Professional Documents
Culture Documents
คู่มือการออกแบบเคเบิลใต้ดิน
คู่มือการออกแบบเคเบิลใต้ดิน
คู่มือการออกแบบเคเบิลใต้ดิน
¡ÒÃÍ͡Ẻà¤àºÔÅ㵌´Ô¹
U N D E R G R O U N D C A B L E
¨Ñ´·Óâ´Â
¤³Ð·Ó§Ò¹¤Ù‹Á×Í¡ÒÃÍ͡Ẻà¤àºÔÅ㵌´Ô¹
ÊÒ§ҹÇÔÈÇ¡ÃÃÁ
I
คำนำ
คู่มือการออกแบบเคเบิลใต้ดินเล่มนี้ได้จัดทาขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการเผยแพร่ให้ความรู้ใน
เรื่องของการออกแบบเคเบิลใต้ดินแก่พนักงานของ กฟภ. ที่ต้องปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับการออกแบบ
ก่อสร้าง และควบคุมงาน สามารถนาความรู้ไปใช้ประกอบการปฏิบัติงานทาให้มีความสะดวก คล่องตัวและ
ถูกต้องตามหลักวิชาการซึ่งจะทาให้ระบบไฟฟ้าของ กฟภ. มีความมั่นคงยิ่งขึ้น
เนื้อหาในคู่มือเล่มนี้ ได้เรียบเรียงจากเอกสาร แบบมาตรฐาน กฟภ. มาตรฐานต่างประเทศ และ
ประสบการณ์การออกแบบ โดยในส่ ว นของเนื้อหาได้ผ่ านการพิจารณาจากหน่ว ยงานที่เกี่ยวข้อ ง เช่น
กองมาตรฐานไฟฟ้ า , ฝ่ า ยงานระบบไฟฟ้ า , และฝ่ า ยบริ ห ารโครงการพิ เ ศษ คณะท างานจั ด ท าคู่ มื อ
การออกแบบเคเบิลใต้ดิน ขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ แบบต่างๆที่อ้างอิงในคู่มือการออกแบบเคเบิลใต้ดินเล่มนี้
สามารถค้นหาได้จาก http://intra.pea.co.th
คณะทางานฯ หวังว่าเนื้อหาในคู่มือการออกแบบเคเบิลใต้ดินเล่มนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อพนักงาน
ผู้ ป ฏิ บั ติ ง านที่ เ กี่ ย วข้ อ ง หากมี ข้ อ เสนอแนะประการใดโปรดแจ้ ง ให้ ฝ่ า ยงานระบบไฟฟ้ า ทราบ
(โทร.0 2590 5723) เพื่อแก้ไขปรับปรุงในโอกาสต่อไป
คณะทางานจัดทาคู่มือการออกแบบเคเบิลใต้ดิน
มีนาคม พ.ศ. 2560
สารบัญ
หน้า
คานา I
สารบัญ II
สารบัญตาราง V
สารบัญรูป VIII
คานิยาม XIII
บทที่ 1 Overview Underground systems 1
1.1 รูปแบบโครงการเคเบิลใต้ดินของ กฟภ. 1
1.2 รูปแบบการจ่ายไฟ 1
1.2.1 รูปแบบการจ่ายไฟของระบบเคเบิลใต้ดินแรงสูง 1
1.2.2 รูปแบบการจ่ายไฟของระบบเคเบิลใต้ดินแรงต่่า 4
1.3 รูปแบบการก่อสร้างงานโยธา 6
1.3.1 การก่อสร้างแบบเปิดหน้าดิน 6
1.3.1 การก่อสร้างแบบไม่เปิดหน้าดิน 6
1.4 รูปแบบการก่อสร้างงานไฟฟ้า 22
บทที่ 2 ขั้นตอนและวิธีการสารวจพื้นที่ 6
2.1 การศึกษาข้อมูลทางกายภาพก่อนด่าเนินการส่ารวจ 35
2.2 ข้อมูลปริมาณการใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ในพื้นที่ 36
2.3 การส่ารวจเบื้องต้นและร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 36
2.4 การส่ารวจงานก่อสร้างเคเบิลใต้ดิน 37
2.4.1 ข้อมูลระบบไฟฟ้าและสภาพการจ่ายไฟเดิม 37
2.4.2 ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ก่อสร้าง 38
2.4.3 ข้อมูลความต้องการใช้ไฟฟ้าในปัจจุบันและ
การพยากรณ์การใช้ไฟฟ้าในอนาคต 38
2.4.4 ข้อมูลระบบสาธารณูปโภคเดิมที่อยู่ใต้ดิน 38
2.4.5 ข้อมูลแผนงานก่อสร้างปรับปรุงและพัฒนาพื้นที่ ที่จะจัดท่าเคเบิลใต้ดิน
หรือแผนพัฒนาเมือง 39
2.4.6 การก่าหนดรูปแบบและวิธีการก่อสร้างที่เหมาะสม
กับสภาพพื้นที่และงบประมาณโครงการฯ 39
2.4.7 ข้อมูลอื่นๆที่เป็นประโยชน์ 40
2.5 การเลือกต่าแหน่งติดตั้งอุปกรณ์ 40
2.5.1 อุปกรณ์ส่าหรับระบบแรงต่่า 40
2.5.2 หม้อแปลงจ่าหน่าย 43
2.5.3 Ring Main Unit (RMU) 45
2.5.4 บ่อพักสาย (Manhole, Handhole) 45
2.5.5 ชุด Riser Pole ระบบแรงสูง 46
III
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
บทที่ 3 การออกแบบเคเบิลใต้ดิน 47
3.1 การค่านวณโหลดจุด Service Customer 47
3.2 การค่านวณขนาดหม้อแปลง 48
3.3 การพิจารณาเลือกขนาดสายไฟและแรงดันตก 50
3.3.1 การเลือกขนาดสายเคเบิลใต้ดินแรงต่่า 50
3.3.2 การเลือกสายเคเบิลใต้ดินแรงสูง 52
3.4 การค่านวณขนาดท่อและแรงดึงสาย 53
3.5 การพิจารณาจุดต่อ ground 68
3.6 การพิจารณาต่าแหน่งบ่อพักสาย 75
บทที่ 4 การประมาณราคาและขออนุมัติ 76
4.1 การถอดแบบ 76
4.2 การก่าหนดราคางานด้านโยธา 77
4.3 การก่าหนดราคางานด้านไฟฟ้า 77
4.4 ข้อก่าหนดและวิธีการประมาณราคา 78
4.5 ข้อก่าหนดและเงื่อนไขระหว่าง กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 79
บทที่ 5 ตัวอย่างการออกแบบงานเคเบิลใต้ดิน 81
5.1 โครงการปรับปรุงระบบจ่าหน่ายเป็นแบบเคเบิลใต้ดินบริเวณ 79
ถนนพระพันวษา จ.สุพรรณบุรี 81
5.1.1 หน่วยงานเจ้าของโครงการ 81
5.1.2 ลักษณะของโครงการ 81
5.1.3 ปริมาณงาน 81
5.1.4 ขนาดของโครงการ 83
5.1.5 วัตถุประสงค์ของโครงการ 83
5.1.6 ประโยชน์ของโครงการ 83
5.1.7 หน้าที่และความรับผิดชอบ 83
5.1.8 ขั้นตอนในการด่าเนินงาน 84
5.2 โครงการปรับปรุงระบบจ่าหน่ายเป็นแบบเคเบิลใต้ดินบริเวณ 79
รอบนอกพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย 121
5.2.1 หน่วยงานเจ้าของโครงการ 121
5.2.2 ลักษณะของโครงการ 121
5.2.3 ปริมาณงาน 123
5.2.4 ขนาดของโครงการ 123
5.2.5 วัตถุประสงค์ของโครงการ 123
5.2.6 ประโยชน์ของโครงการ 123
5.2.7 หน้าที่และความรับผิดชอบ 123
IV
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
5.2.8 ขั้นตอนในการด่าเนินงาน 124
บทที่ 6 ถาม-ตอบ ปัญหาและอุปสรรค 158
บทที่ 7 มาตรฐานอ้างอิงที่เกี่ยวข้อง 171
V
สารบัญตาราง
ตารางที่ หน้า
1.1 ตารางสรุประดับความลึกต่่าสุดของการวางท่อร้อยสายชนิดต่าง ๆ 19
1.2 คุณสมบัติของท่อร้อยสายไฟชนิดต่าง ๆ 21
2.1 การใช้ก่าลังไฟฟ้าสูงสุดของสถานีไฟฟ้าสุพรรณบุรี 36
2.2 การใช้ก่าลังไฟฟ้าสูงสุดของในแต่ละ Feeder
และจ่านวนหม้อแปลงจ่าหน่ายที่ต้องปรับปรุง 36
2.3 การใช้ก่าลังไฟฟ้าสูงสุดของในแต่ละหม้อแปลงจ่าหน่ายที่ต้องปรับปรุง 36
3.1 ข้อมูลมิเตอร์ที่รับไฟจากหม้อแปลงขนาด 160kVA 47
3.2 โหลดที่ประเมินได้ (Load Estimation) 48
3.3 การเลือกจ่านวนท่อสายไฟขั้นต่่า (Minimum Required) 54
3.4 ค่า PAF สูงสุดที่ยอมรับได้ของท่อร้อยสายไฟ 55
3.5 ค่าตัวแปรที่ใช้ในการค่านวณแรงดึงสายทั้งหมด 64
3.6 การค่านวณแรงดึงสายเคเบิลใต้ดินฯ ที่เกิดขึ้น ณ ต่าแหน่งต่างๆ 67
5.1 แสดงเงินลงทุนก่อสร้างเคเบิลใต้ดินของโครงการฯ 83
5.2 แสดงเงินลงทุนก่อสร้างเคเบิลใต้ดินของโครงการฯ 83
5.1 เงินลงทุนก่อสร้างเคเบิลใต้ดินของโครงการฯ 83
5.2 การใช้ก่าลังไฟฟ้าสูงของสถานีไฟฟ้าสุพรรณบุรี 85
5.3 ข้อมูลการใช้ก่าลังไฟฟ้าสูงสุดในแต่ละ Feeder และจ่านวนหม้อแปลงจ่าหน่าย 85
5.4 ข้อมูล Load Estimation ของ Feeder 1 ของหม้อแปลงบริเวณหน้าวัดสุวรรณภูมิ 107
5.5 ข้อมูล Load Estimation ของ Feeder 2 ของหม้อแปลงบริเวณหน้าวัดสุวรรณภูมิ 107
5.6 ข้อมูลมิเตอร์ที่รับไฟจากหม้อแปลงขนาด 160kVA บริเวณหน้าธนาคารกสิกรไทย 107
5.7 ข้อมูล Load Estimation ทั้ง 3 Feeder ของหม้อแปลงที่ติดตั้ง
บริเวณถนนจมื่นศรีข้อมูลมิเตอร์ ของ Feeder 1 (จ่ายไฟแบบเรเดียล) 111
5.8 การประเมินอัตราการเติบโตของโหลดหม้อแปลงที่ติดตั้งบริเวณ
ถนนจมื่นศรี ในอีก 5 ปีข้างหน้า 112
5.9 ข้อมูลมิเตอร์ที่รับไฟจากหม้อแปลงขนาด 250kVA บริเวณหน้าเทศบาลฯ 114
5.10 ข้อมูลมิเตอร์ที่รับไฟจากหม้อแปลงขนาด 250kVA ข้าง รพ. เจ้าพระยายมราช 112
5.11 ข้อมูล Load Estimation ทัง้ 4 Feeder ของ
Unit Substation ในที่ท่าการเทศบาลฯ 116
5.12 การประเมินอัตราการเติบโตของโหลดที่รับไฟจาก Unit Substation
ในอีก 5 ปีข้างหน้า 117
5.13 เงินลงทุนก่อสร้างเคเบิลใต้ดินของโครงการฯ 123
5.14 การใช้ก่าลังไฟฟ้าสูงของสถานีไฟฟ้าสุโขทัย 125
5.15 ข้อมูลการใช้ก่าลังไฟฟ้าสูงสุดในแต่ละ Feeder และจ่านวนหม้อแปลงจ่าหน่าย 125
5.16 ค่า PAF และ Jam Ratio ของระบบต่างๆ 128
VI
สารบัญตาราง (ต่อ)
ตารางที่ หน้า
5.17 ค่าพิกัดกระแสของสายไฟฟ้าทองแดงหุ้มฉนวนครอสลิ้งโพลีเอทีลีน (XLPE) 0.6/1kV 144
5.18 ข้อมูลมิเตอร์ที่รับไฟจากหม้อแปลงขนาด 160kVA บริเวณข้างคลองคูศาลผาด่า 145
5.19 ข้อมูล Load Estimation ของ Feeder 1 ของ Unit Substation
บริเวณศาลปู่ผาด่า 111
5.20 ข้อมูลมิเตอร์ที่รับไฟจากหม้อแปลงขนาด 160kVA 146
5.21 ข้อมูล Load Estimation ของ Feeder 1 ของ
หม้อแปลงบริเวณถนนสุขาภิบาล 12 147
5.22 ข้อมูลมิเตอร์ที่รับไฟจากหม้อแปลงขนาด 160kVA บริเวณ 7-11 เมืองเก่า 148
5.23 ข้อมูล Load Estimation ทั้ง 2 Feeder ของหม้อแปลงเดิม
บริเวณ 7-11 เมืองเก่า 117
5.24 ข้อมูล Load Estimation ของ Feeder 1 ของหม้อแปลง
บริเวณทางเข้าชุมชนสุโขทัยนคร 3 150
5.25 ตารางแสดงผลการค่านวณแรงดึงสายเคเบิลใต้ดิน
จาก Unit Substation – MH3 154
5.26 ตารางแสดงผลการค่านวณแรงดึงสายเคเบิลใต้ดิน
จาก Riser Pole 2 – MH3 156
VII
สารบัญรูป
รูปที่ หน้า
1.1 รูปแบบการจ่ายไฟระบบจ่าหน่ายแรงสูงแบบเหนือดิน 2
1.2 รูปแบบการจ่ายไฟระบบเคเบิลใต้ดิน แบบ Open Loop 2
1.3 รูปแบบการจ่ายไฟระบบเคเบิลใต้ดิน แบบ Open Loop 12
ที่มีวงจรเฉพาะส่าหรับผู้ใช้ไฟ 3
1.4 การติดตั้ง RMU หรือ Compact Unit Substation ในการตัดจ่ายระบบไฟฟ้า 4
1.5 การติดตั้ง Riser Pole และหม้อแปลงนั่งร้าน 12
ในซอยเพื่อการตัดจ่ายระบบไฟฟ้า 4
1.6 การจ่ายโหลด 60 % ของหม้อแปลงในสภาวะปกติ 12
ของการจ่ายไฟเคเบิลใต้ดินแรงต่่า 5
1.7 การ Tie Line ในสภาวะฉุกเฉินของการจ่ายไฟเคเบิลใต้ดินแรงต่่า 12
โดยหม้อแปลงจ่ายโหลดประมาณ 90 % ของพิกัดหม้อแปลง 5
1.8 มาตรฐานการก่อสร้างแบบ Direct Burial 6
1.9 มาตรฐานการก่อสร้างแบบ Semi-Direct Burial ส่าหรับระบบเคเบิลใต้ดินแรงสูง 2
(สามารถประยุกต์ใช้งานในระบบแรงต่่าได้) 8
1.10 มาตรฐานการก่อสร้างแบบ Semi-Direct Burial 2
ส่าหรับระบบเคเบิลใต้ดินแรงต่่า (ท่อโลหะ) 8
1.11 มาตรฐานการก่อสร้างแบบ Semi-Direct Burial 2
ส่าหรับระบบเคเบิลใต้ดินแรงต่่า (ท่ออโลหะ) 9
1.12 เปรียบเทียบมาตรฐานการก่อสร้างแบบ Semi-Direct Burial 2
ส่าหรับระบบเคเบิลใต้ดินแรงต่่า 9
1.13 ระดับความลึกของการก่อสร้างแบบ Semi-Direct Burial 2
ส่าหรับระบบเคเบิลใต้ดินแรงต่่า 10
1.14 รูปขั้นตอนการวางท่อแบบ Semi-Direct Burial 2
ส่าหรับระบบเคเบิลใต้ดินแรงต่่า 10
1.15 รูปคืนสภาพหลังก่อสร้างแบบ Semi-Direct Burial 2
ส่าหรับระบบเคเบิลใต้ดินแรงต่่า 10
1.16 รูปแบบหน้าตัดของ Duct Bank 11
1.17 รูปการก่อสร้าง Duct Bank 12
1.18 ข้อก่าหนดระดับความลึกของ Duct Bank 12
1.19 ตัวอย่าง 2x2 Precast Duct Bank 13
1.20 รูปแบบการก่อสร้างแบบ HDD 14
1.21 รูปแบบเจาะดึงท่อของ HDD 14
1.22 ขั้นตอนการเจาะของ HDD 15
1.23 ขั้นตอนการคว้านรูและดึงท่อกลับของ HDD 15
1.24 แบบมาตรฐานการก่อสร้าง Pipe Jacking 16
VIII
สารบัญรูป (ต่อ)
รูปที่ หน้า
1.25ขั้นตอนการก่อสร้าง Pipe Jacking 16
1.26ขั้นตอนการดันปลอกเหล็กของ Pipe Jacking 17
1.27มาตรฐานการก่อสร้างแบบ Small Sleeve Pushing 18
1.28ท่อ HDPE (High-Density Polyethylene) 20
1.29ข้อต่อแบบสวม(Coupling) และการต่อแบบเชื่อมด้วยความร้อน (Welding) 20
1.30ท่อ RTRC ( Reinforced Thermosetting Resin Conduit) และการต่อท่อ 20
1.31ท่อลูกฟูก (EFLEX หรือ Corrugate) 22
1.32องค์ประกอบพื้นฐานของระบบเคเบิลใต้ดิน 23
1.33องค์ประกอบของสายเคเบิลใต้ดินแรงสูง 22-33 kV 25
1.34องค์ประกอบของสายเคเบิลใต้ดินแรงสูง 115 kV 25
1.35การกระจายสนามไฟฟ้าของสายเคเบิลใต้ดิน 26
1.36ตัวอย่างหัวสายเคเบิลใต้ดิน 27
1.37ตัวอย่างหัวสายเคเบิลใต้ดินแบบ Porcelain Type 28
1.38ตัวอย่างหัวสายเคเบิลใต้ดินแบบ Slip On Type 28
1.39ตัวอย่างการต่อสายเคเบิลใต้ดินแบบ Slip On Type 29
1.40ตัวอย่างหัวสายเคเบิลใต้ดินแบบ Cold Shrink Type 29
1.41ตัวอย่างการต่อสายเคเบิลใต้ดินแบบ Slip On Type 30
1.42ตัวอย่างหัวสายเคเบิลใต้ดินแบบ Heat Shrink Type 30
1.43ตัวอย่างการต่อสายเคเบิลใต้ดินแบบ Heat Shrink Type 31
1.44ตัวอย่างรูปแบบเสาต้นขึ้นหัวสายเคเบิลใต้ดิน ระบบ 22 kV และ 33 kV 33
1.45ตัวอย่างรูปแบบเสาต้นขึ้นหัวสายเคเบิลใต้ดิน ระบบ 115 kV (แบบ SD-UG-3) 34
2.1 ข้อมูลทางกายภาพจากโปรแกรม Google Earth 35
2.2 ข้อมูลระบบไฟฟ้าจากโปรแกรม GIS 35
2.3 ข้อมูลระบบสาธารณูปโภคที่ได้รับจากเทศบาลฯ 37
2.4 การส่ารวจระบบจ่าหน่ายและจุดรับไฟเดิม 37
2.5 แนวการก่อสร้างเคเบิลใต้ดินที่หลบหลีกแนวสาธารณูปโภคต่างๆ 38
2.6 ป้ายเตือนแนวท่อส่งก๊าซ (ซ้าย) และแนวท่อระบายน้่า (ขวา) 39
2.7 การติดตั้งหม้อแปลงนั่งร้าน (ซ้าย) และการติดตั้ง
Compact Unit Substation (ขวา) 39
2.8 ชุด Riser Pole Low Voltage (ซ้าย) และ ชุด Service Line (ขวา) 40
2.9 การติดตั้งตู้มิเตอร์ (MTB) 41
2.10 ชุด Service Meter 41
2.11 ชุด ก่อนติดตั้งชุด Customer Service Line (ซ้าย)
และหลังติดตั้งชุด Customer Service Line (ขวา) 42
2.12 การติดตั้งตู้ Distribution Box (Tie Line) 42
IX
สารบัญรูป (ต่อ)
รูปที่ หน้า
2.13 รูปแบบการติดตั้งและองค์ประกอบหลักของ Compact Unit Substation 43
2.14 ชุดนั่งร้านหม้อแปลง 44
2.15 ต่าแหน่งในการติดตั้งหม้อแปลง 44
2.16 Ring Main Unit 45
2.17 การติดตั้งบ่อพักสาย 45
2.18 รูปแบบการติดตั้งเสา Riser Pole 1 วงจร 46
2.19 รูปแบบการติดตั้งเสา Riser Pole 2 วงจร 46
3.1 พิกัดกระแสสูงสุดและแรงดันตกของสาย 185 CV. 49
3.2 การจ่ายไฟของหม้อแปลงในสภาวะปกติ 49
3.3 การจ่ายไฟของหม้อแปลงในสภาวะฉุกเฉิน 50
3.4 พิกัดกระแสสูงสุดของสายเคเบิลใต้ดินแรงต่่าชนิด CV 51
3.5 กราฟของแรงดันตกส่าหรับสายเคเบิลใต้ดินแรงต่่า 50, 95 และ 185 CV 52
3.6 ตัวอย่าง Single Line แรงสูง 53
3.7 ค่าที่ก่าหนดของ Jam Ratio ใน IEEE 525-2007 55
3.8 การหาค่า Weight - Correction Factor (C ) ของสายเคเบิลใต้ดินฯ 2 เส้น 57
3.9 การจัดวางสายเคเบิลใต้ดิน ภายในท่อร้อยสาย 59
3.10 วิธีการติดตั้งมิเตอร์และการแปลงค่าที่วัดได้
เพื่อเทียบเคียงกับค่าแรงดึงจากการค่านวณ 60
3.11 แรงกดด้านข้าง 60
3.12 การโค้งงอของสายเคเบิลใต้ดิน 61
3.13 การตั้ง REEL สายเคเบิลใต้ดินที่ปากบ่อ MANHOLE เพื่อดึงลากสายเคเบิลใต้ดิน 62
3.14 การใช้สารหล่อลื่นช่วยในการดึงลากสายเคเบิลใต้ดิน 68
3.15 การต่อลงดินเพื่อป้องกันส่าหรับเคเบิลแร็ค ส่าหรับระบบ 22 และ 33 kV 69
3.16 การต่อลงดินเพื่อป้องกันส่าหรับเสารับเคเบิลแรงสูง
ส่าหรับระบบ 22,33 และ 115 kV 70
3.17 การต่อลงดินในบ่อพัก Manhole ส่าหรับเคเบิลแร็ค ส่าหรับระบบ 22 และ 33 kV
(กรณีมี Splice ส่าหรับต่อสายเคเบิลใต้ดิน ก็ให้ต่อลงดิน ณ จุดนี้) 71
3.18 การต่อลงดินทั้งสองปลาย (Both-Ends Bonding) 72
3.19 การต่อลงดินแบบหลายจุด (Multi-points Bonding) 72
3.20 การต่อลงดินข้างเดียว (Single-point Bonding) 73
3.21 การต่อลงดินแบบกึ่งกลาง (Middle-point Bonding) 73
3.22 การต่อลงดินแบบไขว้ (Cross-Bonding) 73
3.23 ก. และ ข. การต่อลงดินที่เสาต้น Riser Pole ส่าหรับระบบ 22 - 33 kV
ค. การต่อลงดินที่เสาต้น Riser Pole ส่าหรับระบบ 115 kV 74
X
สารบัญรูป (ต่อ)
รูปที่ หน้า
5.1 ข้อมูลทางกายภาพจากโปรแกรมทางภูมิศาสตร์. 84
5.2 ข้อมูลระบบไฟฟ้าจากโปรแกรม GIS 84
5.3 ข้อมูลสาธารณูปโภคที่ได้รับจากเทศบาลฯ . 85
5.4 สภาพระบบจ่าหน่ายในพื้นที่และจุดรับไฟเดิม 86
5.5 แนวของระบบสื่อสารและแนวท่อระบายน้่าใต้ดิน 86
5.6 ต่าแหน่งติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ส่าหรับงานเคเบิลใต้ดิน 87
5.7 วิธีการดันท่อลอด (HDD.) 87
5.8 พื้นที่ก่อสร้างที่จ่าเป็นจะต้องเปิดหน้าดิน 88
5.9 ตัวอย่างแสดงการก่อสร้างด้วยวิธีดันท่อลอด 88
5.10 ตัวอย่าง Precast Duct Bank 89
5.11 ระดับความลึกของสายเคเบิลใต้ดิน 89
5.12 แนวสายเคเบิลและต่าแหน่งอุปกรณ์ระบบ 22kV 90
5.13 รูปแบบการจ่ายไฟระบบจ่าหน่าย 22kV 90
5.14 การรูปแบบการจ่ายไฟด้วย RMU และ Unit Substation 91
5.15 การรูปแบบการจ่ายไฟด้วยวิธีติดตั้งหม้อแปลงภายในซอย 91
5.16 การสร้างวงจรเฉพาะผู้ใช้ไฟ 92
5.17 รูปแบบการจ่ายไฟของระบบแรงต่่าแบบเคเบิลใต้ดิน 92
5.18 ชุด Riser Pole ระบบแรงสูงและระบบแรงต่่า 93
5.19 ชุดหม้อแปลงนั่งร้านและหม้อแปลงแขวน 93
5.20 บ่อพักสายเคเบิลใต้ดิน 94
5.21 ตู้ Ring Main Unit (RMU) 94
5.22 ตู้ Compact Unit Substation 95
5.23 ตู้ Distribution Box (DB) 95
5.24 ตู้ Meter Box 96
5.25 ชุด Service Line 96
5.26 ชุด Customer Service Line 97
5.27 ระบบจ่าหน่าย 22kV เดิม บริเวณแยกนางพิม 98
5.28 ระบบจ่าหน่าย 22kV แบบเคเบิลใต้ดินบริเวณแยกนางพิม 99
5.29 ระบบจ่าหน่าย 22kV เดิมช่วงถนนพระพันวษา 100
5.30 ระบบจ่าหน่าย 22kV เดิม บริเวณแยกเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี 101
5.31 ระบบจ่าหน่าย 22kV แบบเคเบิลใต้ดินบริเวณแยกเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี 102
5.32 ระบบจ่าหน่ายแรงต่่าเดิม ช่วงวัดสุวรรณภูมิ – แยกนางพิม 104
5.33 ระบบจ่าหน่ายแรงต่่าแบบเคเบิลใต้ดินช่วงวัดสุวรรณภูมิ – แยกนางพิม 106
5.34 ระบบจ่าหน่ายแรงต่่าแบบเคเบิลใต้ดินช่วงแยกนางพิม – วิทยาลัยอาชีวสุพรรณบุรี 108
XI
สารบัญรูป (ต่อ)
รูปที่ หน้า
5.35 ระบบจ่าหน่ายแรงต่่าแบบเคเบิลใต้ดินช่วงแยกนางพิม
– วิทยาลัยอาชีวสุพรรณบุรี (ต่อ) 110
5.36 ระบบจ่าหน่ายแรงต่่าเดิมบริเวณแยกเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี 113
5.37 ระบบจ่าหน่ายแรงต่่าแบบเคเบิลใต้ดินบริเวณแยกเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี 115
5.38 การ Tie Line ระหว่างหม้อแปลงบริเวณถนนจมื่นศรี
และ Unit Substation ในเทศบาลฯ 118
5.39 ข้อมูลทางกายภาพจากโปรแกรมทางภูมิศาสตร์ 124
5.40 ข้อมูลระบบไฟฟ้าจากโปรแกรม GIS 124
5.41 ข้อมูลสาธารณูปโภคที่ได้รับจากเทศบาลฯ 125
5.42 สภาพระบบจ่าหน่ายในพื้นที่และจุดรับไฟเดิม 125
5.43 แนวของระบบสื่อสารและแนวท่อระบายน้่าใต้ดิน 126
5.44 ต่าแหน่งติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ส่าหรับงานเคเบิลใต้ดิน 126
5.45 การก่อสร้างด้วยวิธี Duct Bank (ซ้าย) และวิธี Semi Direct Burial (ขวา) 127
5.46 ตัวอย่างแสดงการก่อสร้างด้วยวิธีดันท่อลอด 127
5.47 รูปแสดงระดับความลึกของเคเบิลใต้ดินแรงสูงและเคเบิลใต้ดินแรงต่่า 128
5.48 ระดับความลึกของเคเบิลใต้ดินแรงต่่าหลังมิเตอร์ 129
5.49 แนวสายเคเบิลและต่าแหน่งอุปกรณ์ 129
5.50 รูปแบบการจ่ายไฟระบบจ่าหน่าย 22kV 130
5.51 การรูปแบบการจ่ายไฟด้วย RMU และ Unit Substation 130
5.52 การรูปแบบการจ่ายไฟด้วยวิธีติดตั้งหม้อแปลงภายในซอย 131
5.53 การสร้างวงจรเฉพาะผู้ใช้ไฟ 131
5.54 รูปแบบการจ่ายไฟของระบบแรงต่่าแบบเคเบิลใต้ดิน 132
5.55 ชุด Riser Pole ระบบแรงสูงและระบบแรงต่่า 132
5.56 ชุดหม้อแปลงนั่งร้านและหม้อแปลงแขวน 133
5.57 บ่อพักสายเคเบิลใต้ดิน 133
5.58 ตู้ Ring Main Unit (RMU) 134
5.59 ตู้ Compact Unit Substation 134
5.60 ชุด Tie Box 135
5.61 ตู้ Meter Box 135
5.62 ชุด Service Line 136
5.63 ชุด Customer Service Line 136
5.64 ชุด Service Meter 137
5.65 ชุด Meter Line 137
5.66 ระบบจ่าหน่าย 22kV แบบเคเบิลใต้ดินบริเวณพื้นที่
รอบนอกอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย 138
XII
สารบัญรูป (ต่อ)
รูปที่ หน้า
5.67 ระบบจ่าหน่าย 22kV แบบเคเบิลใต้ดินบริเวณพื้นที่
รอบนอกอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (ต่อ) 139
5.68 การต่อลงดินแบบหลายจุด 140
5.69 การระบบจ่าหน่ายแรงต่่าเดิม โดยแบ่งเป็น Zone ต่างๆ 141
5.70 การระบบจ่าหน่ายแรงต่่าใหม่แบบเคเบิลใต้ดิน โดยแบ่งเป็น Zone ต่างๆ 142
5.71 ค่าแรงดันตกในสายเคเบิลใต้ดินฉนวน XLPE ขนาด 185 mm2 143
5.72 การ Tie Line ระหว่าง Unit Substation บริเวณศาลปู่ผาด่า
กับหม้อแปลงบริเวณถนนสุขาภิบาล 12 148
5.73 การ Tie Line ระหว่าง หม้อแปลงบริเวณ 7-11 เมืองเก่า
กับหม้อแปลงในซอยสุโขทัยนคร 3 148
5.74 การพิจารณารูปแบบการลากสายจาก Unit Sub – MH3 153
5.75 การพิจารณารูปแบบการลากสายจาก R2 – MH3 155
XIII
คานิยาม
นิยาม
1. การออกแบบ หมายถึง การถ่ายทอดรูปแบบจากความคิดออกมาเป็นผลงาน ที่ผู้อื่นสามารถมองเห็น
รับรู้ หรือสัมผัสได้ เพื่อให้มีความเข้าใจในผลงานร่วมกัน แบบที่คิดออกมาอาจเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริง
หรือแบบที่เป็นลักษณะเพื่อฝัน เป็นเพียงนามธรรมก็ได้
2. ระบบไฟฟ้า หมายถึง ระบบจาหน่ายไฟฟ้าแรงต่า (L.V.) 230/400 โวลต์ ระบบจาหน่ายไฟฟ้าแรงสูง
(M.V.) 22 และ 33 เควี และระบบส่ง (H.V.) 115 เควี
3. การออกแบบระบบไฟฟ้า หมายถึง การถ่ายทอดรูปแบบระบบไฟฟ้า ซึ่งได้มาจากความคิด การสารวจ
และสภาพพื้นที่หน้างาน ตั้งแต่ระบบจาหน่ายไฟฟ้าแรงต่า (L.V.) จนถึงระบบส่ง (H.V.) ออกมาเป็น
ผลงาน ที่ผู้อื่นสามารถมองเห็น รับรู้ หรือสัมผัสได้ เพื่อให้มีความเข้าใจในผลงานร่วมกัน ซึ่งเป็นแบบ
สาหรับใช้ในการก่อสร้างต่อไป
4. ระบบเคเบิลใต้ดิน (Underground System) หมายถึง ระบบไฟฟ้าที่ก่อสร้างวิธีวางสายไฟไว้ใต้พื้นดิน
เพื่อความสวยงาม และความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
5. สถานีไฟฟ้าขนาดเล็ก (Compact Unit Substation) หมายถึง อุปกรณ์ในระบบไฟฟ้า ที่สามารถจ่าย
ไฟฟ้ าได้ห ลายทิศทาง (เลื อกจ่ ายได้ของวงจรสายป้อน) มี ความสวยงามกลมกลื นกับสภาพแวดล้ อ ม
การจ่ ายและดับ ไฟเพื่อบ ารุ งรั กษาง่าย รวมถึงมีความมั่นคงระบบไฟฟ้าสู ง แทนการจ่ายไฟระบบ 1
สายป้อน
6. Ring Main Unit (RMU) หมายถึง บริภัณฑ์ไฟฟ้าระดับแรงดันปานกลาง (22-33 เควี) ที่สามารถเปิด
ปิดวงจรขณะมีโหลดได้ และสามารถติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันทางด้านโหลดได้แล้วแต่ความต้องการ โดย
ส่วนมากใช้สาหรับจ่ายไฟฟ้าให้กับระบบ Open Loop แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าที่เป็นระบบเคเบิลใต้ดิน
7. Service Line (SL) หมายถึง ตู้บรรจุเซอร์กิตเบรกเกอร์ สาหรับเชื่อมต่อระบบเคเบิลใต้ดิน เข้ากับบ้าน
แต่ละหลังหรืออาคารพาณิชย์ โดยจะเชื่อมเข้ากับจุดรับไฟ หรือเมนชายคาเดิม
8. Riser Pole Low Voltage (RL) หมายถึง ตู้บรรจุเซอร์กิตเบรกเกอร์ สาหรับเชื่อมต่อสายเคเบิลใต้ดิน
เข้ากับสายจาหน่ายของระบบเหนือดินเดิม ซึ่งการติดตั้ง RL จะต้องติดตั้งนอกพื้นที่โครงการก่อสร้าง
เคเบิลใต้ดิน
9. Customer Service Line (CSL) หมายถึง ตู้บรรจุเซอร์กิตเบรกเกอร์ จ่ายไฟแรงต่าให้กับผู้ใช้ไฟ
ระบบ 22 เควี เดิม ที่ไม่สามารถติดตั้งหม้อแปลงในพื้นที่ได้ โดยจะต้องรับไฟจากหม้อแปลงของ กฟภ.
แทน โดยทั่วไปจะใช้ติดตั้งบริเวณจุดรับไฟเดิม และนิยมใช้เสา 9 เมตรถูกตัดให้มีความสูงเท่าเมนชายคา
XIV
1.2 รูปแบบการจ่ายไฟ
1.2.1 รูปแบบการจ่ายไฟของระบบเคเบิลใต้ดินแรงสูง
กฟภ. ได้กาหนดเกณฑ์การจ่ายไฟสาหรับระบบไฟฟ้าในโซน 1 และโซน 2 ว่าต้องมี
การจ่ายไฟรูปแบบ N-1 เป็นอย่างน้อย คือถ้ามีแหล่งจ่ายไฟหายไปหนึ่งแหล่งจะต้องสามารถตัดจ่ายระบบ
ไฟฟ้าให้สามารถจ่ายไฟให้กับผู้ใช้ไฟได้ ดังรูปที่ 1.1 และโครงการเคเบิลใต้ดินส่วนใหญ่นั้น จะอยู่บริเ วณ
ชุมชนเมืองหรือแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งอยู่ใน โซน 1 หรือ โซน 2 ดังนั้นในการออกแบบเคเบิลใต้ดินนั้น จะต้อง
ออกแบบให้มีความมั่นคงสูง ด้วยเกณฑ์ N-1 ด้วยเช่นกัน ดังรูป 1.2 และ 1.3
2
สถานีไฟฟ้า 1
F1 F2
8 MVA ในสภาวะปกติ
พื้นที่โซน 1,2 มีการจ่ายไฟแบบ N - 1
F1 พื้นที่ดาเนินการ
เคเบิลใต้ดิน
สถานีไฟฟ้า 2
รับไฟจาก 2 สายป้อน
S S S S
S
185 SAC
C
185 SAC
Source 1 240 XLPE 240 XLPE
Source 2
1.2.2 รูปแบบการจ่ายไฟของระบบเคเบิลใต้ดินแรงต่า
เนื่องจากระบบเคเบิลใต้ดินนั้นเวลาเกิดความผิดพร่อง (Fault) ขึ้นในระบบไฟฟ้า
ในการตรวจสอบและซ่อมแซมต้องใช้เวลาดาเนินการนาน ดังนั้นในการออกแบบเคเบิลใต้ดินแรงต่าจึง
ออกแบบด้วยระบบ N-1 (เผื่อโหลดกรณีหม้อแปลงเครื่องใดเครื่องหนึ่งเสียหาย) โดยในสภาวะปกติจะ
ก าหนดให้ หม้ อ แปลงจ่ า ยโหลดอยู่ ที่ 60 % ของขนาดพิ กั ด หม้ อ แปลง ดั ง รู ป ที่ 1.6 และเมื่ อ เกิ ด
5
1.3 รูปแบบการก่อสร้างงานโยธา
ในการออกแบบงานโยธานั้น มี 2 รูปแบบหลัก ๆ ตามการประกอบเลขที่ 7101 คือ
การก่อสร้างแบบเปิดหน้าดิน (Open Cut)
- วิธีฝังดินโดยตรง (Direct Burial)
- วิธีร้อยท่อฝังดิน (Semi-Direct Burial)
- วิธีกลุ่มท่อคอนกรีต (Duct Bank)
- วิธีกลุ่มท่อคอนกรีตสาเร็จรูป (Precast Duck Bank)
การก่อสร้างแบบไม่เปิดหน้าดิน (No Dig)
- วิธีเจาะในแนวราบ (Horizontal Directional Drilling (HDD))
- วิธีดันท่อปลอกขนาดใหญ่ (Pipe Jacking)
- วิธีดันท่อปลอกขนาดเล็ก (Small Sleeve Pushing)
1.3.1 การก่อสร้างแบบเปิดหน้าดิน (Open Cut)
วิธี ฝั งดิ น โดยตรง (Direct Burial) เป็ นการขุ ดเปิด หน้ าดิน ทางานแล้ ว โรย
สายไฟฟ้าลงดินโดยตรง ซึ่งมีข้อดีในด้านการระบายความร้อนขณะจ่ายไฟ ซึ่งหากสภาพดินมีค่าความ
ต้านทานความร้อนต่าๆ จะทาให้ความสามารถในการนากระแสของสายเคเบิลใต้ดินดีกว่าการก่อสร้าง
ประเภทอื่น เนื่องจากฉนวนของสายไฟฟ้าสามารถทนความร้อนได้สูงสุด 90 OC ซึ่งเป็นแฟคเตอร์ที่กาหนด
ความสามารถในการจ่ายไฟของสายเคเบิลใต้ดิน ซึ่งมีรูปแบบการจัดวางและก่อสร้างดังรูปที่ 1.8
ข้อดี ข้อเสีย
1. ขั้ น ตอนการก่ อ สร้ า งน้ อ ยกว่ า วิ ธี ก ลุ่ ม ท่ อ 1. ไม่สามารถป้องกันผลกระทบทางกลจาก
คอนกรีตและวิธีร้อยท่อฝังดิน จึงก่อสร้างได้ การขุดเจาะได้ทุกทิศทาง
ในระยะเวลาอันสั้น 2. ไม่สามารถเปลี่ยนขนาด การเพิ่มวงจร
2. ไม่ต้องคานึงเรื่องแรงดึงและแรงกดด้านข้าง หรือเปลี่ยนสายเคเบิลที่ชารุดได้โดยง่าย
ของสายเคเบิลใต้ดิน เนื่องจากไม่มีการดึง 3. เมื่ อ เกิ ด การลั ด วงจร อาจท าให้ ว งจร
ลากสายผ่านท่อร้อยสาย ข้างเคียงเสียหายได้
3. สามารถก่อสร้างหักโค้งหลบเลี่ยงอุปสรรค
กีดขวางต่างๆ ได้ดี
4. ไม่ต้องก่อสร้างบ่อพักสาย
ข้อดี ข้อเสีย
1. ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างน้อยกว่าวิธีกลุ่ม 1. ไม่สามารถป้องกันผลกระทบทางกลจาก
ท่อหุ้มคอนกรีต การขุดเจาะได้ทุกทิศทาง
2. การเปลี่ยนขนาด การเพิ่มวงจร การเปลี่ยน
สายเคเบิ ล ใต้ ดิ น ที่ ช ารุ ด สามารถท าได้
สะดวกในท่อสารองที่ออกแบบเตรียมไว้
3. เมื่ อ เกิ ด การลั ด วงจร จะไม่ ท าให้ ว งจร
ข้างเคียงเสียหาย
4. การดัดโค้งหลบหลีกอุปสรรค ทาได้ง่ายกว่า
วิธีกลุ่มท่อคอนกรีต
ข้อดี ข้อเสีย
1. สายเคเบิลใต้ดินมีความมั่นคงปลอดภัยสูง 1. ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างมาก
โดยคอนกรี ต เสริ ม เหล็ ก ที่ หุ้ ม ท่ อ จะช่ ว ย 2. ความสามารถในการนากระแสจะลดลง
ป้องกันผลกระทบทางกลจากการขุดเจาะ เมื่อจานวนวงจรเพิ่มมากขึ้น
2. การเปลี่ยนขนาด การเพิ่มวงจร การเปลี่ยน
สายเคเบิ ล ใต้ ดิ น ที่ ช ารุ ด สามารถท าได้
สะดวกในท่อสารองที่ออกแบบเตรียมไว้
3. เมื่ อ เกิ ด การลั ด วงจร จะไม่ ท าให้ ว งจร
ข้างเคียงเสียหาย
4. รองรับวงจรได้มากในพื้นที่จากัด
13
ข้อดี ข้อเสีย
1. ก่อสร้างได้รวดเร็วกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับ 1. จุ ด ต่ อ ระหว่ า งท่ อ ร้ อ ยสายทุ ก ๆ 3 ม.
วิธีกลุ่มท่อหุ้มคอนกรีต ลดระยะเวลาในการ หากก่ อ สร้ า งบริ เ วณจุ ด ต่ อ ของแต่ ล ะ
เปิดหน้าดินและการกีดขวางการจราจร ท่อนไม่เรียบร้อยอาจเป็นอุปสรรคในการ
2. สายเคเบิลใต้ดินมีความมั่นคงปลอดภัยสูง ดึงลากสาย
โดยคอนกรี ต เสริ ม เหล็ ก ที่ หุ้ ม ท่ อ จะช่ ว ย 2. ความสามารถในการนากระแสของสาย
ป้องกันผลกระทบทางกลจากการขุดเจาะ เคเบิ ล จะลดลงเมื่ อ จ านวนวงจรเพิ่ ม
3. การเปลี่ยนขนาด การเพิ่มวงจร การเปลี่ยน มากขึ้น
สายเคเบิ ล ใต้ ดิ น ที่ ช ารุ ด สามารถท าได้ 3. กรณีที่มีจานวนมาก จะทาให้โครงสร้าง
สะดวกในท่อสารองที่ออกแบบเตรียมไว้ แต่ล ะท่อนมีขนาดใหญ่และรับน้าหนั ก
4. เมื่ อ เกิ ด การลั ด วงจร จะไม่ ท าให้ ว งจร มาก ต้องใช้เครื่องจักรหนักในการยก
ข้างเคียงเสียหาย
5. รองรับจานวนวงจรได้ไม่มากในพื้นที่จากัด
14
ข้อดี ข้อเสีย
1. มีความรวดเร็วในการก่อสร้าง ลดปัญหากีด 1. มีปัญหาในการระบุตาแหน่งและความ
ขวางการจราจร และด าเนิ น การก่อ สร้า ง ลึกของแนวสายเคเบิลใต้ดินหลังก่อสร้าง
เป็นช่วงๆ ได้ เสร็จ
2. การเปลี่ยนขนาด เพิ่มวงจร การเปลี่ยนสาย 2. ไม่ มีก ารป้ องกั นผลกระทบทางกลจาก
เคเบิลใต้ดินที่ชารุด สามารถทาได้สะดวกใน การขุดเจาะทุกทิศทาง
ท่อสารองที่ออกแบบไว้ 3. หากแนวเจาะตื้นเกินไป พื้นผิวด้านบน
3. สามารถก่อสร้ างหลบเลี่ ย งอุป สรรคต่างๆ อาจเกิดการยุบตัว ทาให้เสียหายได้
ที่อยู่ใต้ดินได้
16
ข้อดี ข้อเสีย
1. สายเคเบิลใต้ดินมีความมั่นคงปลอดภัยสูง โดย 1. ความสามารถในการน ากระแสของสาย
ท่อ เหล็ ก หรื อ ท่อ คอนกรี ต ขนาดใหญ่จ ะช่ ว ย เคเบิลจะลดลงเมื่อจานวนวงจรเพิ่มมากขึ้น
ป้องกันผลกระทบทางกลจากการขุดเจาะ 2. ค่ า ใช้ จ่ า ยสู ง มากเมื่ อ เปรี ย บเที ย บกั บ การ
2. การเปลี่ ย นขนาด การเพิ่ม วงจร การเปลี่ ย น ก่อสร้างแบบอื่นๆ
สายเคเบิลใต้ดินที่ชารุด สามารถทาได้สะดวก
ในท่อสารองที่ออกแบบเตรียมไว้
3. เมื่อเกิดการลัดวงจร จะไม่ทาให้วงจรข้างเคียง
เสียหาย
4. รองรับจานวนวงจรได้มาก
5. ลดปั ญ หาการกี ด ขวางการจราจร และ
ดาเนินการก่อสร้างเป็นช่วงๆ ได้
ข้อดี ข้อเสีย
1. สายเคเบิ ล ใต้ ดิ น มี ค วามมั่ น คงปลอดภั ย สู ง 1. อาจมี ปั ญ หาเรื่ อ งการคว บคุ ม ทิ ศ ทาง
โดยท่ อ เหล็ ก ชุ บ สั ง กะสี จ ะช่ ว ยป้ อ งกั น การดันท่อ
ผลกระทบทางกลจากการขุดเจาะ
2. การเปลี่ยนขนาด การเพิ่มวงจร การเปลี่ยน
สายเคเบิลใต้ดินที่ชารุด สามารถทาได้สะดวก
ในท่อสารองที่ออกแบบเตรียมไว้
3. เมื่อเกิดการลัดวงจร จะไม่ทาให้วงจรข้างเคียง
เสียหาย
ท่อร้อยสายไฟ
ท่ อ ร้ อ ยสายเคเบิ ล ที่ ใ ช้ ใ นงานก่ อ สร้ า งเคเบิ ล ใต้ ดิ น มี ด้ ว ยกั น หลายชนิ ด เช่ น ท่ อ HDPE,
ท่อ Corrugate และ ท่อ Fiberglass หรือท่อ RTRC ท่อแต่ละชนิดจะมีคุณสมบัติที่ดีแตกต่างกันไปดังนี้
ท่อ HDPE (High-Density Polyethylene)
ท่อชนิดนี้ใช้ในงานร้อยสายเคเบิลใต้ดินกันมากที่สุดใน กฟภ. เนื่องจากมีคุณสมบัติที่ดีหลาย
อย่างเช่น ความสามารถรับแรงกดได้ดีมีผู้ผลิตหลายราย และราคาถูกกว่าท่อชนิดอื่นๆ ท่อชนิดนี้ ณ
ปัจจุบันผลิตขึ้นตาม มอก. 982-2556 ซึ่งใช้เป็นท่อน้าดื่ม แต่นามาประยุกต์ใช้ ในงานร้อยสายเคเบิลใต้ดิน
ขนาดของท่อกาหนดตามขนาดของ Outside Diameter แบ่งออกได้หลายชั้นคุณภาพ แต่ที่ กฟภ.ใช้อยู่คือ
ชั้นคุณภาพ PN 8 สาหรับงานวางท่อแบบ Semi Burial และ ชั้นคุณภาพ PN 10 สาหรับงานวางท่อแบบ
HDD ดังรูปที่ 1.28
20
ตามมาตรฐาน National Electric Code Handbook 1999 (NEC) ในหัวข้อ Article 347-
Nonmetallic Conduit ได้เรียกชื่อท่อ Reinforced Thermosetting Resin Conduit ไว้หลายชื่อ คือ
Rigid Nonmetallic Fiberglass Conduit หรือ Fiberglass Reinforced Epoxy Conduit โดยได้แบ่ง
ประเภทของท่อ RTRC ไว้ 2 ชนิดคือ
- RTRC Type BG ใช้สาหรับงานฝังดินโดยตรงจะมีคอนกรีตห่อหุ้มตัวท่อหรือ
ไม่มีก็ได้ ( BG = Below Ground)
- RTRC Type AG ใช้สาหรับงานวางเหนือดินหรือฝังดิน ถ้าฝังดินจะมีคอนกรีต
ห่อหุ้มตัวท่อหรือไม่มีก็ได้ ใช้ในสถานที่ที่มิดชิดหรือเปิดโล่งก็ได้ (แต่ต้องไม่มีแรงใด
มากระทาให้ท่อเสียหาย) ( AG = Above Ground)
* ข้อมูลผลการทดสอบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Reference No. SPT-005/40 วันที่ 10 มีนาคม 2540
** ใช้ค่าตาม IEEE 525-1992 หน้า 36
ท่อเหล็ก
ท่อเหล็กเป็นท่อร้อยสายไฟฟ้าเหล็กกล้าเคลือบสังกะสีประเภทที่ 3 (ผนังท่อหนา) สอดคล้องตาม
มอก. 770 หรื อเทีย บเท่า และในบริ เวณที่ ไม่ รับแรงกดทับ จะใช้ ท่อ ประเภท IMC เช่น บริ เวณท่ อขึ้ น
ของ Service Line
ท่อ PVC
ท่อ PVC เป็นท่อร้อยสายไฟฟ้าพีวีซีแข็ง สอดคล้องตาม มอก.216 หรือเทียบเท่า และใช้สาหรับ
ร้อยสายเคเบิลใต้ดินแรงต่า 400/230 V เท่านั้น
1.4 รูปแบบการก่อสร้างงานไฟฟ้า
ในการออกแบบงานไฟฟ้านั้น จะมี อุปกรณ์หลั ก ๆ คือ สายเคเบิ ลใต้ดิ น อุปกรณ์ต่ อสาย
ต้น Riser Pole อุปกรณ์สวิชชิ่งหม้อแปลง และตู้จ่ายไฟแรงต่า อุปกรณ์สาหรับ Service ลูกค้า ดังรูปที่ 1.32
23
สายเคเบิลใต้ดิน
สายเคเบิลใต้ดินที่ใช้งานในการไฟฟ้าต่างๆ มีหลายชนิด ในช่วงเวลา 10 ปี ก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่
ใช้ชนิด ฉนวนกระดาษ-น้ามัน ฉนวนกระดาษและก๊าซ ฉนวน XLPE , PE หรือ EPR แต่ในช่วงหลังนี้
ส่วนใหญ่นิยมใช้สายเคเบิลชนิดฉนวน XLPE มากขึ้น เดิมสายเคเบิลใต้ดินชนิดฉนวน Low pressure
oil fill ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถใช้งานได้อย่างมีความเชื่อถือได้สูงตลอด 40 กว่าปีที่ผ่านมา อย่างไรก็
ดีในช่วงการติดตั้งและใช้งานจาเป็นต้องใช้พนักงานที่มีประสบการณ์ สูงและมีระบบการควบคุมที่ยุ่งยาก
และเมื่อน้ามันเกิดรั่ว อาจทาให้เกิดการลัดวงจรและเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม ฉนวน XLPE จึงถูกนามาใช้งาน
มากขึ้นเนื่ องจากการติดตั้ง การใช้งาน และการบารุงรักษาไม่ยุ่งยาก ปัจจุบันสายเคเบิล ใต้ดินที่ กฟภ.
ใช้งานเป็นชนิดฉนวน XLPE ทั้งระดับแรงดันปานกลาง (Medium voltage cables) 22-33 kV และ
แรงดันสูง (High voltage cables) 115 kV (กฟภ.จัดหาสายเคเบิลตามสเปคเลขที่ R-777/2539 สาหรับ
สาย 22-33 kV และสเปคเลขที่ R-500/2544 สาหรับสาย 115 kV ) ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังรูปที่ 1.33-1.34
โครงสร้างของสายไฟฟ้าใต้ดิน
1) Conductor (ตัวนา) ทาหน้าที่นากระแสไฟฟ้า ทาจากอะลูมิเนียมหรือทองแดง มีหลาย
ลักษณะดังนี้
1.1) Solid Conductor ใช้เป็นตัวนาของสายไฟฟ้าขนาดเล็ก ไม่นิยมใช้ในสายขนาดใหญ่
เนื่องจากดัดงอได้ยาก
1.2) Round Strand Conductor (ตัวนาตีเกลียว) ใช้เป็นตัวนาของสายไฟฟ้าทั่วๆ ไป
และสายเปลือย
24
2.2 ข้อมูลปริมาณการใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ในพื้นที่
ในการออกแบบเคเบิ ล ใต้ดิน ต้องมีข้อมูล ในด้านระบบไฟฟ้า มาช่ว ยประกอบรายการคานวณ
ก่อนดาเนินการสารวจ จึงจาเป็นต้องมีข้อมูลการใช้ไฟฟ้าภายในพื้นที่ ได้แก่ การใช้กาลังไฟฟ้าสูงสุดของ
สถานีไฟฟ้า การใช้ไฟฟ้าสูงสุดของแต่ละสายป้อน (Feeder), ขนาดและจานวนของหม้อแปลงรวมถึงโหลด
สูงสุดของหม้อแปลงทั้งของผู้ใช้ไฟและของ กฟภ. ในบริเวณที่จะต้องปรับปรุงเป็นเคเบิลใต้ดิน สาหรับ
ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้สามารถสอบถามได้จาก การไฟฟ้าฯ ในแต่ละพื้นที่
2.3 การสารวจเบื้องต้นและร่วมประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เมื่อรวบรวมข้อมูลเบื้องต้นแล้ว จากนั้นจึงทาการสารวจสภาพพื้นที่เบื้องต้น โดยจะเน้นในส่วน
ที่คาดว่าจะเกิดปัญหาขึ้น หลังจากนั้นจึงนาข้อมูลที่ได้มาใช้ในการประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
เทศบาล หน่วยงานระบบสื่อสาร หน่วยงานท้องถิ่นต่าง ๆ เพื่อขอข้อมูลและแผนผังระบบสาธารณูปโภค
ภายในพื้นที่ พร้อมร่วมกาหนดแนวทางในการก่อสร้างโครงการเคเบิลใต้ดิน
37
2.4 การสารวจงานก่อสร้างเคเบิลใต้ดิน
หลังจากได้มีการสรุปแนวทางการก่อสร้างจากที่ประชุมแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการสารวจสภาพ
พื้นที่ก่อสร้าง เพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ ที่มีความจาเป็นต่อการออกแบบ ซึ่งข้อมูลสาคัญที่ได้จากการสารวจ
จะประกอบไปด้วย
2.4.1 ข้อมูลระบบไฟฟ้าและสภาพการจ่ายไฟเดิม
ผู้สารวจจะต้องเก็บข้อมูลของระบบไฟฟ้าบริเวณพื้นที่ก่อสร้างเคเบิลใต้ดิน เช่น การจ่ายไฟ
ระบบ 22 เควี และระบบแรงต่า จ านวนวงจร ชนิดและขนาดสายตัว นาเป็นเท่าใด ขนาดและจานวน
หม้อแปลงในพืน้ ที่ก่อสร้างทั้งของ กฟภ. และผู้ใช้ไฟ จุดรับไฟเดิมของบ้านแต่ละหลัง ตลอดจนโหลดทั้งหมด
ในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ซึ่งจะพบว่าการเก็บข้อมูลทั้ง หมดจะใช้เวลาค่อนข้างมาก ดังนั้น การศึกษาข้อมูล
ทางกายภาพจากโปรแกรมทางภูมิศาสตร์ และข้อมูลระบบไฟฟ้าจากโปรแกรม GIS มาประกอบ จะช่วย
ลดเวลาในการทางาน และข้อมูล ที่ได้มีความถูกต้องมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การถ่ายภาพพื้นที่สารวจไว้
จะช่วยให้การเก็บรายละเอียดและข้อมูลของพื้นที่ครบถ้วน และมีความถูกต้องมากยิ่งขึ้น
จุดรับไฟเดิม
สภาพการจ่ายไฟเดิม
2.4.2 ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ก่อสร้าง
สภาพของพื้ น ที่ ก่ อ สร้ า ง เช่ น ความหนาแน่ น ของชุ ม ชน ขนาดและลั ก ษณะของตึ ก
หรืออาคาร ระยะเขตทาง ความกว้างถนน ความกว้างทางเท้า จะเป็นตั วกาหนดแนววางเคเบิลใต้ดิน และ
วิธีการที่จะก่อสร้างเคเบิลใต้ดินที่เหมาะสม โดยในการพิจารณาอาจใช้พื้นที่ ทางเท้าก่อนเป็นอันดับแรก
แต่ถ้าพื้นที่ไม่เพียงพอ อาจจะต้องพิจารณาวางสายเคเบิลอยู่ใต้ผิวจราจร ต่อไป
2.4.3 ข้อมูลความต้องการใช้ไฟฟ้าในปัจจุบันและการพยากรณ์การใช้ไฟฟ้าในอนาคต
ในการออกแบบขนาดของอุปกรณ์ต่างๆ การกาหนดรูปแบบจ่ายไฟที่เหมาะสม จะพิจารณา
จากข้อมูลการใช้งานของโหลดภายในพื้นที่ แต่ระบบเคเบิลใต้ดินนั้น เมื่อก่อสร้างแล้วการปรับปรุงรูปแบบ
การจ่ายไฟใหม่จะทาได้โดยยาก เพื่อเป็นการลดปัญหาดังกล่าว จึงจาเป็นต้องมีการวางแผนการจ่ายไฟ
ไว้อย่างน้อย 5 ปี ล่วงหน้า โดยจะต้องมีการคานวณเผื่อขนาดโหลดซึ่งสามารถดูได้จากตัวอย่างของรายการ
คานวณ
2.4.4 ข้อมูลระบบสาธารณูปโภคเดิมที่อยู่ใต้ดิน
สาหรับข้อมูลสาธารณูปโภคใต้ดิน ผู้สารวจต้องประสานงานและขอข้อมูลจากหน่วยงาน
ที่เกี่ย วข้อง ตามที่กล่าวมาข้างต้น แต่บางครั้งข้อมูลที่ได้รับอาจไม่ครบถ้วน จึงจาเป็นต้องมีการส ารวจ
แนวสาธารณูปโภคต่างๆ โดยอาศัยการสังเกตแนวฝาท่อสาธารณูปโภค หรือป้ายแสดงคาเตือน
39
แนวท่ อระบายนา้
2.4.7 ข้อมูลอื่นๆที่เป็นประโยชน์
ได้ แ ก่ ข้ อ มู ล สภาพการจราจรในพื้น ที่ ในแต่ ล ะช่ ว งเวลา หรื อ ระยะเวลาที่ จ ะสามารถ
ดาเนินการก่อสร้างเคเบิลใต้ดินได้ เพื่อที่จะได้ร่วมกาหนดแนวทางการก่อสร้างเคเบิลใต้ดิน เพื่อให้เกิดผล
กระทบต่อประชาชนภายในพื้นที่น้อยที่สุด
2.5. การเลือกตาแหน่งติดตั้งอุปกรณ์
ในการส ารวจพื้ น ที่นั้ น จะต้องกาหนดจุด ที่จะติ ดตั้ง อุ ปกรณ์ต่า ง ๆ ของระบบเคเบิล ใต้ ดิน อั น
ประกอบไปด้วย
2.5.1 อุปกรณ์สาหรับระบบแรงต่า
1. Service Line (SL) เป็นอุปกรณ์สาหรับเชื่อมต่อระบบเคเบิลใต้ดิน เข้ากับบ้านแต่ละหลัง
หรืออาคารพาณิชย์ โดยจะเชื่อมเข้ากับจุดรับไฟ หรือเมนชายคาเดิม จะเลือกบริเวณตาแหน่งเสาเดิมและ
ใกล้หม้อแปลง เพื่อป้องกันการไหลย้อนของกระแสไฟฟ้า(ลดหน่วยสูญเสียในระบบ) ตามการประกอบเลขที่
7405 สาหรับการกาหนดจุดติดตั้งนั้น ให้พิจารณาว่ามีพื้ นที่ติดตั้งหรือไม่ เพราะตู้เบรกเกอร์ของ Service
Line มีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ จุดนาสายขึ้ นจากใต้ดินติดสาธารณูปโภคอื่นๆหรือไม่ และถ้าต้องทุบและคืน
สภาพค่าใช้จ่ายที่ต้องดาเนินการสูงไปหรือไม่ เช่น ทุบพื้นหินแกรนิต หรือ ผนังร้านทอง นอกจากนี้ควร
คานึงถึงเรื่องระยะทาง เพื่อป้องกันปัญหาแรงดันตกเกินค่ามาตรฐานซึ่งกาหนดไว้ที่ 8%
2. Riser Pole Low Voltage (RL) เป็นอุปกรณ์เชื่อมต่อสายเคเบิลใต้ดินเข้ากับสาย
จาหน่ายของระบบเหนือดินเดิม ตามการประกอบเลขที่ 7422 การติดตั้ง RL ควรจะอยู่ในตาแหน่งที่
ไม่บดบังทัศนียภาพ บริเวณโครงการ และการก่อสร้างไม่ติดแนวสาธารณูปโภคใต้ดิน จึงเลือกติดตั้ง RL
เข้าไปในซอยลึกประมาณ 10 เมตร หรือตามความเหมาะสม
รูปที่ 2.8 ชุด Riser Pole Low Voltage (ซ้าย) และ ชุด Service Line (ขวา)
41
2.5.2 หม้อแปลงจาหน่าย
การพิจารณาติดตั้งหม้อแปลง เนื่องจากโครงการเคเบิลใต้ดินของ กฟภ. ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในบริเวณ
ใจกลางเมืองหรือศูนย์กลางการท่องเที่ยว ดังนั้นระบบไฟฟ้าบริเวณนั้นต้องมีความมั่นคง สามารถถ่ายเท
โหลดได้เวลาเกิดปัญหา อีกทั้งหม้อแปลงผู้ใช้ไฟเฉพาะรายที่มีขนาดไม่เกิน 250 kVA บางรายจะติดตั้งอยู่
บนที่สาธารณะทาให้ต้องยุบจ่ายไฟด้วยแรงต่าแทน ดังนั้นหม้อแปลงที่ใช้ในการออกแบบส่วนใหญ่จะมี
ขนาดใหญ่โดยประมาณ 315 kVA - 500 kVA ซึ่งต้องติดตั้งบนนั่งร้านหม้อแปลง ทาให้เวลาพิจารณาจุด
ติดตั้งต้องพยายามหาจุดติดตั้งตามซอย , ที่สาธารณะ หรือที่ส่วนราชการในการติดตั้ง โดยปกติจะติดตั้ง
ในซอย ซึ่งจะเข้าซอยไปโดยประมาณ 10-20 เมตร แต่ถ้าไม่มีพื้นที่ต้องเข้าไปลึกกว่านั้นก็ต้องพิจารณาถึง
แรงดันตกที่จะเกิดขึ้นด้วยว่าเป็นไปตามมาตรฐานหรือไม่ ซึ่งมีรูปแบบการติดตั้ง 2 รูปแบบ
1. Compact Unit Substation เป็นอุปกรณ์ที่มีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ห้องแรงสูง
จะบรรจุ RMU ไว้ตัดต่อระบบแรงสูง ห้องหม้อแปลงไว้บรรจุหม้อแปลง และห้องแรงต่าจะบรรจุอุปกรณ์
ป้ อ งกั น แรงต่ า จะพิ จ ารณาเลื อ กใช้ เ ป็ น อั น ดั บ แรกส าหรั บ ติ ด ตั้ ง หม้ อ แปลงในกรณี ที่ มี พื้ น ที่ เ พี ย งพอ
โดยทั่ว ไปจะดาเนิ น การของติ ดตั้งในพื้ นที่ราชการ เช่น วัด โรงเรียน โรงพยาบาล เทศบาลฯ เป็นต้ น
เพราะจาเป็นต้องใช้พื้นที่ติดตั้งค่อนข้างมาก (การติดตั้งซึ่งใช้พื้นที่โดยประมาณ กว้างxยาว = 3x4 เมตร)
≤ 260m. TB ≤ 260m. TB
TB
3.2 การคานวณขนาดหม้อแปลง
จากขั้นตอนที่แล้ ว เราจะได้ Single Line แรงต่า และโหลดประเมินของจุด Service
Customer แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการจัดวางตาแหน่งหม้อแปลงให้เหมาะสมลงในแบบและ single line
แรงต่า เพื่อใช้ในการคานวณขนาดหม้อแปลงติดตั้งที่เหมาะสม โดยมีขั้นตอนดังนี้
- กาหนดตาแหน่งหม้อแปลงลงในแบบแผนผัง โดยทั่วไปกาหนดให้หม้อแปลงแต่ ละเครื่องมี
ระยะห่างกันโดยประมาณ 500 เมตร เนื่องจากสายเคเบิลใต้ดินแรงต่าสูงสุดที่ใช้คือขนาด 185 ต.มม. ชนิด
CV ซึ่งสามารถจ่ายโหลดได้ประมาณ 300 A ที่ระยะทาง 260 เมตร แล้วแรงดันตกไม่เกิน 5% ดังรูป 3.1
49
3.3 การพิจารณาเลือกขนาดสายเคเบิลใต้ดินและแรงดันตก
3.3.1 การเลือกขนาดสายเคเบิลใต้ดินแรงต่า
เมื่อได้แบบแผนผังและ Single line แรงต่า ซึ่งมีการกาหนดขนาดโหลดที่ประเมินไว้แล้ว
ขั้นตอนต่อไปให้ทาการเลือกขนาดสายไฟฟ้าตามขนาดโหลดที่เหมาะสม โดยที่สายเมนโดยปกติเราจะใช้
ขนาด 185 CV ซึ่งสามารถรองรับกระแสสูงสุดได้ 300 A เนื่องจากในการออกแบบเรากาหนดว่าต้อง
สามารถถ่ายเทโหลดไปช่วยจ่ายหม้อแปลงเครื่องข้างเคียง กรณีเ กิดความเสียหายกับหม้อแปลงเครื่องนั้น
(N-1) จึงทาให้ เราต้องประเมิน ว่าสามารถจ่ายโหลดในแต่ล ะฟีดเดอร์รวมกันทั้งสภาวะฉุกเฉินได้ไม่เกิน
300 A (บางกรณีอาจจะเกินได้แต่ไม่เกิน 360 A) โดยพิกัดกระแสสูงสุดของสายไฟแต่ล ะขนาดสามารถดูได้
จากมาตรฐานเลขที่ 7121 ดังรูปที่ 3.4 ซึ่งกรณีที่ส ายเมนขนาด 185 CV ไม่สามารถรองรับกระแส
ขณะถ่ายเทโหลดได้ จาเป็นต้องมีการเพิ่มวงจรแรงต่าเพื่อให้สามารถถ่ายเทโหลดได้ตามความเหมาะสม
หลังจากนั้นให้พิจารณาแรงดันตกที่ไม่เกิน 5 % โดยดูตามมาตรฐาน เลขที่ 7123 ดังรูปที่ 3.5
51
S S S S
S
185 SAC
C
185 SAC
Source 1 240 XLPE 240 XLPE
Source 2
โดยวงจรแรงสู ง นี้ จะน าเข้ า เฉพาะซอยที่ มี แ รงสู ง เข้ า หรื อ มี ห ม้ อ แปลงที่ ต้ อ งรั บ ไฟแรงสู ง
และบริเวณที่มีผู้ใช้ไฟแรงสูง ซึ่งจะต้องมีแหล่งจ่ายไฟ (Source) อย่างน้อย 2 แหล่งจ่าย ที่เข้ามาจ่ายไฟ
บริเวณโครงการเพื่อความมั่นคงของระบบ (N-1) ในวงจรสายสาหรับผู้ใช้ไฟนั้น บริเวณต้นทางจะติดตั้ง
อุปกรณ์ตัดตอนเพื่อป้องกันกระแสเกิน เช่น Fuse (สาหรับต้น Riser Pole หรือ RMU ) หรือ Circuit
Breaker (สาหรับ RMU)
โดยปกติสายเคเบิลใต้ดินแรงสูงที่ กฟภ. ใช้จะมีอยู่ประมาณ 5 ขนาด คือ 50 , 95 , 240 (ใช้เป็น
สายเมน) , 400 (ใช้บริเวณหน้าสถานี) และ 500 ต.มม. (ใช้กับวงจร incoming) แต่เราก็สามารถออกแบบ
ให้ใช้สายเคเบิลใต้ดินแรงสูงขนาดอื่นๆได้ตามความเหมาะสมของโหลดที่เราออกแบบ
สาหรับแรงดันตกภายในสายเคเบิลใต้ดินของระบบจาหน่ายแรงสูงนั้น จะพิจารณาโดยการจาลอง
ระบบโดยใช้โปรแกรม Load Flow (DIGSILENT) แต่โดยทั่วไปการปรับปรุงระบบจาหน่ายเดิมจากระบบ
เหนือดินเป็นเคเบิลใต้ดิน ค่าแรงดันตกภายในสายจะมีค่าลดลงเนื่องจากค่าอิมพีแดนซ์ ของสายเคเบิลใต้ดิน
มีค่าน้อยกว่าสายเคเบิลอากาศ
3.4 การเลือกท่อร้อยสายไฟและแรงดึงสาย
เมื่อได้ขนาดสายไฟที่เราออกแบบไว้แล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการเลือกท่อสาหรับร้อยสายไฟ ซึ่งมี
กาหนดที่ต้องพิจารณาดังนี้
- จานวนท่อ
- ชนิดและขนาดท่อร้อยสายไฟ
- การคานวณแรงดึงสาย
54
จานวนท่อร้อยสายไฟ
ในการพิจารณาจานวนท่อร้อยสายไฟนั้น จะพิจารณาจากจานวนสายไฟที่ใช้ โดยมีข้อพิจารณา
ดังตารางที่ 3.1
ชนิดและขนาดท่อร้อยสายไฟ
โดยทั่วไป กฟภ. จะพิจารณาใช้ท่ออโลหะชนิด HDPE ในการร้อยสายเคเบิลใต้ดิน แต่ถ้ามีกรณี
พิเศษก็สามารถเลือกท่อร้อยสายไฟชนิดอื่นๆ ได้ เช่น ท่อเหล็ก (กรณีที่ต้องรับแรงหรือมีความเสี่ยงต่อการ
ขุดเจาะมาก) หรือท่อ RTRC ซึ่งมีความทนทานและไม่ลามไฟ (ท่อ RTRC ใช้ กรณีมีจำนวนวงจรมำกๆ
และมีรูปแบบกำรก่อสร้ ำงที่เสี่ยงต่อการลามไฟ ทาให้วงจรอื่นๆ เสียหายด้วย) โดยขนาดท่อร้อยสายไฟ
ให้พิจารณาจาก Percent Area Filled (PAF) , ค่า Jam Ratio (กรณีร้อยสายมากกว่า 1 เส้นในท่อ) และ
ค่า Clearance ซึ่งมีการพิจารณาดังนี้
พื้นที่หน้าตัดรวมภายนอกของสาย
พื้นที่หน้าตัดภายในของท่อ
(3.1)
โดยที่ n = จานวนสายเคเบิลใต้ดินในท่อ
d = เส้นผ่าศูนย์กลางภายนอกของสายเคเบิลใต้ดินหน่วย : มม.
D = เส้นผ่าศูนย์กลางภายในของท่อร้อยสายไฟหน่วย : มม.
55
Jam Ratio
Jam Ratio เป็นอัตราส่วนที่บ่งบอกความเสี่ยงของการขัดกันเวลาดึงสายเคเบิลที่มากกว่า
1 เส้น โดยใน IEEE 525-2007 ได้ให้นิยามค่าไว้ดังรูปที่ 3.7
Clearance
ค่า Clearance เป็นค่าที่บอกถึงช่องว่างระหว่างสายด้านบนสุดกับผนังภายในของท่อ ซึ่งต้องมีค่า
ไม่น้อยกว่า 0.5 นิ้ว ซึ่งสามารถหาได้จากสูตรดังนี้
- ( - ) √ -( ) (3.4)
-
การคานวณแรงดึงสาย
ในการลากดึงสายเคเบิลในท่อนั้น เราต้องคานึงถึงแรงดึงสายเคเบิล (Pulling Tension) และ
ค่าแรงกดด้านข้าง (Side Wall Pressure) เพื่อป้องกันความเสียหายกับสายเคเบิลใต้ดิน ซึ่งจะทาให้อายุ
การใช้งานของสายเคเบิลใต้ดินน้อยลง หรืออาจจะเกิดลัดวงจรได้ ซึ่งพอสรุปวิธีการคานวณได้ดังนี้
- แบ่งช่วงของการดึงสายเคเบิลใต้ดินเป็นส่วน ๆ เช่นแยกทางตรงและทางโค้ง
- ให้ค่าแรงดึงเริ่มต้นเท่ากับ 100 kg. เป็นค่าแรงดึงทาให้ Roll สายเคเบิลเริ่มหมุน
- ค่าความเสียดทานให้มีค่าอยู่ในช่วง 0.15-0.35 โดยปกติให้ใช้ค่า 0.25 กรณี จะใช้ค่า
น้อยกว่า 0.25 ต้องระบุว่าต้องใส่สารหล่อลื่นเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ
- หาค่า Weight - Correction Factor (C)
- คานวณค่าแรงดึง โดยแรงดึงเริ่มต้นของช่ว งคือแรงดึงที่คานวณได้จากช่วงก่อนหน้า
ซึ่งต้องมีค่าไม่เกินค่าสูงสุดที่ยอมรับได้ตามมาตรฐานของ กฟภ.
- คานวณค่าแรงกดด้านข้าง โดยให้คานวณในช่วงทางโค้ง ซึ่งต้องมีค่าไม่เกินค่าสู งสุ ด
ที่ยอมรับได้ตามมาตรฐานของ กฟภ. คือ 744 kg./m.
- แรงดึงที่คานวณได้เป็นแรงดึงในสาย แต่กรณีลากดึงสายจริง แรงดึงที่วัดได้เป็นค่าแรงดึง
ที่มิเตอร์ ซึ่งจะต้องทาการแปลงค่าเพื่อเปรียบเทียบอีกครั้งหนึ่ง
57
สูตรสาหรับคานวณแรงดึงสายเคเบิล
Weight - Correction Factor (C)
เมื่อมีการติดตั้งสายเคเบิลใต้ดินในช่องเดินสายไฟฟ้า และมีจานวนของสายเคเบิลใต้ดินมากกว่า
หนึ่ งเส้ น ในกรณีเ ช่น นี้ จ ะมีแ รงลั พธ์เ กิดขึ้ น โดยแรงลั พ ธ์ทั้ง หมดจะเกิดขึ้ นที่ระหว่า งสายเคเบิล ใต้ดิ น
กับท่อร้อยสาย ซึ่งจะมีค่ามากกว่าน้าหนักรวมทั้งหมดของสายเคเบิลใต้ดิน ดัง นั้น Weight - Correction
Factor จะกาหนดได้จาก Sum(F) / Sum(w) โดยที่ W จะหมายถึงน้าหนักของสายเคเบิลใต้ดิน
ในรูปที่ 3.8 เป็นการแสดงถึงการคานวณ Weight - Correction Factor ของสายเคเบิลใต้ดิน สองเส้นที่มี
เส้นผ่านศูนย์กลางเดียวกัน
W F1
F2 F1
1
1 1
ในกรณีที่ตัวนาเป็นอะลูมิเนียม จะมีค่าดังนี้
59
การจัดวางแบบกระทะหงาย การจัดวางแบบรูปสามเหลี่ยม
Tm = Km πt ( D – t ) (ปอนด์)
T = แรงดึงที่เกิดขึ้นจริ ง
M = ค่าที่อ่านได้จากมิเตอร์
= มุมของสลิง
รูปที่ 3.10 วิธีการติดตั้งมิเตอร์และการแปลงค่าที่วัดได้เพื่อเทียบเคียงกับค่าแรงดึงจากการคานวณ
R
T T
R
- ดึงเคเบิล 1 เส้น/ท่อ
SWP = Tout / R
- สาหรับสายเคเบิลใต้ดินแรงต่าและคอนโทรลเคเบิล
R (รัศมีส่วนโค้งของสายเคเบิลใต้ดิน) อย่างน้อยเท่ากับ 12 d
- สาหรับสายเคเบิลใต้ดินแรงสูง
R (รัศมีส่วนโค้งของสายเคเบิลใต้ดิน) อย่างน้อยเท่ากับ 15 d
การคานวณในเรื่องของสายเคเบิลใต้ดินในท่อร้อยสายไฟฟ้า
บทความนี้จะกล่าวถึงหัวข้อที่ควรระมัดระวังในการดึงลากสายเคเบิลใต้ดินและวิธีการคานวณแรงดึง
ที่จาเป็นต้องทราบเพื่อเป็นแนวทางในการควบคุมตรวจสอบ
1) แรงดึงสายทางตรง
สูตร T = WLCF
MH1 MH2
L
2) แรงดึงสายช่วงลาดเอียง
ROUTE OF DUCT
4) แรงดึงสายช่วงโค้งขึ้น-ลง
โดยจะแสดงค่าตัวแปรที่ใช้ในการคานวณแรงดึงสายทั้งหมด ตาม
ที่ 3.3 ซึ่งโดยปกติแรงดึงสายเคเบิลใต้ดิน ที่คานวณได้จากสมการช่วงทางโค้งแนวราบ (ข้อ 3) และช่วงโค้ง
ขึ้น-ลง (ข้อ 4) จะมีค่าใกล้เคียงกัน ดังนั้นเพื่อให้จดจาสู ตรได้ง่ายและสะดวกต่อการคานวณ ในทาง
ปฏิบัติการคานวณเรื่องแรงดึงสายเคเบิลใต้ดิน ส่วนมากจะใช้เพียง 3 สูตร คือสูตรในข้อ 1 , 2 และ 4
เท่านั้น
ตัวอย่างการคานวณแรงดึง
จากรูปให้ตรวจสอบว่าการดึงลากสายจะมีปัญหาหรือไม่
CB
ข้อมูล
1. ใช้สายเคเบิลใต้ดินขนาด 240 ต.มม มี OD. = 42 มม.
น้าหนัก = 12.18 กก. / กม. / 3 เส้น
2. ใช้ท่อ HDPE PN 6.3 ขนาด ID = 144.6 มม.
Friction (F) = 0.4
3. ใช้ Pulling Eye จับตัวนา ในการดึงลากสายเคเบิลใต้ดิน
หาค่า Percent Area Fill (PAF) โดยร้อยสายเคเบิล 3 เส้นต่อท่อ ค่า PAF ต้อง
ไม่เกิน 40 %
2
d
PAF n 100
D
2
42
PAF 3 100
144 . 6
PAF 25 . 309 % 40 % OK
หาค่า Jam Ratio
Jam Ratio = 1 . 05 D
d
144 . 6
= 1 . 05
42
= 3.615 > 3.0 OK
การดึงลากสายเคเบิลใต้ดินจะพิจารณาวิธีการดึง 2 วิธีคือ
วิธีที่ 1 ตั้ง Reel สายเคเบิลใต้ดินที่ Control Building ดึงจาก Control Building (CB) ไป D
TA = TIN + WLCF ; TIN = Reel Back Tension = 50 Kg
= 50 + (12.18 x 14.4 x 1.223 x 0.4)
= 135.80 kg
66
ตรวจสอบ
TMAX = 7.162 nAmm 2
= 7.162 x 2 x 240
= 3,437.76 kg
แต่จะใช้แรงดึงสายเคเบิลใต้ดิน ไม่เกิน 2,722 kg ดังนั้น 2,722 kg > 1,176.20 kg ..OK และ
ถ้าใช้ Pulling Grip จับที่เปลือกสาย จะไม่ผ่าน (1,176.20 kg > 2 x 453 kg ) )
SWP ( ที่จุด A-B ) = (3C-2)TB / 3R
= (3x1.223-2)x226.67 / (3x12.8)
= 9.85 kg / m < 450 kg / m OK
SWP ( ที่จุด C-D ) = (3C-2)TD / 3R
= (3x1.223-2)x1,176.20 / (3x1)
= 654.36 kg / m > 450 kg / m NO
TB = TC + WLCF
= 107.8 + ( 12.18 x 53.5 x 1.223 x 0.4 )
= 426.57 kg
TA = TB e CF ; = 60O x 3.1416 / 180O = 1.0472
= 426.57 x e 1.223x0.4x1.0472
= 711.99 kg
67
T CB = TA + WLCF
= 711.99 + (12.18 x 14.4 x 1.223 x 0.4)
= 797.79 kg
ตรวจสอบ
TMAX = 7.162 nAmm 2
= 7.162 x 2 x 240
= 3,437.76 kg
แต่จะใช้แรงดึงสายเคเบิลใต้ดินฯ ไม่เกิน 2,722 kg ดังนั้น 2,722 kg > 797.79 kg OK และถ้าใช้
Pulling Grip จับที่เปลือกสาย จะผ่านเช่นกัน (797.93 kg < 2 x 453 kg )
หนึ่งก็คือ ทิศทางที่ป้อนสายควรจะป้อนในจุดที่ใกล้ช่วงทางโค้งหรือที่จุดโค้งจะทาให้ลดแรงกดที่ผนังท่อ
ด้านในได้มาก
ข้อกาหนดการต่อลงดินสาหรับสายเคเบิลใต้ดินระบบ 115 kV
- การต่อลงดินข้างเดียว (Single-point Bonding) สาหรับระยะทางไม่เกิน 500 ม.
ก. ข.
ค.
รูปที่ 3.23 ก. และ ข. การต่อลงดินที่เสาต้น Riser Pole สาหรับระบบ 22 - 33 kV
ค. การต่อลงดินที่เสาต้น Riser Pole สาหรับระบบ 115 kV
75
อุปกรณ์ที่ใช้ต่อสายระหว่างสายเปลือยกับสายเคเบิลใต้ดินที่โผล่พ้นขึ้นมาเหนือดิน จะเรียกว่า
หัวเคเบิล (Termination) และเมื่อนาอุปกรณ์ไปติดตั้งอยู่บนเสาที่มีสายเคเบิลใต้ดินที่โผล่พ้นขึ้นมาเหนือดิน
ก็จ ะเรี ย กว่า เสาต้น Riser Pole ตามทฤษฎีที่จุดต่อสายระหว่างสายเปลื อยกับสายเคเบิล ใต้ดิน
หรือระหว่างสายที่มีฉนวนมีค่าไม่เท่ากัน จาเป็นจะต้องติดตั้งกับดักเสิร์จเพื่อป้องกันไม่ให้ฉนวนของสาย
เสียหายเนื่องจากแรงดันเสิร์จ (แรงดันสูงจากฟ้าผ่า จากการสับสวิตช์ หรืออื่นๆ) โดยจะรักษาระดับแรงดัน
ไว้ไม่ให้มีค่าเกินกว่าที่อุปกรณ์ทนได้ ดังนั้นที่เสาต้น Riser Pole จะมีการติดตั้งกับดักเสิร์จอยู่ด้วย
โดยด้านบนกับดักเสิร์จจะต่อเข้ากับสายตัวนา และด้านล่างจะต่อเข้ากับสายต่อลงดินของสายเคเบิลใต้ดิน
และทั้งคู่จะต่อเข้ากับสายต่อลงดินของระบบ เพื่อต่อเข้ากับหลักดินต่อไป
ตามที่ ไ ด้ ก ล่ า วไว้ แ ล้ ว ว่ า ที่ เ สาต้ น Riser Pole จะต้ อ งมี ค่ า ความต้ า นทานที่ ต่ า
ซึ่งตามมาตรฐาน กฟภ. จะกาหนดไว้ไม่เกิน 2 โอห์ม สาหรับระบบ 115 kV และไม่เกิน 5 โอห์มสาหรับ
ระบบจาหน่าย 22 & 33 kV (ยอมให้มีค่าไม่เกิน 25 โอห์ม สาหรับในพื้นที่ยากแก่การทาค่าความต้านทาน
ดิน) เพื่อให้แรงดันไฟฟ้าต่อดินมีค่าไม่เกินกว่าที่อุปกรณ์ไฟฟ้าบนเสาต้น Riser Pole จะทนได้
ข้อสาคัญสาหรับ กรณีการต่อลงดินของสายเคเบิลใต้ดินฯ ระบบ 115 kV ที่ให้ต่อลงดิน
ข้างเดียว (Single-point Bonding) ให้ต่อลงดินที่เสาต้น Riser Pole และปลายสายต่อลงดิน (Shield
Wire) อีกข้างหนึ่ง ให้ปล่อยลอยไว้ที่อีกหัวเคเบิล ภายในสถานีไฟฟ้า
3.6 การพิจารณาติดตั้งบ่อพักสาย
ชนิดของบ่อพักสายนั้น เราจะพิจารณาจากจานวนวงจรที่จะเดินท่อผ่าน และรัศมีความโค้ง
ของสาย ซึ่งเป็นข้อจากัดในการเลือกชนิดบ่อพักสาย เช่น บ่อพักสาย 2T-8 สามารถร้อยสายไฟได้ขนาด
สูงสุดไม่เกิน 400 ต.มม. สาหรับระบบ 22 เควี และ 240 ตร.มม. สาหรับระบบ 33 เควี เป็นต้น
ต าแหน่ ง บ่ อ พั ก สายนั้ น เราจะพิ จ ารณาจากการเลี้ ย วเข้ า ไปจ่ า ยโหลดให้ ผู้ ใ ช้ ไ ฟ
จากการพิจารณาแรงดึงแล้ วจ าเป็ นต้องต่อสาย หรือการพิจารณาค่า Grounding เมื่อพิ จารณาแล้ วทั้ ง
3 กรณี ตรงไหนจาเป็นต้องมีบ่อพักสาย ก็ดาเนินการติดตั้งบ่อพักสาย โดยปกติบ่อพักสายควรอยู่ห่างกันไม่
เกิน 250 เมตร แต่ส าหรั บเคเบิล ใต้ดิน เมืองใหญ่นั้น ควรจะมีระยะบ่อไม่เกิน 150 เมตร เพื่ออนาคต
ถ้ามีผู้ใช้ไฟเกิดขึ้นจะได้ไม่ต้องไปต่อสายที่ระยะทางไกลมาก ซึ่งจะทาให้ค่าก่อสร้างสูง
บทที่ 4
การประมาณราคา
การประมาณราคา จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือราคางานโยธาและราคางานไฟฟ้าโดย
2 งานนี้จะแบ่งย่อยออกเป็น 3 งานย่อยคือ แผนกแรงสูง แผนกหม้อแปลง และแผนกแรงต่่า
4.1 การถอดแบบ
เมื่อได้แบบแผนผังที่ออกแบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการถอดแบบประมาณ
ราคา ซึ่งมีความส่าคัญค่อนข้างมากเนื่องจากข้อมูลดังกล่าวจะใช้เป็นข้อมูลในการประมาณราคา ซึ่งได้มี
ตัวอย่างรูปแบบการถอดประมาณการ4.1 ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 แผนกดังนี้
- แผนกแรงสูง
- แผนกหม้อแปลง
- แผนกแรงต่่า
4.1
ตัวอย่างรูปแบบการถอดประมาณการ
77
4.2 การประมาณราคางานโยธา
ราคางานโยธาประกอบด้วย
แผนกแรงสูง - วิธีการก่อสร้าง - Duct Bank
- Semi- Direct Buried
- HDD (Horizontal Directional Drilling)
- Direct Burial
- บ่อพักสาย Manhole
- ท่อโค้งขึ้นเสา (Elbow)
- คืนสภาพถนน
- หลักบอกแนวสายเคเบิล
ถ้าออกแบบวิธีการก่อสร้างด้วยวิธีการเปิดหน้าดิน ผู้ประมาณการจะต้องคิดค่าคืนสภาพ
ถนนด้วยตามปริมาณที่ด่าเนินการ เช่นเดียวกับการวางบ่อพักสาย (Manhole) ก็จะต้องคิดค่าคืนสภาพ
ถนนด้วย ทั้งนี้การคิดค่าคืนสภาพถนนนั้น จะต้องสังเกตจากสภาพผิวถนนเดิมว่าเป็นถนนประเภทใด
4.3 การประมาณราคางานไฟฟ้า
ราคางานไฟฟ้าประกอบด้วย
แผนกแรงสูง - สายเคเบิลใต้ดินแรงสูง (22-33 kV)
- ชุด Riser
- Fault Indicator
78
- Termination Kit
- ชุดต่อสาย (Splice)
- เสาไฟฟ้า
- โครงเหล็กกั้นเสา (Steel guard)
- Separable Insulated Connector 3 way
ในส่วนของชุด Riser ตามเอกสารการประกอบเลขที่ 7603 และ 7611 นั้น ได้ถอดประมาณ
การจนถึง สวิตซ์ใบมีด ส่วนของหัวเสาบนสุดแยกออกมาเพื่อความสะดวก เพราะชุดหัวเสานั้นในแต่ละพื้นที่
มีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน ทั้งนี้ได้แยกชุดเข้า ปลายสาย (Termination Kits) ออกจากชุด Riser
เพราะจะได้มีการออกแบบสายเคเบิลใต้ดินได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
แผนกหม้อแปลง - Cable Ladder พร้อมตู้ Breaker ด้านหลังหม้อแปลง (งานไฟฟ้า)
- ชุดนั่งร้านหม้อแปลง
- ชุดหม้อแปลงแขวน
- หม้อแปลงไฟฟ้า
- Ring Main Unit (RMU) พร้อมชุด Termination Kits
- Compact Unit Substation พร้อมชุด Termination Kits
- ฟิวส์ลิงค์
- เสาไฟฟ้า
4.2
ตัวอย่างการขอราคางานโยธาจาก กบย.
79
4.3
ตามอนุมัติ ผวก. ลว. 4 มีนาคม 2549
4.4
ตามอนุมตั ิ ผวก. ลว. 22 ตุลาคม 2528
80
“ เงื่อนไขต่างๆ ที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องปฏิบัติ ”
1 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องก่อสร้างระบบจ่าหน่ายเคเบิลใต้ดินแรงสูง,แรงต่่า และ
หม้อแปลงตามแบบที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคออกแบบให้และจะต้องก่อสร้างตามมาตรฐานของการไฟฟ้าส่วน
ภู มิ ภ าค โดยอุ ป กรณ์ ที่ จ ะน่ า มาใช้ ง านต้ อ งผ่ า นการทดสอบคุ ณ ภาพจากการไฟฟ้ า ส่ ว นภู มิ ภ าคก่ อ น
ด่าเนินการติดตั้ง ทั้งนี้ จะต้องส่งรายชื่อวิศวกรผู้ควบคุมงานและบริษัทผู้รับจ้างให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ก่อนด่าเนินงานก่อสร้าง
2 การไฟฟ้ า ส่ ว นภู มิ ภ าคจะแต่ ง ตั้ ง ผู้ แ ทนของการไฟฟ้ า ส่ ว นภู มิ ภ าคเพื่ อ ควบคุ ม ดู แ ล
การก่อสร้างอย่างไรก็ตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังคงจะต้องรับผิดชอบต่ออุปัทวเหตุ หรือ ภยันตราย
ความเสี ยหายใดๆ ที่เกิดจากการปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น หรือ ผู้ รับจ้างขององค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่นเอง
3 กรณีที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีความจ่าเป็นต้องเปลี่ยนแปลง แก้ไข ระบบจ่าหน่ายเคเบิล
ใต้ดินแรงสูง,แรงต่่า และหม้อแปลง ระหว่างการก่อสร้างเพื่อความเหมาะสมและสอดคล้องกับการใช้ไฟ
องค์กรปกครองส่ ว นท้องถิ่น จะต้องด่าเนินการตามรูปแบบที่แก้ไขใหม่ โดยองค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น
เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด
4 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะต้องท่าสัญญารับประกันคุณภาพผลงานต่อการไฟฟ้าส่วน
ภูมิภาค ตามแบบฟอร์มที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคก่าหนดเพื่อรับประกันคุณภาพผลงานเป็นเวลาไม่น้อยกว่า
2 ปี ก่อนที่จะเข้าด่าเนินการก่อสร้าง
4.5
ตามอนุมตั ิ ผวก. ลว. 27 สิงหาคม 2557
4.6
ตัวอย่างหนังสือหนังสือสัญญารับประกันคุณภาพผลงาน
บทที่ 5
ตัวอย่างการออกแบบงานเคเบิลใต้ดิน
5.1 โครงการปรับปรุงระบบจาหน่ายเป็นแบบเคเบิลใต้ดินบริเวณถนนพระพันวษา (แยกเทศบาล
เมืองสุพรรณบุรี – แยกนางพิม) จ.สุพรรณบุรี
5.1.1 หน่วยงานเจ้าของโครงการ :
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (งานระบบไฟฟ้า), กรมการท่องเที่ยว (งานโยธา)
5.1.2 ลักษณะของโครงการ :
- เป็ น โครงการที่ ก รมการท่ อ งเที่ ย ว ขอให้ กฟภ. ช่ ว ยปรั บ ปรุ ง ภู มิ ทั ศ น์ แ ละพั ฒ นา
แหล่ ง ท่ อ งเที่ ย ว โดยเปลี่ ย นระบบจ่ า หน่ า ย 22 เควี และระบบแรงต่่ า 400 โวลต์
จากสายอากาศเป็ นระบบเคเบิลใต้ดิน บริเวณถนนพระพันวษา ระยะทางประมาณ
1.5 กิโลเมตร
- กฟภ. เป็ น ผู้ ส่ ารวจออกแบบ และประมาณการค่ าใช้จ่า ยในการปรับปรุงระบบไฟฟ้ า
เป็นแบบเคเบิลใต้ดิน
- กฟภ. ลงทุนและด่าเนินการก่อสร้างงานระบบไฟฟ้า กรมการท่องเที่ยวลงทุนและก่อสร้าง
งา นโ ยธ า โ ด ยก รม กา รท่ อง เที่ ยว จะ ต้ อ งก่ อส ร้ า งต าม แบ บแ ละ มา ตร ฐ า น
ของ กฟภ.
- กฟภ. จะแต่งตั้งผู้แทนส่าหรับควบคุมดูแลงานโยธาให้กรมการท่องเที่ยวอีกขั้นหนึ่ง
- เมื่ อ ก่ อสร้ า งงานโยธาแล้ ว เสร็จ กรมการท่ อ งเที่ ย วจะต้ อ งส่ ง มอบทรั พ ย์สิ น ให้ กฟภ.
จากนั้น กฟภ. จะด่าเนินการก่อสร้างงานระบบไฟฟ้า
5.1.3 ปริมาณงาน :
1) งานระบบไฟฟ้า
แผนกแรงสูง (งานเคเบิลใต้ดิน)
- ปั ก เสา คอร.ขนาด 12.00 เมตร, 12.20 เมตร จ่ านวน 1 ต้ น และ 6 ต้ น
ตามล่าดับ
- ติดตั้ง Riser Pole ส่าหรับเสา 12.00 - 12.20 เมตร จ่านวน 20 ชุด
- ร้ อยสายเคเบิ ล ใต้ดิ น XLPE ระบบ 22 เควี ตัว น่ าทองแดงชนิดแกนเดี่ย ว
ขนาด 50 ต.มม. และ 240 ต.มม. ระยะทาง 577 เมตร และ 1,428 เมตร
ตามล่าดับ
- ติดตั้ง Ring Main Unit (2 Switch 2 Fuse) จ่านวน 1 ชุด
- ติดตั้ง Fault Indicator จ่านวน 14 ชุด
แผนกหม้อแปลง
- รื้อถอนหม้อแปลงระบบ 3 เฟส 22,000 - 400/230 โวลต์ 100 เควีเอ จ่านวน
2 เครื่อง (ทรัพย์สินผู้ใช้ไฟ) แล้วน่ากลับมาใช้งานใหม่ทั้งหมด
- ปักเสา คอร. ขนาด 12.20 เมตร ประกอบชุดนั่งร้านหม้อแปลง จ่านวน 1 ต้น
พร้อมเทคอนกรีตหุ้มโคนเสา
82
แผนกแรงต่่าหลังมิเตอร์ (งานเคเบิลใต้ดิน)
- ก่อสร้างร้อยสายไฟฝังดินด้วยท่อ HDPE ชนิด PN.10 ขนาด 1-50 มม., 2-50 มม.
ระยะทาง 9 เมตร, 14 เมตร ตามล่าดับ
5.1.4 ขนาดของโครงการ :
แยกนางพิม
ข้อมูลทางกายภาพ
จาก Google Earth
เทศบาล
เมือง
สุพรรณบุรี
แยกเทศบาล
หอคอยบรรหารแจ่มใส
1.3) ปริมาณการใช้ไฟฟ้าและจ่านวนอุปกรณ์ในพื้นที่
การใช้ก่าลังไฟฟ้าสูงสุดของสถานีไฟฟ้าสุพรรณบุรี (ข้อมูลจากกองวิเคราะห์และ
วางแผนระบบไฟฟ้า)
1.4) ข้อมูลสาธารณูปโภคใต้ดินที่ได้รับจากเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี
จุดรับไฟเดิม
สภาพการจ่ายไฟเดิม
แนวของระบบสื่อสาร
แนวท่อระบายน้าและท่อดักน้าเสีย
ไปแยกเทศบาลฯ
ข้อดี
- เป็ น วิ ธี ก่ อ สร้ า งแบบไม่ เ ปิ ด หน้ า ดิ น จึ ง เหมาะส่ า หรั บ พื้ น ที่ ที่ ไ ม่ ส ามารถเปิ ด
หน้าดินได้
- เป็นการก่อสร้างโดยใช้หัวเจาะน่าร่อง แล้วดึงท่อกลับ (ท่อ HDPE)
- มีความสะดวก คล่องตัวในการท่างาน
- ลดปัญหาเรื่องการจราจรได้ดีกว่า วิธีเปิดหน้าดิน
89
- เป็นวิธีก่อสร้างแบบเปิดหน้าดิน เหมาะกับพื้นที่ที่มีระบบสาธารณูปโภคใต้ดิน
เป็นจ่านวนมาก
- เป็นคอนกรีตหุ้มหล่อส่าเร็จ ยาวท่อนละ 3 เมตร มีชุดข้อต่อเพื่อที่ จะน่าคอนกรีต
แต่ละท่อนมาต่อกัน
- แก้ปัญหาเรื่องระยะเวลาในการเปิดถนน เนื่องจากไม่ต้องรอคอนกรีตเซ็ตตัว
ระดับความลึกของสายเคเบิล
≥0.6 m.
≥1.5 m.
2.5 บันทึกข้อมูลต่าแหน่งติดตั้งอุปกรณ์และแนวสายเคเบิล
จุดเริ่มต้นโครงการฯ
3) รูปแบบการจ่ายไฟ
3.1 รูปแบบการจ่ายไฟระบบจ่าหน่าย 22kV
F1 F2 สถานีไฟฟ้า 1
8 MVA ในสภาวะปกติ
พื้นที่โซน 1,2 มีรูปแบบการจ่ายไฟแบบ N-1
F1 พื้นที่ดาเนินการ
สถานีไฟฟ้า 2 เคเบิลใต้ดิน
3.1.2) การจ่ายไฟด้วยวิธีติดตั้งหม้อแปลงภายในซอย
ระบบแรงต่า ระบบแรงต่า
Main Line Main Line
3.1.3) การสร้างวงจรเฉพาะผู้ใช้ไฟด้วย
หม้อแปลงผู้ใช้ไฟ
การต่อเข้าหม้อแปลงผู้ใช้ไฟ การสร้างวงจรเฉพาะผู้ใช้ไฟ
รูปที่ 5.16 การสร้างวงจรเฉพาะผู้ใช้ไฟ
3.1.4) รูปแบบการจ่ายไฟระบบจ่าหน่ายแรงต่่า
หม้อแปลงจะท่างานในสภาวะปกติที่ 60% และสามารถจ่ายไฟชดเชย Feeder อื่น
ในสภาวะฉุกเฉินได้
Tr.1 Tr.2
60% 60%สภาวะปกติ 60% 60%
30% 30% Open 30% 30%
TB TB TB
Tr.1 Tr.2
90% สภาวะฉุกเฉิน 0%
30% 60% Close 30% 30%
TB TB TB
รูปที่ 5.17 รูปแบบการจ่ายไฟของระบบแรงต่่าแบบเคเบิลใต้ดิน
93
4) อุปกรณ์และสัญลักษณ์ที่ติดตั้งในระบบเคเบิลใต้ดิน
4.1) Cable Riser - เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างระบบไฟฟ้าเหนือดินและระบบ
ไฟฟ้าใต้ดิน
สัญลักษณ์
(ระบบ 22kV)
RL
(ระบบแรงต่า)
สัญลักษณ์
สัญลักษณ์
สัญลักษณ์
RMU
Customer Line
สัญลักษณ์
Transformer
Unit Sub.
TR.1 TR.2
CB. TIE
Adjustable
CB.ย่ อย
สัญลักษณ์
DB
สัญลักษณ์ Outlet
Meter Line
MTB
Main Line
สัญลักษณ์
SL
สัญลักษณ์
CSL
F1
- หม้อแปลง กฟภ.
- หม้อแปลงผู้ใช้ไฟ สวนเฉลิมภัทรราชินี
พื้นที่ปัจจุบนั ไม่ได้ปักเสา
เชื่อมวงจรทั้งสอง
แยกนางพิม
F10 ถนนพระพันวษา
จุดเริ่มต้นโครงการฯ
F1
สวนเฉลิมภัทรราชินี
- หม้อแปลง กฟภ.
- หม้อแปลงผู้ใช้ไฟ
Unit
Sub.
F1 ถนนพระพันวษา
0
จุดเริ่มต้นโครงการฯ
TR.
ถนนพระพันวษา
F1 - หม้อแปลง กฟภ.
0 - หม้อแปลงผู้ใช้ไฟ
การจ่ายไฟให้โรงพยาบาลเป็นแบบเรเดียล
แยกเทศบาล
ฯ
Unit Sub.
แยกเทศบาลฯ
RMU.
6) ตัวอย่างการออกแบบระบบจาหน่ายแรงต่าเป็นแบบเคเบิลใต้ดินบริเวณถนนพระพันวษา
แยกนางพิม
วัดสุวรรณภูมิ
400kVA(33%)
แกรนด์คัลเลอร์แล็ป
250kVA (47%)
ในการออกแบบจะพิจารณาค่าแรงดันตกให้มีค่าไม่เกิน
5% ในสภาวะปกติ และไม่เกิน 10% ในสภาวะฉุกเฉิน
260 500
m. m.
โหลดมิเตอร์ 20 เครื่อง จาก Tr.สุวรรณภูมิ
และโหลด F1 จาก Tr.แกรนด์คัลเลอร์แล็ป
แยกนางพิม
วัดสุวรรณภูมิ
322 m.
6.2) พิจารณาการจ่ายไฟใหม่ของระบบจาหน่ายแรงต่าแบบเคเบิลใต้ดินช่วงวัดสุวรรณภูมิ–แยกนางพิม
(รูปที่ 5.33)
a) จากรูปที่ 5.3.3 โหลด F1 (รับไฟแบบเคเบิลใต้ดิน) ของหม้อแปลงขนาด 400 kVA บริเวณ
หน้าวัดสุวรรณภูมิ มีข้อมูล Load Estimation ดังตารางที่ 5.4
แยกนางพิม
F2
ในการพิจารณาค่า CIF ให้เลือกใช้ค่า CIF ที่สูงที่สุด คือ 0.36 แต่ค่าดังกล่าวมี ค่ามากกว่า 0.3 เพื่อให้
ระบบเคเบิล ใต้ดินสามารถรองรับ โหลดในอนาคตได้ จึงควรมีการออกแบบให้ รองรับโหลดในอีก 5 ปี
ข้างหน้า
110
แยกนางพิม
630kVA
โหลดมิเตอร์ 30 เครื่อง จาก Tr.สุวรรณภูมิ
โหลด F2 จาก Tr.แกรนด์คัลเลอร์แล็ป
โหลด จาก Tr.หน้าธนาคารกสิกรไทย ถ.จมื่นศรี
260 m.
ข้อมูลมิเตอร์ ของ Feeder 3 (รองรับการ Tie Line กับ F1 ของ Unit Substation บริเวณหน้าเทศบาลฯ)
Name Meter Installation Load CIF Load
1P 3P Installation Estimation
5(15) 15(45) 30(100) 15(45) (kVA) (kVA)
SL9 3 2 2 1 108.2 0.36 39
SL10 7 1 2 109.6 0.36 39.5
SL11 4 1 1 55.4 0.36 19.9
รวม 14 3 3 4 273.2 0.36 98.4
112
168.2 242.8
Feeder 2 I Normal 242.8 A % Load Normal 100 88.6%
3 0.4 274
122 176.1
Feeder 3 I Normal 176.1A % Load Normal 100 64.3%
3 0.4 274
หน้าเทศบาลฯ
250kVA(74%)
ข้าง รพ.
250kVA(68%)
Unit Sub
ลานจอดรถ รพ.
ตารางที่ 5.11 ข้อมูล Load Estimation ทั้ง 4 Feeder ของ Unit Substation ในที่ท่าการเทศบาลฯ
ข้อมูลมิเตอร์ ของ Feeder 1 (รองรับการ Tie Line)
Name Meter Installation Load CIF Load
1P 3P Installation Estimation
5(15) 15(45) 30(100) 15(45) (kVA) (kVA)
SL12 8 1 1 136.97 0.32 43.83
SL14 4 1 72.6 0.32 23.2
SL15 6 1 31.05 0.32 9.9
SL16 5 51.75 0.32 16.6
รวม 6 19 1 2 292.37 0.32 93.53
ตารางที่ 5.11 ข้อมูล Load Estimation ทั้ง 4 Feeder ของ Unit Substation ในที่ท่าการเทศบาลฯ (ต่อ)
ข้อมูลมิเตอร์ ของ Feeder 4 (ต่อแบบเรเดียล)
Name Meter Installation Load CIF Load
1P 3P Installation Estimation
15(45) 30(100) 15(45) 30(100) (kVA) (kVA)
SL18 5 2 2 1 229.4 0.32 73.4
รวม 5 2 2 1 229.4 0.32 73.4
106.8 154.1
Feeder 2 I Normal 154.1A % Load Normal 100 51.7%
3 0.4 298
104.7 151.1
Feeder 3 I Normal 151.1A % Load Normal 100 50.7%
3 0.4 298
91 131.3
Feeder 4 I Normal 131.3 A % Load Normal 100 44.1%
3 0.4 298
b) การออกแบบรองรับการจ่ายไฟในสภาวะฉุกเฉิน
ในสภาวะฉุกเฉินสายป้อนของ Feeder 3 จากหม้อแปลงบริเวณถนนจมื่นศรี ถูกออกแบบให้สามารถ
Tie Line กับโหลดของ Feeder 1 ซึ่งรับไฟจาก Compact Unit Substation บริเวณหน้าเทศบาลฯ ได้
454.7
หม้อแปลงบริเวณถนนจมื่นศรี จึงมีค่า 757.83kVA เลือกหม้อแปลงติดตั้ง 800 kVA
0.6
หม้อแปลงบริเวณหน้าเทศบาลฯ จึงมีค่า 430.5 717.5kVA เลือกหม้อแปลงติดตั้ง 800 kVA
0.6
แต่หม้อแปลงขนาด 800 kVA ทาง กฟภ. ไม่นิยมใช้งาน อีกทั้งวงจรส่าหรับ Tie Line มีเพียง
1 Feeder ดังนั้น จึงใช้วิธีพิจารณาขนาดโหลดสูงสุดจากการ Tie Load เพื่อหาขนาดหม้อแปลง
ขนาดของโหลดสูงสุดขณะ Tie Load
1. กรณีติดตั้งหม้อแปลงนั่งร้านบริเวณถนนจมื่นศรี
S (TieLoad) = S (หม้อแปลงบริเวณถ.จมื่นศรี) + S (F1, Unit Sub หน้าเทศบาลฯ)
= 454.7 + 116 = 570.7 kVA
เลือกติดตั้งหม้อแปลงขนาด 630kVA
2. กรณีติดตั้ง Unit Substation บริเวณหน้าเทศบาลฯ
S (TieLoad) = S (Unit Sub หน้าเทศบาลฯ) + S (F3, หม้อแปลงบริเวณ ถ.จมื่นศรี)
= 430.5 + 122 = 552.5 kVA
เลือกติดตั้ง Unit Substation ขนาด 630kVA
630kVA 630kVA
หม้อแปลง Unit Substation
122 kVA TB 116kVA ในเทศบาลฯ
ถนนจมื่นศรี
F3 176.1A 167.4A F1
รูปที่ 5.38 การ Tie Line ระหว่างหม้อแปลงบริเวณถนนจมื่นศรี และ Unit Substation ในเทศบาลฯ
119
4. ปัญหาและอุปสรรค
1. โครงการนี้ มี ค วามเกี่ ย วข้ อ งกั บ หลายหน่ ว ยงาน จ่ า เป็ น ที่ จ ะต้ อ งหาแนวทางร่ ว มกั น
ที่ทุกหน่วยงานยอมรับ และสามารถท่างานร่วมกันได้ เช่น ความพร้อมในการด่าเนินการ
ก่อสร้างของแต่ละหน่วยงาน, ข้อจ่ากัดด้านงบประมาณ, ขั้นตอน ระเบียบและระยะเวลา
การด่าเนินการภายในของแต่ละหน่วยงาน
2. การเก็บข้อมูลระบบไฟฟ้าเดิม เช่น ชนิดและขนาดของอุปกรณ์ไฟฟ้า (มิเตอร์ สายไฟฟ้า),
การเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าเข้าอาคารแต่ละหลัง ซึ่งในบางพื้นที่ข้อมูล ต่างๆเหล่านี้ ยากแก่การ
สังเกตและเข้าถึง
3. การตรวจสอบระบบสาธารณูปโภคเดิม เช่น ท่อน้่า ท่อระบายน้่า ท่อระบบสื่อสาร เป็นไปได้
ยาก เนื่ องจากไม่มีอุป กรณ์ที่จ ะช่ว ยในการส่ ารวจ โดยในปั จจุบันได้อ้างอิงจากแบบระบบ
สาธารณูปโภคเดิมจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่
4. ปัญหาการใช้พื้นที่ใต้ดินของแต่ละหน่วยงาน ในกรณีเขตทางแคบ
5. ปัญหาจากสิ่งปลูกสร้าง หรือการต่อเติมอาคาร ทีล่ ้่าเข้าไปในเขตทางหรือที่สาธารณะ
6. ปัญหาการพยากรณ์โหลดในพื้นที่ชนบท/ธุรกิจ เพื่อใช้ในการออกแบบระบบไฟฟ้าแบบเคเบิล
ใต้ดิน
7. การหาต่าแหน่งติดตั้งอุปกรณ์ เช่น หม้อแปลง, ชุด Riser, Distribution Box, RMU, Unit
Substation, Manhole และ Handhole เป็นไปได้ยาก
8. ในการออกแบบจะต้องพิจารณาความเหมาะสมทั้งทางกายภาพ วิศวกรรมและเศรษฐศาสตร์
9. ในการออกแบบจะต้องใช้ความรู้ทางวิศวกรรมในหลายๆด้าน มาใช้ในการแก้ปัญหาเพื่อให้เกิด
ความสะดวก ปลอดภัยทั้งจากการใช้งานและการบ่ารุงรักษาในอนาคต
5. สรุปผลสาเร็จและประโยชน์ที่ได้รับ
ผลสาเร็จ : โครงการนี้สามารถด่าเนินการออกแบบ ประมาณการราคา ในการก่อสร้างเสร็จ
ตามก่าหนด ตามหลักวิศวกรรมและเป็นที่ยอมรับได้ของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อด่าเนินการ
ก่ อ สร้ า งเสร็ จ แล้ ว ก็ จ ะบรรลุ ผ ลตามวั ต ถุ ป ระสงค์ ที่ ไ ด้ ก ล่ า วข้ า งต้ น คื อ ปรั บ ปรุ ง ทั ศ นี ย ภาพ
เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ป้องกัน อันตรายจากการพาดโยงสาย และเพิ่มค่าความเชื่อถือได้ให้กับ
ระบบไฟฟ้า
ประโยชน์ที่ได้รับ
1. การเรียนรู้เกี่ยวกับการท่างานส่ารวจสภาพพื้นที่จริง เพื่อให้เข้าใจปัญหาและคิดค้นแนวทาง
การแก้ไข เพื่อให้การด่าเนินการก่อสร้างและบ่ารุงรักษาเกิดปัญหาน้อยที่สุด
2. การประสานงานกับ หน่ ว ยงานต่ างๆ ที่ จะต้อ งท่า งานร่ว มกั น และได้ รับ รู้ร ะเบี ยบของแต่ ล ะ
หน่วยงาน
3. มีการศึกษาเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะน่ามาช่วยในการส่ารวจ ออกแบบ หรือการด่าเนินงานก่อสร้าง
4. มีแนวคิดในการปรับปรุงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ยากต่อการหาพื้นที่ติดตั้งให้มีความเหมาะสมมากกว่า
ปัจจุบัน
120
5.2 โครงการปรับปรุงระบบจําหน่ายไฟฟ้าเป็นแบบเคเบิลใต้ดินบริเวณรอบนอกพื้นที่อุทยาน
ประวัติศาสตร์สุโขทัย
5.2.1. หน่วยงานเจ้าของโครงการ :
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
5.2.2. ลักษณะของโครงการ :
- กระทรวงมหาดไทย ได้มอบนโยบายให้ กฟภ. เสนองานปรับปรุงระบบจําหน่ายไฟฟ้า
เป็ น แบบเคเบิ ล ใต้ ดิ น บริ เ วณรอบนอกพื้ น ที่ เ ขตอุ ท ยานประวั ติ ศ าสตร์ โดยมี อุ ท ยาน
ประวั ติ ศ าสตร์ สุ โ ขทั ย รวมอยู่ ด้ ว ย เพื่ อ ปรั บ ภู มิ ทั ศ น์ ใ ห้ มี ค วามสวยงามเป็ น ระเบี ย บ
เรียบร้อย รวมทั้งเป็นการสร้างความมั่นคงและปลอดภัยด้านระบบไฟฟ้า
- กฟภ. จึงได้จัดทําแผนงานดังกล่าวอยู่ในโครงการเพิ่มความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้ า
ระยะที่ 3 (คชฟ.3)
- กฟภ. เป็นผู้ลงทุนและดําเนินการก่อสร้างการปรับปรุงระบบไฟฟ้าทั้งหมด
- มีระยะเวลาดําเนินการ 3 ปี (2556 - 2559)
5.2.3. ปริมาณงาน :
1) งานระบบไฟฟ้า
แผนกแรงสูง (งานเคเบิลใต้ดิน)
- ปักเสา คอร.ขนาด 12.20 เมตร จํานวน 15 ต้น พร้อมเทคอนกรีตหุ้มโคนเสา
- ติดตั้ง RISER POLE สําหรับเสา 12.20 เมตร จํานวน 30 ชุด
- ร้อยสายเคเบิลใต้ดิน XLPE ระบบ 22 เควี ตัวนําทองแดงชนิดแกนเดี่ยว ขนาด
50 ต.มม. และ 240 ต.มม. ระยะทาง 354 เมตร และ 5,918 เมตร ตามลําดับ
- ติดตั้ง Ring Main Unit (2 Switch 2 Fuse) จํานวน 2 ชุด
- ติดตั้ง Fault Indicator จํานวน 13 ชุด
แผนกหม้อแปลง
- รื้อถอนหม้อแปลงระบบ 1 เฟส 22,000 – 460/230 โวลต์ ขนาด 30 เควีเอ
จํานวน 2 เครื่อง แล้วนํากลับมาติดตั้งใช้งานใหม่ (ทรัพย์สินผู้ใช้ไฟ)
- ปักเสา คอร. ขนาด 12.20 เมตร ประกอบชุดนั่งร้านหม้อแปลง จํานวน 5 ต้น
- ติดตั้งหม้อแปลงระบบ 3 เฟส 22,000 – 400/230 โวลต์ ขนาด 250 และ 315 เควีเอ
จํานวน 1 เครื่อง และ 2 เครื่อง ตามลําดับ
- ติดตั้ง Compact Unit Substation ขนาด 250 เควีเอ ระบบ 22 เควี จํานวน 1 ชุด
แผนกแรงต่ํา (งานเคเบิลใต้ดิน)
- ปักเสา คอร.ขนาด 9.00 เมตร และเสา คอร.ขนาดสูงเท่ าเมนชายคา (เบิกเสา
9.00 เมตร แล้วนํามาตัด) จํานวน 13 และ 16 ต้น ตามลําดับ
- ติดตั้งชุดหัวเคเบิลแรงต่ํา (LT. Cable Riser) จํานวน 16 ชุด
- ร้อยสายเคเบิลใต้ดินแรงต่ํา ตัวนําทองแดงชนิดแกนเดี่ยว (CV) ขนาด 25, 50 และ
185 ต.มม. ระยะทาง 88 , 354 และ 2,768 เมตร ตามลําดับ
122
5.2.4. ขนาดของโครงการ :
5.2.5 วัตถุประสงค์ของโครงการ :
1) เพื่อปรับปรุงระบบจําหน่ายไฟฟ้าเป็นเคเบิลใต้ดินในบริเวณพื้นที่รอบนอกเขตอุทยานฯ
ให้มีความมั่นคง และปลอดภัย
2) เพื่อให้ภูมิทัศน์บริเวณรอบนอกพื้นที่เขตอุทยานฯ มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย
3) จัดทําแผนและแนวทางการจัดหางบประมาณในการปรับปรุงระบบจําหน่ายไฟเป็นเคเบิล
ใต้ดินระหว่าง กฟภ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
4) ป้องกันอันตรายที่เกิดจากการพาดโยงระบบสายไฟฟ้าขึงอากาศ ซึ่งอาจสร้างความเสียหาย
ต่อคน หรือทรัพย์สิน
5) ปรับปรุงความเชื่อถือได้ของระบบไฟฟ้า
5.2.6 ประโยชน์ของโครงการ :
1) ปรับปรุงทัศนียภาพและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งช่วยสร้างความเจริญให้กับพื้นที่
2) ปรับปรุงรูปแบบการจ่ายไฟให้มีความมั่นคงเพิ่มและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดปัญหา
ไฟตก ไฟดับ และความสูญเสียในระบบไฟฟ้า
3) แก้ไขปัญหาการรบกวนระบบสื่อสาร (การเกิดโคโรนา) และปลอดภัยจากผลกระทบจาก
ปรากฏการณ์ฟ้าผ่า
4) เพิ่มความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน เนื่องจากแก้ปัญหาเรื่องระยะห่างระหว่างไฟฟ้า
โดยเฉพาะพื้นที่ชุมชน ซึ่งปัจจุบันยากต่อการทําการปักเสาพาดสาย
5.2.7 หน้าที่และความรับผิดชอบ
1) สํารวจสภาพพื้นที่ เพื่อศึกษาลักษณะทางกายภาพ ระบบจําหน่ายไฟฟ้าเดิม และ
รูปแบบการก่อสร้างที่เหมาะสม
2) ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมศิลปากร เจ้าหน้าที่อุทยานฯ เทศบาลฯ
หน่วยงานระบบสื่อสาร เพื่อร่วมบูรณการให้การดําเนินงานต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น
เกิดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่น้อยที่สุดและไม่เกิดความเสียหายต่อโบราณวัตถุ
3) ออกแบบ คํานวณ และประมาณราคางานปรับปรุงระบบจําหน่ายเป็นแบบเคเบิลใต้ดิน
โดยพิจารณาจากความเหมาะสมทางวิศวกรรม (มาตรฐาน กฟภ. และ วสท.)
124
5.2.8 ขั้นตอนในการดําเนินงาน
1) ศึกษาข้อมูลระบบไฟฟ้าและสาธารณูปโภคต่างๆในพื้นที่
เป็นการเตรียมข้อมูลในด้านต่างๆ เพื่อนํามาใช้ในการวางแผนก่อนจะทําการสํารวจ
(Survey) จริง โดยข้อมูลที่ทําการศึกษาจะประกอบไปด้วย
1.1) ข้อมูลทางกายภาพจากโปรแกรมทางด้านภูมิศาสตร์
ไปสุโขทัย
อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
วัดตระพังทอง
อุทยานประวัติศาสตร์
สุ โขทัย ถนนเทศบาลฯเมืองเก่า
1.3) ปริมาณการใช้ไฟฟ้าและจํานวนอุปกรณ์ในพื้นที่
การใช้กําลังไฟฟ้าสูงสุดของสถานีไฟฟ้าสุโขทัย (ข้อมูลจากกองวิเคราะห์และวางแผน
ระบบไฟฟ้า)
ตารางที่ 5.14 การใช้กําลังไฟฟ้าสูงของสถานีไฟฟ้าสุโขทัย
ปี พ.ศ. 2557 2558 2559 2560 2561 2562
Growth Rate - 3.83% 4.91% 3.91% 3.20% 3.46%
กําลังไฟฟ้าสูงสุด (MW) 92.3 95.8 100.5 104.4 107.7 111.4
สภาพการจ่ายไฟเดิม จุดรับไฟเดิม
2.2) แนวสาธารณูปโภคใต้ดินต่างๆ
แนวท่อระบายน้ํา
แนวท่อประปา
รูปที่ 5.45 การก่อสร้างด้วยวิธี Duct Bank (ซ้าย) และวิธี Semi Direct Burial (ขวา)
การก่อสร้างกลุ่มท่อคอนกรีต (Duct Bank)
- ใช้ในกรณีที่วางสายเคเบิลบนถนน เพื่อให้การป้องกันผลกระทบทางกลนั้นดีที่สุด
- มีท่อสํารอง สําหรับร้อยสายใหม่ในกรณีที่สายเดิมชํารุด หรือกรณีต้องการเพิ่มวงจร
การร้อยท่อฝังดิน (Semi Direct Burial)
- ใช้ในกรณีที่วางสายเคเบิลบนทางเท้า เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการก่อสร้าง
- ลดค่าใช้จ่ายในการดําเนินงาน
- มีท่อสํารอง สําหรับร้อยสายใหม่ในกรณีที่ สายเดิมชํารุด หรือกรณีต้องการเพิ่มวงจร
การก่อสร้างด้วยวิธีดันท่อลอด (Horizontal Directional Drilling)
ข้อดี
- ใช้กับพื้นที่ทไี่ ม่สามารถเปิดหน้าดินได้
- ก่อสร้างได้รวดเร็ว
- เหมาะสมจะใช้ในพื้นที่ ทีม่ ีแนวสาธารณูปโภคอื่นๆ ชัดเจน
128
2.7) ระดับความลึกของสายเคเบิล
ระดับความลึก ≥ 0.6 m.
400
600
แนวแรงสูง
แนวสายเคเบิลและตําแหน่งของอุปกรณ์ แนวแรงต่ํา
จุดเริ่มต้นโครงการฯ
3) รูปแบบการจ่ายไฟ
3.1) รูปแบบการจ่ายไฟระบบจําหน่าย 22kV
F1 พื้นที่ดําเนินการ
สถานีไฟฟ้า 2 เคเบิลใต้ดิน
3.1.2) การจ่ายไฟด้วยวิธีติดตั้งหม้อแปลงภายในซอย
ระบบแรงต่าํ ระบบแรงต่าํ
Main Line
Main Line
หม้อแปลงผูใ้ ช้ไฟ
3.2.3 รูปแบบการจ่ายไฟระบบจําหน่ายแรงต่ํา
หม้อแปลงจะทํางานในสภาวะปกติที่ 60% และสามารถจ่ายไฟชดเชย Feeder อื่น
ในสภาวะฉุกเฉินได้
Tr.1 Tr.2
60% 60%สภาวะปกติ 60% 60%
30% 30% Open 30% 30%
TB TB TB
Tr.1 Tr.2
90% สภาวะฉุกเฉิน 0%
30% 60% Close 30% 30%
TB TB TB
รูปที่ 5.54 รูปแบบการจ่ายไฟของระบบแรงต่ําแบบเคเบิลใต้ดิน
4) อุปกรณ์และสัญลักษณ์ทตี่ ิดตั้งในระบบเคเบิลใต้ดิน
4.1) Cable Riser – เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างระบบไฟฟ้าเหนือดินและระบบ
ไฟฟ้าใต้ดิน
สัญลักษณ์
(ระบบ 22kV)
RL
(ระบบแรงต่ํา)
สัญลักษณ์
สัญลักษณ์
สัญลักษณ์
RMU
Customer Line
รูปที่ 5.58 ตู้ Ring Main Unit (RMU)
4.5) Compact Unit Substation - เป็นอุปกรณ์ที่มีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ห้องแรงสูง
จะบรรจุ RMU ไว้ตัดต่อระบบแรงสูง ห้องหม้อแปลงไว้บรรจุหม้อแปลง และห้องแรงต่ําจะบรรจุอุปกรณ์
ป้องกันแรงต่ํา
Main Line Main Line
สัญลักษณ์
Transformer
Unit Sub.
CB. TIE
Adjustable
TR.1 TR.2
สั ญลักษณ์
สั ญลักษณ์ Outlet
Meter Line
MTB
Main Line
สั ญลักษณ์
SL
สั ญลักษณ์
CSL
สั ญลักษณ์
SM
สั ญลักษณ์ 6m.
หม้อแปลง กฟภ.
ระบบจําหน่ าย 22 เควี เดิม หม้อแปลงผูใ้ ช้ไฟ
ระบบเหนือดิน
F6 เคเบิลใต้ดิน
F8
จุดรับไฟของอุทยานฯ
จุดรับไฟของอุทยานฯ
F8 สถานีฯสุ โขทัย
พื้นที่อุทยานฯสุ โขทัย
จุดรับไฟของอุทยานฯ
F6 สถานีฯสุ โขทัย
หม้อแปลง กฟภ.
ระบบจําหน่ าย 22 เควี ใหม่
หม้อแปลงผูใ้ ช้ไฟ
F6
ระบบเหนือดิน
SF6 เคเบิลใต้ดิน
F8
จุดรับไฟของอุทยานฯ
RMU
จุดรับไฟของอุทยานฯ
F8 สถานีฯสุ โขทัย
จุดรับไฟของอุทยานฯ
RMU
6) การออกแบบระบบจําหน่ายแรงต่ําแบบเคเบิลใต้ดนิ บริเวณพื้นที่รอบนอกอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
(การจ่ายไฟเป็นแบบเรเดียล)
250kVA
6.1) แรงดันตกภายในสาย
เพื่อป้องกันปัญหาแรงดันตกในการออกแบบจะกําหนดระยะทางของสายป้อนให้มีระยะทางไม่เกิน
260 ม. เพื่อรักษาระดับแรงดันตกภายในสายให้มีค่าไม่เกิน 5% และระยะระหว่างหม้อแปลง 2 เครื่อง
ไม่เกิน 500 เมตร เพื่อรักษาระดับแรงดันตก ให้ไม่เกิน 10% ในสภาวะฉุกเฉิน (มีการ Tie Load)
260 ม. 500 ม.
6.2) พิกัดกระแสของสายเคเบิลใต้ดิน
ในการออกแบบจะต้องคํานวณให้ขนาดสายเคเบิลสามารถรองรับพิกัดกระแสใช้งานของโหลดได้
จากตารางที่ 5.16 จะพบว่าจํานวนวงจรใช้งาน และระดับความลึก มีผลต่อค่าพิกัดกระแสใช้งานของสายเคเบิล
ตารางที่ 5.19 ข้อมูล Load Estimation ของ Feeder 1 ของ Unit Substation บริเวณศาลปู่ผาดํา
ข้อมูลมิเตอร์ Zone 1A ของ Feeder 1
Name Meter Installation Load CIF Load
1P 3P Installation Estimation
5(15) 10(30) 15(45) 15(45) (kVA) (kVA)
SL1 3 10.35 0.33 3.42
SL2 5 1 24.1 0.33 7.95
SL3 5 17.25 0.33 5.69
SM1 1 31.18 0.33 10.29
SM2 1 69 0.33 22.77
MTB1 4 13.8 0.33 4.55
MTB2 4 13.8 0.33 4.55
MTB3 4 13.8 0.33 4.55
146
ดังนั้น หม้อแปลง Zone 5A จะต้องเพิ่มขนาดเป็น 315 kVA เพื่อสามารถจ่ายไฟในสภาวะ Tie Load ได้
Zone1A Zone5A
315kVA 315kVA
Unit Sub หม้อแปลง
157.17kVA DB 77.42kVA ถนนสุขาภิบาล 12
ศาลปู่ผ่าดํา
226.85A 117.7A
ตารางที่ 5.23 ข้อมูล Load Estimation ทัง้ 2 Feeder ของหม้อแปลงเดิมบริเวณ 7-11 เมืองเก่า
ข้อมูลมิเตอร์ Zone 2A ของ Feeder 1
Name Meter Installation Load CIF Load
1P 3P Installation Estimation
5(15) 10(30) 15(45) 15(45) (kVA) (kVA)
SL4 1 1 1 48.4 0.33 15.97
SL5 2 1 1 24.15 0.33 7.97
SL6 1 1 1 41.52 0.33 13.70
SL7 1 2 24.15 0.33 7.97
SM3 1 10.35 0.33 3.42
MTB13 3 10.35 0.33 3.42
ข้อมูลมิเตอร์ Zone 2A ของ Feeder 1 (ต่อ)
Name Meter Installation Load CIF Load
1P 3P Installation Estimation
5(15) 10(30) 15(45) 15(45) (kVA) (kVA)
MTB14 3 1 20.7 0.33 6.83
MTB15 3 1 17.25 0.33 5.69
MTB16 1 1 10.35 0.33 3.42
MTB17 4 13.8 0.33 4.55
MTB18 2 1 1 24.15 0.33 7.97
MTB19 4 13.8 0.33 4.55
MTB20 2 1 1 24.15 0.33 7.97
MTB21 2 1 13.8 0.33 4.55
MTB22 1 1 2 13.8 0.33 4.55
MTB23 2 1 17.25 0.33 5.69
MTB24 1 1 2 31.05 0.33 10.25
รวม 35 9 10 3 359.02 0.33 118.48
Zone2A Zone3A
315kVA 315kVA
หม้อแปลง หม้อแปลง
118.48 kVA DB 161.58kVA ซอยสุโขทัยนคร 3
บริเวณ 7-11
226.85A 117.7A
7) การคํานวณขนาดแรงดึงสายงานเคเบิลใต้ดินบริเวณรอบนอกอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
สําหรับระบบจําหน่ายแรงสูง (22 kV) แบบจะร้อยสายเคเบิล 3 เส้น ภายในท่อเดียวกัน โดยค่าพารามิเตอร์
ต่างๆ ที่นํามาใช้งานจะมีค่าเป็นดังต่อไปนี้
ขนาดสายเคเบิล 240 ต.มม. XLPE, d = 42 มม. Weight (W) = 3.62 kg/m/เส้น
ท่อที่ใช้งาน 160 มม. HDPE PN 8, D = 141 มม.
Reel Back Feeder (TIN) = 100 kg, Friction = 0.25 (ค่าเฉลี่ย)
(3C − 2)
SWP =
3R
2
⎛ 4⎞ ⎡ d ⎤
C = 1+ ⎜ ⎟× ⎢ ⎥ = Weight Correction Factor = 1.24
⎝ 3 ⎠ ⎣ (D − d ) ⎦
ค่าแรงดึงสูงสุดแบบ = 2,722 กก./เส้น, แรงกดด้านข้างสูงสุด = 744 กก./ม.
Type 1: แรงดึงสายทางตรง T = WLCF
Type 3: แรงดึงสายช่วงทางโค้งแนวราบ
TOUT = TIN cosh(CFθ ) + sinh(CFθ ) TIN2 + (WR) 2
C1
4. ปัญหาและอุปสรรค
1. โครงการนี้ มี ค วามเกี่ ย วข้ อ งกั บ หลายหน่ ว ยงาน จํ า เป็ น ที่ จ ะต้ อ งหาแนวทางร่ ว มกั น
ที่ทุกหน่วยงานยอมรับ และสามารถทํางานร่วมกันได้ เช่น ความพร้อมในการดําเนินการ
ก่อสร้างของแต่ละหน่วยงาน, ข้อจํากัดด้านงบประมาณ, ขั้นตอน ระเบียบและระยะเวลาการ
ดําเนินการภายในของแต่ละหน่วยงาน
2. การเก็บข้อมูลระบบไฟฟ้าเดิม เช่น ชนิดและขนาดของอุปกรณ์ไฟฟ้า (มิเตอร์ สายไฟฟ้า),
การเชื่อมต่อระบบไฟฟ้าเข้าอาคารแต่ละหลัง ซึ่งในบางพื้นที่ข้อมูลต่างๆเหล่านี้ยากแก่การ
สังเกตและเข้าถึง
3. การตรวจสอบระบบสาธารณูปโภคเดิม เช่น ท่อน้ํา ท่อระบายน้ํา ท่อระบบสื่อสาร เป็นไปได้
ยาก เนื่ องจากไม่ มีอุปกรณ์ที่ จะช่วยในการสํารวจ โดยในปัจจุบันได้ อ้างอิ งจากแบบระบบ
สาธารณูปโภคเดิมจากหน่วยงานเจ้าของพื้นที่
4. ปัญหาการใช้พื้นที่ใต้ดินของแต่ละหน่วยงาน ในกรณีเขตทางแคบ
5. ปัญหาจากสิ่งปลูกสร้าง หรือการต่อเติมอาคาร ที่ล้ําเข้าไปในเขตทางหรือที่สาธารณะ
6. ปัญหาการพยากรณ์โหลดในพื้นที่ชนบท/ธุรกิจ เพื่อใช้ในการออกแบบระบบไฟฟ้าแบบเคเบิลใต้ดิน
7. การหาตําแหน่งติดตั้งอุปกรณ์ เช่น หม้อแปลง, ชุด Riser, Distribution Box, RMU, Unit
Substation, Manhole และ Handhole เป็นไปได้ยาก
8. ในการออกแบบจะต้องพิจารณาความเหมาะสมทั้งทางกายภาพ วิศวกรรมและเศรษฐศาสตร์
9. ในการออกแบบจะต้องใช้ความรู้ทางวิศวกรรมในหลายๆด้าน มาใช้ในการแก้ปัญหาเพื่อให้เกิด
ความสะดวก ปลอดภัยทั้งจากการใช้งานและการบํารุงรักษาในอนาคต
5. สรุปผลสําเร็จและประโยชน์ที่ได้รบั
ผลสําเร็จ : โครงการนี้สามารถดําเนินการออกแบบ ประมาณการราคา ในการก่อสร้างเสร็จ
ตามกําหนด ตามหลักวิศวกรรมและเป็นที่ยอมรับได้ของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อดําเนินการ
ก่ อ สร้ า งเสร็ จ แล้ ว ก็ จ ะบรรลุ ผ ลตามวั ต ถุ ป ระสงค์ ที่ ไ ด้ ก ล่ า วข้ า งต้ น คื อ ปรั บ ปรุ ง ทั ศ นี ย ภาพ
เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ป้องกันอันตรายจากการพาดโยงสาย และเพิ่มค่าความเชื่อถือได้ให้กับ
ระบบไฟฟ้า
157
ประโยชน์ที่ได้รับ
1. การเรียนรู้เกี่ยวกับการทํางานสํารวจสภาพพื้นที่จริง เพื่อให้เข้าใจปัญหาและคิดค้นแนวทาง
การแก้ไข เพื่อให้การดําเนินการก่อสร้างและบํารุงรักษาเกิดปัญหาน้อยที่สุด
2. การประสานงานกั บ หน่ ว ยงานต่ า งๆ ที่ จ ะต้ อ งทํ า งานร่ ว มกั น และได้ รั บ รู้ ร ะเบี ย บของแต่ ล ะ
หน่วยงาน
3. มีการศึกษาเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะนํามาช่วยในการสํารวจ ออกแบบ หรือการดําเนินงานก่อสร้าง
4. มีแนวคิดในการปรับปรุงอุปกรณ์ต่างๆ ที่ยากต่อการหาพื้นที่ติดตั้งให้มีความเหมาะสมมากกว่า
ปัจจุบัน
5. การเรียนรู้หลักวิศวกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินงาน ซึ่งเป็นงานวิศวกรรมเฉพาะด้าน
จึงเป็นประสบการณ์สําคัญในโครงการต่อๆไป และสามารถนําความรู้มาประยุกต์ใช้กับงานอื่นๆ
ที่อาจมีความเกี่ยวข้องกันได้
6. การเรี ย นรู้ ข้ อ จํ า กั ด ของเครื่ อ งมื อ ที่ จ ะนํ า มาปฏิ บั ติ ง าน เพื่ อ ให้ ดํ า เนิ น งานก่ อ สร้ า งได้
อย่างเหมาะสมและมีความปลอดภัยในขณะทําการก่อสร้างและการบํารุงรักษา
7. ปั จ จุ บั น ได้ ก ารมี ก ารพั ฒ นาซอร์ ฟ แวร์ สํ า หรั บ ช่ ว ยในการคํ า นวณ เพื่ อ ลดระยะเวลา
และข้อผิดพลาดในการทํางาน
บทที่ 6
ถาม - ตอบ ปัญหางานเคเบิลใต้ดินของ กฟภ.
ถาม ที่ผ่ านมา การร่ ว มมือ ด าเนิ น การเพื่ อปรับ ปรุง ระบบไฟฟ้า ลงใต้ ดิน ระหว่ าง กฟภ. กับ องค์ ก ร
ปกครองส่วนท้องถิ่น มีรูปแบบ เหมือนหรือแตกต่างกัน อย่างไรบ้าง
ตอบ ในการดาเนินการที่ผ่ านมา มีรู ปแบบความร่วมมือในการปรับปรุงระบบไฟฟ้าเป็นเคเบิล ใต้ดิน
มีรูปแบบที่แตกต่างกัน ดังนี้
1) กฟภ. เป็นผู้ลงทุนงานระบบไฟฟ้า และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้ลงทุน
งานระบบโยธา โดย กฟภ. เป็นผู้ดาเนินการก่อสร้างทั้งหมด เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้วทรัพย์สินเป็น
ของ กฟภ. เช่น โครงการเคเบิลใต้ดินสาหรับเมืองใหญ่
2) กฟภ.เป็นผู้ลงทุนค่าก่อสร้างระบบไฟฟ้าและงานระบบโยธา และเป็นผู้ดาเนินการ
ก่อสร้างเอง เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้วทรัพย์สินเป็นของ กฟภ. เช่น งานปรับปรุงระบบไฟฟ้าเป็นเคเบิล
ใต้ดินรอบอุทยานประวัติศาสตร์ และ พระตาหนัก ต่างๆ
3) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้ล งทุนค่าก่ อสร้างระบบไฟฟ้าและงานโยธา
ทั้งหมดเอง โดย กฟภ. เป็นผู้ดาเนินการก่อสร้างทั้งหมด เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้วทรัพย์สินเป็นของ
กฟภ. ได้แก่ งานที่ไม่ ได้อยู่ ในแผนโครงการของ กฟภ. แต่ องค์กรปกครองส่ว นท้องถิ่นมีความ
ประสงค์ขอปรับทัศนียภาพเพื่อความสวยงาม
4) กฟภ. เป็นผู้ลงทุนงานระบบไฟฟ้า และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้ลงทุน
งานระบบโยธา โดย กฟภ. เป็นผู้ดาเนินการก่อสร้างงานระบบไฟฟ้า ส่วนเทศบาลขอดาเนินการ
ก่อสร้ างงานระบบโยธาเองตามแบบของ กฟภ. หรือที่ กฟภ. เห็ นชอบเมื่อก่ อ สร้างเสร็จแล้ ว
ทรัพย์สินเป็นของ กฟภ.
5) กฟภ. เป็นผู้ลงทุนงานระบบไฟฟ้า และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เป็นผู้ลงทุน
งานระบบโยธา โดย กฟภ. เป็นผู้ดาเนินการก่อสร้างงานระบบไฟฟ้า ส่วนเทศบาลขอดาเนินการ
ก่อสร้างงานระบบโยธาเองตามแบบของ กฟภ. หรือที่ กฟภ. เห็นชอบ เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้ ว
ทรัพย์สินระบบไฟฟ้าเป็นของ กฟภ. ส่วนทรัพย์สินงานระบบโยธา ยังเป็นทรัพย์สินขององค์กร
ปกครองส่ว นท้องถิ่น แต่ให้ กฟภ. ใช้งาน เช่น งานโครงการเคเบิล ใต้ดินส าหรับเมืองใหญ่
ทีถ่ นนพัทยาสาย 1 และถนนจอมเทียนสาย 2 จ.ชลบุรี
ถาม การดาเนินโครงการเคเบิลใต้ดินสาหรับเมืองใหญ่ มีการแบ่งแยกความรับผิดชอบระหว่าง กฟภ.
กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อย่างไร
ตอบ กฟภ. เป็นผู้ลงทุน ค่าก่อสร้างงานระบบไฟฟ้า และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นลงทุน ค่าก่อสร้าง
งานโยธา
160
การเตรียมการก่อนสารวจ
ถาม การเตรียมตัวก่อนการสารวจ จะต้องศึกษาข้อมูลขั้นเตรียมการสารวจ อย่างไร
ตอบ ก่อนการส ารวจผู้ สารวจจะต้องศึกษาสภาพพื้นที่ ดาเนินการ เพื่อกาหนดขอบเขตการทางานที่
ชัดเจนและจะต้องศึกษาสภาพการจ่ายไฟในบริเวณที่จะปรับปรุงเป็ นเคเบิลใต้ดินเบื้องต้นเสียก่อน
จากโปรแกรมทางภูมิศาสตร์ เช่น Google earth หรือ ระบบ GIS ของ กฟภ. เพื่อจะได้จัดเตรียม
162
ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโครงการ เพื่อนาไปติดต่อประสานงานขอข้อมูลระบบสาธารณูปโภคและ
ข้อมูลที่จาเป็นต้องใช้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
การสารวจพื้นที่
ถาม การสารวจพื้นที่สาหรับออกแบบเคเบิลใต้ดิน จะต้องติดต่อหน่วยงานใดบ้าง
ตอบ ในการส ารวจพื้ น ที่ ผู้ ส ารวจ ควรที่ จ ะต้ อ งมี ข้ อ มู ล ระบบสาธารณู ป โภคที่ เ กี่ ย วข้ อ ง เพื่ อ ใช้
ประกอบการออกแบบ โดยหน่วยงานที่จะต้องติดต่อประกอบไปด้วย หน่วยงานที่เป็นเจ้าของพื้นที่
ได้แก่ กรมทางหลวง , เทศบาล , อบจ. , อบต. หรือ เมืองพัทยา แล้ ว แต่กรณี นอกจากนี้ยังมี
หน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประปา (ท่อน้าประปา) , ทีโ อที (ท่อระบบสื่อสาร) และ
ผู้ประกอบการเคเบิลท้องถิ่น เป็นต้น
ถาม อุปกรณ์/เครื่องมือ ที่ใช้สารวจพื้นที่ มีอะไรบ้าง
ตอบ อุป กรณ์ที่ใช้ ส ารวจเก็บ ข้อมู ล ได้ แก่ ดิ นสอ/ปากกาและอุปกรณ์เครื่องเขียน, สมุ ดจดบั น ทึก ,
เข็มทิศ, ล้อวัดระยะทาง, เทปวัดระยะทาง, กล้องบันทึกภาพ/วีดีโอ
ถาม กฟภ. มีเครื่องมือที่ใช้ระบุหรือตรวจหาท่อสาธารณูปโภคใต้ดินหรือไม่
ตอบ กฟภ. มีอุปกรณ์ที่ชื่อ GPR (Ground Penetration Radar) ใช้สาหรับตรวจหาและระบุตาแหน่ง
หรือแนวท่อ วัตถุใต้ดิน
ถาม ข้อมูลที่ได้จากการสารวจพื้นที่ มีอะไรบ้าง
ตอบ การสารวจพื้นที่หน้างานจะต้องเก็บข้อมูลที่จาเป็นเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาและออกแบบ ดังนี้
1) ข้อมูลระบบไฟฟ้าและสภาพการจ่ายไฟเดิม
2) ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ก่อสร้าง
3) ข้อมูลการพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในอนาคต
4) ข้อมูลระบบสาธารณูปโภคเดิม
5) ข้อมูลแผนการก่อสร้าง ปรับปรุง และพัฒนาพื้นที่ หรือแผนพัฒนาเมืองในปัจจุบันและ
อนาคตของส่วนราชการและเอกชนในพื้นที่
6) ข้อมูลการกาหนดแนวการวางสายใต้ดินที่จะทาการออกแบบ
7) ข้อมูลการกาหนดรูปแบบและวิธีการก่อสร้างที่เหมาะสม
8) ข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สภาพการจราจรในพื้นที่ก่อสร้าง ช่วงเวลาการปฏิบัติการ
ที่เหมาะสมปริมาณน้าที่เคยท่วมสูงสุดในพื้นที่ ข้อมูลการรับน้าหนักของดินเพื่อวางอุปกรณ์
ถาม มีวิธีการเลือกแนววางสายเคเบิลใต้ดินอย่างไร
ตอบ ในการเลือกแนวเพื่อวางสายเคเบิลใต้ดิน จะต้องพิจารณาถึง ความสะดวกในการก่อสร้างและ
บารุงรักษาในอนาคตด้วย โดยแนววางสายเคเบิลจะต้องไม่ทับซ้อน หรือกีดขวางกับแนวระบบ
163
การออกแบบงานไฟฟ้า
ถาม ในการออกแบบเคเบิลใต้ดิน หลักสาคัญ ในการพิจารณาวางระบบคืออะไร
ตอบ เนื่องจากระบบเคเบิลใต้ดิน เมื่อก่อสร้างเสร็จจะเพิ่มเติม แก้ไข หรือซ่อมแซม ได้ค่อนข้างลาบาก
ดังนั้นในการออกแบบจะต้องจัดเตรียมระบบให้มีความมั่นคงมากที่สุด โดยหากมีอุปกรณ์ในระบบ
ตัวหนึ่งตัวใดชารุดเสียหาย ระบบก็ยังไม่สูญเสียความสามารถในการจ่ายไฟ จึงต้องออกแบบให้เป็น
N-1
164
การออกแบบงานโยธา
ถาม รูปแบบการออกแบบฝังสายเคเบิลใต้ดินมีกี่วิธี อะไรบ้าง
ตอบ 2 รูปแบบ ได้แก่
1) รูปแบบเปิดหน้าดิน (Open cut) มี 4 วิธี ได้แก่
1.1 ฝังดินโดยตรง (Direct burial)
1.2 ร้อยท่อฝังดิน (Semi-direct burial)
1.3 กลุ่มท่อหุ้มคอนกรีต (Concrete encased duct bank)
1.4 กลุ่มท่อหุ้มคอนกรีตสาเร็จรูป (Precast concrete encased duct bank)
2) รูปแบบไม่เปิดหน้าดิน (Non open cut or No dig) มี 3 วิธี ได้แก่
2.1 การเจาะในแนวราบ (Horizontal Directional Drilling) หรือ HDD.
2.2 การดันท่อปลอกขนาดใหญ่ (Pipe Jacking)
2.3 การดันท่อปลอกเหล็กขนาดเล็ก (Small sleeve pushing)
168
7.2. การติดตั้งตู้มิเตอร์แรงสูง
การติดตั้งมิเตอร์ระบบ 22 kV แบบภายในอาคาร ตามแบบเลขที่ SA1-015/39011
(การประกอบเลขที่ 7702)
การติ ด ตั้ ง มิ เ ตอร์ ร ะบบ 22 kV แบบภายนอกอาคาร ตามแบบเลขที่ SA1-
015/39012 (การประกอบเลขที่ 7703)
7.6. รูปแบบการก่อสร้างระบบเคเบิลใต้ดินแรงสูง
ให้ พิ จ ารณาเลื อ กรู ป แบบการก่ อ สร้ า งให้ เ หมาะส มกั บ สภาพหน้ า งาน และ
สภาพแวดล้ อมการก่อสร้างเคเบิ ล ใต้ดินในแต่ละรูปแบบตามแบบเลขที่ SA1-015/59005 (การ
ประกอบเลขที่ 7101)และสามารถดูรายละเอียดของแต่ละรูปแบบได้ในแบบมาตรฐาน ดังนี้
แบบร้ อ ยท่ อ ฝั ง ดิ น ส้ า หรั บ ท่ อ ร้ อ ยสายประเภทอโลหะ ตามแบบเลขที่ SA1-
015/36017 (การประกอบเลขที่ 7502)
173
7.8. การต่อลงดิน
การออกแบบการต่อลงดิน ให้พิจารณาต่อลงดินที่บ่อพักชนิด manhole ดังนี้
1) การต่อลงดินส้าหรับสายเคเบิลใต้ดินให้พิจารณาตามระยะทางของระบบเคเบิลใต้
ดินตามแบบมาตรฐานเลขที่ SA1-015/46005 (การประกอบเลขที่ 7131) โดย
- ระยะทางของสายเคเบิลจากหัวเคเบิลถึงหัวเคเบิลไม่เกิน 500 เมตร ให้พิจารณาการต่อลงดินเป็น
แบบ ต่อลงดินทั้งสองปลาย (both-ends bonding)
- ระยะทางของสายเคเบิลจากหัวเคเบิลถึงหัวเคเบิลมากกว่า 500 เมตร ให้พิจารณาการต่อลงดินเป็น
แบบ ต่อลงดินแบบหลายจุด (multi-points bonding)
2) การต่อลงดิน ที่บ่อพักชนิด Manhole ให้ พิจารณาตามแบบมาตรฐานเลขที่
SA1-015/31023 (การประกอบเลขที่ 7341) โดยค่าความต้านทานดินไม่เกิน 5 โอห์ม โดยกรณีที่
แก้ไขค่า
7.9. ขนาดของสายเคเบิลใต้ดินแรงต่่า
ขนาดของสายเคเบิ ล ใต้ ดิ น แรงต่้ า สามารถเลื อ กได้ จ ากพิ กั ด กระแสใช้ ง าน ตามแบบเลขที่
SA1-015/48018 (การประกอบเลขที่ 7121) ทั้งนี้ขนาดของสายเคเบิลฯ ให้พิจารณาจากกระแสใช้
งานสูงสุดของโหลด
7.10. เปอร์เซ็นต์แรงดันตก
ก้าหนดให้สายเคเบิลใต้ดินแรงต่้ามีเปอร์เซ็นต์แรงดันตก ตั้งแต่หม้อแปลงไฟฟ้าจนถึงมิเตอร์ ตัวสุดท้าย
ต้องไม่เกิน 8% ซึ่งความยาวสายไฟฟ้าสูงสุดที่ใช้งาน ดูตามแบบเลขที่ SA1-015/49014 (การ
ประกอบเลขที่ 7123)
174
7.11. รูปแบบการก่อสร้างระบบเคเบิลใต้ดินแรงต่่า
ให้ พิ จ ารณาเลื อ กรู ป แบบการก่ อ สร้ า งให้ เ หมาะสมกั บ สภาพหน้ า งาน และ
สภาพแวดล้อม การก่อสร้างเคเบิลใต้ดินในแต่ละรูปแบบ ดูรายละเอียดในแบบมาตรฐาน ดังนี้
แบบร้อยท่อฝั งดิน ส้ าหรับท่อร้อยสายประเภทโลหะ (RSC) ตามแบบเลขที่ SA1-
015/36022 (การประกอบเลขที่ 7402)
แบบร้ อ ยท่ อ ฝั ง ดิ น ส้ า หรั บ ท่ อ ร้ อ ยสายประเภทอโลหะ ตามแบบเลขที่ SA1-
015/36023 (การประกอบเลขที่ 7403)
แบบการเดิ น สายเคเบิ ล ใต้ ดิ น แรงต่้ า แบบฝั่ ง ดิ น โดยตรง ตามแบบเลขที่ SA1-
015/57017 (การประกอบเลขที่ 7404)
แบบกลุ่มท่อหุ้มคอนกรีต (duct bank) ตามแบบเลขที่ SA1-015/31016 (การ
ประกอบเลขที่ 7201) โดยใช้แบบดังกล่าวประยุกต์ก่อสร้างใช้งานเป็นระบบเคเบิลใต้ดินแรงต่้าได้
แบบ horizontal directional drilling (HDD) ตามแบบเลขที่ SA1-015/49003
(การประกอบเลขที่ 7504) โดยใช้แบบดังกล่าวประยุกต์ก่อสร้างใช้งานเป็นระบบเคเบิลใต้ดินแรงต่้าได้
แบบการวางท่อร้ อ ยสายลอดใต้ถนนโดยวิธีดัน ท่อเหล็ กปลอกขนาดเล็ ก (small
sleeve pushing method) ตามแบบเลขที่ SA1-015/38008 (การประกอบเลขที่ 7505) โดยใช้
แบบดังกล่าวประยุกต์ก่อสร้างใช้งานเป็นระบบเคเบิลใต้ดินแรงต่้าได้
ทั้งนี้รูปแบบการก่อสร้างแบบร้อยท่อฝังดิน แบบร้อยท่อฝังดิน ที่ต้องใช้บ่อพักสาย
ให้ใช้แบบเลขที่ SA1-015/36017 (การประกอบเลขที่ 7502) ประยุกต์ก่อสร้างใช้งานเป็นระบบ
เคเบิลใต้ดินแรงต่้าได้