Download as pdf or txt
Download as pdf or txt
You are on page 1of 124

คู่ มื อ ซี เอสอาร์

ด้ านสิ่ งแวดล้ อม
ฉบั บ นั กนิ เวศ
Anti-Greenwash CSR
Anti-Greenwash CSR

ู่ ม
ื อซ
ี เอสอาร
์ ด
้ านส
ิ่ งแวดล
้ อม ฉบ
ั บน
ั กน
ิ เวศ

ผู้เขียน: สมาธิ ธรรมศร, เพชร มโนปวิตร,


นณณ์ ผาณิตวงศ์, คณะวิจัย บริษัท ป่าสาละ จํากัด
บรรณาธิการ: รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์
เลขมาตรฐานประจําหนังสือ 978-616-92670-3-4
พิมพ์ครั้งแรก สิงหาคม 2566 จํานวนพิมพ์ 300 เล่ม
พิสูจน์อักษร: สุภัทริณี ศรประดิษฐ์
ศิลปกรรม: เด็ดเดี่ยว เหล่าสินชัย
ออกแบบปก: นํ้าใส ศุภวงศ์

ข้อมูลทางบรรณานุกรมสํานักหอสมุดแห่งชาติ
สมาธิ ธรรมศร.
 Anti-Greenwash CSR คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ. --
กรุงเทพฯ: ป่าสาละ, 2566.
120 หน้า.
 1. สิ่งแวดล้อม. I. เพชร มโนปวิตร, ผู้แต่งร่วม.
II. นณณ์ ผาณิตวงศ์, ผู้แต่งร่วม. III. ชื่อเรื่อง.
333.7
ISBN 978-616-92670-3-4

ดําเนินการผลิตโดย บริษัท ป่าสาละ จํากัด


บริษัท ป่าสาละ จํากัด
2 สุขุมวิท 43 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110
Tel: 081 370 7899
Email: info@salforest.com
Website: www.salforest.com

พิมพ์ที่ บริษัท ภาพพิมพ์ จำ�กัด 45/12–14, 33 หมู่ 4


ถ.บางกรวย-จงถนอม ต.บางขนุน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี 11130
สารบ
ั ญ


ํ าน
ํ า e

บทน
ำ�: ีซเอสอาร
์ ด
้ านส
่ิ งแวดล
้ อม ได
้ เวลาทบทวนเพ
ื่ อไปต
่ อ 2
ทีมวิจัย บริษัท ป่าสาละ จํากัด

ระบบน
ิ เวศป
่ าบกและป
่ าชายเลน 16
เรื่อง: สมาธิ ธรรมศร

ระบบน
ิ เวศน
้ํ าจ
ื ด 44
เรื่อง: สมาธิ ธรรมศร

ระบบน
ิ เวศทางทะเล 68
เรื่อง: ดร.เพชร มโนปวิตร

โครงการปล
่ อยส
ั ตว
์  92
เรื่อง: ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์

เอกสารอ
้ างอ
ิ ง 104
��������������������


ํ าน
ํ า

ย้อนไปเมือ่ วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 บริษทั ป่าสาละ จํากัด


ถือกําเนิดขึน้ ด้วยความตัง้ ใจว่าจะเป็นบริษทั วิจยั ทีร่ ว่ ม ‘ปลูกธุรกิจที่
ยัง่ ยืน’ ในประเทศไทย อันหมายถึงการดําเนินธุรกิจทีส่ อดคล้องกับ
หลัก ‘การพัฒนาทีย่ ง่ั ยืน’ (sustainable development) ซึง่ ได้รบั การ
นิยามอย่างเป็นทางการครัง้ แรกในรายงานบรันดท์แลนด์ (Brundt­
land Report) ภายใต้องค์การสหประชาชาติ ใน ค .ศ. 1987 ว่า

“การพัฒนาที่ตอบสนองต่อความต้องการของคนรุ่นปัจจุบัน โดย

ไม่ลิดรอนความสามารถของคนรุ่นหลังในการตอบสนองต่อความ
ต้องการของพวกเขา”
ตลอดระยะเวลา 10 ปีตั้งแต่เริ่มดําเนินธุรกิจ ป่าสาละได้จัด
ทําและเผยแพร่รายงานวิจัยสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจที่ยั่งยืน
มากกว่า 30 โครงการ ครอบคลุมหลากหลายประเด็นและสาขา
ธุรกิจ งานวิจัยสาธารณะที่ผ่านมา เช่น ความไม่ยั่งยืนในห่วงโซ่
อุปทานอาหาร, มาตรฐานธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนและกระบวนการ
ตรวจสอบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน, ความเหลือ่ มลํา้ ในการ
จัดสรรทรัพยากร และการธนาคารทีย่ ง่ั ยืน ซึง่ นับตัง้ แต่ พ.ศ. 2561
ป่าสาละดําเนินงานวิจยั ด้านนีใ้ นฐานะสมาชิกของแนวร่วมการเงิน
ที่เป็นธรรมประเทศไทย (Fair Finance Thailand) ร่วมกับองค์กร

e
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

สมาชิกอื่นๆ อีก 4 แห่ง


งานวิจยั สาธารณะดังกล่าวยังไม่นบั การศึกษาโจทย์ดา้ นความ
ยั่งยืนสําหรับบริษัทเอกชนและธุรกิจเพื่อสังคม อาทิ การศึกษา
วิเคราะห์หาประเด็นสําคัญด้านความยั่งยืนขององค์กรผ่านกระ­
บวนการการมีสว่ นร่วมของผูม้ สี ว่ นได้สว่ นเสีย การประเมินความ
เสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนขององค์กร การประเมิน
ผลลัพธ์ทางสังคมและ/หรือผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน
รวมมากกว่า 20 โครงการ
งานศึกษาเหล่านีช้ ว่ ยสร้างความเข้าใจทีร่ อบด้านมากขึน้ เกีย่ วกับ
รูปธรรมและความท้าทายของ ‘ธุรกิจที่ยั่งยืน’ ในสังคมไทย และ
ทําให้ทีมงานเล็งเห็นว่า ท่ามกลางกระแสคําศัพท์ยอดนิยมต่างๆ
ไม่วา่ CSR, SDG, ESG, CSV ฯลฯ แก่นสารของธุรกิจทีย่ ง่ั ยืนจําต้อง
เริม่ ต้นจากการทําความเข้าใจกับความต้องการและความกังวลของ
ผู้มีส่วนได้เสีย และประเมินความเสี่ยงและผลกระทบด้านสังคม
และสิง่ แวดล้อมอย่างรอบด้าน ทัง้ ปัจจัยเสีย่ งทีส่ ง่ ผลต่อการดําเนิน
ธุรกิจ และผลกระทบทีอ่ งค์กรเป็นผูก้ อ่ ซึง่ หมายรวมถึงผลกระทบ
จากการดําเนินโครงการซีเอสอาร์ดา้ นสิง่ แวดล้อม ทีห่ ากออกแบบ
มาอย่างไม่รดั กุมรอบคอบเพียงพอก็อาจก่อให้เกิดผลเสียมากกว่า
ประโยชน์
ในโอกาสครบรอบ 10 ปีแห่งการก่อตัง้ ป่าสาละ นับเป็นโอกาส
อันดีทเี่ ราได้ชวนนักอนุรกั ษ์และนักวิทยาศาสตร์ชนั้ นําของประเทศ
หลายท่านมาร่วมกันเขียน ‘คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับ
นักนิเวศ’ เล่มนี้ เผยแพร่เป็นวิทยาทานแก่ฝา่ ยซีเอสอาร์ของบริษทั
ต่างๆ ตลอดจนผูส้ นใจทัว่ ไปเพือ่ ร่วมเป็นส่วนเล็กๆ ในการรณรงค์

f
��������������������

การทําโครงการซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างรับผิดชอบและถูก
ต้องตามหลักนิเวศวิทยา
โครงการซีเอสอาร์จะได้ชว่ ย ‘ปลูกธุรกิจทีย่ งั่ ยืน’ อย่างแท้จริง
ดังเจตนารมณ์ของป่าสาละ
ท้ายนี้ ป่าสาละขอขอบคุณ รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์ นักอนุรักษ์
นักการเงิน และอดีตนักวิจยั อาวุโสของป่าสาละทีส่ ละเวลามาเป็น
บรรณาธิการเล่ม ตลอดจนนักอนุรกั ษ์และนักวิทยาศาสตร์ทกุ ท่าน
ทีเ่ อือ้ เฟือ้ ความรูแ้ ละเวลามาเขียนเนือ้ หาในหนังสือเล่มนี้ ทัง้ สมาธิ
ธรรมศร, เพชร มโนปวิตร และนณณ์ ผาณิตวงศ์ รวมถึงขอ
ขอบคุ ณ สุ ภั ท ริ ณี ศรประดิ ษ ฐ์ ที่ ดู แ ลเรื่ อ งการพิ สู จ น์ อั ก ษร ,
เด็ดเดีย่ ว เหล่าส­ นิ ชัย สําหรับการจัดทํารูปเล่ม และนํา้ ใส ศุภวงศ์
สําหรับการออกแบบภาพปกและอินโฟกราฟิกประกอบ
ขอให้ทกุ ท่านมีความสุขกับการอ่าน และมาร่วม ‘ปลูกธุรกิจที่
ยั่งยืน’ ไปพร้อมกันกับเรา

สฤณี อาชวานันทกุล
กรรมการผู้จัดการ ด้านการพัฒนาความรู้
ในนามบริษัท ป่าสาละ จํากัด
29 กรกฎาคม 2566

g
คู่ มื อซี เอสอาร์ ด้ านสิ่ งแวดล้ อม ฉบั บ นั กนิ เวศ
บทนํ า

ซี เอสอาร์
ด้ านสิ่ งแวดล้ อม
ได้ เวลาทบทวน
เพื่ อไปต่ อ
ีทมว
ิ ัจย บร
ิ ษ
ั ทป
่ าสาละ ํจาก
ั ด
��������������������

ล่วงสู่ พ.ศ. 2566 หรือยีส่ บิ ปีเศษหลังจากศตวรรษที่ 21 เปิดฉาก


ปัญหาสิง่ แวดล้อมนานัปการรุมเร้าประเทศไทยชนิดทีป่ ฏิเสธไม่ได้
อีกต่อไปว่าภาวะโลกร้อนไม่มอี ยูจ่ ริง ปัญหาสิง่ แวดล้อมเสือ่ มโทรม
ไม่ใช่เรือ่ งสลักสําคัญ มลพิษทางอากาศและนํา้ ไม่ใช่เรือ่ งใหญ่ และ
การลดลงอย่างน่าวิตกของความหลากหลายทางชีวภาพไม่ใช่เรือ่ ง
ของมนุษย์ ที่สําคัญคือเราไม่อาจสลัดข้อเท็จจริงที่ว่าปัญหาสิ่ง­
แวดล้อมเหล่านี้ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและการพัฒนาเศรษฐกิจ
ปัจจุบัน แทบทุกประเทศต่างให้สัญญาประชาคมแก่กันว่าจะต้อง
มุ่งหน้าสู่ ‘การพัฒนาที่ยั่งยืน’ ผ่านการลงนามใน ‘เป้าหมายการ
พัฒนาที่ยั่งยืน’ (Sustainable Development Goals หรือ SDGs)
ทั้ง 17 ข้อขององค์การสหประชาชาติ
เหล่าบริษัทน้อยใหญ่ต่างขานรับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
กันอย่างคึกคัก สังเกตจากการนําโครงการและการดําเนินการ
ต่างๆ ของบริษัทมาเปรียบเทียบว่าสอดคล้องกับเป้าหมายการ
พัฒนาที่ยั่งยืนข้อใดบ้างโดยปรากฏในรายงานบริษัทหรือรายงาน
ความยั่งยืนประจําปี นอกจากนี้ ยังมีบริษัทจํานวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทีป่ ระกาศว่าคํานึงถึงประเด็นด้านสังคม สิง่ แวดล้อม และธรรมา­
ภิ­บาล (environment, social, governance เรียกรวมๆ ว่า ESG)
ในการดําเนินธุรกิจ มุ่งรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน
พร้อมทั้งประกาศกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนความยั่งยืนในหลายมิติ
อาทิ เป้าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและกลยุทธ์การรับมือ
กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ท่ามกลางความเคลื่อนไหวข้างต้น บริษัทจํานวนมากยังคงให้
ความสําคัญกับกิจกรรมซีเอสอาร์ (Corporate Social Responsibility

3
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

หรือ CSR) ทีไ่ ม่เกีย่ วข้องกับการดําเนินธุรกิจหลัก เนือ่ งจากหลาย


บริษทั มองว่ากิจกรรมเชิงการกุศลบรรษัท (corporate philanthropy)
ช่วยสร้างประโยชน์แก่สงั คม และเสริมสร้างภาพลักษณ์ของบริษทั
ในสายตาสาธารณะ
ในบรรดากิจกรรมซีเอสอาร์ทงั้ หมด กิจกรรมด้านสิง่ แวดล้อม
เป็ น กิ จ กรรมซี เ อสอาร์ ที่ ไ ด้ รั บ ความนิ ย มเป็ น อั น ดั บ ต้ น ๆ แต่
กิจกรรมซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อมบางรูปแบบของบางบริษัทกลับ
ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องยาวนานว่า​
ดําเนินการอย่างไม่รับผิดชอบหรือระมัดระวังมากเพียงพอจน​
ทําให้บางครั้งกิจกรรมนําไปสู่ผลเสียมากกว่าผลดีต่อระบบนิเวศ
โครงการส่วนใหญ่ที่เผชิญกับข้อวิพากษ์หรือสุ่มเสี่ยงที่จะสร้าง
ผลเสียต่อสิง่ แวดล้อมอาจแบ่งออกเป็น 7 รูปแบบคือ การปลูกป่า
การปลูกป่าชายเลน การสร้างฝาย การสร้างธนาคารนํ้าใต้ดิน
การปลูกปะการัง การปลูกหญ้าทะเล และการปล่อยสัตว์
กิจกรรมซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม 7 รูปแบบข้างต้นได้รับ
ความนิยมเพียงใด คณะวิจัยบริษัท ป่าสาละ จํากัด (‘คณะวิจัย’)
หาคําตอบด้วยการสํารวจข้อมูลทีเ่ กีย่ วกับการทํากิจกรรมซีเอสอาร์
ของบริษทั ในประเทศไทย โดยคัดเลือกบริษทั ทีม่ กี ารเปิดเผยข้อมูล
การทํากิจกรรมซีเอสอาร์ในรายงานประจําปีและเว็บไซต์ของบริษทั
ระหว่าง พ.ศ. 2562–2566
คณะวิจยั พบว่าระหว่าง พ.ศ. 2562–2566 บริษทั 24 แห่งจาก
11 หมวดธุรกิจเปิดเผยข้อมูลการทํากิจกรรมซีเอสอาร์ทง้ั 7 รูปแบบ

รวมทัง้ หมด 187 โครงการ โดยมีรายละเอียดดังแสดงในแผนภาพ


ในหน้าถัดไป

4
��������������������

5% 2%
การปล
ู กหญ
้ าทะเล การสร
้ างธนาคารน
�ํ าใต
้ ิดน

7%
การปล
ู กปะการ
ั ง

11%
การปล
่ อยส
ั ตว
์ 43%
การปล
ู กป
� า

19%
การสร
้ างฝาย

12%
การปล
ู กป
� าชายเลน

ิกจกรรมซ
ี เอสอาร
์ ด
้ านส
่ิ งแวดล
้ อม 7 ู รปแบบของบร
ิ ษ
ั ทในไทยในช
่ วง พ.ศ. 2562–2566

อย่างไรก็ตาม คณะวิจยั พบว่ามีเพียง 5 บริษทั เท่านัน้ ทีม่ กี าร


เปิดเผยงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการทํากิจกรรมซีเอสอาร์ บาง
บริษทั ระบุชดั เจนว่าเป็นงบประมาณสําหรับการทํากิจกรรมซีเอส­
อาร์โดยเฉพาะ ขณะทีบ่ างบริษทั ระบุวา่ เป็นงบประมาณด้านสังคม
หรือสิ่งแวดล้อม รายละเอียดดังแสดงในตารางในหน้าถัดไป

5
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ประเภท งบประมาณ (ล้านบาท)


บริษัท
งบประมาณ 2562 2563 2564 2565

บริษัท เครือ
การลงทุนด้าน
1 เจริญโภคภัณฑ์ 1,468 1,464 4,192 -
สิ่งแวดล้อม
จํากัด

2
บริษัท ปตท. การลงทุน 1,405.50 620.37 1,271 1,086
จํากัด (มหาชน) ทางสังคม
บริษทั ปูนซิเมนต์ ค่าใช้จ่ายในการ
3 ไทย จํากัด บริหารจัดการ 152 167 157 161

(มหาชน) ด้าน CSR


บริษัท บางจาก การพัฒนา
4 คอร์ปอเรชั่น ชุมชน สังคม 98 44 34.68 -

จํากัด (มหาชน) และการบริจาค

5
บริษัท กรุงเทพ การจัดโครงการ - - 0.006 0.455
ซินธิติกส์ จํากัด CSR
ี่ทมา: การรวบรวมของคณะว
ิ ัจยจากรายงานประจ
ํ าป
ี และรายงานความย
่ั งย
ื นของบร
ิ ษ
ั ท

จากข้อมูลข้างต้น บริษทั ทีม่ กี ารใช้งบประมาณด้านสิง่ แวดล้อม


สูงสุดคือ บริษทั เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด ซึง่ มีการลงทุนด้าน
สิ่งแวดล้อมเฉลี่ยปีละ 2,375 ล้านบาท ครอบคลุม 4 ประเด็น
ได้แก่ การจัดการการเปลีย่ นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ การดูแลทรัพ­
ยากรนํา้ การปกป้องระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ
และการจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างรับผิดชอบ

6
��������������������

บริษทั ทีม่ กี ารใช้งบประมาณด้านสิง่ แวดล้อมสูงเป็นลําดับสอง


คือ บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) เฉลี่ยปีละ 1,095 ล้านบาท
โดยใช้ในการส่งเสริมการอนุรกั ษ์และฟืน้ ฟูทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม รองลงมาคือบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน)
ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสําหรับกิจกรรมซีเอสอาร์เฉลี่ยปีละ 159 ล้านบาท
บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ที่ใช้งบประมาณ
ใน​การพัฒนาชุมชน สังคม และการบริจาคเฉลี่ยปีละ 59 ล้าน
บาท ลําดับสุดท้ายคือ บริษัท กรุงเทพ ซินธิติกส์ จํากัด ซึ่งใช้
งบประ­มาณ​สําหรับโครงการซีเอสอาร์เฉลี่ยปีละ 230,500 บาท
และเป็นบริษัทเดียวที่เปิดเผยงบประมาณในการทําซีเอสอาร์ราย
โครงการ
เมื่อเห็นภูมิทัศน์โครงการซีเอสอาร์ของบริษัทในประเทศไทย
ชัดเจนแล้ว คณะวิจยั ขอชวนผูอ้ า่ นเจาะลึกในรายละเอียดโครงการ
ซีเอสอาร์ทั้ง 7 รูปแบบดังนี้

โครงการปล
ู กป
่ าและปล
ู กป
่ าชายเลน

โครงการปลูกป่าและปลูกป่าชายเลนระหว่าง พ.ศ. 2562–2566


มีจํานวนรวมทั้งสิ้น 104 โครงการ บริษัทในหมวดพาณิชย์ครอง
อันดับหนึง่ ในฐานะธุรกิจทีจ่ ดั กิจกรรมปลูกป่าและป่าชายเลน โดย​
มีจาํ นวนรวมทัง้ สิน้ 47 โครงการ (ร้อยละ 45) รองลงมาคือธุรกิจ
หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค (ร้อยละ 16) และธุรกิจหมวด
วัสดุก่อสร้าง (ร้อยละ 15)
ตัวอย่างกิจกรรมปลูกป่าและป่าชายเลนก็เช่นโครงการ WE

7
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

GROW ปลูกเพื่อความยั่งยืน โดยบริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์


จํากัด ซึ่งเริ่มดําเนินการตั้งแต่ พ.ศ. 2563 โครงการนี้มีเป้าหมาย
ในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวด้วยการปลูกป่าให้ได้ 20 ล้านต้นภายใน
พ.ศ. 2568 โดยใน พ.ศ. 2564 ได้ดาํ เนินการไปแล้ว 6.39 ล้านต้น
ทัง้ ภายในประเทศและต่างประเทศ เช่น รัสเซีย จีน และเวียดนาม
เป็นต้น
อีกหนึ่งตัวอย่างที่น่าสนใจคือโครงการ ‘ปลูก ลด ร้อน’ โดย
บริษทั ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) โครงการนีเ้ ริม่ ดําเนินการ
ตัง้ แต่ พ.ศ. 2563 เพือ่ เชือ่ มโยงชุมชนและขยายพืน้ ทีธ่ รรมชาติ ซึง่
ใน พ.ศ. 2564 มีการปลูกต้นไม้เพิม่ ขึน้ กว่า 50 ไร่ (จํานวน 3,000
ต้น) ในบริเวณพืน้ ทีจ่ งั หวัดระยอง รวมถึงโครงการจาก ‘ไม้พนื้ ถิน่ ’
สู่ ‘ป่าโกงกาง’ ต่อยอดสู่ ‘หญ้าทะเล’ เพือ่ ช่วยฟืน้ ฟูทรัพยากรทาง
ทะเลให้ยงั่ ยืน โดยมีเป้าหมายปลูกต้นโกงกาง 14,000 ต้นครอบ­
คลุมพื้นที่ 20 ไร่ และหญ้าทะเล 15,000 ต้น ครอบคลุมพื้นที่
10 ไร่ ภายใน พ.ศ. 2564 หนึ่งในพื้นที่ท่ีปูนซิเมนต์ไทยได้มีการ

เข้าไปปลูกป่าชายเลนคือจังหวัดนครศรีธรรมราช
ขณะที่ บริษทั ปตท. จํากัด (มหาชน) ดําเนินโครงการปลูกป่า
2 ล้านไร่ตั้งแต่ พ.ศ. 2566 ภายใต้ความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ

อาทิ กรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช


กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

8
��������������������

โครงการสร
้ างฝาย

กิจกรรมการสร้างฝายระหว่าง พ.ศ. 2562–2566 มีจาํ นวนรวม


ทั้งสิ้น 35 โครงการ บริษัทในหมวดพาณิชย์ครองอันดับหนึ่งใน
ฐานะธุรกิจทีจ่ ดั กิจกรรมการสร้างฝายมากทีส่ ดุ เช่นกัน โดยมีจาํ นวน​
รวมทั้งสิ้น 16 โครงการ (ร้อยละ 46) รองลงมาคือธุรกิจหมวด
ปิโตรเคมีและเคมีภณ ั ฑ์ (ร้อยละ 17) และธุรกิจหมวดวัสดุกอ่ สร้าง
(ร้อยละ 14)

ตัวอย่างกิจกรรมการสร้างฝาย อาทิ โครงการฝายมีชีวิตโดย


บริษทั เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด ดําเนินการในพืน้ ที่ 17 จังหวัด
ทางภาคเหนือตั้งแต่ พ.ศ. 2563 เพื่อป้องกันนํ้าท่วม นํ้าหลาก
และจัดการทรัพยากรนํา้ ให้มใี ช้อย่างเพียงพอ ข้อมูล ณ สิน้ เดือน
เมษายน 2566 ระบุว่าสร้างฝายไปแล้วทั้งสิ้น 112 ฝาย
อีกหนึง่ ตัวอย่างคือโครงการ รักษ์นาํ้ จากภูผาสูม่ หานที โดย
บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) ที่ริเริ่มมาตั้งแต่ พ.ศ.
2550 เพื่ อ ช่ ว ยชะลอการไหลของนํ้ า เพิ่ ม ความชุ่ ม ชื้ น ในผื น ดิ น

ช่วยลดไฟป่า รักษาสมดุลของวัฏจักรนํ้า และช่วยสร้างอาชีพให้


ชุมชนมีรายได้และเติบโตอย่างยัง่ ยืนโดยข้อมูล พ.ศ. 2565 พบว่า
มีการสร้างฝายภายใต้โครงการดังกล่าวไปแล้วทัง้ สิน้ 115,000 ฝาย
ตัวอย่างสุดท้ายคือโครงการฟื้นป่า รักษ์นํ้า เขาห้วยมะหาด
โดยบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน) เพื่อฟื้นฟู
และบํารุงรักษาระบบนิเวศในพื้นที่ 2,500 ไร่ บนเขาห้วยมะหาด
จังหวัดระยอง โดยมีเป้าหมายสร้างฝายชะลอนํ้าจํานวน 1,000
ฝายภายใน พ.ศ. 2566

9
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

โครงการสร ้ํ าใต
้ างธนาคารน ้ ด
ิ น

โครงการสร้างธนาคารนํ้าใต้ดินระหว่าง พ.ศ. 2562–2566 มี​


จํานวนรวมทัง้ สิน้ 4 โครงการ โดยบริษทั ทีด่ าํ เนินโครงการดังกล่าว
อยูใ่ นหมวดพาณิชย์ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค และหมวด
ปิโตรเคมีและเคมีภณ ั ฑ์ ทัง้ นีก้ ารสร้างธนาคารนํา้ ใต้ดนิ มักเป็นเพียง
ส่วนหนึง่ ของโครงการซีเอสอาร์ดา้ นสิง่ แวดล้อม เช่น โครงการปลูก
ป่าในบ้าน CPP (Green Home CPP) โดยบริษทั เครือเจริญ­โภคภัณฑ์
จํากัด ทีจ่ ดั ทําธนาคารนํา้ ใต้ดนิ จํานวน 3 จุดเพือ่ แก้ไขปัญหาการ
ขาดแคลนนํ้าในฟาร์มเลี้ยงสุกรซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจในเครือ
เช่นเดียวกับโครงการ ‘GC รวมพลังรักษ์นาํ้ ’ โดยบริษทั พีทที ี
โกลบอล เคมิคอล จํากัด (มหาชน) ที่เริ่มดําเนินการตั้งแต่ พ.ศ.
2560 โดยใน พ.ศ. 2563 มีการจัดทําระบบธนาคารนํา ้ ใต้ดนิ จํานวน
17 จุดเพือ ่ แก้ปญ ั หานํา้ ท่วม ภัยแล้ง และช่วยสนับสนุนการเข้าถึง
แหล่งนํ้าสะอาดให้แก่ชุมชนในพื้นที่จังหวัดระยอง
ขณะที่บางบริษัทจะเข้าไปดูแลชุมชนในฐานะ ‘พี่เลี้ยง’ โดย
ให้คําแนะนํา สร้างกระบวนการเรียนรู้ และสร้างความเข้าใจ
เรื่องระบบธนาคารนํ้าใต้ดินแก่ชุมชน เช่น โครงการของบริษัท
โคลเวอร์ เพา­เวอร์ จํากัด (มหาชน) ทีต่ าํ บลเปาปมดงยาง จังหวัด
แพร่ หรือโครง­การของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน)
ที่ตําบลเก่าขาม จังหวัดอุบลราชธานี และชุมชนบ้านมาบจันทร์
จังหวัดระยอง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้ธนาคารนํ้าใต้ดินแก้ไข
ปัญหาภัยแล้งและส่งเสริมให้ชุมชนสร้างคลังเก็บนํ้าไว้สําหรับใช้
อุปโภคบริโภคในครัวเรือน

10
��������������������

โครงการปล
ู กปะการ
ั ง

โครงการปลูกปะการังระหว่าง พ.ศ. 2562–2566 มีจาํ นวนรวม


ทั้งสิ้น 14 โครงการ บริษัทหมวดวัสดุก่อสร้างครองอันดับหนึ่ง
ในฐานะธุ ร กิ จ ที่ จั ด กิ จ กรรมปลู ก ปะการั ง สู ง ที่ สุ ด รวมทั้ ง สิ้ น 5
โครงการ (ร้อยละ 36) รองลงมาคือหมวดพาณิชย์ (ร้อยละ 22)
และหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (ร้อยละ 21)
ตัวอย่างกิจกรรมปลูกปะการัง อาทิ โครงการ ‘รักษ์ทะเล’
โดยบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด (มหาชน) ซึ่งใช้เทคโนโลยีการ
พิมพ์แบบ 3 มิติของบริษัทในการขึ้นรูปเป็นวัสดุเพื่อให้ตัวอ่อน
ปะการังลงเกาะ นับเป็นโครงการนําร่องการฟื้นฟูทรัพยากรทาง
ทะเลโดยใช้วัสดุท่ีมีรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติ ส่วนโครงการของ
บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด เป็นการส่งมอบแท่นปะการัง
เทียมเพือ่ ฟืน้ ฟูทรัพยากรทางทะเลและการประมงชายฝัง่ ในจังหวัด
สงขลาและนราธิวาส เช่นเดียวกับบริษัท ซิก้า (ประเทศไทย)
จํากัดทีเ่ ป็นการนําก้อนปูนลงสูท่ ะเลเพือ่ เป็นวัสดุลงเกาะของตัวอ่อน
ปะการัง

โครงการปล
ู กหญ
้ าทะเล

โครงการปลูกหญ้าทะเลระหว่าง พ.ศ. 2562–2566 มีจํานวน​


ทั้งหมด 9 โครงการ บริษัทที่หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค
นับเป็นอันดับหนึ่งในการดําเนินกิจกรรมปลูกหญ้าทะเลมีจํานวน
โครงการทัง้ สิน้ 4 โครงการ (ร้อยละ 45) รองลงมาคือธุรกิจหมวด

11
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

วัสดุก่อสร้าง (ร้อยละ 33) และธุรกิจหมวดขนส่งและโลจิสติกส์


(ร้อยละ 11)

ตัวอย่างกิจกรรมปลูกหญ้าทะเล อาทิ โครงการ ‘ปลูกหญ้า


ทะเลลดโลกร้อน เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และจัดการ
ขยะแบบคนเล’ ที่จังหวัดตรัง โดยบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จํากัด
(มหาชน) โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการรักษ์นํ้าจากภูผา

สู่มหานที โดยมีการปลูกหญ้าทะเลแล้วกว่า 30,000 ต้นในพื้นที่


20 ไร่ตง ั้ แต่ พ.ศ. 2559 เช่นเดียวกับโครงการ ‘ส่งมอบหญ้าทะเล
โครงการฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเล’ โดยบริษัท โกลบอล เพาเวอร์
ซินเนอร์ย่ี จํากัด (มหาชน) ทีม่ กี ารปลูกหญ้าทะเลร่วม 10,000 ต้น
ในพืน้ ที่ 6 ไร่ การปลูกหญ้าทะเลของทัง้ สองบริษทั มีเป้าหมายเพือ่
ฟื้นฟูระบบนิเวศ เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์นํ้า และเพิ่มความหลาก
หลายทางชีวภาพ และสร้างรายได้ให้กลุม่ ประมงและชุมชนโดยรอบ

โครงการปล
่ อยส
ั ตว

โครงการปล่อยสัตว์ระหว่าง พ.ศ. 2562–2566 มีทั้งหมด 21


โครงการ บริษทั ในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคดําเนินกิจกรรม
ปล่อยสัตว์สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งรวม 12 โครงการ (ร้อยละ 57)
รองลงมาคือ ธุรกิจหมวดพาณิชย์ (ร้อยละ 24), ธุรกิจหมวดปิโตร­
เคมีและเคมีภัณฑ์ (ร้อยละ 9)
โครงการปล่อยสัตว์สว่ นใหญ่จะเน้นเป็นการปล่อยสัตว์นา้ํ อาทิ
การปล่อยพันธุส์ ตั ว์นาํ้ บริเวณอ่าวประดู่ จังหวัดระยอง จํานวน​กว่า
1,110,399 ตั ว และพื้ น ที่ บ้ า นปากคลองตากวน จั ง หวั ด ระยอง

12
��������������������

รวมทั้งหมด 2,150,900 ตัว โดยบริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน)


ร่วมกับเครือข่ายภาครัฐและภาคอุตสาหกรรม เช่นเดียวกับโครงการ
‘ปูม้า ยั่งยืน คู่ทะเลไทย’ ที่บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จํากัด

ดํ า เนิ น การต่ อ เนื่ อ งมากว่ า 11 ปี โ ดยจะปล่ อ ยลู ก ปู ม้ า จํ า นวน


1,000,000 ตัวบริเวณเกาะเสร็จ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และโครงการ

‘ปล่อย ปลูก ป่า’ ทีบ ่ ริษทั กรุงเทพ ซินธิตกิ ส์ จํากัด ปล่อยพันธุ์


สัตว์นาํ้ จืด ประกอบไปด้วย ปลานิล 50,000 ตัว ปลาตะเพียนทอง
5,000 ตัว และปลาโพง 5,000 ตัวในพืน ้ ทีป่ า่ ชุมชน บ้านเนินสําเหร่
จังหวัดระยอง
ปัจจุบัน กิจกรรมซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อมทั้ง 7 ประเภท
ข้างต้นยังคงได้รบั ความนิยมอย่างสูงจากภาคธุรกิจไทย โดยเฉพาะ
กลุ่มบริษัทในอุตสาหกรรมพาณิชย์ พลังงาน เคมีภัณฑ์ และ
อาหาร คณะวิจัยจึงเห็นว่าควรมีการรวบรวมวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ
ในการดําเนินโครงการดังกล่าว เพื่อส่งเสริมการดําเนินกิจกรรม
ซีเอสอาร์ดา้ นสิง่ แวดล้อมอย่างรับผิดชอบและยัง่ ยืน โดยทีผ่ ดู้ าํ เนิน
โครงการให้ความสําคัญตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบโครงการเพื่อ
ป้องกันมิให้เกิดผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าผลดี
นี่คือที่มาและวัตถุประสงค์ของ ‘คู่มือซีเอสอาร์สิ่งแวดล้อม
ฉบับนักนิเวศ’ ซึ่งคณะวิจัยได้รับเกียรติจากนักวิทยาศาสตร์และ
นักอนุรกั ษ์ชนั้ นําของประเทศหลายท่านมาถ่ายทอดองค์ความรูแ้ ละ
ประสบการณ์อันเป็นประโยชน์ เพื่อร่วมเป็นส่วนเล็กๆ ในการยก
ระดับการดําเนินโครงการซีเอสอาร์ให้บรรลุวตั ถุประสงค์ตามความ
มุง่ หวัง และขับเคลือ่ นวงการซีเอสอาร์ของประเทศไทยให้มงุ่ หน้าสู่
‘การพัฒนาที่ยั่งยืน’ อย่างแท้จริง

13
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

สุดท้าย คณะวิจยั หวังว่าเนือ้ หาในคูม่ อื เล่มนีจ้ ะเป็นประโยชน์


ทั้งต่อผู้ดําเนินโครงการซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อมทั้งภาครัฐและ
เอกชน ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่สนใจจะทํากิจกรรมการกุศล
ด้านสิ่งแวดล้อมในรูปแบบเดียวกัน

14
บทที่ 1

ระบบนิ เวศป่ า บก
และป่ า ชายเลน
เร
ื่ อง: สมาธ
ิ ธรรมศร
��������������������

โครงการปล
ู กป
่ า

ป่าคืออะไร?
สําหรับคนเมือง ป่าคือสถานทีท่ อ่ งเทีย่ วทางธรรมชาติทที่ าํ ให้
รู้สึกสงบและสดชื่นทุกครั้งที่ไปเยือน ในมุมมองของคนป่า ป่าคือ
ที่ อ ยู่ อ าศั ย และแหล่ ง ผลิ ต อาหาร แต่ เ มื่ อ มองผ่ า นสายตาของ
นักวิทยาศาสตร์ ป่าคือคลังรวบรวมความหลากหลายทางชีวภาพ
และยังเป็นระบบขนาดใหญ่ที่สลับซับซ้อนซึ่งคอยควบคุมวัฏจักร
ของดิน นํ้า อากาศ และความเป็นไปของสิ่งมีชีวิต
‘ป่า’ จึงเป็นคําที่หลากหลายทั้งความหมายและคุณค่า หาก

ย้อนเวลากลับไปก่อน พ.ศ. 2510 เนื้อที่ป่าของประเทศไทยมี


อยู่ประมาณ 53 เปอร์เซ็นต์ แต่ปัจจุบันเนื้อที่ป่ากลับเหลืออยู่
ประมาณ 31 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แถมผืนป่าที่เหลืออยู่เพียงน้อย
นิดก็ไม่ใช่ปา่ ธรรมชาติทงั้ หมด แต่ถกู แบ่งออกเป็นกลุม่ ป่าอนุรกั ษ์
และกลุม่ ป่าเศรษฐกิจกับป่าชุมชนทีม่ ี ‘มนุษย์’ เข้าไปใช้ประโยชน์
การลดจํานวนลงอย่างต่อเนื่องของพื้นที่ป่าเกิดขึ้นจากหลาย
สาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ การล่าสัตว์ การเก็บของป่า และ
การแปลงพืน้ ทีป่ า่ เป็นพืน้ ทีเ่ กษตรกรรมหรือทีอ่ ยูอ่ าศัย เมือ่ ต้นไม้
ในป่ า หดหายไปจนหลงเหลื อ แต่ พื้ น ที่ โ ล่ ง เตี ย น องค์ ก รต่ า งๆ
ทัง้ ภาครัฐ ภาคเอกชน และกลุม่ จิตอาสาจึงจัดกิจกรรม ‘ปลูกป่า’
เพื่อหวังฟื้นฟูป่าให้กลับคืนสู่สภาพเดิม
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาทางนิเวศวิทยากลับพบว่าต้นไม้ที่
ถูกนําไปปลูกมักจะเติบโตได้ไม่ดนี กั ส่วนใหญ่เหีย่ วแห้งล้มตายเมือ่
เวลาผ่านไปไม่นาน และกลับกลายเป็นสาเหตุทําให้ความหลาก

17
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ปล
ู กป
่ าหมายถ
ึ งอะไร?

คําว่า ‘ปลูกป่า’ เป็นคําที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ว่า


คนฟังอาจตีความไม่เหมือนกัน ผู้เขียนจึงขอแบ่งประเภท
ของการปลูกป่าออกเป็นสามรูปแบบดังนี้
รูปแบบแรกคือการปลูกป่าในพื้นที่เดิม หมายถึงการ
เปลี่ยนผืนป่าที่ถูกทําลายให้กลับมาเป็นพื้นที่ที่ปกคลุมด้วย
พืชพรรณด้วยการนําต้นไม้เข้าไปปลูก โดยมีวัตถุประสงค์
เพื่อการฟื้นฟูระบบนิเวศ สร้างสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรม­
ชาติ ทําอุตสาหกรรมป่าไม้ ชะลอการกลายเป็นทะเลทราย
และกักเก็บคาร์บอนเพื่อรับมือวิกฤตภูมิอากาศ
รูปแบบทีส่ องคือการขยายพืน้ ทีป่ า่ หมายถึงการเปลีย่ น
สภาพพืน้ ทีว่ า่ งซึง่ ไม่เคยมีตน้ ไม้ปกคลุมให้กลายเป็นพืน้ ทีท่ ม่ี ี
ต้นไม้ปกคลุมด้วยการนําต้นไม้เข้าไปปลูกซึง่ จะเน้นการปลูก
ไม้ยนื ต้นเป็นหลัก มีวตั ถุประสงค์เพือ่ สร้างพืน้ ทีป่ า่ แห่งใหม่
รูปแบบที่สามคือการฟื้นฟูป่า หมายถึงการฟื้นฟูพื้นที่
ป่าที่ถูกทําลายหรือพื้นที่ที่ว่างเปล่าให้กลับคืนสู่สภาพพื้นที่
ธรรมชาติ วัตถุประสงค์หลักของการฟื้นฟูป่าคือเพื่อฟื้นฟู
ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ การฟื้นฟูป่า
จึงเน้นการปล่อยให้กระบวนการธรรมชาติทาํ งาน โดยมนุษย์
จะเข้าไปแทรกแซงเท่าที่จําเป็น

18
��������������������

หลายทางชีวภาพในระบบนิเวศลดลงอีกด้วย นําไปสูค่ าํ ถามว่าการ


ปลูกต้นไม้ในป่าเป็นวิธีฟื้นฟูธรรมชาติที่ถูกต้องหรือไม่ แล้วการ
ฟืน้ ฟูปา่ ทีเ่ หมาะสมตามหลักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบนั ควรทําอย่างไร
แต่กอ่ นจะตอบคําถามเหล่านี้ เราต้องย้อนกลับไปทําความรูจ้ กั
ต้นกําเนิดและระบบนิเวศของป่าธรรมชาติเสียก่อน

ํกาเน
ิ ดป
่ าและล
ั กษณะของป
่ า
ย้อนกลับไปหลายพันล้านปีหลังโลกถือกําเนิดได้ไม่นาน สิง่ มี
ชีวติ ยุคแรกเกิดขึน้ ในมหาสมุทรก่อนจะวิวฒ ั นาการเป็นจุลนิ ทรีย์ พืช
และสัตว์ขนาดเล็ก พืชยุคแรกจึงมีโครงสร้างไม่ซับซ้อนและต้อง
อาศัยอยูใ่ กล้ทะเลตลอดเวลา การแผ่ขยายอาณาเขตของพืชเข้ามา​
ครอบครองพืน้ พิภพอันไร้ชวี ติ เรียกว่าการเปลีย่ นแปลงแทนที่แบบ
ปฐมภูมิ (primary succession) เมือ่ เวลาผ่านไป พืชก็พฒ ั นาโครง­
สร้างให้มคี วามซับซ้อน หลากหลาย และขยับออกห่างจากทะเลมาก
ขึน้ เรือ่ ยๆ พร้อมชักนําเหล่าสัตว์ตวั เล็กๆ ให้อพยพขึน้ มาจากทะเล
ช่วงเวลาดังกล่าวคือจุดเริม่ ต้นของระบบนิเวศเก่าแก่ทเี่ รียกว่า
ป่าบรรพกาล นักวิทยาศาสตร์พบว่าป่าทีม่ อี ายุมากทีส่ ดุ ปรากฏอยู่
ในชัน้ หินทีม่ อี ายุมากกว่า 385 ล้านปี และป่ารอบตัวเราในปัจจุบนั
ก็คือลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากป่าบรรพกาลที่ตายไปแล้ว
เนื่องจากพืชมีการกระจายพันธุ์ไปตามพื้นที่ต่างๆ และวิวัฒ­
นาการโดยกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ป่าจึงมีลักษณะที่
หลากหลาย แม้แต่ปา่ ประเภทเดียวกันแต่อยูต่ า่ งพืน้ ทีก่ จ็ ะพบกลุม่
สิง่ มีชวี ติ ทีแ่ ตกต่างกัน หมายความว่าปัจจัยทางภูมศิ าสตร์ เช่น แสง
ลม นํา้ อุณหภูมิ ความชืน้ ความเป็นกรดด่าง ความเค็ม ความสูง

19
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

จากระดับนํ้าทะเล ลักษณะของดิน พืช สัตว์ และตําแหน่งท​ ี่ตั้ง


คือตัวแปรที่กําหนดชนิด จํานวน ความสัมพันธ์ และลําดับการ
เข้ามาครอบครองพืน้ ทีข่ องสิง่ มีชวี ติ หากปัจจัยเหล่านีเ้ ปลีย่ นแปลง
ไป ระบบนิเวศของป่าก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน เราเรียก
ปัจจัยเหล่านี้ว่า ‘เงื่อนไขการเกิดป่า’
เมื่อมองเข้าไปในป่า สิ่งแรกที่เราเห็นคือพืช หากเพ่งมองให้
นานอีกสักนิด เราจะเริม่ เห็นสัตว์ และถ้าลองเดินเข้าไปให้ใกล้กว่า
เดิม เราอาจจะเห็นราและสัมผัสถึงกลิ่นของธรรมชาติที่จุลินทรีย์
ในดินสร้างขึ้นมา ป่าจึงไม่ใช่เพียงแค่สถานที่ที่ต้นไม้มากมายมา
อาศัยอยู่ร่วมกัน แต่เป็น ‘บ้าน’ ของสิ่งมีชีวิตนานาชนิดทั้งที่มอง
เห็นและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
พื้นราบของผืนป่าจะเป็นถิ่นอาศัยของไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม ไม้
ล้มลุก ไม้เลื้อย และไม้เถา พืชแต่ละชนิดจะมีลักษณะภายนอก
เช่น ราก ลําต้น กิง่ ก้าน ใบ ดอก เกสร ผล เมล็ด รวมถึงพฤติ­
กรรมการดํารงชีวิตที่แตกต่างกัน ส่วนใต้พื้นดินจะมีเครือข่ายชีว­
ภาพทีเ่ กิดจากการเชือ่ มโยงและเกือ้ หนุนกันระหว่างรากพืชกับเห็ด
ราเรียกว่า โครงข่ายไพศาลของป่า (wood wide web) ซึง่ ทําหน้าที่
ควบคุมการดํารงอยู่ การเติบโต และการเสือ่ มถอยของป่าธรรมชาติ
หลายคนมักจะมี ‘ภาพจํา’ ว่าป่าคือบริเวณทีต่ น้ ไม้ขนาดใหญ่
มากมายมาอยู่รวมกันและมีสีเขียวขจีตลอดเวลา แต่ภาพจําดัง­
กล่าวไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ป่าบางแห่งเป็นแหล่งอาศัยของพืชพรรณ
น้อยใหญ่ ป่าบางแห่งมีเพียงหญ้ากับไม้พุ่ม ป่าบางแห่งมีสีเขียว
ตลอดปี และป่าบางแห่งจะปลิดใบทิ้งในบางฤดูกาล
ความหลากหลายของระบบนิเวศคือผลงานที่วิวัฒนาการผ่าน

20
��������������������

โครงสร ้ างของป ่ าด
ิ บช
ื้ นประกอบด
้ วยช้ั นเหน
ื อเร
ื อนยอด (emergent layer),
ั้ชนเร ื อนยอด (canopy layer), ้ัชนใต ้ เรื อนยอด (understory layer) และช
้ั นพ
ื้ นป
่ า (forest floor)
ี่ทมา: ูมลนิ ิธืสบนาคะเสถ ี ยร

กระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ดังนัน้ เราจึงไม่ควรนําป่าแบบ


หนึ่งมาเปรียบเทียบกับป่าอีกแบบหนึ่งแล้วตัดสินว่าป่าแบบไหน
ดีกว่ากัน เพราะป่าแต่ละแห่งล้วนมีคณ
ุ ค่าทางธรรมชาติและความ
งดงามในแบบของตัวเอง

สามทางเล
ื อกในการฟื้ นฟ
ู ป
่ า
ป่าส่วนใหญ่ในปัจจุบนั จะถูกทําลายลงจากการตัดโค่น การเผา
ด้วยไฟ การขุดถางหน้าดิน และการปนเปือ้ นจากสารเคมีอนั ตราย
ระดับความเสียหายของระบบนิเวศป่าจะขึ้นอยู่กับสามปัจจัยคือ
วิธที ปี่ า่ ถูกทําลาย ขนาดของพืน้ ทีป่ า่ ทีถ่ กู ทําลาย และระยะเวลาที่
ป่าถูกทําลาย การฟื้นฟูป่าเหล่านั้นจึงไม่ได้จํากัดแค่การปลูกโดย

21
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

มนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งคือการปล่อยให้
ธรรมชาติทํางานอีกด้วย
เราสามารถแบ่งวิธีการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของป่าออกเป็น
3 แบบ ได้แก่

1. การฟื้นฟูป่าด้วยวิธีธรรมชาติ หมายถึงการที่ป่าซึ่งถูกทํา­

ลายสามารถฟืน้ คืนระบบนิเวศกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือใกล้เคียง
กับสภาพเดิมได้ดว้ ยตัวเอง เราสามารถเรียกกระบวนการนีว้ า่ การ
เปลีย่ นแปลงแทนทีแ่ บบทุตยิ ภูมิ (secondary succession) หรืออาจ
เรียกว่าการฟื้นคืนตามธรรมชาติ
สาเหตุที่ป่าสามารถฟื้นฟูขึ้นมาได้ด้วยตนเองก็เนื่องจากป่าที่
ถูกทําลายยังหลงเหลือตอไม้ทยี่ งั มีชวี ติ ส่วนใต้พนื้ ดินก็ยงั มีสปอร์
หรือเมล็ดพันธุข์ องพืชเดิมสะสมอยู่ ในช่วงเวลาทีร่ ะบบนิเวศอุดม
สมบูรณ์ พืชรุน่ พ่อแม่จะกระจายเมล็ดพันธุส์ สู่ ง่ิ แวดล้อมเป็นจ​าํ นวน​
มาก แต่จะมีเมล็ดพันธุ์จํานวนเพียงหยิบมือที่งอกและเติบโตเป็น
พืชรุน่ ลูก ส่วนเมล็ดพันธุท์ เี่ หลือจะจําศีลอยูใ่ นระยะพักตัวและถูก
เก็บรักษาอยูใ่ นดินหรือทีเ่ รียกว่าแหล่งเก็บเมล็ดพันธุ์ (seed bank)
เพื่อรอสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเติบโต โดยอาจมีเมล็ด
พันธุบ์ างส่วนทีจ่ ะถูกสัตว์กนิ หรือตายลงตามธรรมชาติ นอกจากนี้
สายลม กระแสนํ้า และสิ่งมีชีวิตก็มีบทบาทในการนําเมล็ดพืช
กลับคืนมาสู่ป่าที่ถูกทําลายด้วยเช่นกัน
หากใครจินตนาการกระบวนการดังกล่าวไม่ออก ลองนึกถึง
สวนหย่อมในบ้านหรือพืน้ ทีส่ าธารณะทีไ่ ม่มใี ครดูแล เมือ่ เวลาผ่าน
ไปเพียงไม่กี่สัปดาห์หรือไม่กี่เดือน พืชตระกูลหญ้าและไม้พุ่มจะ
เข้ามาเติบโต เราเรียกสิง่ มีชวี ติ ทีเ่ ข้ามาครอบครองพืน้ ทีเ่ ป็นอันดับ

22
��������������������

การเปลี่ ยนแปลงแทนท
ี่ แบบท
ุ ต
ิ ยภ
ู ม

ี่ทมา: Shutterstock

แรกว่าชนิดพันธุ์เบิกนํา (pioneer species)


เมื่อปล่อยพื้นที่ดังกล่าวทิ้งไว้เป็นเวลาหลายปี ไม้ยืนต้นก็จะ
เริม่ เข้ามายึดครอง กล่าวโดยสรุปคือหากป่าไม่ถกู รบกวนซํา้ ๆ จาก
มนุษย์หรือภัยพิบัติ ป่าก็จะฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติแบบเป็น
ลําดับขั้นตอน แต่กว่าจะกลับคืนสู่สภาพที่อุดมสมบูรณ์อีกครั้งก็​
จําเป็นต้องใช้เวลายาวนาน
ดังนัน้ การฟืน้ ฟูปา่ ด้วยวิธกี ารนีจ้ งึ เป็นวิธที เ่ี ป็นมิตรกับธรรมชาติ
มากทีส่ ดุ มีความหลากหลายทางชีวภาพคล้ายกับระบบนิเวศเดิม
มากทีส่ ดุ และใช้แรงงานกับงบประมาณน้อยทีส่ ดุ โดยเรามีหน้าที่
เพียงแค่หาวิธีป้องกันไม่ให้ป่าถูกบุกรุกทําลายซํ้า หรืออาจช่วย
กําจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่นไม่ให้เข้ามารุกรานป่าที่กําลังฟื้นตัว
จากเหตุผลข้างต้นคําว่า ‘ป่าเสื่อมโทรม’ จึงเป็นเพียงภาวะ

23
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ตอไม
้ ี่ทย ั งม ี ีชิ วต (บน)
การฟ ื้ นตั วของพ ื ชบนภู เขาห
ิ นป
ู นหล
ั งการท
ํ าเหม
ื องท
ี่ ัจงหว
ั ดสระบ
ุ ี ร (ล
่ าง)
ภาพ: สมาธ ิ ธรรมศร

24
��������������������

ชัว่ คราวขณะทีป่ า่ ถูกรบกวนไม่ใช่ภาวะคงทีถ่ าวร เช่นเดียวกับคําว่า


‘พื้นที่รกร้างไร้ประโยชน์’ ซึ่งไม่มีอยู่จริง แต่เป็นคําจํากัดความที่

มนุษย์นยิ ามโดยยึดถือประโยชน์ทางสังคมและเศรษฐกิจเป็นทีต่ งั้


เนือ่ งจากพืน้ ทีร่ กร้างก็มปี ระโยชน์โดยสิง่ มีชวี ติ สามารถใช้เป็นทีอ่ ยู่
อาศัยได้เช่นกัน

2. การฟื้นฟูป่าด้วยวิธีการปลูกต้นไม้ หมายถึงการฟื้นฟูป่า
ทีถ่ กู ทําลายโดยการนําต้นไม้เข้าไปปลูก วิธกี ารนีไ้ ด้รบั ความนิยม
มากที่สุดตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ผู้ดําเนินโครงการ
จะขุดดิน พรวนดิน ใส่ปยุ๋ โปรยเมล็ด จัดวางต้นกล้า และรดนํา้
หากต้นไม้ทปี่ ลูกเป็นพืชประจําถิน่ ก็ไม่จาํ เป็นต้องดูแลมากนัก แต่
ถ้าต้นไม้ทป่ี ลูกเป็นพืชต่างถิน่ ก็ตอ้ งใช้ทรัพยากรเพือ่ ดูแลบํารุงรักษา
เป็นเวลานาน
อย่างไรก็ตาม การนําต้นไม้เข้ามาปลูกก่อนช่วงเวลาทีเ่ หมาะสม
จะส่งผลเสียต่อระบบนิเวศในระยะยาว เนื่องจากป่าส่วนใหญ่
สามารถฟื้นคืนสภาพด้วยตัวเองได้ การที่มนุษย์รีบนําไม้ยืนต้น
เข้าไปปลูกในป่าจึงเป็นการแทรกแซงกระบวนการฟืน้ ฟูตวั เองของ
ธรรมชาติ เพราะเมล็ดพันธุ์ดั้งเดิมในป่าจะถูกต้นไม้ที่มนุษย์ปลูก
แก่งแย่งทีอ่ ยูอ่ าศัยและธาตุอาหารส่งผลให้เมล็ดเหล่านัน้ ไม่สามารถ
เติบโตได้ หรือที่เรียกว่าผลกระทบจากการแทนที่ (replacement
effect)
นอกจากนี้ หากนําต้นไม้จํานวนมากที่มีอายุไล่เลี่ยกันเข้าไป
ปลูกในป่าแล้วต้นไม้เหล่านั้นเติบโตได้ดี สภาพแวดล้อมเช่นนี้
จะทําให้ตน้ ไม้ในระบบนิเวศเข้าสูส่ ภาวะแข่งขัน แก่งแย่งทรัพยากร

25
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

เขาตะกร ้ าตํ าบลปากเพร ี ยว ํอาเภอเม


ื องสระบ
ุ ี ร ัจงหว
ั ดสระบ
ุ ี ร เก
ิ ดไฟป่ าเม
ื่ อ พ.ศ. 2564 (บน)
แต่ ป
่ าก
็ สามารถฟ ื้ นฟ
ู ต
ั วเองตามธรรมชาต ิ จนกล ั บมาอุ ดมสมบู รณ ์ ใน พ.ศ. 2566 (ล่ าง)
ภาพ: สมาธ ิ ธรรมศร

26
��������������������

จากกันและกัน ผลคือต้นไม้ที่ปรับตัวเก่งกว่าจะเอาชนะต้นไม้ที่
ด้อยกว่า เมือ่ เวลาผ่านไป จํานวนของต้นไม้ในป่าจึงลดลงหรือเกิด
ภาวะแคระแกร็นซึง่ เป็นไปตามกฎการบางตัวด้วยตนเอง (self-thin-
ning rule)

การปลูกป่าโดยการยิงเมล็ดพันธุ์จากหนังสติ๊กหรือการโปรย
จากเครือ่ งบินก็ให้ผลลัพธ์ในลักษณะเดียวกัน เพราะเมล็ดพันธุจ์ ะ
กระจายแบบสุ่มเป็นบริเวณกว้าง เมล็ดพันธุ์จํานวนหนึ่งจะงอก
และเติบโตในพื้นที่ที่ไม่ควรอยู่แล้วแย่งชิงอาหารจากพืชดั้งเดิม
ส่วนเมล็ดพันธุอ์ กี จํานวนหนึง่ จะตกเกลือ่ นกลาดอยูบ่ นพืน้ ป่า กลาย
เป็นอาหารของสัตว์กินเมล็ดพืช และอาจกลายเป็นสาเหตุที่สัตว์
เปลีย่ นแปลงพฤติกรรมการหาอาหาร รวมถึงเพิม่ ความเสีย่ งทีส่ ตั ว์
เหล่านัน้ จะได้รบั เชือ้ โรคจากมนุษย์ทตี่ ดิ มากับเมล็ดพันธุ์ นอกจาก
นีก้ ารทีค่ นกลุม่ ใหญ่เดินเท้าหรือขับรถเข้าไปในป่ายังเป็นการทําให้
เนือ้ ดินด้านบนถูกบดอัดจนแน่น ต้นอ่อนของพืชอาจถูกเหยียบยํา่
และอาจทําให้เมล็ดพืชแปลกปลอมจากภายนอกเข้าไปปะปนอยูใ่ น
ป่าอีกด้วย
อีกปัญหาหนึ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้คือ การสูญเสียทางพันธุ­
กรรม (genetic erosion) ซึง่ เกิดจากการนําพืชต้นหนึง่ หรือพืชเพียง
ไม่กี่ต้นมาเพาะเลี้ยงเพื่อเพิ่มจํานวน แล้วนําต้นกล้าจํานวนมาก
ที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงเข้าไปปลูกร่วมกับพืชชนิดเดียวกันตาม
ธรรมชาติ ทําให้เกิดการปะปนกันระหว่างพันธุกรรมของพืชทีเ่ กิด
จากการเพาะเลีย้ งและพืชตามธรรมชาติ โดยทีพ่ นั ธุกรรมของพืชที่
เกิดจากการเพาะเลีย้ งจะเหมือนกับต้นแม่พนั ธุ์ ลูกหลานทีเ่ กิดจาก
พืชธรรมชาติกบั พืชเพาะเลีย้ งจึงมีความหลากหลายทางพันธุก­ รรม​

27
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ตํา่ ลง ส่งผลให้ประชากรของพืชชนิดนัน้ อ่อนแอลงหรืออาจสูญเสีย


เอกลักษณ์ทางพันธุกรรมโดยไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ใหม่
จากเหตุผลข้างต้นจึงมีความเป็นไปได้ทกี่ ารฟืน้ ฟูปา่ ด้วยวิธกี าร
ปลูกต้นไม้จะเป็นสาเหตุที่ทําให้ป่าปลูกมีความหลากหลายของสิ่ง
มีชวี ติ โครงสร้างของป่า และช่วงวัยของพืชน้อยกว่าป่าธรรมชาติ
ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนของป่าปลูก
น้อยกว่าป่าธรรมชาติเช่นกัน

3. การฟืน้ ฟูดว้ ยวิธกี ารผสมผสาน หมายถึงการฟืน้ ฟูปา่ ทีถ่ กู


ทําลายด้วยวิธี ‘เจอกันครึ่งทาง’ ระหว่างสองวิธีข้างต้น เริ่มด้วย
การตีกรอบล้อมพืน้ ทีป่ า่ เป็นเวลา 10–20 ปีเพือ่ สังเกตศักยภาพใน
การฟืน้ ฟูตวั เองของป่า หากป่าสามารถฟืน้ ฟูตวั เองได้ดกี ไ็ ม่มคี วาม
จําเป็นต้องเข้าไปปลูกต้นไม้เพิ่มเติม
แต่ในกรณีทปี่ า่ ถูกทําลายเสียหายจนไม่สามารถฟืน้ ฟูตวั เองได้
เนือ่ งจากขาดธาตุอาหาร ไม่มคี วามสามารถในการกักเก็บนํา้ และ
ไม่หลงเหลือเมล็ดพืชประจําถิน่ จนป่ากลายสภาพเป็นทุง่ หญ้าหรือ
ถูกพืชชนิดพันธุ์ต่างถิ่นยึดครอง เราก็สามารถยื่นมือเข้าไปช่วย
เหลือด้วยการกําจัดพืชต่างถิน่ ปรับปรุงคุณภาพดิน แล้วนําเมล็ด
พันธุห์ รือต้นกล้าของพืชประจําถิน่ เข้าไปปลูก ทัง้ นีก้ ารปลูกพืชจะ
ต้องคํานึงถึงชนิด จํานวน การกระจายตัว ลําดับชัน้ และช่วงเวลา
ที่เหมาะสมต่อการเติบโตของพืช

28
��������������������

ผลกระทบจากการปล
ู กต
้ นไม
้ บางชน
ิ ด
นอกจากการปลูกป่าทีไ่ ม่เหมาะสมกับระบบนิเวศจะส่งผลกระทบ
เชิงลบต่อความหลากหลายทางชีวภาพหรืออาจสร้างผลลัพธ์ท่ีไม่
ตัง้ ใจดังทีอ่ ธิบายไว้ขา้ งต้น การปลูกต้นไม้บางอย่างในปริมาณมาก
ยังก่อให้เกิดผลกระทบที่เราอาจคาดไม่ถึงอีกด้วย
ตัวอย่างที่พบบ่อยตามบ้านเรือนหรือชุมชนคือมลภาวะทาง
อากาศ เช่น ต้นพญาสัตบรรณและดอกราตรีทสี่ ง่ กลิน่ หอมปนฉุน
จนทําให้หลายคนมีอาการเวียนหัว อาเจียน นํา้ มูกไหล และนอน
ไม่หลับ หรือในบางพื้นที่ของประเทศญี่ปุ่นและประเทศสหรัฐ­
อเมริกาที่เผชิญภัยพิบัติจากการแพร่กระจายของละอองเรณู ส่ง
ผลให้ประชาชนบางส่วนเกิดอาการแพ้ ไอ จาม คัดจมูก หายใจ
ไม่ออก และผื่นคัน
หนึง่ ในกรณีศกึ ษาโด่งดังคือการปลูกต้นไม้สองชนิดในประเทศ
ญี่ ปุ่ น คื อ ต้ น สนซี ด าร์ ญี่ ปุ่ น และต้ น สนไซเปรสญี่ ปุ่ น หลั ง สิ้ น สุ ด
สงครามโลกครั้งที่ 2 โครงการดังกล่าวทําให้ประชากรประมาณ
40 เปอร์เซ็นต์มีอาการแพ้ละอองเรณูที่ต้นสนปล่อยออกมา

อีกหนึ่งผลกระทบที่หลายคนคาดไม่ถึงคือพฤติกรรมของพืช
บางชนิดทีจ่ ะปล่อยสารพิษออกมายับยัง้ การเจริญเติบโตหรือทําลาย
พืชต้นอืน่ ทีข่ นึ้ อยูร่ อบข้าง (allelopathy) เช่น โครงการปลูกต้นสน
ทะเลบนหาดทรายทีอ่ าํ เภอเมืองประจวบคีรขี นั ธ์ จังหวัดประจวบ­
คีรีขันธ์ และอําเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ซึ่งทําให้พื้นที่รอบ
ต้นสนทะเลแทบไม่มพี ชื ชนิดอืน่ เติบโตอยูเ่ ลย นอกจากนี้ รากของ
ต้นสนทะเลยังยึดเกาะกับพื้นทรายได้ไม่ดี เมื่อปะทะกับคลื่นลม
เป็นเวลานานปี ต้นสนทะเลจะล้มลง แล้วเร่งให้เกิดการพังทลาย

29
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ของหาดทรายและการกัดเซาะชายฝัง่ เราสามารถพบเห็นผลกระทบ
จากการปลูกต้นสนทะเลต่อหาดทรายทีห่ าดสนกระซิบ ตําบลมาบ­
ตาพุด อําเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง

โครงการปล
ู กป
่ าชายเลน

ระบบนิเวศป่าชายเลนมีความแตกต่างจากระบบนิเวศป่าบก
หลายประการ เนือ่ งจากพืชพรรณมีการปรับตัวและวิวฒ ั นาการให้
เข้ากับภูมอิ ากาศและภูมปิ ระเทศริมทะเล ปรากฏการณ์นา้ํ ขึน้ -นํา้ ลง
กระแสนํ้า ความเค็ม อุณหภูมิ ออกซิเจน ลักษณะของดิน และ
ธาตุอาหารจนมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตา
ป่าชายเลนส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ตามแนวปากแม่นํ้าและ
ชายหาดซึ่งเป็นบริเวณที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของคลื่นกับกระแสนํ้า
ส่วนด้านในของชายหาดทีอ่ ยูต่ ดิ กับแผ่นดินและอยูภ่ ายนอกอิทธิพล
ของคลืน่ กับกระแสนํา้ จะเรียกว่าชายฝัง่ ชายหาดจึงเปรียบเสมือน
ปราการธรรมชาติที่คอยปกป้องชายฝั่ง ส่วนป่าชายหาดและป่า
ชายเลนจะทําหน้าที่ปกป้องความมั่นคงของชายหาดอีกทีหนึ่ง
ตลอดหลายทศวรรษทีผ่ า่ นมา ป่าชายเลนของประเทศไทยถูก
ตัดโค่นและแผ้วถางเพือ่ เปลีย่ นเป็นนากุง้ นาเกลือ และบ้านเรือน
ทําให้ทอี่ ยูอ่ าศัยของพืชพรรณและสัตว์นานาชนิดสูญหายไป ก่อน
จะเกิดเป็น ‘โครงการปลูกป่าชายเลน’ ทั้งบนหาดเลนที่เคยเป็น
ป่าชายเลนและหาดเลนที่ไม่เคยมีป่าชายเลนมาก่อน แต่ผลลัพธ์
กลับกลายเป็นว่าต้นไม้ทป่ี ลูกจํานวนมากกว่าครึง่ ไม่สามารถเติบโต
ได้อย่างที่หวังและสุดท้ายก็ตายลง

30
��������������������

่ปาชายเลนท ี่ คลองด ่ านน


้ อย ตํ าบลคลองด ่ าน ํอาเภอบางบ ่ อ ัจงหวั ดสม
ุ ทรปราการ (บน)
่ปาชายเลนท ี่ ตลาดประมงท ่ าเร
ื อพล
ี ต
ํ าบลมะขามหย ่ ง ํอาเภอเมื องชลบ ุ ี ร ัจงหว
ั ดชลบ
ุ ี ร (ล
่ าง)
ภาพ: สมาธ
ิ ธรรมศร

31
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ในส่วนนี้ ผู้เขียนจะเริ่มต้นด้วยเรื่องระบบนิเวศป่าชายเลน
แนวทางการอนุรักษ์และการฟื้นฟูป่าชายเลนที่เหมาะสม พร้อม
ไขข้อสงสัยว่าเหตุใดการฟื้นฟูป่าชายเลนในหลายพื้นที่จึงกลับ
กลายเป็นการทําลายธรรมชาติเสียเอง

ระบบน
ิ เวศป
่ าชายเลน
ป่าชายเลนส่วนใหญ่จะมีนาํ้ หล่อเลีย้ งอยูเ่ กือบตลอดเวลา พืช
พรรณต่างๆ ในป่าชายเลนจึงมีใบสีเขียวตลอดปี พร้อมทัง้ มีลกั ษณะ
ภายนอกและภายในทีแ่ ตกต่างไปจากเดิม ไม่วา่ จะเป็นใบทีอ่ วบหนา
มีสารเคลือบผิวใบ มีตอ่ มขับเกลือ และมีปากใบอยูบ่ ริเวณด้านล่าง
เพื่อควบคุมปริมาณเกลือและการระเหยของนํ้า ฝัก ผล เมล็ด
และต้นอ่อนของพืชป่าชายเลนยังสามารถลอยนํ้าได้ โดยจะถูก
คลื่นกับกระแสนํ้าพัดพาไปเรื่อยๆ จนเจอสภาพแวดล้อมที่เหมาะ
ต่อการหยั่งราก โดยเมล็ดพันธุ์ส่วนหนึ่งจะกลายเป็นอาหารของ
นกทะเลหรือสัตว์นํ้าซึ่งเป็นกระบวนการธรรมชาติในการควบคุม
ปริมาณพืช
จุดสังเกตทีโ่ ดดเด่นของป่าชายเลนคือระบบรากของพืชทีแ่ ตก
ต่างจากป่าบก รากของต้นไม้ในป่าชายเลนมีหน้าทีย่ ดึ เกาะดิน คํา้
จุนลําต้น และช่วยหายใจ นอกจากนีเ้ นือ้ เยือ่ ส่วนต่างๆ ของต้นไม้
ในป่าชายเลนยังสามารถทนทานต่อความเค็มจากเกลือทะเลและ
มีสารแทนนิน (tannin) ในปริมาณที่ค่อนข้างสูง สารนี้มีหน้าที่
ป้องกันอันตรายจากแบคทีเรียและเชือ้ ราไม่ให้เข้ามากัดกินเนือ้ ไม้
ป่าชายเลนประกอบด้วยพืชพรรณนานาชนิด เช่น โกงกาง
โพ โปรง พังกา ตะบูน แสม ลําพู ลําแพน และเป็นที่อยู่อาศัย

32
��������������������


ื้ นท
ี่ ป
่ าชายเลนแบ ่ งออกเป
็ นเขตทะเล (seaward zone), เขตระหว ่ างทะเลก ั บแผ
่ นด
ิ น (mid zone)
และเขตแผ ่ นด
ิ น (landward zone), ่กอนจะเข
้ าส
ู่ เขตป
่ าบก (terrestrial forest)
ี่ทมา: Bell JD, Johnson JE and Hobday AJ (2011)

ของสัตว์อีกมากมาย เช่น ปลา กุ้ง หอย ปู นก ค้างคาว ลิง


สัตว์เลีย้ งลูกด้วยนม นอกจากนี้ พืชป่าชายเลนทีข่ นึ้ เบียดเสียดกัน
และรากทีย่ ดึ เกาะกับดินอย่างแน่นหนายังมีบทบาทในการบรรเทา
ความรุนแรงของคลื่นลมทะเล คลื่นที่เกิดจากพายุ และคลื่นยักษ์
สึนามิที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการกัดเซาะชายหาดและชายฝั่ง

ผลกระทบต
่ อส
่ิ งแวดล
้ อมจากการปล
ู กป
่ าชายเลน
ป่าชายเลนส่วนใหญ่กระจายตัวตามแนวปากแม่นํ้าและบน
หาดเลน เมือ่ พืชป่าชายเลนหยัง่ รากลงสูด่ นิ ระบบรากจะทําหน้าที่
ดักตะกอนที่นํ้าพัดพามา อาณาเขตของป่าชายเลนจึงค่อยๆ ขยับ
ขยายจากแผ่นดินออกไปสูท่ ะเลจนกว่าจะถึงจุดทีต่ ะกอนไม่สามารถ
สะสมตัวบนชายหาดและธรรมชาติไม่อนุญาตให้พชื พรรณงอกงาม
แม้ว่าระบบนิเวศป่าชายเลนจะถูกทําลายลง แต่ผืนป่าก็ยัง
สามารถฟื้นฟูกลับสู่สภาพเดิมได้ด้วยตัวเอง ตราบใดที่ยังมีสภาพ

33
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

แวดล้อมทีเ่ หมาะสมต่อการเกิดป่า และไม่มกี ารบุกรุกทําลายอย่าง


รุนแรงหรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน แต่เงื่อนไขทางสภาพแวดล้อม
บางประการอาจทําให้ปา่ ชายเลนอยูใ่ นสภาวะอ่อนแอ เช่น ตะกอน
บนหาดเลนถูกขุดลอกออกไป สูญเสียเมล็ดพันธุท์ สี่ ะสมอยูใ่ นดิน
อุณหภูมแิ ละความเค็มของนํา้ ผันผวน ระดับนํา้ และการไหลเวียน
ของนํ้าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หรือทะเลปนเปื้อนด้วยสารเคมี
อันตราย ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลให้ป่าชายเลนฟื้นตัวได้น้อยหรือ
ไม่เหลือสภาพความเป็นป่าชายเลนอีกต่อไป
ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีทผี่ า่ นมา องค์กรต่างๆ ในประเทศ​
ไทยนิยมฟืน้ ฟูปา่ ชายเลนทีถ่ กู ทําลายด้วยการปลูกต้นโกงกาง แต่
ผลการสํารวจกลับพบว่าต้นโกงกางส่วนใหญ่จะตายลงหลังผ่านไป
เพียงไม่ก่ีฤดูกาล เนื่องจากต้นกล้าไม่สามารถทนทานต่อคลื่นลม
กระแสนํา้ ขึน้ -นํา้ ลง และความเค็มได้ ต่อมาจึงมีการปรับปรุงวิธกี าร
ปลูกด้วยการตัดต้นไผ่มาสร้างเป็นแนวรัว้ ไม้ไผ่เพือ่ ช่วยลดแรงปะทะ
ของคลืน่ ลม เร่งการสะสมตัวของตะกอนบนหาดเลน และช่วยให้
ต้นโกงกางเติบโตได้ง่ายขึ้น
แม้การสร้างแนวรั้วไม้ไผ่จะสามารถปกป้องต้นโกงกางจาก
คลืน่ ลมและทําให้ตน้ กล้ามีโอกาสรอดชีวติ มากขึน้ แต่แนวรัว้ ไม้ไผ่
มีอายุการใช้งานไม่เกิน 5 ปี ก่อนจะเริ่มผุพังกลายเป็นเศษไม้ที่
สร้างความเสียหายต่อต้นอ่อนของพืชป่าชายเลนที่กําลังเติบโต
นอกจากนี้ หากแนวรัว้ ไม้ไผ่สร้างขึน้ อย่างแข็งแรงด้วยวิธกี าร
ปักแบบถีแ่ ละหนาแต่ไม่ถกู รือ้ ถอนหลังจากป่าชายเลนฟืน้ ตัว หลัง
แนวรัว้ ไม้ไผ่จะกลายเป็นพืน้ ทีส่ ะสมตะกอนทีถ่ กู นํา้ พัดพามาเพราะ
คลืน่ และกระแสนํา้ ไม่สามารถพัดพาตะกอนออกจากแนวรัว้ ไม้ไผ่ได้

34
��������������������

แนวร
้ั วไม
้ ไผ
่ ี่ทสร
้ างใหม
่ (บน) แนวร
้ั วไม
้ ี่ทถ
ู กคล
ื่ นซ
ั ดไปหาพ
ื ชป
่ าชายเลน (ล
่ าง)
ี่ทมา: กรมทร ั พยากรทางทะเลและชายฝ ่ั ง

35
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ส่งผลให้ตน้ อ่อนตามธรรมชาติของพืชป่าชายเลนถูกตะกอนทับถม
จนไม่สามารถเติบโต ยิง่ ไปกว่านัน้ สัตว์ทะเลบางชนิด เช่น โลมา
ปลา เต่า และพะยูน ยังมีโอกาสหลงเข้ามาติดอยูห่ ลังแนวรัว้ ไม้ไผ่
แล้วตายลงอีกด้วย การฟืน้ ฟูปา่ ชายเลนด้วยการสร้างแนวรัว้ ไม้ไผ่จงึ
ต้องดําเนินการอย่างรอบคอบระมัดระวัง รวมทัง้ คํานึงถึงผลกระทบ
ด้านสิ่งแวดล้อม
โครงการยอดนิยมอีกอย่างหนึง่ คือการปลูกต้นโกงกางบนหาด
เลนที่ไม่เคยเป็นป่าชายเลนมาก่อน ความจริงแล้วการที่หาดเลน
ไม่กลายสภาพเป็นป่าชายเลนตามธรรมชาติกเ็ พราะสภาพแวดล้อม
ในบริเวณนัน้ ไม่เหมาะสมต่อการเกิดป่าชายเลน การปลูกป่าชายเลน
บนหาดเลนจึงเป็นการแทรกแซงระบบนิเวศหาดเลน นับเป็นการ
แย่งชิงถิน่ อาศัยดัง้ เดิมของสัตว์บนหาดเลน กระตุน้ จุลนิ ทรียใ์ นดิน
ให้ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซมีเทนสู่บรรยากาศ
และอาจทําให้สิ่งมีชีวิตย้ายถิ่นอาศัยอย่างผิดธรรมชาติ
สาเหตุที่ต้นกล้าโกงกางซึ่งปลูกโดยมนุษย์มักจะอ่อนแอและ
ตายอย่างง่ายดาย เนื่องจากพืชเบิกนําของป่าชายเลนไม่ใช่ต้น
โกงกางแต่เป็นพืชกลุ่มต้นแสมที่สามารถปรับตัวกับพื้นที่ตอนบน
ของเขตนํ้ า ขึ้ น -นํ้ า ลง ความเค็ ม ของนํ้ า และคลื่ น ลมได้ ดี ก ว่ า
ดังนั้นการฟื้นฟูป่าชายเลนที่เหมาะสมคือการปกป้องระบบนิเวศ
แล้วรอให้พืชป่าชายเลนเติบโตตามธรรมชาติ
ส่วนในกรณีเงื่อนไขแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิดป่าชายเลนถูก
ทําลายลงอย่างรุนแรง เราสามารถสร้างแนวรั้วไม้ไผ่เพื่อลดแรง
ปะทะของคลืน่ ลมและดักจับตะกอน แล้วคอยติดตามว่าป่าชายเลน
สามารถฟื้นฟูตัวเองได้หรือไม่ หากป่าชายเลนไม่สามารถฟื้นฟู

36
��������������������

ตัวเองตามธรรมชาติจงึ ค่อยนําต้นกล้าของพืชป่าชายเลนประจําถิน่
เข้าไปปลูกตามความเหมาะสม พร้อมกับเฝ้าสังเกตและตรวจสอบ
การเปลีย่ นแปลงของระบบนิเวศในแปลงปลูกป่าชายเลนว่ามีความ
เหมือน คล้ายคลึง หรือแตกต่างจากระบบนิเวศเดิมอย่างไร
หากกะเทาะถึงแก่นความรู้ของหลักการทางนิเวศวิทยา ป่า
ชายเลนกับป่าบกมีความคล้ายคลึงกันอย่างยิง่ เพียงแต่ปา่ ชายเลน
มีความเปราะบางกว่า หากสภาพแวดล้อมทีเ่ อือ้ ต่อการเกิดป่าชาย­
เลนถูกทําลายลง ป่าชายเลนก็ยากทีจ่ ะฟืน้ ฟูตวั เองหรือฟืน้ ฟูกลับ
มาแล้วก็มีลักษณะที่ต่างไปจากเดิม เราจึงต้องให้ความสําคัญกับ
การอนุรักษ์ป่าชายเลนที่เหลืออยู่และการฟื้นฟูสภาพแวดล้อม
ให้เหมาะสมต่อการเกิดป่าชายเลนอย่างรอบคอบและถูกวิธี
ทุกคนที่อ่านมาถึงบรรทัดนี้คงทราบแล้วว่าการรีบนําต้นไม้
เข้าไปปลูกในป่าโดยไม่พจิ ารณาศักยภาพในการฟืน้ ฟูตวั เองของป่า
ล้วนเป็นการแทรกแซงการทํางานของธรรมชาติที่อาจเข้าข่ายการ
ฟอกเขียว เนื่องจากป่าธรรมชาติมีความหลากหลายทางชีวภาพ
สูงกว่าป่าปลูกและสามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มาก​
กว่า สิง่ สําคัญคือเราต้องแยกแยะให้ออกว่าโครงการประเภทใดจึง
จะเป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติ พร้อมทั้งตระหนักว่าการอนุรักษ์ป่า
ทีด่ ที สี่ ดุ คือการปกป้องไม่ให้ปา่ ถูกทําลาย และการฟืน้ ฟูปา่ โดยการ
ปลูกไม่ใช่ตัวเลือกแรก แต่ควรเป็นตัวเลือกสุดท้ายเมื่อธรรมชาติ
ไม่สามารถฟื้นฟูขึ้นได้ด้วยตัวเอง

37
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

10 มายาคต
ิ ระบบน
ิ เวศป
่ าและโครงการปล
ู กป
่ า

มายาคติที่ 1 การปลูกต้นไม้ในป่าเป็นการช่วยเพิ่มความหลาก
หลายทางชีวภาพ
ปัจจัยทางภูมศิ าสตร์และกระบวนการวิวฒ ั นาการโดยการคัดเลือก
ทางธรรมชาติคอื สิง่ ทีก่ าํ หนดชนิดและจํานวนของพืชในป่าแต่ละแห่ง
การนําต้นไม้จากภายนอกเข้าไปปลูกหรือการนําเมล็ดพันธุ์เข้าไป
โปรยในป่าถือเป็นการรบกวนสมดุลทางธรรมชาติของระบบนิเวศป่า

มายาคติที่ 2 การปลูกต้นไม้ในป่าที่ถูกทําลายเป็นการช่วยลด
ระยะเวลาการฟื้นฟูตัวเองของป่า
ป่าส่วนใหญ่สามารถฟื้นฟูสภาพระบบนิเวศที่ถูกทําลายลงได้
ด้วยตัวเองเพียงแต่ตอ้ งอาศัยระยะเวลา ในทางกลับกัน การรีบนํา
ต้นไม้เข้าไปปลูกในป่าทีก่ าํ ลังฟืน้ ตัวจะเป็นการแทรกแซงกระบวน­
การฟืน้ ฟูตวั เองตามธรรมชาติ เว้นแต่กรณีที่ ‘เงือ่ นไขการเกิดป่า’
ถูกทําลายอย่างรุนแรงทําให้ระบบนิเวศป่าจําเป็นต้องอาศัยความ
ช่วยเหลือจากมนุษย์ในการฟื้นฟู

มายาคติที่ 3 การปลูกต้นไม้ประจําถิ่นไม่มีผลกระทบต่อระบบ
นิเวศของป่า
ป่าแต่ละแห่งย่อมมีขีดความสามารถในการรองรับ (carrying
capacity) ทีเ่ หมาะสมต่อการเติบโตของพืชในจํานวนจํากัด หากมี

การนําต้นไม้เข้าไปปลูกเพิ่ม แม้จะเป็นต้นไม้ประจําถิ่นก็สามารถ​
ทําให้เกิดการแก่งแย่งทรัพยากรของต้นไม้ในป่าได้เช่นกัน

38
��������������������

มายาคติที่ 4 การเติมปุ๋ยและกําจัดวัชพืชจะช่วยเร่งการเติบโต
ของต้นไม้ในป่า
ต้นไม้ในป่ามี ‘ปุ๋ยธรรมชาติ’ ที่เกิดจากการย่อยสลายของแร่
ธาตุ ใบไม้ มูลสัตว์ และซากของสิง่ มีชวี ติ การเติมปุย๋ จึงเป็นการ
เพิม่ ธาตุอาหารส่วนเกินทีอ่ าจทําให้พชื บางชนิดเติบโตเร็วกว่าทีค่ วร
จะเป็นตามธรรมชาติ แล้วแผ่ร่มเงาบดบังทําให้พืชชนิดอื่นไม่ได้
รับแสงสว่าง ส่วนคําว่าวัชพืชเป็นคําศัพท์ทางเกษตรกรรมไม่ใช่
นิเวศวิทยา สิ่งที่มีพฤติกรรมใกล้เคียงกับวัชพืชมากที่สุดในระบบ
นิเวศป่าคือพืชชนิดพันธุต์ า่ งถิน่ ทีเ่ ข้ามารุกรานพืชชนิดพันธุป์ ระจํา
ถิ่นซึ่งเราอาจต้องช่วยกําจัดออกไป

มายาคติท่ี 5 การปลูกต้นไม้บริเวณป่าต้นนํา้ สามารถช่วยป้อง­กนั ​


นํ้าป่าไหลหลาก
นํ้าป่าไหลหลากคือรูปแบบหนึ่งของนํ้าท่วมฉับพลันที่พบได้
บ่อยบนภูเขา ปกติแล้วนํ้าป่าจะทําหน้าที่ชะล้างซากใบไม้ กิ่งไม้
ท่อนไม้ ตะกอนทีท่ บั ถมอยูต่ ามลําธาร และช่วยกระจายเมล็ดของ
พืชนํ้า นํ้าป่าจึงเป็นกลไกของธรรมชาติที่คอยควบคุมสมดุลของ
ป่าต้นนํ้า การปลูกต้นไม้บริเวณป่าต้นนํ้าอาจรบกวนกลไกตาม
ธรรมชาติของป่า ยิ่งหากมีการนําต้นไม้โตเร็วจํานวนมากไปปลูก
ใกล้บริเวณลําธาร ต้นไม้เหล่านั้นจะดูดซับนํ้าผิวดินและนํ้าใต้ดิน
จนอาจทําให้ลําธารเหือดแห้งได้

39
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

มายาคติที่ 6 การปลูกพืชคลุมดินช่วยลดโอกาสการกัดเซาะตลิง่
และการเกิดดินถล่ม
การปลูกพืชคลุมดินสามารถบรรเทาการพังทลายของดินได้
วิทยาศาสตร์สาขานีเ้ รียกว่าวิศวกรรมชีวปฐพี (soil-bioengineering)
แต่กจิ กรรมดังกล่าวจะนิยมทําในพืน้ ทีช่ มุ ชน ไม่ควรทําในพืน้ ทีป่ า่
ธรรมชาติ เพราะเป็นการรบกวนสังคมพืชริมนํา้ และเปลีย่ นแปลง
อัตราการกัดเซาะและทับถมตะกอนตามธรรมชาติ

มายาคติที่ 7 ยิ่งปลูกต้นไม้มากเท่าไร ยิ่งกักเก็บก๊าซคาร์บอน­


ไดออกไซด์ได้มากขึ้นเท่านั้น
การปลูกต้นไม้จาํ เป็นต้องขุดดิน พรวนดิน ใส่ปยุ๋ รดนํา้ และ
ดูแล ขัน้ ตอนเหล่านีต้ า่ งปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกสูบ่ รรยา­
กาศ หากต้นไม้ที่ปลูกเติบโตได้ไม่ดีและต้องดูแลเป็นเวลานาน
กิจกรรมดูแลต้นไม้ของมนุษย์อาจปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกมา
ในปริมาณที่มากกว่าปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ต้นไม้ดูดซับได้
ทําให้ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นบวก การปลูก
ต้นไม้ที่ดีจึงต้องพิจารณาชนิด จํานวน สถานที่ เวลาที่ปลูก วิธี
ปลูก และการดูแลหลังปลูกเพื่อให้มั่นใจว่าต้นไม้ดังกล่าวจะไม่
รบกวนระบบนิเวศและช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ตาม
ที่คาดหวัง

มายาคติที่ 8 การกําจัดซากต้นไม้ทหี่ กั โค่นจะเป็นการเปิดพืน้ ที่


ให้ต้นไม้รุ่นใหม่เติบโต
ต้นไม้ที่หักโค่นจะเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เช่น

40
��������������������

ไส้เดือน แมลง และเห็ดรา ส่วนใบไม้บนดินจะทําหน้าที่คล้ายผ้า


ขนหนูเปียกทีค่ อยรักษาความชุม่ ชืน้ ให้กบั ดินซึง่ เป็นหลักการเดียว
กับเทคนิคการใช้ฟางคลุมดินบนแปลงเกษตร ท้ายที่สุดแล้วใบไม้
เหล่านั้นจะย่อยสลายลงโดยใช้เวลาไม่กี่เดือนแล้วกลายเป็นปุ๋ย
ธรรมชาติทหี่ ล่อเลีย้ งผืนป่าต่อไป การกําจัดซากต้นไม้ทหี่ กั โค่นจึง
เป็นเรื่องที่เกินจําเป็น

มายาคติที่ 9 ไฟป่าจําเป็นต่อระบบนิเวศและการชิงเผาคือการ
ควบคุมไฟป่าที่ดีที่สุด
ไฟป่าคือเปลวไฟทีล่ กุ ไหม้อยูใ่ นป่าและลามอย่างไร้การควบคุม
ไฟป่ามักจะเกิดบนพื้นที่ลาดชันที่ได้รับแสงอาทิตย์แรงกล้าเป็น
เวลานาน มีฝนตกน้อย มีฟา้ ผ่าบ่อย มีอณ ุ หภูมสิ งู กว่า 40 องศา
เซลเซียส มีความชืน้ สัมพัทธ์นอ้ ยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ มีเชือ้ เพลิง
แห้งสะสมบนพื้นดินปริมาณมากและแผ่ต่อเนื่องเป็นบริเวณกว้าง
หากเงือ่ นไขดังกล่าวคงอยูน่ านพอ ไฟป่าจะสามารถลุกและลามได้
แต่เนือ่ งจากประเทศไทยมีภมู อิ ากาศแบบร้อน-ชืน้ ไฟป่าตามธรรม­
ชาติจึงมีน้อยมาก พืชในป่าจึงวิวัฒนาการให้ทนทานต่อความแล้ง
มากกว่าวิวฒ ั นาการมาร่วมกับไฟ ความเชือ่ ทีว่ า่ มนุษย์จาํ เป็นต้อง
จุดไฟเผาป่าผลัดใบเป็นประจําทุกปีจึงไม่น่าจะถูกต้อง
ในประเทศไทย แม้ว่าไฟป่าส่วนใหญ่จะเกิดจากฝีมือมนุษย์
แต่หลายปีที่ผ่านมาเราเริ่มมีแนวคิด ‘ชิงเผา’ ซึ่งเป็นการเผาเศษ
ซากใบไม้ลว่ งหน้าก่อนทีจ่ ะถึงฤดูแล้งโดยมีการควบคุมอย่างใกล้ชดิ
ไม่ให้ไฟลุกลามมากเกินไป แต่ความจริงแล้วยิง่ ป่าถูกเผาบ่อยเท่าไร
พืช สัตว์ จุลนิ ทรีย์ และดินจะยิง่ ถูกทําลาย นับเป็นการปล่อยฝุน่

41
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

กับก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศ เกิดการทําลายชั้นโอโซน และ


พื้นดินที่เสื่อมโทรมจะกักเก็บคาร์บอนได้น้อยลงเรื่อยๆ ผลคือป่า
ทีเ่ คยมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงอาจแปรสภาพเป็นทุง่ หญ้า
แล้วดึงดูดสัตว์บางชนิดเข้ามาหากินแบบผิดธรรมชาติ หรืออาจถูก
พืชต่างถิ่นเข้ามายึดครองพื้นที่

มายาคติที่ 10 ป่าชายเลนคือป่าโกงกาง
ถึงแม้วา่ ต้นโกงกางจะเป็นไม้เด่นของป่าชายเลน แต่ความจริง
แล้วต้นโกงกางจะเข้ามาครอบครองพืน้ ทีเ่ ป็นอันดับท้ายๆ ส่วนพืช
ทีเ่ ข้ามาครอบครองพืน้ ทีเ่ ป็นอันดับแรกๆ จะเป็นพวกต้นแสม ลําพู
และพืชชนิดอืน่ ทีย่ ดึ เกาะดินเลนได้ดกี ว่า ป่าชายเลนจึงไม่ได้มแี ค่
ต้นโกงกางเพียงอย่างเดียว แต่อุดมไปด้วยพืชพรรณนานาชนิด

Key Takeaways

☛ ความหลากหลายของระบบนิเวศคือผลงานทีว่ วิ ฒ ั นาการ
ผ่านกระบวนการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ดังนั้น เราจึงไม่ควรนํา
ป่าแบบหนึง่ มาเปรียบเทียบกับป่าอีกแบบหนึง่ แล้วตัดสินว่าป่าแบบ
ไหนดีกว่ากัน เพราะป่าแต่ละแห่งล้วนมีคุณค่าทางธรรมชาติและ
ความงดงามในแบบของตัวเอง โดยไม่มปี า่ แบบใดมีคณ ุ ค่ามากกว่า
หรือน้อยกว่าป่าแบบอื่น
☛ ป่าที่ถูกทําลายจากการตัดโค่นหรือเผาด้วยไฟ แต่ไม่ได้
ถูกบุกรุกต่อเนื่องเป็นเวลานาน หากป่าไม่ถูกรบกวนซํ้าๆ จาก
มนุษย์หรือภัยพิบัติ ป่าก็จะฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติแบบเป็น

42
��������������������

ลําดับขั้นตอน เพียงแต่จําเป็นต้องใช้เวลายาวนานกว่าจะกลับคืน
สู่สภาพที่อุดมสมบูรณ์อีกครั้ง
☛ ป่าธรรมชาติมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงกว่าและ
สามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าป่าปลูก ดังนั้นทางเลือกที่ดี
ที่สุดในการฟื้นฟูป่าคือการป้องกันไม่ให้ป่าถูกบุกรุกอีกในอนาคต
คอยกําจัดสิง่ มีชวี ติ ต่างถิน่ และไม่ควรรีบนําต้นไม้เข้าไปปลูกหรือ
สร้างฝายในป่า
☛ กรณีที่ป่าถูกทําลายอย่างหนักจนฟื้นตัวได้ช้าหรือฟื้นคืน
กลับมาแล้วมีลกั ษณะไม่เหมือนเดิม เราสามารถช่วยฟืน้ ฟูปา่ โดย
การปรับปรุงคุณภาพดินให้มีลักษณะใกล้เคียงกับดินเดิมเพื่อเพิ่ม
โอกาสการเติบโตของพืชประจําถิน่ หากระยะเวลาผ่านไปอย่างน้อย
20 ปีแล้วระบบนิเวศยังไม่กลับคืนมา ค่อยพิจารณานําต้นกล้าหรือ

เมล็ดพืชประจําถิ่นเข้าไปปลูก
☛ การปลูกต้นไม้ไม่ได้มีแต่ข้อดีเสมอไป เพราะการปลูก
ต้นไม้ผดิ ชนิด ผิดจํานวน ผิดสถานที่ และผิดเวลาก็สามารถสร้าง
ผลเสียได้เช่นกัน อาทิ สร้างมลภาวะทางอากาศจากละอองเกสร
หรือปล่อยสารพิษออกมายับยัง้ การเจริญเติบโตหรือทําลายพืชต้น
อื่นที่ขึ้นอยู่รอบข้าง

43
บทที่ 2

ระบบนิ เวศนํ้ าจื ด


เร
ื่ อง: สมาธ
ิ ธรรมศร
��������������������

โครงการสร
้ างฝาย

เมือ่ นํา้ ทีล่ อ่ งลอยอยูบ่ นท้องฟ้ากลัน่ ตัวเป็นเม็ดฝนตกลงสูพ่ น้ื ดิน


นํา้ ส่วนหนึง่ จะไหลบ่าไปตามผิวดินแล้วไหลลงสูแ่ หล่งนํา้ นํา้ อีกส่วน
หนึ่งจะซึมลงสู่ใต้ดินแล้วถูกกักเก็บเอาไว้ในช่องว่างของดิน การ
ร่วงหล่นของนํา้ จากฟ้าสูด่ นิ และการระเหยของนํา้ จากดินสูฟ่ า้ เป็น​
กระบวนการที่ดําเนินมาอย่างต่อเนื่องนับพันล้านปีและทําหน้าที่
คํา้ จุนสิง่ มีชวี ติ ทุกชนิดบนโลก แต่ปจั จุบนั เมือ่ ประชากรมนุษย์เข้า
ครอบครองพืน้ ทีเ่ กือบทุกหนแห่ง สายนํา้ ทีเ่ คยไหลอย่างอิสระตาม
ธรรมชาติก็ถูกขวางกั้นเพื่อตอบสนองความต้องการนํ้าของมนุษย์
นอกจากการก่อสร้างเขือ่ นขนาดใหญ่แล้ว มนุษย์ยงั สร้างฝาย
ชะลอนํ้าที่มีลักษณะคล้ายเขื่อนขนาดเล็ก และธนาคารนํ้าใต้ดิน
ซึง่ เป็นบ่อเติมนํา้ ทีข่ ดุ ลึกลงในดินด้วยความเชือ่ ทีว่ า่ โครงสร้างทาง
วิศวกรรมเหล่านีจ้ ะช่วยสํารองนํา้ บรรเทาความรุนแรงของนํา้ ท่วม
และสร้างความชุ่มชื้นแก่ผืนดิน ขณะที่ผลการศึกษาทางวิทยา­
ศาสตร์จํานวนมากกลับพบว่าโครงสร้างเหล่านี้ทิ้งผลกระทบไว้
มากมายต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม
สําหรับบทนี้ ผูเ้ ขียนขอเริม่ ด้วยการชวนมาทําความรูจ้ กั พืน้ ฐาน
ระบบนิเวศของลําธารและหน้าที่ของนํ้าบาดาล ก่อนจะพาผู้อ่าน
ไปสํารวจทัง้ ข้อดีและข้อเสียของโครงการสร้างฝายและธนาคารนํา้
ใต้ดิน

45
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ระบบน
ิ เวศของล
ํ าน
้ํ า
หากยืนอยูร่ มิ แม่นาํ้ สายหนึง่ แล้วเพ่งมองลงไปในนํา้ เราจะพบ
มวลนํา้ ทีไ่ หลช้าบ้างเร็วบ้าง สัตว์นาํ้ ทีแ่ หวกว่ายไปมา พืชนํา้ ทีโ่ บก
พลิ้วไหว และตะกอนเม็ดน้อยใหญ่ที่ถูกพัดพาไปตามกระแสนํ้า
เมื่อเดินย้อนจากบริเวณปลายนํ้าไปยังต้นนํ้า เราจะพบว่าแม่นํ้า
สายใหญ่ทุกสายล้วนเกิดจากลําธารขนาดเล็กที่ไหลมารวมกัน
ส่วนลําธารเหล่านั้นก็ไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากผลรวมของร่องนํ้าที่
เล็กกว่า
หากจะเล่าต้นกําเนิดของแม่นํ้าอย่างกระชับ คงต้องเริ่มจาก
วินาทีที่เม็ดฝนตกกระทบผิวดินจนแตกกระเซ็น นํ้าฝนจะไหลแผ่
ไปตามผิวดินแล้วกัดเซาะผิวดินลึกลงไปจนกลายเป็นริ้วธาร เมื่อ
นํ้าในริ้วธารมีมากขึ้นก็จะเร่งการกัดเซาะผิวดินให้ลึกและกว้าง
จนกลายเป็นร่องธาร นํา้ จากร่องธารทีไ่ หลมารวมกันจะกลายเป็น
ลําธาร แล้วขยายขนาดกลายเป็นลํานํ้าสายใหญ่ที่เรียกว่าแม่นํ้า
ย้อนกลับมาที่ต้นกําเนิดแม่นํ้าคือลําธาร ลําธารหนึ่งสายมีทั้ง
บริเวณทีเ่ ป็นแนวตรง คดโค้ง นํา้ ตืน้ นํา้ ลึก นํา้ ไหลช้า นํา้ ไหลเร็ว
นํ้าใส นํ้าขุ่น นํ้าอุ่น และนํ้าเย็น ความหลากหลายของลักษณะ
ทางกายภาพเอือ้ โอกาสทีแ่ หล่งนํา้ จะเป็นแหล่งพักพิงของสิง่ มีชวี ติ
นานาชนิด เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา งู กบ เต่า แมลง นก สัตว์
เลีย้ งลูกด้วยนํา้ นม รวมถึงพืชนํา้ ส่วนพืน้ ทีร่ มิ นํา้ และทีร่ าบ​นาํ้ ท่วม
ถึงบริเวณสองฝั่งของลําธารจะมีต้นไม้น้อยใหญ่คอยทําหน้าที่เป็น
ร่มเงาให้กบั นํา้ ในลําธาร เมือ่ นํา้ มีอณ
ุ หภูมติ าํ่ ออกซิเจนจึงละลาย
ลงสู่นํ้าได้มาก นี่คือสาเหตุที่ทําให้นํ้าในลําธารเย็นและใสสะอาด
หากเปรียบลําธารกับอวัยวะภายในร่างกายของมนุษย์ ลําธาร

46
��������������������

บริ เวณท ี่ พ ื้ นล ํ าธารน ู นข


้ ึ นเร ี ยกว ่ า เน
ิ นน ้ํ า (glide), บร ิ เวณท ี่ ้น
ํ าตื้ นและไหลเร
็ ว
เร
ี ยกว ่ า แก ่ ง (riffle), บร ิ เวณท ี่ ค่ อนข ้ างตรงและน ้ํ าล
ึ กเรี ยกว ่ า ธารไหล (run),
บร ิ เวณท ี่ เป็ นแอ ่ งลึ กและน ้ํ าไหลช ้ าเร
ี ยกว ่ า ั วงน
้ํ า (pool)
ี่ทมา: https://www.ausableriver.org/blog/stream-features-riffle-glide

ก็ เ ปรี ย บเสมื อ น ‘เส้ น เลื อ ด ’ ที่ แ ผ่ ข ยายไปทั่ ว ร่ า งกาย นํ้ า คื อ


‘เลื อ ด ’ ที่ ค อยหล่ อ เลี้ ย งอวั ย วะต่ า งๆ ส่ ว นหิ น บนพื้ น ลํ า ธารคื อ

‘ปอด’ ที่คอยเติมออกซิเจนสู่กระแสเลือด ดังนั้นการยกหินออก

จากลําธารหรือการนําหินในลําธารมาเรียงต่อกันจึงเป็นการรบกวน
ปอดของลําธารและยังเป็นการทําลายบ้านของสิง่ มีชวี ติ ทีอ่ าศัยอยู่
ตามกรวดหินอีกด้วย
เราสามารถจําแนกลําธารโดยอิงจากช่วงเวลาทีล่ าํ ธารมีนาํ้ ไหล
ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นลําธารที่มีนํ้าไหลทุกฤดูกาลหรือเกือบ
ตลอดปี ลําธารประเภทนี้มักจะพบบริเวณป่าต้นนํ้าและภูเขาสูงที่
มีตน้ ไม้หนาแน่น อากาศเย็นชืน้ และมีระดับนํา้ บาดาลอยูส่ งู เทียบ
เท่าหรือสูงกว่าพืน้ ลําธาร ลําธารอีกประเภทหนึง่ คือลําธารชัว่ คราว
ซึง่ จะมีนา้ํ ไหลเป็นบางช่วงเวลา บางแห่งจะมีนา้ํ ไหลเฉพาะในฤดูฝน

47
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ส่วนบางแห่งจะมีนํ้าไหลเพียงชั่วครู่ขณะฝนตกหรือหลังฝนตก
เท่านัน้ ดังนัน้ การทีล่ าํ ธารบางแห่งไม่ได้มนี า้ํ ไหลตลอดทัง้ ปีจงึ ไม่ได้
สะท้อนความแห้งแล้งหรือขาดแคลนในระบบนิเวศ แต่เป็นลักษณะ
ตามธรรมชาติของลําธารซึ่งสอดคล้องกับปริมาณนํ้าบาดาล

ผลกระทบต
่ อส
่ิ งแวดล
้ อมจากการก
่ อสร
้ างฝาย
ฝายเป็นโครงสร้างทางวิศวกรรมทีถ่ กู สร้างขึน้ เพือ่ ควบคุมการ
ไหลและระดับของนํ้า เดิมทีฝายถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับนํ้า
ด้านหน้าฝายให้สูงขึ้นเพื่อผันนํ้าเข้าสู่พื้นที่ทางการเกษตร ต่อมา
ฝายถูกปรับเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นแหล่งกักเก็บนํ้าในฤดูแล้ง ดัก
ตะกอนไม่ให้ไหลลงอ่างเก็บนํ้า ลดความรุนแรงของนํ้าป่าไหล
หลาก และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพืชพรรณในป่าหรือในสวน
ลองจินตนาการถึงภาพลําธารในป่าทีไ่ หลอย่างอิสระ ริมลําธาร
มีพืชพรรณขนาดเล็ก และห่างออกไปอีกหน่อยก็มีต้นไม้ขนาด
ใหญ่ สายนํา้ ทีย่ งั ไม่ถกู รบกวนคือถิน่ อาศัยของสิง่ มีชวี ติ นานาชนิด
และทําหน้าที่ลําเลียงนํ้า ธาตุอาหาร และตะกอนจากต้นนํ้าไปยัง
ปลายนํ้า หากวันดีคืนดีลําธารสายนั้นถูกคั่นด้วยฝายย่อมส่งผล​
กระทบหลายประการต่อพืชพรรณริมนํ้าและสัตว์ป่าอย่างยากจะ
หลีกเลี่ยง
เมื่อนํ้าถูกชะลอให้ไหลช้าลงหรือถูกปิดกั้นจนไม่สามารถไหล
ได้ ระดับนํา้ ทีด่ า้ นหน้าฝายจะยกตัวสูงขึน้ แล้วเอ่อท่วมพืชพรรณ
ริมฝั่งลําธาร บางกรณีเลวร้ายถึงขั้นยืนต้นตาย ฝายยังขัดขวาง
การเดินทางไปยังบริเวณต้นนํ้าและปลายนํ้าของสัตว์ที่อาศัยใน​
ลําธาร นับเป็นเรื่องน่าขันขื่นที่บางครั้งภาพของสัตว์ลําธารที่ถูก

48
��������������������

ํลาธารถู กก
้ั นด
้ วยฝาย ระด
ั บน
้ํ าหน
้ าฝายจ
ึ งยกต
ั วส
ู งข
้ ึ น แล
้ วเอ
่ อท
่ วมพ
ื ชในป
่ า
ภาพ: Zhiling Wei

กักขังอยู่หลังฝายนําไปสู่ความเข้าใจผิดว่าฝายช่วยเพิ่มจํานวน
ประชากรของสิ่งมีชีวิตในลําธาร ทั้งที่จริงแล้วสัตว์ลําธารเหล่านั้น
เพียงไม่สามารถหาทางเคลื่อนผ่านฝายที่ขวางกั้นเส้นทางสัญจร
หลักของพวกเขา
นอกจากนี้ ใบไม้ ธาตุอาหาร และตะกอนจากในป่าทีป่ กติจะถูก​
พัดพาไปพร้อมกับนํา้ แต่ฝายทีส่ ร้างขวางลําธารจะดักสิง่ เหล่านัน้
ไว้ที่ด้านหน้าของฝาย เมื่อเวลาผ่านไปพื้นที่ด้านหน้าฝายก็จะเริ่ม
อุดตันส่งผลให้นํ้าเน่าเสีย สัตว์และพืชในนํ้าตาย แหล่งนํ้านิ่งยัง
กลายเป็นแหล่งอาศัยของยุงและพยาธิทเ่ี ป็นพาหะนําโรคหลายชนิด
เมื่อถึงฤดูแล้ง ลําธารบางสายจะเหือดแห้งลงตามธรรมชาติ
ถ้านํ้าในฝายมีน้อยก็จะระเหยหรือไหลออกไปจนหมดทําให้สัตว์ที่

49
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

้น
ํ าในฝายมี ค
ุ ณภาพต
่ํ าลง
ภาพ: Zhiling Wei

ถูกกักขังอยูด่ า้ นหน้าฝายตายลง ในกรณีทนี่ า้ํ ในฝายมีมาก แม้วา่


สัตว์นํ้าจะรอดชีวิตแต่ก็ตอ้ งแย่งชิงอาหารและที่อยูอ่ าศัยหรือผสม
พันธุก์ นั ภายในฝูง สัตว์รนุ่ ลูกจึงอาจมีปญ ั หาเลือดชิด (inbreeding)
ซึ่งเป็นการแสดงออกของพันธุกรรมด้อยที่รับมาจากรุ่นพ่อแม่
ส่งผลให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมลดลง นอกจากนี้ การ
สร้างฝาย​อาจทําให้แหล่งนํา้ ท้ายฝายมีปริมาณนํา้ น้อยลงเนือ่ งจาก
กระแส​นํ้าถูกชะลอไว้ที่ด้านหน้าฝายมากเกินไป
เมือ่ ฤดูฝนเวียนมาถึง นํา้ ป่าทีไ่ หลหลากลงมาจะปะทะกับฝาย
แล้วกัดเซาะตลิ่งด้านข้างของลําธารจนตลิ่งพังหรือทําให้ลําธาร
เปลีย่ นทิศทาง ในกรณีกระแสนํา้ รุนแรงจนทําให้ฝายพังทลาย วัสดุ
ทีใ่ ช้สร้างฝาย เช่น คอนกรีต หิน กระสอบ กิง่ ไม้ และลวดจะไหล
ลงมาพร้อมกับนํ้าและอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อคนที่อยู่ปลายนํ้า

50
��������������������

้น
ํ าในฝายระเหยจนแห้ งในฤด
ู แล
้ ง
ภาพ: Zhiling Wei

ส่วนกรณีที่ฝายบนพื้นที่ลาดชันกักเก็บตะกอนจํานวนมากเอาไว้
เมือ่ ถึงวันทีฝ่ ายแตกเพราะรับนํา้ หนักไม่ไหว ตะกอนจะทะลักทลาย
ลงมาด้านล่างกลายเป็นภัยพิบัติคล้ายกับดินถล่ม
หากเวลาผ่านไปหลายปีโดยทีฝ่ ายยังไม่พงั ทลายลงมา ตะกอน
ที่ปกติแล้วจะไหลจากต้นนํ้าไปยังปลายนํ้าจะตกทับถมอยู่ที่พื้น​
ลําธารจนลําธารตืน้ เขินทําให้ความหลากหลายทางชีวภาพลดลงและ
กักเก็บนํ้าได้น้อยลง การที่ตะกอนถูกดักจับเอาไว้ที่ต้นนํ้า​ลําธาร
มากขึน้ ก็เท่ากับว่าตะกอนทีไ่ หลลงสูแ่ ม่นาํ้ กับชายหาดจะมีปริมาณ
น้อยลง ตลิง่ แม่นา้ํ และพืน้ ทีร่ มิ ทะเลจึงอยูใ่ นภาวะขาดแคลนตะกอน
ผลที่ตามมาคือเกิดการกัดเซาะตลิ่งแม่นํ้าและชายฝั่งทะเล

51
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ฝายพ
ั งทลายเพราะน
้ํ าป
่ าไหลหลาก
ภาพ: สมาธ
ิ ธรรมศร

5 มายาคต
ิ ระบบน
ิ เวศล
ํ าธารและโครงการสร
้ างฝาย

มายาคติท่ี 1 หากไม่สร้างฝายในลําธาร สัตว์นา้ํ จะตายในฤดูแล้ง


เพราะไม่มีนํ้าเหลือในลําธาร
แม้วา่ ลําธารบางสายจะมีปริมาณนํา้ น้อยลงหรือไม่มนี า้ํ ในฤดูแล้ง
แต่สตั ว์ลาํ ธารจะอพยพตามฤดูกาล โดยเคลือ่ นย้ายถิน่ อาศัยมายัง
ลําธารในช่วงทีม่ นี าํ้ และอพยพออกไปทีอ่ นื่ ในช่วงทีไ่ ม่มนี าํ้ ในทาง
กลับกัน หากมีการสร้างฝายขวางลําธาร สัตว์ลําธารบางชนิดจะ
ไม่สามารถอพยพตามฤดูกาลได้และตายลง

มายาคติที่ 2 สัตว์นาํ้ สามารถเคลือ่ นทีผ่ า่ นฝายแบบไล่ระดับได้


ฝายบางชนิดจะถูกออกแบบให้มีลักษณะเหมือนทางลาดแล้ว
ค่อยๆ ไล่ระดับขึ้นเพื่อให้สัตว์ลําธารสามารถว่ายนํ้าหรือเดินข้าม

52
��������������������

ฝายด
ั กตะกอนเอาไว ้ เป
็ นเวลานานจนพ
ื้ นล
ํ าธารต
ื้ นเข
ิ น
ภาพ: Zhiling Wei

ฝายง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม สัตว์ลําธารส่วนใหญ่ไม่ได้วิวัฒนาการ


มาเพือ่ ว่ายนํา้ หรือเดินข้ามโครงสร้างทีม่ คี วามลาดชัน ดังนัน้ ฝาย
ทุกรูปแบบจึงส่งผลกระทบต่อความหลากหลายของชนิด จํานวน
และช่วงวัยของสัตว์ที่พบในลําธารอย่างยากจะหลีกเลี่ยง

มายาคติที่ 3 ฝายที่ทําจากวัสดุธรรมชาติจะไม่มีผลกระทบต่อ
ระบบนิเวศ
เรามีหลักฐานสนับสนุนอย่างชัดเจนว่าฝายทีท่ าํ จากยางรถยนต์
หรือกระสอบพลาสติกเป็นมลภาวะต่อลําธาร แต่ฝายไม้ ฝายหิน
และฝายคอนกรีตก็สร้างการเปลีย่ นแปลงต่อระดับนํา้ และความเร็ว
ในการไหลของนํา้ ส่งผลต่อคุณภาพนํา้ รวมถึงสิง่ มีชวี ติ ในลําธาร
และบริเวณโดยรอบเช่นกัน

53
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

มายาคติที่ 4 ฝายช่วยดักตะกอนในลําธารและลดความรุนแรง
ของนํ้าป่าไหลหลาก
ฝายทีก่ นั้ ขวางลําธารทําให้นาํ้ ไหลช้าลง ส่งผลให้เกิดการสะสม
ของใบไม้กบั ตะกอนภายในฝาย พืน้ ของลําธารจึงตืน้ เขิน คุณภาพ​
นํ้ายํ่าแย่ลง และศักยภาพในการกักเก็บนํ้าของฝายลดลง แม้ว่า
ฝายทีส่ ร้างขวางลําธารจะสามารถลดความรุนแรงของนํา้ ป่าได้บาง
ส่วน แต่ถ้านํ้าป่ามีปริมาณมาก ฝายอาจจะแตกแล้วไหลลงมา
พร้อมกับนํ้าป่าจนเป็นอันตรายต่อคนที่อยู่ปลายนํ้า
ในกรณีท่ีฝายมีความแข็งแรงจนไม่พังทลายเพราะนํ้าป่า เมื่อ
ผ่านไปหลายปี ตะกอนจะตกทับถมทีด่ า้ นหน้าฝายจนกลายสภาพ
จากแหล่งนํ้าเป็นลานดินส่งผลให้พื้นที่การไหลของลําธารลดลง
การสร้างสิง่ ก่อสร้างรุกลํา้ พืน้ ทีข่ องลําธารจึงเป็นการซํา้ เติมปัญหา
มากกว่าการแก้ไขปัญหา

มายาคติที่ 5 ฝายช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับป่าและลดโอกาส
การเกิดไฟป่า
ฝายสามารถเพิม่ ความชุม่ ชืน้ ให้กบั ป่ารอบลําธารได้จริง แต่ปา่
ในฤดูแล้งก็มนี าํ้ ปริมาณมหาศาลสะสมอยูภ่ ายในดิน นีค่ อื เหตุผล
ทีผ่ นื ป่าสามารถเอาตัวรอดได้ทกุ ฤดูกาล ฤดูแล้งยังมีประโยชน์ตอ่
การพักรากของพืชเพือ่ กําจัดนํา้ ส่วนเกิน แต่ปา่ ทีม่ ฝี ายเป็นจํานวน​
มากจะทําให้ความชุม่ ชืน้ ในป่าเพิม่ ขึน้ จนเกินจุดสมดุล ผลคือกลุม่
พืชทีช่ อบนํา้ จะขยายพันธุร์ กุ รานกลุม่ พืชเดิมและทําให้ระบบนิเวศ
รอบลําธารเปลี่ยนแปลงไป
ส่วนในเรือ่ งของไฟป่า โดยหลักการแล้วฝายสามารถลดโอกาส

54
��������������������

ลุกลามของไฟป่าได้จริง แต่เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในเขต
ภูมอิ ากาศแบบร้อนชืน้ ไฟป่าทีเ่ กิดขึน้ ตามธรรมชาติจงึ มีนอ้ ยมาก
โดยไฟป่าในประเทศไทยส่วนใหญ่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ดังนั้นการ
แก้ปญ ั หาไฟป่าทีถ่ กู วิธคี อื ควบคุมการเผาหรือการเฝ้าระวังไม่ให้มี
การเผาป่า เพราะการสร้างฝายเพือ่ สกัดกัน้ ไฟป่าเป็นการแก้ปญ ั หา
ทีป่ ลายเหตุและสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศหลายประการซึง่ นับ
ว่ามีข้อเสียมากกว่าข้อดี

Key Takeaways

☛ ฝายที่กั้นขวางลําธารทําให้ระดับนํ้าหน้าฝายยกตัวสูงขึ้น
และนํ้าไหลช้าลง พืชริมนํ้าจึงจมอยู่ใต้นํ้า และเกิดเป็นใบไม้กับ
ตะกอนสะสมอยู่หน้าฝาย ส่งผลให้คุณภาพนํ้ายํ่าแย่และพื้นของ
ลําธารตื้นเขิน นอกจากนี้การสร้างฝายยังขัดขวางการอพยพตาม
ธรรมชาติของสัตว์ลาํ ธาร ส่งผลให้ความหลากหลายทางชีวภาพใน
ระบบนิเวศลําธารลดลงอีกด้วย
☛ ในกรณีที่จําเป็นต้องสร้างฝายกั้นขวางลําธาร ควรเลือก
สร้างฝายชั่วคราวจากวัสดุธรรมชาติเฉพาะในฤดูแล้งเท่านั้น แล้ว
รื้อ​​ฝายออกในฤดูนํ้าหลาก ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการสร้างฝายถาวร
และฝายทีท่ าํ จากกระสอบพลาสติก ยางรถยนต์ หรือวัสดุสงั เคราะห์
อื่นๆ เพราะจะทําให้เกิดมลภาวะปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมและส่ง
ผลกระทบด้านสุขภาพต่อสิ่งมีชีวิต
☛ แม้ว่าฝายจะสามารถสร้างความชุ่มชื้นให้ผืนป่าและช่วย
ป้องกันการลุกลามของไฟป่าได้จริง แต่ระดับความชืน้ ในป่าทีเ่ พิม่

55
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ขึ้นอาจกลายเป็นปัจจัยที่ทําให้ระบบนิเวศในป่าเปลี่ยนแปลงไป
นอกจากนี้ การสร้างฝายเพื่อบรรเทาความรุนแรงของไฟป่ายัง
เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ

้ํ าใต
โครงการธนาคารน ้ ด
ิ น

ขณะทีน่ าํ ส่วนหนึง่ ซึง่ ตกลงมาจากท้องฟ้าไหลเป็นลําธารอยูบ่ น


ผิวดิน นํา้ อีกส่วนหนึง่ จะซึมลงสูใ่ ต้ดนิ แล้วถูกกักเก็บเอาไว้ในช่อง
ว่างของวัสดุธรณีจาํ พวกตะกอน ดิน และหินทีร่ ะดับความลึกต่างๆ
วัสดุธรณีเหล่านี้จะมีความพรุนที่อากาศกับนํ้าสามารถเข้าไปจับ​
จองพืน้ ทีไ่ ด้ เราเรียกนํา้ ภายในช่องว่างของวัสดุธรณีทแี่ ทบจะไม่มี
อากาศเจือปนอยู่ว่านํ้าบาดาล
เราสามารถพบนํ้าบาดาลได้แทบทุกแห่ง อย่างไรก็ตามระดับ
นํา้ บาดาลในแต่ละพืน้ ทีจ่ ะมีความสูงไม่เท่ากัน ระดับนํา้ บาดาลจะ
มีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลาเนื่องจากมีนํ้าไหลเข้าและนํ้าไหล
ออกจากแหล่งกักเก็บอยู่เสมอ การไหลของนํ้าบาดาลมีหลักการ
เดียวกันกับนํ้าผิวดินคือนํ้าบาดาลจะไหลจากพื้นที่สูงลงไปสู่พื้นที่
ตํา่ แตกต่างกันทีก่ ารไหลของนํา้ บาดาลจะมีปจั จัยเรือ่ งความพรุน
ของวัสดุธรณีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยนํ้าบาดาลจะไหลเร็วหาก
วัสดุธรณีมีรูพรุนมากและเชื่อมต่อถึงกัน
นํ้าบาดาลบางแห่งบริเวณพื้นที่ลาดชันจะทะลักออกสู่พื้นผิว
โลกตามรอยแตกของหินแล้วกลายเป็นนํา้ พุ ขณะทีน่ าํ้ บาดาลส่วน
ใหญ่จะไหลไปบรรจบกับลําธาร แม่นา้ํ พืน้ ทีช่ มุ่ นํา้ ทะเลสาบ และ
ท้องทะเล นัน่ หมายความว่าถ้านํา้ บาดาลจุดหนึง่ เกิดการปนเปือ้ น

56
��������������������

ก็จะทําให้นํ้าผิวดินและนํ้าบาดาลจุดอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกันปนเปื้อน
ไปด้วยเช่นกัน

การเต
ิ มน
้ํ าบาดาลเท
ี ยมและความเส
ี่ ยงจากการปนเป
้ ื อน
นํา้ บาดาลคือแหล่งนํา้ สําคัญของคนไทยโดยเฉพาะพืน้ ทีช่ นบท
ในอดีตบ่อนํา้ บาดาลจะมีความลึกประมาณ 10 เมตรเท่านัน้ ส่วน
ในปัจจุบนั บ่อนํา้ บาดาลจะมีความลึกหลักหลายสิบจนถึงหลักร้อย
เมตรเนือ่ งจากเรามีเครือ่ งมือทีท่ นั สมัย ก่อนลงมือขุดบ่อนํา้ บาดาล
มักจะมีการสํารวจใต้ผวิ ดินด้วยวิธกี ารทางธรณีฟสิ กิ ส์เพือ่ ตรวจสอบ
ว่านํา้ บาดาลมีความลึกและปริมาณเท่าไร คุม้ ค่าต่อการลงทุนหรือไม่
เมือ่ ขุดบ่อนํา้ บาดาลเสร็จแล้วก็จะต้องทําการทดสอบคุณภาพและ
ปริมาณของนํ้าบาดาลว่าเหมาะสมต่อการใช้งานหรือเปล่า โดย
พิจารณาจากสี ความขุ่นใส กลิ่น ความเป็นกรดด่าง อุณหภูมิ
ของแข็ง สารละลาย แก๊ส จุลนิ ทรียท์ ปี่ ะปนอยูใ่ นนํา้ บาดาล และ
ปริมาณนํ้าที่บ่อบาดาลสามารถนํามาใช้งานได้จริง
เราเรียกกระบวนการทีน่ าํ้ ฝนซึมลงสูใ่ ต้พนื้ ผิวดินแล้วถูกกรอง
ด้วยวัสดุธรณีทมี่ อี ยูต่ ามธรรมชาติวา่ การเติมนํา้ บาดาลแท้ (natural
groundwater recharge) แต่ ใ นหลายพื้ น ที่ ซึ่ ง มี ค วามต้ อ งการนํ้ า

บาดาลสูงมาก เนือ่ งจากต้องใช้นาํ้ ในการทําเกษตรกรรม อุตสาห­


กรรม และอุปโภคในครัวเรือน การสูบนํ้าบาดาลขึ้นมาใช้อย่าง
มหาศาลจึงส่งผลให้ระดับนํา้ บาดาลลดตํา่ ลงและเกิดปัญหาแผ่นดิน
ทรุดเพราะกระบวนการเติมนํ้าบาดาลแท้ไม่รวดเร็วพอ หลาย
ประเทศจึงบรรเทาปัญหาการขาดแคลนนํ้าบาดาลและลดความ
เสีย่ งทีจ่ ะเกิดแผ่นดินทรุดด้วยการเติมนํา้ สะอาดลงสูช่ นั้ นํา้ บาดาล

57
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

่บอน
้ํ าบาดาลแบบโบราณ
ภาพ: Zhiling Wei

เพื่อทดแทนนํ้าบาดาลที่ถูกสูบออกไป เราเรียกกระบวนการนี้ว่า
การเติมนํ้าบาดาลเทียม (artificial groundwater recharge)
ประเทศอินเดียคือหนึ่งในประเทศที่มีโครงการเติมนํ้าบาดาล
เทียมมายาวนาน เนื่องจากประเทศอินเดียมีประชากรมากถึง
1,400 ล้านคน อีกทัง ้ ยังเผชิญปัญหาการขาดแคลนนํา้ ประสบภัย
แล้ง และคลื่นความร้อนที่รุนแรง ในอินเดียจึงมีการสร้างบ่อเติม
นํา้ บาดาลจํานวนหลายหมืน่ บ่อทีส่ ร้างจากคอนกรีต อิฐ หิน ทราย
และดิน ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางและความลึกประมาณ 2 เมตร
อย่างไรก็ตาม เมือ่ พ.ศ. 2561 หน่วยงานภาครัฐของประเทศ
อินเดียเปิดเผยข้อมูลทีน่ า่ กังวลว่าพบการปนเปือ้ นไนเตรต ฟลูออไรด์

58
��������������������

เหล็ก เกลือ สารหนู ตะกั่ว โครเมียม แคดเมียม และสิ่งปฏิกูล


จนเกิ น ค่ า มาตรฐานที่ อ งค์ ก ารอนามั ย โลกกํ า หนดในแหล่ ง นํ้ า
บาดาลกว่า 718 จุดทั่วประเทศ สาเหตุการปนเปื้อนคือปุ๋ย สาร​
กําจัดศัตรูพชื โรงงานอุตสาหกรรม บ่อขยะ และมูลของสิง่ มีชวี ติ
ทีไ่ หลลงสูบ่ อ่ เติมนํา้ บาดาล ทําให้ผอู้ ปุ โภคบริโภคนํา้ บาดาลเกิดโรค
ผิวหนัง มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน อาหารเป็นพิษ หายใจไม่ออก
หมดสติ และทําให้อวัยวะภายในทํางานผิดปกติ
หายนะในประเทศอินเดียส่งผลให้หลายประเทศในทวีปเอเชีย
ยุโรป และอเมริกาบังคับใช้กฎหมายควบคุมการเติมนํา้ บาดาลเทียม
อย่างเคร่งครัด โดยระบุว่าการเติมนํ้าบาดาลเทียมสามารถทําได้
เฉพาะนํ้าบาดาลระดับตื้น บ่อเติมนํ้าต้องสร้างจากวัสดุที่ไม่ก่อให้
เกิดการปนเปื้อน พื้นที่รอบบ่อเติมนํ้าต้องไม่สุ่มเสี่ยงต่อการปน
เปือ้ นของสารพิษ นํา้ ทีถ่ กู เติมลงสูช่ นั้ นํา้ บาดาลต้องเป็นนํา้ สะอาด
รวมทั้งกําหนดปริมาณนํ้าที่เติมลงในบ่ออย่างเคร่งครัด
สําหรับประเทศไทย หลายปีที่ผ่านมามีการสร้างธนาคารนํ้า
ใต้ดนิ กันอย่างแพร่หลาย โดยแบ่งออกเป็นระบบปิดและระบบเปิด
ธนาคารนํา้ ใต้ดนิ ระบบปิดจะสร้างขึน้ โดยการขุดดินลึกลงไปถึงชัน้
หินอุม้ นํา้ แล้วใส่ยางรถยนต์ ขวดพลาสติก ผ้าไนล่อน หิน ทราย
ดิน และท่อพีวซี ลี งไป แต่เมือ่ เวลาผ่านไป วัสดุเหล่านีก้ อ็ าจกลาย
เป็นสาเหตุการปนเปือ้ นของคราบนํา้ มัน สารก่อมะเร็ง และไมโคร
พลาสติกจากการย่อยสลายของยางรถยนต์กบั ขวดพลาสติกในดิน
แล้วซึมลงสู่ชั้นนํ้าบาดาล
ส่วนธนาคารนํ้าใต้ดินระบบเปิดก็มีลักษณะคล้ายกับธนาคาร
นํ้าใต้ดินระบบปิด แตกต่างกันที่จะมีการขุดปากบ่อให้กว้าง และ

59
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ธนาคารน้ํ าใต้ ดิ นระบบป


ิ ดท
ี่ ม
ี ขวดพลาสต
ิ กและยางรถยนต

ี่ทมา: อบต.ว ั งจั นทร์

ไม่มกี ารใส่ยางรถยนต์และขวดพลาสติกลงไป อย่างไรก็ตาม ปาก​


บ่อทีก่ ว้างจะทําให้นาํ้ ผิวดินทีอ่ าจปนเปือ้ นสิง่ สกปรกไหลลงไปผสม
กับนํา้ ในบ่อและซึมลงสูช่ น้ั นํา้ บาดาลได้งา่ ยขึน้ นอกจากนี้ นํา้ ในบ่อ
ยังมีโอกาสสัมผัสกับแสงอาทิตย์มากขึน้ และระเหยง่ายขึน้ อีกด้วย
จากการสํารวจพบว่าการสร้างธนาคารนํา้ ใต้ดนิ บางแห่งในไทยยัง
พบการปนเปือ้ น เช่น ธนาคารนํา้ ใต้ดนิ บริเวณพืน้ ทีโ่ ครงการติดตัง้
แผงโซลาร์เซลล์ทอี่ าํ เภอบ้านหมอและอําเภอเสาไห้ จังหวัดสระบุรี
โดยพบว่านํา้ บาดาลมีสนี าํ้ ตาลอมเหลือง มีกลิน่ เหม็น สัมผัสแล้ว
เกิดตุม่ แดงและผืน่ คันตามร่างกาย สาเหตุมาจากนํา้ ผิวดินทีส่ กปรก
บริเวณพืน้ ทีเ่ กษตรกรรมไหลลงไปปนเปือ้ นนํา้ บาดาล ชาวบ้านใน
พื้นที่จึงไม่สามารถใช้นํ้าบาดาลได้เป็นเวลาประมาณ 3 สัปดาห์

60
��������������������

ธนาคารน้ํ าใต้ ดิ นระบบเป


ิ ดท
ี่ ม
ี ปากบ
่ อกว
้ าง
ี่ทมา: อบต.ว ั งจั นทร์

ผลกระทบอ
ื่ น ๆ จากการเต
ิ มน
้ํ าบาดาลเท
ี ยม
การเติมนํ้าบาดาลเทียมอย่างไม่ระมัดระวัง นอกจากจะเสี่ยง
ต่อการปนเปื้อนของมลภาวะแล้วยังอาจเป็นสาเหตุของการเกิด
อุทกภัย พืชพรรณบนผิวดินเสียหาย และพื้นดินแห้งแล้งอีกด้วย
หากเราเติมนํ้าบาดาลเทียมจนเกินปริมาณที่เหมาะสมจนทํา
ให้ระดับนํ้าบาดาลยกตัวสูงขึ้น เนื้อดินที่อิ่มตัวด้วยนํ้าจะส่งผลให้
รากของพืชเน่าและเกิดภาวะนํ้าบาดาลท่วม เนื่องจากฝนและนํ้า
ผิวดินไม่สามารถซึมลงสู่ใต้ดินได้ ถึงแม้ว่าการเกิดนํ้าบาดาลท่วม
ยังไม่มีการศึกษาอย่างแพร่หลายและจริงจังในประเทศไทย แต่
สามารถพบได้บริเวณทีร่ ะดับนํา้ บาดาลยกตัวสูงขึน้ หลังฝนตกหนัก
เป็นเวลานาน

61
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ธนาคารน้ํ าใต
้ ด ิ นที่ ต
ํ าบลบ ้ านคร
ั ว ํอาเภอบ ้ านหมอ ัจงหว
ั ดสระบ ุ ี ร (บน)

ุ่ มแดงและผ ื่ นคั นท ี่ เก
ิ ดจากการส ั มผั สน
้ํ าบาดาลท
ี่ ปนเป
้ ื อน (ล
่ าง)
ภาพ: สมาธ ิ ธรรมศร

62
��������������������

ในทางกลับกัน หากมีการขุดสระกักเก็บนํ้าที่ลึกกว่าระดับนํ้า
บาดาล นํ้าบาดาลจะไหลลงไปที่พื้นของสระกักเก็บนํ้าส่งผลให้
ระดับ​นํ้าบาดาลตํ่ากว่าที่ควรจะเป็น ผลกระทบที่ตามมาคือราก
ของพืชบนดินขาดความชุ่มชื้นและเหี่ยวเฉา ตัวอย่างเหตุการณ์ที่
คาดว่าเกิดจากปรากฏการณ์นคี้ อื การแห้งตายของต้นจําปีสริ นิ ธร
ที่ตําบลซับจําปา อําเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี
ในบทนีเ้ ราจะเห็นว่าลําธารไม่ได้ทาํ หน้าทีเ่ ป็นแค่ทอ่ ส่งนํา้ และ
นํ้าบาดาลก็ไม่ใช่แอ่งนํ้าที่ถูกเก็บกักอยู่ใต้ดิน แต่ลําธารคือที่อยู่
อาศัยของสิ่งมีชีวิตนานาชนิด คอยลําเลียงธาตุอาหารจากต้นนํ้า
ไปหล่อเลี้ยงปลายนํ้าให้อุดมสมบูรณ์ และช่วยพัดพาตะกอนจาก
บนบกไปสะสมตัวบนชายหาดเพือ่ บรรเทาการกัดเซาะชายฝัง่ ส่วน
นํา้ บาดาลจะทําหน้าทีค่ วบคุมความชืน้ ในดิน คุณภาพของนํา้ ​ผวิ ดิน
และความมั่นคงของแผ่นดิน
แหล่งนํ้าธรรมชาติจึงเป็น ‘ระบบ’ ที่สลับซับซ้อนและมีความ
ต่อเนื่อง หากระบบเหล่านี้ถูกดัดแปลงหรือนําไปใช้งานอย่างไม่
เหมาะสม ผลลัพธ์ที่ต ามมาคือการเสียสมดุลของระบบนิเวศ
ตั้งแต่ป่าต้นนํ้า แม่นํ้าลําธาร ชั้นนํ้าบาดาล ไปจนถึงท้องทะเล
สุดท้ายแล้วสมดุลของระบบนิเวศทีเ่ สียไปก็จะย้อนกลับมากระทบ
ต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ในอนาคต

63
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

5 มายาคต
ิ ้น
ํ าบาดาลและโครงการธนาคารน
้ํ าใต
้ ด
ิ น

มายาคติที่ 1 เราควรกักเก็บนํ้าไว้บนแผ่นดินให้มากที่สุดและ
ไม่ควรปล่อยให้นํ้าจืดไหลลงทะเลอย่างเปล่าประโยชน์
สาเหตุหนึ่งของการสร้างฝายและธนาคารนํ้าใต้ดินคือความ
เชือ่ ทีว่ า่ ไม่ควรปล่อยนํา้ จืดให้ไหลลงทะเลอย่างเปล่าประโยชน์ แต่
ความจริงแล้วนํ้าจืดที่ไหลลงทะเลมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อการ
ควบคุมปริมาณธาตุอาหารในวัฏจักรนํ้า ระดับความเค็มของนํ้า
กร่อย และผลักนํา้ เค็มไม่ให้รกุ ลํา้ เข้ามา ดังนัน้ หากนํา้ จืดถูกกัก
เก็บเอาไว้บนแผ่นดินมากเกินไป สมดุลของนํา้ จืด นํา้ กร่อย และ
นํ้าเค็มก็จะแปรปรวน

มายาคติที่ 2 การเติมนํ้าบาดาลเทียมเป็นการสํารองนํ้าที่มี
ประสิทธิภาพมากที่สุด
ชั้นนํ้าบาดาลสามารถรองรับปริมาณนํ้าได้มหาศาล แต่นํ้าที่
ถูกเติมลงสูใ่ ต้ดนิ จะถูกเจือปนด้วยของแข็ง สารละลาย แก๊ส และ
จุลินทรีย์ หากมีการสูบนํ้าบาดาลขึ้นมาอาจต้องปรับปรุงคุณภาพ​
นํ้าให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่จะใช้งานและจําเป็นต้องลงทุน
ติดตั้งระบบกรองนํ้า

มายาคติที่ 3 การเติมนํ้าบาดาลเทียมสามารถเพิ่มความชุ่มชื้น
ให้กับพืชบนดิน
การเติมนํ้าบาดาลเทียมสามารถทําให้ระดับนํ้าบาดาลยกตัว
สูงขึน้ แล้วทําให้ดนิ มีความชุม่ ชืน้ มากขึน้ แต่หากระดับนํา้ บาดาล

64
��������������������

สูงขึ้นจนเข้าท่วมรากของพืชเป็นเวลานานก็อาจทําให้รากเน่าและ
ตายลงได้

มายาคติที่ 4 บ่อเติมนํ้าบาดาลเทียมสามารถป้องกันการเกิด
นํ้าท่วม
ข้อความนี้เป็นความจริงในบางกรณี ขึ้นอยู่กับปริมาณนํ้าบน
ผิวดินที่เข้าท่วมพื้นที่ ปริมาตรและจํานวนของบ่อเติมนํ้าบาดาล
เทียม หากปริมาณนํ้ามีค่ามากกว่าความจุของบ่อรับนํ้า นํ้าก็จะ
เอ่อท่วมบนผิวดิน

มายาคติที่ 5 การเติมนํ้าบาดาลเทียมสามารถป้องกันการเกิด
แผ่นดินทรุด
แผ่นดินทรุดเป็นธรณีพิบัติภัยรูปแบบหนึ่งที่มีสาเหตุมาจาก
การสูบนํ้าบาดาลจนเกินระดับที่เหมาะสม แผ่นดินไหวที่รุนแรง
และการก่อสร้างเมืองขนาดใหญ่ การเติมนํา้ บาดาลเทียมจึงสามารถ
ชะลอการทรุดตัวของแผ่นดินได้ แต่ไม่สามารถทําให้แผ่นดินทีเ่ กิด
การทรุดตัวแล้วดันตัวเองขึ้นมาอยู่ในระดับเดิมได้

Key Takeaways

☛ หากต้องการนํานํา้ บาดาลขึน้ มาใช้งาน ควรเลือกเจาะบ่อ​


นํ้าบาดาลแบบปกติ หรือสร้างบ่อนํ้าบาดาลแบบโบราณที่ทําจาก
ปูนกับอิฐ มีขอบบ่อสูง ปากบ่อแคบ และฐานบ่อลึก เนือ่ งจากเป็น
รูปแบบทีเ่ หมาะสมสําหรับการใช้งานและมีโอกาสปนเปือ้ นน้อยกว่า

65
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

☛ กรณีมคี วามจําเป็นต้องสร้างธนาคารนํา้ ใต้ดนิ ควรตรวจ­


สอบข้อมูลทางธรณีวทิ ยา นํา้ บาดาล และสิง่ แวดล้อม ว่าวัสดุธรณี
สามารถกักเก็บนํา้ ได้มากเท่าไร การไหลของนํา้ ผิวดินเป็นอย่างไร
สุม่ เสีย่ งต่อการปนเปือ้ นสิง่ ปฏิกลู หรือสารเคมีแค่ไหน รวมทัง้ ควร
เลือกวัสดุธรรมชาติหรือวัสดุทไี่ ม่กอ่ ให้เกิดการปนเปือ้ น โดยห้าม​
นํายางรถยนต์และขวดพลาสติกมาใช้สร้างธนาคารนํ้าใต้ดินอย่าง
เด็ดขาด
☛ ภายหลังการก่อสร้างธนาคารนํ้าใต้ดิน ควรมีการบํารุง
รักษาและตรวจสอบคุณภาพนํ้าเป็นประจําทุกเดือนเพื่อเป็นการ
เฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และระบบนิเวศ
☛ หากเราเติมนํ้าบาดาลเทียมจนเกินปริมาณที่เหมาะสม
จนทําให้ระดับนํ้าบาดาลยกตัวสูงขึ้น เนื้อดินที่อิ่มตัวด้วยนํ้าจะ
ส่งผลให้รากของพืชเน่าและเกิดภาวะนํา้ บาดาลท่วม ในทางกลับกัน
หากมีการขุดสระกักเก็บนํา้ ทีล่ กึ กว่าระดับนํา้ บาดาล นํา้ บาดาลจะ
ไหลลงไปที่พื้นของสระกักเก็บนํ้าส่งผลให้ระดับนํ้าบาดาลตํ่ากว่า
ที่ควรจะเป็น ผลกระทบที่ตามมาคือรากของพืชบนดินขาดความ
ชุ่มชื้นและเหี่ยวเฉา

66
บทที่ 3

ระบบนิ เวศทางทะเล
เร
ื่ อง: ดร.เพชร มโนปว
ิ ตร
��������������������

โครงการปล
ู กปะการ
ั ง

ระบบนิ เ วศปะการั ง เป็ น เสมื อ นป่ า เขตร้ อ นในมหาสมุ ท ร


เนื่องจากปะการังมีโครงสร้างสามมิติที่สลับซับซ้อนซึ่งสร้างพื้นที่
หลบซ่อนอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตมากมาย ปะการังจึงเป็นแหล่ง
ขยายพันธุ์สัตว์นํ้าที่สําคัญอย่างยิ่งและเป็นแหล่งรวบรวมความ
หลากหลายทางชีวภาพทีส่ าํ คัญทีส่ ดุ ในทะเล แม้วา่ ขนาดของพืน้ ที่
แนวปะการังนับว่าเล็กมากเมื่อเทียบกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
ปะการังกลับเป็นบ้านของสิง่ มีชวี ติ ถึง 1 ใน 4 ของสิง่ มีชวี ติ ทัง้ หมด
ที่พบในมหาสมุทร
ระบบนิเวศปะการังยังทําหน้าที่เป็นปราการใต้ท้องทะเล งาน
วิจัยพบว่าแนวปะการังช่วยชะลอคลื่นและสลายพลังงานของคลื่น
ทีซ่ ดั ถาโถมเข้าสูช่ ายฝัง่ ได้สงู สุดถึง 97% หากพืน้ ทีใ่ ดเผชิญปัญหา
แนวปะการังเสื่อมโทรมก็จะพบอัตราการกัดเซาะชายฝั่งรุนแรงที่
เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสําคัญ หลายประเทศจึงพยายามแก้ปัญหาการ
กัดเซาะชายฝั่งด้วยโครงสร้างทางวิศวกรรม เช่น กําแพงกั้นคลื่น
แต่โครงสร้างดังกล่าวก็นาํ ไปสูป่ ญ ั หาใหม่กลายเป็นวงจรของปัญหา
ที่เรื้อรังไม่สิ้นสุด
สําหรับประเทศไทย เราเป็นประเทศที่ได้รับประโยชน์ทาง
เศรษฐกิจมูลค่าสูงที่สุดติดอันดับต้นๆ ของโลก โดยมีรายได้จาก
การท่องเทีย่ วชมปะการังราวปีละกว่า 8 หมืน่ ล้านบาท แนวปะการัง
จึงมีบทบาทสําคัญทัง้ ในเชิงนิเวศวิทยา และช่วยสร้างประโยชน์ตอ่
มนุษย์ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงอีกหนึ่งบทบาทที่หลาย
คนอาจไม่ทราบคือแหล่งดูดซับคาร์บอนในมหาสมุทรอีกด้วย

69
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ในบทนี้ ผู้เขียนจะอธิบายถึงสาเหตุของความเสื่อมโทรมของ
ปะการัง แนวทางในการฟืน้ ฟู รวมถึงกรณีศกึ ษาการฟืน้ ฟูปะการัง
ที่เกาะไม้ท่อน จังหวัดภูเก็ต ซึ่งประสบความสําเร็จอย่างสูง

แนวทางการฟ ื้ นฟ
ู ระบบน
ิ เวศปะการ
ั ง
แนวปะการังจํานวนมากในปัจจุบนั เสือ่ มโทรมลงเนือ่ งจากหลาย
สาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมมนุษย์โดยเฉพาะการพัฒนาบริเวณ
ชายฝัง่ การปล่อยมลภาวะทัง้ นํา้ เสียและขยะลงสูท่ ะเล การประมง
เกินขนาด การท่องเที่ยวอย่างไม่รับผิดชอบ ไปจนถึงการเปลี่ยน​
แปลงสภาพภูมอิ ากาศทีท่ าํ ให้เกิดคลืน่ ความร้อนในทะเลบ่อยครัง้ และ
รุนแรงมากขึน้ ปัจจัยเหล่านีท้ าํ ให้เกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาว
ครัง้ ใหญ่ ส่งผลให้ปะการังตายลงเป็นบริเวณกว้างในระยะเวลาไม่นาน
ความเสือ่ มโทรมของแนวปะการังนําไปสูค่ วามพยายามคิดค้น
หาแนวทางฟื้นฟูที่เหมาะสม อาทิ การลดปัจจัยคุกคาม การจัด
ตั้งพื้นที่คุ้มครองทางทะเล และการปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อม
แนวทางเหล่านี้นับเป็นตัวเลือกที่ดีและมีความยั่งยืนที่สุด เพราะ
เปิดโอกาสให้ระบบนิเวศปะการังฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติ
ขณะที่บางโครงการเน้นเรื่องการเพิ่มพื้นที่ในการลงเกาะของ
ตัวอ่อนปะการัง การย้ายปลูกปะการัง การทําแปลงเพาะจากเศษ
ปะการัง การสร้างปะการังเทียม และการขยายพันธุ์แบบอาศัย
เพศ แต่ละทางเลือกข้างต้นมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันไป
ทัว่ โลกมีการศึกษาวิจยั แนวทางการฟืน้ ฟูปะการังมาอย่างยาวนาน
สิ่งที่ตกผลึกได้จากผลการศึกษาคือการฟื้นฟูแนวปะการังเป็น​
กระบวนการทีซ่ บั ซ้อนและต้องพิจารณาหลายปัจจัยเพือ่ ให้ได้แผน

70
��������������������

ฟืน้ ฟูปะการังทีเ่ หมาะสมกับสภาพแวดล้อมของแต่ละพืน้ ทีแ่ ละเกิด


ผลสําเร็จอย่างแท้จริง
ผู้เขียนขอสรุปแนวทางการเลือกวิธีการฟื้นฟูแนวปะการังที่
เหมาะสมโดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งแบ่งเป็น 4
ขั้นตอนดังนี้

ขัน้ ที่ 1 ประเมินสถานการณ์เพือ่ หาสาเหตุของความเสือ่ มโทรม


การทีร่ ะบบนิเวศปะการังในพืน้ ทีใ่ ดพืน้ ทีห่ นึง่ เสือ่ มโทรมลงคือ
สัญญาณบ่งบอกว่าสภาพแวดล้อมในบริเวณดังกล่าวไม่เอือ้ ต่อการ
เจริญเติบโตของปะการัง ดังนั้นการฟื้นฟูแนวปะการังขั้นแรกคือ
การค้นหาสาเหตุที่ทําให้ระบบนิเวศเสื่อมโทรมเพื่อให้สามารถแก้
ปัญหาที่ต้นเหตุ
เราสามารถประเมินสถานการณ์โดยพิจารณาลักษณะของ
ความเสือ่ มโทรม เช่น ร่องรอยของความเสียหายทีเ่ กิดจากมนุษย์
การปนเปือ้ นของขยะพลาสติก หรือการเติบโตของสาหร่ายทีเ่ ป็น
ข้อบ่งชีว้ า่ มีสารอาหารในนํา้ ทีม่ ากเกินไปจากการปนเปือ้ นของสาร
เคมีบางชนิด เมื่อเราพบต้นตอของปัญหาก็จะสามารถออกแบบ
วิธแี ก้ไขปัญหาทีส่ อดคล้องกัน เช่น ปรับเปลีย่ นเส้นทางนํา้ ทิง้ จาก
แผ่นดิน ติดตัง้ ระบบบําบัดนํา้ เสียก่อนปล่อยลงสูท่ ะเล การควบคุม
การจับสัตว์นํ้า หรือลดผลกระทบจากการท่องเที่ยว
การระบุ ปั ญ ญาเพื่ อ ออกแบบวิ ธี แ ก้ ไ ขที่ ต้ น เหตุ นั บ เป็ น​
กระบวนการ​ที่สําคัญอย่างยิ่งสําหรับฟื้นฟูแนวปะการัง อย่างไร
ก็ตาม กระบวนการนีม้ กั จะถูกมองข้ามทําให้ความพยายามในการ
ฟื้นฟูระบบนิเวศปะการังไม่ประสบความสําเร็จเท่าที่คาดหวัง

71
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ขั้นที่ 2 ศึกษาตัวอ่อนปะการังในมวลนํ้า
การศึกษาตัวอ่อนปะการังในมวลนํ้าจําเป็นต่อการตัดสินใจ
เลือกวิธกี ารฟืน้ ฟูแนวปะการัง ในกรณีทเี่ รายังพบตัวอ่อนปะการัง
ในมวลนํ้า แสดงว่าพื้นที่ดังกล่าวยังมีศักยภาพที่จะฟื้นฟูตัวเอง
ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพหากมีการจัดการอย่างถูกต้อง
และมีการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม
ตัวอ่อนของปะการังเกิดจากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ เมื่อ
ปะการังโตเต็มที่ก็จะปล่อยไข่และสเปิร์มออกมาผสมกันในนํ้า
กลายเป็นตัวอ่อนที่ล่องลอยไปตามกระแสนํ้าจนกระทั่งลงเกาะใน
พื้นแข็งที่เหมาะสม อาทิ ก้อนหินในธรรมชาติหรือซากปะการัง

มาตรการค
ุ้ มครองแนวปะการ
ั ง

การคุ้มครองแนวปะการังในรูปแบบพื้นที่อนุรักษ์เป็น
หนึ่งในมาตรการที่สามารถช่วยฟื้นฟูปะการังครอบคลุม
บริเวณกว้าง ภายหลังจากรัฐกําหนดให้พื้นที่ทางธรรมชาติ
เป็นพื้นที่อนุรักษ์ สําหรับประเทศไทยก็เช่น การประกาศ
เป็นเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเล หรือพื้นที่คุ้มครองทาง
ทะเล รัฐก็จะกําหนดมาตรการควบคุมการใช้ประโยชน์ ทัง้
ในรูปแบบของการกําหนดพื้นที่สงวนอนุรักษ์และพื้นที่ใช้
ประโยชน์ในระดับต่างๆ รวมถึงการตรวจตราป้องกันการทํา
กิจกรรมทีส่ ง่ ผลกระทบต่อแนวปะการัง มาตรการคุม้ ครอง
เหล่านีจ้ ะช่วยให้กระบวนการทางธรรมชาติดาํ เนินไปได้โดย

72
��������������������

เดิม ก่อนจะเจริญเติบโตและพัฒนาตัวเองเป็นปะการังที่มีรูปทรง
แตกต่างกันขึน้ อยูก่ บั ชนิดของปะการัง การสืบพันธุแ์ บบอาศัยเพศ
เป็นกระบวนการสําคัญทีช่ ว่ ยเพิม่ ความหลากหลายทางพันธุกรรม
ตามธรรมชาติ
นีค่ อื สาเหตุทปี่ ลากินพืช เช่น กลุม่ ปลานกแก้วมีความสําคัญ
อย่างยิ่งต่อการฟื้นฟูปะการังตามธรรมชาติ เนื่องจากปลากลุ่มนี้
จะคอยกําจัดสาหร่ายซึ่งจะขึ้นปกคลุมพื้นผิวแข็งของปะการังที่
ตายลง เปรียบเสมือนการเตรียมพืน้ ทีใ่ ห้เหมาะสมต่อการยึดเกาะ
และเติบโตของตัวอ่อนของปะการัง

ไม่มีมนุษย์รบกวน
แนวปะการังหลายแห่งในประเทศไทยแม้ว่าจะมีสภาพ
เสือ่ มโทรมลงแต่ยงั คงมีศกั ยภาพทีจ่ ะฟืน้ ฟูตวั เองในระดับสูง
เนือ่ งจากกระบวนการสืบพันธุแ์ บบอาศัยเพศของปะการังยัง
คงเกิดขึน้ ตามธรรมชาติและยังพบตัวอ่อนปะการังในมวลนํา้
แต่กระบวนการฟื้นตัวตามธรรมชาติจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ
สภาพพื้นทะเลมั่นคง สภาพแวดล้อมเหมาะสม และไม่ถูก
รบกวนโดยมนุษย์ ตัวอย่างแนวปะการังที่ฟื้นตัวตามธรรม­
ชาติจากมาตรการคุม้ ครอง เช่น แนวปะการังในเขตอุทยาน
แห่งชาติหมูเ่ กาะสิมลิ นั และอุทยานแห่งชาติหมูเ่ กาะสุรนิ ทร์
จังหวัดพังงา, อุทยานแห่งชาติสิรินาถ จังหวัดภูเก็ต และ
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะชุมพร จังหวัดชุมพร เป็นต้น

73
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ขั้นที่ 3 เลือกแนวทางการฟื้นฟู
หากเราพบว่ายังมีตวั อ่อนปะการังในมวลนํา้ ทางเลือกทีด่ ที สี่ ดุ
คือการปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นฟูตัวเอง ส่วนในกรณีที่สภาพของ
พืน้ ทะเลไม่มพี นื้ ผิวทีเ่ หมาะสมต่อการยึดเกาะของตัวอ่อนปะการัง
มนุษย์สามารถช่วยเหลือกระบวนการฟื้นฟูตามธรรมชาติได้ด้วย
การสร้างพืน้ ผิวทีม่ นั่ คงสําหรับการยึดเกาะ เช่น การใช้แท่งคอน­
กรีต หรือโครงปะการังเทียม
สํ า หรั บ กรณี ที่ เ ราศึ ก ษาจนมั่ น ใจว่ า ไม่ มี ตั ว อ่ อ นในมวลนํ้ า
บริเวณพื้นที่ที่เราต้องการฟื้นฟูแนวปะการัง เราจึงค่อยพิจารณา
เลือกวิธีฟื้นฟูระบบนิเวศด้วยการย้ายปลูกปะการัง
หนึง่ ในวิธยี อดนิยมในการย้ายปลูกปะการังคือการนําปะการัง
ที่อยู่ในสภาพดีทั้งโคโลนีมาตัดแบ่งแล้วแยกนําไปปลูกในพื้นที่ที่
ต้องการฟืน้ ฟู อย่างไรก็ตาม วิธนี มี้ ขี อ้ เสียหลายประการ เช่น กิง่
ปะการังขนาดเล็กจะมีอัตราการรอดตํ่า อีกทั้งการตัดแบ่งกิ่งก้าน
ปะการังเพื่อขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศซึ่งจะทําให้ระบบนิเวศ
ปลายทางมีความหลากหลายทางพันธุกรรมตํา่ เพิม่ ความเสีย่ งต่อ
การตายพร้อมกันเมื่อเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม
อี ก หนึ่ ง วิ ธี ที่ จ ะช่ ว ยแก้ ปั ญ หาเรื่ อ งความหลากหลายทาง
พันธุกรรมคือการหักกิ่งก้านปะการังมาจากหลายโคโลนีในแหล่ง
ปะการังผู้ให้แล้วนํามาปลูกในพื้นที่ฟื้นฟู แต่วิธีการนี้ย่อมส่งผล­
กระทบต่อแหล่งปะการังผู้ให้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะปะการัง
ทีเ่ สียหายต้องใช้พลังงานในการซ่อมแซมส่วนทีส่ กึ หรอ เพิม่ ความ
เสี่ยงต่อการเกิดโรค อีกทั้งยังลดโอกาสในการสืบพันธุ์ตามธรรม­
ชาติของปะการังที่ถูกหักกิ่งก้านอีกด้วย

74
��������������������

การหั กก
่ิ งปะการ ั งมาปล
ู กควรเป ็ น
ทางเล
ื อกส ุ ดท
้ ายในการฟ ื้ นฟ
ู ปะการั ง

การฟืน้ ฟูปะการังด้วยการย้ายปลูกทีต่ อ้ งหักกิง่ ปะการัง


จากโคโลนีหนึ่งหรือหลายโคโลนีเปรียบเสมือนการโคลน
ปะการังด้วยฝีมือมนุษย์ เพราะปะการังจากโคโลนีเดียวกัน
จะมีพนั ธุกรรมเหมือนกัน เมือ่ เกิดเหตุการณ์การแปรปรวน
ทางธรรมชาติ เช่น ปรากฏการณ์ฟอกขาว ปะการังที่มา
จากโคโลนีเดียวกันอาจตายทัง้ หมดเนือ่ งจากไม่มคี วามหลาก
หลายทางพันธุกรรมที่มากพอ โครงการฟื้นฟูแนวปะการัง
เช่นนี้จึงเป็นการใช้งบประมาณ แรงงาน และความทุ่มเท
ของผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนอย่างเปล่าประโยชน์
การฟืน้ ฟูแนวปะการังจึงควรให้ความสําคัญกับการสร้าง
ความหลากหลายทางชีวภาพ ทัง้ ในแง่ความหลากหลายของ
ชนิดปะการังและความหลากหลายของพันธุกรรมปะการัง
แต่ละชนิด ดังนัน้ การย้ายปลูกปะการังด้วยการปลูกกิง่ ก้าน
จึงควรเป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะใช้ในการฟื้นฟูแนวปะการัง
ภายหลั ง การศึ ก ษาอย่ า งถี่ ถ้ ว นแล้ ว ว่ า ไม่ พ บตั ว อ่ อ นของ
ปะการังอยู่ในมวลนํ้า

นอกจากการตัดแบ่งแล้ว บางโครงการใช้วิธีฟื้นฟูระบบนิเวศ
ปะการังด้วยการย้ายปะการังสภาพดีมาทั้งโคโลนี หรือการย้าย
ปะการังโตเต็มวัยที่พร้อมปล่อยเซลล์สืบพันธุ์มาไว้ในบริเวณที่

75
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ต้องการฟื้นฟู หากเลือกใช้วิธีการนี้ต้องดําเนินการด้วยความ
ระมัดระวังอย่างยิ่งโดยไม่ให้เกิดผลเสียหรือผลกระทบต่อแนว
ปะการังต้นทาง
ทางเลือกที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุดแต่ใช้เวลา
นานคือการสร้างแปลงอนุบาลปะการัง โดยการนํากิ่งปะการังที่
แตกหักตามธรรมชาติมายึดติดบนพืน้ แข็ง แล้วรอให้กงิ่ ก้านเหล่า
นั้นเติบโตขึ้นเป็นโคโลนีที่สมบูรณ์ ก่อนจะนําไปฟื้นฟูยังบริเวณที่
ต้องการ อีกทางเลือกหนึง่ คือเพาะพันธุป์ ะการังในห้องปฏิบตั กิ าร
โดยเลี้ยงจนได้ตัวอ่อนปะการังแล้วปล่อยลงในมวลนํ้า หรืออาจ
เลี้ยงจนเติบโตถึงระดับที่ปะการังลงเกาะเป็นโคโลนีแล้วจึงนําไป
ฟื้นฟูแนวปะการังก็ได้เช่นกัน

ขั้นที่ 4 ดําเนินการและติดตามตรวจสอบ
การตรวจสอบผลการดําเนินการคือหัวใจสําคัญของกระบวน­
การฟืน้ ฟูแนวปะการัง ผูด้ าํ เนินโครงการจึงควรจัดสรรงบประมาณ
ในสัดส่วนทีเ่ หมาะสมตัง้ แต่เริม่ ดําเนินโครงการ รวมถึงสร้างความ
ร่วมมือในระยะยาวกับคณะนักวิจยั หรือสถาบันการศึกษาในฐานะ
ผูร้ บั ผิดชอบในการติดตามผลเพือ่ ทบทวนว่าวิธที เี่ ลือกใช้เหมาะกับ
สภาพแวดล้อมหรือไม่ และประสบความสําเร็จในระดับใด
สําหรับตัวชีว้ ดั ความสําเร็จของการฟืน้ ฟูแนวปะการัง นอกจาก
ต้องพิจารณาอัตราการอยูร่ อดและลงเกาะของปะการังแล้ว ยังควร
คํานึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางพันธุ­
กรรม และความสามารถในการแพร่ขยายพันธุต์ ามธรรมชาติเพือ่
ให้มั่นใจว่าระบบนิเวศที่ฟื้นฟูกลับมาจะสามารถดํารงอยู่ได้อย่าง

76
��������������������

ยั่งยืน ส่วนในกรณีที่การฟื้นฟูแนวปะการังไม่ประสบความสําเร็จ
เราก็ต้องย้อนกลับไปขั้นตอนแรกแล้วเริ่มแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ
ก่อนที่จะพิจารณาทางเลือกอื่นในการฟื้นฟูระบบนิเวศปะการัง

กรณ
ี ศ
ึ กษา:
การฟื้ นฟ
ู ปะการ
ั งเกาะไม
้ ่ทอน ัจงหว
ั ดภ
ู เก
็ ต
ย้อนกลับไปเมือ่ พ.ศ. 2529 แนวปะการังเขากวางจํานวนมาก
ที่เกาะไม้ท่อน จังหวัดภูเก็ตถูกพายุพัดทําลาย แม้ระบบนิเวศ
ดังกล่าวจะไม่ถูกรบกวน แต่กระบวนการฟื้นตัวตามธรรมชาติ
ถือว่าช้าอย่างมากทั้งที่พบตัวอ่อนปะการังหลายชนิดในมวลนํ้า
นําไปสู่ความพยายามฟื้นฟูแนวปะการังโดยใช้แท่งคอนกรีตที่มี
รูปทรงและความสลับซับซ้อนแตกต่างกันออกไปเพื่อศึกษาว่า
แท่งคอนกรีตรูปแบบใดเหมาะสมที่สุดในการลงเกาะของตัวอ่อน
ปะการัง รวมทัง้ ทดลองฟืน้ ฟูพนื้ ทีด่ ว้ ยวิธยี า้ ยปลูกปะการังเขากวาง
จากแนวปะการังบริเวณอื่น
ผลการศึกษาพบการวางแท่งคอนกรีตเพื่อเพิ่มพื้นที่ยึดเกาะ
ประสบความสําเร็จเป็นอย่างดี ปะการังมีการลงเกาะและเจริญ
เติบโตจนขึ้นคลุมพื้นผิวของแท่งคอนกรีตทั้งหมดภายในเวลา
ประมาณ 15 ปี ขณะที่การย้ายปลูกปะการังเขากวางไม่ประสบ
ความสําเร็จเท่าที่ควรเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่มีคลื่นลมรุนแรง
ดร.นลินี ทองแถม ผู้รับผิดชอบโครงการฟื้นฟูแนวปะการัง
สรุปผลการศึกษาทีเ่ กาะไม้ทอ่ นว่าหัวใจสําคัญของการฟืน้ ฟูปะการัง
คือสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและความสอดคล้องระหว่างวิธีการ
ฟื้นฟูและลักษณะพื้นที่ หากตอบโจทย์สองข้อนี้ก็จะมีโอกาสที่

77
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

โครงการจะประสบความสําเร็จสูง ดังนัน้ การฟืน้ ฟูแนวปะการังไม่ใช่


เรื่องยากหรือต้องใช้ทุนมากอย่างที่หลายคนเข้าใจ หากมีตัวอ่อน
ปะการังในธรรมชาติและสภาพแวดล้อมเหมาะสม วัสดุราคา
ประหยัดอย่างอิฐบล็อกก็สามารถเป็นบ้านหลังใหม่ของปะการังได้
เช่นกัน

Key Takeaways

☛ แนวปะการังหลายแห่งในประเทศไทยมีศักยภาพที่จะ
ฟื้นฟูตัวเองในระดับสูง แต่กระบวนการฟื้นตัวตามธรรมชาติจะ
เกิดขึน้ ได้กต็ อ่ เมือ่ สภาพพืน้ ทะเลมัน่ คง สภาพแวดล้อมเหมาะสม
และไม่ถูกรบกวนโดยมนุษย์
☛ หากเราพบว่ายังมีตวั อ่อนปะการังในมวลนํา้ ทางเลือกทีด่ ี
ที่สุดคือการปล่อยให้ธรรมชาติฟื้นฟูตนเอง ในกรณีพื้นทะเลไม่มี
พืน้ ผิวทีเ่ หมาะสมต่อการยึดเกาะของตัวอ่อนปะการัง เราสามารถ
ช่วยเพิม่ พืน้ ผิวสําหรับการยึดเกาะ เช่น การใช้แท่งคอนกรีต หรือ
โครงปะการังเทียม
☛ การฟื้นฟูปะการังด้วยการย้ายปลูกที่ต้องหักกิ่งปะการัง
จากโคโลนีหนึ่งหรือหลายโคโลนีเปรียบเสมือนการโคลนปะการัง
เมื่อได้รับผลกระทบจากมลภาวะหรือภัยธรรมชาติ ปะการังที่มา
จากโคโลนีเดียวกันอาจตายทัง้ หมดเนือ่ งจากไม่มคี วามหลากหลาย
ทางพันธุกรรมที่มากพอ
☛ ตัวชี้วัดความสําเร็จของการฟื้นฟูแนวปะการัง นอกจาก
ต้องพิจารณาอัตราการอยูร่ อดและลงเกาะของปะการังแล้ว ยังควร

78
��������������������

คํานึงถึงความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางพันธุ­
กรรม และความสามารถในการแพร่ขยายพันธุต์ ามธรรมชาติเพือ่ ให้
มัน่ ใจว่าระบบนิเวศทีฟ่ นื้ ฟูกลับมาจะสามารถดํารงอยูไ่ ด้อย่างยัง่ ยืน

โครงการปล
ู กหญ
้ าทะเล

หญ้ า ทะเลเป็ น ระบบนิ เ วศที่ มี ค วามสํ า คั ญ อย่ า งยิ่ ง ในการ


อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลเพราะเป็นทั้งแหล่ง
อนุบาลสัตว์นาํ้ วัยอ่อน รวมถึงแหล่งอาศัยและหากินของสัตว์ทะเล
หายากหลายชนิดโดยเฉพาะพะยูนและเต่าทะเล ความอุดมสมบูรณ์
ของระบบนิเวศหญ้าทะเลยังทําให้พนื้ ทีด่ งั กล่าวเป็นแหล่งอาหารที่
สําคัญของชุมชนชายฝัง่ จนได้รบั การขนานนามว่า ‘ซูเปอร์มาร์เก็ต
ริมทะเล’
อีกหนึง่ ในบทบาทสําคัญของหญ้าทะเลคือดักตะกอนและช่วย
ลดความแรงของคลืน่ ระบบนิเวศแห่งนีจ้ งึ ช่วยป้องกันการพังทลาย
ของหน้าดินและลดปัญหาการกัดเซาะชายฝัง่ หญ้าทะเลยังทําหน้าที่
หมุนเวียนแร่ธาตุให้กับระบบนิเวศใกล้เคียงอย่างป่าชายเลนและ
แนวปะการัง ความเชือ่ มโยงของระบบนิเวศทัง้ สามเป็นปัจจัยสําคัญ
ที่ทําให้ทะเลเขตร้อนมีความหลากหลายทางชีวภาพที่โดดเด่น
นอกจากนี้ หญ้าทะเลยังเป็นระบบนิเวศที่สําคัญอย่างยิ่งใน
การช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศ เนื่องจาก
หญ้าทะเลเป็นพืชโตเร็วและสามารถกักเก็บคาร์บอนไว้ในตะกอนดิน
ได้ยาวนานนับพันปี ต่างจากพืชบนบกทีม่ อี ายุการดูดซับคาร์บอน
ได้สงู สุดราว 50 ปีเท่านัน้ จึงเป็นทีม่ าของชือ่ เรียกคาร์บอนทีก่ กั เก็บ

79
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ไว้ในระบบนิเวศทางทะเลอย่างหญ้าทะเลและป่าชายเลนว่าคาร์บอน
สีนํ้าเงิน (Blue Carbon)
แหล่งหญ้าทะเลทั่วโลกช่วยกักเก็บคาร์บอนได้ราว 4.2–8.4
พันล้านตัน บางรายงานระบุวา่ อาจสูงถึง 2 หมืน่ ล้านตันหากรวม
ดินตะกอนในแนวหญ้าทะเลทัง้ หมด แม้วา่ หญ้าทะเลจะครอบคลุม
พืน้ ทีเ่ พียง 0.1% ของมหาสมุทรแต่กลับช่วยดูดซับคาร์บอนได้มาก
ถึงปีละ 27–44 ล้านตัน คิดเป็นราว 15 เปอร์เซ็นต์ของคาร์บอน
ที่กักเก็บในมหาสมุทร จึงไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันหลายภาคส่วน
ต่างหันมาให้ความสําคัญกับการอนุรักษ์และฟื้นฟูหญ้าทะเลอย่าง
ล้นหลาม
ในประเทศไทยพบหญ้าทะเลได้ทั้งหมด 13 ชนิด โครงสร้าง
ทางกายภาพของหญ้าทะเลคล้ายกับหญ้าบนบกคือมีส่วนของราก
เหง้า และใบ โดยเราจะพบหญ้าทะเลได้ในพืน้ ทีช่ ายฝัง่ ทีเ่ ป็นทราย
ปนเลน ปัจจุบนั ระบบนิเวศหญ้าทะเลในประเทศไทยยังถือว่าค่อน
ข้างอุดมสมบูรณ์ โดยแหล่งหญ้าทะเลผืนใหญ่ทสี่ ดุ อยูท่ จี่ งั หวัดตรัง
ในบทนี้ ผู้เขียนจะอธิบายถึงภัยคุกคามต่อแหล่งหญ้าทะเล
แนวทางในการฟื้นฟูหญ้าทะเลที่เหมาะสม รวมถึงหยิบยกกรณี
ศึกษาที่การฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลประสบความสําเร็จ

แนวทางการฟ ื้ นฟ
ู ระบบน
ิ เวศหญ
้ าทะเล
ภัยคุกคามหลักที่ทําให้พื้นที่หญ้าทะเลเสื่อมโทรมลงคือการ
พัฒนาชายฝัง่ เช่น การก่อสร้างท่าเทียบเรือ สะพาน หรือการขุด
ลอกร่องนํ้าและปากแม่นํ้า กิจกรรมเหล่านี้ทําให้เกิดตะกอนไหล
ลงไปทับแนวหญ้าทะเลจนเสียหาย อีกหนึ่งภัยคุกคามสําคัญคือ

80
��������������������

การทําประมงที่ใช้เครื่องมือประมงแบบทําลายล้าง เช่น อวนรุน


อวนลาก หรือการติดตั้งเครื่องมือประมงขนาดใหญ่ในแนวหญ้า
ทะเล เช่น โป๊ะ และโพงพาง รวมไปถึงการทิ้งสมอเรือและการ
ปนเปื้อนของนํ้าเสีย ขยะ คราบนํ้ามัน รวมทั้งมลภาวะต่างๆ ก็
กระทบต่อสภาพแวดล้อมในแนวหญ้าทะเลเช่นกัน
เมือ่ ระบบนิเวศหญ้าทะเลเสือ่ มโทรมลงหรือถูกทําลายจนหมด
ไปก็หมายความว่าแหล่งอาหารของชาวบ้านรวมทั้งความหลาก
หลายทางชีวภาพและสัตว์ทะเลหายากก็ย่อมสูญหายอย่างหลีก
เลี่ยงไม่ได้
ทีผ่ า่ นมา หลายหน่วยงานในประเทศไทยมีความพยายามฟืน้ ฟู
แหล่งหญ้าทะเลที่เสื่อมโทรม โดยจัดกิจกรรมย้ายปลูกหญ้าทะเล
เพือ่ ฟืน้ ฟูระบบนิเวศหรือสร้างแหล่งหญ้าทะเลในพืน้ ทีใ่ หม่ อย่างไร
ก็ตามการดําเนินกิจกรรมดังกล่าวเผชิญอุปสรรคหลายด้าน โดย
เฉพาะปัญหาการขาดองค์ความรู้เรื่องนิเวศวิทยาของหญ้าทะเล
การจัดการระบบนิเวศ รวมถึงความเข้าใจเรือ่ งปัจจัยทีส่ ง่ ผลต่อการ
เจริญเติบโตของหญ้าทะเล
ผู้ เ ขี ย นสรุ ป แนวทางการจั ด การและการฟื้ น ฟู ห ญ้ า ทะเลที่
เหมาะสมตามคําแนะนําโดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
ซึ่งแบ่งเป็น 4 แนวทางดังนี้

แนวทางที่ 1 การจัดการปัจจัยคุกคาม
หญ้าทะเลเป็นระบบนิเวศที่เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลโดยจะ
ผันแปรตามความผันผวนของกระแสนํ้าหรือตะกอน เราจึงต้อง
ตรวจหาสาเหตุความเสื่อมโทรมว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของ

81
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

แหล่ ง หญ้ า ทะเลมี ส าเหตุ จ ากสภาพแวดล้ อ มที่ เ ปลี่ ย นไปหรื อ


กิจกรรมมนุษย์
ระบบนิเวศหญ้าทะเลอาจได้รับผลกระทบจากกิจกรรมการ
พัฒนาพืน้ ทีร่ มิ ชายฝัง่ การทําประมงแบบทําลายล้าง หรือมลภาวะ
จากชุมชนริมทะเล การวิเคราะห์หาสาเหตุทถี่ กู ต้องย่อมทําให้เรา
แก้ปัญหาได้ตรงจุด เมื่อสามารถป้องกันหรือลดผลกระทบจาก
ปัจจัยคุกคามต่างๆ ได้แล้ว แหล่งหญ้าทะเลจะสามารถฟืน้ ฟูตวั เอง
ได้และกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้งตามธรรมชาติ วิธีนี้นับเป็นวิธี
ฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลที่ยั่งยืนที่สุด
การประเมินปัจจัยคุกคามควรดําเนินการโดยคนในชุมชนท้องถิน่

การก
ํ าหนดเขตเพื่ อบร
ิ หารจั ดการ
ระบบนิ เวศหญ
้ าทะเลอย ่ างย่ั งย
ื น

ประเภทที่ 1 เขตสงวนเข้มข้น เหมาะสําหรับแหล่ง


หญ้าทะเลขนาดใหญ่ มีความอุดมสมบูรณ์สูง มีความเสี่ยง
ตํ่าที่จะเผชิญผลกระทบจากการพัฒนาริมชายฝั่ง และมี
คุณค่าทางนิเวศและความหลากหลายของชนิดพันธุ์ บริเวณ
ดังกล่าวควรงดกิจกรรมการใช้ประโยชน์ทุกประเภทเพื่อ
รักษาสมดุลของระบบนิเวศ และเป็นแหล่งอนุบาลตัวอ่อน
และแหล่งขยายพันธุ์ของสัตว์ทะเลซึ่งจะช่วยสร้างความ
อุดมสมบูรณ์และเป็นประโยชน์ต่อการประมงชายฝั่งใน
บริเวณข้างเคียงอีกด้วย

82
��������������������

และนักวิชาการเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับปัญหาและ
สาเหตุที่ทําให้ระบบนิเวศหญ้าทะเลเสื่อมโทรมลง เมื่อมีความ
เข้าใจทีต่ รงกันจึงเริม่ แก้ปญ
ั หาหรือลดผลกระทบทีต่ น้ เหตุ ไม่เช่น
นั้นโครงการฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลก็ยากที่จะประสบความสําเร็จ

แนวทางที่ 2 การบริหารจัดการเชิงพื้นที่
การบริหารจัดการเชิงพื้นที่คือการกําหนดเขตกิจกรรมต่างๆ
ตามความเหมาะสม หากบริเวณแหล่งหญ้าทะเลมีสตั ว์หายากเข้า
ใช้ประโยชน์จาํ นวนมากก็ควรกําหนดพืน้ ทีด่ งั กล่าวให้เป็นเขตสงวน
เข้มข้น พร้อมทัง้ ห้ามดําเนินกิจกรรมทีอ่ าจส่งผลกระทบต่อระบบ

ประเภทที่ 2 เขตอนุรักษ์ เหมาะสําหรับแหล่งหญ้า


ทะเลที่มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลาง หรือเป็นระบบนิเวศ
ที่มีแนวโน้มเสื่อมโทรมลงแต่สามารถฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพ
เดิมได้ ในพืน้ ทีน่ จี้ ะอนุญาตให้ทาํ กิจกรรมบางประเภท เช่น
การท่องเที่ยว หรือการประมงพื้นบ้านที่ไม่ก่อให้เกิดผล­
กระทบต่อระบบนิเวศหญ้าทะเล เป็นต้น
ประเภทที่ 3 เขตใช้ประโยชน์ เหมาะสําหรับแหล่ง
หญ้าทะเลที่มีความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างตํ่า ถือเป็นพื้นที่
ซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้ เช่น จับสัตว์นํ้าได้หรือใช้เป็น
เส้นทางสัญจรเดินเรือ โดยอาจมีการกําหนดพื้นที่บางส่วน​
สําหรับฟ​ นื้ ฟูแหล่งหญ้าทะเลเพือ่ เปิดโอกาสให้ชมุ ชนได้รว่ ม
ทํากิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย

83
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

นิเวศ อาทิ การเดินเรือ หรือการจับสัตว์นา้ํ ทัง้ นี้ ภาครัฐและชุมชน


ควรมีการกําหนดเขตจอดเรือ เส้นทางเดินเรือ และกําหนดชนิด
เครื่องมือประมงเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทําอันตรายต่อสัตว์ทะเล
หายาก ส่วนพืน้ ทีช่ ายฝัง่ ก็ควรมีการจัดการนํา้ เสีย นํา้ ทิง้ และขยะ
ในระดับชุมชนให้มีประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการให้ความรู้แก่
ชุมชนในพื้นที่และสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการอนุรักษ์
แหล่งหญ้าทะเล
การกําหนดกติการ่วมกับชุมชนนับเป็นพื้นฐานสําคัญในการ
ทํางานฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทุกประเภท โดยรัฐอาจเลือกใช้
ช่องทางของกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิง่ แวด­
ล้อมเพือ่ กําหนดเขตการอนุรกั ษ์และการใช้ประโยชน์ หรือกฎหมาย
ว่าด้วยการประมงในการรักษาพืชพันธุ์และสัตว์นํ้า รวมถึงมาตร­
การการอนุรกั ษ์เชิงพืน้ ทีอ่ ย่างมีประสิทธิภาพอืน่ ๆ เพือ่ ปกป้องและ
รักษาแหล่งหญ้าทะเลซึ่งเป็นทรัพยากรสําคัญของประเทศ

แนวทางที่ 3 การปลูกหญ้าทะเล
ระบบนิเวศหญ้าทะเลที่ถูกรบกวนส่วนใหญ่จะสามารถฟื้นตัว
ได้เองตามธรรมชาติ เว้นแต่กรณีที่ได้รับผลกระทบรุนแรง เช่น
ตะกอนดินพื้นทะเลกลายสภาพเป็นพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมต่อการ
เติบโตของหญ้าทะเลจนไม่สามารถฟืน้ คืนกลับมาได้ตามธรรมชาติ
ในกรณีนี้เราจึงพิจารณาเลือกใช้แนวทางการฟื้นฟูด้วยการปลูก
หญ้าทะเล อย่างไรก็ตาม การปลูกหญ้าทะเลเหมาะสําหรับฟื้นฟู
พื้นที่ขนาดเล็ก และต้องมีการปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการ
เจริญเติบโตของหญ้าทะเลก่อนเริ่มโครงการ

84
��������������������

การปลูกหญ้าทะเลนอกจากจะช่วยฟืน้ ฟูระบบนิเวศแล้วยังเป็น
หนึ่งในกิจกรรมที่ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชน เปิดโอกาส
ให้เยาวชนเห็นความสําคัญของระบบนิเวศหญ้าทะเล และส่งเสริม
ให้ชมุ ชนช่วยกันดูแลและเฝ้าระวังผลกระทบทีอ่ าจเกิดขึน้ ต่อระบบ
นิเวศอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสําคัญที่ทําให้โครงการปลูกหญ้า
ทะเลหลายแห่งล้มเหลวคือปัจจัยด้านคุณภาพนํ้าและตะกอนดิน
เนื่องจากหญ้าทะเลในธรรมชาติต้องปรับตัวให้เข้ากับปัจจัยภาย­
นอกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระแสนํ้า คลื่นลม ความลึก ความโปร่ง
แสงของนํา้ ทะเล อุณหภูมิ ไปจนถึงระยะเวลาสัมผัสแสงแดด โครง­
การปลูกหญ้าทะเลจึงต้องคํานึงถึงหลักการสําคัญ 5 ประการดังนี้
ประการที่ 1 ปลูกในพืน้ ทีท่ คี่ วรปลูก การปลูกหญ้าทะเลควร
ปลูกในแหล่งที่เคยมีหญ้าทะเลหรือระบบนิเวศหญ้าทะเลที่เสื่อม​
โทรม ก่อนดําเนินโครงการจะต้องสํารวจสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะ
เป็นประเภทของพื้นทะเล ชนิดของดิน ความแน่นของดิน ระดับ
ความลึก ทิศทางคลืน่ ลม และปริมาณตะกอนแขวนลอยในนํา้ เพือ่
ให้มั่นใจว่าหญ้าทะเลที่นํามาย้ายปลูกจะสามารถอยู่รอดได้ ทั้งนี้
การดําเนินโครงการจะต้องคํานึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศอื่น
เช่น ระบบนิเวศหาดทราย เช่นกัน
ประการที่ 2 เลือกชนิดทีเ่ หมาะสม เราควรคัดเลือกชนิดพันธุ์
หญ้าทะเลโดยพิจารณาว่ามีหญ้าทะเลชนิดนัน้ ๆ ขึน้ อยูต่ ามธรรมชาติ
ในบริเวณทีต่ อ้ งการปลูกหรือไม่ หากไม่มกี ต็ อ้ งค้นข้อมูลทางประวัต­ิ
ศาสตร์ว่าในอดีตเคยมีแหล่งหญ้าทะเลชนิดใดในบริเวณดังกล่าว
เพื่อให้มั่นใจว่าหญ้าทะเลชนิดที่นําไปปลูกจะสามารถเติบโตได้ดี

85
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ประการที่ 3 หลีกเลี่ยงพื้นที่ใกล้ชุมชนเกิน หรือพื้นที่ที่ถูก


กัดเซาะ เราควรเลือกบริเวณที่เป็นอ่าวในการปลูกหญ้าทะเล
เนือ่ งจากคลืน่ ลมค่อนข้างสงบและมีปญ ั หาการกัดเซาะชายฝัง่ น้อย
แต่ควรหลีกเลีย่ งพืน้ ทีใ่ กล้แหล่งชุมชน เพราะทะเลบริเวณดังกล่าว
อาจเผชิ ญ มลภาวะหรื อ สารเคมี ที่ เ ป็ น ปั จ จั ย ในการเติ บ โตของ
สาหร่ายซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทําให้หญ้าทะเลตายได้ง่าย
ประการที่ 4 เลือกช่วงเวลาและฤดูกาลทีเ่ หมาะสม ช่วงเวลา
ปลูกหญ้าทะเลที่เหมาะสมคือปลายฤดูฝนถึงต้นฤดูร้อน เพราะ
เป็นช่วงเวลาที่ระดับนํ้าทะเลสูง พื้นท้องทะเลจึงไม่โดนแดดนาน
เกินไป และไม่ถูกคลื่นลมกัดเซาะตะกอนพื้นท้องทะเล ช่วงเวลา
ดังกล่าวสําหรับอ่าวไทยฝัง่ ตะวันตกจะอยูร่ ะหว่างเดือนกุมภาพันธ์
ถึงสิงหาคม ส่วนอ่าวไทยฝัง่ ตะวันออกและฝัง่ ทะเลอันดามันจะอยู่
ระหว่างเดือนตุลาคมถึงมีนาคม
ประการที่ 5 เลือกระดับความลึกที่พอดี พื้นที่ที่เหมาะต่อ
การปลูกหญ้าทะเลจะต้องมีระดับความลึกและมีนํ้าทะเลท่วมขัง
อยู่ตลอดเวลาทุกฤดูกาล เพื่อให้หญ้าทะเลได้รับความชุ่มชื้นและ
ไม่แห้งตาย

แนวทางที่ 4 สร้างความร่วมมือกับชุมชนชายฝั่ง
ปัจจัยหนึ่งที่ทําให้โครงการฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลประสบความ
สําเร็จคือความร่วมมือของชุมชนชายฝั่งใกล้เคียง เราจึงต้องให้
ความสําคัญกับกระบวนการเสริมสร้างศักยภาพของชุมชน ตัง้ แต่
การให้ความรูพ้ น้ื ฐานเกีย่ วกับระบบนิเวศหญ้าทะเล เทคนิคเบือ้ งต้น
ในการสํารวจสิง่ มีชวี ติ ในแนวหญ้าทะเล รวมไปถึงการจัดเวทีพดู คุย

86
��������������������

การบรรเทาผลกระทบ
จากการย
้ ายปล
ู กหญ
้ าทะเล

การย้ายปลูกหญ้าทะเลคือการขุดถอนหญ้าทะเลจํานวน​
มากจากแหล่งพันธุ์หญ้าทะเลตามธรรมชาติที่สมบูรณ์จน
อาจสร้างผลกระทบต่อแหล่งพันธุ์เดิม นักวิจัยจึงพัฒนา
แนวคิดการสร้างแหล่งพันธุ์ของหญ้าทะเลเพื่อจะได้ไม่ต้อง
รบกวนแหล่งหญ้าทะเลตามธรรมชาติ
เนื่องจากหญ้าทะเลจะสามารถปรับตัวได้ดีในพื้นที่ใหม่
ทีป่ จั จัยสิง่ แวดล้อมไม่มกี ารผันแปรมากนัก นากุง้ ตามชายฝัง่
จึงเป็นตัวเลือกในการเพาะพันธุห์ ญ้าทะเลทีเ่ หมาะสม เพราะ
สามารถควบคุมและปรับคุณภาพตะกอนดิน คุณภาพนํ้า
ความลึก แสงสว่าง การไหลเวียนของนํ้าทะเลเข้า-ออกได้
อย่างเหมาะสม และไม่ต้องกังวลเรื่องคลื่นลมอีกด้วย
หญ้าทะเลบางชนิดเช่น หญ้าคาทะเล (Enhalus acoroi-
des) สามารถเพาะพันธุ์พันธุ์ต้นอ่อนจากเมล็ดได้ซึ่งจะช่วย

ลดปัญหาจากการย้ายปลูกต้นพันธุ์จากแหล่งธรรมชาติได้
เช่นกัน หากสนใจปลูกหญ้าทะเลหรือศึกษาวิธกี ารเพาะพันธุ์
และย้ายปลูกอย่างถูกวิธีควรศึกษาจากคู่มือของกรมทรัพ­
ยากรทางทะเลและชายฝัง่ และปรึกษานักวิชาการทีม่ คี วาม
เชี่ยวชาญเฉพาะ

87
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

เพือ่ วางมาตรการลดผลกระทบทีเ่ กิดจากการใช้ประโยชน์ทรัพยากร


ทางทะเลและชายฝั่ง ไม่ว่าจะเป็นการทําประมงอย่างยั่งยืน การ
ท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ การจัดการขยะและนํ้าเสียในชุมชน
อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการกําหนดกติกาการใช้ประโยชน์
ร่วมกันเพือ่ ลดผลกระทบต่อแหล่งหญ้าทะเลและสัตว์ทะเลหายาก
อย่างไรก็ตาม กระบวนการดังกล่าวใช้เวลานานจึงต้องมีการ
หนุนเสริมอย่างต่อเนื่อง นอกเหนือจากโครงการปลูกหญ้าทะเล
แล้ว ภาคเอกชนก็สามารถมีบทบาทสําคัญในกระบวนการเสริม
สร้างศักยภาพชุมชนเพื่อให้เกิดการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศ
หญ้าทะเลอย่างยั่งยืน

กรณ
ี ศ
ึ กษา:
การฟื้ นฟ
ู หญ
้ าทะเลโดยช
ุ มชน ัจงหว
ั ดตร
ั ง
ดร.อัญชนา ประเทพ อาจารย์ประจําภาควิชาชีววิทยา คณะ
วิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผูเ้ ชีย่ วชาญเรือ่ งระบบ
นิเวศหญ้าทะเลและการอนุรกั ษ์ เล่าว่าแหล่งหญ้าทะเลของจังหวัด
ตรังมีความสําคัญอย่างยิ่งในระดับโลก เพราะโดดเด่นในด้าน
ความหลากหลายทางชีวภาพ อีกทั้งยังเป็นแหล่งอาศัยสําคัญของ
ประชากรพะยูนฝูงใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสามของโลกอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แหล่งหญ้าทะเลจังหวัดตรังเผชิญกับภัยคุกคาม
หลายประการ ย้อนกลับไปเมือ่ พ.ศ. 2547 ระบบนิเวศหญ้าทะเล
ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติอย่างเหตุการณ์สึนามิที่เปลี่ยนแปลง
ลักษณะชายฝัง่ และทําให้มตี ะกอนมหาศาลทับถม แต่ปรากฏการณ์
ดังกล่าวไม่ได้สร้างผลกระทบเท่ากับดินตะกอนจากการพัฒนา

88
��������������������

ชายฝัง่ ตัวอย่างทีช่ ดั เจนทีส่ ดุ คือความเสือ่ มโทรมลงของระบบนิเวศ


หญ้าทะเลนับพันไร่ที่เกาะลิบง เกาะที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดตรัง
เนือ่ งจากกรมเจ้าท่าทิง้ ตะกอนจากการขุดลอกจนเป็นข่าวใหญ่เมือ่
ปลาย พ.ศ. 2563
นอกจากปัญหาเรื่องตะกอนดินแล้ว อีกปัญหาสําคัญคือการ
จับสัตว์นา้ํ เช่น ปลิงทะเล และหอยชักตีน ในปริมาณทีม่ ากเกินไป
สัตว์หน้าดินเหล่านี้มีบทบาทสําคัญในการกําจัดเศษซากเน่าเปื่อย
ให้กลายเป็นอาหารของสัตว์นํ้าขนาดเล็กและจุลินทรีย์ ทําหน้าที่
หมุนเวียนแร่ธาตุกลับคืนสูร่ ะบบนิเวศ เมือ่ ระบบนิเวศสูญเสียสัตว์
นํ้าเหล่านี้ในปริมาณมากย่อมส่งผลกระทบต่อความอุดมสมบูรณ์
ของแนวหญ้าทะเลอย่างยากจะหลีกเลี่ยง
การฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเลในจังหวัดตรังเริ่มต้นเมื่อราว 30 ปี
ก่อน มูลนิธิหยาดฝนได้พยายามทําให้ชุมชนเห็นความสําคัญของ
หญ้าทะเลในฐานะที่เป็นแหล่งอาหารสําคัญและแหล่งขยายพันธุ์
สัตว์นํ้าตามธรรมชาติ จึงชวนชาวชุมชนโดยรอบมาเรียนรู้ระบบ
นิเวศหญ้าทะเลผ่านกระบวนการเก็บข้อมูลสิง่ มีชวี ติ ทําให้พวกเขา
เห็นข้อมูลเชิงประจักษ์ถึงบทบาทสําคัญของหญ้าทะเลต่อความ
อุดมสมบูรณ์ของท้องทะเล
บรรจง นฤพรเมธี ชาวประมงผูผ้ นั ตัวมาบุกเบิกการปลูกหญ้า
ทะเลคืออีกหนึ่งบุคคลที่มีบทบาทสําคัญในการฟื้นฟูระบบนิเวศ
หญ้าทะเล เขาได้พัฒนาวิธีการเพาะขยายพันธุ์ต้นกล้าหญ้าทะเล
จากธรรมชาติเพื่อใช้สําหรับกิจกรรมปลูกและฟื้นฟูหญ้าทะเลใน
แหล่งธรรมชาติจนประสบความสําเร็จ โดยใน พ.ศ. 2553 มีการ​
นําต้นกล้าไปทดลองปลูกที่แหล่งหญ้าทะเลเสื่อมโทรมบริเวณอ่าว

89
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

บุญ เมือ่ ผ่านไป 5 ปีกพ็ บว่าแหล่งหญ้าทะเลฟืน้ ฟูขนึ้ มาอย่างมาก


อีกทั้งยังพบร่องรอยของพะยูนมาใช้พื้นที่และมีลูกปลามาอาศัย
มากขึน้ นําไปสูก่ ารขยายผลทีเ่ กาะผี หาดคลองสน พร้อมพัฒนา
กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศควบคู่ไปด้วย
ความสําเร็จของโครงการฟืน้ ฟูหญ้าทะเลในจังหวัดตรังเกิดจาก​
การทําความเข้าใจในระบบนิเวศหญ้าทะเล โดยเริ่มต้นฟื้นฟูใน
พืน้ ทีข่ นาดเล็ก ดําเนินการ ติดตาม และประเมินผลอย่างต่อเนือ่ ง
และทีส่ าํ คัญคือการมีสว่ นร่วมของชุมชนในฐานะแกนนําขับเคลือ่ น
กิจกรรมอนุรักษ์

Key Takeaways

☛ ระบบนิเวศหญ้าทะเลหลายแห่งในไทยเผชิญผลกระทบ
จากกิจกรรมการพัฒนาพืน้ ทีร่ มิ ชายฝัง่ การทําประมงแบบทําลาย
ล้าง หรือมลภาวะจากชุมชนริมทะเล หากสามารถป้องกันหรือ
ลดผลกระทบจากปัจจัยคุกคาม แหล่งหญ้าทะเลจะสามารถฟื้นฟู
ตัวเองได้ตามธรรมชาติและกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง โดยวิธีนี้
นับเป็นวิธีฟื้นฟูระบบนิเวศหญ้าทะเลที่ยั่งยืนที่สุด
☛ โครงการปลูกหญ้าทะเลต้องคํานึงถึงหลักการสําคัญ 5
ประการคือการเลือกพืน้ ทีท่ มี่ สี ภาพแวดล้อมทีเ่ หมาะสม การเลือก
ชนิดพันธุ์หญ้าทะเลที่เหมาะสม การเลือกช่วงเวลาและฤดูกาลที่
เหมาะสม การเลือกระดับความลึกทีเ่ หมาะสม และการหลีกเลีย่ ง
พื้นที่ใกล้ชุมชนชายฝั่ง
☛ การย้ายปลูกหญ้าทะเลอาจกระทบต่อแหล่งพันธุเ์ ดิมตาม

90
��������������������

ธรรมชาติ เราจึงควรส่งเสริมการสร้างแหล่งพันธุ์ของหญ้าทะเล
เช่น การปลูกในนากุ้งตามชายฝั่ง เพื่อจะได้ไม่ต้องรบกวนแหล่ง
หญ้าทะเลตามธรรมชาติ
☛ การเสริมสร้างความรู้และความสามารถในการจัดการ
แหล่งหญ้าทะเลโดยชุมชนชายฝัง่ เป็นเงือ่ นไขสําคัญต่อความสําเร็จ
ของโครงการฟื้นฟูแหล่งหญ้าทะเล แม้ว่ากระบวนการดังกล่าวจะ
ใช้เวลายาวนาน แต่ก็จําเป็นต่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูระบบนิเวศ
หญ้าทะเลอย่างยั่งยืน

91
บทที่ 4

โครงการปล่ อยสั ตว์


เร
ื่ อง: ดร.นณณ
์ ผาณ
ิ ตวงศ

��������������������

การปล่อยสัตว์ให้เป็นอิสระคือส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยมา
ช้านาน วัฒนธรรมดังกล่าวมีส่วนจากความเชื่อทางพุทธศาสนา
เรื่องการทําทานผ่านการมอบโอกาสให้หนึ่งชีวิตได้อยู่รอดอย่าง
เป็นอิสระ แต่ในยุคสมัยปัจจุบันที่เรามีความรู้ความเข้าใจเรื่อง
ระบบนิเวศดียิ่งขึ้น ประชากรมนุษย์เพิ่มขึ้นแบบทบทวี เช่นเดียว
กับระบบนิเวศทีเ่ สือ่ มโทรมลง การปล่อยสัตว์กลับกลายเป็นโครง­
การที่สร้างปัญหามากมายต่อระบบนิเวศ
ในบทความนี้ ผู้เขียนจะอธิบายว่าปัญหาข้างต้นประกอบด้วย
อะไรบ้าง แต่กอ่ นอืน่ ต้องเริม่ จากการทําความรูจ้ กั กับคําว่าเอเลียน
สปีชสี ์ (alien species) หรือทีแ่ ปลเป็นภาษาไทยว่าชนิดพันธุต์ า่ งถิน่

ชน
ิ ดพ
ั นธ
ุ์ ต
่ างถ
ิ่ นค
ื ออะไร

นกบางชนิดอาจจะสามารถกางปีกบินไปรอบโลก ขณะที่ปลา
นํ้าจืดบางชนิดอาจมีการกระจายพันธุ์อยู่ในบ่อนํ้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง
กลางทะเลทราย ไม่วา่ สัตว์ชนิดพันธุใ์ ดต่างก็ถกู จํากัดการกระจาย
พันธุ์ด้วยปัจจัยที่หลากหลาย เช่น ความสามารถในการเคลื่อนที่
สภาพภูมอิ ากาศ อาหาร รวมถึงสิง่ มีชวี ติ คูแ่ ข่ง ด้วยข้อจํากัดเหล่านี้
เราจึงพบเจอสัตว์บางชนิดในบางพื้นที่เท่านั้น เช่น ปลาบึก ปลา
นํ้าจืดขนาดยักษ์ที่พบเฉพาะในแม่นํ้าโขง หรือหมีแพนด้าสัตว์
ขวัญใจประชาชนทีส่ ามารถพบเห็นได้เฉพาะในประเทศจีน เราเรียก
การกระจายพันธุข์ องสิง่ มีชวี ติ โดยปราศจากการรบกวนจากมนุษย์
ว่าการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ
ในทางกลับกัน มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดพันธุ์เดียวในโลกที่

93
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

สามารถเดินทางไปแทบทุกแห่งหนอย่างรวดเร็วด้วยยานพาหนะ
ต่างๆ ทั้งรถยนต์ เรือ และเครื่องบิน ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
มนุษย์นําพาสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ ติดสอยห้อยตามไปด้วย ทั้งที่โดย
ตั้งใจ เช่น สัตว์เลี้ยงนานาชนิด และทั้งที่ติดมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
เช่น ยุง มด หรือหนู
ตัวอย่างของการทีม่ นุษย์นาํ เข้าชนิดพันธุต์ า่ งถิน่ ก็เช่น การนํา
ผักตบชวาจากทวีปอเมริกาใต้เข้ามายังแหล่งนํ้าของประเทศไทย
หรือการนํากระรอกสีเทาจากทวีปอเมริกาเหนือมาปล่อยในภูมภิ าค
ยุโรป สิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิดนี้ไม่มีทางที่จะกระจายพันธุ์ไปสู่พื้นที่
ปลายทางได้ตามกระบวนการทางธรรมชาติ กล่าวคือผักตบชวา
จากแม่ นํ้ า แอมะซอนไม่ มี ท างที่ จ ะล่ อ งลอยมาถึ ง ปากแม่ นํ้ า
เจ้า­พระยา เช่นเดียวกับกระรอกสีเทาที่ไม่สามารถว่ายนํ้าข้าม
มหาสมุทรแอตแลนติกแล้วมาตั้งรกรากที่เกาะอังกฤษได้เช่นกัน
เมื่ อ มนุ ษ ย์ นํ า พาสิ่ ง มี ชี วิ ต ทั้ ง พื ช และสั ต ว์ ก้ า วข้ า มเขตการ
กระจายพันธุ์ตามธรรมชาติมายังพื้นที่แห่งใหม่ เราจะเรียกสิ่งมี
ชี วิ ต แปลกหน้ า เหล่ า นั้ น ว่ า ‘ชนิ ด พั น ธุ์ ต่ า งถิ่ น ’ หากสิ่ ง มี ชี วิ ต
ที่ว่าสามารถปรับตัวเข้ากับระบบนิเวศใหม่และขยายพันธุ์ได้เอง
ตามธรรมชาติ เข้าแย่งแหล่งอาหารและถิน่ ทีอ่ ยูอ่ าศัยของสิง่ มีชวี ติ
เดิม พร้อมทัง้ ทําลายสมดุลในระบบนิเวศจนเกิดการเปลีย่ นแปลง
อย่างกะทันหัน เราจะเรียกสิง่ มีชวี ติ กลุม่ นีว้ า่ ‘ชนิดพันธุต์ า่ งถิน่ ที่
รุกราน’ (invasive alien species)
เราต้องทําความเข้าใจความแตกต่างของสองคํานี้ให้ชัดเจน
เพราะความจริงแล้วพืชเศรษฐกิจหลายชนิดที่เราคุ้นเคย เช่น
ยางพารา อ้อย หรือมันสําปะหลัง หรือแม้แต่วัตถุดิบสําคัญใน

94
��������������������

อาหารจานเด็ดของเมืองไทยอย่างส้มตํา ไม่ว่าจะเป็นมะละกอ
มะเขือเทศ และพริก ล้วนแล้วแต่เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม พืชเศรษฐกิจเหล่านี้ไม่นับเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่น
รุกรานเพราะไม่สามารถเติบโตเองตามธรรมชาติจึงไม่สร้างผล​
กระทบด้านลบในแง่ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ

ู้ รัจกส
ั ตวภ
ู ม
ิ ศาสตร
์ และศ
ั กยภาพของระบบน
ิ เวศ

เราจะทราบได้อย่างไรว่าสัตว์และพืชชนิดใดข้ามเขตการกระจาย
พันธุ์ตามธรรมชาติ
คําตอบคือการพิจารณาแผนที่ตามแนวคิด ‘สัตวภูมิศาสตร์’
ซึ่งเป็นความพยายามขีดเส้นแบ่งพื้นที่การกระจายพันธุ์ของสิ่งมี
ชีวิต คล้ายกับแผนที่โลกที่เราคุ้นเคยซึ่งระบุเขตแดนของแต่ละ
ประเทศนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม การกระจายพันธุข์ องสิง่ มีชวี ติ ไม่ได้ถกู กําหนด
ด้วยพรมแดนของประเทศ แต่จะอิงจากปัจจัยตามธรรมชาติ เช่น
พฤติกรรมจําเพาะของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด รวมถึงลักษณะทาง
ภูมิศาสตร์ที่กั้นไม่ให้สิ่งมีชีวิตเคลื่อนข้ามไปได้ไม่ว่าจะเป็นเทือก­
เขา กระแสนํ้า ทะเล และมหาสมุทร
ตัวอย่างเช่นในประเทศไทย กลุ่มสัตว์ที่อยู่เหนือคอคอดกระ
และสัตว์ที่อยู่ใต้คอคอดกระส่วนใหญ่จะมีลักษณะที่แตกต่างกัน
สัตว์บางชนิดอาจมีสสี นั ลวดลายทีไ่ ม่เหมือนกัน ส่วนสัตว์บางชนิด
อาจแตกแขนงเป็นคนละชนิดพันธุ์ เราจึงพอจะสรุปได้ว่าประเทศ​
ไทยทางเหนือและทางใต้ของคอคอดกระอยูค่ นละเขตสัตวภูมศิ าสตร์

95
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

อี ก หนึ่ ง ตั ว อย่ า งที่ ฉ ายภาพชั ด เจนเรื่ อ งสั ต วภู มิ ศ าสตร์ คื อ


กลุ่มปลานํ้าจืด หากพิจารณาปลานํ้าจืดที่พบในแม่นํ้าโขง แม่นํ้า
เจ้าพระยา และแม่นา้ํ สาละวิน แม้วา่ ปลาบางชนิดจะพบได้ในแม่นา้ํ ​
ทัง้ สามสาย กระนัน้ แต่ละลุม่ นํา้ ก็จะประกอบด้วยชนิดพันธุป์ ลาที่
แตกต่างกันออกไป เช่น ปลาบึกจะพบตามธรรมชาติเฉพาะทีล่ มุ่
นํ้าโขง ส่วนปลากดหัวเสียมจะสามารถพบได้เฉพาะในลุ่มแม่นํ้า
สาละวิน ถ้าเรามีความรู้เรื่องชนิดพันธุ์ปลามากพอ เพียงแค่เห็น
ภาพถ่ายแผงขายปลาในตลาดก็พอจะบอกได้วา่ ปลาเหล่านัน้ มาจาก​
ลุ่มนํ้าใด
หากยึดตามหลักสัตวภูมิศาสตร์ การนําสัตว์จากพื้นที่หนึ่งไป
ปล่อยยังอีกพื้นที่หนึ่งถึงแม้ว่าจะยังอยู่ในเขตแดนของประเทศ
เดียวกันก็ถอื เป็นการปล่อยชนิดพันธุต์ า่ งถิน่ เช่น หากนําปลาบึก
ไปปล่อยในแหล่งนํ้าแห่งอื่นนอกเหนือจากลุ่มนํ้าโขง ปลาบึกก็จะ
ถูกจัดว่าเป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นเช่นกัน
อีกหนึ่งแนวคิดที่ต้องทําความเข้าใจคือมีขีดความสามารถใน
การรองรับ (carrying capacity) แม้ชอ่ื จะฟังดูเข้าใจยาก แต่แนวคิด
นีส้ ามารถอธิบายผ่านเรือ่ งใกล้ตวั ทีเ่ ราพบเจอในชีวติ ประจําวัน เช่น
ร้านอาหารสามารถรองรับลูกค้าพร้อมกันคราวละไม่เกิน 50 คน
หรือรถไฟฟ้าที่รับผู้โดยสารได้ไม่เกินขบวนละ 80 คน
ระบบนิเวศในแต่ละพื้นที่ก็มีขีดความสามารถในการรองรับที่
จํากัดไม่ต่างกัน เช่น บ่อนํ้าแห่งหนึ่งมีพืชอาหารเพียงพอสําหรับ
ปลาจํานวน 20 ตัว หากบ่อนํ้าแห่งนี้มีปลาอาศัยจนเต็มขีดความ
สามารถในการรองรับแล้ว การปล่อยปลาเพิ่มจะทําให้จํานวน
ประชากรปลามีมากเกินไปและกลายเป็นการทําลายสมดุลดัง้ เดิม

96
��������������������

ของระบบนิเวศ ท้ายที่สุดแล้วระบบนิเวศอาจไม่หลงเหลือปลาที่
แข็งแรงเลยสักตัวเพราะขาดแคลนอาหาร บางครัง้ อาจเลวร้ายจน
ถึงขั้นทําให้ระบบนิเวศล่มสลาย
การพิจารณาว่าเราควรจะปล่อยสัตว์หรือไม่ นอกจากต้อง
พิจารณาในเชิงสัตวภูมิศาสตร์ว่าสัตว์ชนิดนั้นไม่ใช่ชนิดพันธุ์ต่าง
ถิน่ แล้ว ยังต้องมัน่ ใจว่าระบบนิเวศทีเ่ ราจะปล่อยสัตว์เข้าไปยังหลง
เหลือขีดความสามารถในการรองรับประชากรสัตว์เพิม่ เติมอีกด้วย

ผลกระทบจากชน
ิ ดพ
ั นธ
ุ์ ต
่ างถ
่ิ นท
ี่ ุ รกราน

ผลกระทบจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานมีหลายมิติโดยเรา
สามารถแบ่ งได้คร่าวๆ เป็นสองด้านด้ว ยกันคือผลกระทบทาง
เศรษฐกิจและสังคม และผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม
ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมครอบคลุมตัง้ แต่เรือ่ งใกล้ตวั
เช่น หนูหรือแมลงสาบทําลายข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเรือน ผัก
ตบชวาทีข่ นึ้ เต็มคูคลองกีดขวางการสัญจรทางนํา้ รวมถึงก่อปัญหา
ให้กับระบบระบายนํ้า ไปจนถึงหอยเชอรี่ที่โปรดปรานการกิน
ต้นกล้าข้าว รวมถึงสารพัดวัชพืชต่างถิ่นที่กระทบต่อผลผลิตทาง​
การเกษตร
การควบคุมและกําจัดชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานเหล่านี้มีค่า
ใช้จา่ ยมหาศาล อีกทัง้ ยังสร้างผลกระทบต่อเนือ่ งไปยังสิง่ แวดล้อม
จากการใช้สารเคมีอกี ด้วย โดยการศึกษาชิน้ หนึง่ พบว่ากลุม่ ประเทศ
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจถึง
3.35 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐจากชนิดพันธุ์ต่างถิ่น โดยสัดส่วน

97
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ราว 9 ใน 10 คือความสูญเสียในภาคการเกษตร
ในแง่ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ปัญหาที่เห็นได้อย่างชัดเจน
คือชนิดพันธุต์ า่ งถิน่ ทีร่ กุ รานจะเข้ามาแย่งปัจจัยในการดํารงชีพของ
สัตว์ท้องถิ่นในระบบนิเวศเดิม ไม่ว่าจะเป็นอาหาร ถิ่นที่อยู่ หรือ
พืชบางชนิดที่สามารถปล่อยสารเคมีทําให้ต้นไม้อื่นไม่สามารถ
งอกงาม เราสามารถพบการรุกรานช่วงชิงพืน้ ทีข่ องชนิดพันธุต์ า่ งถิน่
ได้ทว่ั ไป เช่น ทุง่ หญ้าคาในพืน้ ทีธ่ รรมชาติหลายแห่งทีอ่ ดั แน่นจน
ไม่เหลือพื้นที่ว่างให้พืชท้องถิ่นเติบโต
บางครั้งชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกรานก็ผันตัวเป็นผู้ล่า เช่นปลา
ล่าเหยื่อที่นิยมปล่อยเพื่อทําบุญอย่างปลาดุกบิ๊กอุย เราสามารถ​
คํานวณได้คร่าวๆ ว่าการปล่อยปลาดุก 1 ตัน จะทําให้เราสูญเสีย
สัตว์นํ้าท้องถิ่นไปประมาณ 1.8 ล้านชีวิตต่อปี
สิ่งมีชีวิตอีกกลุ่มที่หลายคนมักมองข้ามในฐานะชนิดพันธุ์
รุกรานต่างถิน่ คือสัตว์เลีย้ ง เช่น แมวและสุนขั สัตว์ทง้ั สองชนิดนี้
ถือเป็นสัตว์ผลู้ า่ ทีม่ กั จะจับสัตว์ขนาดเล็กเป็นอาหาร เช่น สัตว์เลือ้ ย
คลาน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก และนกที่อาศัยอยู่ในเมือง
แมวเป็นสัตว์ผู้ล่าที่มีศักยภาพสูงอย่างยิ่ง การเลี้ยงแมวแบบ
ปล่อยหรือการทีม่ แี มวจรจัดจํานวนมากก่อให้เกิดปัญหาทัว่ โลกโดย
เฉพาะในระบบนิเวศปิดแบบหมูเ่ กาะ มีการศึกษาในประเทศออส­
เตรเลียพบว่าแต่ละปีแมวบ้านคร่าชีวติ สัตว์จาํ นวนมากถึง 180 ตัว
ส่วนแมวจรสามารถล่าสัตว์ได้ถงึ ปีละ 790 ตัว สําหรับประเทศไทย
เราเป็นหนึง่ ในประเทศทีม่ รี ายงานการเลีย้ งแมวมากเป็นอันดับต้นๆ
ของโลก และยังสามารถพบเห็นแมวจรจัดแทบทุกพืน้ ทีใ่ นเขตชุมชน
แน่นอนว่าแมวเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบรุนแรงต่อระบบนิเวศ

98
��������������������

เหล่าชนิดพันธุต์ า่ งถิน่ ยังเป็นพาหะทีจ่ ะนําพาโรคภัยต่างๆ มายัง


สัตว์ป่าตามธรรมชาติได้อีกด้วย เช่นสัตว์กีบอย่างวัวและควายที่
เลี้ยงอยู่ใกล้ป่าจะสามารถแพร่โรคติดต่อเข้าไปสู่ฝูงสัตว์ป่าได้ นํา
ไปสู่การเสียชีวิตของสัตว์ป่าอย่างกรณีกระทิงป่ากุยบุรีที่เสียชีวิต
เพราะโรคลัมปีสกินทีอ่ าจแพร่ระบาดจากฟาร์มปศุสตั ว์ทอี่ ยูป่ ระชิด
ถิ่นอาศัย
อีกหนึง่ ประเด็นทีไ่ ม่สามารถสังเกตเห็นได้งา่ ยด้วยตาเปล่าคือ
การผสมข้ามสายพันธุร์ ะหว่างชนิดพันธุท์ อ้ งถิน่ กับชนิดพันธุต์ า่ งถิน่
การปล่อยสัตว์ที่สกุลเดียวกัน สกุลใกล้เคียงกัน หรือกระทั่งเป็น
ชนิดพันธุ์เดียวกันแต่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์โดยมนุษย์มานาน
จนมีลักษณะแตกต่างไปจากสัตว์ป่าดั้งเดิมอย่างมาก อาจนําไปสู่
การผสมพันธุร์ ะหว่างกันจนกลายเป็นการปนเปือ้ นทางพันธุกรรม
ตัวอย่างเช่นปลาดุกบิ๊กอุยที่สามารถผสมข้ามสายพันธุ์กับปลาดุก
อุยพันธุ์แท้ หรือนกยูงพันธุ์ไทยที่มีถิ่นอาศัยอยู่ในประเทศไทย
กับนกยูงพันธุ์อินเดียที่ถูกนํามาเลี้ยงและปล่อยคืนสู่ธรรมชาติ
เป็นจํานวนมาก การผสมข้ามพันธุจ์ งึ ทําให้นกยูงพันธุไ์ ทยสูญเสีย
พันธุกรรมแบบไทยดั้งเดิม
นอกจากนี้ พฤติกรรมของสัตว์ที่เติบโตมาในสถานเพาะเลี้ยง
ยังแตกต่างจากพฤติกรรมของสัตว์ตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น
สัตว์จากสถานเพาะเลี้ยงหลายชนิดจะมีความคุ้นเคยกับคน เมื่อ
ปล่อยคืนสูถ่ นิ่ อาศัยตามธรรมชาติกจ็ ะไม่กลัวคน ขาดการระวังภัย
พลอยทําให้พฤติกรรมของสัตว์ในธรรมชาติเปลี่ยนแปลงไปด้วย
พฤติกรรมของสัตว์ทไี่ ม่กลัวคนนัน้ ยังอาจทําให้เกิดอันตรายต่อทัง้
ตัวสัตว์และมนุษย์

99
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

นอกจากสัตว์แล้ว พืชชนิดพันธุ์รุกรานต่างถิ่นก็สร้างปัญหา
ไม่แพ้กัน เพราะการปลูกพืชผิดที่ผิดทางจะสร้างผลกระทบต่อ
ระบบนิเวศมหาศาล โดยเฉพาะการปลูกต้นไม้ในพื้นที่ธรรมชาติ
ยกตัวอย่างเช่น การปลูกต้นโกงกางบนหาดเลนซึง่ เป็นระบบนิเวศ
ทางธรรมชาติทสี่ าํ คัญประเภทหนึง่ หรือการปลูกต้นไม้ทไี่ ม่ใช่ชนิด
พันธุท์ อ้ งถิน่ แต่คนส่วนใหญ่รจู้ กั มักคุน้ ในฐานะว่าเป็นไม้เมืองไทย
เช่นไม้ยอดนิยมอย่างต้นพะยูงที่สามารถพบตามธรรมชาติเฉพาะ
แถบอีสานใต้เท่านั้น การนําต้นพะยูงมาปลูกทางภาคเหนือจึงถือ
เป็นการนําพาชนิดพันธุ์ต่างถิ่นสู่ระบบนิเวศผืนป่าเช่นกัน

ํทาไมการปล
่ อยส
ั ตว
์ ึจงไม
่ เท
่ าก
ั บท
ํ าบ
ุ ญ

นอกจากปัญหาในแง่ชนิดพันธุต์ า่ งถิน่ ทีร่ กุ รานซึง่ สร้างผลกระทบ


ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมแล้ว การปล่อยสัตว์ยัง
อาจไม่ตอบโจทย์เรือ่ งการทําบุญอย่างทีห่ ลายคนตัง้ ใจ เพราะสัตว์
ที่ถูกนํามาขายให้เราปล่อยคืนสู่ธรรมชาติส่วนใหญ่มักเป็นสัตว์ที่
ถูกจับมาจากธรรมชาติ สัตว์เหล่านั้นจะถูกพรากจากถิ่นอาศัยที่
คุน้ เคยแล้วมาปล่อยสูพ่ นื้ ทีซ่ งึ่ ไม่เหมาะสมหรือไม่สามารถปรับตัว
เอาชีวิตรอดได้ เช่น ปลาไหล ปลาหมอไทย หรือกบนา ที่ชอบ
อยูบ่ ริเวณรกชัฏชืน้ แฉะ ไม่ได้ชอบอยูใ่ นแม่นาํ้ ทีก่ ว้างและลึกหรือ
คลองขนาดใหญ่ ท้ายทีส่ ดุ แล้วสัตว์เหล่านีม้ กั จะป่วยและตายเพราะ
ไม่สามารถเอาชีวิตรอดในถิ่นอาศัยใหม่ได้
ยั ง ไม่ นั บ ว่ า สั ต ว์ ห ลายชนิ ด อย่ า งนกและเต่ า ถื อ เป็ น สั ต ว์
คุม้ ครองในประเทศไทย การทําทานโดยซือ้ สัตว์เหล่านัน้ มาปล่อย

100
��������������������

จึงเป็นการสนับสนุนการกระทําที่ผิดกฎหมายตั้งแต่ต้น
สัตว์ทว่ี างจําหน่ายหลายชนิดยังเป็นชนิดพันธุต์ า่ งถิน่ เช่น ปลา
ซักเกอร์ทม่ี ชี อ่ื ในวงการทําทานว่าปลาราหู หรือปลาดุกบิก๊ อุยซึง่ เป็น
ลูกผสมของปลาดุกอุยและปลาดุกยักษ์จากแอฟริกา การปล่อย
สัตว์กลุ่มนี้เข้าสู่ระบบนิเวศจึงถือว่าเป็นการทําร้ายสัตว์ป่าท้องถิ่น
และสิง่ แวดล้อมอย่างรุนแรง นับว่าเป็นการทําบาปมาก​กว่าทําบุญ
แม้แต่การปล่อยสัตว์ท้องถิ่นสู่ถิ่นอาศัยที่เหมาะสมก็ยังอาจ
สร้างปัญหาเรือ่ งพันธุกรรมในระยะยาว เช่นถ้าเราปล่อยปลาสวาย
ซึง่ เป็นปลาทีเ่ พาะพันธุใ์ นฟาร์มปลาอุตสาหกรรม ปลาทีป่ ล่อยคืน
สูธ่ รรมชาติทงั้ หมดจะมาจากพ่อแม่เดียวกันทุกตัว ทําให้เสีย่ งทีจ่ ะ
เกิดการผสมพันธุ์เลือดชิด และอาจทําให้ประชากรทั้งหมดเผชิญ
ปัญหาด้านพันธุกรรมในอนาคต
ผู้เขียนมักจะได้รับคําถามอยู่เสมอว่าถ้าต้องการทําทานโดย
การปล่อยนกปล่อยสัตว์ควรทําอย่างไร
ทางออกที่จะไม่สร้างปัญหาต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมคือ
การนํ า สิ่ ง มี ชี วิ ต ที่ เ ราต้ อ งการช่ ว ยเหลื อ ไปเลี้ ย งดู ใ นระบบปิ ด
เพราะไม่มีใครตอบได้ว่าการปล่อยสัตว์เหล่านั้นคืนสู่ธรรมชาติจะ
สร้างปัญหาอะไรตามมาบ้าง ดังนั้นเราจึงไม่ควรสร้างภาระหรือ
เพิ่มความเสี่ยงต่อระบบนิเวศ
ผู้เขียนเชื่อในคําสอนที่ว่าการปล่อยนกให้อยู่บนฟ้าปล่อยปลา
ให้อยูใ่ นนํา้ ถือเป็นบุญกุศลอยูแ่ ล้ว เราจึงสามารถมีสว่ นช่วยทําบุญ
ได้ดว้ ยการดูแลรักษาระบบนิเวศ เช่น การเก็บขยะในคูคลอง การ​
กําจัดชนิดพันธุต์ า่ งถิน่ ในพืน้ ทีธ่ รรมชาติ รวมถึงสนับสนุนทางอ้อม
โดยการบริจาคเงินแก่โครงการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

101
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

หรือองค์กรที่เชี่ยวชาญด้านการทํางานอนุรักษ์ เช่น มูลนิธิสืบ


นาคะ­เสถียร สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย
รวมถึงกองทุนเพื่อสนับสนุนการทํางานของผู้พิทักษ์ป่าซึ่งเป็น
แนวหน้าที่ทํางานป้องปรามเพื่อให้สัตว์ป่าได้อยู่อย่างอิสระในถิ่น
อาศัยตามธรรมชาติ

Key Takeaways

☛ เมื่อมนุษย์นําพาสิ่งมีชีวิตทั้งพืชและสัตว์ก้าวข้ามเขตการ​
กระจายพันธุ์ตามธรรมชาติมายังพื้นที่แห่งใหม่ เราจะเรียกสิ่งมี
ชีวิตนั้นว่า ‘ชนิดพันธุ์ต่างถิ่น’ หากสิ่งมีชีวิตที่ว่าสามารถปรับตัว
เข้ากับระบบนิเวศใหม่และขยายพันธุไ์ ด้เองตามธรรมชาติ เข้าแย่ง
แหล่งอาหารและถิ่นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตเดิม พร้อมทั้งทําลาย
สมดุลในระบบนิเวศจนเกิดการเปลีย่ นแปลงอย่างกะทันหัน เราจะ
เรียกสิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้ว่า ‘ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน’
☛ การนําสัตว์จากพืน้ ทีห่ นึง่ ไปปล่อยยังอีกพืน้ ทีห่ นึง่ ถึงแม้วา่
จะยังอยู่ในเขตแดนของประเทศเดียวกันก็ถือเป็นการปล่อยชนิด
พันธุต์ า่ งถิน่ เช่น หากนําปลาบึกไปปล่อยในแหล่งนํา้ แห่งอืน่ นอก
เหนือจากลุม่ นํา้ โขง ปลาบึกก็จะถูกจัดว่าเป็นชนิดพันธุต์ า่ งถิน่ เช่นกัน
☛ การปล่อยสัตว์หลายครั้งไม่ตอบโจทย์เรื่องการทําบุญ
อย่างที่หลายคนตั้งใจ เพราะสัตว์ที่ถูกนํามาขายให้เราปล่อยคืนสู่
สิ่งแวดล้อมส่วนใหญ่มักเป็นสัตว์ที่ถูกจับมาจากธรรมชาติ สัตว์
เหล่านั้นถูกพรากจากถิ่นอาศัยที่คุ้นเคยแล้วมาปล่อยสู่พื้นที่ซึ่ง
ไม่เหมาะสม และหลายครั้งไม่สามารถปรับตัวเอาชีวิตรอดได้

102
��������������������

☛ สําหรับการพิจารณาความเหมาะสมในการปล่อยสัตว์
นอกจากเราต้องมั่นใจว่าสัตว์ชนิดนั้นไม่ใช่ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นในเชิง
สัตวภูมศิ าสตร์แล้ว ยังต้องศึกษาว่าระบบนิเวศทีเ่ ราจะปล่อยสัตว์
เข้าไปนัน้ ยังหลงเหลือขีดความสามารถในการรองรับประชากรสัตว์
เพิ่มเติมหรือไม่ ก่อนตัดสินใจดําเนินโครงการ

103
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

เอกสารอ
้ างอ
ิ ง

ระบบนิเวศป่าบกและป่าชายเลน

ป่าไม้ไทย
กองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ. (n.d.). ระบบนิเวศป่าไม้. Retrieved
from กองจัดการความหลากหลายทางชีวภาพ: www.chm-thai.onep.go.th/​

?page_id=348

มูลนิธิสืบนาคะเสถียร. (2563, สิงหาคม 27). รายงานสถานการณ์ป่าไม้ไทย


ประจําปี 2562–2563. Retrieved from มูลนิธิสืบนาคะเสถียร: www.seub.
or.th/document/สถานการณ์ป่าไม้ไทย/รายงานสถานการณ์ป่าไม้ไ-6

ส่วนความหลากหลายทางชีวภาพ สํานักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ปา่ และพันธุพ์ ชื . พืชต่างถิน่ รุกรานในพืน้ ทีป่ า่
อนุรักษ์. 2562. ห้างหุ้นส่วนจํากัด เอ็น.พี.จี.เอ็นเตอร์ไพรส์.

ป่าบรรพกาลและไฟป่า
ธรรมศร, ส. (2563, ตุลาคม). ฟิสกิ ส์ของพืน้ ผิวโลก ตอนที่ 1 วิทยาศาสตร์ของ
ผืนป่า. Retrieved from สมาคมฟิสิกส์ไทย: www.thaiphysoc.org/article/​305
ธรรมศร, ส. (2563, ตุลาคม). ฟิสกิ ส์ของพืน้ ผิวโลก ตอนที่ 2 ไฟป่า ท้องฟ้า
สีเลือด และการสูญเสียหน้าดิน. Retrieved from สมาคมฟิสกิ ส์ไทย: www.
thaiphysoc.org/article/306

BARRAS, C. (2019, December). Scientists have discovered the world’s oldest

forest—and its radical impact on life. Retrieved from Sciences: www.science. ​


org/content/article/scientists-have-discovered-world-s-oldest-forest-and-its-radical-

impact-life

DEROUIN, S. (2017, December). More frequent fires reduce soil carbon and

fertility, slowing the regrowth of plants. Retrieved from Standford News

104
��������������������

Service: www.news.stanford.edu/press-releases/2017/12/11/decades-increaseet ​
es-soil-carbon

การฟื้นฟูป่า
Elmarsdóttir, Ásrún & Fjellberg, Arne & Halldórsson, Guðmundur & Ingimars-

dóttir, María & Nielsen, Olafur & Nygaard, Per & Oddsdottir, Edda &

Sigurdsson, Bjarni. (2008). Effects of afforestation on biodiversity.

Harvey, F. (2020, September). Leaving forests to regrow naturally ‘could be

better option than replanting. Retrieved from The Guardian: www.theguard ​


ian.com/environment/2020/sep/23/leaving-forests-to-regrow-naturally-could-​

be-better-option-than-replanting

Lourens Poorter et al., Multidimensional tropical forest recovery. Science ​


374,1370-1376(2021).DOI:10.1126/science.abh3629

Renato Crouzeilles et al., Ecological restoration success is higher for natural

regeneration than for active restoration in tropical forests. Sci. Adv.3, ​


e1701345(2017) .DOI:10.1126/sciadv.1701345

การกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของป่า
Lewis SL, Wheeler CE, Mitchard ETA, Koch A. Restoring natural forests is the

best way to remove atmospheric carbon. Nature. 2019 Apr;568(7750):25–28.

doi: 10.1038/d41586-019-01026-8. PMID: 30940972.

Waring Bonnie, N. M. (2020). Forests and Decarbonization – Roles of Natural

and Planted Forests. Frontiers in Forests and Global Change.

มลภาวะทางอากาศจากต้นไม้บางชนิด
Ishibashi, A., Sakai, K. Dispersal of allergenic pollen from Cryptomeria japonica

and Chamaecyparis obtusa: characteristic annual fluctuation patterns caused

105
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

by intermittent phase synchronisations. Sci Rep 9, 11479 (2019). www.doi.

org/10.1038/s41598-019-47870-6

การปลูกต้นสนทะเลที่ทําให้พืชประจําถิ่นหายไป
ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง กรมทรัพ­
ยากรทางทะเลและชายฝัง่ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม.
พรรณไม้ในลุ่มทะเลสาบสงขลา. 2552. ไอ ดีไซน์.
Prior, R. (2019, April). Try not to sneeze. These photos show a ‘pollenpoca-

lypse’ in North Carolina. Retrieved from CNN: www.edition.cnn.com/2019/ ​ ​


04/09/health/north-carolina-pollen-photograph-trnd/index.html

ป่าชายเลน
ธรรมศร, ส. (2020, พฤศจิกายน). ฟิสิกส์ของพื้นผิวโลก ตอนที่ 3 ป่าชาย
เลนกับตะกอนผู้สร้างแผ่นดิน. Retrieved from สมาคมฟิสิกส์ไทย: www.
thaiphysoc.org/article/307

ส่วนส่งเสริมและพัฒนาทรัพยากรป่าชายเลน สํานักอนุรักษ์ทรัพยากรป่า
ชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝัง่ . คูม่ อื ความรูเ้ รือ่ งป่าชายเลน.
2556. บริษัท พลอยมีเดีย จํากัด.

สํานักอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม. พันธุ์ไม้ป่าชายเลนใน
ประเทศไทย (ฉบั บ ปรั บ ปรุ ง ใหม่ ). 2553. โรงพิ ม พ์ ชุ ม นุ ม สหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด.
Bell JD, Johnson JE and Hobday AJ (eds) (2011). Vulnerability of tropical

Pacific fisheries and aquaculture to climate change. Secretariat of the Pacific

Community, Noumea, New Caledonia.

Harman, W., R. Starr, M. Carter, K. Tweedy, M. Clemmons, K. Suggs, C. Miller.

2012. A Function-Based Framework for Stream Assessment and Restoration

106
��������������������

Projects. US Environmental Protection Agency, Office of Wetlands,

Oceans,and Watersheds, Washington, DC EPA 843-K-12-006.

Zimmer, K. (2021, July). Many mangrove restorations fail. Is there a better way?

Retrieved from Knowable Magazine: www.knowablemagazine.org/article/food- ​


environment/2021/many-mangrove-restorations-fail

การกักเก็บคาร์บอนของหาดเลนและป่าชายเลน
Christian J. Sanders, J. M. (2010). Organic carbon burial in a mangrove forest,

margin and intertidal mud flat. Estuarine, Coastal and Shelf Science.

P.I. Macreadie, T. A. (2019). Vulnerability of seagrass blue carbon to microbial

attack following exposure to warming and oxygen. Science of The Total

Environment.

ผลกระทบจากแนวรั้วไม้ไผ่ต่อพืชป่าชายเลน
Aor Pranchai, M. J. (2019). Well-intentioned, but poorly implemented: Debris

from coastal bamboo fences triggered mangrove decline in Thailand. Marine

Pollution Bulletin.

ระบบนิเวศนํ้าจืด

ผลกระทบของฝายที่มีต่อระบบนิเวศ
ชิตชล ผลารักษ์ และคณะ. ผลของฝายชะลอนํ้าต่อความหลากหลายของ
สัตว์ไม่มกี ระดูกสันหลังขนาดใหญ่สาหร่ายและพืชพรรณริมฝัง่ นํา้ . 2550.
ธรรมศร, ส. (2563, 11). สมาคมฟิสิกส์ไทย. Retrieved from ฟิสิกส์ของ
พืน้ ผิวโลก ตอนที่ 4 วิกฤตการณ์ของแม่นาํ้ และการกัดเซาะชายฝัง่ : www.
thaiphysoc.org/article/308

ประดิษฐ์ เสมณี และคณะ. ผลกระทบของฝายชะลอนํา้ ต่อคุณภาพนํา้ และ

107
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

ความหลากหลายของสาหร่ายขนาดใหญ่ แพลงก์ตอนพืช แพลงก์ตอน


สัตว์ และไดอะตอมพื้นท้องนํ้า. 2553.
Todsapon Kositpon and Chitchol Phalaraksh. EFFECTS OF CHECK DAMS ON

WATER QUALITY AND MACROINVERTEBRATE DIVERSITY OF HOM JOM

STREAM, LAMPHUN PROVINCE, THAILAND. 2012.

การจัดการนํ้าบาดาลและผลกระทบของการเติมนํ้าบาดาลเทียม
กิจการ พรหมมา. อุทกธรณีวทิ ยา. 2555. สํานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหา­
วิทยาลัย.
คณะทํางานขับเคลือ่ นโครงการธนาคารนํา้ ใต้ดนิ คณะอนุกรรมการขับเคลือ่ น
แผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรนํา้ ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากร
นํ้าแห่งชาติ. คู่มือการเติมนํ้าใต้ดิน. 2564.
สมาธิ ธรรมศร. ระบบทําความเย็นใต้พิภพสําหรับเพิ่มประสิทธิภาพของ
เซลล์สุริยะ. 2563. การประชุมวิชาการระดับชาติ “มศววิจัย” ครั้งที่ 13.
สถาบันยุทธศาสตร์ทางปัญญาและวิจัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ.
Mohan, V. (2018, 7). Across India, high level of toxins in groundwater. Re-

trieved from The Times of India: www.timesofindia.indiatimes.com/india/

govt-body-finds-high-levels-of-groundwater-contamination-across-india/article-

show/65204273.cms

โครงการปล่อยสัตว์
Housden, T. (2023, March). Can Australia curb its killer cats? From BBC News:

www.bbc.com/news/world-australia-64806771

Nghiem LTP, Soliman T, Yeo DCJ, Tan HTW, Evans TA, Mumford JD, et al.

(2013) Economic and Environmental Impacts of Harmful Non-Indigenous

Species in Southeast Asia. PLoS ONE 8(8): e71255. www.doi.org/10.1371/

journal.pone.0071255

108
��������������������

บร
ิ ษ
ั ทป
่ าสาละ ํจาก
ั ด

ป่าสาละเป็นบริษทั ‘ปลูกธุรกิจทีย่ งั่ ยืน’ แห่งแรกในประเทศ​ไทย มุง่ จุด


ประกายและดําเนินวาทกรรมสาธารณะว่าด้วยธุรกิจที่ยั่งยืนในประเทศไทย
ผ่านการจัดสัมมนา อบรม ประชุมเชิงปฏิบตั กิ าร การผลิตสือ่ สิง่ พิมพ์และ
ออนไลน์ การจัดทํางานวิจยั เรือ่ งประเด็นความยัง่ ยืนทีส่ าํ คัญในประเทศไทย
ตลอดจนการวัดผลลัพธ์ทางสังคมและผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน
ป่าสาละก่อตั้งในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 โดย สฤณี อาชวานันทกุล
นักวิชาการอิสระ นักเขียน และนักแปลอิสระ เจ้าของผลงานหนังสือกว่า
50 เล่ม ร่วมกับ ภัทราพร แย้มละออ นักการตลาดและนักธุรกิจเพือ ่ สังคม
อดีตผูจ้ ดั การงานประกวดแผนธุรกิจเพือ่ สังคมระดับโลก (Global Social Ven-
ture Competition) รอบภูมภ
ิ าคเอเชียตะวันอ­ อกเฉียงใต้ ในนามมหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ พร้อมด้วยนักวิจัยร่วมอุดมการณ์อีกห้าคน เพื่อเปลี่ยนผ่าน
สังคมธุรกิจไทยไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

109
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ


ั กเข
ี ยน

สมาธ
ิ ธรรมศร
สมาธิสาํ เร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากภาควิชาฟิสกิ ส์ คณะวิทยา­
ศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง และ
ปริญญาโทจากภาควิชาวิทยาศาสตร์พื้นพิภพ คณะวิทยาศาสตร์ มหา­
วิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สมาธิได้รับรางวัลเกียรติบัตรเหรียญเงินจากการ
ประกวดโครงงานวิจัยระดับอุดม­ศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
ธัญบุรี พ.ศ. 2559 เรื่องสภาพการนําความร้อนของเทอร์โมอิเล็กทริกโมดูล,
รางวัลชมเชยจากการประกวดนวัตกรรมระดับบัณฑิตศึกษา มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ พ.ศ. 2563 เรือ่ งระบบทําความเย็นใต้พภิ พ และผ่านการคัดเลือก
รอบ 10 ทีมสุดท้าย โครงการ Pre-NSTDA Startup Season 2 ของสํานักงาน
พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) เรือ่ งการออกแบบกังหัน
ลมแนวตั้งชนิดหมุนสวนทิศทาง รวมถึงทําหน้าที่เป็นผู้ร่วมให้คําปรึกษาใน
การทําวิจัยแก่นิสิตจากคณะวิทยาศาสตร์ เรื่องการท่องเที่ยวเชิงธรณี และ
คณะวิศวกรรม­ศาสตร์ เรื่องการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์
สมาธิเคยทํางานในตําแหน่งนักวิชาการเพือ่ เผยแพร่ทศี่ นู ย์ดารา­ศาสตร์
ท้องฟ้าจําลอง จังหวัดสระบุร,ี นิตยสาร Fusion Magazine ของสถาบันเทคโน­
โลยีนวิ เคลียร์แห่งชาติ และนิตยสาร Synchrotron Magazine ของสถาบันวิจยั
แสงซินโครตรอน ปัจจุบันเขาเป็นนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ ด้านฟิสิกส์ โลก­
ศาสตร์ และดาราศาสตร์ ที่มีบทความเผยแพร่ทางเว็บไซต์สมาคมฟิสิกส์
ไทย และ waymagaz­ine และร่วมจัดทําบทความ บทสัมภาษณ์ และหนังสือ
ด้านวิทยาศาสตร์ร่วมกับนักวิชาการท่านอื่นๆ ผ่านสื่ออีกหลายช่องทาง

110
��������������������

ดร.นณณ
์ ผาณ
ิ ตวงศ

นณณ์เกิดใน พ.ศ. 2519 และโตในกรุงเทพมหานคร ตอนเด็กๆ มักจะ
ติดตามคุณพ่อเข้าป่าตกปลาอยูเ่ สมอจนเกิดความรักในธรรมชาติโดยเฉพาะ
ปลานํา้ จืด นณณ์จบปริญญาตรีและโททางด้านบริหารธุรกิจ และปริญญาเอก
ด้านวิทยาศาสตร์สงิ่ แวดล้อมจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมือ่ พ.ศ. 2544
เขาร่วมกับเพือ่ นก่อตัง้ กลุม่ อนุรกั ษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ siamensis.org
นณณ์ยงั เป็นคนไทยคนแรกทีไ่ ด้รบั รางวัล ASEAN Biodiversity Heroes พ.ศ. 2560
ปัจจุบันนอกจากทําธุรกิจครอบครัวแล้ว เขาดํารงตําแหน่ง​กรรมการ
สมาคมอนุรกั ษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย, กรรมการมูลนิธโิ ลกสีเขียว,
คณะอนุกรรมการการจัดการพื้นที่ชุ่มนํ้า และคณะอนุกรรมการวิชาการ
ความหลากหลายทางชีวภาพ ด้านชนิดและระบบนิเวศ ผลงานหนังสือทีเ่ ขา
ภาคภูมใิ จคือ ปลานํา้ จืดไทย (A Photographic Guide to Freshwater Fishes of
Thailand)

ดร.เพชร มโนปว
ิ ตร
เพชรเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ที่มีประสบการณ์ท​ ํางานกว่า
25 ปี ใ นด้ า นการอนุ รั ก ษ์ ค วามหลากหลายทางชี ว ภาพ การจั ด การพื้ น ที่

คุ้มครองและวิทยาศาสตร์ด้านความยั่งยืน ปัจจุบันเขาเป็นที่ปรึกษาองค์กร
ด้านสิง่ แวดล้อมนานาชาติหลายแห่ง และดํารงตําแหน่งกรรมการบริหารของ
องค์กรอนุรักษ์ อาทิ มูลนิธิโลกสีเขียว, สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติ
แห่งประเทศไทย, มูลนิธิเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และมูลนิธิ Earth Agenda
เพชรเป็นนักเขียนอิสระ นักสือ่ สารประเด็นสาธารณะว่าด้วยการปกป้อง
ธรรมชาติ และได้รับเลือกให้เป็น National Geographic Explorer พ.ศ. 2561
เขามีผลงานตีพิมพ์ในสื่อต่างๆ กว่า 200 บทความว่าด้วยชีววิทยาด้านการ
อนุรกั ษ์ และประเด็นการอนุรกั ษ์สงิ่ แวดล้อมและระบบนิเวศ เมือ่ พ.ศ. 2560
เขาเป็นผูร้ ว่ มก่อตัง้ ReReef บริษทั ด้านความยัง่ ยืนทีผ่ ลักดันการเปลีย่ นแปลง
ด้านสิ่งแวดล้อมด้วยพลังผู้บริโภค

111
คู่มือซีเอสอาร์ด้านสิ่งแวดล้อม ฉบับนักนิเวศ

บรรณาธ
ิ การ

รพ
ี พ
ั ฒน
์ ิองคส
ิ ทธ
์ิ
รพี พั ฒ น์ เ ป็ น นั ก เขี ย น นั ก แปล และนั ก วิ ช าการอิ ส ระด้ า นการเงิ น
จบปริ ญ ญาตรี ด้ า นการบั ญ ชี แ ละการเงิ น และปริ ญ ญาโททาง​ก ารเงิ น
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเคยได้รับรางวัลงานวิจัยดีเด่นในงานประชุม
วิชาการ 2017 Asia-Pacific Conference on Economics & Finance ที่จัดขึ้น
ณ ประเทศสิงคโปร์ เขาผ่านประสบการณ์การทํางานจากหลากหลายสาขา
ทั้งด้านการอนุรักษ์ที่มูลนิธิสืบนาคะเสถียร, นักวิจัยด้านธุรกิจที่ยั่งยืนใน
บริษัทสตาร์ท­อัพ และผู้จัดการด้านการควบคุมภายในฝ่ายสินเชื่อประจํา
ธนาคารข้ามชาติ
ปัจจุบัน นอกเหนือจากดูแลบัญชีและการเงินของธุรกิจครอบครัวแล้ว
รพีพัฒน์ยังเขียนบทความเผยแพร่บนสื่อออนไลน์และออฟไลน์ งานวิจัย
งานแปล และเป็นอาจารย์พเิ ศษภาควิชาการเงิน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

112

You might also like