Professional Documents
Culture Documents
คู่มือเตรียมสอบ 38 ค (2) ภาค ก-ข
คู่มือเตรียมสอบ 38 ค (2) ภาค ก-ข
คู่มือเตรียมสอบ 38 ค (2) ภาค ก-ข
ประวัติกระทรวงศึกษาธิการ
ตรากระทรวง
วิสัยทัศน์กระทรวงศึกษาธิการ
พันธกิจกระทรวงศึกษาธิการ
1. ยกระดับคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาทุกระดับ/ประเภทสู่สากล
2. เสริมสร้างโอกาสเข้าถึงบริการทางการศึกษาของประชาชนอย่างทั่วถึง เท่าเทียม
3. พัฒนาระบบบริหารจัดการการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล
ยุทธศาสตร์กระทรวงศึกษาธิการ
1. พัฒนาหลักสูตร กระบวนการเรียนการสอน การวัดและประเมินผล
2. ผลิต พัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา
3. ผลิตและพัฒนากำลังคน รวมทั้งงานวิจัยที่สอดคล้องกับความต้องการของการพัฒนาประเทศ
4. ขยายโอกาสการเข้าถึงบริการทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
5. ส่งเสริมและพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา
6. พัฒนาระบบบริหารจัดการและส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
เป้าประสงค์กระทรวงศึกษาธิการ
1. คุณภาพการศึกษาของไทยดีขึ้น คนไทยมีคุณธรรมจริยธรรม มีภูมิคุ้มกันต่อการเปลี่ยนแปลง และ
การพัฒนาประเทศในอนาคต
2. กำลังคนได้รับการผลิตและพัฒนา เพื่อเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันของประเทศ
3. มีองค์ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม สนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
4. คนไทยได้รับโอกาสในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
5. ระบบบริหารจัดการการศึกษามีประสิทธิภาพตามหลักธรรมาภิบาล โดยการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
ทำเนียบผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการ
นายสุเทพ แก่งสันเทียะ
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
นายอรรถพล สังขวาสี
เลขาธิการสภาการศึกษา
นายยศพล เวณุโกเศศ
เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
นายประวิต เอราวรรณ์
เลขาธิการคณะกรรมการ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
พระบรมราโชบาย
ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ กับการพัฒนาการศึกษา
การศึกษาต้องมุ่งสร้างพื้นฐานให้แก่ผู้เรียน ๔ ด้าน
๑. มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง ๒. มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง
๓. มีงานทำ มีอาชีพ ๔. เป็นพลเมืองดี
๑. มีทัศนคติที่ถูกต้องต่อบ้านเมือง
๑.๑ มีความรู้ความเข้าใจที่มีต่อชาติบ้านเมือง
๑.๒ ยึดมั่นในศาสนา
๑.๓ มั่นคงในสถาบันพระมหากษัตริย์
๑.๔ มีความเอื้ออาทรต่อครอบครัวและชุมชนของตน
๒. มีพื้นฐานชีวิตที่มั่นคง
๒.๑ รู้จักแยกแยะสิ่งที่ผิด-ชอบ/ชั่ว-ดี
๒.๒ ปฏิบัติแต่สิ่งที่ชอบที่ดีงาม
๒.๓ ปฏิเสธสิ่งที่ผิดสิ่งที่ชั่ว
๒.๔ ช่วยกันสร้างคนดีให้แก่บ้านเมือง
๓. มีงานทำ มีอาชีพ
๓.๑ การเลี้ยงดูลูกหลานในครอบครัว หรือการฝึกฝนอบรมในสถานศึกษาต้องมุ่งให้เด็กและ
เยาวชนรักงาน สู้งาน ทำจนงานสำเร็จ
๓.๒ การฝึกฝนอบรมทั้งในหลักสูตรและนอกหลักสูตรต้องมีจุดมุ่งหมายให้ผู้เรียนทำงานเป็น
และมีงานทำในที่สุด
๓.๓ ต้องสนับสนุนผู้สำเร็จหลักสูตรมีอาชีพ มีงานทำจนสามารถเลี้ยงตัวเองและครอบครัว
๔. เป็นพลเมืองดี
๔.๑ การเป็นพลเมืองดี เป็นหน้าที่ของทุกคน
๔.๒ ครอบครัว-สถานศึกษา และสถานประกอบการ ต้องส่งเสริมให้ทุกคนมีโอกาสทำหน้าที่
เป็นพลเมืองดี
๔.๓ การเป็นพลเมืองดี คือ “เห็นอะไรที่จะทำเพื่อบ้านเมืองได้ก็ต้องทำ” เช่น งานอาสาสมัคร
งานบำเพ็ญประโยชน์ งานสาธารณกุศลให้ทำด้วยความมีน้ำใจ และความเอื้ออาทร
วิสัยทัศน์
“ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้วด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง” และเป็นคติพจน์ประจำชาติว่า “มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน”
เป้าหมาย
1. ประเทศมีความมั่นคง
1.1 การมีความมั่นคงปลอดภัย จากภัยและการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในประเทศและภายนอก
ประเทศในทุกระดับ ทั้งระดับประเทศ สังคม ชุมชน ครัวเรือน และปัจเจกบุคคล และมีความมั่นคงในทุกมิติ
ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการเมือง
1.2 ประเทศมีความมั่นคงในเอกราชและอธิปไตย มีสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ที่
เข้มแข็งเป็นศูนย์กลางและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของประชาชน ระบบการเมืองที่มั่นคงเป็นกลไกที่นาไปสู่การ
บริหารประเทศที่ต่อเนื่องและโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล
1.3 สังคมมีความปรองดองและความสามัคคี สามารถผนึกกำลังเพื่อพัฒนาประเทศ ชุมชน
มีความเข้มแข็ง ครอบครัว มีความอบอุ่น
1.4 ประชาชนมีความมั่นคงในชีวิต มีงานและรายได้ที่มั่นคงพอเพียงกับการดำรงชีวิต มีที่อยู่
อาศัยและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
1.5 ฐานทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม มีความมั่นคงของอาหาร พลังงาน และน้ำ
2. ประเทศมีความมั่งคั่ง
2.1 ประเทศไทยมีการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ยกระดับเป็นประเทศในกลุ่มประเทศ
รายได้สูงความเหลื่อมล้ำของการพัฒนาลดลง ประชากรได้รับผลประโยชน์จากการพัฒนาอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น
2.2 เศรษฐกิจ มีความสามารถในการแข่งขันสูง สามารถสร้างรายได้ทั้งจากภายในและภายนอก
ประเทศสร้างรายได้ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ สร้างฐานเศรษฐกิจและสังคมแห่งอนาคต และเป็น
จุดสำคัญของการเชื่อมโยงในภูมิภาคทั้งการคมนาคมขนส่ง การผลิต การค้า การลงทุน และการทำธุรกิจ
มีบทบาทสำคัญในระดับภูมิภาคและระดับโลก เกิดสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการค้าอย่างมีพลัง
2.3 ความสมบูรณ์ในทุนที่จะสามารถสร้างการพัฒนาต่อเนื่อง ได้แก่ ทุนมนุษย์ ทุนทางปัญญา
ทุนทางการเงิน ทุนที่เป็นเครื่องมือเครื่องจักร ทุนทางสังคม และทุนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
แนวคิดการจัดการศึกษา
แนวคิดการจัดการศึกษา (Conceptual Design) ตามแผนการศึกษาแห่งชาติประกอบด้วย หลักการ
จัดการศึกษาเพื่อปวงชน (Education for All) หลักการจัดการศึกษาเพื่อความเท่าเทียมและทั่วถึง (Inclusive
Education) หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) และหลักการมีส่วนร่วมของทุกภาค
ส่วนของสังคม (All for Education) อีกทั้งยึดตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development
Goals : SDGs 2030) ประเด็นภายใน ประเทศ (Local Issues) โดยนำยุทธศาสตร์ชาติ (National Strategy)
มาเป็นกรอบความคิดสำคัญในการจัดทำแผนการศึกษาแห่งชาติ วิสัยทัศน์ จุดมุ่งหมาย เป้าหมาย ยุทธศาสตร์
และตัวชี้วัด ดังนี้
วิสัยทัศน์
“คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดำรงชีวิต อย่างเป็นสุข สอดคล้อง
กับหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และการเปลี่ยนแปลงของโลกศตวรรษที่ 21”
พันธกิจ
1. พัฒนาระบบและกระบวนการจัดการศึกษาที่คนไทยทุกคนเข้าถึงโอกาสในการศึกษาและเรียนรู้
ตลอดชีวิต สร้างความเสมอภาคด้านการศึกษาแก่ผู้เรียนทุกกลุ่มเป้าหมาย ยกระดับคุณภาพและประสิทธิภาพ
ของการจัดการศึกษาทุกระดับ และจัดการศึกษาที่สอดคล้องและรองรับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก
ศตวรรษที่ 21
2. พัฒนาคุณภาพของคนไทยให้เป็นผู้มีความรู้ คุณลักษณะ และทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
สามารถพัฒนาศักยภาพและเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
3. สร้างความมั่น คงแก่ป ระเทศชาติ โดยสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และสังคม
คุณธรรม จริยธรรมที่คนไทยทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างปลอดภัย สงบสุข และพอเพียง
4. พัฒนาศักยภาพ และความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย เพื่อการก้าวข้ามกับดักประเทศ
รายได้ปานกลาง สู่การเป็นประเทศในโลกที่หนึ่ง และลดความเหลื่อมล้ำในสังคมด้วยการเพิ่มผลิตภาพของกำลัง
แรงงาน (productivity) ให้มีทักษะ และสมรรถนะที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดงาน และการพัฒนา
ประเทศ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่เป็นพลวัตของโลกศตวรรษที่ 21 ภายใต้ยุคเศรษฐกิจและสังคม 4.0
วัตถุประสงค์
1. เพื่อพัฒนาระบบและกระบวนการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ
2. เพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นพลเมืองดี มีคุณลักษณะ ทักษะและสมรรถนะที่สอดคล้องกับบทบัญญัติ
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ชาติ
3. เพื่อพัฒนาสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งการเรียนรู้ และคุณธรรม จริยธรรม รู้รักสามัคคี และร่วมมือ
ผนึกกำลังมุ่งสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
4. เพื่อนำประเทศไทยก้าวข้ามกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง และความเหลื่อมล้ำภายในประเทศ
ลดลง
เป้าหมายด้านผู้เรียน
(Learner Aspirations) โดยมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้มีคุณลักษณะและทักษะการเรียนรู้
ในศตวรรษที่ 21 (3Rs 8Cs)
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงของสังคมและประเทศชาติ
เป้าหมาย
1. คนทุกช่วงวัยมีความรักในสถาบันหลักของชาติ และยึดมั่นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. คนทุกช่วงวัยในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่พิเศษได้รับการศึกษา
และเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ
3. คนทุกช่วงวัยได้รับการศึกษา การดูแลและป้องกันจากภัยคุกคามในชีวิตรูปแบบใหม่
แนวทางการพัฒนา
1. พัฒนาการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ
และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
2. ยกระดับคุณภาพและส่งเสริมโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัด
ชายแดนภาคใต้
3. ยกระดับคุณภาพและส่งเสริมโอกาสในการเข้าถึงการศึกษาในพื้นที่พิเศษ (พื้นที่สูงพื้นที่ตามแนว
ตะเข็บชายแดน และพื้นที่เกาะแก่ง ชายฝั่งทะเล ทั้งกลุ่มชนต่างเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มชนชายขอบ
และแรงงานต่างด้าว)
4. พัฒนาการจัดการศึกษาเพื่อการจัดระบบการดูแลและป้องกันภัยคุกคาม
ในรูปแบบใหม่ อาทิ อาชญากรรมและความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ยาเสพติด ภัยพิบัติจากธรรมชาติภัยจาก
โรคอุบัติใหม่ ภัยจากไซเบอร์ เป็นต้น
แนวทางการพัฒนา
1. ผลิตและพัฒนากำลังคนให้มีสมรรถนะในสาขาที่ตรงตามความต้องการของตลาดงานและการ
พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
2. ส่งเสริมการผลิตและพัฒนากำลังคนที่มีความเชี่ยวชาญและเป็นเลิศเฉพาะด้าน
3. ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมที่สร้างผลผลิตและมูลค่าเพิ่มทาง
เศรษฐกิจ
แนวทางการพัฒนา
1. ส่งเสริม สนับสนุนให้คนทุกช่วงวัยมีทักษะ ความรู้ความสามารถและการพัฒนาคุณภาพชีวิตอย่าง
เหมาะสม เต็มตามศักยภาพในแต่ละช่วงวัย
2. ส่งเสริมและพัฒนาแหล่งเรียนรู้ สื่อตำราเรียน และสื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ ให้มีคุณภาพมาตรฐาน และ
ประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ได้โดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่
3. สร้างเสริมและปรับเปลี่ยนค่านิยมของคนไทยให้มีวินัย จิตสาธารณะและพฤติกรรมที่พึงประสงค์
4. พัฒนาระบบและกลไกการติดตาม การวัดและประเมินผลผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพ
5. พัฒนาคลังข้อมูล สื่อ และนวัตกรรมการเรียนรู้ ที่มีคุณภาพและมาตรฐาน
6. พัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการผลิตครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
7. พัฒนาคุณภาพครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
แนวทางการพัฒนา
1. เพิ่มโอกาสและความเสมอภาคในการเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ
2. พัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษาสำหรับคนทุกช่วงวัย
3. พัฒนาฐานข้อมูลด้านการศึกษาที่มีมาตรฐาน เชื่อมโยงและเข้าถึงได้
ยุทธศาสตร์ที่ 5 การจัดการศึกษาเพื่อสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เป้าหมาย
1. คนทุกช่วงวัย มีจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม มีคุณธรรม จริยธรรม และนำแนวคิดตามหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติ
2. หลักสูตร แหล่งเรียนรู้ และสื่อการเรียนรู้ที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คุณธรรม
จริยธรรม และการนำแนวคิดตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติ
3. การวิจัยเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมด้านการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับ
สิ่งแวดล้อม
แนวทางการพัฒนา
1. ส่งเสริม สนับสนุนการสร้างจิตสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อม มีคุณธรรม จริยธรรม และนำแนวคิดตามหลัก
ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบัติในการดำเนินชีวิต
2. ส่งเสริมและพัฒนาหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ และสื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
กับการสร้างเสริมคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
3. พัฒนาองค์ความรู้ งานวิจัย และนวัตกรรม ด้านการสร้างเสริมคุณภาพชีวิต ที่เป็นมิตรกับ
สิ่งแวดล้อม
ยุทธศาสตร์ที่ 6 การพัฒนาประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการศึกษา
เป้าหมาย
1. โครงสร้าง บทบาท และระบบการบริหารจัดการการศึกษามีความคล่องตัว ชัดเจนและสามารถ
ตรวจสอบได้
2. ระบบการบริหารจัดการศึกษามีประสิทธิภาพและประสิทธิผลส่งผลต่อคุณภาพและมาตรฐาน
การศึกษา
3. ทุกภาคส่วนของสังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาที่ตอบสนองความต้องการของประชาชน
และพื้นที่
4. กฎหมายและรูปแบบการบริหารจัดการทรัพยากรทางการศึกษารองรับลักษณะที่แตกต่างกัน
ของผู้เรียน สถานศึกษา และความต้องการกำลังแรงงานของประเทศ
5. ระบบบริหารงานบุคคลของครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษามีความเป็นธรรม สร้างขวัญ
กำลังใจ และส่งเสริมให้ปฏิบัติงานได้อย่างเต็มตามศักยภาพ
แนวทางการพัฒนา
1. ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารจัดการศึกษา
2. เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสถานศึกษา
3. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดการศึกษา
4. ปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับระบบการเงินเพื่อการศึกษาที่ส่งผลต่อคุณภาพและประสิทธิภาพการจัด
การศึกษา
5. พัฒนาระบบบริหารงานบุคคลของครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
เป้าหมายหลัก :
๑. คุณภาพการศึกษาของไทยดีขึ้น ผู้เรียนมีคุณลักษณะตามมาตรฐานการศึกษาของชาติ
๒. ครูมีสมรรถนะตามมาตรฐานวิชาชีพ
๓. สถานศึกษาขั้นพื้นฐานในภูมิภาค มีทรัพยากรพื้นฐานที่เพียงพอตามเกณฑ์มาตรฐาน
๔. ผู้เรียนทุกกลุ่มทุกช่วงวัยได้รับโอกาสในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
๕. ระบบและวิธีการคัดเลือกเพื่อการศึกษาต่อ ได้รับการพัฒนา ปรับปรุงแก้ไข
๖. ผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา ได้รับการเพิ่มเติมความรู้ ทักษะในการประกอบอาชีพ ที่ตรงกับ
สภาพตลาดแรงงานในพื้นที่ชุมชน สังคม จังหวัด และภาค
๗. กำลังคนได้รับการผลิตและพัฒนาตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ
๘. ผู้เรียนปฐมวัยได้รับการเตรียมความพร้อมในด้านสุขภาพและโภชนาการ ร่วมกับหน่วยงานที่
เกี่ยวข้อง
๙. มีองค์ความรู้ นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ ที่สนับสนุนการพัฒนาหรือแก้ไขปัญหาในพื้นที่จังหวัดและภาค
๑๐. ระบบบริหารจัดการการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ได้รับการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพ เพื่อ
รองรับพื้นที่นวัตกรรมการศึกษาร่วมกับทุกภาคส่วน
พันธกิจ :
๑. ยกระดับคุณภาพของการจัดการศึกษา
๒. ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
๓. มุ่งความเป็นเลิศและสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
๔. ปรับปรุงระบบบริหารจัดการการศึกษาให้มีประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากร เพิ่มความคล่องตัวใน
การรองรับความหลากหลายของการจัดการศึกษา และสร้างเสริมธรรมาภิบาล
ยุทธศาสตร์ :
๑. พัฒนาหลักสูตร กระบวนการจัดการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล
๒. พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
๓. ผลิตและพัฒนากำลังคน รวมทั้งงานวิจัยที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ
๔. เพิ่มโอกาสให้คนทุกช่วงวัยเข้าถึงบริการทางการศึกษาอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
๕. ส่งเสริมและพัฒนาระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการศึกษา
๖. พัฒนาระบบบริหารจัดการและส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
วิสัยทัศน์ และพันธกิจ
ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
วิสัยทัศน์
พันธกิจ
1) ส่งเสริมการจัดการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศของผู้เรียนให้มีสมรรถนะตามศักยภาพ และเพิ่มขีด
ความสามารถในการแข่งขัน และพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้มีสมรรถนะตามหลักสูตร และทักษะที่จำเป็น
ในศตวรรษที่ 21
2) พัฒนาผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความเชี่ยวชาญในการจัดการศึกษาที่
ตอบสนองทิศทางการพัฒนาประเทศ
3) พัฒนาสถานศึกษาและระบบการบริหารจัดการศึกษาทุกระดับให้มีความปลอดภัย และจัดการ
ศึกษาเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) เสริมสร้าง
ความมั่นคงของมนุษย์ และพัฒนาคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง
4) เพิ่มโอกาส ความเสมอภาค ลดความเหลื่อมล้ำ ให้ผู้เรียนทุกคนได้รับบริการทางการศึกษาอย่าง
ทั่วถึงและเท่าเทียม
5) พัฒนาระบบการบริหารจัดการของหน่วยงานในสังกัดให้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลเหมาะสม
กับบริบท
ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่อง นโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 – 2568
ตามที่คณะรัฐมนตรีได้กำหนดนโยบายการบริหารราชการแผ่นดินที่ยึดมั่นการปกครองใน
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีความสอดคล้องกับหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ
และหมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ตลอดจนยุทธศาสตร์
ชาติ พุทธศักราช 2561 – 2580 คณะรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 11 – 12 กันยายน
พุทธศักราช 2566 นโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล จะดำเนินนโยบายปฏิรูปการศึกษาและสร้างสังคมแห่ง
การเรียนรู้ตลอดชีวิต มุ่งส่งเสริมให้เป็นคนดี มีวินัย ภูมิใจในชาติ รวมทั้งเสริมสร้างศั กยภาพของผู้เรียนตาม
ความถนัด ส่งเสริมการอ่าน เพื่อสร้างอนาคต สร้างรายได้ กระจายอำนาจการศึกษาให้ผู้เรียนได้เข้าถึงการ
เรียนรู้ อย่างทั่วถึง มีอุปกรณ์การเรียนที่เหมาะสมต่อผู้เรียนแต่ละวัย และใช้ระบบเทคโนโลยีการศึกษาสมัยใหม่
จัดทำหลักสูตร และให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับความรู้ความสนใจของผู้เรียน ส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนา ทั้งใน
ด้านสังคม ด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ (Applied Science) และการวิจัยขั้นแนวหน้า (Frontier Research)
เพื่อต่อยอดให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยไม่ละเลยการศึกษาประวัติศาสตร์ความ
เป็นมาของประเทศและการปลูกฝังความรักในสถาบันหลักของชาติ เพื่อให้มีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง
ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของโลกสมัยใหม่อย่างมีคุณธรรมและจริยธรรม ให้ความสำคัญต่อความมี
คุณภาพของครูทั้งประเทศ รวมไปถึงครูแนะแนว เพื่อช่วยให้นักเรียนได้รับคำแนะนำด้านเนื้อหาของวิชาการ
และการเข้าถึงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเลือกเรียนและประกอบอาชีพ รวมไปถึงการดูแลสุขภาพ
กาย และสุขภาพใจของนักเรียนทุกคน ส่งเสริมการสร้ างรายได้ให้แก่นักเรียน นักศึกษา ทั้งสายวิชาการ และ
สายอาชีพให้มีรายได้จากวิชาที่เรียน โอกาสฝึกงานระหว่างเรียน เพื่อสร้างบุคลากรที่มีทักษะและความสามารถ
ตรงต่อความต้องการของการจ้างงาน และที่สำคัญที่สุดรัฐบาลจะดำเนินการแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการ
ศึกษาที่เป็นรากฐานสำคัญของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในสังคมไทย ต่อมาเมื่อวันที่ 14 กันยายน
2566 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ประชุมมอบนโยบายการศึกษาให้แก่ทุกหน่วยงานในสังกัดและ
ในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริห าร
ราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ จึงประกาศนโยบายการศึกษา
ของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 – 2568 โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนทุกช่วงวัยได้รับการ
พัฒนาในทุกมิติ ทั้งในด้านโอกาส ความเท่าเทียม ความเสมอภาค คุณภาพและสมรรถนะที่สำคัญจำเป็น ตาม
บริบทของประเทศและสังคมโลก โดยเน้นให้ผู้เรียน “เรียนดี มีความสุข” ใช้หลักการมีส่วนร่วมในการจัด
การศึกษาจากทุกภาคส่วน ดังที่กล่าวไว้ว่า “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน” เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกหน่วยงานในสังกัด
และในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการนำไปใช้ในการขับเคลื่อนนโยบาย ดังนี้
1. ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา
1.1 พัฒนาวิธีการประเมินวิทยฐานะครูและบุคลากรทางการศึกษา มุ่งผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
เป็นสำคัญ
2. ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง
2.1 เรีย นได้ทุกที่ ทุกเวลา (Anywhere Anytime) เรียนฟรี มีงานทำ “ยึดผู้เรียน เป็น
ศูนย์กลาง” มีระบบหรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้ โดยผู้เรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อสร้างความเสมอภาคทาง
การศึกษา
2.2 จัดให้มีโรงเรียนคุณภาพ 1 โรงเรียน ต่อ 1 อำเภอ
2.3 พัฒนาระบบการแนะแนวการเรียน (Coaching) และเป้าหมายชีวิตให้เป็นรูปธรรม
2.4 การจัดทำระบบวัดผลรับรองมาตรฐานวิชาชีพ (Skill Certificate) ผู้เรียนสามารถเรียน
เพิ่มเพื่อรับประกาศนียบัตรในการประกอบอาชีพ
2.5 การจัดทำระบบวัดผลเทียบระดับการศึกษา และประเมินผลการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนที่มี
ความสามารถเป็นเลิศ ไม่ต้องเสียเวลาเรียนในระบบ ประหยัดเวลาและประหยัดค่าใช้จ่าย
2.6 ผู้เรียนเรียนรู้และมีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทำ (Learn to Earn)
แนวข้อสอบ
นโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖7 - 2568
1. กระทรวงศึกษาธิการมุ่งมั่นดำเนินการภารกิจหลักตามแผนใด
ก. แผนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี
ข. แผนการศึกษาแห่งชาติ
ค. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ก.
2. นโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖7 – 2568 กำหนดให้
ส่งเสริมเรื่องใดบ้าง
ก. ด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์
ข. ด้านการวิจัยขั้นแนวหน้า
ค. การศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศ
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง.
3. นโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖7 – 2568 มุ่งหวังในเรื่องใด
ก. ให้ผู้เรียนทุกช่วงวัยได้รับการพัฒนาในทุกมิติ
ข. ให้ผู้เรียนทุกช่วงวัยได้รับการพัฒนาทั้งในด้านโอกาส
ค. ให้ผู้เรียนทุกช่วงวัยได้รับความเท่าเทียม ความเสมอภาค
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง.
4. นโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖7 – 2568 ได้มุ่งเน้นให้
นักเรียนเป็นเช่นไร
ก. เรียนดี มีความสุข
ก. นักเรียนดี มีความสุข
ข. จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ก.
5. ข้อใดเป็นหลักการมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาจากทุกภาคส่วน เพื่อเป็นแนวทางให้ทุกหน่วยงานในสังกัด
และในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการนำไปใช้ในการขับเคลื่อนนโยบาย
ก. เรียนดี มีความสุข
ข. นักเรียนดี มีความสุข
ค. จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ค.
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๑๙
คู่มือเตรียมสอบ ข้าราชการ 38 ค.(2) สพฐ.
6. นโยบายการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖7 – 2568 มีกี่ข้อ
ก. 2 ข้อ ข. 3 ข้อ
ค. 5 ข้อ ง. 7 ข้อ
ตอบ ก.
7. นโยบายการศึกษาข้อแรก ของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖7 – 2568 คือ
ก. มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ข. ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง
ค. พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล ง. ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตอบ ง.
8. นโยบายการศึกษาข้อที่ 2 ของกระทรวงศึกษาธิการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖7 – 2568 คือ
ก. มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ข. ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง
ค. พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล ง. ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตอบ ข.
9. การพัฒนาวิธีการประเมินวิทยฐานะครูและบุคลากรทางการศึกษา มุ่งผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเป็นสำคัญ
เกี่ยวข้องกับนโยบายข้อใด
ก. มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ข. ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง
ค. พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล ง. ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตอบ ง.
10. โครงการโรงเรียนคุณภาพ 1 โรงเรียน ต่อ 1 อำเภอ เกี่ยวข้องกับนโยบายข้อใด
ก. มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ข. ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง
ค. พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล ง. ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตอบ ข.
11. การแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา เกี่ยวข้องกับนโยบายข้อใด
ก. มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ข. ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง
ค. พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล ง. ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตอบ ง.
12. การเรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา (Anywhere Anytime) เรียนฟรี มีงานทำ “ยึดผู้เรียน เป็นศูนย์กลาง”
เกี่ยวข้องกับนโยบายข้อใด
ก. มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ข. ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง
ค. พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล ง. ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตอบ ข.
13. การพัฒนาระบบการแนะแนวการเรียน (Coaching) และเป้าหมายชีวิต เกี่ยวข้องกับนโยบายข้อใด
ก. มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ข. ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง
ค. พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล ง. ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตอบ ข.
14. การจัดหาอุปกรณ์การสอนและสวัสดิการให้เพียงพอและเหมาะสม เกี่ยวข้องกับนโยบายข้อใด
ก. มุ่งเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ข. ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง
ค. พลิกโฉมการศึกษาสู่ยุคดิจิทัล ง. ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตอบ ง.
ประกาศสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เรื่อง นโยบายและจุดเน้นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๖8 และนโยบายระยะเร่งด่วน (Quick Win)
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
-----------------
นโยบายและจุดเน้นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ประจำปี
งบประมาณ พ.ศ. ๒๕6๗ – ๒๕๖8
๑. ปลูกฝังความรักในสถาบันหลักของชาติ และน้อมนําพระบรมราโชบายด้านการศึกษา
สู่การปฏิบัติ
๑.๑ ขับเคลื่อนหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่สถานศึกษา เพื่อการบรรลุเป้าหมาย
การพัฒนาที่ยั่งยืน
๑.๒ ขับเคลื่อนพระบรมราโชบายด้านการศึกษาของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ สู่การปฏิบัติ
๑.๓ ปลูกฝังความรักในสถาบันหลักของชาติ
3. ปรับกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้ทันสมัยและหลากหลาย
๓.๑ ส่งเสริมให้มีการต่อยอดแนวคิดการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เพื่อ
พัฒนา สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
๓.๒ พัฒนาศักยภาพและคุณลักษณะผู้เรียนตามความถนัด ความสนใจ ด้วยการเรียนรู้
อย่างมีความสุข
๓.๓ ส่งเสริมผู้เรียนให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม และมีจิตสำนึกในการ
อนุรักษ์ ฟื้นฟู ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
๔. ส่งเสริมการอ่าน เพื่อเป็นวิถีในการค้นหาความรู้และต่อยอดองค์ความรู้ที่สูงขึ้น
๔.๑ ส่งเสริมการอ่านเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต
๔.๒ พัฒนาความสามารถด้านการอ่านตามแนวทางการประเมิน PISA
๕. ส่งเสริม สนับสนุนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
๕.๑ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะด้านการทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม การมีจิตอาสา ทำ
ความดีด้วยหัวใจ
๕.๒ สร้างผู้น ำด้วยกระบวนการลูกเสือ เนตรนารี ยุวกาชาด ผู้บ ำเพ็ญประโยชน์ และ
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนอื่น ๆ
๕.๓ ส่งเสริมกิจกรรมสภานักเรียน ชุมนุม ชมรม และการมีส่วนร่วมให้เกิดวิถีประชาธิปไตย
ในโรงเรียน เป็นพลเมืองที่ดี และแสดงออกอย่างสร้างสรรค์
6. จัดการศึกษาแบบเรียนรวม
๖.๑ พัฒนาองค์ความรู้ เจตคติและทักษะการจัดการเรียนรู้ส ำหรับเด็กที่มีความต้องการ
จำเป็นพิเศษ
๖.๒ สร้างเครือข่ายบูรณาการความร่วมมือช่วยเหลือเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ
ระหว่างสถานศึกษากับทีมสหวิชาชีพ
๖.๓ นิเทศ กำกับ ติดตาม โดยร่วมมือกับเครือข่ายในทุกภาคส่วน
๗. จัดการศึกษาเพื่อความเป็นเลิศ
๗.๑ ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพผู้เรียนตามพหุปัญญา
๗.๒ พัฒนาผู้มีความสามารถพิเศษ ด้านคณิตศาสตร์ ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านภาษา ด้าน
ทัศนศิลป์ ด้านดนตรี ด้านนาฏศิลป์ ด้านกีฬา และด้านอื่น ๆ
๗.๓ ส่ ง เสริ ม ความเป็น เลิศ ของผู ้ มี ค วามสามารถพิเ ศษ และ Soft Power อย่ า งเต็ม
ศักยภาพ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๒๓
คู่มือเตรียมสอบ ข้าราชการ 38 ค.(2) สพฐ.
8. เสริมสร้างความปลอดภัยของสถานศึกษา
8.๑ ปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพของสถานศึกษา เพื่อให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย
อบอุ่น มีความสุข เอื้อต่อการเรียนรู้
8.๒ สร้างเครือข่ายและกลไกในการดูแลความปลอดภัยให้กับผู้เรียน ครูและบุคลากร ทาง
การศึกษา และสถานศึกษา
8.๓ สร้างภูมิคุ้มกันผู้เรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ไม่ให้เข้าไปข้องเกี่ยวกับยาเสพติด
๘.๔ รับเรื่องร้องเรียน ร้องทุกข์ ดูแลความปลอดภัยของผู้เรียน ครูและบุคลากรทางการ
ศึกษา ผ่านระบบ OBEC Safety Center
9. เพิ่มโอกาสและสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา
9.๑ พัฒนาระบบการป้องกัน การเฝ้าระวัง และการดูแลช่วยเหลือเด็กกลุ่มเสี่ยง เด็กตก
หล่น เด็กออกกลางคัน เด็กไร้สัญชาติ เด็กพื้นที่สูงในถิ่นทุรกันดารและพื้นที่เกาะ ตามความต้องการจ ำเป็น
รายบุคคล เพื่อไม่ให้หลุดจากระบบการศึกษา โดยบูรณาการความร่วมมือกับบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
9.๒ ส่งเสริม สนับสนุนให้เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ เด็กพิการและเด็กด้อยโอกาส
ได้รับโอกาสเข้าถึงการศึกษา แหล่งเรียนรู้ และการฝึกอาชีพที่หลากหลายเหมาะสมตามศักยภาพ เพื่อให้มี
ทักษะ ในการดำเนินชีวิต สามารถพึ่งตนเองได้
๑๐. พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
10.๑ พัฒนาผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้บริหารการศึกษา
ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากรส่วนกลาง ให้เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ นำนโยบายสู่การปฏิบัติ และมีทักษะในการ
บริหารสถานการณ์
๑๐.๒ พัฒนาสมรรถนะศึกษานิเทศก์ ในการนิเทศ และการชี้แนะ ( Coaching)
๑๐.๓ พัฒนาสมรรถนะครู ด้านภาษาอังกฤษ ภาษาจีน เทคโนโลยีดิจิทัล การจัดการเรียนรู้
จิตวิญญาณความเป็นครู และทักษะอื่นที่จำเป็น
๑๐.๔ พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้มีความรู้และสมรรถนะด้านวิชาการ ด้าน
ทักษะการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning)
ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา
๑. เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานบุคคล
๑.๑ ปรับปรุงหลักเกณฑ์และวิธีการ การแต่งตั้ง การย้าย การช่วยราชการ และการขอมี
และเลื่อนวิทยฐานะ
๑.๒ พัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
๒. การแก้ไขปัญหาหนี้สินครู
2.1 จัดตั้งศูนย์และสถานีแก้หนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาทุกระดับ
๓. การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก และโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา
๓.๑ จัดทำแผนการบริห ารจั ดการโรงเรีย นขนาดเล็ ก และโรงเรียนขยายโอกาสทาง
การศึกษา
๓.๒ จัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) สำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก และโรงเรียน
ขยายโอกาสทางการศึกษา
๓.๓ เสนอปรับเกณฑ์อัตรากำลังผู้บริหารสถานศึกษา ครูและบุคลากรสายสนับสนุน
๓.๔ จัดทำคำสั่งมอบอำนาจเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ โดยให้
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นผู้ดำเนินการแทนโรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนไม่เกิน 60 คน
๓.๕ จัดทำรูปแบบการบริหารเจ้าหน้าที่ธุรการ ในโรงเรียนขนาดเล็กและโรงเรียนขยาย
โอกาสทางการศึกษา
๓.๖ สร้างและใช้แพลตฟอร์มการเรียนรู้ในระบบดิจิทัล และส่งเสริมการใช้ DLTV
๔. ลดภาระการประเมินของสถานศึกษา
๔.๑ สำรวจรายการประเมิน การรายงานข้อมูล และโครงการของสถานศึกษา
๔.๒ จัดทำรูปแบบและแนวทางการประเมินเพื่อลดภาระของสถานศึกษา
๔.๓ ติดตามผลการประเมินตามแนวทางเพื่อลดภาระการประเมินของสถานศึกษา
๕. สร้างความตระหนักในการป้องกันการทุจริต
๕.๑ เสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และธรรมาภิบาลในสถานศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
๕.๒ สรรหา บรรจุและแต่งตั้ง โยกย้าย ตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ยึดถือ
ระบบคุณธรรม และความโปร่งใส
๕.๓ จัดซื้อจัดจ้างวัสดุ ครุภัณฑ์ อาหารกลางวัน อย่างมีคุณภาพและถูกต้องตามระเบียบ
กฎหมาย ที่เกี่ยวข้อง
6. การสื่อสาร และประชาสัมพันธ์องค์กร
๖.๑ พัฒนาการสื่อสารทุกช่องทาง
6.๒ ติดตามและวิเคราะห์ประเด็นข่าวที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
๖.๓ ผลิตและเผยแพร่สื่อประชาสัมพันธ์ เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ สพฐ.
๖.๔ สร้างเครือข่าย และประยุกต์ใช้ AI เพื่อการประชาสัมพันธ์
ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง
๑. การเรียนรู้ทุกที่ทุกเวลา (Anywhere Anytime) ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล
๑.๑ จัดหาเครื่องมือ พร้อมอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัยสำหรับการเรียนรู้
๑.๒ จัดหาระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของสถานศึกษา
๕. เสริมสร้างทักษะอาชีพ และการมีรายได้ระหว่างเรียน
๕.๑ พัฒนานักธุรกิจน้อยมีคุณธรรม นำสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์
๕.๒ ส่งเสริมให้นักเรียนทำงานหารายได้ในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน
๕.๓ ส่งเสริมประสบการณ์อาชีพของนักเรียนในจังหวัดชายแดนภาคใต้
๕.๔ พัฒนาต่อยอดห้องแล็บสอนอาชีพ ในโรงเรียนต้นแบบสหกรณ์โรงเรียน
๕.๕ ส่งเสริมการศึกษาร่วมหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ทวิศึกษา) ระดับมัธยมศึกษา
ตอนปลาย
ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
แนวข้อสอบ
นโยบายและจุดเน้นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗-๒๕๖8 และนโยบายระยะเร่งด่วน (Quick Win)
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
1. นโยบายและจุดเน้นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานประจำปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๗ - ๒๕๖8 และนโยบายระยะเร่งด่วน (Quick Win) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ได้ดำเนินการภารกิจหลักตามแผนใด
ก. น้อมนำพระบรมราโชบายด้านการศึกษา รัชการลที่ 10
ข. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ค. แผนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง.
2. นโยบายและจุดเน้นของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๖8 กำหนดให้ส่งเสริมเรื่องใดบ้าง
ก. ปรับกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้ทันสมัยและหลากหลาย
ข. จัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม และประชาธิปไตย
ค. ปลูกฝังความรักในสถาบันหลักของชาติ และน้อมนําพระบรมราโชบายด้านการศึกษา
สู่การปฏิบัติ
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง.
3. นโยบายการศึกษาข้อแรก ของนโยบายและจุดเน้น สพฐ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๖8 คือ
ก. ปรับกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้ทันสมัยและหลากหลาย
ข. จัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม และประชาธิปไตย
ค. ส่งเสริมการอ่าน เพื่อเป็นวิถีในการค้นหาความรู้และต่อยอดองค์ความรู้ที่สูงขึ้น
ง. ปลูกฝังความรักในสถาบันหลักของชาติ และน้อมนําพระบรมราโชบายด้านการศึกษา
สู่การปฏิบัติ
ตอบ ง.
4. นโยบายการศึกษาข้อสุดท้าย ของนโยบายและจุดเน้น สพฐ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๖8 คือ
ก. พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา
ข. ปรับกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้ทันสมัยและหลากหลาย
ค. จัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม และประชาธิปไตย
ง. ส่งเสริมการอ่าน เพื่อเป็นวิถีในการค้นหาความรู้และต่อยอดองค์ความรู้ที่สูงขึ้น
ตอบ ก.
แนวข้อสอบ
ความรู้เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ พันธกิจ โครงสร้าง
อำนาจหน้าที่ ภารกิจ นโยบายและยุทธศาสตร์ของกระทรวงศึกษาธิการ
และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
1. ข้อใดเป็นชื่อภาษาอังกฤษของกระทรวงศึกษาธิการ
ก. Ministry of Industry
ข. Ministry of Education
ค. Ministry of Public Health
ง. Ministry of Foreign Affairs
ตอบ ข.
2. ข้อใดคือตราสัญลักษณ์ของกระทรวงศึกษาธิการ
ก. รูปคบเพลิงและมีงูพันคบเพลิง
ข. รูปคบเพลิงมีปีกและมีงูพันคบเพลิง
ค. รูปคบเพลิงสามแฉก
ง. รูปเสมาธรรมจักร
ตอบ ง.
3. ข้อใดคือสายด่วนกระทรวงศึกษาธิการ
ก. โทร. 1330 ข. โทร. 1579
ค. โทร. 1546 ง. โทร. 1565
ตอบ ข.
4. ข้อใดคือเว็บไซต์ของกระทรวงศึกษาธิการ
ก. www.moe.go.th ข. www.moc.go.th
ค. www.moph.go.th ง. www.mof.go.th
ตอบ ก.
5. ข้อใดคือเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)
ก. www.nfe.go.th ข. www.obec.go.th
ค. www.ops.moe.go.th ง. www.vec.go.th
ตอบ ข.
6. ข้อใดเป็นชื่อภาษาอังกฤษของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.)
ก. Office of the Education Council
ข. Office of the Basic Education Commission
ค. Office of the vocational Education Commission
ง. office of the non - formal and informal education
ตอบ ข.
ประมวลจริยธรรมข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
แนวข้อสอบ
ประมวลจริยธรรมข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
1. ประมวลจริยธรรมข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา เกิดขึ้นจากกฎหมายใด
ก. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
ข. พระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒
ค. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕46
ง. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547
ตอบ ข.
2. “ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา” หมายถึง ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ตามกฎหมายใด
ก. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
ข. พระราชบัญญัติมาตรฐานทางจริยธรรม พ.ศ. ๒๕๖๒
ค. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕46
ง. พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547
ตอบ ง.
3. บุคคลตามข้อใดปฏิบัติตามประมวลจริยธรรมข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ในด้านมีจิตอาสา
จิตสาธารณะ มุ่งประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้อง
ก. ครูแดงนำสินค้ามาขายในโรงเรียนเพื่อนำรายได้ไปช่วยเหลือเด็กพิการ
ข. ครูดำสอนซ่อมเสริมนักเรียนที่สอบไม่ผ่านในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์
ค. ครูขาวมาปฏิบัติราชการตรงเวลาแต่มักขาดประชุมของทางโรงเรียน
ง. ครูเขียวไปอบรมที่เขตทุกครั้งที่ได้รับมอบหมายแม้ว่าเป็นวันหยุดราชการ
ตอบ ง.
๔. ความรู้จริยธรรม หมายถึงข้อใด
ก. การใช้ความคิดความเชื่อตัดสินว่าสิ่งใดควรกระทำ
ข. การแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ต่อสาธารณะชน
ค. การใช้เหตุผลเป็นเกณฑ์ในการเลือกหรือไม่เลือกการกระทำ
ง. การใช้ความรู้จากบริบทในสังคมตัดสินการกระทำว่าควรหรือไม่ควรทำ
ตอบ ก.
5. ครูสมศรีเห็นว่าอาชีพครูมีประโยชน์ มีเกียรติ มีกุศล ทำแล้วได้บุญ ซึ่งท่านมีความภาคภูมิใจ ทุ่มเทแรงกาย
แรงใจเพื่อสั่งสอนศิษย์ ท่านอุทิศทำงานทั้งในและนอกเวลาราชการ ตรงกับอุดมการณ์ความเป็นครูข้อใด
ก. เต็มรู้
ข. เต็มใจ
ค. เต็มเวลา
ง. เต็มศักยภาพ
ตอบ ค.
หมวด 1 การเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร
1. หน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ ในการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร (ม. 7) ต้องส่งข้อมูลข่าวสาร ดังต่อไปนี้
พิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาเพื่อเปิดเผย ดังนี้
1) โครงสร้างและการจัดองค์กรในหน่วยงาน
2) สรุปอำนาจหน้าที่ที่สำคัญและวิธีการดำเนินงาน
3) สถานที่รับหรือติดต่อข้อมูลข่าวสารหรือการติดต่อกับหน่วยงานรัฐ
4) กฎ มติคณะรัฐมนตรี ข้อบังคับ คำสั่ง หนังสือเวียน ระเบียบ แบบแผน ฯลฯ ที่เพื่อให้มีผล
บริการทั่วไปต่อเอกชนที่เกี่ยวข้อง
5) ข้อมูลอื่น ๆ ที่คณะกรรมการกำหนด
2. สิทธิของประชาชน (ม. 9)
1) เข้าตรวจดู ขอสำเนาหรือสำเนาที่มีคำรับรอง (ม. 9 วรรคสอง)
2) ร้องเรียนต่อคณะกรรมการ กรณีที่เห็นว่าหน่วยงานของรัฐไม่จัดพิมพ์ข้อมูลข่าวสาร หรือ
เปิดเผยข้อมูลข่าวสารช้า (ม. 13)
3. หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ ในการเปิดเผยข้อมูลที่ประชาชนขอดู (ม.9)
1) ให้ลบหรือตัดทอนส่วนที่ต้องห้ามตามมาตรา 14 หรือ 15 เพื่อไม่ให้มีการเปิดเผยข้อมูล
ข่าวสารนั้นกำหนดหลักเกณฑ์หรือค่าธรรมเนียมในการสำเนาข้อมูลข่าวสาร
2) ส่งคำขอให้หน่วยงานที่จัดทำข้อมูลอนุญาต กรณีที่ข้อมูลที่มีผู้ร้องขอเป็นข้อมูลของหน่วยงาน
อื่น และได้ระบุห้ามการเปิดเผย (ม.12 วรรค 2)
4. หน้าที่ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารเมื่อได้รับคำร้องเรียนคณะกรรมการจะต้องพิจารณาให้แล้ว
เสร็จภายใน 30 วัน (ถ้ามีความจำเป็นขยาย สามารถขยายได้ไม่เกิน 60 วัน)
หมวดที่ 3 ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล
1. ข้อมูลส่วนบุคคลคือข้อมูลบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทยหรือบุคคลต่างด้าวที่มีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย
2. หน่วยงานของรัฐจะต้องปฏิบัติเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารของบุคคลไว้เพื่อกาลในหน่วยงาน ดังนี้ (ม.23)
1) มีข้อมูลส่วนบุคคลเท่าที่เกี่ยวข้องและจำเป็น
2) เก็บข้อมูลข่าวสารโดยตรงจากเจ้าของข้อมูล
3) จัดให้มีการพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาและแก้ไขให้ถูกต้องอยู่เสมอ
4) จัดระบบรักษาความปลอดภัยให้แก่ระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลตามความเหมาะสมเพื่อ
ป้องกันมิให้มีการนำไปใช้โดยไม่เหมาะสมหรือเป็นผลร้ายต่อเจ้าของข้อมูล
3. หน่วยงานของรัฐเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลโดยปราศจากความยินยอมของเจ้าของข้อมูลไม่ได้
ยกเว้น (ม. 24)
1) เพื่อการนำไปใช้ตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐแห่งนั้น
2) นำไปใช้ตามปกติภายในวัตถุประสงค์ของการจัดให้มีระบบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลนั้น
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๔๑
คู่มือเตรียมสอบ ข้าราชการ 38 ค.(2) สพฐ.
3) นำไปวางแผนหรือการสถิติหรือสำมะโนต่าง ๆ
4) เพื่อประโยชน์ในการศึกษาวิจัยโดยไม่ระบุชื่อหรือส่วนที่ทำให้รู้ว่าเป็นข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่
เกี่ยวกับบุคคลใด
5) ต่อหอจดหมายเหตุแห่งชาติเพื่อการตรวจดูคุณค่าในการเก็บรักษา
6) ต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐเพื่อการป้องกันการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย
7) เป็นการให้ซึ่งจำเป็นเพื่อการป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิตหรือสุขภาพของบุคคล
8) ต่อศาล และเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐหรือบุคคลที่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะขอ
ข้อเท็จจริง
9) กรณีอื่นตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา
4. เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล มีอำนาจดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลดังนี้ (ม.25 วรรค 2)
1) ยื่นขอให้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสารส่วนที่ไม่ถูกต้องได้ หากเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ไม่ดำเนินการแก้ไขให้ตามคำขอ
2) เจ้าของข้อมูลยื่นต่อคณะกรรมการวินิจฉัยเปิดเผยข้อมูลภายใน 30 วัน โดยยื่นต่อ
คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ
หมวดที่ 4 เอกสารประวัติศาสตร์
1. ข้อมูลข่าวสารที่ไม่ประสงค์เก็บรักษาหรือหมดอายุครบกำหนดแล้วให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการ
ดังนี้
1.1 ส่งมอบให้แก่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร
1.2 หน่วยงานอื่นของรัฐตามที่กำหนดในพระราชกฤษฎีกา เพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาค้นคว้า
2. ระยะเวลาในการเก็บรักษาข้อมูลข่าวสาร (ม.26 วรรค สอง)
2.1 ข้อมูลข่าวสารทีเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ ตาม ม. 14 เมื่อครบ 75 ปี
2.2 ข้อมูลข่าวสารของรัฐที่เจ้าหน้าที่ไม่เปิดเผย ตาม ม. 15 เมื่อครบ 20 ปี
3. แต่ถ้าหน่วยงานของรัฐมีความประสงค์จะขอขยายเวลาในการเก็บก็สามารถที่จะขยายได้โดย
กำหนดขยายไม่เกินคราวละ 5 ปี และให้ดำเนินขยายภายใน 3 เดือนก่อนครบกำหนด
4. ผู้ที่กำหนดให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐให้ทำลายหรืออาจทำลายโดยไม่ต้องเก็บรักษา คือ
คณะรัฐมนตรี (ม.26 วรรค สาม)
หมวด 5 คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ
1. คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประกอบด้วย
• คณะกรรมการโดยตำแหน่ง มีรัฐมนตรีที่นายกมอบหมายเป็นประธาน
• คณะกรรมการที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ โดยคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง 9 คน วาระคราวละ 3 ปี
• ข้าราชการในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี คนหนึ่งเป็นเลขาอีก 2 คน
เป็นผู้ช่วยเลขา
2. อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการที่สำคัญ
1) ทำรายงานเสนอคณะรัฐมนตรี ปีละ 1 ครั้ง
2) วินิจฉัยเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูล
หมวดที่ 6 คณะกรรมการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสาร
1. คณะกรรมการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสาร
• แต่งตั้งโดยรัฐมนตรีตามข้อเสนอของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารฯ จำนวนไม่น้อยกว่า 3 คน
• ให้ข้าราชการที่คณะกรรมการฯ แต่งตั้งเป็นเลขานุการ
2. หน้าที่ของคณะกรรมการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสาร
1) วินิจฉัยเกี่ยวกับการขอเปิดเผยข้อมูล
1.1 ข้อมูลที่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ (ตามมาตรา 14)
1.2 ข้อมูลข่าวสารที่เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่เปิดเผยเนื่องจากความมั่นคงหรืออื่น ๆ
1.3 เมื่อมีการขอแก้ไขข้อมูลส่วนตัวที่รัฐมีไว้ให้ถูกต้องแต่เจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ยอมแก้ไขให้
1.4 กรณีเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ฟังคำคัดค้านจะเปิดเผยข้อมูล แต่เจ้าของข้อมูลไม่ยอมให้เปิด
2) ดำเนินการวินิจฉัยข้อมูลให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ถ้ามีความจำเป็นที่จะต้องขยายให้ขยายได้
แต่ขยายแล้วไม่เกิน 60 วัน
3) ประกาศวิธีพิจารณาและวินิจฉัยและองค์คณะในการพิจารณาและวินิจฉัยไว้ในราชกิจจานุเบกษา
หมวดที่ 7 บทกำหนดโทษ
1. ผู้ใดฝ่าฝืนไม่มาให้ถ้อยคำหรือส่งวัตถุเอกสารหรือพยานให้คณะกรรมการฯ เมื่อคณะกรรมการฯ
ร้องขอ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. เจ้าหน้าที่ที่ไม่มีอำนาจไปเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
แนวข้อสอบ
พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
1. สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการมีชื่อย่อว่าอะไร
ก. สขร. ข. สขม.
ค. สขก. ง. สขช.
ตอบ ก.
2. พระราชบัญญัติ ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 บังคับใช้วันที่
ก. 9 มกราคม 2540 ข. 9 ธันวาคม 2539
ค. 9 ธันวาคม 2540 ง. 8 ธันวาคม 2540
ตอบ ค.
3. วัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร พ.ศ. 2540 นี้มีขึ้นเพื่อรับรองสิทธิใดของประชาชนต่อรัฐ
ก. สิทธิได้รู้ ข. สิทธิเลือกตั้ง
ค. สิทธิในการประกอบอาชีพ ง. สิทธิที่จะชุมนุมโดยปราศจากอาวุธ
ตอบ ก.
4. ข้อมูลข่าวสารคือ
ก. สิ่งที่สื่อความหมายให้รู้เรื่องราวข้อเท็จจริงข้อมูล หรือสิ่งใด ๆ
ข. การสื่อสารถึงกัน
ค. ข่าวที่นักข่าวนำเสนอ
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ก.
5. ข้อใดไม่เป็นข้อมูลข่าวสาร
ก. แฟ้ม ข. รูปถ่าย
ค. ภาพวาด ง. ภาพถ่าย
ตอบ ข.
6. ข้อมูลข่าวสารของราชการ หมายถึง
ก. ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของหน่วยงานของรัฐ
ข. ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของเอกชน
ค. ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของรัฐและเอกชน
ง. ข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองหรือควบคุมดูแลของมูลนิธิ
ตอบ ก.
7. ข้อใด ไม่ใช่ หน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540
ก. ราชการส่วนท้องถิ่น
ข. ราชการสังกัดรัฐสภา
ค. ศาล
ง. ศาลเฉพาะที่ไม่เกี่ยวกับการพิจารณาพิพากษาคดี
ตอบ ค.
หมวด 2 สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษา
1. ประชาชนมีสิทธิและโอกาสได้รับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ต้องไม่น้อยกว่า 12 ปี โดย (ม.10)
1) อย่างทั่วถึง
2) มีคุณภาพ
3) ไม่เก็บค่าใช้จ่าย
2. สิทธิประโยชน์ของบิดา มารดา หรือผู้ปกครองในการจัดการศึกษา และอบรมเลี้ยงดูได้แก่ (ม.13)
1) ความรู้
2) เงินอุดหนุน
3) ลดหย่อนภาษีหรือยกเว้นภาษี
หมวด 3 ระบบการศึกษา
1. การจัดระบบการศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้แบ่งออกเป็น 3 ระบบคือ (ม.15)
1) การศึกษาในระบบ ถือจุดมุ่งหมาย วิธีการ หลักสูตร ระยะเวลา การวัดและประเมินเป็นเงื่อนไข
แห่งความสำเร็จที่แน่นอน
หมวด 4 แนวทางการจัดการศึกษา
1. การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า (ม.22 สำคัญที่สุด)
1) ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้
2) ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด
2. การจัดการศึกษา เน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม ในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ (ม.23) ความรู้เกี่ยวกับ
1) ตนเอง
2) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
3) ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม การกีฬา
4) คณิตศาสตร์ ภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง
5) การประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข
3. การจัดการเรียนการสอน สถานศึกษาจะต้องดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (ม.24)
1) จัดเนื้อหาสาระ และกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัด และความแตกต่าง
2) ฝึกทักษะ การคิด การจัดการ เผชิญกับสภาพที่แท้จริง
3) การจัดการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่าน
4) จัดโดยผสมผสาน
5) จัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการจัดการเรียนการสอน
6) จัดให้สามารถเรียนรู้ได้ทุกเวลาทุกสถานที่
4. การประเมินผลการเรียนพิจารณาจาก (ม.26) พัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกต
พฤติกรรม การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอน
หมวด 5 การบริหารและการจัดการศึกษา
1. อำนาจของกระทรวงศึกษาธิการ (ม.31)
1) การส่งเสริมและกำกับดูแลการศึกษาทุกระดับทุกประเภท
2) กำหนดนโยบาย แผน และมาตรฐานการศึกษา
3) สนับสนุนทรัพยากรเพื่อการศึกษา
4) ส่งเสริมและประสานงานการศาสนา ศิลปวัฒนธรรม และการกีฬาเพื่อการศึกษา
5) ติดตามตรวจสอบและประเมินการจัดการศึกษา และราชการอื่นตามที่กฎหมายกำหนด
2. การจัดระเบียบบริหารราชการในกระทรวงศึกษาธิการในรูปของคณะกรรมการแบ่งออกเป็น 3
องค์กรหลัก (ม.32)
1) สภาการศึกษา
2) คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
3) คณะกรรมการการอาชีวศึกษา
3. คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหน้าที่ (ม.34) พิจารณาเสนอนโยบายแผนพัฒนา มาตรฐานและ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และแผนการ
ศึกษาแห่งชาติ การสนับสนุนทรัพยากรการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
4. องค์ประกอบของคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา จำนวน 15 คน (ม.38)
1) ประธานกรรมการ
2) กรรมการโดยตำแหน่ง 1 คน คือ ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเป็นกรรมการและ
เลขานุการ
3) ผู้แทนองค์กรชุมชน 1 คน
4) ผู้แทนองค์กรเอกชน 1 คน
5) ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 1 คน
6) ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพครู 1 คน
7) ผู้แทนสมาคมผู้ประกอบวิชาชีพบริหารการศึกษา 1 คน
8) ผู้แทนสมาคมผู้ปกครองและครู 1 คน
9) ผู้ทรงคุณวุฒิ 7 คน (เป็นประธานกรรมการ 1 คน)
5. อำนาจหน้าที่ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา (ม.38)
1) กำกับดูแลและจัดตั้ง ยุบรวม หรือเลิกสถานศึกษา ในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
2) ประสาน ส่งเสริม และสนับสนุน การจัดการศึกษาของเอกชน
3) ประสาน ส่งเสริม การจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
4) ส่งเสริม สนับสนุน การจัดการศึกษาของบุคคล องค์กร หรือหน่วยงาน
6. กระทรวงศึกษาธิการกระจายอำนาจบริหารและการจัดการศึกษาไปให้คณะกรรมการและ
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา 4 ด้าน (ทำเป็นกฎกระทรวง)
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๕๑
คู่มือเตรียมสอบ ข้าราชการ 38 ค.(2) สพฐ.
1) ด้านวิชาการ
2) งบประมาณ
3) การบริหารงานบุคคล
4) การบริหารทั่วไป
7. ให้มีคณะกรรมการสถานศึกษา เรียกว่า คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ทำหน้าที่และมี
องค์ประกอบ (เป็นแบบพหุภาคี)
องค์ประกอบของคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
1) ประธานกรรมการ
2) กรรมการโดยตำแหน่ง คน คือ ผู้บริหารสถานศึกษา
3) ผู้แทนองค์กร 2 คน คือ ผู้แทนองค์กรชุมชน และผู้แทนองค์กรปกครองท้องถิ่น
4) ผู้แทน 4 หรือ 5 คน คือ ผู้แทนผู้ปกครอง ผู้แทนครู ผู้แทนศิษย์เก่า และผู้แทนผู้นำศาสนา
5) ผู้ทรงคุณวุฒิ กำหนด 1 หรือ 6 คน ตามขนาดของโรงเรียน (300 คนลงมา หรือตั้งแต่ 301 คน)
จำนวนของคณะกรรมการ (ตามกฎกระทรวง)
โรงเรียนที่มีนักเรียน ไม่เกิน 300 คน มี 9 คน
โรงเรียนที่มีนักเรียน ตั้งแต่ 301 คน มี 15 คน
หน้าที่คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
กำกับ ดูแล ส่งเสริมการจัดการศึกษาของสถานศึกษาคณะกรรมการฯ มีทั้งระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ระดับอุดมศึกษา ระดับต่ำกว่าปริญญาและสถานศึกษาอาชีวศึกษา
1. องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีสิทธิจัดการศึกษาในระดับใดระดับหนึ่งหรือทุกระดับตามความพร้อม
ความเหมาะสม และความต้องการภายในท้องถิ่น (ม.41)
2. กระทรวงศึกษาธิการกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ม.42)
1) กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น
2) มีหน้าที่ประสานและส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถจัดการศึกษาสอดคล้อง
กับนโยบายและได้มาตรฐานการศึกษา
3) เสนอแนะการจัดสรรงบประมาณหมวดเงินอุดหนุนการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วน
ท้องถิ่น
3. การบริหารและการจัดการศึกษาของเอกชน
1) ให้มีความเป็นอิสระ โดยการกำกับ ติดตาม การประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาของรัฐ
และเข้าสู่ระบบการประเมินคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาเช่นเดียวกับรัฐ
2) สถานศึกษาเอกชนที่เป็นโรงเรียนเป็นนิติบุคคล และมีคณะกรรมการบริหาร ประกอบด้วย
ผู้บริหารสถานศึกษาเอกชน, ผู้รับใบอนุญาต, ผู้แทนผู้ปกครอง, ผู้แทนองค์กรชุมชน, ผู้แทนครู, ผู้แทนศิษย์เก่า
และผู้ทรงคุณวุฒิ (เป็นไปตามกฎกระทรวง)
3) สถานศึกษาเอกชน จัดการศึกษาได้ทุกระดับและทุกประเภทการศึกษาตามที่กฎหมายกำหนด
4) การกำหนดนโยบายและแผนการจัดการศึกษาของรัฐ ของเขตพื้นที่การศึกษา หรือองค์กร
หมวด 7 ครูอาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา
1. ให้มีองค์กรวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษา มีฐานะเป็นองค์กรอิสระภายใต้
การบริหารของสภาวิชาชีพในกำกับของกระทรวงศึกษาธิการ มีอำนาจหน้าที่ กำหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออก
และเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กำกับดูแล การปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
รวมทั้งพัฒนาวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษา
แนวข้อสอบ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542
และแก้ไขเพิ่มเติม
1. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ สอดคล้องกับข้อใดมากที่สุด
ก. กฎหมายแม่บทการจัดการศึกษา
ข. แนวทางจัดการศึกษาของรัฐบาล
ค. การปรับปรุงการศึกษาสอดคล้องรัฐธรรมนูญ
ง. การปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทยครั้งใหญ่
ตอบ ก.
2. วัตถุประสงค์ของการจัดทำพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ 2542 เพื่ออะไร
ก. ปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย
ข. ปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม
ค. พัฒนาคนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
ง. พัฒนาศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเด็กไทย
ตอบ ข.
3. จุดที่ต่างกันของการศึกษาระบบต่าง ๆ ที่สำคัญคือข้อใด
ก. ตัวผู้เข้ารับการศึกษา
ข. จุดหมาย วิธีการ หลักสูตร
ค. ระยะเวลา ที่จัดการศึกษา
ง. สถานที่จัดการศึกษา
ตอบ ข.
4. ผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ คือใคร
ก. นายกรัฐมนตรี
ข. ปลัดกระทวงศึกษาธิการ
ค. รัฐมนตรีว่าการกระทวงศึกษาธิการ
ง. เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ตอบ ค.
5. หลักในการจัดการศึกษาตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เป็นไปตามข้อใด
ก. เป็นการศึกษาตลอดชีวิตของประชาชน
ข. ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
ค. พัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง
ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ง.
พระราชบัญญัติ
การบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล
พ.ศ. ๒๕๖๒
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
ให้ไว้ ณ วันที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒
เป็นปีที่ ๔ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรมีกฎหมายว่าด้วยการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบ
ดิจิทัล
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภา
นิติบัญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภา ดังต่อไปนี้
มาตรา ๑ พระราชบัญญัตินี้เรียกว่า “พระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการ
ภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๒”
มาตรา ๒[๑] พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
มาตรา ๓ ในพระราชบัญญัตินี้
“ดิจิทัล” หมายความว่า เทคโนโลยีที่ใช้วิธีการนำสัญลักษณ์ศูนย์และหนึ่ง หรือสัญลักษณ์อื่น
มาแทนค่าสิ่งทั้งปวง เพื่อใช้สร้างหรือก่อให้เกิดระบบต่าง ๆ เพื่อให้มนุษย์ใช้ประโยชน์
“รัฐบาลดิจิทัล” หมายความว่า การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารงาน
ภาครัฐและการบริการสาธารณะ โดยปรับปรุงการบริหารจัดการและบูรณาการข้อมูลภาครัฐและการทำงานให้
มีความสอดคล้องและเชื่อมโยงเข้าด้วยกันอย่างมั่นคงปลอดภัยและมีธรรมาภิบาล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและ
อำนวยความสะดวกในการให้บริการประชาชน ในการเปิดเผยข้อมูลภาครัฐต่อสาธารณชน และสร้างการมีส่วน
ร่วมของทุกภาคส่วน
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วน
ท้องถิ่น รัฐ วิส าหกิจ องค์การมหาชน รัฐ สภา ศาล องค์กรอิส ระตามรัฐธรรมนูญ องค์กรอัยการ สถาบัน
อุดมศึกษาของรัฐ และหน่วยงานอิสระของรัฐ
“สำนักงาน” หมายความว่า สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๖๗ ก/หน้า ๕๗/๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒
แนวข้อสอบ
พระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๒
๑. การปฏิรูประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีได้โดยมอบหมายให้สำนักงานพัฒนา
รัฐบาลดิจ ิทัล (องค์การมหาชน) จัด ประชุมเพื่อฟังความคิดเห็น ของประชาชน และตราเป็น ร่า ง
พระราชบัญญัติใด
ก. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยรัฐบาลดิจิทัล พ.ศ. ….
ข. ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยรัฐบาลดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๒
ค. ร่างพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. ….
ง. ร่างพระราชบัญญัติการบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๒
ตอบ ก.
๒. ข้อใด ไม่ใช่ คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ
ข. ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
ค. เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
ง. เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ตอบ ก.
๓. ข้อใดไม่ได้กล่าวถึงประโยชน์ในพรบ.การบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล
พ.ศ. 2562
ก. เพื่อลดความซ้ำซ้อนกับการทำงานของรัฐบาลกับหน่วยงานอื่น ๆ
ข. เพื่อรักษาวินัยทางการคลังของรัฐบาล
ค. เพื่อสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ
ง. เพื่อพัฒนาประเทศด้านดิจิทัล
ตอบ ก.
๔. พรบ. การบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล พ.ศ. 2562 มีผลบังคับใช้เมื่อใด
ก. ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ข. ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ค. ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ง. ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒
ตอบ ง.
๕. พรบ. การบริหารงานและการให้บริการภาครัฐผ่านระบบดิจิทัล ฯ นิยามคำว่า “ดิจิทัล” ว่าอย่างไร
ก. ดิจิทัล หมายถึง เทคโนโลยีที่ช่วยทำให้มนุษย์สามารถสื่อสารได้รวดเร็วขึ้น
ข. ดิจิทัล หมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้นวัตกรรมมาทำให้มนุษย์สื่อสารได้รวดเร็วขึ้น
ค. ดิจิทัล หมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์มาช่วยอำนวยความสะดวกให้มนุษย์มากขึ้น
ง. ดิจิทัล หมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้วิธีการนำสัญลักษณ์ศูนย์และหนึ่ง หรือสัญลักษณ์อื่นมาแทนสิ่งทั้งปวง
ตอบ ง.
หมวด 1 การจัดระเบียบบริหารราชการในส่วนกลาง
1. การจัดระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ แบ่งออกเป็น
1) ส่วนกลาง
2) เขตพื้นที่การศึกษา
3) สถานศึกษาของรัฐที่จัดการศึกษาระดับปริญญาตรีที่เป็นนิติบุคคล
2. ส่วนราชการส่วนกลาง ให้มีหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงต่อรัฐมนตรี ได้แก่
1) สำนักงานรัฐมนตรี
2) สำนักงานปลัดกระทรวง
3) สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา
4) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
5) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ทุกส่วนราชการ มีฐานะเป็นนิติบุคคล ยกเว้น
สำนักงานรัฐมนตรี
3. คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหน้าที่
1) เสนอนโยบาย แผนพัฒนามาตรฐานและหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2) สนับสนุนทรัพยากร
3) การติดตามตรวจสอบและประเมินผลการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน
4) เสนอแนะในการออกระเบียบหลักเกณฑ์และประกาศที่เกี่ยวข้องกับการบริหารของสำนักงาน
ความพร้อมในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและยังมีหน้าที่ต่อองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่น คือ
1) ประสานส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดการศึกษาได้
2) เสนอแนะการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
หมวด 2 การจัดระเบียบบริหารราชการเขตพื้นที่การศึกษา
1. การบริหารและการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ยึดเขตพื้นที่ แบ่งเป็นเขตพื้นที่โดยยึด
1) ปริมาณสถานศึกษา
2) จำนวนประชากร
3) วัฒนธรรม
4) ความเหมาะสมอื่น
โดยให้รัฐมนตรีมีอำนาจในราชกิจจานุเบกษา โดยคำแนะนำของสภาการศึกษา
2. การจัดระเบียบของส่วนราชการ
1) การจัดระเบียบของเขตพื้นที่การศึกษา การกำหนดกลุ่มภารกิจให้กระทรวงจัดทำเป็นประกาศ
โดยคำแนะนำ ของคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานการกำหนดกลุ่มงาน ให้จัดทำเป็นประกาศของสำนักงาน
เขตพื้นที่การศึกษา โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา
2) สถานศึกษา การกำหนดกลุ่มงาน ตามระเบียบของคณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาแต่ละเขต
พื้นที่การศึกษา
3) สถานศึกษาที่เป็นโรงเรียนมีฐานะเป็นนิติบุคคล และสิ้นสุดเมื่อยุบเลิกสถานศึกษา
3. คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษาและสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
1) กำกับดูแล จัดตั้ง ยุบรวมหรือเลิกล้มสถานศึกษา
2) ประสาน ส่งเสริม และสนับสนุนสถานศึกษาเอกชน
3) ประสาน ส่งเสริม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
4) ส่งเสริม และสนับสนุน การจัดการศึกษาของบุคคล ครอบครัว องค์กรเอกชน องค์กร
5) ชุมนุม องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่นที่จัดการศึกษา
6) ปฏิบัติงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
4. อำนาจหน้าที่ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ม.37)
1) บริหารและการจัดการศึกษาและพัฒนาสาระของหลักสูตรสถานศึกษา
2) พัฒนางานวิชาการและจัดระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษาร่วมกับสถานศึกษา
3) พิจารณาแบ่งส่วนราชการภายในสถานศึกษาของสถานศึกษา และของสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษา
4) ปฏิบัติงานอื่น ๆ ที่กฎหมายกำหนด
5) คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีอำนาจหน้าที่กำกับ ส่งเสริม และสนับสนุนกิจการของ
สถานศึกษา
แนวข้อสอบ
พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕46
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
หมวด 1 คณะกรรมการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
1. อำนาจหน้าที่ของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา (ม.23) ปัจจุบันเป็นอำนาจหน้าที่ของศึกษาธิการ
จังหวัดตามคำสั่ง คสช.ที่ 19/2560 ลงวันที่ 3 เมษายน 2560
1) พิจารณากำหนดนโยบายการบริหารงานบุคคล กำหนดจำนวนอัตราตำแหน่งและเกลี่ยอัตรา
ตำแหน่ง พิจารณาดำเนินการทางวินัย การออกจากราชการ การอุทธรณ์และการร้องทุกข์
2) พิจารณาให้ความเห็นชอบการบรรจุแต่งตั้ง และการบริหารงานบุคคลของสำนักงานเขตพื้นที่
การศึกษา
3) ให้ความเห็นชอบพิจารณาความดีความชอบ
4) ส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาสร้างขวัญกำลังใจ
5) กำกับ ดูแล ติดตาม และประเมินผลการบริหารงานบุคคล
6) จัดทำฐานข้อมูล และรายงานประจำปีเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล
7) ปฏิบัติงานอื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ กฎหมายอื่น หรือตามที่ ก.ค.ศ.มอบหมาย
2. อำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (ม.24) เป็นผู้บังคับบัญชาของ
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
1) รับผิดชอบในการปฏิบัติราชการที่เป็นอำนาจของ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่การศึกษา และตามที่
อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษามอบหมาย
2) เสนอแนะการบรรจุแต่งตั้ง และการบริหารงานบุคคลในเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ อ.ก.ค.ศ.
เขตพื้นที่การศึกษา
3) พิจารณาความดีความชอบของผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษาในหน่วยงานทาง
การศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา และข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
4) จัดทำแผนและส่งเสริมการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในหน่วยงานทาง
การศึกษาในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
5) จัดทำทะเบียนประวัติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
6) จัดทำมาตรฐานคุณภาพงาน กำหนดภาระงานขั้นต่ำและเกณฑ์การประเมินผลงานสำหรับ
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
7) ประเมินคุณภาพการบริหารงานบุคคลและจัดทำรายงานเสนอ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา
เพื่อเสนอ ก.ค.ศ. ต่อไป
8) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ กฎหมายอื่น หรือตามที่ ก.ค.ศ.
3. อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสถานศึกษา (ม.26)
1) กำกับดูแลการบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ
หลักเกณฑ์และวิธีการตามที่ ก.ค.ศ. และ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษากำหนด
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๘๑
คู่มือเตรียมสอบ ข้าราชการ 38 ค.(2) สพฐ.
2) เสนอความต้องการจำนวน และอัตราตำแหน่งของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใน
สถานศึกษา เพื่อเสนอ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาพิจารณา
3) ให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาใน
สถานศึกษาต่อผู้บริหารสถานศึกษา
4) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ กฎหมายอื่น หรือตามที่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่
การศึกษามอบหมาย
4. อำนาจหน้าที่ของผู้อำนวยการสถานศึกษา (ม.27) เป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษา
1) ควบคุม ดูแลให้การบริหารงานบุคคลในสถานศึกษาสอดคล้องกับนโยบาย กฎระเบียบ
ข้อบังคับ หลักเกณฑ์และวิธีการตามที่ ก.ค.ศ. และ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษากำหนด
2) พิจารณาความดีความชอบของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา
3) ส่งเสริม สนับสนุนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาให้มีการพัฒนาอย่าง
ต่อเนื่อง
4) จัดทำมาตรฐาน ภาระงานสำหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา
5) ประเมินผลการปฏิบัติงานตามมาตรฐานของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อเสนอ
อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา
6) ปฏิบัติหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ กฎหมายอื่นหรือตามที่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่
การศึกษาหรือคณะกรรมการสถานศึกษามอบหมาย
หมวดที่ 2 บททั่วไป
1. การดำเนินงานตาม พ.ร.บ. นี้ให้ดำเนินการตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดยยึดหลัก
ระบบคุณธรรม ความเสมอภาคระหว่างบุคคล และหลักการได้รับการปฏิบัติและการคุ้มครองสิทธิอย่างเสมอ
ภาคเท่าเทียมกัน
2. การเป็นผู้ประกอบอาชีพครูและบุคลากรทางการศึกษา จะต้องมีคุณสมบัติทั่วไปภายใต้ พ.ร.บ.
สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา
3. ข้าราชครูและบุคลากรทางการศึกษาต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญคือ (ม.30) มีสัญชาติไทย
3.1 มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์
3.2 เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตย
3.3 ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
3.4 ไม่เป็นผู้ไร้ความสามารถหรือจิตฟั่นเฟือนหรือโรคตามที่กำหนดในกฎ ก.ค.ศ.
3.5 ไม่อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักราชการ สั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน หรือถูกสั่งพักหรือเพิกถอน
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
3.6 ไม่บกพร่องในศีลธรรมอันดี
3.7 ไม่เป็นกรรมการพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่พรรคการเมือง
3.8 ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย
3.9 ไม่เคยต้องโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุด เว้นแต่การกระทำโดยประมาทหรือลหุโทษ
3.10 ไม่เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออก
3.11 ไม่เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกเพราะกระทำผิดวินัย
หมวด 3 การกำหนดตำแหน่ง
1. พ.ร.บ.ได้กำหนดตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มี 3 ประเภท คือ
1) ตำแหน่งซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้สอนในหน่วยงานการศึกษา
2) ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษา
3) ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น โดยกำหนดตำแหน่งซึ่งมีหน้าที่เป็นผู้สอนในหน่วยงาน
การศึกษา (ม.38 ก.) ได้แก่
1) ครูผู้ช่วย
2) ครู
3) อาจารย์
4) ผู้ช่วยศาสตราจารย์
5) รองศาสตราจารย์
6) ศาสตราจารย์
ตำแหน่งใน (3) ถึง (6) มีในหน่วยงานการศึกษาที่สอนระดับปริญญา
ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาและผู้บริหารการศึกษา (ม.38 ข.) ได้แก่
1) รองผู้อำนวยการสถานศึกษา
2) ผู้อำนวยการสถานศึกษา
3) รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
4) ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
5) รองอธิการบดี
6) อธิการบดี
7) ตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๘๓
คู่มือเตรียมสอบ ข้าราชการ 38 ค.(2) สพฐ.
ตำแหน่ง (1) และ (2) มีในสถานศึกษาและหน่วยงานการศึกษาตามประกาศกระทรวง
ตำแหน่ง (3) และ (4) ให้มีในสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ตำแหน่ง (5) และ (6) มีในหน่วยงานการศึกษาที่สอนระดับปริญญา
ตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น (ม.38 ค.) ได้แก่
1) ศึกษานิเทศก์
2) ตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด หรือตำแหน่งของข้าราชการที่ ก.ค.ศ.
นำมาใช้กำหนดให้เป็นตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามพระราชบัญญัตินี้
2. ให้ตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้มีวิทยฐานะดังต่อไปนี้ (ม.39)
ก. ตำแหน่งครู มีวิทยฐานะ ดังต่อไปนี้
1) ครูชำนาญการ
2) ครูชำนาญการพิเศษ
3) ครูเชี่ยวชาญ
4) ครูเชี่ยวชาญพิเศษ
ข. ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษา มีวิทยฐานะ ดังต่อไปนี้
1) รองผู้อำนวยการชำนาญการ
2) รองผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ
3) รองผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ
4) ผู้อำนวยการชำนาญการ
5) ผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ
6) ผู้อำนวยการเชี่ยวชาญ
7) ผู้อำนวยการเชี่ยวชาญพิเศษ
ค. ตำแหน่งผู้บริหารการศึกษา มีวิทยฐานะ ดังต่อไปนี้
1) รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาชำนาญการพิเศษ
2) รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชี่ยวชาญ
3) ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชี่ยวชาญ
4) ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเชี่ยวชาญพิเศษ
ง. ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ มีวิทยฐานะ ดังต่อไปนี้
1) ศึกษานิเทศก์ชำนาญการ
2) ศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ
3) ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ
4) ศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญพิเศษ
จ. ตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่ ก.ค.ศ. กำหนดให้มีวิทยฐานะ
3. ให้ตำแหน่งคณาจารย์เป็นตำแหน่งทางวิชาการ
ก. อาจารย์
ข. ผู้ช่วยศาสตราจารย์
ค. รองศาสตราจารย์
ง. ศาสตราจารย์
แนวข้อสอบ
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
พระราชกฤษฎีกา
ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
พ.ศ. ๒๕๔๖
ภูมิพลอดุลยเดช ป.ร.
ให้ไว้ ณ วันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๖
เป็นปีที่ ๕๘ ในรัชกาลปัจจุบัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
มาตรา ๓ การปฏิบัติตามพระราชกฤษฎีกานี้ในเรื่องใดสมควรที่ส่วนราชการใดจะปฏิบัติ
เมื่อใด และจะต้องมีเงื่อนไขอย่างใด ให้เป็นไปตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนดตามข้อเสนอแนะของ ก.พ.ร.
มาตรา ๔ ในพระราชกฤษฎีกานี้
“ส่วนราชการ” หมายความว่า ส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง
กรม และหน่วยงานอื่นของรัฐที่อยู่ในกำกับของราชการฝ่ายบริหาร แต่ไม่รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
“รัฐวิสาหกิจ” หมายความว่า รัฐวิสาหกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา
“ข้าราชการ” หมายความรวมถึงพนักงาน ลูกจ้าง หรือผู้ปฏิบัติงานในส่วนราชการ
มาตรา ๕ ให้นายกรัฐมนตรีรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้
หมวด ๑
การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
หมวด ๒
การบริหารราชการเพื่อให้เกิดประโยชน์สุขของประชาชน
หมวด ๓
การบริหารราชการเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
มาตรา ๑๐ ในกรณีที่ภารกิจใดมีความเกี่ยวข้องกับหลายส่วนราชการหรือเป็นภารกิจที่
ใกล้เคียงหรือต่อเนื่องกัน ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องนั้นกำหนดแนวทางการปฏิบัติราชการเพื่อให้เกิด การ
บริหารราชการแบบบูรณาการร่วมกัน โดยมุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจของรัฐ
ให้ส่วนราชการมีหน้าที่สนับสนุนการปฏิบัติราชการของผู้ว่าราชการจังหวัดหรือหัวหน้าคณะ
ผู้แทนในต่างประเทศ เพื่อให้การบริหารราชการแบบบูรณาการในจังหวัดหรือในต่างประเทศ แล้วแต่กรณี
สามารถใช้อำนาจตามกฎหมายได้ครบถ้วนตามความจำเป็นและบริหารราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มาตรา ๑๖ ให้ส่วนราชการจัดทำแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการนั้นโดยจัดทำเป็นแผน
ห้าปี ซึ่งต้องสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บท แผนการปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ นโยบายของคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภา และแผนอื่นที่เกี่ยวข้อง[๕]
ในแต่ ล ะปี ง บประมาณ ให้ ส ่ ว นราชการจั ด ทำแผนปฏิ บ ั ต ิ ราชการประจำปี โดยให้ ร ะบุ
สาระสำคัญเกี่ยวกับนโยบายการปฏิบัติราชการของส่วนราชการ เป้าหมายและผลสัมฤทธิ์ของงาน รวมทั้ง
ประมาณการรายได้และรายจ่ายและทรัพยากรอื่นที่จะต้องใช้ เสนอต่อรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ
เมื่อรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการใดตามวรรคสองแล้ว ให้
สำนั ก งบประมาณดำเนิ น การจั ดสรรงบประมาณเพื ่ อ ปฏิบ ั ติ ง านให้ บรรลุผ ลสำเร็ จในแต่ ล ะภารกิจ ตาม
แผนปฏิบัติราชการดังกล่าว
ในกรณีที่ส่วนราชการมิได้เสนอแผนปฏิบัติราชการในภารกิจใดหรือภารกิจใดไม่ได้รับความ
เห็นชอบจากรัฐมนตรี มิให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบประมาณสำหรับภารกิจนั้น
เมื่อสิ้นปีงบประมาณให้ส่วนราชการจัดทำรายงานแสดงผลสัมฤทธิ์ของแผนปฏิบัติราชการ
ประจำปีเสนอต่อคณะรัฐมนตรี
มาตรา ๑๗ ในกรณีที่กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณกำหนดให้ส่วนราชการต้องจัดทำ
แผนปฏิบัติราชการเพื่อขอรับงบประมาณ ให้สำนักงบประมาณและ ก.พ.ร. ร่วมกันกำหนดแนวทางการจัดทำ
แผนปฏิบัติราชการตามมาตรา ๑๖ ให้สามารถใช้ได้กับแผนปฏิบัติราชการที่ต้องจัดทำตามกฎหมายว่าด้วย
วิธีการงบประมาณ ทั้งนี้ เพื่อมิให้เพิ่มภาระงานในการจัดทำแผนจนเกินสมควร
มาตรา ๑๘ เมื่อมีการกำหนดงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามแผนปฏิบัติราชการของส่วน
ราชการใดแล้ว การโอนงบประมาณจากภารกิจหนึ่งตามที่กำหนดในแผนปฏิบัติราชการไปดำเนินการอย่างอื่น
ซึ่งมีผลทำให้ภารกิจเดิมไม่บรรลุเป้าหมายหรือนำไปใช้ในภารกิจใหม่ที่มิได้กำหนดในแผนปฏิบัติราชการ
จะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ปรับแผนปฏิบัติราชการให้สอดคล้องกันแล้ว
การปรับแผนปฏิบัติราชการตามวรรคหนึ่งจะกระทำได้เฉพาะในกรณีที่งานหรือภารกิจใดไม่
อาจดำเนินการตามวัตถุประสงค์ต่อไปได้ หรือหมดความจำเป็นหรือไม่เป็นประโยชน์ หรือหากดำเนินการต่อไป
จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเกินความจำเป็น หรือมีความจำเป็นอย่างอื่นอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ที่ จะต้องเปลี่ยนแปลง
สาระสำคัญของแผนปฏิบัติราชการ
(ยกเลิก)[๖]
หมวด ๔
การบริหารราชการอย่างมีประสิทธิภาพ
และเกิดความคุ้มค่าในเชิงภารกิจของรัฐ
มาตรา ๒๖ การสั ่ ง ราชการโดยปกติ ใ ห้ก ระทำเป็ นลายลั ก ษณ์ อ ั ก ษร เว้ น แต่ ใ นกรณีที่
ผู้บังคับบัญชามีความจำเป็นที่ไม่อาจสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรในขณะนั้น จะสั่งราชการด้วยวาจาก็ได้ แต่ให้ผู้รับ
คำสั่งนั้นบัน ทึกคำสั่งด้วยวาจาไว้เป็น ลายลักษณ์อักษรและเมื่อได้ปฏิบัติราชการตามคำสั่งดังก ล่าวแล้ว
ให้บันทึกรายงานให้ผู้สั่งราชการทราบ ในบันทึกให้อ้างอิงคำสั่งด้วยวาจาไว้ด้วย
หมวด ๕
การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน
มาตรา ๒๙ ในการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับการบริการประชาชนหรือการติดต่อประสานงาน
ระหว่างส่วนราชการด้วยกัน ให้ส่วนราชการแต่ละแห่งจัดทำแผนภูมิขั้นตอนและระยะเวลา การดำเนินการ
รวมทั้งรายละเอียดอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละขั้นตอนเปิดเผยไว้ ณ ที่ทำการของส่วนราชการและในระบบ
เครือข่ายสารสนเทศของส่วนราชการ เพื่อให้ประชาชนหรือผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจดูได้
การบริการประชาชนและการติดต่อประสานงานระหว่างส่วนราชการด้วยกัน ต้องกระทำ
โดยใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลกลางที่สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) กำหนดด้วย [๗]
หมวด ๖
การปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการ
หมวด ๗
การอำนวยความสะดวกและการตอบสนองความต้องการของประชาชน
มาตรา ๓๗ ในการปฏิบัติราชการที่เกี่ยวข้องกับการบริการประชาชนหรือติดต่อประสานงาน
ระหว่างส่วนราชการด้วยกัน ให้ส่วนราชการกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงานแต่ละงาน และประกาศให้
ประชาชนและข้าราชการทราบเป็นการทั่วไป ส่วนราชการใดมิได้กำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จของงานใด และ
ก.พ.ร. พิจารณาเห็นว่างานนั้นมีลักษณะที่สามารถกำหนดระยะเวลาแล้วเสร็จได้ หรือส่วนราชการได้กำหนด
ระยะเวลาแล้วเสร็จไว้ แต่ ก.พ.ร. เห็นว่าเป็นระยะเวลาที่ล่าช้าเกินสมควร ก.พ.ร. จะกำหนดเวลาแล้วเสร็จให้
ส่วนราชการนั้นต้องปฏิบัติก็ได้
ให้เป็นหน้าที่ของผู้บังคับบัญชาที่จะต้องตรวจสอบให้ข้าราชการปฏิบัติงานให้แล้วเสร็จตาม
กำหนดเวลาตามวรรคหนึ่ง
มาตรา ๓๙ ให้ส่วนราชการจัดให้มีระบบเครือข่ายสารสนเทศของส่วนราชการเพื่ออำนวย
ความสะดวกให้แก่ประชาชนที่จะสามารถติดต่อสอบถามหรือขอข้อมูลหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการ
ปฏิบัติราชการของส่วนราชการ
ระบบเครือข่ายสารสนเทศตามวรรคหนึ่ง ต้องจัดทำในระบบเดียวกับที่กระทรวงเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสารจัดให้มีขึ้นตามมาตรา ๔๐
มาตรา ๔๐ เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่ประชาชนในการติดต่อกับส่วน
ราชการทุกแห่ง ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดให้มีระบบเครือข่ายสารสนเทศกลางขึ้น
ในกรณีที่ส่วนราชการใดไม่อาจจัดให้มีระบบเครือข่ายสารสนเทศของส่วนราชการได้ อาจร้อง
ขอให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการจัดทำระบบเครือข่ายสารสนเทศของส่วน
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๑๐๑
คู่มือเตรียมสอบ ข้าราชการ 38 ค.(2) สพฐ.
ราชการดังกล่าวก็ได้ ในการนี้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะขอให้ส่วนราชการให้ความ
ช่วยเหลือด้านบุคลากร ค่าใช้จ่าย และข้อมูลในการดำเนินการก็ได้
หมวด ๘
การประเมินผลการปฏิบัติราชการ
มาตรา ๔๖ ส่วนราชการอาจจัดให้มีการประเมินภาพรวมของผู้บังคับบัญชาแต่ละระดับหรือ
หน่วยงานในส่วนราชการก็ได้ ทัง้ นี้ การประเมินดังกล่าวต้องกระทำเป็นความลับและเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่ง
ความสามัคคีของข้าราชการ
มาตรา ๔๗ ในการประเมินผลการปฏิบัติงานของข้าราชการเพื่อประโยชน์ในการบริหารงาน
บุคคล ให้ส่วนราชการประเมินโดยคำนึงถึงผลการปฏิบัติงานเฉพาะตัวของข้าราชการผู้นั้นในตำแหน่งที่ปฏิบัติ
ประโยชน์และผลสัมฤทธิ์ที่หน่วยงานที่ข้าราชการผู้นั้นสังกัดได้รับจากการปฏิบัติงานของข้าราชการผู้นั้น
หมวด ๙
บทเบ็ดเตล็ด
มาตรา ๕๐ เพื่อให้การบริหารราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าในเชิงภารกิจของ
รัฐ ก.พ.ร. โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี อาจกำหนดให้ส่วนราชการต้องปฏิบัติการใดนอกเหนือจากที่
กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกานี้ รวมทั้งกำหนดมาตรการอื่นเพิ่มเติมจากที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๘ และมาตรา
๔๙ ก็ได้
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๑๐๓
คู่มือเตรียมสอบ ข้าราชการ 38 ค.(2) สพฐ.
มาตรา ๕๑ ในกรณีที่พระราชกฤษฎีกานี้กำหนดให้ส่วนราชการต้องจัดทำแผนงานในเรื่องใด
และมีกฎหมายฉบับอื่นกำหนดให้ส่วนราชการต้องจัดทำแผนงานในเรื่องเดียวกันทั้งหมดหรือบางส่วน เมื่อส่วน
ราชการได้จัดทำแผนงานตามกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งแล้วให้ถือว่าส่วนราชการนั้นได้จัดทำแผนตามพระราช
กฤษฎีกานี้ด้วยแล้ว
มาตรา ๕๒ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดทำหลักเกณฑ์การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
ตามแนวทางของพระราชกฤษฎีกานี้ โดยอย่างน้อยต้องมีหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน และ
การอำนวยความสะดวกและการตอบสนองความต้องการของประชาชนที่สอดคล้องกับบทบัญญัติในหมวด ๕
และหมวด ๗
ให้เป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทยดูแลและให้ความช่วยเหลือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ในการจัดทำหลักเกณฑ์ตามวรรคหนึ่ง
มาตรา ๕๓ ให้ อ งค์ ก ารมหาชนและรั ฐ วิ ส าหกิ จ จั ด ให้ ม ี ห ลัก เกณฑ์ ก ารบริห ารกิ จ การ
บ้านเมืองที่ดีตามแนวทางของพระราชกฤษฎีกานี้
ในกรณีที่ ก.พ.ร. เห็นว่าองค์การมหาชนหรือรัฐวิสาหกิจใดไม่จัดให้มีหลักเกณฑ์ตามวรรคหนึ่ง
หรือมีแต่ไม่สอดคล้องกับ พระราชกฤษฎีกานี้ ให้แจ้งรัฐ มนตรีซึ่งมีห น้าที่กำกับดูแลองค์การมหาชนหรือ
รัฐวิสาหกิจ เพื่อพิจารณาสั่งการให้องค์การมหาชนหรือรัฐวิสาหกิจนั้นดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร
นายกรัฐมนตรี
มาตรา ๒ พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
เป็นต้นไป
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๐/ตอนที่ ๑๐๐ ก/หน้า ๑/๙ ตุลาคม ๒๕๔๖
[๑๐]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๖/ตอนที่ ๕๖ ก/หน้า ๒๕๓/๓๐ เมษายน ๒๕๖๒
แนวข้อสอบ
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และ
วิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และแก้ไขเพิ่มเติม
1. พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ฉบับปัจจุบันคือ
ก. พ.ศ. 2542 ข. พ.ศ. 2546
ค. พ.ศ. 2552 ง. พ.ศ. 2562
ตอบ ง.
2. พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 มีกี่หมวดกี่มาตรา
ก. 9 หมวด 53 มาตรา ข. 8 หมวด 52 มาตรา
ค. 9 หมวด 54 มาตรา ง. 8 หมวด 54 มาตรา
ตอบ ก.
3. พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ให้ไว้ ณ วันใด
ก. 9 มกราคม 2546 ข. 9 ตุลาคม 2546
ค. 9 กุมภาพันธ์ 2546 ง. 9 พฤศจิกายน 2546
ตอบ ข.
4. พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ประกาศใน
รากิจจานุเบกษา วันใด
ก. 9 มกราคม 2546 ข. 9 ตุลาคม 2546
ค. 9 กุมภาพันธ์ 2546 ง. 9 พฤศจิกายน 2546
ตอบ ข.
5. พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 บังคับใช้ วันใด
ก. 7 ตุลาคม 2546 ข. 8 ตุลาคม 2546
ค. 9 ตุลาคม 2546 ง. 10 ตุลาคม 2546
ตอบ ง.
6. พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562
ให้ไว้ ณ วันใด
ก. 26 มกราคม 2562 ข. 26 เมษายน 2562
ค. 26 กุมภาพันธ์ 2562 ง. 26 พฤษภาคม 2562
ตอบ ข.
7. พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ประกาศ
ในราชกิจจานุเบกษา วันใด
ก. 27 เมษายน 2562 ข. 28 เมษายน 2562
ค. 29 เมษายน 2562 ง. 30 เมษายน 2562
ตอบ ง.
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยงานสารบรรณ
พ.ศ. ๒๕๒๖[๑]
ข้อ ๓ ให้ยกเลิก
๓.๑ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. ๒๕๐๖
๓.๒ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลงชื่อในหนังสือราชการ พ.ศ. ๒๕๐๗
๓.๓ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลงชื่อในหนังสือราชการ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๑๖
บรรดาระเบียบ ข้อบังคับ มติของคณะรัฐมนตรี และคำสั่งอื่นใด ในส่วนที่กำหนดไว้แล้วใน
ระเบียบนี้ หรือซึ่งขัด หรือแย้งกับระเบียบนี้ ให้ใช้ระเบียบนี้แทน เว้นแต่กรณีที่กล่าวในข้อ ๕
ข้อ ๔ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับแก่ส่วนราชการ
ส่วนราชการใดมีความจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติงานสารบรรณนอกเหนือไปจากที่ได้กำหนดไว้ใน
ระเบียบนี้ให้ขอทำความตกลงกับผู้รักษาการตามระเบียบนี้
ข้อ ๖ ในระเบียบนี้
“งานสารบรรณ” หมายความว่า งานที่เกี่ยวกับการบริหารงานเอกสาร เริ่มตั้งแต่การจัดทำ
การรับ การส่ง การเก็บรักษา การยืม จนถึงการทำลาย
“หนังสือ” หมายความว่า หนังสือราชการ
“อิเล็กทรอนิ กส์ ”[๓] หมายความว่า การประยุกต์ใช้ว ิธ ี การทางอิเล็ก ตรอน ไฟฟ้า คลื่ น
แม่เหล็กไฟฟ้าหรือวิธีอื่นใดในลักษณะคล้ายกัน และให้หมายความรวมถึงการประยุกต์ใช้วิธีการทางแสง วิธีการ
ทางแม่เหล็ก หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้วิธีต่างๆ เช่นว่านั้น
“ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ”[๔] หมายความว่า การรับส่งข้อมูลข่าวสารหรือหนังสือผ่าน
ระบบสื่อสารด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
หมวด ๑
ชนิดของหนังสือ
ส่วนที่ ๑
หนังสือภายนอก
ส่วนที่ ๒
หนังสือภายใน
ส่วนที่ ๓
หนังสือประทับตรา
ส่วนที่ ๔
หนังสือสั่งการ
ส่วนที่ ๕
หนังสือประชาสัมพันธ์
ส่วนที่ ๖
หนังสือที่เจ้าหน้าที่ทำขึ้นหรือรับไว้เป็นหลักฐานในราชการ
ส่วนที่ ๗
บทเบ็ดเตล็ด
หมวด ๒
การรับและส่งหนังสือ
ส่วนที่ ๑
การรับหนังสือ
ส่วนที่ ๒
การส่งหนังสือ
ส่วนที่ ๓
บทเบ็ดเตล็ด
หมวด ๓
การเก็บรักษา ยืม และทำลายหนังสือ
ส่วนที่ ๑
การเก็บรักษา
ส่วนที่ ๒
การยืม
ข้อ ๖๔ การยืมหนังสือที่ปฏิบัติยังไม่เสร็จหรือหนังสือที่เก็บไว้เพื่อใช้ในการตรวจสอบให้ถือ
ปฏิบัติตามข้อ ๖๒ โดยอนุโลม
หมวด ๔
มาตรฐานตรา แบบพิมพ์ และซอง
ข้อ ๗๔ มาตรฐานกระดาษและซอง
๗๔.๑ มาตรฐานกระดาษโดยปกติให้ใช้กระดาษปอนด์ขาว น้ำหนัก ๖๐ กรัมต่อตารางเมตร
มี ๓ ขนาด คือ
๗๔.๑.๑ ขนาดเอ ๔ หมายความว่า ขนาด ๒๑๐ มิลลิเมตร × ๒๙๗ มิลลิเมตร
๗๔.๑.๒ ขนาดเอ ๕ หมายความว่า ขนาด ๑๔๘ มิลลิเมตร × ๒๑๐ มิลลิเมตร
๗๔.๑.๓ ขนาดเอ ๘ หมายความว่า ขนาด ๕๒ มิลลิเมตร × ๗๔ มิลลิเมตร
๗๔.๒ มาตรฐานซอง โดยปกติให้ใช้กระดาษสีขาวหรือสีน้ำตาล น้ำหนัก ๘๐ กรัมต่อตารางเมตร
เว้นแต่ซองขนาดซี ๔ ให้ใช้กระดาษน้ำหนัก ๑๒๐ กรัมต่อตารางเมตร มี ๔ ขนาด คือ
๗๔.๒.๑ ขนาดซี ๔ หมายความว่า ขนาด ๒๒๙ มิลลิเมตร × ๓๒๔ มิลลิเมตร
๗๔.๒.๒ ขนาดซี ๕ หมายความว่า ขนาด ๑๖๒ มิลลิเมตร × ๒๒๙ มิลลิเมตร
๗๔.๒.๓ ขนาดซี ๖ หมายความว่า ขนาด ๑๑๔ มิลลิเมตร × ๑๖๒ มิลลิเมตร
๗๔.๒.๔ ขนาดดีแอล หมายความว่า ขนาด ๑๑๐ มิลลิเมตร × ๒๒๐ มิลลิเมตร
บทเฉพาะกาล
ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒/ตอนพิเศษ ๙๙ ง/หน้า ๑/๒๓ กันยายน ๒๕๔๘
[๑๕]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๒/ตอนพิเศษ ๙๙ ง/หน้า ๓๒/๒๓ กันยายน ๒๕๔๘
[๑๖]
ราชกิจจานุเบกษาเล่ม ๑๓๔/ตอนพิเศษ ๓๒๕ ง/หน้า ๕/๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๐
แนวข้อสอบ
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
1. ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ คือข้อใด
ก. งานที่เกี่ยวกับการบริหารงานเอกสาร เริ่มตั้งแต่การจัดทำ การรับ การส่ง การเก็บรักษา การยืม
จนถึงการทำลาย
ข. การประยุกต์ใช้วิธีการทางอิเล็กตรอน ไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือวิธีอื่นใดในลักษณะคล้ายกัน
ค. การรับส่งข้อมูลข่าวสารหรือหนังสือ ผ่านระบบสื่อสารด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
ง. หนังสือราชการ
ตอบ ค.
2. ข้อใด ไม่ใช่ เอกสารที่เป็นหลักฐานในราชการ
ก. หนังสือที่มีไปมาระหว่างส่วนราชการ
ข. เอกสารที่ทางเอกชนจัดทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานในราชการ
ค. เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับ
ง. ข้อมูลข่าวสารหรือหนังสือที่ได้รับจากระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์
ตอบ ข.
3. ข้อใดถูกต้องที่สุดเกี่ยวกับ หนังสือราชการ
ก. เอกสารที่เป็นหลักฐานในราชการ
ข. เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นตามกฎหมาย ระเบียบ หรือข้อบังคับ
ค. เอกสารที่ทางราชการจัดทำขึ้นเพื่อเป็นหลักฐานในราชการ
ง. ข้อมูลข่าวสารหรือหนังสือที่ได้รับจากระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์
ตอบ ก.
4. หนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธี คือหนังสือใด
ก. หนังสือภายนอก ข. หนังสือประทับตรา
ค. หนังสือสั่งการ ง. หนังสือประชาสัมพันธ์
ตอบ ก.
5. หนังสือติดต่อราชการที่เป็นแบบพิธีโดยใช้ตราครุฑเป็นหนังสือติดต่อระหว่างส่วนราชการ หรือส่วนราชการ
มีถึงหน่วยงานอื่นใดซึ่งมิใช่ส่วนราชการ เรียกว่า
ก. หนังสือภายใน ข. หนังสือภายนอก
ค. หนังสือสั่งการ ง. หนังสือประทับตรา
ตอบ ข.
6. หนังสือที่ใช้ประทับตรา ใช้ประทับตราแทนการลงชื่อของหัวหน้าส่วนราชการระดับใดขึ้นไป
ก. กรม ข. กอง
ค. แผนก ง. สำนัก
ตอบ ก.
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการลาของข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๕
โดยที่เป็นการสมควรปรับปรุงระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการให้มีความเหมาะสมและ
สอดคล้องกับการปฏิบัติราชการ
ข้อ ๓ ให้ยกเลิก
(๑) ระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๕
(๒) ระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๙
(๓) ระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๔๒
หมวด ๑
บททั่วไป
ข้อ ๕ ในระเบียบนี้
“ปลั ด กระทรวง” ให้ ห มายความรวมถึ ง ปลัด สำนั ก นายกรั ฐ มนตรี ปลั ด ทบวง และรอง
ปลัดกระทรวง ผู้เป็นหัวหน้ากลุ่มภารกิจ
“หัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง” หมายความว่า ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงหรือ
ปลัดทบวง ในฐานะผู้บังคับบัญชาสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงหรือสำนักงาน
ปลัดทบวง แล้วแต่กรณี หัวหน้าส่วนราชการที่มีฐานะหรือไม่มีฐานะเป็นกรมซึ่งขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือ
รัฐมนตรี หรือหัวหน้าส่วนราชการที่มีกฎหมายกำหนดให้การปฏิ บัติราชการขึ้นตรงหรืออยู่ภายใต้การบังคับ
บัญชาของนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี
ข้อ ๖ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับแก่ข้าราชการพลเรือนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพล
เรือน ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบัน
อุดมศึกษา ข้าราชการการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง และข้าราชการตำรวจตาม
กฎหมายว่าด้วยตำรวจแห่งชาติ
ในกรณีที่กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเทียบเท่ากรมมี
เหตุพิเศษซึ่งจะต้องวางหลักเกณฑ์และขั้นตอนวิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการลาประเภทใดเพิ่มเติมหรือแตกต่างไปจากที่
ระเบียบนี้กำหนด ให้ดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติให้กำหนดระเบียบเป็นการเฉพาะได้ ทั้งนี้ให้ปลัด
สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอความเห็นเพื่อประกอบการพิจารณาด้วย
ข้อ ๑๐ การนับวันลาตามระเบียบนี้ให้นับตามปีงบประมาณ
การนับวันลาเพื่อประโยชน์ในการเสนอหรือจัดส่งใบลา อนุญาตให้ลา และคำนวณวันลาให้นับ
ต่อเนื่องกันโดยนับวันหยุดราชการที่อยู่ในระหว่างวันลาประเภทเดียวกันรวมเป็นวันลาด้วย เว้นแต่การนับเพื่อ
ประโยชน์ในการคำนวณวันลาสำหรับวันลาป่วยที่มิใช่วันลาป่วยตามกฎหมายว่าด้วยการสงเคราะห์ข้าราชการผู้
ได้รับอันตรายหรือการป่วยเจ็บเพราะเหตุปฏิบัติราชการ วันลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรวันลากิจส่วนตัว
และวันลาพักผ่อน ให้นับเฉพาะวันทำการ
การลาป่วยหรือลากิจส่วนตัวซึ่งมีระยะเวลาต่อเนื่องกัน จะเป็นในปีงบประมาณเดียวกัน
หรือไม่ก็ตาม ให้นับเป็นการลาครั้งหนึ่ง ถ้าจำนวนวันลาครั้งหนึ่งรวมกันเกินอำนาจของผู้มีอำนาจอนุญาตระดับ
ใด ให้นำใบลาเสนอขึ้นไปตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาต
ข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร ลากิจส่วนตัวซึ่งมิใช่ล ากิจ
ส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตรตามข้อ ๒๒ หรือลาพักผ่อน ซึ่งได้หยุดราชการไปยังไม่ครบกำหนด ถ้ามีราชการจำเป็น
เกิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำนาจอนุญาตจะเรียกตัวมาปฏิบัติราชการระหว่างการลาก็ได้
การลาของข้าราชการที่ถูกเรียกกลับมาปฏิบัติราชการระหว่างการลา ให้ถือว่าสิ้นสุดก่อนวัน
มาปฏิบัติราชการ เว้นแต่ผู้มีอำนาจอนุญาตเห็นว่าการเดินทางต้องใช้เวลา ให้ถือว่าสิ้นสุดก่อนวันเดินทางกลับ
การลาครึ่งวันในตอนเช้าหรือตอนบ่าย ให้นับเป็นการลาครึ่งวันตามประเภทของการลานั้น ๆ
ข้าราชการซึ่งได้รับอนุญาตให้ลา หากประสงค์จะยกเลิกวันลาที่ยังไม่ได้หยุดราชการ ให้เสนอ
ขอยกเลิกวันลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตให้ลา และให้ถือว่าการลาเป็นอันสิ้นสุดก่อน
วันมาปฏิบัติราชการ
ข้อ ๑๕ ข้าราชการผู้ใดไม่สามารถมาปฏิบัติราชการได้อันเนื่องมาจากพฤติการณ์พิเศษซึ่งเกิด
ขึ้นกับบุคคลทั่วไปในท้องที่นั้น หรือพฤติการณ์พิเศษซึ่งเกิดขึ้นกับข้าราชการผู้นั้นและมิได้เกิดจากความ
ประมาทเลินเล่อหรือความผิดของข้าราชการผู้นั้นเอง โดยพฤติการณ์พิเศษดังกล่าวร้ายแรงจนเป็นเหตุขัดขวาง
ทำให้ไม่สามารถมาปฏิบัติราชการ ณ สถานที่ตั้งตามปกติ ให้ข้าราชการผู้นั้นรีบรายงานพฤติการณ์ที่เกิดขึ้น
รวมทั้งอุปสรรคขัดขวางที่ทำให้มาปฏิบัติราชการไม่ได้ต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงหัวหน้าส่วนราชการขึ้น
ตรงหรือหัวหน้าส่วนราชการทันทีในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการ
ในกรณีที่ข้าราชการตามวรรคหนึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงให้รายงานต่อรัฐมนตรีเจ้า
สังกัด ถ้าเป็นหัวหน้าส่วนราชการให้รายงานต่อปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง แล้วแต่กรณี
ในกรณีที่รัฐมนตรีเจ้าสังกัด ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง หรือหัวหน้าส่วน
ราชการเห็นว่าการที่ข้าราชการผู้นั้นไม่สามารถมาปฏิบัติราชการได้เป็นเพราะพฤติการณ์พิเศษตามวรรคหนึ่งให้
สั ่ ง ให้ ก ารหยุด ราชการของข้ าราชการผู ้ น ั ้น ไม่ นั บ เป็น วั น ลาตามจำนวนวั นที ่ไ ม่ ม าปฏิ บั ต ิร าชการได้อัน
เนื่องมาจากพฤติการณ์พิเศษดังกล่าว ถ้าเห็นว่าไม่เป็นพฤติการณ์พิเศษ ให้ถือว่าวันที่ข้าราชการผู้นั้นไม่มา
ปฏิบัติราชการเป็นวันลากิจส่วนตัว
หมวด ๒
ประเภทการลา
ส่วนที่ ๑
การลาป่วย
ส่วนที่ ๒
การลาคลอดบุตร
ส่วนที่ ๓
การลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตร
ข้อ ๒๐ ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาไปช่วยเหลือภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายที่คลอดบุตรให้
เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับจนถึงผู้มีอำนาจอนุญาตก่อนหรือในวันที่ลาภายใน ๙๐ วัน นับ
แต่วันที่คลอดบุตร และให้มีสิทธิลาไปช่วยเหลือภริยาที่คลอดบุตรครั้งหนึ่งติดต่อกันได้ไม่เกิน ๑๕ วันทำการ
ผู้มีอำนาจอนุญาตตามวรรคหนึ่งอาจให้แสดงหลักฐานประกอบการพิจารณาอนุญาตด้วยก็ได้
ส่วนที่ ๔
การลากิจส่วนตัว
ส่วนที่ ๕
การลาพักผ่อน
ข้อ ๒๕ ให้ข้าราชการที่ประจำการในต่างประเทศในเมืองที่กำลังพัฒนาซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาค
แอฟริกา ลาตินอเมริกา และอเมริกากลาง หรือเมืองที่มีความเป็นอยู่ยากลำบาก เมืองที่มีภาวะความเป็นอยู่ไม่
ปกติ และเมืองที่มีสถานการณ์พิเศษ มีสิทธิลาพักผ่อนประจำปีในปีหนึ่งได้เพิ่มขึ้นอีก ๑๐ วันทำการ สำหรับวัน
ลาตามข้อนี้มิให้นำวันที่ยังมิได้ลาในปีนั้นรวมเข้ากับปีต่อไป
การกำหนดรายชื่อเมืองตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีประกาศ
กำหนดอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง
ส่วนที่ ๖
การลาอุปสมบทหรือการลาไปประกอบพิธีฮัจย์
ข้อ ๓๐ ข้าราชการที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลาอุปสมบทหรือได้รับอนุญาต
ให้ลาไปประกอบพิธีฮัจย์ตามข้อ ๒๙ แล้ว จะต้องอุปสมบทหรือออกเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ภายใน ๑๐ วัน
นับแต่วันเริ่มลา และจะต้องกลับมารายงานตัวเข้าปฏิบัติราชการภายใน ๕ วันนับแต่วันที่ลาสิกขาหรือวั นที่
เดินทางกลับถึงประเทศไทยหลังจากการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ ทั้งนี้ จะต้องนับรวมอยู่ภายในระยะเวลาที่
ได้รับอนุญาตการลา
ข้าราชการที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลาอุปสมบทหรือได้รับอนุญาตให้ลาไป
ประกอบพิธีฮัจย์และได้หยุดราชการไปแล้ว หากปรากฏว่ามีปัญหาอุปสรรคทำให้ไม่สามารถอุปสมบทหรือไป
ประกอบพิธีฮัจย์ตามที่ขอลาไว้ เมื่อได้รายงานตัวกลับเข้าปฏิบัติราชการตามปกติและขอยกเลิกวันล าให้ผู้มี
อำนาจตามข้อ ๒๙ พิจารณาหรืออนุญาตให้ยกเลิกวันลาอุปสมบทหรือไปประกอบพิธีฮัจย์โดยให้ถือว่าวันที่ได้
หยุดราชการไปแล้วเป็นวันลากิจส่วนตัว
ส่วนที่ ๗
การลาเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล
ข้อ ๓๒ เมื่อข้าราชการที่ลานั้นพ้นจากการเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพลแล้ว
ให้มารายงานตัวกลับเข้าปฏิบัติราชการตามปกติต่อผู้บังคับบัญชาภายใน ๗ วัน เว้นแต่กรณีที่มีเหตุจำเป็น
ปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง หัวหน้าส่วนราชการ หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดตามข้ อ ๓๑ อาจขยาย
เวลาให้ได้แต่รวมแล้วไม่เกิน ๑๕ วัน
ส่วนที่ ๘
การลาไปศึกษา ฝึกอบรม ปฏิบัติการวิจัย หรือดูงาน
ส่วนที่ ๙
การลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ
ข้อ ๓๕ ข้าราชการที่ลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศที่มีระยะเวลาไม่เกิน ๑ ปี
เมื่อปฏิบัติงานแล้วเสร็จ ให้รายงานตัวเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันครบกำหนดเวลาและ
ให้รายงานผลเกี่ยวกับการลาไปปฏิบัติงานให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่กลับมาปฏิบัติ
หน้าที่ราชการ
การรายงานผลเกี่ยวกับการลาไปปฏิบัติงานตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้แบบรายงานตามที่กำหนดไว้
ท้ายระเบียบนี้
ส่วนที่ ๑๐
การลาติดตามคู่สมรส
ส่วนที่ ๑๑
การลาไปฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ
ข้อ ๓๙ ข้าราชการผู้ใดได้รับอันตรายหรือการป่วยเจ็บเพราะเหตุปฏิบัติราชการในหน้าที่หรือ
ถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทำการตามหน้าที่ จนทำให้ตกเป็นผู้ทุพพลภาพหรือพิการ หากข้าราชการผู้นั้น
ประสงค์จะลาไปเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับการฟื้นฟูสมรรถภาพที่จำเป็นต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการ
หรือที่จำเป็นต่อการประกอบอาชีพ แล้วแต่กรณี มีสิทธิลาไปฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพครั้งหนึ่งได้ตาม
ระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรที่ประสงค์จะลา แต่ไม่เกิน ๑๒ เดือน
ข้าราชการที่ได้รับอันตรายหรือการป่วยเจ็บจนทำให้ตกเป็นผู้ทุพพลภาพหรือพิการเพราะเหตุ
อื่น นอกจากที่กำหนดในวรรคหนึ่ง และผู้มีอำนาจสั่งบรรจุพิจารณาแล้วเห็นว่ายังสามารถรับราชการต่อไปได้
หากข้าราชการผู้นั้นประสงค์จะลาไปเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับการฟื้นฟูส มรรถภาพที่จำเป็นต่อการ
ปฏิบัติหน้าที่ราชการ ให้ผู้มีอำนาจพิจารณาหรืออนุญาตพิจารณาให้ลาไปฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพดังกล่าว
ครั้งหนึ่งได้ตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหลักสูตรที่ประสงค์จะลา แต่ไม่เกิน ๑๒ เดือน
หลักสูตรตามวรรคหนึ่งและวรรคสองต้องเป็นหลักสูตรที่ส่วนราชการ หน่วยงานอื่นของรัฐ
องค์กรการกุศลอันเป็นสาธารณะหรือสถาบันที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานของทางราชการ เป็นผู้จัดหรือ
ร่วมจัด
หมวด ๓
การลาของข้าราชการการเมือง
ข้อ ๔๓ การลาทุกประเภทและการไปต่างประเทศของข้าราชการการเมืองกรุงเทพมหานคร
ซึ่งเป็นข้าราชการการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง ให้เป็นอำนาจของผู้ว่าราชการ
กรุงเทพมหานครหรือประธานสภากรุงเทพมหานคร แล้วแต่กรณี เป็นผู้พิจารณาอนุญาต
[๑]
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๙/ตอนพิเศษ ๒๒ ง/หน้า ๑/๒๔ มกราคม ๒๕๕๕
แนวข้อสอบ
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. 2555
นโยบายรัฐบาล
ประกาศ
แต่งตั้งรัฐมนตรี
----------------------
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
เศรษฐา ทวีสิน
นายกรัฐมนตรี
การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ
ความเป็นมาของระบบราชการ 4.0
เพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์ดังกล่าว รัฐบาลจึงมีนโยบายที่จะใช้โมเดลขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม
เพื่อพัฒนาประเทศไทยไปสู่การเป็นประเทศไทย 4.0 ดังนั้นระบบราชการจึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อสอดรับ
กับบริบทที่จะเกิดขึ้นจากการเป็นประเทศไทย 4.0 โดยภาครัฐหรือระบบราชการจะต้องทำงานโดยยึดหลัก
ธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนเป็นหลัก (Better Governance, Happier Citizens) หมายความว่า
ระบบราชการไทยจะต้องปฎิรูปขนานใหญ่ เพื่อให้สามารถเป็นที่ไว้วางใจและเป็นพึ่งของประชาชนได้อย่าง
แท้จริง กล่าวคือภาครัฐต้องปรับตัวและต้องพลิกโฉมเข้าสู่ยุคดิจิทัล ยกระดับประสิทธิภาพภาครัฐ สู่สังคมดิจิทัล
ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน และอำนวยความสะดวกในการ
ดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมในยุคดิจิทัลท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและไม่สามารถคาด
เดาได้ ดังนั้น ภาครัฐ จึงต้องมุ่งเน้นความคล่องตัว เพื่อขับเคลื่อนภารกิจพิเศษ (Agenda-based) และนำ
เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาพลิกโฉมหน่วยงานภาครัฐสู่ระบบราชการ 4.0 (Government 4.0หรือ Gov. 4.0)
อันเป็นฟันเฟืองและเสาหลักที่ส ำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ให้สามารถปฏิบัติงานได้ อย่าง
สอดคล้องกับทิศทางในการบริหารงานของประเทศให้ก้าวสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้กลไก
การพัฒนาระบบราชการมีการปรับตัวต่อความท้าทายใหม่ๆ อีกทั้งเป็นการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันกับ
นานาประเทศ และยังเป็นการยกระดับสมรรถนะของหน่วยงานภาครัฐให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
เป้าหมายการพัฒนาสู่ระบบราชการ 4.0
จากแนวคิดของการพัฒนาหน่วยงานภาครัฐสู่ระบบราชการ 4.0 เพื่อให้รองรับต่อการเปลี่ยนแปลง
และการเป็นประเทศไทย 4.0 ตามนโยบายของรัฐบาล ดังนั้น การพัฒนาสู่ระบบราชการ 4.0 จึงมีเป้าหมาย
หลักเพื่อให้ภาครัฐสามารถเป็นที่พึ่ง ที่เชื่อถือและไว้วางใจได้ของประชาชน โดยได้กำหนดเป้าหมายในกา ร
พัฒนาระบบราชการไว้ ดังนี้
ยึดหลักธรรมาภิบาล เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
(Better Governance, Happier Citizens)
ประกาศ
เรื่อง ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐)
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร มีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ
ให้ประกาศว่า
โดยที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๖๕ บัญญัติให้รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติ
เป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนต่าง ๆ
ให้สอดคล้องและบูรณาการกันเพื่อให้เกิดเป็นพลังผลักดันร่วมกันไปสู่เป้าหมายดังกล่าว และต่อมาได้มีการตรา
พระราชบัญญัติการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยกำหนดให้มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อ
รับผิดชอบในการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และเมื่อได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติ
แห่งชาติแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีนาขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อมีพระบรมราชโองการประกาศใช้เป็น
ยุทธศาสตร์ชาติต่อไป
บัดนี้ คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติได้ดาเนินการจัดทำร่างยุทธศาสตร์ชาติเป็นที่เรียบร้อย
แล้วและคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ เห็นชอบร่างยุทธศาสตร์ชาติ ประกอบกับในคราว
ประชุ ม สภานิ ต ิบ ัญ ญั ติ แ ห่ ง ชาติเ มื่ อ วั น ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ที ่ ป ระชุ ม ได้ ล งมติ ใ ห้ ค วามเห็ นชอบร่าง
ยุทธศาสตร์ชาติแล้ว ดังมีสาระสาคัญตามที่แนบท้ายนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้ยุทธศาสตร์ชาติ
(พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ผู้รับสนองพระราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
คำนำ
ประเด็นยุทธศาสตร์ชาติ
ประกาศ
เรื่อง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐)
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรม
ราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ประกาศว่า
โดยที่คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นสมควรให้ประกาศใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่
๑๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ซึ่งเป็นแผนพัฒนา ฯ ที่ภาคีทุกภาคส่วนในสังคมไทยทุกระดับ ได้มีส่วนร่วม
ดำเนินการ เพื่อใช้เป็นแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ดังมีสาระสำคัญตามที่แนบ
ท้ายนี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๓
(พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๕ จนถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๗๐
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายกรัฐมนตรี
วัตถุประสงค์และเป้าหมายการพัฒนา
การพัฒนาประเทศในระยะ ๕ ปี ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๓ ให้สามารถก้าวข้ามความท้าทายที่เป็น
อุปสรรคต่อการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ จำเป็นจะต้องเร่งแก้ไขจุดอ่อนและข้อจำกัดของประเทศที่
มีอยู่เดิม รวมทั้งเพิ่มศักยภาพในการรับมือกับความเสี่ยงสำคัญที่มาจากการเปลี่ยนแปลงของบริบททั้งจาก
ภายนอกและภายใน ตลอดจนการเสริมสร้างความสามารถในการสร้างสรรค์ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นได้
อย่างเหมาะสมและทันท่วงที ด้วยเหตุนี้ การกำหนดทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่
๑๓ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อ พลิกโฉมประเทศไทยสู่ “สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน” ซึ่ง
หมายถึงการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ครอบคลุมตั้งแต่ระดับโครงสร้าง นโยบาย และกลไก เพื่อมุ่งเสริมสร้าง
สังคมที่ก้าวทันพลวัตของโลก และเกื้อหนุนให้คนไทยมีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ พร้อมกับ
การยกระดับกิจกรรมการผลิตและการให้บริการให้สามารถสร้างมูลค่า เพิ่มที่สูงขึ้นโดยอยู่บนพื้นฐานของความ
ยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ข้างต้น แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๓ จึงได้กาหนดเป้าหมาย
หลักของการพัฒนาจำนวน ๕ ประการ ประกอบด้วย
หมุดหมายการพัฒนา
เพื่อถ่ายทอดเป้าหมายหลักไปสู่ภาพของการขับเคลื่อนที่ชัดเจนในลักษณะของวาระการพัฒนาที่เอื้อให้
เกิดการทำงานร่วมกันของหลายหน่วยงานและหลายภาคส่วนในการผลักดันการพัฒนาเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้เกิด
ผลได้อย่างเป็นรูปธรรม แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ ๑๓ จึงได้ก ำหนดหมุดหมายการพัฒนา จำนวน ๑๓ หมุดหมาย
ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงสิ่งที่ประเทศไทยปรารถนาจะ “เป็น” หรือมุ่งหวังจะ “มี” เพื่อสะท้อนประเด็นการพัฒนา
ที่มีลำดับความสำคัญสูงต่อการพลิกโฉมประเทศไทยสู่ “สังคมก้าวหน้า เศรษฐกิจสร้างมูลค่าอย่างยั่งยืน” โดย
หมุดหมายทั้ง ๑๓ ประการ แบ่งออกได้เป็น ๔ มิติ
แนวข้อสอบ
ความรู้เกี่ยวกับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561 – 2580 นโยบายรัฐบาล
นโยบายกระทรวงศึกษาธิการ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ
สังคมและการเมืองของประเทศไทยในปัจจุบัน
1. แผนใดต่อไปนี้ต้องจัดทำให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล
ก. ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
ข. แผนปฏิรูปประเทศ
ค. แผนบริหารราชการแผ่นดิน
ง. แผนปฏิบัติราชการของส่วนราชการต่าง ๆ
ตอบ ง.
2. ผู้รับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ คณะรัฐมนตรี ตรงกับข้อใด
ก. คสช. ข. นายกรัฐมนตรี
ค. ประธานรัฐสภา ง. ประธานสภาผู้แทนราษฎร
ตอบ ข.
3. ข้อใด ไม่ใช่ จังหวัดในภาคตะวันออกที่มีนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ก. ฉะเชิงเทรา ข. ชลบุรี
ค. จันทบุรี ง. ระยอง
ตอบ ค.
4. นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่เท่าไหร่
ก. คนที่ 28 ข. คนที่ 29
ค. คนที่ 30 ง. คนที่ 31
ตอบ ค.
5. พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2562 เป็นฉบับที่เท่าไหร่
ก. ฉบับที่ 16 ข. ฉบับที่ 17
ค. ฉบับที่ 18 ง. ฉบับที่ 19
ตอบ ง.
6. ปัจจุบันกระทรวงและส่วนราชการทีมีฐานะเป็นกระทรวง ตาม พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง
กรม พ.ศ. ๒๕๖๒ มีจำนวนเท่าใด
ก. 18 กระทรวง ข. 20 กระทรวง
ค. 22 กระทรวง ง. 19 กระทรวง
ตอบ ข.
7. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบและแต่งตั้งเพิ่มเติมคณะกรรมการปฏิรูปด้านต่าง ๆ
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ๒๕๖๓ มีทั้งหมดกี่ด้าน
ก. 7 ด้าน ข. 9 ด้าน
ค. 11 ด้าน ง. 13 ด้าน
ตอบ ง.
➢ ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทย โดยย่อ
ราวพุทธศตวรรษที่ 5 การติดต่อค้าขายจากอินเดีย เป็นแรงพักดันให้ชุมชนเหล่านั้นได้รวมตัวกันเป็น
ชุมชนใหญ่ขึ้น ดังเช่นบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้ำภาคกลางตอนล่างได้เกิดเป็น อาณาจักรทวารดี พุทธศตวรรษที่ 11
หรือ 12- 18)
อาณาจักรสุโขทัยเป็นอาณาจักรแรกของไทย ก่อตั่งเมื่อ พ.ศ.1781 ในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
เป็นช่วงที่รุ่งเรืองถึงที่สุดในทุกด้าน ทรงประดิษฐ์ลายสือไทยเมื่อ พ.ศ.1826 ในสมัยพระยาลิไทพระพุทธศาสนา
ได้รับการทำนุบำรุงเป็นอย่างมาก อาณาจักรเจริญรุ่งเรืองมาถึงปี 1891 อาณาจักรจึงถูกผนวกรวมเข้ากับ
อาณาจักรอยุธยา
ในปี พ.ศ.1893 พระเจ้าอู่ทองได้สถาปนาอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีการปฏิรูปทางด้าน
การทหาร กฎหมาย การปกครอง อีกทั้งยังเป็นยุครุ่งเรืองของศิลปวัฒนธรรม มีความสัมพันธไมตรีและติดต่อกับ
ชาวตะวันตก ทว่าสงครามกับพม่าที่มีมาอย่างต่อเนื่องเป็นเหตุทำให้นำไปสู่การเสียกรุงทั้ง 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี
พ.ศ 2112 ซึ่งสมเด็จพระนเรศวรมหาราชสามารถกู้กรุงคืนได้ในอีก 15 ปีต่อมา ครั้งที่สองเกิดขึ้นในปี พ.ศ.
2310 ซึ่งเป็นการสิ้นสุดของอาณาจักรที่ดำเนินมา ถึง 417 ปี มีกษัตริย์ปกครอง 33 พระองศ์ 5 ราชวงศ์
หลักจากอาณาจักรอยุธยาเสียกรุงให้แก่พม่า แม่ทัพอยุธยาคนหนึ่งนามว่า พระยาตาก (สิน) สามารถ
รวบรวมชาวไทยกู้กรุงคืนได้ในปีเดียวกันนั้น ได้สถาปนาเมืองธนบุรีเป็นราชธานี ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้า
กรุงธนบุรี ในปี พ.ศ. 2311 ทรงทำศึกสงครามกับต่างชาติและปราบก๊กต่าง ๆ ตลอดราชการเป็นเวลา 15 ปี
เพื่อรวบรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่น บ้านเมืองมีความเข้มแข็งกลายเป็นศูนย์กลางทางอำนาจในภูมิภาคนี้อีกครั้ง
ปลายราชการพระองศ์เกิดสติวิปลาส บ้านเมืองเกิดการจลาจล ในปี 2325 สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก
ทรงได้ปราดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ สถาปนาราชวงศ์จักรีขึ้น แล้วย้ายเมืองหลวงมาทางฝั่งรัตนโกสินทร์ สถาปนา
กรุงเทพมหานครขึ้นเป็นเมืองหลวง
ในตอนต้นแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการพัฒนาประเทศทุก ๆ ด้าน มีการสร้างและบูรณะวัดวาอารม
และพระพุทธรูป มีการขุดคลองเพื่อให้เป็นเส้นทางคมนาคม ชำระกฎหมาย สังคายนาพระไตรปิฎก และฟื้นฟู
ศิลปะวิทยาการมากมาย
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงได้นำพาความก้าวหน้าจากชาติตะวันตกมา
สู่ประเทศ สืบเนื่องจากรัชกาลที่ 4 ทรงเริ่มไว้ ทรงปฏิรูปการเมือง การปกครอง เลิกทาส นำพาประเทศสู่ความ
เป็นอารยะประเทศ ในรัชกาลนี้เป็นเวลาที่ชาติตะวันตกกำลังแผ่อิทธิผลมาสู่ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทรง
ดำเนินนโยบายทางการเมืองและการทูตได้อย่างเหมาะสม ทำให้ประเทศยังคงรักษาความเป็นเอกราชไว้ได้ แม้
จะต้องเสียดินแดนบางส่วนเพื่อเป็นการแลกก็ตาม
ในปี พ.ศ. 2475 ประเทศได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น
ประชาธิปไตยตรงกับสมัยรัชกาลที่ 7
สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้เปลี่ยนชื่อจากสยาม มาเป็นประเทศไทย แต่ประเทศก็ประสบกับ
ปัญหาล้มลุกคลุกคลานทั้งในด้านการเมืองภายใน และจากภายนอกอันเนื่องมาจากสงครามโลก แต่ประเทศก็
ยังรักษาเอกราชเอาไว้ได้อีกครั้ง
➢ หน้าที่พลเมือง
ความหมายของพลเมือง
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายของคำว่า “พลเมือง” “วิถี” และ
“ประชาธิปไตย” ไว้ดังนี้
พลเมือง หมายถึง ประชาชน ราษฎร ชาวประเทศ
วิถี หมายถึง สาย แนว ถนน ทาง
ประชาธิปไตย หมายถึง ระบบการปกครองที่ถือมติปวงชนเป็นใหญ่ การถือเสียงข้างมากเป็นใหญ่
ดังนั้น คำว่า “พลเมืองที่ดีในวิถีชีวิตประชาธิปไตย” หมายถึง พลเมืองที่มีคุณลักษณะที่สำคัญ คือ เป็น
ผู้ที่ยึดมั่นในหลักศีลธรรมและคุณธรรมของศาสนา มีหลักการทางประชาธิปไตยในการดำรงชีวิต พลเมือง
หมายถึง คนที่มีสิทธิและหน้าที่ในฐานะประชาชนของประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือประชาชนที่อยู่ภายใต้
ผู้ปกครองเดียวกัน มักมีวัฒนธรรมเดียวกัน เช่น คนไทยทุกคนควรทำตัวเป็นพลเมืองดี คือนอกจากตระหนักถึง
สิทธิของตนเองแล้ว ยังต้องทำหน้าที่ที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกำหนดและปฏิบัติตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม โดย
มีการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน อันจะก่อให้เกิด การพัฒนาสังคมและประเทศชาติเพื่อให้เป็นสังคมและเป็นประเทศ
ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ตามหลักการ ทางประชาธิปไตย
กล่าวโดยสรุป คำว่า “พลเมือง” มีความแตกต่างจากคำว่า “ประชาชน” และ “ราษฎร” ตรงที่ว่า
พลเมืองจะแสดงออกถึงความกระตือรือร้นในการรักษาสิทธิต่าง ๆ ของตน รวมถึงการมีส่วนร่วมทางการเมือง
โดยการแสดงออกซึ่งสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
หลักการเป็นพลเมืองในวิถีระบอบประชาธิปไตย
การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการปกครองที่ประชาชนทุกคน มีส่วนร่วมในการปกครอง
ประเทศ ซึ่งจะประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องสร้างความเป็นพลเมืองให้ประชาชนสามารถปกครองตนเองได้
การสร้างพลเมืองให้มีความเป็นพลเมือง ในวิถีระบอบประชาธิปไตย มีหลักพื้นฐานสำคัญอยู่ ๓ ประการ ดังนี้
๑. เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่ทุกคนเกิดมามีคุณค่าเท่ากันมิอาจล่วงละเมิดได้ การมีอิสรภาพ
และความเสมอภาค การยอมรับในเกียรติภูมิของแต่ละบุคคล โดยไม่คำนึงถึงสถานภาพทางสังคม ยอมรับความ
แตกต่างของทุกคน
๒. เคารพสิทธิ เสรีภาพ และกฎกติกาของสังคมที่เป็นธรรม โดยให้ความสำคัญต่อสิทธิ เสรีภาพ การ
มีกฎกติกาที่วางอยู่บนความยุติธรรมและชอบธรรม มีหลักนิติรัฐ ในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพมิให้ถูกละเมิด
๓. รับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น สังคม และประเทศชาติ โดยตระหนักถึงบทบาทหน้าที่และความ
รับผิดชอบของตนเอง ต่อสังคม การดำรงตนเป็นประโยชน์ต่อสังคมช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ใช้สติปัญญาในการ
แก้ไขปัญหาด้วยเหตุและผล
➢ ศีลธรรม
ความสำคัญของศีลธรรม จริยธรรมและค่านิยม
- ศีลธรรม จริยธรรมและค่านิยมคือสิ่งที่กำหนดมาตรฐานความประพฤติของสมาชิกในสังคมให้ปฏิบัติ
ตามแนวทางที่สังคมได้กำหนดว่าเป็นสิ่งดีงาม เหมาะสมกับสภาพสังคมนั้น ๆ รวมทั้งเป็นมาตรฐานที่ใช้ตัดสิน
การกระทำว่าถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว ในสังคม เพื่อให้สังคมดำรงอยู่ได้อย่างปกติสุข ซึ่ งเป็นสิ่งสำคัญที่มีอยู่คู่กับ
การดำเนินชีวิตเป็นสิ่งที่สังคมยอมรับร่วมกัน
- ค่านิยม และจริยธรรม ที่เป็นตัวกำหนดความเชื่อของแต่ละบุคคล เป็นค่านิยมและจริยธรรมที่
ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม ช่ว ยในการพัฒ นาสังคม รวมทั้งบุคคลให้มีความตั้งมั่นอยู่ในความดีความ
รับผิดชอบ ความเสียสละ ความกตัญญูรู้คุณ ความมีวินัย ความกล้าหาญ และความเชื่อมั่นในคำสอนของศาสนา
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๑๙๙
คู่มือเตรียมสอบ ข้าราชการ 38 ค.(2) สพฐ.
จะต้องเป็นค่านิยมและจริยธรรมที่มีจุดมุ่งหมายในการละเว้นการกระทำความชั่ว อันเป็นสิ่งที่สมาชิกของสังคม
มีความศรัทธา ยึดถือเป็นแบบแผน แบบอย่างการดำรงชีวิต
ตัวกำหนดความเชื่อของแต่ละบุคคลเพื่อขจัดความขัดแย้งค่านิยมและศีลธรรมที่เป็นตัวกำหนด
ความเชื่อ ของแต่ละบุคคลเพื่อขจัดความขัดแย้ง
1) การรู้จักเคารพในความคิดเห็นของตนเองและผู้อื่น มีความสำนึกในสิทธิ เสรีภาพความเสมอภาค
ของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นของตนเองและผู้อื่น เป็นการยอมรับสติปัญญา ความคิดเห็นของผู้อื่นเท่ากับของ
ตน โดยไม่หลอกตนเอง หรือมีความดื้อรั้นเอาแต่ความคิดของตนเองเป็นใหญ่ และเหยี ยดหยามผู้อื่น เป็นการ
ฝึกให้เป็นคนมีเหตุผล รับฟังความคิดเห็นรอบด้าน แล้วนำมาพิจารณา ด้วยตนเองเพื่อขจัดปัญหาความขัดแย้ง
2) มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อตนเองและผู้อื่น หมายถึงมีความซื่อสัตย์ต่อตนเอง เพื่ออยู่ในความไม่
ประมาท ขยันขันแข็งในหน้าที่การงาน มีความรับผิดชอบในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย รวมทั้งมีความซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น
ประพฤติปฏิบัติตรงไปตรงมาอย่างสม่ำเสมอ ไม่คิดโกงหรือคิดทรยศหักหลัง หรือชักชวน ไปในทางเสื่อมเสียเพื่อ
หาผลประโยชน์ส่วนตน
3) ความมีวิจารณญาณในการตัดสินปัญหาต่าง ๆ หรือความมีเหตุผลในการพิจารณาไตร่ตรอง ไม่
หลงเชื่อสิ่งใดง่าย ๆ รู้จักควบคุมกาย วาจา โดยใช้สติอย่างรอบคอบ ไม่ทำตามอารมณ์ มีจิตใจสงบเยือกเย็น ไม่
วู่วาม สามารถรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นที่ขัดแย้งกับตนอย่างใจกว้าง ไม่แสดงความโกรธหรือไม่พอใจไม่มี
ฐิติมานะ
ตัวกำหนดความเชื่อของแต่ละบุคคลเพื่อนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
ค่านิยมและจริยธรรมที่เป็นตัวกำหนดความเชื่อของแต่ละบุคคล เพื่อนำไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข
1) การไม่เบียดเบียน และก่อความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ทั้งการเบียดเบียนทางกาย วาจา ใจ เช่น การ
ใช้คำพูดที่ส่อเสียด เยาะเย้ยถากถาง ดูหมิ่นผู้อื่น รวมทั้งการกลั่นแกล้ง ทำลายทรัพย์สินผู้อื่น
2) ความเสียสละ โดยเป็นผู้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่น โดยไม่หวังผลตอบแทน ลดละความเห็นแก่ตัว
ช่วยเหลือผู้อื่นในยามที่มีความจำเป็นได้ทั้งกำลังกาย และกำลังทรัพย์ หรือกำลังทางสติปัญญาเพื่อการอยู่
ร่วมกันอย่างสงบสุขในสังคมโดยรวม
3) มีความกล้าหาญทางคุณธรรม จริยธรรม หมายถึง การทำในสิ่งที่เห็นว่าถูกต้อง ตามทำนองคลอง
ธรรม และละเลิกไม่กระทำความผิดอันเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ตนเอง และส่วนรวมหรือทำให้ตนเอง
และส่วนรวมเสียผลประโยชน์ก็ตาม
➢ ประชาธิปไตย
ประชาธิปไตย คือ ระบอบการปกครองที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพ โดย
อาศัยหลักการของการแบ่งแยกอำนาจ และหลักการที่ว่าด้วยความถูกต้องแห่งกฎหมาย ผู้ปกครองประเทศที่มา
จากการเลือกตั้งของประชาชน เป็นเพียงตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจให้ใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชน ซึ่ง
ระบอบการปกครองตนเองของประชาชน โดยผ่านการเลือกสมาชิกผู้แทนราษฎรไปบริหารและดูแลเรื่อ ง
กฎหมาย เพื่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ และโดยการตรวจสอบควบคุมดูแลของประชาชนโดยตรง
หรือการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน เช่น การยื่นเสนอหรือแก้ไขกฎหมาย การยื่นถอดถอนนักการเมืองที่ป ระพฤติมิ
ชอบ การแสดงความคิดในการทำประชาพิจารณ์ การออกเสียงในการทำประชามติระบอบนี้มีลักษณะเด่นอยู่ที่
หลักการของระบอบประชาธิปไตย
1. อำนาจอธิปไตย หรืออำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ หรือบางทีก็เรียกกันว่า อำนาจของรัฐ
(state power) เป็น อำนาจที่มาจากปวงชน และผู้ที่จะได้อำนาจปกครองจะต้องได้รับความยินยอมจาก
ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ
2. ประชาชนมีสิทธิที่จะมอบอำนาจปกครองให้แก่ประชาชนด้วยกันเอง โดยการออกเสียงเลือกตั้ง
ตัวแทนเพื่อไปใช้สิทธิใช้เสียงแทนตน เช่น การเลือก สส. หรือ สว. โดยมีการกำหนดวันเลือกตั้งและมีวาระการ
ดำรงตำแหน่ง เช่น ทุก 4 ปี หรือ 6 ปีเป็นต้น
3. รัฐบาลจะต้องเคารพสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน อาทิ สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในชีวิต
เสรีภาพในการพูด การเขียน การแสดงความคิดเห็น การชุมนุม โดยรัฐบาลจะต้องไม่ละเมิดสิทธิเล่านี้ เว้นแต่
เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ หรือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย หรือเพื่อรักษาศีลธรรมอันดีงามของประชาชน
4. ประชาชนทุกคนมีสิทธิเสมอกันในการที่จะได้รับบริการทุกชนิดที่รัฐจัดให้แก่ประชาชน เช่น สิทธิใน
การ ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
5. รัฐบาลถือกฎหมายและความเป็นธรรมเป็นบรรทัดฐานในการปกครอง และในการแก้ปัญหาความ
ขัดแย้งต่าง ๆ ระหว่างกลุ่มชน รวมทั้งจะต้องไม่ออกกฎหมายที่มีผลเป็นการลงโทษบุคคลย้อนหลัง
รูปแบบของระบอบประชาธิปไตย
ระบอบประชาธิปไตยแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบบที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และแบบที่มี
ประธานาธิบดีเป็นประมุข
1. แบบแรกมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ได้แก่ อังกฤษ เนเธอแลนด์ เบลเยี่ยม เดนมาร์ก นอร์เวย์
สวีเดน ญี่ปุ่น มาเลเซีย และไทย
2. แบบที่สองมีประธานาธิบดีเป็นประมุข ได้แก่ ฝรั่งเศส อินเดีย สหรัฐอเมริกา เป็นต้น
➢ ความสำคัญของสถาบันหลักของชาติ
เอกลักษณ์ของชาติ หมายถึง ลักษณะเด่นหรือความดีเฉพาะที่ร่วมกันของชาติไทย เอกลักษณ์ของชาติ
ประกอบด้วย สถาบันหลัก ๔ สถาบัน คือ ๑. สถาบันชาติ ๒. สถาบันศาสนา ๓. สถาบันพระมหากษัตริย์
๔. สถาบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
๑.๗ เกียรติภูมิประเทศ
ชนชาติไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ภูมิใจในเกียรติภูมิของชาติที่เป็นเอกราช มีดินแดนของตนเอง
มีภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติ มีเลขไทย มีศาสนากล่อมเกลาจิตใจ มีพระมหากษัตริย์เป็นที่พึ่งที่ยิงใหญ่
มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ซึ่งสอดคล้องกับอุปนิสัยของคนไทยที่รัก
อิสระ มีเสรีภาพที่จะทำอะไรก็ได้ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ขนบธรรมเนียมประเพณี และศีลธรรม
ความภูมิใจในภูมิปัญญาไทย คนไทยเป็นนักประดิษฐ์คิดค้นมาแต่โบราณกาล ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า
เครื่องนุ่งห่ม เครื่องใช้ ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย ผลิตผลและผลิตภัณฑ์ต่างๆ จนปัจจุบันภูมิปัญญาไทยสู่สากล
เป็นที่ยอมรับในความฉลาด ความมีศิลปะ ความละเอียดอ่อน วิจิตรประณีต ประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ ด้วยความ
วิริยะ อุตสาหะ เพื่อให้ได้ผลงานที่ยอดเยี่ยมจนปรากฏเป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ ด้วยความภูมิใจใน
ภูมิปัญญาไทยในนาม OTOP หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ซึ่งเราชาวไทยควรภูมิใจในภูมิปัญญาที่บรรพบุรุษได้สั่ง
สมมาจนเรามีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลก
๒. สถาบันศาสนา
ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ แต่ศาสนิกชนของทุกศาสนา สามารถอยู่ร่วมกันได้
ภายใต้ธงไตรรงค์ และภายใต้บารมีแห่งองค์ศาสนูปถัมภกคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงคุณอเนก
อนันต์ต่อประชาชนไทยทุกศาสนาให้อยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข
คำสอนของทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดีมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ ศาสนาจึงเป็นสถาบันที่สำคัญใน
การกล่อมเกลาจิตใจให้มนุษย์รักสงบเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักใคร่ปองดอง และอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๙ หน้า ๒๐๓
คู่มือเตรียมสอบ ข้าราชการ 38 ค.(2) สพฐ.
๓. สถาบันพระมหากษัตริย์
ตั้งแต่อดีตกาลพระมหากษัตริย์ไทยยอมเสียเลือดเนื้อเพื่อปกป้องคุ้มครองแผ่นดินและประชาชนไทย
มิให้ตกเป็นทาสของชาติอื่นใด พร้อมทั้งทรงพัฒนาประเทศชาติด้วยพระขันติ วิริยะ และพระอัจฉริยะภาพใน
ทุกด้าน จนทำให้ไทยยังคงมีแผ่นดิน มีความเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยะประเทศตราบเท่าทุกวันนี้
สถาบันพระมหากษัตริย์จึงเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้คนไทยรักและสามัคคีต่อกัน
๔. สถาบันการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ชนชาติไทยมีความรัก อิสระ ชอบเสรีภาพ ไม่ชอบเป็นข้าทาสถูกบังคับ ถูกข่มเหง ฉะนั้น การปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องกับนิสัยของคนไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะใครจะทำอะไรก็ได้ตามใจ
ชอบ ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ศีลธรรม และจารีตประเพณี การปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงเป็นสถาบันที่มีค่ายิ่งต่อคนไทย
แนวข้อสอบ
ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม
ประชาธิปไตย และความสำคัญของสถาบันหลักของชาติ
1. การนับมหาศักราชที่ไทยได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย มีหลักฐานปรากฏอยู่ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชิ้นใด
ก. พงศาวดารสุโขทัย
ข. พงศาวดารอยุธยา
ค. จดหมายเหตุกรุงศรี
ง. ศิลาจารึกสมัยก่อนสุโขทัย
ตอบ ง.
2. กษัตริย์พระองค์ใดทรงริเริ่มศักราชรัตนโกสินทร์ศกขึ้น
ก. พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ข. พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ค. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ง. พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร
ตอบ ข.
๓. แนวคิดถิ่นกำเนิดของชนชาติไทย แนวคิดใดได้รับความน่าเชื่อถือน้อยที่สุด
ก. แนวคิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยอยู่บริเวณตอนกลางของจีน
ข. แนวคิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยอยู่บริเวณเทือกเขาอัลไต
ค. แนวคิดที่เชื่อว่าชนชาติไทยตั้งถิ่นฐานอยู่ในบริเวณพื้นที่ที่เป็นประเทศไทยในปัจจุบัน
ง. แนวคิดที่เชื่อว่าถิ่นกำเนิดของชนชาติไทยอยู่บริเวณคาบสมุทรอินโดจีน
ตอบ ข.
4. อาณาจักรสุโขทัยมีการปกครองแบบใด
ก. ราชาธิปไตย ข. อำมาตยาธิปไตย
ค. ประชาธิปไตย ง. ธนาธิปไตย
ตอบ ก.
5. การปกครองในสมัยอยุธยาตอนต้นได้รับอิทธิพลการปกครองมาจากอาณาจักรใดมากที่สุด
ก. อาณาจักรกัมพูชา ข. อาณาจักรมอญ
ค. อาณาจักรสุโขทัย ง. อาณาจักรหริภุญชัย
ตอบ ก.
6. สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงใช้หลักการใดในการปฏิรูปการปกครอง
ก. รวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง
ข. แบ่งแยกหน้าที่และถ่วงดุลอำนาจ
ค. ถ่วงดุลอำนาจและลดอำนาจเจ้านาย
ง. รวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลางและถ่วงดุลอำนาจ
ตอบ ง.
ตกภาค ข. ตกภาค ก.
26% 20%
6% ตกภาค ค.
ตกคะแนนรวม 10%
8% 30%
ได้บรรจุ ขึ้นบัญชี
3 2
ค. 6 11 นาที ง. 7 11 นาที
ตอบ ข.
26. 15 จะมีค่าเป็น 75% ของเลขจำนวนใด
ก. 20 ข. 25
ค. 30 ง. 35
ตอบ ก.
76. บทความนี้เน้นถึงความสำคัญในเรื่องอะไร
ก. ข้อเท็จจริงของประวัติศาสตร์ ข. หลักฐานทางประวัติศาสตร์
ค. การวินิจฉัยประวัติศาสตร์ ง. ความสำคัญของประวัติศาสตร์
ตอบ ข.
77. ข้อใดกล่าวถูกต้องที่สุด
ก. ประวัติศาสตร์เป็นสิ่งที่แน่นอนเชื่อถือได้
ข. นักประวัติศาสตร์มีความสำคัญมากกว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์
ค. ประวัติศาสตร์อาจจะเปลี่ยนแปลงได้
ง. หลักฐานชั้นรองส่วนใหญ่เชื่อถือไม่ได้
ตอบ ค.
78. ที่ว่า “นักประวัติศาสตร์และหลักฐานเป็นทั้งผู้ให้และผู้รับซึ่งกันและกัน” หมายความว่า
ก. นักประวัติศาสตร์เป็นผู้สร้างหลักฐานขึ้น
ข. นักประวัติศาสตร์เป็นผู้นำหลักฐานมาใช้
ค. นักประวัติศาสตร์เป็นผู้ตีความหลักฐานในขณะที่หลักฐานให้ความจริง แก่ประวัติศาสตร์
ง. นักประวัติศาสตร์เป็นผู้เห็นคุณค่าของหลักฐานในขณะที่หลักฐานช่วยให้เกิดประวัติศาสตร์
ตอบ ค.
คำชี้แจง ใช้ข้อความตอบคำถามข้อ 79-85
ในชีวิตการดำเนินงานหรือการปฏิบัติของทุก ๆ ท่าน ย่อมต้องการความสำเร็จ และเมื่อท่านได้ปฏิบัติ
สำเร็จครั้งหนึ่งแล้วท่านย่อมจะทำซ้ำ ๆ เดิม คงแบบแผนขั้นตอนอย่างเดิมไว้เพื่อให้เกิดความสำเร็จเหมือนเดิม
เริ่มมาตั้งแต่แบบแผนในอดีต การยกทัพออกรบจะต้องมีพิธีตัดไม้ข่มนาม การวางกำลังรบตามตำรับพิชัยสงคราม
การนำเอาสิ่งยึดถือศรัทธาติดตัวไปเพื่อให้เกิดความมั่นใจ และการปฏิบัติตนให้เหมือนกับที่ได้ปฏิบัติไปแล้ว
เมื่อคราวก่อนที่ได้รับชัยชนะมา จนกระทั่งมาถึงปัจจุบัน ถ้าท่านไปพูดต้นไม้ได้เลขมาแล้วถูกรางวัล ท่านก็จะไปพูด
ต้นไม้ทกุ ๆ ต้นเพื่อให้ได้ตัวเลขมา ความคิดยึดอยู่กับแบบแผนเดิม ๆ การปฏิบัติซ้ำแนวเดิมนี้เอง เป็นรูปแบบหนึ่ง
ของทักษะกระบวนการ เป็นเรื่องที่ท่านยึดถือปฏิบัติในแนวเดิมเพื่อให้เกิดผลอย่างเดิม
79. บทความนี้ผู้เขียนมีจุดมุ่งหมายอย่างไร
ก. ชี้ให้เห็นรูปแบบปฏิบัติเพื่อความสำเร็จ
ข. การปฏิบัติงานให้เกิดผลสำเร็จต้องมีแบบแผน
ค. การปฏิบัติซ้ำ ๆ กันทำให้เกิดผลสำเร็จ
ง. อธิบายรูปแบบของทักษะกระบวนการ
ตอบ ง.
คำชี้แจง
โจทย์แต่ละข้อจะประกอบด้วยเงื่อนไขหรือข้อมูลที่กำหนดให้และข้อสรุปเป็นคู่ๆ จากเงื่อนไขนั้น ให้
ศึกษาทำความเข้าใจกับเงื่อนไขที่กำหนดให้ก่อน แล้วจึงอาศัยความรู้ที่ได้จากเงื่อนไขดังกล่าว มาพิจารณา
ข้อสรุปทั้งสองนั้น เพื่อเลือกตอบข้อสรุปที่ตรงกับหลักการต่อไปนี้
ตอบ ก ถ้าข้อสรุปทั้งสองเป็นจริงตามเงื่อนไข
ตอบ ข ถ้าข้อสรุปทั้งสองไม่เป็นจริงตามเงื่อนไข
ตอบ ค ถ้าข้อสรุปทั้งสองไม่แน่ชัด คือไม่สามารถสรุปได้แน่นอนว่าจริงหรือไม่จริงจากเงื่อนไข
ตอบ ง ถ้าข้อสรุปทั้งสองมีข้อสรุปใดข้อสรุปหนึ่งเป็นจริงหรือไม่จริงหรือไม่แน่ชัดเพียงข้อเดียว
- มีสามีและภรรยา 3 คู่กำลังสนทนากัน
- คุณญาญ่าเป็นภรรยาของณเดช
- คุณปกรณ์พูดแต่สิ่งที่เป็นความเท็จทุกประโยค
- สามีของเจนนี่ชื่อมาริโอ้
- มาริโอ้พูดในสิ่งที่เป็นความจริงทุกประโยค
- คนที่ชอบพูดจริงบ้างเท็จบ้างคือณเดช
- มีคนพูดว่า “วันนี้ฝนตก” แต่ความจริงแล้วฝนไม่ตก
- แต้วและเจนนี่ชอบดื่มนม
- “ภรรยาของผมไม่ชอบดื่มนม”
- “ภรรยาของผมชื่อแต้ว”
แนวข้อสอบ วิชาภาษาไทย
(คะแนนเต็ม 100 คะแนน)
คำชี้แจง จงเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดเพียงคำตอบเดียว
1. ภาษาแบ่งออกได้เป็นกชนิด
ก. 2 ชนิด ข. 3 ชนิด
ค. 4 ชนิด ง. 5 ชนิด
ตอบ ข.
2. หลักภาษาไทยแบ่งออกเป็นกี่ภาค
ก. 3 ภาค ข. 4 ภาค
ค. 5 ภาค ง. 6 ภาค
ตอบ ข.
3. ไวยากรณ์ หมายถึงอะไร
ก. วิชาว่าด้วยระเบียบของภาษา ข. ว่าด้วยการใช้ภาษาให้ถูกต้อง
ค. ว่าด้วยเรื่องการแยกประโยค ง. เรื่องการอ่านเขียน
ตอบ ก.
4. เสียงที่ใช้สื่อความหมายในภาษาไทยแบ่งออกเป็นกี่ชนิด
ก. 4 ชนิด ข. 6 ชนิด
ค. 8 ชนิด ง. 3 ชนิด
ตอบ ง.
5. เสียงสระในภาษาไทย ตามหลักภาษาศาสตร์ปัจจุบันถือว่ามีกี่รูปกี่เสียง
ก. 21 รูป 32 เสียง ข. 20 รูป 32 เสียง
ค. 21 รูป 21 เสียง ง. 44 รูป 21 เสียง
ตอบ ค.
6. คำที่เขียนผิดคือข้อใด
ก. ขี้ทูด ข. อัยกา
ค. หงส์ ง. ใยไพ
ตอบ ง.
7. ข้อใดสะกดผิด
ก. ปริมณฑล ข. ประภัสสร
ค. ปริศนา ง. ปราศัย
ตอบ ง.
หน้า ๒๓๐ สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๙
คู่มือเตรียมสอบ ข้าราชการ 38 ค.(2) สพฐ.
8. “ผลิตภัณฑ์
ก. ผะ-หลิ-ตะ-พัน ข. ผะ-หลิด-ตะ-พัน
ค. ผลิด-ตะ-พัน ง. ผลิด-พัน
ตอบ ข.
9. บ้านเลขที่ “27/443” อ่านอย่างไรถูกต้อง
ก. ยี่สิบเจ็ดทับสี่ร้อยสี่สิบสาม ข. สองเจ็ดทับสี่ร้อยสี่สิบสาม
ค. ยี่สิบเจ็ดทับสี่สี่สาม ง. สองเจ็ดทับสี่สี่สาม
ตอบ ค.
10. คำ “รัฐมนตรีว่าการ” ใช้ตัวย่ออย่างไร
ก. รมว ข. ร.มว.
ค. รมว. ง. รม.ว.
ตอบ ค.
11.จงเลือกข้อที่อ่านผิดเพียงข้อเดียว
ก. คุณวุฒิ อ่านว่า คุน-นะ-วุด-ทิ ข. ศีลธรรม อ่านว่า สีน-ละ-ทำ
ค. อาชญากร อ่านว่า อาด-ยา-กอน ง. พรรณนา อ่านว่า พัน-ระ-นา
ตอบ ง.
12. “เฉลิมพระชนมพรรษา” อ่านว่าอย่างไร
ก. ฉะ-เหลิม-พระ-ชน-พัน-สา ข. ฉะ-เหลิม-พระ-ชน-มะ-พัน-สา
ค. ฉะ-เหลิม-พระ-ชะ-มะ-พัน-สา ง. ฉะ-เหลิม-พระ-ชะ-นะ-พัน-ขา
ตอบ ข.
13. คำใดอ่านถูกต้อง
ก. กรณียกิจ อ่านว่า กะ-ระ-นี-ยะ-กิด ข. คุณโทษ อ่านว่า คุน-นะ-โทด
ค. กาลสมัย อ่านว่า กาน-สะ-หมัย ง. กาลเวลา อ่านว่า กา-ละ-เว-ลา
ตอบ ก.
14. 3 ฯ 5 อ่านว่าอย่างไร
4
ก. วันอังคาร เดือนห้า แรมสี่ค่ำ ข. วันอังคาร เดือนห้า ขึ้นสี่ค่ำ
ค. วันอังคาร เดือนสี่ ขึ้นห้าค่ำ ง. วันอังคาร เดือนสาม แรมสี่ค่ำ
ตอบ ก.
15. เมื่อเด็กๆ เขาแสนพยศ
ก. ขี้โมโห ข. หนีโรงเรียน
ค. เกกมะเหรก ง. ดื้อ
ตอบ ง.
ภาค ข. ความรู้ความสามรถที่ใช้เฉพาะตำแหน่ง
แนวข้อสอบ ความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการปฏิบัติงาน
(คะแนนเต็ม 100 คะแนน)
1. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบและแต่งตั้งเพิ่มเติมคณะกรรมการปฏิรูปด้านต่าง ๆ
เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ๒๕๖๓ มีทั้งหมดกี่ด้าน
ก. 7 ด้าน ข. 9 ด้าน
ค. 11 ด้าน ง. 13 ด้าน
ตอบ ง.
2. ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบและแต่งตั้งเพิ่มเติมคณะกรรมการปฏิรูปด้าน
ต่าง ๆ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ๒๕๖๓ คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา อยู่ลำดับที่เท่าไหร่
ก. คณะกรรมการปฏิรูปประเทศชุดที่ 1
ข. คณะกรรมการปฏิรูปประเทศชุดที่ 6
ค. คณะกรรมการปฏิรูปประเทศชุดที่ 12
ง. คณะกรรมการปฏิรูปประเทศชุดที่ 13
ตอบ ค.
3. ใครเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา
ก. นายวรากรณ์ สามโกเศศ ข. นายนิธิ มหานนท์
ค. นายพรชัย รุจิประภา ง. นายภักดี โพธิศิริ
ตอบ ก.
4. ข้อใด ไม่ใช่ จังหวัดในภาคตะวันออกที่มีนโยบายการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ก. ฉะเชิงเทรา ข. ชลบุรี
ค. จันทบุรี ง. ระยอง
ตอบ ค.
5. ข้อใดคือ วิสัยทัศน์ในการขับเคลื่อนประเทศของรัฐบาล
ก. มั่งคง มั่งคั่ง ยั่งยืน
ข. ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญา
ของเศรษฐกิจพอเพียง
ค. ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
ง. มุ่งมั่นให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในศตวรรษที่ 21
ตอบ ง.
6. การดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาเป็นเวลา 12 ปี ตั้งแต่ก่อนวัยเรียน จนจบการศึกษาภาคบังคับ
อย่างมีคุณภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเป็นหน้าที่ของใคร
ก. หน่วยงานของรัฐ ข. รัฐละเอกชน
ค. รัฐ ง. ถูกทุกข้อ
ตอบ ค.