Professional Documents
Culture Documents
Book KM-CBR2 เครื่องมือการจัดการความรู้
Book KM-CBR2 เครื่องมือการจัดการความรู้
ISBN 978-616-91226-5-4
ผูเขียน รศ.ดร.กาญจนา แกวเทพ
บรรณาธิการ กชกร ชิณะวงศ
ที่ปรึกษา ศ.ดร.ปยะวัติ บุญ-หลง อาภา พงศคีรีแสน
ชีวัน ขันธรรม สุภาวดี ตันธนวัฒน
ปวีณา ราชสีห พีรพัฒน โกศลศักดิ์สกุล
พัชยา มาสมบูรณ
พิมพครั้งที่ 1 ตุลาคม 2565 จํานวน 1,000 เลม
พิมพครั้งที่ 2 ตุลาคม 2565 จํานวน 500 เลม
ผูสนับสนุน สํานักงานการวิจัยแหงชาติ (วช.)
96 ถนนพหลโยธิน แขวงลาดยาว เขตจตุจักร
กรุงเทพมหานคร 10900
โทรศัพท 0 2579 1370
ผูจัดพิมพ มูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อทองถิ่น
(Community – Based Research Institute Foundation)
ชั้น 5 อาคารเฉลิมพระเกียรติ คณะเกษตรศาสตร
มหาวิทยาลัยเชียงใหม 50200
ตู ปณ.259 ปณฝ. มหาวิทยาลัยเชียงใหม อําเภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม 50202
โทรศัพท/โทรสาร 0 5389 2662
สถาบันคลังสมองของชาติ
อาคารอุดมศึกษา 2 ชั้น 19 เลขที่ 328 ถนนศรีอยุธยา
แขวงทุงพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท 0 2126 7632-34 โทรสาร 0 2126 7635
Website: www.knit.or.th
ออกแบบ/พิมพที่ หจก.วนิดาการพิมพ 14/2 หมูที่ 5 ตําบลสันผีเสื้อ
อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม 50300
โทรศัพท/โทรสาร 0 5311 0503-4
คํ า นํ า
เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR) 3
คณะทํางานมูลนิธิสถาบันวิจัยเพื่อทองถิ่น
ส า ร บั ญ
บอกกล่าว 8
(1) การเช็กสตอกตนทุนความรูเดิมเรื่อง KM 17
ของผูเขารวมประชุม
(2) ประวัติความเปนมาของแนวคิด KM 23
ส่วนที่ 2 นานาคํานิยาม 36
(ก) 5 คํานิยามของ KM 37
(1) การใช keywords หาจุดรวมของคํานิยาม 39
(2) คํานิยามของวิจารณ พานิช 41
(สคส. – ปลาทูโมเดล)
(3) คํานิยามของ กพร. 47
(4) คํานิยาม “วงเกลียวแหงความรู” ของ Nonaka 49
(5) คํานิยามจาก DIKW Pyramid: วิกิพีเดีย 50
(ข) แนวคิด DIKW Pyramid 52
ส่วนที่ 3 โมเดลของ KM 74
(1) โมเดลปลาทู 76
(2) โมเดลวงเกลียวแหงความรู 83
(3) โมเดลของมารคารท (Marquardt) 97
เครื่องมือการจัดการความรู้ (KM)
ในงานวิจัยเพื่ อท้องถิ่น (CBR)
ไดนําเครื่องมือการจัดการความรูในเรื่องความขัดแยงในการใชประโยชน
จากทรัพยากรธรรมชาติจากกรณีศึกษา 9 แหงใน 3 จังหวัดภาคเหนือ
เพื่อนําชุดความรูที่ไดมาทดลองขยายผลในพื้นที่ใหม 1 แหง หรืออีก
ชิ้นงานหนึ่งของ บิน คงทน และคณะ (2560) ก็ไดใชเครื่องมือการจัดการ
ความรูเรื่องการบริหารจัดการน้ําจากพื้นที่ที่เคยทํางานวิจัยเพื่อทองถิ่น
ใน 5 หมูบาน เพื่อนําชุดความรูที่ไดมาขยายผลกับอีก 6 หมูบานใหม
ใหครบทั้งตําบลสําโรง อําเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เปนตน
แตถึงแมชาว CBR จะรูจัก จะเขาใจ และไดนําเอาแนวคิดเรื่อง
KM มาใชกนั บางแลว แตทวาชะตากรรมของ KM ก็เหมือนกับแนวคิดใหมๆ
ทัว่ ไป คือเมือ่ แพรหลายขยายตัวมากขึน้ ๆ ก็มกั จะออกอาการเพีย้ นอันเนือ่ ง
มาจากการขาดความเขาใจอยางถองแทหรือเขาใจอยางขาดๆ เกินๆ ดังเชน
งานวิจัยสํารวจผลการนําเอา KM มาใชในหนวยงานภาครัฐเมื่อป 2550
ทิพวรรณ หลอสุวรรณรัตน (2550, อางจาก ณันศภรณ นิลอรุณ, 2552)
ไดพบปญหาหลักๆ 4 ปญหาในการนําเอา KM มาใชในหนวยงานรัฐ
ซึ่งหนึ่งใน 4 ปญหานั้นก็คือ ความเขาใจของเจาหนาที่ในเรื่อง KM
ยังไมชัดเจนเพียงพอ (อีก 3 ปญหาก็เปนเรื่องการสนับสนุนจากเจานาย
บทบาทของหนวยงานกลางที่รับผิดชอบเรื่อง KM การสนับสนุนดาน
ทรัพยากรตางๆ)
ความเขาใจทีแ่ ตกแถวออกไปในเรือ่ ง KM ทําใหในงานเขียนของ
วิจารณ พานิช ผูขับเคลื่อนคนสําคัญเรื่อง KM ในประเทศไทยตองออกมา
พูดแบบ “โปรดฟงอีกครั้ง” วา “อะไรบาง 6 ประการที่ยังไมใชงาน KM”
(ดูรายละเอียดในตอนตอไป) และแมวา หนวยงานหลักของภาครัฐ เชน กพร.
(สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ) ซึ่งเปนฟนเฟองตัวหลัก
ในการขับเคลื่อนเรื่อง KM ในหนวยงานภาครัฐจะระบุอยางชัดเจนวา
การจัดการความรูนั้นไมใชเปาหมายของการทํางาน หากแตเปนเพียงแค
“เครื่ อ งมื อ ช ว ยการทํ า งาน” (tool) แต เ มื่ อ มี เ งื่ อ นไขกึ่ ง ชั ก ชวนนิ ด ๆ
เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR) 13
กพร.
(2549) Nonaka (1995)
นพ.วิจารณ DIKW Pyramid
(สคส. 2547) (Wikipedia)
Common คํานิยาม (Danny P. Wallace, 2007)
keyword Sect 2
Check Stock
ความรู KM
+ Sect 1 ในงาน Sect 3 Model/Process
ประวัติ CBR
ความเปนมา โมเดลปลาทู (3.1)
KM (3.3)
(วิจารณ/ (3.2) 6 step
ประพนธ) SECI Marquardt
Sect 4 (Nonaka) (1996)
ภาพรวม Tool 4KM “วงเกลียวแหงความรู”
ส่วนที่
1 check stock
และประวัติ
ในส่วนที่ 1 นี้ จะประกอบด้วยเนือ
้ หา 2 ส่วน คือ
(1) การเช็กสต๊อกต้นทุนความรู้เดิมเรื่อง KM ของผู้เข้าร่วมประชุม
(2) ประวัติความเป็นมาของแนวคิด KM
สวนที่ 1 • check stock และประวัติ 17
(1) การเช็กสต๊อกต้นทุนความรู้เดิมเรื่อง KM
ของผู้เข้าร่วมประชุม
จะไดไมไปเติมซ้ําความรูที่มีอยูแลว หรือไมพลาดที่จะเติมความรูที่ยัง
ขาดอยู
เครื่องมือที่ใชเช็กสตอกความรูเปนคําถาม 3 คําถาม ที่เปนเหมือน
เสาวัดระดับน้ํา ดังนี้
• คําถามที่ 1: เวลาเราไปเรี ย นเอาความรู จ ากมหาวิ ท ยาลั ย /
โรงเรียน ทําไมจึงไมตองทํา KM
• คําถามที่ 2: การขยายผล (ซึง่ เปนโจทยรว มของทัง้ 14 โครงการ)
แบบที่ทํา KM หรือไมไดทํา KM มีขอเหมือน-
ขอตางกันอยางไร
• คําถามที่ 3: ในการออกแบบกิ จ กรรมในงานวิ จั ย (activity-
design) แบบที่ ทํ า KM จะแตกต า งจากการ
ออกแบบกิจกรรมแบบที่ไมมีการทํา KM อยางไร
กระบวนการที่ใช คือการแบงกลุมยอย 3 กลุม ใหสมาชิกแตละคน
ตอบคําถามของตัวเองลงในบัตรคํา แลวนําคําตอบมาอภิปรายแลกเปลีย่ นกัน
ภายในกลุมยอยกอน และปดทายดวยการนําขอสรุปของแตละกลุมยอย
มานําเสนอเพื่อเรียนรูรวมกันในกลุมใหญ
ประมวลคําตอบขอที่ 3: การออกแบบกิจกรรมแบบมี KM
จะแตกตางจากที่เคยทํา (แบบไมมี KM) อยางไร
เบือ้ งหลังไขควงตัวที่ 3 นีก้ ค็ อื การเนนเรือ่ งการใชประโยชนจาก KM
ในการทํางานโดยเฉพาะในขั้นตอน “การออกแบบกิจกรรม” เนื่องจาก
CBR มี ค าถาสํ า คั ญ ว า การออกแบบกิ จ กรรมเพื่ อ สร า งผลลั พ ธ
การเปลี่ยนแปลงนั้น จะไมใชวิธีการ “เอากิจกรรมแบบเดิมๆ ที่เคยใชมา
ทุกครั้งไป” (ดูงาน จัดเวทีแลกเปลี่ยน) หรือ “แบบที่คิดเอาวา” แตทวา
“การออกแบบกิจกรรม” (activity design) นัน้ จะตองมาจาก “ขอมูลทีเ่ ก็บมา
และผานการวิเคราะห-สังเคราะห” (activity designed on information)
ดังนัน้ หากมีการจัดการ “ขอมูล” ใหมมี ลู คาเพิม่ ขึน้ เทาใด ก็จะสงผลสะเทือน
ตอไปยังการออกแบบกิจกรรมมากขึ้นเทานั้น
คําตอบเรื่อง KM เปนตัวชวยในการออกแบบกิจกรรมมีประมาณนี้
(1) ทําใหการออกแบบกิจกรรมทําไดตรงเปา ถูกกาลเวลา ถูกที่ ถูกคน
(2) ทําใหการออกแบบกิจกรรมมีทศิ ทางทีเ่ ขากับนโยบาย/ยุทธศาสตร
ขององคกร
(3) ทําใหการออกแบบกิจกรรมอยูบ นฐานความรูแ ละประสบการณ
เดิมของคนทํางาน
22 เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR)
(2) ประวัติความเป็นมาของแนวคิด KM
จากสถานที่แจงเกิดและรูปแบบวิธีการทํา KM ที่ไดกลาวมา
ความหมายของการทํา KM จึงเนนหนักที่กระบวนการจัดทําฐานขอมูล
ที่เปนชุดความรูของคนทํางาน โดยเนนดานการนํา IT มาชวยรวบรวม
จัดเก็บ สวนเปาหมายที่ชัดเจนของ KM ก็คือ KM มีสถานะเปน “เครื่องมือ
อีกชิน้ หนึง่ ” ทีม่ สี ว นชวยสําคัญตอการแขงขันทางธุรกิจของบริษทั /องคกร และ
สถานะของ “ความรูท จี่ ดั การรวบรวมมาได” ก็ถกู ถือวาเปนสินทรัพย (asset)
ประเภทหนึ่งของบริษัท (เพิ่มเติมจากตัวอาคาร โรงงาน เครื่องจักร ฯลฯ)
อยางไรก็ตาม ผลลัพธโดยทางออมของการจัดการความรู
ในยุคนี้ก็มีหลายอยางโดยเฉพาะในสวนที่เกี่ยวกับการปรับมุมมองเรื่อง
“ความรู” เชน จากแตเดิม ผูคนมักจะคิดกันวา สิ่งที่เรียกวา “ความรู”
นั้นจะตองมาจากการศึกษาคนควาจากหนังสือ/ตํารา ตองเปนนักวิชาการ
ที่สรางความรู และสถานที่ผลิตก็ตองอยูในมหาวิทยาลัย แตทวา เมื่อเกิด
ศาสตรแหง KM ยุคแรก ก็ไดมีการเปดเสนทางใหมของ “ความรู” อีก
เสนทางหนึ่ง คือความรูที่มาจาก “การลงมือปฏิบัติ” (และก็จะ “ไปสู”
“การปฏิบตั ”ิ อีกที) ใครๆ ทีล่ งมือทํางานก็สามารถจะผลิตและสรางความรูไ ด
ไม ใช เ ป น อภิ สิ ท ธิ์ ข องกลุ ม นั ก วิ ช าการเท า นั้ น และสถานที่ / แหล ง ผลิ ต
ความรูก็มีไดทุกหนทุกแหงในใตหลา
นอกจากนั้น ก็ยังเกิดการจําแนกแยกแยะความรูออกเปน
“ประเภทย อ ยๆ” ที่ ไ ม ใช ก ารจั ด แบ ง แบบเดิ ม ว า “เป น ความรู ว า ด ว ย
เรื่องอะไร” (ความรูเรื่องพืช สัตว เครื่องจักรกล สุขภาพ ฯลฯ) หากแตเปน
“ความรูที่อยูในแหลงกําเนิดแบบไหน” ในตัวคน (TKn) หรือในหนังสือ
เอกสารตํารา (EKn) โดยในอดีตทีผ่ า นมา เรามักจะมีระบบการจัดการความรู
แต เ ฉพาะประเภทความรู ชั ด แจ ง (เช น การจั ด หมวดหมู ข องหนั ง สื อ
ในหองสมุด) สวนความรูที่ฝงอยูในตัวคนนั้นมักไมมีระบบการจัดการหรือ
จัดการ (แบบปลอย) ไปตามยถากรรม
30 เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR)
3
2 นําความรู/ขอมูล
1 ไปใชในการสราง
ความไดเปรียบ
มีความสามารถ
ใชขอมูล ในการแขงขัน
เห็นความสําคัญ
ของการทํางาน
โดยใชความรู/
ขอมูล
ในการจัดการธรรมชาติที่ขัดแยงกันนี้โดยผานมาตรการและกลไกหลายๆ
อยาง เชน เรื่องการจดลิขสิทธิ์ เรื่องการลงทุนวิจัยเพื่อแสวงหาความรู
ที่เปนประโยชนตอสาธารณะ เรื่องการฝกอบรมเรื่อง KM เปนตน
และเมือ่ แนวคิด KM ไดไหลเลือ่ นผานเขามาสูแ วดวงนักพัฒนา
องคกรเอกชน (NGO) หรือภาคประชาชน และกลุมอาสาสมัครตางๆ
เนือ่ งจากกลุม /องคกรเหลานีม้ กี ารดําเนินงานเพือ่ ผลประโยชนของสาธารณะ
(Public good) เปนหลัก ดังนัน้ แนวคิด KM ทีไ่ หลมาแวะพักในองคกรตางๆ
เหลานี้ จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงในสวนประกอบยอยๆ บางสวนไปจากเดิม
เริ่มตั้งแตการแผรังสีของเปาหมายที่กวางขวางไปกวา “การเสริมความ
สามารถในการแขงขันในตลาดธุรกิจ”
จุดเนนของการนํา KM มาใชในภาคประชาสังคมจึงอาจจะ
แตกรังสีของเปาหมายออกไปในหลายระดับ เชน
• ระดับบุคคล เปน KM ทีม่ งุ พัฒนาตัวบุคคลในหลากหลาย
บทบาท ทั้งในแงเปนผูสราง/ผูผลิตความรู ผูใชความรู
ผูจัดเก็บความรู ผูเปดรับความรู ผูดัดแปลงความรู ผูใฝใจ
เรียนรู (Personal mastery ตามแนวคิดของ P. Senge)
รวมทั้งเปนผูถายทอดความรู เปนผูแลกเปลี่ยนความรู
เปนตน
• ระดับกลุม/องคกร เปน KM ที่มุงพัฒนาการทํางาน
ขององค ก ร/กลุ ม ให มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพ และทํ า งานได ผ ล
ตามเป า หมาย พร อ มกั บ ที่ ย กระดั บ เป น กลุ ม /องค ก ร
แหงการเรียนรูไปพรอมๆ กันดังที่ไดกลาวมาแลว
• ระดับเครือขายและสังคมวงกวาง เปน KM ที่มุงเนน
การแลกเปลี่ยน การถายโอนและการเรียนรูในทุกระดับ
ทั้งภายในและภายนอกองคกร ทั้งกับเครือขายและสังคม
วงกวาง ซึง่ อาจถือไดวา ในยุคที่ 3 นี้ แนวคิดทีไ่ ดรบั การชูธง
34 เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR)
2
ในส่วนที่ 2 นีจ
นานาคํานิยาม
้ ะแบ่งเป็น 2 หัวข้อย่อยคือ
(ก) 5 คํานิยามของ KM
(ข) แนวคิด DIKW Pyramid
สวนที่ 2 • นานาคํานิยาม 37
(ก) 5 คํานิยามของ KM
สราง/เก็บ/
เรียกใช
knowledge
สงผาน
ความรูที่ 2. สราง
เหมาะสมแกคน 1. ระบุ/กําหนด (create/capture)
etc. (define/identify)
KM ที่คูควร
คํานิยาม
เชิง KM 3. เก็บ
กระบวนการ ถายโอน/ 5. แชร (storage)
etc. แลกเปลี่ยน (sharing/exchange)
ความรูระหวาง
คนในองคกร/ 4. เรียกใช
ในวงการ (retrieval)
เดียวกัน
สวนที่ 2 • นานาคํานิยาม 41
คํานิยาม KM เชิงกระบวนการแบบครบวงจร
• การระบุความรูที่ตองการ
ตนน้ํา • จําแนกประเภทความรู
• รวบรวมความรูจากแหลงตางๆ
• ตรวจสอบ กลั่นกรองความรูที่รวบรวมมา
• จัดเก็บความรูใหเปนระบบ
กลางน้ํา • นําไปทดลองใช
• วิเคราะห-สังเคราะหผลการใช
• ประมวลผลความรูจากการทดลองใช
• การทําใหความรูถูกเขาถึง ถูกใช
ถูกปรับเปลี่ยน
ปลายน้ํา • ยกระดับความรูใหสูงขึ้น
• นําความรูไปถายทอด-แลกเปลี่ยน
เปนการดําเนินการเพื่อ 4 เปาหมาย
1
KM คืออะไร
นพ.วิจารณ
(สคส.)
3 2
อะไรที่ไมใช KM ผาน 7 กิจกรรม
• ขาที่ (1) KM
เปนกระบวนการเพื่อบรรลุ 4 เปาหมาย (ดังในภาพ)
1
เพื่อพัฒนางาน
เพื่อเพิ่มความเปน
ชุมชนในองคกร 4 4 เปาหมาย
ของ KM 2 เพื่อพัฒนาคน
(Community of
Practice – CoP)
3
เพื่อพัฒนาองคกรแหงการเรียนรู
• ขาที่ (2) KM
เปนกระบวนการที่ประกอบดวย 7 กิจกรรมหลักๆ
กําหนด/ระบุความรูที่จําเปน (ตอการทํางาน)
01
แลกเปลี่ยน/ เสาะหา/แสวงหา+
แชรกับคนอื่นๆ 07 02 จัดใหเปนระบบ
7 กิจกรรม
ของ KM ปรับปรุง/ดัดแปลง
บันทึก/จัดเก็บ
ชุดความรู
06 (สคส.) 03 ใหเหมาะสม
ผลการวิจัยมีดังนี้
• กิจกรรมที่ 1: การกําหนด/ระบุความรูท จี่ าํ เปนตอการทํางาน
(Knowledge identification) พบวา สวนใหญความรูท ตี่ อ งการเปน
ความรูเ ชิงเทคนิคของการผลิตจักสาน โดยสมาชิกกลุม จะมีวธิ กี าร
ระบุความรูที่ตองการดวยตัวเอง
• กิจกรรมที่ 2: การเสาะแสวงหาความรู มี วิ ธี ก ารทั้ ง เป น
รายบุคคลและทํารวมกันเปนกลุม (ในรูปแบบการประชุม) แตโดย
สวนใหญจะไมไดใชการแสวงหาความรูใหมๆ จากแหลงความรู
ภายนอกมากนัก หากแตจะนําเอาความรูเดิมจากกลุมสมาชิก
มาปรับปรุงพัฒนาใหดีขึ้น
• กิจกรรมที่ 3: การปรับปรุงและดัดแปลงความรูที่แสวงหา
ใหเหมาะสม เมื่อมีความรูใหมๆ เกิดขึ้น วิธีการปรับปรุงจะมี
หลายระดับ ระดับทีน่ อ ยทีส่ ดุ คือ เอาแคเพียงเปนแนวทาง ระดับ
ที่สูงขึ้นมาคือ เอามาปฏิบัติตาม/ทําตาม แลวระดับที่สูงที่สุดคือ
นําเอามาดัดแปลงปรับปรุงใหมเลย
• กิจกรรมที่ 4: การนํามาประยุกต/ทดลองใช ใชวิธีการลองผิด
ลองถูก
• กิจกรรมที่ 5: การสกัด (capture) ขุมความรู-แกนความรู
(knowledge asset) จากการลงมือปฏิบัติ ขั้นตอนนี้ไมปรากฏ
ในการทํา KM ของกลุมตัวอยาง
• กิจกรรมที่ 6: การบั น ทึ ก /จั ด เก็ บ ขุ ม ความรู โดยส ว นใหญ
ผูจ กั สานจดจําความรูเ อาไวในตัวเอง (เปน tacit knowledge) หรือ
อาจจะเก็บอยูใ นชิน้ งาน มีเปนสวนนอยทีม่ กี ารบันทึก ผลสืบเนือ่ ง
จากวิธกี ารจัดการความรูใ นขัน้ ตอนจัดเก็บในรูปแบบนี้ ทําใหเกิด
ความคลาดเคลื่อน ขอมูลสูญหาย หรือลบเลือนหากตัวบุคคล
หายไป
สวนที่ 2 • นานาคํานิยาม 45
เนื่องจากงานวิจัยชิ้นนี้ดําเนินการโดยกลุมคณาจารยในสถาบัน
การศึ ก ษา และทํ า วิ จั ย ในลั ก ษณะ “วิ จั ย และพั ฒ นา” (Research &
Development) ดังนั้น หลังจากดําเนินการสําเร็จในขั้นตอนของ “การวิจยั ”
จนผลวิจัยที่ไดคนพบ “รอยโหวของภาคปฏิบัติการ” ในเรื่องการจัดการ
ความรูในขั้นตอนตางๆ แลว ทางทีมวิจัยจึงไดเดินหนาตอในสวนของ
“การพัฒนา” โดยการออกแบบกิจกรรมเพือ่ ปะผุรอยราว รอยแตก รอยโหว
ของกระบวนการจัดการความรูของกลุมธุรกิจชุมชนทั้ง 8 กลุม กลไกสําคัญ
ที่ทางทีมวิจัยไดนํามาใชในการทํากิจกรรมเพื่อพัฒนาระบบการจัดการ
ความรูของกลุมเปาหมาย ก็คือ “ศูนยบมเพาะธุรกิจชุมชน” ของสถาบัน
การศึกษา (ศูนยฯ นี้ทําหนาที่คลายๆ เปน “คุณเอื้อเฉพาะกิจ” (Chief
Knowledge Officer – CKO) ในปลาทูโมเดล) ซึง่ ไดรว มดําเนินกิจกรรมตางๆ
กับกลุมธุรกิจชุมชน เชน
• การจัดอบรมพัฒนาศักยภาพของผูประกอบการตลอดทั้งหวงโซ
อุปทาน คือดานการผลิตและดานการตลาด
• การจัดการศึกษาดูงานในแหลงจักสานที่มีชื่อเสียง (เพิ่มการ
แสวงหาความรูจากแหลงภายนอก)
• การสรางเครือขายระหวางกลุมธุรกิจชุมชนทั้ง 8 กลุมเพื่อใหเกิด
เปนคลายๆ “ชุมชนของผูปฏิบัติการ” (CoP) ตอไปในอนาคต
เปนตน
46 เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR)
2 ไมใชสูตรสําเร็จเพื่อบรรลุผล
What is 3 ไมใชวิธีการที่เปนสูตรสําเร็จ
not KM
4 ไมใชการทํา package (หาความรูมารวมๆ ใสกลอง)
(สคส.)
5 ไมใชแค “บันทึกขอมูล/สารสนเทศ” อยางไรเปา
6 ไมใชการรวบรวมความรูไปใสเครื่องคอมพิวเตอร/
หนาเว็บเพื่อใหบริการคนอื่น
สวนที่ 2 • นานาคํานิยาม 47
1(ทั้งใน-นอกองคกร) มาพัฒนาใหเปนระบบ
การรวบรวมองคความรูท มี่ อี ยูใ นตัวคน/เอกสาร/
2 เพื่อใหทุกคนในองคกรเขาถึงความรู และ
กพร.
(2549) 3 ใชพัฒนาตัวเองใหเปนผูรู
KM คือ…
4 และนํ าความรูไปประยุกตใชในการปฏิบัติงาน
(การทํางาน) ใหมีประสิทธิภาพ
5 อัใหนมจะมีีความสามารถในเชิ
ผลตอองคกร (หวงโซผลลัพธ)
งแขงขันสูงสุด
48 เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR)
01 เสาะหา/แสวงหา+จัดให
การเรียนรู-ใชประโยชน เปนระบบ
(Learning) 07 02 (Knowledge creation
& acquisition)
7
การแบงปน กระบวนการ การจัดความรูให
แลกเปลี่ยนความรู ของ KM เปนระบบ
(Knowledge 06 (กพร.) 03 (Knowledge
sharing) organization)
การเขาถึงความรู 05 04 การประมวลและกลั่นกรอง
ความรู (Knowledge
(Knowledge access)
codification & refinement)
ไมตองสงสัยเลยวาจะมีงานวิจัยเรื่อง KM เปนจํานวนมากที่นําเอา
คํานิยามและรูปแบบกระบวนการ KM ของ กพร. และสถาบันเพิ่มผลผลิต
แห ง ชาติ ไ ปใช เ นื่ อ งจากเป น มาตรฐาน ตั ว อย า งเช น งานวิ จั ย เรื่ อ ง
“การพัฒนารูปแบบการจัดการความรูภูมิปญญาผายอมครามใน 4 จังหวัด
ของภาคอีสาน” โดยชัยโรจน ธนสันติ และมาลี ไชยเสนา (2560) โดยทีมวิจยั
สวนที่ 2 • นานาคํานิยาม 49
Tacit Explicit
Tacit Explicit
Explicit Explicit
ขอมูล (Data)
สารสนเทศ (Information)
DIKW
Pyramid ความรู (Knowledge)
ปญญา (Wisdom)
1
แนใจนะวา “..ใชความรู..”
4 2
DIKW ปรามิด
วิธีการใชปรามิด เรื่องนี้ยังไมมีฉันทามติ
3
ขอเสนออีกปรามิดหนึ่ง
WISDOM
KNOWLEDGE
INFORMATION
DATA
(2) แต่เรื่องนี้ยังไม่มีฉันทามติ
แมวาจะมีการขานรับแนวคิดของ Wallace ในเรื่องการแยกแยะ
ระดับชั้นของสิ่งที่รูมา รวมทั้งยอมรับรูปแบบการเรียงตัวแบบปรามิดดวย
แตทวาแนวคิดเรื่อง DIKW นั้นก็เหมือนแนวคิดที่เพิ่งแจงเกิดขึ้นใหมๆ
กลาวคือ ยังไมตกผลึกเปนเนื้อเดียวกัน ยังไมมีความเห็นพองตองกันวา
คําวา “ขอมูล สารสนเทศ ความรู และปญญา” นัน้ คืออะไรกันแน และอะไร
เปน “ปจจัยเพิ่มมูลคา” ใหเกิดการเลื่อนชั้นขึ้นไป (คลายๆ บรรยากาศ
ที่มีปรามิดจํานวนมากมายหลายแหงในอียิปตอยางไรอยางนั้น)
ในที่นี้จะลองดูตัวอยางปรามิด DIKW แบบตางๆ สัก 2 ตัวอยาง
• ตัวอยางปรามิดที่ 1
ลําดับชั้นของความรู
สรางทฤษฎี/ความรูใหม/
ปญญา แนวทางใหมๆ ในการทํางาน
(Wisdom)
ตรวจสอบ ใชความรูถูกตอง ความรู นําไปใชประโยชน
หรือไม (Knowledge)
ระวังความนาเชื่อถือ สารสนเทศ วิเคราะหแลว (สถิติ/
ตัวแปร/แนวโนม)
คนวิเคราะห (Information)
ระวังขอมูลผิด ขอมูล ขอมูลดิบ
(Data)
Focus:
Collect INFORMATION
Process Know What
Disseminate Processing
Store
Display
Protect DATA
(3) ขอนําเสนออีกปิรามิดหนึ่ง
เนื่องจากการสรางปรามิดนั้นยังไมสิ้นสุด ดังนั้นผูเขียนจึงขอสราง
ปรามิด DIKW อีกสักอันหนึง่ มาใหพจิ ารณา โดยเกณฑหลักทีผ่ เู ขียนใชกค็ อื
“ความสัมพันธระหวางความรูกับคนรู” หนาตาของปรามิดของผูเขียน
จะเปนดังในภาพ
คําอธิบายประกอบภาพนี้ก็คือ
(i) ขอมูล (Data) เปนระดับขอมูลเพียวๆ ทีไ่ ปเก็บมา นําเสนออยาง
โดดๆ อยางเปนอิสระไมเกี่ยวของกัน ทําใหขอมูลยังไมมีความหมายใดๆ
ตัวอยางเชน ขอมูลเรื่องอาชีพของคนพิการที่ทีมวิจัยเรื่องอาชีพคนพิการ
จังหวัดโคราช เก็บมาไดจากกลุมตัวอยาง
D1
เลี้ยงสัตว
D9 D2
ชางซอม
D8 D3
จักสาน อาชีพของ ตัดผม
คนพิการ
D7 D4
คาขาย ทอผา/
เย็บผา
D6 D5
ทํานา ปลูกผัก
58 เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR)
จัดกลุม (grouping)
การจัดระบบขอมูล (organize)
D1 + D2
เปรียบเทียบ
D3 - D4 การวางโครง (structure)
D5 × D6
D7 ÷ D8
เชื่อมโยง Category
ประมวลสรุป เปนเหตุเปนผล
สวนที่ 2 • นานาคํานิยาม 59
Knowledge การมีความสัมพันธระหวาง
(ความรู) Data หรือ Information × คนรู (รู why, รู how)
ตั้งคําถาม
ดัดแปลง/ประยุกตใช +
นําไปใช D1 -
× I2
If-Then ÷
วิเคราะห/สังเคราะห
(มีไขควง) Idea/Learning/
ตรวจสอบ Notion/อภิปราย/
พิจารณา/ไตรตรอง/
เปนบทเรียน ทบทวน
ตัดสินใจ
สวนที่ 2 • นานาคํานิยาม 61
สําหรับในบันไดขั้นที่ 3 หมายถึงผลลัพธที่เกิดขึ้นเมื่อเราไดไตขั้น
บันไดปรามิดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนเวลาที่เราไตเขาสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แลว
มองลงมา ก็จะพบวา ยิ่งปนสูงขึ้นไป ก็ยิ่งมองลงมาเห็นขอบเขตพื้นที่
ขางลางไดกวางขวางขึ้น หรือพูดงายๆ วา ระดับของความรูในขั้น Data-
Info-Knowledge-Wisdom จะแผ รั ง สี ไ ปได ไ กลมากน อ ยไม เ ท า กั น
ดังที่มีนักวิชาการ KM บางทานไดสรางตัวแบบแสดงการแผรังสีเอาไว
ในภาพ
Knowledge ทีม่ คี วามเขมขน ตกผลึก สะสมผานกาลเวลา
Wisdom คิดทะลุ (insight) บูรณาการหลายชุดความรู เปนหลักการ
(ปญญา)
ใชในการตัดสินใจ ฝงลึกเปนความชํานาญ ผานการทดสอบ
มาหลายตอหลายครั้ง
W Prespective
K Predictive
I Descriptive
พื้นที่มองเห็น
สวนที่ 2 • นานาคํานิยาม 65
(5) หลากหลายวิธีการในการจัดประเภทความรู้
ในเนือ้ หาทีว่ า ดวย DIKW ปรามิดทีก่ ลาวมาแลวนัน้ ดูเหมือนจะเปน
การพิจารณา “ความรู” ในแนวตั้ง คือใหความสนใจกับ “ความรู” ในระดับ
ชั้นตางๆ ที่มีมูลคาเพิ่มแตกตางกัน สรางผลลัพธ/ผลสืบเนื่องที่แตกตางกัน
และแมจะขึน้ มาอยูใ นระดับชัน้ เดียวกันแลว หากพิจารณาในแนวนอน
ก็ยังสามารถจะจําแนกประเภทของ “ความรู” ออกไดอีกหลายๆ แบบ
ในที่นี้จะยกตัวอยางการแบงประเภทความรูใหดูสัก 2 แบบ ดังในภาพ
Know what
รูจัก/รูจํา
1
การแบงประเภท
Care why ความรู
คุณคา/ความเชื่อ 4 2 Know
รูทํา
how
Tacit Explicit
3
Know why
รูหลัก
กอนที่จะปดมานของเนื้อหาในสวนที่ 2 ที่วาดวยเรื่องคํานิยาม
เพื่อจะกาวไปสูเนื้อหาสวนที่ 3 ที่วาดวยโมเดลตางๆ สําหรับการลงมือ
ปฏิ บั ติ จ ริ ง เพื่ อ เป น การขี ด เส น ใต ใ ห ผู อ า นได ม องเห็ น ได ต ระหนั ก
จนถึงระดับซาบซึ้งกับการทํา KM ผูเขียนจะขอปดทายสวนนี้ดวยหัวขอ
“ประโยชนของการทํา KM” พอสังเขป
68 เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR)
(6) ประโยชน์ของการทํา KM
จากตัวอยางงานวิจัยเรื่อง KM ที่มีอยางมากในชวงปลายทศวรรษ
2540-2550 ผูเ ขียนพบวาในงานวิจยั เรือ่ ง KM แตละชิน้ ก็จะมุง ใชประโยชน
ของ KM ไปในแงมุมตางๆ ในที่นี้ผูเขียนจึงจะประมวลประโยชนของ KM
มานําเสนอเปนตัวอยางในที่นี้ โดยที่ผูเขียนพบวา ประโยชนของ KM นั้น
เป น แบบอเนกประสงค คื อ ใช ไ ด ป ระโยชน ใ นหลายแง ห ลายมุ ม
เปนประโยชนสาํ หรับบุคคลหลายกลุม และหลายระดับ และยังเปนประโยชน
แบบเปดปลาย คือยังสามารถสรางสรรคตอไปไดอีกเรื่อยๆ
ประมวลฐานความรูเดิม
แปลง TKn เปน EKn 1 2
3 ทบทวนหนาตักความรู
etc. 11
4 กอรางสรางความรูใหม
ชวยพัฒนานวัตกรรม 10 นานาประโยชน
ของ KM
5 พบชองโหวของการปฏิบัติงาน
นําไปขยายผล 9
6 พัฒนาความสามารถคนทํางาน
เพิ่มผลผลิต Productivity 8
7
เพิ่มประสิทธิภาพขององคกร
การทํา KM มีประโยชนดังตอไปนี้
(1) เปนชวงเวลาทีจ่ ะดึง “ความรูท ม่ี อี ยูใ นตัวคน” (Tacit Knowledge)
มาจัดการใหอยูใ นรูปของความรูช ดั แจง (Explicit Knowledge) ซึง่ จะสงผล
ตอเนื่องยืดยาวออกไปเปนสายโซ เชน ทําใหความรูไมสูญหายโดยงาย
ทําใหเขาถึงความรูไดสะดวกขึ้น เปนตน
สวนที่ 2 • นานาคํานิยาม 69
2. สายพันธุ
โคเนื้อ
1. การปรับ 3. การปรับปรุง
เปลี่ยนแนวคิด พันธุโคเนื้อ
กระบวนการขยาย 4. การเลี้ยงโคขุน
9. การตลาด ระยะสั้น
หวงโซการผลิต
โคเนื้อคุณภาพดี
8. การจัดการขี้วัว 5. การจัดการและ
ปองกันโรค
7. เครื่องมือและเทคโนโลยี
การจัดการโคเนื้อ 6. อาหารโคเนื้อ
72 เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR)
3 KM
3 โมเดลที่จะนําเสนอก็คือ
(1) โมเดลปลาทู
โมเดลของ
(2) โมเดลวงเกลียวแห่งความรู้
(3) โมเดลของมาร์คาร์ท (Marquardt Model)
สวนที่ 3 • โมเดลของ KM 75
(1) โมเดลปลาทู
โมเดลนี้พัฒนาขึ้นโดยสถาบันสงเสริมการจัดการความรูเพื่อสังคม
(สคส.) ในราวๆ ชวงป พ.ศ.2545 (โดย อ.ประพนธ ผาสุขยืด และ
นพ.วิจารณ พานิช)
ชื่อนามของโมเดลก็แสดงอยางชัดเจนแลววา ใชภาพของ “ปลาทู”
เปนตัวแทนหลักการและความคิด โมเดลปลาทูเสนอวา สวนประกอบสําคัญ
ของกระบวนการจัดการความรูน นั้ เปรียบเสมือน 3 สวนหลักๆ ของตัวปลา
คือ หัวปลา ลําตัวปลา และหางปลา
ผูเขียนไดประมวลหัวขอยอยของโมเดลปลาทูเปน 4 สวน ดังแสดง
ในภาพ
3 สวนของปลา
1
1 คุณเอื้อ
“คุณเอื้อ”
Chief Knowledge
Officer: CKO
ตัวละครที่มีความสําคัญในการสงเสริมใหเกิดหัวปลา (และตาปลา
ใสแจว) ที่ชัดเจนก็คือ คุณเอื้อ (ระบบ) (Chief Knowledge Officer – CKO)
สวนที่ 2: ตัวปลา (Knowledge Sharing) สวนนีค้ อื ตัวกิจกรรมตางๆ
ของกระบวนการ KM เริ่มตั้งแตการระบุความรูที่ตองการ แสวงหา จัดเก็บ
.... ตามกิจกรรม 7 ประเภททีแ่ สดงไวในคํานิยาม KM ของ สคส. โดยเนือ้ หา
ความรูที่จะนํามาแลกเปลี่ยนนั้นจะถือเอาความรูจากประสบการณและ
การทํางานจริงเปนตัวตั้ง ความรูจากหลักการ/ทฤษฎีเปนตัวเสริม
สวนตัวปลานี้ ตัวละครสําคัญมี 2 ตัวคือ “คุณอํานวย” (Knowledge
Facilitator) ซึง่ จะทําหนาทีจ่ ดุ ประกายและเอือ้ อํานวยใหกระบวนการดําเนิน
ไปไดอยางดี (คุณอํานวยตองไมเปลี่ยนชื่อไปเปน “คุณอํานาจ” นะ) และ
“คุณกิจ” เปนผูท แี่ สดงบทบาทแลกเปลีย่ นเรียนรู (Knowledge Practitioner)
หรือผูทํากิจกรรมการจัดการความรูนั่นเอง ความสําเร็จของ KM นั้น
แมวา จะมีคณุ เอือ้ เปนคนจุดประกาย คุณอํานวยเปนผูส านตอ แตทวาก็ตอ ง
ทําใหคุณกิจมีความรูสึกเปนเจาของของการ KM อยางแทจริงเทานั้น
การทํา KM นั้นจึงจะบรรลุเปาหมาย
สวนที่ 3: หางปลา หมายถึงตัวความรูท ถี่ กู จัดการเปน “ขุมความรู”
(Knowledge Assets) ที่ไดมาจากการแลกเปลี่ยนเรียนรู โดยที่ขุมความรูนี้
อาจจะอยูในรูปแบบของฐานขอมูล คลังความรู การบันทึก การประมวล
การจัดเก็บ การเรียกใช ฯลฯ ซึ่งอาจจะจัดเก็บในหลายๆ รูปแบบเพื่อเอื้อ
อํานวยตอการเขาถึงและการนําไปใช โดยกลุมบุคคลที่จะแสดงบทบาท
ในสวนของหางปลานี้ ก็มตี งั้ แตคณ ุ ลิขติ ทีช่ ว ยบันทึก คุณประมวลทีช่ ว ยสรุป
ตีความและยกระดับขอมูลใหเปนความรูที่สูงขึ้น (ตามแนวคิด DIKW
ปรามิดที่กลาวมา) และคุณวิศาสตร (Wizard) ที่ทําหนาที่ดูแลระบบ IT
สวนที่ 3 • โมเดลของ KM 79
6 ระบุชองวางระหวางความรูเกาที่มี ความรูใหมที่ตองการ
สวนที่ 3 • โมเดลของ KM 81
เมื่อเปรียบเทียบกับโมเดลปลาทูที่ไดกลาวมาแลว ในขณะที่โมเดล
ปลาทูเนนหนักไปทีภ่ าคปฏิบตั กิ ารของการจัดการความรู (มีเปาหมายใหเกิด
การลงมือทําจริงๆ) แนวคิดของ Nonaka & Takeuchi จะเริ่มลงไปใน
รายละเอียดที่แตกตางจากปลาทูโมเดลใน 2-3 แงมุมคือ
(1) Nonaka จะแยกความรูออกเปนประเภทยอยๆ ที่แตกตางกัน
โดยใชเกณฑเรื่อง “แหลงที่อยูของความรู” เปนเกณฑ (ไมไดแยกเปน
หมวดหมูต ามลักษณะเนือ้ หา เชน ความรูเ รือ่ งอาหาร เรือ่ งยา เรือ่ งพืช ฯลฯ)
(2) เมื่ อ แยกประเภทของความรู แ ล ว Nonaka ได แ สดงให เ ห็ น
“กระบวนการแปลงราง” สลับกันไปมาระหวางความรูประเภทตางๆ
(3) Nonaka ไดแสดงใหเห็น “วงจรทีม่ กี ารเชือ่ มตอระหวางการแปลง
ความรูสลับไปมา” วงจรนี้จะมีการหมุนรอบเปน “วงเกลียวแหงความรู”
(Knowledge Spiral) ซึง่ เปนกระบวนการยกระดับหรือการสรางความรูใ หมๆ
ใหเกิดขึ้นจากการหมุนรอบของวงเกลียวนี้
SECI Model
“วงเกลียวแหง
ความรู”
(Nonaka 1995)
คิดตอจาก 3 2 วงเกลียวแหงความรู
SECI โมเดล SECI
สวนที่ 3 • โมเดลของ KM 85
อาจจะอธิบายเปนคําพูดไมได
อยูในตัวคน 1 2 แตแสดงใหดูได
มีแหลงกําเนิดมาจากการ
ความรูฝงลึก อาจเปนความเชื่อ/skill/
ลงมือทํา/การฝกปฏิบัติ/
การฝกฝนจนเกิด 3 (Tacit Knowledge) 4 ความสามารถสวนบุคคล/
T.Kn มีบริบทเฉพาะ
ความชํานาญ
เอาไปแลกเปลี่ยนลําบาก 5 6 ตองมีรูปแบบเฉพาะ
ในการถายทอด/ถายโอน
• ครูชางไมหรือชางทําผม จะเริ่มสอนดวยการให
ลูกศิษยมาเปนลูกมือ (Apprentice) แลวหัดจับ
สัมผัสขี้เลื่อยหรือหัดจับเสนผมเสียกอน เปนตน
(1.2) ความรูชัดแจง (Explicit knowledge – EKn) มีสเปก
สําคัญๆ ดังแสดงในภาพ
เปนความรูที่ถูกรวบรวมออกมาเปนลายลักษณอักษร/ภาพ/ฯลฯ
1
ไมขึ้นอยูกับ 5 2 มีการจัดระบบ
ตัวบุคคล ความรูชัดแจง
(Explicit
Knowledge)
E.Kn
ถายทอด/ถายโอนไดงาย 4 3 แลกเปลี่ยนไดงาย
ความรูที่ฝงอยูในคน
(Tacit Knowledge)
ความรูที่ฝงอยูในคน
(Tacit Knowledge)
Socialization
Soc
cializ
cializ
i attion
ioon EExternalization
xte
t rnaal
aliz
ization ความรูที่ชัดแจง
((Explicit Knowledge)
Internalization
rnalization Combination
ความรูที่ชัดแจง
(Explicit Knowledge)
1. Socialization
การทดลอง TK ---> TK Interaction
4. Internalization KM 2. Externalization
EK ---> TK คือ TK ---> EK
SECI
การสาธิต
3. Combination Dialogue
การใชอุปมาอุปไมย EK ---> TK
90 เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR)
สําหรับงานวิจัยของไทยที่ศึกษาเรื่องการจัดการความรูของ
กลุมประเภทตางๆ ของชาวบาน มักจะพบวา ขั้นตอน Externalization นี้
เปนขั้นตอนที่เปนชองโหวมากที่สุดของชาวบาน อันอาจจะเนื่องจาก
รู ป แบบหลั ก ของการสื่ อ สารของชาวบ า นนั้ น เป น วั ฒ นธรรมมุ ข ปาฐะ
(oral culture) มากกวาจะเปนวัฒนธรรมลายลักษณอักษร (Written culture)
การพั ฒ นาระบบการจั ด การความรู ข องชาวบ า นจึ ง มั ก จะต อ งเติ ม เต็ ม
ในขั้นตอนนี้
92 เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR)
เนน “2T” Tool & Technology เนน “2P” Process & People
** ประยุกตจากแนวคิด ดร.ประพนธ ผาสุขยืด (สคส.)
ใหความสําคัญกับ “2P”
Process & People
อยาลืมวาตอง
“สมดุล”
ใหความสําคัญกับ “2T”
Tool & Technology
Marquardt
THIRD STEP
S I X TH STEP
Model
1996
IF T
EP
T
ถายโอน/เผยแพร 5 HS
F
HS
(Kn. transfer/
TE P
FOU
RT
3 จัดเก็บความรู
(Kn. storage)
dissemination)
4
วิเคราะห/สกัด/สังเคราะห
(Kn. Analysis/data mining)
ประเด็นที่ควรคํานึงในขั้นตอนของการจัดเก็บความรู ก็เชน
(i) การมี โ ครงสร า งและการจั ด เก็ บ ความรู ที่ เ ป น ระบบที่
สามารถสืบคนและนําออกมาใชไดอยางถูกตองและรวดเร็ว ตัวอยางเชน
หนาเว็บไซตของสํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ที่รวบรวม
รายงานการวิจัยของ สกว. เอาไวอยางครบครัน
(ii) มีการจําแนกประเภทขอมูลหรือรายการตางๆ รวมทั้ง
ตองมีแยกแยะ “ขอมูลที่มีคุณภาพและไมมีคุณภาพ” ออกจากกัน
(iii) มีระบบการสืบคนหรือคนคืนขอมูลความรู (retrieval)
ที่สามารถดึงความรูออกมาสูผูใชไดอยางถูกตอง เหมาะสม กระชับ ชัดเจน
และทั น เวลาที่ ต อ งการ (งานวิ จั ย ที่ นํ า มา upload นั้ น ไม ค วรจะเป น
ปลาราคางหลายป)
ในสวนของ “ตัวคน” นั้น ตองมีการสรางความตระหนัก
ใหมีการนําความรูไปใชงาน (ดังเชนประวัติความเปนมาของเรื่อง KM ที่ได
เลามาแลว) รวมทั้งตองมีการฝกอบรมใหรูจักวิธีการเขาถึง วิธีการสืบคน
และวิธีการนํามาใชงานดวย
(ง) ขัน้ การวิเคราะห/การสกัด/การสังเคราะหความรู เปนอีก
ขั้นตอนหนึ่งที่อาจจะทําไดยากสําหรับกลุม/องคกรบางแหงที่ยังไมมีขีด
ความสามารถมากพอที่จะดําเนินการไดเอง เนื่องจากความรูที่มาจากขั้น
การแสวงหาหรือการสรางใหมที่นํามาจัดเก็บนั้น หากสองดูดวยแนวคิด
DIKW ปรามิด อาจจะอยูในระดับลางๆ คือขั้น Data หรือ Information
เทานัน้ แตยงั ไมไดมกี ารวิเคราะห/สังเคราะห/หรือทีใ่ นโมเดลปลาทูเรียกวา
“การสกัดเปนขุมความรู/แกนความรู” ออกมา
ในกรณีของงาน CBR จึงมีกรณีของการมอบหมายใหมี
การทําวิจัยประเภทที่มีการสกัด “ขุมความรู” ของ CBR ในประเด็นตางๆ
ออกมาเปนการเฉพาะ ตัวอยางเชน งานสกัดความรูเรื่องการจัดการความ
ขัดแยงในการใชประโยชนจากทรัพยากรน้าํ ของเกศสุดา สิทธิสนั ติกลุ (2559)
สวนที่ 3 • โมเดลของ KM 103
(ฉ) การปรับประยุกตและการตรวจสอบเพื่อการใชงานอยาง
แมนยําถูกตอง (Knowledge Application & Validations) ไมวา จะเปนความรู
ที่แสวงหาหรือสรางใหมขึ้นเองทั้งจากแหลงภายในและภายนอกก็จะมี
ธรรมชาติประจําตัว คือเปนความรูท กี่ อ ตัวมาจากสถานที/่ พืน้ ทีห่ นึง่ ในชวง
กาลเวลาหนึ่ง จากกลุมคนกลุมหนึ่ง จากสภาพแวดลอมแบบหนึ่ง ดังนั้น
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงบริบทตางๆ ไมวาจะเปนพื้นที่ กาลเวลา กลุมคน
สภาพแวดลอม ก็มคี วามจําเปนทีจ่ ะตองปรับประยุกต หรือตรวจสอบวายัง
ใชการไดไหมอยูตลอดเวลา หรือแมแตจะเปนชุดความรูที่เคยใชงานไดดีใน
อดีตขององคกร แตมาวันนี้ ความรูนั้นก็อาจจะใชการไมไดเสียแลว
ขั้นตอนที่ 6 ของ Marquardt โมเดลนี้ก็สอดคลองกับกิจกรรมหนึ่ง
ของปลาทูโมเดล คือการทดสอบความรูท จี่ ะนํามาใชนนั้ อยูเ สมอ (Validation
of knowledge)
สเปกสําคัญของเครื่องมือนี้ก็คือ
(i) ทํ า เมื่ อ ไหร / มี เ งื่ อ นไขอะไร การถอดบทเรี ย นจะทํ า เมื่ อ
“ไดลงมือทํากิจกรรมไปแลว”
(ii) เป น การคิ ด ทบทวน/ไตร ต รอง/ตั้ ง คํ า ถาม/หาคํ า ตอบที่ เ ป น
บทเรียนความรูที่ไดจากการลงมือทํากิจกรรม
(iii) ต อ งมี “ชุ ด คํ า ถาม” ที่ เ ป น ประดุ จ ไขควงแกะ/แคะ/สกั ด
เอาความรูมาจากกิจกรรมที่ไดปฏิบัติไป หากคําถามเฉียบ คําตอบก็จะคม
(iv) หลังจากถอดบทเรียนแลว คนรวมถอดควรจะเกิดความรูสึกวา
“ไดรูอะไรใหมๆ เพิ่มมากขึ้น” เพราะเมื่อเราใชไขควงแกะ “ประสบการณ
การทํางานเกา” ออกมาดู เราก็นาจะไดเห็น “(ภาพ) อะไรใหมๆ บาง”
สวนที่ 4 • เครื่องมือชวยทํางาน KM 109
การทบทวนหลังการปฏิบัติ
(i) ทีม่ าของเครือ่ งมือ มีการบันทึกวา เครือ่ งมือ AAR นีเ้ ปนวิธกี าร
ที่กองทัพสหรัฐฯ คิดขึ้นมาใชในชวงการทําสงครามเวียดนาม วิธีการทํา
ก็คือการประชุมทหารระดับลางสุดที่เปนผูปฏิบัติการจริง (ไมใชระดับ
นายทหารทีไ่ มไดออกรบแถวหนา) และทําทันทีหลังจากการรบเล็กๆ เสร็จสิน้
ทหารระดับลางสุดที่ทําการรบมาจริงๆ ในครั้งนั้นๆ จะใหทั้งขอมูลและ
ขอคิดเห็นซึ่งทางกองทัพเห็นวาเปนประโยชนอยางมากตอการวางแผน
และการดําเนินการรบในครั้งตอไป (ลักษณะพิเศษของสงครามเวียดนาม
คือสหรัฐฯ จะไมคอยรูจักหรือคุนเคยกับสมรภูมิ/สภาพพื้นที่ และไมรูจักวิธี
การทํ า สงครามแบบกองโจรของฝ า ยเวี ย ดกงซึ่ ง ไม ไ ด ร บตามแบบแผน
ทําใหยากตอการใชชุดความรูเดิมเรื่องการทําสงครามตามแบบแผน)
110 เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR)
เปนอีกเครื่องมือหนึ่งที่มีการใชกันอยางมากในแวดวง KM ของไทย
โดยเฉพาะกลุม /หนวยงานทีท่ าํ งานกับชาวบาน เพราะวิธกี ารจัดการความรู
แบบนี้สอดรับกับวัฒนธรรมพูดคุย (oral communication – มุขปาฐะ)
ของชาวบาน
สเปกสําคัญๆ ของเครื่องมือเรื่องเลาเราพลังนาจะมีดังนี้
(i) เปาหมายของการเลาเรื่อง เพื่อใหผูที่มีความรูจากการปฏิบัติ
(ก็คงเปนความรูฝ ง ลึกในภาษาของ SECI โมเดล) ไดปลดปลอยความรูท ซี่ อ น
อยูในตัวใหแสดงออกมาเพื่อให “กลุมผูรับฟงเฉพาะกลุมหนึ่ง” ไดทั้งรับรู
ไดทั้งเรียนรู และไดทั้งการเสริมพลังจากการรับฟงในครั้งนั้นๆ
(ii) เรื่องอะไรที่จะเลา จากเปาหมายของเครื่องมือที่กลาวมา
ก็คงจะตอบไดวา เรื่องที่จะนํามาเลานั้น คงจะไมใชเรื่องแบบเดียวกับ
รายการ “เรื่องเลาเชานี้” คือเปนเรื่องเตียงหักอกหักรักคุดของดารา-เซเลบ
หากแตจะตองเปนเรื่องที่วาดวย “การทํางานใหสําเร็จไดของผูเลานั้น
ทํามาไดอยางไร” ซึง่ หากเปนการเลาทีม่ กี ารกําหนดประเด็นเอาไว (focused
topic) ก็จะชวยใหการเลาชัดเจนขึ้น
(iii) จะเลาใหใครฟง การเลาในฐานะเครื่องมือ KM นี้ คงจะไมไป
เลาทีถ่ นนคนเดินเพือ่ ใหผคู นทีเ่ ดินผานไปผานมารับฟง รวมทัง้ ไมใชการเลาให
“สาธารณะหรือใครๆ ก็ฟง ได/เด็กฟงไดผใู หญฟง ดี” แตทวา กลุม คนฟงของ
เครือ่ งมือนีจ้ ะตองเปนกลุม สมาชิก KM ทีต่ ง้ั ใจมาฟง (เปน focused audience)
และกลุมคนฟงนี้ไมควรมีขนาดใหญมากเกินไป ควรเปนกลุมเล็กๆ ไมเกิน
10 คน
112 เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR)
(4) การแลกเปลี่ยนความรู้ฝังลึก
(5) การสร้างความรู้จากการปฏิบัติ
การมีสวนรวมของครูในโรงเรียน
5
4 ขั้นสูงสุด
3 มีสวนรวมมาก ผูบริหารมอบ
ใหคณะครู
2 มีสวนรวมปานกลาง ผูบริหารใหครู เปนผูตัดสินใจ
เปนผูตัดสินใจ
1 มีสวนรวมนอย ผูบริหารตัดสินใจ รวมกับผูบริหาร
โดยอาศัยขอมูล
ไมมีสวนรวมเลย ผูบริหารตัดสินใจ
จากคณะครู
แตอาจเปลี่ยนได
ผูบริหารตัดสินใจ ถาไดขอมูลใหม
แลวแจงใหครู จากคณะครู
ทราบถือปฏิบัติ
การมีสวนรวมในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น
5
4
ผูใหขอมูล
3 ผูใหขอมูล
+
ผูรวมคิด
2 +
+
ผูใหขอมูล ผูรวมคิด
1 + ผูรวมออกแบบ
+
ผูใหขอมูล ผูรวมคิด กิจกรรม
ผูรวมออกแบบ
+ + +
ผูใหขอมูล กิจกรรม
ผูรวมคิด ผูรวมออกแบบ ผูรวมลงมือทํา
+
กิจกรรม +
ผูรวมลงมือทํา
ผูรวมตอยอด
ขยายผล
(8) ชุมชนแนวปฏิบต
ั ิ (Community of Practice – CoP)
1. การปรับเปลี่ยนแนวคิด 3. การปรับปรุงพันธุโคเนื้อ
กระบวนการ
9. การตลาด ขยายหวงโซ 4. การเลี้ยงโคขุนระยะสั้น
การผลิตโคเนื้อ
คุณภาพดี
8. การจัดการขี้วัว 5. การจัดการและปองกันโรค
7. เครื่องมือและเทคโนโลยี 6. อาหารโคเนื้อ
การจัดการโคเนื้อ
ชุดที่ 2: ชุดคําถามเพื่อการตรวจสอบประเด็นเจาะจง
ในป พ.ศ.2563 CBR ไดเริ่มมีนวัตกรรมของการตั้งโจทยวิจัย
โดยการเชื่อมโยง “ประเด็นปญหาของพื้นที่” เขากับ “ปญหาเรื่องความ
เหลื่อมล้ําในระดับชาติ” โดยคัดเลือกทดลองทํางานกับพี่เลี้ยงจํานวน
25 โหนดที่เปนแถวหนึ่งจากจํานวนพี่เลี้ยงทั้งหมด 51 โหนด และเมื่อได
ชุดความรูใหมวาจะเชื่อมตอโจทยวิจัยทั้ง 2 ระดับใหเปนเนื้อเดียวกัน
อยางไรแลว ก็ตอ งเกลีย่ ความรูจ ากโหนดแถวหนึง่ ใหไหลไปสูโ หนดแถวสอง
(Knowledge Flow) ผานการทํากิจกรรมในรูปแบบตางๆ
ตัวอยางคําถามเพื่อการตรวจสอบความรู “วาดวยการไหล
ของความรูใหม” นี้ก็เชน
(i) การไหลของความรูจากโหนดแถว 1 ไปแถว 2 เกิดขึ้น
หรือไม จํานวนเทาใด
(ii) มีทอลําเลียงอะไรบางในการไหลของความรู
(iii) มีอะไรบางที่ขัดขวางการไหลของความรู และมีการแกไข
สิ่งกีดขวางนั้นอยางไร
124 เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR)
สวนรูปแบบการขอความชวยเหลือจากเพื่อนนั้นทําไดอยาง
หลากหลาย ตั้งแตขอไปศึกษาดูงาน ขอไปพบปะพูดคุย ขอเขาไปรวม
สังเกตการณกระบวนการทํางาน เชิญเขามาบรรยาย เปนตน (สนใจ
รายละเอียดในเครื่องมือนี้ ดูวิจารณ พานิช, 2549)
(v) ผูเ ขียนมีทศั นะสวนตัววา ในการใชเครือ่ งมือ “เพือ่ นชวยเพือ่ น” นี้
อาจจะใชแบบสองทางคือ แบบ “เปนผูรับและเปนผูให” ทางหนึ่ง คือ
เราไปขอความชวยเหลือจากคนอืน่ และในอีกดานหนึง่ เราเองก็ควรพรอม
ทีจ่ ะเปนเพือ่ นทีจ่ ะใหความชวยเหลือคนอืน่ ในประเด็นทีเ่ รามีความถนัดดวย
ตัวอยางที่นาประทับใจก็เชน โครงการการจัดการการทองเที่ยวชุมชนของ
โหนดพี่เลี้ยงจังหวัดสตูล ไดจัดทํา “ทําเนียบผูรู” คือ รายชื่อของนักวิจัย
ชุมชนทีร่ ะบุวา มีความรูค วามชํานาญทีจ่ ะไปเปนวิทยากรในหัวขอใดไดบา ง
เพื่ออํานวยความสะดวกแกเพื่อนที่จะมาขอความชวยเหลือไวเลย
(ii) ขอเดนของมุมกาแฟก็คือเปนรูปแบบการเรียนรูที่สอดแทรกอยู
เปนเนือ้ เดียวกัน หรือเปนสวนหนึง่ ของชีวติ การทํางานประจําวัน จึงสามารถ
ทําไดอยางงายๆ สะดวก ทําไดทกุ ครัง้ ทีต่ อ งการโดยไมตอ งมีการตระเตรียม
อะไรมากนัก การพูดคุยมีลกั ษณะเปนไปตามธรรมชาติทา มกลางบรรยากาศ
ที่ผอนคลาย
แต ท ว า ข อ จํ า กั ด ของมุ ม กาแฟก็ คื อ อาจจะทํ า ได อ ย า งไม
ครบวงจรของ KM เชน หากใชแนวคิดของ SECI โมเดล ก็จะทําไดแต
Socialization (จาก TKn – TKn) แตจัดการความรูระดับชัดแจงไมคอยได
เนื่องจากมีแตการพูดคุย ไมไดมีการจดบันทึก
อยางไรก็ตาม แนวคิดเรือ่ ง “มุมกาแฟ” นีก้ ย็ งั เปน “แนวคิดเปด”
กลาวคือยังสามารถเพิ่มเติมปรับเปลี่ยนตอไปได เชน ในการพูดคุย อาจจะ
มีการเขียนเอกสารสั้นๆ ประกอบการพูดคุย มีการจดบันทึกประเด็น
สําคัญๆ หรือขอสรุป (ซึ่งเครื่องมือสื่อสาร IT สมัยใหมสามารถชวยจัดการ
ไดอยางสบาย)
และปจจุบนั นี้ แนวคิดเรือ่ ง “การแลกเปลีย่ นความรูใ นรานกาแฟ”
ก็ไดขยับขยายออกไปอยางมากในยุคสมัยที่ประเทศไทยมี “รานกาแฟ
อยูทุกทั่วหัวระแหง” ผูเขียนเคยพบเห็นผูสูงอายุกลุมหนึ่งไปยึดมุมหนึ่ง
ของรานกาแฟเปนที่แลกเปลี่ยนความรูการใช Application ใหมๆ ในมือถือ
อยูเปนประจํา ซึ่งที่จริงก็เปนการเดินทางกลับไปในอดีตของสังคมไทย
ที่เคยมี “สภากาแฟ” เปนพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรูเรื่องราวตางๆ ที่เกิดขึ้น
ในชุมชน (ปจจุบัน สภากาแฟอาจจะแปลงรูปไปอยูในพื้นที่เสมือน เชน
clubhouse)
สวนที่ 4 • เครื่องมือชวยทํางาน KM 127
อันที่จริง การหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนคนทํางานใหยายไปทําหนาที่
หรือไปอยูต าํ แหนงอืน่ ๆ นัน้ อาจจะทําไปดวยเหตุผลของการบริหารบุคคล
เชน ขาดเจาหนาที่ในตําแหนงงานใหม การเลื่อนตําแหนงงาน แตทวา
รูปแบบกิจกรรมนี้ หากสองดูดว ยเลนซ SECI โมเดลแลว ก็อาจจะถือไดเปน
โอกาสของการเปดพืน้ ทีใ่ หคนทํางานไดสงั่ สมความรูฝ ง ลึก (TKn) แบบชนิด
เอาตัวเขาแลกเลย เพราะในการเปลี่ยนตําแหนงงานใหม คนทํางาน
ก็ตองเริ่มออกเดินทางบนเสนทางการเรียนรูแบบใหมๆ อีกครั้ง
และหากทางองคกรจะพัฒนารูปแบบการหมุนเวียนตําแหนงงาน
ใหกลายมาเปนกระบวนการ Socialization ของ SECI (จาก Tacit -- Tacit
knowledge) ก็อาจจะเพิ่มเติมใหมีพนักงานคนเกามาชวยเปนโคชหรือ
พี่เลี้ยงใหกับพนักงานใหม
ในงาน CBR เคยมีประสบการณของการใชการหมุนเวียนตําแหนงงาน
มาเปนเครือ่ งมือในการพัฒนาบุคลากร กลาวคือ ในระบบโครงสรางองคกร
ของศู น ย ป ระสานงาน CBR เกษตรทางเลื อ กจั ง หวั ด มหาสารคาม
มีตาํ แหนงงานระดับพนักงานอยู 2 ประเภท คือ เจาหนาทีส่ นามทีท่ าํ หนาที่
เป น พี่ เ ลี้ ย งให กั บ นั ก วิ จั ย ชุ ม ชน และเจ า หน า ที่ ฝ า ยสนั บ สนุ น โครงการ
ที่รับผิดชอบงานสนับสนุน เชน งานเอกสาร งานการเงิน งานประสานงาน
โดยทั่วไป เมื่อมีการเปดรับพนักงานใหมก็จะรับคนนอกเขามาทํางาน
ในแตละฝายงานเลย แตในชวงป พ.ศ.2552-2556 ทางศูนยประสานฯ
ไดสรางนวัตกรรมดานการบริหารองคกร ดวยการหมุนเวียนใหเจาหนาที่
ฝายสนับสนุนหมุนเวียนขึ้นมาเปนพี่เลี้ยง/โหนด และพบวาไดผลดีในแง
การเรียนรูไดอยางรวดเร็ว (แถมยังทํางานไดแบบ 2 in 1 อีกดวย)
สวนที่ 4 • เครื่องมือชวยทํางาน KM 131
(15) การจัดตลาดนัดความรู้/ตลาดนัดภูมิปัญญา
มีคนขาย
1
มีสิ่งอํานวยความสะดวกอื่นๆ
(หองน้ํา ที่จอดรถ ตูกดเงิน) 8 2 มีคนซื้อ
มีกิจกรรมแลกเปลี่ยน 6 4 มีสถานที่
ระหวางผูซื้อ-ผูขาย
(เชน ถามราคา ตอรอง) 5
มีการกําหนดชวงเวลาปด/เปด
(16) การทบทวนวรรณกรรมอย่างมีประเด็น
• ไดความรูใหมเรื่อง “ตัวแปรที่ตองสงสัยและตองการ
ทดสอบ” เชน ตัวแปรเรือ่ ง KM จะชวยใหการขยายผลงาน
มี ป ระสิ ท ธิ ภ าพและคุ ณ ภาพดี ขึ้ น (ตามที่ ไ ด อ า นจาก
โฆษณา) เอาไวหรือเปลาหนอ
(iii) นอกจากนี้ คําวา “การทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวของ” นี้
ยังมีการขีดเสนใตตรงคําวา “ที่เกี่ยวของ” (Related Literature) ซึ่งหากพูด
เปนภาษา KM ก็คือ เปนความรูที่ถูกระบุวา “เปนที่ตองการ” (needed
knowledge) ดังนั้น ผูทบทวนวรรณกรรมจึงควรแสดงใหคนอานเห็นวา
งานวิจยั ทีน่ าํ มาพูดถึงนัน้ เปนญาติทางไหนของเรือ่ งทีเ่ รากําลังจะศึกษาอยู
(เกี่ยวของอยางไร) เชน เกี่ยวของในแงเปนประเด็นเดียวกัน เกี่ยวของในแง
เปนพืน้ ทีเ่ ดียวกัน กลุม เปาหมายเดียวกัน และความเกีย่ วของอีกแงมมุ หนึง่
ในดานของ KM ก็คือ แลวเราจะนําความรูสวนไหนจากงานวิจัยที่อานมา
ไปใชประโยชนในงานศึกษาของเราไดอยางไร
(iv) จุดเสี่ยงของการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวของ ปจจุบันนี้
เมื่ออานรายงานการวิจัยในสวนของวรรณกรรมที่เกี่ยวของ ผูเขียนมีความ
เห็นวา เมื่อใชแนวคิด DIKW ปรามิดมาวางทาบดูแลว การจัดการงานวิจัย
ที่อานมานั้น มักจะถูกนําเสนอในระดับลางสุดของปรามิด คือระดับ Data
เทานั้น โดยงานวิจัยที่นําเสนอแตละชิ้นตางเปนอนุมูลอิสระไมมีอะไร
เชื่อมโยงกัน (บางครั้ง แมแตชวงเวลาที่ศึกษาก็ไมมีความสัมพันธกันเลย)
การทบทวนวรรณกรรมแบบไมมีประเด็นที่ตองการแบบนี้ ทําใหเกิดเปน
จุดเสี่ยงวา ขอมูลที่ใหมานั้นจะกลายเปน “1 ใน 6 ที่ไมใชงาน KM”
ตามทัศนะของวิจารณ พานิช ที่ไดกลาวมาแลว
สวนที่ 1 • check stock และประวัติ 135
เอกสารอ้างอิง
ภาษาไทย
เกศสุดา สิทธิสนั ติกลุ . (2559). “โครงการจัดการความขัดแยงในการใชประโยชนจาก
ทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนทองถิน่ ในพืน้ ทีล่ มุ น้าํ จังหวัดเชียงใหม ลําพูน
และลําปาง”. รายงานการวิจัย สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).
จิตติ มงคลชัยอรัญญา และคณะ. (2563). คุณคาและมูลคาจากงานวิจยั เพือ่ ทองถิน่ .
สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.).
ชัยโรจน ธนสันติ และมาลี ไชยเสนา. (2560). “การพัฒนารูปแบบการจัดการความรู
ภูมิปญญาทองถิ่นยอมคราม” วารสารมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี, ปที่ 8 ฉบับพิเศษ, 2560.
เซงเก ปเตอร (เขียน) กิตติพล เอี่ยมกมล (แปล). (2560). โรงเรียนแหงการเรียนรู
(Schools that Learn). สํานักพิมพสวนเงินมีมา.
ณันศภรณ นิลอรุณ. (2552). “การพัฒนาระบบการจัดการความรูของสํานักงาน
เขตพื้นที่การศึกษา”. วิทยานิพนธปริญญาเอก คณะครุศาสตร จุฬาลงกรณ
มหาวิทยาลัย.
นันทปพร สิทธิยา. (2551). “การศึกษากระบวนการจัดการความรูโ ดยชุมชนเพือ่ สงเสริม
การทองเทีย่ วเชิงนิเวศ”. วิทยานิพนธปริญญาโท คณะครุศาสตร จุฬาลงกรณ
มหาวิทยาลัย.
บดินทร วิจารณ. (2547). การจัดการความรูสูปญญาปฏิบัต.ิ กรุงเทพมหานคร:
เอ็กซเบอรเน็ท.
บิน คงทน และคณะ. (2560). “การจัดการความรูและการขยายผลการบริหาร
จัดการน้ําจากระดับหมูบานสูระดับตําบลของ ตําบลสําโรง อําเภอโพธิ์ไทร
จังหวัดอุบลราชธานี”. ฝายวิจัยเพื่อทองถิ่น สํานักงานกองทุนสนับสนุน
การวิจัย (สกว.).
ประพนธ ผาสุขยืด. (2550). การจัดการความรูฉ บับขับเคลือ่ น LO. กรุงเทพมหานคร:
สํานักพิมพใยไหม.
พัชรินทร สิรสุนทร. (2550). ชุมชนปฏิบตั กิ ารดานการเรียนรู: แนวคิด เทคนิค และ
กระบวนการ. สํานักพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย.
136 เครื่องมือการจัดการความรู (KM) ในงานวิจัยเพื่อทองถิ่น (CBR)
ภาษาอังกฤษ
Baumard, PHillipe. (1999). Tacit Knowledge in Origanization. Sage Publications.
Marquardt, Michael, J. (1996). Building the Learning Organization.
New York: MacGraw-Hill.
Nonaka, I & Takeuchi, H. (1995). The Knowledge-Creating Company.
New York: Oxford University Press.