Professional Documents
Culture Documents
การศึกษาสภาวะที่ส่งผลต่อการบำบัดน้ำเสีย
การศึกษาสภาวะที่ส่งผลต่อการบำบัดน้ำเสีย
รายชื่อ
อาจารย์ที่ปรึกษา
ดร. ตติยา วรรณโนมัย
ปริญญานิพนธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต
สาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยบูรพา ปีการศึกษา 2566
ปริญญานิพนธ์ การศึกษาสภาวะที่ส่งผลต่อการบำบัดน้ำเสียสังเคราะห์ปนเปื้อนยาปฏิชีวนะ
ด้วยกระบวนการ Electrooxidation ร่วมกับ UV
โดย พงศพล บรรเทพ
รัชตะ ไชยเชษฐ
ศศิพร บุญเขียว
จำนวนหน้า 46 หน้า
ปีการศึกษา 2566
……………………………………………………………………………….กรรมการสอบปริญญานิพนธ์
(รองศาสตราจารย์ ดร. วิทวัส แจ้งเอี่ยม)
……………………………………………………………………………….กรรมการสอบปริญญานิพนธ์
(ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เอมม่า อาสนจินดา)
………………………………………………………………………………………….…….อาจารย์ที่ปรึกษา
(ดร. ตติยา วรรณโนมัย)
………………………………………………………………………………หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเคมี
(ดร. เจริญ ชินวานิชย์เจริญ
ก
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปรียบเทียบประสิทธิภาพกระบวนการบำบัดน้ำเสียสังเคราะห์ที่
ปนเปื้อนยาปฏิชีวนะชนิดยาไตรเมโทพริม (Trimethoprim, TMP) ที่ความเข้มข้นเริ่มต้น 50 µM ด้วยกระบวนการ
Electrooxidation เทียบกับ Electrooxidation/UV เมื่อมีความเข้มข้นของสารอิเล็กโทรไลต์ (NaCl) 500 mg/L
ความหนาแน่นของกระแสไฟฟ้า 10 mA/cm² และหลอด UV 16 วัตต์ ที่ความยาวคลื่น 254 นาโนเมตร โดยทำ
การวิเคราะห์ประสิทธิภาพการบำบัดจากปริมาณของยาที่เหลือในระบบด้วยเครื่องมือ High Performance
Liquid Chromatography (HPLC) จากการทดลองพบว่ า ประสิ ท ธิ ภ าพการบำบั ด TMP สอดคล้ อ งกั บ การ
ปรับเปลี่ยนค่า pH ในสภาวะการทดลอง ได้แก่ 5.8, 6.8 และ 7.8 ตามลำดับ จากการทดลองในกระบวนการ
Electrooxidation ที่ pH 5.8, 6.8 และ 7.8 มีประสิทธิภาพการบำบัดในช่วงระยะเวลา 30 นาที อยู่ที่ 100%
71.37% และ 96.49% ตามลำดั บ ในกระบวนการ Electrooxidation/UV ที ่ pH 5.8, 6.8 และ 7.8 มี
ประสิทธิภาพการบำบัดในช่วงระยะเวลา 30 นาที อยู่ที่ 100% 96.02% และ 100% ตามลำดับ จะเห็นได้ว่า pH
มีผลต่อกระบวนการบำบัดตัวยาไตรเมโทพริม (Trimethoprim)
ข
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อ ก
สารบัญ ข-ค
สารบัญรูปภาพ ง
สารบัญตาราง จ
บทที่ 1 บทนำ 1-4
1.1 ทีม่ าและความสำคัญ 1
1.2 วัตถุประสงค์ 3
1.3 ขอบเขตการศึกษา 3
1.4 สมมติฐาน 3
1.5 ระยะเวลาในการดำเนินงาน 4
1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ 4
บทที่ 2 ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 5-19
2.1 ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) 5
2.2 กระบวนการออกซิเดชันด้วยไฟฟ้า (Electrooxidation) 8
2.3 อัลตราไวโอเลต (Ultraviolet) 11
2.4 ความหนาแน่นกระแสไฟฟ้า (Current Density) 12
2.5 พีเอช (pH) 12
2.6 การเลือกวัสดุของขั้วแคโทดและแอโนด 13
2.7 อนุมลู อิสระ (Free radical) 14
2.8 ตัวจับอนุมลู อิสระ (Scavenger) 14
2.9 อุณหภูมิ (Temperature) 14
2.10 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 15
บทที่ 3 วิธีการดำเนินงาน 20-26
3.1 สารเคมีและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง 20
3.2 เครื่องมือในการทดลอง 22
3.3 ขั้นตอนการทดลอง 23
3.4 การวิเคราะห์ผล 25
ค
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
บทที่ 4 ผลการศึกษาและอภิปราย 27-34
4.1 ตัวแปรศึกษาสำหรับการทดลอง Electrooxidation, Electrooxidation/UV 27
4.2 ประสิทธิภาพการบำบัด 29
บทที่ 5 สรุปผลและข้อเสนอแนะ 35-36
5.1 สรุปผลการทดลอง 35
5.2 ข้อเสนอแนะ 36
5.3 กิตติกรรมประกาศ 36
บรรณานุกรม 37-39
ง
สารบัญรูปภาพ
รูปที่ หน้า
รูปที่ 1 เครื่องมือ High Performance Liquid Chromatography (HPLC) 23
รูปที่ 2 ชุดปฏิกรณ์ Electrogen สำหรับการทดลอง Electrooxidation 23
รูปที่ 3 กราฟแสดงการเปรียบเทียบค่าพีเอช 5.8, 6.8, และ 7.8 ในกระบวนการ 29
Electrooxidation
รูปที่ 4 กราฟแสดงการเปรียบเทียบค่าพีเอช 5.8, 6.8, และ 7.8 ในกระบวนการ 29
Electrooxidation/UV
รูปที่ 5 กราฟแสดงประสิทธิภาพการบำบัดด้วยกระบวนการ Electrooxidation เทียบกับ 30
Electrooxidation/UV ที่สภาวะ pH 5.8
รูปที่ 6 กราฟแสดงประสิทธิภาพการบำบัดด้วยกระบวนการ Electrooxidation เทียบกับ 31
Electrooxidation/UV ที่สภาวะ pH 6.8
รูปที่ 7 กราฟแสดงประสิทธิภาพการบำบัดด้วยกระบวนการ Electrooxidation เทียบกับ 31
Electrooxidation/UV ที่สภาวะ pH 7.8
รูปที่ 8 กราฟแสดงประสิทธิภาพการบำบัดด้วยกระบวนการ Electrooxidation เทียบกับ 32
Electrooxidation/UV ที่สภาวะ pH 5.8 โดยมี Benzoic Acid ร่วมด้วย
รูปที่ 9 กราฟแสดงประสิทธิภาพการบำบัดด้วยกระบวนการ Electrooxidation เทียบกับ 33
Electrooxidation/UV ที่สภาวะ pH 5.8 โดยมี Nitrobenzene ร่วมด้วย
รูปที่ 10 กราฟแสดงประสิทธิภาพการบำบัดด้วยกระบวนการ Electrooxidation ที่สภาวะ 33
pH 5.8 โดยใช้ Benzoic Acid เทียบกับ Nitrobenzene
รูปที่ 11 กราฟแสดงประสิทธิภาพการบำบัดด้วยกระบวนการ Electrooxidation/UV ที่ 34
สภาวะ pH 5.8 โดยใช้ Benzoic Acid เทียบกับ Nitrobenzene
จ
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
ตารางที่ 1 การดำเนินงานตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567 4
ตารางที่ 2 ผลของการทดลองค่าความเข้มแสงกับหลอด UV 16 Watts 3 หลอดเปรียบเทียบ 27
กับการทดลองค่าความเข้มแสงหลอด UV 6 Watts 3 หลอด (ศราวุธ และคณะ,
2565)
ตารางที่ 3 pH 5.8 วิเคราะห์ปริมาณคลอรีนด้วยวิธีการ Titration 28
ตารางที่ 4 pH 6.8 วิเคราะห์ปริมาณคลอรีนด้วยเครื่องวัดค่าคลอรีน ponpe 505CL 28
ตารางที่ 5 pH 7.8 วิเคราะห์ปริมาณคลอรีนด้วยเครื่องวัดค่าคลอรีน ponpe 505CL 28
1
บทที่ 1
บทนำ
1.1 ที่มาและความสำคัญ
การตกค้างและปนเปื้อนของยาในสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาสำคัญในระดับโลก พบการตกค้างและปนเปื้อน
ทั้งในน้ำผิวดิน น้ำทิ้ง น้ำใต้ดิน ดิน เป็นต้น โดยยาที่พบตกค้างและปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อม มี 3 ประเภทหลัก
ได้แก่ ยาในกลุ่มปฏิชีวนะ ยารบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ และสารในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาอื่น ๆ เช่น ไดโคลฟีแนค
(Diclofenac) ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) และพาราเซตามอล (Paracetamol) เป็นต้น ซึ่งหากพูดถึงยาปฏิชีวนะ
โดยยาปฏิชีวนะจัดเป็นกลุ่มของยาที่ใช้ในการรักษาการติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียหรือจุลินทรีย์อื่ น ๆ ในร่างกาย
ของมนุษย์ หนึ่งในยาปฏิชีวนะที่มักถูกใช้คือ ไตรเมโทพริม (Trimethoprim, TMP) เป็นยาที่ใช้ในการรักษาการติด
เชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย โดยเฉพาะแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคหรือสภาวะทางการแพทย์ตา่ ง ๆ ได้ โดยส่วนมาก TMP
เป็นยาปฏิชีวนะที่ มักถูกใช้ร่วมกับยา Sulfamethoxazole ในยา Trimethoprim-sulfamethoxazole (TMP-
SMX) หรือที่เรียกว่า Bactrim ยาปฏิชีวนะนี้มักถูกใช้ในการรักษาต่างๆ เช่น การติดเชื้อของทางเดินหายใจ ซึ่งควร
ถูกจัดการอย่างถูกวิธีเพื่อป้องกันความต้องการใช้ยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น แม้ Trimethoprim จะมีประโยชน์ในการ
รักษาโรคแต่ถ้ามีปนเปื้อนในแหล่งน้ำ อาจสร้างปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมการติดเชื้อแบคทีเรียที่ดีน้อยลง นี่คือ
เหตุผลที่การตรวจวัดและบำบัดการปนเปื้อนยาปฏิชีวนะในแหล่งน้ำเป็นสิ่งสำคัญ
การเลือกระบบบำบัดน้ำเสียขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ได้แก่ ลักษณะของน้ำเสีย ค่าลงทุนการก่อสร้างและค่า
ดำเนินการดูแลและรักษาระบบ และขนาดของที่ดินที่ใช้ในการก่อสร้าง เป็นต้น เพื่อให้ระบบบำบัดน้ำที่เลือกมี
ความเหมาะสมกับแต่ละท้องถิ่น ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน โดยการบำบัดน้ำเสียสามารถแบ่งได้ตามกลไกที่
ใช้ในการกำจัดสิ่งเจือปนในน้ำเสียได้ แก่ กระบวนการบำบัดน้ำเสียทางกายภาพ (Physical Treatment) เป็น
วิธีการแยกเอาสิ่งเจือปนออกจากน้ำเสีย เช่น ของแข็งขนาดใหญ่ กระดาษ พลาสติก เศษอาหาร กรวด ทราย ไขมัน
และน้ำมัน โดยใช้อุปกรณ์ในการบำบัดทางกายภาพ ซึ่งจะเป็นการลดปริมาณของแข็งทั้งหมดที่มีในน้ำเสียเป็นหลัก
กระบวนการบำบัดทางชีวภาพ (Biological Treatment) เป็นวิธีการบำบัดน้ำเสียโดยใช้กระบวนการทางชีวภาพ
หรือใช้จุลินทรีย์ในการกำจัดสิ่งเจือปนในน้ำเสียโดยเฉพาะสารคาร์บอนอินทรีย์ ไนโตรเจน และฟอสฟอรัส โดยสิ่ง
สกปรกเหล่านี้จะถูกใช้เป็นอาหารและเป็นแหล่งพลังงานของจุลินทรีย์ในถังเลี้ยงเชื้อเพื่อการเจริญเติบโตทำให้น้ำ
เสียมีค่าความสกปรกลดลง โดยจุลินทรีย์เหล่านี้อาจเป็นแบบใช้ออกซิเจน (Aerobic Organisms) หรือไม่ใช้
ออกซิเจน (Anaerobic Organisms) ก็ได้ และกระบวนการบำบัดทางเคมี (Chemical Treatment) เป็นวิธีการ
บำบัดน้ำเสียโดยใช้กระบวนการทางเคมี เพื่อทำปฏิกิริยากับสิ่งเจือปนในน้ำเสีย วิธีการนี้จะใช้กับน้ำเสียที่มี
2
1.2 วัตถุประสงค์
1. เพื่อศึกษาการบำบัดไตรเมโทพริม (Trimethoprim) ด้วยกระบวนการ Electrooxidation (EO) และ
Electrooxidation/Ultraviolet (EO/UV) ในสภาวะที่แตกต่างกัน
2. เพื่ อ เปรี ย บเที ย บประสิ ท ธิ ภ าพการบำบั ด ไตรเมโทพริ ม (Trimethoprim) ด้ ว ยกระบวนการ
Electrooxidation (EO) และ Electrooxidation/Ultraviolet (EO/UV)
3. เพื่อเปรียบเทียบสภาวะการทดลองที่ต่างกัน ที่ใช้ในกระบวนการบำบัดไตรเมโทพริม (TMP) ด้วย
วิธีการ Electrooxidation (EO) และ Electrooxidation/Ultraviolet (EO/UV)
1.3 ขอบเขตการศึกษา
1. บำบัดน้ำเสียสังเคราะห์ที่ปนเปื้อนยาปฏิชีวนะชนิดไตรเมโทพริมด้วยกระบวนการ Electrooxidation
2. บำบัดน้ำเสียสังเคราะห์ที่ปนเปื้อนยาปฏิชีวนะชนิดไตรเมโทพริมด้วยกระบวนการ Electrooxidation
ร่วมกับกระบวนการ Ultraviolet
3. กำหนดความเข้มข้นของตัวยาไตรเมโทพริม (Trimethoprim) ในน้ำเสียสังเคราะห์ 50 µM (อ้างอิง
จากความสามารถของเครื่องมือ HPLC), ความเข้มข้นสารอิเล็กโทรไลต์ (NaCl) 500 mg/L, pH 5.8, 6.8 และ 7.8
ความหนาแน่นของกระแสไฟฟ้า 10 mA/cm2 และหลอด UV 16 วัตต์ 254 นาโนเมตร
4. ใช้เครื่อง High Performance Liquid Chromatography (HPLC) สำหรับการวิเคราะห์ความเข้มข้น
ไตรเมโทพริมที่เหลืออยู่ในน้ำตัวอย่างหลังจากทำการทดลอง
5. ระยะเวลาทีใ่ ช้ในการเก็บน้ำตัวอย่างของการทดลองเริ่มจาก 0-60 นาที
6. ศึกษาอนุมลู อิสระที่เกิดขึน้ จากการทดลอง โดยใช้สาร Nitrobenzene (NB) และ Benzoic Acid (BA)
1.4 สมมติฐาน
1. กระบวนการ Electrooxidation/Ultraviolet (EO/UV) สามารถถูกเลือกใช้ให้เป็นหนึ่งในกระบวนการ
บำบัดน้ำเสียสังเคราะห์ที่ปนเปื้อนยาไตรเมโทพริม
2. ปริมาณคลอรีนที่เหลือซึ่งได้มาจากสารอิเล็กโทรไลต์ (NaCl) สามารถถูกกำจัดได้ด้วยกระบวนการ UV
3. ความเข้มของแสง UV มีผลต่อเวลาในการกำจัดความเข้มข้นไตรเมโทพริมในน้ำเสียสังเคราะห์
4
1.5 ระยะเวลาในการดำเนินงาน
ตารางที่ 1 การดำเนินงานตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2566 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567
ปี พ.ศ. 2566 ปี พ.ศ. 2567
รายการ เดือน
ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ.
1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4 1 2 3 4
1.พบที่ปรึกษา
2.สืบค้นข้อมูล
3.วิเคราะห์
ปัญหา
4.ทำการ
ทดลอง และส่ง
วิเคราะห์
ตัวอย่าง
5.ประเมิน
ผลลัพธ์
6.การเขียน
สรุปรายงาน
7.ส่งรายางน
การวิจัย
1.6 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. งานวิจัยนี้สามารถช่วยหรือเป็นพื้นฐานที่จะต่อยอดเพื่อใช้ในการบำบัดน้ำเสียจริงที่มีการปนเปื้อนยา
ไตรเมโทพริมได้
2. กระบวนการนี้อาจนำไปสู่การพัฒนาระบบการบำบัดน้ำในระบบน้ำเสียที่มีการปนเปื้อนตัวยาประเภท
อื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้
3. การลดปริมาณยาจะช่วยลดความเป็นอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
5
บทที่ 2
ทฤษฎีและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
กลไกการออกฤทธิ์ของยาปฏิชีวนะโดยมีกระบวนการทำลายและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย
ดังต่อไปนี้
1. ทำลายเยื้อหุ้มเซลล์หรือที่เรียกว่าเซลล์เมมเบรน (Cell membrane) ซึ่งเป็นเยื่อบาง ๆ ที่หุ้มตัวเชื้อ
แบคทีเรีย (มีหน้าที่แลกเปลี่ยนสารต่าง ๆ ระหว่างภายในและภายนอกเซลล์) ส่งผลให้สมดุลในการ
ดำรงชีวิตของเชื้อโรคเสียไปและตายในที่สุด
2. ยับยั้งการสร้างผนังเซลล์ศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ เรียกว่าเซลล์วอลล์ (Cell Wall) ซึ่งเป็นผนังภายนอกสุด
ของเซลล์ที่ห่อหุ้มเยื่อหุ้มเซลล์อีกที (มีหน้าที่ปกป้องและคงรูปร่างของเซลล์ มักพบกับเซลล์แบคทีเรียและ
เซลล์พืช ไม่พบในเซลล์สัตว์) ด้วยกลไกนี้จะทำให้เชื้อแบคทีเรียต่างๆไม่สามารถแพร่พันธุ์จึงหยุดการ
เจริญเติบโต
3. ก่อกวนการสังเคราะห์สารพันธุกรรมในตัวของเชื้อแบคทีเรีย สารพันธุกรรมที่เรามักคุ้นเคยกัน เรียกว่า
DNA และ RNA กลไกดังกล่าวจะทำให้เชื้อแบคทีเรียไม่สามารถผลิตลูกหลานออกมาทำอันตรายต่อ
ร่างกายคนเราได้
4. กระตุ้นให้เชื้อแบคทีเรียปล่อยน้ำย่อยออกมาย่อยตัวเองและตายลง โดยความสามารถในการทำลายเชื้อ
แบคทีเรียของยาปฏิชีวนะไม่ได้ขึ้นกับวิธีการหรือกลไกทำลายเชื้อโรคเท่านั้นแต่ยังขึ้นกับความสามารถใน
การนำหรือพายาปฏิชีวนะไปยังอวัยวะที่มีการติดเชื้อ หากร่างกายไม่สามารถนำยาไปยังอวัยวะที่มีการติด
เชื้อได้ก็ไม่สามารถทำลายเชื้อโรคได้ ซึ่งการนำยาไปยังอวัยวะเป้าหมายมีหลายช่องทาง เช่น การกิน การ
ฉีดใต้ผิวหนัง การฉีดเข้ากล้าม การฉีดเข้าหลอดเลือด และการทำที่ผิวหนัง เป็นต้น
ไตรเมโทพริม (Trimethoprim) คือ ยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย มักถูกใช้เป็นยาป้องกันและ
รั ก ษาโรคติ ด เชื ้ อ ระบบทางเดิ น ปั ส สาวะ ต่ า งประเทศจะรู ้ จ ั ก ยาไตรเมโทพริ ม ในชื ่ อ การค้ า ว่ า Proloprim,
Monoprim และ Triprim และจัดเป็นสารเคมีประเภท Dihydrofolate reductase inhibitors (สารต้านการ
สร้างโปรตีนชนิดที่ใช้เพื่อการเจริญเติบโตของเซลล์) จากการศึกษาด้านเภสัชจลนศาสตร์ของยานี้พบว่า การดูดซึม
ยาไตรเมโทรพริมชนิดรับประทานเข้าสู่ร่างกายมีถึง 90-100% ซึ่งเมื่อยาเข้าสู่กระแสเลือดจะเข้าจับกับพลาสมา
โปรตีนประมาณ 44% ซึ่งตับจะเป็นอวัยวะที่คอยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีของยานี้ โดยร่างกายต้องใช้เวลา
8-12 ชั่วโมง ในการกำจัดยา 50% ออกจากกระแสเลือดที่ผ่านไปกับปัสสาวะและอุจจาระ กลไกการออกฤทธิ์ของ
ยาไตรเมโทพริม คือ ตัวยาจะเข้าไปรบกวนกระบวนการสร้างโปรตีนของแบคทีเรีย โดยเปลี่ยนกรดไดไฮโดรโฟลิก
(Dihydrofolic acid) ไปเป็นกรดเตตระไฮโดรโฟลิก (Tetrahydrofolic acid) ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการ
8
2.10 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
Oxidation of Selected Trace Organic Compounds through the Combination of the Inline
Electro-Chlorination with UV Radiation (UV/ECl2) as Alternative AOP for Decentralized Drinking
Water Treatment (Philipp Otter et al., 2020) เป็นงานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับการผสมระหว่างการสร้างคลอรีน
ด้วยไฟฟ้าแบบอินไลน์ (ECl2) กับเครื่องปฏิกรณ์ UV ความดันต่ำ (UV/ECl2) เพื่อใช้งาน AOP ที่ใช้คลอรีนโดยไม่
ต้องเติมคลอรีน ผลในห้องแลปแสดงให้เห็นว่าจากช่วงความเข้มข้นของคลอรีนอิสระ (FAC) ระหว่าง1-18 mg/L ที่
ผลิตโดย ECl2 สูงถึง 84% สามารถโฟโตไลซ์เพื่อสร้างอนุมูลไฮดรอกซิล (OH•) ด้วยพลังงาน UV ที่ป้อนเข้า 0.48
kWh/m3 อัตราส่วนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 97% โดยการเพิ่มพลังงาน UV เป็น 2 เท่า (0.96 kWh/m3) และมีค่าคงที่ตลอด
ช่วง FAC ที่ทดสอบ นอกจากนี้ ผลผลิตเชิงอนุมูลที่ได้ 64% ไม่เปลี่ยนแปลงในช่วงความเข้มข้นของ FAC ที่กำหนด
โดย pH ระหว่าง 6 และ 8 ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของ FAC มีการลดความซับซ้อนของการทำงาน
ของระบบเครื่องชั่งนำร่องในการบำบัดน้ำดื่ม ในขณะที่ ECl2 อย่างเดียวย่อยสลาย benzotriazoles ได้ 5%
เ ท่ า นั้ น ก า ร ใ ช้ ร่ ว ม กั บ UV จ ะ ท ำ ใ ห้ ย่ อ ย ส ล า ย ดี ขึ้ น 89% ผ ล ลั พ ธ์ ที่ ค ล้ า ย ค ลึ ง กั น นี้ ใ ช้ ไ ด้ กั บ
4-methylbenzotriazole, 5-methylbenzotria-zole และ iomeprol ส่วน Oxipurinol และ gabapentin ถูก
ย่อยสลายอย่างง่ายดายโดยใช้ ECl2 เพียงอย่างเดียว ค่าไตรฮาโลมีเทนยังคงต่ำกว่ามาตรฐานน้ำดื่มของเยอรมันที่
50 µg/L โดยต้องรักษาความเข้มข้นคลอรีนที่เหลืออยู่ในขอบเขตที่อนุญาต วิธีนี้มีแนวโน้มดีสำหรับการใช้ เพื่อ
บำบัดน้ำสำหรับการบริโภค แต่ต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพเพิ่มเติมเพื่อลดการใช้พลังงาน
Trimethoprim removal from wastewater : Adsorption and electro-oxidation comparative
case study (Simeone Chianese et al., 2023) ได้ ท ำการเปรี ย บเที ย บระหว่ า งการดู ด ซั บ และการเกิ ด
ออกซิเดชันทางเคมีไฟฟ้าสำหรับการกําจัด TMP ออกจากน้ำเสีย โดยใช้การดูดซับด้วยถ่านกัมมันต์ F400 เป็นตัว
ดูดซับ ซึ่งมีประสิทธิภาพการกําจัด TMP ที่สูงขึ้น (70.6%) มากกว่าซีโอไลต์ธรรมชาติ (17.6%) ผลข้อมูลการ
ทดลองสำหรับการดูดซับ TMP ด้วย F400 ในรูปแบบเชิงเส้นได้ค่าของไอโซเทอมแบบแลงเมียร (Langmuir) (R2 =
0.986) โดยค่าของ qmax (qmax แสดงถึงปริมาณ TMP สูงสุดที่ถูกดูดซับโดยมวลต่อหน่วยของตัวดูดซับ ) และ KL
(KL แสดงถึงค่าคงที่การดูดซับของ Langmuir) คือ 18.40 mg/g และ 1.40 L/mg ตามลำดับ แบบจําลองของ
Pseudo-second order ให้ความสัมพันธ์ที่ดีที่สุดกับข้อมูลการทดลอง การเกิดออกซิเดชันทางเคมีไฟฟ้าบน
อิเล็กโทรดไทเทเนียมเคลือบทองคำขาวสองตัวนําไปสู่การกําจัด TMP 70.1% หลังจากการบำบัด 330 นาที
สภาวะการทำงานที่เหมาะสมที่สุดที่ความเข้มข้นของ NaCl ที่ 0.04 M และความหนาแน่นของกระแสที่ใช้ที่ 120
A/m2 การประมาณการต้นทุนสำหรับเทคโนโลยีทั้งสองระบุว่าการเกิดออกซิเดชันทางเคมีไฟฟ้าของ TMP นั้น
16
เทียบได้กับการดูดซับหากทำงานที่ความหนาแน่นกระแสต่ำ แต่ละกระบวนการมีข้อดีและข้อจํากัดหลายประการ
และการเลือกแนวทางที่เหมาะสมต้องพิจารณาปัจจัยต่างๆ รวมถึงองค์ประกอบของน้ำเสีย ต้นทุนและความพร้อม
ของทรัพยากร
Review of antibiotics treatment by advance oxidation processes (Mohammad Zahir Akbari
et al., 2021) ได้นําเสนอวิธี AOPs ต่างๆ สำหรับการเกิดออกซิเดชันและการบําบัดยาปฏิชีวนะจากน้ำเสีย เช่น
การเกิดออกซิเดชันแบบ Fenton โอโซน และโอโซนแบบเร่งปฏิกิริยา การเกิดออกซิเดชันด้วยแสง การเกิด
ออกซิเดชันทางเคมีไฟฟ้าและกระบวนการออกซิเดชันแบบเปียก รวมถึงการแนะนําสั้น ๆ เกี่ยวกับ หลักการ
ลักษณะสำคัญ ปัจจัยที่มีผลต่อการรักษาและการใช้งาน ได้ผลคือ AOPs แต่ละประเภทมีความสามารถสูงและ
ประสิทธิภาพในการบําบัดยาปฏิชีวนะต่าง ๆ แม้ AOPs ได้รับการปรับปรุงในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังต้องการการศึกษา
เพิ่มเติมสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพเพื่อปรับปรุงความสามารถในการปรับตัวและการปฏิบัติจริงและการปรับปรุง
แร่ธาตุที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประสิทธิภาพของตัวเร่ง ปฏิกิริยาที่ใช้และการใช้โอโซนหรือ H2O2 เพื่อปรับปรุง
สำหรับการบำบัดยาปฏิชีวนะอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากน้ำทิ้งอาจมียาปฏิชีวนะหลายชนิด สารมลพิษอินทรีย์
และอนินทรีย์อื่นๆ ซึ่งอาจมีผลต่อกระบวนการกําจัดและประสิทธิภาพการย่อยสลายเมื่อเทียบกับการย่อยสลายยา
ปฏิชีวนะเพียงครั้งเดียว ซึ่งจำเป็นต้องมีการศึกษาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ที่สำคัญกว่านั้น ต้นทุนการดําเนินงานที่
จะลดและรวม AOPs กับการบําบัดทางชีวภาพ (โดยเฉพาะจุลินทรีย์) เป็ นการบําบัดทุติยภูมิอาจจำเป็นต้อง
ปรับปรุงการทำให้เป็นแร่และการกําจัดยาปฏิชีวนะออกจากน้ำเสียอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นการยากที่จะ
กําจัดยาปฏิชีวนะออกจากน้ำเสียอย่างสมบูรณ์โดยใช้ AOPs เท่านั้น
Comparative removal of trimethoprim and its phytotoxicity by using chlorination, UV
irradiation, and UV/chlorine process : Factors affecting the removals and kinetics ( Sirilak Ekwong
et al., 2022) มีการเสนอกระบวนการ UV/Chlorine เนื่องจากมีการผลิตอนุมูลอิสระต่างๆ (เช่น HO•, Cl•)
การศึกษานี้ม ีจุดมุ่ งหมายเพื ่อ เปรีย บเที ย บการกําจัด TMP โดยคลอรีน การฉายรังสี UV และกระบวนการ
UV/Chlorine การทดลองดำเนินการในน้ำสังเคราะห์และน้ำทิ้งที่มีปริมาณคลอรีนที่แตกต่างกัน (50, 250, 500
µM), pHs (6, 7, 8) ความเข้มข้นของ TMP (25, 50, 75 µM) กระบวนการ UV/Chlorine แสดงผลเสริมฤทธิ์กัน
ในการกําจัด TMP เมื่อเทียบกับคลอรีนเพียงอย่างเดียวและการฉายรังสี UV พบว่ากระบวนการ UV/Chlorine
เป็นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการกําจัด TMP ตามด้วยการใช้คลอรีน ส่วนการฉายรังสี UV ส่งผล
กระทบเล็กน้อยต่อการกําจัด TMP (น้อยกว่า 5%) กระบวนการ UV/Chlorine จะกําจัด TMP อย่างสมบูรณ์โดย
ใช้เวลาสัมผัส 15 นาที ในขณะที่คลอรีนใช้เวลา 60 นาทีสามารถกําจัด TMP ได้ 71% การกําจัด TMP เข้ากันได้ดี
กับจลนพลศาสตร์ Pseudo first-order และค่าคงที่อัตรา (k’) เพิ่มขึ้นพร้อมกับปริมาณคลอรีนที่สูงขึ้น ความ
17
เข้มข้นของ TMP ที่ลดลง และ pH ต่ำ ส่วน HO• เป็นกลุ่มออกซิแดนท์หลักที่ส่งผลต่อการกําจัด TMP และอัตรา
การย่อยสลาย เมื่อเทียบกับปฏิกิริยาคลอรีนชนิดอื่นๆ (เช่น Cl•, OCl•) การสัมผัสกับ TMP จะเพิ่มความเป็นพิษต่อ
พื ช โดยการลดอั ต ราการงอกของเมล็ ด Lactuca sativa และ Vigna radiata ส่ ว นการใช้ ก ระบวนการ
UV/Chlorine สามารถล้างพิษ TMP ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ระดับความเป็นพิษต่อพืชของน้ำที่ผ่านการ
บําบัดเทียบเท่าหรือต่ำกว่าน้ำทิ้งที่ปราศจาก TMP ระดับการล้างพิษขึ้นอยู่กับการกําจัด TMP และประมาณ 0.43
– 0.56 เท่าของการกําจัด TMP การค้นพบนี้ชี้ให้เห็นถึงการใช้กระบวนการ UV/คลอรีนเพื่อควบคุม TMP ที่ตกค้าง
และความเป็นพิษต่อพืช
Application of Electrochemical Oxidation for Water and Wastewater Treatment : An
Overview (Mohammad Saleh Najafinejad et al.,2023) การเลือกวิธีการบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพและ
เป็นนวัตกรรมเพื่อกำจัดสิ่งปนเปื้อนจึงเป็ นสิ่งสำคัญ ในกระบวนการออกซิเดชันขั้นสูง การออกซิเดชันเคมีไฟฟ้า
(EO) เป็นวิธีการที่ใช้กันทั่วไปและมีประสิทธิภาพมากที่สุดในการกำจัดมลพิษที่ตกค้างยาวนานออกจากน้ำเสีย
ชุมชนและอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการใช้ EO บำบัดน้ำเสียจริงจะมีความก้าวหน้าไปมาก แต่ก็ยังมี
ช่องว่างอยู่มาก เนื่องจากขาดข้อมูลที่ครบถ้วนเกี่ยวกับพารามิเตอร์การทำงานซึ่งส่งผลต่อกระบวนการและต้นทุน
การดำเนินงาน ในบทความนี้ ในบรรดาบทความทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ มีการรายงานถึงผลกระทบของพารามิเตอร์
การดำเนินงานต่อประสิทธิภาพของ EO การเปรียบเทียบระหว่างการกำหนดค่าเครื่องปฏิกรณ์เคมีไฟฟ้าที่แตกต่าง
กัน และรายงานเกี่ยวกับกลไกทั่วไปของการเกิดออกซิเดชันเคมีไฟฟ้าของสารมลพิษอินทรีย์ นอกจากนี้ยังมีการ
กล่าวถึงการประเมินการวิเคราะห์ต้นทุนและข้อกำหนดการใช้พลังงานอีกด้วย บทความนี้ให้ภาพรวมของ
กระบวนการ EO ที่ใช้เป็นวิธีการใหม่ในการกำจัดมลพิษที่เกิดขึ้นใหม่ออกจากน้ำและน้ำเสีย จากการทบทวน
บทความจำนวนหนึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บทบาทที่สำคัญของพารามิเตอร์การปฏิบัติงานหลายประการได้รับการ
ตรวจสอบ ข้อดีประการหนึ่งของการทำความเข้าใจเพิ่ มเติมถึงผลกระทบของพารามิเตอร์การปฏิบัติงานเหล่านี้ต่อ
กระบวนการ EO คือการลดการใช้พลังงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัดมลพิษ ในที่สุดก็มีการทบทวนเทคนิค
AOP ที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่เรียกว่าโฟโตอิเล็กโตรคะตะไลซิส (PEC) ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในการย่อยสลาย
สารมลพิษที่เกิดขึ้นใหม่
Boron-Doped Diamond Electrodes : Fundamentals for Electrochemical Applications
(Yasuaki Einaga et al.,2022) การพัฒนาอิเล็กโทรดเพชรเจือโบรอน (BDD) มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในด้าน
กายภาพขั้นพื้นฐานความเข้าใจและการพัฒนาการใช้งานในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ในช่วงเริ่มต้นถูกนำไปใช้กับการ
บำบัดน้ำเสียและการทำให้บริสุทธิ์ ไม่นานมานี้พวกเขาได้พบการประยุกต์ใช้ในสิ่งแวดล้อม การติดตามและการวัด
ทางชีวการแพทย์ อิเล็กโทรด BDD มีคุณสมบัติทางเคมีไฟฟ้าที่เหนือกว่า ซึ่งบางส่วนได้แก่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
18
เคมีไฟฟ้าเพื่อสร้างสายพันธุ์ที่มีปฏิกิริยาสูงซึ่งสามารถย่อยสลายสารปนเปื้อนอินทรีย์ได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพใน
การกำจัด ผสมผสาน EAO เข้ากับการฉายรังสี UV ได้รับการทดสอบพร้อม ๆ กัน ด้วยขั้นตอนโฟโตคะตาไลติกโดย
ใช้ TiO2 เป็นตัวเร่งปฏิกิริยา EAO ที่มีเพอร์ซัลเฟตเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งควบคุมการสร้างอนุมูลซัลเฟตภายใต้
แสง UV ก็แสดงให้เห็นเช่นกัน EAO นำเสนอทางเลือกใหม่ในการสลายเภสัชภัณฑ์ในน้ำเสียของโรงพยาบาลโดย
การผลิตสายพันธุ์ออกซิไดซ์ในแหล่งกำเนิดผ่านปฏิกิริยาออกซิเดชันและการรีดักชัน การใช้เทคโนโลยีการฉายรังสี
ต่างๆ เช่น UVA, UVC และรังสีแสงอาทิตย์ สามารถปรับปรุงกระบวนการเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น ออกซิเดชั นทาง
เคมีไฟฟ้าโดยใช้อิเล็กโทรดประเภทต่างๆ ได้รับการสำรวจอย่างกว้างขวางเพื่อการกำจัดทางเภสัชกรรม นอกจากนี้
กระบวนการอิเล็กโตร-เฟนตัน ซึ่งใช้วัสดุขั้วบวกและแคโทดหลายชนิด ได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่มีแนวโน้มสำหรับ
การกำจัดยาออกจากน้ำทิ้งของโรงพยาบาล ความก้าวหน้าเหล่ านี้มีส่วนสนับสนุนความพยายามอย่างต่อเนื่องใน
การปกป้องสภาพแวดล้อมทางน้ำจากผลกระทบที่เป็นอันตรายจากการปนเปื้อนทางเภสัชกรรม
20
บทที่ 3
วิธีการดำเนินงาน
งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงทดลองในห้องปฏิบัติการภาควิชาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม คณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิทยาลัยบูรพา เพื่อศึกษาสภาวะที่ส่งผลต่อการบำบัดน้ำเสียสังเคราะห์ปนเปื้อนยาปฏิชีวนะด้วยกระบวนการ
Electrooxidation และกระบวนการ Electrooxidation/Ultraviolet โดยยาปฏิชีวนะที่ใช้ คือ ยาไตรเมโทพริม
(TMP) ผู้วิจัยได้แบ่งการดำเนินงานวิจัยออกเป็น 4 หัวข้อหลัก ได้แก่ สารเคมี และอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง
เครื่องมือในการทดลอง ขั้นตอนการทดลอง การวิเคราะห์ผลการทดลอง โดยมีรายละเอียดดังนี้
3.1 สารเคมีและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง
3.1.1 สารเคมี
1. สารเคมีที่ใช้ในการเตรียมน้ำเสียสังเคราะห์
- ไตรเมโทพริม (Trimethoprim), ความบริสุทธิ์ ≥ 98% จากบริษัท Sigma Aldrich
- สารอิเล็กโทรไลต์ที่ใช้ คือ เกลือแกงหรือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) 500 mg/L
- สาร pH Buffer สำหรั บ น้ ำ ตั ว อย่ า ง คื อ ไดโพแทสเซี ย มฟอสเฟต (K2HPO4) และ
โพแทสเซียมไดไฮโดรเจนฟอสเฟต (KH2PO4)
2. สารเคมีสำหรับการวิเคราะห์พารามิเตอร์ต่าง ๆ
2.1 การวิเคราะห์หาปริมาณความเข้มข้นของยาไตรเมโทพริมโดยใช้เครื่อง HPLC
- โซเดียมไทโอซัลเฟต (Na2S2O3)
- สาร Moblie phase ได้แก่ Methanol, Glacial Acetic Acid,
2.2 การวิเคราะห์หาคลอรีน
- Phosphate buffer (Disodium Phosphate; Na2HPO4, Potassium
dihydrogen phosphate; KH2PO4, Disodium EDTA; C10H16N2Na2O8)
- DPD (DPD sulfate; C10H16N2 · H2SO4, Sulfuric Acid; H2SO4, Disodium
EDTA; C10H16N2Na2O8)
21
- ชุดสายไฟเชื่อมต่อกับวงจรไฟฟ้า
3. เครื่องชั่งแบบละเอียด (4 และ 5 ตำแหน่ง)
4. เครื่องวัดพีเอช (pH meter)
5. เครื่องวัดอุณหภูมิ (Thermometer)
6. Magnetic Stirrer
7. เครื่อง High Performance Liquid Chromatography (HPLC)
3.2 เครื่องมือในการทดลอง
3 . 2 . 1 เ ค รื่ อ ง มื อ High Performance Liquid Chromatography (HPLC) (ค ณ ะ แ พ ท ย ศ า ส ต ร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2566)
High Performance Liquid Chromatography (HPLC) เป็นเทคนิคที่ใช้แยกสารออกจากกัน โดยอาศัย
หลักการทางโครมาโตกราฟี (chromatography) จากความแตกต่างในด้านสมบัติที่ต่างกันของสารที่ต้องการแยก
เป็นเทคนิคการวิเคราะห์ทั้งในเชิงคุณภาพวิเคราะห์ (Qualitative) และปริมาณวิเคราะห์ (Quantitative) ที่นิยม
ใช้มากวิธีหนึ่ง โดยสามารถใช้กับงานด้านต่างๆ อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ในการวิเคราะห์ทางอาหาร ทางสมุนไพร
ยา ยาฆ่าแมลง ฯลฯ สามารถตรวจวิเคราะห์ปริมาณในระดับไมโครกรัม (µg) ในกรณีทั่ว ๆ ไป หรือละเอียดถึง
ระดับพิโคกรัม (pg) และยังสามารถนำเทคนิค HPLC นี้มาใช้ในการแยกสารบริสุทธิ์ได้อีกด้วย
หลักการทำงานของเครื่อง HPLC เป็นเทคนิคแยกสารผสมโดยใช้เครื่องสูบแรงดันสูง (High pressure
pump) สูบของเหลวหรือตัวทำละลายซึ่งทำหน้าที่เป็นวัฏภาคเคลื่อนที่ (Mobile phase) พาสารตัวอย่างที่ถูกฉีด
เข้าทางช่องฉีดสาร (Injector) เคลื่อนที่ผ่านอนุภาคที่เป็นวัฏภาคคงที่ (Stationary phase ) ซึ่งบรรจุอยู่ในคอลัมน์
(Column) สารผสมเคลื่อนที่ผ่านคอลัมน์แล้วจะถูกแยกออกมาในเวลาที่ต่างกัน ซึ่ง สารผสมที่อยู่ในตัวอย่าง
สามารถถูกแยกออกจากกันได้นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการเข้ากันได้ดีของสารนั้นกับ Mobile phase หรือ
Stationary phase สารประกอบตัวไหนที่สามารถเข้ากันหรือละลายได้ดีกับ Mobile phase สารนั้นก็จะถูกแยก
ออกมาก่อนส่วนสารที่เข้ากันได้ไม่ดีกับ Mobile phase หรือเข้ากันได้ดีกับ Stationary phase ก็จะถูกแยก
ออกมาทีหลัง ผ่านเข้าสู่เครื่องตรวจวัด (Detector) สัญญาณที่ตรวจวัดได้ซึ่งอยู่ในรูปสัญญาณไฟฟ้าตามเวลาและ
ปริมาณของสารแต่ละตัวที่ตรวจวัดได้ โดยสัญญาณจะถูกส่งไปยังเครื่องบันทึกสั ญญาณแสดงผลออกมาเป็น
Chromatogram ประกอบด้วย peaks ของสารที่เป็นองค์ประกอบของสารผสม
23
3.3 ขั้นตอนการทดลอง
3.3.1 การเตรียมน้ำเสียสังเคราะห์
ในการศึกษาครั้งนี้มีการเตรียมน้ำเสียที่มียาปฏิชีวนะชนิดไตรเมโทพริมผสมอยู่ โดยมีส่วนประกอบ คือ ยา
ไตรเมโทพริม (Trimethoprim) จากบริษัท Sigma-Aldrich ความบริสุทธิ์ ≥ 98% มาละลายในน้ำที่ปราศจาก
ไอออน หรือน้ำ Ultrapure โดยจะใช้เป็นความเข้มข้นต่ำสุดที่เครื่อง HPLC จะสามารถตรวจวัดได้ × 100%
24
3.4 การวิเคราะห์ผล
3.4.1 การวิเคราะห์ความหนาแน่นของกระแส (Current Density)
จากการทดลองมีการใช้ค่าความเข้มกระแสเพียง 1 ค่า ซึ่งในการวิเคราะห์เพื่อคำนวณหาค่า CD คือความ
หนาแน่นของกระแส ในหน่วย (mA/cm2) โดย I คือค่ากระแสไฟฟ้า ในหน่วย (mA) และ Ap คือพื้นที่ที่เปียกน้ำ
ของแผ่นขั้วกระแสไฟฟ้า ในหน่วย (cm2)
I
สูตร CD = AP
3.4.2 การวิเคราะห์คลอรีน
การวิเคราะห์คลอรีนที่มีผลมาจากความเข้มข้นของสารอิเล็กโทรไลต์ที่เกิดในระบบโดยใช้วิธีการไทเทรต
รายละเอียดดังนี้
1. เตรียม pH buffer และ DPD ตามข้อ 2.2 อย่างละ 5 ml จากนั้นนำไปผสมกับน้ำตัวอย่างที่เจือจาง
ด้วยน้ำ DI ให้ได้ 100 ml โดยมีปริมาตรรวม 110 ml จะมี pH อยู่ที่ 6.2 - 6.5
2. ทำการไทเทรตโดยใช้ FAS เพื่อหาปริมาณของสารคลอรีนในน้ำตัวอย่าง
3. นำผลที่ได้จาการไทเทรตไปคำนวณหาความเข้มข้นของคลอรีนในน้ำเสียสังเคราะห์ โดยค่ามิลลิลิตรที่
ไทเทรตจนสีแดงของ FAS หายไปคือค่ามิลลิกรัมต่อลิตรของคลอรีน
3.4.3 การวิเคราะห์ไตรเมโทพริม (Trimethoprim)
ใช้เครื่องมือ High Performance Liquid Chromatography (HPLC) รายละเอียดดังนี้
1. เงื่อนไขในการวิเคราห์ไตรเมโทพริม
26
บทที่ 4
ผลการศึกษาและอภิปราย
4.2 ประสิทธิภาพการบำบัด
4.2.1 ผลของกระบวนการ Electrooxidation เทียบกับพีเอชต่อการบำบัดยา TMP
เปรี ยบเที ย บค่ าพี เ อ ช 5.8 , 6 .8 , แล ะ 7 .8 ในก ระบวนก าร El e c tr ooxi dati on
1.00
ความเข้มข้นของ TMP C/C0
0.80
0.60
0.40
0.20
0.00
0 1 2 5 8 10 15 30 60
เวลา (min.)
เปรี ยบเที ย บค่ าพี เ อ ช 5. 8, 6.8 , แล ะ 7. 8 ในก ระบวนก าร El e c tr ooxi dati on/ UV
1.00
ความเข้มข้นของ TMP C/C0
0.80
0.60
0.40
0.20
0.00
0 1 2 5 8 10 15 30 60
เวลา (min.)
1.00
ความเข้มข้นของ TMP C/C0
0.80
0.60
0.40
0.20
0.00
0 1 2 5 8 10 15 30 60
เวลา (min.)
ประสิ ทธิ ภ าพก ารบาบั ด ด้ วยก ระบวนก าร El e c tr ooxi dati on เที ย บกั บ
El e c tr ooxi dati on/ UV ที่ ส ภ าวะ pH 6. 8
1.00
ความเข้มข้นของ TMP C/C0
0.80
0.60
0.40
0.20
0.00
0 1 2 5 8 10 15 30 60
เวลา (min.)
1.00
ความเข้มข้นของ TMP C/C0
0.80
0.60
0.40
0.20
0.00
0 1 2 5 8 10 15 30 60
เวลา (min.)
ประสิ ทธิ ภ าพก ารบาบั ด ด้ วยก ระบวนก าร El e c tr ooxi dati on เที ย บกั บ
El e c tr ooxi dati on/ UV ที่ ส ภ าวะ pH 5 .8 โดยมี Be nz oi c Ac i d ร่ วมด้ วย
1.00
0.80
ความเข้มข้นของ TMP C/C0
0.60
0.40
0.20
0.00
0 1 2 5 8 10 15 30 60
เวลา (min.)
Nitrobenzene (NB)
1.00
ความเข้มข้นของ TMP C/C0
0.80
0.60
0.40
0.20
0.00
0 1 2 5 8 10 15 30 60
เวลา (min.)
1.00
ความเข้มข้นของ TMP C/C0
0.80
0.60
0.40
0.20
0.00
0 1 2 5 8 10 15 30 60
เวลา (min.)
34
1.00
ความเข้มข้นของ TMP C/C0
0.80
0.60
0.40
0.20
0.00
0 1 2 5 8 10 15 30 60
เวลา (min.)
บทที่ 5
สรุปผลและข้อเสนอแนะ
5.1 สรุปผลการทดลอง
จากสภาวะการทดลองที่เลือกใช้โดยมีความเข้มข้นของสารอิเล็กโทรไลต์ ที่ 500 mg/L และความเข้ม
กระแสเท่ากับ 10 mA/cm2 จะเห็นได้ว่ากระบวนการ Electrooxidation และ Electrooxidation/UV สามารถ
กำจัดยาไตรเมโทพริม (Trimethoprim) ได้จริง โดยได้วัดค่าความเข้มแสง UV ทั้งหมด 3 หลอด ที่ระยะเวลา 30,
40, 50, 60, 70, 80 และ 90 นาที ค่าการเพิ่มขึ้นของความเข้มแสงจาก UV 6 วัตต์ 3 หลอด (ศราวุธ และคณะ,
2565) เป็น UV 16 วัตต์ 3 หลอด เท่ากับ 52.05% โดยมีตัวแปรอย่าง pH สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดตัว
ยา ไตรเมโทพริม (Trimethoprim) ในการทดลองได้ โดยใช้ค่า pH ที่ 5.8, 6.8 และ 7.8 ซึ่ง pH ที่ 5.8 เป็นเงื่อนไข
ที ่ สามารถบำบั ด ยาไตรเมโทพริ ม (Trimethoprim) ได้ ดี ที่ ส ุ ด ทั้ ง ในกระบวนการ Electrooxidation และ
Electrooxidation/UV ในกระบวนการ Electrooxidation ที่ pH 5.8, 6.8 และ 7.8 มีประสิทธิภาพการบำบัด
ในช่วงระยะเวลา 30 นาที อยู่ที่ 100% 71.37% และ 96.49% ตามลำดับ ในกระบวนการ Electrooxidation/UV
ที่ pH 5.8, 6.8 และ 7.8 มีประสิทธิภาพการบำบัดในช่วงระยะเวลา 30 นาที อยู่ที่ 100% 96.02% และ 100%
ตามลำดับ ในกระบวนการ Electrooxidation และ Electro oxidation/UV ร่วมกับ Benzoic Acid ที่ pH 5.8
ประสิทธิภาพการบำบัด ที่ 2 นาทีอยู่ที่ 8.5% และ 15.82% ตามลำดับ ในกระบวนการ Electrooxidation และ
Electrooxidation/UV ร่วมกับ Nitrobenzene ที่ pH 5.8 ประสิทธิภาพการบำบัด ที่ 2 นาทีอยู่ที่ 15.53% และ
15.90% ตามลำดับ จะเห็นได้ว่า pH มีผลต่อกระบวนการบำบัดตัวยาไตรเมโทพริม (Trimethoprim) เมื่อ pH มี
ค่าต่ำหรือสูงมากจะทำให้ปฏิกิริยาเกิดขึ้นเร็วเนื่องจากความเป็นกรดหรือด่างอย่างรุนแรงจะมีการทำปฏิกิริยาได้ดี
ในกระบวนการ Electrooxidation จากนั้นเราได้นำผลการวิจัยของเราไปเปรียบเทียบกับงานวิจัยก่อนที่ มีสภาวะ
การทดลองคล้ายกันต่างกันที่ไม่ทราบ pH คือ สภาวะ Electrooxidation without UV ที่ ความเข้มข้นของสาร
อิเล็กโทรไลต์ที่ 500 mg/L และความเข้มกระแสเท่ากับ 10 mA/cm2 ประสิทธิภาพการบำบัดที่ 5 นาที ของ
งานวิจัยก่อนกับงานวิจัยปัจจุบันที่ pH 5.8 และ 7.8 อยู่ที่ 23.14% 43.23% และ 14.6% ตามลำดับ ทำให้
คาดการณ์ได้ว่างานวิจัยก่อนหน้านี้ได้มี pH อยู่ทรี่ ะหว่าง 6.8 แต่ไม่น้อยกว่า 5.8 และมากกว่า 7.8 ทำให้เห็นได้ชัด
อีกว่า ความที่เป็นกรดและเบสมากส่งผลต่อประสิทธิภาพการบำบัด
36
5.2 ข้อเสนอแนะ
5.2.1 จากการศึ ก ษาผลของการบำบั ด ตั ว ยาไตรเมโทพริ ม (Trimethoprim) ด้ ว ยกระบวนการ
Electrooxidation/UV ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปประยุกต์ได้จริง แต่เนื่องจากข้อจำกัดในการเลือกสภาวะการ
ทดลองแค่ 3 ตัว คือ pH 5.8, 6.8 และ 7.8 จึงแนะนำว่าการเพิ่มสภาวะการทดลอง เช่น ปรับเปลี่ยนการเพิ่มลด
ความเข้มกระแสไฟฟ้าหรือการเพิ่มลดความเข้มข้นของสารอิเล็กโทรไลต์ในการทดลอง เพื่อเพิ่มโอกาสในการหา
สภาวะที่เหมาะสมในการบำบัด
5.2.2 ในขั้นตอนการเตรียมการวิเคราะห์ควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือ เช่น การใช้สารที่มี
ความเป็นอันตรายต่อร่างกายควรสวมใส่เสื้อแขนยาว ใส่แมส ใส่แว่นเพื่อป้องกันสารนั้นสัมผัสร่างกายโดยตรง และ
สารที่มีไอระเหยควรทำการเตรียมในเครื่องดูดควัน (Fume Hood) โดยเฉพาะ ดังนั้นในแต่ละขั้นตอนจึงต้อง
กระทำอย่างระมัดระวัง
5.3 กิตติกรรมประกาศ
ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้ด้วยดี เพราะได้รับความอนุเคราะห์ การเอาใจใส่ และการให้
คำปรึกษาเป็นอย่างดียิ่งจาก ดร. ตติยา วรรณโนมัย อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมเคมี มหาวิทยาลัยบูรพา และ
อาจารย์ที่ได้ให้คำปรึกษาแนะนำแก้ไขปรับปรุงข้อบกพร่องในการดำเนินงานทุกด้าน รวมทั้งให้คำแนะนำองค์
ความรู้แนวทางในการศึกษาค้นคว้าตั้งแต่เริ่ม ต้นจนเสร็จสมบูรณ์ ขอขอบคุณท่านเจ้าของเอกสารและงานวิจัยทุก
ท่านที่ผู้วิจัยได้นำมาศึกษาอ้างอิงในการทำวิจัยครั้งนี้ รวมถึงคณะอาจารย์ และบุคลากรคณะวิศวกรรมศาสตร์
มหาวิ ท ยาลั ย บู ร พาที่ ใ ห้ ค วามร่ ว มมื อ ตลอดจนอำนวยความสะดวกในการทำวิ จ ั ย ในครั ้ ง นี้ ทางคณะผู ้ ว ิ จั ย
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงและสุดท้ายนี้ คณะผู้วิจัยหวังว่างานวิจัยฉบับนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องและผู้สนใจศึกษาต่อไป
37
บรรณานุกรม
1. Akbari, M.Z., Xu, Y., Lu, Z. and Peng, L. 2021. Review of antibiotics treatment by advance
oxidation processes. https://doi.org/10.1016/j.envadv.2021.100111
2. Alazaiza, M.Y.D., Albahnasawi, A., Eyvaz, M., Nassani, D.E., Abu Amr, S.S., Abujazar, M.S.S.
and Al-Maskari, O. 2023. Electrochemical-based advanced oxidation for hospital
wastewater treatment. DOI : 10.5004/dwt.2023.29714
3. Chianese, S., Fenti, A., Blotevogel, J., Musmarra, D. and Iovino P. 2023. Trimethoprim
removal from wastewater: Adsorption and electro-oxidation comparative case study.
https://doi.org/10.1016/j.cscee.2023.100433
4. Einaga, Y. 2022. Boron-Doped Diamond Electrodes: Fundamentals for Electrochemical
Applications. https://pubs.acs.org/doi/epdf/10.1021/acs.accounts.2c00597
5. Ekwong, S., Boonnorat, J., Lin, K.Y.A., Phattarapattamawong, S. 2022. Comparative
removal of trimethoprim and its phytotoxicity by using chlorination, UV irradiation, and
UV/chlorine process: Factors affecting the removals and kinetics.
6. Kleiner, K. 2004. Wrappers smarten up to protect food.
[https://www.newscientist.com/article/dn4904-wrappers-smarten-up-to-protect-food/]
Accessed 30, 2023.
7. Kumar, K.S.S. 2013. Electric Circuit Analysis.
[https://www.coursehero.com/file/190693077/learning-activity-25docx/] Accessed August
30, 2023.
8. Najafinejad, M.S., Chianese, S., Fenti, A., Iovino, P. and Musmarra, D. 2023. Application of
Electrochemical Oxidation for Water and Wastewater Treatment: An Overview.
https://doi.org/10.3390/molecules28104208
9. Otter, P., Mette, K., Wesch, R., Gerhardt, T., Kruger, F.M., Goldmaier, A., Benz, F., Malakar,
P. and Grischek, T. 2020. Oxidation of Selected Trace Organic Compounds through the
Combination of the Inline Electro-Chlorination with UV Radiation (UV/ECl2) as Alternative
AOP for Decentralized Drinking Water Treatment. https://www.mdpi.com/898012
38