Professional Documents
Culture Documents
ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย (A History of Thailand) -lnw Tong Physics
ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย (A History of Thailand) -lnw Tong Physics
อธิบายได้อย่างครอบคลุม
แสดงความเข้าใจในระดับลึกที่ยอดเยี่ยมมาก
(Times Literary Supplement)
ผู้เขียนทั้งสองเป็นบุคคลที่น่าเชื่อถือ
ผลิตงานประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัยที่มีชีวิตชีวา และน่าอ่านมาก
(Financial Times)
การศึกษาประเทศไทย ที่มีกรอบความคิดที่ชัดเจนมาก
และลุ่มลึกอย่างยิ่ง
(BBC History Magazine)
ข้อมูลเพียบ อ่านแล้ววางไม่ลง
(South East Asia Research)
คริส เบเคอร์ และผาสุก พงษ์ไพจิตร ได้ผลิตงานที่วิเศษจริงๆ
ตีความได้เก่ง ท้าทายผู้อ่าน รวบรวมงานวิจัยล่าสุดทั้งภาษาไทย
และอังกฤษ และวิเคราะห์แบบฉีกแนว น่าประทับใจที่สุด
(Malcom Falkus, Bangkok Post)
สนองตอบความต้องการของทั้งผู้อ่านทั่วไป
และนักศึกษาที่เรียนประวัติศาสตร์
และแง่มุมต่างๆ ของสังคมไทย จากอดีตถึงปัจจุบัน
(ฉลอง สุนทราวาณิชย์, The Nation)
คริส เบเคอร์ และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร
ข้อมูลทางบรรณานุกรม
เบเคอร์, คริส. ประวัติศ�สตร์ไทยร่วมสมัย. พิมพ์ครั้งที่ ๒.
กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๕๗. ๔๑๖ หน้�.--(วิช�ก�ร).
๑. ไทย--ประวัติศ�สตร์--กรุงรัตนโกสินทร์สมัยประช�ธิปไตย. ๒. ไทย-ก�รเมืองและก�รปกครอง
I. ผ�สุก พงษ์ไพจิตร, ผู้แต่งร่วม. II. ชื่อเรื่อง
923.2593
ISBN 978 - 974 - 02 - 1265 - 2
หากท่านต้องการสั่งซื้อหนังสือเล่มนี้จ�านวนมากในราคาพิเศษ
เพื่อมอบให้วัด ห้องสมุด โรงเรียน หรือองค์กรการกุศลต่างๆ
โปรดติดต่อโดยตรงที่ บริษัทงานดี จ�ากัด โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๐-๐๐๒๑ ต่อ ๓๓๕๓ โทรสาร ๐-๒๕๙๑-๙๐๑๒
www.matichonbook.com
บริษัทมติชน จำากัด (มหาชน) : ๑๒ ถนนเทศบ�ลนฤม�ล ประช�นิเวศน์ ๑ เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐
โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๐-๐๐๒๑ ต่อ ๑๒๓๕ โทรส�ร ๐-๒๕๘๙-๕๘๑๘
แม่พิมพ์สี-ขาวดำา : กองก�รเตรียมพิมพ์ บริษัทมติชน จำ�กัด (มห�ชน) ๑๒ ถนนเทศบ�ลนฤม�ล ประช�นิเวศน์ ๑
เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๐-๐๐๒๑ ต่อ ๒๔๐๐-๒๔๐๒
พิมพ์ที่ : โรงพิมพ์มติชนป�กเกร็ด ๒๗/๑ หมู่ ๕ ถนนสุข�ประช�สรรค์ ๒ ตำ�บลบ�งพูด อำ�เภอป�กเกร็ด
นนทบุรี ๑๑๑๒๐ โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๔-๒๑๓๓, ๐-๒๕๘๒-๐๕๙๖ โทรส�ร ๐-๒๕๘๒-๐๕๙๗
จัดจำาหน่ายโดย : บริษัทง�นดี จำ�กัด (ในเครือมติชน) ๑๒ ถนนเทศบ�ลนฤม�ล ประช�นิเวศน์ ๑
เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ๑๐๙๐๐ โทรศัพท์ ๐-๒๕๘๐-๐๐๒๑ ต่อ ๓๓๕๐-๓๓๕๓ โทรส�ร ๐-๒๕๙๑-๙๐๑๒
Matichon Publishing House a division of Matichon Public Co., Ltd.
12 Tethsabannarueman Rd, Prachanivate 1, Chatuchak, Bangkok 10900 Thailand
หนังสือเล่มนี้พิมพ์ด้วยหมึกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เพื่อปกป้องธรรมชาติ ลดภาวะโลกร้อน และส่งเสริมสุขภาวะที่ดีของผู้อ่าน
ส า ร บั ญ
ค�ำนิยม (๒)
ค�ำน�ำส�ำนักพิมพ์ (๑๕)
บทควำมพิเศษโดย สุจิตต์ วงษ์เทศ (๑๗)
บทควำมพิเศษโดย นิธิ เอียวศรีวงศ์ (๑๙)
บทควำมพิเศษโดย ดร.วีรพงษ์ รำมำงกูร (๒๔)
ค�ำน�ำผู้เขียน (๒๘)
ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย ๑
๑. ก่อนกรุงเทพฯ ๒
การก่อตัวของชุมชนในที่ราบลุ่มเจ้าพระยา ๕
เมือง ๙
เจ้าและรัฐ ๑๑
เมืองชายฝั่งทะเลเป็นใหญ่ ๑๔
สมัยของการพาณิชย์ ๑๗
สังคมอยุธยาตอนปลาย ๒๐
พุทธศาสนาและสถาบันกษัตริย์ ๒๖
เสียกรุง ๓๐
สรุป ๓๓
๒. การเปลี่ยนผ่านของระบอบดั้งเดิม ทศวรรษ ๒๓๒๐ ถึงทศวรรษ ๒๔๐๐ ๓๖
จากอยุธยาถึงกรุงเทพฯ ๓๗
การแผ่ขยายดินแดน ๓๙
ตระกูลขุนนางใหญ่และกษัตริย์พุทธมามกะ ๔๒
เศรษฐกิจตลาดขยายตัว ๔๖
เจ้าสัว ๔๙
ความเจริญ ๕๓
แรงงานเกณฑ์ แรงงานอิสระ ๖๐
สนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ๖๓
สรุป ๖๕
๘. โลกาภิวัตน์และสังคมมวลชน ๒๗๖
เศรษฐกิจเมืองเฟื่องฟู ๒๗๘
มังกรผงาดลาย ๒๘๓
สร้างชนชั้นกลาง ๒๘๘
ชนชั้นคนงานอาบเหงื่อต่างน�้า ๒๙๐
สังคมชนบทปรับตัว ๒๙๕
ชนบทฮึดขึ้นสู้ ๓๐๑
สมัยสังคมมวลชน : สิ่งพิมพ์ ๓๐๘
สังคมมวลชน : การคมนาคมและสือ่ สาร ๓๑๐
เฉลิมฉลองความหลากหลาย ๓๑๔
พรมแดนภายใน ๓๑๙
ความวิตกกังวลของฝ่ายอนุรักษนิยม ๓๒๒
สรุป ๓๒๔
แผนที่
๑. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้บริเวณผืนแผ่นดินใหญ่ ๔
๒. เมืองและอาณาจักรโบราณ ๑๘
๓. ภูมิการเมืองก่อนการปฏิรูปสมัยรัชกาลที่ ๕ ๗๗
๔. เส้นพรมแดนสยาม วาดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๕-๒๔๕๒ ๘๔
๕. ประเทศไทยในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ ๑๘๙
๖. ประเทศไทยร่วมสมัย ๒๘๔
๗. ผลการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๔๔-๒๕๕๔ ๓๖๕
แผนภาพ
๑. ประมาณการประชากรภายในพรมแดนประเทศไทยสมัยใหม่ ๓๓
๒. รายได้ต่อหัวตามราคาจริง พ.ศ. ๒๔๙๔-๒๕๕๔ ๒๗๙
รูปภาพ
๑. พระราชวังหลวงที่กรุงศรีอยุธยาสมัยพระเจ้าปราสาททอง
(ภำพขยำยมำจำกภำพเขียน “กรุงศรีอยุธยำ”
วำดโดย ดำวิด และโยฮันเนส วิงโบนส์ ชำวฮอลันดำ) ๒๐
๑๒. ริมฝั่งแม่น�้า กรุงศรีอยุธยาสมัยพระเพทราชา
(ภำพจำก สมุดรำยวันของเอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์
Engelbert Kaempfer) ๒๔
๑๓. พระสงฆ์เดินทางไปลังกา (ภำพเขียนจำกสมุดภำพไตรภูมิ) ๒๘
๑๔. ภาพเขียน “กรุงเทพฯ พ.ศ. ๒๔๖๖” (บน)
และ “แม่น�้ากับเรือในบางกอก” (ล่าง)
วาดโดย ดร.จอร์ช ฟินเลย์สัน (George Finlayson)
นักธรรมชาติวิทยาที่เข้ามาส�ารวจสยามและเวียดนาม
ในปี ค.ศ. ๑๘๒๑ และ ๑๘๒๒ (ภำพจำก THAI ART & CULTURE :
Historic Manuscripts from Western Collections.
Heny Ginsburg. Silkworm Books. 2000) ๔๗
๑๕. ครอบครัวของเจ้าสัวสมัยรัชกาลที่ ๕ (หอจดหมำยเหตุแห่งชำติ) ๕๒
๑๖. ชีวิตประจ�าวันของสามัญชน ปรากฏในจิตรกรรมฝาผนัง
ต้นรัตนโกสินทร์ (ภำพ Steve Van Beek) ๕๔
๑๗. (ซ้าย) พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ ในฉลองพระองค์กษัตริย์สยาม
ถ่ายภาพโดย จิตร จิตราคนี, (ขวา) พ.ศ. ๒๔๐๗ ในฉลองพระองค์
แบบขุนนางจีน โดยผู้วาดนิรนาม และ (ล่าง) ภาพวาดทรงห้อมล้อม
ด้วยนางสนม โดยผู้ติดตามของขุนนางฝรั่งเศส กงต์ เดอ โบวัวร์
ที่เข้าเฝ้าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๙ ๗๒
๑๘. ขุนนางไทยสมัยรัชกาลที่ ๔ ก่อนอิทธิพลของชาติตะวันตก
หม่อมราโชทัย (ม.ร.ว.กระต่าย อิศรางกูร) เครื่องแต่งกาย
และของตกแต่งมาจากหลายประเทศในเอเชีย ไทย จีน เปอร์เซีย
อาหรับ อินเดีย เฉพาะหนังสือเท่านั้นที่เป็นของฝรั่ง
(ภำพจำก หอจดหมำยเหตุแห่งชำติ) ๘๐
๑๙. พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทันสมัยและเปิดเผยพระองค์
ปลายรัชสมัย (ภำพจำก หอจดหมำยเหตุแห่งชำติ) ๙๘
๑๐. สถาบันกษัตริย์และประวัติศาสตร์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าวชิราวุธ
ทอดพระเนตรโบราณวัตถุ พ.ศ. ๒๔๕๐
(ภำพจำก หอจดหมำยเหตุแห่งชำติ) ๑๐๑
๑๑. ภาพริมฝั่งแม่น�้าเจ้าพระยายังเป็นป่าในสมัยก่อนการขยายตัว
ของนาบุกเบิก วาดโดย อองรี มูโอต์ พ.ศ. ๒๔๐๑
(ภำพจำก สยำมสมำคม) ๑๑๖
๑๒. หญิงท�างาน เป็นลูกหลานของเชลยศึกชาวลาวซึ่งถูกกวาด
มาอยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี สันนิษฐานว่าเป็นภาพวาดจากรูปถ่าย
โดย จอห์น ทอมสัน ที่ไปเยือนเพชรบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๘-๒๔๐๙
(ภำพจำก สยำมสมำคม) ๑๒๒
๑๓. คนจีนอพยพบนเรือมาจากจีนใต้
(ภำพจำก Thai Labor Museum) ๑๓๓
๑๔. ภาพถ่ายแสดงชาวบ้านเล่นพนันข้างถนนสมัยรัชกาลที่ ๕
ผู้หญิงยังไว้ผมสั้น ทั้งหญิงและชายยังนุ่งผ้า ห่มสไบหรือคล้องผ้า
โดยไม่มีการตัดเย็บ (ภำพจำก หอจดหมำยเหตุแห่งชำติ) ๑๓๙
๑๕. การ์ตูนจากหนังสือพิมพ์ “ศรีกรุง” พ.ศ. ๒๔๗๔
เสียดสีสังคมสยามสมัยก่อน พ.ศ. ๒๔๗๕ ๑๕๔
๑๖. นักปฏิวัติที่ปารีส พ.ศ. ๒๔๗๐ จากซ้ายไปขวา ควง อภัยวงศ์,
ปรีดี พนมยงค์, เทพ อภัยวงศ์ และหลวงวิจิตรวาทการ
(ภำพจำก หอจดหมำยเหตุ มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์) ๑๖๓
๑๗. ชาติอิสระและติดอาวุธ รูปปั้นนูนต�่าที่ฐานของอนุสาวรีย์
ประชาธิปไตย พ.ศ. ๒๔๘๒ โดย ศิลป์ พีระศรี (Corrado Feroci)
เป็นครั้งแรกที่สามัญชนปรากฏตัวในประติมากรรมของรัฐชาติ
แต่ในบทบาทหลักเป็นทหาร (ภำพ ธ�ำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์) ๑๗๙
๑๘. แผนที่แสดงเส้นการเดินทางของชาวไทโบราณสู่สยาม
จัดพิมพ์โดยกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๔๗๘-๒๔๗๙ ๑๘๔
๑๙. ผู้ที่ได้รับรางวัลที่ ๑ การประกวดเครื่องแต่งกายประเภทเวลาบ่าย
และในโอกาสพิเศษ คงจะเป็น พ.ศ. ๒๔๘๔ หรือ ๒๔๘๕
สมัยที่จอมพล ป. รณรงค์ให้เมืองไทยก้าวเข้าสู่ความทันสมัย
(ภำพจำก หนังสือ จอมพล ป. พิบูลสงครำม ครบรอบศตวรรษ
จัดพิมพ์โดยมูลนิธิจอมพล ป. พ.ศ. ๒๕๔๐) ๑๘๗
๒๐. ทหารอเมริกันพักรบที่หาดพัทยา
(ภำพจำก หนังสือพิมพ์ The Nation) ๒๑๐
๒๑. จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขณะเดินทางไปตรวจราชการ
จังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อวันที่ ๒๕-๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๖
(ภำพจำก หนังสืองำนศพจอมพลสฤษดิ์) ๒๓๗
๒๒. จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สั่งยิงเป้า ครอง จันดาวงศ์
และทองพันธ์ สุทธิมาศ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๔
ที่ลานบินใกล้จังหวัดสกลนคร (ภำพ สะอำด อังกูรวัธ) ๒๔๒
๒๓. พระมหากษัตริย์นักพัฒนา โครงการปลูกพืชทดแทนฝิ่น
และโครงการชลประทาน ทศวรรษ ๒๕๑๐
(ภำพจำก หนังสือพิมพ์ The Nation) ๒๔๙
๒๔. มวลชนเข้าร่วมการเมือง หนึ่งวันก่อนเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖
(ภำพจำก หอจดหมำยเหตุ มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์) ๒๖๐
๒๕. คนงานหญิงที่โรงงานฮาร่า ไม่ยอมถูกปลดจากงาน โดยเข้ายึดโรงงาน
และด�าเนินการผลิตต่อไปภายใต้ระบบสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๑๗ ๒๖๖
๒๖. นักศึกษาบาดเจ็บเลือดอาบหน้าในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
หลังจากที่ทหารบุกเข้าควบคุมเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
(ภำพจำก หอจดหมำยเหตุ มหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์) ๒๗๐
๒๗. ผู้สนับสนุน พคท.ในพิธีมอบอาวุธให้กับกองทัพไทยที่อุ้มผาง
ธันวาคม ๒๕๒๕ (ภำพจำก หนังสือพิมพ์ The Nation) ๒๗๒
๒๘. เกษตรกรเดินสู่การเมือง การประท้วงโครงการ คจก.
บนถนนมิตรภาพ เดือนมิถุนายน ๒๕๓๕
(ภำพจำก หนังสือพิมพ์ The Nation) ๓๐๓
๒๙. รถมอเตอร์ไซค์ญี่ปุ่นช่วยโยงชนบทไทย
กับตลาดและชาติ (ภำพ Steve Van Beek) ๓๑๑
๓๐. พฤษภาทมิฬ ผู้ประท้วงรายหนึ่งที่ถูกตีที่ถนนราชด�าเนิน
เมื่อคืนวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๓๕
(ภำพจำก หนังสือพิมพ์ The Nation) ๓๔๙
๓๑. ทักษิณ ชินวัตร ฉลองชัยชนะสงครามปราบยาเสพติด
(ภำพจำก หนังสือพิมพ์ Bangkok Post) ๓๗๑
๓๒. เสื้อแดงชุมนุมใหญ่ พฤษภาคม ๒๕๕๓
(ภำพจำก ศูนย์ภำพมติชน-ข่ำวสด) ๓๘๒
คํ า นํ า สํ า นั ก พิ ม พ์
“การเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัว” วลีนี้เพิ่งปรากฏอยู่ในบริบทสังคมไทยอย่าง
ชัดเจนในระยะเวลาเพียงไม่เกิน ๑๐ ปีนี้เท่านั้น หากย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ใน
ประวัติศาสตร์ จะเห็นได้ว่าวิกฤตทางการเมืองเกิดขึ้นหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยมี
ครั้งใดที่คนจากทุกภาคส่วนให้ความสนใจเหตุบ้านการเมืองทั่วทุกหัวระแหงเช่น
ใน พ.ศ. นี้
การรับรู้ข้อมูลข่าวสารจึงนับว่ามีความส�าคัญมากส�าหรับวิถีชีวิตของ
ผู้คน และเราเชื่อมาตลอดว่า “การอ่าน” คือช่องทางหนึ่งที่จะท�าให้เข้าใจใน
เรื่องราวต่างๆ ได้ดีขึ้น ดังนั้น เราจึงเลือกที่จะน�าเสนอ “ประวัติศาสตร์ไทย
ร่วมสมัย” หนังสือที่เขียนโดย คริส เบเคอร์ (นักประวัติศาสตร์) และ ผำสุก
พงษ์ไพจิตร (นักเศรษฐศาสตร์การเมือง) ทั้งสองท่านเป็นนักวิชาการที่มีผลงาน
เขียนและแปลร่วมกันหลายเล่ม เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ
โดยก่อนที่หนังสือเล่มนี้จะมาอยู่ในมือผู้อ่านคนไทย ได้ผ่านสายตาชาว
ต่างชาติมาแล้วในรูปแบบภาษาอังกฤษ เพราะใช้เรียนกันในวิชาประวัติศาสตร์
การเมืองของเอเชียในมหาวิทยาลัยหลายแห่งในต่างประเทศ รวมถึงบุคลากรชาว
ต่างชาติที่จะมาประจ�าหน่วยงานต่างๆ ในประเทศไทยก็กล่าวขานถึงหนังสือเล่มนี้
จึงเรียกได้ว่า “ฝรั่งอ่านแล้ว แต่คนไทยเพิ่งจะได้อ่าน”
ผู้เขียนทั้งสองท�าให้เราเห็นภาพของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม
ไทยได้กระจ่างชัดขึ้น ผ่านภาษาที่กระชับ เข้าใจง่าย ครอบคลุมทุกมิติ ไม่ว่าจะ
เป็นด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง นับตั้งแต่ก่อนที่ “รัฐชาติ”
()
จะถือก�าเนิดขึ้น จนถึงการก�าเนิด “รัฐชาติ(ไทย)” และถูกขับดันให้ส�าแดงพลัง
ตัวตนจนซึมลึกอยู่ในวิถีชีวิตประจ�าวันของคนในชาติอย่างแนบเนียน อธิบาย
ถึงสาเหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดวิกฤตทางการเมืองและเศรษฐกิจหลายครั้งหลายครา
วิพากษ์ความซับซ้อนในการเปลี่ยนขั้วอ�านาจแย่งชิงความเป็นผู้น�าและก�าหนด
ทิศทางในการบริหารประเทศโดยกลุ่มทุนใหม่ จนพัฒนามาสู่ “การเมืองเรื่อง
(สองสี) ของคนไทยทุกคน” ในยุคปัจจุบัน
กระทั่งไม่ว่าเราเดินไปบนถนนสายไหน ตรอกซอกซอยใด ก็มักจะได้ยิน
คนพูดถึงความเหลื่อมล�้าในสังคมไทย บ้างก็พูดถึงเหตุการณ์ทางการเมือง นัก
การเมือง พรรคการเมือง และนโยบายต่างๆ ของพรรคนั้นพรรคนี้ เกิดการ
วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ตามแต่การรับรู้ข้อมูลข่าวสารของแต่ละคน
ในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กก็เกิดชุดความคิดหลากหลาย แรกๆ อาจสื่อสารกัน
เฉพาะกลุ่มในสิ่งที่คิดเห็นตรงกัน จากนั้นก็แพร่กระจายสู่วงกว้างอย่างรวดเร็ว
หากเราไม่ได้มองเพียงว่า ความแตกต่างทางความคิดที่แบ่งขั้ว แบ่งฝัก
แบ่งฝ่ายเช่นนี้ ท�าหน้าที่แสดงความแตกแยกของผู้คนในสังคมเท่านั้น เพราะ
อีกนัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่า ความเห็นต่างเหล่านี้ก�าลังท�าหน้าที่แสดงถึง “พัฒนา
การ” ด้านการเมือง การปกครอง ของผู้คนทุกชนชั้นในสังคมไทยเป็นอย่างดี
และเราได้แต่หวังว่า พลังของการอ่านโลก อ่านความจริง จะสามารถ
พัฒนาและยกระดับความคิดของผู้คนในสังคมให้หลุดพ้นจากความทรงจ�าเก่าๆ
ที่เราควรเรียนรู้ได้จากประวัตศิ าสตร์กันเสียที
ส�านักพิมพ์มติชน
()
บทความพิเศษ :
ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย
สุจิตต์ วงษ์เทศ
ที่ยกมานี้เป็นข้อความย่อหน้าแรกสุดของหนังสือ ประวัติศาสตร์ไทย
ร่วมสมัย โดย คริส เบเคอร์ และ ผำสุก พงษ์ไพจิตร มีประเด็นส�าคัญมากคือ
ข้อความว่า
“ความเป็น ‘ไทย’ ในฐานะเป็นชาติหนึ่ง--ล้วนเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น” เพิ่ง
คิดประดิษฐ์ขึ้นมาในช่วง ๒๐๐ กว่าปีมานี้เท่านั้น
ไม่ใช่ ๗๐๐ ปี, ๘๐๐ ปี หรือพันๆ ปี อย่างที่ทางการไทย (โดยเฉพาะ
ในเครื่องแบบ) ใช้ครอบง�าป่าวร้องก้องโลกมานาน
หนังสือเล่มนี้ไม่มีแหล่งก�าเนิดคนไทยจากเทือกเขาอัลไต, ไม่มีคนไทย
ถูกรุกรานจากจีนจนต้องอพยพถอนรากถอนโคนลงทางใต้, ไม่มีอาณาจักรน่าน
เจ้าเป็นของคนไทย, ไม่มีเรื่องคนไทยปลดแอกจากเป็นข้าขอม และไม่มีสุโขทัย
เป็นราชธานีแห่งแรกของไทย ฯลฯ
มีแต่ความเป็นมาของดินแดนและผู้คนอันหลากหลายชาติพันธุ์ ซึ่ง
ผมเห็นว่าเป็นแนวทางสากลก้าวหน้าที่สุด แต่การศึกษาไทยไม่คุ้น เพราะถูก
( )
ครอบง�าจากสิ่งพิกลพิการมานับศตวรรษ
คริสและผาสุกบอกไว้ในประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัยว่า ราว พ.ศ.๒๐๕๐
ชาวโปรตุเกสได้รับการบอกเล่าว่าที่ราบลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างคือ “เมืองไทย”
(หน้า ๓๐)
หลังบันทึกของชาวโปรตุเกสราว ๒๐๐ ปี ชาวฝรั่งเศสก็ได้รับการบอก
เล่าอีกว่า คนในเมืองไทยเรียกตัวเองว่า “คนไทย” และเป็น “ไทยน้อย” (หมาย
ถึงลาวลุ่มน�้าโขง)
ถ้าจริงตามนี้ แสดงว่าความเป็นคนไทยและเมืองไทยมีขึ้นบริเวณลุ่มน�้า
เจ้าพระยาราว ๕๐๐ ปีมานี้เอง ไม่ได้มีตั้งแต่อยู่เทือกเขาอัลไตตามต�าราแห่งชาติ
ที่นั่งเทียนยกเมฆ
บริเวณลุ่มน�้าเจ้าพระยามีขอบเขตพื้นที่เหนือสุดราวจังหวัดอุตรดิตถ์
(พ้นขึ้นไปไม่ไทย แต่เป็นลาว) ใต้สุดราวจังหวัดเพชรบุรี (ต�่าลงไปไม่ไทย แต่
เป็นชาวนอกชาวเทศ)
มีผู้บอกผมว่าหลายคนไม่พอใจค�าอธิบายอย่างนี้ แล้วมีปฏิกิริยาด่าทอ
ต่อต้านมากทางสื่อสาธารณะ แต่ผมไม่เห็น และไม่ได้อ่าน เพราะใช้งานเฟซบุ๊ก
ไม่เป็น ไม่เคยใช้
ถ้าจริงตามที่มีผู้บอกเล่ามา ก็ขอแนะน�าให้ท่านที่ไม่พอใจหาอ่านพยาน
หลักฐานและค�าอธิบายอีกในหนังสือประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัยของคริสกับ
ผาสุกเล่มนี้ และเล่มอื่นๆ
คนส่วนมากถูกครอบง�าด้วยประวัติศาสตร์แห่งชาติ ว่าด้วยชนชาติไทย
ที่มีแต่เรื่องราวของราชวงศ์และสงคราม
จึงไม่รู้ว่ากว่าจะเป็นคนไทยและประเทศไทย มีอย่างอื่นอีกมากนักที่
ส�าคัญกว่า หรือส�าคัญพอๆ กัน
( )
บทความพิเศษ :
ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย
นิธิ เอียวศรีวงศ์
( )
ไม่มีค�าประณามพจน์ให้ใคร และไม่มีค�าประณามหยามเหยียดให้ใคร
อีกเหมือนกัน แต่จะท�าให้เข้าใจเงื่อนไขต่างๆ ที่แวดล้อมการกระท�าและความ
คิดของบุคคล สถาบัน องค์กร และกลุ่มคนในอดีต
แต่ผมก็ไม่เคยสามารถท�าความใฝ่ฝันให้เป็นจริงได้ เพราะรู้ว่าความรู้
ความสามารถของตนยังไม่พอ ได้แต่ฝันๆ ไปโดยไม่ได้เตรียมตัวเองให้พร้อม
จะท�าได้มาหลายสิบปี
บัดนี้ถึงเวลาที่ผมไม่ต้องใฝ่ฝันแล้ว เพราะมีคนท�าอย่างที่ผมอยากท�า
ไปแล้ว ซ�้าท�าได้ดีกว่าที่ผมจะมีความสามารถท�าได้เองเสียอีก นั่นคือ อาจารย์
ผาสุก พงษ์ไพจิตร และอาจารย์คริส เบเกอร์ ได้เขียนประวัติศาสตร์ไทยร่วม
สมัยขึ้น แต่เดิมเขียนเป็นภาษาอังกฤษตามค�าเชิญของส�านักพิมพ์มหาวิทยาลัย
เคมบริดจ์ ตอนนี้ท่านได้แปลออกเป็นภาษาไทย และจัดพิมพ์เรียบร้อยแล้ว
โดยส�านักพิมพ์มติชน
เวลาที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า “ร่วมสมัย” โปรดระวัง เพราะมันไม่ได้
หมายความว่าเมื่อวานนี้ หนังสือเล่มนี้ครอบคลุมเนื้อหาอย่างสรุปๆ มาตั้งแต่
ก่อนประวัติศาสตร์ แต่ตัวเนื้อหาไม่สู้มีความส�าคัญเท่ากับความเข้าใจเกี่ยวกับ
เนื้อหา เช่น เข้าใจว่าคนไทยอพยพลงมาเป็นใหญ่เหนือคนชาติอื่นทั้งหมดใน
แหลมทอง ก็ท�าให้เรามองบทบาทของ “ชาติ” เราในการปกครองไปอย่างหนึ่ง
หากเข้าใจว่า ที่เรียกคนไทยในปัจจุบันนั้นร้อยพ่อพันแม่ ทั้งกลุ่มชาติ
พันธุ์ที่หลากหลายซึ่งอยู่ในดินแดนแถบนี้มาตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ และทั้ง
อีกหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่อพยพเข้ามาหรือถูกกวาดต้อนเข้ามา เราก็มองบทบาท
ของ “ชาติ” ในการปกครองไปอีกอย่างหนึ่ง ความเข้าใจที่แตกต่างกันต่อประวัติ
ศาสตร์โบราณ เป็นประเด็นหลักอันหนึ่งของการช่วงชิงความหมายของค�าว่า
“ชาติ” ในจินตนาการเกี่ยวกับชาติในสมัยหลัง จึงจ�าเป็นต้องพูดถึงไว้อย่างย่อๆ
มาตั้งแต่ต้น
ส่วนใหญ่ของเนื้อหาประวัติศาสตร์ร่วมสมัยคือ ตั้งแต่ประมาณ ๒๐๐
กว่าปีที่ผ่านมา อันเป็นเรื่องราวของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดในสังคมไทย ทั้งใน
ทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ภูมิปัญญา ฯลฯ จนท�าให้เกิดเมืองไทย
ที่เราพบเห็นอยู่ในทุกวันนี้ แม้ว่าพูดถึงความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน แต่ก็มอง
เห็นความสัมพันธ์ของด้านต่างๆ อยู่ตลอดเวลา เช่น ความจ�าเป็นที่จะต้องหา
ตลาดใหม่นอกจีนหลังสงครามฝิ่นไปแล้ว ท�าให้เราต้องหันไปหาตลาดที่ฝรั่ง
()
ครอบง�ามากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และการ “เปิดประเทศ” ก็เป็นทางเลือก
หนึ่งที่ตอบสนองประโยชน์ของคนหลายกลุ่มในขณะนั้น ไม่ได้เกิดจากการมอง
การณ์ไกลของผู้น�าเพียงอย่างเดียว
ความสามารถในการเชื่อมโยงปัจจัยหลากหลายด้าน ทั้งภายในภายนอก
ทั้งที่มาจากชนชั้นน�าและมาจากคนเล็กคนน้อยหลากหลายประเภทเช่นนี้แหละ
ที่ท�าให้ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัยสร้างพลวัตหรือพลังขับเคลื่อนประวัติศาสตร์
จากเนื้อหาของประวัติศาสตร์เอง (historicism) พลังขับเคลื่อนความเปลี่ยน
แปลงในประวัติศาสตร์ไทยในทัศนะของนักประวัติศาสตร์ไทยรุ่นก่อน คือผู้น�า
หรือพระมหากษัตริย์ แต่พลวัตที่แคบอย่างนั้น หยั่งไม่ถึงความสลับซับซ้อน
ของความเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์ ฉะนั้น หากหนังสือเล่มนี้ถูกอ่านอย่าง
แพร่หลายมากขึ้น ก็จะเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคมของ
คนไทยจ�านวนมาก
(ซึ่งก็จะยกระดับความขัดแย้งทางการเมืองไปสู่อะไรที่สร้างสรรค์กว่า
ปัจจุบัน เช่น เปลี่ยนไปสู่นโยบายแทนบุคคล)
ความหลากหลายจึงเป็นหัวใจส�าคัญของประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย
ไม่แต่เพียงมีความหลากหลายของชาติพันธุ์เท่านั้นที่ประกอบกันขึ้นเป็นพสกนิกร
(subject) ของรัฐไทยโบราณหลายรัฐ แต่ยังมีความหลากหลายทางสถานะทาง
เศรษฐกิจ-สังคม (ชนชั้น?) อีกด้วย คนทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็น “ตัวละคร” ของ
เรื่อง มีบทบาทและมีส่วนในการท�าให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในประวัติศาสตร์
ไทย หรืออย่างน้อยก็ท�าให้อนุชนเข้าใจความเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ชัดขึ้น
โดยที่เขาเหล่านั้นอาจไม่ได้คิดถึง “ชาติ” เลย เพียงแต่ตอบสนองต่อเงื่อนไข
ในชีวิตที่เปลี่ยนไปเพื่อรักษาหรือเพิ่มพูนประโยชน์ ทั้งในทางเศรษฐกิจและทาง
อื่นๆ ของตนเอง กลายเป็นพลังขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคม
โดยไม่มีใครตั้งใจ
เหมือนความเปลี่ยนแปลงนานาชนิดที่เราพบได้ในชีวิตจริงของเราเอง
ดังนั้น นอกจากพระมหากษัตริย์ เจ้านาย เจ้าประเทศราช ขุนนาง เจ้า
สัว ข้าศึก ฯลฯ แล้ว ยังมีตัวละครอีกมากมายในประวัติศาสตร์ พ่อค้าจีนที่
เที่ยวเร่รับซื้อข้าวจากชาวนาก็เป็นตัวละครหนึ่ง กระฎุมพีข้าราชการที่ไร้เส้นใน
ระบบราชการก็เป็นตัวละครหนึ่ง แรงงานอพยพชาวอีสานก็เป็นตัวละครหนึ่ง
พุ่มพวง ดวงจันทร์, สายัณห์ สัญญา, สมรักษ์ ค�าสิงห์ จนแม้แต่กษิต ภิรมย์
()
ก็มีบทบาทที่ต้องกล่าวถึงในประวัติศาสตร์ไทยแบบนี้
บางครั้งก็กล่าวถึงบทบาทของเขา บางครั้งก็กล่าวถึงเขาในฐานะเป็นตัว
แทนของแนวโน้มความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง บางครั้งก็เป็นตัวแทนของกลุ่มคน
ประเภทเดียวกับเขา...ใครๆ ก็มีชื่อในประวัติศาสตร์ได้ โดยไม่จ�าเป็นต้องเป็น
มหาบุรุษหรือมหาผู้ร้าย
กว่าจะเล่าประวัติศาสตร์ให้ครอบคลุมไปหมดทุกส่วน ทั้งไม่ทิ้งความ
ซับซ้อนซ่อนเงื่อนของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ด้วยได้เช่นนี้ อาจารย์ผาสุก
และอาจารย์คริสต้องใช้หลักฐานมากมายและหลากหลายประเภทมาก หาก
นักเรียนประวัติศาสตร์อ่านหนังสือนี้ด้วยความสังเกตหลักฐานที่ถูกน�ามาใช้ก็คง
ได้ประโยชน์ เพราะไม่แต่เพียงเอกสารของทางราชการ หรือสิ่งพิมพ์ร่วมยุคสมัย
เท่านั้นที่บอกให้เราประมาณได้ว่า ได้เกิดอะไรขึ้นในอดีต ภาพยนตร์ เรื่องสั้น
เพลงลูกทุ่ง บทกวีร่วมสมัย วรรณคดี ตลกทีวี ส�านวนภาษาวัยรุ่น ฯลฯ ล้วน
แฝงนัยยะบางอย่างที่ทา� ให้เราเข้าใจความคิดและการกระท�าของคนในแต่ละสมัย
และสาเหตุหรือเงื่อนไขที่ท�าให้เขาเป็นอย่างที่เขาเป็น และท�าอย่างที่เขาท�า
ทั้งหมดเหล่านี้เขียนขึ้นด้วยภาษาเรียบง่าย ไม่มีศัพท์แสงวิชาการที่ยาก
แก่ความเข้าใจทั้งของผู้อ่าน (และบางครั้งผู้เขียนด้วย) อ่านสนุก เพราะเป็น
เรื่องราวที่เป็นเหตุเป็นผลส่งทอดกันไปตามล�าดับแห่งตรรกะธรรมดาของมนุษย์
ปัจจุบัน (คือไม่ใช่สักแต่ตามล�าดับของเวลา)
เป็นเรื่องน่ายินดีที่หนังสือนี้ได้ถูกแปล (และเขียน) ในภาษาไทยแล้ว
ผมเชื่อว่าจะเป็นหนังสือที่ต้องถูกพิมพ์ซ�้าแล้วซ�้าอีกไปอีกหลายปี คงปรากฏใน
บัญชีหนังสือต้องอ่านของนักศึกษาสายสังคมศาสตร์ทุกแขนง เป็นการปูพื้น
ความรู้ประวัติศาสตร์ไทยที่กระชับและดีท่สี ุด โดยไม่ต้องเสียเวลาพูดในชั้นเรียน
ในขณะเดียวกัน ก็เหมาะแก่คนไทยทั่วไปจะอ่าน แม้แต่ที่จบการศึกษาไปแล้ว
ก็ตาม เพราะเมื่อคนไทยมองอดีตไปในแนวนี้ ก็จะท�าให้คนไทยต้องตั้งค�าถาม
กับตนเองในเรื่องอื่นๆ อีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นในทางเศรษฐศาสตร์ การเมือง
สังคม วัฒนธรรม จริยธรรมและศีลธรรม ความยุติธรรม ระเบียบทางสังคม
ฯลฯ อย่างน้อยก็ท�าให้ต้องตั้งค�าถามกับข้อสรุปที่ตัวถูกสอนให้ยึดถือมานาน
แล้วอาจได้ค�าตอบเหมือนเดิมก็ได้ แต่จะเป็นครั้งแรกที่ท�าให้ต้องคิดทบทวน
อะไรต่อมิอะไรที่ถอื ๆ กันมาโดยไม่เคยตั้งค�าถาม
ในโลกนี้มีหนังสืออยู่สองประเภท หนึ่งคือหนังสือที่อ่านแล้วท�าให้เราเป็น
อย่างที่เราเป็นหนักแน่นขึ้น รัดกุมขึ้น มั่นใจมากขึ้น ฯลฯ หนังสืออีกประเภท
()
หนึ่งคือหนังสือที่อ่านแล้วท�าให้เราอาจกลายเป็นคนใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม มากบ้าง
น้อยบ้างแล้วแต่บุคคล
ประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัย เป็นหนังสือประเภทหลังนี้
()
บทความพิเศษ :
คนไทยกับประวัติศาสตร์
ดร.วีรพงษ์ รามางกูร
คนไทยโดยส่วนรวมแล้วไม่ค่อยสนใจประวัติศาสตร์เมื่อสมัยเรียน
หนังสือวิชาประวัติศาสตร์ไทยและประวัติศาสตร์สากลล้วนแต่เป็นวิชาบังคับ
แต่เรียนจบแล้วคนส่วนใหญ่ก็จะลืมไปหมดเมื่อเติบโตขึ้น สังเกตจากวงสนทนา
ทุกคนก็จะลืมไปหมดแล้ว แทบจะไม่มีใครจ�าอะไรได้เลย ถ้าใครยังพอยังจ�าได้
ก็จะเป็นกรณีพิเศษ
อาจจะเป็นไปได้ว่า การบันทึกประวัติศาสตร์ของเรามีข้อบกพร่องหลาย
อย่าง เพราะการไม่สนใจบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ ที่ตนพบเห็นหรือได้ยิน เพราะ
ไม่เป็นอุปนิสัยของคนไทย อีกทั้งผู้ที่รู้หนังสือก็มีน้อย รู้หนังสือกันก็แต่ในแวดวง
ของพระภิกษุ ส่วนผู้หญิงนั้นดูจะเป็นข้อห้ามไม่ให้เรียนหนังสือ แม้ว่าอยากจะ
เรียนก็ค่อนข้างล�าบาก เพราะการเรียนหนังสือต้องเรียนกับพระภิกษุในวัด จะ
สอนจะเรียนในบ้านก็คงล�าบาก ก็เลยเป็นนิสัยประจ�าชาติตกทอดมาแต่โบราณ
กาลมาจนถึงทุกวันนี้
ไม่เหมือนประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศจีน เวียดนาม ญี่ปนุ่ เนื่อง
จากมีระบบสอบเข้ารับราชการ การเรียนหนังสือ เพื่อให้อ่านออกเขียนได้ แต่ง
โคลงกลอนได้ จึงเป็นวิถีทางอันหนึ่งที่จะท�าให้ได้เข้าสู่ระบบราชการ การท�ามา
ค้าขาย เลื่อนฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมได้
เมื่อมีคนรู้หนังสือเป็นวงกว้าง ก็คงจะเป็นปัจจัยอันหนึ่งที่ท�าให้มีผู้จด
บันทึก เหตุการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ประเพณีของ
ท้องถิ่น ของประชาชน ในด้านต่างๆ และรวบรวมท�าเป็นประวัติศาสตร์อย่าง
()
เป็นระบบได้
ความที่ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ ริเริ่มเป็นระบบขึ้นจาก
ผลงานของสมเด็จฯ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพและต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่ก็มี
พื้นฐานมาจากพระราชพงศาวดาร อันเป็นการบันทึกเรื่องราวในราชวงศ์ต่างๆ
เสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้เป็นการวิเคราะห์ในแง่การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ศาสนา
วัฒนธรรม ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์กันเป็นอย่างยิ่ง
ประเทศไทยแม้ว่าจะไม่ใช่ประเทศใหญ่โต แต่ท้องถิ่นแต่ละท้องถิ่นต่าง
ก็มีเอกลักษณ์ของตนเอง ทั้งในด้านทรัพยากรธรรมชาติ ชนเผ่า ความรู้สึกนึกคิด
คุณค่าของสังคม การท�ามาหากิน การด�ารงชีวิต ผู้คนในแต่ละท้องถิ่นน่าจะได้
ทราบประวัติความเป็นมาของท้องถิ่นตนว่าเป็นอย่างไร แต่ขณะนี้คนส่วนใหญ่
ไม่เคยรู้เลยว่าท้องถิ่นของตนมีความเป็นมาอย่างไร
เมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีโอกาสอ่านต้นฉบับหนังสือเรื่อง “ประวัติศำสตร์
ไทยร่วมสมัย” ของ ดร.คริส เบเคอร์ กับ ดร.ผาสุก พงษ์ไพจิตร ซึ่งจัดพิมพ์โดย
ส�านักพิมพ์มติชน เมื่อได้รับต้นฉบับซึ่งมีความยาวถึง ๔๓๒ หน้าก็ตั้งใจอ่าน
ใช้เวลาอ่านไม่กี่วันก็อ่านจบ เพราะผู้เขียนทั้งสองท่านมีผลงานที่โดดเด่นทาง
ด้านประวัติศาสตร์ ได้รับรางวัลดีเยี่ยมอยู่เป็นจ�านวนมาก อีกทั้ง ดร.ผาสุก
พงษ์ไพจิตร ก็เป็นผู้ที่รู้จักคุ้นเคยกันมาเป็นเวลานานกว่า ๔๐ ปี เคยสอนหนังสือ
อยู่ด้วยกันที่คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ ดร.ผาสุก
จบการศึกษาทางเศรษฐศาสตร์มาจากมหาวิทยาลัยโมแนช ประเทศออสเตรเลีย
ก่อนที่จะไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เช่นเดียวกับ
ดร.คริส เบเคอร์ ซึ่งก็มีผลงานที่ดีเด่นตีพิมพ์ออกมามากมายเช่นเดียวกัน
หนังสือเล่มนี้เป็นผลงานที่ใช้ข้อมูลหลักฐานทางเอกสารต่างๆ มากมาย
จนไม่อาจคิดได้ว่าส�าหรับคนสองคนจะสามารถค้นคว้าอ่านหนังสือและเอกสาร
ได้มากมายได้ถึงขนาดนี้ ที่ส�าคัญคือ สามารถบันทึกเรื่องราวอย่างเป็นระบบ
เพื่อผลิตออกมาเป็นเอกสารที่น่าจะมีความส� าคัญที่สุดส�าหรับผู้ที่สนใจประวัติ
ศาสตร์ไทย
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ในค�าน�าของผู้เขียนแม้ว่าผู้เขียนจะยอมรับว่า
เป็นหนังสือที่ “เน้นให้รัฐชาติเป็นแกนเรื่อง” กล่าวคือ “รัฐ” เป็นประธานของเรื่อง
แต่การด�าเนินเรื่องก็ไม่ได้มีแต่เรื่องราวความเป็นมาเป็นไปของ “รัฐ” เท่านั้น
เริ่มตั้งแต่ความเป็นมาของ “คนไทย” ก่อนที่จะมี “รัฐชาติ” ใน ๒ บท
แรก เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจสภาพภูมิศาสตร์ การก่อตัวขึ้นของสังคม เศรษฐกิจ
()
อาชีพ การผลิต การค้า การก่อตัวขึ้นของเมือง ศาสนาพุทธเถรวาท การหลั่งไหล
ของชนเผ่าต่างๆ รวมทั้งคนจีนแต้จิ๋วและไม่ใช่แต้จิ๋ว จึงก่อให้เกิดสังคมที่ผสม
ผสานระหว่างคนหลายเชื้อชาติในเมืองไทย ความเป็นมาดังกล่าวย่อมกระทบ
ต่อสถาบันทางการเมือง การทหาร ระบบราชการ การบริหารราชการแผ่นดิน
ในยุคก่อนการสถาปนา “รัฐชาติ” ขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
ด้วยอิทธิพลของลัทธิอาณานิคมในศตวรรษที่ ๑๙ ความจ�าเป็นที่จะต้อง
สร้าง “รัฐ” สมัยใหม่ก็ปรากฏเป็นของจริงมากขึ้น เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในยุโรป
มิฉะนั้นความเป็น “รัฐ” อาจจะไม่เหลืออยู่เลย
ในแต่ละช่วงของการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ของกรุงรัตนโกสินทร์
มาจนถึงปัจจุบัน ได้แสดงให้เห็นถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่าง “รัฐ” กับสังคม เศรษฐกิจ
รวมทั้งพลังจากต่างประเทศอย่างละเอียดลออที่สุดไว้ในหนังสือเล่มเดียวกัน
ท�าให้มองเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของ “รัฐไทย” ในมิติต่างๆ อย่างครบถ้วน
ไม่ใช่เฉพาะเรื่องในศูนย์กลางอ�านาจรัฐเท่านั้น แต่รวมถึงการเปลี่ยนแปลงใน
เมืองรอบนอก สังคมในหัวเมืองส�าคัญ รวมทั้งสังคมชนบทด้วย
เนื่องจาก ดร.ผาสุกเป็นนักเศรษฐศาสตร์ด้วย หนังสือเล่มนี้จึงให้นา�้ หนัก
เน้นไปถึงประวัติศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศไทยด้วยว่า
โครงสร้างสถาบันและพลังทางเศรษฐกิจตลอดระยะเวลากว่า ๓๐๐ ปีที่ผ่านมา
มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ปัจจัยการผลิตที่ส�าคัญคือ ที่ดิน แรงงาน ทุน
และเทคโนโลยี เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร มีความเป็นมาอย่างไร มีอิทธิพลต่อการ
จัดการกับทรัพยากรต่างๆ นั้นอย่างไร
การปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ในทศวรรษที่ ๒๔๐๐ ถึงทศวรรษที่ ๒๔๕๐
ช่วงการหลั่งไหลเข้ามาของอิทธิพลทางการเมือง เศรษฐกิจ การค้าระหว่างประ
เทศของตะวันตก ท�าให้ “รัฐชาติ” ของไทยต้องท�าอะไรหลายอย่าง เพื่อปริวรรต
ตามอิทธิพลของตะวันตก ซึ่งหลายอย่างก็ยังเป็นปัญหาที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน
เช่น ปัญหาการปักปันเขตแดน เป็นต้น
ความล้มเหลวของ “คณะทหาร” ภายหลังการปฏิวัติ พ.ศ.๒๔๗๕ อัน
เกิดจากการประนีประนอมระหว่างคณะราษฎร และคณะบุคคลที่อยู่ในระบอบ
เก่า ซึ่งระยะหลังมีการน�ามาวิเคราะห์ จากงานวิจัยของประวัติศาสตร์ในยุคหลังๆ
ประวัติศาสตร์ร่วมสมัยจริงๆ ก็คงเป็นยุคหลังการท�ารัฐประหารของ
จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปี ๒๕๐๐ และตามมาด้วยการปฏิวัติตัวเองในปี
๒๕๐๑ คณะปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ยังยึดครองอ�านาจเรื่อยมาจนถึงเหตุการณ์
()
๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ แม้ว่าจอมพลสฤษดิ์ นายกรัฐมนตรี จะถึงแก่อสัญกรรม
ไปแล้วในปลายปี ๒๕๐๖
เหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ เมื่อมีการรัฐประหาร สภาพบ้านเมืองก็
เปลี่ยนไป จนกระทั่งมีการประท้วงครั้งใหญ่ในปี ๒๕๓๕ เพื่อโค่นล้มรัฐบาล
ของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร
หนังสือเล่มนี้รวบรวมข้อมูลที่เป็นข้อมูลสาธารณะไว้อย่างสมบูรณ์ เรื่อย
มาจนถึงก�าเนิดของพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นคู่ต่อสู้ที่ส�าคัญของพรรคประชาธิ-
ปัตย์ จนถึงองค์กรอิสระที่ก้าวเข้ามามีบทบาททางการเมือง เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ
ศาลปกครอง คณะกรรมการ ป.ป.ช. คณะกรรมการการเลือกตั้ง และศาลยุติ
ธรรม ที่มีประเพณีมาตลอดว่าไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองในสายตาของประ
ชาชนก็เริ่มเข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้น
บทบาทของการสื่อสารโทรคมนาคมท�าให้การเปลี่ยนแปลงมีอัตราเร่ง
มากขึ้นในระยะสิบกว่าปีที่ผ่านมาท�าให้เกิดความตื่นตัวทางการเมืองในต่างจังหวัด
อันเป็นปัจจัยให้ประชาชนในต่างจังหวัดสามารถแสดงออกผ่านทางสื่อต่างๆ
หลายช่องทาง นอกจากสื่อกระแสหลัก
ส�าหรับประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่บุคคลที่เกี่ยวข้องยังมีชีวิตอยู่ โครง
สร้างทางการเมือง โครงสร้างทางสังคมยังคงด�ารงอยู่ บางทีก็เป็นการยากที่จะ
เสนอข้อมูลที่ไม่ใช่ข้อมูลสาธารณะ แต่ส�าหรับข้อมูลที่เป็นสาธารณะแล้วหนังสือ
เล่มนี้ได้บรรจุไว้อย่างกว้างขวางและครบถ้วน ซึ่งจะเป็นข้อมูลให้นักประวัติ
ศาสตร์ได้ใช้เป็นพื้นฐานในการถกเถียงและท� าวิจัยเพื่อค้นคว้าความจริงต่อไป
ในอนาคต
เรื่องสุดท้ายที่ขอชมเชยก็คือ ผู้เขียนได้ไปค้นหารูปภาพเก่าและใหม่มา
พิมพ์ลงไว้มากมาย หลายๆ รูปก็เคยเห็นแล้วแต่จ�าไม่ได้ แต่หลายๆ รูปก็ยัง
ไม่เคยเห็น ท�าให้หนังสือทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น
ใครที่สนใจประวัติศาสตร์ไทย ไม่ควรพลาดที่จะมีไว้เป็นหนังสืออ้างอิง
ต่อไป
ขอแสดงความยินดีกับคุณคริสและอาจารย์ผาสุกอย่างจริงใจ
( )
คํ า นํ า ผู้ เ ขี ย น
การเขียนประวัติศาสตร์ที่พบเห็นกันอยู่เสมอนั้นก็เพื่อสนับสนุนรัฐชาติ
จึงมีแนวโน้มที่จะจินตนาการว่า “ชาติเป็นตัวประธาน แม้จะพัฒนาตามยุค
สมัย แต่เป็นหนึ่งเดียวตลอด เป็นตัวตนเช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลง” (ประเสนจิต
ทวารา Prasenjit Duara) ในงานประวัติศาสตร์หลายเล่ม “ชาติ” จะเป็นอะไร
ที่มีอยู่เสมอ เกิดขึ้นแล้วเป็นธรรมชาติ แต่เพิ่งจะเป็นรูปธรรมในฐานะรัฐชาติ
โดยเฉพาะเมื่อนักประวัติศาสตร์แนวรัฐชาตินิยมยิ่งท�าให้เด่นขึ้น
อย่างไรก็ตาม เริ่มมีนักประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบันที่อยากจะหลีกเลี่ยง
การเขียนประวัติศาสตร์ดังกล่าว โดยเลือกที่จะเขียนเกี่ยวกับผู้คน สิ่งของ ความ
คิด ท้องถิ่น ภูมิภาค หรือโลกทั้งมวล ขอให้เป็นอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ชาติ หรือไม่ก็
เขียนงานประเภทที่สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างชาติ และการผลิตสร้าง
ประวัติศาสตร์ของชาตินั้นเอง
หนังสือเล่มนี้ เน้นให้รัฐชาติเป็นแกนเรื่อง แต่ไม่ได้มองรัฐชาติเป็นหนึ่ง
เดียวตลอด หรือไม่เปลี่ยนแปลงเลย ในทางตรงกันข้าม ผู้สร้างรัฐชาติมีตัวตน
และปะทะประสานกับพลังทางสังคมต่างๆ โดยตลอด ดังนั้น เนื้อเรื่องหลัก
ประการหนึ่งของหนังสือนี้คือ ที่มาของความเป็นชาติในเมืองไทย อธิบายว่า
ความคิดเรื่องชาติเกิดขึ้นอย่างไร กลไกของรัฐชาติก่อร่างสร้างขึ้นอย่างไร และ
เมื่อสร้างแล้วมีพลังทางสังคมต่างๆ พยายามใช้กลไกนั้นอย่างไร
เนื้อเรื่องหลักประการที่สองคือ วิวัฒนาการของพลังทางสังคมที่มีบท
บาทในการเกิด การเติบโต และการท�างานของชาติและรัฐชาติไทย ดังนั้น
( )
เนื้อหาในบทต่อๆ ไปหลังจากความน�าในบทนี้แล้วนั้น จึงจะขยายความเกี่ยวกับ
เนื้อเรื่องหลักทั้งสองที่กล่าวมานี้สลับกันไป
( )
Jory Junko Koizumi ; การปฏิรูป รัชกาลที่ ๕ ไชยันต์ รัชชกูล ทวีศักดิ์
เผือกสม อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ พรเพ็ญ ฮั่นตระกูล ม.ร.ว.รุจยา อาภากร
กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด ธงชัย วินิจจะกูล Craig Reynolds Tamara Loos
David Streckfuss Ian Brown ; สังคมเมือง พิมพ์ประไพ พิศาลบุตร
พรรณี บั ว เล็ ก จ� า นงศรี รั ต นิ น สุ พ จน์ แจ้ ง เร็ ว พอพั น ธ์ อุ ย ยานนท์ ;
สังคมชาวนา ฉัตรทิพย์ นาถสุภา David Johnston Atsushi Kitahara ;
ชาตินยิ มหลายมิติ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ชนิดา พรหมพยัคฆ์ เผือกสม เออิจิ
มู ร าชิม า กอบเกื้อ สุ ว รรณทัต เพีย ร ธ�า รงศัก ดิ์ เพชรเลิศ อนัน ต์ สายชล
สัตยานุรักษ์ เฉลิมเกียรติ ผิวนวล มรกต เจวจินดา ไมยเออร์ วิชิตวงศ์ ณ
ป้อมเพชร เพ็ญพิสุทธิ์ อินทรภิรมย์ Matthew Copeland Scot Barmè
E. B. Reynolds ; สมัยอเมริกันและพัฒนาการ ทักษ์ เฉลิมเตียรณ ณัฐพล
ใจจริง ชัยอนันต์ สมุทวณิช สุรชาติ บ�ารุงสุข ฉลอง สุนทราวาณิชย์ สมศักดิ์
เจียมธีรสกุล สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เกษียร เตชะพีระ
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ David Fineman Kevin Hewison Philip Hirsch ;
สังคมและการเมืองร่วมสมัย ประจักษ์ ก้องกีรติ ธงชัย วินิจจะกูล ยศ สันต-
สมบัติ สุจิต บุญบงการ ประภาส ปิ่นตบแต่ง สมชัย ภัทรธนานันท์ เอนก
เหล่าธรรมทัศน์ เกษียร เตชะพีระ อุบลรัตน์ ศิริยุวศักดิ์ ธีรยุทธ บุญมี
เวียงรัฐ เนติโพธิ์ Katherine Bowie James Ockey Duncan McCargo
M. K. Connors
ขอขอบพระคุณศาสตราจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ที่กรุณาแก้ค�าผิดบางค�า
เพื่อการจัดพิมพ์ครั้งที่ ๒
ขอขอบคุณองค์กรและเพื่อนที่ช่วยหารูปภาพ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ
หอจดหมายเหตุ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนังสือพิมพ์ The Nation หนัง
สื อ พิ ม พ์ Bangkok Post สยามสมาคม พิ พิ ธ ภั ณ ฑ์ แ รงงานไทย เอนก
นาวิกมูล ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ธ�ารงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ชัชวาลย์ ชาติ-
สุทธิชัย ดาวเรือง แนวทอง เอกรินทร์ ลัทธศักดิ์ศิริ แคน สาริกา ไกรฤกษ์
นานา นัน ทิย า ตั้ง วิสุ ท ธิจิต พนา จัน ทรวิโ รจน์ พิริย ะ ไกรฤกษ์ โกวิท
สนั่นดัง สะอาด อังกูรวัธ ศักดินา ฉัตรกุล ณ อยุธยา สง่า ลือชาพัฒนพร
โสมสุดา ลียะวณิช สุภัตรา ภูมิประภาส วารุณี โอสถารมย์ Steve Van
Beek Nick Nostitz
()
ขอขอบคุณ วันรวี รุ่งแสง ที่ได้ช่วยกรุณาขัดเกลาส�านวนในร่างแรกๆ
มิตรวิชาการหลายท่านที่ช่วยสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับค�ากล่าวโดยเจ้าตัวของผู้พูด
ที่เป็นภาษาไทย รวมทั้งศาสตราจารย์เออิจิ มูราชิมา พอล แฮนด์ลีย์ สมฤดี
นิโครวัฒนายิ่งยง อัชกรณ์ วงศ์ปรีดี ส�าหรับในกรณีที่ค�ากล่าวที่อ้างถึงเป็น
ภาษาอังกฤษมาแต่เดิม (หรือรายงานมาเป็นภาษาอังกฤษ) เราปรับให้เป็นภาษา
ไทยในตัวบท แล้วคัดลอกภาษาอังกฤษของเดิมไว้ในเชิงอรรถ ขอขอบคุณ
สุภาภรณ์ ตรงกิจวิโรจน์ นัชญากรณ์ กิจตระกูล ไพรินทร์ พลายแก้ว ที่ช่วย
เรื่องการพิมพ์และเอกสารอย่างดีเยี่ยม
ขอขอบคุณ คุณปานบัว บุนปาน แห่งส�านักพิมพ์มติชน เป็นอย่างสูง
ที่จัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้อย่างดีเยี่ยม
การพิมพ์ครั้งที่ ๒ นี้ ผู้เขียนได้ขยายความถึงการรัฐประหารเมื่อวันที่
๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ด้วย
คริส เบเคอร์ และ ผาสุก พงษ์ไพจิตร
()
๑
ก่อนกรุงเทพ
รัฐชาติไทยที่เรารู้จักในปัจจุบัน ก่อตัวขึ้นเมื่อในช่วง ๒๐๐ กว่าปมานี้
ชื่อประเทศ เขตแดน เมืองหลวง ความเป็น “ไทย” ในฐานะเป็นชาติหนึ่ง และ
รูปแบบของรัฐบาล ล้วนเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น เพิ่งคิดประดิษฐ์ขึ้นมาในช่วงเวลา
ดังกล่าว ชื่อ “ประเทศไทย” ก็ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๒ นี้เอง
แม้ว่าจะได้ใช้ชื่อ “เมืองไทย” มานานกว่านี้แล้ว เขตแดนปักปันกันเมื่อ พ.ศ.
๒๔๓๐-๒๔๕๒ “กรุงเทพฯ” เป็นเมืองหลวงเมือ่ พ.ศ. ๒๓๒๕
“ไทย” ในฐานะเป็นชาติ และกระบวนการสร้างกลไกรัฐชาติ ก่อตัว
ขึ้นมาในช่วงหลายป และยังคงปรับแปรเปลี่ยนแปลงไป จนล่วงเข้ามาในภาวะ
ร่วมสมัย ณ ปัจจุบัน
เป็นที่ชัดเจนว่ารัฐชาตินี้ ได้รับมรดกตกทอดจากอดีตหลายสิ่งหลาย
อย่าง บทนี้จึงจะบรรยายให้เห็นแนวโน้มประวัติศาสตร์หลักๆ ที่ส่งผลกับโครง
ร่างของมรดกประวัติศาสตร์นี้
ชุมชนบนที่ราบลุ่มเจ้าพระยา มีวิวัฒนาการมาหลายศตวรรษก่อนหน้า
โดยมีรูปแบบที่มีความคล้ายคลึงกับสังคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ เป็น
ภูมิประเทศเขตร้อน มีป่าเขตร้อนชื้น ผู้คนตั้งรกรากเป็นกลุ่มๆ ตามเมืองใหญ่
มีเจ้าครอบครอง สิ่งร้อยรัดผู้คนเข้าด้วยกันคือความสัมพันธ์ส่วนตัวแบบนาย
กับบ่าว ยุคสมัยของสงคราม ตั้งแต่กลางพุทธศตวรรษที่ ๑๗ จนถึงกลางพุทธ
ศตวรรษที่ ๒๑ มีการรบพุ่งกันบ่อยครั้ง ระบบกษัตริย์ชายชาติทหารมีอา� นาจ
ยิ่งใหญ่จึงก่อตัวขึ้นโดยได้รับการหนุนช่วยด้วยพิธีกรรมตามลัทธิพราหมณ์
ความมั่งคั่งจากการค้าต่างแดน และระบบเกณฑ์แรงงานเพื่อการสงคราม
แต่จากประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ทั้งภูมิภาคเริ่มสงบร่มเย็น การ
ค้าระหว่างประเทศขยายขึ้น “อยุธยา” กลายเป็นเมืองท่าใหญ่ของเอเชียแห่ง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
"
#
$
%
!
%#
(&&&
'&&&
(&&
&)&&
การก่อตัวของชุมชน นทีราบลุ่มเจ้าพระยา
แผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเขตที่อุดมสมบูรณ์และ
มีความหลากหลายทางชีวภาพแห่งหนึ่งของโลก ด้านทิศเหนือ แนวภูเขาเป็น
เส้นแบ่งแยกภูมิภาคออกจากจีน ลงมาทางใต้มีทิวเขาหลายเทือกเรียงรายกัน
แนวภูเขาพาดออกไปเสมือนนิว้ มือที่กางออก (แผนที่ ๑) ที่ราบระหว่างเทือกเขา
เหล่านี้ได้รับความอบอุ่นจากอุณหภูมิของเขตร้อน ขณะเดียวกันได้รับน�า้ จาก
แม่น�้าสายใหญ่ทั้งห้า เกิดจากหิมะที่ละลายไหลรินมาจากภูเขาสูงของเอเชียด้าน
ในไกลถึงทิเบต และยังมีลมมรสุมพัดผ่านน�าฝนมาตกชุกชุมปีละ ๔-๖ เดือน
อากาศร้อนผนวกกับความชุ่มชื้นสูงท�าให้บริเวณแถบนี้อุดมสมบูรณ์เป็นที่สุด
พื้นที่นี้โดยธรรมชาติเป็นป่าชัฏทึบ ทั้งป่าไม้ผลัดใบทางด้านเหนือ แล้วค่อยๆ
ขยับขยายเป็นป่าดิบชื้นทางด้านใต้ และป่าชายเลนแน่นหนาตามแนวชายฝั่ง
ทะเล อดีตกาลโพ้น สัตว์ป่าหลากชนิดอาศัยอยู่ในบริเวณนี้ได้ดีกว่ามนุษย์
ทั้งช้าง วัวป่า ควายป่า เก้งกวาง ลิงค่าง เสือ งู จระเข้ แมลงหลากชนิด และ
จุลินทรีย์ต่างๆ
ผู้คนมีอยู่เพียงจ�านวนน้อยในช่วงแรกๆ จากหลายแสนปีท่ีแล้ว มีร่อง
รอยของชุมชนล่าสัตว์และเก็บหาผลหมากรากไม้ที่พักพิงอยู่ตามถ�้า แต่หลัก
ฐานเหล่านี้ก็มีน้อยและไม่ชัดเจนมากนัก การตั้งถิ่นฐานเพิ่มขึ้นหลังจากมีการ
ปลูกข้าวและผลิตเครื่องใช้ท�าด้วยส�าริดประมาณ ๔,๐๐๐ ปีก่อนปัจจุบัน และ
เพิ่มขึ้นอีกมากในยุคเหล็กตั้งแต่ประมาณเมื่อ ๒,๕๐๐ ปีก่อนปัจจุบัน
การตั้งถิ่นฐานในยุคโลหะนี้ พบว่าส่วนมากอยู่บนเนินล้อมรอบด้วยคูนา�้
ทั้งนี้อาจจะเพื่อความปลอดภัย และอาจจะขุดไว้เพื่อเป็นที่เก็บน�้าด้วย ชุมชน
โบราณนี้ปลูกข้าว เลี้ยงวัวควายและสุนัข ยังคงล่าสัตว์เก็บหาผลไม้และอาหาร
อื่นๆ ในป่า สิ่งของมีค่า เช่น ลูกปัด และกลองมโหระทึก เพื่อใช้ในพิธีกรรมได้
จากการค้าทางไกล นักโบรำ คดีสงสัยว่ำน่ำจะมีคนกลุ่มใหม่เข้ำมำในภูมิภำค
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ในยุคนี้ โดยเป็นผู้ที่น�ำเอำเทคนิคกำรปลูกข้ำว กำรผลิตโลหะ กำรเลี้ยงสัตว์
และภำษำ ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า กลุ่มภาษามอญ เขมร เข้ามา คนกลุ่มใหม่นี้น่า
จะกระจายไปตามชายฝั่งทะเล แต่คงจะอพยพไปสู่บริเวณด้านในตามฝั่งแม่น�้า
จนไปถึงเขตที่ราบสูง เนื่องจากเป็นบริเวณซึ่งถากถางได้ง่ายกว่าและตั้งถิ่นฐาน
ได้โดยมีโรคภัยไข้เจ็บน้อยกว่า
เมื่อประมาณ พ.ศ. ๔๐๐ ได้มีการติดต่อค้าขายกับอินเดีย ซึ่งมีความ
เป็นเมืองที่พัฒนาแล้ว อินเดียจึงเป็นแหล่งที่มาของความรู้และเทคโนโลยี
ชุมชนใหญ่เริ่มก่อตัวขึ้น โดยเฉพาะตามบริเวณที่ราบลุ่มแม่น�้ าโขงตอนล่าง ที่
ราบลุ่มเจ้าพระยา และเขตชายฝั่งทะเลของแหลมทองทั้งสองฟาก เมื่อประมาณ
พ.ศ. ๑๐๕๐ ชุมชนที่บริเวณทั้งสองนี้รับตัวเขียนที่ยืมมาจากอินเดียใต้ เขียน
ภาษาเขมรและมอญ ที่ดินแดนเขมร ชาวนาเชี่ยวชาญการกักเก็บน�้าจากฝน
ทะเลสาบ และแม่น�้า ท�าให้เลี้ยงชุมชนใหญ่ที่หนาแน่นได้ ผู้ปกครองเกณฑ์
ผู้คนในชุมชนใหญ่มาใช้ ปรับเอาความรู้เกี่ยวกับการอยู่ในเมือง การก่อสร้าง
ศาสนา และการปกครองมาจากอินเดีย จึงสามารถสร้างชุมชนเมือง ระบบรัฐ
และระบบกษัตริย์ เมืองหลวงอันวิจิตรพิสดารที่เมืองพระนคร (นครวัด) กลาย
เป็นแบบอย่างที่เมืองเล็กๆ ชื่นชูและเลียนแบบกันทั่วไปหมด ทั้งที่บริเวณที่ราบ
สูงโคราชและชุมชนตามที่ราบในลุ่มแม่น�้าเจ้าพระยา
วัฒนธรรมมอญ เขมรสมัยแรกนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่บริเวณชาย ังทะเล
และต่อมากระจายเข้าไปในเขตแผ่นดินใหญ่ ในสมัยต่อๆ มา ผู้คนและ
วัฒนธรรมอีกสายหนึ่งเคลื่อนเข้ามาจากทางด้านเหนือผ่านหุบเขามา
กลุ่มภาษาซึ่งรู้จักกันในนาม “ตระกูลไท” น่าจะมีแหล่งก�าเนิดในบรรดา
ผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของแม่น�้าแยงซี ก่อนที่จีนฮั่นจะขยับขยายลงมาใน
บริเวณนี้จากทางเหนือเมื่อ ๒,๕๐๐-๓,๐๐๐ ปีก่อนปัจจุบัน เมื่อกองทัพของ
ฮั่นเข้ามาครอบครองชายฝั่งทะเลตอนใต้ของจีนเมื่อประมาณ ๑,๘๐๐ ปีก่อน
ปัจจุบัน ผู้คนกลุ่มภาษาตระกูลไทบางกลุ่ม ถอยร่นไปตั้งหลักแหล่ง ณ ที่ราบ
หุบเขาด้านในของชายฝั่งทะเล เมื่อกาลเวลาผ่านไปหลายศตวรรษ บางกลุ่ม
เคลื่อนย้ายไปทางทิศตะวันตก
และในที่ สุ ด กลุ ่ ม ภาษาไทส� า เนี ย งต่ า งๆ ก็ ก ระจายไปตามบริ เ วณ
วงแหวนครอบคลุมประมาณ ๑ ๐๐๐ กิโลเมตร จากเขตลึกด้านในของแคว้น
กวาง ี ไปจนถึงที่ราบของแม่น�้าพรหมบุตร ผู้คนเหล่านี้คงจะน�าเอาความรู้
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ราว พ.ศ. ๒๐๕๐ ชาวโปรตุเกสได้รับการบอกเล่าว่าที่ราบลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง
คือ “เมืองไทย”
แม้ว่าจะได้มีกลุ่มต่างๆ อพยพเข้ามาในที่ราบลุ่มเจ้าพระยาเป็นระยะๆ
แต่ประชากรของย่านนี้ก็ยังเบาบาง เมื่อมีการถากถางป่า พื้นดินที่ถูกถากถาง
อุดมสมบูรณ์มาก แต่ในสภาพธรรมชาติไม่เหมาะส�าหรับตั้งถิ่นฐาน เพราะเป็น
บริเวณที่มีสัตว์ร้ายชุกชุม รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บ เช่น มาลาเรีย และไข้ป่าต่างๆ
ฤดูร้อนที่ยาวนานท�าให้ที่ที่ห่างไกลจากแหล่งน�า้ ไม่เหมาะส�าหรับการตั้งหลักแหล่ง
ผู้คนจึงตั้งถิ่นฐานตามริมฝั่งแม่น�้าหรือชายฝั่งทะเล นอกบริเวณที่ราบนี้จึงยังคง
เป็นป่าทึบจนกระทั่งเมื่อ ๒๐๐-๓๐๐ ปีมานี้เอง
สภำพประชำกรเบำบำง หมายความว่า มีที่ว่ำงเสมอส�ำหรับผู้อพยพมำ
ใหม่ ซึ่งก็ได้ท�าให้สังคมมีความสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้นโดยตลอด ชาวกะเหรี่ยง
เข้ามาตั้งรกรากบนภูเขาด้านทิศตะวันตกของที่ราบลุ่มเจ้าพระยา มาจากไหน
และมากันเมื่อไรก็หลงลืมกันไปแล้ว กลุ่มชาวมอญเข้ามาด้านตะวันตกเป็น
ระยะๆ โดยข้ามภูเขามาเพื่อลี้ภัยจากปัญหาการเมือง ณ ถิ่นเดิม ชาวมาเลย์
ล่องเรือมาจากเกาะต่างๆ เข้ามาตั้งถิ่นฐานบนเขตชายฝั่งทะเลของบริเวณด้าม
ขวานของแหลมทอง ชาวจีนอพยพมาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๙
พ่อค้าจีนผสมปนเปเข้ากันไปกับชุมชนตามเขตเมืองท่ารอบๆ อ่าวไทย และลง
ไปด้านใต้ของแหลมทอง ที่ราบสูงโคราชเริ่มมีประชากรเพิ่มขึ้นจากประมาณ
พ.ศ. ๒๒๕๐ เมื่อชาวลาว ชาวกุย อพยพมาจากบริเวณแม่นา�้ โขง และบริเวณ
ที่ราบสูงทางเหนือมีชาวภูเขาขยับย้ายเข้ามา หลังจากที่จีนฮั่นรุกไล่เข้ามาสู่จีนใต้
สภาวะประชากรเบาบาง ท�าให้มีการแย่งชิงคน การตั้งหลักแหล่งต้อง
การผู้คนเพื่อสร้างเมือง และปองกันตัวเอง ผู้น�าต้องการคนเพื่อช่วยท�านา ท�า
การค้า สร้างบ้าน ผลิตของมีค่าและเป็นบริวาร ช่วงแรกๆ มีการน�าทาสมาจาก
จีนและจากเกาะต่างๆ ของมลายู การสงครามเป็นไปเพื่อกวาดต้อนผู้คนมาใช้
กองทัพที่มีชัยชนะกลับบ้านพร้อมกับทรัพย์สินที่ยึดมาและเชลยเป็นพรวน ช่าง
ฝีมือมีค่าตัวสูง ส่วนเชลยสงครามทั่วๆ ไปถูกน�ามาเป็นคนรับใช้หรือส่งไปตั้ง
ถิ่นฐาน ณ เขตบุกเบิกใหม่ๆ เพื่อผลิตข้าวปลาอาหารและเพิ่มจ�านวนผู้คนที่จะ
ถูกเกณฑ์แรงงาน จนกระทั่ง ๑๐๐-๑๕๐ ปีน้ีเองก็ยังมี “ประเพ ีตีข่ำ” โดยมี
ชุมชนซึ่งตั้งตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเสาะแสวงหาทาส ลักพาผู้คนจากชุมชน
ภูเขา หรือจากรัฐเพื่อนบ้าน พาไปขายตามเมืองในเขตที่ราบลุ่ม
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ค้าขายมากกว่า และประชากรที่จะพึ่งพิงการท�านามีน้อยกว่า ผู้ปกครองเป็น
ผู้ซึ่งตั้งตัวขึ้นมาเพราะสั่งสมความมั่งคั่งจากการค้ามากกว่าที่จะเป็นผู้ที่สืบสาย
มาจากตระกูลเก่าหรือเป็นนักรบ
ส�าหรับ “เมือง” เหล่านี้ เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่จะพัฒนาต่อไปเป็น
เมืองใหญ่ได้ อาจเป็นเพราะว่าเมื่อชุมชนขยายใหญ่ขึ้นจึงสุ่มเสี่ยงที่จะเกิด
ปัญหาโรคระบาด หรือถูกโจมตีเพื่อแย่งชิงผู้คนและทรัพย์สิน
ประวัติของสุโขทัยสมัยต้นๆ มีต�านานการอพยพผู้คนทั้งเมืองไปยังเขต
ของชาวมอญ เนื่องจากปัญหาโรคระบาด ในต�านานหริภุญไชยหรือล�าพูน คน
ทั้งเมืองถูกกองทัพกวาดต้อนไปจนหมดสิ้น ที่ราบลุ่มแม่น�้ามูลที่อีสานในยุค
ก่อนประวัติศาสตร์ เคยมีชุมชนตั้งหลักแหล่งอยู่หลายร้อยแห่ง แต่ ๔๐๐ ปี
ต่อมากลับกลายเป็นบริเวณไร้ผู้คนไปเสียสิ้น เมืองท่าตามชายฝั่งทะเลมักจะ
ถูกศัตรูหรือโจรสลัดเข้าโจมตีอยู่เสมอ ในพงศาวดารนครศรีธรรมราชสมัย
ต้นๆ เมืองก่อตั้งขึ้น ถูกทิ้งร้างแล้วก่อตั้งขึ้นมาใหม่ ซ�้ าแล้วซ�้าอีก สงขลาถูก
“ท�าลาย” ถึง ๒ ครั้งเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๒๑ การผันแปรของภูมิประเทศอาจ
ท�าลายเมืองได้ แหลมสทิงพระซึ่งมีการตั้งถิ่นฐานในสมัยก่อนประวัติศาสตร์
แหล่งใหญ่ที่สุดของบริเวณด้ามขวานแหลมทอง ถูกทิ้งร้างเมื่อเขตชายฝั่งทะเล
ขยับเขยื้อนไป แหล่งที่เคยเป็นที่ตั้งเมืองในที่ราบเจ้าพระยาหลายเมืองถูกทิ้ง
ร้าง หรือชุมชนย้ายออกไปเมื่อแม่น�้าเปลี่ยนเส้นทาง
มีเมืองไม่กี่แห่งที่ประชากรตั้งหลักแหล่งเป็นที่ทางอยู่เป็นเวลายาวนาน
โดยไม่ได้ย้ายไปมาดังที่เกิดขึ้นในกรณีอื่นๆ ทั้งนี้อาจจะเป็นท�าเลเหมาะสม
ดังนั้น ความคิดเรื่อง “ชัยภูมิ” ึ่งหมายถึง “ที่แห่งชัยชนะ” จึงเป็นสาขาหนึ่ง
ของความรู้ท้องถิ่น
“ชัยภูมิ” หรือสถานที่เหมาะสมเพื่อตั้ง “เมือง” นั้นต้องเป็นที่ซึ่งสร้าง
คูรอบเมืองได้ง่ายหรือมีอยู่บ้างแล้ว มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เช่น ภูเขาสูง หรือที่
แม่น�้าสบกัน อันมีน�้าและแหล่งผลิตอาหารอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งสภาพอากาศ
เหมาะสม ผู้ปกครองอาจจะจัดให้ “ชัยภูมิ” ดีขึ้นได้ด้วย ดังจะเห็นได้ในค�า
ประกาศศิลาจารึกของสุโขทัยที่เลื่องชื่อ ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ผู้ปกครองโฆษณา
เมืองเพื่อดึงดูดผู้ที่จะเข้ามาตั้งถิ่นฐาน โดยอวดโอ่ถึงความสามารถด้านการ
สงครามซึ่งจะปกป้องผู้คนได้ การันตีว่ามีอาหารอุดม (“ในน�้ำมีปลำ ในนำมี
ข้ำว”) ให้สัญญาว่ามีความเป็นธรรม เก็บภาษีต�่า และให้เสรีภาพในการค้าขาย
เจ้า ละรั
ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๘ และ ๒๐ มีการปฏิวัติยุทธศาสตร์การ
สงคราม ซึ่งส่งผลให้เจ้าซึ่งมักใหญ่ใฝ่สูงสามารถขยายอาณาจักรได้ ส่วนหนึ่ง
เกิดจากการใช้อาวุธปืน เริ่มจากปืนใหญ่จากจีนและอาหรับ และต่อมาคือการ
ใช้ปืนคาบศิลาและปืนใหญ่คุณภาพดีกว่าจากโปรตุเกส นอกจากนี้การปฏิวัติ
ยุทธศาสตร์การสงครามเกิดจากการใช้ช้างและม้าเพื่อการขนส่งเพิ่มขึ้น มีวิธี
การเกณฑ์คนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจจะมีจ�านวนคนให้เกณฑ์มากขึ้น
เพราะว่าสภาพดินฟ้าอากาศดีขึ้น ท�าให้ผลิตอาหารได้มากขึ้นด้วย
เจ้าที่ต้องการเป็นใหญ่ เริ่มแรกเลยตีเอาเมืองที่อยู่ใกล้เคียงเข้ามารวม
กันเป็นกลุ่มเมือง ตามเขตภูเขา แว่นแคว้นต่างๆ ก่อตัวขึ้นโดยยึดโยงกันเป็น
เมืองตามลุ่มแม่น�้าเป็นแหล่งๆ ไป เจ้าจะส่งบุตรชายหรือเครือญาติไปปกครอง
เหนือเมืองที่พ่ายแพ้ ผู้ปกครองจะกวาดต้อนหรือชักจูงให้ช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญ
งานต่างๆ มาช่วยสร้างเมืองของตนให้วิจิตรและมีชื่อเสียงกว่าเมืองอื่นๆ มักจะ
เชิดชูศาสนาพุทธ เพราะได้รับความนิยมมากในยุคนี้
ตั้งแต่ราวๆ พ.ศ. ๙๕๐ ศาสนาพุทธได้เข้ามาแพร่ขยายอยู่ในบริเวณ
ที่ราบลุ่มเจ้าพระยาแล้ว แต่มาร่วมกับเทพเจ้าของอินเดีย ึ่งคงจะไม่ได้มีการ
แบ่งแยกกันชัดเจนว่าเป็นศาสนาอะไร หรือมีประเพณีปฏิบัติต่างกันอย่างไร
ครั้นตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. ๑๗๐๐ พระสงฆ์ได้น�าเอาขนบศาสนาพุทธ
เถรวาทจากศรีลังกาเข้ามา หลักฐานพงศาวดารศาสนาชี้ว่า ศำสนำพุทธนี้แพร่
กระจำยออกไปอย่ำงกว้ำงขวำงดังไฟปำ เนื่องจากผู้คนเลื่อมใสกันมาก เจ้า
สนับสนุนให้ก่อสร้างวัดอันวิจิตร อุปถัมภ์พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในการเรียนพระ
อภิธรรม เก็บรักษาพระอัฐิ และสร้างพระพุทธรูป โดยเชื่อว่าเป็นแหล่งรวมของ
อ�านาจด้านจิตวิญญาณ
เมืองใหญ่ที่เติบโตขึ้นมาค่อยๆ พัฒนาคล้ายเป็นศูนย์กลางอ�านาจของ
กลุ่มเมืองย่อย ทางทิศเหนือของลุ่มแม่น�้าเจ้าพระยา เมืองที่มีอ�านาจมากคือ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
“เชียงใหม่” ซึ่งพระยามังรายสถาปนาขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๙
ณ ท�าเลซึ่งถือว่าเป็นชัยภูมิชั้นยอด พระยามังรายคงจะเป็นเจ้าชายไทที่มีเชื้อ
สายมอญ-เขมร ตั้งตัวเป็นใหญ่ ณ แคว้นริมแม่น�้าปิง และสยบเจ้าเมืองอื่นๆ
ที่ตั้งเรียงรายตามลุ่มน�้าอื่นไปทางทิศตะวันออก เมื่อพระองค์สวรรคต ผู้คน
นับถือเป็นวิญญาณบรรพบุรุษผู้ให้ก�าเนิดแคว้นที่ขยายใหญ่ขึ้นนี้ และเจ้าองค์
ต่อๆ มาก็ต้องเลือกสรรมาจากผู้สืบเชื้อสายตระกูลศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นเวลาถึง ๒๐๐
ปี เชียงใหม่พัฒนาเป็นเมืองศูนย์กลางอ�านาจอย่างแท้จริงในสมัยของเจ้าเมือง
รุ่นต่อๆ มา ผู้ซึ่งสร้างวัดอันวิจิตรตระการตาเป็นจ� านวนมาก และผู้ได้สร้าง
สายสัมพันธ์เป็นพันธมิตรผ่านการอภิเษกสมรสกับเจ้าผู้ครองเมืองต่างๆ ไปทาง
ตะวันออกจรดแม่น้�าน่าน และไปทางเหนือข้ามแม่น�้าโขงไป ภูมิภาคนี้รู้จักกัน
ในนาม “ล้านนา” ส่วนด้านทิศตะวันออก เชื้อสายของพระเจ้าฟ้างุ่มที่หลวงพระ
บางสถาปนาอาณาจักร “ล้านช้าง” ครอบคลุมบริเวณลุ่มแม่น้�าโขงตอนกลางและ
แควใหญ่น้อย
พวกเมืองไทยที่อยู่ตามเชิงเขาเหนือพื้นราบของลุ่มน�้าเจ้าพระยา ก่อตั้ง
กลุ่มเมืองอีกแห่งหนึ่ง ณ จุดเริ่มแรก เมืองใหญ่ของกลุ่มคือ “สุโขทัย” ซึ่งมี
ต�านานเล่าขานว่า “พระร่วง” เป็นผู้ก่อตั้งให้เป็นเมืองพุทธที่มีชื่อกระฉ่อนไกล
ต่อมาตระกูลนี้ย้ายไปพิษณุโลก อาจเป็นเพราะว่าที่พิษณุโลกเจ้าเมืองสามารถ
ป้องกันเมืองจากศัตรูได้ง่ายกว่าที่สุโขทัย กลุ่มเมืองในบริเวณนี้ไม่มีชื่อเฉพาะ
ที่โด่งดัง เมืองเพื่อนบ้านไปทางใต้เรียกขานกันว่า “เมืองเหนือ”
กลุ่มเมืองอีกแห่งหนึ่งก่อตัวขึ้นในบรรดาเมืองท่าทางด้านล่างของแม่น�้า
ในที่ราบลุ่มเจ้าพระยา และรอบๆ ชายทะเลด้านบนของอ่าวไทย โดยเฉพาะ
๔ เมืองซึ่งสถาปนาขึ้นหรือสถาปนาใหม่ภายใต้อิทธิพลเขมรเมื่อพุทธศตวรรษ
ที่ ๑๖-๑๗ คือ เพชรบุรี สุพรรณบุรี ลพบุรี และอยุธยา หลังจากที่ตระกูล
ผู้น�าของเมืองเหล่านี้แก่งแย่งกันเป็นใหญ่ ผู้น�าที่อยุธยาผงาดขึ้นมาเหนือตระกูล
อื่นๆ จีนเรียกย่านนี้ว่า “เสียน” ( ian) ซึ่งโปรตุเกสเรียกเพี้ยนไปเป็นสยาม
เมืองศูนย์กลางแต่ละแห่งแผ่ขยายอิทธิพลเหนือเมืองใกล้เคียงในรูป
แบบเฉพาะ เจ้าที่ยอมสยบสวามิภักดิยังคงเป็นเจ้าอยู่ แต่อาจจะต้องส่งบุตร
สาวหรือน้องสาวให้เป็นบาทบริจาริกาของเจ้าเมืองใหญ่ บางทีอาจจะต้องส่ง
บุตรชายเข้ามารับใช้ด้วย เท่ากับเป็นตัวประกันให้เมืองขึ้นสวามิภักดิ
ในกรณีพิเศษ เจ้าเมืองใหญ่อาจจะยกหญิงสาวสูงศักดิ์ให้มาเป็นภริยา
ของเจ้าเมืองเล็ก หญิงสาวนี้อาจท�าหน้าที่ข่าวกรองไปด้วย เมืองที่ถูกสยบจะ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เรือง เจ้าผู้ครองศูนย์กลางแห่งอ�านาจเหล่านี้จดบันทึกเมืองบรรณาการเอาไว้
ในศิลาจารึกหรือพงศาวดารเพื่อแสดงอิทธิพลอันยิ่งใหญ่
เครือข่ายความสัมพันธ์ทางการทหารและการค้ามีความยืดหยุ่นและ
ลื่นไหล เมืองศูนย์กลางใหญ่ๆ รุ่งเรืองขึ้นมาแล้วก็ดับไป ณ ที่ไกลปืนเที่ยง
เมืองย่อยๆ ลงมาสร้างสายสัมพันธ์กับหลายเมืองใหญ่ขนานกันไปสองแห่งหรือ
มากกว่านั้น นอกจากนั้นแล้วระดับความส�าคัญของสัมพันธภาพต่างๆ นี้ขึ้นๆ
ลงๆ ลื่นไหลไปตามกาลเทศะ
จาก พ.ศ. ๑๙๐๐ ต่อมากลุ่มเมือง ๔ แห่งที่ผงาดขึ้นมาในบริเวณ
รอบๆ ที่ราบลุ่มเจ้าพระยา ล้านนา ล้านช้าง เมืองเหนือ สยาม เริ่มแข่งขัน
แย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่างกัน ก่อให้เกิดสงครามเป็นครั้งคราวเป็นเวลาหนึ่ง
ศตวรรษ เจ้าเกณ ์ทหารเป็นจ�านวนมากมาใช้ ท�าให้ขนาดของกองทัพใหญ่
ขึ้น ชุมชนกลายเป็นสังคมทหาร และจริยธรรมแบบทหารเพิ่มความส�าคัญ
กองทัพขนาดใหญ่รุกไล่ทา� ลายเมือง และบังคับเคลื่อนย้ายผู้คน ท�าลาย
พืชผลที่ปลูกกันเอาไว้ และท�าให้เกิดโรคระบาดแพร่กระจายไป ท้ายที่สุดแล้ว
ไม่มีเมืองไหนมีชัยอย่างชัดเจน กองทัพอยุธยายึดเชียงใหม่ได้เมื่อกลางพุทธ
ศตวรรษที่ ๒๑ แต่ก็ไม่สามารถยึดไว้ได้ยาวนาน เมืองใหญ่อาจท�าลายซึ่งกัน
และกั น และกวาดต้ อ นเชลยไปเป็ น จ�า นวนมาก รวมทั้ ง ยึ ด เอาพระพุ ท ธรู ป
และทรัพย์สินมีค่าไป แต่ความห่างไกลกันท� าให้ไม่อาจ “เก็บไว้ในกรอบ”
(embo ment) ได้อย่างถาวร จากกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๑ สงครามเหล่านี้
เริ่มเบาบางลง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ของผู้คนลงมาทางใต้เสมือนเช่นที่เกิดขึ้นในบริเวณที่ราบลุ่มเจ้าพระยา ไปทาง
ทิศตะวันตก หงสาวดีเติบใหญ่ข้ึนและมีอ�านาจเหนือเมืองหลวงพม่าที่อังวะ ไป
ทางทิศตะวันออก นครวัดถูกทิ้งร้างเมื่อเมืองหลวงของเขมรย้ายไปตั้งที่ละแวก
ณ ที่ราบลุ่มปากแม่น�้าโขง ดังนั้น เมืองหลวง-เมืองท่า หงสาวดี อยุธยา และ
ละแวก จึงแก่งแย่งกันเพื่อเข้าควบคุมแหล่งของสินค้าป่าที่มีค่าและเป็นที่ต้อง
การของตลาดที่เมืองจีน
กษัตริย์ของ ๓ อาณาจักรนี้แก่งแย่งกันเป็นใหญ่ ยิ่งเมื่อท้องพระ
คลังเต็มไปด้วยก�าไรจากการค้า และยังสามารถเกณ ์ทหารได้จากบ้านปาใน
เขตแผ่นดินใหญ่เป็นจ�านวนมาก พร้อมทั้งจ้างทหารรับจ้างชาวต่างประเทศได้
วัดวาอารามก็เต็มไปด้วยพระพุทธรูปและทองที่ได้มาจากการรุกรานเพื่อนบ้าน
ได้ส�าเร็จ
กษัตริย์ทั้งสามองค์นี้จึงมีจินตภาพว่าตัวเองเป็นจักรวาทิน หรือผู้พิชิต
โลก ดังที่ได้มีการบรรยายไว้ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง ส�าหรับการแข่งขันกัน
เป็นใหญ่นี้ ด้านทิศตะวันตกได้เปรียบกว่า อาจเป็นเพราะว่าทิศนั้นคือแหล่งที่มา
ของปืนใหญ่และทหารรับจ้างจากโปรตุเกส สยามยาตราทัพไปโจมตีเมืองหลวง
เขมรเสียราบคาบและแต่งตั้งกษัตริย์เขมรซึ่งยอมสยบกับอยุธยา หงสาวดีเรียก
ร้องให้สยามยอมรับสภาพเป็นเมืองขึ้น และร่วมมือกับขุนนางฝ่ายเหนือเข้าโจมตี
และยึดอยุธยาได้เมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๒ หงสาวดีกวาดผู้คนไปเป็นจ�านวนมาก รวม
ทั้งช่างฝีมือ พระพุทธรูป และทรัพย์สินมากมาย ยึดเอาช้างและเครื่องบรรณา
การมีค่า ทั้งยังจับสมาชิกของพระราชวงศ์ไปเป็นบาทบริจาริกาและเป็นตัวประกัน
อย่างไรก็ตาม การที่จะพยายามยึดโยงเมืองใดเมืองหนึ่ง “เก็บไว้ใน
กรอบ” (embo ment) ดูจะยิ่งยากมากทีเดียว ทั้งนี้เพราะว่าเมืองเหล่านี้ต่าง
อยู่ห่างไกลกันและมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน อิทธิพลของสยามเหนือเขมร
เสือ่ มถอยลงเมือ่ “ญวน” ผงาดขึน้ มาเป็นคู่แข่งท้าทายสยามได้ ท�านองเดียวกัน
พระนเรศวร เจ้าชายสยามที่หงสาวดีจับเป็นตัวประกันไปเมื่อ พ.ศ. ๒๑๑๒ หนี
การควบคุม ประกาศจะไม่ขึ้นกับหงสาวดี หลังจากนั้นใช้เวลา ๑๕ ปี ตลอด
ช่วงที่ครองราชย์ (พ.ศ. ๒๑๓๓-๒๑๔๘) ท�าสงครามเพื่อที่จะต้านทานการรุกราน
จากพม่า และเพื่อสถาปนาอยุธยาให้เป็นใหญ่ในลุ่มแม่น้�าเจ้าพระยาตอนล่าง
อีกครั้ง
หลังรัชสมัยพระนเรศวร ยุคสงครามเริ่มถึงทางตัน เมืองหลักบนผืน
แผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนมากถูกรุกรานปล้นสะดมอย่าง
สมัยของการพาณิชย์
เมื่ อ สงครามสงบสั ง คมก็ รุ ่ ง เรื อ ง หลั ง จากที่ พ ระนเรศวรเถลิ ง ราชย์
“อยุธยา” คือราชธานี เป็นศูนย์อ�านาจของที่ราบลุ่มเจ้าพระยา ล้อมรอบด้วย
เมืองใหญ่ๆ หรือมหานคร แต่ละแห่งมีตระกูลเจ้าภายใต้อิทธิพลของอยุธยา
ครอบครองอยู่ รวมทั้งเมืองเก่าที่ภาคเหนือ เมืองท่าต่างๆ รอบอ่าวไทย เมือง
ตามเส้นทางขนส่งสินค้าข้ามไปยังฝั่งทะเลด้านทิศตะวันตกที่บริเวณด้ามขวาน
ทองและหัวเมืองที่ควบคุมเส้นทางไปโคราชทางทิศตะวันออก และกาญจนบุรี
ทางทิศตะวันตก ไกลออกไปจากเมืองเหล่านี้ก็คือเมืองบรรณาการที่รายรอบ
อยู่ ความสวามิภักดิ์ของหัวเมืองรอบนอกเหล่านี้ขึ้นๆ ลงๆ เพราะว่ามีเมือง
ใหญ่กว่าอื่นๆ ที่ส่งอิทธิพลเหนือเมืองเหล่านี้ด้วย บางครั้งหัวเมืองบางแห่งก็
กระด้างกระเดื่องกับอยุธยาเพราะไปขึ้นกับเมืองใหญ่อื่นๆ หรือบางแห่งก็สวามิ
ภักดิ์กับเจ้ามากกว่าหนึ่งแห่ง หัวเมืองบริเวณรอบนอกที่ว่านี้ รวมทั้งเมืองท่า
ต่างๆ ตามบริเวณด้ามขวานทองลงไปทางใต้ซึ่งขึ้นอยู่กับเจ้าทางมลายูด้วย และ
ยังมีเมืองที่เขมร ลาว ล้านนา ไทยใหญ่ ซึ่งล้วนแล้วแต่ถ่วงดุลอ�านาจระหว่าง
อยุธยากับเวียดนาม จีน หรือพม่า คือมีความสัมพันธ์กับทุกๆ ศูนย์อ�านาจเหล่า
นี้เพื่อถ่วงดุลกัน
อยุธยารุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งในฐานะเป็นเมืองท่าเปดเชื่อมเส้นทางการค้า
ระหว่างด้านตะวันออกและตะวันตก ไปทางตะวันออกนั้น โตกุกาวาที่ญี่ปุ่น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
#
!"
$ !
%&$'
(
$
$ &$
$)
' $
(
$
+!
*'
$
! (
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ๑ พระรำชวังหลวงที่กรุงศรีอยุธยำสมัยพระเจ้ำปรำสำททอง
สังคมอยุ ยาตอนปลาย
ในสมัยของการพาณิชย์นี้กษัตริย์อยุธยามีอ�านาจเป็นที่สุด เนื่องจาก
ร�่ารวยด้วยก�าไรจากการค้า มีทหารรับจ้างช่วยรักษาความปลอดภัย และมีผู้
เชี่ยวชาญจากหลายประเทศช่วยการงานต่างๆ กษัตริย์ได้รับก�าไรสูงสุดจากการ
ผูกขาดการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนั้นยังมีรายได้จากภาษีที่เพิ่มขึ้นเพราะ
ว่าเศรษฐกิจภายในประเทศขยายตัว ค่าใช้จ่ายด้านการสงครามก็ลดลง ทรง
ใช้ทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นลงทุนสร้างพระราชวังใหม่ๆ ที่อลังการอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
อีกทั้งพระอารามหลวงแห่งใหม่และที่ปฏิสังขรณ์ใหม่ จัดให้มีเทศกาลต่างๆ ที่
เลื่องลือ และเมื่อกีย์ ตาชาร์ด บาทหลวงนิกายเจซูอิตจากฝรั่งเศส เดินทาง
มาอยุธยาและได้ไปเยี่ยม วัดพระศรีสรรเพชญ์ เมื่อ พ.ศ. ๒๒๓๐ เขาอุทานว่า
“ไม่เห็นอะไรอย่ำงอื่นเลย นอกจำกทอง...ตื่นตำตื่นใจอย่ำงเหลือแสนเมื่อเห็นรูป
เคำรพเพียงชิ้นเดียวที่ลำ�้ ค่ำยิ่งกว่ำสินทรัพย์ในโบสถ์ทั้งหมดของยุโรป” ๒ บรรดา
ขุนนางใหญ่เมื่อไม่ต้องท�าสงคราม ก็เอาเวลาและพละก�าลังไปคล้องช้าง ล่าเสือ
แข่งเรือ และประลองฝีมือสัประยุทธ์ต่างๆ ราชส�านักฟื้นฟูและส่งเสริมการแต่ง
กาพย์ โคลง กลอน และศิลปะการแสดง ที่ยกย่องเชิดชูชัยชนะและกามกรีฑา
ของพระมหากษัตริย์และเทวา
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
กูลขุนนางอาจจะเขยิบฐานะของตนโดยถวายบุตรสาวให้เป็นบาทบริจาริกา ด้วย
ความหวังว่าบุตรสาวจะได้เป็นสนมคนโปรดของกษัตริย์และมีบทบาทส�าคัญใน
การเมืองราชส�านักอันซับซ้อน สถานะของขุนนางระดับต่างๆ ดูได้จากเครื่อง
ประกอบยศ มักเป็นหีบหมากและของมีค่าแบ่งเป็นหลายระดับ บางครั้งขุนนาง
ชั้นสูงจะได้รับข้าทาส ที่ดิน และผลผลิตบนที่ดินนั้นๆ ด้วย ขุนนางอวดโอ่
แสดงสถานะของตนในที่สาธารณะพร้อมกับแสดงหีบหมำกประจ� ำต�ำแหน่ง
และขบวนของข้ำทำสบริวำรไปตามถนน ขุนนางมีรายได้จากสิ่งของพระราช
ทานเหล่านี้ รวมทั้งแสวงหารายได้ที่มาจากต�าแหน่งทางการของตน โดยชัก
เปอร์เซ็นต์จากภาษีที่เก็บให้หลวงหรือจากค่าปรับ หรือจากรับสินบน
สมัยสงคราม ชายฉกรรจ์ทุกคน (รวมทั้งผู้หญิงบางคน) ที่ไม่ใช่ขุนนาง
ถูกเกณฑ์แรงงานหรือถูกน�ามาเป็นคนรับใช้ภายใต้ระบบที่รับมาจากกลุ่มชนชาว
ไทที่เคยตั้งถิ่นฐานบนภูเขา ไพร่ส่วนใหญ่ต้องลงชื่อในบัญชี อยู่ภายใต้การดูแล
ของนายหรือมูลนาย หากผู้ใดหลีกเลี่ยงก็จะไม่ได้รับการคุ้มครองของนาย และ
สูญเสียสิทธิต่างๆ เช่น สิทธิในการเข้าถึงศาลเมื่อเกิดคดีความ ไพร่ถูกเกณฑ์
มาท�างานเป็นระยะๆ เช่น เดือนเว้นเดือน หรือครั้งละครึ่งปี
เมื่อการสงครามเบาบางลง แรงงานเกณ ์จะถูกใช้ท�างานอย่างอื่น
เช่น สร้างวัดและวัง หามเสลี่ยง พายเรือ หรือแบกหามของขึ้นลงเรือส�าเภา
กษัตริย์และขุนนางผู้ใหญ่ควบคุม และบางทีก็แก่งแย่งแรงงานเกณ ์เหล่านี้
ระหว่างกันเอง วิถีปฏิบัติของอยุธยาเป็นแบบอย่างให้เมืองอื่นๆ ลอกเลียน
เชลยสงครำมไม่ต้องเข้าเกณฑ์ และมีสถานะเช่น ทำส ไพร่อาจขาย
ตัวเองเป็นทาส หรือถูกบังคับให้เป็นทาสเพราะเป็นหนี้หรือถูกท�าโทษ หัวหน้า
ครอบครัวอาจขายเมียหรือลูกให้เป็นทาส ฐานะเป็นทาสเป็นระบบสืบทอด ลูก
ทาสก็เป็นทาส ทาสมีราคาซื้อขายหรือไถ่ตัวได้ ระบบควบคุมแรงงานนี้ครอบ
คลุมมาก จนพ่อค้ายุโรปไม่อาจหาลูกจ้างได้นอกเสียจากว่าจะขอความร่วมมือ
จากขุนนางให้ช่วย และไม่อาจหาคนงานรับจ้างได้เลย หากทางการก�าลังเกณฑ์
คนเป็นทหารเพื่อการสงคราม หรือเพื่องานโยธาขนาดใหญ่
บทบาทของผู้หญิง ผู้ชาย แตกต่างกันไปตามสถานะทางสังคม ใน
บรรดาสามัญชน ผู้หญิงจะท�างานเต็มก�าลัง ชาวต่างชาติที่เข้ามาเยือนสยามทั้ง
จีนเมื่อสมัยอยุธยาตอนต้น ไปจนถึงฝรั่งเศสและเปอร์เซียเมื่อแผ่นดินพระ
นารายณ์ และชาวอังกฤษเมื่อสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ล้วนตั้งข้อสังเกตว่า
“กำรงำนส่วนให ่นั้นผู้ห ิงเป็นคนท� ำเสียทั้งสิ้น” บางคนอธิบายว่า นี่เป็น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ๒ ริม ังแม่น�้ำ กรุงศรีอยุธยำสมัยพระเพทรำชำ
(สมุดรำยวันของเอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ Engelbert Kaempfer)
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
คลาคล�่าไปด้วยเรือขนส่งผลผลิตจากลุ่มน�้าเจ้าพระยา ราชส�านักเพิ่มจ�านวน
เหรียญตราที่ใช้กัน ออกกฎหมายก�ากับสัญญาการค้า เชื้อเชิญเจ้าภาษีนายอากร
ให้ประมูลเก็บภาษี ที่ดินมีราคาซื้อขายกัน สินค้าน�าเข้า เช่น ผ้า เครื่องปั้น
ดินเผา เครื่องแก้ว สินค้าเหล็ก มีคนต้องการมาก
การปล้นสะดมเพิ่มขึ้น จึงเกิด “ไพร่มั่งมี” คือไพร่ร�่ารวยก่อตัวขึ้น
ติดสินบนขุนนางเพื่อให้ได้ต�าแหน่งและยศถาบรรดาศักดิ์อยู่เนืองๆ ที่เมือง
หลวง การค้าท�าให้ขุนนางร�่ารวยและมีอ�านาจมากขึ้น จึงเริ่มสั่นคลอนระเบียบ
สังคมที่กษัตริย์เคยควบคุมได้
การท�าสงครามเพื่อสืบราชสมบัติเกิดขึ้นน้อยลง และมักจะจ�ากัดอยู่ใน
กลุ่มพระราชวงศ์ ดังนั้น ขุนนางจึงไม่เสียหายมาก ตระกูลใหญ่ไม่กี่ตระกูล
มีโอกาสสะสมไพร่และทรัพย์สินหลายชั่วอายุคน บ้างก็เป็นครอบครัวท้องถิ่น
บ้างก็มาจากตระกูลพราหมณ์ที่เชี่ยวชาญด้านพิธีกรรมในราชส�านัก บ้างเป็นตระ
กูลนักรบเชื้อสายมอญซึ่งลี้ภัยมา นอกจากนั้นยังมีตระกูลพ่อค้า ชาวเปอร์เซีย
และจีน ทีละน้อยๆ ตระกูลอภิสิทธิ์ชนเริ่มแสวงหามิเพียงแต่ความก้าวหน้าของ
พวกเขา แต่ยังพยายามจ�ากัดอ�านาจของกษัตริย์ เมื่อถึงเวลาที่จะแย่งชิงกันสืบ
ราชสมบัติ ขุนนางที่ต่างจังหวัดบางคนเป็นขบถ แต่ไม่มีใครคุกคามเมืองหลวง
ได้จริงๆ กลุ่มชาวนาที่อยู่ไกลปืนเที่ยงและอ�านาจรัฐบางทีก็รวมตัวกัน แล้ว
เคลื่อนขบวนเข้าโจมตีเมืองหลวงแต่ก็จะสู้ปืนใหญ่ไม่ได้ การต่อต้านอ� านาจ
กษัตริย์ที่ไม่โจ่งแจ้งก็มี เห็นได้จากวิถีปฏิบัติทางพุทธศาสนา
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
สมัยที่มีการรบพุ่งอยู่ตลอดเวลา พระสง ์วิจารณ์เจ้าในกรณีที่เรียก
เก็บภาษีสูง เกณ ์ผู้คนไปท�าสงครามแม้แต่ในช่วง ดูท�านา ฉุดฉวยผู้หญิง
หรือยึดทรัพย์สินไปตามใจชอบ ่าสัตว์เพื่อความสนุก ดื่มสุราเมามาย หรือ
ไม่ก็มีพ ติกรรมเลวร้ายเป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับ ราวาส ส�านักสงฆ์ใหญ่บาง
แห่งบันทึกพงศาวดารมีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์เจ้าเป็นรายๆ ไป และเขียนสดุดี
เจ้าที่ปกป้องเมืองจากผู้รุกรานด้วยความเชี่ยวชาญ ปกครองประชาชนด้วยความ
เที่ยงธรรม มีความเมตตากรุณาเห็นอกเห็นใจ และแน่นอนว่าให้ความค�้ าจุน
พระพุทธศาสนาและพระสงฆ์ ผลของกระบวนการต่อรองที่ละเอียดอ่อนดัง
กล่าวจึงเกิดหลักการ “ธรรมราชา” คือเจ้าที่ปกครองตามหลักธรรมหรือค�าสอน
ของพระพุทธเจ้า ตามแบบอย่างของจักรพรรดิอินเดียคือพระเจ้ำอโศกมหำรำช
ในพงศาวดารไทย ตัวแบบธรรมราชาคือ “เจ้า” ของสมัยสุโขทัย โดยกษัตริย์
องค์ท้ายๆ ใช้ธรรมราชาเป็นชือ่ ของพระองค์
หลังราวๆ ปี พ.ศ. ๒๑๕๐ พุทธศาสนาแนวเถรวาทได้รับความนิยมสูง
มีการสร้างวัดใหม่ๆ เป็นจ�านวนมาก ทั้งนี้อาจเกี่ยวเนื่องกับที่การค้าขยายตัว
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ด้วยพระมหำกษัตริย์มิได้ทรงทศพิธรำชธรรม์ จึงเกิดเข็ เป็นมหัศจรรย์สิบหกประกำร
คือเดือนดำวดินฟำจะอำเพศ อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศำน
มหำเม จะลุกเป็นเพลิงกำ เกิดนิมิตพิสดำรทุกบ้ำนเมือง
-----
กระเบื้องจะเฟองฟูลอย น�้ำเต้ำอันลอยนั้นจะถอยจม
-----
กรุงศรีอยุธยำเขษมสุข แสนสนุกยิ่งล�้ำเมืองสวรรค์
จะเป็นเมืองแพศยำอำธรรม์ นับวันจะเสื่อมสู เอย
เสียกรุง
เปรียบเหมือนหนึ่งช้างสารที่สู้กัน บรรดาพืชพรรณไม้แล
ใบหญ้าที่เกิดขึ้นตามพื้นแผ่นดินก็มีแต่จะแหลกละเอียดย่อยยับไป
...เพราะฉะนั้นให้ท่านทูลเจ้านายของท่านให้ยอมท�าไมตรีเป็นทอง
แผ่นเดียวกันเสีย... เท่ากับ ว่าพระเจ้าแผ่นดินทั้งสองประเทศมี
พระทัยประกอบด้วยพระกรุณาไพร่ฟ้าประชาชนมิให้เดือดร้อน๖
กษัตริย์อยุธยาตระหนักดีว่าไม่สามารถเกณฑ์ทหารได้พอเพียง จึงได้
สร้างก�าแพงให้สูงขึ้น ขยายคูเมืองให้กว้างขึ้น และซื้อปืนประเภทต่างๆ เป็น
จ�านวนมาก จนพม่าเองงวยงงไปเมื่อพบปืนเหล่านี้สะสมอยู่ในคลังสรรพาวุธ
หลังกรุงแตก ยุทธศาสตร์ป้องกันเมืองดังที่ว่ามานี้ ยันศัตรูไว้ได้เพียงฤดูกาล
เดียวเท่านั้น ระหว่างที่รอให้น�้าหลากจากลมมรสุมประจ�าปี เพื่อสลายการโอบ
ล้อมซุ่มโจมตี
แต่พม่ายกทัพมาถึง ๓ ทัพ รวมกันแล้วจึงเป็นกองทัพที่ใหญ่มากกว่า
ครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์ช่วงนั้น กองทัพพม่าตั้งค่ายนอกเมืองอยุธยาใน
บริเวณวัดที่สร้างอยู่บนเนิน จึงตั้งมั่นอยู่ได้กว่า ๒ ปีแม้จะมีปัญหาน�้ าท่วม
ดังนั้น ข้าวปลาอาหารในเมืองจึงร่อยหรอ ท�าให้ผู้คนจ�านวนมากหลีกหนีออก
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ไปแบบเงียบๆ ก�าแพงเมืองพังทลายลงเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๓๑๐ พงศาว
ดารพม่าจารึกว่า “ดังนั้นเมืองจึงถูกท�ำลำย” ๗
เปาหมายของพม่านั้นไม่ต้องการบังคับให้อยุธยาเป็นประเทศราชส่ง
บรรณาการ แต่ต้องการก�าจัดไม่ให้เป็นคู่แข่ง การท�าลายนั้นจึงมุ่งไปที่ทุกสิ่ง
ไม่ใช่แต่เพียงถาวรวัตถุ แต่รวมถึงผู้คน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ และต�ารา
ต่างๆ อะไรที่เคลื่อนย้ายได้ก็จะเอาไปไว้ที่อังวะ ซึ่งการกวาดต้อนและยึดของ
ทั้งหลายนั้นรวมทั้งกลุ่มขุนนาง ช่างฝีมือ พระพุทธรูป หนังสือ ต� ารา และอาวุธ
ตามที่มีจารึกไว้นั้น กวาดสมาชิกพระราชวงศ์ไปถึงสองพันคน อะไรที่เอาไป
ไม่ได้ก็ท�าลายเสียสิ้น พังก�าแพงและระเบิดคลังสรรพาวุธเสียราบเรียบ วังและ
วัดที่เคยเป็นสัญลักษณ์ของอยุธยาในฐานะเป็นศูนย์กลางของกษัตริย์และศาสนา
ถูกท�าลายจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน๘
การสู้รบด�าเนินต่อไปกว่า ๔๐ ปี บริเวณรอบๆ อยุธยาแทบจะปลอด
ผู้คนอย่างสิ้นเชิง การโจมตีนั้นเริ่มแรกมาทางล้านนา ระหว่างทางก็จับเชลย
เผาเอาทอง และหาเสบียงกรัง นอกจากนั้น การโจมตีของพม่าใน พ.ศ. ๒๓๑๕
๒๓๑๗ และ ๒๓๑๙ สร้างความหายนะแก่ล้านนามากเสียจนเชียงใหม่ถูกทิ้ง
เป็นเมืองร้าง และบริเวณกว้างด้านทิศเหนือของเมืองก็มีผู้คนอพยพออกไปเป็น
จ�านวนมาก พ.ศ. ๒๓๒๘-๒๕๒๙ พม่ากลับมาโจมตีอีก คราวนี้น�าทัพมากว่า
หนึ่งแสนคน แบ่งเป็นเก้ากอง (สงครามเก้าทัพ) ด้านเหนือสุดที่เข้ามาคือที่ล้านนา
ด้านใต้สุดที่เข้ามาคือระนอง ทัพผ่านไปที่ใดก็สร้างความหายนะเป็นบริเวณ
กว้างขวาง พิษณุโลกและหัวเมืองเหนืออื่นๆ ถูกทิ้งร้าง
ท้ายที่สุดพม่าถูกไล่ออกไปจากล้านนาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๕ ถึง ๒๓๔๗
แต่เชียงใหม่ถูกท�าลายจนมีสถานะเพียงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง และบริเวณภาคเหนือ
นี้ก็ไม่ได้มีผู้คนกลับมาอาศัยอยู่ดังเดิมจนถึงทศวรรษ ๒๔๑๐ ทางใต้นั้นการ
รบพุ่งกับพม่าเป็นครั้งคราวด�าเนินไปจนถึง พ.ศ. ๒๓๖๒ ฝรั่งผู้มาเยือนนคร
ศรีธรรมราชคนแรกใน พ.ศ. ๒๓๖๙ บอกว่า เมืองนี้ “ดูเสมือนจะไม่ได้ฟ น”
จากสงครามกับพม่าเลย และ “มีคนน้อยมำก กำรค้ำก็ไม่ค่อยมี ทรัพยำกรต่ำง
ก็ไม่ค่อยมีเสียเลย” ๙ แม้กระทั่งที่เมืองส�าคัญที่ราบลุ่มเจ้าพระยา เช่น ราชบุรี
ซึ่งถูกเผาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ นั้นก็ยังคงเป็นเมืองร้างอยู่จนถึง พ.ศ. ๒๓๔๓ บาง
ส่วนยังถูกทิ้งร้างอยู่จนถึงทศวรรษ ๒๔๒๐
60
50
ประชากร (ล้าน)
40
30
20
10
0
2343
2353
2363
2373
2383
2393
2403
2413
2423
2433
2443
2453
2463
2473
2483
2493
2503
2513
2523
2533
2543
2553
แผนภาพที่ ๑ ประมำ กำรประชำกรภำยในพรมแดนประเทศไทยสมัยใหม่
หมำยเหตุ : ประมำ กำรจ�ำนวนประชำกรสมัยต้นรัตนโกสินทร์นนั้ อิงกับ
ข้อมูลใน B. . Terwiel, Through Travellers’ Eyes : An Approach
to Early Nineteenth Century Thai History (Bangkok : E itions
uang Kamol, ) ส�ำหรับจ�ำนวนประชำกรจำกหลัง พ.ศ. ๒๔๔๔
ได้มำจำกส�ำมะโนประชำกรทุกสิบปี
สรุป
ภูมิทัศน์ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัจจุบัน คือภาพนาข้าวผืนใหญ่
ลายตาหมากรุก ไม่ได้บ่งบอกถึงสภาพภูมิศาสตร์ในอดีตแต่อย่างใด ในสมัย
นั้นภูเขาและที่ราบปกคลุมไปด้วยป่าไม้ ในแผ่นดินพระนารายณ์ อยุธยาส่ง
หนังกวางเป็นสินค้าออกถึงปีละประมาณสองแสนแผ่น บ่งบอกถึงความอุดม
สมบูรณ์ของป่าและสัตว์ป่า การตั้งถิ่นฐานของผู้คนกระจัดกระจายไป และอยู่
กันเป็นหย่อมๆ ตามชายฝั่งของระบบแม่น�้า สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ประ
ชากรที่อาศัยอยู่ ณ บริเวณที่มาเป็นประเทศไทยในปัจจุบันน่าจะมีอยู่เพียงหนึ่ง
ถึงสองล้านคน (แผนภาพที่ ๑)๑๐ ทางน�้าเป็นเส้นทางคมนาคมที่ดีที่สุด ดังนั้น
ระบบแม่น�้าจึงเป็นตัวก�าหนดความต่างด้านวัฒนธรรม พุทธศตวรรษที่ ๒๑
ใช้ภาษาไทยกันในบริเวณเจ้าพระยาตอนล่างแล้ว (ใช้กันมานานเท่าไรตรงนี้ไม่
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ชัดเจน) ความมั่งคั่งจากการค้าท�าให้อยุธยาเป็นเมืองส�าคัญของบริเวณนี้ แต่
การตั้ง ถิ่น ฐานที่อ ยู ่ ห ่ า งๆ กัน เป็ น หลัก ฐานบ่ ง บอกว่ า การเมือ งในแถบนี้ก็มี
ลักษณะกระจัดกระจาย กล่าวคือ แต่ละชุมชนใหญ่มีเจ้าผู้ปกครอง พร้อม
ทั้งมีวิถีการเมืองและประเพณีของตนเอง อยุธยาและเมืองคู่แข่งอื่นๆ ขยาย
อิทธิพลโดยชักจูงให้เจ้าเมืองอื่นๆ เข้าสวามิภักดิ์และส่งบรรณาการ ก่อนที่
อยุธยาจะเสียกรุงครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ นั้น อยุธยามีอิทธิพลเหนือเมือง
ต่างๆ ในลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างและมีอิทธิพลแบบหลวมๆ เหนือเจ้าลาวและ
เขมรไปทางตะวันออก และเหนือเมืองท่าตามบริเวณชายฝั่งทะเลไปทางใต้ของ
แหลมทองที่มีทั้งไทย-จีน-มลายูอาศัยอยู่
โครงสร้างสังคมก่อนสมัยใหม่ มีรากฐานอยู่ที่ความสัมพันธ์แบบนาย
กั บ บ่ า ว คื อ ชาวนาขึ้ น กั บ เจ้ า ครองเมื อ งในพื้ น ที่ ทาสขึ้ น กั บ นาย ไพร่ ขึ้ น กั บ
มูลนายซึ่งมีหน้าที่ก�ากับการเกณฑ์แรงงาน ขุนนางชั้นผู้น้อยขึ้นกับผู้อุปถัมภ์
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่และเจ้าประเทศราชสวามิภักดิ์กับกษัตริย์ และกษัตริย์ขึ้นกับ
จักรพรรดิจีน แต่ละระดับความสัมพันธ์เหล่านี้ ผู้น้อยต้องให้ของ (เป็นผลผลิต
หรือช่างมีฝีมือ) หรือแรงงานเพื่อตอบแทนที่ได้รับการปกป้องจากภัยผู้รุกราน
ส�าหรับเมืองธรรมดาๆ ล�าดับชั้นของสังคมไม่ซับซ้อนมาก แต่ที่เมืองใหญ่เช่น
อยุธยา กษัตริย์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่สะสมทรัพย์ศฤงคารจากการท�าสงคราม
การค้าขาย และสร้างระบบช่วงชั้นสังคมที่ซับซ้อนและลึกซึ้ง
การขยายตัวของการค้าขายในเอเชีย ท�าให้กษัตริย์อยุธยาสะสมความ
มั่งคั่ง สรรพาวุธ ทหารรับจ้าง และช่าง มือต่างๆ รวมทั้งเทคโนโลยีจากยุโรป
เปอร์เ ีย และจีน กษัตริย์สถาปนาอ�านาจให้มั่นคงและส�าแดงให้ได้รับรู้กันใน
ท้องถิ่นผ่านพิธีกรรม และใช้ทหารแผ่ขยายอ�านาจออกไป ึ่งบางครั้งก็ปะทะ
กับกษัตริย์เมืองอื่นที่ท�าเช่นเดียวกัน เช่น กับอังวะ เขมร และเวียดนาม
ช่วงเวลาร้อยปีสุดท้ายของแผ่นดินอยุธยา การขยายตัวของเศรษฐกิจ
พาณิชย์เริ่มกร่อนเซาะพระราชอ�านาจและการทหาร ชนชั้นสูงที่ก่อตัวขึ้นแสวง
หาวิธีปกป้องความมั่งคั่งจากรุ่นตัวไปสู่รุ่นลูกหลานต่อไป คนธรรมดาๆ ต่อต้าน
ที่ต้องท�างานให้กษัตริย์ขุนนางและสละชีวิตเพื่อการสงคราม การที่ศาสนาพุทธ
ได้รับความนิยมสูงขึ้นน่าจะสะท้อนความต้องการมีชีวิตของตนเอง ความกระ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
การเปลียนผ่านของระบอบ ังเ ิม
ทศวรรษ ๒๓๒
งทศวรรษ ๒๔
แม้ว่าพระนครศรีอยุธยาจะถูกท�าลายอย่างราบคาบ แต่ระบบการค้าและ
การปกครองแบบดั้งเดิมยังอยู่ในความทรงจ� า ยากที่จะลบเลือนไปได้ เมือง
หลวงแห่ ง ใหม่ ก ่ อ ตั ว ขึ้ น ทางด้ า นใต้ ข องแม่ น�้ า เจ้ า พระยา ณ บริ เ วณธนบุ รี -
กรุงเทพฯ เป็นชัยภูมิที่เหมาะกว่าเพื่อการค้าและป้องกันภัยจากศัตรู ชนชั้นน�า
เก่าถือว่า “กรุงเทพฯ” คืออยุธยาที่ถูกฟื้นฟูขึ้นใหม่ แต่ที่จริงต่างกันมาก ใน
ยุคสงครามครั้งนี้ อิทธิพลของกองทัพสยามขยายขึ้นไปทางเหนือ ใต้ และตะวัน
ออก เป็นอาณาบริเวณกว้างกว่าครั้งใดในอดีต เนื่องจากผู้คนถูกกวาดต้อนจาก
ที่ต่างๆ มาอยู่บริเวณลุ่มน�้าเจ้าพระยา ท�าให้บริเวณนี้คลาคล�่าไปด้วยผู้คนหลาก
หลายเชื้อชาติ ตระกูลขุนนางเก่าซึ่งรอดชีวิตจากสงครามเป็นกลุ่มผู้น�าส�าคัญ ณ
เมืองหลวงแห่งใหม่
ความเปลี่ยนแปลงส�าคัญเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การค้ากับจีนที่เฟื่องฟู
เมื่อสมัยอยุธยาตอนปลาย ยังคงด�าเนินต่อไปและยิ่งเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจเพื่อการ
ค้าขยายตัวอย่างรวดเร็ว ณ ที่ราบลุ่มเจ้าพระยาตลอดลงไปถึงแหลมมลายู โดย
มีผู้ประกอบการและแรงงานชาวจีนเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ความเติบโตของ
เศรษฐกิจเพื่อการค้าสร้างสังคมใหม่ และได้ท�าให้ทัศนคติและวิธีคิดของชนชั้น
น�าเปลี่ยนไปด้วย ฝรั่งกลับเข้ามาติดต่ออีก และน�าเอาความคิดเรื่อง “ความ
เจริญ” เข้ามา อีกทั้งแรงคุกคามของเจ้าอาณานิคม บ่งบอกแนวโน้มสู่ยุคของ
ความเปลี่ยนแปลง
จากอยุ ยา งกรุงเทพ
หลังเสียกรุงครั้งที่ ๒ ได้ไม่นาน กลุ่มก๊วนใหม่ๆ หลายกลุ่มก่อตัวขึ้น
พระเจ้าตากสินพุ่งขึ้นเป็นผู้น�าที่เข้มแข็งที่สุด ก�าเนิดของพระเจ้าตากสินมีความ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
คลุมเครือ น่าจะเป็นบุตรชายของจีนอพยพเชื้อสายแต้จิ๋ว มีอาชีพเป็นนักพนัน
หรือไม่ก็พ่อค้า มีพระมารดาเป็นคนไทย พระเจ้าตากสินคงจะมีอาชีพเป็นนาย
เกวียนค้าขายตามหัวเมือง แล้วติดสินบนข้าราชการจนได้เป็นเจ้าเมืองตากไกล
โพ้น ไม่ได้มาจากตระกูลเจ้าที่มีสิทธิเป็นผู้ปกครอง แต่เป็นผู้น�ามีพรสวรรค์ดึง
ดูดใจคนจ�านวนมากได้ ทรงรวบรวมสมัครพรรคพวกจากบรรดาพ่อค้าจีน นัก
เสี่ยงโชค และขุนนางระดับล่าง แล้วจึงตั้งเมืองหลวงใหม่ที่ “ธนบุรี” เป็นบริเวณ
ล้อมรอบด้วยบึงแต่เหมาะส�าหรับการป้องกันตัวจากศัตรู และยังอยู่ตรงกันข้าม
กับชุมชนจีนที่ท�าการค้ามานานที่บางกอก ทรงใช้เส้นสายกับพ่อค้าจีนน� าเข้า
ข้าวเพื่อประทังชีวิตในบริเวณที่เสียหายมากๆ และเริ่มฟื้นฟูการค้าเพื่อหาราย
ได้เข้าคลัง ทรงน�าเอาประเพณีกษัตริย์ชายชาตินักรบและสังคมทหารกลับมา
โปรดให้สักข้อมือชายที่ถูกเกณฑ์ และทรงเข้าร่วมท�าสงครามในฐานะเป็นแม่ทัพ
พระเจ้าตากสินเป็นผู้น�ามีพรสวรรค์เฉพาะตัว เปดเผยในท�านองเดียว
กับผู้น�าแบบผู้มีบุญ ึ่งเคยก่อการกบฏที่อยุธยาแต่ก่อนเก่า นับว่าแตกต่างจาก
ระบบกษัตริย์ที่ล้อมรอบไปด้วยพิธีกรรมและความลี้ลับสมัยอยุธยาตอนปลาย
อย่างสิ้นเชิง
เมื่อการรบพุ่งเบาบางลง ผู้คนเริ่มกลับมาด�าเนินชีวิตปกติ ตระกูล
ขุนนางที่รอดมาได้นั้น มีเพียงไม่กี่รายพร้อมที่จะรับใช้ผู้ปกครองใหม่ซึ่งไม่ได้
มาจากวงศ์เจ้า ต่อมาพวกเขาถูกกีดกันออกไป เพราะว่าพระเจ้าตากสินถูก
ห้อมล้อมด้วยนักเสี่ยงโชค นักรบ ซึ่งต่างได้รับบ�าเหน็จความชอบที่ได้ช่วยเหลือ
พระองค์มาตั้งแต่ต้นให้ได้ต�าแหน่งสูงทั้งที่เมืองหลวงและที่หัวเมือง ข้อยกเว้น
ก็พอมี เช่น “นำยบุ มำ” ที่มาจากตระกูลขุนนางมอญเก่า ต่อมาบุญมาน�าพี่ชาย
คือ “นำยทองด้วง” เข้ามารับราชการด้วย พี่น้องทั้งสองกลายเป็นแม่ทัพเอก
ของพระเจ้าตากสิน ตระกูลขุนนางเก่าอื่นๆ ยอมรับนายทองด้วงเป็นผู้น�าของ
กลุ่ม แต่พวกเขาไม่พอใจที่ถูกกีดกันออกไปจากต�าแหน่งส�าคัญ อีกทั้งไม่ค่อย
จะยอมรับพระเจ้าตากสินเพราะว่าทรงมีพื้นเพเป็นสามัญชน มีนักเสี่ยงโชคเป็น
พวก และปฏิบัติตนแตกต่างจากระบบเจ้าที่พวกเขาเคยคุ้นเคย พวกเขารับไม่
ได้ เมื่อพระเจ้าตากสินทรงอ้างว่ามีอ�านาจอภินิหาร และทรงยกย่องพระองค์
เองเหนือกว่าพระสงฆ์ เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ ขุนนางเก่าเหล่านี้ก่อการ
รัฐประหารและปลงพระชนม์พระเจ้าตากสิน ด้วยเหตุผลที่ว่าทรงเสียพระสติ
ต่อจากนั้นได้ก�าจัดพระญาติและผู้สนับสนุน แล้วจึงสถาปนานายทองด้วงเป็น
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอด าจุ าโลก แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งค�าว่า “จักรี”
การ ผ่ขยาย ิน น
สังคมทหารที่ก่อตัวขึ้นมาใหม่ เริ่มแรกเป็นไปเพื่อปกป้องตนเอง แต่
ผลที่ตามมาคือกรุงเทพฯ แผ่ขยายอิทธิพลเหนือดินแดนอื่นๆ เป็นอาณาบริเวณ
กว้างไกลกว่าที่เคยเป็นมา
ทางด้านทิศเหนือและใต้ ทัพสยามปราบปรามเมืองต่างๆ ซึง่ ระส�่าระสาย
เพราะพม่ารุกราน และสยบให้เป็นเมืองประเทศราชส่งบรรณาการแก่กรุงเทพฯ
หลังจากนั้นจึงมุ่งแผ่ขยายอิทธิพลไปทางด้านทิศตะวันออก
ก่อนเสียกรุง อยุธยาเป็นเจ้าประเทศราชเหนือเมืองท่าต่างๆ ที่แหลม
มลายู แต่ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับเมืองท่าเหล่านี้ก็เป็นไปแบบหลวมๆ
เท่านั้น นับจากกลางสมัยอยุธยา (คริสต์ศตวรรษที่ ๑๖ ราวๆ สมัยพระมหา
จักรพรรดิ) มานั้น บริเวณทางใต้มีผู้คนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และทวีความส�าคัญขึ้น
ชาวมาเลย์ที่เคยอยู่ตามเกาะต่างๆ อพยพหนีชาวดัตช์เข้ามาตั้งหลักแหล่งที่
แหลมมลายูมากขึ้น พ่อค้าจีนที่ไม่พอใจการควบคุมการค้าที่จีนก็เข้ามาตั้งหลัก
แหล่งตามเมืองท่า ท�าให้การผลิต “ดีบุก” และการปลูก “พริกไทย” ขยายตัวได้
อยุธยาจึงเริ่มใส่ใจที่จะเข้าควบคุมแหลมมลายูและทรัพยากรมีค่าเหล่านี้ โดย
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ใช้นครศรีธรรมราชให้เป็นเมืองหน้าด่าน และส่งกองเรือลงไปก�ากับดูแล แต่
ก็ไม่ได้ประสบความส�าเร็จเท่าที่หวัง หลังจากเสียกรุงแล้ว ทั้งพระเจ้าตากสิน
และพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกส่งกองทัพลงใต้ เจ้าเมืองใต้ให้การต้อนรับอย่าง
อบอุ่น สยามจึงสถาปนาอิทธิพลเหนือเมืองต่างๆ ไปถึง “เคดาห์” (ไทรบุรี) และ
“ตรังกานู”
ความพยายามขับไล่พม่าออกไปยังท�าให้สยามแผ่ขยายอิทธิพลไปกว้าง
ไกลกว่าเดิมในบริเวณทางด้านเหนือและด้านทิศตะวันออก เชียงใหม่ตกเป็น
เมืองขึ้นของพม่าตั้งแต่ พ.ศ. ๒๑๐๑ ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๑๓-๒๓๔๗ พระเจ้า
ตากสินและพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ช่วยให้เจ้ากาวิละ ขับไล่พม่าออกไป
และสถาปนาเชียงใหม่ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เจ้าที่ครองเชียงใหม่หลังจากที่เจ้ากาวิละ
ถึงแก่พิราลัย ยังส่งบรรณาการให้กรุงเทพฯ แม้ว่าจะไม่พอใจนัก พระเจ้า
ตากสินโจมตีได้เมืองเวียงจันทน์ แล้วจับราชบุตรของเจ้าลาวลงมาเป็นตัวประกัน
ที่กรุงเทพฯ ทั้งยังเผาเมืองหลวงของเขมรเป็นจุณ และทรงแต่งตั้งเจ้าองค์ใหม่
ให้เป็นหูเป็นตาแทนกรุงเทพฯ ทรงน�าเอาระบบบรรณาการแบบเดิมเหนือเมือง
ขึ้นเหล่านี้มาใช้อีก โดยบังคับให้ส่งของป่าเป็นส่วยแก่กรุงเทพฯ เพื่อขายเป็น
สินค้าออกไปยังจีน
ครั้น พ.ศ. ๒๓๔๗ กรุงเทพฯ ก็สามารถหยุดยั้งอิทธิพลพม่าได้ส�าเร็จ
แต่กรุงเทพฯ ยังคงแผ่ขยายแสนยานุภาพด้านการทหารต่อไปอีกหลายทศวรรษ
จากปลายรัชกาลที่ ๒ (พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๓๖๗) เริ่มจะควบคุมบริเวณที่ราบสูง
โคราชซึ่งยังมีประชากรเบาบางและยังมีทรัพยากรอุดม จึงต้องท� าสงครามกับ
เจ้าอนุวงศ์ที่เวียงจันทน์ ซึ่งก็ต้องการควบคุมทรัพยากรดังกล่าวเช่นกัน พ.ศ.
๒๓๗๐-๒๓๗๑ กองทัพสยามท�าลายเวียงจันทน์และราชวงศ์ลาวจนราบคาบ
ท�านองเดียวกับที่พม่าท�ากับอยุธยาเมื่อ ๖๐ ปีที่แล้ว เชลยลาวถูกกวาดต้อนมา
ตั้งรกรากอีกฟากแม่น�้าโขง ท�าให้อีสานส่งส่วยของป่าให้กับกรุงเทพฯ ได้มากขึ้น
ในท�านองเดียวกัน กรุงเทพฯ แผ่ขยายอิทธิพลไปที่เขมร และปี ๒๓๗๖
รัชกาลที่ ๓ (พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔) ส่งกองทัพสยามไปตีเอาดินแดนเขมร๒ โปรด
ให้แม่ทัพ “คิดอ่ำนจัดกำรตีเมืองเขมรมำขึ้นกรุงเทพ ให้ได้เหมือนอย่ำงแต่
ก่อน ถ้ำไม่ได้มำขึ้นก็ให้ท�ำลำยล้ำงเมืองเขมรให้เป็นปำให้เหลือแต่แผ่นดินกับ
ภูเขำแม่น�้ำล�ำคลองเท่ำนั้น กวำดต้อนน�ำครอบครัวมำใส่บ้ำนเมืองไทยเสียให้หมด
อย่ำให้เหลือเลย ให้ท�ำให้เมืองเขมรเหมือนกับเมืองเวียงจันทน์ครั้งเจ้ำอนุนั้นก็
เป็นกำรดีเหมือนกัน” ๒
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ตระกูลขุนนาง หญ่ ละกษัตริย์พุท มามกะ
ตระกูลขุนนางอยุธยาเก่า ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นชนชั้นสูงที่กรุงเทพฯ
ได้ส�าเร็จ
หลังจากที่อยุธยาถูกท�าลายไปเมื่อปี ๒๓๑๐ นั้น มีผู้ตั้งตัวเป็นใหญ่
ตามชุมชนต่างๆ ประหนึ่ง “รัฐธรรมชาติ”๔ ผุดขึ้นทั่วไปเป็นดอกเห็ดตามหัว
เมืองต่างๆ พวกหัวหน้าหรือผู้น�าแก๊งก๊วนเหล่านั้น บ้างก็เป็นพ่อค้า บ้างก็เป็น
นักเสี่ยงโชค บ้างก็เป็นขุนนางเก่า และยังมีพระที่มีพรสวรรค์พิเศษดึงดูดผู้คน
ได้ พระเจ้าตากสินทรงบดขยี้ทุกคนที่ตั้งตัวเป็นใหญ่แล้วท้าทายพระองค์ แต่
ทรงสนับสนุนและให้ยศถาบรรดาศักดิกับผู้น�าท้องถิ่นใดที่เข้ามาสวามิภักดิ
โดยจะไม่เข้าไปแทรกแ งกิจการภายในของผู้นา� เหล่านี้มากนัก กษัตริย์องค์
แรกๆ ของราชวงศ์จักรีใช้กลยุทธ์ท�านองเดียวกันนี้ แม้ว่าจะมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง
ตระกูลเจ้าเมืองในเขตหัวเมืองเหล่านี้ มิช้ามินานก็กลายเป็นระบบตกทอดสู่ลูก
หลาน ตัวอย่างเช่นที่ราชบุรี ตระกูลวงศำโรจน์ ผูกขาดต�าแหน่งเจ้าเมืองและ
ต�าแหน่งส�าคัญอื่นๆ อยู่เป็นเวลาเกือบ ๑๐๐ ปี จาก พ.ศ. ๒๓๕๕-๒๔๔๐ ที่
แหลมมลายู สองตระกูลที่ได้ช่วยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกท�าสงคราม สามารถ
รักษาต�าแหน่งเจ้าเมืองไว้ได้กว่าร้อยปี และยังส่งญาติไปครองเมืองอื่นๆ อีก
แม่ทัพซึ่งกรุงเทพฯ ส่งไปอีสาน และต่อมาได้รับต�าแหน่งเป็นเจ้าเมือง ก็ท�าการ
สืบทอดต่อไปถึงลูกหลานเหมือนกัน เจ้าเมืองทั้งหลายนี้สวามิภักดิ์กับกรุงเทพฯ
แต่ก็มีอ�านาจและปฏิบัติตัวเสมือนดั่งกษัตริย์องค์น้อยๆ สร้างวัด แต่งตั้งเจ้า
อาวาส เป็นประธานในการประกอบพิธีกรรมส� าคัญ กะเกณฑ์ผู้คนมาใช้ และ
ผูกขาดการค้า แม้แต่เมืองใหม่ๆ ที่ไม่ส�าคัญนักที่อีสาน เจ้าเมืองก็ท�าตัวเสมือน
เป็น “กษัตริย์องค์น้อย”๕ เช่นกัน
ที่กรุงเทพฯ ก็คล้ายกัน ตระกูลขุนนางใหญ่เพิ่มพูนอ� านาจขึ้น พ.ศ.
๒๓๑๐ และ พ.ศ. ๒๓๒๕ เป็นจุดเปลี่ยนของพระราชวงศ์ พระพุทธยอด า
จุ าโลก ไม่ได้ทรงพยายามอ้างอิงถึงสายเลือดกษัตริย์เก่าในพระองค์ พระ
ราชวงศ์ใหม่สถาปนาขึ้นโดยกลุ่มตระกูลขุนนางซึ่งในช่วงศตวรรษก่อนหน้า
พยายามหาวิธีจ�ากัดควบคุมสถาบันกษัตริย์ เป็นที่น่าสังเกตว่า พระราชพิธี
ราชาภิเษกของพระพุทธยอด าจุ าโลก และกษัตริย์องค์ต่อๆ มา เริ่มต้น
ด้วยพราหมณ์สถาปนาองค์กษัตริย์ด้วยอ�านาจวิเศษของลัทธิพราหมณ์ หลัง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ขุนนางใหญ่ดูแลด้านการบริหารราชการแผ่นดิน พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมี
บทบาทสูงทั้งในฐานะกษัตริย์และในเรื่องการค้าขาย แต่พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
หวนกลับไปให้ขุนนางมีบทบาทและอ�านาจสูง แม้ว่าจะทรงมีพระราชปรารภเป็น
ครั้งคราวถึงว่า มีขุนนางน้อยมากซึ่งเข้าร่วมประชุมในคณะมนตรีของพระองค์
หรือเข้าร่วมในพระราชพิธีกรรมส� าคัญ การสืบราชสมบัติแต่ละครั้งมีความ
ตึงเครียดมากบ้างน้อยบ้าง เพราะว่ามีความเป็นไปได้เสมอว่าจะเกิดการพลิกผัน
เสมือนเหตุการณ์เมื่อปี ๒๓๑๐ หรือ ๒๓๒๕ ดังที่พระจอมเกล้าฯ ทรงแสดง
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ในพระราชสาส์นถึงนางแอนนา เลียวโนเวนส์
ใจความว่า “ผู้คนทั่วไปรวมทั้งคนพื้นถิ่นและชำวต่ำงชำติที่นี่ ดูเหมือนจะพอใจ
พระองค์และพระรำชวงศ์น้อยกว่ำ อีกทั้งมีควำมมุ่งหวังสูงกว่ำกับอีกครอบครัว
หนึ่ง” ๗
ตระกูลขุนนางใหญ่ๆ เพิ่มจ�านวนสมาชิกครอบครัวด้วยการมีภรรยา
หลายคน จะได้มีลูกชายที่มีพรสวรรค์มากพอที่จะจรรโลงตระกูลต่อไปในฐานะ
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และต้องมีลูกสาวมากพอที่จะไปแต่งงานกับครอบครัวชนชั้น
น�าอื่นๆ เป็นเครือข่ายความสัมพันธ์กัน พระราชวงศ์เป็นตัวอย่าง จ�านวนของ
พระราชโอรสและพระราชธิดาของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
๑ คือ ๔๒ (จาก ๒๘ พระมารดา) พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เจ้าอยู่หัวรัชกาล
ที่ ๒ คือ ๗๓ (๔๐ พระมารดา) พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ คือ ๕๑ (๓๗
พระมารดา) พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ คือ ๘๒ (๓๕ พระมารดา)
และพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ คือ ๗๗ (๓๖ พระมารดา) ตระกูล
อื่นๆ ด�าเนินรอยตาม
บาทหลวงปาลเลกัว ์ซึ่งพ�านักอยู่ที่กรุงเทพฯ จาก พ.ศ. ๒๓๘๑ จนถึง
พ.ศ. ๒๔๐๕ กล่าวว่า “ ‘เศรษฐี’ จ�ำนวนมำกมีภรรยำสองคน ขุนนำงอำจมีเป็น
โหล สำมสิบ สี่สิบ หรือมำกกว่ำนั้น” ๘ จ�านวนลูกสาวลูกชายที่มีกันก็น่าทึ่ง
ทีเดียว เช่น ต้นตระกูลไกร กษ์มีลูกหญิงชายถึง ๕๐ คน สองพี่น้องผู้น�าของ
ตระกูลบุนนาคซึ่งเป็นใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีลูกชายรวมกันถึง ๔๓ คน
ตระกูลขุนนางใหญ่เท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้ต้ังบ้านเรือนรอบๆ วังหลวง
สถานที่พ�านักดังกล่าวเปรียบเสมือนเมืองเล็กๆ นั่นทีเดียว ตระกูลบุนนาคได้
รับพระราชทานที่ดินผืนใหญ่สองฟากแม่น�้าที่ส�าเพ็ง จึงสร้างวัด ๓ แห่ง ขุดคลอง
และสร้างบ้านเรือนให้กับลูกหลานที่มีเป็นจ�านวนมาก พ่อค้าและช่างฝีมือพากัน
มาตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆ กับอ�านาจและผู้ที่จะอุปถัมภ์พวกเขาได้ เมืองหลวง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
พระเจ้าตากสิน โปรดให้คณะสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ช�าระพระไตรปิฎก พระคัมภีร์หลัก
ของพระพุทธศาสนา และโปรดให้เรียบเรียง “ไตรภูมิกถา” ขึ้นใหม่ ๒ ส�านวน
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงเห็นว่าไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ไม่ควรเป็น
พุทธแบบพิธีกรรมเท่านั้น แต่ “ให้รู้เนื้อควำมภำษำไทยในพระบำ ีนั้นจงทุก
สิกขำบท ข้อศีล ...ให้เข้ำใจในภำษำไทย” ๑๐ ดังนั้น จึงทรงก่อตั้งโรงเรียนสงฆ์
เสียใหม่ และโปรดให้แปลคัมภีร์หลายเล่มให้เป็นภาษาไทย ทรงตรากฎหมาย
ห้ามชนไก่และการผิดศีลอื่นๆ ดังที่อารัมภบทของกฎหมายอธิบายว่า “ทุกวันนี้
ตั้งพระทัยแต่จะท�ำนุบ�ำรุงพระวรพุทธศำสนำไพร่ฟำประชำกรให้อยู่เย็นเป็นสุข
ให้ตั้งอยู่ในคติธรรมทั้ง ๕ ด�ำรงจิตจตุรัสบ�ำเพ็ ศีลำทำน จะได้สู่คติภูมิมนุษย
สมบัตินิพพำนสมบัติเป็นประโยชน์แก่ตน” ๑๑ ขุนนางใหญ่น้อยต้องด�าเนินชีวิต
ตามครรลองของหลักจริยธรรมตามวัตรปฏิบัติของส�านักสงฆ์ ผนังวัดมีรูปวาด
ค�าสอนของพระพุทธเจ้า โดยส่วนมากมาจากเรื่องชาดกซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระ
พุทธเจ้าทรงบรรลุถึงเป้าหมายด้านจิตวิญญาณตลอด ๕๐๐ ชาติก่อนที่จะทรง
บรรลุถึงนิพพานได้อย่างไร พระชาติที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ “พระเวสสันดร”
พระชาติสุดท้ายที่บ่งบอกคุณธรรมของการบ�าเพ็ญทานบารมี กษัตริย์ทรงจัด
ให้มีการเทศน์มหาชาติ (เทศน์เรื่องพระเวสสันดร) ประจ�าปีที่วัดพระศรีรัตน
ศาสดารามหรือวัดพระแก้ว อันเป็นที่ประดิษฐาน “พระแก้วมรกต” พระคู่บ้าน
คู่เมือง และต่อมาทรงสนับสนุนการเทศน์มหาชาติทั่วพระราชอาณาจักร พิธีกรรม
นี้สั่งสอนหลักจริยธรรม และในขณะเดียวกันแสดงบุญญาธิการของกษัตริย์ใน
ฐานะพระโพธิสัตว์
จีนอพยพรุ่นแรก ส่วนใหญ่เกี่ยวโยงกับการค้าข้าวระหว่างสยามและ
จีนที่ก�าลังรุ่งเรือง ตามมาด้วยคนที่หลีกลี้ความยากจนและความวุ่นวายทางการ
เมืองที่จีนตอนใต้ จีนอพยพเข้ามาประมาณ ๗,๐๐๐ คนทุกปีในช่วงทศวรรษ
๒๓๖๐ เพิ่มขึ้นเป็น ๑๔,๐๐๐ คน ใน พ.ศ. ๒๔๑๓ หลังจากที่หาเลี้ยงชีพอยู่ที่
สยามได้สัก ๒-๓ ปี ประมาณครึ่งหนึ่งเดินทางกลับถิ่นก�าเนิด แต่พวกที่ตัดสิน
ใจตั้งถิ่นฐานในสยามนับรวมกันได้ถึง ๓๐๐,๐๐๐ คน เมื่อทศวรรษ ๒๓๙๐
ส่วนมากรับจ้างเป็นกุลีแบกหามของที่ท่าเรือและที่อื่นๆ ในกรุงเทพฯ บ้างก็
จับจองที่ดินบริเวณชายขอบของที่ราบลุ่มปากแม่น�้าเจ้าพระยาเพื่อปลูกผักขาย
ในเมือง
ประมาณราว พ.ศ. ๒๓๕๓ เริ่มมีคนจีนลงทุนปลูกอ้อย จนต่อมาเมื่อ
ทศวรรษ ๒๓๙๐ “อ้อย” ก็ได้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจส�าคัญของกรุงเทพฯ เป็น
วัตถุดิบผลิต “น�้าตาล” เพื่อส่งออก จีนอพยพบางส่วนล่องไปตามล�าแม่น�้าแล้ว
ตั้งรกรากตามเมืองต่างๆ เป็นเจ้าของร้านช�า เป็นพ่อค้าส่งพืชผลไปกรุงเทพฯ
เป็นเจ้าของโรงงานหีบน�้าตาล โรงเหล้า โรงเผาอิฐ อู่ต่อเรือ โรงงานบ่มใบยาสูบ
โรงงานเลื่อยไม้ และโรงงานตีเหล็ก ที่บริเวณรอบๆ อ่าวไทยเรื่อยลงไปทาง
แหลมมลายูนั้น เมืองท่าใหญ่น้อยมีคนจีนอยู่เป็นส่วนมาก บ้างก็เข้าไปตั้งรกราก
บนแผ่นดินลึกเข้าไปจากทะเลเพื่อปลูกยางพารา พริกไทย และท�าเหมืองดีบุก
ชาวจีนเป็นคนรุ่นแรกๆ ที่บุกเบิกเศรษฐกิจตลาด เช่น ที่สวรรคโลก ชาวจีนแคะ
น�าเบี้ยบ่อนท�าด้วยดินเผาเข้ามาใช้ จนกลายเป็น “เงินตราท้องถิ่น” รุ่นแรก
เจ้าสัว
ตระกูลเจ้าสัวจ�านวนหนึ่งรุ่งเรืองขึ้นมาโดยได้รับการอุปถัมภ์จากพระ
ราชวงศ์ พวกเขาเริ่มจากเป็นพ่อค้า แล้วช่วยกษัตริย์หรือขุนนางชั้นผู้ใหญ่ค้า
ขาย จากทศวรรษ ๒๓๗๐ หลายคนได้เป็นเจ้าภาษีนายอากร คือได้รับสัมปทาน
เก็บภาษีมีมูลค่าสูง ได้แก่ ภาษีรังนกเก็บจากเกาะชายฝั่งทะเลทางใต้ ภาษีสุรา
ฝิ่น และบ่อนการพนันในเมือง กษัตริย์ทรงให้ต� าแหน่งและราชทินนามท�าให้
สถานะของพวกเขาสูงส่งขึ้น ผู้ที่ประสบความส�าเร็จมากได้ต�าแหน่งโช ึก เป็น
หัวหน้าของชุมชนจีนที่เมืองหลวง ตระกูลเจ้าสัวใหญ่บางรายอพยพมาสยาม
ตั้งแต่สมัยอยุธยา เช่น ต้นตระกูลไกร กษ์ เริ่มแรกเป็นพ่อค้าเรือส�าเภาสมัย
พระเจ้าตากสินโปรดให้เป็นทูตไปเมืองจีน ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ดูแลการค้าต่างประเทศให้กับกษัตริย์ อีกหลายๆ ตระกูลเข้ามาสยามในช่วงที่
การค้าไทย-จีนขยายตัวในช่วงนี้ ตระกูลชั้นน�าจ�านวนมากเป็น “จีนฮกเกี้ยน”
และก็ยังมี “จีนแต้จิ๋ว” และ “จีนแคะ”
บางครอบครัวประสบความส�าเร็จสูง ก่อตั้งเป็นตระกูลใหญ่ สร้างเส้น
สายด้วยการถวายลูกสาวให้เป็นบาทบริจาริกาของกษัตริย์ หรือให้แต่งงานกับ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ตระกูลใหญ่ๆ ของกรุงเทพฯ และตระกูลพ่อค้าที่เป็นหุ้นส่วนการค้าที่เมืองจีน
และที่อื่นๆ บางตระกูลสามารถสืบทอดมิใช่แต่เพียงธุรกิจการค้าให้กับลูกหลาน
แต่ยังส่งต่อราชทินนามให้ลูกหลานอีกด้วย หัวหน้าตระกูล โชติกะพุกกะณะ
รุ่งเรืองขึ้นมาเพราะได้คุมเรือส�าเภาของกษัตริย์ไปค้ากับจีน ต่อมาได้เป็นโชฎึก
เมื่อทศวรรษ ๒๓๙๐ และลูกหลานอีก ๒ รุ่นได้สืบทอดเป็นโชฎึกเช่นกันอีก
๕๐ ปีต่อมา เจ้าสัวรับใช้กษัตริย์ในกิจการต่างๆ และนอกเหนือจากการค้าเรือ
ส�าเภาตระกูลโชติกะพุกกะณะน�าเข้าสินค้า เช่น เครื่องถ้วยชามตามค�าสั่งให้กับ
ในวัง และท�าหน้าที่เป็นผู้พิพากษาศาลพิเศษที่ตั้งขึ้นเพื่อช�าระความที่เกิดกับคน
จีนด้วยกัน บางคนเข้ารับราชการในกระทรวงต่างๆ ต้นตระกูลกัลยาณมิตร
นั้นได้ต�าแหน่งเป็นเสนาบดีดูแลการจดทะเบียนแรงงานเกณฑ์ และได้เป็นถึง
เจ้าพระยา ทศวรรษ ๒๓๙๐ ลูกหลานสองคนมีต�าแหน่งสูงถึงระดับเจ้าพระยา
เช่นกัน ในระยะต่อมา เทียน โชติกเสถียร พ่อค้าเรือส�าเภาให้กับกษัตริย์อีกราย
หนึ่งก็เข้ารับราชการ และช่วยก่อตั้งกระทรวงพระคลังสมัยพระจุลจอมเกล้าฯ
และบุตรชายคนหนึ่งได้ตามเสด็จเมื่อเสด็จประพาสอินเดียใน พ.ศ. ๒๔๑๔ (ดู
บทต่อไป)
ตระกูลจีนใหญ่เหล่านี้ยกระดับสถานภาพทางสังคมของตนเองได้เพราะ
ท�างานกับพระราชส�านัก แม้กระทั่งเจ้าสัวตระกูลใหญ่ที่สุดยังต้องอิงความอุปถัมภ์
ค�้าจุนจากสมาชิกของตระกูลเจ้านายชั้นสูงในพระราชวงศ์ จะต้องถวายของขวัญ
และจะได้รับราชทินนามที่สูงขึ้นๆ เป็นการตอบแทน พระจุลจอมเกล้าฯ ทรงพอ
พระทัยบุตรสาวของตระกูลพิศลยบุตรผู้หนึ่ง และโปรดให้น�ามาถวายตัวอยู่ใน
พระราชวังชั้นใน สองสามปีต่อมา พระญาติของพระเจ้าอยู่หัวสองพระองค์ทรง
มีพระชายาเป็นบุตรสาวจากตระกูลพิศลยบุตร ตระกูลเจ้าสัวอื่นๆ ก็สร้างสาย
สัมพันธ์กับสมาชิกพระราชวงศ์ในลักษณะเดียวกัน
ตระกูลเจ้าสัวเหล่านี้รุ่มรวยมหาศาล ค หาสน์ของตระกูลโชติกะพุกกะณะ
ตั้งอยู่บนเนื้อที่ ๑๐๐ ไร่ริม ังแม่น�้าเจ้าพระยา กษัตริย์ทรงชักจูงให้เจ้าสัวใช้
เงินลงทุนก่อสร้างและ ่อมแ มวัดไทยพุทธรวมทั้งศาลเจ้าจีน ให้ขุดคลองเพื่อ
ใช้เป็นเส้นทางเดินเรือเพื่อการค้า ในสมัยต่อมาที่ “ความเจริญ” เป็นประเด็น
แห่งยุคสมัย ทรงให้พวกเขาสร้างโรงพยาบาลและโรงเรียน
ตลอดรัชกาลที่ ๒ (พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๓๖๗) และโดยเฉพาะรัชกาลที่ ๓
(พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔) บทบาทจีนอพยพในสังคมเมืองหลวง สะท้อนให้เห็น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ครอบครัวของเจ้ำสัวสมัยรัชกำลที่ ๕
เศรษฐกิจตลาดที่รุ่งเรืองและกลุ่มสังคมใหม่ๆ ส่งผลให้เกิดวิธีคิดแบบ
ใหม่ๆ ปลายสมัยอยุธยาก็มีคนหยิบมือหนึ่งซึ่งเกี่ยวพันกับการค้าต่างประเทศ
และเปิดรับความคิดใหม่ๆ ที่มาจากโลกตะวันออกหรือจากโลกตะวันตกแล้ว
ครั้นสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ทั้งการค้าและวิธีคิดแบบใหม่กระจายไปสู่คนหมู่
มากยิ่งขึ้น ผู้คนหันมาให้คุณค่ากับการอ่านออกเขียนได้และการเรียนรู้มาก
ขึ้น วรรณกรรมเพื่อมวลชนใหม่ๆ ึ่งเ อง ูพร้อมๆ กับที่เมืองหลวงรุ่มรวย
ขึ้นเมื่อทศวรรษ ๒๓๖๐ สะท้อนให้เห็นคุณค่าใหม่ๆ เหล่านี้ “พระเอก” นั้น
มีทั้งคนธรรมดา ไม่ใช่แต่จะต้องเป็น “เจ้าชาย” และ “เทพ” เหมือนวรรณกรรม
สมัยอยุธยา ตัวเอกไม่จ�าเป็นต้องอยู่ในกรอบของชาติก�าเนิดและโชคชะตา แต่
สามารถสร้างชีวิตตนเองได้ ความรักมีความเป็นส่วนตัวและปลอดจากขีดจ�ากัด
ของครอบครัว จารีต หรือสถานะทางสังคมมากขึ้น ชาติก�าเนิดสูงและความ
เก่งกล้าด้านการสงครามไม่ใช่เป็นหนทางสู่ความรุ่งเรืองเพียงสถานเดียวอย่าง
แต่ก่อน “เงิน” ก็เป็นหนทางให้เลื่อนชั้นทางสังคมได้
“นิราศ” ได้รับความนิยมสูงในสมัยนั้น เป็นโคลงกลอนเล่าเรื่องการ
เดินทาง วรรณกรรมประเภทนี้เปิดโอกาสให้ผู้เขียนบรรยายความเปลี่ยนแปลง
ที่เกิดขึ้นในสังคมของเขาได้อย่างกว้างขวางและตื่นตาตื่นใจ แทนที่จะเป็นเพียง
เรื่องของเทพเจ้าและกษัตริย์เท่านั้น “สุนทรภู่” กวีเอกแห่งยุคสมัยและลูกศิษย์
ชื่อ “นายมี” ประทับใจกับท่าเรือคลาคล�่าไปด้วย “เรือขึ้นล่องแวะจอดตลอด
หลำม พวกเจกจีนสินค้ำใบชำชำม” เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจโต้เถียงกัน “ผู้คนมำก
มำยหลำยภำษำ” และพ่อค้า “มีเงินทองท�ำทวีภำษีเสริม เมียน้อยน้อยพลอยเป็น
สุขไรจุกเจิม” ๑๗ และสุนทรภู่ได้สังเกตว่าเงินก�าลังมี “อิทธิพล” เปลี่ยนแปลง
สังคม
ถึงบางหลวงล่วงล่องเข้าคลองเล็ก ล้วนบ้านเจ๊กขายหมูอยู่อักโข
เมียขาวขาวสาวสวยล้วนรวยโป หน้าอกโอ้อายใจมิใช่เล็ก
ไทยเหมือนกันครั้นขอเอาหอห้อง ต้องขัดข้องแข็งกระด้างเหมือนอย่างเหล็ก
มีเงินงัดคัดค้างเหมือนอย่างเจ๊ก ดังลวดเหล็กลนร้อนอ่อนละไม๑๘
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ชีวิตประจ�ำวันของสำมั ชน ปรำก ในจิตรกรรม ำผนังสมัยต้นรัตนโกสินทร์
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
น้อยๆ ดูบอบบาง สง่างาม ล้วนของดีๆ จากเอเชีย จากยุโรป ของ
เก่าและของสมัยใหม่ ผสมผสานกันระหว่างความโอ่อ่าแบบเถื่อนๆ
กับความสง่าของศิลป์รุ่นใหม่กว่า๑๙
ถ้ามีการปกครองที่ดีกว่านี้ ประเทศไหนเล่าในโลกตะวัน
ออกจะแข่งกับสยามได้ ผืนดินและผลผลิตอุดมสมบูรณ์ มีสินค้า
มีค่า เหมืองแร่และยางไม้ เครื่องเทศและพริกไทย ข้าวและน�้าตาล
คุณภาพดีและถูกที่สุด เต็มไปด้วยผลไม้ที่อร่อยที่สุดในโลก...เปรียบ
เทียบกับสยาม มีไม่กี่ประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยผลผลิตที่เหมาะ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
และเป็นที่ต้องการในตลาดยุโรป และมีไม่กี่ประเทศที่เปิดโอกาส
ให้สะสมเงินทองได้มากอย่างนี้...จะเป็นที่น่าเสียดายเหลือเกิน ถ้า
หากมหาอ�านาจยุโรปอื่นๆ จะปิดกั้นไม่ให้เราฉวยโอกาสงามที่เอื้อ
อ�านวยเช่นนี้ ๒๕
ฝรั่งมีความอยากรู้อยากเห็นด้วย ทูตที่ส่งมาล้วนเก็บข้อมูลด้านประวัติ
ศาสตร์ สินค้าที่ขาย สมรรถนะด้านการทหาร และสภาพการเมือง พ.ศ. ๒๓๖๗
เจมส์ โลว์ จากกองทหารราบของเมืองมัทราสที่อินเดีย วาดแผนที่ของ “สยาม
กัมพูชา และลาว” ให้กับเจ้านายของเขา ท�าให้เขาได้รับรางวัลถึง ๒,๐๐๐ ดอลลาร์
สเปน พ.ศ. ๒๓๗๖ พ่อค้าชื่อ ที. อี. มัลลอค ส่งรายงานแสดงชื่อของเมืองต่างๆ
ในสยาม พร้อมจ�านวนประชากร ไปที่ส�านักงานอังกฤษที่เบงกอล คงจะได้มา
จากรายงานใบส�ามะโนครัว ปลายทศวรรษ ๒๓๗๐ ข้าราชการอังกฤษเดินเท้า
จากพม่าขึ้นมาผ่านล้านนาและรัฐไทยใหญ่ไปสิบสองปันนา พวกเขาแสดงตัว
เป็นเอเย่นต์ค้าขาย แต่ท�าแผนที่ตลอดเส้นทาง บันทึกสิ่งที่พบเห็นเรื่องเศรษฐกิจ
พื้นถิ่น นับจ�านวนปืนใหญ่รอบๆ วัง เดินสังเกตและสอบถามทั่วไปหมดเกี่ยว
กับสภาพการเมือง
ชาวสยามที่ได้สังเกตเห็นพฤติกรรมทั้งหลายนี้เริ่มหวาดกลัวว่าฝรั่งจะ
เอาข้อมูลไปท�าอะไร จึงมีข่าวลือกันไปทั่วว่าอังกฤษหวังจะยึดเมืองไทยเป็นเมือง
ขึ้น พ.ศ. ๒๔๐๑ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรารภใจความว่า “ข ะนี้ชำว
อังกฤษแวะเข้ำมำและเข้ำมำเกี่ยวกับสยำม ดูเหมือนว่ำพวกเขำรู้ทุกสิ่งทุกอย่ำง
ที่ควรจะรู้เกี่ยวกับสยำมอย่ำงถูกต้อง” ๒๖
ราชส�านักสยาม ณ จุดเริ่มแรกกีดกันฝรั่งออกไปให้อยู่ห่างๆ จากราวๆ
ทศวรรษ ๒๓๖๐ ยอมเซ็นข้อตกลงการค้าซึ่งโดยสาระไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร
ที่ส�าคัญ โรเบิร์ต ันเตอร์ เป็นพ่อค้าฝรั่งคนเดียวซึ่งมีร้านที่กรุงเทพฯ มิช้า
มินานเขาด�าเนินรอยตามชาวต่างชาติในอดีต คือจัดหาอาวุธและของใช้ฟุ่มเฟือย
ที่ราชส�านักต้องการ ท�าตัวเป็นคนกลางติดต่อกับฝรั่งอื่นๆ และก็เหมือนกับที่
เกิดขึ้นกับพ่อค้าฝรั่งในสมัยก่อนๆ คือเมื่อเขามีอ�านาจมากเกินไป ก็ถูกเนรเทศ
ออกจากสยามเมื่อปี ๒๓๘๗
ขุนนางทีห่ ้อมล้อมพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั และชนชัน้ น�ากลุ่มอืน่ ๆ ระทึก
ใจกับเรื่อง “ความเจริญ” ทางวัตถุของฝรั่ง แต่ไม่ชอบที่หมอสอนศาสนาคริสต์
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
การใช้นิทานชาดกเพื่อการสอนและเทศน์ ลดความส�าคัญของคัมภีร์ไตรภูมิกถา
และหลีกเลี่ยงวัตรปฏิบัติที่ประยุกต์มาจากลัทธิพราหมณ์หรือการนับถือผี นิกาย
นี้เล็ก มีพระสงฆ์ ๑๕๐ รูป เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎทรงขึ้นเสวยราชย์เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๔
แต่ทรงอิทธิพลยิ่ง เนื่องเพราะผู้ก่อตั้งคือกษัตริย์
รงงานเกณ ์ รงงานอิสระ
สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น สยามแบ่งเป็นสองสังคมซึ่งมีพื้นฐานต่างกัน
เหลื่อมซ้อนกันอยู่ที่กรุงเทพฯ และบริเวณรอบๆ
สถานหนึ่ง สังคมเก่าสมัยอยุธยา ึ่งมีฐานรากอยู่ที่ความสัมพันธ์ส่วนตัว
มีการแบ่งชั้นทางสังคมเป็นทางการ และแรงงานเกณฑ์ถูกฟื้นฟูขึ้นใหม่อย่างเห็น
ได้ชัด ระหว่างที่มีการศึกสงครามและความวุ่นวาย ระบบควบคุมแรงงานแบบ
เดิมจึงถูกน�ากลับมาใช้อีก ไพร่ทุกคนตามกฎหมายต้องสังกัด “มูลนาย” ล่วง
มาจนถึงทศวรรษ ๒๓๘๐ ไพร่ถูกเกณฑ์เป็นทหารเพื่อท�าสงครามกับเมืองด้าน
ทิศตะวันออก กองทัพที่รบกับเขมรครั้งใหญ่สุด ประมาณการว่าเกณฑ์ผู้คน
ได้ถึงหนึ่งในสิบของชายฉกรรจ์จากบริเวณแอ่งเจ้าพระยาตอนล่างและที่ราบสูง
โคราช นอกจากนั้นยังใช้แรงงานเกณฑ์เพื่อกิจการในวังและตามบ้านขุนนาง
ทั้งหลายเพื่องานโยธา สร้างและซ่อมแซมเมืองหลวง เก็บของป่าเพื่อส่งเป็นส่วย
แก่ราชส�านักแล้วขายเป็นสินค้าออก ขุนนางและเจ้าพนักงานเป็นจ�านวนมาก
ดูแลและจัดการแรงงานเกณฑ์เหล่านี้
ที่บริเวณหัวเมือง การควบคุมแรงงานยิ่งเข้มงวด ฝรั่งรุ่นแรกๆ ที่ได้
เข้าไปในบริเวณเหล่านี้ รายงานว่า ร้อยละ ๕๐ ถึง ๐ ของผู้คนมีสถำนภำพ
เสมือน “ทำส” แบบใดแบบหนึ่ง หลายๆ คนเริ่มแรกเป็นเชลยศึกที่ถูกกวาด
ต้อนมา หรือถูกเกณฑ์เป็นทหารเพื่อท�าสงครามทางใต้และตะวันออก บ้างก็ถูก
น�าเข้ามาอย่างจงใจ มีกฎหมายพูดถึงทาสที่ “ไถ่มาแต่ท้องส�าเภา”๒๘ ในภูมิ
ภาคที่ไกลออกไปอีก บางคนมีอาชีพไปตีหมู่บ้านบนเขาและหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล
แล้วลักพาผู้คนเอามาขายในเมืองและบริเวณที่ราบลุ่ม บ้างก็ตกเป็นแรงงานใน
ควบคุมของผู้อื่นเพราะว่าถูกโทษอาญา เนื่องจากเป็นหนี้ บ้างก็ขายตัวเอง และ
มักจะขายลูก ญาติ หรือบ่าว ก หมาย พ.ศ. ๒๓๔๘ ห้ามผู้ใดขายพี่น้องท้อง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสั่งให้จดทะเบียน “ไพร่หลวง” เมื่อ พ.ศ.
๒๓๙๘ และทรงแปลกพระทั ย ที่ พ บว่ า มี จ� า นวนน้ อ ยมาก การยกทั พ ไปตี
ประเทศรอบสยามลดลงจากทศวรรษ ๒๓๘๐ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหาเกณ ์
แรงงานได้น้อยลงกว่าแต่ก่อน
ไพร่หนีเกณฑ์แรงงานได้หลายวิธี บ้างหลบไปซ่องสุมกันตามหมู่บ้าน
ห่างไกลในป่า ราชส�านักจะต้องส่งกองทหารออกไปกวาดต้อนพวกเขากลับมา
แต่หลายๆ ครั้งก็ไปซื้อของป่าจากพวกเขาเพื่อเอามาขายเป็นสินค้าออก บ้าง
เลือกไปอยู่ในความอุปถัมภ์ของนายซึ่งไม่ใช้งานพวกเขาหนักเกินไป บ้างก็ติด
สินบนเจ้าพนักงานเพื่อให้จัดตัวเองอยู่ในประเภทได้รับยกเว้นที่จะถูกเกณฑ์
แรงงาน ทะเบียนไพร่แห่งหนึ่งมีรายงานดังนี้ “ในปี ๒๔๑๐ สำมในห้ำของชำย
ฉกรรจ์ได้รับกำรยกเว้นไม่ต้องถูกเก ์ เพรำะว่ำเป็นเจ้ำพนักงำนหลวง พระ
ทำส ทุพพลภำพ ขอทำน สติไม่ดี หรือถูกผีเข้ำ สมเด็จ กรมพระยำด�ำรง
รำชำนุภำพทรงประมำ กำรไว้เมื่อทศวรรษ ๒๔๑๐ ว่ำสี่ในห้ำของชำยฉกรรจ์
หลีกเลี่ยงที่จะถูกเก ์แรงงำน”
สมาชิกของชนชั้นน�าที่ท�าการค้าขายหรือโยงใยอยู่กับเศรษฐกิจเพื่อตลาด
ส่งเสริมให้ไพร่เป็นแรงงานอิสระมากขึ้นๆ จากทศวรรษ ๒๓๗๐ ผู้คนเริ่มจ่าย
เงินเพื่อทดแทนการถูกเกณฑ์ เมื่อถึงทศวรรษ ๒๓๘๐ มีคนเลือกหนทางนี้มาก
เสียจนรัฐบาลต้องจ้างกรรมกรจีนท�างานโยธาแทน ทศวรรษ ๒๓๙๐ เงินจาก
ผู้ที่ยอมจ่ายเงินแทนการเข้าเกณฑ์ เป็นรายได้สูงสุดของรัฐ ขุนนางที่ท�าการ
ค้าเสนอให้พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงยกเลิกเกณฑ์แรงงานรอบๆ เมืองหลวง
แต่ไม่ส�าเร็จ “ทำสน�้ำเงิน” หรือผู้ที่ลดตัวลงเป็นทาสเพราะติดหนี้เพิ่มสูงขึ้น
บาทหลวงปาลเลกัว ์ ประมาณการว่า “อย่ำงน้อย หนึ่งในสำมของประชำกร”
มีสถานภาพเป็นทาสดังที่กล่าวมา๓๐ เมื่อขายตัวเองเป็นทาส “ไพร่” สามารถ
หาเงินจ�านวนหนึ่งและหลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์ “ทำสน�้ำเงิน” บางคนจ่ายเงิน
คืนเจ้าหนี้โดยท�างานให้เป็นการทดแทนค่าน�้าเงิน ขณะที่คนอื่นๆ ท�างานใน
เศรษฐกิจตลาดหาเงินสดมาจ่ายหนี้ ดังนั้น การลดตัวลงเป็นทาสรอบๆ บริเวณ
เมืองหลวงจึงกลับกลายเป็นวิธีปลดปล่อยไพร่ที่อยู่ใต้การควบคุมให้กลายเป็น
“แรงงานเสรี” ส�าหรับระบบเศรษฐกิจตลาดนั่นเอง
ความสัมพันธ์ชาย หญิงก็เริ่มปรับเปลี่ยน โดยสะท้อนสังคมที่มี ๒
ระบบทับ ้อนกันอยู่นี้ ส�าหรับสังคมใหม่ในระบบเศรษฐกิจตลาด สถานภาพ
ของหญิงที่เป็นสมบัติของชายตามก หมายถูกท้าทาย
สน ิสัญญาเบาว์ริง
ช่วงปลายรัชกาลที่ ๓ และต้นรัชกาลที่ ๔ ยิ่งเกิดความตึงเครียดเพิ่ม
ขึ้นในบรรดาชนชั้นน�าด้วยกันเอง ในประเด็นที่เกี่ยวโยงกันด้วยเรื่องเศรษฐกิจ
ระบบสังคม และที่จะจัดการกับตะวันตกอย่างไรดี คนหัวเก่าต้องการกันฝรั่ง
ออกไปห่างๆ และรักษาความสมานฉันท์ในสังคมเอาไว้อย่างเหนียวแน่น โดย
เฉพาะอย่างยิ่งการควบคุมไพร่และทาสแบบดั้งเดิม กลุ่มนี้เข้มแข็งมากในสมัย
รัชกาลที่ ๓ ทรงเปลี่ยนจากการค้าผูกขาดโดยราชส�านักมาเป็นระบบเจ้าภาษี
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
นายอากร แต่ทรงปฏิเสธข้อเรียกร้องของฝรั่งให้เปิดการค้าให้เสรีมากขึ้น ทรง
พึ่งระบบเกณฑ์แรงงานแบบเดิมเพื่อท�าสงครามกับเขมร
คนหัวใหม่เชื่อว่ายิ่งค้ากับฝรั่งมากเท่าใด ยิ่งมีแรงงานเสรีและยิ่งเข้าถึง
เทคโนโลยีมากขึ้น จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจเจริญเติบโต สร้างรายได้สู่รัฐบาลและ
เพิ่มความมั่งคั่งของเอกชน ผู้นา� ของกลุ่มนี้คือหัวหน้าของตระกูลบุนนาค และ
ปัญญาชนคนชั้นสูงที่ห้อมล้อมเจ้าฟ้ามงกุฎ พ.ศ. ๒๓๘๕ อังกฤษสยบจีนด้วย
สงคราม น บอกให้เห็นผลของการท้าทายข้อเรียกร้องเพื่อ “การค้าเสรี”
ผลกระทบของสงครามนี้คือ ท�าลายการค้าเรือส�าเภาระหว่างสยามและ
จีนอย่างสิ้นเชิง และโน้มน้าวให้สยามหันไปค้าขายกับ รั่งเป็นการทดแทน ชัย
ชนะของอังก ษเป็นหมุดหมายว่าอินเดียและจีน ึ่งเคยเป็นที่มาของวัฒนธรรม
สยามแต่ดั้งเดิม ตกอยู่ภายใต้ความครอบง�าของตะวันตก ดังนั้น ชนชั้นน�า
ของไทยจึงต้องเบนสายตาไปทางตะวันตกอย่างช่วยไม่ได้
พ.ศ. ๒๓๙๔ ตระกูลบุนนาคมีบทบาทส�าคัญในการเถลิงราชย์ของพระ
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมาชิกของกลุ่มหัวใหม่ได้รับรางวัลมีบรรดาศักดิ์สูงขึ้น
และมีอ�านาจมากขึ้น พวกเขาเสนอว่า ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะปกปองกำรค้ำ
เรือส�ำเภำด้วยกำรเก็บภำษีต่ำงระดับ ในข ะที่กำรเดินเรือของตะวันตกมีควำม
เหนือกว่ำทำงด้ำนกำรสร้ำงควำมมั่งคั่งอย่ำงเห็นได้ชัด กลุ่มนี้มีความเห็นว่า
การห้ามน�าเข้าฝิ่นก่อนหน้านี้ มีผลเพียงแต่เพิ่มก�าไรมหาศาลและกระตุ้นการ
สงครามระหว่างกลุ่มแก๊งต่างๆ เท่านั้นเอง
พ.ศ. ๒๓๙๘ พระจอมเกล้าฯ ทรงเชิญเ อร์จอห์น เบาว์ริ่ง ผู้ส�าเร็จ
ราชการอังกฤษที่ฮ่องกง เมืองหลวงการค้าฝิ่นของอังกฤษ ให้มาเจรจาสนธิ
สัญญาการค้ากับสยาม สนธิสัญญานี้ยกเลิกระบบผูกขาดการค้าโดยราชส� านัก
ที่ยังหลงเหลืออยู่ ปรับภาษีการเดินเรือจีนและอังกฤษให้เท่ากัน ยอมให้อังกฤษ
มีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือพลเมืองอังกฤษ และยอมให้อังกฤษน�าเข้าฝิ่น
มาขายในสยามผ่านการผูกขาดของรัฐบาลไทย เบาว์ริ่งโอ้อวดว่าสนธิสัญญานี้
ส�าแดงชัยชนะของลัทธิการค้าเสรี ส�าหรับราชส�านักไทย การค้าฝิ่นผูกขาดกลาย
เป็นแหล่งที่มาของรายได้รัฐบาลสูงสุด
จีนเคยเป็นประเทศส�าคัญยิ่งส�าหรับสยามในช่วง ๑๕๐ ปที่ผ่านมา
แต่สนธิสัญญาเบาว์ริ่งนี้ คือหมุดหมายว่าสยามได้เบนสายตาไปจากจีน เพ่งสู่
ตะวันตก
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
การป ิรูป
ทศวรรษ ๒๔
งทศวรรษ ๒๔๕
สมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ “สยาม” ปรับแปลงสู่ความเป็นรัฐชาติ
เป็นปรากฏการณ์ใหม่อย่างสิ้นเชิง อำ ำบริเว ที่รวบรวมเข้ำมำอยู่ในขอบ
ขัน สีมำอันเดียวกันนี้ ล้วนแต่มีประวัติศำสตร์ ภำษำ วั นธรรม ศำสนำ และ
ประเพ ีที่ต่ำงกันไป “ภาษาไทย” ใช้กันทั่วไปแถบที่ราบลุ่มแม่น�้าเจ้าพระยา
เลาะเรื่อยลงไปทางตอนเหนือของแหลมมลายู แต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีภาษาถิ่น
และส�าเนียงที่ผิดแผก คนกรุงเทพฯ กับคนเชียงใหม่นั้นอาจสื่อกันไม่ได้ ใน
ช่วง ๑๐๐ ปีที่ผ่านมา จ�านวนเชลยศึกที่ถูกกวาดต้อนมาจากดินแดนรอบนอก
และชาวจีนที่อพยพเข้ามา ท�าให้สังคมมีความหลากหลายยิ่งขึ้น ระบบบริหาร
ราชการแผ่นดินเดิมที่ไม่เป็นหนึ่งเดียว เปิดช่องให้ท้องถิ่นคงความแตกต่างอยู่ได้
ความคิดเรื่องชาติ รัฐชาติอันหนึ่งอันเดียว เชื้อชาติ เอกลักษณ์ของชาติ
และระบบบริหารราชการรวมศูนย์ เป็นสิ่งที่ก�าหนดมาจากเบื้องบน ประยุกต์
มาจากตัวแบบของยุโรปแล้วน�ามาปรับใช้ เหตุผลส่วนหนึ่งนั้นเพื่อต่อต้านการ
คุกคามของเจ้าอาณานิคม และก็เพื่อทดแทนระบบการปกครองและควบคุม
สังคมแบบเก่า ซึ่งเสื่อมประสิทธิภาพเนื่องจากสังคมได้เปลี่ยนไป และไม่อาจ
สนองความต้องการใหม่ๆ ของระบบเศรษฐกิจตลาดได้
ความเสอมสลายของระบอบการปกครอง บบเ ิม
ครั้นถึงรัชกาลที่ ๔ สังคมสยามส่วนกลาง คือภาคกลางปัจจุบัน ได้
เปลี่ยนแปลงไปแล้วอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้ เป็นผลของการแผ่ขยายแสนยานุภาพ
ทางการทหารของกรุงเทพฯ และเศรษฐกิจการค้าที่รุ่งเรืองขึ้น ความเปลี่ยนแปลง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
นี้ท�าลายฐานรากของเสถียรภาพทางการเมืองที่เคยโยงอยู่กับความสัมพันธ์ส่วน
บุคคล
ชาวจีนเข้ามาอยู่ในสยามถึงประมาณ ๓ แสนคนแล้ว ส่วนมากอพยพ
เข้ามาในช่วงสองรุ่นอายุก่อนหน้า เริ่มแรกรัฐบาลพยายามควบคุมคนจีนโดย
รับเอาหัวหน้าชุมชนจีนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ และให้หัวหน้าเหล่านี้
รับผิดชอบความประพฤติและสวัสดิการของคนจีนในสังกัด วิธีนี้เป็นหลัก
ปฏิบัติมาแต่อดีต แต่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนไป ชาวจีนไม่ได้เกาะ
กันเป็น “ชุมชน” ที่มีหัวหน้าเป็นตัวตน แต่อยู่กันกระจัดกระจายแบ่งเป็นหลาย
“กก” หลายกลุ่ม เคลื่อนย้ายไปมาไม่อยู่กับที่กับทาง จนท�าให้การควบคุมแบบ
เก่าขาดประสิทธิภาพ ชาวจีนจับกลุ่มกันท�างานตามท่าเรือ โรงสีข้าว โรงงาน
น�้าตาล และเหมืองดีบุกเป็นกลุ่มใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา มักจะอยู่ห่างไกลจาก
กรุงเทพฯ จึงยากแก่การควบคุมดูแล โดยเฉพาะที่เหมืองดีบุกแถบแหลมมลายู
ซึ่งก�าลังขยายตัว การจลาจลปะทุขึ้นเป็นครั้งเป็นคราว ในทศวรรษ ๒๓๘๐
และทศวรรษ ๒๔๑๐ มีความวุ่นวายเกิดขึ้นที่แหล่งปลูกอ้อยด้ำนตะวันออกของ
กรุงเทพ จนต้องส่งกองทหารไปก�าราบ เมืองระนองทางตอนใต้เกือบจะถูก
ยึดไป เมื่อคนงานเหมืองแร่ดีบุกก่อการจลาจลในทศวรรษ ๒๔๑๐ รัฐบาลส่ง
เรือรบไปปราบ แต่ม็อบคนจีนตอบโต้โดยเผาเมืองภูเก็ตแล้วฉกชิงข้าวของ ที่
กรุงเทพฯ เมื่อคนงานจีนนัดหยุดงานกันก็ท�าให้ท่าเรือเป็นง่อยไปทันที ภาวะ
เช่นนี้ท�าให้รัฐบาลฝันร้ายว่า ชำวจีนอำจยึดครองกรุงเทพ ได้
พ.ศ. ๒๔๓๒ แกงคนจีนคู่ตรงข้ามต่อสู้กันเป็นการใหญ่ใจกลางเมือง
หลวงเป็นเวลาถึง ๓ วัน
เช่นเดียวกับผู้อพยพทุกหนทุกแห่ง ชาวจีนก่อตั้งสมาคมเพื่อช่วยเหลือ
ระหว่างกันและกัน และเพื่อปกป้องตนเอง แต่รัฐบาลมองว่าเป็น “อั้งยี่” หรือ
สมาคมลับ เกรงกลัวว่าองค์กรดังกล่าวลักลอบน�าฝิ่นเข้ามา ต้มเหล้าเถื่อน และ
ตั้งบ่อนพนัน แถมยังติดอาวุธอีกด้วย บางครั้งเมื่อทางการเข้าสืบค้นเรื่องค้า
ฝิ่นและต้มเหล้าเถื่อนก็ถึงกับยิงปืนตอบโต้จนกระทั่งใช้ปืนใหญ่ก็มี สมัยที่
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนำค) เป็นใหญ่อยู่ในรัชกาลที่ ๔
นั้น ได้ใช้กุศโลบาย “เลี้ยงอั้งยี่” และให้พวกเขาดูแลกันเอง
นอกจากชาวจีนแล้วยังมีกลุ่มคนอื่นอีกที่หลีกลี้จากระบบควบคุมคน
แบบเดิม บ้างออกไปท�านาไร่ ณ ที่บุกเบิกใหม่ๆ ปลูกข้าวเพื่อเลี้ยงคนกรุงเทพฯ
เพื่อส่งออกไปจีน และเพื่อเลี้ยงกองทัพเมื่อมีสงคราม ทศวรรษ ๒๓๗๐ มีการ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
นอกจากนั้น รัฐบาลยังมีภารกิจใหม่ที่ยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเมื่อเศรษฐกิจ
เปลี่ยนแปลง เจ้าพนักงานรายงานว่า “ทุกวันนี้คดีของรำษ ร ึ่งเกี่ยวข้อง ึ่งกัน
และกันอยู่ตำมโรงศำลต่ำง ทั้งปวงนั้นมีมำกขึ้นทุกวัน เพรำะอำไศรยรำษ ร
พลเมืองมีกำรค้ำขำยเกี่ยวข้องพัวพันถึงกันมำกขึ้น” ๑ ฝรั่งที่มาเยือนเขตหัว
เมืองรายงานว่า “เต็มไปด้วยโจทก์จ�ำเลยที่ไม่ได้รับควำมพึงพอใจ คดีที่ยังไม่
ตัดสิน และนักโทษที่ยังไม่ได้ถูกตัดสิน” ๒
ส�าหรับความคิดเชิงวิชาการ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเอนเอียงไป
ทางตะวันตก แต่เรื่องการบริหารพระราชอาณาจักรที่เผชิญความไร้ระเบียบ
มากขึ้นนั้น พระองค์ทรงยึดโยงอยู่กับวิธีการแบบดั้งเดิม ทรงฟื้นฟูพิธีกรรม
หลวงจ�านวนมากที่ได้ร่วงโรยไปตั้งแต่ครั้งเสียกรุง รวมทั้งพิธี “ตรียัมปวาย”
หรือพิธีโล้ชิงช้าประจ�าปี เสด็จประพาสหัวเมืองส�าคัญๆ และพระราชทานเงิน
ให้ซ่อมแซมและท�านุบ�ารุงวัดใหญ่ที่ทรงสถาปนาเป็น “วัดหลวง” โปรดให้มี
พระราชพิธีถือน�้าพระพิพัฒน์สัตยาเป็นนิจปีละ ๒ ครั้ง ในพิธีนี้เจ้าเมืองและ
กรมการเมืองชุมนุมกัน มักเป็นที่วัดหลวง หันหน้าไปทางที่ตั้งของเมืองหลวง
แล้ว “ดื่มน�้าสาบาน” เพื่อแสดงความจงรักภักดี
เพื่อป้องกันเมืองจากศัตรู ไม่เพียงทรงสร้างป้อมใหม่ ๖ แห่ง แต่ทรง
สร้างหลักเมืองใหม่ ผูกดวงเมืองใหม่ และทรงประดิษฐ์พระสยามเทวาธิราชขึ้น
ใหม่ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องพระราชอาณาจักร ตามประเพณีดั้งเดิมนั้น
หมู่บ้านและเมืองมี “ผี” หรือ “เสื้อเมือง” เป็นศูนย์กลางของความเป็นอันหนึ่ง
อันเดียว แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีผีปกป้องทั้งพระราชอาณาจักร
เมื่อมีการค้นพบซากปรักหักพังของเมืองพระนคร นครวัด พระจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่งกองทหารเพื่อไปรื้อถอนปราสาทแห่งหนึ่งมาประกอบใหม่ที่
กรุงเทพฯ เพื่อเพิ่มอ�านาจศักดิ์สิทธิ์ของเมืองหลวง แต่ต้องทรงล้มเลิกความคิด
ดังกล่าวเพราะปราสาทนั้นใหญ่เกินไป และกองทหารสยามที่ส่งไปถูกซุ่มโจมตี
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงออกประกาศหลายฉบับ ึ่งไม่ใช่เป็นค� าสั่ง
ด้านการบริหาร แต่มีลักษณะเป็นแนวทางชี้น�าการท�างานและการปฏิบัติตน
ของทั้งเจ้าพนักงานรัฐและราษ รทั่วไป ในท�านองเดียวกันกับการปกครอง
ของจักรพรรดิจีน บางประกาศพยายามเพิ่มความพิเศษของพระมหากษัตริย์
และท�าให้แตกต่างจากส่วนอื่นๆ ของสังคมไทย ทรงตั้งกฎก�ากับการใช้ราชาศัพท์
ซึ่งใช้ “ค�ำเขมร” ค่อนข้างมาก ทรงห้ามบรรยายองค์กษัตริย์ ทรงห้ามรับบาท
บริจาริกาที่มีพื้นเพเป็นคนชนบท และทรงมีค�าสั่งให้ใช้ปฏิทินตามปีรัชกาล ทรง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ( ้ำย) พระเจ้ำอยู่หัวรัชกำลที่ ๔ ในฉลองพระองค์กษัตริย์สยำม
ถ่ำยภำพโดย จิตร จิตรำคนี
(ขวำ) พ.ศ. ๒๔๐๗ ในฉลองพระองค์แบบขุนนำงจีน โดยผู้วำดนิรนำม
และ (ล่ำง) ภำพวำดทรงห้อมล้อมด้วยนำงสนม โดยผู้ติดตำมของขุนนำง
รั่งเศส กงต์ เดอ โบวัวร์ ที่เข้ำเ ำเมื่อ พ.ศ. ๒๔๐
ระบบการบริหารแผ่นดินแบบดั้งเดิมนั้นผูกติดอยู่กับความสัมพันธ์
ส่วนตัวซึ่งนับวันแต่จะเสื่อมประสิทธิภาพลงไปทุกที ผู้คนเป็นอิสระจากความ
ผูกพันดังกล่าวที่เคยโยงพวกเขากับรัฐ ความพยายามของชนชั้นน�าที่จะใช้พระ
พุทธศาสนาเป็นรากฐานของการสร้างวินัยสังคม และท�าให้ล�าดับชั้นแบบเดิมๆ
คงอยู่อย่างเหนียวแน่นได้ผลเพียงบางส่วนเท่านั้น ผู้ปกครองเก็บภาษีจาก
เศรษฐกิจตลาดที่ก�าลังขยายตัว ขณะเดียวกันผู้ประกอบการตักตวงก�าไร ทั้ง
สองกลุ่มต้องการวิธีการใหม่ๆ ที่จะก�ากับควบคุมผู้คน เคลื่อนย้ายทรัพยากร
เพื่อเศรษฐกิจและปกป้องสินทรัพย์ที่พอกพูนขึ้น
การบริหารประเทศ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงสืบราชสมบัติต่อจากพระ
ราชบิดาใน พ.ศ. ๒๔๑๑ และตลอดรัชสมัยของพระองค์ซึ่งกินเวลา ๔๒ ปีนั้น
ระบบการปกครองแบบเดิมเปลี่ยนเป็นแบบรัฐชาติ
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระชนมายุ ๑๕ ชันษาเมื่อเสด็จขึ้น
ครองราชย์ โดยมีสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็น
ผู้ส�าเร็จราชการ ในช่วงที่ทรงเป็นยุวกษัตริย์นี้ ได้เสด็จประพาสเพื่อทอดพระ
เนตร “ความเจริญ” ด้วยพระองค์เองยังอาณานิคมฝรั่งที่สิงคโปร์ ชวา มลายู
พม่า และอินเดีย พ่ า แ า ที่ ทา ท
า ่น ๕
ทรงส่งสมาชิกพระราชวงศ์ไปศึกษาที่สิงคโปร์ โปรดให้แปลรัฐธรรมนูญ
ของบางประเทศในยุโรปเป็นภาษาไทย และทรงประทับใจกับกฎหมายในสมัย
ของนโปเลียน เมื่อทรงบรรลุนิติภาวะเป็นกษัตริย์โดยสมบูรณ์ทรงแสดงปณิธาน
ที่ “ตั้งแต่เสด็จบรมรำชำภิเศกเถลิงถวัลยรำชสมบัติ ตั้งพระรำชหฤทัยจะด�ำรง
รักษำพระนครขอบขันธสีมำ ทั้งพระบรมวงศำนุวงศ์ ข้ำรำชกำรแลรำษ รให้
ถำวรวั นำยิ่งขึ้นไป” ๖ ภายใน ๑ เดือน พระองค์ทรงก่อตั้งพระคลังใหม่ที่รวม
ศูนย์ ทรงแต่งตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน และสภาที่ปรึกษาส่วนพระองค์
โดยมีสมาชิกจากพระบรมวงศ์ หลังจากนั้นไม่นานทรงแถลงโครงการ “ปฏิรูป”
ได้แก่ สิ่งที่สภำที่ปรึกษำรำชกำรแผ่นดินควรกระท�ำและสิ่งที่ควรยกเลิก สิ่งที่
ทรงประกำศจะยกเลิกนั้นรวมทั้งกำรเก ์แรงงำน ระบบทำสและกำรพนัน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ส�ำหรับสิ่งที่ควรจะท�ำคือกำรป ิรูปศำลยุติธรรม กำรสร้ำงระบบรำชกำร ต�ำรวจ
และกองทัพ ให้มีเงินเดือนประจ�ำ กำรพั นำเกษตร และกำรศึกษำ
นักปฏิรูปคิดว่าการยกเลิกระบบควบคุมแรงงานเป็นความส�าคัญอันดับ
ต้นๆ เหตุผลส่วนหนึ่งนั้นเพื่อโต้กลับข้อวิจารณ์จากฝรั่ง นางแอนนา เลียว
โนเวนส์ มีชื่อเสียงขึ้นมาเนื่องเพราะหล่อนให้ภาพว่า ชนชั้นน�ำสยำม “ด�ำมืด
ด้วยควำมหลงผิด เชื่อในเรื่องโชคลำง ระบบทำส และควำมตำย” ๗ อีกส่วน
หนึ่งนั้นเพื่อเพิ่มจ�านวนคนงานให้กับระบบเศรษฐกิจตลาด สมเด็จเจ้าพระยา
บรมมหาศรีสุริยวงศ์ เมื่อด�ารงต�าแหน่งผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์ ขณะที่
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ยังทรงเป็นยุวกษัตริย์นั้น ได้ร่างข้อเสนอให้ออกกฎ
หมายเลิกทาสอย่างสิ้นเชิง หรือให้เก็บภาษีจนการใช้ทาสต้องถูกยกเลิกไปใน
ที่สุด ในขณะนั้นพวกหัวเก่าต่อต้านและไม่ยอมรับข้อเสนอใดๆ ทั้งสิ้น เพราะ
จะลดสถานะทางเศรษฐกิจและสังคมของพวกเขาอย่างถึงรากถึงโคนเลยทีเดียว
ดังนั้น เพื่อเอาใจกลุ่มนี้ กษัตริย์จึงทรงมีข้อเสนอให้ยกเลิกเฉพาะทาสบางประเภท
และท�าแบบค่อยเป็นค่อยไป ประกำศเมื่อเดือนสิงหำคม พ.ศ. ๒๔๑๗ ก�ำหนด
ว่ำผู้ใดก็ตำม ึ่งเป็นทำสในเรือนเบี้ยจำกปี ๒๔๑๑ ให้เป็นไทแก่ตนเองเมื่ออำยุ
ครบ ๒๑ ปี และห้ำมผู้ที่เกิดหลังปี ๒๔๑๑ ขำยตัวเอง หรือถูกขำยให้เป็นทำส
เมื่ออำยุ ๒๑ ปี ประกาศนี้หมายความว่า ทาสประเภทอื่นยังมีอยู่ได้ ได้แก่
ทาสสินไถ่ ทาสเชลยศึก การขายเด็กเป็นทาส และพระองค์ไม่ได้ทรงเปลี่ยน
ระบบเกณฑ์แรงงาน ณ จุดนี้ นักปฏิรูปเช่นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริย
วงศ์คาดหวังให้มีการเปลี่ยนแปลงที่เร็วกว่านี้ แต่คงจะยอมรับนโยบายประนี
ประนอมเป็นความจ�าเป็นในทางการเมือง
“ขุนนาง” ที่เป็นพ่อค้าเห็นด้วยกับกษัตริย์ในเรื่องการปฏิรูประบบแรง
คน แต่ในเรื่องการปฏิรูประบบภาษีอากรและกระบวนการยุติธรรมนั้นเกิด
ความขัดแย้งกันระหว่างกษัตริย์ฝ่ายหนึ่ง และกลุ่มของสมเด็จเจ้าพระยาบรม
มหาศรีสุริยวงศ์อีกฝ่ายหนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงก่อตั้ง “กรมพระ
คลัง” เพื่อดูแลเจ้าภาษีนายอากรทั้งหมด ซึ่งก่อนหน้านั้นส่งเงินให้คลัง ๑๗ แห่ง
พระองค์ทรงก่อตั้งศาลใหม่เพื่อพิจารณาคดีจ�านวนหนึ่ง ซึ่งในท�านองเดียวกับ
เรื่องภาษี กระจายอยู่ที่ศาลต่างๆ ภายใต้หลายกระทรวง การรวมศูนย์อ�านาจ
ในสองเรื่องนี้จะส่งผลลดรายได้และอ�านาจของขุนนางใหญ่ทันที ขณะที่เพิ่ม
อ�านาจของกษัตริย์ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์และขุนนางใหญ่
อื่นๆ จึงขัดขวางอย่างเต็มที่ โดยขู่จะท�าการรัฐประหาร (“วิกฤตวังหน้า” เมื่อ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
“ทหารหน้า” มีความส�าคัญกับโครงการหลักของกลุ่ม “สยามหนุ่ม”
คือสร้างระบบการบริหารราชการใหม่ มีโครงสร้างเป็นรูปพีระมิดทดแทนระบบ
ขุนนางหัวเมืองแบบเดิม เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงขึ้นครองราชย์นั้น
ระบบการบริหารในเขตหัวเมืองยังโยงอยู่กับกระทรวงต่างๆ ไม่เป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกัน (ดูแผนที่ ๓) ๘ หัวเมืองชั้นในตามทฤษฎีแล้วมีระบบภาษีใกล้เคียง
กับที่กรุงเทพฯ มีระบบเกณฑ์ทหารยามสงคราม และมีการแต่งตั้งเจ้าเมืองจาก
กรุงเทพฯ แต่ในทางปฏิบัติ เจ้าเมืองหลายรายสืบทอดต�าแหน่งสู่รุ่นลูกหลาน
สืบๆ กันมา หัวเมืองชั้นนอกปกครองโดยเจ้าเมืองท้องถิ่นผู้ซึ่งต้อง “ส่งส่วย”
เป็นสินค้าของป่า ขณะที่เจ้าประเทศราชส่งบรรณาการเป็นพิธีกรรมเท่านั้น
ประเทศราชซึ่งถูกผนวกเข้ามาผ่านระบบรวมศูนย์อา� นาจการบริหารไว้ที่
กรุงเทพฯ รายแรกๆ คือล้านนาหรือเชียงใหม่ ส�าหรับสยามแล้ว การที่บริษัท
ท�าไม้ของอังกฤษเข้าท�าไม้บริเวณป่าภาคเหนือที่ล้านนา เปิดช่องให้เจ้าอาณานิคม
หาทางบุกรุกสยามได้ เจ้ำเชียงใหม่มีปัญหากับบริษัทท�าไม้ของอังกฤษโดยตก
เป็นหนี้บริษัทจนมีคดีความกันชั้นศาล เปิดโอกาสให้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕
ทรงเข้าช่วยถอดถอนหนี้ และด�าเนินการเจรจา สนธิสัญญาอังก ษ สยาม เมื่อ
พ.ศ. ๒๔๑๗ เพื่อจ�ากัดการท�าไม้ของบริษัทอังกฤษ และทรงส่ง “ข้าหลวง” หรือ
ผู้ส�าเร็จราชการจากกรุงเทพฯ เข้าก�ากับรัฐบาลที่ล้านนา
ข้าหลวงเดินทางถึงเชียงใหม่ในฐานะหัวหน้าของกองทหารซึ่งจัดตั้งขึ้น
ใหม่ ได้รับเงินเดือนประจ�าเป็นทหารประจ�าการถาวร กษัตริย์ทรงรับสั่งถึง
ข้าหลวง (เป็นพระอนุชาต่างพระมารดา) ว่า “เรำก็ไม่ได้คิดจะก�ำรื้อถอนวงษ
ตระกูลมิให้เปนประเทศรำช เปนแต่อยำกจะถือยึดเอำอ�ำนำจที่จริง...แต่เปนกำร
จ�ำเปนที่จะต้องท�ำกำรอย่ำงนี้ด้วยสติปั ำเปนมำกกว่ำอ�ำนำจก�ำลัง ต้องอย่ำ
ให้ลำว คือเชียงใหม่ เหนว่ำเปนกำรบีบคั้นกดขี่” ๙
ข้าหลวงค่อยๆ น�าเอาระบบภาษีแบบกรุงเทพฯ เข้ามาใช้ แต่งตั้งกรม
การเมือง ข้าราชการ และดูแลการสัมปทานท�าไม้เสียเอง ขุนนางที่หัวเมืองบ่น
ว่าล้านนาก�าลังถูกทึ้งถึงกระดูก และกรมการเมืองบางรายก่อกบฏ ข้าหลวงเอา
ใจขุนนางโดยสถาปนาให้มีราชทินนามที่โอ่อ่าและให้เงินเบี้ยหวัดจ�านวนมาก
แต่ก็ค่อยๆ กันพวกเขาออกไปจากระบบการบริหารราชการ ส่งภาษีเข้ากรุงเทพฯ
และก่อตั้งระบบราชการ ตามรูปแบบโครงสร้างพีระมิด ยอดอยู่ที่กรุงเทพฯ แผ่
การควบคุมไปถึงระดับท้องถิ่น
%"
1
%
%&%
94&<,%
(2#8 1
6
(2"1 :#'
-7'3
'# %
2:#9#'
1 9%6-(1)!8'#1
%9
%%8(
%:)
;'1
1#'
9%6-9%'"1
/&1
%;
9#'!7'4 #'//!-
3
2 '1
'=&*'4
++1'!7'4
"+%7"'11'
=&1
/0?)"1
#01 '*'4''%'1
(1
$89> 5 9%6-0@ < 5@ %,1=&
#0(7 9%6-0@ < 5@ (1;,%
+(1 "1 4 9%6-0@ < 5@ '%1
+8( 9%6-0@ (15@ %,1=&
"/(3+ 7&/(1 '1%0'/:/ 9%6-0@ (15@ (1;,%
='!7'4 9%6-"'/9*'15@ %,1=&
9%6-"'/9*'15@ (1;,%
'01 8 9+ "'/:+(7%9%6-=%<9:
:,(-%8('/!79#1/!19%6-91 @0
9%1%1
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ขุนนำงไทยสมัยรัชกำลที่ ๔ ก่อนอิทธิพลของชำติตะวันตก
หม่อมรำโชทัย (ม.ร.ว.กระต่ำย อิศรำงกูร) เครือ่ งแต่งกำย
และของตกแต่งมำจำกหลำยประเทศในเอเชีย ไทย จีน
เปอร์เ ีย อำหรับ อินเดีย เฉพำะหนังสือเท่ำนั้นที่เป็นของ รั่ง
การปกปนอาณาเขต
พร้อมๆ กับการปรับเปลี่ยนสู่ระบบบริหารราชการแผ่นดินแบบใหม่ก็
มีการปรับเปลี่ยนด้านภูมิรัฐศาสตร์ด้วย ระบบเดิมมีรากฐานอยู่ที่เมือง อาณา
เขตของแต่ละเมืองไม่ชัดเจน และความสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างเจ้าผู้ครองนคร
ทั้งหลายเป็นเรื่องหลัก ระบบใหม่มีรากฐานอยู่ที่ “อาณาเขต” มีเส้นกั้นเขตแดน
แน่นอน ความสัมพันธ์ส่วนตัวส�าคัญน้อยลง ซึ่งระบบใหม่นี้ ธงชัย วินิจจะกูล
เรียกขานว่า “ภูมิกายา” หรือ “ o ody” ๑๐
ระบบดั้งเดิมไม่มีการปักปันอาณาเขตดังเช่นเส้นที่ขีดในแผนที่ หรือ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
พวกเรำบำงคนได้ใ ันไว้ และจักรวรรดินี้จะต้องแผ่ขยำยจำกกวำงตุ้งและ
ยูนนำนไปจนถึงบริเว กรุงเทพ ” ๑๒ นอกจากนั้น ฝรั่งเศสยังน�าเอาแนวคิด
แบบตะวันตกอีกหนึ่งเข้ามา คือ การอ้างสิทธิเข้าครอบครองอาณาบริเวณโดย
ใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ฝรั่งเศสเริ่มมองหาเอกสารซึ่งแสดงว่าเวียดนาม
เคยครอบครองดินแดนที่อยู่ระหว่างฮานอย-ไซ่ง่อน และกรุงเทพฯ เพื่อว่าผู้ที่
เข้ายึดกุมเวียดนามได้คือฝรั่งเศสจะสามารถอ้างความชอบธรรมเป็นเจ้าเหนือ
เขตแดนเหล่านั้นได้ด้วย
ขณะเดียวกัน นักธุรกิจฝรั่งเริ่มเข้ามาหาประโยชน์ในสยาม บริษัทท�าไม้
อังกฤษหลายแห่งเริ่มท�าไม้ที่พม่าก่อนแล้วเขยิบเข้ามาตัดไม้ในดินแดนล้านนา
บริษัทเหมืองดีบุกพยายามขยับขยายเข้าสู่สยามจากแหลมมลายูที่ตกเป็นของ
อังกฤษแล้ว กลุ่มบริษัททั้งสองอุตสาหกรรมนี้ได้รับสัมปทานจากเจ้าเมืองที่เป็น
ประเทศราชของสยาม ที่กรุงเทพฯ นักเก็งก�าไร รั่งเสนอโครงการขุดคลองที่
“คอคอดกระ” ขอท�าเหมืองแร่หลายชนิด และสร้างทางรถไ เป็นโครงข่าย
ที่สะท้อนความใ ันของเจ้าอาณานิคมที่จะแผ่ขยายอิทธิพลทั่วภูมิภาค ใน
สถานการณ์แบบนี้ สยามเริ่มมองเห็นว่าการมีเส้นแบ่งเขตแดนที่ชัดเจนเป็นวิธี
ป้องกันตัวเองที่ดี พ.ศ. ๒๔๒๓ รัฐบาลสยามจ้างนักส�ารวจชื่อเจมส์ แมคคาร์ที
จากอินเดีย ส่งเขาไปท�าแผนที่ ณ บริเวณชายแดนโดยเฉพาะที่อีสานไกลโพ้น
แมคคาร์ทีเดินทางไปกับกองทหารประหนึ่งว่าถูกส่งขึ้นไปเพื่อปราบ “จีนฮ่อ” ซึ่ง
คงจะเป็นพวกที่ลี้ภัยสืบเนื่องจากเหตุการณ์กบฏไต้ผิงที่จีนใต้ แต่หน้าที่แท้จริง
ของกองทหารคือเป็นตัวเสริมและยืนยันอาณาเขตที่แมคคาร์ทีก�าลังท�าแผนที่
ก�ากับอยู่ โดยปักธงช้างไทย มอบราชทินนามให้กับผู้น�าท้องถิ่น สร้างค่ายทหาร
และสักเลกเพื่อเกณฑ์แรงงาน แผนที่ของแมคคาร์ทีพิมพ์ใน พ.ศ. ๒๔๓๐
แสดงอาณาเขตสยามจากสิ บ สองปั น นาลงใต้ ไ ปตามเทื อ กเขาอั น นั ม ที่ เ ขมร
(แผนที่ ๔) ธงชัย วินิจจะกูล กล่าวว่าแผนที่นี้ “แปรควำมปรำรถนำออกมำเป็น
ระบบสั ะ” ๑๓
ส�าหรับเขตแดนทางใต้และตะวันตกที่เชื่อมกับอาณานิคมอังกฤษนั้น
สยามและอังกฤษบรรลุข้อตกลงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ และ ๒๔๕๒ แบ่งเมืองที่
เคยเป็นประเทศราชของทั้งมลายูและสยามให้แก่กัน แต่การเจรจากับฝรั่งเศส
มีความยุ่งยากมากกว่า เพราะว่าฝรั่งเศสได้ท�าแผนที่ของตนเองและเอาหลักฐาน
เอกสารท้องถิ่นมาเป็นข้ออ้างในการเข้าครอบครองดินแดนย้อนไปในประวัติ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
12
'3)
%&0
%4
+(#(
%&
2
+#
1
.& #
" 3
$
%&'()*
0..((.78
#$ #9
+!&
2
!
4
5
6
B)?!!*)
%
(5.&0.%16(.78#9
%01:(9 .#9 .(%16	
;2<="&$>:."+#0.%16;(?%9#9
,-%./0 '1(.%4@>&0.%16;(?%9#9
#0%&59,A%4@>&0.%16;(?%9#9
'();(?%9&@!#9 .(%16	
13)0(.-.(0(%4@>&0.%16(.78#9
&3)&0(> 0$#9
7 B)?!!*)#9
7 &)?"+40(CC#9
&-
B)?!!*)
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เกณ ์ทหารประจ�าการเป็นสิ่งจ�าเป็น และถ้าท�าไม่ส�าเร็จก็เหมือนกับยอมสูญ
เสียล้านนาไป ๑๔ ดังนั้น จึงทรงรีบเร่งเกณฑ์ทหารประจ�าการที่สามจังหวัดเพื่อ
ปราบปรามกบฏ และภายในปี ๒๔๔๘ ก็ขยายการเกณฑ์ไปทั่วประเทศ เก็บ
ภาษีรัชชูปการกับทุกคน (รวมทั้งจีนและต่างชาติอื่นๆ จากปี ๒๔๕๓) การใช้
จ่ายด้านการทหารเพิ่มจากหนึ่งล้านบาทในปี ๒๔๓๑ เป็น ๑๓ ล้านบาท ในปี
๒๔๕๓-๒๔๕๔ เมื่อสยามมีกองทหารประจ� าการ ๒๐,๐๐๐ นาย ทหารเรือ
๕,๐๐๐ นาย และมีทหารส�ารองของทั้งสองเหล่าทัพอีก รวมกันกว่า ๕๐,๐๐๐
นาย
พลเมืองทุกคนขณะนี้เป็นคนของพระราชา ทุกคนมีความสัมพันธ์กับ
รัฐสยามผ่านการเสียภาษีและการถูกเกณฑ์ทหาร อีกนัยหนึ่งพวกเขาถูกสร้าง
ใหม่เป็นกลุ่มคนเชื้อชาติเดียวกัน
สร้างความเปนไทย
การกลับเข้ามาของฝรั่งอีกครั้งหนึ่งสมัยต้นรัตนโกสินทร์ และการที่
สยามต้องท�าสนธิสัญญากับฝรั่งหลายฉบับหลังจากนั้น ท�าให้มีการอภิปรายกัน
ถึงลักษณะของผู้คนที่อยู่ ในดินแดนสยามและความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา
เหล่านั้น โดยทั่วไป ภาษาเป็นมาตรวัดว่าใครมาจากไหนและต่างกันอย่างไร
ชาวต่างชาติทั้งหมดถูกเรียกรวมๆ ว่า “สิบสองภาษา” หรือ “สี่สิบภาษา” ใน
สมัยรัชกาลที่ ๓ ที่บานประตูวัดโพธิ์มีภาพเขียนแสดงคนแต่ละชาติ ๒๗ ภาพ
ด้วยกัน รวมทั้งคนไทยด้วย และมีกลอนอธิบายลักษณะเฉพาะของแต่ละชาติ
ก�ากับแต่ละภาพ ทั้งภาพและกลอนส�าแดงความต่างเชื้อชาติไม่ใช่แต่เพียงด้าน
ภาษา แต่ยังรวมถึงรูปร่างหน้าตา บุคลิก และการแต่งกายอีกด้วย ส�าหรับ
คนไทยมีบทกลอนก�ากับดังนี้
ค�าบรรยายเกี่ยวกับคนไทยนี้ไม่ได้ครอบคลุมทุกคนในสยาม กล่าวถึง
“ขุนนาง” เท่านั้น และส�าแดงรูปลักษณ์ของชนชั้นน�าไทยเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่
จัดว่ามีอ�านาจเหนือผู้อื่น
ชนชั้นปกครองอาจกล่าวถึงตัวเองว่าเป็น “ไทย” แต่ในสมัยนั้นราช
ส�านักยังโอ้อวดถึงความหลากหลายของคนเชื้อชาติต่างๆ ภายในประเทศด้วย
พระราชอ�านาจของกษัตริย์แผ่ไปเหนือทุกผู้ทุกเหล่าที่ “เข้ำมำพึ่งพระบรมโพธิ
สมภำร” เมื่อเวลาเจรจากับต่างชาติ รัฐเรียกตัวเองว่า “สยาม” พระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธยว่า “กรุงสยาม” และพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕
ทรงลงพระปรมาภิไธยว่า “สยามินทร์” (สยาม อินทร์) ตามวิธีคิดแบบเดิม
สยำมอาจจะหมายถึงเมืองหลวง หรือรวมบริเวณที่เมืองหลวงมีอิทธิพลอยู่ด้วย
ก็ได้ ส�าหรับบริเวณชายขอบไกลออกไปนั้น เรียกชื่อตามภาษาหรืออัตลักษณ์
ด้านเชื้อชาติ เช่น ลำวอีสำน ลำวพำยัพ เขมร มลำยู หรือแขก เป็นการตอกย�้า
อิทธิพลของจักรวรรดิสยามเหนือผู้คนสารพัดเชื้อชาตินั่นเอง
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสอินเดีย ใน พ.ศ. ๒๔๑๕
นั้น ทรงแนะน�าพระองค์เองว่าเป็น “กษัตริย์สยามทรงพระราชอ�านาจเหนือ
ลาวและมลายู”๑๖
ที่ยุโรปมีการพัฒนาตกผลึกเป็นแนวคิดที่ว่า ประเทศชาติเป็นรูปธรรม
ทางการเมืองของ “เชื้อชาติ” ra จากทศวรรษ ๒๔๒๐ ฝรั่งเศสใช้แนวคิด
นี้เป็นเครื่องมือรุกรานสยาม โดยอ้างว่าคนลาวแม้จะมีภาษาใกล้เคียงกับคน
สยาม แต่เป็นเชื้อชาติหนึ่งแยกออกไปเห็นได้ชัดเจน ขณะเดียวกันคนสยาม
ไม่ใช่เชื้อชาติเพราะว่าผสมปนเปกับชาวจีน ดังนั้น คนสยามแท้ๆ จึงเป็นชน
กลุ่มน้อยในประเทศของตนเอง และโดยแท้จริงเป็น “ค ำธิปไตยกระจิริด
ครอบง�ำไพร่ฟ ำข้ำแผ่นดิน” ๑๗ ในวาทกรรมนี้ หากฝรั่งเศสยึดเอาสยามเป็น
อาณานิคมจะปลดปล่อยคนส่วนใหญ่ของสยามให้เป็นอิสระ ในสนธิสัญญาที่
ลงนามกันหลังเหตุการณ์ปากน�้าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ฝรั่งเศสสื่อความคิดนี้ใน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ระดับหนึ่งโดยก�าหนดว่า ชำวอินโดจีนที่ข ะนั้นอยู่ในสยำมมีสถำนภำพเป็น
คนในบังคับ รั่งเศส เป็นอิสระจำกสยำม ต่อจำกนั้น รั่งเศสขยำยขอบเขต
ของคนในบังคับออกไป นับรวมลูกหลำนของผู้ที่อพยพข้ำมแม่น�้ ำโขงมำตั้งแต่
ปี ๒ ๗๑ และต่อมำขยำยรวมไปถึงทั้งลูกหลำนชำวลำวและเขมรทุกคน และ
แม้แต่คนจีนที่ต้องกำรอยู่ในบังคับ รั่งเศสเพื่อควำมสะดวกในธุรกิจกำรค้ำ
ราชส�านักสยามไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ขุนนางบางคนเสียดสีว่ากษัตริย์เองอาจจะ
มีเลือดเขมรมากพอจะเป็นคนในบังคับฝรั่งเศสกระมัง ชาวสยามจ�านวนมาก
ยอมอยู่ใต้บังคับฝรั่งเศสเพื่อหลีกเลี่ยงถูกเกณฑ์แรงงาน นักธุรกิจฝรั่งเศสวาง
แผนที่จะท�ากิจการในสยามโดยใช้คนในบังคับฝรั่งเศส
ราชส�านักสยามเรียนรู้ที่จะใช้วาทกรรมเรื่องเชื้อชาติด้วย ค�าว่า “ชาติ”
ซึ่ง ณ จุดเริ่มต้นหมายถึงก�าเนิด หรือที่มา หรือวัฏสงสารการเวียนว่ายตายเกิด
ใช้ให้หมายถึงกลุ่มคนที่มีต้นก�าเนิดเดียวกัน การนิยามความเป็นชาติไทยมี ๒
วิธี คือ วิธีแรกเอาความหมายเก่าว่า “ชาติ” เป็นกลุ่มคนที่พูดภาษาเดียวกัน
และปรับให้ผู้ที่พูดภาษากลุ่มไทอื่นๆ เป็นคนไทยด้วย ทั้งนี้ ข้าหลวงเทศาภิบาล
ตามหัวเมืองที่อีสานและล้านนาได้รับค�าสั่งให้บอกกับเจ้าเมืองท้องถิ่นว่า ไทยกับ
ลำวเป็นชำติเดียวกันและพูดภำษำเดียวกันอยู่ภำยใต้รัฐเดียวกัน สมเด็จฯ กรม
พระยาด�ารงราชานุภาพทรงกล่าวว่า “...เรียกว่ำ ชำวสยำมบ้ำง ลำวบ้ำง เฉียง
บ้ำง ฉำนบ้ำง เงี้ยวบ้ำง ลื้อบ้ำง เขินบ้ำง ข�ำติบ้ำง อำหมบ้ำง ฮ่อบ้ำง...ที่แท้พวก
ที่ได้นำมต่ำง ดังกล่ำวมำนี้ล้วนเป็นชนชำติไทย พูดภำษำไทย และถือตัวว่ำเป็น
ไทยด้วยกันทั้งนั้น...” ๑๘
วิธีที่สอง ผู้ที่อาศัยอยู่ในอาณาเขตเดียวกันและเป็นข้าราชบริพารของ
กษัตริย์องค์เดียวกัน ถือว่าเป็นคนไทย ข้าหลวงจากกรุงเทพฯที่ล�าปางกล่าว
ในงานเลี้ยงครั้งหนึ่งว่า “คนสยำมและลำวไม่ต่ำงกัน ทุกคนเป็นข้ำรำชบริพำร
ของพระเจ้ำอยู่หัว” ๑๙ เมื่อสยามมีกรณีพิพาทกับอังกฤษด้วยเรื่องเขตแดน
พ.ศ. ๒๔๒๘ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงผนวกสองนิยามเข้าด้วยกัน เมื่อ
ทรงกล่าวใจความว่า “ไทย ลาว และเงี้ยวต่างถือว่าเป็นคนชาติเดียวกัน พวก
เขาล้วนเคารพเราในฐานะเจ้าเหนือหัวสูงสุดของพวกเขา ดูแลทุกข์สุขให้กับ
พวกเขา” ๒๐
แนวคิดที่ว่าชาติคือชุมชนวัฒนธรรมก่อตัวขึ้นมาเริ่มแรกจากการใช้
ภาษาเดียวกัน ปรากฏอยู่ในแบบเรียนเล่มแรกๆ ที่ใช้ในโรงเรียนใหม่ (ดูเบื้อง
หน้า) ในแบบเรียนนี้ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เขียนว่า “เรำเกิดมำเป็นไทย
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ที่อาศัยอยู่ภายในขอบเขตของราชอาณาจักรไทย ความคิดนี้รองรับตามพระ
ราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. ๒๔๕๖ ซึ่งก�าหนดว่าผู้ที่เกิดภายในขอบเขตประเทศ
ไทยสามารถอ้างสัญชาติไทยได้ แต่จากอีกมุมหนึ่ง “ไทย” หมายถึงผู้คนถูก
หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวด้วยภาษา และอาจจะด้วยความเป็นเชื้อชาติหรือชนชาติ
เดียวกัน
รัฐบาลไทยเสนอความเป็นไทยอันเป็นหนึ่งเดียวนี้แก่ต่างชาติ แต่ภาย
ในสังคมไทยเองนั้น ราชส�านักยังคงรักษาความต่าง ข้าหลวงที่ส่งไปดูแล
บริเวณหัวเมืองไกลออกไปตามชายขอบถูกสั่งให้เน้นอัตลักษณ์เดียวกันระหว่าง
ลาวและคนสยามเมื่อพูดกับฝรั่ง แต่ให้คงความต่างระหว่างไทย-ลาวเอาไว้เป็น
การส่วนตัว ค�าบรรยายเกี่ยวกับสยามที่ส่งไปพร้อมกับการแสดงนิทรรศการ
ระหว่างประเทศที่เซนต์หลุยส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๗ แบ่ง “ชนชาติ
ไทยที่ยิ่งใหญ่” ออกเป็น ๓ ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกได้แก่ ชำวสยำมหรือคน
ไทยเดิม “ซึ่งกลุ่มนี้เท่านั้นได้ยอมรับอารยธรรมตะวันตก และด�ารงเอกราชไว้
ได้ท่ามกลางมวลประเทศของโลก” ส่วนที่สองคือ ไทยให ่และลำว ผู้ซึ่งเป็น
“เชื้อชาติเดียวกัน” และส่วนที่สามคือผู้คนเชื้อชาติเพื่อนบ้านใกล้เคียง เช่น
เขมร มลำยู และพม่ำ ซึ่ง “เดิม...เป็นเชลยศึก” แต่ได้ “แต่งงำนกับคนสยำม
และล้วนแต่พูดภำษำสยำม” ๒๓ แบบเรียนแยกระหว่างผู้ที่พูดภาษาไทยได้ถูก
ต้องแล้ว และผู้ที่ต้องปรับปรุงตนเองเพื่อที่จะได้มีคุณสมบัติเป็นสมาชิกของ
ชาติไทยได้อย่างเต็มที่
ชนชั้นน�าเริ่มให้นิยาม ความเป็นชาติไทย ที่ซับซ้อนยิ่งขึ้นหลังจากได้
เดินทางไปหัวเมืองและเห็นความแตกต่างหลากหลาย พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เสด็จประพาสหัวเมืองทั้งขณะที่ทรงผนวชและหลังจากทรงขึ้นครองราชย์แล้ว
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสต่างจังหวัดบ่อยครั้งยิ่งกว่า โดยทรง
ปลอมพระองค์และทรงสนุกสนานเมื่อมีคนจ�าได้ สมเด็จฯ กรมพระยาด�ารงฯ
และข้าราชการอื่นๆ ซึ่งมีหน้าที่แผ่ขยายระบบบริหารราชการใหม่ไปทั่วอาณาเขต
ยิ่งเดินทางมากกว่าอีก ทุกคนจดบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่พบเห็นระหว่างการเดินทาง
เหมือนกับที่ฝรั่งก่อนเคยท�ามาแล้ว จากทศวรรษ ๒๔๒๐ เริ่มมีงานเขียนว่า
ด้วยกลุ่มคนที่พบในรัฐชาติใหม่
งานเขียนเหล่านี้จ�าแนกผู้คนออกเป็น ๓ ช่วงชั้นใหญ่ๆ ณ ระดับล่าง
ที่สุด คือผู้ที่อาศัยอยู่บนดอย นายพลผู้หนึ่งมีหน้าที่ท�าแผนที่และปกป้องบริเวณ
สร้างพลเมองที ีกว่า
รัฐชาติใหม่ ถือความชอบธรรมที่จะก�ากับประชาชนที่มาจากหลากหลาย
ภูมิหลังและความคิดซึ่งได้ถูกรวมเข้ามาอยู่ในอาณาเขตเดียวกันให้อยู่ในกรอบ
วินัยเดียวกัน ใช้กองทัพประจ�าการที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ ควบคุมให้เกิดความสงบ
เรียบร้อยภายในประเทศเป็นงานด้านหลัก พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงเรียก
กองทหารที่ส่งไปปราบกบฏที่ภาคเหนือใช้ค�าภาษาอังกฤษทับศัพท์ว่า “an ar y
of o ation” (กองประจ�าเพื่อยึดพื้นที่) ๒๔ ต�ารวจก็จัดตั้งขึ้นใหม่เมื่อรัฐบาล
ตัดสินใจยกเลิกบ่อนการพนัน โดยเริ่มแรกใช้เพื่อควบคุมอั้งยี่ นอกจากนั้น
ที่ว่าการจังหวัดทุกแห่งมีเรือนจ�าเป็นมาตรฐาน
กรมหลวงราชบุ รี (พระเจ้ ำ บรมวงศ์ เ ธอ พระองค์ เ จ้ ำ รพี พั นศั ก ดิ์
กรมหลวงรำชบุรีดิเรกฤทธิ์) พระราชโอรสองค์หนึ่งในพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕
ส�าเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และได้รับมอบหมายให้ทรงสร้าง
ระบบตุลาการ ทรงอยากจะเลือกแนวทางของกฎหมายอังกฤษที่พัฒนาขึ้นบน
รากฐานของ ประเพณี และ วิธีปฏิบัติในอดีต (common law) แต่ต้องเปลี่ยน
เป็นระบบทีใ่ ช้ ประมวลก หมาย เป็นลายลักษณ์อกั ษร (codified roman law)
ด้วยเหตุผลที่ว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เชื่อว่าฝรั่งจะประทับใจกับระบบหลังนี้
มากกว่า จึงร่างประมวลกฎหมายอาญาแล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ นอกจากนั้น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
กรมหลวงราชบุรีทรงประสงค์จะให้ระบบตุลาการแยกออกจากระบบราชการ
อย่างสิ้นเชิง แต่อีกนั่นแหละ ทรงต้องยอมตามพระประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๕ เนื่องจากทรงได้เคยศึกษาระบบอาณานิคมซึ่งน� าเอาระบบตุลาการ
และระบบข้าราชการมารวมกันเพื่อให้การควบคุมพลเมืองเข้มข้นขึ้น
ดังนั้น รัฐชาติจึงมีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมเพรียงเพื่อควบคุมพลเมือง
อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวแล้วรัฐต้องหล่อหลอมประชาชนให้เป็นพลเมืองดี
ของชาติ
ตั้งแต่ช่วงต้นรัตนโกสินทร์มาแล้วที่รัฐมุ่งหวังใช้พระพุทธศาสนาเพื่อ
สอนและสร้างวินัยแก่สังคม รัฐชาติปรับหลักการนี้มาใช้เช่นเดียวกัน ทั้งพระ
จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงแต่งตั้งสมาชิกพระราช
วงศ์ต่อเนื่องกันมาให้เป็นพระสังฆราช จาก พ.ศ. ๒๔๑๗ พระสังฆราชล้วน
แล้วแต่เป็นสมาชิกของนิกายฝ่ายปฏิรูปคือ “ธรรมยุต” พ.ศ. ๒๔๓๖ พระเจ้า
อยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงมอบหมายให้พระเจ้าน้องยาเธอที่ทรงอยู่ในสมณเพศคือ
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระอนุชาต่างพระมารดา
ผู้จะทรงเป็นพระสังฆราชในอนาคต ให้ดูแลมหาเถรสมาคมเพื่อปรับปรุงการฝก
อบรมของพระสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๔๑ ทรงย้ายสมเด็จฯ กรมพระยาวชิรญาณฯ ให้
ไปพัฒนาการศึกษาขั้นปฐม โดยขยายระบบโรงเรียนวัดแบบเดิมออกไปให้กว้าง
ขวางขึ้น สมเด็จฯ กรมพระยาวชิรญาณฯ ทรงเริ่มด้วยการส่งพระธรรมยุตไป
ส�ารวจตามจังหวัดต่างๆ รายงานที่ส่งกลับมาแสดงให้เห็นความหลากหลายของ
ผู้คน และวิถีปฏิบัติทางศาสนาภายในเขตแดนของสยามประเทศเดียวกัน
วัดท้องถิ่นมีคัมภีร์และวิถีปฏิบัติของตนเอง พระสง ์ที่วัดต่างจังหวัด
ต้องท�านา และมีส่วนร่วมในวันนักขัต กษ์ของหมู่บ้าน เทศน์โดยใช้นิทาน
พื้นบ้านประกอบ และมีความรู้น้อยเกี่ยวกับคัมภีร์ศาสนา เช่น พระไตรป ก
หลังจากได้อ่านรายงานนี้ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงมอบหมายให้
สมเด็จฯ กรมพระยาวชิรญาณฯ จัดระเบียบคณะสงฆ์ให้มีวิถีปฏิบัติและมีวินัย
เป็นมาตรฐานเดียวกัน พระราชบัญญัติคณะสง ์ซึ่งเป็นผลตามมาใน พ.ศ.
๒๔๔๕ จัดอันดับพระสงฆ์เป็นช่วงชั้นจากระดับบนคือพระมหากษัตริย์และพระ
สังฆราชลงมา ให้พระสงฆ์เรียนจากหลักสูตรมาตรฐาน จัดให้มีการสอบตาม
ระดับคุณวุฒิต่างๆ ที่ด�าเนินการจากส่วนกลาง และก�าหนดให้เทศนาสั่งสอน
จากต�าราซึ่งทางการอนุมัติแล้ว วัดใหม่ต้องสร้างตามแบบที่กา� หนดเป็นมาตรฐาน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ส าบันกษัตริย์ ทันสมัย ละอลังการ
พร้อมๆ กับสิ่งสร้างใหม่ คือ รัฐชาติ และ พลเมือง สถาบันกษัตริย์
ก็ได้ปรับเปลี่ยนรูปสู่ความทันสมัยและอลังการ
ประการแรก สถาบันสร้างฐานการเงินใหม่ พระคลังข้างที่ซึ่งแต่เดิม
ท�าหน้าที่จัดสรรผลก�าไรจากการค้าต่างประเทศของราชส�านักให้กับสมาชิกของ
พระราชวงศ์ มีกิจกรรมเพิ่มขึ้น โดยให้ทุนแก่สมาชิกพระราชวงศ์และขุนนาง
ไปเรียนต่างประเทศ ใน พ.ศ. ๒๔๓๓ เปลี่ยนชื่อเป็น กรมพระคลังข้างที่ และ
มีหน้าที่ลงทุนพระราชทรัพย์ของสถาบันกษัตริย์ในธุรกิจต่างๆ โดยได้รับงบ
ประมาณระหว่างร้อยละ ๕ ถึงร้อยละ ๒๐ ของรายได้รัฐขณะนั้น ในสมัย
รัชกาลที่ ๕ กรมพระคลังข้างที่ลงทุนโรงสีข้าว สร้างห้องแถวบนถนนตัดใหม่ของ
กรุงเทพฯ และสร้างตลาดในย่านการค้าของต่างจังหวัด ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๕๓
กรมพระคลังข้างที่คือเจ้าของที่ดินรายใหญ่ที่สุดในประเทศ และยังร่วมทุนกับ
ต่างชาติเพื่อก่อตั้งวิสาหกิจในกิจการรถไฟ ไฟฟ้า ธนาคาร ปูนซีเมนต์ เหมือง
ถ่านหิน และกิจการเรือกลไฟ
ประการต่อมา ก่อนหน้านี้สมาชิกของพระราชวงศ์เคยถูกกันออกไปจาก
ต�าแหน่งระดับสูง แต่ในขณะนี้พระบรมวงศ์ได้เข้ามีบทบาทสูงในระบบรัฐบาล
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงก่อตั้ง “อภิรัฐมนตรี” ประกอบด้วย ๑๒
เสนาบดี ใน พ.ศ. ๒๔๓๕ นั้น เสนาบดี ๙ ต�าแหน่งตกอยู่กับพระอนุชาหรือ
พระเชษฐา ทั้งจากพระมารดาเดียวกันหรือต่างพระมารดา ใน พ.ศ. ๒๔๒๘
ทรงส่งพระราชโอรสพระองค์โต ๔ พระองค์ไปศึกษาที่ต่างประเทศ และเมื่อ
ศึกษาส�าเร็จกลับมานับจากประมาณปี ๒๔๓๘ เป็นต้นไป ทรงแต่งตั้งพระราช
โอรสและพระบรมวงศ์อื่นๆ ให้ด�ารงต�าแหน่งระดับสูงในกระทรวงกลาโหมและ
กระทรวงอื่นๆ
พระราชวงศ์ทรงมีฐานะพิเศษในโรงเรียนใหม่ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาเพื่อฝกคน
ให้เข้ารับราชการ สมเด็จฯ กรมพระยาด�ารงฯ ทรงก่อตั้งโรงเรียนสวนกุหลาบ
ขึ้นเพื่อให้การศึกษาแก่ผู้ที่จะรับราชการ ในช่วงต้นโรงเรียนนี้รับแต่เพียงโอรส
ของเจ้าฟ้าและบุตรชายของขุนนางใหญ่ที่สุด หลังจากที่สามัญชนบางรายสมัคร
เข้าเรียนได้ จึงมีการปรับค่าเล่าเรียนให้สูงขึ้นเพื่อกันไม่ให้สามัญชนได้เข้าเรียน
มากนัก โรงเรียนมหาดเล็กหลวง ก่อตั้ง พ.ศ. ๒๔๔๐ เพื่อเตรียมนักเรียนไป
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เข้าสู่พระราชวังดุสิตที่สร้างขึ้นใหม่ มีทั้งพระต�าหนักแบบยุโรปและแบบอื่นเพื่อ
สมาชิกของพระราชวงศ์ กษัตริย์และขุนนางน�าเข้าของประดับบ้านจากยุโรป
เพื่อสร้างความโอ่อ่าให้กับที่พ�านัก
พ.ศ. ๒๔๔๐ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้ง
แรก นับเป็นนโยบายการทูตที่ชาญฉลาดทีเดียวหลังจากที่เกิดวิกฤตปากน�้าเมื่อ
๔ ปีก่อนหน้า รัฐมนตรีฝรั่งเศสผู้ดูแลอาณานิคม ตระหนักในความส�าคัญนี้
โดยกล่าวว่าการเสด็จประพาสนี้ “จะเป็นกำรสร้ำงภำพพจน์ว่ำรำชอำ ำจักรสยำม
่ึงทรงได้รับกำรถวำยต้อนรับเฉกเช่นกษัตริย์ของประเทศในยุโรป เป็นประเทศ
ศิวิไล ์ ที่ควรได้รับกำรป ิบัติเฉกเช่นมหำอ�ำนำจยุโรปแห่งหนึ่ง” ๒๙ นอกจาก
นั้น เป็นโอกาสที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ จะได้ทอดพระเนตรความศิวิไลซ์ด้วย
พระองค์เอง และยังเป็นการแสดงให้พสกนิกรได้เห็นภาพของกษัตริย์ยุคใหม่
ท่ามกลางราชนิกุลระดับน�าของโลก
กษัตริย์ยุคใหม่ตามแนวทางของตะวันตก ทรงเปดให้สาธารณชนได้
มองพระองค์มากขึ้น เมื่อสมัยต้นรัตนโกสินทร์น้ันยังมีทหารโก่งธนูน�าหน้า
ขบวนเสด็จพระราชด�าเนินเพื่อห้าม ูงชนได้เห็นพระวรกายของกษัตริย์ หลัง
จากที่นักธนูท�าให้ผู้หญิงคนหนึ่งบาดเจ็บ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ จึงจ�ากัดบทบาทอยู่
ที่เพียงข่มขู่ไม่ให้ประชาชนแสดงความกระด้างกระเดื่อง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาล
ที่ ๔ โปรดให้ยกเลิกโก่งธนู และโปรดให้ผู้คนเฝ้าดูพิธีกรรมของราชส�านักและ
การเสด็จประพาสหัวเมือง พระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดให้ประชาชนเห็น
พระวรกายและรูปเสมือนมากยิ่งขึ้นไปอีก และโปรดให้ฉาย ให้วาด และปั้นพระ
บรมรูป โปรดให้ประทับพระบรมฉายาลักษณ์ลงบนเหรียญ แสตมป์ รูปที่ระลึก
และโปสการ์ด ทรงขับรถม้าพระที่นั่งรอบๆ กรุงเทพฯ โดยเปิดประทุนรถม้า
และต่อมาทรงขับรถยนต์พระที่นั่ง (ดูภาพที่ ๙) จาก พ.ศ. ๒๔๔๒ ในงาน
ประจ�าปีของวัดเบญจมบพิตร เสด็จพระราชด�าเนินปะปนไปกับกลุ่มผู้ติดตาม
ที่เลือกสรรมาแล้ว พ.ศ. ๒๔๕๑ พระบรมรูปทรงม้า ได้รับการประดิษฐานที่
ด้านหน้าของพระที่นั่งอนันตสมาคม นับเป็นพระบรมรูปชิ้นแรกที่ไม่ได้สร้าง
ตามขนบทางศาสนาพุทธ พระบรมรูปทรงม้าแสดงความเป็นตัวตนที่ยิ่งใหญ่
ของกษัตริย์ ณ ใจกลางเมืองหลวง
ช่วงท้ายรัชกาล กษัตริย์ยุคใหม่ทรงแสดงพระองค์กับพสกนิกรในพิธี
กรรมอย่างอลังการ เมืองหลวงเปลี่ยนรูปโฉมใหม่ เมื่อโปรดให้สร้างถนน
ราชด�าเนินตามแบบอย่างของ Champs Elysées ที่ปารีส เพื่อแห่ขบวนรับ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ พระเจ้ำอยู่หัวรัชกำลที่ ๕ ทันสมัยและเปดเผยพระองค์ ปลำยรัชสมัย
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เด่นมากในสมัยนั้น เป็นแบบอย่างของสถาปัตยกรรมไทยโบราณในอุดมคติผสม
กับรสนิยมยุโรป เช่น ก�าแพงหินอ่อนคาร์เรรา และหน้าต่างกระจกสีแบบโกธิค
ส�าหรับภาพวาดฝาผนังโบสถ์ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ออกแบบตามประ
เพณีไทยโบราณ แต่วาดขึ้นโดยศิลปากรชาวอิตาลีตามแบบสมัยเรอเนสซองส์
นอกจากนั้น ราชส�านักยังรับวิธีคิดร่วมสมัยจาก รั่ง โดยเฉพาะวิชา
สังคมศาสตร์ ึ่งสะท้อนความเชื่อว่ามนุษย์มีความสามารถที่จะเปลี่ยนโลกได้
นอกจากความสนใจในมานุษยวิทยาดังทีก่ ล่าวถึงก่อนหน้านีแ้ ล้ว ประวัตศิ าสตร์
ยังเป็นอีกแขนงวิชาที่ได้รับความนิยมสูง
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักถึงความส�าคัญของประวัติศาสตร์
ในสมัยที่ผู้คนประทับใจกับความคิดเรื่องความเจริญเป็นอย่างยิ่ง พระองค์
เสด็จ ประพาสโบราณสถานและทรงรวบรวมแหล่ ง ข้ อ มู ล ทางประวัติศ าสตร์
ทรงพระราชนิพนธ์ประวัติศาสตร์สยามฉบับย่อเป็นภาษาอังกฤษ พระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๕ โปรดให้เฉลิมฉลองประวัติศาสตร์สยามเป็นส่วนหนึ่งของงานฉลอง
ครั้งใหญ่ที่จัดขึ้นในช่วงรุ่งเรืองสูงสุดแห่งรัชสมัยของพระองค์ โดยจัดขึ้นท่าม
กลางซากปรักหักพังของกรุงเก่าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๐ ในปีนั้นเพิ่งเสด็จพระราช
ด�าเนินกลับจากยุโรปเป็นครั้งที่ ๒ พระราชปาฐกถาที่ทรงแสดงในงานนี้ทรง
มีข้อสังเกตว่า
ประเทศทั้งหลายซึ่งได้ควบคุมกันเปนชาติแลเปนประเทศ
ขึ้น ย่อมถือว่าเรื่องราว ประวัติศาสตร์ ของชาติตนแลประเทศ
ตน เปนสิ่งส�าคัญซึ่งจะพึงศึกษาแลพึงสั่งสอนกัน ให้รู้ชัดเจนแม่น
ย�า เปนวิชาอันหนึ่งซึ่งจะได้แนะน�าความคิดแลความประพฤติ ซึ่ง
จะพึงเหนได้เลือกได้ในการที่ผิดแลชอบชั่วแลดี เปนเครื่องชักน�า
ให้เกิดความรักชาติแลรักแผ่นดินของตัว๓๒
ทรงกล่าวว่า ประเทศเหล่านี้มีการรวบรวมประวัติศาสตร์ย้อนหลังไป
อย่างน้อยเป็นพันป และทรงประกาศจัดตั้ง “สมาคมโบราณคดี” เพื่ออุทิศตน
ในการรวบรวมประวัติศาสตร์ดังกล่าวส�าหรับสยามในท�านองเดียวกัน ปีต่อมา
พระมงกุฎเกล้าฯ พระราชโอรสเสด็จประพาสสุโขทัย และได้ทรงน�าเนื้อหาของ
ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ไปเทียบเคียงปูชนียสถานที่ศิลาจารึกเอ่ยถึงกับซากปรักหัก
พังที่ทรงพบบนพื้นดิน (ภาพที่ ๑๐) ทรงพิมพ์เรื่องราวการเสด็จประพาสครั้ง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ฉ้อราษฎร์บังหลวง มีคนตักเตือนไม่ให้เขาพูดจาโผงผางเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว
ท้ายที่สุดถูกจ�าคุกตลอดชีวิตเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๕ ด้วยข้อหาละเมิดระเบียบปฏิบัติ
ด้านกฎหมายในการด�าเนินอาชีพเป็นทนายของเขา เขาถูกจ�าคุกอยู่ถึง ๑๖ ปี
และออกจากคุกมาพร้อมๆ กับงานเขียนเป็นจ�านวนมาก หลังจากนั้นได้จัดท�า
วารสารซึ่งต่อต้านการเกณฑ์แรงงาน และการมีภรรยาหลายคนพร้อมๆ กัน
เขาไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลสนับสนุนการพนัน เขาไม่พอใจระบบรัฐบาลไม่มีตัวแทน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาตั้งค�าถามว่า เหตุใดการเมืองจึงเป็นเรื่องของราช
ส�านักอย่างสิ้นเชิง เขาประทับใจที่ญี่ปุ่นต้านทานอาณานิคมได้ และแถมยัง
เอาอย่างตะวันตกเรื่อง “ความเจริญ” ได้อีก เขาเสนอว่าญี่ปุ่นประสบความ
ส�าเร็จเพราะว่ามีขบวนการเพิ่มความเข้มแข็งของชาติซึ่งมีสารพัดคนรวมพลัง
ขณะที่ในสยาม ชนชั้นน�าที่ราชส�านักกีดกันผู้อื่นอย่างจงใจ
นักคิดสามัญชนอีกคน ทิม สุขยางค์ ครอบครัวค้าเรือแพ เรียนหนังสือ
โรงเรียนวัด ได้บวชเรียน และมีผู้อุปถัมภ์เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ พ.ศ. ๒๔๒๑
เขาพิมพ์ น า น า ว่าด้วยการเดินทัพสู่อีสาน นิราศกล่าวหาว่าสมเด็จ
เจ้ำพระยำบรมมหำศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนำค) ผู้วำงแผนกำรเดินทัพนี้ท�ำงำน
ผิดพลำด น�ำไปสู่ควำมล้มเหลวและกำรสู เสียเลือดเนื้อ นิราศให้ภาพสามัญ
ชนเป็นเหยื่อของความไร้ประสิทธิภาพและการฉ้อราษฎร์บังหลวงของผู้นา� ขุนนาง
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า “หนังสือนิรำศนี้กล่ำวควำม
เหลือเกินไปต่ำง ” ๓๕ และจากการพิจารณาคดี ศาลตัดสินจ�าคุกทิมและให้
ท�าลายหนังสือเสีย
ทั้ ง นี้ กุ ห ลาบ เที ย นวรรณ และทิ ม ล้ ว นมี พ้ื น เพมาจากครอบครั ว
สามัญชน เล่าเรียนที่วัดตามประเพณีเดิม ได้รับการอุปถัมภ์จากราชส� านักบ้าง
และในด้านการงานและการค้ามีความเกี่ยวโยงกับฝรั่งบ้าง จากทศวรรษ ๒๔๒๐
มีโรงเรียนสมัยใหม่เพิ่มมากขึ้น ท�าให้ลูกหลานสามัญชนมีโอกาสได้เข้าโรงเรียน
ที่ลูกหลานตระกูลชั้นน� าได้เรียนอยู่ แม้ว่าราชส� านักประสงค์ที่จะจ� ากัดการ
ศึกษาสมัยใหม่ให้อยู่ในกลุ่มของชนชั้นสูง แต่ความต้องการก�าลังคนมีการศึกษา
เพื่อรับราชการเป็นความจ�าเป็นเร่งด่วน ลูกหลานของพระราชวงศ์และขุนนาง
จ�านวนไม่น้อยพบว่าโรงเรียนสมัยใหม่ยากเกินไปหรือไม่คู่ควรกับพวกเขา พระ
เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงเคี่ยวเข็ญให้พวกเขาร�่าเรียน แต่ไม่ทรงประสบความ
ส�าเร็จมากนัก ครอบครัวจีนและสามัญชนคนไทยอื่นๆ จึงฉกฉวยโอกาสที่เปิด
ขี จํากั ของความศิวิไล ์
ภายในกลุ่มชนชั้นน�ามีการอภิปรายกันว่าน่าจะมีการปฏิรูปอะไรที่จ�าเป็น
เพื่อท�าให้สามารถรับมือกับตะวันตกได้ พ.ศ. ๒๔๒๗ เมื่อฝรั่งเศสยึดครอง
อินโดจีนและอังกฤษท�าสงครามรุกเข้าสู่พม่าตอนเหนือ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาล
ที่ ๕ ได้ตรัสถามพระองค์เจ้าป ษ างค์ พระภาคิไนยซึ่งเป็นหัวหน้าคณะทูต
ที่ฝรั่งเศส ว่ำจะรักษำอิสรภำพของสยำมไว้ได้ด้วยวิธีใด ใน ๑๑ รายชื่อที่ลง
นามในบันทึกตอบค�าถามนี้ประกอบด้วย พระอนุชาต่างพระมารดาสามพระองค์
ซึ่งพ�านักอยู่ในยุโรปขณะนั้น ค�าตอบของทั้ง ๑๑ ท่าน เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
๒๔๒๘ มีใจความว่า สยามอยู่ในภาวะอันตราย เพราะว่าชาติตะวันตกเชื่อว่า
พวกเขามีความเหนือกว่า จึงมีหน้าที่ที่จะน�าความก้าวหน้าและความศิวิไล ์มา
สู่มวลมนุษย์ทุกแห่งหน “ชำติเล็กน้อยนั้น ถึงชำติใด ...ให้อยู่ในควำมปกครอง
ของชำติหนึ่งชำติใดในยุโรปแล้วชำติทั้งปวงคงจะต้องได้ผลประโยชน์มำกขึ้น
เป็นแน่” นัยก็คือประเทศมหาอ�านาจตะวันตกอาจจะหาเหตุเข้ายึดครองประเทศ
ที่ไม่สามารถน�าความเจริญ ความยุติธรรม การค้าเสรี และไม่อาจให้การปกป้อง
ดูแลคนต่างชาติได้อย่างสมบูรณ์ “ยุโรปไม่นับถือสยามแต่อย่างใด” เพราะ
เชื่อว่า “กำรรักษำกรุงสยำมในทุกวันนี้ไม่มีเสนำบดีแลเจ้ำพนักงำนกรมใดเอำใจ
ใส่ในพนักงำนหน้ำที่ของตน มีผู้บ�ำรุงรักษำแลคิดกำรแผ่นดินอยู่ก็แต่ ำละออง
ธุลีพระบำทพระองค์เดียว” ๓๖
ดังนั้น ทั้ง ๑๑ ท่านจึงแนะน�าว่า “มีทางเดียวที่จะจัดการบ�ารุงรักษา
ตามทางยุโรปทั้งปวง...เหตุฉะนี้จึ่งจะต้องจัดการบ้านเมืองเปลี่ยนแปลงพระ
ราชประเพณีของเก่าให้เป็นประเพณี คอนสติติวชันใหม่ตามทางชาวยุโรป”
และ “ต้องให้มนุษย์มีความสุขเสมอกัน แลถือก หมายอันเดียว แลในเรื่อง
เก็บภาษีแลสักเลกต้องให้ความยุติธรรม” ๓๗
บันทึกซึ่งตอบค�าถามของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เสนอค�าแนะน�าให้
สยามมีรัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง มีคณะรัฐมนตรี มีข้าราชการซึ่งได้รับเงินเดือน
ประจ�าที่มีการคัดเลือกและเลื่อนขั้นตามความดีความชอบ ให้ทุกคนเท่าเทียม
กันภายใต้กฎหมายเดียวกัน ให้ยุติการฉ้อราษฎร์บังหลวง และให้มีเสรีภาพใน
การแสดงความคิดเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนะน�าให้มีรัฐธรรมนูญ การปฏิรูป
เหล่านี้จะส่งผล “ให้รำษ รมีควำมคิดรู้สึกว่ำ กำรกดขี่แลอยุติธรรมต่ำง ไม่มี
อีกต่อไปแล้ว จึ่งจะมีควำมรักต่อบ้ำนเมือง จนเห็นชัดว่ำกรุงสยำมนั้นเป็นเมือง
ของรำษ รแลจะต้องบ�ำรุงรักษำ...แลเมื่อรำษ รมีควำมรักบ้ำนเมืองอย่ำงยิ่ง
ดังนี้แล้ว ก็นับว่ำได้เป็นทหำรอันให ่ปองกันได้จริง” ๓๘ ตัวแบบซึ่งผู้เขียนบันทึก
นี้มีอยู่ในใจคือ “ญี่ปุ่น” ประเทศในเอเชียซึ่งเริ่มเอาอย่างตะวันตกแล้ว
บันทึกนี้ท�าให้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงขีดเส้นจ� ากัดว่า สยามน่า
จะตามอย่างตะวันตกถึงขนาดไหน ในค�าตอบของพระองค์ต่อบันทึกนี้นั้นทรง
โต้เถียงว่าประเพณีการปกครองแต่โบราณของสยามนั้นแตกต่าง พระมหากษัตริย์
ของยุโรปได้ถือปฏิบัติวิถีสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จนท�าให้มีปฏิกิริยาเข้าควบคุม
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงเห็นว่าพระองค์เพิ่งช่วงชิงได้อ�านาจมา
จากเสนาบดีกลุ่มเก่า และทรงเน้นว่าถ้าจะมี “รัฐสภา” ก็ยังไม่มีผู้เหมาะสมที่จะ
เป็นสมาชิก ดังที่ทรงวินิจฉัยว่า
ถ้าจะมีปาลิเมนต์จะไม่มีผู้ใดซึ่งสามารถเป็นเมมเบอได้สัก
กี่คน และโดยว่ามีเมมเบอเหล่านั้นเจรจาการได้ก็ไม่เข้าใจในการ
ราชการทั้งปวงทั่วถึง เพราะว่าไม่มีความรู้และการฝกหัดอันใดแต่
เดิมเลย...ราษฎรคงจะเชื่อเจ้าแผ่นดินมากกว่าผู้ซึ่งจะมาเป็นเมม
เบอออฟปาลิเมนต์ เพราะปรกติทุกวันนื้ราษฎรย่อมเชื่อถือเจ้า
แผ่นดินว่าเป็นผู้อยู่ในความยุติธรรม และเป็นผู้รักใคร่คิดจะท�านุ
บ�ารุงราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุขยิ่งกว่าผู้อื่นทั้งสิ้นทั่วหน้ากันเป็นความ
จริง๔๐
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาสกรวงศ์ (พร บุนนาค) จากตระกูลบุนนาค และหนึ่งในบุคคลนอกพระราช
วงศ์ที่ด�ารงต�าแหน่งเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ เสนอความคิดซึ่งเชื่อถือกันมาอย่างน้อย
ตั้งแต่สมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศว่า พระมหากษัตริย์แต่เดิมนั้นได้รับเลือกจาก
ประชาชนอย่างพร้อมเพรียงกันเนื่องเพราะความดีงามด้านจริยธรรมของพระ
องค์ “ที่แผ่นดินเหล่ำนี้ทั่วพระรำชอำ ำจักร เข้ำใจว่ำเป็นของพระบำทสมเด็จ
พระเจ้ำอยู่หัวทั้งสิ้น ได้ด�ำรงโดยรำชประเพ ีที่บรรพบุรุษของเรำผู้เป็นประชุมชน
ยกขึ้นเป็นชำติต้ังรำชประเพ ีเป็นขัติย หรือกษัตริย์...เลือกสรรค์เอำตระกูลวงศ์
อันหนึ่ง ึ่งมีคุ ธรรมโดยปรีชำ ำ อันสำมำรถอำจจะ...เป็นประมุขประธำน
ของหมู่ประชุมชน ึ่งตั้งเป็นชำตินั้น” ๔๑ ข้าราชการได้รับการศึกษาจากฝรั่งเศส
ผู้หนึ่ง ให้ภาพการต่อต้านฝรั่งเศสเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามปกป้องศาสนา
พุทธ และเสนอว่า “เรำมีแต่จะต้องสำมักคีรวมกัน อำษำต่อสู้รำชปัจำมิศ เอำ
ก�ำลังกำยและชีวิตรเข้ำสนองพระเดชพระคุ พระบำทสมเด็จพระบรมกระษัตริย
เพื่อจักปองกันมิให้มิจฉำทิฐิมำย�่ำยีพระพุทธสำศนำ เพื่อจัดปองกันมิให้สัตรู
มำแย่งชิงเอำบ้ำนเกิดเมืองบิดรของเรำทั้งหลำย และเพื่อจักปองกันควำมเปน
อิศรภำพของชำติไทย” ๔๒
เหตุการณ์ ร.ศ.๑๑๒ ที่ปากน�้าเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ เร่งเร้าให้ชนชั้นน�า
สยามยิ่งกลัวว่าจะถูกประเทศล่าอาณานิคมยึดครอง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕
ทรงย�้าแล้วย�้าอีกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของชาติ และหน้าที่หลักของพลเมืองที่ต้องมี
ความสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียว เพื่อปกป้องชาติ ในสมัยนั้น ก.ศ.ร.กุหลาบ
ผู้กระด้างกระเดื่องถูกฟ้องศาล และพระองค์เจ้าป ษ างค์ พระภาคิไนยซึ่ง
เป็นหัวหน้าจัดท�าบันทึกข้างต้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘ ถูกประณาม และทรงลี้ภัยไป
ต่างประเทศ พ.ศ. ๒๔๔๗ พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง
พ า า า า า า ี กล่าวถึงว่าพระมหากษัตริย์คือศูนย์
รวมของชาติ และทรงเห็นว่าสยาม “ควรจะรวมควำมคิดเข้ำเป็นกลำงให้ลงเป็น
อันหนึ่งอันเดียวกัน...อำศัยเจ้ำแผ่นดินเป็นหลัก” ๔๓
ณ ช่วงท้ายของสมัยรัชกาลที่ ๕ และหลังจากนั้น สมเด็จฯ กรมพระยา
ด�ารงฯ ทรงนิยามลักษณะของพระมหากษัตริย์สยามเสียใหม่ เห็นได้จากชุด
งานบรรยายและงานเขียน ในอดีตนั้น พระมหากษัตริย์ทรงให้ความคุ้มครอง
ประชาชน ซึ่งท�าให้สามารถด�าเนินรอยตามหลักค�าสอนศาสนาพุทธสู่แนวทาง
ของนิพพาน ปัจจุบันสมัย บทบาทของพระองค์เป็นไปเพื่อน�า “ความเจริญ” มา
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
สรุป
ทศวรรษ ๒๔๑๐ ถึงทศวรรษ ๒๔๔๐ มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมหา
ศาลเกิดขึ้น สืบเนื่องมาจากความเขม็งตึงทางสังคมในระบบเศรษฐกิจตลาด
ทั้งยังมีวิธีคิดแบบใหม่ๆ ในบรรดากฎุมพีและชนชั้นน�า รวมทั้งภาวะการคุกคาม
และโอกาสที่มากับการเปิดประเทศกับตะวันตก สยามหลีกเลี่ยงการตกเป็น
อาณานิคมได้ส�าเร็จ ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาพทางภูมิศาสตร์และช่วง
เวลาสยามกลายเป็นประเทศกันชนระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษ ซึ่งต่างก็ทะเยอ
ทะยานที่จะยึดครองดินแดน แต่พอดีเป็นช่วงที่สมัยของการยึดครองดินแดน
สิ้นสุดลงพอดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะวิถีปฏิบัติที่สืบทอดมาจากสมัยอยุธยาคือ
การรับเอาคนต่างชาติเข้ารับราชการ เป็นการประนีประนอมเสมือนเป็นกึ่งอาณา
นิคมกลายๆ อีกส่วนหนึ่งเป็นเพราะชนชั้นน�าสยามโอบรับเอาความคิดเรื่อง
ความเจริญและประวัติศาสตร์จากยุโรป รวมทั้งเทคโนโลยีของการท�าแผนที่
ระบบราชการแบบอาณานิคม ตัวบทกฎหมาย และการเกณฑ์ทหาร อย่างเต็มใจ
ในกรอบโบราณราชประเพณี อ�านาจของพระมหากษัตริย์แผ่ขยายไป
เหนือผู้ที่ “เข้ามาอาศัยร่มพระบรมโพธิสมภาร” หน้าที่ของรัฐบาลโดยพระมหา
กษัตริย์คือให้ที่พ�านักพักพิงจากการรุกรานของศัตรูภายนอก และสร้างความ
มั่นคงภายใน โดยการตรวจตราและจัดการกับปัญหาการทะเลาะวิวาท
ความสัมพันธ์ซึ่งประกอบเป็นโครงสร้างรัฐนั้นคือ ความสัมพันธ์ส่วน
ตัว ไพร่นบนอบต่อนาย ผู้อุปถัมภ์-ผู้อยู่ใต้อุปถัมภ์ เกี่ยวโยงกันภายในระบบ
ราชการ ความจงรักภักดีของเจ้าเมืองระดับรองลงมาหรือเจ้าหัวเมืองต่อพระ
มหากษัตริย์ส�าแดงให้ประจักษ์ด้วยพิธีกรรม เช่น ดื่มน�้าพิพัฒน์สัตยา ในระบบ
นี้ รายได้จากภาษี แรงงานเกณฑ์ และสินค้าแปลกๆ ที่มีค่า หลั่งไหลจากผู้อยู่ที่
ฐานของพีระมิดล่างสุด ขึ้นไปสู่ผู้อยู่สูงขึ้นไป เพื่อคงสถานภาพของคนระดับ
สูง ประชาชนต้องเกี่ยวโยงกับราชส�านักในขอบเขตจ�ากัด (ภาษี การเกณฑ์แรง
งาน การตัดสินคดีความ) และโดยส่วนมากแล้วเป็นความโยงใยผ่านตัวกลาง
เช่น เจ้าภาษี นายอากร และมูลนาย
รัฐชาติใหม่ก�าหนดมาจากการปักปันเขตแดน ทุกคนที่อยู่ภายในขอบ
เขตที่ปักปันขึ้นและได้รับ “สัญชาติ” คือสมาชิกของชาติและเป็นพลเมืองของ
รัฐ หน้าที่ของรัฐไม่ใช่แต่เพียงให้ความคุ้มครอง แต่ต้องบรรลุถึง “ความเจริญ”
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
การสร้างชาติและรัฐชาติ เกิดขึ้นเป็นคู่ขนานกับการเพิ่มขึ้นของพระ
ราชอ�านาจและอุดมการณ์ของระบบกษัตริย์ใหม่ ชาติจึงไม่ใช่การรวมตัวของ
ประชาชนที่หลากหลายประเภท แต่เป็นความเป็นหนึ่งเดียวอันศักดิสิทธิ โดย
มีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ยอดเป็นสัญลักษณ์ คือชาติสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ูมิทัศน์ ละสังคมชนบทเปลียนรูป
ชาวยุโรปที่เข้ามาเยือนสยามในทศวรรษ ๒๓๖๐ บอกว่าที่ราบลุ่มเจ้า
พระยาส่วนใหญ่ยังเป็นป่า เต็มไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้และช้างป่า อีกทั้งบริเวณ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ๑๑ ภำพริม ังแม่น�้ำเจ้ำพระยำยังเป็นปำในสมัยก่อนกำรขยำยตัวของนำบุกเบิก
วำดโดย อองรี มูโอต์ พ.ศ. ๒๔๐๑
ใกล้ทะเลหรือแม่น�้ามีพื้นที่ชุ่มน�้าเต็มไปด้วยหญ้าคาและจระเข้ ผู้คนจึงตั้งหลัก
แหล่งใกล้ๆ ฝั่งแม่นา�้ ใหญ่ แม้กระทั่งบริเวณริมฝั่งแม่น�้าเจ้าพระยา จากปากน�้า
ถึงกรุงเทพฯ และเลยไปอีก สองฟากฝั่งแม่นา�้ ส่วนมากยังดู “ทิ้งร้ำง ปลอดคน”
และเต็มไปด้วยป่าทึบ (ดูภาพที่ ๑๑) ในสมัยอยุธยานาข้าวกระจุกตัวอยู่บริเวณ
ที่ราบระหว่างแม่น�้าจากชัยนาทลงไปปากแม่น�้าเจ้าพระยา สมัยต้นรัตนโกสินทร์
เมื่อการส่งออกข้าวไปเมืองจีนเพิ่มขึ้น นาข้าวก็ยังกระจุกตัวอยู่แถบนี้ จนประมาณ
พ.ศ. ๒๓๙๐ ๓ ใน ๔ ของที่ราบลุ่มภาคกลางก็ยังเป็นที่รกร้าง และประชากร
ในบริเวณนี้ก็คงมีประมาณ ๕ แสนคนเท่านั้น
๑๐๐ ปต่อมา ชาวบ้านเข้ามาตั้งบ้านเรือนโดยเฉลี่ยปละประมาณ ๗
พั น ครั ว เรื อ น และขยายที่ น าเพิ่ ม ขึ้ น อี ก ๒ แสนไร่ เมื่ อ ถึ ง พ.ศ. ๒๔๙๓
บริเวณด้านล่างของที่ราบลุ่มเจ้าพระยามีคลองขุดตัดผ่านไปมาเสมือนตาหมาก
รุกและที่นาผุดขึ้นทุกหนแห่ง
การเปลี่ยนรูปโฉมเริ่มสมัยต้นรัตนโกสินทร์ จีนอพยพน�าเมล็ดพันธุ์
ผักหลายหลากชนิดเข้ามาปลูก มีการท�าไร่พริกไทย ไร่อ้อย และพืชอื่นๆ เพื่อ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
แต่แนวโน้มไปสู่การเกิดระบบ “เจ้าที่ดิน” อย่างกว้างขวางในสมัยนั้น
หยุดชะงัก
การปลูกอ้อยเหมาะกับระบบการท�าไร่ขนาดใหญ่ แต่ส�าหรับข้าวนั้น
ชาวนารายเล็กเหมาะสมกว่า ชาวนาจึงบุกเบิกพื้นที่เข้าตั้งถิ่นฐานเพื่อปลูกข้าว
แถบสองฝั่งคลอง คุ้นเคยกับการเข้าถากถางที่ดินใหม่โดยได้สิทธิการจับจอง
เสมือนเป็นที่ดินของตนเอง และไม่คุ้นเคยกับระบบ “เจ้าที่ดิน” เจ้าของที่ดิน
จ�า นวนมากก็ไ ม่ มีป ระสบการณ์ เ รื่อ งการบริห ารที่ดิน ให้ เ ช่ า ดัง นั้น ครั้น ถึง
ทศวรรษ ๒๔๓๐ บริเ วณทุ ่ ง รัง สิต จึง “พบกร ีพิพ ำทเรื่อ งที่ดิน เกือ บทุ ก
แปลง” ๒ ชาวบ้านมักจะรวมหัวกันเลี้ยงนักเลงใจถึงเอาไว้ให้มาช่วยคุ้มครอง
พวกเขา และกีดกันพวกที่มาเก็บค่าเช่าหรือภาษีออกไปจากหมู่บ้าน เจ้าของที่
ก็โต้กลับโดยว่าจ้างพวกหัวไม้ “พร้อมปน ดำบ และ อำวุธอืน่ ” ๓ ให้มาไล่ชาวนา
ออกไปจากที่ดินของตน ส�านักงานของโครงการขุดคลองรังสิตเองยังต้องมีปืน
ประจ�า
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงตัดสินพระทัยหยุดยั้งพัฒนาการไปสู่
ระบบขุนนางเจ้าที่ดิน ทศวรรษ ๒๔๒๐ นโยบายปฏิรูประบบบริหารราชการ
ก�าลังส่งผลลดทอนฐานเศรษฐกิจของตระกูลขุนนางใหญ่ ขณะเดียวกันก็ทรง
มีรับสั่งให้ข้าราชการจัดสรรที่ดินบริเวณสองฝั่งคลองที่ขุดใหม่ให้กับครอบครัว
ชาวนา อีกทั้งให้ยึดเอาที่ดินซึ่งเจ้าของปล่อยทิ้งร้างไว้เป็นของรัฐเสีย นอกจาก
นั้นทรงปฏิเสธโครงการขุดคลองที่ตระกูลขุนนางเสนอมาอีก และหลังปี ๒๔๔๓
มีสมาชิกพระราชวงศ์พยายามเสนอโครงการก็ทรงปฏิเสธด้วย
ชาวนารายเล็กได้เริ่มจับจองที่นาไกลออกไปจากบริเวณสองฝั่งคลอง
ขุด ช่วงทศวรรษ ๒๔๒๐ กระบวนการนี้ขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้เป็นผล
สืบเนื่องมาจากนโยบายเลิกทาส (จากปลายทศวรรษ ๒๔๑๐) ที่เพิ่มจ�านวนผู้
เป็นไทแก่ตนเองและต้องการจับจองที่นาเพื่อท�ากินด้วย แต่รัฐบาลไม่มีนโยบาย
ขยายการให้เอกสารสิทธิ์ท่ีเป็นโฉนดในบริเวณที่บุกเบิกใหม่ๆ นี้ สิ่งที่เกิดขึ้น
คือ ทางการยอมให้ชาวนาจับจองที่ดินว่างเปล่าได้ และจะได้รับเอกสารแสดง
การจับจองตราบเท่าที่ท�าการเพาะปลูกในที่ดินนั้นเท่านั้น
ต่อจากนี้ไป เอกชนไม่มีบทบาทในการขุดคลองทดน�้าออกจากแอ่งหนอง
ต่างๆ เพื่อให้ปลูกข้าวได้ รัฐบาลเข้ามารับหน้าที่แทน รัฐบาลจ้าง าน เดอร์
ไ ดเดอะ (van der Heide) วิศวกรชาวดัตช์ให้ ร่างแผนโครงการทดน�้าและ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
สังคมชาวนารายเลก
ก่อนหน้านี้ชาวบ้านอยู่รอบๆ เมืองศูนย์กลาง แต่ขณะนี้การตั้งบ้านเรือน
กระจายไปทั่วๆ ในบริเวณที่ปลูกข้าวได้นั้น “หมู่บ้าน” ก่อตัวขึ้นตามชายคลอง
และริมฝั่งแม่น�้า ผู้คนอพยพไปมากันคึกคักมากขึ้น มีผู้เข้ามาตั้งถิ่นฐานจาก
ทั่วสารทิศ เช่น หมู่บ้านใหม่แห่งหนึ่งก่อตัวขึ้นโดยชาวบ้านที่อพยพมาจากภูเขา
สูง ต่อมาอีกกลุ่มหนึ่งเดินทางมาจากบริเวณที่ราบสูง และต่อมาอีกมีคนอพยพ
มาจากชายทะเลทางใต้แถบแหลมมลายู เพื่อความปลอดภัยหลายๆ ครอบครัว
มักจะอพยพมาตั้งบ้านเรือนเป็นกระจุกอยู่ใกล้ๆ กัน และมักจะเกี่ยวดองเป็น
ญาติกัน หลายๆ ครอบครัวอาจจะอพยพเคลื่อนย้ายไปมากกว่าหนึ่งครั้งในชั่ว
อายุคนหนึ่ง
วงจรชีวิตของพระสงฆ์ก็เปลี่ยนไปเพื่อสนองรับกับความเปลี่ยนแปลง
พระบางรูปเดินทางออกจากวัดในเมืองแล้วแวะเวียนไปที่หมู่บ้าน จะจ� าวัดหรือ
พักที่ส�านักสงฆ์เฉพาะช่วงเข้าพรรษา ณ ที่ใดที่หนึ่ง เมื่อหมู่บ้านลงหลักปักฐาน
ได้สักพักและมีฐานะดีขึ้น ก็จะสร้างวัดและนิมนต์ให้พระสงฆ์ที่แวะเวียนมา
ชั่วคราวเหล่านี้เข้าพ�านักที่วัดอย่างถาวร
แม้ว่าหมู่บ้านส่วนมากจะก่อตั้งขึ้นใหม่ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ
ขาดเสีย ึ่งประเพณีและวัฒนธรรมที่เป็นของตัวเอง อันที่จริงแล้ววัฒนธรรม
หมู่บ้านเข้มแข็งขึ้นมาได้ ก็เพราะต้องผ่านอุปสรรคหลากหลาย และความร่วม
มือกันภายในชุมชนท�าให้วัฒนธรรมชาวบ้านยังคงอยู่ได้อย่างเหนียวแน่น หมู่
บ้านส่วนใหญ่จะมี “ศำลปูตำ” คือศำลบรรพบุรุษ โดยอาจใช้เสา ก้อนหิน หรือ
ต้นไม้ใหญ่ใจกลางหมู่บ้านเป็นตัวแทน พิธีกรรมนับถือผีส่งเสริมความร่วมมือ
กัน การสร้างวินัยภายในกลุ่ม อีกทั้งเอื้อกับความสามัคคีและความเป็นอิสระ
ของชุมชน ผู้มาเยือนจากแดนไกลที่เข้ามาในเขตชนบทลึกๆ เข้าไปพบว่าชาว
บ้านพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพบปะกับพวกข้าราชการ ถ้าคิดว่าเป็นพวกข้าราชการ
ชาวบ้านจะหนีเข้าป่าไปก่อน เนื่องจากกลัวว่าจะมาเกณฑ์แรงงาน
หมู่บ้านที่บริเวณบุกเบิกก็มีความลงตัวทางด้านเศรษฐกิจด้วย พวกเขา
ใช้เครื่องมือเกษตรแบบง่ายๆ ที่ท�าได้เอง วัวควายซื้อหาจากพ่อค้าต่าง นับว่า
เป็นการลงทุนหลักสถานเดียว ส่วนใหญ่ท�านาหว่านมากกว่านาด�า และจะเลือก
เมล็ดพันธุ์ที่โตเร็วพร้อมๆ ไปกับน�้าป่าที่ไหลหลากมาทุกปี แทบจะไม่รู้จักการ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ๑๒ ห ิงท�ำงำน เป็นลูกหลำนของเชลยศึกชำวลำว ึ่งถูกกวำดต้อนมำอยู่ที่
จังหวัดเพชรบุรี สันนิษฐำนว่ำเป็นภำพวำดจำกรูปถ่ำยโดย จอห์น ทอมสัน
ที่ไปเยือนเพชรบุรี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๘-๒๔๐
เมืองใหญ่หรือสถานีรถไฟ ยังคงมีระบบการผลิตที่ “ใกล้เคียงกับพึ่งตนเอง” ๖
ขณะเดียวกันครัวเรือนชาวนารายเล็กเหล่านี้ก็ยังผูกโยงอยู่กับตลาด
ข้าวของโลก แม้ว่าจะห่างไกลกัน ทั่วทั้งที่ราบลุ่มแม่น�้าเจ้าพระยานั้นไม่มีถนน
ใหญ่และดีและสะพานก็มีน้อย การขนส่งใช้เพียงแม่น�้ าและล�าคลองเท่านั้น
พ่อค้าจีนซึ่งเดินทางขึ้นล่องตามล�าน�้าเป็นตัวเชื่อมตลาดโลกกับชาวนาที่หมู่บ้าน
พ่อค้าพายเรือไปติดต่อซื้อข้าวส่วนเกินจากชาวบ้าน แล้วจัดหาเรือ “เอี้ยมจุ๊น”
ขนส่งข้าวไปที่โรงสีที่มักตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น�้าเจ้าพระยารอบๆ กรุงเทพฯ บ้างอยู่
ใกล้ๆ สถานีรถไฟ และบริเวณที่แม่น�้าสบกัน เช่น ที่นครสวรรค์
ครั้นถึงทศวรรษ ๒๔๔๐ “ข้าว” ได้กลายเป็นสินค้าส่งออกส�าคัญที่สุด
และเป็นแหล่งรายได้หลักของรัฐบาล ทั้งรัฐบาล เจ้าของโรงสี และพ่อค้าอยาก
จะส่งเสริมให้การท�านาบุกเบิกขยายตัวต่อไป และเพิ่มปริมาณข้าวส่วนเกินที่
ชาวนาพอใจจะขายออกมา แต่ความพยายามของพวกเขาก็มีขีดจ�ากัด รัฐบาล
ก�าหนดอำกรค่ำนำขึ้นใหม่เมื่อทศวรรษ ๒๔๔๐ ท�าให้อีก ๒๐ ปีต่อมา อากร
ค่านาและภำษีรัชชูปกำร เป็นแหล่งรายได้ส�าคัญของรัฐบาล แต่ชาวนาก็เรียนรู้
วิธีที่จะขอยกเว้นอากรค่านาด้วยเหตุว่าท�านาไม่ได้ผล และด้วยการขอความเห็น
ใจจากข้าราชการในพื้นที่ สยามไม่ได้เอาอย่างระบบการบริหารจัดการที่ดินและ
ภาษีที่ดินของประเทศอาณานิคม ซึ่งบังคับให้ชาวนาเพิ่มทั้งผลผลิตและภาษีที่
ต้องเสียให้แก่รัฐบาล ช่วงเศรษฐกิจตกต�่าใน พ.ศ. ๒๔๗๒ รัฐบาลได้รับใบ ีกา
ขอยกเว้นอากรค่านาเป็นจ�านวนมาก จนต้องลดอัตราอากรค่านา และในท้าย
ที่สุดรัฐบาลยกเลิกทั้งอากรค่านาและเงินรัชชูปการ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๑
รัฐบาลพูดถึง “ความเจริญ” อยู่เนืองๆ แต่ก็ไม่ได้มีนโยบายอะไรที่จะส่ง
เสริมการเกษตร ปลายรัชกาลที่ ๕ ชนชั้นน�าบางคนชี้ให้เห็นว่าเนื่องจากพลเมือง
ของรัฐชาติสยามส่วนใหญ่เป็นชาวนา ด้วยเหตุฉะนี้ ชาติจะเจริญก็ต้องท�านุ
บ�ารุงภาคเกษตร พ.ศ. ๒๔๕๐ พระองค์เจ้าดิลกนพรัตน์ พระราชโอรสใน
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงเรียบเรียงวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่องชนบท
สยามในรัชกาลที่ ๕ ทรงเกริ่นน�าว่า “น่ำแปลกที่ไม่มีงำนเขียนเกี่ยวกับภำค
เกษตรของสยำมเลย ทั้ง ที่ก็เป็นรัฐเกษตรมำตลอด” และทรงสรุปว่า “จวบจน
เร็ว นี้ ชำวนำไทยแทบไม่เคยได้รับกำรเกื้อหนุนจำกรัฐบำล” และถึงจะได้ก็
ค่อนข้างจ�ากัด๗ พระองค์ทรงเสนอให้รัฐบาลส่งเสริมการศึกษาให้ชาวนา สร้าง
เครือ ข่ า ยการขนส่ ง จัด ตั้ง สถาบัน เงิน กู ้ ส�า หรับ ชาวนา และส่ ง เสริม การวิจัย
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เทคโนโลยีการเกษตร
พ.ศ. ๒๔๕๔ พระยาสุ ริ ย านุ วั ต ร อดี ต รั ฐ มนตรี ค ลั ง เขี ย นหนั ง สื อ
ทรัพยศาสตร์ ซึ่งเป็นต�าราเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของไทย เสนอว่า “ควำมเจริ
ของกรุงสยำม ึ่งต้องอำศัยกำรท�ำนำเป็นให ่ยิ่งกว่ำอย่ำงอื่นดังทุกวันนี้ จะ
เจริ เร็วและช้ำก็ต้องสุดแล้วแต่ผลประโยชน์ที่ชำวนำจะได้มำกและน้อยเป็น
ส�ำคั ” ๘ แต่รัฐบาลให้ความส�าคัญกับการเกษตรน้อยกว่าการสร้างทางรถไฟ
เพื่อป้องกันประเทศ (ใช้ขนส่งทหารได้) โครงการปลูกสร้างเพื่อแสดงความโอ่อ่า
ของราชส�านัก และโครงการสร้างรัฐชาติอื่นๆ ในความเห็นของเจ้าฟ้าพระองค์
อื่นๆ พระองค์เจ้าดิลกนพรัตน์ “ไม่เต็มบำท...ไร้สำระ”๙ ที่ทรงกระตือรือร้นที่จะ
ปรับปรุงการเกษตรสยามเสียเหลือเกิน กระทั่งพระองค์ทรงกระท� าอัตวินิบาต
กรรม เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๖
พระมงกุ เกล้าฯ ทรงมีปฏิกิริยาไม่พอพระทัยหนังสือ ทรัพยศำสตร์
ทรงมีพระราชด�ารัสว่า “ข้ำพเจ้ำ...เป็นคนเดียวที่ได้เที่ยวใน...สยำมเกือบทั่ว ทั้ง
ได้เคยเที่ยวต่ำงประเทศมำมำกแล้ว...จึงทรนงยืนยันได้ว่ำ ไม่มีประเทศใดจะมี
คนจนหรือขัดสนน้อยเท่ำกรุงสยำมเลย” ๑๐ ทรงห้ามการสอนวิชาเศรษฐศาสตร์
และห้ามเผยแพร่หนังสือทรัพยศำสตร์ ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ความคิดดังกล่าว
กระจายไป
ส�าหรับพ่อค้าข้าวซึ่งอยากที่จะให้ชาวนาเพิ่มการผลิตข้าวนั้น รัฐบาลก็
แทบไม่ได้ช่วยอะไร เมื่อ ิมเมอร์แมนท�าการส�ารวจภาคเกษตรสยาม เมื่อ พ.ศ.
๒๔๗๓-๒๔๗๔ นั้น เขาแปลกใจที่พบว่าชาวนาใช้สินเชื่อน้อยมากเหลือเกิน จะ
กู้เงินก็ต่อเมื่อต้องใช้เงินส�าหรับโอกาสพิเศษหรือเผชิญกับภัยพิบัติ แต่จะไม่กู้
เงินเอามาใช้เพื่อการผลิตตามปกติ ถ้ายืมเงินก็จะยืมจากเพื่อนบ้าน ในย่านที่
การผลิตเพื่อขายพัฒนาไปมากๆ เท่านั้น ที่ชาวจีนเจ้าของโรงสีหรือพ่อค้าข้าว
จะให้กู้เงินก้อนใหญ่
เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต�่า รัฐบาลเกรงว่าหนี้สินจะท�าให้ชาวนาล้ม
ละลายจนสูญเสียที่ดินกันเป็นแถว และอาจจะเกิดความวุ่นวาย แต่ก็ไม่เกิด
เพราะว่าชาวนาไม่มีเอกสารแสดงสิทธิในที่ดินอย่างชัดเจน เจ้าหนี้จึงไม่อาจเอา
เอกสารสิทธิ์เป็นตัวค�้าเงินกู้และยึดที่ดินเมื่อผู้กู้ไม่ใช้หนี้ อาจมีการซื้อขายที่ดิน
กันไปมาภายในชุมชนเท่านั้น แต่ส�าหรับคนภายนอก ไม่มีหลักประกันตาม
กฎหมายเรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดิน และจะมีปัญหาหากมีคนท้องถิ่นไม่เห็นด้วย
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เมองท่า นสมัยอาณานิคม
ครั้นสงครามโลกครั้งที่ ๑ เศรษฐกิจของกรุงเทพฯ เขตปลูกข้าวส่งออก
และป่าไม้สักที่ภาคเหนือได้ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจเอเชียภายใต้
การควบคุมของมหาอ�านาจอาณานิคมโดยเฉพาะอังกฤษ ข้าวส่งออกมีมูลค่า
สูงถึง ๓ ใน ๔ ของสินค้าออกทั้งหมด ทั้งนี้ข้าวส่งออกส่วนใหญ่ (๓ ใน ๔)
ก็ถูกขนถ่ายไปยังเมืองท่าของอังกฤษ ที่ฮ่องกง และสิงคโปร์ โดยเรือเดินทะเล
ของอังกฤษและเยอรมนี
ผู้มาเยือนกรุงเทพฯ เมื่อกลางสมัยรัตนโกสินทร์ มักตั้งข้อสังเกตด้วย
ความแปลกใจว่า กรุงเทพฯ ยังดูเหมือนบ้านนอกเหลือเกิน ดังค�าบรรยายที่ว่า
เห็น “นำข้ำวกว้ำงไกลสุดลูกหูลูกตำ” เริ่มจากก�าแพงวังเลยทีเดียว หรือพบ “ปำ
ร่มครึ้ม” อยู่หลังตลาดส�าเพ็งที่จอแจ และทั้งเมืองดูประหนึ่งเป็น “สวนสลับกับ
บ้ำน วัด และวัง” ๑๑
พ.ศ. ๒๓๙๙ หลังจากที่เซ็นสนธิสัญญาเบาว์ริ่งได้ ๒-๓ เดือน “บริษัท
บอร์เนียว” ของอังกฤษก็ถือก�าเนิดขึ้นที่กรุงเทพฯ แต่การค้าภายใต้ระบบอาณา
นิคมขยายตัวไปอย่างช้าๆ แรกทีเดียวบอร์เนียวไม่ได้ท�าอะไรมากไปกว่าส่ง
ออกพริกไทยจากจันทบุรี พ.ศ. ๒๔๐๑ บริษัทอเมริกันแห่งหนึ่งลงทุนสร้างโรง
สีข้าวด้วยเครื่องจักรไอน�้า และใน พ.ศ. ๒๔๐๕ บริษัทอังกฤษอีกเจ้าสร้างโรงงาน
น�้าตาลใช้เครื่องจักรไอน�า้ การค้าที่ขยายตัวไปท�าให้เงินตราขาดแคลน ดังนั้น
รัฐบาลจึงอนุญาตให้ใช้เงินดอลลาร์เม็ก ิกัน และเริ่มผลิต “เงินบาท” เป็น
เหรียญเงิน เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๓ อีก ๑๐ ปีต่อมาบริษัทฝรั่งเพิ่มขึ้นอีก ส่วนมาก
เป็นสาขาของบริษัทที่ด�าเนินกิจการอยู่ที่อินเดียหรือที่ชวา ครั้นปี ๒๔๒๓ มีโรง
สีข้าว ๑๒ แห่ง ปี ๒๔๖๘ เพิ่มเป็น ๘๔ แห่ง เรือส�าเภาค่อยๆ หายไป เรือกล
ไฟของบริษัทเยอรมันเข้ามาเป็นใหญ่ในกิจการเดินเรือ ทศวรรษ ๒๔๒๐ บริษัท
อังกฤษเข้าท�าไม้ที่ล้านนา และล่องซุงลงมาตามล�าน�้าเจ้าพระยา บริษัทบอร์เนียว
เข้ามาท�าไม้หลังจากนั้นคือ พ.ศ. ๒๔๔๒ อีก ๑๐ ปีต่อมาก็ปรากฏโรงเลื่อยที่
มีบริษัทอังกฤษเป็นเจ้าของหลายแห่งกระจุกตัวอยู่ทางตอนเหนือของกรุงเทพฯ
พ.ศ. ๒๔๓๓ วอริงตัน สมิธ (H. Warrington Smyth) เดินทางมาถึง
กรุงเทพฯ โดยคาดหวังว่าจะพบเมืองที่สง่างามดังที่ผู้มาเยือนก่อนหน้าเขาได้
บรรยายไว้ แต่เขาเขียนบันทึกด้วยความแปลกใจว่า
ทันทีที่กิจการไม้และข้าวส่งออกลงหลักปักฐานช่วงทศวรรษ ๒๔๒๐
ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวโยง เช่น ธนาคาร บริษัทรับจัดการ ธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจ
บริการอื่นๆ ของชาติตะวันตกก็กรูกันเข้ามาให้บริการกับชุมชนฝรั่งที่เติบโตขึ้น
และขายสินค้าต่างๆ นานา เพื่อสนองความต้องการของนอกที่ราชส�านักนิยม
ดังที่นายสมิธที่กล่าวถึงข้างต้นตั้งข้อสังเกตว่า
ความเป็นสากลนี้สะท้อนว่า สยามก�าลังเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจ
แบบอาณานิคมมากขึ้นทุกที แต่ไม่ใช่เป็นข้าของเจ้าอาณานิคมที่เป็นนายใหญ่
หนึ่งเดียว ความจริงข้อนี้เป็นขีดจ�ากัดต่อการขยายตัวของธุรกิจฝรั่ง กรณี
ของ ไม้สัก รัฐบาลสยามยอมให้บริษัทฝรั่งเป็นใหญ่ แต่ก็ปักปันขอบเขตที่จะ
ได้สัมปทานท�าไม้เป็นบริเวณและจ�ากัดการขยายพื้นที่ ส�าหรับเหมืองแร่ดีบุก
บริษัทฝรั่งที่มลายูขอให้รัฐบาลไทยขยายเครือข่ายทางรถไฟสายใหม่ข้ามไปชาย
ทะเลด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นแหล่งดีบุกที่ดีที่สุด รัฐบาลสยามปฏิเสธ บริษัท
ดีบุกของอังกฤษส่วนใหญ่จึงขยายกิจการที่มลายูมากกว่าสยาม อุตสำหกรรม
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ยำงก็ขยับขยายจากทางเหนือของมลายูมาที่ภาคใต้ของสยาม แต่รัฐบาลสยาม
ไม่อนุญาตให้ต่างชาติได้สัมปทานปลูกยางเนื้อที่ขนาดใหญ่ดังที่พวกเขาอยากได้
นักธุรกิจ รั่งที่อยากลงทุนสร้างทางรถไ พยายามชักจูงใจให้รัฐบาล
สยามท�าโครงการขยายเครือข่ายทางรถไ ที่จะสนองความใ ันของนักล่า
อาณานิคมอังก ษและ รั่งเศส แต่รัฐบาลสยามไม่เต็มใจ และท้ายที่สุดตัดสิน
ใจสร้างทางรถไ เพื่อเหตุผลความมั่นคงของสยามเอง ยังมีนักธุรกิจจาก
ประเทศอาณานิคมที่หวังจะขุดคอคอดกระตามแบบอย่างของคลองสุเอ หรือ
ปานามา แต่รัฐบาลสยามก็ปฏิเสธ
ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๕๗ มีชาวฝรั่งมาลงทุนที่สยามคิดเป็นจ� านวนเงิน
ประมาณ ๖๕ ล้านเหรียญสหรัฐ ไม่ถึงครึ่งของเงินลงทุนที่อินโดจีน ประมาณ
๑ ใน ๓ ของที่มลายู และ ๑ ใน ๑๐ ของที่ชาวดัตช์ลงทุนที่ชวา
แม้ว่าเศรษฐกิจแบบอาณานิคมที่สยามจะไม่ใหญ่โตมากนัก แต่ก็ส่งผล
กร่อนเซาะความมั่งคั่งของเจ้าสัวที่สยาม ก�าไรที่เคยได้จากการค้าขายร่อยหรอลง
การค้าเรือส�าเภาถดถอยมากหลังปี พ.ศ. ๒๓๙๘ เจ้าภาษีนายอากรส่วนใหญ่ถูก
ยกเลิกเมื่อรัฐบาลใช้ข้าราชการเก็บภาษีแทนพวกเขา การแข่งขันกันเพื่อเก็บ
ภาษีฝิ่น สุรา และการพนันที่ยังหลงเหลืออยู่นั้นเข้มข้นมาก ท�าให้ผลก�าไรลดลง
อย่างฮวบฮาบ จนเกิดกรณี “ล้มละลาย” กันบ่อยครั้ง พ.ศ. ๒๔๔๙ รัฐบาล
ตัดสินใจว่าจะเริ่มยกเลิกเจ้าภาษีนายอากรเหล่านี้ทั้งหมด
การที่ราชส�านักลุ่มหลงกับโลกตะวันตก มีผลกระทบถึงสถานะและ
บทบาทของบรรดาเจ้าสัวทั้งหลายด้วย เมื่อชนชั้นน�าไทยหันไปนิยมใช้เสื้อผ้า
และเครื่องประดับซื้อได้ที่ร้านขายของน�าเข้าจากยุโรป จนกลายเป็นเครื่องเสริม
สถานภาพทางสังคมที่ขาดไม่ได้แล้ว ก็ลดความต้องการสินค้าราคาแพงที่เจ้าสัว
เคยน�าเข้าจากเมืองจีน นอกจากนั้น รัฐบาลยังจ้างที่ปรึกษาฝรั่งมากกว่าที่จะ
เรียกหาใช้บริการจากชาวจีนที่มีความช�านาญด้านการบริหารจัดการอย่างเคย
เจ้าสัวบางตระกูล จึงเบนเข็มไปค้าข้าว ค้าไม้สกั เดินเรือ และท�ากิจกรรม
ได้ก�าไรสูงอื่นๆ ซึ่งก�าลังเฟื่องฟู ตระกูลโชติกะพุกกะ ะสร้างโรงสีข้าวสมัยใหม่
และส่งออกข้าวคุณภาพดีไปยุโรป อีกสองตระกูลเจ้าสัวคือ โสภโ ดร (กิม เสง
ลี) และเลำหะเศรษฐี ก็เป็นผู้บุกเบิกด้านโรงสีข้าว ตระกูลอื่นๆ ซื้อที่ดิน สร้าง
ห้องแถว ลงทุนสร้างตลาด และได้ประโยชน์จากราคาที่ดินที่พุ่งขึ้น ตระกูล
พิศลยบุตร ได้รับสัมปทานขุดคลองสาธรที่ชานเมืองทางด้านใต้ของกรุงเทพฯ
ท้องส�าเพ็งเล็งแลแต่สะอาด ร้านตลาดรวยเรียงเคียงขนาน
ที่ขายดีมีก�าไรหัวใจบาน ที่ปิดร้านล้มละลายหมายบังคับ
หนังสือปิดติดทวารเป็นการห้าม มีแขกยามเฝ้าอยู่ดูก�ากับ
แสนสงสารแต่เจ้าของลงต้องยับ ถูกยึดทรัพย์ล้มตึงสิ้นพึ่งพิง๑๔
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
การค้าข้าว ละการอุตสาหกรรมสมัยเริม รก
ขณะที่ตระกูลเจ้าสัวใหญ่ก�าลังประสบภาวะล่มสลาย ผู้ประกอบการกลุ่ม
ใหม่พัฒนาขึ้น ส่วนมากก็คือ ชาวจีนอพยพ ซึ่งเข้ามาสยามหลัง พ.ศ. ๒๔๐๐
ชาวจีนที่ต้องการหลีกหนีจากความยากไร้และปัญหาการเมืองที่จีนใต้
อพยพเข้ามาสยามเพิม่ จ�านวนขึน้ ช่วงทศวรรษ ๒๔๒๐ เรือกลไฟเริม่ วิง่ ระหว่าง
กรุงเทพฯ และเมืองท่าที่จีนตอนใต้ ระหว่างปี ๒๔๒๕ และ ๒๔๕๓ ชาวจีน
เดินทางมาสยามถึง ๑ ล้านคน จากจ�านวนนี้ประมาณ ๓ แสน ๗ หมื่นคนตั้ง
หลักแหล่งอยู่สยามเป็นการถาวร หลังจากที่เข้ามาจ�านวนมากขนาดนี้ เกือบครึ่ง
หนึ่งของประชากรกรุงเทพฯ จึงเป็นคนจีน และในกลุ่มนี้ ประมาณ ๓ ใน ๕
เป็นจีนแต้จิ๋ว ตามด้วย “จีนแคะ” และ “ไหหน�า”
ณ จุดเริ่มแรกบริษัทฝรั่งเป็นใหญ่ในธุรกิจค้าข้าว แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน
อดีตพ่อค้าเรือส�าเภาและเจ้าภาษีนายอากรจีน พบว่าไม่เป็นการยากเลยที่จะซื้อ
หาเครื่องจักรและจ้างวิศวกรชาวสก๊อต หรือเยอรมันมาดูแล ครั้นเมื่อเจ้าสัว
รายแรกๆ แสดงให้เห็นว่าท�าได้ ชาวจีนอพยพอื่นๆ ก็ท�าตามบ้าง อากรเต็ง
ประสบความส�าเร็จมากที่สุด เขาอพยพมาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๕ เริ่มแรกเป็นจับกัง
รับจ้างแล้วก็เปิดร้าน ต่อมาโชคช่วยได้เมียดี จึงเปลี่ยนฐานะเป็น “เจ้าภาษีนาย
อากร” ระดับกลางที่ภาคเหนือ ทศวรรษ ๒๔๒๐ ลงทุนก�าไรสร้างโรงสีข้าว ๕
แห่ง โรงเลื่อยไม้ ๑ แห่ง และอู่เรือ ลูกชายท�ากิจการต่อเนื่องมา เขาเอาก�าไร
ลงทุนธนาคาร บริษัทเดินเรือ และสวนยาง ครั้นต้นทศวรรษ ๒๔๔๐ ตระกูล
ของอากรเต็งติดอันดับเป็นหนึ่งในบรรดาเจ้าสัวชั้นน�า พ.ศ. ๒๔๕๕ คนจีนเป็น
เจ้าของโรงสีข้าวถึง ๕๐ แห่ง ขณะที่ฝรั่งลดบทบาทลงไป พ.ศ. ๒๔๘๖ ฝรั่งเป็น
เจ้าของโรงสีข้าวเพียง ๑ แห่งจากทั้งหมด ๘๔ แห่ง
อากรเต็งและนักธุรกิจจีนอื่นๆ ค้าขายชนะชาวยุโรป เพราะว่าพวกเขา
มีสายสัมพันธ์โยงใยกับเครือข่ายพ่อค้าจีนซึ่งซื้อข้าวจากชาวนาตามหมู่บ้านใน
เขตชนบทต่างๆ และเพราะว่าพวกเขาสามารถบริหารจัดการแรงงานกุลีจีนได้
เก่งกว่า อีกทั้งพัฒนาเครือข่ายการค้าในบริเวณรอบๆ ภูมิภาคอีกด้วย ส�าหรับ
บางตระกูลเช่นหวั่งหลีนั้น กิจการที่กรุงเทพฯ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเครือข่าย
ภูมิภาค ตระกูลหวั่งหลีมีฐานอยู่ที่กวางตุ้ง แล้วได้พัฒนาเครือข่ายการค้าชาย
ทะเลไปที่ฮ่องกง สิงคโปร์ กรุงเทพฯ และไซ่ง่อน พ.ศ. ๒๔๑๔ ลูกชายคน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ข้าวทั้งหมด ตระกูลเหล่านี้ผูกพันกันมากขึ้นโดยการสมรสกันข้ามไปมาระหว่าง
เหล่าตระกูลจากส�าเนียงภาษาต่างๆ ด้วย นอกจากนั้นยังร่วมกันก่อตั้งสมาคม
โรงสีข้าวเพื่อควบคุมราคาข้าว
ทศวรรษ ๒๔๖๐ ทั้งบริษัท รั่งและจีนเริ่มสนใจธุรกิจอุตสาหกรรม
เพราะต่างเห็นว่ากรุงเทพฯ ขยายเป็นเมืองใหญ่จนมีตลาดเพียงพอที่จะรองรับ
สินค้าต่างๆ เช่น ไม้ขีดไฟ ตะปู สบู่ พลุไฟ ยา บุหรี่ น�า้ มัน ผ้า กระดาษ อิฐ
รองเท้า เฟอร์นิเจอร์ และการบริการ เช่น ไฟฟ้า น�้าประปา และการขนส่ง ผู้
ประกอบการซึ่งประสบความส�าเร็จรายแรกๆ บางรายก็คือลูกหลานของตระกูล
เจ้าสัวเก่า ซึ่งได้รับการศึกษา และได้มีโอกาสมองเห็นพฤติกรรมการบริโภคของ
ข้าราชการชั้นน�ารุ่นใหม่ๆ นั่นเอง นายบุญรอด ได้เข้าโรงเรียนหลวงแห่งหนึ่ง
ต่อมาท�างานที่โรงสีข้าวของอากรเต็ง และบริษัทท�าไม้ของฝรั่ง ก่อนที่จะตั้งบริษัท
ค้าไม้ของตนเอง หลังจากที่เขาเดินทางไปยุโรป จึงพยายามน�ารถเข้ามาขาย ท�า
กิจการเรือเมล์และบริษัทเดินอากาศ ก่อนที่จะปิงไอเดียท�า “โรงเบียร์” เปิดขึ้น
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖
นายเลิศ เป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ของนายบุญรอด เริ่มจากเป็นเสมียน
ที่บริษัทฝรั่งแห่งหนึ่ง ต่อมาน�าเข้าจักรเย็บผ้าและรถยนต์ หลังจากนั้นเขาท�า
กิจการรถเมล์ และเอาก�าไรลงทุนซื้อที่และท�ากิจการพัฒนาที่ดิน
ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ก็มีพื้นเพเป็นชาวจีนอพยพใหม่ รุ่นเดียวกับ
พวกพ่อค้าข้าวใหญ่ เช่น นายมังกร สามเสน ท�ากิจการโรงสีข้าวก่อนที่จะตั้ง
โรงงานท�าน�้ามันมะพร้าวและโรงงานน�้าตาล นายโกศล ุนตระกูล เคยเป็นเจ้า
ของตลาดก่อนที่จะตั้งโรงน�้าแข็งแห่งแรกๆ
กรุงเทพฯ ต้องการแรงงานจ�านวนมากเพื่อท�างานที่ท่าเรือ โรงสีข้าวและ
สาธารณูปโภคใหม่ๆ ทศวรรษ ๒๔๕๐ เฉพาะโรงสีข้าวอุตสาหกรรมเดียวก็
จ้างคนงานระหว่าง ๑ หมื่น ถึง ๒ หมื่นคน หากนับรวมคนงานจับกังทั่วๆ ไป
ทั้ ง หมดด้ ว ยก็ เ ป็ น เรื อ นแสน หรื อ คิ ด เป็ น ประมาณ ๑ ใน ๔ ของประชากร
กรุงเทพฯ ทั้งหมด คนงานส่วนใหญ่เป็นชาวจีน แม้ว่าเริ่มมีคนไทยท�างานรับ
จ้างมากขึ้นแล้วภายหลังการเลิกทาส และเมื่อมีรัฐวิสาหกิจ เช่น “การรถไ ”
สภาพการท�างานและวิถีชีวิตย�่าแย่ ท�าให้จับกังส่วนมากสูบฝิ่นเพื่อลืม
ความล�าบากกาย แม้ว่าจะไม่ได้สูบฝิ่นมาก่อน บางทีลูกจ้างก็ประท้วงสภาพการ
ท�างานที่ย�่าแย่ พ.ศ. ๒๔๒๖ คนงานท่าเรือหยุดงานท�าให้ท่าเรือเป็นง่อยไปเลย
เมื่อลูกจ้างโรงสีข้าวหยุดงานใน พ.ศ. ๒๔๒๗ และ ๒๔๓๕ รัฐบาลต้องส่งทหาร
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ฝรั่งแทนที่จะเป็นแบบไทยหรือจีน โดยแบบฝรั่งถือว่าเป็นแบบกลางๆ “นาย
บุศย์” ตั้งข้อสังเกตเรื่องการแต่งตัวที่ส�าเพ็งในช่วงนั้นไว้ดังนี้
ถนนเล็กเจ๊กไทยออกไขว้เขว เดินทางปนเปหลีกกระทบหลบไม่ไหว
สุดสังเกตเหตุผลเจ๊กปนไทย ใครเป็นใครมิได้แน่ด้วยแปรปรวน
สมัยใหม่ไขว้เขวท�าเลเสีย จีนตัดเปียเป็นไทยเหลือไต่สวน
มาเกิดมีวิปริตติดกระบวน กลับผันผวนผิดชาติประหลาดใจ๑๕
สังคมเมองหลวงของรั ชาติ
สังคมกรุงเทพฯ เปลี่ยนโฉมเพื่อรับกับบทบาทใหม่คือ เมืองหลวงของ
รัฐชาติ หลังการปฏิรูประบบบริหารที่รวมศูนย์อ�านาจ รายได้รัฐหลั่งไหลเข้า
กรุงเทพฯ อ�านาจรัฐแผ่กระจายออกไป ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๓๓ และ ๒๔๖๒
จ�านวนของ “ข้าราชการ” ที่ได้รับเงินเดือนประจ�าเพิ่มขึ้นจากเพียง ๑๒,๐๐๐ เป็น
๘๐,๐๐๐ พ.ศ. ๒๔๕๙ โรงเรียนข้าราชการพลเรือน ได้ควบรวมเข้ากับสถาบัน
อื่นๆ เป็นจุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้กลายเป็นช่องทางสู่การเป็นข้าราชการ
ระดับสูง ส�านักงานใหม่ๆ สร้างขึ้นรอบๆ บริเวณศูนย์กลางเมืองหลวงเก่า หน่วย
ทหารถาวรแห่งใหม่อยู่ไกลออกไป รอบๆ ส�านักงานราชการเหล่านี้ต่อมาพัฒนา
เป็นถิ่นเพื่ออยู่อาศัยของข้าราชการระดับกลาง ชุมชนพ่อค้า และธุรกิจบริการ
ต่างๆ
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่คือชนชั้นน�าของกรุงเทพฯ แก่นของกลุ่มนี้คือ สมาชิก
พระราชวงศ์ และลูกหลานตระกูลขุนนาง ซึ่ง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรง
ชักชวนให้เข้ารับราชการ อาจกล่าวได้ว่าการเป็นข้าราชการกินเงินเดือนประจ� า
เป็นทางออกให้กบั ปัญหาที่ว่าจะเลี้ยงคนในราชนิกุลที่เพิ่มจ�านวนขึ้นมากได้อย่างไร
ในสมัยนั้น เงินเดือนของข้าราชการมากพอที่จะเลี้ยงทั้งครอบครัวได้ ขณะที่
ประเพณี “กินเมือง” หรือได้ประโยชน์จากต�าแหน่งยังคงตกค้างอยู่ รัฐบาล
ใหม่ชักจูงให้ผู้ปกครองและตระกูลใหญ่ตามหัวเมืองส่งลูกชายเข้าโรงเรียนและ
วิทยาลัยก่อตั้งใหม่ เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความจงรักภักดีต่อรัฐชาติใหม่
เจ้าสัวใหญ่บางตระกูลหลุดรอดจากภาวะเสื่อมสลาย เพราะส่งลูกชาย
เรียนและได้อาชีพใหม่ บ้างส่งไปเรียนภาษาอังกฤษที่สิงคโปร์หรือที่ปีนัง บ้าง
เข้าโรงเรียนคริสต์ที่กรุงเทพฯ ซึ่งก็สอน “ภาษาอังกฤษ” บ้างใช้เส้นสายส่งลูก
เข้าโรงเรียนหลวงที่ก่อตั้งเพื่อลูกหลานของชนชั้นสูงโดยเฉพาะ ลูกหลานคน
หนึ่งของหลวงอภัยวานิช เจ้าสัวและนายอากรเก่า เป็นสามัญชนคนเดียวที่ได้
เข้าโรงเรียนในวัง และต่อมาได้เรียนกับบาทหลวงชาวอเมริกัน เนื่องจากเก่ง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาษาอังกฤษจึงได้งานที่บริษัทบอร์เนียว และต่อมามีต� าแหน่งเป็นล่ามที่กรม
ต�ารวจ ได้รับการเลื่อนชั้นเป็นหัวหน้าใหญ่ และลูกหลานของเขาในสายตระกูล
จาติกวณิชด�าเนินรอยตามโดยเข้ารับราชการหรือเป็นนักวิชาชีพในระบบราชการ
และเศรษฐกิจสมัยใหม่
การรับคนและการเลื่อนขั้นภายในระบบราชการแบบดั้งเดิมนั้นอาศัย
อยู่ที่ว่ารู้จักกับผู้ใหญ่เป็นส่วนตัว ึ่งวิธีการดังกล่าวก็ยังตกค้างอยู่แม้หลังการ
ปฏิรูป ข้าราชการชั้นผู้น้อยอิงแอบอยู่กับผู้ใหญ่ในกระทรวงและสามารถเลื่อน
ชั้นขึ้นไปโดยอาศัยทั้งที่ต้องฉลาด ต้องรับใช้เจ้านายเป็นการส่วนตัว และเล่น
เส้นเล่นสายให้ถูกจังหวะ ยศต�าแหน่งยังมีความส�าคัญ สมาชิกพระราชวงศ์มี
ค�าน�าหน้าชื่อ เพื่อแสดงพระยศที่โยงกับพระมหากษัตริย์ลดหลั่นกันไป ข้าราช
การทุกคนที่อยู่ระดับสูงกว่างานสารบรรณ มีบรรดาศักดิ์ และราชทินนาม (เจ้า
พระยาธรรมศักดิ์มนตรี ฯลฯ) ตามแบบอย่างที่ถือปฏิบัติตั้งแต่ครั้งอยุธยา
พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. ๒๔๕๖ ก�าหนดให้ทุกคนต้องมี
นามสกุล สมาชิกพระราชวงศ์ใช้นามสกุลเฉพาะ และมี “ กรุงเทพ ” ต่อท้าย
(ต่อมาเปลี่ยนเป็น “ณ อยุธยา”) คล้ายๆ กับลอร์ด ตามด้วยชื่อเมือง พบเห็นใน
การตั้งต�าแหน่งขุนนางที่ยุโรป ตระกูลระดับน�าเขตหัวเมืองขอพระราชานุญาต
ให้ระบุเมืองถิ่นก�าเนิดในนามสกุลของพวกเขาเช่นกัน (ณ ระนอง ณ สงขลา
ณ เชียงใหม่) ตระกูลใหญ่อื่นๆ รวมทั้งเจ้าภาษีนายอากร ปรับเปลี่ยนราชทินนาม
ของตัวเองในขณะนั้นหรือของอดีตหัวหน้าตระกูลเป็นนามสกุลของครอบครัว
(ภิรมย์ภักดี พิบูลสงคราม) พระมงกุฎเกล้าฯ ทรงชื่นชอบกับการพระราชทาน
นามสกุล เป็นค�าสันสกฤตส�าหรับตระกูลใหญ่ๆ ซึ่งขอพระราชทานนามสกุล
ราชทินนามและนามสกุลแสดงให้เห็นระดับชั้นสูงต�่าในระบบราชการสมัยใหม่
เสมือนดังระดับชั้นก�าหนดโดยหีบหมากพระราชทานซึ่งขุนนางถือแสดงต�าแหน่ง
ของตนในอดีตนั่นทีเดียว
นอกเหนือจากตระกูลใหญ่ๆ เหล่านี้แล้ว หน่ออ่อนของชนชั้นกลางถือ
ก�าเนิด ได้แก่ ข้าราชการชั้นผู้น้อย ครู ผู้จัดการ และนักวิชาชีพที่ท�างานให้กับ
รัฐชาติและระบบเศรษฐกิจตลาด มีเพียงจ�านวนน้อยเท่านั้นที่เลื่อนชั้นตัวเองมา
จากตระกูลชาวนา สามัญชนคนชั้นกลางใหม่ส่วนใหญ่แล้วพัฒนามาจากข้าราช
การและตระกูลพ่อค้าที่กรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่
บางคนประสบความส�าเร็จจากที่ได้งานเป็นกัมประโด (comprador)
ท�าหน้าที่ติดต่อระหว่างบริษัทฝรั่งกับลูกค้าหรือหุ้นส่วนคนพื้นถิ่น กัมประโด
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ฝรั่งเศส
สามัญชนอื่นๆ ก้าวหน้าขึ้นเมื่อได้รับการศึกษาสมัยใหม่ แต่อาจจะขยับ
ขยายไปมีอาชีพอื่น นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นลูกของเสมียนรถไฟ ไป
โรงเรียนวัด และโรงเรียนทหารก่อนจะเข้าโรงเรียนเทพศิรินทร์ที่มีชื่อโด่งดัง เมื่อ
จบก็เข้ารับราชการแต่พบว่าไม่เจริญเนื่องจากไม่มีเส้นสายที่เหมาะสม จึงหันไป
สอนภาษาอังกฤษและแปลหนังสือก่อนที่จะผันตัวเป็น “นักหนังสือพิมพ์” และ
“นักเขียน” มีชื่อเสียง
สามัญชนใหม่ๆ เหล่านี้มาจากภูมิหลังหลากหลาย ทั้งจากเมืองกรุง
และหมู่บ้าน บ้างเป็นไทย บ้างเป็นจีน บ้างมาจากตระกูลพ่อค้า บ้างจากตระกูล
ข้าราชการ พวกเขาเขยิบฐานะสูงขึ้นหลังจากได้ร�่าเรียนในโรงเรียนที่รัฐบาลและ
ฝรั่งตั้งขึ้น มักจะมองตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมใหม่ หมายถึงผู้ที่ก่อร่างสร้าง
ตัวจากความสามารถของตนเอง ไม่ใช่จากชาติก�าเนิด เมื่อได้เข้าโรงเรียนชั้นน�า
และเมื่อเข้ารับราชการ ได้กระทบไหล่กับขุนนางอภิสิทธิ์ชน จึงมักจะตระหนัก
ถึงการแบ่งชั้นในสังคม พวกเขาเป็นคนส่วนน้อย แต่เป็นส่วนส�าคัญของสังคม
เมืองใหม่
การแต่งเนื้อแต่งตัวของคนเมืองก็เปลี่ยนไป สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
และตอนกลาง ชาวจีนมักนุ่งกางเกงและเสื้อกุยเฮง ขณะที่คนไทยและอื่นๆ ยัง
นุ่งโสร่งหรือผ้าถุง หรือคาดผ้าขาวม้า โดยพวกผู้หญิงจะมีผ้าคาดอกด้วย ทูต
ฝรั่งตกใจที่พบว่าแม้แต่สมาชิกพระราชวงศ์ก็ยังแต่งตัวท�านองเดียวกัน จึงบันทึก
แสดงความแปลกใจว่า แม้จะแต่งตัวค่อนไปทำง “กึ่งปำเถื่อน” แต่ก็ฉลำด
เฉลียว ชนชั้นน�าไทยตระหนักดีถึงนัยของทัศนคติดังกล่าวที่โยงการแต่งตัวกับ
ความ “ศิวิไล ์”
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้ผู้ที่เข้าเฝ้าสวมเสื้อเพื่อความศิวิไลซ์
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ทั้งชายหญิงที่ราชส�านักสวมใส่เสื้อผ้าที่ตัดเย็บให้พอดี
ตัวทั้งท่อนบนและท่อนล่างทั้งสิ้น ข้าราชการสมัยใหม่ที่มักต้องท�างานร่วมกับ
ที่ปรึกษาชาวยุโรป เอาอย่างโดยสวมใส่กางเกงและเสื้อแบบฝรั่ง อีกทั้งคนท�างาน
บริษัทฝรั่งก็แต่งตัวเช่นเดียวกัน นับเป็นแฟชั่นของชนชั้นน�า เป็นแบบอย่างให้
กับคนอื่นๆ ในสังคมเมือง คนงานชายยังเปลือยอก ขณะที่คนอื่นใช้ผ้าคาดอก
ใส่เสื้อเชิ้ตในที่สาธารณะ (ดูภาพที่ ๑๔) ครั้นถึงปลายรัชกาลที่ ๕ ชาวเมืองของ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
สยามสวมเสื้อผ้าตลอดตัวทั้งหมดแล้ว
กรุงเทพฯ เปลี่ยนจากที่เคยเป็น “เมืองปอมเมืองท่า” fort and ort
เป็นเมืองหลวงของรัฐชาติใหม่ เป็นศูนย์กลางการส่งออกข้าวและไม้สักที่คึกคัก
ยิ่ง ภูมิทัศน์และกายภาพของเมืองสะท้อนให้เห็นลักษณะเด่นที่แตกต่างสอง
ประการนี้
บริเวณด้านเหนือและตะวันตก เป็นศูนย์กลางของรัฐชาติที่มีกษัตริย์
เป็นใหญ่ เมื่อรายได้รัฐเพิ่มขึ้นจึงสร้างถนนใหม่ๆ เริ่มจากเกาะรัตนโกสินทร์
ไปทางทิศเหนือและตะวันตก ถนนเหล่านี้เป็นที่ตั้งของวังต่างๆ และคฤหาสน์
ของตระกูลใหญ่ๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการใหม่ พระราชวงศ์ทรงสร้าง
วังตาม สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ขึ้นที่ดุสิต มีทั้งวังที่สร้างด้วยไม้สักและคฤหาสน์
เลียนแบบยุโรป รอบๆ วังเหล่านี้ ส�านักงานและบ้านเรือนของข้าราชการผุดขึ้น
อีกทั้งมีค่ายทหาร วัด และโรงเรียน
ย่านการค้าของกรุงเทพฯ กระจุกตัวอยู่บริเวณฝั่งแม่น�้าเจ้าพระยาทาง
ด้านทิศใต้ ริมฝั่งแม่น�้ามีส�านักงานและตึกรามของบริษัทฝรั่ง อีกทั้งสถานทูต
โรงแรมโอเรียนเต็ล โรงสีข้าว โกดังสินค้า ส�านักงานบริษัทอีสต์เอเชียติก หลุยส์
ทีเลียวโนเวนส์ และบริษัทบอร์เนียว ไปทางตะวันออกของฝั่งแม่น�้าที่ว่านี้คือ
บำงรัก เป็นย่านของชาวยุโรป มี “ถนนเจริ กรุง” เป็นศูนย์กลาง รัฐบาลสร้าง
ถนนนี้เมื่อทศวรรษ ๒๔๐๐ เพื่อให้ชาวยุโรปได้ตั้งบ้านเรือน เดินเล่น และใช้รถ
ม้า สถานทูต ธนาคาร และส�านักงานของบริษัทฝรั่งล้วนแต่กระจุกตัวอยู่ย่านนี้
ทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีร้านขายของ ร้านขายยา สนามม้า ตลาดบางรัก ซึ่งขายเนื้อวัว
เนื้อแกะ ผักที่ชาวยุโรปกิน และ Bangkok nited Club ซึ่งเป็น “สถานที่
สังสรรค์สุดเหวี่ยงของสังคม รั่งในกรุงเทพฯ” ๑๗
ที่ริมฝั่งแม่น�้ายังมีคฤหาสน์โอ่อ่ารูปทรงเด่นของตระกูลพ่อค้าจีนระดับ
น�าอยู่เรียงราย อยู่ในบริเวณกว้างขวาง มีบ้านหลายหลังส�าหรับสมาชิกครอบครัว
ขยาย มักมีโรงงานสร้างขนาบอยู่ด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งเป็นศาลเจ้า จุดเด่นริม
ฝั่งแม่น�้าอีกอย่างคือ โรงสีข้าว โกดัง และปล่องไฟสูงมีควันด�าพุ่งโขมงเมื่อเผา
แกลบ โรงสีไฟรุ่นแรกๆ ตั้งอยู่แถบชานเมือง แต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๑ ได้
กระจายไปทั่วใจกลางเมืองริมฝั่งแม่นา�้ ด้านตะวันตก มองไปที่ขอบฟ้าเห็นปล่อง
ไฟสูงแข่งกับยอดเจดีย์วัดและยอดมณฑปของวังหลวง
ถัดจากบริเวณริมฝั่งแม่น�้าเข้ามาทั้งสองฟากฝั่งคือบ้านเรือนของชุมชน
จีน ชาวฮกเกี้ยนชอบอยู่แถบฝั่งธนบุรี แต้จิ๋วชอบฝั่งพระนคร แหล่งค้าขายเก่า
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
มีเมียหลายคนทั้งที่เมืองไทย เมืองจีน และบางทีก็ได้เมียที่เมืองท่าในประเทศ
อื่นๆ ด้วย
ภายใต้ระบบชายเป็นใหญ่ ก็ไม่ใช่ว่าผู้หญิงจะไร้อา� นาจเสียเลยทีเดียว
ในวังนั้นสตรีบางคนมีบทบาทสูง รวมทั้งการดูแลพระคลัง พระราชสาส์นของ
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ แสดงให้เห็นว่าทรงให้ความส�าคัญกับความเห็นของ
พระราชินีที่ทรงโปรดปราน โปรดให้ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ
(พระองค์เจ้ำเสำวภำผ่องศรี) ด�ารงต�าแหน่งผู้ส�ำเร็จรำชกำรแทนพระองค์ เมื่อ
เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๒ นวนิยายอิงประวัติศาสตร์ขุนนางเรื่อง ี่แผน น
ของ ม.ร.ว.คึก ทธิ ปราโมช (พ.ศ. ๒๔๙๓) มีผู้หญิงเป็นแกนของครอบครัว
และเนื้อเรื่อง
ตามก หมายนั้น เงิน ทองและอสัง หาริม ทรัพ ย์ ึ่ง เจ้ า สาวได้ รับ เมื่อ
แต่งงานจะเป็นของ ายหญิงเท่านั้น ผู้หญิงบางคนจึงใช้สินทรัพย์ในส่วนนี้
ลงทุนท�าธุรกิจของตนเอง ในกลุ่มครอบครัวจีน ผู้หญิงมักมีกลุ่มของ “ขาไพ่”
ที่นิยมเล่นไพ่ปอกและไพ่นกกระจอก ซึ่งจะมีการเจรจาต่อรองเรื่องการแต่งงาน
ระหว่างครอบครัวต่างๆ ในวงขาไพ่น้ีเพื่อขยายเครือข่ายธุรกิจและครอบครัว
นอกจากนั้น แม้ระบบชายมีเมียหลายคนจะแพร่หลาย แต่ผู้สืบตระกูลอาจจะ
ไม่ใช่ชายเสมอไป เมื่อโรคอหิวาต์ระบาดช่วงหน้าร้อนชาวจีนที่เพิ่งมามักตกเป็น
เหยื่อของโรคนี้ พ่อค้าจีนบางคนให้ทรัพย์สมบัติเป็นมรดกแก่ลูกสาวด้วย ประ
การหนึ่งก็อาจจะท�าตามประเพณีไทยที่แบ่งมรดกให้ลูกทุกคนพอๆ กัน อีกประ
การหนึ่งเป็นเพราะว่าลูกชายอาจต้องอพยพย้ายไปท�าธุรกิจครอบครัวที่อื่น ขณะ
ที่ลูกสาวจะอยู่กับที่ มีตระกูลเจ้าสัวเก่าแก่ตระกูลหนึ่งที่ยกมรดกให้ลูกสาวเป็น
หลัก หญิงจีนจ�านวนมากท�าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเป็นเจ้าของโรงรับจ�าน�า
บรรดาสามัญชนวัยท�างานทั่วไป บทบาทของผู้หญิงต่างจากที่กล่าวมา
มาก ผู้หญิงท�างานกันแทบทุกคน แม่ค้าแม่ขายตามข้างถนนและตลาดน�้าเห็น
ได้ทั่วไป จนทางการเองยังตั้งผู้หญิงให้เป็นผู้ดูแลตลาดต่างๆ ผู้หญิงชาวบ้าน
ปลูกข้าวและปลูกผักบริเวณชานเมือง ท�างานในโรงงานและสาธารณูปโภคต่างๆ
ดังที่ วอริงตัน สมิธ รายงานไว้ว่า พ แ า า า ผ า น
า น นทา พ น น านแ น ท ๒๐
วัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ในกลุ่มชนชั้นน�า กอปรกับวัฒนธรรมผู้หญิง
ท�างานเป็นฐานรากของบริการเพศพาณิชย์ ท่าเรือและบริเวณตลาดส�าเพ็งเป็น
ถิ่นที่อาศัยของชายชาวจีนที่อพยพมาคนเดียว จึงเป็นแหล่งโรงน�้าชาและซ่อง
สรุป
การยกเลิกระบบเกณฑ์แรงงานและระบบทาส และการเข้ามาของบริษัท
ฝรั่งเจ้าอาณานิคม ท�าให้เศรษฐกิจ สังคม และภูมิทัศน์ของเมืองไทยเปลี่ยน
แปลงไปอย่างรวดเร็ว
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ และ ๕ ที่ราบลุ่มเจ้าพระยาปรับเปลี่ยนจากที่เคย
เป็นป่าหนอง พัฒนามาเป็นทุ่งนาข้าวแผ่กระจายทั่วไป แรงงานอิสระกลายเป็น
ชาวนาบุกเบิก มีบทบาทส�าคัญที่เลี้ยงประชากรส่วนใหญ่ และเป็นตัวขับเคลื่อน
ระบบเศรษฐกิจชาติ สยามกลายเป็นสังคมของชาวนารายเล็ก แต่สังคมชาวนา
ผูกติดอยู่กับหมู่บ้าน พวกเขาห่างไกลจากชีวิตการเมืองของประเทศ
ในเวลาเดียวกันกรุงเทพฯ เปลี่ยนจาก “เมืองป้อมเมืองท่า” เป็นศูนย์
กลางเพื่อธุรกิจอาณานิคมและเมืองหลวงของรัฐชาติ ส่งผลให้เกิดพลังทางสังคม
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
กลุ่มใหม่ๆ ตระกูลขุนนางใหญ่และตระกูลเจ้าสัวที่เคยท�าการค้าเรือส�าเภาและเป็น
เจ้าภาษีนายอากร ผันตัวเองสู่ชนชั้นน�าในระบบราชการของรัฐชาติใหม่ ชนชั้น
น�าด้านธุรกิจที่มีพื้นเพเป็นคนจีนพุ่งขึ้น หลายตระกูลเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่าย
ธุรกิจระดับภูมิภาค พวกเขายังคงยึดถือวัฒนธรรมจีน โดยเฉพาะการส่งลูก
หลานกลับไปร�่าเรียนที่เมืองจีนถิ่นก�าเนิด ต่อมาเริ่มพาภรรยาจากเมืองจีนมา
เมืองไทย ธุรกิจของพวกเขาไม่จ�าเป็นต้องพึ่งพาการอุปถัมภ์จากกลุ่มศักดินาอีก
ต่อไป และไม่ได้มีราชทินนามหรือเกี่ยวโยงกับชนชั้นน�าระดับสูงของสยาม เมื่อ
ร�่ารวยและเพิ่มจ�านวนมากขึ้น กลุ่มนักธุรกิจชาวจีนกลุ่มใหม่นี้จึงสร้างชุมชนของ
ตนเองและสถาบันสนับสนุน เช่น สมาคมแซ่ โรงเรียนจีน และสมาคมช่วยเหลือ
กันเอง
การยกเลิกระบบเกณฑ์แรงงานและทาสท�าให้แรงงานเป็นอิสระ อีกทั้ง
การลงทุนด้านสาธารณูปโภคที่กรุงเทพฯ ท�าให้ชนชั้นกรรมกรกลุ่มใหม่ถือก�าเนิด
ครั้นเมื่อการศึกษาสมัยใหม่ ระบบราชการและธุรกิจสมัยใหม่ขยายตัวไป ชนชั้น
กลางสามัญชนกลุ่มเล็กๆ ก็ก่อตัวขึ้น สมาชิกของกลุ่มใหม่นี้มักมาจากสังคมไทย-
จีนเขตหัวเมือง พวกเขาห่างไกลจากวัฒนธรรมประเพณีของราชส�านักดั้งเดิม
และตระหนักรู้ว่าตัวเองเป็นกลุ่มบุกเบิกของสังคมและวัฒนธรรมเมืองใหม่
พลังสังคมเมืองกลุ่มใหม่ๆ เหล่านี้ ท้าทายแนวคิดของรัฐสมบูรณาญา
สิทธิว่าด้วยเรื่องชาติและรัฐชาติ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
การปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕ ล้มเลิกกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิ
ราชย์ การปฏิวัตินั้นมีแรงบันดาลใจมาจากวิสัยทัศน์ที่สอง และมีก� าลังสนับ
สนุนจากทหารประจ�าการจัดตั้งขึ้นเมื่อปลายรัชกาลที่ ๕ แต่การปรับความหมาย
ของ “ชาติ” ซับซ้อนมาก เพราะว่าสยามมีประชาชนชาวจีนจ�านวนมาก การปรับ
เป้าประสงค์ของรัฐชาติก็ซับซ้อนมากด้วย เพราะว่าสยามเป็นส่วนหนึ่งของโลก
ที่แตกแยกด้วยสงครามระหว่างความคิดชาตินิยมสองแบบ
สมบูรณาญาสิท ิราชย์ไม่ยอมตาย
แม้ว่าพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ จะไม่ทรงยอมรับการลดทอนพระราช
อ�านาจใดๆ ก็ตาม แต่มีผู้เสนอว่า เมื่อทรงพระประชวรหนักจนใกล้สวรรคต
พระองค์ทรงมีพระราชด�ารัสว่า น า แ พ
นทนทีที่ น า น าแ น า น า
า น แ น ่น ๑
ครั้งทรงพระเยาว์ (ชนมพรรษา ๑๑-๒๒) พระมงกุ เกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๖ เสด็จไปเรียนที่ประเทศอังกฤษ ทรงสนพระทัยด้านศิลป์ วรรณ
กรรม ประวั ติ ศ าสตร์ และโดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง การละคร ทรงแปลงานของ
เชกสเปียร์ กิลเบิร์ต แอนด์ซัลลิวัน ทรงสร้างโรงละคร และทรงพระราชนิพนธ์
บทละครถึง ๑๘๐ เรื่อง อีกทั้งบทความเรียงอีกนับไม่ถ้วน ทรงมีพระสหาย
ชายที่พระองค์โปรดซึ่งทรงน�าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระราชส�านัก และต่อมา
ได้รับต�าแหน่งเป็นขุนนาง รัชกาลที่ ๖ ทรงด�าเนินรอยตามพระราชบิดาในเรื่อง
การเชิดชูความโอ่อ่าของพระราชส�านักอย่างเต็มที่ โดยทรงเฉลิมฉลองพระราชพิธี
ราชาภิเษกอย่างอลังการ ทรงสร้างพระราชวังใหม่ ๓ แห่ง ทรงก่อตั้ง “เสือปำ”
เป็นกองรักษาพระองค์ และเป็นเครื่องแสดงความจงรักภักดีต่อพระราชบัลลังก์
ทรงก่อหนี้เป็นจ�านวนมากจนคณะเสนาบดีต้องยอมให้ทรงกู้เงินจากต่างประเทศ
เพื่อหลีกเลี่ยงคดีล้มละลาย รัชสมัยของพระองค์นั้นได้เห็นกลุ่มทหารพยายาม
ก่อการ “รัฐประหาร” อย่างน้อย ๒ ครั้ง และเป็นไปได้ว่าอีกครั้งหนึ่งนั้นเกิด
จากภายในวังเอง
พระมงกุฎเกล้าฯ ทรงปฏิเสธข้อแนะน�าของพระราชบิดาเรื่องการพระ
ชาติบ้านเมืองเปรียบเหมือนเรือ พระราชาธิบดีคือนาย
เรือ ประชาชนคือผู้ที่ไปด้วยกันในเรือล�านั้น
เราอยู่ในเรือล�าเดียวกัน เพราะฉะนั้น หน้าที่ต้องช่วยกัน
พาย ถ้าแม้ไม่พายถึงแม้ว่าไม่เอาตีนราน�้า เป็นแต่นั่งอยู่เฉยๆ ก็
หนักเรือเปล่าๆ...ถ้าจะพายก็จับพายขึ้นและอย่าเถียงนายท้าย๓
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ค�าขวัญภาษาอังกฤษ “Go , King, an Country” (พระเจ้า พระมหากษัตริย์
และประเทศ) โดยความต่างคือในค�าขวัญอังกฤษสามส่วนนี้แยกออกจากกัน
แต่ใน “ค�าขวัญรัชกาลที่ ๖” ทั้งสามเป็นเรื่องเดียวกัน พระมหากษัตริย์คือตัว
แทนของชาติ ชาวพุทธ และผู้ปกป้องทั้งชาติและศาสนา วลีดังกล่าวผนวกแนว
คิดเรื่องพระราชอ�านาจไว้ในถ้อยค�าสมัยใหม่ของทฤษฎีรัฐชาติ พ.ศ. ๒๔๖๐
โปรดให้ออกแบบธงชาติใหม่เป็น ธงชาติ ๓ สี เพื่อให้กองทหารสยามที่ส่งไป
ช่วยรบกับฝ่ายพันธมิตรที่ยุโรปน�าไปใช้ และทรงมีพระราชด�ารัสเนื้อความว่า
สีน�้ำเงิน ขำว และแดง ไม่ใช่เพียงเข้ำกันได้กับธงของประเทศพันธมิตรอื่น
แต่ยังเป็นตัวแทนของ องค์ประกอบของชำตินิยมของพระองค์ สีขำวคือ
พระพุทธศำสนำ สีน�้ำเงินคือพระมหำกษัตริย์ และสีแดงคือเลือดของคนไทยที่
พร้อมจะสละเพื่อปกปองชำติ
การสร้างพนทีสา ารณะ
หญิง-ชายไทยซึ่งก่อร่างสร้างตัวด้วยตัวเอง ไม่น่าจะรับได้กับการที่ต้อง
มีหน้าที่ยอมรับสภาพที่ก�าหนดให้โดยไม่มีปากเสียงอะไรเลย โลกนอกสยาม
ก�าลังเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันและรวดเร็ว พระราชวงศ์ในประเทศอื่นๆ ซึ่ง
พระราชวงศ์จักรีทรงคุ้นเคยด้วยในสมัยรัชกาลที่ ๕ บ้างก็หมดความส�าคัญลง
หรือล่มสลายไปภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ คนไทยจ� านวนมากมีโอกาส
เห็นสังคมอื่นๆ และเปรียบเทียบกับสยาม คนไทยจ�านวนน้อยส่วนหนึ่งเดิน
ทางไปต่างประเทศ คนอื่นๆ เห็นความแตกต่างของสังคมฝรั่งที่กรุงเทพฯ อีก
หลายๆ คนได้ร�่าเรียนจนอ่านออกเขียนได้และสนใจอ่านหนังสือและวารสาร
ต่างๆ หนังสือพิมพ์น�าเข้ามาจากสิงคโปร์และปีนัง นับจากทศวรรษ ๒๔๒๐
หนังสือแปลจากนวนิยายประโลมโลกย์จากยุโรปได้รับความนิยม ภาพยนตร์
เปิดช่องให้ได้เห็นวัฒนธรรมฝรั่งและวิถีการด�าเนินชีวิตที่แตกต่างนอกเหนือ
จากที่อ่านจากนวนิยาย โรงหนังเปิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ ครั้นถึงปี
๒๔๕๓ ก็มีภาพยนตร์ฉายตามโรงในกรุงเทพฯ เป็นตารางเวลาประจ�าวัน
ทศวรรษ ๒๔๓๐ หนังสือพิมพ์และวารสารในประเทศแพร่ขยายไป
วารสารรุ่นแรกๆ พิมพ์ครั้งละไม่กี่ร้อยเล่ม ครั้นถึงช่วงปี ๒๔๔๔-๒๔๔๙ วาร
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เมืองไทยมักให้คนที่ท�ำผิดแต่ค�ำสำปแช่ง �้ำเติม...เมืองไทยยังขำดมำกในกำร
ปลุกปลอบและเห็นอกเห็นใจ” ๘
นวนิยายที่โด่งดังมากเรื่องแรกโดยหม่อมเจ้าอากาศด�าเกิง ชื่อ
แ ี (พ.ศ. ๒๔๗๒) เป็นเรื่องคนรุ่นใหม่ไปนอก แล้วรับเอาแนวคิดวิจารณ์
สยาม ต่อมามุ่งมั่นที่จะมีบทบาทเปลี่ยนสังคม ในภายหลังนักเขียนอื่นๆ เลียน
แบบเนื้อเรื่องนี้ซ�้าแล้วซ�้าเล่า
นักเขียนทั้งชายและหญิงวิจารณ์ระบบชายมีภริยาหลายคนว่า ไม่ยุติ
ธรรมกับผู้หญิง เป็นสัญลักษณ์ความล้าหลังของสยาม และยังเอื้อกับวัฒนธรรม
ผู้หญิงหากิน นักเขียนรุ่นใหม่วาดภาพว่าในสังคมอุดมคติ คนที่มีความสามารถ
เป็นผู้ได้รับการเลื่อนชั้นและการยกย่อง หญิงชายมีความเท่าเทียมกันเพราะว่า
ผู้หญิงได้รับการศึกษา สังคมเชิดชูระบบผัวเดียวเมียเดียว การแต่งงานเกิดขึ้น
เพราะความรักและความพึงพอใจระหว่างกัน
สตรีสูงศักดิ์ดื้อแพ่งและไม่เห็นด้วยกับกฎหมายที่ออกในรัชกาลที่ ๔
ก�าหนดให้ผใู้ หญ่ของตระกูลศักดินาเลือกหาคูค่ รองให้กบั บุตรสาวได้ ภาพยนตร์
เงียบเรื่อง นา า (พ.ศ. ๒๔๖๖) ชูประเด็นเกี่ยวกับการแต่งงานข้าม
ชนชั้น ในเรื่องสั้น แ น น ่ ของดอกไม้สด (หม่อมหลวงบุปผา
กุญชร นิมมานเหมินท์) แสดงให้เห็นว่านางเอกที่ปฏิเสธบทบาทแบบหญิงโบราณ
ที่สงบเสงี่ยมเจียมตัวโดยสิ้นเชิง สามารถที่จะเปลี่ยนชายที่เคยเอาแต่ใจตัวเอง
และมีทัศนคติโบราณ ให้เป็นสามีที่ดีและพลเมืองในอุดมคติได้
กุหลาบ สายประดิษฐ์ ใช้ค�าว่า น ให้หมายถึงความเชื่อมั่น
ในความเป็นมนุษย์ สะท้อนความคิดความรู้สึกของนักเขียนและนักอ่านสามัญ
ชนรุ่นใหม่
หนังสือพิมพ์พัฒนาขึ้นมาในบริบทของสังคมดังกล่าวด้วย จากทศวรรษ
๒๔๓๐ เป็นต้นมา หนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ เสนอวาทกรรมต่อต้านทัศนคติของ
ราชส�านักว่าด้วยชาติและชาตินิยม พ.ศ. ๒๔๖๐ หนังสือพิมพ์ า เรียก
ตัวเองว่าเป็น “หนังสือพิมพ์โปลิทิก” ฉบับแรก และหนังสือพิมพ์รายวันด้านการ
เมือง า า เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕
หนังสือพิมพ์บางฉบับวิจารณ์ความสุรุ่ยสุร่ายและพฤติกรรมฉีกแนวของ
พระมงกุฎเกล้าฯ ซึ่งพระองค์ก็ได้เข้าร่วมการอภิปรายกับพวกนักหนังสือพิมพ์
ด้วย โดยในปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้ทรงซื้อหนังสือพิมพ์พ พ ท เพื่อเป็นกระบอก
เสียง ทรงโต้เถียงว่า “คนสมัยใหม่” หรือ “คนสด” (ย่อมาจาก ภาษาอังกฤษ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ๑ กำร์ตูนจำกหนังสือพิมพ์ “ศรีกรุง” (พ.ศ. ๒๔๗๔) เสียดสีสังคมสยำม
สมัยก่อน พ.ศ. ๒๔๗๕
ชั้นน�าลังเลที่จะพัฒนาการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้กับผู้หญิงและคนจน
เพราะพวกเขาเชื่อว่า กำรศึกษำน�ำไปสู่ควำมวุ่นวำย จึงต้องการปกป้องความ
ได้เปรียบด้านเศรษฐกิจของคนส่วนน้อยเอาไว้ “และจะมีสักครึ่งเปอร์เ นต์ของ
พลเมืองไหมที่เจริ อย่ำงนี้” ๑๒ สังคมที่เปิดกว้างจะได้ประโยชน์จากมันสมอง
ของสมาชิกทุกคน แต่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สาปให้สยามถูกปกครอง
โดยคนจ�านวนน้อยนิด เลือกสรรมาจากชาติก�าเนิดมากกว่าคุณสมบัติ กุหลาบ
สายประดิ ษ ฐ์ เขี ย นว่ า “....พระรำชวงศ์ อ ำจมี ทั้ ง ที่ ฉ ลำดและโง่ . ..ประชำชน
ตระหนักยิ่งขึ้นทุกข ะว่ำชำติก�ำเนิดของบุคคลไม่ใช่เครื่องบ่งบอกถึงควำมดี
มนุษย์” ๑๓ ในความเห็นของกุหลาบ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เขาเรียกร้องให้ใช้ระบบการสอบ ให้จัดระบบเงินเดือนเป็นมาตรฐาน การเลื่อน
ขั้นให้ขึ้นอยู่กับอาวุโสและผลงาน สรุปว่าจะต้องมี “หลักวิชา” คือหลักการด้าน
กฎหมายและความมีเหตุมีผล พระมงกุฎเกล้าฯ ทรงเสนอว่า ระบบราชการ
ของสยามเป็นไปตาม “หลักราชการ” หรือหลักการรับใช้พระราชา กฎเกณฑ์
และวิถีปฏิบัติของระบบราชการไทย ไม่มีกฎหมายก�ากับจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๑
ข้อเรียกร้องของคนงานเมืองก็ใช้ภาษาของชาตินิยม พ.ศ. ๒๔๖๕-๒๔๖๖
คนงานรถรางนัดหยุดงานเพื่อเพิ่มค่าจ้าง ผู้น�าคนงานประกาศความว่า ที่นัด
หยุดงานก็เพื่อบอกให้นายจ้างชาวต่างชาติและขุนนางที่โหดร้ายรู้ว่า คนไทยไม่ใช่
ทาส และชาติไทยจะต้องเป็นอิสระ
แต่หัวใจของกลุ่มที่ไม่พอใจระบอบเดิมคือคนรุ่นใหม่ที่เข้ารับราชการ
เป็นทหารประจ�าการซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. ๒๔๕๕ รัฐบาลพบว่ามีกลุ่มนาย
ทหารชั้นผู้น้อยวางแผนจะโค่นล้มกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ อาจจะมีนาย
ทหารเกี่ยวโยงอยู่ถึง ๓ ๐๐๐ นาย ผู้น�าของกลุ่มชักจูงให้นายทหารเข้าร่วมด้วย
โดยชี้ให้เห็นการใช้อ�านาจสมบูรณาญาสิทธิ์ที่บิดเบือน เช่น การสอพลอ การใช้
จ่ายฟุ่มเฟือยเพื่อส่วนตัว การยึดที่ดินโดยไม่มีหลักเกณฑ์
พวกเขาไม่ชอบ “เสือป่า” ที่พระมงกุฎเกล้าฯ ทรงก่อตั้งขึ้น และความ
ไม่พอใจนี้กระพือขึ้นเมื่อรับสั่งให้ลงอาญาเฆี่ยนนายทหารในที่สาธารณะ พวก
เขาไม่พอใจเมื่อ “ผู้ที่มีเจตนำอันแรงกล้ำที่จะประกอบกิจกำรให้เป็นล�่ำเป็นสัน
มักไม่มีโอกำสท�ำได้ เพรำะท่ำนผู้ให ่ไม่สนับสนุน” ๑๙ พวกเขาเชื่อว่า
วิธีปกครองประเทศ โดยมีกระษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย
(แอ็บโซลู๊ตมอนนากี)...เป็นวิธีที่ร้ายแรงมาก เพราะกระษัตริย์มี
อ�านาจเต็มที่...จะท�าการชั่วร้ายอย่างหนึ่งอย่างใดก็ท�าได้...เงินผล
ประโยชน์ส�าหรับแผ่นดินที่เก็บได้มานั้นกระษัตริย์จะรวบรวมเอา
มาบ�ารุงความศุกแลความรื่นเริงในส่วนตัว...เพราะฉนั้นเงินที่จะใช้
ในการบ�ารุงบ้านเมืองจึงไม่มีเหลือ๒๐
ต้นแบบของพวกเขาคือญี่ปุ่นดังที่กล่าวว่า “ยี่ปุนเป็นประเทศเล็กน้อย
ในเอเ ียก็จริง แต่ยี่ปุ นมีอ�ำนำจเท่ำเทียมกับมหำประเทศก็เพรำะได้จัดกำร
เปลี่ยนแปลงประเพ ีกำรปกครองได้แล้ว” ๒๑ พวกเขำเชื่อว่ำสยำมจะเจริ ได้
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
สร้างความเปนไทยเสีย หม่
นักประวัติศาสตร์เฉกเช่น สมเด็จฯ กรมพระยาด�ารงฯ พูดถึงชาติ แต่
เขียนเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ นักวิชาการรุ่นใหม่ของสังคมเมืองเป็นผู้สร้าง
ความเป็นชาติไทยในแง่ใหม่คือ หมายถึงราษฎรไทย และให้ราษฎรมีบทบาทใน
ประวัติศาสตร์
พ.ศ. ๒๔๗๑ ข้าราชการระดับกลาง ขุนวิจิตรมาตรา (สง่ำ กำ จนำค-
พัน ธุ ์ ) พิม พ์ ห นัง สือ ท เขาได้ ข ้ อ มู ล มาจากเทอเรีย ง เดอ ลาคูเ ปรี
(Terrien de Lacouperie) ชาวฝรั่งเศสซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีน และหมอ
สอนศาสนาชื่อ วิลเลียม ี. ดอดด์ (William C. Dodd) คนหลังนี้เดินทางไป
เยือนจีนตอนใต้ และเขียนหนังสือ น า ท (The Tai Race, ค.ศ. ๑๙๒๓)
เกี่ยวกับกลุ่มต่างๆ ที่พูดภาษาตระกูลไทที่นั่น เขาเสนอว่า ไท นี้ถือก�าเนิดขึ้น
เมื่อ ๒,๐๐๐ ปีก่อนคริสตกาลทางตอนเหนือของจีน ต่อมาเคลื่อนตัวลงมาทาง
ใต้โดยแบ่งออกเป็น “การอพยพครั้งใหญ่” ๗ ครั้ง และเข้ามาอยู่สยามหลังจาก
ที่อำ ำจักรน่ำนเจ้ำของพวกเขาที่ยูนนำนถูกท�าลายไป
ขุนวิจิตรมาตราเรียบเรียงเรื่องราวดังกล่าวในหนังสือ ท เป็น
ประวัติศาสตร์ประเภทใหม่ที่มีชนชาติเป็นแกนกลางไม่ใช่ราชวงศ์ดังในกรณี
ประวัติศาสตร์ของสมเด็จฯ กรมพระยาด�ารงฯ ขุนวิจิตรมาตราขยายความเรื่อง
การอพยพของคนไทยย้อนกลับไปในอดีต โดยเสนอว่า คนไทยต้องมำจำกเขต
ภูเขำอัลไต “อันเป็นบ่อเกิดของพวกมงโกลด้วยกัน” ๒๗ นอกจากนั้นเขาขยาย
ประวัติศาสตร์มาถึงปัจจุบัน และได้แสดงแผนที่ของดินแดนที่สูญเสียไป สืบ
เนื่องจากการท�าสนธิสัญญากับฝรั่งเศสที่อินโดจีน ซึ่งดินแดนที่สูญเสียไปนั้น
รวมทั้งเขมรและลาว เป้าประสงค์ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า ไทย “เป็นชาติมนุษย์
ที่นับว่าส�าคัญของโลกจ�าพวกหนึ่ง” ๒๘
พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ (วิจิตร วิจิตรวำทกำร) กลับจากฝรั่งเศส
พ.ศ. ๒๔๗๐ เป็นนักเขียนสารพัดเรื่อง นักหนังสือพิมพ์ นักจัดรายการวิทยุ
เขาดัดแปลงเนื้อเรื่องในประวัติศาสตร์ของขุนวิจิตรมาตรา น�ามาใส่ไว้ในงานชุด
า า (พ.ศ. ๒๔๗๒) ของเขา หลวงวิจิตรฯ เสนอว่าแกนกลาง
ประวัติศาสตร์ทุกประเทศคือการก้าวหน้าของชนชาติมาเป็นประเทศชาติ และ
ให้ประวัติของชนชาติไทยมีแห่งที่ในประวัติศาสตร์โลกเคียงบ่าเคียงไหล่กับประ
ลูกจีนกับกระ สชาตินิยม
วาทกรรมว่าด้วยชาติและชาตินิยม ก่อความยุ่งยากให้กับชาวสยามซึ่ง
มีเชื้อสายจีน
ส�าหรับโลกใหม่ที่ประกอบด้วยชาติต่างๆ ประเด็นเรื่องถิ่นก�าเนิดและ
อัตลักษณ์ ต้องมีความชัดเจนคล้ายๆ กับเรื่องเขตแดน พ.ศ. ๒๔๕๒ เมืองจีน
ออกกฎหมายยอมให้ชาวจีนโพ้นทะเล ซึ่งเกิดจากบิดาที่เป็นคนจีนมีเชื้อชาติจีน
ได้ พ.ศ. ๒๔๕๖ สยามออกกฎหมายให้ “เชื้อชำติไทย” แก่ผู้ที่บิดาเป็นคนไทย
หรือผู้ที่เกิดในเขตแดนของประเทศไทย ข้อก�าหนดข้อหลังนี้เปิดโอกาสให้ลูก
หลานชาวจีนอพยพ “กลำยเป็นคนไทย” แต่กฎหมายจีนหมายความว่า ชำวจีน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ในเมืองไทยอำจจะมี ๒ เชื้อชำติ ดังนั้น จึงเพิ่มมิติความซับซ้อนให้กับประเด็น
เรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
จุดนี้ส�าคัญ เพราะว่าชาติในขณะนี้มีความหมายใหม่ทางการเมือง พ.ศ.
๒๔๕๑ ุนยัดเ ็น ผู้น�าจีนเยือนกรุงเทพฯ เพื่อเรี่ยไรเงินเอาไปรณรงค์ล้มจักร
พรรดิจีน และก่อตั้งรัฐชาติจีนขึ้น คนจีนในเมืองไทยสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่
พรรคกกมินตังของซุนยัดเซ็นอุดหนุนหนังสือพิมพ์จีนที่กรุงเทพฯ และหนังสือ
พิมพ์นี้พิมพ์งานเขียนที่สนับสนุนความคิดชาตินิยมและการปฏิวัติ รัฐบาลไทย
เป็นกังวลที่ชุมชนจีนในไทยเข้าพัวพันกับการเมืองจีน และกลัวว่าแนวคิดระบอบ
สำธำร รัฐ และกำรป ิวัติจะชักน�าให้คนไทยสนใจเห็นการเปลี่ยนแปลงใน
สยามด้วย ไม่น่าแปลกใจที่รัฐบาลไทยหวาดกลัว เพราะในขณะนั้นนายปรีดี
พนมยงค์ ซึ่งต่อมาน�าการปฏิวัติสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้แรงบันดาลใจทางการ
เมืองเมื่อเขาได้ฟังการโฆษณาชวนเชื่อของพรรคก๊กมินตั๋งที่ตลาดอยุธยา กลุ่ม
นายทหารมีแผนการล้มล้างกษัตริย์ที่กล่าวถึงข้างต้นเกิดขึ้น ๔ เดือน หลังจาก
ที่ซุนยัดเซ็นโค่นล้มราชวงศ์แมนจูเมื่อปี ๒๔๕๔
ความกริ่งเกรงของราชส�านักทวีขึ้น เพราะชาวจีนกลุ่มใหม่เพิ่มขึ้นเร็ว
มาก พวกเขาครอบง�าการลงทุนและเป็นส่วนใหญ่ของคนงานในเมือง มิถุนายน
พ.ศ. ๒๔๕๓ คนจีนนัดหยุดงานครั้งใหญ่ท�าให้กรุงเทพฯ เป็นง่อยถึง ๓ วัน
พระมงกุฎเกล้าฯ ทรงเตือนให้ระวังถึงมหาภัยของคนจีน๓๐ และในทศวรรษ
๒๔๖๐ และ ๒๔๗๐ มีชาวจีนอพยพเข้ามาอีกระลอกใหญ่ เพิ่มคนในสยามขึ้น
อีกครึ่งล้านคน
ทัศนคติของราชส�านักต่อคนจีนได้รับอิทธิพลจาก รั่ง ในช่วงเวลา
นั้นฝรั่งมักให้ภาพอารยธรรมจีนอยู่ในภาวะเสื่อมสลาย ชนชั้นน�าสยามกระตือ
รือร้นที่จะเป็นผู้ศิวิไลซ์ จึงด�าเนินรอยตามฝรั่ง พระมงกุ เกล้าฯ ทรงเอาอย่าง
ชนชั้นอภิสิทธิ์ที่ยุโรปซึ่งปราบชาวยิว ทรงเรียกคนจีนว่าเป็น “ยิวแห่งบูรพำทิศ”
พ.ศ. ๒๔๕๖ ทรงพระราชนิพนธ์ความเรียงภายใต้ชื่อเรื่องดังกล่าวว่าชาวจีน
ปฏิเสธที่จะปรับตัวรับวัฒนธรรมสยาม ขาดความจงรักภักดี คาดหวังว่าจะได้
อภิสิทธิ์ บูชาเงินเป็นพระเจ้า และเป็นกาฝากเศรษฐกิจ เสมือน “ตัวบ่ำงที่ดูจ
เลือดแห่งคนฉนั้น ” ๓๑
พระราชนิพนธ์อื่นๆ ของพระองค์ ทรงชี้ความต่างระหว่างคนจีนซึ่งตั้ง
รกรากและกลายเป็นคนไทย เช่น เจ้าสัวขุนนางหรือพ่อค้าใหญ่ กับคนจีนซึ่งมา
อยู่แบบชั่วครั้งชั่วคราวเป็นกุลีรับจ้าง นโยบายรัฐบาลสอดคล้องกับการแบ่งคน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
“ชาตินิยมจีน” เกิดขึ้นเคียงคู่ไปกับ “ชาตินิยมไทย” แม้ว่าจะเป็น
ภาวะที่กระอักกระอ่วน ในด้านหนึ่ง ชาวจีนหลายคนในเมืองไทย ึ่งลงหลัก
ปักฐานค่อนข้างมั่นคงแล้วให้ความสนใจกับชาตินิยมไทยที่ก�าลังก่อตัวรวดเร็ว
พวกเขาไม่พอใจที่พระมงกุฎเกล้าฯ ทรงพัดกระพือความรู้สึกไม่เป็นมิตรกับ
พลเมืองไทยเชื้อสายจีน พวกเขาสนับสนุนหนังสือพิมพ์ภาษาไทยแนวชาตินิยม
สยาม ผนวกค�าไทยเข้ากับนามสกุลที่ยังคงภาษาจีน และก่อตั้งสโมสรจีนสยำม
เพื่อแสดงว่าพวกเขาสนับสนุนชาตินิยมไทย ทศวรรษ ๒๔๗๐ คนจีนสยาม
เหล่านี้มีความหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในการเมืองสยาม
อีกด้านหนึ่ง ผู้สนับสนุนชาตินิยมไทยบางคนเริ่มสร้างจินตนาการว่า
คนจีนเป็นศัตรูของไทย โดยกล่าวหาว่าพ่อค้านักธุรกิจทั้งจีนและฝรั่งนักล่า
อาณานิคม ดูดเลือดคนไทยจนถึงไขกระดูก กลุ่มนี้เสนอว่าชาวจีนอพยพที่เข้า
มาเมืองไทยอย่างล้นหลามท�าให้ “คนไทยไม่มีงำนท�ำในประเทศของตนเอง” ๓๓
จึงเรียกร้องให้รัฐบาลควบคุมสินค้าน�าเข้า จ�ากัดการอพยพเข้าเมืองไทย จัดหา
เงินทุนเพื่ออุตสาหกรรมและช่วยให้คนไทยมีงานท�า หนังสือพิมพ์ที่เป็นกระ
บอกเสียงของกลุ่มฉบับหนึ่งมีชื่อว่า “ไทยแท้”
ก�าหนดให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ จากการศึกษาเศรษฐศาสตร์การ
เมือง นายปรีดีรับเอาแนวคิดหลักในยุโรปหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ ที่ว่า รัฐ
เป็นเครื่องมือที่ทรงอ�านาจในการน�าสังคมสู่ความเติบโตทางเศรษฐกิจและ
ความเสมอภาคมากขึ้น การประชุมที่กรุงปารีสครั้งนั้น “คณะราษ ร” ก�าหนด
เป้าประสงค์ ๒ ประการ ประการที่หนึ่ง เปลี่ยนพระมหำกษัตริย์ในระบอบ
สมบูร ำ ำสิทธิรำชย์เป็นพระมหำกษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนู ประการที่
สอง ใช้อ�ำนำจรัฐด�ำเนินนโยบำยเพื่อควำมเจริ ด้ำนเศรษฐกิจและด้ำนสังคม
ผ่ำนหลักหกประกำร ซึ่งเป็นข้อสรุปของเนื้อหาที่หนังสือพิมพ์ไทยได้พูดถึงใน
ช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ได้แก่ “รักษำควำมเป็นเอกรำชทั้งหลำย...รักษำควำม
ปลอดภัยในประเทศ...บ� ำรุงควำมสุขสมบูร ์ของรำษ รในทำงเศรษฐกิจ...
ให้รำษ รได้มีสิทธิเสมอภำคกัน...ให้รำษ รได้มีเสรีภำพ...ให้กำรศึกษำอย่ำง
เต็มที่” ๓๔
คณะราษ รทั้ง ๗ คนชักชวนนักเรียนอื่นๆ ที่ยุโรปให้เข้าร่วมขบวน
การด้วยอย่างลับๆ และต่อมาขยายเข้าสู่สยามหลังจากที่พวกเขาเดินทางกลับ
บ้าน อีก ๒-๓ ปีต่อมา กลุ่มส�าคัญที่เข้าร่วมขบวนด้วย ได้แก่ นำยทหำรชั้น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ผู้ให ่ ซึ่งส่วนมากมีพื้นเพเป็นสามัญชน และได้รับการศึกษาจากโรงเรียนทหาร
ที่ยุโรป (โดยเฉพาะที่เยอรมนี) หัวหน้าของกลุ่มนี้คือ พลเอกพระยาพหลพล
พยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ซึ่งอธิบายว่า เขาเข้าร่วมเพราะเกิดความรู้สึก
ว่ารัฐบาลในขณะนั้นมีข้าราชการระดับสูงและพระบรมวงศ์ด�าเนินการต่างๆ
ตามอ�าเภอใจ และไม่พร้อมที่จะให้ความสนใจกับคนตัวเล็กๆ เลย “ในเบื้องต้น
ทีเดียว เกิดควำมรู้สึกว่ำ รำชกำรบ้ำนเมืองในเวลำนั้น ดูพวกข้ำรำชกำรผู้ให ่
และพวกเจ้ำนำยท�ำกันตำมอ�ำเภอใจ ไม่ใคร่จะเอำใจใส่ในควำมเห็นของผู้น้อย” ๓๕
ปลายทศวรรษ ๒๔๖๐ สื่อมวลชนเปลี่ยนจุดเน้นจากบทวิจารณ์ระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นข้อเสนอให้เปลี่ยนการปกครอง มีบทความที่อธิบาย
ความหมายของรัฐธรรมนูญ และประโยชน์ของการมีระบอบรัฐสภามากขึ้น
บ้างสนับสนุนให้มีระบอบสาธารณรัฐ กลุ่มคอมมิวนิสต์ใต้ดินแจกใบปลิวว่า
ด้วยการปฏิวัติ ขณะที่โลกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจตกต�่าปี ๒๔๗๒ ข้อวิจารณ์
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์พุ่งสู่ขีดสูงสุด เมื่อกลุ่มนักธุรกิจเสนอให้รัฐบาล
ช่วยประคับประคองระบบเศรษฐกิจ
ทว่า พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชปรารภแบบเสียดสี “
า นี แ า า า ทา แผน า า
๓๖
ี ี น่น และใน พ.ศ. ๒๔๗๐ รัฐบาลของพระองค์ก�าหนด
ให้การสอนวิชาเศรษฐศาสตร์เป็นความผิดทางอาญา
รัฐบาลพยายามที่จะจัดท�างบประมาณโดยไม่ให้ขาดดุล โดยได้ปลด
ข้าราชการออก ตัดงบประมาณด้านการศึกษา และเพิ่มภาษีเงินได้ส�าหรับผู้มี
เงินเดือนประจ�า รัฐบาลตรวจสอบพบการคอร์รัปชั่นในหลายหน่วยงาน แต่
ข้าราชการชั้นผู้น้อยเท่านั้นที่โดนลงโทษ เมื่อรัฐบาลยังคง ระบบมาตรฐานทองค�า
(gold standard) เอาไว้ตามค�าแนะน�าของที่ปรึกษาฝรั่ง ถูกวิจารณ์ว่าท�าให้ค่า
เงินบาทเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ส่งออกข้าวได้น้อยลง และตอกย�้าว่าไทยอยู่ภายใต้
การชี้น�าของต่างชาติ ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๕ พระปกเกล้าฯ ตรัส
กับนายทหารว่า
การที่จะรบกับการเงินนั้นย่อมมืดแปดด้าน แม้แต่ผู้ที่
เป็นเอกซเปอด ก็เถียงกันคอแตก...ไม่เคยประสพการยากล�าบาก
เช่นนี้เลย เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะพลาดพลั้งไปบ้าง ก็หวังว่าจะ
ได้รับอภัยจากข้าราชการและประชาชนชาวสยาม ๓๗
ความนิยมและนับถือในองค์สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินอย่าง
ที่เคยเป็นมาก่อน ฉันเห็นว่าจะกลับฟื้นขึ้นอย่างแต่ก่อนไม่ได้อีก
แล้ว เพราะว่าคนที่เป็นบิดาของเด็กๆ ที่ก�าลังเรียนอยู่เดี๋ยวนี้เคย
ชินและชอบการนินทาพระเจ้าแผ่นดินเสียจนติดตัวแล้ว ๓๘
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
กษัตริย์คงทรงอ�านาจเหนือกฎหมายอยู่ตามเดิม ทรง
แต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ ให้ด�ารงต�าแหน่ง
หน้าที่ส�าคัญๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร์ ปล่อยให้ข้าราชการใช้อ�านาจ
หน้าที่ในทางทุจริต รับสินบนในการก่อสร้างซื้อของ...ยกพวกเจ้าขึ้น
ให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชา...ปล่อยให้
บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม ดังที่จะเห็นได้จากความตกต�่าใน
ทางเศรษฐกิจและความฝืดเคืองในการท�ามาหากิน...รัฐบาลของ
กษัตริย์เหนือกฎหมายมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้...ก็เพราะรัฐบาล
ของกษัตริย์มิได้ปกครองประเทศเพื่อราษฎร...รัฐบาลของกษัตริย์
ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส (ซึ่งเรียกว่า ไพร่บ้าง ข้าบ้าง) เป็นสัตว์
เดียรัจฉาน ไม่นึกว่าเป็นมนุษย์...๓๙
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร ทรงยืนยันว่าพระมหากษัตริย์ควร
เป็นผู้แต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกึ่งหนึ่ง และมีอ�านาจยับยั้งกฎหมาย แต่
นายปรีดีต้านทานข้อเสนอดังกล่าวได้ส�าเร็จ ทรงกดดันให้พระยามโนปกรณ์ฯ
และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อื่นๆ ในรัฐบาลแยกตัวออกจากคณะราษฎร พระยา
มโนปกรณ์ฯ ชักชวนให้คณะรัฐมนตรีปฏิเสธเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดี
และส่งกองทหารไปข่มขู่สภาผู้แทนราษฎรให้ปฏิเสธเช่นเดียวกัน เมื่อสภาไม่
ยอมท�าตาม พระยามโนปกรณ์ฯ จึงยุบสภาด้วยเหตุผลที่ว่าเค้าโครงการเศรษฐ
กิจนั้น “ไปในทำงอันมีลักษ ะเป็นคอมมิวนิสต์...เป็นตรงกันข้ำมแก่ขนบธรรม
เนียมประเพ ีของชำวสยำม” ๔๔ นายปรีดีลี้ภัยไปต่างประเทศ และผู้สนับสนุน
เขาถูกถอดถอนออกจากคณะรัฐมนตรี นายพลผู้นิยมเจ้าสองนายได้รับการ
เลื่อนชั้นให้สูงขึ้น และนายทหารระดับล่างที่เป็นฝ่ายคณะราษฎรถูกย้ายออกไป
ต่างจังหวัด รัฐบาลผ่านพระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์อย่างรวดเร็ว และให้นิยาม
ว่า “คอมมิวนิสต์” คือทฤษฎีที่ยกเลิกทรัพย์สินส่วนบุคคลเป็นบางส่วนหรือโดย
สิ้นเชิง
ายนิยมเจ้าสร้างข่าวลือว่าจะมีการจลาจล ึ่งจะเปดช่องให้ต่างชาติ
เข้าแทรกแ ง เดือนตุลาคม กลุ่มนายทหารฝ่ายนิยมเจ้าซึ่งบางคนถูกคณะ
ราษฎรถอดถอนออกจากต�าแหน่งเมื่อ ๒-๓ เดือนก่อนหน้านี้ คุมกองก�าลังก่อ
การกบฏ โดยมีพระองค์เจ้าบวรเดชเป็นหัวหน้า พระองค์เจ้าบวรเดชทรงเป็น
พระญาติของพระปกเกล้าฯ และทรงเป็นอดีตเสนาบดีกลาโหมก่อนปี ๒๔๗๕
กลุ่มกบ ตั้งใจน�ำ กองทหำรจำกต่ำงจังหวัดเข้ำยึดพระนคร แต่เพียง
กองเท่ำนั้นที่ผ่ำนเข้ำมำถึงชำนเมือง ที่เหลือถูกปดกั้น กองก�ำลังที่พระนคร
ปกปองค ะรำษ รเต็มที่ ภำคธุรกิจเอกชนและองค์กรต่ำง รวบรวมเงินและ
สมัครใจช่วยบริกำรด้ำนต่ำง เพือ่ ช่วยปกปองพระนคร
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ความเจริญ ละความชอบ รรม
ความพ่ายแพ้ของ กบ บวรเดช ยุติการต่อสู้กันในที่เปิดเผย ค ะ
รำษ รจ�าต้องส�าแดงให้เห็นว่า รัฐบาลหลังสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สามารถที่
จะตอบสนองความมุ่งหวังของสังคมที่ก�าลังผันแปร
หลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ คณะราษฎรแบ่งออกได้เป็น ๒ กลุ่ม ได้แก่
กลุ่มพลเรือน น�าโดยนายปรีดี พนมยงค์ และกลุ่มทหาร น�าโดยนายแปลก
ขีตตะสังคะ หรือหลวงพิบูลสงคราม แต่ละกลุ่มมีทัศนคติแตกต่างเกี่ยวกับ
บทบาทและเป้าประสงค์ของรัฐซึ่งพวกเขาได้ยึดมาจากฝ่ายนิยมเจ้า
ทัศนคติด้านการเมืองของนายปรีดีก่อตัวขึ้นมาจากส� านักคิดแนวเสรี
นิยมของฝรั่งเศสผสมกับแนวคิดสังคมนิยมแบบยุโรป บทบาทรัฐนั้นคือจัด
บริบทให้ปัจเจกบุคคลมีโอกาสพัฒนาตัวเองได้อย่างเต็มความสามารถ บริบทนี้
ต้องประกอบด้วย หลักการนิติรัฐ ระบบศาลสถิตยุติธรรม นโยบายเศรษฐกิจ
แผนการศึกษาและสาธารณสุข นายปรีดีได้รับแรงสนับสนุนจากนักธุรกิจ
เอกชน ผู้น�าคนงาน และนักการเมืองต่างจังหวัด ซึ่งคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะ
มีรัฐบาลแนวเสรีนิยมมากขึ้น
หลวงพิบูลฯ และฝ่ายทหาร โดยเปรียบเทียบมักจะมองว่ารัฐคือตัว
ส�าแดงความตั้งใจใฝ่ฝันของประชาชน รัฐมีหน้าที่เปลี่ยนปัจเจกบุคคลโดยใช้
การศึกษา การออกกฎหมาย และการจัดการด้านวัฒนธรรม แม้ว่าจะต่างกัน
มาก แต่ทั้งสองกลุ่มร่วมมือกันมาโดยตลอดจนถึงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ด้วย
เกรงว่าฝ่ายนิยมเจ้าจะท�าการกบฏล้มล้างพวกตนได้ส�าเร็จ
ส�าหรับกลุ่มของนายปรีดีนั้น “ความเจริญ” ึ่งรัฐต้องรับผิดชอบท�าให้
เกิดขึ้น หมายรวมถึงความเจริญทางเศรษฐกิจ ในภาวะเศรษฐกิจซบเซาเมื่อ
ทศวรรษ ๒๔๗๐ พ่อค้า ผู้ประกอบการ และชาวนาต่างเรียกร้องให้รัฐบาลใหม่
ช่วยเหลือพวกเขา รัฐบาลในประเทศต่างๆ ทั่วโลกต้องเข้าแทรกแซงระบบ
เศรษฐกิจเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต�่า ในเมืองไทยมีการร่างแผนเศรษฐกิจ
ถึง ๗ ฉบับเสนอแก่รัฐบาลใหม่ และยังมีข้อเสนอด้านการวางแผนเศรษฐกิจ
อื่นๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์อีกหลายฉบับ
เค้าโครงการเศรษฐกิจ ซึ่งนายปรีดีเสนอแก่รัฐบาลใน พ.ศ. ๒๔๗๖ มี
ข้อเสนอหลัก ๒ ประการคือ ประกำรที่หนึ่ง ที่ดินทั้งหมดรัฐบาลจะรับซื้อจาก
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เพื่อให้ฝกข้าราชการแนวใหม่เข้าท�างานให้กับรัฐบาลหลังสมบูรณาญาสิทธิราชย์
นอกจากนั้นยังได้ขยายระบบเทศบำล และเพิ่มเงินลงทุนสร้ำงถนน โรงพยำบำล
และกำรผลิตไฟฟำ
พ.ศ. ๒๔๗๘ นายปรีดีเดินทางไปลอนดอนเพื่อเจรจาขอลดอัตราดอก
เบี้ยเงินกู้จากรัฐบาลอังก ษ และเพื่อเริ่มการเจรจาปรับเปลี่ยนสนธิสัญญาที่ท�า
ไว้กับประเทศตะวันตกตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๙๘ อันมีผลจ�ากัดอธิปไตยของสยาม
ด้านการภาษี และได้ให้ชาติตะวันตกมีสิทธิสภาพนอกอาณาเขตเหนือสยาม
สนธิสัญญาเหล่านี้ถูกปรับเปลี่ยนใหม่หมดในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๘๐-๒๔๘๑ และ
หลังจากนั้นสยามก็ได้เพิ่มอัตราภาษีขาเข้าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรม
ค ะรำษ ร ำยพลเรือนข้ำงนำยปรีดี ประสบความส�าเร็จในการน�า
สยามสู่ “ความเจริญ” ตามสมควร แต่ความพยายามสร้างความชอบธรรมให้
กับระบอบการปกครองใหม่ผ่านระบบผู้แทนรำษ ร ไม่ได้ก้าวหน้าไปเท่าที่ควร
รัฐธรรมนูญฉบับถาวร ซึ่งประกาศใช้เมื่อเดือนธันวาคม ๒๔๗๕ ก�าหนดให้มี
สภาเดียวโดยมีสมาชิก ๒ ประเภท ครึ่งหนึ่งมาจากการเลือกตั้ง อีกครึ่งหนึ่ง
มาจากการแต่งตั้ง โดยทฤษฎีคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบกับสภานี้ แต่ก็อาจ
จะครอบง�าสภาได้โดยใช้สมาชิกแต่งตั้งครึ่งหนึ่งนั้น ต้นป ๒๔๗๖ กลุ่มนิยม
เจ้ากลุ่มหนึ่งพยายามก่อตั้งพรรคการเมือง แต่พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ทรง
ยินยอม และทรงพยายามท�าให้พรรคการเมืองทั้งหมดผิดกฎหมาย ซึ่งรวมทั้ง
ค ะรำษ รด้วย ต่อมาสมำชิกสภำผู้แทนรำษ รเสนอร่างพระราชบัญญัติ
พรรคการเมือง แต่รัฐบาลก็ปฏิเสธ ด้วยกลัวว่าถ้าผ่านกฎหมายนี้จะเอื้อให้
กลุ่มนิยมเจ้าหวนคืนสู่อ�านาจได้อีก
ย้อนหลังไปเมื่อก่อนเกิดปฏิวัติ ๒๔๗๕ ผู้น�าของคณะราษ รได้ตั้ง
สัตย์ปฏิญาณที่จะร่วมหัวจมท้ายกันแม้ว่าจะมีความแตกแยกเป็น ัก ายภาย
ในคณะราษ รด้วยกันเอง การเปลี่ยนตัวหัวหน้าของรัฐบาล ๙ ครั้งระหว่าง
ป ๒๔๗๕ จนถึงป ๒๔๘๔ ก็ได้เกิดขึ้นจากการอภิปรายและเจรจาต่อรองกัน
เป็นการภายในแบบปดโดยไม่มีคนนอกเข้าเกี่ยวข้องด้วยทั้ง ๙ ครั้ง
หลายกลุ่มพวกที่ได้สนับสนุนการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ต่อมาเกิดความผิด
หวัง นักธุรกิจบางคนได้รับแต่งตั้งเข้าสภา และได้สิทธิจัดตั้งสภำหอกำรค้ำ
แต่ไม่อาจชักชวนให้รัฐบาลด�าเนินนโยบายสนับสนุนผู้ประกอบการคนไทยได้
อย่างจริงจัง ผู้น�าของชุมชนพ่อค้าจีนไม่พอใจที่เห็นสัญญาณของชำตินิยมไทย
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
การพุ่งขนของกองทัพ
กลุ่มนายทหารหนุ่มผู้กุมกระบอกปืนค่อยๆ คืบคลานขึ้นเป็นใหญ่ใน
คณะราษ ร ทั้งนี้ การปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕ การรัฐประหารครั้งที่ ๒ เมื่อ พ.ศ.
๒๔๗๖ และการสยบกบ บวรเดชจะส�าเร็จได้ ต้องอาศัยกลุ่มนายทหารหนุ่มที่
คุมกองก�าลังประจ�าพระนคร หลังจากกบ บวรเดชผ่านพ้นไปแล้ว รัฐมนตรี
กระทรวงกลำโหมเสนอว่า การรักษาความสงบเป็นปัญหาใหญ่ยิ่งที่สุด ดังนั้น
“ทหาร” ซึ่งมีไว้เพื่อชาติเพียงสถานเดียว ต้องอยู่เป็นศูนย์กลางของการเมือง
แม้ว่าสถานะทางการเงินของประเทศไม่ม่ันคง แต่กองทัพเรียกร้องให้เพิ่มงบ
ทหาร โดยได้รับถึงร้อยละ ๒๖ ของงบประมาณรวมของประเทศนับจาก พ.ศ.
๒๔๗๖-๒๔๘๐ อีกทั้งจ�านวนทหารประจ�าการเพิ่มขึ้น ๒ เท่าตัว
ภายในกลุ่มทหารหนุ่มนี้ หลวงพิบูลฯ แปลก ขีตตะสังคะ โดดเด่น
เป็นหัวหน้าและได้รับต�าแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมเมื่อต้นปี ๒๔๗๗ เขาเสนอว่า
ในบรรดา ๔ สถาบันหลักของสยาม ได้แก่ พระมหำกษัตริย์ รัฐสภำ ระบบ
รำชกำร และกองทัพ กองทัพเท่านั้นที่ยืนยง ขณะที่รัฐสภำโดยเปรียบเทียบ
อาจจะถูกยกเลิกด้วยสาเหตุและสถานการณ์ต่างๆ๔๘ กองทัพจัดตั้งสถานีวิทยุ
ของตนเอง และออกอากาศค�าขวัญของหลวงพิบูลฯ ที่ว่า “ชำติคือบ้ำน ทหำร
คือรั้ว” เขากล่าวว่า หำกปรำศจำกกองทัพ สยำมจะถูกลบไปจำกแผนที่ของโลก
เขาให้กระทรวงกลาโหมจัดท� าภาพยนตร์ชื่อ ท า ท (พ.ศ. ๒๔๗๘)
เพื่อเชิดชูวีรกรรมความรักชาติ เป็นเรื่องราวเมื่อสยามถูกโจมตีจากต่างชาติ
พระเอกและนางเอกเสียสละชีวิตรักเพื่อปกป้องชาติไทย
หลวงพิบูลฯ และพรรคพวกสนใจรัฐบาลทหารในประเทศอื่นๆ ที่ก�าลัง
เชิดชูอุดมการณ์ชาตินิยมในขณะนั้น ต่อมา พ.ศ. ๒๔๗๖ เขาติดต่อกับทูต
ี่ปุ นเพื่อขอความช่วยเหลือในกรณีที่มหาอ�านาจตะวันตกเข้าแทรกแซงสยาม
ต่อมาความสัมพันธ์นี้พัฒนาสืบเนื่องไปสู่ความร่วมมือและความเห็นพ้องต้องกัน
ในเรื่องอื่นๆ พ.ศ. ๒๔๗๘ เมื่อมีการก่อตั้งสมาคมญี่ปุนสยาม พรรคพวกของ
หลวงพิบูลฯ มีส่วนร่วม พ.ศ. ๒๔๗๗ เขาก่อตั้งกลุ่มยุวชน เป็นขบวนการ
เยาวชนทหารที่เลียนแบบการฝกอบรมทหารที่อังกฤษและสหรัฐอเมริกา หลัง
จากที่เขาส่งนายทหารในกลุ่มคนหนึ่งซึ่งเป็นลูกครึ่งไทย-เยอรมันไปรับการฝก
ทหารที่เยอรมนี ได้ศึกษาเกี่ยวกับการก่อตัวของพรรคนาซีที่เยอรมนี เมื่อกลับ
มาได้ปรับกลุ่มยุวชนจนคล้ายกับยุวชนฮิตเลอร์
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ออกกฎหมายหลายฉบับในลักษณะอ�านาจนิยม เช่น กฎหมายควบคุมหนังสือ
พิมพ์ และการจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ทันทีทันใด นักวิจารณ์กล่าวว่า จอมพล ป.
เลียนแบบมุสโสลินี และถึงขนาดสถาปนาตนเองในระดับเดียวกับประธานาธิบดี
หรือพระมหากษัตริย์ จอมพล ป. อธิบายว่า การรณรงค์นี้ก็เพื่อแสดงว่าประ
ชาชนทั้งชาติสามารถกระท�าการเสมือนเป็นหนึ่งเดียวได้ ๕๐
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
หลวงวิจิตรฯ เขียนบทละครเชิดชูพระนเรศวร และพระเจ้ำตำกสิน เป็น
มหาบุรุษ ผู้ซึ่งปกป้องสยามจากศัตรูที่เป็นเพื่อนบ้านคือพม่า แต่วีรกรรมดัง
กล่าวไม่จ�ากัดเฉพาะกับกษัตริย์เท่านั้น ในบทละครที่ได้รับความนิยมสูง เช่น
เรื่อง พ (พ.ศ. ๒๔๗๙) ตัวเอกคือหญิงสาวสามัญชนที่ปลุกเร้าให้
สามัญชนอื่นๆ ลุกขึ้นต่อต้านการรุกรานจากพม่า ไทยเป็นชาตินักรบ ไม่ใช่แต่
เพียงผู้ชายเท่านั้น แต่รวมทั้งผู้หญิงด้วย บทละครอีกเรื่องหนึ่ง คือ า
เชิดชูท้าวเทพกษัตรีย์และท้าวศรีสุนทร หญิงสองพี่น้องที่ปกป้องภูเก็ตจากการ
รุกรานของพม่าได้ส�าเร็จ ศิลป พีระศรี (Corrado Feroci) ประติมากรชาว
อิตาลี ซึ่งร�่าเรียนปั้นรูปในสไตล์ที่มุสโสลินีพอใจมาก ได้มาท�างานกับหลวง
วิจิตรฯ ที่กรมศิลปำกร เขาได้สร้างสรรค์รูปปั้นที่เชิดชูสามัญชนทั้งผู้หญิงและ
ผู้ชายในการสร้างชาติตามแนวทางของหลวงวิจิตรฯ ซึ่งจะเห็นได้ที่ อนุสาวรีย์
ประชาธิปไตย (ดูภาพที่ ๑๗) อีกทั้งรูปปั้นของท้าวสุรนารี ผู้ปกป้องโคราชจาก
ลาว เมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๑ และรูปปั้นแสดงวีรกรรมของชาวบ้านบางระจันที่ท้าทาย
ทหารพม่าเมื่อคราวเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐
หลวงวิจิตรฯ สาธยายถึงบุคลิกภาพของคนไทยว่า “นิสสัยก่อสร้ำง...
นิสสัยรักควำมประ ีต...นิสสัยงอกงำม...นิสสัยต่อสู้” ๕๔ ด้วยนิสัยต่อสู้นี้ คน
ไทยจึงเป็นชนชาติมีอ�านาจสูงในสุวรรณภูมิ และด้วยนิสัยก่อสร้างและนิสัยรัก
ความประณีต สยามมีอารยธรรมที่เจริญมาก และ “สยำมก�ำลังเป็นหัวใจแห่ง
สุวรร ภูมิ เหมือนเอเธนส์เป็นหัวใจของกรีก” ๕๕ เพราะฉะนั้น เชื้อชาติอ่ืนๆ จึง
อพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งภายในเขตแดนสยาม บทละครเรื่อง า น เขียน
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๐ แม่ทัพสมัยพระนเรศวรประกาศว่า “เขมรเป็นชื่อสมมุติแท้
พวกเรำในแหลมทองนี้ทั้งแหลม พวกเดียวกันทั้งนั้น” แต่สยามไทยเป็น “พี่
ใหญ่” บทละครเรื่อง พ นผา เขียนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๓ “ทั้งญวน แกว
และเขมร ล้วนเป็นไทย” ๕๖ า แ น ี อีกบทละครหนึ่งที่เชิดชูไทยใหญ่
และไทยเป็นเชื้อชาติเดียวกัน พ า ท ี (พ.ศ. ๒๔๘๑) ให้จินตภาพว่าราชินี
ล้านนาช่วยรวมล้านนากับสยาม
ส�าหรับหลวงวิจิตรฯ แล้ว คนไทยคือผู้ที่เกิดในสยามเหมือนดังที่พระ
ราชบัญญัติเชื้อชาติก�าหนดไว้ ดังนั้น เชื้อชาติจึงมีความหลากหลาย ในบทเพลง
ของเขาชื่อ ท คนเหล่านี้ถูกหลอมรวมกันอย่างลึกลับเป็นหนึ่งเดียว
ดังค�าร้องที่ว่า “โลหิตสำยเดียว กลมเกลียวกันไว้ อย่ำแตกแยกไป เป็นหลำย
ล�ำธำร” ๕๗ เพลงชาติที่เขียนในสมัยนี้ ส�าแดงความรู้สึกอย่างเดียวกันดังเนื้อ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
พ.ศ. ๒๔๘๑ เมื่อชาวจีนต่อต้านสินค้าญี่ปุ น รัฐบาลก่อตั้งบริษัทข้าว
ไทยขึ้น รัฐมนตรีเศรษฐการอธิบายว่า “โดยที่สินค้ำข้ำว ึ่งเป็นสินค้ำส�ำคั ที่สุด
ของประเทศ ได้ตกอยู่ในมือคนต่ำงด้ำวแทบทั้งสิ้น และโดยที่คนต่ำงด้ำวได้ก่อ
ควำมยุ่งยำกให้เกิดแก่สินค้ำอันนี้หลำยครั้งหลำยครำว” จอมพล ป. เพิ่มเติม
ว่า “ปั หำเรื่องข้ำวเป็นกระดูกสันหลังของประเทศ...ควำมจริงรำษ รปลูกข้ำว
ได้ แต่รำษ รจนเพรำะถูกคนกลำงบีบคั้น” ๖๐ บริษัทข้าวไทยเช่าโรงสีของเอกชน
ที่มีอยู่แล้วมาจัดการ และในท้ายที่สุดเข้าควบคุมร้อยละ ๗๐-๘๐ ของการค้า
ข้าวทั้งหมด นอกจากนั้นรัฐบาลยังก่อตั้งบริษัทเป็นจ�านวนมากเพื่อจัดจ�าหน่าย
สินค้าเข้าและสินค้าบริโภคอื่นๆ จากกรุงเทพฯ ลงไปสู่ตลาดท้องถิ่น
พ.ศ. ๒๔๘๒ รัฐบาลเข้าผูกขาดกิจการบุหรี่และเกลือ สงวนอาชีพและ
กิจการบางอย่างส�าหรับคนไทย รวมทั้งอาชีพขับรถแท็กซี่ โรงฆ่าหมู การประมง
ปลูกยางพารา และกิจการปั มน�้ามัน ตั้งค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนคนต่าง
ด้าวรายละ ๔ บาท และเพิ่มภาษีที่เก็บจากร้านค้า ป้ายโฆษณา ภาษีรายได้
อัตราภาษีโรงฝิ่นและบ่อนพนัน
พ.ศ. ๒๔๘๔ รัฐบาลจัดท� าแผนอุตสาหกรรมแห่งชาติ ให้กระทรวง
กลาโหมลงทุ น ในอุ ต สาหกรรมยุ ท ธศาสตร์ ส�า คั ญ เพิ่ ม ขึ้ น รวมทั้ ง เหมื อ งแร่
โรงงานฟอกหนัง โรงงานน�้าตาล การเดินเรือ บุหรี่ ยางพารา เกลือ การประมง
และโรงงานไฟฟ้า โรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่เคยเป็นของบริษัทเอกชน (คนจีน)
มาก่อนแทบทั้งสิ้น
จากปลายทศวรรษ ๒๔๗๐ รั ฐ บาลตั้ ง คณะกรรมการขึ้ น มา ๒ ชุ ด
เพื่อพิจารณาว่าจะท�าอย่างไรกับประเด็นเรื่องสัญชาติส�าหรับคนจีนจ�านวนมาก
ึ่งได้เดินทางอพยพเข้ามาเมืองไทยในช่วง ๒ ๓ ทศวรรษที่ผ่านมา ลูกจีน
รุ่นแรกๆ ที่เกิดเมืองไทยบางคนได้เรียกร้องขอสัญชาติไทย แต่ขณะนั้นเมือง
ไทยยังไม่มีกฎหมายรับรองการเปลี่ยนสัญชาติเป็นไทย เดือนเมษายน พ.ศ.
๒๔๘๒ รัฐบาลออกกฎหมายที่ท�าให้ชาวจีนเปลี่ยนสัญชาติเป็นไทยได้ตราบที่
พวกเขาละทิ้งความจงรักภักดีต่อประเทศจีน และพิสูจน์ความจงรักภักดีต่อ
สยามด้วยการพูดภาษาไทย เปลี่ยนชื่อเป็นไทย และส่งลูกไปโรงเรียนไทย ใน
ช่วงปีแรกมีคนที่ผ่านบทพิสูจน์นี้เพียง ๑๐๔ ราย แต่เป็นกลุ่มส�าคัญเนื่องจาก
ล้วนเป็นพ่อค้าร�่ารวย เช่น เจ้าของเหมือง และเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรม
ท�าให้รัฐบาลมีกลุ่มผู้ประกอบการ “ไทย” ที่อาจจะถูกดึงเข้ามาช่วยบริหารจัด
การรัฐวิสาหกิจใหม่ๆ ที่ก่อตั้งขึ้นมาหลายแห่ง
มหาประเทศ มหาอาณาจักรไทย
หลังการปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕ ไม่นานนักฝ่ายทหารในคณะราษฎรวาง
แผนเรียกร้อง “ดินแดนที่เสียไป” กับตะวันตก ภายใต้สนธิสัญญาระหว่างประ
เทศที่เซ็นสัญญากันเมื่อทศวรรษ ๒๔๔๐
พ.ศ. ๒๔๗๘-๒๔๗๙ กระทรวงกลาโหมพิมพ์ชุดแผนที่แสดงให้เห็น
เรื่องราวการอพยพมาของชาวไตหรือไทที่ ขุนวิจิตรมาตรา เขียนเล่าไว้ในหนังสือ
ท เป็นแผนที่บอกให้เห็นเขตชายแดนอาณาจักรไทยในจินตนาการจาก
สมัยน่านเจ้ามาจนถึงสมัยกรุงเทพฯ (ดูภาพที่ ๑๘) แผนที่ฉบับหนึ่งแสดงอาณา
จักรสยามที่สมบูรณ์ ประกอบด้วย บริเวณเจ็ดอาณาเขตซึ่งสูญเสียไปให้กับพม่า
และมหาอ�านาจอาณานิคมระหว่าง พ.ศ. ๒๓๔๐ และ พ.ศ. ๒๔๕๒
ภายหลังจากที่ฮิตเลอร์เข้ายึดครองออสเตรีย (พ.ศ. ๒๔๘๑) นักวิชา
การสายทหารรายหนึ่งอ้างว่า พม่า เวียดนาม เขมร และมาเลเซีย ล้วนมาจาก
เชื้อชาติไทยด้วยกันทั้งสิ้น และด้วยเหตุฉะนี้จึงควรมารวมกับสยาม พ.ศ.
๒๔๘๒ ส�ำนัก รั่งเศสแห่งปลำยบุรพทิศ (Ecole Franæaise d’ E treme-
Orient) น�าแผนที่ฉบับหนึ่งมามอบให้กับหลวงวิจิตรฯ ซึ่งแสดงให้เห็นอาณา
บริเวณที่ผู้คนพูด “ภาษาไท” กระจายไปทั่วบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ
ตอนใต้ของจีน
หลวงวิจิตรฯ ตื่นเต้นมาก และกล่าวในการ “ปาฐกถาเรื่องการเสียดิน
แดนไทยให้แก่ รั่งเศส” (๑๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๒) ว่า “ถ้ำหำกเรำได้ดินแดน
ที่เสียไปนั้นคืนมำ เรำมีหวังที่จะเป็นมหำประเทศ...ในไม่ช้ำเรำจะเป็นประเทศ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ๑ แผนที่แสดงเส้นกำรเดินทำงของชำวไทโบรำ สู่สยำม
จัดพิมพ์โดยกระทรวงกลำโหม พ.ศ. ๒๔๗๘-๒๔๗
ที่มีดินแดนรำว ,๐๐๐,๐๐๐ ตำรำงกิโลเมตร และมีพลเมืองไม่น้อยกว่ำ ๔๐
ล้ำนคน เรำจะเป็นมหำประเทศ” ๖๑ หลวงวิจิตรฯ เริ่มที่จะรณรงค์เรียกร้อง
“ดินแดนที่เสียไป” โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางส่วนของเขมรและลาว เขาเดินทาง
ไปที่ชายแดนไทยที่แม่น�้าโขง แล้วต่อยอดเจดีย์พระธาตุพนมอันเป็นศูนย์กลาง
ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ส�าหรับโลกของชาวลาวขึ้นไปอีก ๓๐ เมตร เพื่อให้สูงเด่นเป็น
ที่ประจักษ์ชัดเจนยิ่งขึ้นแก่ชาวลาวภายใต้การครอบครองของฝรั่งเศสที่อยู่อีก
ฟากฝั่งของแม่น�้าโขง
รัฐบาลแจกจ่ายแผนที่แสดง “ดินแดนที่เสียไป” ยังโรงเรียนต่างๆ ราย
การวิทยุของทหารพูดถึงการสร้าง “มหาอาณาจักรไทย” เลียนแบบฮิตเลอร์
บทความในหน้าหนังสือพิมพ์และการเดินขบวนที่ท้องถนนเพื่อเรียกร้อง “ดิน
แดนที่เสียไป” ช่วยท�าให้แนวคิดนี้เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวาง หลวงวิจิตรฯ ให้
เหตุผลว่า “ต่อไปนี้เรำจ�ำจะต้องเป็นมหำประเทศ หรือมิฉะนั้นก็ต้องล่มจม...
จ�ำนวนประเทศเล็ก จะต้องถูกกลืนหำยไปในประเทศให ่...ประเทศเล็ก
น้อย จะหมดไป เหลือแต่ประเทศให ่ รูปกำรของโลกต้องเป็นเช่นนี้อย่ำง
แน่นอน” ๖๒ จอมพล ป. กล่าวแรงกว่านี้ว่า “ถ้ำไม่อยำกเป็นขี้ข้ำต้องเป็นมหำ
อ�ำนำจ” ๖๓
พ.ศ. ๒๔๘๒ รัฐบาลก�าหนดแบบแผนปฏิบัติอันดีงามที่ประชาชนควร
ยึดถือและปฏิบัติตาม เรียกว่า “รัฐนิยม” เริ่มแรกมี ๗ ประการ ต่อมาขยาย
เป็น ๑๒ แล้วออกกฎหมายก�ากับเพื่อการบังคับใช้นโยบายเหล่านี้ แง่หนึ่งอาจ
มองว่าเป็นความพยายามท�าให้สยามเข้มแข็งขึ้นภายใต้บริบทของสงครามโลก
ซึ่งสยามไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ในอีกแง่หนึ่งแสดงถึงว่า รัฐบาลจอมพล ป. มี
ปรัชญาความเชื่อการใช้อ�านาจรัฐเพื่อสร้างชาติและวัฒนธรรมขึ้นใหม่โดยการ
ก�าหนดจากส่วนบนบังคับลงล่าง
เนื้อหาหลักประการแรกของรัฐนิยม คือ การฉีกสยามออกจากอดีตแห่ง
ความนิยมเจ้า รัฐนิยมฉบับที่ ๑ ประกาศเมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๒ เปลี่ยน
ชื่อประเทศจากสยามเป็น “ประเทศไทย” เพราะว่า “รัฐบำลเห็นสมควรใช้ชื่อ
ประเทศให้ต้องตำมชื่อเชื้อชำติและควำมนิยมของประชำชนชำวไทย”
รัฐนิยมอีกฉบับให้ยกเลิกบรรดาศักดิ์ที่มีมาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญา
สิทธิราชย์ พ.ศ. ๒๔๘๑ ก�าหนดให้วันปฏิวัติ ๒๔ มิถุนายน (พ.ศ. ๒๔๗๕)
เป็น “วันชาติ” และต่อมาถือเป็นวันหยุดราชการส�าคัญ มีการสวนสนามและ
การแสดงทางวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๔๘๕ รัฐบาลผ่านพระราชบัญญัติคณะสง ์
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ลดบทบาทของธรรมยุติกนิกายจากสถานภาพพิเศษ ลดอ�านาจของพระสังฆราช
ที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้ง และเพิ่มอ�านาจของสภาสงฆ์
เนื้อหาหลักประการที่ ๒ ของรัฐนิยม คือมาตรการที่จะท�าให้ประชาชน
คนไทยเป็น “ไทยแท้” รัฐนิยมฉบับที่ ระบุ “ให้ใช้ค�ำว่ำ ‘ไทย’ แก่ชำวไทย
ทั้งมวลไม่แบ่งแยก” โดยจอมพล ป. ปราศรัยว่า “ต้องจ�ำว่ำไทยเรำมีไทยใหม่
มำก ถ้ำเรำมีประเทศไทยแล้ว เรำก็สำมำรถปนไทยแท้เข้ำกับไทยใหม่ให้เข้ำกัน
สนิทได้ แล้วท�ำงำนเพื่อชำติอันเดียวกัน” ๖๔ หมายความว่ารัฐบาลจะกดดันและ
ช่วยลูกจีนและคนชาติอื่นๆ ให้พูดภาษาไทยและปฏิบัติตนเหมือนคนไทย
รัฐนิยมฉบับที่ ๔ ก�าหนดพิธีกรรมแสดงความเคารพสัญลักษณ์ของ
ชาติ เช่น ธงไทย และเพลงชาติ รัฐนิยมฉบับที่ ๑ ก�าหนดให้ทุกคนต้องเรียน
ภาษาไทย พูดภาษาไทยภาคกลาง และเพื่อที่จะช่วยให้อ่านและเขียนภาษาไทย
ได้อย่างง่ายดาย รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อปรับภาษาไทยโดยลด
จ�านวนอักขระ ให้สะกดค�าตามเสียง ก�าหนดให้ใช้สรรพนามที่ไม่ได้แสดงสถานะ
และเพศ พร้อมทั้งก�าหนดมาตรฐานการทักทายเสียใหม่ เช่น ใช้ค�าว่า “สวัสดี”
พ.ศ. ๒๔๘๕ รัฐบาลก่อตั้ง สภำวั นธรรมแห่งชำติ ขึ้นเพื่อให้นิยามและแพร่
ขยายวัฒนธรรมไทย
เนื้อหาหลักประการที่ ๓ ของรัฐนิยมคือความเป็นหนึ่งเดียว จะไม่มี
การแบ่งแยกเป็นชาวไทยเหนือ ชาวไทยอีสาน ฯลฯ แต่จะมีเพียง “ชาวไทย”
คณะกรรมการอีกชุดหนึ่งลบค�าว่า “ลาว” “เงี้ยว” และค�าบรรยายอื่นๆ เกี่ยวกับ
เชื้อชาติที่ไม่ใช่ไทยออกจากเพลงที่ขับร้องกัน
เนื้อหาหลักประการที่ ๔ เป็นประเด็นเรื่องความเจริญ คนไทยต้อง
ช่วยเศรษฐกิจด้วยวิธีการต่างๆ เช่น พึ่งตนเองได้และซื้อของไทย นอกจากนั้น
รัฐนิยมยังก�าหนดมาตรฐานการแต่งตัว การปฏิบัติตนในที่สาธารณะ และการ
ด�าเนินชีวิตในสังคม ทั้งนี้เพื่อจะได้ไม่ถูกต่างชาติวิจารณ์ว่าประเทศไทยไม่
ศิวิไลซ์ รัฐนิยมส่งเสริมให้ประกวดกำรแต่งกำยแบบ “สมัยใหม่” (ดูภาพที่ ๑๙)
คนไทยต้องมีระเบียบวินัยในที่สาธารณะ ต้องเข้าแถวรอคิวอย่างเรียบร้อย และ
ไม่ขีดเขียนเลอะเทอะที่สาธารณะ แนะน�าให้รับวัฒนธรรมตะวันตกบางประการ
เช่น ใช้ช้อนส้อม ใส่หมวก จุมพิตภรรยาก่อนออกจากบ้าน รัฐนิยมฉบับหนึ่ง
เป็นเรื่องกิจวัตรประจ�าวันของคนไทย ก�าหนดตารางเวลาประจ�าวันเพื่อเป็นแบบ
อย่างไว้ให้ด� าเนินรอยตามในการแบ่งเวลาส� าหรับท�างาน รับประทานอาหาร
พักผ่อน หรือท�ากิจการพิเศษ (เช่น ท�าสวนครัว) และนอนหลับ
สงคราม ลกครังที ๒
กลุ่มจอมพล ป. ได้สร้างสายสัมพันธ์ไว้กับญี่ปุ่นอย่างแน่นหนา แต่
ถึงกระนั้นรัฐบาลจอมพล ป. ก็มีเป้าประสงค์หลักที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้ไทยเข้าไป
พัวพันกับสงครามระหว่างประเทศมหาอ�านาจด้วยการพยายามถ่วงดุลระหว่าง
"6
"
"(-%+&/
.
"6
2
-$4%19*#-#**,!092
-#5":.67%)%&!$+-
(#-"8$*-"(/(,-!'
4"$*5%+.-(,
(#-"8$*-"(/(,-!'
$,8#7)40#2092#7)8#!'
4 $,"%-#3092#7)8#!'
4
แผนที่ ประเทศไทยในระหว่ำงสงครำมโลกครั้งที่ ๒
ฝ่ า ยพั น ธมิต ร และฝ่ า ยตรงกัน ข้ า มคือ ฝ่ า ยอัก ษะ เมื่อ ฝรั่ง เศสพ่ า ยแพ้ แ ก่
ฮิตเลอร์ ตามด้วยญี่ปุ่นบุกเข้าอินโดจีน จอมพล ป.ได้ฉวยโอกาสในเดือน
มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ส่งกองทหารข้ามชายแดนไปยึดครองบางส่วนของเขมร
ที่ รั่งเศสครอบครองอยู่ ผลของการปะทะกันระหว่างไทยและฝรั่งเศสไม่ชัดเจน
แต่รัฐบาลจอมพล ป. ชิงประกาศว่า “ไทยชนะ” และจัดพิธีสวนสนามเพื่อเฉลิม
ฉลองและก่อสร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิขึ้น (ประดับด้วยประติมากรรมลอยตัว
รายรอบแสดงวีรกรรมทหารไทย โดย ศิลป์ พีระศรี) ญี่ปุ่นเข้าแทรกในฐานะ
เป็นตัวกลางเจรจาไกล่เกลี่ยเพื่อบรรลุข้อตกลง ได้ผลว่าฝรั่งเศสยอมยกบริเวณ
ที่เรียกร้องให้ไทย ๒ แห่ง (แผนที่ ๕)
ด้วยเหตุฉะนี้ จอมพล ป. จึงเท่ากับเป็นหนี้ญี่ปุ่น เมื่อญี่ปุ่นแจ้งให้เขา
ทราบว่าญี่ปุ่นจะยกพลขึ้นบกที่เมืองไทยเพื่อเข้าโจมตีอังกฤษที่มลายูและที่พม่า
จอมพล ป. ก็ได้ชักจูงให้คณะรัฐมนตรียอมท�าตามค�าขอของญี่ปุ่น เพื่อที่เมือง
ไทยจะได้ “ดินแดนที่เสียไป” กลับคืนมาอีกเป็นการแลกเปลี่ยน ดังนั้น กอง
ก�าลังญี่ปุนจึงยกพลขึ้นบกเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ขั้นแรกรัฐบาล
ไทยยินยอมเพียงให้กองก�าลังญี่ปุ่นผ่านไปประเทศอื่น แต่ในเดือนมกราคม
พ.ศ. ๒๔๘๕ ได้ ป ระกาศสงครามเป็ น ทางการกั บ อั ง กฤษและสหรั ฐ อเมริ ก า
จอมพล ป. บอกกับคณะรัฐมนตรีความว่า ไทยไม่ควรปล่อยให้ ี่ปุ นสร้ำง
เอเชียแต่เพียงล�ำพัง ถ้าไทยเข้าร่วม ญี่ปุ่นจะซาบซึ้งกับไทย และยังเสนอความ
เห็นว่าถึงเวลาที่ไทยจะประกาศสงครามโดยอยู่ฝ่ายเดียวกับผู้ที่จะได้รับชัยชนะ๖๗
เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ ด้วยความเห็นชอบจากญี่ปุ่น รัฐบาลส่งกองทัพ
ไทยขึ้นเหนือเพื่อยึดครองดินแดนพม่าที่รัฐไทยใหญ่
จอมพล ป. มีจินตนาการว่า ไทยเป็นหุ้นส่วนกับ ี่ปุ นโดยร่วมมือกัน
ก�ำจัดมหำอ�ำนำจเจ้ำอำ ำนิคมตะวันตกออกไปจำกเอเชีย หลวงวิจิตรฯ ได้รับ
การเลื่อนขั้นให้ด�ารงต�าแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศขณะนั้นฝันว่า เมืองไทยจะ
ยกระดับเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมเอเชียใต้ ๖๘ ดังนั้น “เราจะต้องพร้อมใจ
ขอใช้ค�าว่า ไทยอารยธรรมในเอเ ีย ” ๖๙ แต่ในความเป็นจริง ี่ปุนป ิบัติต่อ
ไทยเสมือนรัฐในครอบครอง ทหารญี่ปุ่นดูถูกไทยว่าด้อยกว่า และรัฐบาลญี่ปุ่น
ก็หาประโยชน์จากเศรษฐกิจอย่างไม่ปรานีปราศรัยในฐานะไทยเป็นผู้จัดหาเสบียง
เพื่อการสงคราม ครั้นถึงกลางปี ๒๔๘๖ ผู้นา� ที่เมืองไทยตระหนักว่าญี่ปุ่นก�าลัง
จะแพ้สงคราม จึงพยายามที่จะผ่อนคลายความสัมพันธ์ที่เคยแนบแน่น
ญี่ปุ่นตระหนักดีจึงพยายามกระชับความสัมพันธ์โดย “นายกรัฐมนตรี
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
มนตรี และเป็นหัวหน้าคณะเจรจาสันติภาพอย่างเป็นทางการ ท้ายที่สุดอังกฤษ
พอใจที่ไทยยอมส่งข้าวให้ เพื่อชดเชยความเสียหายช่วงสงครามให้อังกฤษ และ
สหรัฐก็ได้ยืนยันว่าเขตแดนของประเทศไทยจะต้องหวนกลับไปสู่สถานะก่อน
สงคราม
ขณะที่กลุ่มนิยมเจ้าแนวปฏิรูปสมัยรัชกาลที่ ๕ ต้องการให้มีรัฐเข้มแข็ง
ในลักษณะอ�านาจนิยม เพื่อที่สยามจะได้อยู่รอดเป็นหนึ่งในประเทศส�าคัญของ
โลก สามัญชนแนวชาตินิยมกลับเสนอว่า เปาประสงค์หลักของรัฐชาติคือ
ความอยู่ดีมีสุขของคนในชาติ นั่นคือต้องสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจเพื่อ
ให้ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศได้ประโยชน์ ด้วยการท�านุบ�ารุงการเกษตร
อุตสาหกรรม และด้วยการยุติความเอารัดเอาเปรียบจากชนชั้นน�าดั้งเดิมและโดย
ประเทศเจ้าอาณานิคม นอกจากนั้นรัฐจะต้องลงทุนจัดหาการบริการสาธารณะ
รวมทั้งการศึกษา การสาธารณสุข และการคมนาคมการขนส่ง โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งต้องสร้างสถาบันใหม่ๆ หลักการนิติรัฐ และรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นเครื่องมือ
จ�ากัดหรือห้ามอ�านาจเก่าขึ้นมาเป็นใหญ่ พร้อมทั้งส่งเสริมอ�านาจให้แก่กลุ่มใหม่ๆ
วิสัยทัศน์ที่สองเกี่ยวกับบทบาทรัฐชาตินี้ ตั้งใจให้แตกต่างฉีกแนวออก
ไปจากจินตภาพความเป็นชายชาญหาญกล้า นักหนังสือพิมพ์วิจารณ์ระบบชาย
มีภรรยาหลายคนเป็นจุดสุดยอดของอ�านาจดั้งเดิม นวนิยายและเรื่องเล่าเต็มไป
ด้วยตัวเอกหญิงที่เชื่อมั่นในตัวเอง รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ ให้สิทธิแก่ชาย
และหญิงเท่าเทียมกัน แม้แต่หลวงวิจิตรฯ ยังเขียนบทละครหลายเรื่องมีนาง
เอกเป็นตัวชูโรง ดึงเอาผู้หญิงในอดีตมาเป็นนางเอกในละครและรูปปั้นที่ถาวร
แม้ว่าผู้หญิงเหล่านี้มีพฤติกรรมค่อนไปทางเป็นนักรบ
แต่วิสัยทัศน์ที่สองนี้ไม่ค่อยมั่นคงนัก ผู้สนับสนุนการปฏิวัติ พ.ศ.
๒๔๗๕ หลักๆ เป็นข้าราชการของรัฐชาติ ค่อนข้างจะเชื่อถือในความสามารถ
ของรัฐชาติที่จะแปรรูปเศรษฐกิจและสังคมจากบนลงล่าง พวกเขาไม่แน่ใจ
ว่ามีฐานมวลชนระดับล่างที่พร้อมจะลุกฮือช่วยปกป้องคณะราษฎรจากการรัฐ
ประหารซ้อนโดยฝ่ายนิยมเจ้าได้ คณะราษฎรฝ่ายทหารของจอมพล ป. ได้รับ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
พยายามเคลื่อนไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ และยังคงปฏิบัติกับมวลชนเสมือนเป็น
“ไทยมุง” ที่จับตาดูการเมืองอยู่ห่างๆ ขณะที่การเมืองถูกขับเคลื่อนไปโดยการ
รัฐประหารและแผนซ้อนแผนของกลุ่มอ�านาจระดับน�าจ�านวนหยิบมือหนึ่งซ�้าแล้ว
ซ�้าเล่า
นับว่าเป็นการเมืองของเมืองหลวงในสังคมที่มีชาวนาเป็นคนส่วนใหญ่
ของประเทศ ชนชั้นน�าประกอบด้วย ผู้นิยมเจ้า ฝ่ายทหาร นักธุรกิจ และนัก
วิชาชีพที่แวดล้อมนายปรีดี แต่ละกลุ่มต้องการมีอิทธิพลเหนือกลไกส่วนกลาง
ของรัฐชาติใหม่ แต่สงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ก่อการเปลี่ยนแปลง ๒ ประการ
ที่ส่งผลให้การเมืองนี้ถึงกาลยุติ ประการหนึ่ง ภาวะสงครามท�าให้รัฐบาลต้อง
เข้าแทรกแซงระบบเศรษฐกิจมากขึ้น เศรษฐกิจคลอนแคลนและผันแปรเป็น
อย่างยิ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างมากกว่าเดิม เศรษฐกิจวิกฤตช่วง
หลังสงครามน�าความทุกข์ยากสู่มวลชน และกระตุ้นการเคลื่อนไหวทางการเมือง
ระดับมวลชน ประการที่สอง สงครามดึงเมืองไทยให้เข้าเกี่ยวโยงกับการเมือง
ระหว่างประเทศอย่างแนบแน่น โดยมีจีน โซเวียตรัสเซีย ญี่ปุ่น และมหาอ�านาจ
ตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาเป็นตัวละครหลัก เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒
สิ้นสุดลง ประเทศมหาอ�านาจแยกเป็นค่ายคอมมิวนิสต์และค่ายทุนนิยม แต่
ละค่ายมีวิสัยทัศน์เรื่องบทบาทรัฐเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองอันพึง
ปรารถนาต่างกันไป การต่อสู้เพื่อให้นิยามรัฐชาติไทย และการเข้าควบคุมรัฐ
จึงต้องปรับแปลงภายใต้บริบทของสงครามเย็นนี้
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เปลี่ ย นแปลงนั้ น ระบบสั ง คมและการเมื อ งแบบดั้ ง เดิ ม ค่ อ ยเลื อ นหายไปใน
ประวัติศาสตร์
จากสงคราม ลกสู่สงคราม าย น
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไทยได้รับความเสียหายทางเศรษฐกิจและ
เผชิญภาวะความวุ่นวายทางการเมือง รัฐบาลของจอมพล ป. ล่มลงใน พ.ศ.
๒๔๘๔ ท�าให้นายปรีดี พนมยงค์กลับมาเป็นใหญ่อีกครั้ง นายปรีดีสานต่องาน
สืบสานประชาธิปไตยที่ท�าค้างอยู่ โดยเข้าควบคุมการผ่านรัฐธรรมนูญ ฉบับ พ.ศ.
๒๔๘๙ ซึ่งก�าหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด ฝ่าย
พลเรือนของค ะรำษ รที่ยังหลงเหลืออยู่ ผนวกกับกลุ่มเสรีไทย ร่วมมือกัน
ก่อตั้งพรรคการเมืองเพื่อสนับสนุนนายปรีดี นายปรีดีถอดถอนนายทหารฝ่าย
ของจอมพล ป. และออกกฎหมายเพื่อจ�ากัดบทบาทของทหารในการเมือง เขา
ตระหนักดีว่าแรงงานเมืองมีบทบาทส�าคัญขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของทุนนิยม
โดยรัฐสมัยจอมพล ป. จึงสนับสนุนให้มีก หมำยคุ้มครองสิทธิและปกปองคน
งำน อีกทั้งสนับสนุนประเทศเพื่อนบ้านที่เรียกร้องอิสรภาพจากมหาอ�านาจอาณา
นิคม
นายปรีดีมีวิสัยทัศน์ว่าประเทศไทยอาจจะด�าเนินบทบาทพิเศษเป็น
แบบอย่างและคู่มิตร ช่วยให้เพื่อนบ้านเป็นไทจากเจ้าอาณานิคม และสถาปนา
ประชาธิปไตยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ส�าเร็จ
แต่พลังอื่นๆ ในสังคมไม่ได้เห็นพ้องกับนายปรีดี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่
จะลดทอนบทบาทของกลุ่มทหาร ซึ่งเคยมีอา� นาจสูงมากก่อนหน้านี้ กองทัพไทย
ที่จอมพล ป. ส่งไปบุกไทยใหญ่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๕ ต้องยาตราทัพกลับบ้าน เสีย
หน้าและโกรธมากที่รัฐบาลไม่ได้หนุนช่วยเมื่อต้องล่าทัพกลับ และแถมยังไม่
สามารถเรียกร้อง “ดินแดนที่เสียไป” กลับคืนมา บรรดานายพลทั้งหลายไม่
พอใจเลย พวกเขาจับตาดูกลุ่มนักธุรกิจและนักการเมืองใหม่ที่จับมือกันได้ผล
ประโยชน์ ในบริบทของระบบบริหารที่ได้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕
ายนิยมเจ้าก็หวนกลับมาอีก ดูเป็นเรื่องน่าแปลกทีเดียวที่ว่านายปรีดี
ผู้ ึ่งต่อต้านระบบเจ้า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้นกลับเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงแผ้วถาง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ข้าวยากหมากแพงปะทุขึ้น ยิ่งเร่งเร้าให้คนงานเข้าร่วมเดินขบวนประท้วงและ
ก่อตั้งสหภาพแรงงาน พ.ศ. ๒๔๘๘ บรรดาคนงานโรงสีข้าว คนงานท่าเรือ คน
งานโรงงานปูนซีเมนต์ โรงงานน�้ามัน และโรงไม้นัดหยุดงาน สมาคมสหอาชีวะ
กรรมกรแห่งประเทศไทย ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ และอีก ๒ ปีต่อมามี
สมาชิก ๖๐,๐๐๐ คน เนื่องจากฝ่ายพันธมิตรได้โดดร่มทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์
แก่ประเทศไทยเป็นจ�านวนมากในช่วงสงคราม และรัฐบาลยึดอาวุธได้อีกเมื่อ
ญี่ปุ่นแพ้สงคราม ไทยจึงมีอาวุธปืนประเภทต่างๆ กระจายอยู่ทั่วไปจนกล่าวกัน
ว่า “จะ ื้อปนเนี่ย ง่ำยยังกะ ื้อเบียร์ ักแก้วนั่นแน่ะ” ๓
ผู้น�าทางการเมืองกลุ่มต่างๆ ในขณะนั้นแสวงหาแรงสนับสนุนกลุ่มของ
ตนจากพลังทางการเมืองใหม่ๆ เหล่านี้ กลุ่มของนายปรีดีสนับสนุนองค์กรคน
งาน และใช้งบประมาณจากภาครัฐอุดหนุนการเดินขบวน ฝ่ายทหารร่วมมือกับ
นายธนาคารจ้างนักเขียนฝ่ายซ้ายฝีมือดีจัดท�าหนังสือพิมพ์เพื่อโจมตีฝ่ายศัตรู
ภาวะสับสนเช่นที่ว่านี้ถึงจุดสูงสุดเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
เสด็จสวรรคตโดยอาวุธปน เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ ไม่เคยมีค�าอธิบาย
สาเหตุของการสิ้นพระชนม์นี้อย่างสมเหตุสมผล นักการเมืองฝ่ายนิยมเจ้า
โดยเฉพาะ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ และ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช พุ่งค�ากล่าวหาไปที่นาย
ปรีดี มหาดเล็กในวัง ๓ คน มีคนหนึ่งที่เกี่ยวโยงกับนายปรีดี ต่อมาถูกจับกุม
และในท้ายที่สุดถูกลงโทษประหาร อธิบดีกรมต� ารวจ ผู้ด�าเนินการสืบสวน
สอบสวนเป็นพี่เขยของสองพี่น้องตระกูลปราโมช ต่อมาศาลพบว่าอธิบดีคนนี้
ติดสินบนพยานเพื่อให้ใส่ร้ายนายปรีดี พระอนุชาของพระบาทสมเด็จพระเจ้า
อยู่หัวอานันทมหิดล คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรง
สืบราชสมบัติเป็น พระมหากษัตริย์ องค์ต่อมา และได้เสด็จพระราชด�าเนินกลับ
ไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อทรงศึกษาต่อให้ส�าเร็จ
วันที่ ๘ พ ศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ กองทัพบกยึดอ�านาจด้วยการรัฐ
ประหาร โดยมีจอมพล ป. เป็นผู้น�า แต่คนวางแผนเป็นทหารผ่านศึกที่ไปรบ
ไทยใหญ่เมื่อปี ๒๔๘๕ บุคคลส�าคัญคือ จอมพลผิน ชุนหะวั แม่ทัพที่ไปรบ
ไทยใหญ่ เผ่ำ ศรียำนนท์ ลูกเขยและคนสนิท และสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชา
การกองพลที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ควบคุมก�าลังทหารที่พระนคร ทั้งนี้ จอมพลผินอ้าง
ว่าท�ารัฐประหารเพราะฝ่ายเสรีไทยของนายปรีดีก�าลังจะปฏิวัติเปลี่ยนไปสู่ระบอบ
สาธารณรัฐ คณะรัฐประหารประกาศว่ากระท�าการเพื่อศักดิ์ศรีของกองทัพ เพื่อ
ให้ชัดแจ้งเรื่องการปลงพระชนม์ และเพื่อจัดตั้งรัฐบาลที่ “จะยึดมั่นในหลักกำร
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภายหลังรัฐประหาร พ.ศ. ๒๔๙๐ พรรคประชาธิปัตย์ฝ่ายนิยมเจ้าเข้า
เป็นใหญ่ในคณะรัฐมนตรี ขณะที่บรรดานายทหารกุมอ�านาจอยู่เบื้องหลัง แต่
ทั้งสองฝ่ายนี้ไม่ได้มีเป้าประสงค์เดียวกันด้านนโยบายใดๆ ยกเว้นความเป็น
ปรปักษ์ต่อนายปรีดีและต่อต้านเสรีนิยมทางการเมืองเท่านั้น ฝ่ายนิยมเจ้าอยาก
ฟื้นฟูระบอบการปกครองและระบบสังคมแบบดั้งเดิมบางประการ จอมพล ป.
มองตัวเองเป็นผู้พิทักษ์ชาติสมัยใหม่ ตลอดเวลา ๔ ปี จนถึง พ.ศ. ๒๔๙๔
ทั้งสองฝ่ายแก่งแย่งกันแต่งตั้งคนส�าคัญในคณะรัฐบาลและต�าแหน่งต่างๆ เมื่อ
ฝ่ายรัฐบาลปฏิเสธไม่ตั้งเผ่าเป็นอธิบดีกรมต�ารวจ เขาท้ารัฐมนตรีกระทรวง
มหาดไทยที่เป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ให้ดวลปืนกัน
พ.ศ. ๒๔๙๔ “พรรคประชาธิปัตย์” เตรียมร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่จะ
เพิ่มพระราชอ�านาจของพระมหากษัตริย์ให้ทรงแต่งตั้งวุฒิสมาชิก มีอ�านาจ
เหนือกองทัพ ยับยั้งร่างพระราชบัญญัติถอดถอนรัฐมนตรี ออกพระราชก�าหนด
และปฏิรูปรัฐธรรมนูญได้
ฝ่ายกองทัพไม่เห็นด้วย จึงพยายามชักจูงให้พระมหากษัตริย์ซึ่งยังทรง
ศึกษาอยู่ต่างประเทศทรงปรับลดพระราชอ�านาจในร่างรัฐธรรมนูญนั้น เมื่อไม่
ประสบความส�าเร็จ จึงด�าเนินการใช้กา� ลังในวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๔
ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเสด็จพระราชด�าเนินนิวัติ
พระนครเพียง ๑ วัน ฝ่ายกองทัพก่อการรัฐประหารอีกครั้ง (รัฐประหารเงียบ)
ผลักพรรคประชาธิปัตย์ออกไป และยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับนั้นเสีย แต่นา� ฉบับ
พ.ศ. ๒๔๗๕ มาใช้หลังจากปรับเล็กน้อย และจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ๒๕ นายที่
มีฝ่ายทหารอยู่ถึง ๑๙ นาย “ผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์” ปฏิเสธที่จะเซ็นรับ
รัฐธรรมนูญใหม่ แต่ก็ไม่มีผลแต่อย่างใด การเลือกตั้งและการแต่งตั้งรัฐสภา
ครอบง�าโดยทหารด�าเนินไป ขณะที่บรรดาฝ่ายนิยมเจ้าถูกลดฐานะเป็นเพียง
หุ้นส่วนรองในกลุ่มอ�านาจใหม่ กองทัพครอบง�ารัฐบาลเป็นเวลามากกว่า ๒๐ ปี
ให้หลัง
ายกองทัพอ้างว่า ทา า ี เพราะว่าคอมมิวนิสต์เข้า
เกาะกุมรัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ข้ออ้างนี้แสดงจุดเปลี่ยนที่ส�าคัญยิ่ง การ
ต่อสู้กันภายในกลุ่มชนชั้นน�าเพื่อเข้าควบคุมรัฐไทยนับจากนี้ไป เกิดขึ้นภาย
ใต้บริบทการต่อสู้ทางอุดมการณ์ระดับนานาชาติระหว่าง ายโลกเสรีและโลก
คอมมิวนิสต์ สงครามเย็น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
จับกุมพวกหัวเอียงซ้ายซ�้าแล้วซ�้าอีก อีกทั้งเข้าช่วยจัดท�าหลักฐานปลอมต่างๆ
เพื่อท�าให้การจับกุมดูสมเหตุสมผล สถานทูตอเมริกันเชื่อว่ายังไม่มีการแปล
ค�าประกาศเจตนาคอมมิวนิสต์ (Communist Manifesto) เป็นภาษาไทย จึงได้
ให้เงินอุดหนุนวิลเลียม เก็ดนีย์ นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกัน และจิตร ภูมิศักดิ
กวีและนักวิชาการสายมาร์กซิสม์ ให้แปลหนังสือนี้เป็นภาษาไทย แต่โครงการนี้
ท�าไม่ส�าเร็จ
“นำยพล” ทั้งหลายไม่ได้เป็นกังวลกับฝ่ายซ้ายที่เมืองไทยมากมายนัก
จอมพล ป. บอกกับรัฐสภาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ ว่าคอมมิวนิสต์ในเมืองไทยไม่ใช่
สาเหตุของความวุ่นวายในขณะนั้น๘ ความต่างระหว่างรัฐบาลไทยและอเมริกัน
มีอยู่ว่า สหรัฐวิตกว่าเอเชียจะถูกอุดมการณ์คอมมิวนิสต์เขมือบ แต่จอมพล ป.
และผู้น� าไทยอื่นๆ เพ่งไปที่ความสัมพันธ์อันซับซ้อนกับมหาอ� านาจจีน และ
ชุมชนจีนในไทยเป็นหลัก โดยจอมพล ป. หวังที่จะหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาด้านลบ
จากจีน ขณะเดียวกันก็ตระหนักว่าความช่วยเหลือจากสหรัฐนั้นส�าคัญ และ
มองเห็นโอกาสที่จะใช้นโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ปราบปรามศัตรู เช่น พรรค
พวกของนายปรีดี และชาวจีนในไทยที่ต่อต้านรัฐบาล
เมื่อจีนรวมประเทศได้ในป ๒๔๙๒ ความรู้สึกชาตินิยมของคนจีนใน
เมืองไทยพลุ่งขึ้นมาอีก “ชื่อจีน” จึงกลับมาเป็นที่นิยม จ�านวนเด็กเข้า “โรงเรียน
จีน” เพิ่มขึ้นเป็น ๑๗๕,๐๐๐ คน คิดเป็น ๑๐ เท่าของสมัยก่อนที่จอมพล ป.
จะเข้าควบคุมโรงเรียนจีนในทศวรรษ ๒๔๗๐ คนจีนส่งเงินกลับบ้านเกิดเพิ่ม
ขึ้น พร้อมกันนั้นความขัดแย้งระหว่างก๊กมินตั๋งและฝ่ายคอมมิวนิสต์มักปะทุขึ้น
เป็นการตีกันบนท้องถนนที่กรุงเทพฯ รัฐบาลจึงโต้กลับใช้นโยบายควบคุมคน
จีนดังที่เกิดขึ้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ จะเห็นได้ว่ารัฐบาลจอมพล ป. มอง
ว่า “คอมมิวนิสต์” เป็นปัญหาโยงกับคนจีน ดังนั้น การปราบปรามคอมมิวนิสต์
กับการควบคุมคนจีนจึงเป็นนโยบายที่เกิดขึ้นควบคู่กันไปอย่างช่วยไม่ได้
จากปลาย พ.ศ. ๒๔๙๓ รัฐบาลเริ่มคุกคามสื่อ เนรเทศชาวจีนที่ยุ่งเกี่ยว
กับการเมือง สลายสหภาพแรงงาน อีกทั้งใช้กองทัพ และมหำเถรสมำคม แพร่
กระจายการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อ ต่ อ ต้ า นคอมมิว นิส ต์ และสหรัฐ ก็ก ดดัน ให้
รัฐบาลไทยท�ามากกว่านี้ วันที่ ๑๐ พ ศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลจับกุม
าย ้ายที่หลงเหลืออยู่และพรรคพวกของนายปรีดีในข้อหาวางแผนท�า รัฐ
ประหาร นอกจากนั้นก็ปราบ “ขบวนการสันติภาพ” ซึ่งองค์กรนี้มีฐานอยู่ที่
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ประเทศไทยกลายเป็น “รัฐในอุปถัมภ์” ของสหรัฐ แต่ผลพวงคือ
ความแบ่งแยกในกลุ่มผู้ปกครองระหว่าง ายทหารและ ายต�ารวจ
เริ่มจากเดือนมกราคม ๒๔๙๔ สหรัฐส่งอาวุธยุทโธปกรณ์มาให้ไทย
เป็นจ�านวนมากพอส�าหรับกองพันทหาร ๙ กองพัน พ.ศ. ๒๔๙๖ เงินช่วยเหลือ
เพื่อการทหารจากสหรัฐมีมูลค่ามากกว่า ๒ เท่าครึ่งของงบประมาณกองทัพไทย
ทั้งหมด ในฐานะเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกส ษดิ
ธนะรัชต์ ไปเยือนวอชิงตันเพือ่ เจรจาขอเงินช่วยเหลือเพิม่ ขึน้ อีก เมือ่ มีผอู้ ปุ ถัมภ์
กระเปาใหญ่ขนาดนี้ สฤษดิ์จึงมีอิทธิพลในกองทัพสูงยิ่ง เขารวบรวมกองทหาร
ที่กรุงเทพฯ เข้ามาอยู่ภายใต้กองก�าลังของเขาคือกองทัพภาคที่ ๑ ประกอบด้วย
นายทหารที่มีความจงรักภักดีต่อเขา พ.ศ. ๒๔๙๗ เขาก้าวขึ้นเป็นผู้บัญชาการ
กองทัพบก และได้รับพระราชทานยศ “จอมพล”
พร้อมกันนั้น ีไอเอ หรือหน่วยงานสืบราชการลับสหรัฐ เข้าช่วยต�ารวจ
ให้มีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่พรั่งพร้อม เริ่มแรกใน พ.ศ. ๒๔๙๓-๒๔๙๔ อุดหนุน
การเงินให้ต�ารวจด�าเนินโครงการต่อต้านคอมมิวนิสต์แบบลับๆ จากบริเวณภูเขา
ภาคเหนือของไทยสู่จีนใต้ แต่ประสบความล้มเหลว ซีไอเอสร้างความสัมพันธ์
ใกล้ชิดกับเผ่า อธิบดีกรมต�ารวจ และในเวลาต่อมาก็ได้จัดหาอาวุธต่างๆ ให้
ได้แก่ รถถัง รถหุ้มเกราะ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ เรือเร็ว และส่งที่ปรึกษา
ซีไอเอมาช่วยฝกอบรม ท�าให้กรมต�ารวจเป็นเสมือนกองทัพอีกหนึ่ง ส่งผลให้
สฤษดิ์และเผ่าเป็นคู่แข่งกัน ทั้งสองฝ่ายมีก�าลังพลพอๆ กัน ต�ารวจ ๔๘,๐๐๐
นาย ทหาร ๔๕,๐๐๐ นาย ต่างแก่งแย่งกันเป็นใหญ่ในธุรกิจและกิจการผูกขาด
ให้ผลก�าไรสูงซึ่งตั้งขึ้นสมัยนายปรีดี ทั้งสองเดินทางไปเยือนสหรัฐใน พ.ศ.
๒๔๙๗ และกลับมาพร้อมกับสัญญาที่สหรัฐตกลงจะให้ความช่วยเหลือเป็นเงิน
๒๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐในกรณีของสฤษดิ์ และ ๓๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐในกรณี
ของเผ่า ทั้งสองแย่งกันเข้าควบคุมการค้าฝิ่น และใน พ.ศ. ๒๔๙๓ เกือบจะ
ปะทะกันเพื่อแย่งชิงว่าใครจะได้เป็นผู้ค้าฝิ่นในปีนั้น
ทั้งสองต่างหวังที่จะเป็นผู้สืบทอดทางการเมืองต่อจากจอมพล ป. พ.ศ.
๒๔๙๘ พลต�ารวจเอกเผ่าขอให้สหรัฐสนับสนุนตนให้กระท�าการรัฐประหารเพื่อ
ล้มจอมพล ป. แต่สหรัฐไม่เห็นด้วย จอมพล ป. อยู่รอดด้วยกุศโลบายลดทอน
ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย และสหรัฐสนับสนุนจอมพล ป. มากขึ้น
จอมพล ป. หวนกลับไปด�าเนินนโยบายที่ “คณะราษ ร” ได้ตั้งเปา
เอาไว้ คือการสร้างรัฐชาติให้เป็นผู้ดูแลสวัสดิการของประชาชน และเพื่อให้
หลวงวิจิตรวาทการแต่งบทละครหลายเรื่องเพื่อเฉลิมฉลอง “พ่อขุน
รามค�าแหง” แห่งสุโขทัย และบุคคลส�าคัญอื่นๆ ในประวัติศาสตร์ไทย เขา
ยกเลิกความใฝ่ฝันให้ไทยเป็นมหาอ�านาจ แต่เขียนว่า “ถ้ำเรำสำมำรถสร้ำงลัทธิ
ถือชำติให้ ังเข้ำในจิตใจของคน เหมือนอย่ำงที่คอมมิวนิสต์เขำสำมำรถเอำลัทธิ
คอมมิวนิสม์ให้คนถือเหมือนศำสนำได้ เรำก็ไม่ต้องวิตกที่ลัทธิคอมมิวนิสม์จะ
เข้ำมำครอบคลุมประเทศเรำ” ๑๐
จอมพล ป. ไม่ต้องการให้ฝ่ายนิยมเจ้าแผ่ขยายไป จึงกีดกันไม่ให้พระ
มหากษัตริย์เสด็จพระราชด�าเนินไปนอกกรุงเทพฯ ท�าให้ทางราชส�านักไม่พอใจ
ที่เขาขยายขอบข่ายของรัฐครอบคลุมกิจการด้านวัฒนธรรมซึ่งฝ่ายเจ้าเคยมี
บทบาทผูกขาดอยู่ พ.ศ. ๒๕๐๐ จอมพล ป.จัดงานเฉลิมฉลองพระพุทธศาสนา
ครบรอบ ๒,๕๐๐ ปีอย่างยิ่งใหญ่ พระมหากษัตริย์ไม่ได้ทรงเข้าร่วม ด้วยเหตุผล
ทรงพระประชวร
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ได้สูงสุดเพียง ๕๐ ไร่ นอกจากนั้น ยังรณรงค์ให้มีการปราบปรามการค้าฝิ่น
และเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีเลิกยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจ (แต่ไม่ประสบความส� าเร็จ
ทั้งสองเรื่อง) ส�าหรับด้านการต่างประเทศ จอมพล ป. อยากจะถอยห่างจาก
สหรัฐบ้าง ฟื้นฟูสัมพันธไมตรีกับจีนใหม่โดยส่งตัวแทนไปพบกับเหมาเจอตุง
อย่างลับๆ และตกลงที่จะมีสัมพันธไมตรีอย่างเป็นทางการในอนาคต การค้า
ขายและการเดินทางไปจีนท�าได้ง่ายขึ้น ผู้น�าของชุมชนจีนที่กรุงเทพฯ อีกทั้งฝ่าย
ซ้ายบางคนเดินทางไปเยือนปักกิ่ง
เมื่อมีข่าวออกมาว่า จอมพล ป. กล่าวกับปาล พนมยงค์ ว่า “บอกพ่อ
ของหลำนด้วยนะว่ำลุงอยำกให้กลับมำช่วยลุงท�ำงำนให้ชำติ ลุงคนเดียวสู้กับ
ศักดินำไม่ไหวแล้ว” ๑๑ ฝ่ายนิยมเจ้าจึงแสวงหาความร่วมมือจากสฤษดิ์ สถาน
ทูตอังกฤษได้รายงานว่าจอมพลสฤษดิ์ พระองค์เจ้าธานีฯ ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช
และ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ประชุมกันเพื่อวางแผนโต้กลับรัฐบาลจอมพล ป.
แรกๆ สหรัฐพอใจที่จอมพล ป. สนับสนุนประชาธิปไตย แต่สหรัฐก็
ต้องการให้ไทยพึ่งพาสหรัฐในฐานะเป็นรัฐใต้อุปถัมภ์ ดังนั้น นโยบายของ
จอมพล ป. จึงไม่สอดคล้องกับเปาประสงค์หลักของสหรัฐนัก ทั้งนี้ เมื่อการ
ควบคุมสื่อผ่อนคลายลง บรรดาหนังสือพิมพ์ต่างๆ ลงบทความไม่เห็นด้วยกับที่
สหรัฐมีบทบาทเพิ่มขึ้นในเมืองไทย อีกทั้งส�าแดงแรงสนับสนุนจีนอย่างเปิดเผย
พรรคฝ่ายซ้ายจึงผุดขึ้นอีก
เมื่อเข้าใกล้การเลือกตั้งในป ๒๕๐๐ พรรคการเมืองและหนังสือพิมพ์
ที่เป็นตัวแทนของเผ่าและจอมพล ป. (ขณะนั้นจับมือกันแล้ว) และสฤษดิ์ฉวย
โอกาสช่วยกระพือการต่อต้านสหรัฐ และการสนับสนุนจีน
เมื่อภาพยนตร์เรื่องเดอะ คิง แอนด์ ไอ (The King and I) ๑๒ ฉายที่
สหรัฐ สื่อที่เมืองไทยยิ่งออกมาประณามสหรัฐ
พลต�ารวจเอกเผ่าและจอมพล ป. ชนะการเลือกตั้ง แต่ส ษดิกล่าวหา
ว่าทั้งสองโกงการเลือกตั้ง เป็นนัยว่าสหรัฐมีบทบาทเกี่ยวข้องด้วย วันที่ ๑๘
กันยายน ๒๕๐๐ ส ษดิท�า “รัฐประหาร” ส�าแดงอานุภาพของกองทัพภาคที่ ๑
อีกครั้ง ท�าให้ทั้งเผ่า และจอมพล ป. ลี้ภัยไปต่างประเทศ สหรัฐกริ่งเกรงว่า
เงินที่ใช้ไปเพื่อท�าให้ไทยเป็นรัฐใต้อุปถัมภ์ของตนจะเสียเปล่า และไม่ได้ประทับ
ใจกับสฤษดิ์มากนัก เห็นว่าทั้งขี้เมา ขี้โกง ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง หนังสือ
พิมพ์ในสังกัดของสฤษดิ์โจมตีสหรัฐมากที่สุด และเมื่อเกิดการรัฐประหาร ทหาร
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
อากาศอเมริกันในเมืองไทยมีมากถึง ๔๕,๐๐๐ คน ฝูงเครื่องบินรบเข้าโจมตี
เวียดนามเหนือเป็นครั้งแรกจากฐานทัพไทยในเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๗
สามในสี่ ข องลู ก ระเบิ ด ที่ ส หรั ฐ ทิ้ ง เพื่ อ โจมตี เ วี ย ดนามเหนื อ และลาวระหว่ า ง
ปี ๒๕๐๗ และ ๒๕๑๑ น�าไปโดยฝูงเครื่องบินรบจากฐานทัพ ๗ แห่งที่ภาค
ตะวันออกของไทย จากปี ๒๕๐๓ สหรัฐว่าจ้างทหารไทยอย่างลับให้ไปรบที่ลาว
ใน พ.ศ. ๒๕๑๐ ทหารไทยจ�านวนประมาณ ๑๑,๐๐๐ ราย ไปร่วมรบเคียงบ่า
เคียงไหล่กับทหารอเมริกันที่เวียดนามใต้
นับจาก พ.ศ. ๒๕๐๕ สหรัฐให้เงินช่วยเหลือแก่ต�ารวจตระเวนชายแดน
และองค์กรต่อต้านผู้ก่อการร้ายภายในเมืองไทยเป็นจ�านวนมาก เงินช่วยเหลือ
ด้านการทหารเพิ่มขึ้นสี่เท่าช่วงปี ๒๕๐๓-๒๕๑๓ และสูงสุดในปี ๒๕๑๒ คือ
๑๒๓ ล้านเหรียญสหรัฐ ความช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเป็นเส้นขนาน
ในระดับพอๆ กัน โดยส่วนใหญ่พุ่งไปที่กรมต�ารวจและโครงการของกองทัพ
งบประมาณเพื่อการป้องกันประเทศของฝ่ายทหารเพิ่มขึ้นในอัตรามากกว่านี้
ด้วยความสนับสนุนจากสหรัฐและจากเงินภาษีของประชาชนเอง คือเพิ่มจาก
ประมาณ ๒๐ ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ช่วง พ.ศ. ๒๔๙๓-๒๕๐๓ เป็น ๒๕๐
ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ช่วง พ.ศ. ๒๕๑๓-๒๕๑๘ “ดอลลาร์” จึงท�าให้รัฐทหาร
ของไทยเป็นหนึ่งเดียวและแข็งแกร่งขึ้น
ภาพที่ ๒ ทหำรอเมริกันพักรบที่หำดพัทยำ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
พั นาการ ละกลุ่มทุน
สหรัฐตั้งเป้าที่จะส่งเสริมเศรษฐกิจระบบตลาดเสรีในไทย เพื่อผนวก
ไทยให้อยู่ค่ายเดียวกับสหรัฐอย่างแนบแน่นในภาวะสงครามเย็น
ประธานาธิบดีทรูแมน กล่าวถึง “development” (พัฒนาการ) ใน
ปาฐกถาครั้งเข้ารับต�าแหน่ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ จอมพลส ษดิเข้าใจดีว่าพัฒนา
การคือแนวคิดส�าคัญของยุทธศาสตร์สหรัฐในระดับโลก และเป็นมโนทัศน์ใหม่
ที่จะช่วยสร้างความชอบธรรมของรัฐชาติ อีกนัยหนึ่งก็คือ “ความเจริญ” ในค�า
พูดใหม่สมัยอเมริกันนั่นเอง รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ใช้ “พัฒนาการ” เสมือน
มนต์ขลัง เขากล่าวว่า “งำนส�ำคั ของเรำในระยะป ิวัตินี้คืองำนพั นำ ได้แก่
งำนพั นำกำรเศรษฐกิจ กำรศึกษำ กำรปกครอง และทุกสิ่งทุกอย่ำง” ๑๕ และ
ตั้งค�าขวัญ เช่น “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข”
หลังจากที่เขาท�ารัฐประหาร จอมพลสฤษดิ์เชื้อเชิญให้คณะผู้เชี่ยวชาญ
จากธนาคารโลก เข้ามาท�ารายงานด้านเศรษฐกิจของไทย รายงานฉบับนี้ต่อมา
แปลงเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ ๑ เริ่มต้นใช้เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ แผน
เศรษฐกิจนี้ไม่เห็นด้วยกับนโยบายพัฒนาโดยรัฐวิสาหกิจ ที่รัฐบาลก่อนหน้า
ด�าเนินการมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง และประกาศว่า “ประกำรส�ำคั
ของโครงกำรพั นำเพื่อสำธำร ชนจึงเป็นกำรส่งเสริมให้เกิดควำมเจริ ก้ำว
หน้ำทำงเศรษฐกิจขึ้นในภำคเอกชน” ๑๖
สหรัฐช่วยก่อตั้งหน่วยงานภาคราชการ เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเศรษฐกิจ
ได้แก่ สภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ (ต่อมาคือส�านักงานคณะกรรมการพัฒนา
การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ) ส�านักงบประมาณ ส�านักงานส่งเสริมการลง
ทุน และปรับโครงสร้างธนาคารชาติเสียใหม่ ส่งผู้เชี่ยวชาญชาวอเมริกันจ�านวน
มากเข้ามาช่วยด�าเนินงาน จอมพลสฤษดิ์ยกเลิกพระราชบัญญัติแรงงานสมัย
จอมพล ป. ที่อนุญาตให้จัดตั้งสหภาพแรงงานได้ และในช่วงแรกๆ ท� าการ
ปราบปรามสหภาพแรงงานอย่างหนัก แต่ที่ปรึกษาชาวอเมริกันเสนอให้ทา� แบบ
ค่อยเป็นค่อยไป ดังนั้น รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ออกกฎหมายหลายฉบับเพื่อ
ก�ากับควบคุมแรงงานเมือง และก่อตั้งส�านักงานเพื่อดูแลคนงานเป็นการเฉพาะ
ข้าราชการกลุ่มแรกที่รับเข้าท�างานในส�านักงานใหม่ๆ เหล่านี้มักได้รับ
การศึกษาจากยุโรป ต่อมาสหรัฐช่วยพัฒนาข้าราชการรุ่นใหม่ที่มีวิธีคิดแบบ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
พ.ศ. ๒๔๘๘ นักธุรกิจระดับน�ารายหนึ่งถูกยิงตายข้างถนนอาจจะเป็นเพราะมี
คนรังเกียจว่านักธุรกิจนี้ได้ก�าไรมหาศาลจากญี่ปุ่นช่วงสงคราม
อีกสาเหตุหนึ่ง เมื่อนักธุรกิจฝรั่งต้องถอยออกจากเอเชียไป เปิดช่อง
ให้นักธุรกิจไทยจีนเข้ามาแทน เช่น ธุรกิจธนาคาร นายชิน โสภณพนิช เป็น
พ่อค้ารายเล็กที่เดินทางไปมาระหว่างเมืองไทยและจีน ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๗-
๒๔๘๘ เขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มที่ลงทุนในกิจการหลายอย่าง รวมทั้ง
การค้าทอง สุรา โรงภาพยนตร์ ไม้ขีดไฟ และธุรกิจธนาคาร เขาช่วยก่อตั้ง
ระบบขายเงินตราต่างประเทศและธุรกิจส่งเงินข้ามแดน แทนที่ธนาคารฝรั่งซึ่ง
หยุดกิจการไปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๗ กลุ่มธุรกิจของนายชินก่อตั้งธนาคารกรุงเทพ
เป็น ๑ ใน ๗ ธนาคารที่ตั้งขึ้นในช่วงนั้น
ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงภายหลังจากเกิดความวุ่นวายเมื่อสงครามจบ
แต่ก็กระเตื้องขึ้นเมื่อเศรษฐกิจทั่วเอเชียบูมจากสงครามเกาหลีช่วงปี ๒๔๙๓-
๒๔๙๕ และจากการที่ ส หรั ฐ เพิ่ ม เงิ น ช่ ว ยอุ ป ถั ม ภ์ ไ ทยด้ า นเศรษฐกิ จ มากขึ้ น
ธนาคารที่ก่อตั้งขึ้นใหม่กลายเป็นหัวใจของชนชั้นธุรกิจที่พุ่งขึ้นมาหลังจากการ
ปฏิวัติที่จีนเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๘ รายได้ของพ่อค้าที่โยงกับการให้บริการส่งเงินไป
เมืองจีนหดหาย จึงต้องเบนความสนใจมาที่ของเศรษฐกิจภายในประเทศไทย
เอง ธนาคารเหล่านี้ขยายสาขาไปเขตต่างจังหวัดเพื่อดูดซับเงินออมของชาวนา
และพ่อค้าท้องถิ่น และเอาเงินนี้ไปลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่ตลาดเอื้ออ�านวย อีก
ทั้งให้ธุรกิจครอบครัวที่ท�ากิจการเกี่ยวโยงกันอยู่ได้กู้ยืม พวกเขาสร้างเครือข่าย
ธุรกิจไปทั่วเอเชีย และแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการค้าระหว่างกัน สร้างสายสัมพันธ์
ใกล้ชิดกับบรรดานายพลที่ยึดอ�านาจโดยรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ จึงได้รับ
การคุ้มครองทางการเมือง และมีช่องทางท�าธุรกิจที่ให้ก�าไรดี “ธนาคารกรุงเทพ”
เติบโตเร็วหลังจากได้เงินอัดฉีดจากรัฐบาล ช่วยแก้วิกฤตสภาพคล่องได้ทันท่วงที
ธุรกิจรถยนต์ของ ตระกูลพรประภา รุ่งเรืองหลังจากที่รัฐบาลซื้อรถเมล์ และ
ก�าหนดว่ารถแท็กซี่ต้องเป็นยี่ห้อนิสสันเท่านั้น ตระกูลเตชะไพบูลย์ สร้างอาณา
จักรสุรา หลังจากที่รัฐบาลขายโรงเหล้าของรัฐให้ถูกๆ
ตระกูลธนาคารและนักธุรกิจที่เกี่ยวโยงกัน ได้ผลประโยชน์มากจากช่อง
ทางการลงทุนที่เปิดขึ้นเมื่อสหรัฐเข้าช่วยพัฒนาเศรษฐกิจไทย นโยบายกระตุ้น
การส่งออกสินค้าเกษตร และส่งเสริมให้เกษตรกรขยับขยายสู่การปลูกพืชเศรษฐ
กิจใหม่ๆ นอกเหนือจากข้าว (วิเคราะห์ในตอนต่อไป) ได้เพิ่มก�าไรจากการค้า
และการแปรรูปสินค้าเกษตรใหม่เพื่อการส่งออก ตระกูลหวั่งหลี กลายเป็น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ตระกูลเหล่านี้รุ่งเรืองได้เพราะท�างานหนัก เก็บออมเพื่อเอาไปลงทุนในธุรกิจ
ให้ความส�าคัญกับการศึกษาของลูก พัฒนาเครือข่ายครอบครัวและแซ่ รวมถึง
สร้างเส้นสายทางการเมือง
โดยรวมมีประมาณ ๓๐ ตระกูลที่นับได้ว่าเป็นเ ียนธุรกิจในสมัยนั้น
เพราะว่ามีทุนพรั่งพร้อมและได้ความคุ้มครองทางการเมือง พวกเขาพัฒนา
เป็นวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่ขยายกิจการไปกว้างขวางสู่อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม
โรงพยาบาล ธุรกิจการเงิน การประกัน และกิจการอื่นๆ เพื่อให้ลูกชาย และ
บางทีก็ลูกสาว มีธุรกิจของตนเอง
ตระกูลระดับน�ามีบทบาทสูงใน สมาคมชื่อแ ่ และ มูลนิธิเพื่อการกุศล
ลูกหลานของเขาดองกันไปดองกันมา ข้ามชื่อแซ่และส�าเนียงภาษา ลงทุนร่วม
กันในหลายกิจการเพื่อแบ่งผลก�าไรและกระจายความเสี่ยง ธนาคาร ๑๓ แห่ง
ใหญ่มีบทบาทเด่นที่สุด พวกเขารวมตัวกันชักจูงให้รัฐบาลออกกฎหมายห้าม
ตั้งธนาคารใหม่ และกีดกันธนาคารต่างชาติ เงินฝากของธนาคารเพิ่มขึ้นใน
อัตราร้อยละ ๒๐ ต่อปีเป็นเวลาถึง ๒๐ ปี (ทศวรรษ ๒๕๐๐-๒๕๒๐) ธนาคาร
ใหญ่สุด ๔ แห่งโตเร็วที่สุด มีบริษัทในเครือหลายร้อยแห่ง แต่งตั้งนายทหารใน
คณะรัฐมนตรีเป็นกรรมการบริษัท นักธุรกิจรองลงมาเป็นธุรกิจครอบครัวระดับ
ห้องแถวจ�านวนมาก มีพื้นเพและความทะเยอทะยานคล้ายๆ กัน
พ.ศ. ๒๕๐๙ นักวิชาการอเมริกันชื่อเ รด ริกส์ (Fred Riggs) เรียก
นักธุรกิจไทยจีนระดับน�าว่า “ผู้ประกอบกำรนอกคอก” ๑๗ หมายความว่ามี
สถานะทางสั ง คมต�่ า เนื่ อ งจากมี เ ชื้ อ สายจี น และต้ อ งเป็ น รองข้ า ราชการและ
จอมพลที่มีอ�านาจการเมืองเหนือกว่า อันที่จริงสถานการณ์ซับซ้อนกว่านี้ และ
มีความยืดหยุ่นมากกว่าที่ริกส์ให้ภาพ ตามกฎหมายลูกจีนที่เกิดในเมืองไทย
(รุ่น ๒) มีสัญชาติไทยได้รับการยอมรับเป็นพลเมืองคนหนึ่งของรัฐชาติไทย
และลูกของเขา (รุ่น ๓) มีสิทธิเป็นคนไทยเต็มที่ รวมทั้งการออกเสียงเลือกตั้ง
สมัคร ส.ส. และเข้าสมัครเป็นทหารก็ได้ ตระกูลจีนเด่นๆ ซึ่งเข้ามาเมืองไทย
ตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ และ ๕ หรือก่อนหน้า มาถึงจุดนี้ได้กลืนกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ของชนชั้นน�า “เดิม” ไปแล้ว ลูกหลานแต่งงานกับเชื้อสายของราชนิกุล ได้รับ
การศึกษาดีจนได้เข้ารับราชการมีต�าแหน่งใหญ่ในราชการทหารและพลเรือน
เป็นนักวิชาชีพ เป็นอาจารย์ และเป็นเทคโนแครต บางคนเป็นตัวเชื่อมระหว่าง
ครอบครัวจีนรุ่นหลังๆ กับระบบราชการ
ลูกอายเรื่องความพ่ายแพ้ แพ้อย่างหมดประตูสู้...ไม่อาจรักษาความเป็นคนจีน
ไว้ได้”๑๙ ชุมชนจีนตามห้องแถวยังคงใช้ “ภาษาจีน” ติดต่อท�าธุรกิจ และในชีวิต
ประจ�าวัน ส่วนใหญ่ใช้ภาษา “แต้จิ๋ว”
รั ฐ บาลมี จิ น ตนาการว่ า “วั ฒ นธรรมไทย” เป็ น อั น หนึ่ ง อั น เดี ย ว จึ ง
พยายามให้ชาวจีนอพยพกลืนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชาติไทย โดยเฉพาะให้
พูดภาษาไทยกลางและส�าแดงความจงรักภักดี ความเชื่องช้าในการให้สิทธิเป็น
คนไทยอย่างสมบูรณ์ และการที่ชาวจีนถูกโจมตีเป็นครั้งคราวในที่สาธารณะ
เอื้อให้ข้าราชการและนายพลสามารถบีบคนจีนให้จ่ายเงินสินบน หลังจากที่จีน
เปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ (พ.ศ. ๒๔๙๒) สหรัฐยิ่งกดดันให้รัฐบาลไทยด�าเนิน
มาตรการบีบรัดคนจีนในไทย แต่นี่เป็นสภาวการณ์ชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจาก
มีชาวจีนอพยพมามากช่วงระหว่างสงคราม คนอยู่ในเมืองจึงเป็นคนไทยเชื้อสาย
จีนเสียมาก เมื่อรัฐบาลส่งเสริมให้เศรษฐกิจเมืองขยายตัว พวกเขาก็มั่งคั่งขึ้น
อย่างรวดเร็ว ในท้ายที่สุดจ�านวนที่มากและเงินที่มีจะมีผลสะเทือนถึงการเมือง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เกษตรบุกเบิกเขตทีราบสูง
พ.ศ.สองพันห้าร้อยสี่ ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม
ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี
ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา
ทางการเขาสั่งมาว่า ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกร
ฝ่ายตาสีหัวคลอนถามว่า สุกรนั้นคืออะไร?
ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด สุกรนั้นไซร้คือหมาน้อยธรรมดา
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ด้วยพลังตลาดและกระบวนการต่างๆ ดังที่กล่าวมา การบุกเบิกเพื่อ
ท�าไร่บนที่ราบสูงก็ขยายพื้นที่ออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนไ ลามทุ่ง ภายใน
เวลาเพียง ๔๐ ปเท่านั้น พื้นที่เพาะปลูกของประเทศเพิ่มขึ้นถึง ๓ เท่า และ
ส่วนใหญ่ของพื้นที่ใหม่ก็คือบริเวณที่ราบสูงที่อีสานและภาคเหนือ ในพื้นที่
ใหม่ทั้งหมดประมาณครึ่งหนึ่งปลูกข้าว และที่เหลือปลูกพืชไร่ ไร่อ้อยผุดขึ้น
บริเวณที่เนินรอบๆ ที่ราบลุ่มเจ้าพระยา ยางพารา และปาล์มน�้ามันขยายไป
บริเวณชายฝั่งลงไปทางใต้ ไร่สับปะรดเข้าแทนที่ป่าทางภาคตะวันตก ขณะที่
การเลี้ยงควายและคอกวัวเพิ่มขึ้นในบริเวณเชิงเขาระหว่างลุ่มเจ้าพระยาและ
ที่ราบสูงโคราช ไร่ใบยาสูบกระจายไปทั่วบริเวณหุบเขาภาคเหนือ
แต่พื้นที่บางแห่งสูญเสียความอุดมสมบูรณ์อย่างรวดเร็วเมื่อหน้าดินถูก
ชะท�าลาย ฝนฟ้าก็ไม่แน่นอน อีกทั้งความชื้นของหน้าดินก็หายไปเมื่อไม้ถูกโค่น
บางแห่งที่มีดินเค็มอยู่ใต้ดิน เกลือผุดขึ้นมาหน้าดินหลังจากมีการใช้การชล
ประทานสักพักหนึ่ง พืชไร่ที่จะทนสภาพดินที่เลวแบบนี้ เหลือเพียงข้าวโพด
และมันส�าปะหลัง ซึ่งต่อมากลายเป็นพืชหลักของบริเวณที่ราบสูง เป็นวัตถุดิบ
ให้กับโรงงานท�าแป้งมัน และโรงงานอาหารสัตว์ ชาวไร่บริเวณดังกล่าวมักมี
ที่ดินเฉลี่ยรายละ ๒๕ ไร่ ครอบคลุมทั้งบริเวณที่ปลูกข้าวได้ในที่ลุ่ม และที่ปลูก
พืชไร่บนที่เนิน ระหว่างทศวรรษ ๒๔๙๐-๒๕๑๐ มีฟาร์มเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยปีละ
ประมาณ ๗ หมื่นราย บนพื้นที่บุกเบิกใหม่ทั้งหมด ๒ ล้านไร่
าร์มเหล่านี้ก็คือปาที่สูญหายไปนั่นเอง ปาเคยคลุมเนื้อที่ถึง ๒ ใน
๓ ของประเทศเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่ ๓๐ ปต่อมาเหลืออยู่เพียง ๑ ใน
๓ รัฐบาลไทยเองได้มีส่วนส่งเสริมการท�าลายปานี้เพราะต้องการ “ส่งออก
สินค้าเกษตร” เพิ่มขึ้นเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ เมื่อขบวนการ
คอมมิวนิสต์แพร่เข้าไปในบริเวณป่าเมื่อต้นทศวรรษ ๒๕๑๐ รัฐบาลก็ได้ส่งเสริม
การตัดป่าให้มากขึ้นไปอีก เพื่อไม่ให้เป็นที่หลบภัยของคอมมิวนิสต์ สร้างถนน
ยุทธศาสตร์เข้าไปในป่า และส่งชาวนาชาวไร่บุกเบิกเข้าไปจับจองที่ท�ากินสอง
ข้างทางถนนเหล่านี้ เผาป่าบริเวณรอบๆ ฐานที่มั่นของพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง
ประเทศไทย (พคท.) อนุญาตให้นักค้าไม้ได้ท�าสัมปทานป่าไม้ โดยก�าหนดให้
ปลูกป่าด้วย แต่ไม่ได้ดูแลให้ปลูกป่าจริงๆ ดังนั้น เมื่อถึง พ.ศ. ๒๕๒๙ ป่า
ครึ่งประเทศจึงอยู่ใต้สัมปทานป่าไม้ทั้งหมด กลางทศวรรษ ๒๕๑๐ พบว่าป่า
ได้สูญหายไปในอัตราประมาณ ๖ แสนไร่ต่อปี
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
พออยู่พอกินได้ทั้งปี เพราะว่าฝนฟ้ามีความไม่แน่นอนสูงนั่นเอง ดังนั้น ชาวไร่
บุกเบิกเขตที่ราบสูงเหล่านี้ จึงพึ่งตลาดเพื่อขายพืชผล เอาเงินสดมาซื้อหาของ
กินใช้ประจ�าวัน เศรษฐกิจของท้องถิ่นจึงพึ่งพิงหรืออยู่ในก�ากับของปัจจัยภาย
นอกหมู่บ้านเป็นหลัก ซึ่งรวมทั้งวัตถุดิบเพื่อการผลิต (เช่น เมล็ดพันธุ์ ปุ ย
ฯลฯ) สินเชื่อ และการอุปถัมภ์จากภาครัฐ ขณะที่เงินรายได้มาจากการขายพืชผล
ออกสู่ตลาดภายนอก
ในเขตนี้ ผู้น�า ท้องถิ่น ได้แก่ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการไหลเวียนของ
ธุรกรรมเข้าและออกจากหมู่บ้าน คือกลุ่มพ่อค้าพืชผลที่ท�าหน้าที่ให้กู้เงินด้วย
และมักจะเป็นคนเชื้อสายจีนมีเส้นสายโยงใยกับพ่อค้าอื่นๆ ในตัวเมืองและที่
อื่นๆ อย่างกว้างขวาง อีกกลุ่มหนึ่งก็คือพ่อค้าไม้ที่โยงกับเจ้าของโรงเลื่อย เจ้า
ของรถขนส่งและรถเมล์ที่เชื่อมชุมชนท้องถิ่นกับโลกภายนอก อาจจะรวมทั้งนาย
ต�ารวจใหญ่ในพื้นที่ นายทหารประจ�าการที่ภูมิภาค และนายอ�าเภอที่มีอ�านาจรัฐ
อยู่ในก�ามือ สามารถให้ความอุปถัมภ์คา�้ จุนในรูปแบบต่างๆ ได้ ต�าแหน่งก�านัน
ส�าคัญมาก เพราะเป็นตัวเชื่อมระหว่างเครือข่ายเศรษฐกิจกับอ�านาจรัฐ ดังนั้น
จึงแข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อให้ได้ต�าแหน่งนี้ ผู้น�าท้องถิ่นมักเป็นชายและรู้จัก
กันดีในวงเหล้า อ�านาจเศรษฐกิจผนวกกับอ�านาจรัฐท�าให้พวกเขาสามารถหา
ก�าไรจากธุรกิจผิดกฎหมายและคอร์รัปชั่นในรูปแบบต่างๆ เช่น การลักลอบตัด
ไม้ การลักลอบค้าของผิดกฎหมาย และการเข้ายึดครองที่ดินสาธารณะพร้อม
ทั้งการออกเอกสารสิทธิ์เหนือที่ดินเหล่านั้น ฯลฯ
ชาวไร่บุกเบิกที่อพยพมามักยากจน และไม่สามารถปรับเปลี่ยนฐานะ
ของตัวเองได้ ระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๕-๒๕๐๖ มีการประเมินจ�านวนครอบครัว
ยากจนเป็นครั้งแรก พบว่า ๓ ใน ๔ ของครัวเรือนอีสานมีรายได้ตา�่ กว่าระดับ
ความยากจน (poverty line) หมายถึงระดับรายได้ที่ท� าให้ครอบครัวหนึ่งๆ
โดยเฉลี่ยจะมีปัจจัย ๔ เพื่อประทังชีวิตอยู่ได้ พ.ศ. ๒๕๓๑ สัดส่วนของครัว
เรือนยากจนลดลงเหลือประมาณครึ่งหนึ่ง ครัวเรือนจ�านวนน้อยมีโฉนดที่ดิน
แสดงเอกสารสิทธิ์ รัฐบาลไม่ได้ขยายระบบโฉนดที่ดินให้ครอบคลุมบริเวณ
ที่ราบสูง ดังนั้น พื้นที่ที่จับจองท�าไร่กันส่วนใหญ่จึงมีเพียงใบแสดงการเสียภาษี
(ภบท.๕)
พ.ศ. ๒๕๐๗ รัฐบาลก�าหนดว่าร้อยละ ๔๐ ของพื้นที่ของประเทศต้อง
เป็นเขตป่า และเริ่มท� าแผนที่เพื่อกันไม่ให้ชาวบ้านเข้าตั้งรกรากท� ามาหากิน
พร้อมๆ กับที่การบุกเบิกที่ป่าท�าพืชไร่ด�าเนินไปเป็นคู่ขนาน (ดังที่บรรยายไป
สังคมชาวนากับระบบตลา
พัฒนาการเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นส่งผลเปลี่ยนสังคมชาวนาอย่างสิ้นเชิง
หลัง พ.ศ. ๒๔๘๘ “องค์กรโลกบาล” ต้องการเห็นไทยเพิ่มผลผลิตข้าวให้มี
ส่วนเกินที่จะเอาไปช่วยเลี้ยงประเทศอื่นๆ ในเอเชียที่ผลิตข้าวไม่พอกิน และเพื่อ
ช่วยให้เอเชียทั้งหมดมีความมั่นคงด้านอาหารในระยะยาวเมื่อประชากรเพิ่มขึ้น
“ธนาคารโลก” และองค์กรอื่นๆ จึงเข้ามาช่วยไทยขยายโครงการชลประทาน
โดยรื้อฟื้นเอาโครงการซึ่ง าน เดอร์ ไ ดเดอะ ได้ร่างขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕
แต่ไม่ได้สร้างสมัยนั้น จึงน�ามาปรับปรุงและด�าเนินการที่ภาคกลาง เริ่มจากสร้าง
“เขื่อนชัยนำท” ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ และอีกทศวรรษต่อมาก็สร้างเขื่อนอีก ๒
แห่งทางตอนเหนือของแม่น�้าเจ้าพระยา เขื่อนเหล่านี้ช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะ
น�้าท่วมหรือภาวะขาดแคลนน�้ารุนแรง มีการขุดคลองเป็นเครือข่ายเพื่อกระจายน�้า
และท�าให้น�้าไหลเวียนจากเขื่อนสู่ที่ราบลุ่มปลูกข้าวในภาคกลางสม�า่ เสมอขึ้น
ในระยะเริ่มแรกโครงการเขื่อนขนาดใหญ่เหล่านี้ไม่ได้ให้ผลเป็นที่น่า
พอใจนัก จนกระทั่งเกิด “การปฏิวัติเขียว” เมื่อปลายทศวรรษ ๒๕๐๐ คือการ
ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวให้ผลผลิตสูงต่อไร่ ได้น�าเอาพันธุ์ข้าวใหม่ซึ่งองค์การวิจัยข้าว
ที่ฟิลิปปินส์พัฒนาขึ้น มาปรับให้สอดคล้องกับสภาพพื้นดินในเมืองไทย เมล็ด
พันธุ์ใหม่ๆ เหล่านี้ต้องใช้น�้ามากจึงจะได้ผล เมื่อเอามาผนวกกับชลประทานที่
พรั่งพร้อมขึ้นจึงช่วยเพิ่มผลผลิตข้าวต่อไร่ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งต้องใช้ปุยเคมี
และยาฆ่าแมลงด้วย ทั้งสองอย่างนี้จึงเพิ่มต้นทุนขึ้นด้วย รถไถเดินตามพัฒนา
ที่ประเทศจีนเรียกว่า “ควายเหล็ก” ก็น�ามาผลิตและใช้กันอย่างกว้างขวาง ทด
แทนควายตัวจริง เทคโนโลยีใหม่ทา� ให้ชาวนาภาคกลางสามารถผลิตข้าวได้ปีละ
๒-๓ ครั้ง ทั้งนี้ ระบบชลประทานจากเขื่อนท�าให้มีน�้าใช้ได้ยาวนานขึ้น ข้าวพันธุ์
ใหม่สุกเร็วขึ้น และควายเหล็กช่วยร่นระยะเวลาการเตรียมดิน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
โครงการน�้าขนาดเล็กอื่นๆ ของรัฐบาลให้ผลคล้ายๆ กันในภูมิภาคอื่นๆ
เช่น “โครงการแม่แตง” ท�าให้ชาวนาที่ลุ่มน�้าเชียงใหม่มีน�้าใช้อุดมสมบูรณ์และ
เป็นระยะเวลานานขึ้น เขื่อนที่สร้างตามสาขาย่อยของแม่น�้าเจ้าพระยาทางตอน
เหนือช่วยลดปัญหาน�้าท่วมหรือภาวะน�้าแล้งรุนแรง ในท�านองเดียวกัน “ าย
ที่ล�าน�้ามูล ชี” ที่อีสานช่วยคงระดับน�้า และโครงการย่อยอื่นๆ ที่สร้างตามบริเวณ
ปลูกข้าวแนวชายทะเลลงไปทางด้านใต้ก็ให้ผลคล้ายๆ กัน
การใช้นวัตกรรมต่างๆ ท�าให้ผลผลิตข้าวต่อไร่ที่บริเวณภาคกลางเพิ่ม
ขึ้นถึง ๒ เท่าภายในเวลา ๓๐ ป การส่งออกข้าวจึงพุ่งขึ้นอีกท�าให้ไทยกลาย
เป็นประเทศส่งข้าวออกมากที่สุดในโลก ประชาชนก็ได้ประโยชน์ สัดส่วนของ
ครัวเรือนที่มีรายได้ต�่ากว่าเส้นความยากจนที่ภาคกลางลดลงจาก ๒ ใน ๕ เมื่อ
พ.ศ. ๒๕๐๕ ๒๕๐๖ เป็นเพียง ๑ ใน ๘ อีก ๑๓ ปต่อมา พ.ศ. ๒๕๑๙
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ชาวนารายเล็กเขตที่ราบลุ่มก็ต้องติดต่อกับภาครัฐบาลมากขึ้น เหมือน
กับในกรณีของเขตที่ราบสูง โรงเรียน ต�ารวจ และอ�าเภอ กระจายไปทั่วเขต
ชนบท แต่ที่ต่างกันคือรัฐบาลออกเอกสารสิทธิ์เป็นโฉนดให้กับชาวนา เมื่อ
ก่อนชาวนาใช้น�้าฝนน�้าท่า แต่สิ่งใหม่คือ “ปัจจุบันน�้าก็ยังมีนาย” และชาวนาก็
ต้องติดต่อกับข้าราชการต่างๆ เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งน�้าชลประทาน
เหมือนกับเขตที่ราบสูง กลุ่มผู้น�าท้องถิ่นปรากฏตัวขึ้นท�าหน้าที่เป็นตัว
กลางระหว่างชาวบ้านกับพ่อค้าและข้าราชการที่อยู่นอกหมู่บ้าน บางคนผูกขาด
กิจการหลายอย่างจนร�่ารวย ดังที่เพลงลูกทุ่งยอดนิยมเพลงหนึ่งกล่าวเสียดสีไว้
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
การเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างบ้านและเมืองสะท้อนให้เห็นในเนื้อหาของ
เพลงลูกทุ่งที่นิยมกันเมื่อทศวรรษ ๒๕๐๐ และ ๒๕๑๐ ดนตรีมีต้นแบบมา
จากเพลงพื้นบ้านภาคกลางที่เป็นแหล่งแรงงานอพยพส่วนใหญ่นั่นเอง แต่เพลง
ลู ก ทุ ่ ง พุ ่ ง ขึ้ น สู ่ ค วามนิ ย มสู ง เพราะการขยายตั ว ของเครื อ ข่ า ยวิ ท ยุ ร ะดั บ ชาติ
พัฒนาการของเทปเพลง และการสร้างถนนที่ท�าให้คณะดนตรีเพลงลูกทุ่งเดิน
สายไปแสดงตามหมู่บ้านต่างๆ ทั่วประเทศ นักร้องมีชื่อมักจะมาจากบ้านนอก
อาทิ “พุ่มพวง ดวงจันทร์” ราชินีเพลงลูกทุ่งเป็นแรงงานเด็กช่วยพ่อแม่ตัดอ้อย
ที่สุพรรณบุรีมาก่อน และ “สำยั ห์ สั ำ” นักร้องลูกทุ่งอีกคนก็เคยเป็น
ชาวนา
เนื้อหาของเพลงบ่งบอกความตื่นเต้นผสมความเศร้าที่ต้องจากบ้านไป
เมือง หลายเพลงบรรยายชีวิตเมืองเป็นคนขับรถบรรทุก เด็กเสิร์ฟ กระเปา
รถเมล์ สาวฉันทนา คนงานโรงงาน และคนงานในธุรกิจเพศพาณิชย์ เพลง
ครวญถึงนาล่ม ภัยธรรมชาติ ความข้นแค้นที่บีบให้พวกเขาต้องอพยพออกไป
เพลงเหล่านี้กล่าวเตือนว่าคนเมืองจะดูถูกว่า “จนและเหม็นสำบ” บอกให้สาวๆ
ที่จากบ้านมาตระหนักถึงภัยของผู้ชายชาวเมือง หลายๆ เพลงเน้นว่าเมืองเป็น
เพียงที่พักพิงชั่วครั้งชั่วคราว และนักร้องตั้งใจกลับบ้านให้ได้เร็วที่สุด เช่น เพลง
“ชมกรุง” อ้อนวอนแฟนสาวที่ยังอยู่หมู่บ้านว่า
งามแท้หนอบางกอก สวยไม่หยอกอบอวลด้วยไอหอมฟุ้ง
เหตุฉะนี้นี่เล่า เมื่อยามสาวบ้านนาเจ้ามาอยู่กรุง
เจ้าจึงลืมท้องทุ่ง หลงกรุงลืมท้องทุ่งดินแดนดง
ชมกรุงถึงกรุงจะงามแจ่มตา แต่ท้องนาข้าเองก็ลืมไม่ลง
ผู้หญิงเมืองกรุง ถึงเจ้าจะงามสูงส่ง
สาวบ้านนาแดนดง ใจข้าพะวงมิลืมเลือนเลย
(เพลิน พรหมแดน “ชมกรุง”)
เมื่อสุริยนย�่าสนธยา
หมู่นกกาก็บินมาสู่รัง
ให้มาคิดถึงท้องทุ่งนาเสียจัง
ป่านฉะนี้คงคอยหวัง
เมื่อไหร่จะกลับบ้านนา
(“นักร้องบ้ำนนอก”)
อวสานของศัก ินา
ชนชั้นน�าตระกูลใหญ่ด�ารงอยู่ได้ภายหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ แต่บทบาท
และความส�าคัญลดลง ๑๖ ปีหลังจากนั้น เมืองไทยไม่มีพระมหากษัตริย์ครอง
ราชย์ที่กรุงเทพฯ เพื่อเป็นศูนย์รวมของสังคมแบบดั้งเดิม พระราชวงศ์หลาย
พระองค์ทรงสูญเสียต�าแหน่งส�าคัญในกองทัพและในระบบราชการฝ่ายพลเรือน
ต�าแหน่งและบรรดาศักดิ์ตามแบบอยุธยายุติลงจาก พ.ศ. ๒๔๗๕ และถูกยก
เลิกไปเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๔ (บางคน เช่น หลวงพิบูลสงคราม และหลวงวิจิตรวาท
การ ใช้บรรดาศักดิ์เป็นนามสกุล) ข้าราชการใช้ “ชื่อตัวเอง” และ “นามสกุล”
ของครอบครัว ในฐานะเป็นปัจเจกบุคคล แทนที่จะเป็นระดับขั้นหรือต�าแหน่ง
ที่พระมหากษัตริย์พระราชทานให้ การศึกษาของข้าราชการใหม่โดยเฉพาะที่จบ
จากธรรมศาสตร์ เน้นว่า ข้ำรำชกำรรับใช้รัฐบำลมำกกว่ำที่จะรับใช้พระมหำ
กษัตริย์เช่นในอดีต
ภาวะเงินเฟ้อช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้ลดค่าเงินของเงินเดือนข้า
ราชการเป็นอย่างมาก ท�าให้สถานะของข้าราชการไม่สูงส่งดังก่อนเก่า ถึงกระนั้น
ก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่สมบูรณ์ ค�าเรียกยังคงใช้ว่า “ข้าราชการ” หรือ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ผู้รับใช้พระราชา
ตระกูลใหญ่ซึ่งเคยเป็นฐานรากของชนชั้นน�าดั้งเดิมมีลักษณะเปลี่ยนไป
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์สุดท้ายที่ทรงมีพระชายา
หลายองค์ และเท่ากับว่าทรงสนับสนุนระบบดังกล่าว พระมงกุฎเกล้าฯ ทรง
มีพระมเหสีพระองค์เดียว และพระราชธิดา ๑ พระองค์ ตลอดรัชกาลพระ
ปกเกล้าฯ ทรงมีพระมเหสีพระองค์เดียวเช่นกัน คือ สมเด็จพระนางเจ้าร�าไพ
พรรณี ไม่ทรงมีพระราชโอรสหรือพระราชธิดา
ประมวลก หมาย พ.ศ. ๒๔๗๘ ยอมรับคู่สมรสเพียงคนเดียว ผู้ชาย
ตระกูลชนชั้นสูงยังคงด�าเนินรอยตามระบบหลายภริยา โดยอาจปรับพฤติกรรม
ไปบ้าง เช่น มีทีละคน คือเลิกคนเก่าก่อนถึงจะมีคนใหม่ หรือถ้ามีหลายคน
พร้อมๆ กันก็แยกบ้านกันอยู่ ลูกหลานตระกูลระดับน�าหลายคน ขัดขืนไม่ยอม
ให้พ่อแม่เลือกคู่ครองให้ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้หมายความว่าตระกูลใหญ่ๆ
ไม่อาจขยายอิทธิพลด้วยการมีลูกมากๆ จากหลายภริยา หรือโดยจัดการแต่ง
งานลูกหลานกับตระกูลใหญ่ๆ ด้วยกันเป็นเครือข่ายกว้างขวางออกไป เมื่อท�า
เช่นนั้นได้จ�ากัดขึ้น อิทธิพลและอภิสิทธิ์ที่เคยมีอยู่เหนือต�าแหน่งส�าคัญในภาค
ราชการและรัฐบาลก็พลอยผ่อนคลายลงไปด้วย
หนังสือ ี่แผน น ของ ม.ร.ว.คึก ทธิ ปราโมช (พ.ศ. ๒๔๙๓) เป็น
นวนิยายแสดงให้เห็นการแตกสลายของตระกูลขุนนางในระบบศักดินาตระกูล
หนึ่ง เมื่อสมาชิกรุ่นใหม่ด�าเนินอาชีพต่างๆ ที่หลากหลาย อีกทั้งฝักใฝ่ความ
คิดทางการเมืองที่เป็นคู่แข่ง และแต่งงานนอกสังคมชั้นสูงดั้งเดิมหรือกับคน
ต่างชาติ (ฝรั่ง คนจีน) คฤหาสน์ประจ�าตระกูลถูกท�าลาย เพราะระเบิดลงเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๘๗ เป็นสัญญาณแสดงถึงความล่มสลายของตระกูลในท้ายที่สุด
รัฐยุติบทบาทเป็นกลไกที่ช่วยเกื้อหนุนชนชั้นสูงด้านรายได้และแหล่ง
ของการสะสมทุนในธุรกิจ เงินเบี้ยหวัดส�าหรับราชนิกุลสิ้นสุดลงใน พ.ศ. ๒๔๗๕
ตระกูลใหญ่อื่นๆ สูญเสียต�าแหน่งโอ่อ่าที่ไม่ต้องท�างานหนักแต่รายได้ดี อสังหา
ริมทรัพย์และการลงทุนในกิจการต่างๆ ของพระราชวงศ์ ซึ่งส่วนใหญ่สะสมมา
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น เดิมบริหารจัดการโดย “กรมพระคลัง” เมื่อ พ.ศ.
๒๔๗๗ รัฐบาลจัดตั้ง “ส�านักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์” ขึ้นมาดูแล
แทน และอยู่ภายใต้กระทรวงการคลัง ตระกูลใหญ่อื่นๆ หวนกลับไปพึ่งอสังหา
ริมทรัพย์และทรัพย์สินซึ่งครอบครัวได้สะสมในช่วง ๕๐ ปีที่ผ่านมา ที่ดินย่าน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
สรุป
สงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นเส้นแบ่งระหว่างยุคสมัย ความทรงจ�าเกี่ยว
กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เลือนราง ตระกูลใหญ่แตกสลาย มหาอ�านาจ
เจ้าอาณานิคมถอยออกไป แนวความคิดชาตินิยมโดยสามัญชนเมื่อทศวรรษ
๒๔๖๐ และ ๒๔๗๐ ถูกเบียดตกขอบ ทดแทนด้วยชาตินิยมแนวทหารช่วง
สงครามโลก และด้วยพลังของแรงต่อต้านคอมมิวนิสต์หลังสงครามโลกครั้ง
ที่ ๒
สหรัฐผนึกเมืองไทยเข้าร่วมเป็นพันธมิตรและเป็นฐานที่มั่นเพื่อรณรงค์
สงครามต่อต้านคอมมิวนิสต์ที่เอเชีย (สงครามเย็น) แนวความคิดเรื่อง “ความ
เจริญ” สมัยอาณานิคม และนิยามใหม่โดยสามัญชนว่าคือการก่นสร้างความ
เป็นพลเมืองของรัฐชาติ ถูกทดแทนด้วยแนวความคิดเรื่อง “พัฒนาการ” ที่ส่ง
เสริมธุรกิจเอกชน ผู้ประกอบการเชื้อสายจีนที่อพยพมาไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
กลุ่มใหม่ที่มาในระหว่างสงครามโลกสองครั้ง ได้โอกาสทางเศรษฐกิจที่เปิด
กว้างขึ้นเมื่อนักธุรกิจฝรั่งถอยร่นออกไปช่วงสงคราม และต่อมาก็ได้ประโยชน์
จากนโยบายพัฒนาการเศรษฐกิจที่สหรัฐมีส่วนช่วยอุดหนุนด้านการเงิน การ
ไหลเข้ามาของเงินลงทุน การที่รัฐบาลสนับสนุนธุรกิจเอกชน และการมีระบบ
ราชการที่เอื้ออ�านวย จากทศวรรษ ๒๔๙๐ เศรษฐกิจไทยเจริญเติบโตในอัตรา
ร้อยละ ๗ ต่อปี ซึ่งนับว่าสูงในบรรดาประเทศก�าลังพัฒนา
ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจนี้เป็นผลจากการน�าทรัพยากรธรรมชาติ
รวมทั้งก�าลังแรงงานมาใช้สร้างก�าไรอย่างเข้มข้น โดยไม่ค�านึงถึงต้นทุนต่างๆ
แต่อย่างใด การเกษตรบุกเบิกระลอกที่สองที่ขยายสู่บริเวณที่ราบสูง ท�าให้ที่
ป่าแปรเปลี่ยนเป็นพื้นที่เกษตรขยายวงกว้างต่อไปอีก เกษตรกรรายเล็กถูก
ผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจระบบตลาด และเข้าอยู่ภายใต้การชี้นา�
การอุปถัมภ์ของรัฐบาลมากขึ้น ขณะเดียวกันชาวบ้านจ�านวนมากถูกเบียดขับ
ออกจากสังคมชนบท อพยพเข้าท�างานในโรงงานและธุรกิจบริการเมื่อเศรษฐกิจ
เมืองเจริญเติบโต
สมัยอเมริกัน นักวิชาการฝรั่งเริ่มสนใจศึกษาเมืองไทย ส� าหรับช่วง
ก่อนหน้านี้นั้น เนื่องจากไทยไม่ตกเป็นอาณานิคมฝรั่งจึงมีคนสนใจศึกษาน้อย
นักวิชาการอเมริกันให้ภาพเมืองไทยเป็นสังคมไม่มีสีสันทางการเมือง ประชาชน
ว่านอนสอนง่าย ระบบการปกครองเป็นแบบพ่อกับลูก (พ่อขุนอุปถัมภ์) และเป็น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
อุ มการณ์หลากหลาย
ทศวรรษ ๒๔๘
งทศวรรษ ๒๕๑
สมัยพัฒนาการดึงผู้คนให้เข้ามาผูกโยงอยู่กับระบบตลาดในเศรษฐกิจ
ระดับชาติอย่างแนบแน่นกว่าเดิม รัฐชาติมีอ�านาจเหนือผู้คนสูงขึ้นเพราะได้ให้
ความส�าคัญกับ “ความมั่นคง” ของประเทศในช่วงสงครามเย็น เนื่องจากมี
เงินทุนและมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ รัฐชาติจึงสามารถแผ่อ� านาจเหนือสังคมได้
อย่างลุ่มลึก และขยายเครือข่ายการก�ากับควบคุมลงไปยังหมู่บ้านและเขตภูเขา
สูงกว้างขวางขึ้น การแก่งแย่งแข่งขันกันเพื่อเข้าเกาะกุมชี้น� ารัฐชาติจึงส่งผล
สะเทือนต่อชีวิตและผลประโยชน์ของผู้คนเป็นจ�านวนมาก ท�าให้คนสนใจและ
มีบทบาทในการเมืองมากขึ้นด้วย
ปลายทศวรรษ ๒๔๙๐ สหรัฐมีบทบาทชักน�าสามกลุ่มส�าคัญ ซึ่งปีน
เกลียวกันอยู่ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ ให้เข้ามาเป็นพันธมิตรกัน นั่นคือ ฝ่ายนายพล
นักธุรกิจ และฝ่ายนิยมเจ้า พันธมิตรนี้ทรงพลัง พวกเขาร่วมมือกันฟื้นฟู และ
เสริม สร้ า งวิสัย ทัศ น์ รัฐ เผด็จ การเข้ ม แข็ง มีค วามสามัค คีเ ป็ น แกนกลาง เพื่อ
บรรลุเป้าหมายของพัฒนาการเศรษฐกิจและการท�าลายล้างลัทธิคอมมิวนิสม์
ซึ่งเป็นศัตรูจากภายนอกในสมัยนั้น แต่พลังของพันธมิตร ๓ ฝ่ายนี้ถูกบ่อน
ท�าลายเพราะนายพลใช้อ�านาจในทางที่ผิด และยอมด�าเนินรอยตามนโยบาย
สหรัฐอย่างสุดขั้ว แรงต้านการเอาเปรียบจากระบบเศรษฐกิจทุนนิยมปะทุขึ้น
การต่อต้านความครอบง� าโดยสหรัฐก่อตัวขึ้น ฝ่ายคอมมิวนิสต์เริ่มสงคราม
กองโจร โดยได้รับแรงสนับสนุนจากนักวิชาการรุ่นเก่า นักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่
และชาวนาที่ถูกเอาเปรียบ ถ้อยแถลงแสดงความไม่เห็นด้วยกับระบบทหารเป็น
ใหญ่ ระบบเผด็จการและเศรษฐกิจระบบนายทุนแบบสุดขั้ว ทั้งจากมุมมอง
ของฝ่ายซ้าย ฝ่ายเสรีนิยม ฝ่ายชาตินิยม ฝ่ายพุทธ และวาทกรรมอื่นๆ กระท� า
โดยผ่านนิสิตนักศึกษา
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
รั ทหาร
จอมพลส ษดิ ธนะรัชต์ เป็นตัวอย่างนายทหารรุ่งเรืองขึ้นมาจากความ
อุปถัมภ์ของสหรัฐ พบเห็นได้ในประเทศอื่นในช่วงสงครามเย็น (ภาพที่ ๒๑)
พื้นเพเป็นครอบครัวสามัญชนจากอีสาน เข้าโรงเรียนทหาร เป็นนายทหารอาชีพ
เขาตั้งตัวเองเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้บัญชาการ
ทหารบก เป็นอธิบดีกรมต�ารวจ และรัฐมนตรีกระทรวงพัฒนาการ เขาสนับ
สนุนหลักการแบบทหาร คือมีระเบียบวินัย ความสามัคคี และผู้น�าเข้มแข็ง ซึ่ง
รวมถึงการลงโทษประหารชีวิตผู้ที่ลอบวางเพลิงและผู้กระท�าความผิดทางอาญา
อื่นๆ อย่างเฉียบขาด
การเถลิงอ�านาจของจอมพลส ษดิ ส่งผลให้ฝ่ายทหารรวมตัวกันใหม่
เพื่อเป็นปรปักษ์กับโครงการสถาปนารัฐธรรมนูญที่ได้เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕
เขาเสนอว่าระบอบรัฐธรรมนูญล้มเหลว เพราะว่าน�าเข้าจากตะวันตก จึงไม่
เหมาะสมกับสภาพของเมืองไทย เขาอ้างว่ารัฐบาลโดยทหารเหมาะสมที่สุด
เพราะว่าทหารไม่จ�าเป็นต้องได้รับความนิยมจากประชาชน “เรำท�ำงำนกันด้วย
ควำมสุจริตใจ ด้วยวิชำควำมรู้ ด้วยดุลยพินิจอันเที่ยงธรรม ไม่อยู่ภำยใต้อิทธิพล
กำรบีบบังคับ ไม่ต้องห่วงใยในกำรที่จะต้องแสดงตนเป็นวีรบุรุษ เพื่อประโยชน์
แก่กำรเลือกตั้งในครำวหน้ำ” ๑ เขาให้ภาพตนเองเป็นพ่อขุน หรือผู้ปกครองที่
เป็นเสมือนบิดาปกครองบุตร ตามต�านานการปกครองของกษัตริย์สมัยสุโขทัย
เขาเสนอว่านี่คือ “ประชาธิปไตยแบบไทย” ที่สอดคล้องกับประเพณีด้ังเดิม เขา
สยบฝ่ายค้านทุกรูปแบบ โดยอ้างว่าเป็นการคุกคามจากฝ่าย “คอมมิวนิสต์”
เมื่อเขาถึงแก่อนิจกรรมใน พ.ศ. ๒๕๐๖ (ด้วยโรคตับเพราะดื่มสุรามาก) ผู้ใต้
บังคับบัญชาที่คุมกองทัพภาคที่ ๑ พุ่งขึ้นด�ารงต�าแหน่งแทนที่เสมือนเป็นการ
เลื่อนขั้นภายในกองทัพ จอมพลถนอม กิตติขจร ด�ารงต�าแหน่งนายกรัฐมนตรี
และรัฐมนตรีกลาโหม โดยมีจอมพลประภาส จารุเสถียร ด�ารงต�าแหน่งรอง
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทย
กลุ่มนายพลแบ่งสรรผลประโยชน์จากเงินดอลลาร์สหรัฐที่หลั่งไหลเข้า
มามากมาย นอกจากจะท�าให้งบประมาณของรัฐบาลเพิ่มขึ้นแล้ว ยังท�าให้ผล
ก�าไรของวิสาหกิจเอกชนสูงขึ้นด้วย พวกเขาก่อตั้งบริษัทเพื่อขายสินค้าและ
บริการต่างๆ ให้กับหน่วยงานของรัฐบาล โดยเฉพาะบริษัทก่อสร้าง บริษัทประกัน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ให้กบั ระบบกินเมืองแบบดัง้ เดิมทีใ่ ห้อภิสทิ ธิข์ นุ นางใหญ่หาประโยชน์จากต�าแหน่ง
เพื่อส่วนตัว จอมพลสฤษดิ์สะสมภริยาน้อยเป็นจ�านวนมาก สนใจนางงามเป็น
พิเศษ ทรัพย์สินหลังอนิจกรรมประมาณค่าได้ถึง ๒.๘ พันล้านบาท ล้วนแล้ว
แต่สะสมมาในช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรีคิดเป็นประมาณร้อยละ ๓๐ ของงบ
ประมาณเพื่อการลงทุนในงบประมาณประจ�าปีตลอดช่วงสมัยที่เขาเป็นนายกฯ
ท้ า ยที่ สุ ด รั ฐ บาลยึ ด ทรั พ ย์ สิ น จ� า นวน ๖๐๔ ล้ า นบาท เป็ น เงิ น ที่ ไ ด้ ม าไม่ ถู ก
กฎหมาย มีภริยาน้อยกว่า ๕๐ คน และบุตรหญิง-ชายแสดงตัวเพื่อขอส่วนแบ่ง
จากกองมรดกที่เหลือ นักหนังสือพิมพ์ลงข่าวเกี่ยวกับจ�านวนภริยา รูปภาพและ
เรื่องราวชีวิตของพวกเธอกันอย่างสนุกสนาน
เมื่อรัฐบาลทหารที่สืบต่อจากจอมพลส ษดิถึงกาลล่มสลาย พ.ศ. ๒๕๑๖
บุคคลส�าคัญในคณะรัฐบาลก็ถูกยึดทรัพย์ประมาณ ๖๐๐ ล้านบาท พฤติกรรม
ของชนชั้นปกครองเหล่านี้ถูกเอาอย่างและสะท้อนให้เห็นได้ท่ัวไปในสังคม เห็น
ได้จากการประกวดนางงามที่เฟื่องฟู ธุรกิจเพศพาณิชย์ที่บูมอย่างสุดขีด และ
คอร์รัปชั่นที่สูงขึ้น ป. อินทรปาลิต และนักเขียนอื่นๆ เขียนนวนิยายได้รับ
ความนิยมเป็นเรื่องราวเชิดชูวัฒนธรรมชายเป็นใหญ่ ที่ไม่ว่าจะเป็นอ้ายเสือใจ
หาญ หรือต�ารวจใจกล้า ล้วนแล้วแต่เป็นฮีโร่ทั้งสิ้น
ระบอบเผด็จการทหารมีภาพสะท้อนในรูปของ “ผู้ยิ่งใหญ่” ทั่วไปใน
สังคม ย้อนไปในอดีต “ผู้ยิ่งใหญ่” พบเห็นได้ที่เขตหัวเมืองต่างจังหวัดตั้งแต่
ปลายรัชกาลที่ ๕ เมื่อเศรษฐกิจระบบตลาดเติบโตขึ้น แต่ระบบบริหารจัดการ
ของรัฐบาลและระบบนิติรัฐในขณะนั้นยังไม่ลงหลักปักฐาน จากปลายทศวรรษ
๒๔๙๐ บรรดา “นักเลง” หรือ “พ่อเลี้ยง” ในแต่ละท้องถิ่นมีบทบาทเด่นชัดขึ้น
เพราะมีรายได้จากการค้าพืชไร่ การค้าไม้ รับเหมางานก่อสร้างจากรัฐบาล ท� า
ธุรกิจแบบผูกขาด เช่น เป็นเอเย่นต์ค้าเหล้า พวกที่อยู่รอบๆ ฐานทัพของสหรัฐ
จะหารายได้จากการค้ายาเสพติด ตั้งบ่อนการพนัน ธุรกิจเพศพาณิชย์ ค้าอาวุธ
และลักลอบค้าสินค้าเถื่อนอื่นๆ ข้าราชการที่ถูกส่งมาต่างจังหวัด พบว่าต้อง
ท�างานร่วมมือกับ “ผู้ยิ่งใหญ่” ของท้องถิ่น แทนที่จะเป็นผู้ควบคุมพวกเขา
ขณะเดียวกัน นายพล นายทหารก็ชักจูงให้ข้าราชการเป็นหุ้นส่วนในกิจการค้า
ไม้ ธุรกิจก่อสร้าง และธุรกิจหาก�าไรอื่นๆ บางครั้งบางคราวจอมพลสฤษดิ์และ
ผู้สืบทอดอ�านาจก็ประกาศว่าจะก�าจัดนักเลงหัวไม้ให้สิ้นซาก แต่จริงๆ แล้วคน
ที่ถูกก�าจัดก็คือพวกหัวไม้ที่ไม่ยอมร่วมมือกับนายพลเท่านั้น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เงินความช่วยเหลือที่ได้เพิ่มขึ้นมาจากสหรัฐ ท�าให้รัฐบาลสามารถด�าเนิน
โครงการระดับชาติซึ่งริเริ่มมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ติดขัดเรื่องการเงินอยู่
จึงไม่ได้ด�าเนินการอย่างเต็มที่ โครงการประถมศึกษาขยายขอบข่ายออกไป
นอกเมืองใหญ่ ท�าให้เด็กชาวชนบทได้เข้าเรียนกันอย่างทั่วถึงมากขึ้น ดังนั้น
จึงได้เห็นโรงเรียนมีแบบก่อสร้างเป็นมาตรฐานผุดขึ้นเด่นชัดท่ามกลางหมู่บ้าน
เด็กๆ แต่งชุดนักเรียน ส�าแดงความต่างและเป็นมาตรฐานเหมือนกันหมดทุก
ท้องที่ การศึกษาระดับชั้นประถม สอนภาษาไทยกลางต่างจากที่เด็กชนบทพูด
อยู่ที่บ้าน การสอนวิชาประวัติศาสตร์และวิชาสังคม ตอกย�้าอุดมการณ์ “ชาติ
ศาสนา พระมหากษัตริย์” แบบเรียนสอนให้เด็กซื้อของไทย รักเมืองไทย รัก
ความเป็นไทย มีชีวิตแบบคนไทย พูดภาษาไทย และเชิดชูวัฒนธรรมไทย๒
พุทธศาสนาผูกโยงกับบทบาทของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นนี้ พระคัมภีร์ใน
ภาษาพื้นบ้านมีวัฒนธรรมพื้นถิ่นเป็นองค์ประกอบ ถูกทดแทนด้วยเอกสารที่ส่ง
มาจากส่วนกลาง รัฐบาลชักจูงให้บรรดาชายหนุ่มบวชเป็นพระมากขึ้น โดย
เฉพาะที่อีสาน เพราะเห็นว่าอีสานเสี่ยงที่จะเป็นคอมมิวนิสต์มากที่สุด เนื่องด้วย
ว่าจนที่สุดและอยู่ใกล้กับอินโดจีน พ.ศ. ๒๕๐๗ อธิบดีกรมการศาสนาที่เป็น
นายทหารริเริ่มโครงกำรพระธรรมทูต ส่งพระสงฆ์ไปเยี่ยมเยือนอีสานแดนไกล
พระสงฆ์เหล่านี้ไม่แต่เพียงสอนพระพุทธศาสนา แต่ช่วยชาวบ้านจัดท�าโครงการ
พัฒนา อธิบายเรื่องกฎหมาย และเตือนให้ชาวบ้านระวังภัยคอมมิวนิสต์ พระ
สงฆ์ที่มีชื่อเสียงในพื้นที่ได้รับการชักจูงให้เข้าสู่ “นิกำยธรรมยุต”
โครงการเหล่านี้ก้าวไปไกลกว่าในสมัยรัชกาลที่ ๕ ผู้ทรงริเริ่มสร้างความ
เป็นหนึ่งเดียวของชาติไทยแต่ถูกจ�ากัดเพราะขาดทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในภูมิภาคที่ผู้คนพูด นับถือ หรือมีวัฒนธรรมอันต่างไปจากมาตรฐานในอุดมคติ
ระดับชาติ โครงการสมัยจอมพลสฤษดิ์พยายามให้ประชาชนยอมรับ “ความ
เป็นหนึ่งเดียว” และ “ความเป็นไทย” ด้านภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมอย่าง
แข็งขัน จนท�าให้มีแรงต้านการบังคับให้เหมือนกันนี้ ซึ่งแสดงออกมาในรูปของ
การปกป้องอัตลักษณ์และวิถีปฏิบัติของพื้นถิ่น รัฐบาลมองการต่อต้านเป็นการ
ท้าทาย “ความมั่นคงของชาติ” เพราะว่าชุมชนห่างไกลมีประวัติศาสตร์และวัฒน
ธรรมที่โยงใยกับเขตแดนอื่นนอกชายแดนไทยซึ่งขณะนั้นตกอยู่ใต้อิทธิพลของ
ลัทธิคอมมิวนิสม์ รัฐบาลเป็นห่วง ๒ ภาค
ภำคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ อีสำน มีประชากรถึง ๑ ใน ๓ ของ
ประเทศส่วนใหญ่พูดภาษาลาว(อีสาน) ที่อีสานใต้พูดภาษาเขมรหรือกูย ภาค
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ๒๒ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สั่งยิงเปำ ครอง จันดำวงศ์
และทองพันธ์ สุทธิมำศ เมื่อวันที่ ๑ พฤษภำคม พ.ศ. ๒๕๐๔
ที่ลำนบินใกล้จังหวัดสกลนคร
การ น ูส าบันพระมหากษัตริย์
จอมพลสฤษดิ์และสหรัฐร่วมกันพื้นฟูสถาบันพระมหากษัตริย์ หลังจาก
ที่ถูกบดบังไปตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕ นายพลไทยและรัฐบาลสหรัฐเชื่อว่าสถาบัน
มีบทบาทเป็นศูนย์รวมความสามัคคี และมีความส�าคัญต่อเสถียรภาพทางการ
เมือง ในขณะเดียวกันก็ยังต้องพึ่งพิงฝ่ายทหาร และแรงสนับสนุนจากสหรัฐ
การฟื้นฟูนี้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังเมื่อจอมพล ป. หมดอ�านาจไปเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
แต่รากฐานของกระบวนการถูกจัดวางไว้แล้วตั้งแต่ปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒
ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ อดีตรัฐมนตรีในสมัย
ศักดินา และขณะนั้นเป็นที่ปรึกษาอาวุโสแห่งราชส�านัก บรรยายเรื่อง า น
พ า า โดยมีพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลและสมาชิกของพระ
ราชวงศ์ทรงรับฟัง พระองค์เจ้าธานีฯ เสนอแบบจ�าลองสมัยสุโขทัย มีพระมหา
กษัตริย์ซึ่งทรงเป็นพระมหาสมมุติราช ผู้ทรงด�าเนินรอยตามหลักการทศพิธราช
ธรรม และ “มีควำมชอบธรรมในฐำนะเป็นพระมหำกษัตริย์ที่ทรงตั้งอยู่ในคุ
ธรรมควำมถูกต้อง” ๓ พระองค์เจ้าธานีฯ ทรงเน้นบทบาทของพระมหากษัตริย์
เป็นผู้ปกป้องประชาชนและพระพุทธศาสนา แบบจ�าลองนี้ต่างจากแนวความ
คิดที่ว่าพระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์รวมของชาติ ซึ่งเป็นหลักการได้รับการ
เชิดชูมาครั้งสมัยรัชกาลที่ ๕ จนถึงรัชกาลที่ ๗ นับเป็นการย้อนกลับไปสู่ทฤษฎี
อันเป็นที่นิยมในช่วงต้นรัตนโกสินทร์
ในความเห็นของพระองค์เจ้าธานีฯ รัฐธรรมนูญเป็น “แนวคิดจาก
เมืองนอกอย่างสิ้นเชิง” ไม่มีที่ทางในประเพณีไทย เพราะว่าจริยธรรมและ
ความเป็นปราชญ์ของพระมหากษัตริย์คือแหล่งที่มาของก หมายอย่างแท้จริง
พระองค์เจ้าธานีฯ ทรงสรุปว่า “บ้ำนเมืองของเรำเจริ รุ่งเรืองและหลีกเลี่ยง
หำยนะมำได้ใน ๑๕๐ ปีแรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ก็ด้วยพระปั ำและพระ
รัฐประศำสนนัยของพระมหำกษัตริย์ และยังมองไม่เห็นว่ำเรำจะรักษำควำม
รุ่งเรืองเช่นว่ำนั้นต่อไปได้อย่ำงไรโดยไม่มีพระมหำกษัตริย์ที่ดี” ๔ ผู้นิยมเจ้าซึ่ง
เดินทางกลับมาพระนครอีกรายหนึ่งกล่าวว่า ผู้แทนของประชาชนได้รับเลือก
มาแต่ละคนจากกลุ่มประชาชนบางกลุ่ม และโดยแท้จริงไม่ได้เป็นตัวแทนของ
ประชาชนทั้งมวล เพราะว่าพระมหากษัตริย์เท่านั้นที่สามารถเป็นตัวแทนได้
“ผู้แทนเหล่ำนี้แต่ละคนได้รับเลือกจำกคนพวกหนึ่งหรือหมู่หนึ่งเท่ำนั้น และ
ว่ำตำมควำมเป็นจริงแล้ว หำได้เป็นตัวแทนของประชำชนทั่วไปทั้งหมดไม่” ๕
พระองค์เจ้าธานีฯ ทรงตั้งข้อสังเกตว่า ตามประเพณีนั้นสถาบันพระ
มหากษัตริย์ “ด�ำรงอยู่ในสำยตำของสำธำร ะโดยตลอด ทั้งในวรร กรรม
ในบทเทศน์ และทุก ช่องทำงกำรสื่อสำร” ๖ พระองค์และพระองค์เจ้ารังสิตฯ
(พระบรมวงศ์อาวุโสและผู้ส�าเร็จราชการแทนพระองค์) ทรงดัดแปลง พิธีกรรม
หลวงขึ้นใหม่เพื่อให้แสดงความอลังการของสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็น
การขยายโครงการของสมเด็จฯ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพ ที่จะให้สาธารณชน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ในวันที่เกิดการรัฐประหาร พ.ศ. ๒๕๐๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มี
พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจอมพลสฤษดิ์เป็น “ผู้รักษาพระนคร
ฝ่ายทหาร”
จอมพลสฤษดิ์ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า “ข้ำพเจ้ำเป็นผู้รักษำพระ
นครและมีอ�ำนำจหน้ำที่ในกำรออกค�ำสั่งได้ตำมก หมำย เพรำะว่ำเป็นพระบรม
รำชโองกำร” ๘ ได้มีการแจกส�าเนาพระบรมราชโองการฉบับนี้แก่หนังสือพิมพ์
ต่างๆ เป็นการยืนยันความชอบธรรมในการกระท�าของจอมพลสฤษดิ์
หนึ่งวันหลังการรัฐประหาร จอมพลสฤษดิ์ได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงให้การสนับสนุน หลัง
จากการรัฐประหาร พ.ศ. ๒๕๐๑ จอมพลสฤษดิ์ประกาศว่า “ในกำรป ิวัติครั้ง
นี้ ถึงหำกจ�ำเป็นจะต้องเปลี่ยนสถำบันแห่งชำติในทำงหนึ่งทำงใด แต่สิ่งหนึ่ง
ึ่งค ะป ิวัติจะไม่ยอมให้มีกำรเปลี่ยนแปลงคือระบอบที่มีพระมหำกษัตริย์
ทรงเป็นประมุขแห่งรัฐ” ๙
จอมพลสฤษดิ์ ยกเลิกพระราชบัญญัติที่ดิน สมัยจอมพล ป. ซึ่งพระ
มหากษัตริย์ทรงไม่เห็นด้วย และเปลี่ยนวันชาติจากวันครบรอบปฏิวัติ ๒๔๗๕
เป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เขา
เชื่อว่าอ�านาจแผ่จากเบื้องบนลงมาสู่เบื้องล่าง จากองค์พระมหากษัตริย์ ไม่ใช่
ว่ามาจากประชาชน เขาเชื่อว่าผู้ปกครองคือ “พ่อบ้านพ่อเมือง” ของครอบครัว
ใหญ่ “บ้ำนเมืองเป็นเหมือนครอบครัวให ่...นักปกครองต้องถือว่ำพลเมืองที่
อยู่ในควำมปกครองนั้นไม่ใช่คนอื่น แต่เป็นพี่น้องลูกหลำนในครอบครัวเดียว
กัน” ๑๐ นายถนัด คอมันตร์ ต่อมาด�ารงต�าแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงการต่าง
ประเทศในสมัยจอมพลสฤษดิ์ อธิบายว่า
สาเหตุส�าคัญของการไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองของเรา
ในอดีตอยู่ที่การน�าเอาระบบของต่างประเทศทั้งดุ้นมาใช้กับประเทศ
เรา โดยมิได้มีการตระเตรียมอย่างรอบคอบ...หากเรามองดูประวัติ
ศาสตร์ของชาติเราแล้ว ก็จะเห็นได้อย่างดีว่าประเทศนี้ท�างานได้ดี
กว่าและเจริญรุ่งเรืองกว่าภายใต้บุคคลที่มีอ�านาจเพียงคนเดียว ไม่
ใช่ผู้มีอา� นาจแบบทรราชย์ แต่ทว่าเป็นผู้มีอา� นาจที่สามารถประสาน
สามัคคีในชาติให้เกิดขึ้นได้ในทุกหมู่เหล่า๑๑
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
สมัครเล่น ได้รวบรวมต�านานเรื่องเล่าและนิทานพื้นบ้าน อีกทั้งเรียบเรียงงาน
เฉลิมฉลองและพิธีกรรมประจ�าปีตามฤดูกาลของชาวบ้าน และได้ศึกษาการผสม
ผสานระหว่างการนับถือผีและการนับถือพระพุทธศาสนาในชีวิตประจ�าวันของ
ชาวบ้านเอาไว้อย่างละเอียด ในความเห็นของพระยาอนุมานราชธน สังคมหมู่
บ้ำนชนบทมีความเป็นตัวของตัวเอง พึ่งตนเองได้ ไม่ค่อยได้เปลี่ยนในกระแส
ของความทันสมัย
และข้อส�าคัญมนุษย์ทุกคนต้องการความสุขและความ
สนุกสบาย พูดเฉพาะชาวนา ถ้าไม่หมกมุ่นด้วยอบายมุขมีการพนัน
เป็นต้น ก็มีความสุขหาน้อยไม่ เพราะมีความต้องการน้อยอย่าง
เป็นความสุขอันเป็นไปตามลักษณะของสิ่งแวดล้อม คือธรรมชาติ
เมื่อมีพอกินพอใช้แล้วก็เป็นสุข...ข้าพเจ้าเล่าชีวิตของชาวนา ซึ่งเป็น
ชีวิตอย่างเงียบๆ ไม่โลดโผนไม่ก้าวหน้า และไม่มีอ�านาจวาสนา เป็น
อย่างไรก็เป็นอยู่อย่างนั้น ๑๒
ขบวนการ าย ้าย
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒ ขบวนการคอมมิวนิสต์ที่สยามจ�ากัดอยู่ใน
กลุ่มชาวจีน (ส่วนใหญ่กระจุกที่กรุงเทพฯ) และกลุ่มชาวญวน (ภาคอีสาน)
ด�าเนินการแบบโพ้นทะเลเพื่อเกื้อหนุนการปฏิวัติที่ประเทศบ้านเกิด สาขาของ
พรรคคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งขึ้นเมื่อต้นทศวรรษ ๒๔๗๐ แต่มีคนไทยเพียงหยิบ
มือที่เข้าร่วมด้วย รัฐบาลประสบความส�าเร็จในการจับกุมและเนรเทศพวกหัว
เอียงซ้าย และไม่ได้คิดว่าพวกเขาคุกคามความมั่นคงของสยามเท่าใดนัก
แต่ช่วงทศวรรษ ๒๔๘๐ ขบวนการฝ่ายซ้ายแปรเปลี่ยนเป็นองค์กรที่
มีอิทธิพลสูงขึ้น หลายๆ คนเป็นลูกจีนเกิดในเมืองไทยรุ่น ๒ ครูในโรงเรียน
จีนโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนสิ่นหมินชักจูงให้เข้าร่วมขบวนการ พวกเขาไม่ได้
เพียงต้องการสนับสนุนการปฏิวัติที่เมืองจีน แต่เริ่มแพร่กระจายแนวความคิด
คอมมิวนิสต์ในสังคมไทยด้วย นักเคลื่อนไหวต่อต้านญี่ปุ่นที่ถูกจับตัวได้เมื่อ
พ.ศ. ๒๔๘๑ ถูกจองจ�าอยู่หลายปีในคุกแห่งเดียวกับนักโทษกบ บวรเดช ณ
“มหาวิทยาลัยคุก” แห่งนี้ ฝ่ายซ้ายสอนยุทธศาสตร์การเมืองให้กับ “อภิสิทธิชน”
ฝ่ายนิยมเจ้า ขณะที่ “อภิสิทธิ์ชน” สอนภาษาและวัฒนธรรมไทยให้กับฝ่ายซ้าย
พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พคท. ได้รับการก่อตั้งขึ้นใหม่
เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๕ มีนโยบายขับไล่ “โจร ี่ปุ น” ออกไปและส่ง
เสริมประชาธิปไตย ช่วงสงครามพวกคอมมิวนิสต์จัดตั้งสมาคมเพื่อสวัสดิการ
ส�าหรับคนงานเรือ รถไฟ ท่าเรือ โรงเลื่อย และโรงสี บางกลุ่มมุ่งไปที่การ
ก่อกวนและซุ่มท�าลายแบบลับ พ.ศ. ๒๔๘๗ พคท.จัดตั้งกลุ่มอาสาสมัครเพื่อ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ต่อต้านญี่ปุ่น โดยร่วมมือเคียงบ่าเคียงไหล่กับขบวนการเสรีไทย และมีเหตุ
การณ์ปะทะกับทหารญี่ปุ่นเล็กน้อยก่อนสงครามยุติ๑๐ ครั้นเมื่อสงครามสิ้นสุด
ลงขบวนการ พคท.มีเป้าประสงค์จะเปลี่ยนการเมืองไทยแบบพลิกแผ่นดิน
ช่วง ๒ ป หลังสงคราม พคท.มีโอกาสท�างานการเมืองโดยเปดเผย
เพราะในการเจรจาสันติภาพ สหภาพโ เวียตรัสเ ียมีข้อแม้ให้รัฐบาลไทย
ยกเลิกพระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์ ใน พ.ศ. ๒๔๘๙ เพื่อที่จะยอมรับไทยเข้า
เป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติ
พรรคประกาศว่าไม่มียุทธศาสตร์ปฏิวัติ แต่จะด�าเนินการทางการเมือง
ผ่านช่องทางรัฐสภาและสหภาพแรงงาน ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ส.ส. จาก
สุราษฎร์ธานี ซึ่งรณรงค์ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติคอมมิวนิสต์ ประกาศตัวเป็น
สมาชิกพรรคอย่างเปิดเผย พรรคได้ใช้ช่วงจังหวะของความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ
หลังสงคราม ช่วยจัดตั้งสหภาพแรงงานและประสานให้คนงานโรงสีข้าวนัดหยุด
งานครั้งใหญ่ ๒ ครั้ง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๘ และ พ.ศ. ๒๔๙๐ ต่อมาก่อตั้งสมาคม
สหอาชีวะกรรมกรขึ้นในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๙๐ และจัดการเดินขบวนครั้ง
ใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองวันแรงงานในปี ๒๔๘๙ และ ๒๔๙๐ หนังสือพิมพ์ของ
พรรคชื่อ า น เป็นหนังสือพิมพ์ใต้ดินมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๕ โผล่ขึ้นบนดิน
เป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ในปี ๒๔๘๗ หนังสือพิมพ์คอมมิวนิสต์ภาษาจีน
่ น า ปรากฏตัวขึ้นในเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๘
สมาชิกพรรครุ่นแรกซึ่งได้เดินทางไปจีนเพื่อช่วยท� าการรบช่วงปฏิวัติ
เดินทางกลับไทย ในจ�านวนนี้ อุดม ศรีสุวรรณ ชาวจีนไทยใหญ่ได้รับการศึกษา
จากโรงเรียนคริสต์ ต่อมาเป็นนักเขียนคอลัมน์คนส�าคัญให้กับหนังสือพิมพ์
มหำชน และเป็นนักทฤษฎีหลักของพรรค
นักศึกษาต่างจังหวัดหัวดี ทั้งลูกจีนและไทยที่เข้ากรุงเทพฯ เพื่อเรียน
หนังสือต่อ บางคนซาบซึ้งกับแนวคิดสังคมนิยม จิตร ภูมิศักดิ พ่อเป็นเสมียน
รับราชการอยู่ที่ปราจีนบุรี เข้าเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งแต่ พ.ศ.
๒๔๙๓ เขียนบทวิจารณ์ศาสนาพุทธตามแนวคิดของมาร์กซ์ คณะกรรมการนัก
ศึกษาก่อตั้งขึ้นที่ธรรมศาสตร์ พ.ศ. ๒๔๙๖ สมาชิกบางคนของกลุ่มเข้าร่วมกับ
พคท. หลังจากที่จอมพลสฤษดิ์รัฐประหาร พ.ศ. ๒๕๐๐
ชนชั้นกลางที่มีพื้นเพเป็นสามัญชนสนใจแนวคิดสังคมนิยม เช่น สุภา
ศิริมานนท์ เป็นหนึ่งในนักหนังสือพิมพ์ชาตินิยมช่วงปลายทศวรรษ ๒๔๖๐ ต่อ
มาท�างานเป็นผู้ช่วยนายปรีดี พนมยงค์ บางครั้งบางคราวเป็นเวลาถึง ๑๕ ปี เขา
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ได้รับการศึกษาจากลอนดอน เขาแปลงานของสตาลิน สอนปรัชญาที่ส�านัก
ปรัชญาพุทธแห่งหนึ่ง ไปปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์ และเขียนหนังสือเปรียบเทียบ
พุทธศาสนาแบบพระพุทธทาสกับลัทธิมาร์กซิสม์ นายปรีดีกะว่าจะก่อตั้งสาขา
ของสวนโมกข์ที่อยุธยา และเมื่อลี้ภัยไปจีนในช่วงต่อมา ได้เขียนบทความเป็น
ชุดต่อเนื่องกันในหนังสือพิมพ์ที่กรุงเทพฯ ว่าด้วย า น น
ผู้นิยมนายปรีดีรายหนึ่งกลับจากปักกิ่งแล้วก่อตั้งพรรคศรีอารยะเมตไตร เป็น
ชื่อพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปซึ่งจะทรงมาโปรดเพื่อให้บังเกิดสังคมอุดมคติ คล้ายๆ
กับเป้าหมายสังคมอุดมคติหลังการปฏิวัติของลัทธิมาร์กซ์
ปาล้อมเมอง
ปลายปี ๒๔๙๑ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย พคท. ก่อตั้ง
ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากขบวนการปฏิวัติที่จีนตัดสินใจด�าเนินรอยตามแนวทาง
ปฏิวัติของเหมาเจ๋อตุง จัดตั้งขบวนการชาวนา เจ้าหน้าที่พรรคเริ่มเข้าท�างานตาม
หมู่บ้าน โดยเฉพาะที่อีสานซึ่งพวกเขาเคยจัดตั้งหน่วยต่อต้านญี่ปุ่น มีการประชุม
พรรคอย่างลับๆ เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๙๕ ยืนยันยุทธศาสตร์ “ปลุก
ระดมมวลชนเรือนแสนเรือนล้ำนเข้ำสู่ชนบท” ๑๕ แต่ยุทธศาสตร์นี้มีผู้ไม่เห็นด้วย
รวมทั้งประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อย่างไรก็ตาม เมื่อฝ่ายรัฐบาลปราบปรามขบวน
การสันติภาพอย่างกว้างขวางในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๕ นักเคลื่อนไหว
และสมาชิกพรรครุ่นแรกๆ ที่อีสานและภาคใต้หลายคนถูกจ�าคุก สมาชิกพรรค
ที่เหลือหลบหนีไปเข้ารับการอบรมที่สถาบันมาร์กซิสต์-เลนินนิสต์ที่ปักกิ่ง หลัง
จากนั้นกิจกรรมของพรรคหยุดชะงักไป ๕ ปี ที่ปักกิ่ง ประเสริฐเสนอว่า ยุทธ
ศาสตร์ปาล้อมเมือง ไม่ถูกจุด เขาต้องการให้พรรคเข้าสู่อ�านาจด้วยการเลือก
ตั้ง เขาถูกไล่ออกจากพรรค และหลังจากรัฐประหารปี ๒๕๐๐ เขาเสนอตัวท�า
งานให้สฤษดิ์ ธนะรัชต์
ผู้ที่ไปอบรมกลับจากปักกิ่งปลายทศวรรษ ๒๔๙๐ การประชุมพรรค
ครั้งที่ ๓ ใน พ.ศ. ๒๕๐๔ ยืนยันยุทธศาสตร์ “ป่าล้อมเมือง” และการต่อสู้โดย
ใช้อาวุธ ย้ายส�านักงานใหญ่ของพรรคออกจากเมือง สมาชิกพรรคหลายคนที่
เป็นฝ่ายอุดมการณ์ เช่น อุดม ศรีสุวรรณ และนักคิดนักเขียน จิตร ภูมิศักดิ
เดินทางสู่ป่าอีสาน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
สาวชาวบ้าน
พ.ศ. ๒๕๑๒ กองทัพพบว่าบริเวณที่ฝักใฝ่ พคท.นั้นมีถึง ๓๕ จังหวัด
จากทั้งหมด ๗๑ จังหวัด พ.ศ. ๒๕๑๘ กองทัพไทยประมาณการว่า พคท.มี
ก�าลังติดอาวุธถึง ๘ พันคน หมู่บ้าน ๔๑๒ แห่งอยู่ภายใต้อาณัติของ พคท.
อย่างสิ้นเชิง และอีก ๖ พันแห่งมีชาวบ้านประมาณ ๔ ล้านคนอยู่ภายใต้อิทธิพล
ของ พคท.ในบางระดับ
พ.ศ. ๒๕๑๐ ต�ารวจจับกุมสมาชิกพรรคบางคนที่ไม่เห็นด้วยกับยุทธ
ศาสตร์ป่าล้อมเมืองได้ และมีประเสริฐ ทรัพย์สุนทรด้วยคนหนึ่ง กองอ�านวย
การรักษาความมั่นคงภายใน หรือ กอ.รมน. ก่อตั้งขึ้นโดยสหรัฐ เมื่อ พ.ศ.
๒๕๐๗ เพื่อประสานงานต่อต้าน พคท. โดยฝ่ายรัฐดึงประเสริฐและสมาชิก
พรรคบางคนที่ถูกจับได้นี้ให้มาช่วยวางแผนล้ม พคท. ที่ได้ผลกว่าที่เป็นอยู่
กอ.รมน. เริ่มปฏิบัติการระดับหมู่บ้าน โดยจัดตั้งกลุ่มหมู่บ้านป้องกัน
ตนเองขึ้น สหรัฐอัดฉีดเงินลงสู่ท้องถิ่นผ่านโครงการเร่งรัดพัฒนาชนบท รพช.
อย่างมโหฬาร แต่ฝ่ายกองทัพไทยคัดค้านไม่ยอมรับยุทธศาสตร์นี้อย่างกว้าง
ขวาง และได้ใช้ความล้มเหลวในทุกกรณีเป็นข้ออ้างให้ยังคงใช้ปืนและมาตรการ
รุนแรงในการปราบปราม กองทัพพยายามท�าลายป่าซึ่งเป็นฐานที่มั่นของ พคท.
ผลลัพธ์คือระหว่าง พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๒๑ พื้นที่ป่าประมาณ ๖ ล้านไร่ถูกท�าลาย
ในแต่ละปี ถึงกระนั้นผู้เชี่ยวชาญของ กอ.รมน. คนหนึ่งก็ยังสรุปว่า “ควำมจริง
ที่ป ิเสธไม่ได้ก็คือกำรลุกฮือของประชำชนและกำรป ิวัติคอมมิวนิสต์ก�ำลังแผ่
ขยำยอย่ำงรวดเร็วและแทบไม่ได้ถูกปรำบปรำมมำกว่ำสิบปี ไม่ว่ำจะเป็นภำค
เหนือ อีสำน กลำง หรือภำคใต้ คอมมิวนิสต์มีฐำนที่มั่นคงในปำทึบ ึ่งกอง
ก�ำลังของรัฐบำลไม่ว่ำจะเป็นต�ำรวจหรือทหำรไม่พร้อมที่จะบุกทะลวงเข้ำไป” ๑๖
พ.ศ. ๒๕๑๙ รัฐบาลประเมินว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์ ๒,๑๗๓ คน และ
ฝ่ายรัฐบาล ๒,๖๔๒ คน ได้เสียชีวิตไปจากการปะทะกัน ๓,๙๙๒ ครั้ง นับจาก
พ.ศ. ๒๕๐๘
นักศกษา
ขบวนการ พคท. เป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการต่อต้านรัฐบาลเผด็จ
การทหารซึ่งสหรัฐหนุนหลังอยู่ ในสังคมเมืองมีการต่อต้านในรูปแบบอื่นๆ ที่
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
สงครามโลกครั้งที่สองมาจัดพิมพ์ใหม่รวมทั้งงานของกุหลาบ สายประดิษฐ์ ซึ่ง
ได้ลี้ภัยไปอาศัยอยู่เมืองจีนตั้งแต่เมื่อสฤษดิ์ก่อการรัฐประหาร และจิตร ภูมิศักดิ์
ผู้ซึ่งได้เข้าร่วมขบวนกับ พคท. เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ จนถูกยิงเสียชีวิตที่ภูพานในปี
๒๕๐๙ กลุ่มวรรณศิลป์และกลุ่มเสวนาต่างๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด พ.ศ. ๒๕๑๕
นักศึกษาธรรมศาสตร์กลุ่มหนึ่งพิมพ์ภ า โจมตีจักรวรรดินิยมอเมริกาใน
เมืองไทย
ไม่ได้มีเพียงกลุ่มนิสิตนักศึกษาเท่านั้นที่พร้อมจะวิจารณ์เผด็จการทหาร
ต้นทศวรรษ ๒๕๑๐ พระราชด�ารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่บางครั้ง
ตรัสกับนิสิตนักศึกษา เริ่มมีเนื้อหาเกี่ยวโยงถึงการเมือง ทรงมีพระราชปรารภ
ถึงการใช้ความรุนแรงของกองทัพ ซึ่งบางครั้งดูเหมือนว่าจะส่งผลผลักดันให้
ชาวบ้านเข้าร่วมขบวนการ พคท. ทรงมีพระราชด� ารัสถึงความพยายามของ
กองทัพที่จะย้ายชาวบ้านออกจากป่า ทรงตระหนักว่าชาวนาชาวไร่ไม่พอใจที่
รัฐบาลเข้าแทรกแซงชีวิตของพวกเขา ทรงตั้งข้อสังเกตว่าคอมมิวนิสต์จากภาย
นอก “ยุแหย่ให้ประชำชนในประเทศไทยนี้เข้ำใจว่ำจะต้องต่อสู้เพื่อเสรีภำพ ต้อง
ต่อสู้เพื่อให้ประชำชนมีอิสรภำพในกำรท� ำมำหำกิน ึ่งบำงทีก็มีควำมจริงบ้ำง
เพรำะในบ้ำนเมืองไทยมีผู้ ดเคืองแร้นแค้นเป็นจ�ำนวนไม่น้อย” ๑๘ ทรงเริ่ม
วิจารณ์ว่า “ทุนนิยม” ส่งเสริมระบบคุณค่าที่ท�าลายหลักการมนุษยธรรมตาม
แนวทางพุทธ ทรงกระตุ้นให้นักศึกษารณรงค์ต่อต้านการคอร์รัปชั่นที่เฟื่องฟู
ภายใต้รัฐบาลเผด็จการ ขณะเดียวกันทรงเสนอให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบค่อย
เป็นค่อยไป และทรงไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติ มีรายงานว่าทรงมีพระราชด�ารัส
กับเอกอัครราชทูตอังกฤษเป็นการส่วนพระองค์ว่า “ต้องก�ำกับควบคุมนักศึกษำ”
เพราะว่าการเดินขบวนประท้วงของนักศึกษา “ผิดมำก” ๑๙
พ.ศ. ๒๕๑๑ ทรงกระตุ้นให้รัฐบาลทหารร่างรัฐธรรมนูญที่สัญญาไว้
เมื่อสิบปีที่แล้ว และให้น�าระบอบรัฐสภาประชาธิปไตยกลับมา รัฐธรรมนูญ ฉบับ
พ.ศ. ๒๕๑๑ เลียนแบบรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ซึ่งทหารอยู่เบื้องหลัง ก�าหนด
ให้วุฒิสภามาจากการแต่งตั้งมีหน้าที่ก�ากับรัฐสภา แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มี
ขีดจ�ากัดเช่นนั้น แต่เมื่อรัฐสภาเปิด สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือบรรดา ส.ส.
กลับส�าแดงความกล้ามากกว่าแต่ก่อน โดยได้ใช้รัฐสภาเป็นโอกาสวิจารณ์และ
เสนอให้จ�ากัดระบอบเผด็จการทหาร พวกเขาไม่ยอมผ่านพระรำชบั ัติงบ
ประมำ เรีย กร้ อ งให้ รัฐ บาลจัด สรรเงิน งบประมาณเพื่อ การพัฒ นาเขตต่ า ง
จังหวัดมากขึ้น เปิดโปงคอร์รัปชั่น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ๒ มวลชนเข้ำร่วมกำรเมือง หนึ่งวันก่อนเหตุกำร ์ ๑๔ ตุลำคม ๒๕๑
ประท้วงมีชีวิตของตัวเองแล้ว ในบ่ายวันเดียวกันนั้น ฝูงชนเคลื่อนขบวนไปที่
พระราชวังสวนจิตรลดา เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการปราบปรามของรัฐบาลทหาร และ
เพื่อที่จะขอพึ่งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการท�าความประนี
ประนอม
ผู้น�านักศึกษาขอให้รัฐบาลทหารสัญญาว่าจะร่างรัฐธรรมนูญภายใน ๑
ปี รัฐบาลยินยอม หลังจากนั้นผู้น�านักศึกษาได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้า
อยู่หัว แต่การสลายการชุมนุมในเช้าวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ กลับกลายเป็น
ความรุนแรง ทหารยิงปืนเข้าใส่ฝูงชน ท�าให้ผู้ชุมนุมเสียชีวิต ๗๗ คน และบาด
เจ็บอีก ๘๕๗ คน เหตุการณ์ที่รัฐบาลสลายการชุมนุมอย่างรุนแรงจนเลือด
นองถนนราชด�าเนิน ท�าให้รัฐบาลทหารเสียความชอบธรรมอย่างสิ้นเชิง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และกลุ่มทหาร ายตรงกันข้ามกับรัฐบาล
ผลักดันให้ “สามทรราชย์” คือ จอมพลถนอม จอมพลประภาส และพันเอก
ณรงค์ บุตรชายจอมพลถนอม ต้องลี้ภัยการเมืองออกนอกประเทศได้ส�าเร็จ
ปรากฏการณ์ใหม่สุดคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งนาย
สัญญา ธรรมศักดิ ผู้พิพากษาและหนึ่งในองคมนตรีเป็นนำยกรัฐมนตรีคนใหม่
และโปรดให้มีการก�าหนดกระบวนการร่ำงรัฐธรรมนู ฉบับใหม่เพื่อฟื้นฟูรัฐสภา
การล่มสลายของรัฐบาลเผด็จการทหาร ท�าให้ขบวนการนักศึกษามีพื้นที่ในประ
วัติศาสตร์การเมืองไทย และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีฐานะเป็นพลัง
พิเศษนอกรัฐธรรมนูญ มีอ�านาจตัดสินปัญหาความขัดแย้งที่แบ่งแยกชาติไทย
อย่างสุดขั้ว
าย ้าย
เหตุ ก ารณ์ ๑๔ ตุ ล า ๒๕๑๖ เปิ ด ศั ก ราชของการอภิ ป ราย ความ
ขัดแย้ง การทดลองสิ่งใหม่ๆ และการเปลี่ยนแปลง เมื่อพวกนายพลใหญ่ถูก
ผลักออกไป สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีทันใดคือบางกลุ่มสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงอย่าง
ถอนราก แต่บางกลุ่มพยายามที่จะสร้างรัฐและระบบสังคมหลังเผด็จการทหาร
ที่อยู่กลางๆ
ปีต่อมา (๒๕๑๗) มีการเดินขบวนประท้วงที่ท้องถนนเกือบทุกวัน เพื่อ
ผลักดันให้รัฐบาลฟื้นฟูรัฐสภาประชาธิปไตย เพื่อรณรงค์ให้สหรัฐยุติการใช้ไทย
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เป็นฐานทัพเพื่อโจมตีอินโดจีน และเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมทั้งด้านเศรษฐกิจ
และสังคม มหาวิทยาลัยหลายแห่ง โดยเฉพาะธรรมศาสตร์ กลายเป็นห้อง
ประชุมเพื่ออภิปรายการเมือง งานเขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒน
ธรรมไทยผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด ผลงานของจิตร ภูมิศักดิ ได้รับการพิมพ์ใหม่ซ�้า
แล้วซ�้าอีก และเป็นที่ยกย่องอย่างสูง โดยเฉพาะข้อเขียนที่เสนอให้วรรณกรรม
และศิลปะต้องมีบทบาทเปลี่ยนการเมือง และผลงานซึ่งท้าทายประวัติศำสตร์
นิพนธ์แบบดั้งเดิม โดยที่เขาวิเคราะห์ว่าสยามเป็นสังคมศักดินาและพระมหา
กษัตริย์เป็น “เจ้ำที่ดินให ่” ๒๒ พคท.มีบทบาทส่งเสริมให้ขบวนการนักศึกษา
เคลื่อนไปทางซ้าย
ขบวนการนักศึกษา จุดประกายให้ความเดือดร้อนซึ่งได้ก่อตัวขึ้นมา
แต่ถูกเก็บกดเอาไว้ในช่วงการ “พัฒนา” เมื่อ ๒ ทศวรรษที่ผ่านมามีโอกาสปะทุ
ขึ้น กรณีพิพาทระหว่างลูกจ้างและนายจ้าง และการประท้วงกฎหมายแรงงาน
ที่ไร้ความเป็นธรรมเพิ่มขึ้นในช่วงต้นทศวรรษ ๒๕๑๐ บานปลายเป็นการนัด
หยุดงานหลายครั้งหลายคราในปี ๒๕๑๕ ตลอด ๒ ปีต่อมามีการนัดหยุดงาน
๕๐๑ และ ๓๕๗ ครั้งตามล�าดับ มากกว่าที่เกิดขึ้นในปีก่อนๆ ส่วนใหญ่คนงาน
เรียกร้องให้เพิ่มค่าจ้างและปรับปรุงสภาพการท�างาน กลาง พ.ศ. ๒๕๑๗ เมื่อ
คนงาน ๖ พันคนในโรงงานทอผ้าที่กรุงเทพฯ นัดหยุดงานประท้วงที่นายจ้าง
เลิกจ้างคนงานเพราะขายของไม่ออก นักศึกษาเข้าช่วยโดยก่อตั้งองค์กรประสาน
ขบวนการแรงงาน และผลักดันให้มีการปฏิรูปกฎหมายแรงงาน รัฐบาลตอบ
สนองด้วยการเพิ่มค่าจ้างขั้นต�่ า เข้าด�าเนินการไกล่เกลี่ยการนัดหยุดงานและ
ออกกฎหมายแรงงานใหม่ที่ยอมให้จัดตั้งสหภาพแรงงาน และให้มีกลไกเพื่อ
ไกล่เกลี่ยกรณีพิพาท
เริ่มจาก พ.ศ. ๒๕๑๗ ชาวนาที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนเหนือเริ่ม
ประท้วงเพื่อให้รัฐบาลอุดหนุนราคาข้าว ควบคุมอัตราค่าเช่า และให้จัดสรรที่ดิน
ท�ากินให้กับชาวนาไร้ที่ดิน เดือนมิถุนายนปีเดียวกันชาวนาประมาณ ๒ พันคน
เดินขบวนเข้ากรุงเทพฯ รัฐบาลตอบสนองโดยมีโครงการอุดหนุนราคาข้าวและ
ออกกฎหมายควบคุมอัตราค่าเช่านา แต่ไม่มีกลไกอะไรที่จะน�าโครงการเหล่านี้
ไปสู่การปฏิบัติ ข้าราชการในพื้นที่ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านที่เดือดร้อน
เป็นจ�านวนมาก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องถูกเจ้าหนี้หลอกยึดที่ดิน ชาวนาร้องเรียนว่า
ข้าราชการท้องถิ่นมักเข้าข้างเจ้าของที่ดินและเจ้าหนี้ ปลายปี ๒๕๑๗ พวกเขา
ก่อตั้งสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย องค์กรนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
ายป ิรูป
ขบวนการนักศึกษา ท�าให้เผด็จการทหารล่มสลาย แต่ผู้ก�าหนดระบอบ
การเมืองใหม่หลังจากนั้นเป็นพลังส่วนอื่นของสังคมเมือง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ
ในช่วง ๒๕ ที่ปีผ่านมา ภาคธุรกิจเอกชนได้มีฐานะร�่ารวยขึ้น เจนจัดโลกและ
มีความมั่นใจในตัวเองสูงขึ้นมาก ดังนั้น นักธุรกิจใหญ่ระดับน�าจึงไม่ต้องการ
สยบอยู่ใต้การชี้น�าของนายพล และไม่ต้องการแบ่งปันผลก�าไรให้กับพวกเขาดัง
ที่เป็นมาในอดีตอีกต่อไป กลุ่มธุรกิจใหญ่แสวงหาอ� านาจทางการเมืองเพื่อให้
พวกเขามีส่วนก�าหนดนโยบายได้ นอกจากนี้มีกลุ่มเทคโนแครตนักวิชาการระดับ
น�าจ�านวนน้อยกลุ่มหนึ่งต้องการจัดสรรงบประมาณเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
มากกว่าเพื่อการทหาร ทั้งนักธุรกิจและนักวิชาชีพ เกรงกลัวการแบ่งขั้วสู่เผด็จ
การทหาร หรือสู่ฝ่ายซ้าย พวกเขาอยากเห็นการปฏิรูปสายกลาง
ม.ร.ว.คึก ทธิ ปราโมช พุ่งขึ้นเป็นตัวแทนของนักปฏิรูปกลุ่มนี้ เขา
เป็นราชนิกุล ซาบซึ้งกับศิลปวัฒนธรรมดั้งเดิมของในวัง ขณะเดียวกันจบมหา
วิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด และปฏิบัติตนดั่งผู้ดีอังกฤษ เคยรับราชการแต่ลาออกมา
ท�างานธนาคาร และต่อมาท�ากิจการหนังสือพิมพ์ เขาอยู่ท่ามกลางสังคมนัก
ธุรกิจสมัยใหม่ และอวดอ้างถึงสายของบรรพบุรุษจีนด้วยความภูมิใจ เขาเดิน
ทางไปต่างจังหวัดเพราะธุรกิจของเขาและอ้างว่าเข้าใจชาวนาเป็นอย่างดี พ.ศ.
๒๕๑๗ เขาก่อตั้ง พรรคกิจสังคม มีนักธุรกิจใหญ่เข้าร่วมด้วยหลายคน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์พอใจสังคมดั้งเดิม ไม่เห็นด้วยกับการใช้อ�านาจรัฐปรับ
เปลี่ยนสังคมแบบบนลงล่างตามแนวทางสังคมนิยม และไม่เห็นด้วยกับการ
ตีความพุทธศาสนาแบบท่านพุทธทาส (พุทธทำสภิกขุ) ซึ่งมีนัยสร้างสังคมที่มี
ความเท่าเทียมกันเป็นพื้นฐาน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้อภิปรายในประเด็นเหล่านี้กับ
ท่านพุทธทาสผ่านรายการวิทยุ และเขียนนวนิยายที่ประยุกต์เนื้อเรื่องมาจาก
เรื่องราวของ ดอน คำมิลโล (Don Camillo) ในชุดเรื่องสั้นจำกอิตำลี ให้ชื่อ
ภาษาไทยว่า ผแ เนื้อเรื่องเป็นความขัดแย้งระหว่างความเชื่อพื้นบ้านแนว
พุทธกับลัทธิคอมมิวนิสม์ เขาสนับสนุนการแบ่งแยกอ�านาจ ๓ ฝ่าย (บริหาร
กฎหมาย และศาล) เพื่อป้องกันการใช้อ�านาจแบบผิดๆ เขาเชื่อว่าพระมหา
กษัตริย์เปี่ยมด้วยคุณธรรมและอ�านาจตามรัฐธรรมนูญ เป็นแรงต้านเผด็จการ
ได้ชะงัดที่สุด เขาสนับสนุนให้รัฐบาลกระจายรายได้เพื่อก�าจัดความยากจน อัน
เป็นมูลเหตุให้คอมมิวนิสต์ลงหลักปักฐานได้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์และพี่ชาย (ม.ร.ว.
เสนีย์ ปราโมช) เขียนความเรียงให้ภาพสมัยสุโขทัยเป็นสังคมอุดมคติมีเสรีภาพ
ภายใต้พระบารมีของพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงปกครองเหมือนพ่อปกครองลูก
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เป็นตัวแทนของแนวคิดที่เชื่อมโยงระหว่างนายทุนเสรีนิยมประชา
ธิปไตยน�าโดยชนชั้นน�า พระมหากษัตริย์กอปรด้วยคุณธรรมและรัฐบาลอุปถัมภ์
ซึ่งนักธุรกิจจ�านวนมากและชนชั้นกลางเมืองพอใจเป็นทางเลือกหลังเผด็จการ
ทหาร
ปลาย พ.ศ. ๒๕๑๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้ง สมัชชา
แห่งชาติ ด้วยพระองค์เอง และองค์กรนี้เลือกสภานิติบัญญัติเพื่อท�าหน้าที่รัฐสภา
ชั่วคราว และเพื่อร่างรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ร่างเสร็จ พ.ศ. ๒๕๑๗
เลียนแบบรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๘๙ ของนายปรีดี พนมยงค์ แต่ที่ต่างคือ มี
“วุฒิสภา” มาจากการแต่งตั้ง และมีตัวองค์กรตรวจสอบอื่นๆ
ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. ๒๕๑๘ พรรคฝ่ายซ้ายหลายพรรคได้รับ
เลือกเป็น ส.ส. ถึง ๑ ใน ๓ ที่ภาคอีสาน แต่ไม่ค่อยประสบความส�าเร็จในภาค
อื่น นายพลสนับสนุนพรรคอนุรักษนิยม เช่น พรรคชาติไทยอยู่เบื้องหลัง
นักธุรกิจและนักวิชาชีพได้เป็น ส.ส. แต่ละกลุ่มได้เสียงกลุ่มละ ๑ ใน ๓ ของ
ทั้งหมด ไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมาก ดังนั้น การตั้ง รัฐบาลผสม หลายพรรค
จึงยุ่งยาก ในท้ายที่สุด ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ประสบความส�าเร็จเป็นผู้น�าจัดตั้งรัฐบาล
ผสม แม้ว่า “พรรคกิจสังคม” ของเขาจะมี ส.ส. เพียง ๑๘ คนเท่านั้น
ายขวา
ปฏิกิริยาจากฝ่ายขวาเริ่มขึ้นปลายปี ๒๕๑๗ และใช้เวลา ๒ ปีก่อตัว
พวกขวาจัด ายทหารได้รับการอุปถัมภ์จากสหรัฐที่ซาบซึ้งในอุดมการณ์สงคราม
เย็น (คือต้องการล้มล้างฝ่ายซ้ายให้สิ้นซาก) ไม่สามารถยอมรับแนวทางอื่นใด
นอกเสียจากความพ่ายแพ้ของกองก�าลัง พคท. พวกเขาปฏิเสธที่จะแก้ปัญหา
โดยใช้แนวทางการเมือง และกล่าวหานายทหารซึ่งสนับสนุนยุทธศาสตร์ดังกล่าว
ว่าเป็นคอมมิวนิสต์ พวกเขาตื่นตระหนกเมื่อเห็นการแพร่กระจายของอุดม
การณ์และองค์กรมวลชนที่ท้าทายสังคมในอุดมคติอันมีกองทัพเป็นผู้ก� ากับ
อย่างแข็งขัน เขาตกใจที่สหพันธ์ชาวนาชาวไร่สามารถก่อตั้งขึ้นมาได้ และที่คน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ๒ คนงำนห ิงที่โรงงำนฮำร่ำ ไม่ยอมถูกปลดจำกงำน โดยเข้ำยึดโรงงำน
และด�ำเนินกำรผลิตต่อไปภำยใต้ระบบสหกร ์ พ.ศ. ๒๕๑๗
งานนัดหยุดงานครั้งแล้วครั้งเล่า แถมยังประสบความส�าเร็จได้ขึ้นค่าจ้าง และ
ข้อเรียกร้องอื่นก็ได้รับการตอบสนอง เขาไม่พอใจเลยที่พระสงฆ์เข้าร่วมช่วย
สร้างความชอบธรรมให้กับขบวนการ แถมนักศึกษายังยอมรับแนวคิดและศัพท์
แสงของมาร์กซิสต์อย่างกว้างขวาง พวกเขากลัวว่าการประท้วงในเมืองจะโยง
กับขบวนการ พคท. ป่าล้อมเมืองและขบวนการปฏิวัติที่อินโดจีน จึงรณรงค์ให้
ทหารสหรัฐตั้งมั่นอยู่ที่เมืองไทยต่อไปอีก หรือไม่ก็มอบอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ
ให้กับกองทัพไทยเสีย ช่วง พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๑๙ กลุ่มธุรกิจ ราชส�านัก และ
ชนชั้นกลางเมืองทั่วๆ ไป ยกเลิกโครงการที่จะสถาปนาระบอบรัฐสภาประชาธิป
ไตย และพร้อมใจกันสนับสนุนให้กองทัพเข้าควบคุมสถานการณ์
ปลาย พ.ศ. ๒๕๑๗ กอ.รมน. และกระทรวงมหาดไทย สนับสนุนการ
จัดตั้งขบวนกำรนวพล รณรงค์ให้ชาวบ้านสนับสนุนกองทัพโดยอิงชาติและพระ
มหากษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ นวพลนัดชุมนุมใหญ่ตามจังหวัดต่างๆ ในการ
ประชุมแต่ละครั้ง นวพลปลุกเร้าฝูงชนด้วยค�าถาม เช่น “พวกท่ำนรักพระบำท
สมเด็จพระเจ้ำอยู่หัวของท่ำนหรือไม่ ท่ำนรักประเทศไทยหรือไม่ ท่ำนเกลียด
คอมมิวนิสต์หรือไม่” นวพลมุ่งหาสมาชิกจากกลุ่มนักธุรกิจและข้าราชการท้องถิ่น
ครั้นปลาย พ.ศ. ๒๕๑๘ อ้างว่ามีสมาชิกประมาณ ๑ ล้านคน
เจ้าหน้าที่ของ กอ.รมน. จัดตั้งกระทิงแดง เป็นขบวนการเพื่อต่อต้าน
การลุกขึ้นสู้ของมวลชน และจาก พ.ศ. ๒๕๑๘ ชักจูงนักเรียนโรงเรียนอาชีวะ
และเยาวชนที่ตกงานเข้าร่วมในขบวนการให้ช่วยสลายการชุมนุมของนักศึกษา
และพันธมิตรโดยใช้ไม้กระบอง ปืน และปาระเบิดมือ ระหว่างเดือนเมษายน
ถึงเดือนสิงหาคม ผู้น�าของสหพันธ์ชาวนาชาวไร่แห่งประเทศไทย ๑๗ คน ถูก
ฆาตกรรม (๓ รายถูกฆ่าเสียชีวิตไปแล้วก่อนหน้านี้) ส่งผลให้สหพันธ์ฯ ล่ม
สลาย หลังจากที่รัฐบาลคึกฤทธิ์ถอนตัวออกจากความพยายามไกล่เกลี่ยกรณี
พิพาทแรงงานอย่างเงียบๆ เมื่อคนงานนัดหยุดงานถูกปาระเบิด ถูกยิงปืนใส่
หรือถูกกลุ่มแก๊งเข้าใช้โซ่ฟาดฟัน หรือแม้แต่มีการใช้รถดับเพลิงวิ่งเข้าสู่ฝูงชน
(ดูภาพที่ ๒๕) ภายในเวลาเก้าเดือน นายจ้างเลิกจ้างคนงาน ๘,๑๐๐ คน ส่วน
ใหญ่มีสาเหตุมาจากการนัดหยุดงาน ผู้นา� คนงานหลายคนถูกจับด้วยข้อหาเป็น
“คอมมิวนิสต์”
ขบวนการลูกเสือชาวบ้าน จัดตั้งขึ้นมาโดยต�ารวจตระเวนชายแดนเมื่อ
พ.ศ. ๒๕๑๔ เพื่อคานกับขบวนการคอมมิวนิสต์ องค์กรจัดให้ชาวบ้านเข้าแคมป์
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ฟังการบรรยายแนวชาตินิยม เล่นเกมส์เป็นทีม ร้องเพลงปลุกใจให้รักชาติ เข้า
ร่วมพิธีกรรมสาบานตนแสดงความจงรักภักดี แล้วได้รางวัลเป็นผ้าผูกคอและ
เข็มกลัดพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เดือนเมษายน ปี ๒๕๑๘ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ยึดไซ่ง่อนและพนมเปญได้
ส�าเร็จ และในวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๑๘ พระมหากษัตริย์ลาวถูกโค่นลง ท�าให้
ชนชั้นน�าและชนชั้นกลางที่กรุงเทพฯ ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ต้น พ.ศ. ๒๕๑๙
องค์กรลูกเสือชาวบ้านขยายกิจกรรมสู่กรุงเทพฯ และเมืองอื่นๆ จ�านวนผู้เข้า
ร่วมกิจกรรมสูงถึง ๒ ล้านคน ในจ�านวนนี้รวมทั้งนักธุรกิจ ข้าราชการ และ
ภริยาของผู้มีหน้ามีตาในสังคม ขบวนการลูกเสือชาวบ้านได้กลายเป็น “ขบวน
การของคนเมืองได้รับการสนับสนุนทั้งด้านการเงินและด้านการเมืองจากชนชั้น
สูงและชนชั้นกลางที่ตื่นตระหนก” และซึ่ง “มีแนวโน้มสู่ฟาสซิสม์” ๒๔
จากต้น พ.ศ. ๒๕๑๙ ายทหารและ ายขวากลุ่มต่างๆ โจมตีกลุ่มที่
ก�าลังพยายามสร้างประชาธิปไตยโดยใช้ความรุนแรง หนังสือพิมพ์และสถานี
วิทยุในก�ากับของ ายทหารปายสีว่ารัฐสภาเป็นอีกหนทางหนึ่งสู่ชัยชนะของ
คอมมิวนิสต์ ผู้น�ากองทัพบังคับให้ ม.ร.ว.คึก ทธิยุบสภา แทนที่จะยอมให้รับ
เอาพรรคสังคมนิยมเข้าร่วมเป็นรัฐบาล
นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ผู้พิพากษา ออกรายการโทรทัศน์ต่อต้าน
คอมมิวนิสต์เต็มที่ โดยโจมตีว่า ลัทธิคอมมิวนิสม์ ขบวนกำรนักศึกษำ และกำร
เมืองแนวก้ำวหน้ำ เป็นพันธมิตร ำยที่แยกจำกกันไม่ออก เดือนมกราคม
พระกิตติวุ โฒ พระสงฆ์ซึ่งโยงใยอยู่กับองค์กร นวพล เสนอให้รัฐบาลลาออก
และเปิดทางให้กับสภาการปฏิรูปแห่งชาติ เท่ากับเป็นข้อเสนอให้รัฐประหารจาก
ฝ่ายพระสงฆ์
เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๙ ดร.บุญสนอง บุณโยทยาน อาจารย์ธรรมศาสตร์
ที่เป็นหัวหน้ำพรรคสังคมนิยมถูกลอบยิงเสียชีวิต
การเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๑๙ พรรคชำติไทยที่สนับสนุนฝ่าย
ทหาร รณรงค์ภายใต้ค�าขวัญ “ขวำพิ ำต ้ำย” ในวันเลือกตั้งนั้นมีคนถูกฆ่าตาย
ถึง ๓๐ คน และส�านักงานของพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายพรรคหนึ่งถูกปาระเบิด
จนไฟไหม้ พรรคของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์แพ้การเลือกตั้ง แต่พี่ชายคือ ม.ร.ว.เสนีย์
ปราโมช ได้เป็นนายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้าพรรคประชำธิปัตย์ และด�าเนิน
รอยตามนโยบายปฏิรูป ฝ่ายกองทัพและพรรคพวกพันธมิตรทางการเมือง
ด�าเนินการให้พรรคของ ม.ร.ว.เสนีย์แตกแยก
อันนั้นอาตมาก็เห็นว่าควรจะท�า คนไทยแม้จะนับถือพุทธ
ก็ควรจะท�า แต่ก็ไม่ใช่ถือว่าเป็นการฆ่าคนเพราะว่าใครก็ตามที่ท�าลาย
ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันไม่ใช่คนสมบูรณ์ คือต้องตั้งใจ
ว่า เราไม่ได้ฆ่าคน แต่ฆ่ามาร ซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน...
การฆ่าคนหนึ่งเพื่อรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไว้ ถือว่าเป็น
บุญกุศล...เหมือนเราฆ่าปลาแกงใส่บาตรพระ ๒๕
หลังจากนั้นเมื่อถูกตั้งค�าถาม ก็ยังเสนออีกว่าเป็นความชอบธรรมที่จะ
ฆ่าคนสัก ๕๐,๐๐๐ คน เพื่อให้คนไทย ๔๒ ล้านคนมีความสุข
ฝ่ายกองทัพรณรงค์ให้ภาพว่าใครก็ตามที่เสนอให้เปลี่ยนสังคมและการ
เมืองทุกรูปแบบเป็นคอมมิวนิสต์ ไม่ใช่คนไทย และเป็นกบฏทั้งสิ้น เป็นศัตรู
ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ แม้แต่ผู้ที่พยายามอยู่กลางๆ รวมทั้งรัฐบาล
น�าโดยพรรคประชาธิปัตย์และนายทหาร และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่สนับสนุน
พรรคประชาธิปัตย์ ล้วนถูกประณามว่าเป็น “คอมมิวนิสต์” และมักจะถูกคุกคาม
ด้วยความรุนแรง
จุดจบของเกมการเมืองก็มาถึงโดยไม่ยากนัก สิงหาคม ๒๕๑๙ จอมพล
ประภาส จารุเสถียร หนึ่งใน “สำมทรรำชย์” ที่ลี้ภัยไปต่างประเทศหลังเหตุการณ์
๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เดินทางกลับประเทศไทย แต่ต้องออกจากประเทศทันที
หลังจากที่นักศึกษาเดินขบวนประท้วง และนักศึกษา ๒ คนเสียชีวิตเมื่อกลุ่ม
“กระทิงแดง” โจมตี วันที่ ๑๙ กันยายน จอมพลถนอม กิตติขจร อดีตนายก
รัฐมนตรี กลับประเทศไทย เข้าบวชเป็นสามเณรที่วัดบวรนิเวศ ซึ่งเป็นวัดหลวง
ส�าคัญ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมราชินีนาถเสด็จพระราชด�าเนิน
ไปที่วัด อีกไม่กี่วันต่อมา คนงานสองคนที่ติดโปสเตอร์ประท้วงการกลับมาของ
จอมพลถนอมถูกแขวนคอ หนังสือพิมพ์ ำยขวำฉบับหนึ่งพิมพ์รูปถ่ายละคร
ซึ่งนักศึกษาจ�าลองขึ้น ประโคมข่าวว่าตัวละครที่แสดงตอนถูกแขวนคอ ถูกแต่ง
หน้าให้ละม้ายคล้ายสมเด็จพระบรมโอรสำธิรำช สยำมมกุ รำชกุมำร สถานี
วิทยุทหารแห่งหนึ่งออกข่าวเรียกร้องให้ประชาชนฆ่านักศึกษาที่มหาวิทยาลัย
ธรรมศาสตร์ ต�ารวจตระเวนชายแดนหลายหน่วยเคลื่อนขบวนเข้ากรุงเทพฯ
พร้อมๆ กับกลุ่ม “ลูกเสือชาวบ้าน” และ “กระทิงแดง”
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ๒ นักศึกษำบำดเจ็บเลือดอำบหน้ำในมหำวิทยำลัยธรรมศำสตร์
หลังจำกที่ทหำรบุกเข้ำควบคุมเมื่อวันที่ ตุลำคม ๒๕๑
ทางออก
ฝ่ายกองทัพและพรรคพวกที่เป็นพันธมิตรกัน ได้ใช้กระสุนปืนและ
บอมบ์เข้าปราบปรามขบวนการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากอย่างราบคาบ เหตุ
การณ์รุนแรงเมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นจุด
จบที่น่าขนพองสยองเกล้า ส่งผลสะเทือนต่อสังคมอย่างรุนแรง จึงเป็นจุดเริ่ม
ของ “สิ่งใหม่” อีกด้วย
สหรัฐแพ้สงครามที่อินโดจีน นี่ไม่ใช่เพียงการพ่ายแพ้สงครามกองโจร
ในสนามรบเท่านั้น ยังพ่ายแพ้กับผู้ต่อต้านสงครามที่สหรัฐและที่อื่นๆ ทั่วโลก
อีกด้วย ช่วง พ.ศ. ๒๕๑๘-๒๕๑๙ สหรัฐถอนกองทหารออกจากเมืองไทย ได้
ให้เงินความช่วยเหลือด้านการทหารก้อนใหญ่แก่ไทย และยังคงให้เงินอุดหนุน
ต่อเนื่องมาอีกหลายปี แม้จะเป็นจ�านวนเงินที่ลดลงแต่กองทัพไทยตั้งตัวได้แล้ว
เนื่องจากสามารถควบคุมอ�านาจรัฐไว้ได้ในก�ามือ กองทัพจึงเพิ่มงบทหารในงบ
ประมาณประจ�าปีถึง ๓ เท่าตัวในช่วง ๖ ปีต่อมา ด้วยข้ออ้างที่ว่าต้องป้องกัน
ประเทศจากคอมมิวนิสต์ที่อินโดจีน แต่ในความเป็นจริงไม่เคยต้องท�าสงคราม
กับประเทศใดเลยอย่างที่กลัวเกรงกัน ผลของการได้รับการอุปถัมภ์ค�้าจุนจาก
สหรัฐอย่างถึงลูกถึงคน เพื่อให้ช่วยต่อต้านคอมมิวนิสต์ ท�าให้กองทัพไทยมี
แสนยานุภาพสูง มีการคอร์รัปชั่นสูง กองทัพใหญ่เกินความจ�าเป็น แตกออก
เป็นกลุ่มเป็นเหล่าภายใน และน�าตัวเองเข้ามีบทบาททางการเมืองการปกครอง
เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างอ�านาจส�าคัญ ช่วง ๑๐ ปีต่อมา
กลุ่มต่างๆ ภายในกองทัพแก่งแย่งกันเข้าถึงอ�านาจทางการเมืองเพื่อ
แสวงหารายได้และแก่งแย่งกันส่งอิทธิพลต่อแนวทางของนโยบาย ระหว่างปี
๒๕๒๐-๒๕๒๓ มีรัฐประหารอีก ๓ ครั้ง ล้มเหลวครั้งหนึ่ง (พ.ศ. ๒๕๒๐) อีก
๒ ครั้งนั้น “นำยพล” ได้เป็นนายกรัฐมนตรีทั้งสองครั้ง แม้ว่าฝายกองทัพจะ
โฆษณาชวนเชื่อว่าพวกเขาคือความมั่นคงของประเทศ แต่รัฐบาลทหารก็ไม่ใช่
รากฐานของการเมืองที่มีเสถียรภาพแต่อย่างใด
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ๒ ผู้สนับสนุน พคท. ในพิธีมอบอำวุธให้กับกองทัพไทย
ที่อุ้มผำง ธันวำคม ๒๕๒๕
สรุป
กลางทศวรรษ ๒๔๘๐ ในบรรดาขุนนางดั้งเดิม ข้าราชการใหญ่ นายพล
และนักธุรกิจใหม่ๆ ผู้เป็นองค์ประกอบหลักของชนชั้นน�ากลุ่มแคบๆ ในสังคม
ไทย มีความคาดหวังต่อรัฐชาติหรืออุดมการณ์แตกออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่ง
หวังจะมีชาติที่มีมิติความหลากหลาย เสรีนิยม ยุติธรรม มีความเสมอภาค ภาย
ใต้หลักการนิติรัฐ (ทุกคนอยู่ใต้กฎหมายอันเดียวกัน) รัฐธรรมนูญ และการมี
ผู้แทนในระบอบประชาธิปไตย อีกฝ่ายหนึ่งต้องการคงไว้ซึ่งรัฐอุปถัมภ์ที่มี
หน้าที่ปกป้อง สร้างวินัย และให้การศึกษาอบรมแก่พลเมืองภายใต้ระบบโครง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
สร้างสังคมที่มีการแบ่งชนชั้นเป็นผู้ใหญ่ผู้น้อยชัดเจน
ช่วง ๓ ทศวรรษต่อมา ภายใต้บริบทของความขัดแย้งกันระหว่างโลก
เสรีนิยม และโลกคอมมิวนิสต์ที่ท�าสงครามเย็นกันอยู่ ความมุ่งหวังของทั้งสอง
ฝ่ายนี้ถูกกลืนและบดบังไป การที่สหรัฐอุปถัมภ์เมืองไทยอย่างเต็มที่ ช่วยเร่ง
อัตราการพัฒนาสู่เศรษฐกิจทุนนิยม ช่วยท�าให้รัฐบาลเผด็จการทหารแข็งแกร่ง
ช่วยฟื้นฟูบทบาทของพระมหากษัตริย์ อีกทั้งช่วยขยายบทบาทของรัฐในการ
ควบคุมสังคมมากขึ้นกว่าเดิม
การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและสังคมที่ตามมาอย่างเร่งเร้า กอปรกับ
การแพร่ขยายของลัทธิมาร์กซิสม์ กระตุ้นให้นักวิชาการ นักศึกษา ชาวนา คน
งาน และชุมชนชนบทชายขอบ ร่วมกันต่อต้านระบบทุนนิยม จักรวรรดินิยม
โดยอเมริกา และเผด็จการทหาร
ครั้นกลางทศวรรษ ๒๕๑๐ นักธุรกิจและเทคโนแครตจ�านวนหนึ่งเริ่ม
หาหนทางหลีกหนีออกจากภาวะการประชันกันแบบสุดขั้วระหว่างเผด็จการด้าน
หนึ่งกับฝ่ายคอมมิวนิสต์อีกด้านหนึ่ง ม.ร.ว.คึก ทธิเสนอสูตรใหม่ว่าด้วยทุน
นิยมเสรีนิยม ประชาธิปไตยแบบจ�ากัด และรัฐบาลอุปถัมภ์ที่ยึดโยงเข้าด้วย
กันด้วยคุณธรรมของพระมหากษัตริย์ แต่ปลอดจากการอุปถัมภ์ของทั้งสหรัฐ
และจากเผด็จการทหาร วิสัยทัศน์นี้ถูกกดเอาไว้ในช่วงที่มีการปะทะกันระหว่าง
ปี ๒๕๑๘-๒๕๑๙ แต่ผุดขึ้นมาใหม่อีกหลังจากการตกตะลึงกับเหตุการณ์
รุนแรงเมื่อ ๖ ตุลา ๒๕๑๙ วิสัยทัศน์นี้ได้กลายเป็นแนวทางน�าอนาคตหลัง
จากนั้น
ความหวังสู่สังคมอุดมคติของขบวนการนักศึกษา เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๖
ล่มสลายไป เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ออกจากป่าในปี ๒๕๓๑ และประกาศว่า
ตัวเองคือ “สิ่งช�ำรุดทำงประวัติศำสตร์” ๒๗ แต่คนที่เข้าร่วมกับขบวนการนัก
ศึกษายังมีบทบาทส่งผลสะเทือนต่อสังคมอีกหลาย ๑๐ ปีต่อมา หลังจากที่
พวกเขาประสบความส�าเร็จในการโค่นล้มเผด็จการทหาร (๑๔ ตุลา ๒๕๑๖)
และได้เข้าร่วมขบวนการ พคท. พวกเขาไม่ล่มสลายไป แต่ได้รับกลับเข้าสู่สังคม
และสามารถจะปรับฐานะของตัวเองไต่เต้าขึ้นไปตามขั้นบันไดสังคมถึงระดับ
ชนชั้นน�า บ้างมีผลงานด้านวิชาการที่มีเนื้อหาท้าทาย และฉีกแนวออกไปจาก
งานเขียนงานวิเคราะห์สังคมการเมืองไทยตามแนวทางของนักวิชาการอเมริกัน
บ้างก็มีผลงานเป็นเพลง เรื่องสั้น สังคมวิทยาแนววิพากษ์ และผลงานด้าน
วัฒนธรรมอื่นๆ ที่สร้างกระแสปลุกเร้าประชาธิปไตย ความเป็นธรรมในสังคม
คนก็คนท�านาประสาคน คนกับควายท�านาประสาควาย
คนกับควายความหมายมันลึกล�้า ลึกล�้าท�านามาเนิ่นนาน แข็งขัน
การงานมาเนิ่นนาน ส�าราญเรื่อยมาพอสุขใจ ไปเถิดไปพวกเราไป
เถิด ไป ไปเถิด ไปแบกไถไปท�า นา ยากจนหม่ น หมองมานานนัก
นานนักน�้าตามันตกใน ยากแค้นล�าเค็ญในหัวใจ ร้อนรุ่มเพียงใด
ไม่หวั่นเกรง เป็นบทเพลงเสียงเพลงแห่งความตาย ความเป็นคน
สลายลงไปพลัน กฎุมพีกินแรงแบ่งชนชั้น ชนชั้นชาวนาจึงต�่ าลง
เหยียดหยามชาวนาว่าป่าดง ส�าคัญมั่นคงคือความตาย
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ลกา ิวัตน์ ละสังคมมวลชน
สงครามเย็นทีเ่ อเชียผ่อนคลายลงหลังจากทีส่ หรัฐถอนตัวออกจากอินโดจีน
(พ.ศ. ๒๕๑๘) สหรัฐยังคงค�้าจุนรัฐบาลไทยด้านการทหาร แต่ความสัมพันธ์
เหินห่างลง ในระดับโลกกระแสสังคมนิยมตกต�่า ส่งผลให้เมืองไทยพัฒนาไป
สู่ระบบตลาดตามแนวทางเสรีนิยมต่อไปอย่างแข็งขัน ช่วงแรกที่อเมริกาถอน
ตัวออกไปจากภูมิภาค เมืองไทยต้องปรับตัวอยู่บ้าง ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและ
การเมือง (เงินความช่วยเหลือและเงินค่าใช้จ่ายด้านการทหารลดลงฮวบฮาบ)
แต่ต่อมาก็ฟื้นตัวได้เมื่อ “ญี่ปุ น” และประเทศกลุ่ม “เสือเอเชีย” (สิงคโปร์
ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลีใต้) เฟื่องฟูและหันมาลงทุนในประเทศเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้มากขึ้น การเปิดเสรีด้านการค้าตามด้วยการเงิน ส่งผลให้อุตสาหกรรม
และความเป็นเมืองขยายตัวต่อไปในอัตราเร่งเร้า และเป็นตัวผนึกเศรษฐกิจไทย
ให้โยงเข้ากับเศรษฐกิจโลกแนบแน่นยิ่งขึ้นไปอีก การสิ้นสุดของสงครามเย็น
ยังส่งผลบวกโดยประเทศเพื่อนบ้านที่เคยท�าสงครามกันกลับกลายเป็น “ตลาด”
ส�าหรับระบายสินค้าไทย และเป็นแหล่งที่มาของแรงงานและทรัพยากรธรรมชาติ
เพื่อการอุตสาหกรรม
ต้นทศวรรษ ๒๕๓๐ หลังจากที่ “จีน” กบดานอยู่กว่า ๔๐ ป ก็กลับ
ผงาดขึ้นเป็นมังกรเศรษฐกิจที่มีอนาคตไกล มีความส� าคัญต่อเศรษฐกิจไทย
และที่ทางของเมืองไทยในประชาคมโลกเป็นอย่างยิ่ง
เศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงไปในอัตราที่สูงขึ้นในช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐
ถึงทศวรรษ ๒๕๔๐ บทบาทของภาคชนบทลดลง ขณะที่เมืองพุ่งขึ้น เศรษฐกิจ
และสังคมโดยรวมเปิดรับกับภายนอกหรือผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของโลกาภิวัตน์
มากขึ้น ชาวนาลดความส�าคัญลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ทั้งในระบบเศรษฐกิจและ
วัฒนธรรมระดับชาติ พลวัตและพลังต่างๆ ของสังคมกระจุกตัวอยู่ทเี่ มืองทัง้ สิน้
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
กรุงเทพฯ ยังเป็นเมืองใหญ่ที่สุด มีประชากรกว่า ๑๐ ล้านคน และได้
สมญาว่า “เมืองโตเดี่ยวให ่สุดของโลก” เมื่อเปรียบเทียบกับเมืองใหญ่รอง
ลงมาในเมืองไทยคือโคราช กรุงเทพฯ มีประชากรมากกว่าถึง ๔๐ เท่า ธุรกิจ
เจริญรุ่งเรือง ชนชั้นกลางเพิ่มจ�านวนและส�าแดงบทบาทส�าคัญของกลุ่มตนเอง
ชัดเจนมากขึ้น ชาวชนบทจ�านวนมากถูกดึงออกจากหมู่บ้านห่างไกล เข้ามา
ท�างานรับจ้างที่กรุงเทพฯ ท�าให้ชนชั้นคนงานเพิ่มขึ้นมาก นอกจากนั้น การ
ศึกษาที่สูงขึ้น การคมนาคมที่รวดเร็วขึ้น และการขยายตัวของสื่อมวลชนได้
ก่นสร้างสังคมมวลชนใหม่ขึ้นมา เป็นสังคมประกอบด้วยผู้คนที่หลากหลาย
จึงเกิดค�าถามใหม่ที่ท้าทายวาทกรรมว่าด้วย “ชาติไทย” ของทางการ
เศรษ กิจเมองเ อง ู
ช่วง ๒๕ ปี นับแต่ พ.ศ. ๒๕๑๕-๒๕๔๐ มีการเปลี่ยนแปลงด้านประ
ชากรที่ส�าคัญ อัตราการเกิดลดลงอย่างต่อเนื่อง เพราะการคุมก�าเนิดที่ได้ผล
เพราะว่าคนมีฐานะดีขึ้น และเพราะว่าคนหนุ่มสาวเลื่อนการมีลูกออกไปเพื่อ
เรียนต่อหรือเพื่อตั้งเนื้อตั้งตัวให้ได้เสียก่อน ดังนั้น อัตราการเพิ่มของประชากร
จึงลดลงจากร้อยละ ๓ ต่อปี เมื่อทศวรรษ ๒๔๙๐ เหลือเพียงร้อยละ ๑ ต่อปี
เมื่อทศวรรษ ๒๕๓๐ อย่างไรก็ตาม จ�านวนคนในวัยท�างานเพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อ
ทศวรรษ ๒๕๑๐ และ ๒๕๒๐ เพราะเกิดตั้งแต่สมัยทศวรรษก่อนหน้าขณะ
อัตราการเกิดยังสูงอยู่
ณ ช่วงเวลา ๒๕ ปีดังกล่าว เศรษฐกิจเมืองพัฒนารุดหน้าไปกว่าก่อน
มาก มูลค่าของผลิตภัณ ์มวลรวมประชาชาติ เพิ่มขึ้น ๕ เท่า และ
GDP ต่อหัวเพิ่มขึ้น ๓ เท่า (แผนภาพที่ ๒) ส�าหรับก�าลังแรงงานทั้งหมดของ
ประเทศนั้น ประมาณ ๑ ใน ๔ อพยพมาจากภาคเกษตร จ�านวนของประชากร
กรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นกว่า ๓ เท่า (จาก ๓ ล้านเป็นกว่า ๑๐ ล้าน) พ.ศ. ๒๕๑๘
กรุงเทพฯ มีตึกสูงเพียง ๒ แห่งท่ามกลางตึกแถวจ�านวนมหาศาล แต่เมื่อถึง
ปลายทศวรรษ ๒๕๓๐ นักธุรกิจใฝ่ฝันว่าจะสร้างตึกสูงที่สุดของโลกยังใจกลาง
กรุงเทพฯ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เช้าตื่นขึ้นมารีบคว้าก่อน
ไวท์ไลอ้อน สีฟันมันหนักหนา
เนชั่นแนล หม้อหุงปรุงน�้าชา
แต่ผมทาน�้ามันชื่อ ตันโจ
นุ่งผ้าไทยโทเรเทโตร่อน
ครั้นถึงตอนออกไปคาด ไ โก้
ข่าวประชาสัมพันธ์ฟัง ันโย
เอารถ โตโยต้า ขับไปรับแฟน๒
การล้อเลียนเสียดสีแบบนี้ก็มี แต่ไม่มีการเดินขบวนประท้วงต่อต้าน
เหมือนที่นักศึกษาเคยเดินขบวนต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ หรือการ
ประท้วงนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น (ทานากะ) ที่มาเยือนไทยในปี ๒๕๑๘ ทศวรรษ
๒๕๒๐ รัฐบาลญี่ปุ่นปรับปรุงภาพพจน์ของตัวเองในเมืองไทย โดยลงทุนด้าน
วัฒนธรรม เช่น สนับสนุนให้นักศึกษา นักวิชาการ สื่อ มีโอกาสไปรู้จักสังคม
ญี่ปุ่น เพื่อให้คนไทยยอมรับญี่ปุ่นมากขึ้น บริษัทญี่ปุ่นซึ่งเข้ามาลงทุนเลือกหุ้น
ส่วนไทยที่เป็นเจ้าของบริษัทขนาดใหญ่ และยินยอมให้หุ้นส่วนคนไทยบริหาร
ด้านการตลาด การท�าสัญญากับรัฐบาล และการประชาสัมพันธ์
การร่วมทุนท�าธุรกิจกับบริษัทญี่ปุ่น ช่วยเพิ่มความเข้มแข็งให้กับธุรกิจ
ระดับน�าของไทย เมื่อระบอบประชาธิปไตยหวนกลับมาอีกครั้งหนึ่งหลัง พ.ศ.
๒๕๒๐ นักธุรกิจระดับแนวหน้าของไทยก็ได้เข้าร่วมก่อตั้ง “พรรคการเมือง”
บ้างก็สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง หรือพยายามกดดันให้เกิดนโยบายที่เอื้อธุรกิจ
พ.ศ. ๒๕๒๓ บุ ญ ชู โรจนเสถี ย ร อดี ต ประธานกรรมการใหญ่ ข องธนาคาร
กรุงเทพ ขณะนั้นด�ารงต�าแหน่งรองนำยกรัฐมนตรีดูแลด้านนโยบายเศรษฐกิจ
เสนอให้รัฐบาลและนักธุรกิจร่วมมือกันสร้าง “บรรษัทประเทศไทย”๓ ตามแบบ
อย่างหนังสือชื่อ apan Inc. ว่าด้วยความส�าเร็จของเศรษฐกิจญี่ปุ่น บุญชู
ต้องการให้รัฐบาลบริหารจัดการประเทศไทยเสมือนเป็นบริษัทธุรกิจแห่งหนึ่ง
ความพยายามนี้ล้มเหลว แต่ผู้น�าด้านธุรกิจก็ได้ชักจูงให้รัฐบาลด�าเนินนโยบาย
เศรษฐกิจไปในแนวทางที่เอื้อกับวิสาหกิจเอกชน โดยส่งแรงกดดันผ่านสมาคม
อุตสาหกรรม หอการค้า และสมาคมธนาคาร พ.ศ. ๒๕๒๔ รัฐบาลก่อตั้งคณะ
กรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน ก.ร.อ. เพื่อให้เกิดการประสานงานกันระหว่าง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
นักธุรกิจระดับน�าสนับสนุนการเปลี่ยนยุทธศาสตร์ รัฐบาลเริ่มจะปรับเปลี่ยน
“ระบบภาษี” และด�าเนินมาตรการส่งเสริมการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อ
ส่งออก
ปัจจัยภายนอกประการหนึ่งที่ท�าให้การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์เป็นไป
ได้อย่างสมบูรณ์คือ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๘ สหรัฐและญี่ปุ่นประชุมกัน
เพื่อแก้ปัญหาความวุ่นวายในตลาดการค้าเงินตราต่างประเทศของโลก ภายหลัง
จากที่โลกเผชิญกับวิกฤตราคาน�้ามันพุ่งขึ้นอย่างพรวดพราด การประชุมกัน
ครั้งนั้นน�าไปสู่การตกลงที่รู้จักกันว่า la a A ords โดยญี่ปุ่นยอมปล่อยให้
ค่าเงินเยนเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเงิน ดอลลำร์สหรัฐและเงินสกุลอื่นๆ ที่
โยงกับเงินดอลลาร์ เช่น เงินบำท อีก ๔ ปีต่อมาค่าเงินบาทในรูปของเงินเยน
ลดลงครึ่งหนึ่ง ท�าให้มูลค่าสินค้าออกจากไทยสู่ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นถึง ๓ เท่า ไทยจึง
เข้าร่วมขบวนแบบจ�าลองเอเชีย (Asian model) เป็นเศรษฐกิจส่งออกสินค้า
อุตสาหกรรมอีกรายหนึ่ง
บริษัท เอกชนของไทยและที่ร ่ ว มทุ น กับ ต่ า งชาติใ นขณะนั้น เป็ น กลุ ่ ม
แรกๆ ที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ใหม่ ธนาคารและบริษัทเงินทุนยินดีที่จะ
ให้บริษัทเหล่านี้กู้เงินเพื่อขยายการลงทุน สินค้าออกของไทยเพิ่มขึ้นในอัตรา
ร้อยละ ๒๔ ต่อปี นับจาก พ.ศ. ๒๕๒๗-๒๕๓๒ มีเสื้อผ้าส�าเร็จรูป ของเด็กเล่น
กระเปา ดอกไม้ประดิษฐ์ และสินค้าที่ใช้แรงงานเข้มข้นอื่นๆ เป็นตัวน�า
ต่อมาบริษัทในญี่ปุ่นต้อง “หนีจำกค่ำเยนสูง” (ค�าขวัญที่ญี่ปุ่นในขณะ
นั้น) เพราะว่าค่าเงินเยนสูงท�าให้สินค้าผลิตที่ญี่ปุ่นแพงขึ้นในตลาดโลก ต้อง
ย้ายฐานการผลิตออกจากญี่ปุ่นไปยังที่ที่มีต้นทุนต�่ากว่า จึงแห่กันเข้ามาลงทุน
ในไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคด้วย อีกไม่นานบริษัทจากไต้หวัน ฮ่องกง
เกาหลีใต้ก็เผชิญภาวะค่าเงินสูงด้วย จึงเข้ามาลงทุนอีกระลอกหนึ่ง จาก พ.ศ.
๒๕๓๑ เงินลงทุนทางตรงจากประเทศเอเชียตะวันออกเหล่านี้ไหลสู่เมืองไทย
อย่างมากมาย บางบริษัทเข้ามาผลิตสินค้าอุตสาหกรรมใช้แรงงานเข้มข้น เช่น
ของเด็กเล่น กระเปา รองเท้า (โดยเฉพาะจากไต้หวัน) แต่หลายบริษัทเข้ามา
ลงทุนในกิจการที่ใช้เทคโนโลยีเข้มข้น เช่น แผงวงจรไฟฟ้า ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์
สินค้าไฟฟ้า และชิ้นส่วนรถยนต์ โดยการลงทุนในเมืองไทยเป็นส่วนหนึ่งของ
เครื อ ข่ า ยการผลิ ต สิ น ค้ า ในหลายประเทศของบริ ษั ท ลงทุ น เหล่ า นี้ ครั้ น ต้ น
ทศวรรษ ๒๕๓๐ “มินิแบ” บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ได้ย้ายการผลิต
มังกรผงา ลาย
เศรษฐกิจเฟื่องฟูท�าให้ภาคเมืองโดยเฉพาะกรุงเทพฯ ยิ่งมีบทบาทน�า
ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ปรับแปรนักธุรกิจซึ่งส่วนใหญ่เป็น
ไทยเชื้อสายจีน ให้เป็นชนชั้นน�าที่มั่งคั่ง มั่นใจในสถานะทางสังคมและมีอิทธิพล
ทางการเมืองเพิ่มขึ้น บรรดาคนไทยเชื้อสายจีนทั้งในแวดวงธุรกิจ ข้าราชการ
และนักวิชาชีพ เกิดความมั่นใจและภาคภูมิใจที่เป็นเชื้อสายของชาวจีนอย่างเห็น
ได้ชัดเจน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
- ) &
&
%
- ) 0! &
'&
.
& -!*"
"+&)
& +/%
(+/ & ") &
".
- ,
%,(
)
%& , "+& &)
/ & +)%
.
++) +(
/
"+&
& +)
& )+)
+ -#
& +)
+)
- +)
$"
%+)
+
$"
+&&)
& 0
)&
,-1
&
&)
แผนที่ ประเทศไทยร่วมสมัย
บรรษัทขนาดใหญ่จากรุ่นเก่าก่อนเติบโตและแตกแขนงไปสู่กิจการใหม่ๆ
อย่างต่อเนื่อง แต่การเปิดเสรีการเงินและเศรษฐกิจเฟื่องฟูก็ได้เปิดโอกาสให้
นักธุรกิจรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดด้วย หลายคนเริ่มกิจการที่ต่างจังหวัด นักธุรกิจที่
รุ่งมากที่สุดในช่วงนี้คือ ทักษิณ ชินวัตร พื้นเพมาจากครอบครัวธุรกิจมีหลักมี
ฐานที่เชียงใหม่ เขาลงทุนในกิจการสาขาใหม่คือ “โทรคมนาคม” โดยได้รับ
สัมปทานจากรัฐบาลท�าโทรศัพท์มือถือ ดาวเทียม และได้ประโยชน์จากตลาด
หลักทรัพย์ที่ก�าลังรุ่ง ภายในเวลาเพียง ๕ ปี ช่วงทศวรรษ ๒๕๓๐ มูลค่า
ทรัพย์สินของเขาพุ่งขึ้นจนมากกว่า ๒ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบครัวธุรกิจ
ใหม่อื่นๆ ก็มั่งคั่งขึ้นจากการท�าธุรกิจโทรคมนาคม อสังหาริมทรัพย์ การค้าปลีก
สมัยใหม่ และธุรกิจอื่นๆ ซึ่งโยงกับตลาดภายในประเทศที่ก�าลังเฟื่องฟูสุดขีด
ตระกู ล ธุ ร กิจ ขนาดใหญ่ ทั้ง หลายเมื่อ มั่ง คั่ง ขึ้น และมีค วามส�า คัญ ต่ อ
ระบบเศรษฐกิจไทยมากขึ้น จึงมีความมั่นใจในสถานภาพทางสังคมและทาง
การเมืองสูงขึ้น ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๒ แทบไม่มีจีนกลุ่มใหม่อพยพเข้ามาไทยอีก
ดังนั้น ครอบครัวไทยเชื้อสายจีนแทบทั้งหมดจึงอยู่ในรุ่นที่ ๓ เป็นอย่างน้อย
หรือรุ่นต่อมา ลูกหลานของตระกูลระดับน�ามีโอกาสเข้าสู่เส้นทางของอภิสิทธิ์ชน
โดยได้รับการศึกษาเคียงบ่าเคียงไหล่กับลูกหลานของชนชั้นน�าดั้งเดิม จาก
ทศวรรษ ๒๕๐๐ การแต่งงานกันระหว่างครอบครัวธุรกิจใหญ่และตระกูลผู้ดี
ดั้งเดิมเป็นที่ยอมรับกันมากขึ้น และยิ่งพบเห็นได้บ่อยในภาวะที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู
หลัง พ.ศ. ๒๕๒๘ บุตรชายของตระกูลจิราธิวัฒน์ เจ้าของกิจการค้าปลีกสมัย
ใหม่ (เซ็นทรัล) แต่งงานกับราชนิกุล บุตรชายและทายาทของตระกูลโสภณ
พนิช เจ้าของธนาคารกรุงเทพ แต่งงานกับบุตรสาวของตระกูลข้าราชการใหญ่
สมาชิกคนส�าคัญๆ ของตระกูลขุนนางดั้งเดิมมีชื่อเป็นกรรมการบรรษัทขนาด
ใหญ่ หนังสือพิมพ์ธุรกิจฉบับใหม่และแมกกาซีนด้านธุรกิจปกฉูดฉาดหลาย
ฉบับบ่งบอกความส�าเร็จของบรรษัทขนาดใหญ่ ส�านักพิมพ์ออกหนังสือว่าด้วย
ประวัติส่วนตัวของผู้ก่อตั้งบรรษัทใหญ่ เฉลิมฉลองความส�าเร็จของพวกเขา
และเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นเอาอย่าง
ตระกูลธุรกิจทั้งใหญ่และเล็กส่งลูกหลาน (โดยเฉพาะผู้ชาย แต่ก็ไม่
เสมอไป) ไปเรียนสูงๆ ที่เมืองนอกมากขึ้น เมื่อกลับมาให้เข้ารับราชการหรือ
ท�างานวิชาชีพ เทคโนแครตจ�านวนมากที่ท�างานตามกระทรวงและมีบทบาท
ต่อนโยบายก็มาจากตระกูลเหล่านี้นั่นเอง ปวย อึงภากรณ์ เป็นตัวอย่างของ
เทคโนแครตรุ่นแรกๆ บิดาเป็นคนจีนมีอาชีพค้าส่งปลา ได้รับทุนให้ไปเรียน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ที่อังกฤษ และไต่เต้าได้เป็นถึง “ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย” เมื่อ พ.ศ.
๒๕๐๒ ด้วยอายุเพียง ๔๓ ปี เขาก่อตั้งทุนธนำคำรชำติ ส่งผลให้คนอื่นๆ ที่
หัวดีมีโอกาสด�าเนินรอยตาม ลูกหลานของตระกูลร�่ารวยหลายคนไปเรียนต่อ
ที่สหรัฐ กลับมามีต�าแหน่งสูงในกระทรวงต่างๆ เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย
หรือเป็นนักบริหาร นักวิชาชีพตามวิสาหกิจเอกชน เส้นแบ่งเดิมระหว่างข้าราช
การไทยและธุรกิจจีนเลือนรางลง
ครั้นเมื่อวิสำหกิจเอกชนกลายเป็นพลังขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจ นัก
วิชาการเชื้อสายจีนเรียกร้องให้มีการยอมรับบทบาทของชาวจีนในประวัติศาสตร์
ซึ่งนักชาตินิยมรุ่นก่อน (เช่น หลวงวิจิตรวาทการ) นิยามว่าเป็นประวัติศาสตร์
“ไทย” โดยเฉพาะ พ.ศ. ๒๕๒๙ นักประวัติศาสตร์ เช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์ เขียน
หนังสือ า ท พ า น ี เริ่มต้นด้วยการอภิปรายค�าว่า
“เจ๊ก” ปกติเป็นค�าไม่สุภาพที่ใช้เรียกคนจีนหรือลูกจีน แต่นิธิบอกว่า “สังคม
ที่มีพลังคือสังคมที่ปล่อยให้มีควำมหลำกหลำยในวั นธรรม ควำมแตกต่ำงของ
วิถีชีวิต, ค่ำนิยม และรสนิยมของ คือควำมมั่งคั่งทำงวั นธรรมอย่ำงหนึ่ง
ของสังคมไทย” ๔
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ไทยแลนด์เวิร์ลด์ก็ดูจะสวยแบบหมวยๆ มากขึ้นในระยะนั้น นักธุรกิจระดับ
แนวหน้ารายหนึ่งรื้อสร้างใหม่ (deconstruct) อัตลักษณ์ความเป็นไทยของ
เขา เมื่อประกาศว่าเขามี “เชื้อชาติกวางตุ้งร้อยเปอร์เซ็นต์เกิดเมืองไทย”๘
สมัยจอมพล ป. รัฐบาลตั้งใจที่จะบูรณาการชาวจีนอพยพให้เป็นส่วน
หนึ่งของชาติไทย ในแง่หนึ่งโครงการนี้ประสบความส�าเร็จอย่างสูง ชาวจีน
เรียนภาษาไทย รับวิถีชีวิตแบบไทยๆ และมองตัวเองเป็นพลเมืองของชาติไทย
แต่ในขณะเดียวกันคนไทย-จีนก็ได้ช่วยหล่อหลอมวัฒนธรรมเมืองแบบใหม่ที่มี
องค์ประกอบของภาษา รสนิยม และสุนทรียศาสตร์ที่เป็นมรดกตกทอดมาจาก
วัฒนธรรมจีนด้วย ไม่เป็นเรื่องยากที่จะตระหนักว่า เชื้อสายและชาติไม่ใช่สิ่ง
เดียวกัน
สร้างชนชันกลาง
เริ่มแรกนั้นการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยมีเป้าหมายพัฒนาก�าลังคน
เพื่อเข้ารับราชการ ปลายทศวรรษ ๒๕๐๐ นักวิชาการอเมริกัน เดวิด วิลสัน
(David Wilson) ตั้งข้อสังเกตเกินเลยไปหน่อยว่า คนไทยที่ได้รับการศึกษาสูง
นอกเหนือจากกลุ่มข้าราชการ ก็เห็นจะมีแต่นักหนังสือพิมพ์ที่ต้องยึดอาชีพนี้
เพราะว่าสอบไม่ผ่าน สหรัฐได้ให้เงินช่วยรัฐบาลไทยขยายการเรียนการสอน
ระดับอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยต่างจังหวัดเริ่มขึ้นเมื่อปลายทศวรรษ ๒๕๐๐
มหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรกคือ รามค�าแหง เกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๑๔ และจากปี
๒๕๒๐ มหาวิทยาลัยเอกชนเพิ่มขึ้นหลายแห่ง จากปี ๒๕๑๓-๒๕๔๓ จ�านวน
ผู้จบการศึกษาระดับอุดมศึกษาเพิ่มขึ้น ๒๐ เท่า เป็น ๓.๔ ล้านคน และไม่ได้
เข้ารับราชการเท่านั้น จ�านวนมากท�างานเป็นนักวิชาชีพ ผู้บริหาร และผู้จัดการ
ในภาคเอกชน
ภาคเอกชนให้เงินเดือนสูงกว่าในภาคราชการมาก ส่วนต่างนี้ยิ่งถีบตัว
สูงขึ้นหลังปี ๒๕๒๙ เป็นต้นไป เพราะว่าเศรษฐกิจเฟื่องฟูมาก เมื่อมีรายได้สูง
ขึ้นก็ย้ายจากที่เคยอยู่ห้องแถวตามย่านเก่าในกรุงเทพฯ ไปซื้อบ้านจัดสรรตาม
หมู่บ้านชานเมือง ปลายทศวรรษ ๒๕๒๐ ความต้องการที่อยู่อาศัยแบบนี้จุด
ประกายให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการสร้างบ้านจัดสรรผุดขึ้นในบริเวณ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
หญิงคนแรก ในครอบครัวธุรกิจจีนไทยระดับน�า ลูกสาวบางคนมีโอกาสเป็น
ผู้บริหารใหญ่ เพราะเคยมีประสบการณ์ดูแลอสังหาริมทรัพย์และการเงินของ
ครอบครัว และบางครั้งเพราะว่าลูกสาวเก่งกว่าลูกชาย นักธุรกิจหญิงประสบ
ความส�าเร็จสูงเป็นแบบอย่ างให้กับคนอื่น เช่น นางชนัตถุ์ ปยะอุย ในเครือ
โรงแรมดุสิตธานี และศุภลักษณ์ อัมพุช จากกลุ่มเดอะมอลล์
แต่ครอบครัวธุรกิจจีน-ไทยจ�านวนมากยึดถือระบบชายเป็นใหญ่ ใน
ธุรกิจบันเทิงทั่วไปผู้ชายมีบทบาทสูง ละครโทรทัศน์จ�านวนมากมีเนื้อหาค่อนไป
ทางควบคุมผู้หญิง โดยให้ภาพผู้หญิงเป็นรองชายเสมอ มักเป็นผู้ใช้อารมณ์
ความรู้สึกไม่ค่อยมีเหตุผล และจะมีจุดจบที่แสนเศร้า ยิ่งเป็นคนทะเยอทะยาน
มากยิ่งจะจบแบบเศร้าสุดๆ
มองไปที่แวดวงการเมืองก็ถูกครอบง�าโดยผู้ชายตั้งแต่ระดับล่างไปถึง
บน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๘ “ผู้ใหญ่บ้านหญิง” มีเพียงร้อยละ ๒ ของทั้งหมด ข้า
ราชการหญิงพบเห็นได้ทั่วไประดับกลางและล่าง แต่เมื่อถึงระดับข้าราชการ
อาวุโส สัดส่วนที่เป็นหญิงจะลดน้อยลงอย่างทันที สัดส่วนของ ส.ส. หญิงก็
น้อยและไม่เคยมากกว่าร้อยละ ๑๕ ด้วยเหตุฉะนี้จึงพบว่า กฎหมายไทย
สะท้อนระบบชายเป็นใหญ่อย่างชัดเจนและเปลี่ยนแปลงช้ามาก ดังนั้น ผู้หญิง
จึงยังเสียเปรียบชายอยู่เสมอ โดยเฉพาะกฎหมายครอบครัว (เช่น ภรรยาฟ้อง
ร้องสามีเรื่องมีชู้ได้ยากกว่าถ้าสามีจะฟ้องภรรยา) ผู้ชายยังคงมีเมียน้อยหรือ
เที่ยวโสเภณีเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่บังคับให้ผู้หญิงท�าตามมาตรฐานที่
แตกต่าง
ชนชันคนงานอาบเหงอต่างนํา
นโยบายเศรษฐกิจที่ส่งเสริมอุ ตสาหกรรมส่งออกจากกลางทศวรรษ
๒๕๒๐ ท�าให้เมืองเจริญเติบโตเร็ว ความต้องการแรงงานประเภทต่างๆ จึงเพิ่ม
ขึ้นมาก แต่ชนบทประสบปัญหาวิกฤตหลายประการ (ดูเบื้องหน้า) ผลักดัน
ให้คนออกจากหมู่บ้านเข้าเมืองหางานท�า ระหว่างปี ๒๕๒๘-๒๕๓๘ นั้นคน
งานโรงงานอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น ๕ ล้านคน ช่วงที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู
สุดขีดจากต้นทศวรรษ ๒๕๓๐ คนชนบทย้ายเข้ามาท�างานในอุตสาหกรรมและ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ยิ่งรัฐบาลเป็นปรปักษ์กับคนงาน ก็ยิ่งส่งเสริมให้นายจ้างละเมิดหรือ
หลีกเลี่ยงกฎหมายคุ้มครองคนงาน โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าและการผลิตสินค้า
ใช้แรงงานเข้มข้นอื่นๆ เป็นกลุ่มแรกๆ ที่เติบโตมากในช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู
บ้างก็จัดระบบการผลิตแบบโรงงานในกฎเกณฑ์ของกฎหมายแรงงาน บ้างก็ใช้
ระบบเหมาช่วงให้คนงานรับงานไปท�าที่บ้านแล้วจ่ายเงินตามผลงานเป็นชิ้นๆ ไป
(เช่ น ค่ า เย็ บ เสื้ อ ตั ว ละ ๑๐ บาท) (sub-contract-work) ปลายทศวรรษ
๒๕๒๐ ระบบแบบหลังนี้จ้างคนงานถึง ๘ แสนคนเพื่อตัดเย็บเสื้อผ้า อุตสาห-
กรรมเพชรพลอย รองเท้า และของเด็กเล่นก็ใช้ระบบเดียวกัน แม้แต่กรณีที่ใช้
ระบบโรงงาน เช่น ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ นายจ้างก็จ้างคนงานประจ�าแต่น้อย
จ้างคนงานชั่วคราวเสียมาก หรือให้ท�างานแบบเหมาช่วงภายในโรงงานนั้นเอง
ทั้งนี้เพื่อลดต้นทุนการผลิตโดยหลีกเลี่ยงที่จะต้องจัดหาสวัสดิการต่างๆ ให้หาก
จ้างเป็นคนงานประจ�าตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายแรงงาน การส�ารวจโรงงานที่
ย่านอุตสาหกรรมชานเมืองกรุงเทพฯ ย่านหนึ่งในปี ๒๕๓๑ พบว่าร้อยละ ๖๑
ของคนงานท�างานภายใต้ระบบเหมาช่วงงาน หรือการท�างานเป็นชิ้น ไม่ใช่เป็น
คนงานมีเงินเดือนประจ�า
อุตสาหกรรมใช้เทคโนโลยีซึ่งเริ่มมีบทบาทส�าคัญตั้งแต่ปลายทศวรรษ
๒๕๒๐ ต้องใช้คนงานมีทักษะสูงและเป็นคนงานถาวร ไม่ใช่พวกที่อพยพไปๆ
มาๆ สภาพการท�างานในโรงงานประเภทนี้ดีกว่าโรงงานที่ผลิตสินค้าใช้แรงงาน
เข้มข้นแต่เทคโนโลยีต�่า ดังนั้นจึงมีผู้อยากท�างานประเภทนี้มากกว่า ถึงกระนั้น
ก็ตามยังมีความไม่มั่นคงสูง กระบวนการผลิตของโรงงานที่เข้ามาตั้งในเมือง
ไทยมักเป็นการประกอบชิ้นส่วนที่ใช้แรงงานค่อนข้างมาก และต้องการคนงาน
อายุน้อยมีสายตาดีและใช้มือได้อย่างว่องไว โรงงานเหล่านี้ไม่จ้างคนงานอายุ
เกิน ๔๐ หรือต้องไม่เกิน ๓๐ นอกจากนั้นยังเป็นโรงงานที่สามารถเคลื่อนย้าย
ไปประเทศอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย (footloose) เพราะว่าไม่ใช้เงินลงทุนมาก
ต้นทศวรรษ ๒๕๓๐ “บริษัทมินิแบ” เป็นนายจ้างรายเดียวที่จ้างคนงานมาก
ที่สุด แต่อีก ๕ ปีต่อมาก็ลดจ�านวนคนงานลงเหลือเพียง ๑ ใน ๕ เนื่องจาก
ย้ายโรงงานบางส่วนไปประเทศอื่นที่ค่าจ้างถูกกว่า “บริษัทผลิตดิสก์ไดรฟ์”
ย้ายจากสิงคโปร์มาไทยเมื่อปลายทศวรรษ ๒๕๓๐ ท�าให้สาขานี้เป็นนายจ้าง
รายใหญ่ที่สุดในบรรดาโรงงานอุตสาหกรรมด้วยกัน แต่อีก ๑๐ ปีต่อมาก็ย้าย
ออกไปอยู่ที่จีน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เกิดของประชากรโดยรวมลดลงอย่างฮวบฮาบเมื่อหญิงสาวแต่งงานช้าลงเพราะ
ท�างาน วิถีครอบครัวชนบทก็เปลี่ยน หนุ่มสาวที่เพิ่งแต่งงานเมื่อมีลูกจะทิ้งไว้
ให้พ่อแม่ดูแล แล้วทั้งผัวเมียก็เข้าเมืองไปท�างานหาเงิน จนหมู่บ้านบางแห่งที่
อีสานมีแต่คนแก่และเด็กหลงเหลืออยู่ เพลงชื่อ าน ของพงษ์สิทธิ์ ค�ำภีร์
มีเนื้อความตอนหนึ่งว่า
เมื่อผู้หญิงท�างานหาเงินได้ด้วยตนเอง สถานะของเธอในครอบครัวและ
สังคมขยับสูงขึ้น งานเทศกาลนักขัตฤกษ์ซ่ึงเคยเป็นหมุดหมายเปลี่ยนฤดูกาล
เกษตร กลายเป็นโอกาสให้คนหนุ่มสาวกลับจากเมืองสู่เหย้าเพื่อเยี่ยมเยือน
พ่อแม่ท�าบุญที่วัด อวดโอ่ให้ชาวบ้านได้เห็นความรุ่มรวย พบหน้าลูก พร้อมทั้ง
สานสายสัมพันธ์กับครอบครัวและชุมชนบ้านเกิด
เมื่อตลาดแรงงานตึงตัวขึ้นช่วงกลางทศวรรษ ๒๕๓๐ ได้มีแรงงาน
ต่างด้าวทะลักเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ครั้นถึง พ.ศ. ๒๕๓๗ ประมาณ
การว่าแรงงานอพยพต่างชาติเหล่านี้เข้ามาท�างานอยู่ในเมืองไทยถึง ๔ แสนคน
๓ ปีต่อมาเพิ่มเป็น ๑-๓ ล้านคน (ทั้งนี้ไม่มีใครแน่ใจว่าจ�านวนที่แท้จริงเป็น
เท่าไรกันแน่) หรืออาจจะสูงถึงร้อยละ ๑๐ ของก�าลังแรงงานของไทยทั้งหมด
ส่วนมากแล้วก็จะมาจากพม่า ลาว และจีน พวกเขารับจ้างท�างานหาปลา (จน
กระทั่งท่าเรือหาปลาหลายแห่งมีแต่คนงานพม่า) ท�าสวนผลไม้ ท�างานบ้าน และ
ท�างานในโรงงานนรก โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าเป็นจ�านวนมากย้ายไปตั้งที่ชายแดน
ไทยใกล้กับพม่า แล้วจ้างคนงานพม่าราคาถูก พ.ศ. ๒๕๓๘ รัฐบาลไทยจัด
ระบบเพื่อให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาท�างานโดยถูกกฎหมายได้ แต่เมื่อเศรษฐกิจ
ตกต�่า พ.ศ. ๒๕๔๐ ก็พยายามผลักดันพวกเขากลับบ้านเกิด แต่ไม่ประสบความ
ส�าเร็จสักเท่าไร หลังจากนั้นช่วงปลาย พ.ศ. ๒๕๔๓ น�าระบบให้ใบอนุญาต
ท�างานกลับมาใช้อีกแต่จ�ากัดบริเวณและสาขาการผลิต ทว่าเพียงส่วนน้อย
เท่านั้นที่ลงทะเบียนเป็นคนงานต่างด้าวถูกกฎหมาย ส่วนใหญ่แล้วมักจะเข้า
มาท�างานโดยตกลงกันเองระหว่างผู้จ้างและลูกจ้าง เมื่อเป็นดังนั้นคนงานผิด
กฎหมายเหล่านี้ก็ไม่ได้รับการคุ้มครองและขาดสิทธิทุกอย่าง ได้รับค่าจ้างเพียง
สังคมชนบทปรับตัว
กลางทศวรรษ ๒๕๑๐ คาดการณ์กันว่า สังคมชาวนาโดยเฉพาะที่ภาค
กลาง น่าจะปรับเปลี่ยนเป็นสังคมเกษตรพาณิชย์ ผลิตเพื่อขายเป็นหลัก โดย
บางส่วนต้องเป็นแรงงานไร้ที่ดิน เนื่องจากจ�านวนประชากรล้นเกินที่ดิน อีกทั้ง
ไม่อาจสู้กับอ�านาจตลาดและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น แต่ราคาสินค้าเกษตรมี
แนวโน้มถดถอย อย่างไรก็ตาม ต้นทศวรรษ ๒๕๒๐ เศรษฐกิจไทยหักเหไป
โดยภาคเกษตรลดความส�าคัญลง ภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนในจีดีพี (GDP)
สูงกว่าภาคเกษตรในปี ๒๕๒๗ และสัดส่วนของมูลค่าสินค้าออกอุตสาหกรรม
สูงกว่าเกษตรในปี ๒๕๒๘ ครั้น พ.ศ. ๒๕๔๓ พบว่ามูลค่าสินค้าเกษตรลดลง
เหลือเพียงร้อยละ ๑๐ ของจีดีพี ส�าหรับการส่งออกเกษตรเหลือร้อยละ ๗
ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด เท่ากับว่าเกษตรไม่ได้เป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ไทยอีกแล้ว ดังนั้น ทั้งรัฐบาลและภาคเอกชนจึงใส่ใจน้อยลง บริษัทเกษตร
ยักษ์ใหญ่ เช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ (หรือซีพี) ก็ยังหันไปลงทุนในกิจการโทร
คมนาคม บริษัทผลิตน�้าตาลหันไปลงทุนกิจการโรงแรม บรรดาเจ้าสัวเจ้าของ
โรงสีข้าวลงทุนสร้างศูนย์การค้าใหญ่โตหลายแห่งที่กรุงเทพฯ
วิก ตที่ดิน (ที่จะส่งผลให้มีชาวนาไร้ที่ดินจ�านวนมาก) ไม่ได้เกิดขึ้น
อย่างกว้างขวางดังที่คาดการณ์กันเอาไว้ ทั้งนี้เพราะคนชนบทออกไปท�างานใน
เมืองได้ เฉพาะที่ภาคกลางแรงงานเกษตรลดลงจาก ๓.๕ ล้านคน เหลือเพียง
๒.๕ ล้านคน ช่วงที่เศรษฐกิจไทยเฟื่องฟูขึ้นมาสมัย พ.ศ. ๒๕๒๘-๒๕๓๘
เกษตรกรเผชิญปัญหาขาดแรงงานรับจ้าง จึงต้องลงทุนซื้อเครื่องจักรและปัจจัย
การผลิตที่ประหยัดแรงงาน เช่น รถแทรกเตอร์ รถเกี่ยวข้าว ยาฆ่าหญ้า ฯลฯ
เมื่อคนในเมืองต้องการสินค้าเกษตรสูงขึ้น และชาวนาเข้าถึงพืชพันธุ์ใหม่และ
เทคโนโลยีใหม่ได้ง่ายขึ้น ท�าให้เกษตรกรที่ยังอยู่ในพื้นที่สามารถขยับขยายไป
ผลิตสินค้าเกษตรที่มีมูลค่าสูง บางคนท�านาปีละถึง ๓ ครั้ง บางคนเลิกท�านา
แต่ปรับเปลี่ยนไปปลูกผลไม้และผักต่างๆ ให้คนเมืองบริโภค บ้างก็ปลูกพืช
ชนิดใหม่ เช่น “ข้าวโพดอ่อน” ป้อนโรงงานกระปองเพื่อส่งออกนอก ทศวรรษ
๒๕๓๐ เกษตรกรจ� า นวนมากปรั บ ที่ น าให้ เ ป็ น บ่ อ เลี้ ย งกุ ้ ง (ใช้ น�้ า เค็ ม ) และ
สามารถหาก�าไรมากพอภายใน ๒ ปี เทียบเท่ากับการท�านาประมาณ ๓๐ ปี
แม้จะเสี่ยงกับปัญหาโรคกุ้งและดินเค็มเป็นอย่างมากก็ตาม
นับเป็นครั้งแรกในช่วง ๑๕๐ ปที่พื้นที่ปลูกข้าวในเขตที่ราบเจ้าพระยา
ลดลง
บริเวณอื่นที่มีสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติเหมาะสมและอยู่ใกล้ตลาด
เมืองก็เปลี่ยนแปลงในลักษณะคล้ายกัน ที่เชียงใหม่ชาวนาปรับนาข้าวให้เป็น
สวน “ลิ้นจี่” และ “ล�าไย” เพื่อส่งออกไปเมืองจีน ที่ชายฝั่งทะเลแถบภาคใต้
เกษตรกรท�าฟาร์มเลี้ยงปลาและกุ้ง ที่ลุ่มน�้าชี-มูลตอนล่างของอีสาน เกษตรกร
พบว่าทุ่งนาดินเค็มเหมาะกับการปลูก “ข้าวหอมมะลิ” ที่ทั้งคนไทยและตลาด
ต่างประเทศติดใจ ในบริเวณเหล่านี้เกษตรกรรายเล็กท�านาโดยใช้แรงงานใน
ครัวเรือนยังคงอยู่ได้ แต่ก็โยงกับตลาดสูงขึ้นมาก คนรุ่นเด็กและหนุ่มสาวมัก
จะอพยพออกไปเรียนหนังสือหรือไม่ก็ท�างานในเมือง ถนนหนทางการคมนาคม
ขนส่งที่ดีขึ้นและถูกขึ้น อีกทั้งมีบริการรถบัสทั่วถึง ท�าให้พวกเขาเดินทางแบบ
ไปเช้า-เย็นกลับ หรือกลับบ้านทุกเสาร์-อาทิตย์ได้
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เพื่อลดทอนการพึ่งพาภายนอก ผู้ใหญ่วิบูลย์ เข็มเฉลิม
(จังหวัดฉะเชิงเทรา) หลังจากเป็นหนี้เป็นสินจากการท�าไร่มันส�าปะหลัง ตัดสินใจ
ปรับที่นาที่เหลืออยู่ท�าเกษตรผสมผสานใช้หลักการพออยู่พอกิน ต่อมาเขาได้
กลายเป็นหนึ่งใน “ปรำช ์ชำวบ้ำน” ที่สนับสนุนแนวทางเกษตรผสมผสานนี้
พ.ศ. ๒๕๓๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชด�าริแบบ
จ�าลองการจัดพื้นที่ดินเพื่อการอยู่อาศัยและมีชีวิตอย่างยั่งยืนเรียกว่า “เกษตร
ท ษ ีใหม่” ที่มีหลักการ “พออยู่พอกิน” และ “พึ่งตนเอง” ตามแนวทางพุทธ
ศาสนา
ยุทธศาสตร์นี้เป็นสิ่งบันดาลใจ แต่อาจจะยากในทางปฏิบัติ ครัวเรือน
เกษตรจ�านวนมากอยู่รอดได้โดยท�าเพื่อกินเองและเพื่อขายในตลาดพร้อมกัน
พวกเขายังคงปลูกข้าวเพื่อเลี้ยงตนเอง แม้ว่าราคาข้าวจะไม่ดี และอาจจะขาด
ทุนแทบทุกเมื่อ บ้างเก็บหาของป่ามากินมาใช้บ้าง และบางแห่งยังคงแลกเปลี่ยน
ภายในชุมชนโดยไม่ได้ใช้ระบบตลาดเต็มที่ ขณะเดียวกันนี้ก็ส่งสมาชิกรุ่นเยาว์
ออกไปหางานท�าในเมืองมากขึ้นๆ เพื่อให้ได้เงินสดส่งกลับบ้านด้วย พ.ศ.
๒๕๓๘ เกือบ ๒ ใน ๓ ของรายได้ครัวเรือนเกษตรที่เป็นเงินสด ได้มาจากการ
ท�างานนอกภาคเกษตร (ส�าหรับเขตอีสานแล้วสัดส่วนนี้สูงถึง ๔ ใน ๕) ซึ่งรวม
ทั้งร้อยละ ๔๓ จากรายได้ที่เป็นค่าจ้างแรงงาน ครัวเรือนใช้รายได้ที่เป็นเงินสด
นี้เพื่อซื้อของกินใช้ประจ�าวัน เพื่อการลงทุนท�าการเกษตร (ที่ขาดทุน) และส่งลูก
ไปเรียนในเมือง ด้วยความหวังว่าจะไม่ต้องเป็นเกษตรกรเหมือนพ่อแม่
ปั ญ หาประการที่ ส อง คื อ เศรษฐกิ จ เมื อ งที่ เ อง ู ขึ้ น ได้ แ ย่ ง เอา
ทรัพยากรที่ดิน น�้า และปา ึ่งเกษตรกรรายเล็กได้เคยใช้ประโยชน์ไปเสีย
เป็นจ�านวนมาก
รอบๆ กรุงเทพฯ บ้านจัดสรรและโรงงานเข้าทดแทนนาข้าวที่ทุ่งรังสิต
ซึ่งเคยเป็นถิ่นบุกเบิกท�านาข้าวที่ใช้น�้าจากคลองรังสิตเมื่อ ๑๐๐ ปีก่อน ทาง
ด้านทิศตะวันออกที่อีสเทิร์น ีบอร์ด เคยเป็นถิ่นบุกเบิกปลูกมันส�าปะหลังและ
ปอก็ได้ปรับเปลี่ยนเป็นนิคมอุตสาหกรรมไปเสียมาก ที่ภาคเหนือตามบริเวณ
หุบเขาสวยงามมีรีสอร์ตผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด การสร้างถนนหนทางก็ต้องใช้เนื้อที่
ที่เคยเป็นนาเป็นป่า อีกทั้งการสร้างสนามกอล์ฟ (มากกว่า ๑๐๐ แห่งในช่วง
เศรษฐกิจบูมสุดขีด) การท�าเหมืองกรวด ท�าซีเมนต์เพื่อสร้างถนนและสิ่งก่อสร้าง
อื่นๆ การท�าเขื่อนขนาดใหญ่เพื่อสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังน�้าเพื่อให้คนเมืองมีไฟฟ้า
ใช้ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ดึงเนื้อที่นาไร่และป่าเขาออกไปจากมือเกษตรกรทั้งสิ้น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
“น�้า” เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีการแก่งแย่งกันรุนแรง โดยเฉพาะในบริเวณ
ที่ราบลุ่มเจ้าพระยา ซึ่งในช่วงหน้าแล้งจะต้องได้น�้ามาเพิ่มจากเขื่อนที่เก็บกักน�้า
ทางตอนเหนือ เมื่อเกษตรกรภาคเหนือก็เพิ่มพื้นที่ในการเพาะปลูกพืชเช่นกัน
จึงมีน�้าเหลือให้เก็บกักในเขื่อนน้อยลง ขณะเดียวกันกรุงเทพฯ ก็ใช้น�้ามากขึ้น
จากที่เคยใช้ ๐.๕ แสนลูกบาศก์เมตรต่อวัน ใน พ.ศ. ๒๕๒๑ เพิ่มเป็น ๗.๕
แสนลูกบาศก์เมตรต่อวันใน พ.ศ. ๒๕๔๓ และระหว่าง พ.ศ. ๒๕๓๖-๒๕๓๗
ผลกระทบของสภาวะภูมิอากาศผันผวนที่เรียกว่า “เอลนิโญ” ท�าให้ฝนตกน้อย
กว่าปกติมาก ปริมาณน�้าในเขื่อนต่างๆ จึงลดลงไปด้วย กรมชลประทานต้อง
ประกาศห้ามเกษตรกรปลูกพืชหรือท�านาครั้งที่ ๒ ในช่วงหน้าแล้งตามบริเวณ
ที่ราบลุ่มเจ้าพระยา เกษตรกรหลายคนปฏิเสธที่จะท�าตาม และต่อต้านไม่ให้
เจ้าหน้าที่รัฐเข้าควบคุมประตูน�้า นี่คือจุดเริ่มต้นที่ภาคราชการเริ่มพูดถึง “วิก ต
น�้า” และมีข้อเสนอว่าจ�าเป็นต้องเก็บภาษีน�้า อีกทั้งก�ากับควบคุมการชลประ
ทานเพื่อให้มีน�้าพอเพียงกับความต้องการที่กรุงเทพฯ
ที่น่านน�้าบริเวณชายฝั่งทะเลก็เป็นจุดความขัดแย้งแก่งแย่งกัน จาก
กลางทศวรรษ ๒๕๐๐ การจับปลาทะเลมีปริมาณเพิ่มขึ้นจาก ๔ แสนตัน เป็น
๓ ล้านตันต่อปี เรือประมงเพิ่มขึ้นรวดเร็ว เครื่องมืออวนลากพร้อมเครื่องมือ
สื่อสารที่ทันสมัย เพิ่มประสิทธิภาพการจับปลาอย่างมาก และรัฐบาลก็ส่งเสริม
การส่งออกอาหารทะเลแช่แข็ง ดังนั้น ถึงทศวรรษ ๒๕๓๐ ปริมาณปลาและกุ้ง
ในทะเลจึงลดลงอย่างฮวบฮาบ เจ้าของเรือประมงขนาดใหญ่จึงใช้อวนลากหา
ปลาแถบบริเวณชายฝั่งด้วย ท�าให้ชาวประมงรายย่อยใช้เรือเล็กและเครื่องมือ
ประมงแบบพื้นบ้าน เช่น โปะ โพงพาง รั้ว ไซมาน และลอบเพื่อหาปลาชายฝั่ง
หาปลาได้น้อยลง ทั้งๆ ที่กฎหมายห้ามเรือประมงขนาดใหญ่เข้ามาใช้อวนลาก
อวนรุนในบริเวณ ๓ กิโลเมตรจากฝั่ง แต่การบังคับใช้กฎหมายนี้ก็ไม่ได้ผล
กลางทศวรรษ ๒๕๓๐ จึงเห็นชุมชนประมงบริเวณชายฝั่งทะเลเรียกร้องให้เจ้า
หน้าที่รัฐบังคับใช้กฎหมาย เมื่อไม่ได้ผล บางทีก็ปิดล้อมท่าเรือเพื่อเป็นการ
ประท้วง
“พัฒนาการเศรษฐกิจ” เริ่มตั้งแต่ “สมัยอเมริกัน” พึ่งทรัพยากรธรรม
ชาติโดยไม่ได้ค�านึงถึงผลกระทบที่จะตามมา ได้ปรับเปลี่ยนเมืองไทยจากที่เคย
มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์กลายมาเป็นขาดแคลนภายในชั่วอายุคน
เดียวเท่านั้น ประมาณ ๓๐ ป
ชนบท ขนสู้
คนชนบทปกป้องตนเองจากการถูกเอาเปรียบและทรัพยากรถูกแย่งชิง
โดยร่วมมือกับองค์กรพัฒนาเอกชน (เรียกย่อๆ ว่า อพช. หรือเอ็นจีโอ หรือ
Non-Governmental Organization)
อพช. รุ่นแรกๆ ก่อตัวขึ้นช่วงทศวรรษ ๒๕๐๐ เป็นต้นมา ปรมาจารย์
ของพวกเขาคือ ดร.ปวย อึงภากรณ์ เทคโนแครต (ผู้เชี่ยวชาญที่จ�าเป็นในการ
บริหารจัดการเศรษฐกิจสมัยใหม่) ที่มีชื่อเสียงเด่นมาก เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่
สนใจความเป็นธรรมในสังคม อีกคนหนึ่งคือ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ นักเคลื่อนไหว-
นักเขียนแนวพุทธศาสนาเพื่อการมีชีวิตที่สมดุล ภายหลังเหตุการณ์ “๖ ตุลา”
ทั้งสองต้องลี้ภัยไปต่างประเทศ เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จน ดร.
ปวยนั้นไม่ได้กลับมาอยู่เมืองไทยอีก จากปลายทศวรรษ ๒๕๑๐ คนที่เคยเป็น
นักเคลื่อนไหวสมัย “๑๔ ตุลา” และ “๖ ตุลา” (๒๕๑๖-๒๕๑๙) หลายคนหัน
มาจับงาน อพช. ด้วยพวกเขาอยากเปลี่ยนแปลงสังคมโดยใช้แนวทางสันติ
ต้นทศวรรษ ๒๕๒๐ ขบวนการ “พระนักพัฒนา” เริ่มเผยแพร่ความคิดที่ว่า
พระสงฆ์ควรจะท�างานพัฒนาเพื่อปรับปรุงสังคมในโลกนี้
ต้นทศวรรษ ๒๕๒๐ นักเคลื่อนไหวหลายคนใน อพช. รุ่นแรกๆ นี้
เริ่มเสนอว่า นโยบายพัฒนาแบบบนลงล่าง คือก�าหนดมาจากภาครัฐบาลส่วน
กลางโดยไม่ให้ภาคประชาชนมีบทบาทเลย ไม่สามารถยกระดับคุณภาพชีวิต
ของคนส่วนใหญ่ แต่ได้ท�าให้สังคมยุ่งเหยิงและแตกแยก
การพัฒนาแบบบนลงล่าง เรียกร้องให้ชาวบ้านเปลี่ยนวิถีชีวิต เปลี่ยน
การผลิตเป็นแบบสมัยใหม่ เป็นวิทยาศาสตร์ และคิดแบบการค้าในระบบตลาด
มากขึ้น แต่นักเคลื่อนไหวเสนอว่า การพัฒนาควรมีรากมาจากความรู้ของชาว
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
บ้านเอง ควรพยายามท�าให้วัฒนธรรมพื้นถิ่นแข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งรักษาความ
สัมพันธ์แบบหมู่บ้านเอาไว้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีคุณค่า มีความหมายต่อมนุษยชาติ
สอดคล้องกับระบบคุณค่าของพุทธศาสนามากกว่าระบบคุณค่าของสังคมเมือง
อุตสาหกรรม ดร.เสรี พงศ์พิศ เคยเป็นบาทหลวงนิกายคาทอลิก และเป็น
อาจารย์มหาวิทยาลัย เสนอให้ชาวบ้านเป็นตัวของตัวเอง
การพัฒนาชุมชนในชนบททุกวันนั้นส่วนใหญ่ยังเป็นการ
‘ยัดเยียด’ แนวคิดจากภายนอก ซึ่งถือว่าตนเองรู้มากกว่า...จ�าเป็น
ต้องเข้าใจวัฒนธรรมชุมชน วิธีคิดวิธีให้คุณค่า วิธีปฏิบัติและโลก
ทรรศน์ของชาวบ้าน และให้พวกเขามีบทบาทหลักในการพัฒนา
ชุมชนของตนเอง๑๑
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ช่วง ๓ ปีต่อมา กลุ่มเกษตรกรอีสานได้ใช้ยุทธศาสตร์เดียวกันนี้เรียก
ร้องให้รัฐบาลช่วยจัดการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ราคาสินค้าเกษตรตกต�่า การเข้า
ถึงป่า เรียกร้องเงินทดแทนการสูญเสียที่ดินในโครงการสร้างเขื่อน และเรียกร้อง
ให้ยกเลิกโครงการเขื่อนที่ยังไม่ได้สร้างด้วย เครือข่ายเกษตรกรภาคเหนือเดิน
ขบวนประท้วงในลักษณะคล้ายกันที่เชียงใหม่ เรียกร้องสิทธิที่ท�ากินและสิทธิ
พลเมืองของชาวเขา ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๘ เกิดองค์กรประสานกลุ่มประท้วง
ทั้งหลายขึ้นใหม่คือ สมัชชาคนจน เป็นเครือข่ายโยงกลุ่มประท้วงเข้าภายใต้ร่ม
ธงเดียวกัน ไม่มีผู้น�า แต่มีกลุ่ม “ที่ปรึกษำ” จาก อพช.หลายแห่ง การตั้งชื่อ
มีนัยให้เห็นความต่างระหว่างชนบทยากจนกับเมืองร�่ารวย “สมัชชาคนจน” ได้
รวบรวมเกษตรกรอีสาน รวมถึงชาวเขาที่เรียกร้องสัญชาติไทยและสิทธิในที่ท�า
กิน และชุมชนประมงพื้นบ้านภาคใต้ที่ถูกประมงอวนรุนอวนลากรุกราน และ
ยังมีกลุ่มคนงานเมืองอีก ๒-๓ กลุ่มที่เผชิญปัญหาเข้าร่วม
พ.ศ. ๒๕๓๙ “สมัชชาคนจน” น�ากลุ่มผู้ประท้วงหลายพันคนเข้ามาที่
กรุงเทพฯ และได้ข้อตกลงกับนายกรัฐมนตรีในหลายกรณี แต่ต่อมาภายหลัง
ผลการเจรจานี้ตกไปเมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๔๐ “สมัชชาคนจน” น�า
ชาวบ้านกว่า ๒ หมื่นคน ปักหลักประท้วงที่กรุงเทพฯ เป็นเวลา ๙๙ วันอย่าง
ต่อเนื่อง จนในท้ายที่สุดมีข้อตกลงกับรัฐบาลที่รวมถึงการชดใช้เงินทดแทน
๔.๗ พันล้านบาทให้กับชาวบ้านซึ่งสูญเสียที่ดินจากโครงการสร้างเขื่อน ตกลง
ให้ผู้จับจองพื้นที่ป่ามาก่อนสามารถอยู่ในป่าได้ และจะมีการประเมินโครงการ
สร้างเขื่อนที่ยังไม่ได้สร้างเสียใหม่ แต่แล้วก็มีการเปลี่ยนรัฐบาลอีกในปลายปี
เดียวกัน ท�าให้รัฐบาลใหม่ยกเลิกข้อตกลงทั้งหมดอีกครั้ง
“สมัชชาคนจน” เป็นขบวนการทางสังคมที่สื่อมวลชนให้ความสนใจ
และได้รับการกล่าวขานถึงในพื้นที่สาธารณะในช่วงที่การประท้วงของชาวบ้านรุ่ง
ถึงจุดสูงสุด เศรษฐกิจวิก ต พ.ศ. ๒๕๔๐ ยิ่งเพิ่มความคับข้องใจให้กับชาว
บ้านเป็นทวีคูณ หลังจากค่าเงินบาทลดลง ราคาสินค้าเกษตรตกต�่า แต่ปุย-ยา
ฆ่าแมลงแพงขึ้น คนงานอพยพตกงานต้องกลับชนบท เงินรายได้จากค่าจ้างที่
แรงงานเคยส่งกลับบ้านก็หดหาย ต้นปี ๒๕๔๗ องค์กรชาวบ้านหลายแห่งเรียก
ร้องให้รัฐบาลช่วยเรื่องหนี้สิน ๒ ปีต่อมาเกษตรกรหลายกลุ่มปิดถนนหลวง
ในภูมิภาคหรือเดินขบวนเข้ากรุงเทพฯ เรียกร้องให้รัฐบาลอุดหนุนราคาสินค้า
เกษตร “สมัชชาคนจน” เรียกร้องให้จ่ายเงินชดเชยการสูญเสียที่ดินจากโครง
การเขื่อนอีก และให้เปิดประตูกั้นน�้าที่ “เขื่อนปำกมูล” เขื่อนที่ได้ส่งผลกระทบ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ชาวนาไม่ได้เป็น “กระดูกสันหลังของชาติ” คือผู้สร้างความมั่งคั่งให้
แก่ประเทศเช่นก่อนเก่า และจากอดีตที่เคยมีบทบาทเป็นพลังเงียบอยู่เบื้องหลัง
ความสงบเรียบร้อยทางการเมืองอย่างที่มีจินตนาการกันก็ได้เปลี่ยนไป เมื่อการ
ประท้วงจากภาคชนบทเพิ่มขึ้น ฝ่ายรัฐต้องเปลี่ยนนโยบายหันมาเอาใจเกษตรกร
ปลายทศวรรษ ๒๕๒๐ รัฐบาลลดภาษีภาคเกษตรและเริ่มให้เงินอุดหนุน โครง
การพยุงราคาสินค้าเกษตรแบบต่างๆ เริ่มแรกท�าเป็นระยะสั้นๆ หรือจ�ากัดเขต
แต่ต่อมาค่อยๆ ขยายขอบข่ายออกไปและสม�่าเสมอขึ้น ครั้น พ.ศ. ๒๕๔๙
รัฐบาลให้เงินอุดหนุนราคาข้าวถึง ๑ ใน ๔ ของการผลิตข้าวทั้งหมด ทั้งนี้
นโยบายเป็นผลของการมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั่นเอง พรรคการเมือง
เสนอโครงการดังกล่าวเพราะเป็นที่นิยม และเพราะมีผลทันตาเห็นในการลด
จ�านวนคนยากจน บ่งบอกถึงผลส�าเร็จของนโยบายลดความยากจน
รัฐบาลยังเพิ่มเงินค่าใช้จ่ายในการสร้างถนนซึ่งเชื่อมโยงหมู่บ้านกับตลาด
สร้างระบบชลประทาน ขยายงานโครงการช่วยเหลือเกษตรกรด้านต่างๆ (ให้
ความรู้ การแจกเมล็ดพันธุ์ดี ฯลฯ) และโครงการพัฒนาชุมชนหลายด้าน โครง
การเหล่านี้นอกจากจะเพิ่มรายได้แล้วยังท�าให้ชาวบ้านมีงานท�าทั้งแบบท�าเต็ม
เวลาหรือท�างานบางเวลา นอกจากนั้น รัฐบาลยังสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเอกชน
ขยายโครงการผลิตสินค้าเกษตรแบบพันธะสัญญา (contract farming) ทั้ง
ในการผลิตผลไม้ ผัก ดอกไม้ ถั่วเหลือง และข้าวหอมมะลิ เกษตรกรและ
นักวิชาการบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการเกษตรแบบพันธะสัญญาเพราะเห็นว่าเอา
เปรียบเกษตรกร แต่โดยทั่วไปแล้วเกษตรกรตอบรับโครงการดังกล่าวด้วยดี
เพราะว่าช่วยลดความเสี่ยง น�าเงินลงทุนเข้ามา และไม่ต้องหาตลาดเอง ขณะ
เดียวกันรัฐบาลต้องขอความช่วยเหลือจากธนาคารโลก ท�าโครงการออกโฉนด
ที่ดินให้ผู้ถือครองที่ดินเกษตรได้มากกว่า ๑๒๕ ล้านไร่ ซึ่งโฉนดทั้งหมดนี้ครอบ
คลุมที่ดินเกษตรนอกเขตป่าสงวนหรืออุทยานแห่งชาติเกือบทั้งสิ้น
ความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่ได้ท�าให้สังคมชนบทปรับแปรไปอย่างถึง
รากถึงโคน แต่ได้ช่วยด�ารงสภาพของเกษตรครัวเรือนรายเล็กเอาไว้ ครัวเรือน
เกษตรรายเล็กยังคงพึ่งเศรษฐกิจเมืองให้แบ่งปันความมั่งคั่งให้กับพวกเขาผ่าน
แรงงานอพยพ จากการส�ารวจหมู่บ้านแห่งหนึ่งในอีสาน เมื่อทศวรรษ ๒๕๔๐
พบว่าสมาชิกของครัวเรือนอพยพไปท�างานในจังหวัดต่างๆ ทั่วเมืองไทยถึง ๑๖
จังหวัด และยังไปต่างประเทศ รวมทั้งลาว มาเลเซีย ไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น และ
เนเธอร์แลนด์ ๑๓
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
องค์ประกอบต่างๆ อันได้แก่ ระดับรายได้ที่สูงขึ้น ความคาดหวังต่อ
ชีวิตที่เปลี่ยนไป ความไม่พอใจความเหลื่อมล�้า และความคาดหวังกับบทบาท
ของรัฐบาลที่สูงขึ้น จะแปรเปลี่ยนการเมืองไทยไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงต้นคริสต์
ศตวรรษที่ ๒๑
สมัยสังคมมวลชน : สิงพิมพ์
ช่วง ๒๕ ปีหลัง “๑๔ ตุลา” (๒๕๑๖) สังคมมวลชนก่อตัวขึ้น ผู้คนผูก
โยงเข้ากับระบบเศรษฐกิจระดับชาติมากขึ้น การสื่อสารท�าให้คนใกล้ชิดกันมาก
ขึ้น การขยายแพร่กระจายของสื่อสารมวลชนเป็นกระจกเงาสะท้อนสังคม ท�าให้
ผู้คนตระหนักรู้เขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมชาติ
พ.ศ. ๒๕๑๘ จ�านวน ๙ ใน ๑๐ ของคนท�างานเรียนถึงประถมศึกษา
เป็นอย่างน้อย แต่เพียงร้อยละ ๖ หรือ ๑ ล้านเศษเท่านั้นที่จบมัธยมหรือสูง
กว่า และพวกหลังนี้ส่วนใหญ่เข้ารับราชการ เชื่อกันว่าเหมาะแล้วส�าหรับสังคม
ที่มีชาวนาเป็นคนส่วนมาก เพราะชาวนาไม่จ�าเป็นต้องเรียนสูง
แต่เมื่อเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเฟื่องฟูขึ้นจาก พ.ศ. ๒๕๒๘ ความต้อง
การก�าลังคนที่มีความสามารถเพื่อท�างานอุตสาหกรรมจึงเพิ่มขึ้น รัฐบาลเพิ่ม
งบประมาณเพื่อการศึกษาจาก ๑ ใน ๖ ของทั้งหมดเป็นร้อยละ ๒๕ เพิ่มชั้น
เรียนระดับมัธยมในโรงเรียนต่างจังหวัด ยกเว้นค่าเล่าเรียน ให้อาหารกลางวัน
และชุดนักเรียนฟรี เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายของครอบครัว ดังนั้น จ�านวนผู้ที่จบ
มัธยม หรือสูงกว่าจึงเพิ่มขึ้นมากกว่า ๑๐ เท่า เป็น ๑๐ ล้านคน ในปี ๒๕๔๕
จ�านวนคนอ่านหนังสือและสิ่งพิมพ์ประเภทต่างๆ ก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตาม
ตัว ทศวรรษ ๒๕๓๐ แม้แต่เมืองเล็กๆ ต่างจังหวัดก็มีร้านขายหนังสือพิมพ์
นิตยสารและหนังสือต่างๆ อย่างน้อย ๑ แห่งมักจะเรียงหนังสือพิมพ์ไว้ด้านหน้า
ด้านหลังจะมีสต๊อกของหนังสืออ่านเล่น บางแห่งมีเป็นพันเล่ม ราคาไม่แพง
เพราะต้นทุนการผลิตยังต�่าอยู่ ผู้คนซื้อหามาอ่านได้
เนื้อหาของนวนิยายและเรื่องสั้นยังคงพูดถึงสภาพสังคม แต่อารมณ์
ความหวังไม่แจ่มใสเมื่อเทียบกับเรื่องเขียนก่อน “๖ ตุลา ๑๙” ดังเช่น นวนิยาย
เรื่องค�ำพิพำกษำ ของชาติ กอบจิตติ (พ.ศ. ๒๕๒๔) หนังสือที่นิยมอ่านกันเป็น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
พิมพ์รายวัน และ ๑ ใน ๕ ที่ชนบทประมาณครึ่งหนึ่งอ่านไทยรัฐ และร้อยละ
๖-๗ อ่านหนังสือพิมพ์มติชน ตามหัวเมืองใหญ่ เช่น เชียงใหม่มีหนังสือพิมพ์
ท้องถิ่นมักเป็นรายปักษ์ แต่หนังสือพิมพ์ส่วนมากพิมพ์ที่กรุงเทพฯ
ส�าหรับสิ่งพิมพ์อื่นที่นิยมกันมากนั้นไม่มีอะไรเทียบประเภทฮำวทู (how
to) คือสอนให้ท�าอะไรเป็น ท�าธุรกิจ รักษาสุขภาพ ประสบความส�าเร็จในชีวิต
ส่วนตัว หนังสือประเภทนี้ช่วยให้คนเมืองรุ่นใหม่มีความรู้เรื่องแนวทางชีวิตและ
การปรับตัว ที่ไม่อาจหาได้จากสถานศึกษาหรือจากค�าสอนของพ่อแม่ ที่ขายดี
มากใช้เนื้อหา “บทเรียน” หรือสิ่งเตือนใจจากวรรณกรรมจีน เช่น เปำบุ้นจิ้น
สำมกก และต�ำรำพิชัยสงครำมของ ุนวู
หนังสือพิมพ์รายวัน นิตยสารสะท้อนชีวิตจริง นวนิยายประโลมโลกย์
และฮำวทู คือสื่อที่แบ่งปันและให้บทเรียนด้านประสบการณ์ ความหวั่นไหว
ความคาดหวังของชนชั้นกลางเมืองของไทยนั่นเอง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ขณะที่รัฐบาลต้องยกเลิกการควบคุมสื่อสิ่งพิมพ์ก็ตระหนักดีถึงบทบาท
และอิทธิพลของสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะโทรทัศน์ จึงควบคุมเข้มงวด จน
ถึงทศวรรษ ๒๕๓๐ นั้น กองทัพหรือหน่วยงานรัฐเป็นเจ้าของหรือเป็นผู้ออก
ใบอนุญาตให้กับสถานีโทรทัศน์ ๔ แห่ง และสถานีวิทยุอีกกว่า ๔๐๐ แห่ง
ทั้งสิ้น ดังนั้น เนื้อหาของสื่ออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้จึงอยู่ในความควบคุมอย่าง
ใกล้ชิด “ข่าววิทยุ” ก็คือข่าวของส�านักสื่อภาครัฐนั่นเอง “ข่าวโทรทัศน์” จะเริ่ม
ด้วยข่าวในพระราชส�านัก ตามด้วยข่าวของฝ่ายทหาร ตามด้วยข่าวด้านกิจการ
พลเรือนลดหลั่นเป็นล�าดับไป ไพรม์ไทม์หรือเวลาที่มีผู้ชมจ�านวนมาก จ�ากัดไว้
ส�าหรับละครทีวีที่ออกอากาศติดต่อกันไปเป็นชุด นอกจากนั้น มีรายการพิเศษ
เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ กองทัพ เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่
ควรระลึกถึงเพื่อสนับสนุนหลักการ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”
เนื้อหาของสื่อโทรทัศน์นี้ค่อยๆ เปลี่ยนไปจนมากพอที่จะเป็น “กระจก
เงา” สะท้อนภาพของสังคมไทยได้ ประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๓ สถานีวิทยุโทรทัศน์
ปรับผังรายการข่าวเสียใหม่ โดยจัดข่าวในพระราชส�านักเป็นหมวดหมู่เฉพาะ
แยกออกไป และยกเลิกการเสนอรายงานข่าวแบบลดหลั่นกันลงมาอย่างที่ท�า
ในอดีต หลายรายการท�าสัญญาว่าจ้างให้บริษัทข้างนอกจัดท�า เปิดโอกาสให้
บริษัท เช่น วอชด็อก (Watchdog) และเครือเนชั่น (Nation Group) ผลิต
รายการที่มีเนื้อหาวิพากษ์วิจารณ์และการอภิปรายการเมืองเป็นอิสระขึ้น ละคร
โทรทัศน์ผลิตในประเทศเพิ่มจ�านวนและคุณภาพ มักจะดัดแปลงมาจากนวนิยาย
มีชื่อเสียงอยู่แล้วและเป็นเสมือนกระจกสะท้อนการก่อตัวของชนชั้นกลาง ทุกๆ
คืนประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ใหญ่ในเมืองนั่งดูละครโทรทัศน์ ส�าหรับคนที่ไม่ได้
ดูด้วยเหตุผลใดก็ตาม ยังสามารถหาอ่านได้จากหนังสือพิมพ์รายวันหลายฉบับ
ที่ลงเรื่องเป็นตอนขนานกับละครโทรทัศน์
เนื้อหาของละครโทรทัศน์นั้นส่วนใหญ่เน้นไปที่วิถีชีวิตของชนชั้นกลาง
ที่นิยมกันมากมีโครงเรื่องคล้ายกัน เช่น ปัจเจกชนก้าวหน้าในชีวิตธุรกิจและ
ครอบครัวแม้จะมีอุปสรรคมากมาย ครอบครัวชนชั้นกลางร�่ารวยแต่ยังยึดมั่น
ในจริยธรรม คุณธรรม ชนะอ�านาจ การต่อสู้กับระบบพรรคพวกเครือญาติ
ความรุนแรง และคอร์รัปชั่น นอกจากนี้ ละครยังแสดงและแบ่งปันรสนิยม
ด้านแฟชั่นเสื้อผ้า การตกแต่งบ้าน การพูดจา และการวางตัวในสังคมของชนชั้น
กลาง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
พื้นที่สาธารณะเปิดขึ้นให้วีรบุรุษและวีรสตรีส ามัญชนได้เปิดเผยตัว
เรื่อยเรียงกันไป หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ พระจากหมู่บ้านที่โคราช ช่วยท�าให้
พระเครื่องรำงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายในหมู่ทหารโดยเชื่อว่าใช้เพื่อป้องกันภัย
ต่อมาคนอื่นๆ นิยมใช้เพื่อให้ร�่ารวยและโชคดี เกิดการสร้างรายได้จากการผลิต
พระเครื่องรางและเงินบริจาคพอกพูนปีละหลายร้อยล้านบาท หลวงพ่อคูณน�า
เงินรายได้ไปสร้างโรงเรียนและสวัสดิการอื่นๆ บุคคลส�าคัญในสังคมรวมทั้ง
ราชนิกุล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “นักการเมือง” เดินทางมาเยี่ยมคารวะ โดยที่หลวง
พ่อจะต้อนรับด้วยการเขกหัวให้พร ใช้ค�า “กูมึง” เป็นลักษณะเฉพาะตัวของ
หลวงพ่อ แม้ว่าใครอาจจะมองว่าล้าสมัยหรือว่าไม่สุภาพก็ตาม
พุ่มพวง ดวงจันทร์ เป็นแรงงานเด็กไร้การศึกษาแต่กลายเป็นราชินีนัก
ร้องลูกทุ่ง เมื่อเธอเสียชีวิตด้วยวัยอันเยาว์ ใน พ.ศ. ๒๕๓๔ “สมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” ได้เสด็จฯ ไปงานศพของเธอ และนายก
รัฐมนตรีในขณะนั้นกล่าวค�าไว้อาลัย ณ วัดที่บ้านของพุ่มพวง กลายเป็นที่ร�าลึก
ถึงเธอ เขำทรำย แกแล็ก ี่ ชกมวยชนะคู่แข่งถึง ๑๖ ครั้ง จากการท้าชิงทั้งหมด
๑๙ ครั้ง ได้เป็นแชมเปี้ยนมวยสากล ต่อมาแสดงภาพยนตร์และเป็นดาราราย
การโทรทัศน์ สมรักษ์ ค�ำสิงห์ เป็นนักมวยไทยคนแรกที่ได้เหรียญทองในกีฬา
โอลิมปิก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙ พุ่งขึ้นเป็นวีรบุรุษทันที อีก ๘ ปีต่อมา ปวี ำ
ทองสุก นักกีฬายกน�้าหนักก็กลายเป็นหญิงไทยคนแรกที่ชนะได้เหรียญทองใน
กีฬาโอลิมปิก รัชนก อินทนนท์ ผันตัวเองเป็นแชมเปี้ยนแบดมินตันของโลก
เมื่ออายุเพียง ๑๘ ปี กลางทศวรรษ ๒๕๓๐ ละครตลกออกอากาศทางโทรทัศน์
ที่ได้รับความนิยมสูงมาก เล่นโดย “ดาวตลก” ที่เคยแสดงตามวงลูกทุ่งต่าง
จังหวัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “หม�่ำ จกมก” หรือ เพ็ชรทำย วงษ์ค�ำเหลำ
หลวงพ่อคูณ สมรักษ์ ปวีณา รัชนก และหม�่ า บุคคลเหล่านี้ล้วนมี
พื้นเพเป็นชาวบ้านอีสาน ศาสนา กี า เพลง และละครตลก มีมิติขยาย
กระจกชนชั้น และก้าวข้ามก�าแพงจิตวิทยาที่แบ่งชนชั้นจากสมัยศักดินา
เฉลิมฉลองความหลากหลาย
พื้นที่สาธารณะ (public space) ในสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อมวลชนอิเล็ก
ทรอนิกส์ (วิทยุ โทรทัศน์ วิดีโอ) คือกระจกเงาที่สะท้อนสังคมในภาวะความ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ซื้อ “ลอตเตอรี่” (สลากกินแบ่งรัฐบาล) เบอร์อะไรดี ต้องไปบนบานศาลกล่าว
ขอพรจากพระพรหม ศาลพระภูมิ หรือจากเจ้าแม่กวนอิม จากพระที่มีชื่อเป็น
มงคล เช่น หลวงพ่อเงิน และแม้แต่จากวิญญาณของนักร้องราชินีลูกทุ่ง พุ่มพวง
ดวงจันทร์ จากพระบรมรูปทรงม้าของรัชกาลที่ ๕ บนถนนราชด�าเนิน และกลาย
เป็นศูนย์กลางของลัทธิ “เสด็จพ่อ” ก่อตัวขึ้นมาจากกลุ่มชนชั้นกลางที่กรุงเทพฯ
ซึ่งเป็นกังวลกับภาวะไร้เสถียรภาพด้านเศรษฐกิจและการเมือง บ้างก็ไปขอพร
เพื่อความเป็นสิริมงคล ต่อมาผู้นับถือกระจายออกไปในกลุ่มคนต่างจังหวัด
จนมีรถทัวร์น�าผู้เชื่อถือเข้ามาบูชาและขอพรที่กรุงเทพฯ
“วัดพุทธ” ซึ่งมีความเกี่ยวโยงกับคนจีนอพยพมาเมืองไทยในอดีต (เช่น
วัดพนัญเชิง ที่อยุธยา) ได้รับการอุปถัมภ์และการประดับประดาจากชนชั้นกลาง
เชื้อสายจีนฐานะดี จนมีบรรยากาศประหนึ่งศาลเจ้าจีน
พระสงฆ์บางรูปเป็นที่นิยมเพราะเสนอพระพุทธศาสนาแนวปฏิรูปเสมือน
เป็นนิกายใหม่ อย่างเช่น สมณะโพธิรักษ์ (รัก รักษ์พงษ์) พ.ศ. ๒๕๑๖ ปฏิเสธ
การปกครองของมหาเถรสมาคม โดยคืนใบสุทธิและอ้างสิทธิก่อตั้งนิกายใหม่
เสนอแนวทางสันโดษแบบเคร่งครัดตามแนวพระป่าให้กับชาวเมือง เป็นที่รู้จัก
กันในนามขบวนกำรสันติอโศก เมื่อมีผู้นิยมมากและเข้าไปโยงใยกับเรื่องการ
เมือง ถูกบังคับให้สึกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๒ หลังจากนั้นลูกศิษย์ลูกหาส่วนใหญ่
ปลีกตัวไปก่อตั้งชุมชนพึ่งตนเองที่ต่างจังหวัด
ส�ำนักธรรมกำย ก่อตั้ง พ.ศ. ๒๕๓๒ เริ่มจากที่คนนิยมพระสงฆ์รูปหนึ่ง
มีชื่อเสียงด้านท�าสมาธิ ต่อมาใช้การตลาดที่ชาญฉลาดจนได้รับความนิยมจาก
นักเรียน นิสิต นักศึกษา และบรรดานักวิชาชีพวัยหนุ่มสาว เห็นว่าการท�าสมาธิ
เป็นลู่ทางสู่ความส�าเร็จทั้งด้านจิตวิญญาณและทางโลก ส�านักธรรมกายสร้าง
ศูนย์ศาสนาพุทธใหญ่ที่สุดแถบชานเมืองกรุงเทพฯ สามารถดึงดูดให้ผู้คนเข้า
ร่วมพิธีทางศาสนาได้พร้อมกันมากกว่าแสนคน พ.ศ. ๒๕๔๑ หลังจากที่ลูก
ศิษย์ลูกหาอ้างว่าได้เห็นภาพมหัศจรรย์บนท้องฟ้าระหว่างการท�าสมาธิพร้อมๆ
กัน เจ้าส�านักถูกตรวจสอบในข้อกล่าวหาว่าใช้วิธีการตลาดเพื่อหาเงินบริจาค
ไม่เหมาะสม และอาจใช้เงินบริจาคแบบไม่โปร่งใส
แม้ว่าความพยายามที่จะปฏิรูปมหาเถรสมาคมพุ่งขึ้นมาอีกหลัง พ.ศ.
๒๕๔๐ แต่ก็ดูเหมือนว่ายังผิดฝาผิดตัว วิถีปฏิบัติพุทธศาสนาแบบดั้งเดิมถูก
ทดแทนด้วย “ตลาดด่วนศาสนา” เป็นพุทธพาณิชย์ หรือมีการน�าความเชื่อเรื่อง
ปาฏิหาริย์เครื่องรางของขลังมาใช้เพื่อความส�าเร็จทางโลกเข้ามาปะปน จนเป็น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ท้องถิ่นต่างๆ ชูประเด็นเรื่องอัตลักษ ์เฉพาะของพื้นที่เป็นจุดขายดึงดูดนัก
ท่องเที่ยว นักวิจัยรุ่นใหม่ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ชนชาติ มีสมมติฐานว่า วั น
ธรรม “ไทย” ต้นต�ารับจะพบเห็นได้ที่ชุมชน “ไท” นอกเมืองไทยเท่านั้น
รัฐบาลไทยยังคงส่งเสริม “วัฒนธรรมไทย” โดยมอบหมายให้คณะ
กรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเป็นผู้ด�าเนินงาน เช่น “ปีร รงค์วั นธรรมไทย
๒๕ ๗” คณะกรรมการยอมรับว่าวัฒนธรรมไทยมาจากหลายสาย แต่ก็ยัง
เสนอว่ามีการประสานเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวจากสองส่วน หนึ่งคือวัฒนธรรม
ชั้นสูงของพระพุทธศาสนา ศิลปะ และวิถีปฏิบัติแห่งราชส�านัก สองคือวัฒน
ธรรมพื้นถิ่น และระบบสังคมใกล้ชิดมีรากฐานอยู่ที่ระบบเครือญาติของชุมชน
ชนบท
นิยามวัฒนธรรมไทยอย่างเป็นทางการข้างต้นนี้ ยิ่งวันก็ยิ่งไม่สอดคล้อง
กับวิถีชีวิตและสภาพแวดล้อมของชุมชนเมืองทั้งหลายโดยเฉพาะที่กรุงเทพฯ
นับจากสมัยอเมริกันเป็นต้นมาที่วัฒนธรรมบริโภคนิยมเฟื่องฟูขึ้นนั้น ภาษาที่
ใช้สื่อความหมายกันในวัฒนธรรมบริโภคนิยมนี้ก็คือภาษาอังกฤษ (โดยเฉพาะ
ยี่ห้อต่างๆ) นโยบายการเปิดเสรีที่เพิ่มบทบาทของการแสวงหาก�าไรในระบบ
เศรษฐกิจเมื่อทศวรรษ ๒๕๒๐ อีกทั้งผลของการปฏิวัติด้านการสื่อสารและ
โทรคมนาคมได้เพิ่มปริมาณของสินค้าและบริการที่มาจากต่างประเทศ ความ
สัมพันธ์ของผู้คนในชีวิตประจ�าวัน ทั้งที่เกิดขึ้นบนรถไฟฟ้า ตามศูนย์การค้า
ใหญ่ๆ หรือในบริษัทธุรกิจต่างๆ มีความต่างจากภาพความสัมพันธ์ใกล้ชิดแบบ
เครือญาติภายในชุมชนชนบท หรืออุดมคติของวงผู้ดี หรือวงสุภาพชนในบรรดา
ข้าราชการและชนชั้นสูง ซึ่งเป็นแบบอย่างของวัฒนธรรมไทยที่ทางการเห็นว่า
เหมาะสม ทั้งนี้สังคมของชุมชนเมืองได้มีการพัฒนาวัฒนธรรมหรือวิถีปฏิบัติ
ของพวกเขาเองขึ้นใหม่ โดยแทบจะไม่ได้โยงกับสิ่งที่ถูกก�าหนดให้เป็นวัฒนธรรม
ไทยที่เหมาะสมนั้นเลย คนหนุ่มสาวหาความเริงรมย์จากภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด
ฟังเพลงปอปจากญี่ปุ่นและเกาหลี ดูฟุตบอลจากยุโรป ศิลปะการแสดงแบบ
ดั้งเดิม เช่น ร�าไทย โขน หาดูได้ยากขึ้นทุกที จนแทบจะหาดูไม่ได้เป็นรายการ
เริงรมย์ตามปกติ เว้นแต่จะต้องไปดูตามโรงแรมหรือร้านอาหารบางแห่งที่จัด
เตรียมแบบย่นย่อหรือปรับเอามาแสดงให้นักท่องเที่ยวต่างชาติดูเท่านั้น
ความหลากหลายที่เห็นได้ในกระจกสังคม หรือที่สะท้อนผ่านสื่อสาร
มวลชนต่างๆ บอกให้เห็นว่า ข้ออ้าง “วัฒนธรรมไทย” หรือ “รัฐชาติไทย” มี
นิยามเคร่งครัดตายตัว มีศูนย์รวมอยู่ด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวนั้นน่าจะใช้ไม่ได้
พรม น าย น
แต่รัฐชาติมีพรมแดนภายในแฝงอยู่ จากสมัยอเมริกันที่มีพัฒนาการ
เศรษฐกิจเป็นต้นมา ผู้ปกครองของไทยและชนชั้นกลางเมือง มีภาพว่าเมือง
ไทยเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ที่ผูกโยงอยู่กับประเทศพัฒนาแล้วของโลกอย่างใกล้ชิด
ใครก็ตามที่ไม่สามารถ หรือไม่ประสงค์ที่จะตามให้ทันกับความสมัยใหม่ สุ่ม
เสี่ยงที่จะตกขบวนรถไฟ และสูญเสียความเป็นสมาชิกของรัฐชาติ จากมุมมอง
นี้ ชุมชนเมืองทันสมัยมากกว่าชุมชนชนบท ชาวบ้านส่วนใหญ่ดูเหมือนยอมรับ
การพัฒนา และสอบผ่านได้เป็นพลเมืองของรัฐชาติถึงแม้ว่าอาจจะมีสถานะ
เป็นพลเมืองชั้นสองก็ตาม แต่ใครที่ต้านทานการพัฒนาจากส่วนกลาง ด้วย
ประสงค์ที่จะปกปักวิถีชีวิตแบบท้องถิ่น มักจะถูกกล่าวหาว่าไม่รักชาติ หรือ
“ไม่เป็นคนไทย” ผู้ที่อยู่ไกลปืนเที่ยงอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงที่สุดในประเด็นนี้ โดย
เฉพาะผู้ที่มีภูมิล�าเนาอยู่บนเขา ทศวรรษ ๒๔๙๐ มีการแก้ไขพระราชบัญญัติ
สัญชาติไทย ท�าให้ผู้ที่เกิดในเขตแดนไทยบางกลุ่มเหล่าไม่อาจมีสัญชาติไทย
ได้ ทั้งนี้เป้าประสงค์หลักก็เพื่อปิดกั้นไม่ให้เด็กที่เป็นลูกของผู้ลี้ภัยจากประเทศ
เพื่อนบ้านมาเมืองไทย ได้สัญชาติไทย ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากคือลูกของชาว
ไทยภูเขา บางคนได้รับเอกสารแสดงสถานภาพบางระดับ บางคนไม่มีเอกสาร
อะไรรับรอง แทบทุกคนมีสถานภาพไม่ชัดเจน จึงท�าอะไรไม่ค่อยได้ เมื่อไม่มี
สัญชาติไทยก็ถูกกีดกันและเป็นเหตุให้ภาครัฐปฏิบัติกับพวกเขาด้วยอคติและ
บางครั้งด้วยความรุนแรง ปัญหาป่าเสื่อมโทรมเนื่องจากถูกพ่อค้าไม้ตัดท�าลาย
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
หรือเนื่องจากนโยบายหรือการกระท�าของกองทัพ หน่วยงานรัฐและการรุกเข้าท�า
เกษตรสมัยใหม่โดยคนพื้นราบ ถูกเหมารวมว่าเป็นผลจากการที่ชาวเขาเผาป่า
ท�าไร่หมุนเวียนและปลูกฝิ่น ด้วยข้อกล่าวหานี้ชาวไทยภูเขาจ�านวนมากจึงไม่มี
สิทธิถือครองที่ดินและสิทธิความเป็นพลเมืองด้านอื่นๆ ด้วย
พรมแดนภายในอีกหนึ่งเส้น กั้นประชากรมุสลิมที่สามจังหวัดภาคใต้
สุด แม้ว่านโยบายทางการของรัฐคือยอมรับศาสนาทุกศาสนา แต่รัฐไทยยังคง
ไม่ไว้ใจชุมชน ึ่งปฏิเสธที่จะบูรณาการกับสังคมไทยอย่างเต็มที่ทั้งในเรื่องภาษา
และวิถีปฏิบัติศาสนา
ชาวไทยมุสลิมจากจังหวัดภาคใต้ ไม่กี่มากน้อยมีโอกาสเป็นครู ข้า
ราชการ หรือทหาร โครงการพัฒนาแบบครึ่งๆ กลางๆ ที่ขาดทั้งเนื้อหา เงินทุน
และบุคลากรที่เหมาะสมกับสภาพความต้องการของชุมชนพื้นถิ่น มีส่วนท�าให้
บริเวณสามจังหวัดภาคใต้มีชุมชนที่จนที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ การที่เจ้า
หน้าที่รัฐหลายภาคส่วนไม่ยอมรับศาสนาอิสลาม หรือไม่ยอมรับภาษายาวีของ
ท้องถิ่น ท�าให้ชุมชนมุสลิมก่อตั้งโรงเรียนปอเนาะของตนเอง และส่งหนุ่มสาว
ไปร�่าเรียนที่ประเทศมุสลิม เช่น ที่เอเชียใต้หรือที่ตะวันออกกลาง หลายคน
เมื่อจบการศึกษาก็ไปท�างานที่มาเลเซีย และบ้างก็ใช้ระบบศาลที่กลันตันของ
มาเลเซียตัดสินคดีความตามหลักกฎหมายของอิสลาม การที่ชาวไทยมุสลิม
ภาคใต้มีความสัมพันธ์กับมาเลเซียแบบนี้ ยิ่งท�าให้รัฐไทยมีอคติต่อพวกเขา
ผลที่เกิดขึ้นคือ ชาวไทยมุสลิมรู้สึกแปลกแยกออกจากสังคมไทย เป็นแรงผลัก
ให้พวกเขาโอบรับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกมุสลิมนอกเมืองไทยที่ก�าลังผันแปรอย่าง
รวดเร็ว โดยเฉพาะแนวโน้มสู่อิสลามแนวเคร่งครัด สภาวการณ์ดังกล่าวส่ง
ผลให้เกิดความตึงเครียดและความขัดแย้งแบบรุนแรงเมื่อทศวรรษ ๒๔๙๐
ปะทุอีกครั้งเมื่อทศวรรษ ๒๕๑๐ และอีกครั้งเมื่อช่วง พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๔๗
ในครั้งหลังนี้ความรุนแรงปะทุขึ้นมาเมื่อชุมชนเรียกร้องให้พวกเขาได้มีพื้นที่
วัฒนธรรมของชุมชนเองหรือมิฉะนั้นก็ขอแยกเป็นอิสระ
ตั้งแต่ทศวรรษที่ ๒๕๑๐ ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ภาคใต้รางเลือน
ไป นักการเมืองมุสลิมเชื้อสายมาเลย์กลุ่มหนึ่ง รวมทั้งบุตรชายของฮัจยีสุหลง
โต๊ะมีนา ประสบความส�าเร็จได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. ภายใต้ระบอบรัฐสภาประ
ชาธิปไตย คนหนึ่งได้ต�าแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่ าการกระทรวงมหาดไทยเมื่อปี
๒๕๔๔ ดูเหมือนว่าประชาธิปไตย ความเติบโตทางเศรษฐกิจ และการก�ากับ
ควบคุมแบบสุขุมที่ได้ผลโดยฝ่ายทหาร ได้ส่งผลลดทอนความสุดโต่งลงได้
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ชุมชนชาวบ้านหลีกเลี่ยงที่จะร่วมมือกับฝ่ายความมั่นคงของรัฐ ความส�าคัญ
ทางการเมืองของขบวนการก็ยังยากที่จะเข้าใจเพราะบริเวณ ๓ จังหวัดภาคใต้
มีสภาพพิเศษเกี่ยวโยงกับที่เป็นเมืองชายแดนห่างไกล กลุ่มกบฏต่างๆ หน่วย
งานต่างๆ ของฝ่ายความมั่นคงและนักการเมืองท้องถิ่นแก่งแย่งกันหาก�าไรจาก
การลักลอบค้าข้าว น�้ามัน ยาเสพติด เหล้าและการค้าแรงงาน การสังหารที่เกิด
ขึ้นทุกวันเป็นเสมือนฝีเน่าเฟะที่ใครๆ ก็เห็นและสังเวชใจ แต่ไม่อาจวิเคราะห์
หาสาเหตุได้ง่ายๆ หรือท�าให้ทุเลาเบาบางลง หรือแม้แต่จะเพียงเยียวยาให้ฝ่าย
อนุรักษนิยมลดความเคลือบแคลงใจลง
ความวิตกกังวลของ ายอนุรักษนิยม
ความเปลี่ยนแปลงอย่างกว้างขวางเมื่อกลางทศวรรษ ๒๕๓๐ สร้าง
ความตระหนกแก่กลุ่มที่รู้สึกว่ าอะไรๆ ช่างเกิดเร็วเกินกว่ าจะรับได้ ระบบ
เศรษฐกิจเปิดรับกับอิทธิพลจากภายนอกอย่างมหาศาล ทุนจากต่างประเทศ
เข้ามีบทบาทน�า กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองสากล หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจปี
๒๕๔๐ นั้น นักธุรกิจได้ร่วมมือกันเพื่อผลักดันให้มีนโยบายเศรษฐกิจที่ปกป้อง
พวกเขาบ้าง นักเคลื่อนไหวบางกลุ่มพยายามสร้างขบวนการ “ชาตินิยมใหม่”
เพื่อที่จะน�ากลุ่มต่างๆ มาร่วมมือกัน บางคนมีจินตนาการว่าไทยก�าลังสูญเสีย
อัตลักษณ์ด้านวัฒนธรรมภายใต้กระแสของโลกาภิวัตน์ โฆษณารายหนึ่งให้ภาพ
ฝรั่งก�าลังสอนให้คนไทยแสดงลีลา “สยามเมืองยิ้ม” ที่เลื่องชื่อ ขณะที่ความ
เป็นเมืองก�าลังพุ่งขึ้นสุดขีด บางคนบ่นหวนหาถึงระบบคุณค่าของชุมชนที่เข้าใจ
ว่ามีมาแต่ดั้งเดิมเป็นหัวใจของสังคมชนบท
บางคนแสดงความวิตกกังวลว่า ความร�่ารวยของ “กลุ่มคนรวยใหม่”
ที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วและการใช้เงินเพื่อกิจกรรมต่างๆ ของพวกเขาก�าลังเปลี่ยน
การเมืองที่เคยมีระเบียบไปอย่างสิ้นเชิง เป็นการเมืองไร้ระเบียบ จึงพยายามหา
วิธีเยียวยา รัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ ก่อตั้ง “องค์กรอิสระ” ใหม่ๆ ขึ้นมีเป้าหมาย
เพื่อลดการคอร์รัปชั่น ในบรรดานักการเมืองและการซื้อเสียง องค์กรความ
โปร่งใสสากล ก่อตั้งสาขาที่กรุงเทพฯ ปลายทศวรรษ ๒๕๓๐ นักวิชาการและ
สารคดีโทรทัศน์เปิดโปงการคอร์รัปชั่นในวงการต�ารวจ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
สรุป
ภายในชั่วอายุคนรุ่นเดียวเริ่มจากทศวรรษ ๒๕๒๐ ได้เกิดการเปลี่ยน
แปลงรวดเร็วในสังคมไทยอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เศรษฐกิจทุนนิยมใน
เขตเมืองได้ก่อตัวขึ้นแล้วตั้งแต่สมัยอเมริกัน จากฐานตรงนี้นั้นตระกูลธุรกิจ
ขนาดใหญ่ก็ได้ร�่ารวยขึ้น และยังมีฐานะทางสังคมและการเมืองสูงขึ้นด้วย ชน
ชั้นกลางเมืองประเภทคนงานนั่งโต๊ะกลุ่มใหม่ก็เพิ่มจ�านวน พวกเขาโอบรับรส
นิยมและวัฒนธรรมบริโภคแบบตะวันตก และแนวคิดปัจเจกชนนิยม (ปัจเจก
หรือบุคคลแต่ละคนเป็นใหญ่ที่สุด ส�าคัญกว่าสังคม) อย่างเต็มที่ เศรษฐกิจ
ทุนนิยมในเขตเมืองดึงดูดแรงงานอพยพจากชนบทเข้า ก่อร่างเป็นชนชั้นขาย
แรงงานที่เพิ่มจ�านวนขึ้นมากมาย
รัฐชาติไทยไม่อาจเก็บรักษาพรมแดน “ความเป็นไทย” เอาไว้ตาม
แบบฉบับเคร่งครัดที่ทางการมีจินตภาพ ด้วยปัจจัยภายนอกที่ถาโถมเข้ามา
อย่างไม่หยุดยั้ง ตัวบ่งชี้ความส�าคัญของปัจจัยภายนอกบางประการ ได้แก่
การค้าระหว่างประเทศโดยรวม (มูลค่าสินค้าเข้าบวกสินค้าออก) มีสัดส่วนเพิ่ม
จากร้อยละ ๔๐ ของ GDP เมื่อทศวรรษ ๒๕๑๐ เป็นร้อยละ ๑๒๐ เมื่อ พ.ศ.
๒๕๔๓ เงินลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มจากเพียงร้อยละ ๑ ของ GDP เป็นมาก
กว่าร้อยละ ๑๐ ในช่วงเดียวกัน นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มจากไม่กี่พันเป็น ๑๒
ล้านคน คนงานมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว เขมร และคนงานไทย
เองเดินทางไปท�างานที่ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตะวันออกกลาง สหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้
และที่ยุโรป ข้อมูลข่าวสาร ภาพ และความคิดใหม่ๆ ถาโถมเข้ามาผ่านสื่อดาว
เทียม การถ่ายทอดโทรทัศน์ ภาพยนตร์ วิดีโอ อินเตอร์เน็ต
เศรษฐกิจเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ จากพลังของโลกาภิวัตน์ ปัจจัย
ภายนอกต่างๆ และสังคมไทยก็ได้รับอิทธิพลมากมายจากโลกภายนอกอย่าง
เต็มที่ทั้งด้านรสนิยมและความคิดใหม่
นอกจากผลพวงของโลกาภิวัตน์ ความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ คือพัฒนา
การสู่สังคมมวลชน จนถึงราวๆ พ.ศ. ๒๕๐๐ นั้น ช่องทางที่ความคิดใหม่ๆ
และการแบ่งปันสิ่งใหม่ๆ จะกระจายสู่คนไทยในวงกว้างยังมีไม่มาก เพราะการ
สื่อสารคมนาคมยังจ�ากัดอยู่ จึงยังเป็นสังคมค่อนข้างปิด รัฐบาลเป็นเครือข่าย
ระดับชาติหนึ่งเดียว แต่จากทศวรรษ ๒๕๑๐ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหันต์
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
การเมอง จาก พ ศ ๒๕๑๙
เศรษฐกิจและสังคมที่ได้เปลี่ยนไปอย่างพลิกผันตั้งแต่สมัยอเมริกัน ส่ง
ผลให้การเมืองเปลี่ยนอย่างพลิกผันเช่นกัน
หลังเหตุการณ์ “๖ ตุลา ๑๙” ชนชั้นน�าไทย ๓ กลุ่มส�าคัญ คือ ข้าราช
การชั้นผู้ใหญ่ ราชส�านัก และกองทัพ ยังคงยึดติดอยู่กับภาพลักษณ์ของสังคม
ชนบทไทยที่ว่านอนสอนง่าย สยบรับการแบ่งชั้นเป็นสังคมผู้ใหญ่ผู้น้อย และ
การเมืองที่กีดกันคนระดับล่างออกไปอยู่ชายขอบ คือไม่มีส่วนร่วมในกระบวน
การตัดสินนโยบายที่กรุงเทพฯ ทั้ง ๓ กลุ่มประสงค์ที่จะเป็นผู้ชี้น�าระบบการ
ปกครองเสมือนพ่อปกครองลูกหรือที่เรียกว่าระบบพ่อขุนอุปถัมภ์ ต้องการรักษา
จินตภาพดังกล่าวเอาไว้ให้พ้นจากทั้งภัยคุกคามโดยลัทธิคอมมิวนิสม์และการ
คืบเข้ามาของเศรษฐกิจทุนนิยม นายพลและชนชั้นน�าข้าราชการร่วมกันวางแผน
ก่นสร้างสังคมสมานฉันท์ และ “ประชาธิปไตย” ที่มีกลุ่มตนเป็นผู้ชี้นา� แต่เมือง
ไทยก�าลังเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นสังคมเมืองมากขึ้นทุกที อีกทั้งอ�านาจของฝ่าย
นักธุรกิจสูงขึ้นมากเทียบกับข้าราชการ อีกนัยหนึ่งสังคมไทยไม่ได้ว่านอนสอน
ง่ายอีกต่อไป แต่เรียกร้องสิ่งต่างๆ จากรัฐบาลกลางมากขึ้น
โดยสรุป กระแสความเป็นอุตสาหกรรม ความเป็นเมือง ขบวนการ
โลกาภิวัตน์ และกระแสสังคมมวลชน ได้ทา� ลายจินตภาพของการเมืองแบบพ่อ
ปกครองลูกไปแล้ว
ตลอดทศวรรษ ๒๕๒๐ สมาชิกสภาผู้แทนราษ ร หรือ ส.ส. ที่ส่วน
ใหญ่มีพื้นเพเป็นนักธุรกิจและกลุ่ม “ประชาสังคม” ที่อยู่นอกรัฐสภาผลักดันให้
กองทัพกลับกรมกองเสีย คือพยายามให้กองทัพลดการเข้าแทรกแซงการเมือง
ในระบอบรัฐสภาประชาธิปไตย แต่กองทัพไม่เห็นพ้องด้วย จึงไม่ค่อยคืบหน้า
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ในมิตินี้และไม่สามารถบรรลุผลส�าเร็จเต็มที่ เมื่อกลุ่มนายพลพยายามที่จะฟื้นฟู
อ�านาจของทหารในช่วง พ.ศ. ๒๕๓๔-๒๕๓๕ กลายเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่ส�าคัญ
ยิ่ง เพราะว่าหลังจากปี ๒๕๓๕ บทบาทและเกียรติภูมิของกองทัพลดลงอย่าง
ฮวบฮาบ ขณะที่พื้นที่ทางการเมืองของฟากประชาสังคมและรัฐสภาขยายขอบ
ข่ายออกไปอย่างกว้างขวาง สร้างความหวังว่าการเมืองไทยจะเปลี่ยนสู่ระบอบ
รัฐสภาประชาธิปไตยได้มั่นคงขึ้น โดยมีพลังของขบวนการโลกาภิวัตน์หนุนช่วย
อีกทั้งความมั่นใจและกิจกรรมสนับสนุนประชาธิปไตยจากสังคมมวลชน เป็น
พลังทางการเมืองที่เน้นให้ความส�าคัญกับความอยู่ดีมีสุขของสังคมและชาติ ดู
เหมือนว่าจะเป็นกระแสน�าในพื้นที่ทางการเมืองที่ถูกเปิดกว้างขึ้น แต่ประเพณี
ความเชื่อเรื่องรัฐเผด็จการที่เข้มแข็งยังมีรากลึกในสังคมไทย
เมื่อฝ่ายธุรกิจขนาดใหญ่ร่วมมือกับการเมืองใหม่แบบ “ประชานิยม”
เพื่อที่จะลดอ�านาจของข้าราชการ ได้จุดประกายความขัดแย้งครั้งใหญ่จนเปิด
ช่องให้กองทัพกลับมาแทรกแซงการเมืองอีกครั้ง และเป็นภัยกับระบบรัฐสภา
ประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง
อุ มการณ์ของชาติ ละเอกลักษณ์ของชาติ
ความรุนแรงที่คนไทยกระท�าต่อกันในเหตุการณ์ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙
ส่งผลสะเทือนต่อสังคมไทยอย่างแรง เหตุการณ์นี้ได้ท�าลายภาพสังคมไทย
เป็นชาติรักสันติและก้าวหน้า ต่อมา กองอ�านวยการรักษาความมั่นคงภายใน
กอ.รมน. ที่ก่อตั้งขึ้นสมัยสงครามเย็นเริ่มแสวงหาแนวทางสร้างความสมานฉันท์
ระหว่างประชาชนในชาติ เพื่อที่ว่าประชาชนมีใจเป็นหนึ่งเดียว กอ.รมน.ปรึกษา
กับนักวิชาการได้ข้อสรุปว่า ค�าขวัญ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ “ยังขำด
ควำมเร้ำใจหรือเป็นสิ่งที่ห่ำงไกลตัวเกินไป และไม่สำมำรถใช้เป็นอุดมกำร ์ของ
ชำติ” ๑ ได้อีกต่อไป เนื่องจากสังคมได้ปรับแปรอย่างรวดเร็วภายในชั่วอายุคน
ที่ผ่านมา พวกเขาจึงคิดว่าเมืองไทยต้องการ “เอกลักษณ์แห่งชาติ” เพื่อที่จะข้าม
พ้นความขัดแย้งสุดโต่งเมื่อทศวรรษ ๒๕๑๐ และ “อุดมการณ์แห่งชาติ” ซึ่ง
สอดคล้องกับความคาดหวังว่าอนาคตจะสดใสขึ้น ในท�านองเดียวกับที่ลัทธิ
คอมมิวนิสม์ได้ให้ความหวังกับคนเป็นจ�านวนมากในหลายปีที่ผ่านมา
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ชาชน ดังนั้น จึงเป็นทางเลือกให้กับประชาชนแทนลัทธิคอมมิวนิสม์ รัฐบาล
ที่ดีจะได้มาก็โดยต้องปกครองด้วย “คนดี” แทนที่จะเป็นสถาบันตัวแทนของ
ประชาชน
ประโยคที่ว่า “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ได้
ถูกเขียนลงไปในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ บ้างตั้งแต่ฉบับ พ.ศ. ๒๔๙๒ ขณะนี้
ได้กลายเป็นมาตรฐาน ประวัติศาสตร์ถูกปรับให้สะท้อนความโยงใยระหว่าง
สถาบันพระมหากษัตริย์และความคืบหน้าสู่ประชาธิปไตยของไทย พ.ศ. ๒๕๒๓
พระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับการประดิษฐานที่
หน้าอาคารรัฐสภา โครงการนี้ริเริ่มมานานแล้ว แต่เพิ่งมีเงินทุนท� าส�าเร็จหลัง
พ.ศ. ๒๕๑๙ พระบรมรูป คือเครื่องแสดงประวัติศาสตร์ที่จับต้องได้ว่า พระ
เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ทรงสถาปนาประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในเมืองไทยโดยพระ
ราชทานรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ ไม่ใช่ “คณะราษฎร” ใน
จินตภาพใหม่นี้ การปฏิวัติโดยคณะราษฎรเป็นความผิดพลาด ส่งผลให้ประเทศ
ถล�าเข้าสู่ระบบทหารแบบฟาสซิสต์และเสี่ยงกับระบบคอมมิวนิสต์
ข้อความที่สลักไว้บนฐานพระบรมรูปคือ ถ้อยแถลงของพระองค์เมื่อ
ทรงสละราชสมบัติ ใน พ.ศ. ๒๔๗๘ ว่า “ข้ำพเจ้ำไม่ยินยอมยกอ�ำนำจทั้งหลำยของ
ข้ำพเจ้ำให้แก่ผู้ใดค ะใดโดยเฉพำะเพื่อใช้อ�ำนำจโดยสิทธิขำด และโดยไม่ฟัง
เสียงอันแท้จริงของประชำรำษ ร” ด้วยวาทกรรมนี้ สถาบันพระมหากษัตริย์
จึงกลายเป็นต้นตอของประชาธิปไตย
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
กลุ่มนี้เหมือนกับคณะทหารหนุ่มตรงที่เชื่อว่าปัญหาคอมมิวนิสต์เกิดจากทุนนิยม
เพราะว่า “ระบบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยม...ท�ำให้กลุ่มเศรษฐกิจบำงกลุ่มมีโอกำส
และสำมำรถใช้อิทธิพลผูกขำดทำงเศรษฐกิจได้ อันเป็นผลท�ำให้เกิดไม่เป็นธรรม
ในสังคม และควำมยำกไร้ทำงวัตถุในหมู่ประชำชน และมีส่วนก่อให้เกิดเงื่อนไข
สงครำม” ๕ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้น�าคนหนึ่งของทหารประชาธิปไตยเสนอ
ว่า ที่ร้ายที่สุดคืออิทธิพลที่หยั่งรากลึกในสังคมชนบท ถ้าพวกเขาไม่พอใจบางคน
คนคนนั้นอาจต้องตาย อาจถูกฆ่าตาย๖
คณะทหารหนุ่มนับถือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะเป็นนาย
ทหารมือสะอาด และได้ช่วยให้พลเอกเปรมก้าวขึ้นเป็น นำยกรัฐมนตรี เมื่อปี
๒๕๒๓ แต่พลเอกเปรมไม่ได้พึ่งพิงพวกเขาเลย การก้าวขึ้นสู่อ�านาจของพลเอก
เปรมนั้นเป็นเพราะอีกเหตุหนึ่งด้วยคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระ
หนักว่าพลเอกเปรมเป็นนายทหารที่จงรักภักดีต่อพระราชวงศ์ พลเอกเปรม
ไม่ได้เห็นคล้อยตามไปกับอุดมการณ์แคบๆ ของคณะทหารหนุ่ม แต่เข้าใจดี
ถึงความจ�าเป็นที่จะต้องประนีประนอมกับนักธุรกิจในฐานะเป็นพลังอ�านาจหนึ่ง
ในสังคม พ.ศ. ๒๕๒๔ เขาแต่งตั้งนายทหารและนักธุรกิจบางคนเป็นรัฐมนตรี
สร้างความไม่พอใจให้กับคณะทหารหนุ่ม จึงก่อการรัฐประหาร เมื่อ ๑ เมษายน
๒๕๒๔ (ต่อมามีชื่อเรียกว่า “รัฐประหาร ๑ เมษา” หรือ “รัฐประหารเอพริลฟูลส์”)
แต่พลเอกเปรมหลีกเลี่ยงได้ โดยหลบหนีไปอยู่ค่ายทหารที่โคราช พร้อมทั้งน�า
พระราชวงศ์เสด็จพระราชด�าเนินไปด้วย ส่งผลให้คณะทหารหนุ่มต้องยอมยก
ธงขาว หัวหน้ากลุ่มถูกจ�าคุกชั่วขณะเท่านั้น เพราะพลเอกเปรมเชื่อว่าพวกเขา
จะเป็นประโยชน์ในอนาคต พ.ศ. ๒๕๒๘ คณะทหารหนุ่มก่อการรัฐประหาร
อีกครั้งแต่ล้มเหลวอีก หลังจากนั้นผู้น�าของกลุ่มถูกปลดประจ�าการ กลุ่มจึง
สลายตัวไป
ทหารประชาธิปไตยยืดหยุ่นกว่าคณะทหารหนุ่ม พลเอกเปรมพึ่งพิง
พวกเขาช่วยวางแผนกวาดล้างคอมมิวนิสต์ที่หลงเหลืออยู่และหวนคืนสู่ระบอบ
รัฐสภาประชาธิปไตย ยุทธศาสตร์นี้คือประกาศ ๒ ฉบับที่ออกใน พ.ศ. ๒๕๒๓
และ ๒๕๒๕ ที่เรียกว่า ค�ำสั่งที่ ๒๕๒ และ ๕ ๒๕๒๕ แสดงเจตจ�านง
ว่ารัฐไทยภายใต้การน�าของกองทัพจะด�าเนินมาตรการเพื่อก�าจัดสาเหตุของลัทธิ
คอมมิวนิสม์และความไม่พึงพอใจต่อรัฐไทย
เป้าหมายดังกล่าวจะบรรลุได้ก็ด้วยการ “ท�าลายการผูกขาดตัดทอน
ทางเศรษฐกิจ”๘ และกระจายรายได้ให้เกิดความเสมอภาค ในท�านองเดียวกับ
การอภิปรายเรื่องอุดมการณ์ชาติ นโยบายเน้นไปที่ “ประชาธิปไตย” และ “ส่ง
เสริมและสนับสนุนให้ประชาชนทุกชนชั้นและสาขาอาชีพได้มีส่วนร่วมทางการ
เมือง” แต่ก็ไม่ได้สนับสนุนระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทนอย่างเต็มที่ ภัย
คอมมิวนิสต์ยังคงเป็นเหตุผลให้กองทัพสามารถอ้างถึงหน้าที่อัน “ศักดิ์สิทธิ์”
ที่จะเป็นผู้ปกครองโดยชอบธรรม
ภายใต้การน�าของพลเอกเปรม ยุทธศาสตร์ “ประชาธิปไตยแบบบริหาร
จัดการ” ครอบคลุมทั้งที่รัฐสภา ตลอดไปถึงระดับหมู่บ้าน รัฐธรรมนูญฉบับ
ใหม่ก�าหนดให้รัฐสภาอยู่ภายใต้การควบคุมของวุฒิสภาที่แต่งตั้งมาจากฝ่ายทหาร
เสียเป็นส่วนใหญ่ พลเอกเปรมเป็นนายกรัฐมนตรีกว่า ๘ ปี (๒๕๒๓-๒๕๓๑)
ด้วยแรงสนับสนุนโดยตรงจากกองทัพและโดยนัยจากราชส�านัก ต�าแหน่งรัฐ
มนตรีหลักๆ (กลาโหม มหาดไทย คลัง และต่างประเทศ) ตกอยู่กับฝ่ายทหาร
และเทคโนแครตที่ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจ ต�าแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงอื่นๆ
จัดสรรให้กับ ส.ส. ทั้งนี้รัฐสภาและการเลือกตั้งทั่วไปได้รับการฟื้นฟูขึ้นตั้งแต่
พ.ศ. ๒๕๒๒ นายทหารบางรายลาออกจากราชการเพื่อลงสมัคร ส.ส. เพื่อจะ
ได้สนับสนุนพลเอกเปรมในรัฐสภาได้โดยตรง การบริหารจัดการประชาธิปไตย
ลักษณะดังกล่าวในช่วงนี้เรียกว่า “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” หรือ “เปรมาธิปไตย”
(Premocracy)
รัฐบาลจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อปรับปรุงชีวิตของคนชนบทมากขึ้น
ทั้งนี้เพื่อขจัดสาเหตุของลัทธิคอมมิวนิสม์ แผนพั นำเศรษฐกิจและสังคมแห่ง
ชำติ ฉบับที่ ๕ (๒๕๒๔-๒๕๒๙) ก�าหนดเป้าประสงค์ของความเสมอภาคทาง
สังคมและเศรษฐกิจเป็นครั้งแรกด้วยเหตุผล “ความมั่นคงของชาติ” โครงการ
ขจัดความยากจนระบุหมู่บ้านจนที่สุดจ�านวน ๑๒,๖๕๒ แห่ง (ร้อยละ ๖๐ อยู่
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ที่อีสาน) ที่ต้องได้รับการดูแลด้านการจัดหาน�้า ถนน โรงเรียน การชลประทาน
การไฟฟ้า และการปรับปรุงดิน พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เสนอและดูแลโครง
การอีสำนเขียว โดยมีกองทัพเป็นผู้จัดท�าการชลประทานขนาดเล็กและโครงการ
พัฒนาอื่นๆ แต่นโยบายเหล่านี้ก็ไม่ได้ลดทอนความไม่เท่าเทียมที่เพิ่มขึ้น ใน
ท�านองเดียวกัน ความพยายามลดบทบาทของทุนขนาดใหญ่ก็ไม่ประสบความ
ส�าเร็จมากนัก แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๕ แสดงความ
ตั้งใจที่จะก�าจัดการผูกขาดในกิจการธนาคาร อุตสาหกรรม แต่ไม่บังเกิดผลเป็น
ชิ้นเป็นอัน
กองทัพสร้างเครือข่ายการรณรงค์โฆษณาชวนเชื่อและระวังระไวไม่ให้
มีการฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสม์ โดยเฉพาะตามหมู่บ้าน ฟื้นฟู “ลูกเสือชาวบ้าน”
ขึ้นอีกหลังจากที่ซาไปก่อนหน้านี้ (พ.ศ. ๒๕๒๐) ลูกเสือชาวบ้านได้รับแรงหนุน
จากทั้งฝ่ายทหาร ข้าราชการ นักธุรกิจ และกลุ่มนิยมเจ้า มีสมาชิกมากถึง ๓
ล้านคน พ.ศ. ๒๕๒๑ กอ.รมน.และกระทรวงมหาดไทยจัดตั้งกลุ่มไทยอำสำ
ปองกันชำติ ท�าการฝกและติดอาวุธให้กับเหล่าไทยอาสาป้องกันชาติในหมู่บ้าน
๕ หมื่นแห่ง ท�าหน้าที่การข่าวและเฝ้าระวัง กลุ่มกระทิงแดงและกลุ่มอื่นๆ เช่น
สันตินิมิตรท�าหน้าที่เฝ้าระวังขนานกันไป สถานีวิทยุของทหารถ่ายทอดรายการ
โฆษณาชวนเชื่อทั้งเช้าและค�่าจากหอกระจายเสียงที่สร้างขึ้นกลางหมู่บ้าน นัก
เคลื่อนไหวชาวบ้านฝ่ายซ้ายถูกจัดการแบบเงียบๆ ผู้ใหญ่ใน กอ.รมน. รายหนึ่ง
กล่าวในภายหลังว่า “ทำงกำรมี ‘กลุ่มไล่ล่ำ’ เพื่อติดตำมผู้น�ำคอมมิวนิสต์ที่ทำง
กำรมีชื่ออยู่แล้ว แล้วก็...โปง...เรียบร้อย ก็กลับบ้ำนพักผ่อนได้สบำย ” ๙
พระมหากษัตริย์ส าบันสูงสุ
ด้วยแรงหนุนของพลเอกเปรม และโครงการต่างๆ ของส�านักงานเอก
ลักษณ์ของชาติ บทบาทของพระมหากษัตริย์ในสังคมพัฒนาต่อไปภายใต้ ๓
มิติหลัก
มิติแรก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมุ่งไปที่ “โครงการหลวง”
เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของครัวเรือนชนบท สอดคล้องกับความสนพระทัย
ส่วนพระองค์อยู่แล้วด้วย พ.ศ. ๒๕๒๓ รัฐบาลจัดสรรเงินงบประมาณแผ่นดิน
เราไม่อยากจะเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก เพราะถ้า
เราเป็นประเทศก้าวหน้าอย่างมาก ก็จะมีแต่ถอยหลัง...แต่ถ้าเรามี
การบริหารแบบเรียกว่าแบบ ‘คนจน’ แบบที่ไม่ติดกับต�ารามากเกิน
ไป ท�าอย่างมีสามัคคีนี่แหละ คือเมตตากัน ก็จะอยู่ได้ตลอดไป๑๐
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
สถาบันพระมหากษัตริย์และวัฒนธรรมไทย การสมโภชกรุงเทพฯ ๒๐๐ ปีเมื่อ
พ.ศ. ๒๕๒๕ การเฉลิมฉลองครบรอบ ๗๐๐ ปีลายสือไทย พ.ศ. ๒๕๒๖ ตาม
ด้วยการเฉลิมฉลองพระราชสมภพครบ ๖๐ พระชันษาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๐ การ
เฉลิมฉลองที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดเมื่อ พ.ศ.
๒๕๓๑ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกเมื่อ พ.ศ.
๒๕๓๕ พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระบรมราชชนนี เมื่อ
พ.ศ. ๒๕๓๘ การเฉลิมฉลองกาญจนาภิเษกครบรอบทรงครองราชย์ ๕๐ ปี
พ.ศ. ๒๕๓๙ เฉลิมฉลองพระราชสมภพครบรอบ ๗๒ พระชันษา พ.ศ. ๒๕๔๒
และเฉลิมฉลองสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงมีพระราชสมภพครบรอบ ๗๒
พระชันษา พ.ศ. ๒๕๔๗ สิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวโยงกับความต่อเนื่องของสถาบันพระ
มหากษัตริย์ เป็นองค์ประกอบส�าคัญในโครงการปีวัฒนธรรมไทย พ.ศ. ๒๕๓๗
ซึ่งส�ำนักงำนเอกลักษ ์ของชำติเป็นผู้ริเริ่ม บริเวณเมืองเก่าของกรุงเทพฯ ที่
“เกาะรัตนโกสินทร์” เป็นใจกลางของการเฉลิมฉลองเหล่านี้ กรุงเทพมหานคร
วางแผนฟื้นฟูโบราณสถานต่างๆ เพื่อให้บริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ได้หวนกลับคืน
สู่สภาพอดีตสมัยต้นรัตนโกสินทร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว
และเพื่อหวนคืนพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ด้ังเดิม ซึ่งต่อมามีตึกใหม่ เช่น มหำวิทยำลัย
ธรรมศำสตร์และกำรเมือง สร้างหลังการปฏิวัติ ๒๔๗๕ การหมอบคลานเป็น
ที่นิยมอีกครั้ง๑๒ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นกลไกก�ากับไม่ให้มีการ
วิพากษ์วิจารณ์พระราชวงศ์แบบที่เคยเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ ๒๔๖๐
มิติที่สาม สถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งถูกโยงให้เกี่ยวพันกับพระพุทธ
ศาสนา ประชาชนทั่วไปเห็นการประกอบพิธีกรรมส�าคัญโดยพระราชวงศ์ผ่าน
การแพร่ภาพทางโทรทัศน์เป็นประจ�า กรมศิลปากรส่งเสริมหนังสือไตรภูมิพระ
ร่วงให้ได้รับความสนใจอีกครั้งหนึ่ง ไตรภูมิพระร่วงคือต�าราสมัยสุโขทัย มี
เนื้อหาอธิบายว่าความแตกต่างของบุญด้านศาสนาที่สะสมมาเป็นบ่อเกิดของ
สถานภาพสูงต�่าในสังคม พระมหากษัตริย์มีบุญญาธิการสะสมมามากจึงอยู่
ณ จุดสูงเด่นที่สุดในสังคม พ.ศ. ๒๕๒๖ มีการสัมมนาที่อภิปรายคุณค่าของ
ไตรภูมิพระร่วงในวิถีชีวิตร่วมสมัย การปกครองและความมั่นคงของชาติ พระ
บาทสมเด็ จ พระเจ้ า อยู ่ หั ว ทรงสนพระทั ย ลู ก ศิ ษ ย์ ผู ้ สื บ ทอดพระอำจำรย์ มั่ น
ภูริทตโต พระสงฆ์ที่อีสาน ผู้ซึ่งได้อุทิศตนด�าเนินชีวิตอย่างสันโดษ มีชื่อเสียง
เรื่องการท�าสมาธิอย่างเข้มข้น พระอาจารย์มั่นมรณภาพเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒
ต่อมาศิษย์ของท่านกล่าวอ้างว่าพระอาจารย์มั่นได้บรรลุอรหันต์ กลุ่มศิษยา
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
พระเจ้าอยู่หัวทรงเปลี่ยนส�านวนดั้งเดิม โดยเพิ่มเติมเนื้อหาที่เป็นค�าสอนเกี่ยว
กับความอดทนอดกลั้น และพระมหาชนกทรงเลื่อนการปลีกพระองค์สู่สันโดษ
ออกไป จนกระทั่งหลังจากที่ได้ทรงชักจูงให้ประชาชนเปลี่ยนใจจากความโลภที่
เป็นต้นตอของการท�าลายล้าง เพื่อด�าเนินชีวิตที่สมดุลโดยผ่านการศึกษาและ
การพัฒนาแบบยั่งยืนในการใช้เทคโนโลยีดั้งเดิม พระมหำชนกทรงอธิบายว่า
เหล่านี้เป็นความจ�าเป็นเพราะ “นับแต่อุปรำช จนถึงคนรักษำช้ำง คนรักษำม้ำ
และนับแต่คนรักษำม้ำจนถึงอุปรำช และโดยเฉพำะเหล่ำอมำตย์ ล้วนจำริกใน
โมหภูมิทั้งนั้น พวกนี้ขำดทั้งควำมรู้วิชำกำร ทั้งควำมรู้ทั่วไป คือควำมส�ำนึก
ธรรมดำ” ๑๘
เมื่อที่ปรึกษาระดับอาวุโสซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระบรมวงศ์สิ้นพระชนม์
(เช่น พระองค์เจ้าธานีฯ พ.ศ. ๒๕๑๗) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้ง
ที่ปรึกษากลุ่มใหม่ที่ไม่ใช่ราชนิกุลแต่มีคุณลักษณะเด่นในสังคมสมัยใหม่ รวม
ทั้งนายพลจากสมัยสงครามเย็น (เช่น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์) เทคโนแครต
ผู้ซึ่งมีความเห็นสอดคล้องกับพระองค์ในเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
ผู้น�าด้านธุรกิจจากตระกูลไทย-จีนเก่า และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายและรัฐ
ธรรมนูญ
ภาพที่แสดงให้เห็นถึงการอุทิศพระองค์เพื่อเกษตรกร พระราชพิธีที่
สม�่าเสมอ ความเป็นศูนย์รวมของอัตลักษณ์ชาติและการครองราชย์ท่ียืนยาว
เพิ่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้สูงเด่นตลอดเวลา เมื่อทรง
เริ่มครองราชย์นั้น พระองค์ยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความสมัยใหม่แบบตะวันตก
ในลักษณะคล้ายคลึงกับกรณีของรัชกาลที่ ๔ จนถึงรัชกาลที่ ๗ เนื่องจากทรง
ได้รับการศึกษาจากยุโรป แต่เมื่อพระองค์เจ้าธานีฯ ทรงถวายค�าแนะน�า และ
ต่อมาทรงใช้พระราชวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง ก็ได้ทรงกลายเป็นสัญลักษณ์ของ
ประเพณีในภาวะเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง
ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ลัทธิประเพณีดังกล่าวนี้ได้รับการส่งเสริม
จากทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายธุรกิจเอกชนเพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสม์ โดยพระ
มหากษัตริย์มีภาพเป็นพ่อขุนอุปถัมภ์ของชาติที่มีชาวนาเป็นพสกนิกรที่จงรัก
ภักดีและปลอดจากความเดือดร้อน แต่เมื่อปัญหาคอมมิวนิสต์ซบเซาลง และ
ชาวนาลดความส�าคัญลง พร้อมกันนั้นกลับกระด้างกระเดื่องขึ้น ภาพที่กล่าวมา
ข้างต้นจึงใช้ไม่ได้อีกต่อไป ข้าราชส�านักและผู้นิยมเจ้ารุ่นใหม่ๆ เฉลิมฉลอง
พระมหากษัตริย์เป็นธรรมราชา และเป็นเสาหลักของจริยธรรมที่จะคานกับความ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ุรกิจการเมอง
นักทฤษฎีของชนชั้นน�าที่อยู่เบื้องหลังส�านักงานเอกลักษณ์ของชาติ กลุ่ม
ทหารการเมืองกลุ่มต่างๆ และผู้นิยมเจ้ารุ่นใหม่ๆ ทุกกลุ่มมีจินตนาการว่า รัฐ
ไทยน่าจะมีบทบาทควบคุมธุรกิจเอกชนที่จะเป็นผลเสียกับชาวนา แต่สิ่งที่เกิด
ขึ้นเป็นไปในอีกทางหนึ่ง เมื่อระบบรัฐสภาเป็นตัวแทนประชาชนได้รับการฟื้นฟู
กลับมาใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๒ นักธุรกิจกระโดดเข้าเล่นการเมืองทันที การที่ฝ่าย
กองทัพได้กีดกันขบวนการของชาวนาและคนงานอย่างสิ้นเชิงจึงเปิดโอกาสให้
ฝ่ายธุรกิจเข้าสู่รัฐสภาได้อย่างสะดวกง่ายดายโดยไม่มีคู่แข่ง สัดส่วนของสมาชิก
สภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่มาจากนักธุรกิจเพิ่มขึ้นจาก ๑ ๓ เป็น ๒ ๓ ระหว่าง
ปี ๒๕๒๒ ถึงปี ๒๕๓๑
พรรคการเมือง ๓ พรรคน�า ได้แก่ กิจสังคม ชำติไทย และประชำ
ธิปัตย์ หัวหน้าพรรคทุกคนมียศศักดิ์ แสดงให้เห็นสถานะสูงตามแบบสังคม
ดั้งเดิม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์และ ม.ร.ว.เสนีย์ จากตระกูลปราโมช ในกรณีของพรรค
กิจสังคม และประชาธิปัตย์ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ในกรณีของพรรคชาติ
ไทย แต่แรงสนับสนุนทางการเงินและพลังขับเคลื่อนพรรคเหล่านี้มาจากชุมชน
ธุรกิจของกรุงเทพฯ ทั้งสิ้น กิจสังคมเป็นที่ต้องตาต้องใจนักธุรกิจ “สมัยใหม่”
โดยเฉพาะที่ ร ่ ว มทุ น กั บ บริ ษั ท ต่ า งชาติ พรรคชาติ ไ ทยมี แ รงหนุ น จากกลุ ่ ม
อุตสาหกรรมสิ่งทอและธุรกิจร่วมทุนกับญี่ปุ่น ประชาธิปัตย์มีนายทุนจากธุรกิจ
เกษตรขนาดใหญ่หนุนหลัง ธนาคารซึ่งยังคงมีบทบาทน�าในโลกธุรกิจ ไม่ได้มี
ภาพโยงกับพรรคใดเป็นพิเศษ แต่มีอิทธิพลในทุกพรรค
เริ่มแรกนั้นนักธุรกิจใหญ่ของกรุงเทพฯ ก�ากับพรรคเหล่านี้ทั้งสิ้น แต่
ร้อยละ ๙๐ ของ ส.ส.มาจากหน่วยเลือกตั้งต่างจังหวัด ภายใน ๑๐ ปีต่อมา
นักธุรกิจท้องถิ่นซึ่งร�่ารวยขึ้นมาจากการขยายตัวของเศรษฐกิจหัวเมือง ขยับเข้า
เป็น ส.ส.ในรัฐสภา และในท้ายที่สุดเข้าควบคุมพรรคส�าคัญๆ
จนถึงสมัยพัฒนา หัวเมืองต่างจังหวัดเป็นที่ตั้งของส� านักงานราชการ
เป็นหลัก มีประชากรเพียงไม่กี่พันคน ย่านการค้าก็ไม่ใหญ่โต แต่จากทศวรรษ
๒๕๐๐ ภาพนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง นับจากการขยายตัวของการค้าพืชไร่ ตาม
ด้วยสหรัฐใช้จ่ายเงินด้านการทหารในบางจังหวัด (สร้างฐานทัพอากาศ ส่งทหาร
มาประจ�าการ) ตามด้วยการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ (ถนน ไฟฟ้า
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ระบอบรัฐสภาประชาธิปไตย
การเลือกตั้งแต่ละครั้ง นักธุรกิจท้องถิ่นหน้าใหม่จะอาศัยเครือข่ายที่
หมู่บ้าน เงิน แรงหนุนจากเจ้าหน้าที่ การเสนอโครงการจูงใจชาวบ้าน การข่มขู่
และการโกงเพื่อให้ได้คะแนน
ผู้ออกเสียงเลือกพวกเขาจากหลายเหตุผล บ้างเป็นเพราะถูกซื้อเสียง
บ้างเป็นเพราะเห็นว่าจะเป็นตัวแทนน�าผลประโยชน์มาให้ได้ การเลือกตั้งทั่วไป
ในปี ๒๕๒๒, ๒๕๒๖, ๒๕๒๙ และ ๒๕๓๑ พบว่าสัดส่วนของ ส.ส. มีพื้นเพ
เป็นนักธุรกิจต่างจังหวัดสูงขึ้นทุกครั้ง รายที่เด่นๆ ก็เช่น นายบรรหาร ศิลป
อาชา ลู ก จี น อพยพรุ ่ น ๒ ชาวตลาดสุ พ รรณบุ รี ร�่ า รวยจากการผู ก ขาดขาย
คลอรีนให้กับการประปาของเทศบาลเมือง น�าก�าไรลงทุนรับเหมาก่อสร้างตาม
ด้วยค้าขายที่ดิน การขนส่ง ปัมน�า้ มัน และกิจการอื่นๆ ในพื้นที่ เขาได้รับเลือก
ตั้งเป็น ส.ส.ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๑๘ มีชื่อเสียงสามารถดึงเงินงบประมาณเข้า
สุพรรณบุรีได้อักโข ส่งผลให้ธุรกิจของเขาเจริญเติบโตไปด้วย ชาวสุพรรณชอบ
ใจผลงาน และจะเลือกเขากลับมาทุกครั้ง
ส.ส.ต่ำงจังหวัดสามารถดึงเงินงบประมาณจากส่วนกลางเข้าสู่จังหวัด
ของตน แม้จะไม่ได้เป็นระบบนัก แต่ก็ท�าให้เงินสะพัดไปนอกกรุงเทพฯ ได้
มากขึ้น บทบาทของ ส.ส.จึงโยงหัวเมืองเข้ากับศูนย์กลางการเมืองที่กรุงเทพฯ
ได้แนบแน่นกว่าอดีต ขณะเดียวกัน ส.ส.หน้าใหม่ได้ประโยชน์หลายสถาน
ทั้งมีสถานะทางสังคมที่สูงขึ้น ขยายโอกาสทางธุรกิจ และมีอ�านาจเหนือกฎหมาย
มากขึ้น
พ.ร.บ.พรรคการเมือง ฉบับ พ.ศ. ๒๕๒๒ และ พ.ศ. ๒๕๒๖ บังคับ
ให้ ส.ส.สังกัดพรรค แต่พรรคก็เป็นเพียงการรวมกลุ่มเพื่อต่อรองให้ได้ต�าแหน่ง
รัฐมนตรีและก�ากับนโยบายได้ นายทหารและข้าราชการยังผูกขาดต� าแหน่ง
กระทรวงส�าคัญ (คลัง กลาโหม มหาดไทย) พรรคการเมืองได้คุมกระทรวง
รองๆ ลงมา โดยเฉพาะที่มีงบก่อสร้างและจัดซื้อจัดจ้างมหาศาล (เช่น ศึกษา
คมนาคม) หรือเป็นกระทรวงที่กา� กับธุรกิจต่างๆ (เกษตร อุตสาหกรรม) รัฐสภา
กลายเป็นสถานที่เพื่อเจรจาเรื่องธุรกิจโดยเฉพาะโครงการก่อสร้าง การเมืองจึง
เสมือนเป็นธุรกิจ ผู้สมัคร ส.ส.ลงทุนเลือกตั้งแล้วหาทางคืนก�าไรเมื่อส�าเร็จได้
เป็น ส.ส.ด้วยการคอร์รัปชั่นรูปแบบต่างๆ หรือใช้อ�านาจท�าให้ก�าไรจากธุรกิจ
ของเขาสูงขึ้น พรรคการเมืองไม่ได้ก่อร่างขึ้นมาจากอุดมการณ์และการระดม
มวลชนเป็นสมาชิกอย่างกว้างขวาง ผู้ที่จะเป็นหัวหน้าพรรคต้องมีทุนพอที่จะ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
พ.ศ. ๒๕๑๘ กลุ่มซอยราชครูก่อตั้งพรรคชาติไทย พลเอกชาติชายลงเลือกตั้งที่
โคราช โดยมีสายสัมพันธ์กับเหล่าทหารและนักธุรกิจท้องถิ่นที่นั่น พ.ศ. ๒๕๓๑
ชาติไทยกลายเป็นพรรคการเมืองประสบความส�าเร็จได้รับแรงหนุนจากนักธุรกิจ
ท้องถิ่นนอกกรุงเทพฯ
คณะรัฐมนตรีของรัฐบาลพลเอกชาติชายตั้งเป้าลดทอนอ�านาจอมาตยา
ธิปไตย (ข้าราชการเป็นใหญ่) โดยให้ ส.ส.และรัฐมนตรีมีอ�านาจสูงขึ้น ต�าแหน่ง
รัฐมนตรีกระทรวงหลัก (กลาโหม คลัง มหาดไทย) จัดสรรให้ ส.ส. ไม่ใช่ให้
นายพล หรือเทคโนแครต รัฐมนตรีโยกย้ายข้าราชการระดับสูงออกจากต�าแหน่ง
ส�าคัญในกระทรวงและกรรมการรัฐวิสาหกิจ แต่งตั้งคนของกลุ่มตนเข้าไปแทน
แสดงให้เห็นว่าข้าราชการต้องฟังรัฐมนตรี รัฐสภาลงมติตัดงบทหาร เรียกร้อง
ให้ทหารใช้เงินแบบโปร่งใสตรวจสอบได้ และตั้งค�าถามถึงเรื่องการรับเงินเปอร์
เซ็นต์จากบริษัทค้าอาวุธ รัฐบาลยกเลิก พ.ร.บ.กำรพิมพ์ ที่ออกสมัยเผด็จการ
ทหาร
สภำพั น์ ถูกลดบทบาทในการควบคุมการใช้งบประมาณเพื่อการ
พัฒนาและโครงการขนาดใหญ่ เช่น อีสเทิร์นซีบอร์ด พลเอกชาติชายก่อตั้ง
“บ้ำนพิษ ุโลก” เป็นคณะที่ปรึกษาให้กับรัฐบาล น�าโดยนายไกรศักดิ ชุณหะวัณ
บุตรชาย และมีนักวิชาการอื่นร่วมงาน พวกเขาเสนอให้รัฐบาลด�าเนินนโยบาย
เป็นอิสระจากเทคโนแครตในกระทรวงต่างๆ
การก�าหนดนโยบายในช่วงนี้สะท้อนภาวะที่ทหารถูกลดบทบาท หลัง
จากที่ได้ก�ากับประชาธิปไตยไทยมาจากป ๒๕๑๙ เป็นความพยายามของ าย
พรรคการเมืองที่จะย้ายอ�านาจออกจาก ากข้าราชการพลเรือนและทหารมาอยู่
ในก�ามือของคณะรัฐมนตรีและ ายนักธุรกิจ
ทีม ที่ป รึก ษาบ้ า นพิษ ณุ โ ลก เสนอนโยบาย “เปลี่ย นสนำมรบให้ เ ป็ น
สนำมกำรค้ำ” คือเลิกมองประเทศเพื่อนบ้านอินโดจีนเป็นศัตรู แต่เป็นโอกาส
ขยายตลาดสินค้า การลงทุน และแหล่งทรัพยากร นโยบายนี้คือความต่อเนื่อง
จากสมัยนายกฯ คึกฤทธิ์ (พ.ศ. ๒๕๑๘) ยุติการแบ่งเป็นฝักฝ่ายภายในภูมิภาค
เพราะสงครามเย็น ปฏิเสธแนวทางของกองทัพที่เน้นความมั่นคง หันไปสู่เรื่อง
การค้าเพื่อก�าไร จึงเป็นการท้าทายฝ่ายกองทัพซึ่งเคยควบคุมนโยบายต่างประ
เทศและการค้าชายแดนมาในอดีต
ฝ่ายข้าราชการ โดยเฉพาะกองทัพ ไม่พอใจรัฐบาลพลเอกชาติชายที่
กร่อนเซาะอ�านาจและทุบหม้อข้าวด้วย ปลายทศวรรษ ๒๕๒๐ คณะนายทหาร
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
วิก ตการเมอง พ ศ ๒๕๓๔ ๒๕๓๕
รัฐประหาร (ปี ๒๕๓๔) ครั้งนี้ คือการเปลี่ยนผ่านที่ซับซ้อน ในแง่หนึ่ง
เป็นการถอยหลังสู่อดีต ฝ่ายกองทัพเดินเกมเพื่อปกป้องอ�านาจของกลุ่มตนเอง
และต้องการแสดงบทบาททหารชี้น�าพัฒนาการสู่ประชาธิปไตย นำยพล จปร.
รุ่น ๕ อ้างว่าท�ารัฐประหารเพื่อยุติการคอร์รัปชั่น และให้ไขข้อกล่าวหาสืบเนื่อง
จากการลอบปลงพระชนม์สมาชิกของพระราชวงศ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ คณะทหาร
ยุบสภา ตั้งตัวเองเป็นคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ รสช. ต่อมา
ก่อตั้งพรรคการเมืองชื่อสำมัคคีธรรม ชื่อเหล่านี้โยงกับอุดมการณ์ทหารว่าด้วย
การสร้างความสามัคคีและความเรียบร้อยจากบนลงล่าง
คณะ รสช. คัดเลือกคณะบุคคลเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะท�า
ให้ฝ่ายทหารสามารถควบคุมการท�างานของรัฐสภาผ่านวุฒิสภาได้ ข้าราชการ
ผู้ใหญ่สนับสนุนรัฐประหารเงียบๆ เพราะว่าก�าจัดนักการเมืองที่มาจากการเลือก
ตั้งซึ่งเข้ามาระรานอ�านาจของฝ่ายข้าราชการ
อีกแง่หนึ่งนั้น รัฐประหารบ่งบอกความคาดหวังของฟากธุรกิจเอกชนที่
กรุงเทพฯ และชนชั้นกลางที่รังเกียจ “ธนกิจการเมือง” ของบรรดานักการเมือง-
นักธุรกิจ โดยเฉพาะจากต่างจังหวัด รสช.แต่งตั้งคณะกรรมการให้ตรวจสอบ
ทรัพย์สินของคณะรัฐมนตรีรัฐบาลชาติชาย พบว่ารัฐมนตรีหลายคนร�่ารวยผิด
ปกติ ต่อมาคณะ รสช.แต่งตั้ง นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนำยกรัฐมนตรี
และเลือกนักเทคโนแครตระดับน�าเป็นคณะรัฐมนตรี
ในช่วงที่ไม่มีรัฐสภา รัฐบาลใหม่ถือโอกาสด�าเนินการ “ปฏิรูปเศรษฐ
กิจ” ในแนวทางเสรีนิยมหลายประการ และในระยะแรกเป็นที่ชื่นชอบของ
บรรดานักธุรกิจและชนชั้นกลางของกรุงเทพฯ
แต่ท้ายที่สุดเป้าประสงค์ของกองทัพกับของภาคเอกชนขัดแย้งกัน นำย
พล จปร.รุ่น ๕ ก็ไม่แตกต่างจากเผด็จการทหารก่อนหน้าที่ไม่อาจแยกระหว่าง
ผลประโยชน์สาธารณะและผลประโยชน์ส่วนตน ทั้งนี้ การท�ารัฐประหารก็เพื่อ
รักษาผลประโยชน์ส่วนตนด้วย พวกเขาร�่ารวยมาก่อนแล้วจากการท�าธุรกิจ
หลายอย่าง และพร้อมที่จะส�าแดงความยิ่งใหญ่อยู่เสมอ หนึ่งในคณะ รสช.
เคยกล่าวไว้ในงานเลี้ยงรุ่นครั้งหนึ่งว่า ไม่มีอะไรที่พวกเขาควบคุมไม่ได้นอกจาก
เดือนและดาว นายพลอีกรายถูกแฉภาพเด็ดในอินเตอร์เน็ตกับอดีตนางงามชื่อ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
รวมทั้งนายบรรหาร ศิลปอาชา รั้งต�าแหน่งรัฐมนตรีคมนาคม คณะ รสช.กลาย
ร่างจากที่เป็นคู่ปรับกับธนกิจการเมืองเป็นผู้อุปถัมภ์
เมื่ อ ครป.ประท้ ว งอี ก ครั้ ง ในเดื อ นพฤษภาคม ๒๕๓๕ ชนชั้ น กลาง
เมืองสนับสนุนเต็มที่ โดยมีพลตรีจ�าลอง ศรีเมือง ผู้ว่าฯ กทม.ขณะนั้น (ได้รับ
เลือกตั้งด้วยเสียงท่วมท้น พ.ศ. ๒๕๓๓) เป็นผู้น�า วันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.
๒๕๓๕ ผู้ประท้วงประมาณ ๒ แสนคนดาหน้ากันที่กรุงเทพฯ สื่อให้ฉายาว่า
“ม็อบมือถือ” ต่างจากสมัย “๑๔ ตุลา” และ “๖ ตุลา” ตรงที่ครั้งนี้เป็นชนชั้น
กลางฐานะปานกลางถึงดี ใช้มือถือกันเป็นแถว แต่ที่จริงก็มีคนงานอพยพจาก
ชนบท คนงานโรงงานทั่วไป และนักศึกษาเข้าร่วมด้วยเป็นจ�านวนมาก นอก
จากนั้นก็มีขบวนการประท้วงในท�านองเดียวกันที่เมืองใหญ่นอกกรุงเทพฯ
รสช.ตอบกลับด้วยแผนยุทธศาสตร์ต่อต้านคอมมิวนิสต์ ใช้ทหารพราน
น�าเข้ามาจากเขตชายแดนพร้อมอาวุธครบมือปราบปรามฝูงชน ความรุนแรงต่อ
เนื่องกันถึง ๓ คืน (ดูภาพที่ ๓๐) ทหารยิงปืนเข้าใส่ฝูงชน ตึกรามและรถบัสถูก
เผา พลตรีจ�าลอง ศรีเมืองถูกจับกุม พลเอกสุจินดาอ้างว่าการเดินขบวนประ
ท้วงคือการโจมตีชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยกล่าวมีใจความว่า พวก
เขำต้องกำรท�ำลำยระบบรัฐบำล ล้มล้ำงประชำธิปไตยอันมีพระมหำกษัตริย์เป็น
ประมุข แล้วน�ำรัฐบำลที่จะยิงปนกลใส่ผู้คนบนท้องถนนเข้ำมำ ๒๔
สถานีโทรทัศน์ของรัฐบาลถ่ายทอดเฉพาะภาพที่ผู้ประท้วงท�าลายทรัพย์
สินของทางราชการ แต่ข่าว CNN และ BBC แสดงความรุนแรงที่ทหารยิง
ปืนใส่ฝูงชน ภาพข่าวนี้ถูกลอกลงเทปแล้วขายไปทั่ว แม้ว่ารัฐบาลพลเอก
สุจินดาประกาศห้าม แต่หนังสือพิมพ์ไม่ท�าตาม กลับรายงานเต็มที่ คืนวันที่
๒๐ พฤษภาคม ซึ่งดูเหมือนว่าความรุนแรงจะด�าเนินต่อไปถึงจุดสูงสุด พลเอก
สุจินดาและพลตรีจา� ลองเข้าเฝ้าเบื้องพระยุคลบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงมีพระราชกระแสรับสั่งให้ยุติความรุนแรง
รัฐบาลพลเอกสุจินดาลาออก รัฐธรรมนูญได้รับการแก้ไข นายอานันท์
ปันยารชุนด�ารงต�าแหน่งนายกรัฐมนตรีรัฐบาลชั่วคราวอีกครั้งในเดือนกันยายน
๒๕๓๕ หลังการเลือกตั้งทั่วไปเมืองไทยมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งอีก
สถานภาพและบทบาททางการเมืองของกองทัพ เสียหายยับเยินไม่เป็น
ชิ้นดี จ�านวนผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เดือนพ ษภาคม ๒๕๓๕ เริ่มแรกประ
มาณการสูงถึง ๒-๓ ร้อยคน แต่ต่อมาลดลงเหลือ ๔๐-๖๐ คน ประชาชนมี
ปฏิกิริยาสวนกลับรุนแรงชั่วระยะหนึ่ง ถึงขนาดถุยน�้าลายใส่ทหารที่แต่งเครื่อง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ความปลอดภัย หรือเสนอตัวให้ความคุ้มครองสถานบันเทิงเริงรมย์ต่างๆ ที่ท� า
ผิดกฎ (เช่นเปิดเกินเวลา ฯลฯ) มีนายพลถึงประมาณ ๗๐๐ ราย (ครึ่งหนึ่ง
ของทั้งหมด) ที่ไม่มีงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในกองทัพ หลายคนใช้เวลาเล่น
กอล์ฟ หรือแสดงทักษะความเป็นผู้น�าโดยเป็นประธานสมาคมกีฬาต่างๆ
กองทัพจึงแสวงหาบทบาทใหม่ๆ เพื่อให้สามารถรักษาสถานภาพทหาร
เอาไว้ไม่ให้ถดถอยลงไปอีก พ.ศ. ๒๕๓๗ พิมพ์สมุดปกขำวอ้างถึงความส�าคัญ
ของกองทัพที่จ�าเป็นต้องปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชาติในภาวะที่
ประเทศเพื่อนบ้านแก่งแย่งกันหาตลาดใหม่ๆ และแหล่งทรัพยากรทางเศรษฐ
กิจ๒๕ เอกสารอื่นๆ มีข้อเสนอให้ทหารมีบทบาทพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น หน่วย
ทหารบางแห่งเปิดค่ายมีกิจการต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมและร่วมกิจกรรม
เพื่อช่วยการท่องเที่ยว หลัง พ.ศ. ๒๕๓๘ กองทัพเสนอตัวเป็นตัวกลางไกล่
เกลี่ยปัญหาความขัดแย้งในท้องถิ่นที่เกิดจากการพัฒนาเศรษฐกิจ
ความพยายามต่างๆ นี้ไม่อาจชักจูงให้ ส.ส.หลงลมฝ่ายกองทัพ งบ
ประมาณทหารยิ่งถูกตัดหลังจากที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี ๒๕๔๐ รัฐบาลน�าโดย
พรรคประชาธิปัตย์ (นายกฯ ชวน) จงใจยกเลิกประเพณีรัฐมนตรีกลาโหมเป็น
นายพล ยกเลิกกฎหมายการกระท�าอันเป็นคอมมิวนิสต์ที่เคยให้อ�านาจพิเศษ
แก่กองทัพ นอกจากนั้นยังแต่งตั้งพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็น ผบ.ทบ. และ
มอบหมายให้ปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดจ�านวนทหาร
ประจ�ากองและจ�านวนนายพลลง
ถึงกระนั้นก็ตาม สถาบันกองทัพก็ได้ต้านทานความพยายามปฏิรูปให้
ปรับตัวด้วยการเพิกเฉย โครงการปฏิรูปกองทัพให้สมัยใหม่ไม่บังเกิดผลอะไร
เป็นชิ้นเป็นอัน จ�านวนนายพลที่ได้รับการแต่งตั้งลดลงเพียงเล็กน้อย ความ
พยายามดึงเอาที่ดินในความควบคุมของกองทัพออกมาใช้เพื่อกิจการอื่นๆ ก็
ไม่ได้ผล กองทัพยังคงควบคุมสถานีโทรทัศน์ ๒ ช่องและสถานีวิทยุอีกหลาย
ร้อยแห่ง และยังคงใช้สื่อส�าคัญเหล่านี้โฆษณาชวนเชื่อถึงบทบาทความส�าคัญ
ของกองทัพในชาติ นอกจากนั้นทหารยังได้ภาพพจน์ที่ดีในสายตาของสาธารณ
ชนเพราะว่ามีความสัมพันธ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ การส�ารวจทัศนคติเมื่อ
ปลายทศวรรษ ๒๕๔๐ พบว่ากองทัพเป็นสถาบันที่ประชาชนนิยมชมชอบสูงกว่า
ต�ารวจ และ ส.ส.
ท้ายที่สุดโลกาภิวัตน์เป็นตัวช่วยให้กองทัพได้บทบาทที่แสวงหา ชาย
แดนไทยเต็มไปด้วยคนงานอพยพผิดกฎหมาย การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ขณะเดียวกันนักวิชาการมีข้อเสนอว่าเหตุการณ์ พ ษภา ๒๕๓๕ เป็น
“ทำงแยก” (ชัยอนันต์ สมุทวณิช) หรือเป็น “จุดเปลี่ยนแห่งยุคสมัย” (ธีรยุทธ
บุญมี) สู่โอกาสที่จะก�าจัดซากเดนของระบอบเผด็จการทหารที่เป็นมาประมาณ
ครึ่งศตวรรษ นักเคลื่อนไหวประชาธิปไตยเสนอให้มีการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ
อย่างถึงรากถึงโคนเพื่อเปลี่ยนดุลอ�านาจระหว่างรัฐและประชาสังคมเสีย ปลด
ปล่อยสื่อโทรทัศน์จากการควบคุมของฝ่ายกองทัพ ปฏิรูประบบการศึกษาให้
พุ่งเป้าไปที่การสร้างทักษะและความคิดสร้างสรรค์แทนที่เรื่องการสร้างชาติ กระ
จายอ�านาจประชาธิปไตยสู่ท้องถิ่น ทดแทนระบบรวมศูนย์อ�านาจของกระทรวง
มหาดไทย
ตอนแรกดูเหมือนว่ารัฐสภาจะเป็นช่องทางให้บรรลุถึง “จุดเปลี่ยน”
นี้ได้ สื่อสิ่งพิมพ์ให้ภาพการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๓๕ ว่าเป็น
การแข่งกันระหว่าง “มาร” หมายถึงผู้สนับสนุน รสช. และ “เทพ” หมายถึง
ายปฏิรูปการเมือง
หลังวิกฤตปี ๒๕๓๕ “พรรคการเมือง” แบ่งออกได้เป็น ๒ ฝ่าย หนึ่ง
คือฝ่าย “เทพ” มีพรรคประชำธิปัตย์ เป็นผู้น�าหัวขบวน ช่วงที่เกิดวิกฤต พ.ศ.
๒๕๓๔-๒๕๓๕ พรรคนี้ปรับภาพพจน์ให้สะท้อนความมุ่งหวังของภาคธุรกิจและ
ชนชั้นกลางเมือง สามารถดึงเอานายธนาคารและเทคโนแครตมีชื่อมาเป็นสมาชิก
พรรค ท�าให้พรรคมีความน่าเชื่อถือว่ามีทีมงานที่จะบริหารจัดการเศรษฐกิจไทย
ในกระแสโลกาภิวัตน์ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังดึงนักการเมืองรุ่นใหม่เข้า
ร่วมขบวน ท�าให้พรรคมีความเป็นสมัยใหม่แตกต่างจากพรรคอื่นๆ ซึ่งเต็มไป
ด้วยนักธุรกิจต่างจังหวัด ประชาธิปัตย์ได้รับแรงหนุนจากคนกรุงเทพฯ และ
ชาวปักษ์ใต้ ซึ่งมีสัดส่วนของชนชั้นกลางเมืองสูง จากที่มีเมืองท่าส�าคัญหลาย
แห่งตลอดชายฝั่งทะเลและยังเป็นเศรษฐกิจส่งออกยางพารา ดีบุก อาหารทะเล
และการท่องเที่ยวที่คึกคัก ประชาธิปัตย์มีภาพพจน์สนับสนุนอุดมการณ์เสรี
นิยม สัญญาจะน�าเศรษฐกิจไทยสู่ความทันสมัยโดยการปฏิรูประบบกฎหมาย
และสถาบันที่เกี่ยวโยง ส่งเสริมให้เพื่อนบ้าน (โดยเฉพาะพม่า) ก้าวเป็นประชา
ธิปไตย และพยายามดันทหารออกจากการเมืองให้ได้ส�าเร็จ ประชาธิปัตย์เป็น
พรรคการเมืองที่ประสบความส�าเร็จสูงสุดในช่วงนี้ ได้เป็นพรรคจัดตั้งรัฐบาล
ตลอดยกเว้นเพียง ๒๘ เดือนจากเดือนกันยายน ๒๕๓๕ ถึงเดือนมกราคม
๒๕๔๔
อีกฝ่ายหนึ่งนั้นคือนักการเมืองที่ได้สนับสนุนพลเอกชาติชายมาก่อน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
การประนีประนอมกันระหว่าง ส.ส. และข้าราชการ ส่งผลลัพธ์ ๒ ประ
การ ประการหนึ่งคือ การท�าลายทรัพยากรธรรมชาติเพื่อประโยชน์ของเอกชน
และภาครัฐทวีความเข้มข้นขึ้น (การก�ากับดูแลไม่ได้ผล และไม่มีการปรับปรุง)
องค์กรภาครัฐเองบุกรุกที่ดิน แม่น�้าเพื่อสร้างเขื่อนและสาธารณูปโภคขนาดใหญ่
อื่นๆ กรมป่าไม้ประกาศเขตอุทยานแห่งชาติเพิ่มขึ้น เท่ากับปฏิเสธสิทธิในที่
ท�ากินของชาวไทยภูเขา และชาวนารายเล็กที่จับจองพื้นที่ป่ามาเนิ่นนาน นัก
การเมือง ข้าราชการ และพรรคพวกนักธุรกิจ ใช้อิทธิพลเข้าครอบครองที่ดิน
เพื่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม ปลูกป่าเพื่อตัดไม้ส่งโรงงานกระดาษ ท�าเหมืองย่อย
หิน ท�าสนามกอล์ฟ และสร้างบ้านจัดสรร คนท้องถิ่นที่ต้องพึ่งพิงทรัพยากร
ธรรมชาติในชีวิตประจ�าวัน เสียเปรียบและจ�าเป็นต้องเดินขบวนประท้วง พ.ศ.
๒๕๒๑ รัฐบาลพบว่ามีการเดินขบวนประท้วง ๔๘ ครั้ง พ.ศ. ๒๕๓๗ เพิ่มเป็น
๙๙๘ ครั้ง ส่วนใหญ่เกิดที่ชนบทและเกี่ยวโยงกับการแก่งแย่งทรัพยากรธรรม
ชาติ
ประการที่สอง ช่วง พ.ศ. ๒๕๓๘-๒๕๔๐ รัฐบาลไม่สามารถบริหารจัด
การระบบเศรษฐกิจ ให้ด�าเนินไปอย่างราบรื่นภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ได้ ทั้งนี้
เห็น ได้ ชัด เจนเมื่อนายบรรหาร ศิล ปอาชา เป็ น นายกรัฐ มนตรีใ นปี ๒๕๓๘
ขณะที่เศรษฐกิจฟองสบู่เริ่มส�าแดงปัญหา นายบรรหารเชี่ยวชาญในการดึงงบ
ประมาณประจ�าปีไปที่เขตเลือกตั้งของตัวเอง ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการจัดการ
เศรษฐกิจมหภาคอย่างเพียงพอ เขาเลือกรัฐมนตรีคลังคนแรกเป็น ส.ส.หน้า
ใหม่ คนต่อมาเป็นเทคโนแครตที่อยู่ในอาณัติของเขา เขาปลดประธำนกรรม
กำรก�ำกับตลำดหลักทรัพย์ เพราะเถียงกันเรื่องส่วนตัว ผู้ว่ำกำรธนำคำรชำติ
ลาออกเมื่อธนาคารแห่งหนึ่งล้ม ส่งผลให้หลังจากนั้นใครๆ ที่มีคุณสมบัติเป็น
ผู้ว่าการฯ ได้ต่างก็ปฏิเสธจะร่วมงานด้วย ครั้นเมื่อปี ๒๕๓๙ พลเอกชวลิต
ยงใจยุทธ เป็นนายกฯ สัญญาจะจัด “ดรีมทีม” (dream team) มาบริหารจัด
การระบบเศรษฐกิจ แต่หาคนเหมาะสมไม่ได้ ไม่กี่เดือนต่อมา รัฐมนตรีคลัง
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย และปลัดกระทรวงการคลัง พากันลาออก
ต้องแต่งตั้งผู้ที่ไม่ค่อยเหมาะสมนักเป็นแทน ยิ่งเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะวิกฤต
นักวิชาการและนักธุรกิจเรียกร้องให้รัฐบาลหาผู้เชี่ยวชาญนอกกลุ่ม ส.ส.เข้ามา
ช่วยบริหารจัดการ
เหตุการณ์พ ษภา ๒๕๓๕ ไม่ได้จบลงที่การปฏิรูปเพื่อสั่งลาสมัยทหาร
เป็นใหญ่ แต่เป็นการประนีประนอมกันระหว่างข้าราชการกับนักธุรกิจ นักการ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ความสมดุลคือ เศรษฐกิจดี สังคมมีปัญหา การพัฒนาไม่ยั่งยืน” โดย “เปิด
โอกาสให้องค์กรพัฒนาเอกชน ภาคเอกชน ชุมชน และประชาชน เข้ามามีส่วน
ร่วมในกระบวนการพัฒนาประเทศมากขึ้น” ๒๙
ช่วง พ.ศ. ๒๕๓๗-๒๕๔๐ ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูปจากกลุ่มต่างๆ ตก
ผลึกเป็นข้อเรียกร้องให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พ.ศ. ๒๕๓๗ อมร จันทร
สมบูรณ์ ข้าราชการอาวุโส พิมพ์หนังสือ รัฐธรรมนู นิยม เสนอรายละเอียด
ส�าหรับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เขาเห็นว่ารัฐสภามีอ�านาจมากเกินไป ขาดประ
สิทธิภาพในการผ่านกฎหมายออกมา และยังไร้เสถียรภาพซึ่งเห็นได้จากรัฐบาล
ผสมที่ขัดแย้งกันตลอด พ.ศ. ๒๕๓๘ ศ.นพ.ประเวศ วะสี ชักจูงให้นายบรรหาร
ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ยินยอมให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญเตรียมร่าง
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นอิสระจากรัฐสภา
อานั น ท์ ปั น ยารชุ น เป็ น หั ว หน้ ำ สภำร่ ำ งรั ฐ ธรรมนู เขาเคยด� า รง
ต�าแหน่งนายกรัฐมนตรี สมัย รสช. และได้กลายเป็นหนึ่งในผู้น� าขบวนการ
ปฏิ รู ป สภาร่ า งฯ ปรั บ รั ฐ สภาตามแนวทางที่ อ มร จั น ทรสมบู ร ณ์ เ สนอ คื อ
เปลี่ยนกฎเกณฑ์การเลือกตั้งใหม่เพื่อปูทางไปสู่ระบบพรรคการเมืองใหญ่ ๒
พรรค นายกรัฐมนตรีมีอ�านาจมากขึ้น
สภาร่างฯ เสนอให้มีองค์กรใหม่เพื่อคานอ�านาจกับรัฐสภา เช่น คณะ
กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ศาลรัฐธรรมนูญ คณะกรรมการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อป้องกัน
การคอร์รัปชั่นและการใช้อ�านาจในทางที่ผิด เพิ่ม ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคอีก
๑๐๐ คนที่ได้มาจากการออกเสียงเลือกพรรค แล้วแปลงเป็นจ�านวน ส.ส.ตาม
บัญชีรายชื่อเป็นสัดส่วนกับจ�านวนเสียงเลือกพรรคที่ได้ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มบทบาท
ของคนส่วนกลางที่กรุงเทพฯ ในรัฐสภา ที่ส�าคัญคือ ก�าหนดให้ผู้สมัคร ส.ส.
ต้องจบปริญญาตรี มาตรานี้ท�าให้คนถึงร้อยละ ๙๙ ที่ชนบทสมัครเป็น ส.ส.
ไม่ได้ (เพราะการศึกษาไม่ถึง)
เอ็นจีโอเสนอมาตราที่มีเนื้อหาเปลี่ยนดุลอ�านาจเอียงไปข้างประชาชน
และชุมชนมากขึ้น ดังนั้น ร่างรัฐธรรมนูญจึงมีหลายมาตราที่ยืนยัน “สิทธิและ
เสรีภาพของชนชาวไทย” อย่างกว้างขวาง สถาปนาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
ลดบทบาทของกองทัพและรัฐบาลที่เคยควบคุมสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และสนับสนุน
การกระจายอ�านาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เศรษฐกิจไทยมีอัตราการลงทุนสูงอยู่แล้ว และมีอัตราการออมพอเพียง
แต่ช่วงเศรษฐกิจบูม (พ.ศ. ๒๕๓๘) อัตราการลงทุนสูงกว่าอัตราการออมร้อยละ
๘.๑ ของ GDP ส่วนต่างนี้คือ “หนี้ต่ำงประเทศ” สะท้อนให้เห็นในดุลบัญชีเดิน
สะพัดขาดดุลร้อยละ ๘.๑ เช่นกัน
เนื่องจากต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจากอัตราค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นและปัญหา
สาธารณูปโภคไม่พอเพียง อัตราก�าไรในธุรกิจการผลิตเพื่อส่งออกได้ลดลง เงิน
ที่ไหลเข้ามาจากต่างประเทศจึงลงทุนในกิจการเพิ่มผลิตผลค่อนข้างน้อย จ�านวน
มากมุ่งไปที่กิจกรรมซึ่งมีการคาดการณ์ผลได้เกินจริง และการลงทุนแบบเก็ง
ก�าไรโดยเฉพาะในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๘ เริ่มมองเห็นรอยปริของ
เศรษฐกิจ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ดิ่งหัวลง ตลาดอสังหาฯ เริ่มเป็นปัญหา อัตรา
การส่งออกชะลอตัว แต่เงินทุนจากต่างประเทศยังไหลเข้ามาไม่หยุดยั้ง ด้วยนัก
ลงทุนต้องการหาก�าไรจากสิ่งที่ธนาคารโลกเรียกว่า “มหัศจรรย์เศรษฐกิจเอเชีย
ตะวันออก” ขณะเดียวกันเทคโนแครตและนักธุรกิจพอใจกับผลงานการเปิด
เสรีทางการเงิน ไม่ต้องการหยุดยั้ง “เศรษฐกิจฟองสบู่” ธนาคารชาติมีมาตรการ
ก�ากับตลาดการเงินแต่ไม่มีผล และปฏิเสธที่จะลอยตัวค่าเงินบาท
ปลาย พ.ศ. ๒๕๓๙ นักลงทุนต่างชาติไม่มั่นใจเศรษฐกิจไทยจึงเริ่มถอน
เงินออกและนักค้าเงินเริ่มโจมตีค่าเงินบาท ธนาคารชาติอัดฉีดเงิน ๕ แสนล้าน
บาทเพื่อพยุงสถาบันการเงิน และใช้เงินส�ารองเกือบทั้งหมดที่มีอยู่เพื่อปกป้อง
ค่าเงินบาท แต่ไม่พอเพียงเมื่อเทียบกับมูลค่าเงินทุนของนักเก็งก�าไรนานาชาติ
รัฐบาลไทยจึงต้องขอให้ไอเอ็มเอฟ (International Monetary Fund) ช่วยจัด
หาเงิน (ส่วนใหญ่ได้มาจากประเทศแถบเอเชีย) ให้ไทยกู้จ�านวน ๑๗.๒ พันล้าน
ดอลลาร์สหรัฐ โดยมีข้อแม้ว่าไทยต้องลอยตัวค่าเงินบาทในวันที่ ๒ กรกฎาคม
๒๕๔๐ เพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ลดงบประมาณรายจ่ายภาครัฐร้อยละ ๒๐
เพิ่มอัตราดอกเบี้ย และปิดสถาบันการเงินที่อ่อนแอ นอกจากนั้นต้องท�าการ
ปฏิรูปเศรษฐกิจไทยให้เสรีมากขึ้น และยอมให้นักธุรกิจต่างชาติเข้ามาลงทุนได้
โดยสะดวกต่อไป
ชุดนโยบำยของไอเอ็มเอฟ ไม่ได้สร้างความมั่นใจให้กับนักธุรกิจต่าง
ชาติ เงินที่ได้ไหลเข้ามาตั้งแต่การเปิดเสรีการเงินไหลออกเกือบหมดภายใน ๒ ปี
ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์ลดลงกว่าครึ่ง ก่อนขยับขึ้นมาเล็กน้อย บริษัท
ไทยที่กู้เงินต่างประเทศมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นทันทีและในทางปฏิบัติก็ล้มละลายแล้ว
และขาดสภาพคล่อง ส่งผลให้ธนาคารซึ่งเป็นตัวกลางกู้เงินมาเผชิญกับปัญหา
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ขายสินค้าปลอดภาษี เจริ สิริวั นภักดี น่าทึ่งที่สุด ธุรกิจน�้ าเมาที่เขาได้
สัมปทานเกือบผูกขาดจากรัฐบาลท�าเงินให้เขามหาศาล แม้เศรษฐกิจจะซบเซา
แต่คนดื่มเหล้าพอใจสินค้าราคาถูกของเขาไม่เสื่อมคลาย รายได้จึงไม่ลดลงมาก
เขาท�าธุรกิจใช้เงินสดตลอดเนื่องจากมีเงินในมือมากพอ และธนาคารต่างชาติก็
ไม่อยากให้เขากู้เพราะเห็นว่าไม่โปร่งใส เขาจึงไม่มีหนี้ต่างประเทศ เขากว้านซื้อ
ที่ดินจากเพื่อนนักธุรกิจกระเปาแห้งอื่นๆ และได้กลายเป็นนักพัฒนาที่ดินและ
เจ้าของไร่ขนาดใหญ่ท่ีสุดของประเทศก็ว่าได้
หลังวิกฤตเศรษฐกิจ ไทยยิ่งผนวกเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกแนบ
แน่นขึ้นไปอีก เห็นได้จากสัดส่วนของสินค้าออกและเงินทุนต่างชาติใน GDP
บรรษัทลงทุนข้ามชาติเป็นใหญ่ในธุรกิจส่งออก ขณะที่นักธุรกิจไทยหันไปเอาดี
ด้านอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจบริการ
ป ิกิริยากับวิก ต
ความสูญเสียจากวิกฤตท�าให้เสียงเรียกร้องสู่การเปลี่ยนแปลงดังกระหึ่ม
ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการเมืองที่ว่าได้นา� เศรษฐกิจสู่ความหายนะ
ช่วง ๒ ปีก่อนวิกฤต ได้เห็นการต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่าง
มากมาย ส.ส.และข้าราชการเห็นว่าจะท�าให้อ�านาจของพวกเขาลดลง ต�ารวจ
ชั้นผู้ใหญ่ นายพล สมาชิกวุฒิสภา ก�านัน ผู้ใหญ่บ้าน ล้วนออกมาคัดค้าน นัก
การเมืองต่างจังหวัดประเภทเจ้าพ่อชักชวนลูกเสือชาวบ้านให้ออกมาต่อต้าน แต่
ชะตาของร่างรัฐธรรมนูญถูกก�าหนดโดยเศรษฐกิจวิกฤต ๒๕๔๐ นักธุรกิจและ
ชนชั้นกลางที่กรุงเทพฯ ต�าหนิว่า วิกฤตเกิดขึ้นเพราะนักการเมืองบริหารจัดการ
ไม่ดี เห็นว่ารัฐธรรมนูญใหม่เท่านั้นจะก�ากับควบคุมนักการเมืองได้ คนงาน
ปกขาวเดินขบวนสนับสนุนให้ผ่านร่างรัฐธรรมนูญ
รัฐสภาลงมติเห็นด้วยเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๔๐ วันเดียวกับที่
รัฐบาลยินยอมตามข้อแม้ของไอเอ็มเอ
หลังจากที่ปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัวเมื่อเดือนกรกฎาคม ๒๕๔๐ แล้ว
เศรษฐกิจถล�าเข้าสู่ภาวะวิกฤตอย่างรวดเร็ว นักธุรกิจและชนชั้นกลางเมืองเรียก
ร้องให้รัฐบาลพลเอกชวลิตลาออกไป พวกเขาต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ในระยะสั้นพระราชด�าริดังกล่าวสมเหตุสมผล เมื่อผู้คนที่ตกงานจาก
เศรษฐกิจเมืองต้องกลับไปพึ่งพิงครอบครัวที่หมู่บ้าน หน่วยงานรัฐหลายแห่ง
สนับสนุนชุมชนให้ท�าโครงการช่วยคนตกงาน เอ็นจีโอชักชวนให้ธนาคารโลก
ท�าโครงการช่วยสังคมกับเครือข่ายชุมชนที่พวกเขามีบทบาทโดยตรง แทนที่จะ
ให้ฟากรัฐบาลเป็นผู้ท�า ทั้งนี้เพื่อให้สร้าง “ทุนทำงสังคม” (social capital) โยง
กับโครงการ เช่น สวัสดิการต่างๆ การศึกษา ศูนย์ดูแลเด็กเล็ก และโครงการ
อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ศ.นพ.ประเวศ วะสี เรียกร้องให้ท�า “สงครำมกู้ชำติ” เพื่อสร้างสังคม
ใหม่จากชุมชนระดับล่างขึ้นไปให้เป็น “เศรษฐกิจที่เชื่อมโยงเป็นบูร ำกำรกับ
เรื่องสังคมวั นธรรมและสิ่งแวดล้อม หรือเป็นเศรษฐกิจวั นธรรม” ๓๒
ประเวศขอให้รัฐบาลเน้นเรื่องเกษตร ซึ่งถูกทอดทิ้งไปเมื่อความสนใจ
เพ่งไปที่อุตสาหกรรม แม้ว่าเกษตรยังเป็นที่พึ่งของประชากรครึ่งหนึ่งของประ
เทศอยู่ กลุ่มประท้วงต่างๆ ที่ชนบทขอให้รัฐบาลปลดหนี้เกษตรกรยากไร้ แทน
ที่จะเน้นช่วยเฉพาะนักธุรกิจและนายธนาคาร และเรียกร้องให้รัฐบาลสนับสนุน
ราคาสินค้าเกษตรที่ตกต�่า บางคนที่ตกงานเข้าจับจองที่ดินถูกทิ้งร้าง และนัก
เคลื่อนไหวเรียกร้องการปฏิรูปที่ดิน เพื่อต้านกับแนวโน้มที่ดินเกษตรถูกเปลี่ยน
มือไปเป็นของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และนักเก็งก�าไรที่ดิน
ไอเอ็มเอฟ และนักวิชาการนานาชาติ วิเคราะห์ว่าวิกฤตเกิดจากปัญหา
“พรรคพวกนิยม” (cronyism) พวกเขาเห็นว่าทุนนิยมแบบเอเชียไร้น�้ายา ควร
ปล่อยให้ล่มสลายไป แล้วให้นักลงทุนจากประเทศที่มีทุนนิยมก้าวหน้าเข้ามา
ลงทุนแทน แต่นักธุรกิจท้องถิ่นไม่ยอมรับการวิเคราะห์แบบนี้ และรู้สึกว่า
รัฐบาล เทคโนแครต และพรรคประชาธิปัตย์ทอดทิ้งพวกเขา ต้น พ.ศ. ๒๕๔๑
นักธุรกิจรวมตัวกันเดินขบวนส่งตัวแทนไปวอชิงตัน และวิจารณ์นโยบาย “อาณา
นิคมใหม่” ของไอเอ็มเอฟอย่างหนัก
สาธารณชนไม่ได้สนับสนุนนักธุรกิจเหล่านี้นักในช่วงแรกๆ แต่ในช่วง
ปี ๒๕๔๑-๒๕๔๒ นั้นผลกระทบทางลบของวิกฤตขยายวงออกไป และการเดิน
ขบวนประท้วงก็ขยายวงออกไปด้วย แม้กระทั่งผู้น�า เช่น อานันท์ ปันยารชุน
ผู้สนับสนุนโลกาภิวัตน์ค่อนข้างมากก็ยังสนองรับกับแนวทางพึ่งตนเองให้เป็น
วิธีจัดการกับวิกฤตเพื่อรักษา “วิถีกำรด�ำรงชีวิตของคนไทย” ๓๓ มีการท�าโครง
การต่างๆ เน้นไปที่สร้างความเข้มแข็ง การพึ่งตนเอง เพื่อลดทอนผลกระทบ
ไทยรักไทย
ท้ายที่สุดแล้ววิกฤตเศรษฐกิจและการอภิปรายถกเถียงกัน จบลงด้วย
การฟื้นฟูประเพณีรัฐเข้มแข็งขึ้นอีก แต่ในครั้งนี้ได้รับแรงหนุนจากนักธุรกิจ
ขนาดใหญ่ที่ต้องการให้อ�านาจรัฐเข้าช่วยปกป้องพวกเขาจากโลกาภิวัตน์ และ
จากการเมืองมวลชนในกรอบของประชาธิปไตย
เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๑ ทักษิณ ชินวัตร ก่อตั้งพรรคไทยรักไทย
เขาเป็นนักธุรกิจใหญ่ประสบความส�าเร็จสูงตั้งแต่ก่อนวิกฤต สามารถสะสม
ความมั่งคั่งมูลค่าเกือบ ๒ พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในเวลา ๕ ปี จากที่เขา
ท�าธุรกิจมือถือเป็นกิจการกึ่งผูกขาดโดยได้สัมปทานจากรัฐบาล และน� าบริษัท
เข้าตลาดหลักทรัพย์ในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น ราวๆ ปี ๒๕๓๗ เขาลงเล่นการ
เมือง ให้ภาพเป็นนักธุรกิจสมัยใหม่ในธุรกิจไฮเทค เขาก่อตั้งพรรคไทยรักไทย
ขึ้นโดยได้รับแรงหนุนจากลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่รอดมาจากวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เจริญโภคภัณฑ์ ธนาคารกรุงเทพ บริษัทแกรมมี่ และบริษัทในธุรกิจบริการที่
พึ่งตลาดภายในเป็นหลัก บริษัทเหล่านี้ได้รับการปกป้องจากกฎหมายธุรกิจ
ต่างด้าว จึงยังไม่ถูกต่างชาติซื้อไป นักธุรกิจใหญ่สนใจการเมืองครั้งนี้ คล้ายๆ
กับที่เคยเกิดขึ้นหลังวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี ๒๔๗๕ ปี ๒๔๘๙ ปี ๒๕๑๖ และ
ปี ๒๕๓๕ ในครั้งก่อนๆ นั้นนักธุรกิจใหญ่หมดความสนใจการเมืองอย่างรวด
เร็ว แต่ในครั้งนี้พวกเขามีอา� นาจทางเศรษฐกิจมากขึ้น และวิกฤตท�าให้ตระหนัก
ถึงความจ�าเป็นต้องเข้ายึดกุมอ�านาจรัฐ เพื่อให้ช่วยบริหารจัดการกับโลกาภิวัตน์
ในแนวทางที่เป็นประโยชน์กับพวกเขา ทักษิณเสนอตัวเองเป็นนักธุรกิจตัวฉกาจ
ที่จะช่วยให้ทั้งบริษัทขนาดเล็กและใหญ่ฟื้นตัวจากวิกฤตได้อย่างฉับพลัน
พรรคใหม่นี้จับกระแสความรู้สึกหลังวิกฤตได้ดี ชื่อพรรคไทยรักไทย
สะท้อนอารมณ์ชาตินิยมที่พุ่งขึ้นในขณะนั้น พรรคชูค�าขวัญ “คิดใหม่ ท�ำใหม่
เพื่อคนไทยทุกคน” และสัญญาว่าจะปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทุกด้าน
เพื่อให้ไทยแข็งแกร่งทันสมัย และพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายของโลกยุค
ใหม่ แสดงวิสัยทัศน์สร้างความแข็งแกร่งเพื่อให้จัดการกับโลกาภิวัตน์ได้ พรรค
ติดต่อกับเอ็นจีโอและนักเคลื่อนไหวที่ชนบทให้ช่วยคิดแผนการหาเสียงเลือกตั้ง
ที่ตระหนักถึงผลกระทบของวิกฤตต่อภาคชนบท ได้แก่ โครงกำรปลดหนี้ให้
เกษตรกร กองทุนหมู่บ้ำนละล้ำน และโครงกำร ๐ บำทรักษำทุกโรค ค�า
โฆษณาของพรรคใช้ศัพท์แสงท้องถิ่นเรื่องการเพิ่มอ�านาจให้ชุมชนและการพัฒนา
จากรากหญ้า ทั้งนี้ ศ.นพ.ประเวศ วะสี หลวงตามหาบัว และขบวนการชาว
ชนบทหลายแห่ง ล้วนสนับสนุนพรรคใหม่
แรงหนุนจากประชาชนในระดับรากหญ้า จูงใจให้เจ้าพ่อท้องถิ่นต่างๆ
ให้การสนับสนุนกับพรรคใหม่ ด้วยตระหนักว่าพรรคประชาธิปัตย์และพรรค
ร่วมรัฐบาลคงต้องแพ้การเลือกตั้งเนื่องจากไปอิงอยู่กับนโยบายของไอเอ็มเอฟ
ทักษิณใช้เงินจ�านวนมากในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง วางแผนอย่างแนบเนียน
ประสานงานดี และมียุทธศาสตร์เด่นอย่างที่ไม่มีพรรคใดท�ามาก่อน ผลของ
การเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. ๒๕๔๔ คือพรรคไทยรักไทยได้ ส.ส. ๒๔๘ คน จาก
ทั้งหมด ๕๐๐ คน ขาดไปเพียง ๒ คนก็จะได้เสียงข้างมากในรัฐสภา หลังจาก
นั้นดึงอีก ๒ พรรคเข้ามาร่วมกับพรรคไทยรักไทย (รวมทั้งพรรคของพลเอก
ชวลิต) จนในท้ายที่สุดมี ส.ส.ในพรรคเกือบ ๓๐๐ คน ส่งผลให้พรรคประชา
ธิปัตย์ซึ่งเคยปักหลักแน่นที่ภาคใต้และเป็นพรรคใหญ่ที่สุด กลายเป็นพรรครอง
ลงมา
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ธรรมนูญพิพากษาว่าไม่ผิด แต่ค�าพิพากษาแปลกและอาจไม่โปร่งใส นโยบาย
ส่งเสริมธุรกิจเอกชนในรัฐบาลของเขาดูเหมือนจะให้ประโยชน์กับนักธุรกิจวงใน
ที่ใกล้ชิดกับเขาจ�านวนหยิบมือ หลายๆ มาตรการให้ประโยชน์กับธุรกิจครอบ
ครัว “ชินวัตร” มูลค่าทรัพย์สินของครอบครัวทักษิณ เพิ่มขึ้น ๓ เท่าหลังจาก
เป็นรัฐบาลได้ ๔ ปี ส่วนใหญ่เป็นมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่ฟื้นตัวอย่างมาก
แต่รัฐบาลก็ได้มีมาตรการที่ช่วยเหลือธุรกิจของครอบครัวเขาด้วยอย่างชัดเจน
เมื่อถูกสื่อมวลชนวิจารณ์มากขึ้นๆ รัฐบาลทักษิณควบคุมสื่อโทรทัศน์
และวิทยุเพิ่มขึ้น ควบคุมนักหนังสือพิมพ์โดยใช้ทั้งพระเดชพระคุณ สื่อไหนแตก
แถวจะไม่ได้รับงบโฆษณา ครอบครัวของเขาซื้อหุ้นใหญ่ในกิจการโทรทัศน์ ITV
ทีวีเสรีแห่งเดียวที่ก่อตั้งเมื่อปี ๒๕๓๕ ช่องอื่นๆ ถูกสั่งให้เสนอข่าวที่เอื้อกับ
รัฐบาลเท่านั้น บรรดานักวิชาการที่วิจารณ์แบบตรงไปตรงมาถูกโจมตี เอ็นจีโอ
ถูกข้อหาว่าประท้วงเพียงเพื่อให้ได้เงินทุนจากต่างชาติ องค์กรชุมชนที่ปกป้อง
ผลประโยชน์ท้องถิ่นถูกตราหน้าว่าเป็น “อนาธิปไตย” และเป็นศัตรูของชาติ
รัฐบาลทักษิณลดบทบาทขององค์กรอิสระที่ก่อตั้งโดยรัฐธรรมนูญ ฉบับ
พ.ศ. ๒๕๔๐ เพื่อตรวจสอบการคานอ�านาจฝ่ายบริหาร ทักษิณต้องการ “การ
เมืองนิ่ง” และแสดงความชื่นชมระบบการเมืองที่สิงคโปร์และมาเลเซียที่ฝ่ายค้าน
ไม่มีอ�านาจอะไร เมื่อกล่าวค�าปราศรัยเพื่อหาเสียงจะให้ภาพว่าเขาเป็นคนของ
ประชาชน และย�้าว่าเขาต้องต่อสู้กับชนชั้นน�ากลุ่มเก่าที่มุ่งรักษาอภิสิทธิ์ของพวก
เขา และท�าตนเป็นอุปสรรคกับการที่ทักษิณพยายามท�าทุกอย่างเพื่อมวลชน
เขาเสนอว่าระบบตรวจสอบและถ่วงดุล สิทธิมนุษยชน การอภิปรายสาธารณะ
และแม้แต่ฝ่ายค้าน ล้วนเป็นอุปสรรคกับการท�างานเพื่อประชาชนของเขาทั้งสิ้น
เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๘ “พรรคไทยรักไทย” ชนะการเลือกตั้ง
สมัยที่ ๒ แบบถล่มทลาย โดยได้คะแนนเสียงถึงร้อยละ ๖๗ ของทั้งหมด มี
ส.ส.ได้รับเลือกตั้ง ๓๗๗ คน จากทั้งหมด ๕๐๐ คน โดยควบคุมภาคเหนือ
อีสาน ภาคกลาง แต่ที่กรุงเทพฯ “ประชาธิปัตย์” พรรคฝ่ายค้านได้ ส.ส.ลดลง
และกระจุกตัวอยู่ที่ภาคใต้ (แผนที่ ๗)
การเลือกตั้งสมัยแรก ทักษิณได้รับแรงหนุนจากชนชั้นน�า ในสมัยที่ ๒
มีความแตกต่าง ผู้นิยมเจ้าจัดๆ มองว่าความนิยมทักษิณที่พุ่งสูงเด่นท้าทาย
สถาบันพระมหากษัตริย์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี กล่าว
ในการปาฐกถาครั้งหนึ่ง แนะน�าไม่ให้นิยมชมชอบคนรวยที่ไม่เหมาะสมจะได้รับ
การนับถือ ช่วง พ.ศ. ๒๕๔๖-๒๕๔๗ องคมนตรีบางท่านแสดงปาฐกถาหลาย
ปัจจุบันนี้ทุกคนทราบดีว่าประเทศดูเหมือนว่าจะหายนะ
...มีคนละมาตรฐาน เขาเรียกภาษาอังกฤษว่า double standard
...เมืองไทยไม่เคย ก่อนนี้ไม่มีเท่าไหร่...แต่ว่าเดี๋ยวนี้...เราก็ต้องมี
บ้าง๓๖
ทักษิณตระหนักดีว่าเขาเสี่ยงที่จะขัดแย้งกับกองทัพ เมื่อเขาเปลี่ยนวิธี
ปกครองเมืองไทยโดยโอนอ�านาจจากข้าราชการมาอยู่ที่นักการเมือง พลเอก
ชาติชายเคยพยายามท�าคล้ายๆ กัน และถูกท�ารัฐประหารมาแล้วเมื่อ พ.ศ.
๒๕๓๔ ทักษิณเคยเรียนโรงเรียนเตรียมทหารเพื่อเป็นนายร้อยต� ารวจ จึงมี
เพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนนายร้อยรุ่น ๑๐ เมื่อเขาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก
เขาเลื่อนขั้นเพื่อนทหารร่วมรุ่นหลายคนซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ ๕๐ ต้นๆ
เหมือนทักษิณ จึงยังห่างไกลจากต� าแหน่งสูง ทักษิณเลื่อนขั้นญาติของเขา
พลเอกชัยสิทธิ ชินวัตร ให้เป็นผู้บัญชาการทหารบกได้ใน พ.ศ. ๒๕๔๖ และ
แต่งตั้งญาติอีกคนหนึ่งเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม แต่ต้องย้ายพลเอกชัยสิทธิ์
ออกในปี ๒๕๔๗ การเลือกที่รักมักที่ชังในการแต่งตั้งนายทหารประจ�าปีแบบนี้
สร้างความขัดเคืองให้กับนายทหารอาวุโสกว่าที่ถูกข้ามไป และยังสร้างความไม่
พอใจให้กับนายทหารเก่านอกประจ�าการ เช่น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และ
พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่คาดหวังจะมีบทบาทด้วย
การโจมตีทักษิณครั้งแรกๆ เกี่ยวโยงกับนโยบาย ๓ จังหวัดภาคใต้
พ.ศ. ๒๕๔๕ ทักษิณยกเลิกหน่วยงานที่กองทัพเป็นผู้ก�ากับ ศอ.บต. และให้
ต�ารวจควบคุมแทน การปราบปรามยาเสพติด รวมทั้งการท�าวิสามัญ าตกรรม
ช่วงสงครามยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๔๖ ดูเหมือนว่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความ
รุนแรงครั้งใหม่
หลังจากที่มีเหตุการณ์ “ปล้นอาวุธปืน” จากหน่วยเก็บอาวุธที่จังหวัด
นราธิวาสเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๔๗ (ดูก่อนหน้านี้) ได้เกิดความรุนแรงที่ ๓
จังหวัดภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส) ไม่เว้นแต่ละวัน รวมทั้งการฆ่า
และการวางระเบิด ช่วงแรกทักษิณปรามาสว่าเป็น “โจรกระจอก” และให้ตา� รวจ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
จัดการจับกุมและแก้ปัญหาเสีย แต่ยุทธศาสตร์นี้ยิ่งท�าให้ความขัดแย้งบาน
ปลาย หลังการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. ๒๕๔๘ องคมนตรี ๒ รายเรียกร้องให้
รัฐบาลเปลี่ยนนโยบาย อ้างถึงที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงแนะน�าให้
ด�าเนินยุทธศาสตร์แบบ “เข้ำใจ เข้ำถึง และพั นำ” ทักษิณจึงจ�าใจแต่งตั้งค ะ
กรรมำธิกำรสมำนฉันท์แห่งชำติ ขึ้น
ชนชั้นกลางที่กรุงเทพฯ แรกๆ ก็ตอบรับที่ทักษิณสัญญาจะท�าให้เศรษฐ
กิจรุ่งเรือง มีเพียงนักเสรีนิยมออกมาต่อต้านที่ทักษิณไม่สนใจเรื่องหลักการ
สิทธิ เสรีภาพ และวิถีประชาธิปไตย พวกเขาวิจารณ์ที่ทักษิณใช้อ�านาจรัฐให้
ผลประโยชน์กับธุรกิจครอบครัวตัวเองและเพื่อนพ้องวงใน แต่ครั้น พ.ศ.
๒๕๔๘ เมื่อทักษิณขยายชุดนโยบายประชานิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ชนชั้นกลางเริ่ม
เป็นกังวลว่าพวกเขาจะเสียอ�านาจทางการเมือง และยังเป็นผู้ที่ต้องจ่ายต้นทุน
ของทั้งนโยบายประชานิยมและผลก�าไรของธุรกิจครอบครัวของเขา หลังจาก
ที่นักธุรกิจใกล้ชิดทักษิณพยายามซื้อหนังสือพิมพ์มติชน (อาจจะเพื่อปิดปาก)
บรรดาสื่อทั้งหลายรวมหัวกันวิจารณ์รัฐบาลที่พยายามข่มขู่สื่อสิ่งพิมพ์ เสียง
วิจารณ์รัฐบาลเพิ่มมากขึ้น ขณะนั้น สนธิ ลิ้มทองกุล เจ้าของหนังสือพิมพ์
ผู้จัดกำร และรายการโทรทัศน์เมืองไทยรำยสัปดำห์ เมื่อเขาวิพากษ์ทักษิณ
อย่างรุนแรง รายการของเขาถูกยกเลิก หลังจากนั้นเขาจัดรายการเดียวกันนี้
ตามที่สาธารณะต่างๆ เป็นประจ�าให้มีลักษณะเหมือนการชุมนุมประท้วงตาม
ท้องถนน เขาเรียกความสนใจและปลุกเร้าอารมณ์ของผู้ชมโดยอ้างว่าทักษิณ
เป็นภัยกับสถาบันพระมหากษัตริย์
ปลาย พ.ศ. ๒๕๔๘ การชุมนุมของสนธิ ลิ้มทองกุลได้ซาลงไป แต่ใน
เดือนมกราคม ๒๕๔๙ ตระกูลชินวัตรขายบริษทั “ชินคอร์ปอเรชั่น” ให้กับบริษัท
เทมาเส็กของรัฐบาลสิงคโปร์เป็นเงิน ๗๓ พันล้านบาท โดยไม่เสียภาษีใดๆ แม้
แต่บาทเดียว รัฐบาลได้แก้กฎหมายหลายจุด และยังกลับค�าตัดสินคดีภาษีก่อน
หน้าเพื่อไม่ให้บริษัทชินฯ ต้องเสียภาษี สร้างความสะอิดสะเอียนอย่างแรง สนธิ
ร่วมมือกับนักเคลื่อนไหวมือเก่า รวมทั้งจ�าลอง ศรีเมือง ชุบชีวิตการชุมนุมของ
เขาขึ้นใหม่ภายใต้ร่มของพันธมิตรประชำชนเพื่อประชำธิปไตย (พธม.) เสียงลือ
ว่าทหารจะปฏิวัติเพื่อก�าจัดทักษิณออกไปกระหึ่มขึ้น และดูเหมือนว่าบางส่วน
ของกองทัพประสานกับ พธม. การชุมนุมพุ่งเป้าให้ภาพทักษิณและพรรคไทย
รักไทยเป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ อ้างว่าได้ค้นพบแผนการเปลี่ยนไทย
เป็นสาธารณรัฐ (มีประมุขเป็นประธานาธิบดี) เมื่อสมาชิกพรรคไทยรักไทย
บางคนไปประชุมกันที่ฟินแลนด์ และกล่าวหาว่าทักษิณหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ผู้ชุมนุมใส่เสื้อสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พวก
เขาเรียกร้องให้พระมหากษัตริย์ทรงถอดถอนทักษิณจากต�าแหน่งนายกรัฐมนตรี
แต่ทรงปฏิเสธว่าค�าเรียกร้องนี้ “ไม่มีเหตุไม่มีผล”๓๗
ทักษิณตอบกลับด้วยการประกาศ “ยุบสภา” และก�าหนดให้มี “การ
เลือกตั้งทั่วไป” ในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๔๙ พรรคประชาธิปัตย์และพรรค
ายค้านอื่นๆ รวมหัวกันไม่ลงสมัครเลือกตั้ง ท�าให้พรรคไทยรักไทยได้ชัยชนะ
อีกครั้ง แต่ถูกข้อกล่าวหาว่าชนะโดยผิดก หมายเลือกตั้ง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดฯ ให้ทักษิณเข้าเฝ้า ซึ่งหลัง
จากนั้นทักษิณประกาศจะถอยออกจากการเมือง หลังจากพระมหากษัตริย์ทรง
มีพระราชด�ารัสเรียกร้องให้ฝ่ายตุลาการมีบทบาทสูงขึ้น “เพื่อให้การปกครอง
แบบประชาธิปไตยต้องด�าเนินการไปได้”๓๘
ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ และการเลือกตั้งครั้ง
ต่อไปก�าหนดขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๔๙ ทักษิณกระโจนเข้าสู่การเมืองอีกครั้ง
และอ้างว่า “มีผู้มีบำรมี และองค์กรนอกรัฐธรรมนู ต้องกำรจะล้มล้ำงรัฐธรรมนู
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ท�ำลำยประชำธิปไตย”
พลเอกเปรมกล่าวกับทหารว่า “รัฐบำลก็เหมือนกับจอกกี้ คือเข้ำมำดูแล
ทหำร แต่ไม่ใช่เจ้ำของทหำร เจ้ำของทหำรคือชำติและพระบำทสมเด็จพระเจ้ำ
อยู่หัว” ๓๙
ความทะเยอทะยานของทักษิณทั้งในเรื่องการเมืองและการท� าธุรกิจ
เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้กลุ่มต่างๆ ซึ่งโดยปกติอยู่แยกกัน หันมาร่วมมือกันต่อ
ต้านเขา ฝ่ายนิยมเจ้า ทหาร และข้าราชการ (ฝ่ายอนุรักษนิยม) เกรงว่าทักษิณ
จะท�าให้เมืองไทยเปลี่ยนเร็วและมากไปตามกระแสโลกาภิวัตน์ นักปฏิรูปใน
กลุ่มนักวิชาการและชนชั้นกลางเสรีนิยมวิตกที่ทักษิณมีทั้งเงิน มีทั้งความนิยม
จากรากหญ้า (จากชุดนโยบายประชานิยม) และลักษณะอ� านาจนิยม ฉะนั้น
การต่อต้านทักษิณ กลายเป็นการต่อต้านระบอบประชาธิปไตยแบบตัวแทน
รั ประหาร ๒๕๔๙
คืนวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ขณะที่ทักษิณก�าลังกล่าวค�าปราศรัย
ที่ส�านักงานสหประชาชาติที่นิวยอร์ก ทหารก่อการ “รัฐประหาร” ยึดอ�านาจ
จากรัฐบาล แม้ว่ารัฐประหารจะเป็นเรื่องธรรมดาในเมืองไทย แต่นี่เป็นครั้งแรก
ในรอบเกือบ ๕๐ ปีที่ทหารน�ารถถังออกมายึดอ�านาจแล้วประสบความส�าเร็จ
แม้ว่าจะท�าได้โดยไม่มีความรุนแรงใดๆ แต่ก็ได้มีการลองก�าลังกันมาก่อนหน้า
หัวหน้าผู้ก่อการครั้งนี้คือ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ด�ารงต�าแหน่งผู้บัญชาการ
ทหารบก เมื่อปี ๒๕๔๘ หลังจากที่พระมหากษัตริย์ทรงปฏิเสธที่จะรับรองผู้ที่
ทักษิณเสนอมา ๓ เดือนให้หลังพลเอกสนธิโยกย้ายนายทหารกว่า ๓๐๐ นาย
เพื่อลดอิทธิพลของนายทหารที่เป็นพันธมิตรกับทักษิณ ในคืนวันรัฐประหารนั้น
ผู้ก่อการน�ารถถังออกมากั้นไม่ให้กองทหารที่กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นฝ่ายทักษิณออก
มาต้านได้
คณะผู้ก่อการฯ ใช้สัญลักษณ์แสดงว่าเป็นฝ่ายนิยมเจ้าด้วยการใช้ริบบิ้น
สีเหลืองประดับที่ปลายปืน รถถัง และกลัดที่เครื่องแบบของทหาร เริ่มแรก
คณะผู้ก่อการฯ เรียกตัวเองว่า ค ะป ิรูปกำรปกครองในระบอบประชำธิปไตย
อันมีพระมหำกษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต่อมาตัดให้เหลือเพียง ค ะป ิรูปกำร
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่แต่งตั้งโดยคณะผู้ก่อการฯ ร่าง
รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีเนื้อหาลดอ�านาจของนายกรัฐมนตรี ลดบทบาทของ
รัฐสภา พยายามจะปกป้องฝ่ายข้าราชการจากการแทรกแซงของนักการเมือง
และให้อ�านาจผู้พิพากษาชั้นผู้ใหญ่แต่งตั้งกรรมการขององค์กรอิสระที่มีบทบาท
ก�ากับฝ่ายบริหารของรัฐบาล (คณะรัฐมนตรี) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ผ่าน
พ.ร.บ.ความมั่ น คงภายใน ฟื ้ น คื น กองอ�า นวยการรั ก ษาความมั่ น คงภายใน
(กอ.รมน.) ที่เคยท�าหน้าที่ปราบคอมมิวนิสต์สมัยสงครามเย็นขึ้นมาใหม่ ผ่าน
พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระท�าความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่มีบทลงโทษรุนแรง
ด้วยเครื่องมือเหล่านี้ กองทัพคาดหวังว่าจะฟื้นคืนบทบาทก�ากับการเมืองระดับ
ชาติได้ ตามแบบอย่างทีพ่ ลเอกเปรม ติณสูลานนท์เคยท�าได้เมือ่ ทศวรรษ ๒๕๓๐
คณะผู้ก่อการพยายามชักจูงนักการเมืองให้ออกจากพรรคไทยรักไทย แล้วเข้า
พรรคใหม่ที่พร้อมจะร่วมมือกับโครงการของคณะผู้ก่อการฯ
แต่ความพยายามของรัฐบาลรัฐประหารและทหารที่จะใช้ก� าลังก�ากับ
ควบคุมพลังสังคมที่สนับสนุนทักษิณนั้นไม่ประสบความส�าเร็จ คณะรัฐมนตรี
ภายใต้การน�าของนายกฯ พลเอกสุรยุทธ์มาจากข้าราชการเกษียณเสียส่วนมาก
นั้น สูญเสียความนิยมอย่างรวดเร็ว เมื่อได้ภาพว่าไม่สามารถที่จะบริหารจัดการ
และปกครองสังคมไทยที่มีความสลับซับซ้อนขึ้นมากได้ ประชาชนที่ได้ประโยชน์
จากนโยบายประชานิยมของทักษิณ และผู้ที่รู้สึกว่าพวกเขามีที่ยืนบนพื้นที่ทาง
การเมืองในสังคมไทยแล้ว ไม่ยอมที่จะถูกดันให้หวนกลับไปสู่ภาวะชายขอบ
ได้อีก ตามหมู่บ้านต่างๆ ชาวบ้านมีความตื่นตัวทางการเมืองโดยตระหนักรู้ใน
“สิทธิพลเมือง” มากขึ้นกว่าช่วงทศวรรษ ๒๕๑๐ พวกเขาไม่พอใจกับที่ทหาร
พยายาม “บังคับ” ให้เขาเลิกสนับสนุนทักษิณด้วยสงครามจิตวิทยาต่างๆ และ
แม้ว่าทักษิณจะลี้ภัยอยู่นอกประเทศ แต่เขาอยู่ใกล้ชิดกับผู้สนับสนุนเขาตลอด
ผ่านอินเตอร์เน็ต ผ่านข่าวใหญ่ที่เขาซื้อทีมฟุตบอลของอังกฤษ แมนเชสเตอร์ซิตี้
แม้ว่าพรรคไทยรักไทยจะถูกยุบไปแล้วแต่นักการเมืองในพรรคปฏิเสธที่จะอยู่
นิ่งเฉย และยังคงวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลรัฐประหารอย่างสม�่าเสมอ
พรรคไทยรักไทยเกิดใหม่เป็นพรรคเล็กภายใต้ชื่อ “พรรคพลังประชำ
ชน” เมื่อรัฐบาลรัฐประหารก�าหนดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธันวาคม ๒๕๕๐
ทักษิณชักชวนสมัคร สุนทรเวช ให้เป็นหัวหน้าพรรค ใช้ค�าขวัญ “เลือกสมัคร
ได้ทักษิณ” คือค�าสัญญาที่จะน�านโยบายของพรรคไทยรักไทยกลับมานั่นเอง
เมื่อมีการลงประชามติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (พ.ศ. ๒๕๕๐) ในเดือน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
รัฐมนตรี (กรณีทุจริตที่ดินรัชดาภิเษก)
ทักษิณเดินทางไปต่างประเทศก่อนที่ศาลจะตัดสินคดี ต่อมาเดือน
กันยายน ๒๕๕๑ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ต้องพ้นจากต�าแหน่ง เมื่อ
ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาว่าการเป็นพิธีกรในรายการโทรทัศน์ “ชิมไปบ่นไป”
โดยมีการรับเงิน “ค่าจ้าง” จากบริษัทจัดรายการ ขณะด�ารงต�าแหน่งนายกฯ
ขัดกับรัฐธรรมนูญ
เสอ ง
รัฐประหารและความพยายามที่จะก�าจัดอิทธิพลของทักษิณโดยใช้กลไก
ของกองทัพ กระบวนการยุติธรรม และการประท้วงบนท้องถนน ช่วยกระตุ้น
ให้มี “ขบวนการมวลชน” อย่างเปิดเผยเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมือง
ไทย
นักเคลื่อนไหวกลุ่มเล็กๆ หลายกลุ่มประท้วงการรัฐประหารเมื่อเดือน
กันยายน ๒๕๔๙ ปีต่อมาพวก “พรรคไทยรักไทย” ที่ถูกยุบไปเข้าร่วมขบวน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ด้วย จากเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๐ ทักษิณซึ่งลี้ภัยอยู่ต่างประเทศเริ่มแสดงตัว
ในขบวนการประท้วงที่เกิดขึ้น ครั้งแรกๆ โทรศัพท์เข้ามาปราศรัยกับผู้ประท้วง
ต่อมาเปิดเทปที่เตรียมไว้ล่วงหน้า และท้ายที่สุดใช้วิดีโอลิงก์ถ่ายทอดผ่านดาว
เทียมให้รับชมได้ทั่วไปตามหมู่บ้านที่ภาคเหนือและอีสาน บริเวณที่จงรักภักดี
กับทักษิณมากๆ กลุ่มประท้วงก่อตั้งขึ้นหลายกลุ่ม มักโยงอยู่กับดีเจสถานีวิทยุ
ชุมชนหรือวิทยุทั่วไป กระทั่งวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๐ กลุ่มแนวร่วมประชา
ธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ นปช. ก็เปิดตัวขึ้นเป็นร่มธงของกลุ่มต่างๆ
ที่ประท้วงการรัฐประหาร ๒๕๔๙ นปช.จัดการชุมนุมประท้วงที่หน้าบ้านของ
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี โดยกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังรัฐ
ประหาร ผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมของ นปช.ที่กรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น เมื่อผู้คนที่ผิดหวัง
กับรัฐบาลรัฐประหารมากขึ้นและความกลัวทหารลดลง
หลังการเลือกตั้งเดือนธันวาคม ๒๕๕๐ นปช.สลายตัวไป แต่ฟื้นฟูขึ้น
มาใหม่อีกเมื่อเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๑ เพื่อต่อต้านกลุ่มประท้วงของ พธม.ที่
เข้มข้นและรุนแรงขึ้นทุกขณะ เดือนกรกฎาคม ๒๕๕๑ รัฐบาลนายกฯ สมัคร
สุนทรเวชเปิดตัวรายการโทรทัศน์ “ควำมจริงวันนี้” เพื่อคานกับรายการที่สนธิ
ลิ้มทองกุลถ่ายทอดมาจากเวทีประท้วงของ พธม. พิธีกรทั้ง ๓ รายในรายการ
“ความจริงวันนี้” ใส่เสื้อเชิ้ตสีแดงเป็นเครื่องแบบ ตั้งแต่เกิดรัฐประหาร ผู้ประ
ท้วงบางคนใส่สีแดงมาก่อนแล้ว ต่อจากนี้ไป “สีแดง” ได้กลายเป็นเครื่องหมาย
ของกลุ่มเหล่านี้ นอกจากนั้นแล้วสีแดงยังเป็นตัวแทนของประชาชนในธงชาติ
ไทย และพรรคไทยรักไทยก็ได้ใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของพรรค ทั้งในกรณี
ไทยรักไทยและพลังประชาชน บางทีสีแดงอาจจะเป็นสีที่แข่งกับสีเหลืองได้ดี
ที่สุด
จากกลางปี ๒๕๕๑ กลุ่มเสื้อสีแดงจะชุมนุมกันเป็นจ�านวนมากในสนาม
กีฬาขนาดใหญ่ ผู้ร่วมชุมนุมจะนั่งรถบัสมาจากภาคเหนือและอีสาน มักจะได้รับ
เงินอุดหนุนจากนักการเมืองพรรคของทักษิณ บางส่วนของผู้ชุมนุมก็คือแรงงาน
อพยพ โดยเฉพาะคนขับรถแท็กซี่และมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่กรุงเทพฯ และยัง
ได้รับแรงสนับสนุนจากนักวิชาการ นักเคลื่อนไหว และนักวิชาชีพในเมืองที่รู้สึก
ว่าการเมืองหลัง “รัฐประหาร ๒๕๔๙” และ “การเมืองใหม่” ของ พธม. เป็นภัย
กับหลักการและวิถีประชาธิปไตย หลายคนเคยต่อต้านทักษิณมาก่อนว่าเป็นภัย
กับประชาธิปไตย ขณะนี้พวกเขาต่อต้าน พธม. เพราะเห็นว่าเป็นภัยมากกว่า
ในการชุมนุมประท้วงของทั้งสอง าย การปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ เกิดถี่
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ต้นป ๒๕๕๓ “ขบวนการเสื้อแดง” เตรียมการประท้วงที่กรุงเทพฯ
โดยเริ่มจัดการชุมนุมเพื่อหาเงินบริจาคในจังหวัดแถบภาคอีสานและภาคเหนือ
วันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๕๓ คนเสื้อแดงหลายพันคนเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
มากับรถกระบะใส่เสื้อสีแดง เปิดเพลงเสียงดัง สร้างบรรยากาศเสมือนงานเทศ
กาล เริ่มแรกทีเดียวพวกเขาได้รับการต้อนรับอบอุ่นจากทั้งคนงานอพยพที่
กรุงเทพฯ และมนุษย์เงินเดือนชาย-หญิง โดยสาระอย่างเป็นทางการแล้ว ขบวน
การนี้เรียกร้องให้รัฐบาลจัดการเลือกตั้งใหม่ แต่ผู้ร่วมชุมนุมจ�านวนมากมีเป้า
หมายแตกต่าง
ความพยายามที่จะเจรจากับรัฐบาลล้มเหลวภายใน ๒ วัน อาจจะเป็น
เพราะทักษิณเข้าแทรกแซง ขณะที่ผู้ร่วมชุมนุมส่วนมากต้องการชุมนุมโดยสันติ
แต่มีส่วนน้อยที่เชื่อว่าความรุนแรงเท่านั้นจึงจะได้ผล ในวันที่ ๑๐ เมษายน
๒๕๕๓ เมื่อฝ่ายทหารพยายามสลายการชุมนุมเคลียร์พื้นที่ การปะทะกันเกิดขึ้น
และมีการยิงกัน กลุ่มที่ถูกเรียกว่า “ชายชุดด�า” อาจจะเป็นทหารนอกแถว และ
อดีตทหารพรานปาระเบิดใส่ทหาร ท�าให้พลโทร่มเกล้ำ ธุวธรรมเสียชีวิต และ
มีผู้ชุมนุมกว่า ๒๐ คนเสียชีวิต ส่วนใหญ่ถูกยิงด้วยกระสุนความเร็วสูง หลัง
จากนั้นไม่นานผู้ประท้วงย้ายไปชุมนุมที่ถนน “ราชประสงค์” ใจกลางย่านธุรกิจ
ของกรุงเทพฯ บรรดามนุษย์เงินเดือนและคนงานคอปกขาวที่เคยมีใจให้กับเสื้อ
แดง ลดความมีใจลงเมื่อการประท้วงก่อกวนวิถีชีวิตปกติเป็นเวลาเนิ่นนานขึ้น
วั น ที่ ๑๙ พ ษภาคม ๒๕๕๓ ทหารใช้ ก� า ลั ง เข้ า สลายการชุ ม นุ ม
อาคารร้านค้าที่อยู่หลังกลุ่มผู้ประท้วงถูกจุดไ เผา รวมทั้งอาคารในบริเวณ
อื่นๆ และส�านักงานรัฐบาล ๔ แห่งที่ต่างจังหวัดถูกเผาด้วย การประท้วงครั้ง
นี้เนิ่นนานถึง ๘ สัปดาห์ ท้ายที่สุดมีคนตายกว่า ๙๐ คน ในจ�านวนนี้ ๘๐
คนเป็นผู้ประท้วง และ ๑๐ คน เป็น ายรักษาความมั่นคง
“ขบวนการเสื้อแดง” ส�าแดงพัฒนาการมวลชนที่ก่อตัวขึ้นมาในช่วง
หลายสิบปี ผู้ร่วมขบวนไม่ใช่ “คนจน” แต่มักเป็นประชาชนที่เริ่มลืมตาอ้าปาก
ก�าลังมีรายได้เพิ่มขึ้น มีความคาดหวังในชีวิตที่สูงขึ้น มีความคิดความอ่านที่
กว้างขวางขึ้น จากเดิมเป็นคนงานอพยพและได้ข้อมูลข่าวสารจากการสื่อสาร
ใหม่ๆ ที่หลากหลาย พวกเขาคับข้องใจกับความไม่เท่าเทียมหลายด้าน รวมทั้ง
โอกาสและการได้รับความนับถือ พวกเขามักจะมาจากภาคเหนือและอีสานซึ่ง
เป็นเขตที่มีรากวัฒนธรรมเฉพาะ แต่ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยามเมื่อ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ภาพที่ ๓๒ เสื้อแดงชุมนุมให ่ มีนำคม-พฤษภำคม ๒๕๕
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
พ.ศ.๒๕๕๓-๒๕๕๔ อภิสิทธิ์เข้าร่วมขบวนกับกลุ่มเสื้อเหลืองเพื่อล้ม
รัฐบาลที่โยงกับทักษิณ เมื่อเขาด�ารงต�าแหน่งนำยกรัฐมนตรี ในเดือนธันวาคม
พ.ศ. ๒๕๕๑ หลังจากที่ศาลและกองทัพเข้าแทรกแซงการเมือง เขาจึงเผชิญกับ
ปรปักษ์ที่ไม่พอใจว่า ศำลและทหำรได้ช่วยล้มรัฐบำลเดิมที่มำจำกกำรเลือกตั้ง
อภิสิทธิ์ถูกมวลชนห้อมล้อมเข้าทุบตีรถที่เขานั่งอยู่ถึง ๒ ครั้ง รัฐบาลภายใต้
การน�าของอภิสิทธิ์ก�ากับควบคุมสื่ออย่างเข้มงวด และอย่างกว้างขวางกว่าที่เคย
เป็นมานับจากสมัยของทหารสิ้นสุดลง การปิดหนังสือพิมพ์ของกลุ่มเสื้อแดง
คุกคามวิทยุชุมชน และสถานีโทรทัศน์ของเสื้อแดงถูกก่อกวนบางครั้งบางคราว
การบล็อกเว็บบอร์ดเป็นพันๆ และคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพิ่มพูน ระหว่าง
ที่มีการชุมนุมประท้วงปี ๒๕๕๓ นั้น อภิสิทธิ์หลบไปค้างอยู่ที่ค่ายทหารแห่งหนึ่ง
หลังเหตุการณ์รุนแรงครั้งนั้น เขาพูดซ�้าแล้วซ�้าเล่าเหมือนกับที่ฝ่ายกองทัพประ
กาศอยู่เสมอว่า ทหำรไม่ได้ ่ำผู้ชุมนุมคนใดเลย พรรคประชาธิปัตย์ยึดโยง
ตัวเองกับสถาบันเก่า ได้แก่ กองทัพและสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเต็มที่
ต่อมาพรรคพวกที่เป็นผู้น�าพรรคที่ภาคเหนือและอีสานค่อยๆ สลายตัวไป
ตั้งแต่ปี ๒๕๔๔ เป็นต้นมาพรรคต้องยอมรับ (ไม่เต็มใจนัก) ว่าต้อง
แข่งขันกับทักษิณด้านนโยบายประชานิยม เมื่อได้จัดตั้งรัฐบาลจึงไม่ได้ยกเลิก
นโยบายที่ทักษิณริเริ่ม ยกเว้นนโยบายอุดหนุนราคาสินค้าเกษตร และได้เพิ่ม
สวัสดิการว่าด้วยเงินสงเคราะห์คนชรากับการศึกษาฟรี ๑๒ ปี แต่พรรคไม่อาจ
ละทิ้งวัฒนธรรมเจ้าขุนมูลนาย ก่อนการเลือกตั้งทั่วไป รัฐบาลอภิสิทธิ์เปิดตัว
ชุดนโยบายโดยมีเป้าหมายเพื่อเอาใจคนระดับล่างในกรุงเทพฯ โดยประกาศว่า
เป็น “ของขวัญ” ที่รัฐบาลจะให้กับชาติ
หลังเหตุการณ์พฤษภาคม ๒๕๕๓ อภิสิทธิ์รอจนคิดว่าความรู้สึกต่อ
ต้ า นรั ฐ บาลผ่ อ นคลายลง จึ ง ประกาศการจั ด การเลื อ กตั้ ง ครั้ ง ใหม่ ใ นเดื อ น
กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ก่อนหน้านี้พรรคฝ่ายทักษิณตั้งพรรคใหม่ชื่อ “เพื่อ
ไทย” แต่ยังไม่ประกาศชื่อผู้น�าพรรค ประชาธิปัตย์อาจคาดหวังช่วงชิงเกมใน
ขณะที่พรรคฝ่ายตรงข้ามก�าลังระส�่าระสาย แต่เพื่อไทยเลือก ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
น้องสาวทักษิณเป็นหัวหน้าพรรคทันที ทักษิณประกาศว่าเขาเลือกยิ่งลักษณ์
เพื่อเป็น “โคลน (clone)” หรือตัวตายตัวแทนของเขา ค�าขวัญของพรรคคือ
“ทักษิ คิด เพื่อไทยท�ำ” แม้ว่าทักษิณจะยังอยู่ต่างประเทศ แต่การเลือกตั้ง
ทั่วไปครั้งนั้นเป็นประเด็นที่เกี่ยวโยงกับประวัติผลงานของเขา และปฏิกิริยาของ
มวลชนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งรัฐประหาร ๒๕๔๙ อย่างชัดเจน
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ผู้ขัดค�าสั่ง บางคนหนีไปต่างประเทศ คสช.ประกาศว่าจะอยู่ในอ�านาจอย่างน้อย
๑๘ เดือน เพื่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่และด�าเนินการปฏิรูปอื่นๆ
สรุป
เศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงในอัตราที่เร่งเร้านับจากทศวรรษ ๒๕๑๐ เรื่อย
มา เศรษฐกิจเฟื่องฟูเป็นเวลานาน ตามด้วยภาวะ “ฟองสบู่แตก” ปรับแปร
รายได้ เพิ่มความเป็นเมือง ยกสถานะของนักธุรกิจให้สูงขึ้นบนบันไดของสังคม
และเปิดเมืองไทยสู่วัฒนธรรมและเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์มากขึ้น
สังคมมีความสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลุ่ม
คนงานคอปกขาวชนชั้นกลาง และคนงานอพยพไปมาระหว่างชนบทเมืองเพิ่ม
จ�านวนอย่างรวดเร็ว ชุมชนท้องถิ่นเปิดรับกับอิทธิพลจากภายนอกทันทีทันใด
เมื่อถนนหนทาง รถโดยสาร มอเตอร์ไซค์ โทรทัศน์ และมวลชนใหม่ผุดขึ้น
สะท้อนให้เห็นได้จากสื่อระดับชาติที่ดาหน้าขึ้นมา วาทกรรมเก่าว่าด้วยเชื้อชาติ
ชาติ ประวัติศาสตร์ บุคลิกประจ�าชาติ และวัฒนธรรมชาติ แตกกระจายเพราะ
ความหลากหลายที่เป็นความจริง
“การเมือง” ก้าวไม่ทันการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายทั้งปวง เมื่อไม่เคยมี
ขบวนการชาตินิยม สงคราม หรือวิกฤต สถาบันเก่าคือสถาบันพระมหากษัตริย์
กองทัพและระบบข้าราชการ ยังคงมีบทบาทเหนือรัฐ ความก้าวหน้าสู่การเมือง
ประชาธิปไตยและความเสมอภาคยังคงเป็นไปแบบครึ่งๆ กลางๆ การลุกขึ้นสู้
ของนักศึกษา-คนงาน-ชาวนา เมื่อทศวรรษ ๒๕๑๐ ท�าให้สมัยของเผด็จการ
ทหารถึงจุดอวสาน แต่ก็ไม่ได้ถูกท�าลายอย่างสิ้นเชิง ต่อมาภายหลังชนชั้นน�า
นักธุรกิจท้องถิ่นถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคณาธิปไตยชนชั้นปกครอง ผ่าน
การเลือกตั้งทั่วไปมีเงินเป็นใบเบิกทาง แต่อ�านาจของภาคราชการไม่ได้ลดทอน
ลงสักเท่าใด ขณะเดียวกันนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ได้รับการส่งเสริม ขยับ
ขยายบทบาทเป็นสัญลักษณ์ของความสามัคคี ความเป็นหนึ่งเดียวของชาติ และ
ที่พึ่งยามเกิดวิกฤตการเมือง ทหารยังคงอ้างถึงสิทธิที่จะแทรกแซงการเมือง
ส�าแดงให้เห็นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๔ และขู่คุกคามในกาละอื่น ภายใต้การบริหาร
การจัดการที่ลงตัวแบบนี้ ระบบเศรษฐกิจเฟื่องฟูแต่ทรัพยากรธรรมชาติเสียหาย
ยับเยิน และความตึงเครียดทางสังคมเขม็งตัวขึ้น
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ป จ ฉิ ม บ ท :
รั เข้ม ขง ละสันติสุขของประชาชน
ตั้งแต่รัฐชาติก่อตัวขึ้นในสยาม ได้เกิดวิสัยทัศน์ว่าด้วยเปาประสงค์แห่ง
รัฐ แยกออกเป็นสองกระแส แต่ละกระแสต่างมีวิวัฒนาการไปตามกาลเวลา
กระแสแรกฟักตัวขึ้นสมัยรัชกาลที่ ๕ ด้วยความคิดว่ารัฐสมบูรณาญา
สิทธิ์ที่เข้มแข็งจ�าเป็นเพื่อปกป้องสยามจากเจ้าอาณานิคม และสร้างความสงบ
ภายใน จะได้มี “ความเจริญ” เป็นประเทศส�าคัญในโลก ชนชั้นน�าราชส�านัก
มีสิทธิเป็นผู้น�า เพราะระบบกษัตริย์สืบทอดมายาวนาน ไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว
ปกครองด้วยหลักวิชา เป็นเจ้าแห่งความศิวิไลซ์ ประชาชนเพียงแต่ต้องสามัคคี
น้อมรับอ�านาจโดยสงบ
ต่อมารัฐบาลเผด็จการทหารได้ฟื้นฟูและปรับสูตรส�าเร็จนี้ โยกย้ายพระ
มหากษัตริย์ออกจากศูนย์อ�านาจ แต่คงส่วนอื่นของกระแสนี้ไว้ รัฐเข้มแข็งยัง
จ�าเป็นเพื่อก�าจัดภัยภายนอก (คอมมิวนิสต์) และภัยภายใน (คนจีน) จะได้มี
“ความเจริญ” หรือ “การพัฒนา” และอยู่รอดในโลกที่รัฐชาติต่างแย่งกันชิงความ
เป็นใหญ่ ชนชั้นน�าทหารมีสิทธิเป็นผู้น�า เพราะว่าชาติไทยเป็นชาตินักรบ ทหาร
ไร้ซึ่งความเห็นแก่ตัว มีหลักวิชาและผูกขาดความรุนแรง จอมพลสฤษดิ์ประ
สานชนชั้นน�าราชส�านักกับชนชั้นน�าทหารเข้าด้วยกันภายใต้กระแสนี้
สูตรปรับใหม่ดังกล่าว รัฐชาติต้องยอมรับการบังเกิดขึ้นของชนชั้นกลาง
เมืองซึ่งมีความมุ่งหวังของตนเอง ขณะที่ประวัติศาสตร์แบบพงศาวดารมองไม่
เห็นประชาชน แต่หลวงวิจิตรฯ ให้ภาพประชาชนไทยในประวัติศาสตร์มีชีวิตชีวา
เป็นอิสรชนในเศรษฐกิจระบบตลาดเสรี และเปลีย่ นสถานภาพทางสังคมได้ ชาว
เมืองของสยามเป็นผู้น�าความเจริญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะเป็น “ข้าราชการ”
ดูแลประชาชนซึ่งยังไม่ทันสมัย ประชาชนจึงยังคงต้องน้อมรับอ�านาจโดยสงบ
และเชื่อฟังผู้ปกครอง
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
ทักษิณ ชินวัตร และพรรคพวกนักธุรกิจ ฟื้นฟูสูตรรัฐเข้มแข็งอีก และ
ปรับเปลี่ยนให้ทันกาลกับระบบเศรษฐกิจสังคมมวลชนร่วมสมัย อ้างถึงความ
จ�าเป็นจะต้องมีรัฐเข้มแข็งเพื่อที่จะปกป้องชาติไทยจากภัยภายนอกคือ “โลกา
ภิวัตน์” และภัยภายในคือ “ความขัดแย้งในสังคม” เพื่อที่เมืองไทยจะได้ก้าว
กระโดดเป็นหนึ่งในประเทศชั้นน�าของโลก ชนชั้นน�านักธุรกิจ-นักการเมืองใหม่
มีสิทธิเป็นผู้น�าเพราะว่าท�าเพื่อ “ประชาชน” เท่านั้น โดยใช้หลักวิชา (หลักการท�า
ธุรกิจ) และมีความมั่งคั่งเพียงพอที่จะชนะการเลือกตั้งได้
วิสัยทัศน์กระแสแรกนี้ แม้จะปรับเปลี่ยนไปตามกาลเวลาบ้าง แต่มี
ลักษณะเด่นเห็นได้ชัดเจน หนึ่ง เป็นเกราะคุ้มกันให้ชนชั้นน�าฝ่ายการเมืองได้
สะสมความมั่งคั่งอย่างเต็มที่ ทั้งในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สมัยรัฐบาล
ทหาร และสมัยทักษิณ สอง มีจุดเน้นที่ชาติต้องมีความสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว
แต่แบ่งเป็นชนชั้นลดหลั่นกันไปด้วย บ้างเป็นไทยมากกว่าอื่นๆ สาม เน้น
คุณค่าความเป็นชาย ยอมให้มีการเอาเปรียบสตรีเพศด้วยระบบหลายเมีย หรือ
พฤติกรรมท�านองเดียวกัน สี่ ช่วงที่วิสัยทัศน์แรกเป็นกระแสน�า เกิดขึ้นเมื่อ
รัฐใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชาติของตนเอง นั่นคือ การปราบกบฏเมื่อ
พ.ศ. ๒๔๔๒-๒๔๔๕ การฆาตกรรมนักการเมืองคู่แข่งเมื่อทศวรรษ ๒๔๙๐
การสังหารนิสิต-นักศึกษา ประชาชน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ และ ๒๕๑๙ พฤษภา
ทมิฬ ๒๕๓๕ สงครามยาเสพติด ๒๕๔๖
ข้ออ้างที่ว่าต้องมีรัฐเข้มแข็ง เพื่อป้องกันภัยภายนอกและภัยภายใน
อีกทั้งจะต้องมีเพื่อให้บรรลุถึงความเจริญและการก้าวสู่ประเทศชั้นน�าของโลกนี้
ได้ปักหลักเป็นจารีตนิยมน�าของการเมืองไทย
วิสัยทัศน์กระแสที่สองเป็นคู่ตรงกันข้าม ก่อตัวขึ้นจากความคิดค�านึง
ของนักวิชาการ นักคิดสามัญชน เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๕ และต่อมา ภายใต้
กระแสนี้ จุดมุ่งหมายของรัฐชาติคือความอยู่ดีมีสุขของมวลสมาชิก ไม่ใช่การ
เป็นประเทศส�าคัญในโลก ศัตรูของกระแสนี้ไม่ใช่ภัยจากภายในและภายนอก
แต่เป็นจารีตนิยมรัฐเข้มแข็งนั่นเอง
วิสัยทัศน์กระแสที่สองไม่เน้นความเป็นหนึ่งเดียว แต่ชูประเด็นความ
หลากหลาย เรียบเรียงประวัติศาสตร์ใหม่ชี้ให้เห็นว่า รัฐชาติเกิดจากการผนวก
ผู้คนจากหลากหลายแหล่งที่และวัฒนธรรม ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับต�านานความ
สามัคคีและความต่อเนื่องมาในประวัติศาสตร์ โต้แย้งสมมุติฐานเรื่องอ�านาจและ
อภิสิทธิ์ของจารีตรัฐเข้มแข็ง ให้มีหลักการนิติรัฐ รัฐธรรมนูญ และสถาบันการ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
เ ชิ ง อ ร ร
บทที ๑
๑ นักวิชาการบางท่านเชื่อว่าศิลาจารึกหลักนี้ ที่อ้างว่าจ�าหลักเมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๕ นั้น
ทั้งหมด หรือบางส่วนสร้างขึ้นภายหลัง แต่การใช้ข้อมูลของศิลาจารึกเป็นหลักฐาน
แสดงความส�าคัญของชัยภูมิก็ยังใช้ได้อยู่
๒ Guy Tachard, A Relation of the Voyage to Siam (Bangkok : White
Orchid Press, ), pp. - .
๓ Francois Caron and Joost Schouten, A True Description of the
Mighty Kingdoms of Japan And Siam, ed. John Villiers (Bangkok :
Siam Society, ), p. ; Nicolas Gervaise, The Natural and
Political History of the Kingdom of Siam, tr. and ed. John Villiers
(Bangkok : White Lotus, ), p. .
๔ ศักดินาน่าจะหมายถึง “อ�านาจเหนือที่นา” และเริ่มแรกคงจะหมายถึงที่นาที่ได้รับ
พระราชทาน ครั้นถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย จึงได้กลายเป็นตัวเลขแสดงระดับชั้น
ของแต่ละต�าแหน่ง ในระยะหลังค�านี้ถูกใช้ให้หมายถึงระบบสังคมก่อนสมัยใหม่
เทียบเคียงได้กับ “ฟิวดัล” ที่ยุโรป
๕ Alain Forest, Les Missionnaires franæçais au Tonkin et au Siam xviie–
xviiie sièçcles. Livre I : Histoire du Siam (Paris : L’Harmattan, ),
p. .
๖ ค�ำให้กำรชำวกรุงเก่ำ (กรุงเทพฯ : หอจดหมายเหตุ, ๒๕๔๔), น. ๑๕๗.
๗ Luang Phraison Salarak, ‘Intercourse between Burma and Siam as
recorded in Hmannan azawindawgyi’, Journal of the Siam Society
, ( ), p. .
๘ F. H. Turpin, A History of the Kingdom of Siam, tr. B. O. Cartwright
(Bangkok : White Lotus, ), p. .
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
๙ Henry Burney December in The Burney Papers, Vol. II, Pt.
IV (Bangkok: Vajiranana Library, ), p. .
๑๐ นับจาก พ.ศ. ๒๔๕๔ เป็นต้นมา แผนภาพนี้ใช้ข้อมูลจากที่ปรับมาจากส�ามะโนประ
ชากร ข้อมูลส�าหรับปีก่อนหน้านั้น เป็นการประมาณการจากที่เทอเวียล (B. J.
Terwiel) และสเติร์นสไตน์ (L. Sternstein) ได้ท�าไว้
บทที ๒
๑ นิธิ เอียวศรีวงศ์, กำรเมืองไทยสมัยพระเจ้ำกรุงธนบุรี (กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒน
ธรรม, ๒๕๒๙), น. ๕๔๔.
๒ ก.ศ.ร. กุหลาบ, อำนำมสยำมยุทธ ว่ำด้วยกำรสงครำมระหว่ำงไทยกับลำว เขมร และ
วน. เล่ม ๒, กรุงเทพฯ : แพร่พิทยา, ๒๕๑๔, หน้า ๗๘๘ อ้างถึงใน Puang-
thong Rungswasdisab, “War and trade : Siamese intervention in
Cambodia, - ,” PhD thesis, Wollongong niversity ( ),
p. .
๓ พระรำชพงศำวดำรกรุงรัตนโกสินทร์รัชกำลที่ ๑ ฉบับเจ้ำพระยำทิพำกรวงศ์ , นิธิ
เอียวศรีวงศ์ บรรณาธิการ (กรุงเทพฯ : อมรินทร์ ๒๕๓๙), น. ๑๙๑.
๔ เป็นค�าที่ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ประดิษฐ์ใช้ใน กำรเมืองไทยสมัยพระเจ้ำกรุงธนบุรี
๕ Jean-Baptiste Pallegoi , Description of the Thai Kingdom of Siam,
tr. W. E. J. Tips (Bangkok : White Lotus ), p. .
๖ พระรำชพงศำวดำรกรุ ง รั ต นโกสิ น ทร์ รั ช กำลที่ ๑ ฉบั บ เจ้ ำ พระยำทิ พ ำกรวงศ์ ,
น. ๕๐-๖๑.
๗ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “general people both native and foreig-
ners here seem to have less pleasure on me and my descendants
than their pleasure and hope on another amiable family” พระราชสาส์น
ถึงแอนนา เลียวโนเวนส์. ๖ เมษายน ๒๔๑๑, พิมพ์ใน ศิลปวั นธรรม ๒๕, ๕
(มีนาคม ๒๕๔๗), น. ๑๕๖.
๘ Pallegoi , Description, p. .
๙ Patrick Jory, “The Vessantara Jataka, barami, and the Boddhisatta-
kings : the origin and spread of a Thai concept of power,” Cross-
roads , ( ).
๑๐ สายชล สัตยานุรักษ์, พุทธศำสนำกับแนวคิดทำงกำรเมืองในรัชสมัยพระบำทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟำจุ ำโลก (พ.ศ. ๒ ๒๕-๒ ๕๒) (กรุงเทพฯ : มติชน, ๒๕๔๕)
น. ๑๑๓.
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
๒๖ พระราชสาส์นถึงทูตที่ลอนดอน พ.ศ. ๒๔๐๑ ไม่พบต้นฉบับเดิม ที่อ้างถึงนี้เป็น
ฉบับแปลเป็นภาษาอังกฤษใน M.R. Seni Pramoj and M.R. Kukrit Pramoj,
A King of Siam Speaks (Bangkok : Siam Society), .
๒๗ Alabaster อ้างถึงพระราชด�ารัส ใน Henry Alabaster, The Wheel of the
Law : Buddhism Illustrated from Siamese Sources (London : Trubner,
), p. .
๒๘ พระไอยการทาษ มาตรา ๑๐ ก หมำยตรำสำมดวง (กรุงเทพฯ : องค์การค้าของ
คุรุสภา, ๒๕๓๗) เล่ม ๒ น. ๒๙๒ และดู R. Lingat, L’esclavage prive dans
le vieux droit siamois (Paris : Editions Domat-Montchrestien, ),
p. .
๒๙ Peter Vandergeest, “Hierarchy and power in pre-national Buddhist
states,” Modern Asian Studies , ( ), p. .
๓๐ Pallegoi , Description, p. .
๓๑ ประชุมประกำศรัชกำลที่ ๔, ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และคณะบรรณาธิการ (กรุงเทพฯ
: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย, ๒๕๔๘), น. ๔๙๖.
บทที ๓
๑ ร.ต.ท.เสถียร ลายลักษณ์, ประชุมกฎหมายประจ� าศก ๑๒ “ประกาศจัดตั้งกระ
ทรวงยุติธรรม” อ้างใน อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์, กำรเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์ของ
ชนชั้นผู้น�ำไทยตั้งแต่รัชกำลที่ ๔ ถึงพุทธศักรำช ๒๔๗๕ (กรุงเทพฯ : ส�านักพิมพ์
แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๑) น. ๑๕๑.
๒ H. Warrington Smyth, Five Years in Siam : From 1891 to 1896 (New
ork, Charles Scribner’s Sons, ), II, p. .
๓ “ประกาศพระสงฆ์ที่จะสึกมารับราชการ” ในประชุมประกำศรัชกำลที่ ๔, ชาญวิทย์
เกษตรศิริ บรรณาธิการ, น. ๔๔.
๔ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “doubtless without hesitation, abolish
slavery...for the distinguishing of my reign.” พระราชสาส์นถึงแอนนา
เลียวโนเวนส์ ลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๔๐๗ พิมพ์ใน ศิลปวั นธรรม ๒๕, ๓
(มกราคม ๒๕๔๗), น. ๘๕.
๕ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษทรงพระนิพนธ์ พ.ศ. ๒๔๑๗ “selecting what
may be safe models for the future prosperity of this country” อ้างใน
N. A. Battye, “The military, government and society in Siam, 1868-
1910 : politics and military reform during the reign of King Chula-
longkorn,” (PhD thesis, Cornell niversity, ), p. .
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
๒๐ ธงชัย, ก�ำเนิดสยำมจำกแผนที่, น. ๑๗๐.
๒๑ พระไพศาลศิลปศาสตร์ กับหลวงอนุกิจวิธูร, ธรรมจริยำ เล่ม ๒ (กรมศึกษาธิการ
บางขุนพรหม โรงพิมพ์อักษรนิติ์, ร.ศ. ๑๒๔) น. ๑๐๔.
๒๒ สมเด็จฯ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพ, “เรื่องลานช้าง” ใน นิทำนโบรำ คดี (พิมพ์
ครั้งที่ ๑๐, กรุงเทพฯ : เขษมบรรณกิจ, ๒๕๐๒). น. ๓๘๐.
๒๓ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “who alone have assimilated Western
civilization and maintained an independent position among the
nations of the world” อ้างใน A. Carter, The Kingdom of Siam (New
ork : G. P. Putnam’s Sons, ), p. .
๒๔ Battye, “Military, government and society”, p. .
๒๕ “พระประวัติตรัสเล่า สมเด็จกรมพระยาวชิรญาณวโรรส” ใน พระรำชประวัติรัชกำล
ที่ ๕ ก่อนเสวยรำชย์ (กรุงเทพฯ : องค์การค้าของคุรุสภา, ๒๕๐๔) น. ๒๒๔.
๒๖ สมเด็จฯ กรมพระยาด�ารงราชานุภาพ อ้างใน นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, กำรป ิวัติ
สยำม พ.ศ. ๒๔๗๕ (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการต� าราสังคมศาสตร์และมนุษย
ศาสตร์, ๒๕๓๕), น. ๖๔.
๒๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระรำชหัตถเลขำและหนังสือกรำบ
บังคมทูลของเจ้ำพระยำพระเสด็จสุเรนทรำธิบดี แต่ยังมีบรรดำศักดิ์เป็นพระมนตรี
พจนกิจ และพระยำวิสุทธสุริยศักดิ์ ร.ศ. ๑๑ -๑๑๘ (พระนคร, ๒๕๐๔), น. ๓๐๖.
๒๘ อ้างใน M. Peleggi, Lords of Things: The Fashioning of the Siamese
Monarchy’s Modern Image (Honolulu : niversity of Hawaii Press,
), p. .
๒๙ อ้างใน Tuck, French Wolf, p. .
๓๐ อ้างใน อรรถจักร์, กำรเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์, น. ๓๗-๘.
๓๑ อ้างใน อรรถจักร์, กำรเปลี่ยนแปลงโลกทัศน์, น. ๑๕๓.
๓๒ “สมาคมสืบสวนของบุราณในประเทศสยาม พระราชด�ารัสของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๕” ศิลปำกร ๑๒, ๒ (๒๕๑๑), น. ๔๒.
๓๓ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, เที่ยวเมืองพระร่วง. (กรุงเทพฯ : จุฬา
ลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๔), น. ๙.
๓๔ สายชล, สมเด็จกรมพระยำด�ำรงรำชำนุภำพ : กำรสร้ำงอัตลักษ ์ ‘เมืองไทย’ และ
‘ชั้น’ ของชำวสยำม. (กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม, ๒๕๔๖), น. ๑๑๕.
๓๕ พรรณี บัวเล็ก, สยามในกระแสธารแห่งการเปลี่ยนแปลง: ประวัติศาสตร์ไทยตั้งแต่
สมัยรัชกาลที่ ๕ (กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๑๙๙๘), น. ๖๗.
๓๖ “ค�ากราบบังคมทูลถวายความเห็นการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน ร.ศ. ๑๐๓” ใน
ชัยอนันต์ และขัตติยา, เอกสำรทำงกำรเมือง-กำรปกครอง, น. ๔๒, ๔๙.
บทที ๔
๑ อ้างใน D. B. Johnston, “Rural society and the rice economy in Thai-
land, - ” (PhD thesis, ale niversity, ), p. .
๒ F. H. Giles พ.ศ. ๒๔๔๑ อ้างใน Johnston, “Rural society”, p. .
๓. Joachim Grassi พ.ศ. ๒๔๓๕ อ้างใน Johnston, “Rural society”, p. .
๔ H. S. Hallett, A Thousand Miles on an Elephant in the Shan States
(Bangkok : White Lotus, ), p. .
๕ ฉั ต รทิ พ ย์ นาถสุ ภ า, เศรษฐกิ จ หมู ่ บ ้ ำ นไทยในอดี ต (กรุ ง เทพฯ : สร้ า งสรรค์ ,
๒๕๔๐), น. ๖๘.
๖ Carle C. immermann, Siam : Rural Economic Survey 1930-31 (Bang-
kok : White Lotus, ), p. .
๗ Prince Dilok Nabarath, Siam’s Rural Economy under King Chula-
longkorn, tr. W. E. J. Tips (Bangkok : White Lotus, ),
p. .
๘ พระยาสุริยานุวัตร, ทรัพยศำสตร์ (กรุงเทพฯ : พิฆเณศ, ๒๕๑๘), น. ๗๓.
๙ Prince Dilok Nabarath, Siam’s Rural Economy, Introduction, p. ii.
๑๐ พระราชด�ารัสวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๗ ใน ไสว วัฒนเศรษฐ, เกียรติคุณพระ
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
มงกุฎเกล้าฯ กษัตริย์นักปราชญ์ของชาติไทย (พระนคร : วัฒนาพานิช, ๒๕๐๐),
น. ๕๓๗.
๑๑ Farrington, Early Missionaries, p. , .
๑๒ Smyth, Five Years, I, p. .
๑๓ Smyth, Five Years, I, p. .
๑๔ แต่งในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๕ กับ พ.ศ. ๒๔๖๔ โสมทัต เทเวศร์, กรุงเทพ ใน
นิรำศ (กรุงเทพฯ : เรืองศิลป์, ๒๕๒๑), น. ๔๔.
๑๕ โสมทัต, กรุงเทพ ในนิรำศ, น. ๔๔.
๑๖ อ้างถึงใน Seksan Prasertkul, ‘The transformation of the Thai state
an economic change ( - )’, PhD thesis, Cornell niversity
( ), pp. - .
๑๗ J. Antonio, Guide to Bangkok and Siam (Bangkok : Siam Observer
Press, ), p. .
๑๘ Arnold Wright and Oliver T. Breakspear, Twentieth Century Impres-
sions of Siam : Its History, People, Commerce, Industries and Re-
sources (London: Lloyd’s Greater Britain Publishing Company, ),
p. .
๑๙ เสฐียรโกเศศ, ฟนควำมหลัง เล่ม 2 (กรุงเทพฯ : ศึกษิตสยาม, ๒๔๑๑), น. ๙๖.
๒๐ Smyth, Five Years, I, p. .
๒๑ สยำมรัฐ ๒๖ ธันวาคม ๒๔๖๖ อ้างใน Scot Barmè, Woman, Man, Bangkok :
Love, Sex and Popular Culture in Thailand (Lanham: Rowman and
i lefield, ), p. .
บทที ๕
๑ อ้างใน มัทนา เกษกมล “การเมืองและการปกครองในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว” สังคมศำสตร์ปริทัศน์ ๑๔, ๓-๔ (๒๕๑๙), น. ๗๑.
๒ พระราชด�ารัส วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๔๖๘ ใน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัว, พระราชด�ารัสและพระบรมราโชวาท (พระนคร, พระจันทร์, ๒๕๐๑),
น. ๕๖.
๓ ชนิดา พรหมพยัคฆ์ เผือกสม, การเมืองในประวัติศาสตร์ธงชาติไทย (กรุงเทพฯ :
ศิลปวัฒนธรรม, ๒๕๔๗), น. ๙๐-๑.
๔ ชนิดา, การเมืองในประวัติศาสตร์ธงชาติไทย, น. ๘๔.
๕ “สภาพคนไทยในปัจจุบัน” ศรีกรุง วันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๔๗๑.
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
๒๕ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “the authority and prestige of the King
would suffer in the eyes of the People.” Batson, Siam’s Political
Future, p. .
๒๖ เดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “the King is the father of his people and...treats
them as children rather than subjects. The obedience the king
receives is the obedience of love not of fear.” New York Times,
April .
๒๗ ขุนวิจิตรมาตรา, หลักไทย (กรุงเทพฯ : รวมสาส์น, ๒๔๗๑), น. ๙-๑๐.
๒๘ ขุนวิจิตรมาตรา, หลักไทย, น. ๖.
๒๙ ศรีกรุง, ๑๓ พฤศจิกายน ๒๔๗๒.
๓๐ Seksan, ‘Transformation of the Thai state’, p. .
๓๑ อัศวพาหุ (พระนามแฝงของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) พวกยิวแห่ง
บูรพำทิศ (เจริญรัฐ สพานหินวัดสามปลื้ม, ไม่มีวันที่ ๒๔๕๖ ), น. ๓๐.
๓๒ บัทสัน, อวสำนสมบูร ำ ำสิทธิรำชย์ในสยำม, น. ๕๕.
๓๓ สุรียะ, ๑๒ สิงหาคม ๒๔๗๔.
๓๔ ธ�ารงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์, ๒๔๗๕ และ ๑ ปีหลังกำรป ิวัติ (กรุงเทพฯ : สถาบัน
เอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมูลนิธิโครงการต�าราสังคมศาสตร์และ
มนุษยศาสตร์, ๒๕๔๓), น. ๓๓.
๓๕ กุหลาบ สายประดิษฐ์, เบื้องหลังกำรป ิวัติ ๒๔๗๕ (กรุงเทพฯ : มิ่งมิตร ๒๕๔๓)
น. ๑๑๐.
๓๖ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, ควำมคิด ควำมรู้ และอ�ำนำจกำรเมืองในกำรป ิวัติสยำม
๒๔๗๕ (กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, ๒๕๔๖), น. ๓๒๖.
๓๗ เบนจามิน เอ. บัทสัน, อวสำนสมบูร ำ ำสิทธิรำชย์ในสยำม, พรรณงาม เง่าธรรม-
สาร, สดใส ขันติวรพงศ์, ศศิธร รัชนี ณ อยุธยา แปล, กาญจนี ละอองศรี ยุพา
ชุมจันทร์ บรรณาธิการ (กรุงเทพฯ : มูลนิธิโครงการต�าราสังคมศาสตร์และมนุษย
ศาสตร์, ๒๕๔๓), น. ๒๙๕.
๓๘ ๒๖ พฤษภาคม ๒๔๗๔ อ้างใน นครินทร์, ควำมคิด ควำมรู้และอ�ำนำจกำรเมือง,
น. ๒๒๒.
๓๙ ชัยอนันต์ และ ขัตติยา, เอกสำรทำงกำรเมือง-กำรปกครอง, น. ๒๐๙-๑๑.
๔๐ บันทึกความทรงจ�าของ เจ้าพระยามหิธร อ้างใน ธ�ารงศักดิ์, ๒๔๗๕ และ ๑ ปีหลัง
กำรป ิวัติ, น. ๘๐.
๔๑ ๑๑ กรกฎาคม ๒๔๗๕ อ้ า งใน ธ� า รงศั ก ดิ์ , ๒๔๗๕ และ ๑ ปี ห ลั ง กำรป ิ วั ติ ,
น. ๒๒๗.
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
๖๔ สายชล, ควำมเปลี่ยนแปลง, น. ๑๓๕.
๖๕ ยงค์ ชุติมา, “ท�ำไมต้องป ิรูปอำหำรกำรกินของชำติ ”, น. ๓๗ อ้างใน ทวีศักดิ์
เผือกสม, เชื้อโรค ร่ำงกำย และรัฐเวชกรรม : ประวัติศำสตร์กำรแพทย์สมัยใหม่
ในสังคมไทย (กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๐)
๖๖ อ้ า งใน Kobkua Suwannathat-Pian, Thailand’s Durable Premier :
Phibun through Three Decades, 1932-1957 (Kuala Lumpur : O ford
niversity Press, ), p. .
๖๗ อ้างใน E. Bruce Reynolds, Thailand and Japan’s Southern Advance
- (St. Martin’s Press, ), p. .
๖๘ Reynolds, Thailand and Japan’s Southern Advance, p. .
๖๙ สายชล, ควำมเปลี่ยนแปลง, น. ๑๓๖.
๗๐ เนตร เขมะโยธิน, งำนใต้ดินของพันเอกโยธี (กรุงเทพฯ : ธนะการพิมพ์, ๒๕๐๐),
น. ๑.
บทที ๖
๑ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “frightened because they think their
property might be confi ca ed ” and “the e tremists among them still
hope against hope for a restoration of the Absolute Monarchy as
a means of restoring their own lost privileges.” บันทึก ๒๐ มิถุนายน
๒๔๙๐ ใน ม.จ.ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท, ๑ ศตวรรษ ศุภสวัสดิ,์ น. ๕๑๔, ๕๓๓.
๒ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “We could never get over the suspicion
that Pridi was a Communist.” อ้ า งใน J. K. Ray, Portraits of Thai
Politics (New elhi : rient Longman, ), p. .
๓ ตราน วัน เกียว (Tran van Giau) อ้างใน C. F. Goscha, Thailand and the
Southeast Asian Networks of the Vietnamese Revolution, -
(London : Curzon, ), p. .
๔ ทักษ์ เฉลิมเตียรณ, กำรเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จกำร, พรรณี ฉัตรพล-
รักษ์, ม.ร.ว.ประกายทอง สิริสุข, ธ�ารงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ แปล (กรุงเทพฯ :
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๒๖), น. ๕๒.
๕ อ้างใน Kobkua, Thailand’s Durable Premier, p. .
๖ วิชัย ประสังสิต, อำนันทมหิดล รัชกำลที่ ๘ ถูกคนร้ำยลอบปลงพระชนม์ (ธนบุรี,
ธรรมเสวี, ๒๕๑๓) น. ๒๘๗.
๗ อ้างใน D. Fineman, A Special Relationship : The United States and
Military Government in Thailan , - (Honolulu: niversity of
Hawaii Press, ), p. .
บทที ๗
๑ ทักษ์, กำรเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จกำร, น. ๑๙๓.
๒ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “buy Thai goods; love Thailand and love
to be a Thai; live a Thai life, speak Thai, and esteem Thai culture.”
เป็นภาษิตในต�าราโรงเรียนสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ อ้างใน C. F. Keyes
(ed.), Reshaping Local Worlds: Formal Education and Cultural
Change in Rural Southeast Asia (New Haven: ale Southeast Asian
Studies, ), p. .
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
๓ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “ ifie himself as the King of Right-
eousness.” Prince Dhani Nivat, “The old Siamese conception of the
monarchy,” Journal of the Siam Society , ( ), p. .
๔ พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร พระนิพนธ์บำงเรื่อง (กรุงเทพฯ :
ตีรณสาร, ๒๕๑๒) น. ๓๗-๘.
๕ พระยาศรีวิสารวาจา, พระมหำกษัตริย์ในประเทศไทย พิมพ์แจกในงานอายุครบ ๕
รอบ วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๐, น. ๓.
๖ ต้ น ฉบั บ เดิ ม เป็ น ภาษาอั ง กฤษว่ า “ever kept before the public eye in
literature, in sermons, and in any other channel of publicity.” Prince
Dhani Nivat, “The old Siamese conception of the monarchy,” p. .
๗ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “corrupt and uncouth” เอกอัครราชทูตอังกฤษ
อ้างใน Kobkua Suwannathat-Pian, Kings, Country and Constitutions :
Thailand’s Political Development 1932-2000 (London : Routledge
Curzon, ), p. .
๘ อ้างใน ทักษ์, กำรเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จกำร, น. ๑๖๕.
๙ อ้างใน ทักษ์, กำรเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จกำร, น. ๑๘๗.
๑๐ อ้างใน ทักษ์, กำรเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จกำร, น. ๒๐๑.
๑๑ อ้างใน ทักษ์, กำรเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จกำร, น. ๑๙๑-๒.
๑๒ พระยาอนุมานราชธน “ชีวิตของชาวนา” ใน ประเพ ีเบ็ดเตล็ดของเสฐียรโกเศศ
(กรุงเทพฯ : สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, ๒๖๐๘), น. ๑๙๓-๔.
๑๓ “ศรีบูรพา, ขอแรงหน่อยเถอะ (กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า, ๒๕๔๕) น. ๒๑๘.
๑๔ Somsak Jeamteerasakul, “The communist movement in Thailand”,
PhD thesis, Monash niversity ( ), p. .
๑๕ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, “ประวัติ พคท. ฉบับ พคท. (๑)”, ฟำเดียวกัน ๑, ๑ (๒๕๔๖),
น. ๑๘๓.
๑๖ ต้ น ฉบั บ เดิ ม เป็ น ภาษาอั ง กฤษ พล.อ. สายหยุ ด เกิ ด ผล “The inescapable
reality is the insurgents and communist revolutionaries...have grown
steadily, virtually untouched, for as much as ten years...they are
largely secure in their jungle and forest base areas where the
government forces, police or military, rarely care to venture.” Saiyud
Kerdphol, The Struggle for Thailand: Counter Insurgency 1965-1985
(Bangkok : S. Research Center, ), p. .
๑๗ ต้ น ฉบับ เดิม เป็ น ภาษาอัง กฤษ แปลจากภาษาอัง กฤษ. สุ ลัก ษ ์ ศิว รัก ษ์ . “By
, there were no intellectuals left...The universities were con-
บทที ๘
๑ ต้ น ฉบั บ เดิ ม เป็ น ภาษาอั ง กฤษว่ า “I have a vision. It is of S dollars,
Deutschmarks all in into Thailand, millions and millions of them.”
The Nation ๒๖ มกราคม ๒๕๒๐ อ้างใน M. K. Connors, Democracy and
National Identity in Thailand (New ork and London: Routledge
Curzon, ), p. .
๒ บัญญัติ สุรการวิทย์, “ความสัมพันธ์ ไทย-ญี่ปุ่น : ภาพพจน์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง,”
มติชนรำยวัน, ๒ พฤษภาคม ๒๕๒๖.
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
๓ รัฐกร อัสดรธีรยุทธ์, บุญชู โรจนเสถียร. ำร์เศรษฐกิจ ผู้ไม่รู้จักค�ำว่ำชนะ. (กรุง
เทพฯ : ดอกเบี้ย, ๒๕๓๖), น. ๓๘-๔๔.
๔ นิธิ เอียวศรีวงศ์ , กำรเมืองไทยสมัยพระเจ้ำกรุงธนบุรี (กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒน
ธรรม, ๒๕๒๙), ค�าน�า.
๕ ธนวัฒน์ ทรัพย์ไพบูลย์, ต�ำนำนชีวิตเจ้ำสัว : ๕๕ ตระกูลดัง ภาค ๑ และ ภาค ๒
(กรุงเทพฯ : เนชั่น ๒๕๔๔).
๖ เกษียร เตชะพีระ, แลลอดลายมังกร : รวมข้อเขียนว่าด้วยความเป็นจีนในสยาม
(กรุงเทพฯ : คบไฟ, ๒๕๓๗), น. ๑๖.
๗ เกษียร เตชะพีระ, แลลอดลำยมังกร, น. ๑๒๖-๗.
๘ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “ per cent Cantonese born in Thai-
land.” สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ใน The Nation, April , .
๙ พงษ์สิทธิ์ ค�าภีร์ “บ้าน” อัลบั้ม ค�ำนึงถึงบ้ำน ๒๕๔๐.
๑๐ สมชัย ภัทรธนานันท์, “การเมืองของสังคมหลังชาวนา : เงื่อนไขการก่อตัวของคน
เสื้อแดงในภาคอีสาน”, ฟำเดียวกัน, ๑๐, ๒ (๒๕๕๕), น. ๑๓๒.
๑๑ เสรี พงศ์พิศ. “จากภูมิปัญญาสู่เครือข่ายและเศรษฐศาสตร์ชาวบ้าน” ใน ภูมิปั ำ
ชำวบ้ำนกับกำรพั นำชนบท. เสรี พงศ์พิศ บรรณาธิการ (กรุงเทพฯ : อมรินทร์
๒๕๓๖) น. ๔๖๗.
๑๒ วีระพล โสภา. อ้างใน ประภาส ปิ่นตบแต่ง, กำรเมืองบนท้องถนน วัน “สมัชชำ
คนจน” (กรุงเทพฯ : ศูนย์วิจัยและผลิตต�ารา. มหาวิทยาลัยเกริก, ๒๕๔๐), น. ๑๕๐.
๑๓ สมชัย ภัทรธนานันท์ เขียน อัญชลี มณีโรจน์ แปล. “การเมืองของสังคมหลังชาวนา
: เงื่อนไขการก่อตัวของคนเสื้อแดงในภาคอีสาน”. ฟำเดียวกัน ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๒
(๒๕๕๕) น. ๑๓๒.
๑๔ สุจิตต์ วงษ์เทศ, คนไทยอยู่ที่นี่ (กรุงเทพฯ : ศิลปวัฒนธรรม, ๒๕๒๙) หลังจาก
สุจิตต์ไปพบกลุ่มคนไทอาศัยอยู่ในเมืองจีนทางใต้ ปรับเป็น คนไทยอยู่ที่นี่ ที่
อุษำคเนย์ (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกับ ส�านักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม,
๒๕๓๗).
๑๕ ธิดา สาระยา, อำรยธรรมไทย (กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ, ๒๕๓๙).
บทที ๙
๑ อุดมกำร ์ของชำติ (กรุงเทพฯ : คณะอนุกรรมการอุดมการณ์ของชาติในคณะ
กรรมการเอกลักษณ์ของชาติ, ๒๕๒๖), น. ๒๐.
๒ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “the king found it impossible to manage
the nation’s affairs single-handedly” National Identity fice fice
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
the sole criterion of how much enefi and happiness he could bring
to the country.” fice of His Majesty’s Principal Private Secretary,
A Memoir of His Majesty King Bhumibol Adulyadej of Thailand, to
Commemorate the Sixtieth Royal Birthday Anniversary (Bangkok,
), p. .
๑๔ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “If the people do not want me, they can
throw me out, eh?” D. D. Grey (ed.), The King of Thailand in World
Focus (Bangkok: FCCT, ), p. .
๑๕ มติชน ๑๘ และ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๓๘.
๑๖ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “French in foundation and American in
ideal.” Tongnoi Tongyai, Entering the Thai Heart (Bangkok : Bang-
kok Post, ), p. .
๑๗ ต้ น ฉบับ เดิม เป็ น ภาษาอัง กฤษว่ า “an alien concept.” National Identity
fice, Thailand in the 1980s, p. .
๑๘ ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา. พระมหำชนก-The story
of Mahajanaka (กรุงเทพฯ : อมรินทร์, ๒๕๓๙) น. ๑๔๐.
๑๙ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “beacon of hope...symbol of unity...pillar
of stability,” working to overcome “the ‘forces of greed’ represented
by the collaboration of unscrupulous private investors, politicians,
and public o ficial ”. King Bhumibol Adulyadej: Thailand’s Guiding
Light (Bangkok : Post Publishing, ), pp. - , .
๒๐ ประมวล รุจนเสรี, พระรำชอ�ำนำจ http: power.manager.co.th ๒๙ กรกฎาคม
๒๕๔๘.
๒๑ ไทยรัฐ, ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๓.
๒๒ ต้นฉบับเดิมเป็นภาษาอังกฤษว่า “the army could not claim they had the
full support of the country.” โคทม อารี ย า อ้ า งใน W. A. Callahan,
Imagining Democracy : Reading “The Events of May” in Thailand
(Singapore : ISEAS, ), p. .
๒๓ “ประมวลพระราชด� ารัสและพระบรมราโชวาท ที่พระราชทานในโอกาสต่างๆ ปี
พุทธศักราช ๒๕๒๓”, น. ๔๕๓-๔, http: www.opsmoac.go.th article
attach Royal speech .pdf
๒๔ อ้างใน Callahan, Imagining Democracy, p. .
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย
๔๐ ส�านักราชเลขาธิการ, ประมวลพระรำชด�ำรัส และพระบรมรำโชวำท ที่พระรำชทำน
ในโอกำสต่ำง พุทธศักรำช ๒๕๔ , น. ๔๓๑.
๔๑ มติชนรำยวัน, ๒๔ มีนาคม ๒๕๕๒.
๔๒ อ้างใน Naruemon Thabchumphon and Duncan McCargo, “ rbanized
villagers in the Thai Redshirt protests,” Asian Survey ,
( ), p. .
ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ไ ท ย ร่ ว ม ส มั ย