Professional Documents
Culture Documents
Cannel Design
Cannel Design
Cannel Design
022207421 การรออกแแบบคคลองแและอาคารส่สงน้ํา
(Des
sign of Canal
C and Conveeyance S
Structuures)
อ.ดดร.ยุทธนาา ตาละะลักษมณ์
ณ์
ภาควิชาวิศววกรรมชลลประทานน
คณ
ณะวิศวกรรมศาสตร์ กําแพงงแสน มหาวิทยาาลัยเกษตตรศาสตร์ร์
เอกสารประกอบการสอน
02207421 การออกแบบคลองและอาคารส่งน้ํา
อ.ดร.ยุทธนา ตาละลักษมณ์
ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน
คณะวิศวกรรมศาสตร์ กําแพงแสน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
พฤษภาคม ๒๕๕๖
ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน
คณะวิศวกรรมศาสตร์ กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 02207421 การออกแบบคลองและอาคารส่งน้ํา
Course Description
ลักษณะทั่วไปของระบบส่งน้ําชลประทาน การวางแนวระบบส่งน้ํา การออกแบบรูปตัดคลองส่ง
น้ําประเภทคลองดินและคลองดาด การออกแบบส่วนต่อเชื่อม การออกแบบรางน้ําและสะพานน้ํา การ
ออกแบบอาคารน้ําตก การออกแบบท่อลอดเหลี่ยม การออกแบบไซฟอน และการเขียนแบบทางวิศวกรรม
General characteristic of irrigation systems, irrigation systems layout, design of
earth canal and concrete lining canal section, design of transition, design of bench and
elevated flume, design of drop structure, design of box culvert, design of inverted
siphon and engineering drawing.
ดร.ยุทธนา ตาละลักษมณ์
ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน
คณะวิศวกรรมศาสตร์ กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 02207421 การออกแบบคลองและอาคารส่งน้ํา
Course Outline
จํานวนชั่วโมง กิจกรรม
สัปดาห์ที่ หัวข้อ หมายเหตุ
บรรยาย-ปฏิบตั ิ การเรียน-การสอน
1 ลักษณะทั่วไปของระบบส่งน้ํา 2-3 บรรยาย ปฏิบัติและดูงาน
ชลประทาน ภาคสนาม
2-3 การวางแนวระบบส่งน้ํา 4-6 บรรยายและปฏิบัติ
4-6 การออกแบบคลองส่งน้ํา 6-9 บรรยายและปฏิบัติ
7-8 การออกแบบช่วงต่อเชื่อมและ 4-6 บรรยายและฝึกการออกแบบ
การเขียนแบบ
9 สอบกลางภาค 3 สอบข้อเขียน
10-12 การออกแบบสะพานน้ําและ 6-9 บรรยาย ยกตัวอย่าง และฝึก
รางน้ํา การออกแบบและเขียนแบบ
13-14 การออกแบบท่อลอดสี่เหลี่ยม 4-6 บรรยายและฝึกการออกแบบ
15 การออกแบบท่อไซฟอน 2-3 บรรยาย และยกตัวอย่าง
16 การออกแบบอาคารน้ําตก 2-3 บรรยาย และยกตัวอย่าง
และอาคารลดระดับ
17 สอบปลายภาค 3 สอบข้อเขียน
ดร.ยุทธนา ตาละลักษมณ์
ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน
คณะวิศวกรรมศาสตร์ กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 02207421 การออกแบบคลองและอาคารส่งน้ํา
คํานํา
ยุทธนา
พฤษภาคม 2556
ดร.ยุทธนา ตาละลักษมณ์
ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน
คณะวิศวกรรมศาสตร์ กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 02207421 การออกแบบคลองและอาคารส่งน้ํา
สารบัญ
หน้า
บทที่ 1 บททั่วไปของระบบส่งน้ําชลประทาน 1
1.1 ความหมายของคําที่ควรรู้ 1
1.2 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโครงการชลประทาน 3
1.3 ลักษณะทัว่ ไปของระบบชลประทาน 4
1.4 คลองส่งน้ําชลประทาน 5
บทที่ 2 การวางแนวระบบส่งน้ํา 10
2.1 การรวบรวมข้อมูลเพื่อการออกแบบ 10
2.2 หลักการเบื้องต้นในการออกแบบ 10
2.3 การวางแนวระบบส่งน้ํา 10
2.4 หน้าที่และคุณสมบัติของคลองส่งน้ํา 13
2.5 ขั้นตอนในการวางแนวคลอง 14
บทที่ 3 การออกแบบคลองส่งน้าํ 19
3.1 ส่วนสัดของคลองส่งน้ํา 19
3.2 การเลือกใช้ลาดผิวน้ําในคลอง 21
3.3 การพิจารณารูปตัดขวางของคลองส่งน้ํา 22
3.4 เกณฑ์กําหนดขนาดคลองส่งน้ําดาดคอนกรีตตามมาตรฐานของกรมชลประทาน 27
3.5 ตัวอย่างการคํานวณขนาดคลองส่งน้ํา 30
บทที่ 4 ช่วงต่อเชื่อม 34
4.1 ชนิดของช่วงต่อเชื่อม 34
4.2 การออกแบบทางชลศาสตร์ 35
4.3 ตัวอย่างการออกแบบช่วงต่อเชื่อม 36
สารบัญ (ต่อ)
หน้า
สารบัญตาราง
หน้า
ตารางที่ 3.1 ค่าสัมประสิทธิค์ วามขรุขระของ Manning (Manning’s n) 24
สําหรับชนิดของพื้นที่ผิวทางน้ําชนิดต่างๆ
ตารางที่ 3-2 ค่า Freeboard ของคลองส่งน้ําดาดคอนกรีต 28
ตารางที่ 3.3 ความหนาของคอนกรีตดาด และความยาวของแผ่นคอนกรีต 29
ตารางที่ 6-1 ความลึกและความหนาของ Cutoff ที่ความลึกของน้ําในคลองต่างๆ 82
ตารางที่ 6-2 ค่าแรงกระแทกจากล้อรถที่ความหนาดินทับหลังท่อต่างๆ 83
สารบัญรูป
หน้า
รูปที่ 1-1 ลักษณะของอาคารชลประทานต่างๆ 1
รูปที่ 1-2 ลักษณะทั่วไปของโครงการชลประทาน 2
รูปที่ 1-3 ลักษณะระบบชลประทานโดยทั่วไป 5
รูปที่ 1-4 ลักษณะทั่วไปคลองส่งน้ํา 6
รูปที่ 1-5 การเรียกชื่อคลองส่งน้ํา 7
รูปที่ 1-6 ประเภทคลองตามความสัมพันธ์ระหว่างระดับผิวดินกับระดับน้ําสูงสุด 9
รูปที่ 2-1 รูปตัดทั่วไปคลองส่งน้ําบริเวณที่ลาดเชิงเขา 11
รูปที่ 2-2 ลักษณะภูมิประเทศทั่วไป 12
รูปที่ 2-3 แนวคลองตามที่ลาดเชิงเขาและที่ราบกว้างใหญ่ 13
รูปที่ 2-4 การวางระบบระบายน้ําในพื้นที่โครงการ 16
รูปที่ 2-5 การวางแนวคลองสายใหญ่ใรพื้นที่โครงการ 17
รูปที่ 2-6 การวางแนวคลองสายซอยในพื้นที่โครงการ 18
รูปที่ 3-1 มาตรฐานรูปตัดตามขวางของคลองส่งน้ํา 19
รูปที่ 3-2 แบบมาตรฐานระบบส่งน้ําและระบายน้ํา คลองส่งน้ํา 20
รูปที่ 3-3 การไหลแบบสม่ําเสมอ 21
รูปที่ 4-1 ช่วงต่อเชื่อมของอาคารในคลองส่งน้ําแบบต่างๆ 34
รูปที่ 5-1 รางน้ํา และสะพานน้ํา 46
รูปที่ 5-2 แปลนและรูปตัด Bench flume 48
รูปที่ 5-3 แปลนและรูปตัด Elevated flume 49
รูปที่ 6-1 ท่อลอดถนน 81
รูปที่ 6-2 ขนาดและน้ําหนักของรถ H20-44 82
รูปที่ 7-1 ท่อลอดคลองส่งน้ําธรรมชาติ 100
รูปที่ 8-1 อาคารน้ําตกแบบกําแพงตั้ง 124
บทที่ 1 บททั่วไปของระบบส่งน้ําชลประทาน
ประตูนา้ํ
ทํานบ
รูปที่ 1-1 ลักษณะของอาคารชลประทานต่างๆ
ฝาย
เขื่อนระบายน้ํา
สะพานน้ํา
ท่อเชื่อม
คันคลอง
ปูม ชานคลอง
1.2 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับโครงการชลประทาน
โครงการชลประทานทุกแห่งจะประกอบด้วยองค์ประกอบที่สําคัญ ได้แก่ พื้นที่ดิน การปลูกพืช แหล่ง
น้ํา หัวงานของโครงการชลประทานและระบบส่งน้ําของโครงการชลประทานดังรูปที่ 1-2 โดยมีรายละเอียด
ต่อไปนี้ (ที่มา :http://province.rid.go.th/phrae/maeyom/page/km_water1.html available 31 May
2013)
(1) พื้นที่ดิน โครงการชลประทานทุกโครงการต้องมีพื้นที่ดินหรือพื้นที่เพาะปลูกที่จะได้ประโยชน์จาก
การชลประทานเสมอ ซึ่งขอบเขตของพื้นที่จะมีขนาดเล็กหรือมีขนาดใหญ่เพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งต่างๆ หลาย
ประการ เช่นจํานวนน้ําจากแหล่งน้ําที่สามารถนํามาใช้ทําการชลประทานได้สภาพภูมิประเทศและลักษณะดิน
ตลอดจนจํานวนเงินลงทุนและนโยบายในการสร้างโครงการชลประทานแห่งนั้นๆเป็นต้น พื้นที่ดินของโครงการ
ชลประทาน แบ่งออกได้ 2 ประเภทคือ
(ก) พื้นที่โครงการ (Project area) หมายถึง พื้นที่ทั้งหมดที่อยู่ภายในเขตโครงการชลประทาน
ประกอบด้วย พื้นที่บริเวณที่สามารถส่งน้ําไปให้เพาะปลูกได้รวมกับพื้นที่บริเวณที่ไม่ได้รับน้ํา ซึ่งพื้นที่ไม่ได้รับ
น้ําจากการชลประทาน ได้แก่พื้นที่หมู่บ้านถนน ที่สาธารณะ หนอง บึง และแหล่งน้ําธรรมชาติ โขดเขาพื้นที่ไม่
เหมาะแก่การปลูกพืช และพื้นที่ระดับสูงไม่สามารถส่งน้ําให้ได้เป็นต้น
ขอบเขตพื ้นที่โครงการ
ระบบส่งนํ ้า
หัวงาน
แหล่งนํ ้า
1.3 ลักษณะทั่วไปของระบบชลประทาน
ระบบส่ ง น้ํ า ชลประทาน หมายถึ ง ทางน้ํ า ที่ จั ด สร้ า งขึ้ น เพื่ อ นํ า น้ํ า จากแหล่ ง น้ํ า ให้ ไ หลไปสู่ พื้ น ที่
เพาะปลูกให้เพียงพอกับความต้องการน้ําของพืช ตามขนาดพื้นที่เพาะปลูก และตรงตามเวลาที่พืชต้องการ
ระบบชลประทานโดยทั่วไปจะต้องประกอบไปด้วย แหล่งน้ํา ระบบส่งน้ํา ระบบแจกจ่ายน้ํา ระบบให้
น้ํา และระบบระบายน้ํา ถนนและทางลําเลียง พืช เกษตรกร และเจ้าหน้าที่ชลประทาน (วราวุธ, 2545) ดังรูป
ที่ 1-3
การส่ ง น้ํ า ชลประทาน เป็ น การนํ า น้ํ า จากแหล่ ง น้ํ า เข้ า สู่ ร ะบบส่ ง น้ํ า ชลประทานเพื่ อ ไปยั ง พื้ น ที่
เพาะปลูก ให้เพียงพอกับความต้องการน้ําของพืช ตามขนาดพื้นที่เพาะปลูก และตรงตามเวลาที่พืชต้องการ
ลักษณะทั่วไปของระบบส่งน้ําชลประทานที่ใช้กันอาจแบ่งได้ 2 ประเภท คือ
- ระบบส่งน้ําแบบเปิด เป็นระบบส่งน้ําที่ใช้ทางน้ําเปิด (Open channel) ในการลําเลียงน้ํา ซึ่งให้น้ํา
ไหลไปโดยอาศัยแรงโน้มถ่วง (Gravitation)
1.4 คลองส่งน้ําชลประทาน
การนําน้ําจากหัวงานหรือแหล่งน้ําไปยังพื้นที่เพาะปลูกหรือพื้นที่ชลประทาน ตามปกติจะก่อสร้าง
คลองส่งน้ําเข้าไป แต่คลองบางตอนจะต้องสร้างเป็นอาคารส่งน้ําแทนการก่อสร้างคลอง เช่น สร้างเป็นอุโมงค์์
ท่อส่งน้ํา รางน้ํา หรือท่อเชื่อม เป็นต้น เพื่อให้สามารถส่งน้ําผ่านอุปสรรค หรือสิ่งกีดขวางไปได้ ในโครงการ
ชลประทานที่มีระบบและพื้นที่ชลประทาน คลองส่งน้ําเป็นสิ่งสําคัญและจําเป็นที่สุดของโครงการชลประทาน
และสิ้นเงินค่าก่อสร้างมากกว่างานอย่างอื่น เพราะโครงการชลประทานหนึ่งมีคลองหลายสาย รวมกันแล้วมี
ความยาวมาก ต้องเสียเงินค่าซื้อที่ดินและค่าขุดคลองมาก(อรุณ, 2534)
คลองส่งน้ําเป็นรางเปิด (open channels) หรือร่องน้ําขนาดใหญ่ซึ่งขุดขึ้นในดินหรือถมขึ้นบนดิน
เพื่อนําน้ําเข้าสู่พื้นที่เพาะปลูกคลองส่งน้ํามี 2 ชนิด ดังรูปที่ 1-4คือ
1) คลองดิน (earth canals) เป็นคลองส่งน้ําที่ขุดดินหรือถมดินให้เป็นรูปคลองส่งน้ําตามที่
ออกแบบ
2) คลองดาด (lined canals) เป็นคลองส่งน้ําที่ขุดดินหรือถมดินให้เป็นรูปคลองส่งน้ํา และดาดผิว
คลองส่งน้ําด้วยวัสดุที่น้ํารั่วซึมไม่ได้ ซึ่งในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ใช้คอนกรีต
คลองดิน คลองดาดคอนกรีต
ที่มา : http://moiraontheroad.blogspot.com/ ที่มา :http://www.const1-rid4.com/ks/po255317.html
รูปที่ 1-4 ลักษณะทั่วไปคลองส่งน้ํา
3) คลอองส่งน้ําสายแแยกซอย หรือคลองแยกซอ
อ อย (Tertiary)) เป็นคลองสส่งน้ําขนาดเล็ก ซึ่งแยก
ออกจากกคลองซอยอีกที ก หนึ่ง เพื่อรับน้ําไปส่งให้้พื้นที่เพาะปลูลูกทั่วเขตโครงการ คลองแแยกซอยมีลักษณะและ
ษ
หน้าที่เช่นเดี
น ยวกับคลอองซอย คลองงซอยสายหนึ่งจะมี ง คลองแยยกซอยกี่สายก็ก็ได้ และจะแยกออกจากททางฝั่งไหน
หรือทั้งสองฝั
ส ่งของคลลองซอยก็ได้ ตามคลองแยยกซอยอาจมีคลองส่ ค งน้ําเล็ล็กๆ แตกแยกกออกไปอีก แต่
แ ก็เรียก
คลองส่งน้นําเล็กๆ เหล่านี
า ้ว่า คลองแยกซอย เหมือนกั
อ น
การเรียกชื่อคลองส่
ค งน้ํา จะเรียกตามลําดั า บที่คลองสาายนั้นแยกอออกจากคลองสสายหลัก โดยใใช้การหัน
ไปตามทิศทางการไหลลของน้ําเป็นตััวกําหนด ดังรูปที่ 1-5เช่น
- 1L-1R-RM MC หมายถึึง คลองส่งน้้าํ สายแยกซอยยสายที่ 1 ซึ่งแยกออกทางฝั่งซ้าย (1L) ของคลอง
ข
ส่งน้ําสายซซอยสายที่ 1 ซึ่งแยกออกททางฝั่งขวา (3RR) ของคลองสส่งน้ําสาย
ใหญ่ฝั่งขวา(RMC)
นอกจากจะแแบ่งประเภทคคลองส่งน้ําตามลักษณะและหน้าที่ดังกลล่าวมาแล้ว ยัังสามารถแบ่งประเภท ง
คลองตามมความสัมพันธ์ น ระหว่างระดัดับผิวดินกับระะดับน้ําสูงสุด ได้อีก 3 ประะเภท (อรุณ, 22534) ดังแสดดงในรูปที่
1-6 คือ
- คลอองประเภทจมดิดิน เป็นคลองงประเภทที่ระดั ะ บน้ําสูงสุดในคลองอยู่เสมมอหรือต่ํากว่าระดั
า บผิว
ดินเดิม มักเป็นคลองสส่งน้ําประเภททที่ทําหน้าที่เก็บกักน้ํา หรือเป็นช่วงตอนขของคลองส่งน้ําที่ผ่านที่เนินหรื
น อที่สูง
และไม่ต้องส่งน้ําออกจากคลองส่งน้นํา คลองชนิดนี ด ้มีความแข็งแรงดี ก่อสร้ร้างง่ายเพราะะตัวคลองวางอยู่บนดิน
เดิมทั้งหมมด
- คลอองประเภทกึ่งลอยล เป็นคลอองประเภทที่ระดั ร บน้ําสูงสุดอยู
ด ่สูงกว่าระะดับผิวดินเดิมเล็
ม กน้อย
และเป็นคลองที
ค ่นิยมอออกแบบใช้งานนอยู่ในปัจจุบัน เพราะให้ประสิทธิภาพในนการส่งน้ําได้ด้ดี ส่งน้ําออกจจากคลอง
ได้ง่าย ไมม่มีปัญหาในการส่งน้ํา คลอองแบบนี้ตัวคลลองส่วนใหญ่วางอยู
ว ่บนพื้นดินเดิม
- คลองลอยหรือเหมืองฟู เป็นคลองประเภทที่ระดับก้นคลองสูงกว่าหรือใกล้เคียงกับระดับผิว
ดินเดิม ดังนั้นตัวคลองทั้งหมดจะวางอยู่บนดินถม มีปัญหาในด้านการก่อสร้างและรั่วซึมมาก คลองประเภทนี้
มักเป็นช่วงตอนของคลองส่งน้ําที่วางแนวผ่านที่ลุ่ม ในกรณีที่ระดับก้นคลองสูงกว่าระดับดินเดิมมาก อาจ
หลีกเลี่ยงไปก่อสร้างเป็นสะพานน้ําจะปลอดภัยและบํารุงรักษาง่ายกว่า
บทที่ 2 การวางแนวระบบส่งน้ํา
2.1 การรวบรวมข้อมูลเพื่อการออกแบบ
ในรายวิชานี้ จะกล่าวถึงเฉพาะข้อมูลที่จําเป็นการออกแบบระบบส่งน้ําชลประทาน ซึ่งข้อมูลทุติยภูมิ
เท่านั้น ส่วนข้อมูลเบื้องต้นที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้กล่าวไว้ในรายวิชาอื่นๆ แล้วผู้ออกแบบจําเป็นต้องมีข้อมูล
ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมาใช้ประกอบในการพิจารณาคือ
(1) แผนที่ภูมิประเทศ ได้แก่ แผนที่แสดงระดับชั้นความสูงของผิวดินในพื้นที่ขอบเขตโครงการและ
บริเวณใกล้เคียง และแสดงรายละเอียดต่างๆ ได้แก่ ถนน ลําน้ํา อาคารบ้านเรือน และสิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่มีอยู่
มาตราส่วนที่ใช้ควรเหมาะสมกับงาน เช่น 1:10,000 สําหรับวางแนวคลองสายใหญ่และคลองซอย และ
1:4,000สําหรับงานออกแบบคลองส่งน้ํา และ 1:500 สําหรับออกแบบอาคารเฉพาะแห่ง เป็นต้น
(2) ที่ตั้งหัวงาน ในกรณีที่แหล่งน้ําต้นทุนเป็นน้ําผิวดิน จําเป็นจะต้องทราบตําแหน่งที่ตั้งและลักษณะ
ของหัวงานด้วยว่าเป็นหัวงานประเภท อ่างเก็บน้ํา เขื่อนระบายน้ํา ฝาย หรือสถานีสูบน้ํา ระดับน้ําสูงสุดต่ําสุด
และระดับที่ใช้อาคารบังคับได้
(3) เนื้อดิน ข้อมูลเกี่ยวกับเนื้อดินที่จําเป็นต้องใช้ในการกําหนดประเภทของระบบส่งน้ํา ซึ่งอาจหาได้
จากแผนที่กําหนดประเภทดิน (Land Classification Map) ซึ่งจัดทําโดยกรมพัฒนาที่ดิน แผนที่ดังกล่าวนี้จะ
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับชนิดของดิน ความเหมาะสมของดินนั้นต่อการปลูกพืชชนิดต่างๆ ความสามารถในการอุ้มน้ํา
ของดิน และคุณสมบัติในการระบายน้ํา เป็นต้น
(4) การใช้ที่ดิน ได้แก่ ข้อมูลการใช้พื้นที่ในเขตโครงการ พื้นที่ป่า พื้นที่น้ําท่วม ที่อยู่อาศัยและอื่นๆ ที่
มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งแนวโน้มในการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงการใช้พื้นที่ในอนาคตด้วย ทั้งนี้ ข้อมูลการ
ใช้ที่ดินจะถูกรวมอยู่ในแผนที่ภูมิประเทศ
2.3 การวางแนวระบบส่งน้ํา
หลักสําคัญของการวางแนวคลองส่งน้ํา ก็คือ ต้องพยายามให้คลองวางอยู่ในแนวที่จะทําให้น้ําไหลออก
จากคลองไปสู่พื้นที่เพาะปลูกหรือคลองที่มีขนาดเล็กกว่าได้สะดวก นั่นก็คือ คลองจะต้องวางอยู่ในแนวซึ่งมี
ระดับสูงในเขตส่งน้ําที่คลองรับผิดชอบ แนวดังกล่าวนี้จะขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศของพื้นที่ ซึ่งอาจแบ่ง
ออกได้เป็น 2 ลักษณะด้วยกัน คือ บริเวณที่ราบระหว่างเชิงเขา และบริเวณที่ราบกว้างใหญ่ (อดุล, 2537)
แนวคลองที่ลาดเชิงเขา
แนวคลองที่ราบกว้ างใหญ่
รูปที่ 2.3แนวคลองตามที่ลาดเชิงเขาและที่ราบกว้างใหญ่
2.4 หน้าที่และคุณสมบัติของคลองส่งน้ํา
คลองส่งน้ํามีหน้าที่รับน้ําจากต้นน้ําไปสู่พื้นที่ดินในเขตโครงการ เพื่อให้คลองส่งน้ําทําหน้าที่ได้ดี คลอง
ส่งน้ําทุกประเภท ทุกสาย และทุกตอน จะต้องมีคุณสมบัติดังนี้ (กรมชลประทาน, 2547)
(1) มีขนาดใหญ่พอที่จะส่งน้ําไปได้ตามที่ต้องการ ซึ่งปริมาณน้ําที่ต้องส่งเข้าคลองจะมีค่าเท่ากับชล
ภาระคูณด้วยเนื้อที่ชลประทานซึ่งคลองสายนั้นควบคุมอยู่ ปริมาณน้ําดังกล่าวนี้เป็นปริมาณน้ําที่จะต้องส่งให้
เนื้อที่เพาะปลูกตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นการส่งน้ําแบบรอบเวร ระยะเวลาส่งน้ําหรือเวลาที่น้ําไหลในคลองจะ
น้อยลง ฉะนั้น ปริมาณน้ําที่จะต้องส่งเข้าคลองให้พอใช้ภายในระยะเวลาอันสั้น จะต้องเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ
บ้าง กล่าวโดยทั่วไป ขนาดคลองส่งน้ํามีความสัมพันธ์กับวิธีการส่งน้ํา เมื่อคลองส่งน้ําสายใหญ่นําน้ําผ่านเนื้อที่
เพาะปลูก ซึ่งแม้ว่าโดยหลักการแล้วจะไม่ให้มีท่อส่งน้ําเข้านาในคลองส่งน้ําสายใหญ่ เนื่องจากจะทําให้การ
บริหารจัดการทําได้ยาก แต่ในทางปฏิบัติคลองส่งน้ําสายใหญ่ก็จะแจกจ่ายน้ําผ่านท่อส่งน้ําเข้านาไปตามทาง
เรื่อยๆ รวมทั้งจ่ายน้ําเข้าคลองซอยสายต่างๆ ด้วย ซึ่งคลองซอยและคลองแยกซอยก็จะแจกจ่ายน้ําด้วยวิธีการ
เดียวกัน ฉะนั้น ปริมาณน้ําในคลองแต่ละสายจะลดน้อยลงไปทุกที จนกระทั่งหมดน้ําที่ท่อส่งน้ําเข้านาท่อ
สุดท้าย ขนาดคลองส่งน้ําจึงค่อยๆ เรียวเล็กลงไปสู่ปลายคลอง การที่จะกําหนดให้แน่นอนว่า คลองส่งน้ําตอน
ใดจะต้องจ่ายน้ําเท่าใดนั้นต้องอาศัยแผนที่แสดงระดับดิน ซึ่งได้แบ่งเขตส่งน้ําไว้ เพราะเราต้องทราบแน่นอนว่า
พื้นที่ในเขตโครงการบริเวณใดจะรับน้ําจากคลองสายไหนได้สะดวกที่สุด แล้วจึงคํานวณขนาดคลองสายนั้น
สรุปได้ว่า ขนาดของคลองส่งน้ําขึ้นอยู่กับ
- ชลภาระ
- วิธีการส่งน้ํา
- พื้นที่ส่งน้ํา
(2) มีระดับน้ําใช้การ (F.S.L.) สูงพอที่จะส่งน้ําได้ทั่วถึง ทั้งนี้ ระดับน้ําใช้การเต็มที่ (F.S.L.) ในคลอง
จะสูงพอที่จะส่งไปท่วมพื้นดิน ซึ่งต้องการใช้น้ําได้สะดวกเพียงไรนั้นย่อมแล้วแต่การเลือกใช้ลาดผิวน้ําในคลอง
ให้เหมาะสมกับความลาดเทของแผ่นดิน ถ้าจะให้น้ําในคลองขึ้นถึงระดับพื้นดินตามแนวคลองได้ตลอดคลอง
2.5 ขั้นตอนในการวางแนวคลอง
สําหรับขั้นตอนในการวางแนวคลองสายใหญ่และคลองซอยลงในแผนที่ภูมิประเทศ ควรดําเนินการ
เป็นขั้นตอนดังต่อไปนี้ (อดุล, 2537)
ขั้นที่ 1 วางระบบระบายน้ํา
การดําเนินงานในขั้นแรก ผู้ออกแบบต้องพิจารณาจัดวางระบบระบายน้ําก่อน โดยยึดลําน้ํา
ธรรมชาติ เ ป็ น ทางระบายน้ํ า สายใหญ่ ลํ า น้ํ า สาขาเป็ น ทางระบายน้ํ า สายซอย ตลอดจนใช้ ที่ ร าบลุ่ ม ตาม
ธรรมชาติซึ่งเมื่อฝนตกลงมาบนพื้นที่ภายในโครงการแล้ว น้ําฝนที่เหลือใช้จะต้องไหลมาตามที่ราบลุ่มนั้น โดย
สังเกตจากเส้น Contour เป็นหลัก ในขั้นต้นนี้จะได้ระบบระบายโดยหยาบๆ ทําให้ทราบทิศทางการไหลของ
น้ําจากน้ําฝน ซึ่งถ้าฝนตกลงมาภายในพื้นที่โครงการชลประทานนั้นๆ แล้วน้ําจะถูกระบายไปตามทิศทางที่ได้
จัดวางไว้ตามลําดับจนถึงลําน้ําขนาดใหญ่ดังแสดงในรูปที่ 2.4
ขั้นที่ 2 วางแนวคลองส่งน้ําสายใหญ่
ในลําดับแรกจะต้องจัดวางแนวคลองส่งน้ําสายใหญ่ โดยหลักการก็คือ พยายามวางแนวคลอง
สายใหญ่ให้เดินไปตามแนวระดับพื้นดินที่สูงที่สุดในพื้นที่โครงการ สําหรับพื้นที่ซึ่งเป็นที่ราบระหว่างเนินเขาทั้ง
สองฟากแม่น้ํา แนวคลองส่งน้ําสายใหญ่จะต้องไต่ไปตามลาดเชิงเขาออกไป และห่างจากแม่น้ําออกไปให้มาก
ที่สุดที่จะทําได้ ในลักษณะเช่นนี้จะวางแนวคลองส่งน้ําสายใหญ่จากหัวงานได้ 2 สาย คือ คลองสายใหญ่ฝั่งซ้าย
บทที่ 3 การออกแบบคลองส่งน้ํา
คลองส่ งน้ํ า จะต้ องมี ข นาด และรูปร่ างที่เ หมาะสมเพื่ อให้ ส ามารถส่งได้ ตามปริม าณที่ กํ าหนด การ
ออกแบบคลองส่งน้ําเป็นการกําหนดขนาด หรือสัดส่วนของคลองส่งน้ําให้สามารถได้ตามปริมาณน้ําที่กําหนด
3.1 ส่วนสัดของคลองส่งน้ํา
มาตรฐานรู)ตัดขวางคลองส่งน้ํา ดังรูปที่ 3.1 ส่วนสัดของคลองส่งน้ําที่จะต้องพิจารณามี 5 อย่าง (อรุณ,
2534) คือ
1) ลาดผิวน้ําในคลอง (water surface slope in canal)
2) รูปตัดขวางของคลอง (cross section of canal) ซึ่งประกอบด้วย
- ความกว้างของก้นคลอง (bed width of canal = b)
- ความลึกของน้ําในคลอง (depth of water in canal = d)
- ลาดตลิ่งคลอง (side slopes of canal = SS) โดยทั่วไป คลองดาดคอนกรีตใช้ 1:1.5
3) คันคลอง (embankments)
4) ชานคลอง (berms)
5) เขตคลอง (right-of-way)
ลักษณะทั่วไปของคลองส่งน้ําได้แสดงตามแบบมาตรฐานคลองส่งน้ําของกรมชลประทาน ดังแสดงใน
รูปที่ 3.2 คลองส่งน้ําบางสายมีชานคลองแต่บางสายก็ไม่มี ทั้งนี้แล้วแต่การพิจารณาของผู้ออกแบบ จะเห็นได้
ว่า คลองส่งน้ําอาจก่อสร้างในดินขุด ดินถม หรือดินขุดและดินถมบางส่วน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศและ
การกําหนดของผู้ออกแบบ ถ้าดินที่ขุดจากคลองมีมากก็จะพอทําคันคลองบนสองฝั่งคลอง แต่ถ้ามีไม่มากพอ
จะต้องขุดบ่อยืมดิน (Borrow pits) เพื่อเอาดินมาช่วยทําคันคลอง เพราะฉะนั้นรูปตัดขวางของคลองส่งน้ําจึงมี
ได้ต่างๆ กันหลายแบบ
3.2 การเลือกใช้ลาดผิวน้ําในคลอง
1 2
E.G.L. hf y1=y2
V12/2g Sf
1
V22/2g
Sw
y1
y2
Flow y2=y1
2
S0 Bed
z1 z2 So = Sw = Sf
Datum
ลาดผิวน้ําในคลองไม่จําเป็นต้องมีค่าเดียวกันตลอดคลอง จะชันในบางตอนแล้วราบในบางตอนก็ได้
เช่น ตอนต้นคลองใช้ลาดผิวน้ํา 1:8,000 ตอนกลางคลองใช้ลาดผิวน้ํา 1:10,000 และตอนปลายคลองใช้ลาด
ผิวน้ํา 1:12,000 เช่นนี้ก็ได้ แต่ถ้าสามารถทําได้แล้วควรใช้ลาดผิวน้ําในคลองค่าเดียวกันตลอดคลอง ถ้าลาดผิว
น้ําในคลองตอนใดไม่เหมาะกับลาดพื้นดินตามแนวคลอง ควรใช้วิธีลดระดับน้ําในคลองลงโดยการสร้างอาคาร
น้ําตก (drops) หรือ รางเท (chutes)
3.3 การพิจารณารูปตัดขวางของคลองส่งน้ํา
สั ด ส่ ว นของคลองที่ เ หมาะกั บ สภาพอย่ า งหนึ่ ง อาจไม่ เ หมาะกั บ สภาพอย่ า งอื่ น ก็ ไ ด้ เช่ น คลองที่
ออกแบบได้ให้ป้องกันการตื้นเขินเพราะตะกอนตกจมอาจส่งน้ําไม่ได้สะดวก หรือเกิดการรั่วซึมของน้ําออกจาก
คลองมากก็ได้ ผู้ออกแบบไม่สามารถออกแบบคลองให้เหมาะกับสภาพทุกอย่างในเวลาเดียวกันได้ เพราะฉะนั้น
ในการออกแบบคลองจึงต้องพิจารณาว่าสภาพใดจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่คลองมากที่สุด ก็ต้องเลือกใช้
ส่วนสัดของคลองที่จะป้องกันความเสียหายนั้นได้ โดยยอมให้มีข้อบกพร่องที่เกิดจากสภาพอื่นได้บ้าง
เมื่อ ค.ศ. 1895 Mr. Kennedy ได้ตั้งสูตรสําหรับอัตราเร็วของน้ําในคลองซึ่งจะไม่กัดทําลายตัวคลอง
และเกิดตะกอนตกจม รู้จักกันทั่วไปว่า Kennedy’s critical velocity ดังนี้
VO = Cdm
หรือ = เนื้อที่รูปตัดขวางของคลองที่น้ําไหลผ่าน
ความกว้างของผิวน้ําในคลอง
Q = AV
ถ้า slope (S) = 10,000 (หรือ 0.0001) หรือมากกว่าและ R มีค่า 1 ถึง 30 ฟุต ค่าของ n สําหรับ
Manning’s formula ให้ใช้ตามค่าในตารางต่อไปนี้
1) เป็นที่ทิ้งดินซึ่งขุดขึ้นมาในเวลาขุดคลองโดยไม่ได้ทําหน้าที่อย่างใดเลย
2) เป็นคันดินที่ทําหน้าที่ป้องกันไม่ให้น้ําในคลองไหลออกไปจากคลอง หรือไม่ให้น้ําภายนอกไหลเข้า
มาในคลอง
สําหรับคันคลองที่ไม่ได้ทําหน้าที่เป็นคันกั้นน้ํา การกําหนดขนาดคันคลองไม่สู้จะมีปัญหานัก คง
เพียงแต่คอยระวังให้ลาดข้างคันคลองหรือลาดตลิ่งคันคลองเหมาะสมกับดินที่ถมเท่านั้น เพื่อไม่ให้คันคลองพัง
ลงคลองหรือทลายออกไปทับที่ดินข้างคลองได้ แต่คันคลองที่ทําหน้าที่เป็นคันกั้นน้ํา การกําหนดขนาด การ
ก่อสร้าง การบํารุงรักษาคันคลองเป็นเรื่องสําคัญที่จะต้องทําให้ถูกต้องและมั่นคงแข็งแรง เพราะถ้าคันคลอง
ตอนใดขาดจะกระทบกระเทือนการส่งน้ําในช่วงคลองที่อยู่ถัดจากช่องขาดลงไป และน้ําที่ไหลออกจากคลอง
ทางช่องขาดจะทําความเสียหายแก่พื้นที่เพาะปลูกที่อยู่ใกล้เคียงกับช่องขาดได้มาก
ตามปกติความสูงเผื่อของคลองที่ขุดในดินเท่าที่เคยใช้กันมีดังต่อไปนี้
สําหรับคูน้ําขนาดเล็ก ใช้ F = 0.30 เมตร
สําหรับคลองซอยขนาดเล็ก ใช้ F = 0.50 เมตร
สําหรับคลองซอยขนาดกลาง ใช้ F = 0.30+0.25d เมตร
คลองของโครงการเจ้าพระยา ใช้ F = 0.20+0.20d เมตร
ในเมื่อ d = ความลึกของน้ําในคลองเป็นเมตร
สําหรับคลองสายใหญ่ ใช้ F = 1.50 – 2.00 เมตร
3.4 เกณฑ์กําหนดขนาดคลองส่งน้ําดาดคอนกรีตตามมาตรฐานของกรมชลประทาน
1. ลาดท้องคลอง (S)
ในการออกแบบคลองส่งน้ํา โดยปกติจะกําหนดให้การไหลเป็นแบบ Uniform flow ดังนั้น เมื่อ
กล่าวถึ งลาดท้ องคลอง จะหมายถึ งลาดผิวน้ํานั่ นเอง ค่าความลาดท้ องคลองจะสัม พันธ์ กับความเร็ว ของ
กระแสน้ําและระดับน้ําใช้การเต็มที่ (Full Supply Level, F.S.L.) โดยทั่วไป ลาดท้องคลองส่งน้ํา (S) จะอยู่
ระหว่าง 1:1,000 ถึง 1:10,000 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ
- ลาดแผ่นดินตามแนวคลองส่งน้ํา
- ลักษณะและปริมาณตะกอนที่ไหลมากับน้ํา
- ตามพินิจพิจารณาของผู้ออกแบบ
2. รูปตัดขวางของคลองส่งน้ํา
การเลือกรูปตัดขวางของคลองส่งน้ํานั้น จะพิจารณาจากรูปตัดที่เล็กที่สุดและสามารถรับปริมาณ
น้ําได้มากที่สุด ซึ่งจะใช้อัตราส่วน B/D และค่า S.S. เป็นตัวกําหนด
โดยที่ B = ความกว้างท้องคลอง (Bed width of canal) ไม่น้อยกว่า 0.50 ม.
D = ความลึกของน้ําในคลอง (Depth of water in canal)
S.S. = ลาดข้างคลอง (Side slope) จะอยู่ระหว่าง 1:1 ถึง 1:2
สําหรับคลองส่งน้ําที่เป็นคลองดาดคอนกรีต อัตราส่วน B/D ที่เหมาะสมจะอยู่ระหว่าง 0.5 ถึง 2.0
3. คันคลองส่งน้ํา
ความกว้างคันคลอง ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของการใช้และความจําเป็นด้านการจราจร โดยจะ
กําหนด ดังนี้
1. คันคลองที่ไม่ได้ใช้เป็นถนนจะมีความกว้าง 2.00 ม.
2. คันคลองที่ใช้เฉพาะการบํารุงรักษาจะมีความกว้าง 4.00 ม.
3. เป็นถนนลูกรังหรือราดยางชั้นเดียวจะใช้ 6.00 ม.
4. สําหรับคันคลองที่เป็นทางเชื่อมระหว่างถนนหลัก หรือมีผู้ใช้ถนนหนาแน่นจะกําหนดการราด
ยางตามมาตรฐานกรมทางหลวง และกําหนดความกว้างคันคลองไว้ 9.00 ม.
4. ชานคลอง (Berms)
สําหรับคลองที่ขุดลึกมากๆ หรือบริเวณเชิงเขาที่จะต้องมีการตัดดิน จะมีชานคลองเป็นชั้นๆ ทุก
ความลึก 3.00 ม. เพื่อป้องกันการพังทลายของลาดดิน อีกทั้งจะสามารถใช้เป็นทางเพื่อทําการบํารุงรักษา ค่า
ความกว้างชานคลองกําหนดไว้ระหว่าง 1-2 ม. ตามขนาดของคลองและให้ลาด (Slope) ของชานคลองเท่ากับ
12%
5. ระยะเผื่อพ้นน้ํา (Freeboard)
ระยะเผื่อพ้นน้ํา (Freeboard) สําหรับคลองดาดคอนกรีต จะมี 2 ค่า คือ
1. ค่าความสูงของคันคลอง
2. ค่าของขอบคอนกรีตดาด คือ ระยะที่วัดจากระดับน้ําสูงสุดจนถึงขอบคอนกรีตดาด กําหนด
ตามเกณฑ์ ดังนี้
6. ความโค้งของคลองส่งน้ํา
ค่ารัศมีความโค้งสําหรับคลองดาดคอนกรีต โดยทั่วไปกําหนดไว้ไม่น้อยกว่า 3 เท่าของความกว้าง
หน้าตัดผิวน้ําในคลองที่ระดับน้ําใช้การเต็มที่ (F.S.L.) ถ้าคันคลองเป็นถนนลาดยางจะต้องกําหนดให้ปลอดภัย
ตามมาตรฐานของกรมทางหลวง แต่ถ้ามีความจําเป็นต้องวางแนวคลองให้มีรัศมีน้อยกว่าที่กําหนด ในการ
ออกแบบอาจจะต้องเพิ่ม Guide vane เพื่อกระจายการไหลของน้ําให้มากที่สุด และจะต้องเพิ่ม Head Loss
บริเวณโค้งนี้ด้วย
7. รายละเอียดอื่น ๆ
ความหนาของคอนกรีตดาดคลอง ได้ปรับมาจากมาตรฐานของกรมชลประทานสหรัฐดังตารางที่
3-3 ในความยาวของแผ่นคอนกรีตแต่ละช่วง จะต้องมีการเซาะร่องป้องกันการแตกร้าวไว้ด้วย โดยจะกําหนด
ความหนาของคอนกรีตดาด และความยาวของแผ่นคอนกรีต (Groove spacing) ดังนี้
3.5 ตัวอย่างการคํานวณขนาดคลองส่งน้ํา
ปริมาณน้ําประจําแฉก
แฉก 1 ขวา = 0.0002 x 1,200 = 0.240 ม.3/วินาที
แฉก 2 ซ้าย = 0.0002 x 1,600 = 0.320 ม.3/วินาที
แฉก 3 ขวา = 0.0002 x 1,920 = 0.384 ม.3/วินาที
แฉก 4 ซ้าย = 0.0002 x 2,000 = 0.400 ม.3/วินาที
แฉก 5 ขวา = 0.0002 x 2,000 = 0.400 ม.3/วินาที
แฉก 6 ซ้าย = 0.0002 x 1,920 = 0.384 ม.3/วินาที
แฉก 7 ขวา = 0.0002 x 2,800 = 0.560 ม.3/วินาที
แฉก 8 ซ้าย = 0.0002 x 2,560 = 0.512 ม.3/วินาที
รูปตัดที่ 1 จาก ก.ม. 0+000 ถึง ก.ม. 0+200 ปริมาณน้ําที่จะต้องส่ง = 3.200 ม.3/วินาที
1 d
z
b
สมมติให้ b = 2.60 เมตร
d = 1.35 เมตร
A = (b + 1.5 d) d
= [2.60 + (1.5 x 1.35)] 1.35
= 6.244 ม.2
P = b + 2d 1 z 2
= 2.60 + (2 x 1.35 1 1.5 2 )
= 7.467 เมตร
R = A/P
= 6.244 / 7.467
= 0.836 เมตร
1 2 / 3 1/ 2
V = R S
n
1
0.836 2 / 3 1 / 8000
1/ 2
=
0.018
= 0.551 เมตร/วินาที
Q = AV
= 6.244 x 0.551
= 3.442 ม.3/วินาที > Qrequired OK
b/d = 2.60 / 1.35
= 1.926 อยู่ระหว่าง 0.5 – 2.0 OK
Q A v R n S ss b d t Wc Bm fb fe HL HR TL TR RL RR
3.442 6.244 0.551 0.836 0.018 1:8000 1:1.5 2.60 1.35 0.07 0.20 1.00 0.25 0.70 2.05 2.05 2.00 6.00 10.00* 14.00*
* คํานวณจาก ระยะตามรูปตัดขวางของคลอง + ระยะของลาดคันคลองตามแนวนอน + 2
บททีที่ 4 ช่วงต่อเชื
เ ่อม
4.1 ชนิดของช่
ด วงต่อเชื
เ ่อม
ช่วงต่อเชื่อมขของอาคารในแนวคลอง (Innline canal structure transitions)
t โโดยทั่วไป ช่วงต่อเชื่อม
คอนกรีตสํ
ต าหรับ Inlinne canal struuctures มี 3 ประเภท (ปฏิฏิภาณ, ม.ป.ปป.) คือ
(1) Streeamlined warp
w transition เป็นรูปแบบที
แ ่คล้อยตตามแนวเส้นการไหล (Streaamlines)
ส ติทางชลฃฃศาสตร์ดีมากก (Best hydrraulic propeerty) เหมาะกักับอาคารขนาดใหญ่ที่มี
ให้มากที่สุด จึงให้คุณสมบั
ปริมาณนน้ําผ่านมาก แต่มีความยุ่งยาากในการก่อสร้
ส าง
(2) Straaight-warp transition เป็นแบบที่ดัดัดแปลงมาจาากแบบแรก เเพื่อให้ก่อสร้างง่
า าย แต่
คุณสมบัติตทิ างชลศาสตตร์จะไม่ดีนัก เหมาะกับอาคคารขนาดใหญ
ญ่และขนาดกลลาง
(3) Brokken-back transitionหหรือ Dogleg เป็นแบบที่ก่อสร้
อ างง่าย คุณ
ณสมบัติทางชชลศาสตร์
พอใช้ได้ เหมาะกับอาคคารชลประทาานขนาดเล็กและอาคารในร
แ ระบบส่งน้ําทัวไป
ว่
Broken baack
4.2 การออกแบบทางชลศาสตร์
(1) ความยาวช่วงต่อเชื่อม
- ในอาคารขนาดใหญ่ และ
ต้องการคุณสมบัติทางชลศาสตร์ที่ดีทีสุด มุมที่
FSL.
เกิดจากเส้นผิวน้ําสูงสุดตัดกับลาดด้านข้าง ทํา
มุมกับแนวศูนย์กลางของช่วงต่อเชื่อม ( ) ให้
ใช้เท่ากับ 27 1/2Oสําหรับช่วงต่อเชื่อมด้าน CL
เหนือน้ํา และเท่ากับ 22 1/2O สําหรับช่วง
ต่อเชื่อมด้านท้ายน้ํา
- ในอาคารขนาดใหญ่ และต้องการประหยัดค่าก่อสร้าง อาจใช้ = 25Oทั้งด้านเหนือน้ําและ
ท้ายน้ํา
- กรณีอาคารขนาดเล็กและทําหน้าที่อัดน้ํา (Check) อาจใช้ = 30Oสําหรับช่วงต่อเชื่อมด้าน
เหนือน้ํา
(2) Transition Loss
การคํานวณหา Losses (ยกเว้น Friction Loss เพราะมีค่าน้อยมาก) ใน Transitions จะใช้ค่า
Inlet Coefficient (Ki) และ Outlet Coefficient (Ko) ตามลักษณะของ Transition ต่อไปนี้เป็นตัวคูณกับ
ความแตกต่างของ Velocity Head ณ ที่จุดปลาย Transition ต่อกับคลองและ ณ ทีจ่ ุดต่อกับปากท่ออีกจุด
หนึ่ง (hV)
4.3 ตัวอย่างการออกแบบช่วงต่อเชื่อม
ข้อมูลหน้าตัดสี่เหลี่ยมผืนผ้า
- ความกว้าง 2.20 เมตร
- ความสูง 3.00 เมตร
ข้อมูลคลองรูปสี่เหลี่ยมคางหมู
- ก้นคลองกว้าง 2.60 เมตร
- ความลึกของน้ํา 1.79 เมตร
- ความลาดเทด้านข้าง 1 : 1.50 เมตร
- ความสูงของคลอง 2.10 เมตร
ข้อมูลของระดับต่างๆ ดูในรูปที่ 2
เกณฑ์กําหนดในการออกแบบ
- ดินถมอัดแน่น , 1.9 ตัน / ม.3
- ดินอิ่มตัวด้วยน้ํา , sat 2.2 ตัน / ม.3
- มุมแรงเสียดทานภายในของดิน , 30 องศา
- Bearing Capacity ของดิน 10 ตัน / ม.2
- คอนกรีตเสริมเหล็ก , 2.4 ตัน / ม.3
- เหล็กรับอุณหภูมิ 0.15% ในทุกผิว
- กําหนดให้ใช้ COVERING 5 เซนติเมตร
- การออกแบบคอนกรีตเสริมเหล็กให้ใช้ตามหลักการของ Working Stress
Ms = As.fs.j.d โดย fs = 1,500 กก. / ซม.2 และ j = 0.885
2
Mc = R.b.d โดย R = 11.995
vc = V
bd
u = V
o. j.d
- คานที่ไม่เสริมเหล็กรับแรงเฉือน ,vc 3.8 กก. / ซม.2
- ข้อกําหนดอื่นๆ ให้ใช้ตามมาตรฐานรายละเอียดการเสริมเหล็กในอาคารคอนกรีต (กรมชลประทาน,
2535)
วิธีทํา
Length of transition = 1.5 1.79 0.5 2.00 0.5 2.20
tan 22.5
= 6.97 m.
กําหนดใช้ L = 7.00 m.
ทําการกําหนดรูป PLAN และ LONGITUDINAL SECTION ได้ดังรูปที่ และ
Design reinforcement of-
ใช้หน้าตัด B-B ซึ่งเป็นหน้าตัดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า
0.20 SURCHARGE 0.3 T/m.2
3.0
P2
P1
P1
0.30 O+
2.20 0.30
สมมติว่าไม่มีนา้ํ ใต้ดิน
ดินถมอัดแน่นมีความหนาแน่น 1,900 kg/m3
Internal friction angle, 30o
ka = 1
3
Su = 300 kg/m2
ออกแบบกรณีวิกฤตเมื่อน้ําใน transitionไม่มี
P1 = 1 KaSOIL H2
2
= 1
0.5 1900 3
0 .3
2
3 2
= 3142.13 kg/m.
P2 = ka.Su.H
= 1
300 3 0.15 = 315 kg/m.
3
Vmax = 3142.13 + 315 = 3457.13 kg/m.
Mmaxรอบจุด O = 3 0.15
3142 .13 315
3.15
3 2
Mmax = 3795.36 (kg-m)/m.
เกณฑ์ที่ใช้ในการออกแบบคอนกรีตและเหล็ก
dm = M / Rb = 3795.36 100
11.995 100
= 17.79 ซม.
CL
P2
3.15 P1
O
1.25
1800 kg
4126.11 kg-m
1285.71 kg/m
Weight of side wall = 1
(0.20 0.30) 3.00 2400
2
= 1800 kg/m.
Upward soil reaction = 2 1800 = 1285.71 kg/m.2
2.80 1.00
Moment at CL = 4126 .11 1285 .71
1.25 2
1800 1.25
2
Moment at CL = 4126.11 1004.46 2250
= -2880.57 kg-m/m.
As = 2880.57 100 = 8.68 ซม.2
1500 0.885 25
Use 16 @0.20ได้ As = 10.05 ซม.2 > 8.68 ซม.2 OK.
หาระยะ
M for bars 16 @ 0.20 = 10.05 1500 0.885
25
100
= 3335.34 kg-m
2
4126.11 1285.71 1800
2
= -3335.34
CL
1.80 P2 = 180
P1= 1026
1.275
SOIL SURCHARGE
0.85
1.25 918 kg. 972 kg.
748.51 kg/m.
P1 = 1
1900
1.8 2 = 1026 kg/m.
3 2
P2 = 1
300 1.8 = 180 kg/m.
3
= 972 kg/m.
Weight of sloped wall = 0.25 1.53 2400
= 918 kg/m.
Upward soil reaction = 972 918
1.25 1.275
= 748.51 kg/m.2/m.
MA = 1026
1. 8
180
1 .8 = 777.6 kg-m.
3 2
(เสริมเหล็กรับโมเมนต์ผิวนอก)
As = 777.6 100 = 2.93 ซม.2 Use 12 @ 0.20
1500 0.885 25 5
MCL = 1487 .70 315 2386 .11 1732 .73 2454 .30
A
1.00
CL
0.15
1.30
3.15
1 :1.5
0.20
7.00
0.10
0.25
0.10
0.20
CL
A
+22.23
2.10
0.05
0.20
+20.13
1.00
0.20
0.20
REINFORCEMENT OF -
1:1.5
0.30
0.30
0.10
B
B
+19.67
0.20
ELASTIC FILLER
+22.67
3.0
0.30
0.25
0.20
12 @ 0.20
1.80
12 @ 0.20
3.0 12 @ 0.20
0.30
0.95 0.95
0.30 2.20 0.30
SECTION B-B
0.20
แนวศูนย์ กลาง
ของอาคาร 12 @ 0.20
1.80 12 @ 0.20
VARIED 12 @ 0.20
REINFORCEMENT OF -
12 @ 0.20
12 @ 0.20
VARIED
12 @ 0.20
VARIED
VARIED
12 @ 0.20
12 @ 0.20
VARIED 12 @ 0.20
12 @ 0.20
REINFORCEMENT OF -
การออกแบบ transition
C +22.23
ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน
+22.67
12 @ 0.20 0.05
12 @ 0.20 BOTH FACES
FAR FACE
BOTH FACES
12 @ 0.20
คณะวิศวกรรมศาสตร์ กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
12 @ 0.20 2.10
3.0 16 @ 0.20
-45-
12 @ 0.20 +20.13
12 @ 0.20
+19.67 12 @ 0.20
1.00
0.30 12 @ 0.20
0.25 1:1 16 @ 0.20
0.30 C 0.20
0.20
7.00
B
รูปที่ 3 SECTION A-A พร้ อมการเสริมเหล็ก
ดร.ยุทธนา ตาละลักษมณ์
02207421 การออกแบบคลองและอาคารส่งน้ํา
ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน
ว น
คณะวิศวกรรรมศาสตร์ กําแพงงแสน มหาวิทยาลัลัยเกษตรศาสตร์ 02207421 การอออกแบบคลองและอาคารส่งน้ํา
บทที่ 5 รางน้
ร าํ หรือ สะพานน้
ส ํา
Elevatedd flume
Bencch flume
5.1 การออกแบบทางงชลศาสตร์
Young et.all.(1978)ได้กําหนดลักษณะทางชลศาสตรร์ในการออกแแบบรางน้ํา ดังงนั้
(1) การไไหลของน้ําใน Flume ให้เป็นแบบ Subccritical Flow w
(2) สัดส่วนระหว่างคววามกว้างของ Flume ต่อความลึ ค กของนน้ํา , (B/D) กําหนดให้อยูระหว่
ร่ าง 1
ถึง 3
(3) ความมลาดของก้น Flume ไม่ควรชั ว นกว่า 1: 500
(4) ความมเร็วของน้ําในนรางน้ําไม่เกิน 3.50 เมตร//วินาที
(5) ระยะะพ้นน้ํา (Freeboard) ที่ Transition Cut off ต่อกับคลองดาดดคอนกรีต จะะใช้เท่ากับ
Freeboaard ของคลองงส่งน้ําณ ตําแหน่
แ งนั้นๆ
0 HV , ระะดับผิวน้ําต่ําลง
(6) Losss ที่ inlet transition = 0.3 ล 1.3HV
H
v2
H
v1
El. 102.50
El. 102.15
El. 100.00
El. 99.65
Flume
Sta. 1+000 Sta. 1+220
R = 5.12 = 0.8 m.
3.2 + 2 (1.6 )
จากสมการที่
n V
S1/2 =
R 2/3
= 0.016 2.97 = 0.05514
(0.8) 2 / 3
S = 0.003041 = 1 : 328.84
สมการ Manning
V = 1
R 2 / 3 SO
1/ 2
n
2/3
15.20 = 1 d
(1 / 1,000)1 / 2
2d 2 0.016 2
d8/3 = 6.104
d = 1.97 m.
b = 2 1.97 = 3.94 m. ใช้ 4.0 ม.
หา d ใหม่จากสมการ Manning
Q = 1
AR 2 / 3 SO1 / 2
n
2/3
15.20 = 1 4d
4d (1 / 1,000)1 / 2
0.016 4 2d
จากวิธี trial และ error
d = 1.95 m.
V = Q
A
15.2
= = 1.95 m/s.
4 1.95
2.5
1
1.5 5.0
1.95
4.0
ขอบผิวนํา้
3.75 3.75
4.25 4.25
6.25 1 2 6.25
2.0 2.5 2.5 2.0
CL ของคลองและ FLUME
INLET T. FLUME OUTLET T.
4.25
Inlet Transition , L = = 8.16 ใช้ 9.0 ม.
tan 27.5
Outlet Tansition, L = 4.25 = 10.26 ใช้ 11.0 ม.
tan 22.5
ระยะระหว่าง Sta 1+000 และ Sta 1+220
L = 1220-1000 = 220 ม.
ความยาว Flume, Lf = 220-11-9 = 200 ม.
Δ hv = 1.95 0.695 2x91.81
2 2 = 0.169 ม.
Inlet Transition loss = 0.3hv = 0.3(0.169) = 0.051 ม.
Oultet Transition loss = 0.5hv = 0.086 ม.
Loss in flume = SfLf = SoLf
1
= x 200 = 0.20 ม.
1000
Total loss = 0.051+0.20+0.086 = 0.34 ม. ใกล้เคียง 0.35 ม.
ดูรายละเอียดได้จากเอกสารแนบท้ายตัวอย่าง
El. 102.50
El. 102.265
El. 102.065
2.5 El. 102.15
So = 1 : 1000
1.95 El. 100.115
El. 100.315
El. 100 El. 99.65 2.5
TRANSITION TRANSITION
2.4
W1
0.25
2,880 kg. 2,664 kg.-w
FORCE SHEAR MOMENT
รูปที่ 4 การวิเคราะห์ SHEAR และ MOMENT ที่กําแพง
4.40
พลิกรู ปลง
W2 = 523.64 kg/m
2,664 2,664
4.20
SHEAR
1099.64
MOMENT
3818.63 1099.64
2,664 2,664
M = 1 l
wl
2 3
= 1 .4
0.5 1,400 1.4
3
= 457.33 kg-m
As = 457.33100 = 2.30 ซม.2 น้อยกว่า Ast
1,500 0.88515
เลือกขนาดเหล็กที่กําแพง
- ผิวด้านในตั้งแต่ยอดกําแพงถึงระดับ 1.40 เมตร
As = Ast = 4.0 ซม.2
เลือกเหล็ก 12 mm @ 0.28 มี As = 4.04 ซม.2และ o = 13.46ซม.
ตั้งแต่ระดับ 1.40 เมตรถึงโคนกําแพง ขาดเหล็กอยู่
Asที่ขาด = 13.38 – 4.04 = 9.34 ซม.2
เลือกเหล็ก 20 mm@ 0.28 โดยมี
As = 11.22 ซม.2 และ o = 22.44 ซม.
สรุปเหล็กผิวในที่กําแพง ตั้งแต่ระดับ 1.40 เมตรถึงโคนกําแพง
12 mm @ 0.28 มี As = 4.04 และ o = 13.46
20 mm @ 0.28 มี As = 11.22 และ o = 22.44
รวม As = 15.26 และ o = 35.90
2
ซึ่ง As = 15.26 ซม. มากกว่า 13.38 แสดงว่าเหล็กมีปริมาณเพียงพอ
เหล็กเสริมที่พื้นผิวบน
As ที่กลางพื้น = 3818.63 100 = 14.38 ซม.2
1500 0.885 20
As ที่ขอบปลาย = 2664 100 = 10.03 ซม.2
1500 0.885 20
ฉะนั้นเลือกใช้เหล็กดังนี้
12 mm @ 0.28 As = 15.26 ซม.2 และ o = 35.9 ซม.
20 mm @ 0.28
ตรวจสอบ Bond stress ที่ขอบปลายของพื้น (ติดกําแพง)
เหล็กเสริมที่พื้นผิวล่างเป็นเหล็กรับอุณหภูมิ
Ast = 0.002 25 100 = 5 ซม.2
เลือกใช้เหล็ก
12 mm @0.22 มี As = 5.14 ซม.2 >5 ซม.2 OK
เปลี่ยนเหล็กรับอุณหภูมิที่ผิวนอกของกําแพงเป็น
12 mm @0.22 เพื่อให้สะดวกและง่ายในการก่อสร้าง
เหล็กรับอุณหภูมิที่เป็นเหล็กจุดที่กําแพงยังคงใช้
12 mm @0.28
เหล็กรับอุณหภูมิที่เป็นเหล็กจุดที่พื้นใช้
12 mm @0.22
4.00 0.20
12 mm. @ 0.22
12 mm. @ 0.28
1.40
12 mm. @ 0.28
2.40
20 mm. @ 0.28
12 mm. @ 0.28 1.00
0.25
4.40
INLET TRANSITION
E.G.L แนวราบ
V12/2g hL
ผิวนํา้ E.G.L
2
V2 /2g ผิวนํา้
FLOW
y1
FLOW
พืน้ คลอง
y2
Z
แนวราบ พืน้ FLUME
ใช้หลักการของการอนุรักษ์พลังงานระหว่างหน้าตัด และ
V12 V2 2
z y1 = y2 hL
2g 2g
V22 V12
z y1 y 2 = h L
2g 2g
y 2 z y1 = - hv – 0.3 hv = -1.3 hv
OUTLET TRANSITION
hL V22/2g
E.G.L แนวราบ
V12/2g ผิวนํา้
ผิวนํา้
FLOW
FLOW y2
y1 พืน้ คลอง
พืน้ FLUME แนวราบ Z
ใช้หลักการของการอนุรักษ์พลังงานระหว่าง และ
V2 V2 2
y1 1 = z y 2 hL
2g 2g
V12 V22
hL = z y 2 y1
2g 2g
z y 2 y1 = h v 0.5h V = +0.5 hv
5.3 ตัวอย่างการออกแบบสะพานน้าํ
ตัวอย่างต่อไปนี้เป็นการออกแบบสะพานน้ําในระบบส่งน้ําดิบของการประปานครหลวง ซึ่งดําเนินการ
โดยบริษัททีมคอนซัลติ้ง เอนจิเนียร์ จํากัด และบริษัทแอสดีคอน คอร์ปอเรชั่นจํากัด แสดงรายละเอียดการ
ออกแบบเฉพาะหน้าตัดช่วงกลางของอาคาร โดยมีการเปลี่ยนแปลงการคํานวณเล็กน้อยโดยเฉพาะ Footing
วัตถุประสงค์ของตัวอย่างนี้ก็เพื่อให้นิสิตได้เรียนรู้ถึงหลักเกณฑ์ในการออกแบบ และการแยกส่วนต่างๆ ในการ
วิเคราะห์ (สันติ, 2555)
'
fc = 175 ksc.
fc = 78.8 ksc.
fs = 1,500 ksc.
n = 10
k = 0.344
j = 0.885
R = 11.995
d = 4.51 m. (Covering = 4 cm.)
b' = (0.25+0.40)2 = 0.325 m.
kd = 1.55 m. from top < 4.15 m.
WL2 42,605(10)2
M = 8
= 8(1,000)
= 532.56 t.m.
11.995(20.325)(451)2
Mc = R(2 b' ) d 2 = (1,000)
= 1585 t.m
M < Mc
532.56(1,0 00)
As = M
f s .j.d
= (1,500)(0.885)(4.51)
cm 1 m width
2
= 13.69
2
เลือกใช้เหล็กขนาด DB 20 @ 0.20 ( A s = 15.71 cm )
42,605(10)
V = WL
2
= 2
= 213,025 kg.
V 213,025
v = (2b' )d = (232.5)(451)
= 7.27 ksc.
vc = 3.8 ksc.
Vc = 3.8 (232.5)(451) = 111,397 kg.
V' = V - Vc = 213,025 – 111,397
= 101,628 kg.
A v .f v .d
S = V'
2
ใช้เหล็กตั้งของกําแพงรับแรงเฉือน (DB 16, As = 4.02 cm )
(4.02)(1,500)(451)
S = 101628
= 26.76 cm > 20 cm. OK.
เลือกใช้เหล็ก 10 – DB 25 ( A s = 49.09 cm 2 )
V = wL
2
= 21,302.5
2
(10)
= 106,512.5 kg
vc = 3.8 (32.5) (435) = 53,722.5 kg
V' = V - Vc = 106,512.5 – 53,722.5 = 52,790 kg
11.912 (1,000)
dm = M
Rb
= 11.995
= 31.5 ซม. < 36
O.K.
8.611 (1,000)
dv = V
b vc
= (100) (3.8)
= 22.7 ซม. < 36
O.K.
As = M
fs. j. d
= 11.912 (1,000)
(1,500) (0.865) (0.36)
= 24.93 ซม.2
2
เลือกใช้เหล็ก DB 16 @ 0.20 + DB 20 @ 0.20 ( A s = 25 76 cm )
และ Σ o = 25.13 + 31.42 = 56.55 ซม.
ตรวจสอบความหนาของแผ่นพื้น flume
w1 = 3.95(0.25)(2.4) = 2.370 ตัน
w2 = 1 (0.15)(3.95)(2.4)
2
= 0.711 ตัน
w3 = 0.4(0.4)(2.4) = 0.384 ตัน
w4 = 0.2(1.0)(2.4) = 0.48 ตัน
w5 = 750(1.0)/1,000 = 0.75 ตัน
w = 4.695 ตัน
4.695(1,000)
dv = V
b vc
= 100(3.8)
ตรวจสอบแรงยึดหน่วง, u ที่โคนกําแพง
8.611(1,000)
u = V
Σo.j . d
= (25.1331.42)(0.885)(36)
2
หาตําแหน่งความลึกจากขอบกําแพงที่จะใช้เหล็ก DB 16 @ 0.20 ( A s = 10.05 cm )
M1 = A s . f s .j .d ; d = 0.25-0.04+ 0.15 (H)
4.15
(1)
2
M2 = ½ γ H .H
3
(2)
H3
(1) = (2) ; 10.05(1,500)(0.885)(0.21+0.036H) = ½ (1,000) 3
3
H - 2.882H – 16.81 = 0
H = 2.934 m.
ดังนั้นเลือกความสูงที่จะหยุดเหล็กที่ 2.50 m. จากขอบบนของ flume
2
เลือกใช้เหล็ก DB 16 @ 0.20 + DB 20 @ 0.20 ( A s = 25.76 cm )
ตรวจสอบแรงเฉือน
Vc = vc . b.d = 3.8(100)(36) = 13,680 kg
'
V = V- Vc = 17,630-13,680 = 3,950 kg
ถ้าพิจารณาให้เหล็กเสริมทางแนวนอนเป็นเหล็กรับแรงเฉือนด้วย
2
เหล็กบน : DB 16 @ 0.20 + DB 20 @ 0.20 ( A s = 25.76 cm )
2
เหล็กล่าง : DB 20 @ 0.20 + DB 25 @ 0.20 ( A s = 40.25 cm )
2
ปริมาณเหล็กเสริมรวม = 25.76 + 40.25 = 66.01 cm /m
ดังนั้นเหล็กเสริมในแนวนอนจะรับแรงเฉือน
= V' = 3,950
As 66.01
(15 269.75141.30)
น้ําหนักกระจายบน Beam = 7.3
+ 0.84
= 59.20 ตัน/เมตร
ระยะของเสา = 1.20 m.
ขนาดของเสา = 0.40 0.40 m.
ความยาวสุทธิของช่วงคาน, L = 1.20 – 0.40 = 0.80 m.
1 WL'2 1 (59.201,000) (0.80) 2 = 4,210 kg-m.
M = 9
= 9
1 WL'2
M = 11
= 1
11
(59.201,000) (0.80) 2 = 3,444 kg-m.
M (cantilever) = 1 WL'2 = 1 (59.201,000) (0.35) 2 = 3,626 kg-m.
2 2
2 2
Mc = Rb d = 11.995(0.50) (66) = 26,125 kg-m.
4,210 2
As = M
f s .j . d
= 1,5000.8850.66
= 4.81 cm
2
ใช้ Stirrup 2-RB9, As = 21.27 = 2.54 cm
2.541,20066
S = Av . fv . d
V
= 14,692
= 13.70 cm.
ออกแบบเสา
แรงสูงสุดตามแนวแกนของเสา = 2 V = 227,232 = 54,464 kg. สําหรับเสาสั้น
P = 0.85 A g (0.25 f c + A s f s / A g )
2
Ag = 4040 = 1,600 cm
2
ใช้ 4-DB 25, As = 19.63 cm
P = 0.851,600(0.25175+19.631,500/1,600)
= 84,528 kg. >54,464 kg. (หรือ 27,232 2) O.K.
4 –DB25
RB 9 @ 0.20
ตรวจสอบเสายาว
h = Height of Column = 3.00 m.
r = Radius of gyration ของเสา = 0.3 t
= 0.30.40 = 0.12 m.
P(long)
R = P(short)
= 1.07-0.008 h
r
= 1.07-0.008 3.00
0.12
= 0.87
P(long) = R P(short)
= 0.8784,528 = 73,539 kg. > 54,464 O.K.
ตรวจสอบแรงที่ลมกระทํา
4.15
0.40
0.40
50 kg/m2
(4.15) 2
MA = 50 2
= 431 kg-m.
As
req.
= M
fs . j . d
= 431
(1,500)(0.885)(0.36)
= 0.9 cm 2 /m.
2
< DB 16 @ 0.20 + DB 20 @ 0.20 ( A s = 25.76 cm ) O.K.
วิเคราะห์ฐานราก
P1 = P2 = 1 570 34(3.6)
( - ) = 39.20 ตัน
2 7 40.32
P3 = P4 = 1 570 34(2.4)
( - ) = 39.70 ตัน
2 7 40.32
P5 = P6 = 1 570 34(1.2)
( - ) = 40.21 ตัน
2 7 40.32
34(0)
P7 = P8 = (
1 570
2 7
- 40.32 ) = 40.71 ตัน
P9 = P10 = 1 570 34(1.2)
( - ) = 41.22 ตัน
2 7 40.32
สรุปแรงในแนวแกนของเสาเข็ม
เสาเข็ม P (t) H (t) N (t)
N1 = N2 30.20 3.775 30.44
N3 = N4 39.70 4.9625 40.01
N5 = N6 40.21 5.026 40.52
N7 = N8 40.71 5.089 41.03
N9 = N10 41.22 5.153 41.54
N11 = N12 41.73 5.216 42.05
N13 = N14 42.23 5.279 42.56
ค่าเฉลี่ย 40.71
ออกแบบฐานราก (footing)
ความกว้างประสิทธิผลของ Footing
ใช้เสาเข็มคอนกรีตขนาด 0.400.40 จํานวน 2 ต้นต่อหนึ่งเสา และเนื่องจากแรงลมและ
น้ําหนักทั้งหมดทําให้เกิดแรงกดที่หัวเสาเข็ม มีค่าต่างกันไม่มาก จึงพิจารณาใช้ค่าเฉลีย่ ในการออกแบบ
= 22.72 ตร.ซม.
3.23 f c'
u =
35 ksc.
ใช้เหล็กข้ออ้อยขนาด 25 มม.
3.23 175
u = 2.5
= 17.1 ksc. < 35 O.K.
o = V
u . j. d
= 40,715
17.10.88554
ถ้ารวมน้ําหนักน้ํา
5(269.75141.3)(104 )
=
384(2105 )(13.006)
6.1 การออกแบบทางชลศาสตร์
ในการออกแบบท่อลอดถนน (Road Crossing) ไม่ว่าจะเป็นท่อกลม หรือท่อเหลี่ยม (Box culvert)
ดังรูปที่ 6-1มีเกณฑ์ในการคํานวณออกแบบทางชลศาสตร์ดังต่อไปนี้
1) กําหนดให้การไหลของน้ําเป็นแบบไหลเต็มท่อ (Full Flow) และให้ Transition ที่เชื่อมต่อกับ
คลองเป็นแบบ Broken Back Type สําหรับกรณีที่ต้องการอัดน้ํา จะกําหนดให้อาคารอัดน้ําเป็นแบบ Check
and Pipe Inlet
2) Convergence loss ที่ Inlet Transition , HI = 0.4HV ม.
3) ความลาดสูงสุดของพื้น Inlet และ Outlet Transition = 1:4 (max)(ตั้ง:ราบ)
Inlet Transition
= 1:6 (max)(ตั้ง:ราบ)
, Outlet Transition
4) ความสูงของน้ําท่วมปากทางเข้าท่ออย่างน้อย = 1.5HV แต่ไม่น้อยกว่า0.08 ม.
5) ความเร็วสูงสุดในท่อไม่เกิน = 1.5ม./วินาที
6) Friction Loss ในท่อคํานวณจากHf = L x Sf
เมื่อ L = ความยาวท่อ, ม.
V2n2
Sf =
R4/3
7) Divergence loss ที่ Outlet Transition , HO = 0.7HV ม.
8) ความลึกของน้ําท่วมปากท่อ = 1.5HV ≥0.08 m.
9) ระยะพ้นน้ํา (Freeboard) ของอาคารมีเกณฑ์ดังนี้
ระยะพ้นน้ําที่ Cutoff = ระยะพ้นน้ําของคลองที่ Cutoff
ระยะพ้นน้ําที่กําแพงปากท่อ (Headwall)= 1.20เท่าของระยะพ้นน้ําของคลองที่ Cutoff
10) ความลึกของน้ําท่วมเหนือปากท่อทางออก (Depth of outlet opening) ม. (outlet
1
6
submergence)
11) ค่า Head loss ที่กําหนดให้ใช้มักไม่เกิน 0.20 ม.
12) ความลึกและความหนาของ Cutoff ใช้เกณฑ์ดังนี้
6.2 ตัวอย่างการออกแบบท่อลอดถนนชนิดท่อเหลี่ยม
จากตัวอย่างการออกแบบอาคารในคลองส่งน้ํา (สันติ, 2555)
1. เกณฑ์กําหนดขนาด
อัตราการไหล 4.134 ม.3/วินาที
คลองด้านเหนือน้ําและท้ายน้ํามีขนาดเท่ากันและมีหน้าตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู โดยมีข้อมูลดังนี้
- ความกว้างก้นคลอง ,b 2.5 เมตร
- ความลึกการไหล ,d 1.66 เมตร
- ความสูงคลอง 2.00 เมตร
- ลาดตลิ่ง (ระยะตั้ง : ระยะราบ) 1 : 1.50 เมตร
ความยาวท่อ 18.0 เมตร
ค่าสัมประสิทธิค์ วามขรุขระ 0.014
จากรูปที่ 1 ค่าระดับต่างๆ มีดังนี้
ร.น.ส.1 +279.871ม.(รทก.)
ร.น.ส.2 +279.721ม.(รทก.)
ร.1 +278.211 ม.(รทก.)
ร.2 +278.061 ม.(รทก.)
ร.5 +280.842 ม.(รทก.)
2. เกณฑ์กําหนดในการออกแบบ
- ความเร็วของน้ําในท่อไม่เกิน 1.50 ม./วินาที
- ดินทับหลังท่อไม่น้อยกว่า 0.90 ม.
- ความลาดเทพื้น TRANSITION ไม่เกิน 1 ต่อ 4.0
- ดินถมอัดแน่น , 1.9 ตัน/ม3
- ดินอิ่มตัวด้วยน้ํา , 2.2 ตัน/ม3
- มุมแรงเสียดทานภายในของดิน , 30 องศา
- Bearing Capacity ของดิน 10 ตัน/ม2
- Friction factor ใต้ฐาน 0.6
- คอนกรีตเสริมเหล็ก, 2.4 ตัน/ม3
- เหล็กรับอุณหภูมิ 0.2 % ในทุกผิว
รูปที่ 2 หน้าตัดสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ปากท่อและปลายท่อ
ปากท่อหรือกําแพงปลายท่อ
รูปที่ 1 รูปตัดตามยาวของแนวท่อลอด
0.15
0.15
โดย R = 11.995
- คานที่ไม่เสริมเหล็กรับแรงเฉือน , vC = 3.8 กก./ซม.2
3. วิธีทํา สมมติออกแบบพื้นท่อด้านบน (TS1) เท่ากับ 0.25 ม. และพื้นท่อด้านล่าง (TS2) เท่ากับ 0.25 เมตร
ออกแบบขนาดท่อ
A = Q/V = 4.134/1.5 = 2.756 ม.2
เลือกใช้ท่อขนาด (L H) = 2.00 2.00 ม.2
AP = 4.00 ม.2
VP = 4.134/4.00 = 1.034 ม./วินาที
น้อยกว่า 1.50 ม./วินาที OK
2
hVP = VP /2g
= 1.0342/(2 9.81) = 0.0545 ม.
LTU
ขอบผิวน้ํา
ขอบผิวน้ํา = 27.5o
1.5 1.66
ความกว้าง ความกว้างของหน้าตัด
ก้นคลอง 2.50 การไหล 2.30 สี่เหลีย่ มผืนผ้าปากท่อ
LTU=
1.5 1.66
2 .5 2 .3
/ tan 27 .5
o
= 4.98 ม.
2 2
หรือ
LTU= 3H = 3 2.0 = 6.00 ม.
เลือกใช้ LTU = 6.00 เมตร
พื้นที่หน้าตัดการไหลในคลอง
A = 2.5 1.5 1.66 1.66 = 8.283 ม.2
V = Q = 4.134 = 0.499 ม./วินาที
A 8.283
hVC = Velocity head ในคลอง
V2
hVC = = 0.0127
2g
hV = hVP - hVC
= 0.0545 – 0.0127 = 0.041 ม.
1.5hV = 0.062 < 0.08 ม.
ฉะนั้นใช้น้ําท่วมปากท่อไม่น้อยกว่า 8 ซม. ในกรณีนี้เลือกใช้ 10 ซม.
ร.3 = ร.น.ส.1 – น้ําท่วมท่อ – ความสูงของท่อ (H)
= 279.871 – 0.10 -2.00
= 277.771 ม.(รทก.)
เนื่องจากดินทับหลังท่อต้องไม่น้อยกว่า 0.90 ม.ฉะนั้นหาระดับ ร.3 ได้อีกวิธี คือ
ร.3 = ร.5 – 0.90 – 0.25 – 2.0
= 280.842 – 0.90 – 0.25 – 2.0
= 277.692 ม.(รทก.)
เลือกใช้ระดับ ร.3 = 277.661 ม.(รทก.)
ตรวจสอบความชันของ INLET TRANSITION (SIN)
SIN = (278.211 – 277.661) / 6
= 1 ต่อ 10.91 ความชันน้อยกว่า 1 ต่อ 4.00 OK
ความสูงกําแพงปากท่อ
HHU = H + ความหนาเปลือก + ความหนาดินทับหลังท่อ + 0.10
= 2.0 + 0.25 +0.30 +0.10= 2.65 ม.
เลือกใช้ HHU = 2.65 ม.
ออกแบบท่อ
Wetted perimeter เมื่อน้ําเต็มท่อ P = 8.0 ม.
R = A/P
= (2 2)/8.0 = 0.50 ม.
n = 0.014
Sf = VP2 n 2 / R 4 / 3 ………..ระบบเมตริก
Sf = FRICTION SLOPE
= (1.034 0.14)2 / (0.5)4/3
= 0.000528
LTD
2.5 2.3
LTD = 1.5 1.66 2 2 / tan 22.5
การออกแบบโครงสร้าง
ดินทับหลังท่อ = ระดับ ร.5 – ระดับ ร.4 – ความสูงท่อ – ความหนาท่อด้านบน
= 280.842 – 277.561 -2.0 -0.25
= 1.031 เมตร หรือ 3.382 ฟุต
พิจารณาน้ําหนักดิน 1900 กก./ม.3
นน. ดินทับหลังท่อ 1.03 1900 = 19.57 กก./ม.2
นน. เปลือกท่อด้านบน 0.25 2400 = 600 กก./ม.2
น้ําหนักกดของล้อรถ พิจารณารถบรรทุก 2 คัน แล่นสวนกันได้
พิจารณาจากรูปที่ 3 นําหนักกดของล้อรถแผ่กระจายมาซ้อนกัน
0.4 W = 16,000 ปอนด์ = 7273 กก.
นน.กดของล้อรถ 2 7273 = 2672 กก./ม.2
3.02 (1.03 1.75)
ดินถมทับหลังท่อหนาเกิน 3 ฟุต ไม่คิด Impact Load จากล้อรถ
น้ําหนักกดจากล้อรถ
0.4 W 0.4W 0.4W0.4W
6’ 4’
6’
3.02 ม.
FLOW ท่อ
* แรงกระทําต่อกําแพง AD
มี ข นาดเท่ า กั บ แรงที่ ก ระทํ า
ต่อกําแพง BC
น้ําหนักเปลือกท่อด้านหลัง
= 0.25 1.00 2400 = 600 กก./ม.
BEARING LOAD ลงดิน
= 6189 + 1600 + 600 = 8389 กก./ม.2
ดินฐานรากต้องรับน้ําหนักบรรทุกปลอดภัยไม่น้อยกว่า 9 ตัน/ตารางเมตร ถ้าไม่ใช่ก็ต้องพิจารณาตอก
เสาเข็มเพื่อรับน้ําหนักแทนดิน ใช้วิธี MOMENT DISTRIBUTION ในการกระจายโมเมนต์
= 1
5229 2.25 2 = 2205 กก.-ม.
12
M FCD = M FDC = 1
6189 2.25 2 = 2611 กก.-ม.
12
1 2
731.5 2.25 2156.5 731.5 2.25
1
M FBC = M FAD = 2
12 30
= 549 กก.-ม.
731.5 2.252 2156.5 731.5 2.252
1 1
M FCB = M FDA =
12 20
= 669 กก.-ม.
w4 =
2156.5 กก./ม.
D C
D C
+669.3 กก.-ม. -669.3 กก.– ม.
-2611 กก.– ม. +2611 กก.– ม.
w4 = 6189 กก./ม.
6963 กก. W4 =
2040 กก. 6963 กก. 2040กก.
2156.5 กก./ม.
D C
D C
1676 กก.-ม. 1676 กก.– ม.
1676 กก.– ม. w4 = 6189 กก./ม. 1676 กก.– ม.
คาน BC และคาน AD
1676 100
dm = = 11.82 ซม.
11.995 100
2040
dv = = 5.37 ซม.
100 3.80
เลือกใช้ d = 20 ซม. และ COVERING = 5.00 ซม.
AS รับโมเมนต์ลบ (เหล็กผิวนอก)
- 1676 100
AS = = 6.31 ซม.2
1500 0.885 20
ส่วนเหล็กผิวในใช้เหล็กรับอุณหภูมิ = 5.00 ซม.2
กําหนดขนาดเหล็ก
คาน AB
- เหล็กผิวล่าง
16 @ 0.26 AS = 7.73 ซม.2 และ O =
19.33 ซม.
- เหล็กผิวบน
16 @ 0.30 AS = 6.70 ซม.2 และ O = 16.76 ซม.
คาน CD
- เหล็กผิวบน
16 @ 0.23 AS = 8.74 ซม.2 และ O =
21.85 ซม.
- เหล็กผิวล่าง
16 @ 0.30 AS = 6.70 ซม.2 และ O = 16.76 ซม.
คาน BC และ AD
- เหล็กผิวนอก
16 @ 0.30 AS = 6.70 ซม.2 และ O =
16.76 ซม. - เหล็กผิวบน
12 @ 0.22 AS = 5.14 ซม.2 และ O = 17.14 ซม.
ตรวจสอบ BONDING STRESS (u)
- ดูจากเกณฑ์การคํานวณคอนกรีตเสริมเหล็กของกรมชลประทาน
คาน AB
V 5883
u = =
o j d 16.76 0.885 20
= 19.83 กก./ซม.2 มากกว่า 18.90 กก./ซม.2
คาน CD
เหล็กรับแรงดึงที่ปลายคานเป็นเหล็กผิวล่าง
u = 6963 = 23.47 > 18.9
16.76 0.885 20
แต่เหตุผลเดียวกับคาน AB คือเสมือนมีเหล็ก 16 @ 0.30 2 ชุด O= 33.52 ซม.2
คาน BC และ AD
เหล็กรับแรงดึงปลายคานเป็นเหล็กผิวนอก
2040
u = = 6.87 18.9 OK
16.76 0.885 20
รูปที่ 9 เหล็กเสริมในหน้าตัดท่อลอด
บทที่ 7 ท่อเชื่อม
ท่อเชื่อม (Siphon) ในทีน่ ี้เป็นท่อลอดแบบหนึ่ง ซึ่งให้น้ําไหลเต็มท่อภายใต้ความดัน (Under
Pressure) และช่วงกลางระหว่างหัวกับท้ายท่อจะแอ่นโค้งต่ําลงหรือหักงอลง ดังแสดงในรูปที่ 7-1 ซึ่งเรียก
เฉพาะว่า Inverted Siphon ดังนั้นจะเลือกอาคารชนิดนี้ สําหรับให้คลองลอดใต้ร่องน้ําหรือทางระบายน้ําหรือ
ถนนในเมื่อมีขอ้ จํากัด ดังต่อไปนี้
(ก) ถ้าปริมาณน้ําในคลองส่งน้ําน้อยกว่าปริมาณน้ําในร่องระบายน้ํา จะให้คลองส่งน้ําลอดใต้ร่อง
ระบายน้ํา
(ข) ถ้าปริมาณน้ําในร่องระบายน้ําน้อยกว่าปริมาณน้ําในคลองส่งน้ํา จะให้ร่องระบายน้ําลอดใต้คลอง
(ค) ในกรณีที่คลองส่งน้ําไปตัดผ่านถนนจะพิจารณาถึงระดับน้ําสูงสุดในคลองส่งน้ํา (F.S.L.) กับระดับ
หลังถนนเป็นเกณฑ์กําหนดดังต่อไปนี้
- ถ้าระดับน้ําสูงสุด (F.S.L.) ในคลองต่ํากว่าระดับหลังถนนมากกว่า 0.50 เมตร จะใช้ทอ่ ลอด
(Culvert) ชนิดไม่อยู่ภายใต้ความดันสําหรับให้คลองส่งน้าํ ลอดใต้ถนน
- ถ้าระดับน้ําสูงสุด (F.S.L.) ในคลอส่งน้ําต่ํากว่าระดับหลังถนนน้อยกว่า 0.50 เมตร จะใช้ท่อ
เชื่อม (Siphon) ลอดใต้ถนนโดยกําหนดให้หลังท่อต้องต่ํากว่าระดับถนน 0.60เมตร เป็นอย่างน้อย
(ง) ข้อจํากัดของขนาดท่อเชื่อม และความเร็วของน้ําในท่อและมาตรการสําหรับการบํารุงรักษา มีดังนี้
- ขนาดไม่ควรน้อยกว่า 0.60เมตร สําหรับความยาวไม่เกิน 20เมตร
- ขนาดจะไม่น้อยกว่า 0.80เมตร สําหรับความยาวเกิน 20เมตร
- ความเร็วของน้าํ ในท่อไม่น้อยกว่า 1.50เมตร/วินาที และไม่ควรเกิน 3.00เมตร/วินาที
7.1 การออกแบบทางชลศาสตร์
ในการออกแบบท่อเชื่อม (Siphon) มีเกณฑ์ในการคํานวณออกแบบทางชลศาสตร์ดังต่อไปนี้
1) กําหนดให้การไหลของน้ําในท่อลอดเป็นแบบ Under Pressure Full Flow
2) Convergence loss ที่ Inlet Transition (Hi) = 0.4HV ม.
เมื่อ HV = Difference in velocity heads at pipe and canal, ม.
3) ในกรณีทมี่ ีอาคารอัดน้ํา Loss ที่ Check (Hck) = 0.5HV ม.
เมื่อ HV = Difference in velocity heads at check opening and
upstream canal section, ม.
4) Loss ที่บานอัดน้ํา (Hg) = 1.0HV ม.
เมื่อ HV = Difference in velocity heads at the gate opening and
the upstream canal section, ม.
5) Friction Loss ในท่อ (Hf) = L Sf ม.
เมื่อ L = ความยาวท่อ, ม.
2 2
n V
Sf = 4/3
R
n = 0.014
V = Full velocity in pipe, ม./วินาที
ζ VP2
6) Bend losses (Hb) =
2g
เมื่อ VP = ความเร็วของน้ําในท่อ
ζ = สัมประสิทธิ์สําหรับ Bend losses
7) Divergence loss ที่ Outlet Transition (HO) = 0.7HV ม.
เมื่อ HV = Difference in velocity heads at pipe and canal, ม.
8) Transition Friction Losses ไม่คิด
9) เพื่อเป็น Safety Factor ผลรวมของ Losses ต่างๆ ให้เพิ่มขึ้น 10%
10) ความเร็วสูงสุดในท่อกําหนดไว้ดังนี้ = 1.50ม./วินาที สําหรับท่อลอดที่ไม่ยาวนัก
= 3.0ม./วินาที สําหรับท่อยาว
11) ความลาดสูงสุดที่ Inlet และ Outlet Transition = 1:4(max)(ตั้ง:ราบ),
Inlet Transition
= 1:6(max)(ตั้ง:ราบ),
Outlet Transition
12) ความลาดสูงสุดของท่อช่วงต้นและช่วงปลาย = 1:2 (max) (ตั้ง:ราบ)
13) ความลาดก้นท่อช่วงกลางไม่น้อยกว่า 1:200
14) ความสูงของน้ําท่วมปากทางเข้าท่ออย่างน้อย = 1.5HV แต่ไม่น้อยกว่า 0.08 ม.
15) ความลึกของน้ําท่วมเหนือปากท่อทางออก (Outlet Submergence)
1
(Depth
6
of outlet opening) ม.
16) ระยะพ้นน้ําต่างๆ ให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่ใช้กบั ท่อลอดถนน
MIN. (D/COS2) / 6
MIN. = 1.5 HV
TOP OF LINING
7.2 ตัวอย่างการออกแบบท่อเชื่อม
การคํานวณออกแบบท่อเชื่อมในตัวอย่างนี้ ได้กําหนดให้ใช้ค่าของแรงเค้นดัด แรงเฉือน และแรงยึด
สําหรับเหล็กและคอนกรีต ดังนี้ (ปฏิภาณ, ม.ป.ป.)
fS = 1,400 ksc.
fC่ = 175 ksc.
n = 12
p = 0.0113
j = 0.87
k = 0.40
R = 13.7
- แรงเค้นดัด (Flexural stress)
งานทั่วไป fC = 0.45 fC่ = 79 ksc.
งานฐานราก fC = 0.03fC่ = 5.2 ksc.
- แรงเค้นดัด (Sheering stress)
งานคานที่มีเหล็กปลอก vC = 0.12fC่ = 21 ksc.
งานฐานราก vC = 0.03 fC่ = 5.2 ksc.
- แรงเค้นยึด(Bond stress)
งานคาน u = 0.045fC่ = 7.9 ksc.
งานฐานราก vC = 0.045fC่ = 7.9 ksc.
- แรงเค้นกด(Bearing stress)
กดเต็มพื้นที่ vC = 0.25fC่ = 44 ksc.
33% ของพื้นที่ vC = 0.375fC่ = 66 ksc.
107
106 112
รูปที่ 3 ผิวน้ําและการหาพื้นที่ผิวน้ําในท่อ
บทที่ 8 อาคารน้าํ ตก
อาคารน้ําตก (Drop structure) หรือ อาคารลดระดับ เป็นอาคารทีส่ ร้างขึ้นในระบบส่งน้ําเมื่อระดับ
พื้นดินตามแนวคลองลดลงอย่างรวดเร็ว หรือเมื่อความลาดเทของพื้นดินชันกว่าความลาดของคลองส่งน้ํา ซึ่งหาก
วางแนวคลองต่อไปเรื่อยๆ ท้องคลองจะลอยสูงกว่าพื้นดินมาก ทําให้ไม่เหมาะกับการใช้งาน และยังเสียค่าก่อสร้าง
สูง จึงต้องสร้างอาคารน้ําตกเพื่อลดระดับท้องคลองส่งน้ําลง อาคารน้ําตกที่นิยมใช้กันอยูแ่ บ่งตามลักษณะรูปร่าง
ได้ 3 ชนิด ดังนี้ (ปฏิภาณ, ม.ป.ป.)
1) อาคารน้ําตกแบบกําแพงตั้ง (Vertical drop)
2) อาคารน้ําตกแบบรางเท (Inclined drop or Chute drop)
3) อาคารน้ําตกแบบท่อ (Pipe drop)
ในที่นี้ จะพิจารณาเฉพาะ อาคารน้ําตกแบบกําแพงตั้ง
8.1 อาคารน้าํ ตกแบบกําแพงตั้ง
Q = (2/3)CBH3/2 2g
b1 B b2
PLAN
F.S.L
TOP OF CHECK WALL
H F.S.L
d1 MAX = 1.5 m
Q d2
FLOW
V
Ld LI
2. CONTROL NOTCH
พิจารณาตรงตําแหน่ง CONTROL NOTCH
ความกว้างพื้น, B bu B = 0.8 ม.
ความสูงกําแพง NOTCH, T du T = 0.85 ม.
ดูรูปประกอบ
Z = T + (Hcu - du) = 0.85+ (1-0.8) = 1.05 ม.
ปริมาณน้ําไหลข้าม WING WALL ไม่น้อยกว่า 0.25 Qd
Qw = 0.227 ม.3/วินาที
ความยาว WING WALL L = B + 3T
= 0.8 + 3(0.85) = 3.35 ม.
ความสูงน้ําเหนือ WING WALL = Hcu - T
= 1 - 0.85 = 0.15 ม.
3. STILLING BASIN
คํานวณหา CRITICAL DEPTH ตรง CONTROL NOTCH จากสมการต่อไปนี้
2 3
Q
= A c
g N
(0.907 ) 2 [( P Sy c ) y c ] 3
=
9.81 [ P 2Sy c ]
[(0.25 0.55y c ) y c ] 3
0.0839 =
0.25 2(0.55) y c
Vc2
hvc = = 0.212ม.
2g
h = รนส.1 - รนส.2
= 92.392 - 91.392 = 1.0 ม.
เลือกใช้ R = 0.20 ม.
F = h + R
= 1.0+0.20 = 1.20 ม.
4. TRANSITION
L1 = 3 du = 3 0.8 = 2.4 ม.
เลือกใช้ 2.5 ม.
L4 = 4 dd = 40.8 = 3.2 ม.
เลือกใช้ 3.5 ม. *
L2 = T = 0.85 เลือกใช้ 1.0 ม. *
ขั้ น ตอนต่ อ ไปให้ พิ จ ารณาคํ า นวณระดั บ ต่ า งๆ (ดู รู ป ประกอบ) จากขนาดต่ า งๆ ที่ อ อกแบบได้ และ
ตรวจสอบความลาดเทของ INLET TRANSITON (ช่วง L1) ต้องไม่เกิน 1: 4 และตรวจสอบความลาดเทของ
OUTLET TRANSITION (ช่วง L4) ต้องไม่เกิน 1: 4 ถ้าเกินให้ปรับแก้ความยาว L1และ L4
การไหลผ่าน NOTCH
P
B
เอกสารอ้างอิง
กรมชลประทาน. 2535. มาตรฐานรายละเอียดการเสริมเหล็กในอาคารคอนกรีต. โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด, พิมพ์ครั้งที่ 1, กรุงเทพฯ.
กรมชลประทาน. 2547. มาตรฐานการคํานวณออกแบบระบบส่งน้ําและระบายน้ํา. โรงพิมพ์สํานักเลขา
คณะรัฐมนตรี, กรุงเทพฯ.
กําจร ศาศวัต. 2532. ข้อมูลแผนทีเ่ พื่อใช้ในการออกแบบ. เอกสารประกอบการบรรยาย, กองฝึกอบรม กรม
ชลประทาน, กรุงเทพฯ.
คณาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน. 2546. การวางแผนและออกแบบระบบส่งน้ําชลประทาน.
สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ.
ธัญดร ออกวะลา. 2551. การไหลในทางน้าํ เปิด. เอกสารประกอบการสอนวิชากลศาสตร์ของของไหล
ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปฏิภาณ อมาตยกุล. ม.ป.ป. การออกแบบอาคารชลประทานในระบบการส่งน้ํา. เอกสารคําสอนวิชาการ
ออกแบบอาคารชลประทานในระบบการส่งน้ํา, ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน คณะวิศวกรรมศาสตร์
กําแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
พรบ.การชลประทานหลวง พ.ศ.2485. ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 59 ตอนที่ 62 วันที่ 22 กันยายน 2485.
วราวุธ วุฒิวณิชย์. 2545. การออกแบบระบบชลประทานในไร่นา. พิมพ์ครั้งที่ 1. สํานักพิมพ์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, กรุงเทพฯ.
สันติ ทองพํานัก. 2555. ตัวอย่างการอกแบบอาคารในคลองส่งน้ํา. เอกสารประกอบการสอนวิชา 02207421
การออกแบบคลองและอาคารส่งน้ํา ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน คณะวิศวกรรมศาสตร์ กําแพงแสน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
อรุณ อินทรปาลิต. 2534. ชลกรฉบับพิเศษ “72 ปี อาจารย์อรุณ อินทรปาลิต” สมาคมศิษย์เก่าวิศวกรรม
ชลประทานในพระบรมราชูปถัมภ์, นนทบุรี.
อดุล วรรณจนา. 2537. การวางแผนและออกแบบระบบส่งน้ํา. ภาควิชาวิศวกรรมชลประทาน คณะ
วิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกําแพงแสน, นครปฐม.
http://province.rid.go.th/phrae/maeyom/page/km_water1.htmlavailable 31 May 2013
Young, R. B. et.al. 1978. Design of small canal structures. Department of the Interior, Bureau
of Reclamation, Colorado USA.