจจะเปนชาวบาน
ในชุมชน หรือคนทํางานในหนวยงานของภาคี (อบต./อสม./ครู ฯลฯ)
โดยมีเงื่อนไขเบื้องตนคือเปนกลุมคนที่ไดเคยผานประสบการณงานวิจัย
CBR ตามขัน้ บันไดเลือ่ น เชน เปนทีป่ รึกษา เปนผูร ว มพัฒนาโจทย เปนนักวิจยั
เปนหัวหนาโครงการ (โดยเฉพาะการไดเคยมาลงมือทำวิจยั ดวยตัวเองจะดีมาก)
ที่ชาวบานเรียกวา “ไดผานพิธีพุทธาภิเษกมาแลว” สวนคุณสมบัติอื่นๆ
ที่เพิ่มเติมของพี่เลี้ยงตัวคูณที่แตกตางไปจากพี่เลี้ยงตนฉบับ ก็คือเปนคนที่
อยูในพื้นที่ที่ใกลชิดกับชุมชน หรือเปนคนที่มีภารกิจที่ตองเขาไปเกี่ยวของ
กับชุมชนในดานตางๆ
หากจําแนกประเภทของพีเ่ ลีย้ งตัวคูณใหแยกยอยลงไปอีก
ก็อาจจะแบงประเภทของพี่เลี้ยงตัวคูณไดเปน 2 แบบ คือ
182 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
เกี่ยวของในพื้นที่ ดวยเหตุนี้จึงมีพี่เลี้ยงตนแบบในหลายศูนยประสานฯ
ที่เริ่มจะ “ถายสําเนา” บทบาทการเปนพี่เลี้ยงและเริ่มเก็บรับประสบการณ
การสรางพี่เลี้ยงตัวคูณใหแกหนวยงานหลายๆ ประเภท เชน สราง อบต.
ที่ทํางานกับเด็กและเยาวชนใหเปนโคชการวิจัย สรางพี่เลี้ยงตัวคูณในกลุม
อสม. ที่ทํางานเรื่องเหลา–บุหรี่ ยกระดับคนทํางานเรื่องความปลอดภัย
ทางถนนใหขึ้นมาเปนพี่เลี้ยงตัวคูณโดยใชหลักสูตรอบรมเรื่องการทํางาน
อยางมีสวนรวม เปนตน
ศูนยประสานงานฯ ที่เลนเรื่องการสรางพี่เลี้ยงตัวคูณกับ
หนวยงานภาคีอยางเขมขน ก็เชนศูนยประสาน CBR จังหวัดลําปาง
ทีร่ ว มทํางานกับสํานักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
(กศน.) ในพื้นที่จังหวัดพะเยามาอยางตอเนื่อง โดยเริ่มจากงานวิจัยเรื่อง
“การพัฒนากลไกสนับสนุนงานวิจยั เพือ่ ทองถิน่ ในการศึกษานอกระบบและ
การศึกษาตามอัธยาศัยในพื้นที่จังหวัดพะเยา” (สาวิตร มีจุย และคณะ,
2560) โครงการนีด้ าํ เนินการทัง้ การระบุสภาพการณปจ จุบนั และลงมือปฏิบตั ิ
การวิจยั ไปพรอมๆ กัน และมีขอ คนพบทีต่ อบโจทยวา กลไกสนับสนุนสําคัญ
ของ กศน. ก็คือการมีพี่เลี้ยง ซึ่งมีรายละเอียด คือ
(i) ในระบบการทํางานของ กศน. นั้น ตองการพี่เลี้ยง
ตัวคูณทีแ่ ตกสายพันธุย อ ยตามภารกิจออกไปอีกหลายสายพันธุ เชน พีเ่ ลีย้ ง
ในพื้นที่ พี่เลี้ยงวิชาการ พี่เลี้ยงบริหาร ฯลฯ ซึ่งบทบาทพี่เลี้ยงแตละ
สายพันธุยอยอาจจะมีสวนผสมของ “บทบาทตางๆ” เชน เปน Trainer
เปน Facilitator เปน Consultant เปน Coach เปนตน
(ii) สําหรับในสภาพการณปจจุบัน การวิจัยยังคนพบวา
พี่ เ ลี้ ย งที่ มี อ ยู ยั ง มี “ช อ งว า งที่ ต อ งการการเติ ม เต็ ม ในอี ก หลายด า น”
โดยเฉพาะในดานความรูความเขาใจเรื่องหลักการวิธีคิดและเครื่องมือ
การทํางาน CBR ทั้งในชวงตนนํ้า–กลางนํ้า–ปลายนํ้า
184 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
จากขอคนพบเรื่องชองวางของพี่เลี้ยงที่มีอยู ในอีก
2 ปตอ มา คือป พ.ศ. 2562 ก็ไดมกี ารทำงานวิจยั เรือ่ ง “การสรางพีเ่ ลีย้ งงานวิจยั
เพื่ อ ท อ งถิ่ น ในระบบการศึ ก ษานอกระบบและการศึ ก ษาตามอั ธ ยาศั ย
จังหวัดพะเยา” (พรรณี ใหมประสิทธิกลุ , 2562) เพือ่ เติมเต็มชองวางดังกลาว
กลาวโดยสรุป ไมวา จะเปนการสรางพีเ่ ลีย้ งตัวคูณระดับ
ชุมชนหรือพี่เลี้ยงระดับหนวยงานภาคี ที่แมจะมีความแตกตางกันในแง
“สถานะของตัวบุคคล” ที่จะมาเปนพี่เลี้ยง แตทวากระบวนการสรางพี่เลี้ยง
ตัวคูณทั้ง 2 แบบ ตางก็มีหลักการรวมกัน คือ คลายกับระบบบอกกันตอๆ
แบบปากตอปาก คือผูฟงยกระดับมาเปนผูพูดตอ คนเรียนยกระดับมาเปน
คนสอน หรือระบบขายตรงที่ลูกคากลายมาเปนคนขายเสียเอง นักมวย
เปลี่ยนสถานะมาเปนพี่เลี้ยง นักฟุตบอลยกระดับขึ้นมาเปนโคช เปนตน
โดยสถานะของการเปนพี่เลี้ยงนั้นจําเปนตองมีภารกิจใหมเพิ่มเติม/ตองมี
บทบาทใหมใหแสดง ดังนัน้ จึงตองมีกระบวนการติดตัง้ ความรูเ รือ่ งการแสดง
บทบาทของพี่เลี้ยงเพิ่มเติม
(ii) รูปแบบโครงสรางการมารวมตัวกันจะเปนแนวนอน
กลาวคือ ทุกคนหรือทุกกลุมอยูในตําแหนงที่เสมอกัน ซึ่งแตกตางจากการ
รวมตัวแบบองคกรทีม่ ลี าํ ดับชัน้ (ประธาน รองประธาน สมาชิก) โดยอาจจะ
มีเพียงตําแหนงที่เปน “ศูนยกลาง” (Star) สวนตําแหนงอื่นๆ ก็เปนไปตาม
ความจําเปนของภาระงาน เชน ฝายติดตอสื่อสาร ฝายประสานงานกับ
ภายนอก ฯลฯ แตทวาไมมีใครมีอํานาจสั่งการใคร
(iii) ในการมารวมตัวกันนั้น ทุกหนวยยอยจะมีความเปน
อิสระในการกําหนดเปาหมายและดําเนินภารกิจของตน เพียงแตจะมา
รวมตัวกันเปนเครือขายเพื่อภารกิจพิเศษเทานั้น
(iv) เครือขายมีธรรมชาติที่ “เกิดงาย สลายเร็ว” เนื่องจาก
เปนการรวมตัวอยางหลวมๆ และตนกําเนิดของเครือขายอาจจะมาจาก
2 แรงจูงใจ แรงจูงใจแรกคืออยากจะตั้งเครือขาย (เกิดเครือขายเพราะ
อยากมี) แรงจูงใจที่ 2 คือเกิดเพราะความจําเปน เนือ่ งจากแตละหนวยยอย
ตระหนักวา “ตนเองมีความขาดอะไรบางอยาง (Lack) จึงตองการเพื่อน
มาชวย และในทางกลับกัน ตนเองก็ตองชวยเพื่อนเมื่อเขาตองการ”
จึงมีผูเปรียบเทียบวา การที่เครือขายหนึ่งจะเอาชนะ
ธรรมชาติที่ “เกิดงาย สลายเร็ว” นั้น เครือขายจึงควรจะมีองคประกอบ
เหมือนรางกายของคนเรา กลาวคือ มีโครงสราง (แนวนอน) ซึง่ เปรียบเสมือน
โครงกระดูก มีการทํากิจกรรมซึ่งเปรียบเสมือนเนื้อหนัง มีการสื่อสาร
ที่เปรียบเสมือนเสนประสาท และมีความตระหนัก/ความเขาใจ/แรงจูงใจ
ที่เห็นความสําคัญของเครือขาย คือการผลัดกันเปนทั้งฝายใหและฝายรับ
(แบบนํ้าพึ่งเรือ เสือพึ่งปา) ซึ่งเปรียบเสมือนหยดเลือดหลอเลี้ยง ดังนั้น
เครือขายที่ตองการมีอายุที่ยืนยาวจะตองมีการบริหารจัดการใหครบทั้ง
4 ดานของรางกาย
(v) เครือขายจะมีระดับวาเปนเครือขายระหวางใครกับใคร
(เชน ระหวางชุมชนกับภาคี ชุมชนกับชุมชน) มีประเภท (เชน เครือขาย
186 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
ในงานวิจัยเรื่อง “การจัดการความรูและพัฒนาเครือขาย
การทองเที่ยวโดยชุมชนเพื่อเสริมสรางเศรษฐกิจฐานราก อําเภอนาแหว
จังหวัดเลย” (ยุทธนา วงศโสภา และคณะ, 2564) ก็เปนกรณีการใชประโยชน
จากงานวิ จั ย เพื่ อ สร า งเครื อ ข า ยการท อ งเที่ ย วโดยชุ ม ชนที่ ค รอบคลุ ม
หนวยยอย/พื้นที่ 5 ตําบลของอําเภอนาแหว ทีมวิจัยไดดําเนินการสราง
เครือขายตามองคประกอบสวนตางๆ ของรางกายแหงเครือขายที่ไดกลาว
มาแลว
เริ่มตนจากสวนที่เปนหยดเลือดกอน คือการสรางความ
ตระหนักและการเห็นถึงความจําเปนและความสําคัญทีจ่ ะตองมารวมมือกัน
เปนตาขายบนความสัมพันธแบบชวยเหลือกัน ในฐานะทั้งเปนฝายผูให
และผูรับ ซึ่งจะแสดงออกใน “วิธีการแบงปนผลประโยชนที่เกิดขึ้น”
ในสวนของโครงการกระดูกนัน้ ผลลัพธจากการดําเนินงาน
ทําใหได “คณะกรรมการสงเสริมการทองเที่ยวโดยชุมชนอําเภอนาแหว”
ที่ พั ฒ นาต อ ยอดแบบวิ วั ฒ นาการมาจากโครงสร า งเครื อ ข า ยเดิ ม คื อ
บ า นใกล เรื อ นเคี ย ง คณะกรรมการฯ ชุ ด นี้ เ ป น โครงกระดู ก ที่ แข็ ง แรง
พอสมควร เพราะไดรับการแตงตั้งจากทางอําเภอ ทําใหกระดูกแตละทอน
ของแตละตําบลที่เคยตางคนตางทําเรื่องการทองเที่ยวไดมาเชื่อมตอ
เปนโครงกระดูกของรางกายเดียวกัน ทําใหเกิดการวางแผนงานรวมกัน
มีการจัดกิจกรรมบางอยางไดรวมกัน โดยมีการแบงความรับผิดชอบกัน
ซึ่งเปนสวนที่เปนเนื้อหนังของเครือขาย
ในสวนของเสนประสาท คือระบบการสื่อสาร ก็ไดมีการ
วางโครงขายระบบการสื่อสารยอยๆ ที่มีประสิทธิภาพ เริ่มตั้งแตการทำ
ฐานขอมูลทีใ่ ชรว มกันเรือ่ งทรัพยากรทองเทีย่ วของชุมชน รวมทัง้ มีการจัดหา
ผูดูแลระบบถึง 9 คน มีการสรางระบบสื่อสารติดตอระหวางกลุมจัดการ
ทองเที่ยวกับนักทองเที่ยวในหลายๆ Platform
188 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
สายพันธุโคเนื้อ
2
การปรับเปลี่ยนแนวคิด 1 3 การปรับปรุงพันธุโคเนื้อ
กระบวนการขยาย การเลี้ยงโคขุน
การตลาด 9 4 ระยะสั้น
หวงโซการผลิตโคเนื้อ
คุณภาพดี
การจัดการ
การจัดการขี้วัว 8 5 และปองกันโรค
เครื่องมือและเทคโนโลยี 7
6 อาหารโคเนื้อ
การจัดการโคเนื้อ
• ทีมวิจัยไดสรางคูมือชุดความรูเรื่องการเลี้ยงโคที่สามารถ
นําไปใชขยายผลในกลุม อืน่ ๆ ทีต่ อ งการความรูท งั้ ในเชิงเทคนิคการเลีย้ งโค
ใหมีประสิทธิภาพ (ดานการผลิต) ดานการจัดการตนทุน–รายได–รายจาย
หรือการจัดการดานการตลาด
• การเชื่อมโยงตลาดเครือขายชุมชนผูเลี้ยงโคแมพันธุและ
กลุมโคขุนระยะสั้น โดยมีความรวมมือจาก 3 กลุม คือ ผูซื้อ ผูเชื่อม และ
ผูขาย โดยมีทีมนักวิจัยชุมชนเปนตัวเชื่อมประสาน สงผลให Win-Win
ทั้ง 2 ฝาย คือเกษตรกรผูขายมีกําไรเพิ่มมากขึ้น และผูซื้อลดตนทุน
ในการเดินทางไปซื้อจากภายนอก (หด Logistic chain ใหสั้นเขา)
นอกเหนือจากตัวอยางการใชประโยชนจากงานวิจยั ทีไ่ ดกลาวมานี้
การใชประโยชนที่สําคัญอีกแงมุมหนึ่งคือดานการระดมทรัพยากรจาก
ภายนอกในลักษณะเชิงรุก จากความเขมแข็งและความมัน่ ใจในประสิทธิภาพ
การผลิตของกลุม รวมทั้งระบบการเลี้ยงโคในพื้นที่ศึกษาที่ไมมีปญหา
ดานการตลาดเนือ่ งจากยังมีความตองการสูง กลุม เกษตรกรทีอ่ ยูใ นโครงการวิจยั
จึงมีความตองการที่จะขยายฐานการผลิตโดยจะตองเพิ่มการขยายทุน
ผลจากการรวมงานแบบลมหัวจมทายกับภาคีหนวยงานรัฐทีเ่ กีย่ วของ (เชน
สํานักงานปศุสตั วจงั หวัด สํานักงานเกษตรและสหกรณจงั หวัด) อยางใกลชดิ
และครบวงจรในโครงการวิจัย ดังนั้นภาคีที่เกี่ยวของจึงใหความรวมมือ
ในการเขาถึงแหลงทุนดอกเบีย้ ตํา่ กลุม วิสาหกิจชุมชนรวมกับสํานักงานปศุสตั ว
จังหวัด และสํานักงานเกษตรและสหกรณจังหวัด จึงไดทําโครงการขอกูเงิน
สินเชื่อดอกเบี้ยตํ่า รอยละ 1 บาท ในวงเงินกู 4,900,000 บาท กับกองทุน
สงเคราะหเกษตรกร สํานักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ เพื่อใช
เปนเงินทุนตอยอดขยายโครงการในระยะเวลา 5 ป
(ii) งานวิ จั ย เรื่ อ ง “รู ป แบบการพั ฒ นาขี ด ความสามารถด า น
การทองเทีย่ วชุมชนเพือ่ ลดความเหลือ่ มลํา้ ทางสังคม ตําบลบึงเจริญ อําเภอ
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 191
ผลตอบแทนที่กลับมานี้ นอกเหนือจากเปนรายไดที่เพิ่มมากขึ้น
จากกิจกรรมการทองเทีย่ วโดยชุมชนแลว ทางโครงการยังพบวา จากการทํา
โครงการวิจัยทําใหชุมชนไดรับการสนับสนุนดานงบประมาณจากภาคี
หนวยงานทั้งภาครัฐและเอกชนในดานตางๆ อยางหลากหลายมาก เชน
• จากเทศบาลตําบล รวมสนับสนุนงบประมาณในการทําถนน
เขาสูแ หลงทองเทีย่ ว สรางแหลงอาหารใหผงึ้ รอยรัง (จุดดึงดูดนักทองเทีย่ ว)
กิจกรรมการศึกษาดูงาน กิจกรรมการจัดงานประเพณีทาํ บุญกระดูก 3,000 ป
เปนตน
• สํ า นั ก งานพั ฒ นาชุ ม ชนสนั บ สนุ น งบประมาณการจั ด ทํ า
บรรจุภัณฑนํ้าผึ้ง
• บริษัทธุรกิจเอกชนสนับสนุนงบประมาณการจัดกิจกรรม
ประเพณีทําบุญกระดูก 3,000 ป
• การทองเทีย่ วแหงประเทศไทย สนับสนุนงบประมาณเพือ่ ปรับ
ภูมิทัศนแหลงทองเที่ยวและการจัดสรางที่จอดรถสําหรับแหลงทองเที่ยว
(iii) กรณีที่ 3 นี้เปนตัวอยางการใชประโยชนจากงานวิจัย CBR
ทีม่ หี ว งโซของผลประโยชนในการระดมทรัพยากรทีเ่ หยียดยาวมาก (เหมือน
ปลูกตนไม แลวเก็บผลมากินไดอีกหลายป) โดยทีมวิจัยยึดหลักการวา
“แมหวังดึงงบประมาณ จงเตรียมขอมูลใหพรอมสรรพ” ทั้งในรูปแบบของ
การทําโครงการไปขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ทั้งการ “เตรียมขอมูล
ใหพรอมไว” เมื่อ “โอกาสมาอยูตรงหนา” ก็สามารถจะ “ฉวยควาโอกาส
เอาไวได”
กรณีนคี้ อื งานวิจยั ชุด “การบริหารจัดการนํา้ ในพืน้ ทีต่ าํ บลสําโรง
จังหวัดอุบลราชธานี” ทีม่ หี วั หนาโครงการเปนแกนนําชุมชนเอง โครงการแรก
เปดตัวขึ้นในป พ.ศ. 2551 เมื่อพอบิน คงทน หัวหนาโครงการวิจัย
ไดไปดูงานบริหารจัดการนํ้าที่บานผาชัน จังหวัดอุบลราชธานี แลวนําเอา
“การศึกษาวิจัย CBR” มาใชในการแกปญหาในบานนาหาง โดยเริ่มจาก
สวนที่ 3 • ภาคปฏิบัติการ–เครื่องมือและรูปแบบ RU ใน CBR 193
เอกสารอ้างอิง
สําหรับเอกสารอางอิงทีเ่ ปนรายงานวิจยั ของสํานักงานกองทุนสนับสนุน
การวิจยั (สกว.) นัน้ ผูเ ขียนไดอา งชือ่ นักวิจยั (หัวหนาโครงการ) และปทศี่ กึ ษา
ซึง่ ผูท สี่ นใจสามารถสืบคนไดจากระบบฐานขอมูลของ สกว.
ภาษาไทย
1. กระบวนทัศนวิจัยเพื่อทองถิ่น: จุดเปลี่ยนการพัฒนา (2548) เกศสุดา
สิทธิสันติกุล (บรรณาธิการ) สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
2. การวิจัยไทย: วิวัฒนาการสูอนาคต (2547) กองนโยบายและวางแผน
การวิจัย สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแหงชาติ (วช.)
3. กาญจนา แกวเทพ และกําจร หลุยยะพงศ (2560) การใชประโยชนจาก
งานวิจัยดวยเครื่องมือการสื่อสาร: แนวคิดและบทสังเคราะห สํานักงาน
กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
4. บุษยากร ตีระพฤติกลุ ชัย (2553) “กระบวนการสือ่ สารเพือ่ ปรับแปลงความหมาย
ในพิธกี รรมงานศพ” วิทยานิพนธปริญญาเอก คณะนิเทศศาสตร จุฬาลงกรณ
มหาวิทยาลัย
5. ปยะพงษ บุษบงก และพบสุข ชํา่ ชอง (2563) การออกแบบนโยบายทีไ่ มทงิ้ ใคร
ไวขางหลัง (Inclusive Policy Design) สํานักงานคณะกรรมการสงเสริม
วิทยาศาสตร วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)
6. สีลาภรณ บัวสาย และสุชาตา ชินะจิตร (บรรณาธิการ, 2552) แกะรอย
16 ป สกว. สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
7. สุธีระ ประเสริฐสรรพ (2548) สนุกกับงานวิจัย สํานักงานกองทุนสนับสนุน
การวิจัย (สกว.)
196 การใชประโยชนจากงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (RU in CBR)
ภาษาอังกฤษ
8. Fugelsang, A. and Chandler, D. (1987) “The paradigm of Communication
in development: From knowledge transfer to community participation,
Lessons from the Grameen Bank, Bangladesh, FAO” cited in Jan Servases
et al. (1996) Participatory Communication for Social change,
Sage Publications.
9. Weiss, Carol, H. (1979) “The many meaning of research utilization”
Public Administration Review, (Sept–Oct, 1979)