05 SP1-3

You might also like

Download as docx, pdf, or txt
Download as docx, pdf, or txt
You are on page 1of 59

3 Homes!

ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 1 เวลาเรียน 14 ชั่วโมง


1 สาระ มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด
สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็น
อย่างมีเหตุผล
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.1 ม. 1/1 ปฏิบัติตามคำสั่ง คำขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจงง่าย ๆ ที่ฟังและอ่าน
ต 1.1 ม. 1/2 อ่านออกเสียงข้อความ นิทาน และบทร้อยกรอง (poem) สั้น ๆ ถูกต้องตามหลักการ
อ่าน
ต 1.1 ม. 1/3 เลือก/ระบุประโยคและข้อความให้สัมพันธ์กับสื่อที่ไม่ใช่ความเรียง (non-text
information) ที่อ่าน
ต 1.1 ม. 1/4 ระบุหัวข้อเรื่อง (topic) ใจความสำคัญ (main idea) และตอบคำถามจากการฟังและ
อ่านบทสนทนา นิทาน และเรื่องสั้น
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและ
ความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.2 ม. 1/1 สนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง กิจกรรม และสถานการณ์ต่าง ๆ
ในชีวิตประจำวัน
ต 1.2 ม. 1/4 พูดและเขียนเพื่อขอและให้ข้อมูล และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังหรืออ่าน
อย่างเหมาะสม
มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด
และการเขียน
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.3 ม. 1/1 พูดและเขียนบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อม
ใกล้ตัว
ตัวชี้วัดปลายทาง
ต 1.3 ม. 1/2 พูด/เขียนสรุปใจความสำคัญ/แก่นสาระ (theme) ที่ได้จากการวิเคราะห์
เรื่อง/เหตุการณ์ที่อยู่ในความสนใจของสังคม
สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และนำไปใช้ได้
อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ

156
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 2.1 ม. 1/1 ใช้ภาษา น้ำเสียง และกิริยาท่าทางสุภาพเหมาะสมตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรม
ของเจ้าของภาษา
ต 2.1 ม. 1/3 เข้าร่วม/จัดกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมตามความสนใจ
มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
กับภาษาและวัฒนธรรมไทย และนำมาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 2.2 ม. 1/1 บอกความเหมือนและความแตกต่างระหว่างการออกเสียงประโยคชนิดต่าง ๆ การใช้
เครื่องหมายวรรคตอน และการลำดับคำตามโครงสร้างประโยคของภาษาต่าง
ประเทศและภาษาไทย
ต 2.2 ม. 1/2 เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างระหว่างเทศกาล งานฉลอง วันสำคัญ
และชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าของภาษากับของไทย
สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น
มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และเป็ นพื้น
ฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิ ดโลกทัศน์ของตน
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 3.1 ม. 1/1 ค้นคว้า รวบรวม และสรุปข้อมูล/ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น
จากแหล่งการเรียนรู้ และนำเสนอด้วยการพูด/การเขียน
สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม
ตัวชี้วัดปลายทาง
ต 4.1 ม. 1/1 ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียนและ
สถานศึกษา
มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็ นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และ
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก

ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 4.2 ม. 1/1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น/ค้นคว้า ความรู้/ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อและแหล่งการ
เรียนรู้ต่าง ๆ ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ

2 สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
การเรียนรู้คำศัพท์ สำนวน และโครงสร้างภาษา จะช่วยให้เข้าใจและบอกรายละเอียดของเรื่องที่
อ่านและฟังได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำสิ่งที่เรียนรู้ไปใช้ในการพูดและเขียนสื่อสาร แลกเปลี่ยนข้อมูล
เกี่ยวกับบ้านของตนเองและสิ่งของใกล้ตัวได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมถึงเป็นพื้นฐานในการ
ค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องของแมลงและลักษณะบ้าน ตลอดจนมีความเข้าใจในมารยาทและ
วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา

157
3 สาระการเรียนรู้
3.1 ทักษะเฉพาะวิชา
1) Language Features and Functions
Vocabulary: Rooms (bedroom, bathroom, living room, kitchen, hall)
Furniture & appliances (cupboard, cooker, ceiling, pillow, bed, bedside
cabinet, wall, fireplace, window, floor, sofa, mirror, toilet, washbasin,
stair, door)
Insects (ant, flea, beetle, fly, scorpion, spider, moth, cockroach, bedbugs,
woodworm beetle)
Ordinal numbers (first, second, third, ..., twenty-third)
Nouns (building, fan, office, shape, violin, lift, floor, dream home, great
view, metal, wood, summer, winter, people, insects, creepy crawlies,
smell, pieces, meals, hiding place, spider, web, corner, castle, metal,
space, garden, kennel, singers, climate, stilt, pole, flood, countryside,
brick, tile)
Pronoun (everything)
Adjectives (unusual, cool, four-storey, warm, crazy, alone, small, empty,
tidy, tall, huge, high, huge, humid)
Adverbs (outside, inside, come, visit, suit, adapt, disappear, anytime,
downstairs)
Sentences (Is Jim here?, Where’s that?, Thanks., Your room is great.,
Yes, it’s really big., Hey, whose is this guitar?, You’re very lucky.,
You’ve got everything.)
Grammar: there is/there are
a/an – some/any
Prepositions of place
The imperative
Functions: Describing rooms
There’s a poster, a bed, pillows, a desk, a wardrobe and a bookcase in
the bedroom.
Describing location
Where is the lamp?
On the bedside cabinet.
Talking about household bugs
There are bugs in every house.
Cockroaches can hide behind the fridge.

158
Talking about your room & your things
Wow! Your room is great!
Thanks. It’s quite big.
What’s this?
That’s my DVD player and that’s my computer over there.
Describing landmarks around the world
The Eiffel Tower is in Paris.
Some parts of the Great Wall of China are 2,000 years old.
Talking about your house
What does your house look like?
It’s big and green. It has got two floors and seven rooms.
Talking about your house & bedroom
How many rooms are there in your house?
There are seven rooms.
What colour is your bedroom?
It’s blue.
Pronunciation: Intonation in questions
Are you a student?
Who are you?
2) Language Skills
Listening: ฟังเพื่อหาข้อมูลเฉพาะ, ฟังการออกเสียงประโยค
Speaking: พูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในห้องต่าง ๆ, พูดขอ
และให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่มีและไม่มีในภาพ, พูดออกคำสั่ง, พูดขอและให้
ข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของสิ่งของต่าง ๆ, พูดสิ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับแมลง,
อภิปรายวิธีป้ องกันไม่ให้มีแมลงในบ้าน, พูดสนทนาตามสถานการณ์ที่
กำหนด, พูดนำเสนอ landmark ตามจินตนาการ, พูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยว
กับบ้านของตนเอง, พูดสนทนาเกี่ยวกับบ้านของตนเอง
Reading: อ่านเพื่อหาข้อมูลเฉพาะ, อ่านออกเสียงบทสนทนา
Writing: เขียนบรรยายห้องนอนในความคิดของตนเอง, เขียนบรรยายสิ่งของที่มี
และไม่มีในภาพ, เขียนให้ข้อมูลเกี่ยวกับแมลง, แต่งบทสนทนาตาม
สถานการณ์ที่กำหนด, เขียนบรรยาย landmarks ในประเทศไทยและ
ประเทศอื่น, เขียนอีเมลเล่าเกี่ยวกับบ้านของตนเอง, เขียนบรรยายเกี่ยวกับ
บ้านแบบดั้งเดิมของไทย
3) Culture landmarks

4 สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน

159
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคิด
3) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

5 คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1) ใฝ่ เรียนรู้
2) มุ่งมั่นในการทำงาน
3) รักความเป็นไทย

6 ชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด)
1) พูดนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง
2) ชิ้นงานโปสเตอร์ unusual building
3) วาดภาพและเขียนบรรยายห้องนอนในความคิดของตนเอง
4) พูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของสิ่งของต่าง ๆ ในภาพ
5) ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับแมลงและเขียนนำเสนอ
6) อ่านออกเสียงบทสนทนา
7) แต่งบทสนทนาตามสถานการณ์ที่กำหนด
8) พูดสนทนาตามสถานการณ์ที่กำหนด
9) จัดบอร์ดเกี่ยวกับ landmarks ของประเทศที่สนใจ
10) เขียนอีเมลเกี่ยวกับบ้านของตนเอง
11) ค้นคว้าและเขียนบรรยายเกี่ยวกับบ้านแบบดั้งเดิมของไทย

7 การวัดและการประเมินผล
7.1 การประเมินก่อนเรียน
7.2 การประเมินระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
7.3 การประเมินหลังเรียน
7.4 การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด)

160
1 Reading 3a & Vocabulary 3a

2 ชั่วโมง

จุดประสงค์การเรียนรู้
- ตอบคำถามและเขียนให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่อ่านได้
- เขียนบรรยายบ้านและห้องนอนในความคิดของตนเองได้
- ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ unusual building และนำเสนอได้
- พูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในห้องต่าง ๆ ได้

1. สาระ มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด
สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็น
อย่างมีเหตุผล
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.1 ม. 1/3 เลือก/ระบุประโยคและข้อความให้สัมพันธ์กับสื่อที่ไม่ใช่ความเรียง (non-text
information) ที่อ่าน
ต 1.1 ม. 1/4 ระบุหัวข้อเรื่อง (topic) ใจความสำคัญ (main idea) และตอบคำถามจากการฟังและ
อ่านบทสนทนา นิทาน และเรื่องสั้น
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและ
ความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.2 ม. 1/1 สนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง กิจกรรม และสถานการณ์ต่าง ๆ
ในชีวิตประจำวัน
ต 1.2 ม. 1/4 พูดและเขียนเพื่อขอและให้ข้อมูล และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังหรืออ่าน
อย่างเหมาะสม
มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด
และการเขียน
ตัวชี้วัดระหว่างทาง

161
ต 1.3 ม. 1/1 พูดและเขียนบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อม
ใกล้ตัว

2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
การเรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับห้องต่าง ๆ เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ จะช่วยให้เข้าใจและบอกรายละเอียด
ของเรื่องที่อ่านได้ นอกจากนี้ยังสามารถนำคำศัพท์ที่เรียนไปใช้พูดและเขียนให้ข้อมูลเกี่ยวกับบ้านของ
ตนเองได้อย่างถูกต้อง

3. สาระการเรียนรู้
3.1 ทักษะเฉพาะวิชา
1) Language Features and Functions
Vocabulary: Rooms (bedroom, bathroom, living room, kitchen, hall)
Furniture & appliances (cupboard, cooker, ceiling, pillow, bed, bedside
cabinet, wall, fireplace, window, floor, sofa, mirror, toilet, washbasin,
stair, door)
Nouns (building, fan, office, shape, violin, lift, floor, dream home, great
view, metal, wood, summer, winter)
Adjectives (unusual, cool, four-storey, warm, crazy)
Adverbs (outside, inside)
Functions: Describing rooms
There’s a poster, a bed, pillows, a desk, a wardrobe and a bookcase in
the bedroom.
2) Language Skills
Listening: ฟังเพื่อหาข้อมูลเฉพาะ
Speaking: พูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในห้องต่าง ๆ
Reading: อ่านเพื่อหาข้อมูลเฉพาะ
Writing: เขียนบรรยายห้องนอนในความคิดของตนเอง

4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคิด
3) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1) ใฝ่ เรียนรู้
162
2) มุ่งมั่นในการทำงาน

6. กิจกรรมการเรียนรู้

ชั่วโมงที่ 1
ขั้น Warm up
1. ครูให้นักเรียนดูภาพบ้านที่แตกต่างกัน 2 ภาพ

ภาพจาก: https://www.pexels.com/photo/gray-2-storey-house-at-daytime-164516/
ภาพจาก: https://www.pexels.com/photo/architecture-daylight-driveway-entrance-277667/
แล้วสนทนากับนักเรียนหลาย ๆ คน เช่น
T: Do you like a house with a garden?
S1: Yes.
T: Which house do you like: the two-storey house or the house with a garage?
S1: I like the two-storey house.
T: Why?
S1: Because there are many rooms in the house.

2. ครูสุ่มถามนักเรียน 3-4 คน เกี่ยวกับบ้านของนักเรียน เช่น


T: How many rooms are there in your house?
S2: There are four rooms in my house.
T: What’s your favourite room?
S2: My favourite room is the kitchen.
3. ให้นักเรียนอ่านชื่อหน่วยการเรียนรู้ (Homes!) ในหนังสือเรียน หน้า 33 จากนั้นครูเขียนคำว่า home
และ house บนกระดาน ให้นักเรียนเดาว่า 2 คำนี้แตกต่างกันอย่างไร

House กับ Home ใช้แทนกันได้ในหลายกรณี เพราะทั้ง 2 คำนี้ แปลว่า “บ้าน” เช่น


“ฉันจะกลับบ้าน” พูดได้ 2 แบบ คือ
I’m going to go back home. หรือ I’m going to go back to my house.

163
แต่คำว่า Home จะมีความหมายกว้างกว่า เพราะ House หมายถึงแค่ตัวอาคารหรือ
สิ่งปลูกสร้าง ส่วน Home นอกจากจะหมายถึงตัวอาคาร ยังหมายถึงประเทศ เมือง
จังหวัด หรือเขตได้ด้วย เช่น
Thailand is my home. Bangkok is my home. Chiang Mai is my home.
แต่จะไม่พูดว่า Thailand/Bangkok/Chiang Mai is house.
มากกว่านั้น Home จะมีความรู้สึกถึงครอบครัวมากกว่า House ที่เป็นรูปธรรม
อย่างเดียว จึงมีคำพูดที่ว่า A house is made of brick and stone; a home is made of
love alone. ซึ่งแปลว่า House สร้างมาจากอิฐกับหิน แต่ Home สร้างมาจากความรัก
อย่างเดียว
ที่มา: http://www.ajarnadam.tv/blog/house-home#signup1

4. Find the page numbers for หน้า 33 นักเรียนอ่านคำที่กำหนด แล้วครูอธิบายคำว่า landmark


landmark (n) = something, such as a large building, that you can see clearly from a
distance and that will help you to know where you are (จุดสังเกต)
จากนั้นให้นักเรียนหาว่าภาพที่เกี่ยวข้องกับคำเหล่านี้อยู่ในหนังสือเรียนหน้าใด เมื่อหาพบแล้วครู
ถามคำถามเพื่อดึงความสนใจของนักเรียนเข้าสู่บทเรียน

a building like a violin and a piano (p. 34)


Where do you think this is? What type of building do you think it is?
Are there any such unusual buildings in your country?
bugs (p. 38)
What are bugs? Do you know any of the bugs in the pictures?
landmarks (p. 40)
Do you know where these landmarks are?
What is the most famous landmark in your country?
Can you think of any other famous landmarks around the world?

ขั้น Pre-reading
1. หนังสือเรียน หน้า 33 Ex. 1 นักเรียนดูภาพห้องต่าง ๆ ภายในบ้าน และช่วยกันระบุว่าคือห้องอะไร
จากนั้นครูเปิ ด CD ให้นักเรียนฟังคำศัพท์เกี่ยวกับห้องต่าง ๆ และออกเสียงตามพร้อมกัน แล้วจับคู่คำ
ศัพท์กับภาพ

164
1 kitchen 2 living room 3 bedroom
4 bathroom 5 hall

2. หนังสือเรียน หน้า 33 Ex. 2 ครูเปิ ด CD ให้นักเรียนฟังคำศัพท์เกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ แล้ว


ออกเสียงตามพร้อมกัน โดยเน้นเสียงหนักในคำให้ถูกต้อง จากนั้นครูพูดคำศัพท์ทีละคำ ให้นักเรียน
บอกเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้เป็นภาษาไทย

พยางค์ที่พิมพ์ตัวหนาคือพยางค์ที่เน้นเสียงหนัก
bathroom bedroom kitchen living room
bedside cabinet ceiling cooker cupboard
fireplace mirror pillow sofa
toilet window
3. THINK! หนังสือเรียน หน้า 33 นักเรียนทำงานคู่ เขียนหัวข้อ rooms, furniture, other ลงในสมุด
แล้วจัดคำศัพท์ให้ถูกต้องตามหัวข้อ เสร็จแล้วครูและนักเรียนช่วยกันเฉลยคำตอบบนกระดาน

rooms: bedroom, living room, hall, bathroom, kitchen


furniture: bedside cabinet, bed, sofa
other: cupboards, cooker, wall, window, fireplace, floor, ceiling, pillows,
toilet, washbasin, mirror, door, stairs

จากนั้นให้นักเรียนแต่งประโยคเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ที่มีในแต่ละห้องในภาพ 1-5 โดย


ใช้โครงสร้าง There is/There are
สำหรับชั้นเรียนเด็กอ่อนครูอาจจะทบทวนการใช้ There is/There are ก่อนให้นักเรียนแต่งประโยค
- There is + singular noun/uncountable noun
- There are + plural noun
เมื่อนักเรียนแต่งประโยคเสร็จแล้วครูสุ่มเรียกนักเรียนพูดประโยค โดยให้นักเรียนในชั้นช่วยกัน
ตรวจความถูกต้อง

There is a cooker in the kitchen.


There is a fireplace and a sofa in the living room.
There is a bed and a bedside cabinet in the bedroom.
There is a mirror and a toilet in the bathroom.

165
4. ครูทบทวนวลี look like แปลว่า “ดูเหมือน” “ดูคล้ายกับ” เพื่อใช้บอกลักษณะ โดยยกตัวอย่างบน
กระดาน เช่น That cloud looks like a cake. He looks like his father. ให้นักเรียนดูประโยคและช่วย
กันบอกว่า look like ต้องตามด้วยคำประเภทใด (คำนาม)
5. นักเรียนอ่านคำศัพท์ในกรอบ Check these words หนังสือเรียน หน้า 34 และช่วยกันอธิบายความ
หมาย ถ้าคำใดนักเรียนไม่รู้ ครูช่วยอธิบายหรือให้นักเรียนเปิ ดหาความหมายในพจนานุกรม เช่น
unusual (adj) = different from what is usual or ordinary (ผิดปกติ)
fan (n) = a person who admires somebody/something or enjoys watching or
listening to somebody/something very much (คนคลั่งไคล้สิ่งใด
สิ่งหนึ่ง)
floor (n) = a level of a building (ชั้นอาคาร)
cool (adj) = fairly cold; not hot or warm (อากาศเย็นสบาย)
metal (n) = a hard, usually shiny substance such as iron, gold or steal (โลหะ)
storey (n) = a floor or level of a building (ชั้นของอาคาร)
crazy (adj) = be very interested in something (คลั่งไคล้)
6. หนังสือเรียน หน้า 34 Ex. 1 นักเรียนดูภาพและบอกว่าเห็นอะไร แล้วคิดว่าอาคารในภาพดูคล้ายกับ
อะไร โดยครูถามว่า Which building looks like: a football? a violin? a piano? จากนั้นครูเปิ ด CD ให้
นักเรียนฟังและอ่านบทอ่านตามไปด้วย เพื่อตรวจคำตอบ

The building in text A looks like a football.


The building in text B looks like a piano and a violin.

ขั้น Reading
หนังสือเรียน หน้า 34 Ex. 2 นักเรียนอ่านประโยคที่กำหนดให้และขีดเส้นใต้คำสำคัญในแต่ละ
ประโยค จากนั้นอ่านบทอ่านเพื่อมองหาคำพ้องความหมาย (synonym) คำที่มีความหมายตรงกันข้าม
(opposite) หรือกลุ่มคำ/วลีที่มีความหมายเหมือนกันหรือต่างกันกับคำสำคัญที่ขีดเส้นใต้ไว้ แล้วตอบ
ว่าประโยคประโยคที่กำหนดให้ถูกหรือผิด หรือไม่ได้กล่าวถึงในบทอ่าน เสร็จแล้วครูเฉลยคำตอบ

1 F 2 T 3 F 4 DS 5 T 6 DS

ขั้น Post-reading
1. หนังสือเรียน หน้า 34 Ex. 3 นักเรียนปิ ดหนังสือเรียนและพยายามนึกถึง 2 สิ่งที่จำได้จากบทอ่าน
แล้วเขียนลงในสมุด จากนั้นให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนผลัดกันบอกสิ่งที่จำได้ แล้วครูสุ่มเรียก
นักเรียน 3-4 คน บอกให้เพื่อนในชั้นฟัง และให้เพื่อนเปิ ดหนังสือเรียนเพื่อตรวจว่าถูกต้องหรือไม่

166
Jan Sonkie’s house is in Africa. It is in the shape of a football.
The office in China is in the shape of a piano and a violin.

2. หนังสือเรียน หน้า 34 Ex. 4 ให้นักเรียนใช้คำที่กำหนดให้เขียนเกี่ยวกับบ้านในความคิดของตนเอง


เสร็จแล้วครูสุ่มเรียกนักเรียน 2-3 คน อ่านให้เพื่อนฟัง

My ideal house is in the shape of a basketball. It’s got big rooms and a great view
from its windows. There’s a garden outside the house. In the living room there’s
a fireplace.

3. นักเรียนรวมกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ให้แต่ละกลุ่มค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ unusual building มากลุ่มละ


1 สถานที่ โดยให้มีรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ตั้ง รูปร่าง อาคาร/สิ่งก่อสร้างนั้นใช้ทำอะไร ลักษณะ
พิเศษ/ลักษณะเด่น แล้วนำข้อมูลที่ค้นคว้าได้มาทำโปสเตอร์ พร้อมติดภาพประกอบและตกแต่งให้
น่าสนใจ จากนั้นให้แต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลงานในชั่วโมงถัดไป แล้วนำผลงานไปจัดบอร์ดใน
ชั้นเรียนห้องเรียน เพื่อให้เพื่อนได้ศึกษาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
4. แบบฝึกหัด (Workbook) หน้า 20 Exs. 1-3 ให้นักเรียนทำเป็นการบ้าน

ชั่วโมงที่ 2

ขั้น Warm up
นักเรียนเล่นเกม Noughts and Crosses ทบทวนคำศัพท์เกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ โดยครู
เขียนตาราง 9 ช่องบนกระดาน และเขียนคำศัพท์ bedroom, kitchen, living room, bathroom ลงไป
ช่องละ 1 คำ สามารถเขียนคำศัพท์ซ้ำกันได้จนครบทุกช่อง จากนั้นแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 ทีม ให้
ผลัดกันพูดคำศัพท์เกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ที่มีอยู่ในห้องต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ถ้าทีมใดพูดคำ
ศัพท์ถูกจะได้ทำสัญลักษณ์ X หรือ O ในตาราง ทีมที่ทำสัญลักษณ์เรียงต่อกันในแนวตั้ง แนวนอน
หรือแนวทแยงได้ก่อนจะเป็นผู้ชนะ

bedroom bathroom living room

167
kitchen living room bedroom

bathroom kitchen living room

ขั้น Presentation
1. ครูทบทวนคำศัพท์การใช้ There is/There are บอกเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ที่มีในห้องต่าง ๆ
โดยให้นักเรียนดูภาพห้องนอนและห้องนั่งเล่นที่ตัดมาจากนิตยสารหรือหาจากอินเทอร์เน็ต แล้วครู
ถามว่า What is there in the bedroom/living room? เช่น
T: (ชูภาพห้องนอน)
What is there in the bedroom?
Ss: There is a bed, pillows and a bedside
cabinet.

T: (ชูภาพห้องนั่งเล่น)
What is there in a living room?
Ss: There is a sofa, windows, chairs and
a table.

2. หนังสือเรียน หน้า 35 Ex. 5 ครูนำเสนอคำศัพท์เกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้เพิ่มเติม โดยให้


นักเรียนดูภาพและคำศัพท์ แล้วครูเปิ ด CD ให้นักเรียนฟังและออกเสียงตามพร้อมกัน ต่อมาครู
สุ่มเรียกนักเรียนให้ออกเสียงคำศัพท์ทีละคน โดยให้นักเรียนออกเสียงเน้นหนักให้ถูกต้อง จากนั้น
ให้นักเรียนช่วยกันบอกความหมายของคำศัพท์โดยเดาจากภาพ

พยางค์ที่พิมพ์ตัวหนาคือพยางค์ที่เน้นเสียงหนัก
armchair curtain poster
bookcase cushion table
carpet painting wardrobe

ขั้น Practice
1. หนังสือเรียน หน้า 35 Ex. 6 นักเรียนเขียนคำศัพท์เกี่ยวกับห้องต่าง ๆ ลงในสมุด ครูให้เวลานักเรียน
ดูภาพห้องต่าง ๆ 1 นาที และปิ ดหนังสือเรียน แล้วเขียนคำศัพท์เกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ใน
แต่ละห้องให้ได้มากที่สุด ครูสุ่มเรียกนักเรียนออกมาเขียนคำศัพท์บนกระดาน โดยให้นักเรียนช่วย
กันตรวจคำตอบ จากนั้นช่วยกันคิดคำศัพท์เกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในห้องต่าง ๆ เพิ่มเติม

168
Bedroom: pillows, wardrobe, poster, desk, bookcase (bed, bedside cabinet,
lamp, computer)
Living room: painting, carpet, armchair, curtains, sofa, cushions (coffee table,
lamp, TV)
Bathroom: mirror, bath (washbasin, toilet, towel rail)
Kitchen: sink, cooker, fridge, chair, table (cupboards, microwave, oven)

2. หนังสือเรียน หน้า 35 Ex. 7 นักเรียนจับคู่กับเพื่อน ผลัดกันดูภาพและพูดถาม-ตอบเกี่ยวกับ


เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ที่มีในแต่ละห้อง ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมรอบ ๆ ชั้นเรียน และสุ่มเรียก
นักเรียน 3-4 คู่ ยืนขึ้นพูดถาม-ตอบให้เพื่อนฟัง

A: What is there in the bedroom?


B: There’s a poster, a bed, pillows, a desk, a wardrobe and a bookcase.
A: What is there in the bathroom?
B: There’s a washbasin, a toilet, a bath and a mirror.
A: What is there in the living room?
B: There is a painting, a sofa, an armchair, curtains, cushions and a carpet.
A: What is there in the kitchen?
B: There’s a cooker, a fridge, a sink, a table and a chair.

ขั้น Production
1. หนังสือเรียน หน้า 35 Ex. 8 ให้นักเรียนวาดภาพห้องนอนในความคิดของตนเอง พร้อมทั้งเขียน
บรรยาย เสร็จแล้วให้นักเรียนเปรียบเทียบกับเพื่อนที่นั่งข้างกันเพื่อหาว่ามีอะไรที่เหมือนกันและต่าง
กันบ้าง จากนั้นครูสุ่มเรียกนักเรียน 4-5 คน ออกมาพูดนำเสนอให้เพื่อนฟังที่หน้าชั้น

My ideal bedroom has got a big bed with lots of pillows. There’s a wardrobe and a
bookcase. There’s a carpet on the floor and posters on the wall. My bedroom is cool!

2. นักเรียนทำ Language Review 3a Ex. 1 ในหนังสือเรียน หน้า 107 ร่วมกันในชั้น


3. ครูมอบหมายให้นักเรียนหาภาพห้องในบ้านมา 1 ห้อง จากนิตยสารหรืออินเทอร์เน็ต และเตรียมมา
ในชั่วโมงถัดไป
4. แบบฝึกหัด (Workbook) หน้า 21 Exs. 4-6 ให้นักเรียนทำเป็นการบ้าน

169
7. การวัดและการประเมินผล
วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การผ่าน
ตรวจการตอบคำถามจากการอ่าน แบบฝึกหัด (Workbook) ร้อยละ 60
สังเกตการพูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับ แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ระดับคุณภาพ พอใช้
เฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ในห้องต่าง ๆ
ประเมินชิ้นงานโปสเตอร์ unusual แบบประเมินชิ้นงาน ระดับคุณภาพ พอใช้
building
ประเมินการวาดภาพและเขียนบรรยาย แบบประเมินการเขียน ระดับคุณภาพ พอใช้
ห้องนอนในความคิดของตนเอง
สังเกตความใฝ่ เรียนรู้และความมุ่งมั่น แบบประเมินคุณลักษณะ ระดับคุณภาพ ผ่าน
ในการทำงาน อันพึงประสงค์

8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1) หนังสือเรียน SPARK 1 ม. 1
2) Class Audio CDs ประกอบสื่อฯ ชุด SPARK 1 ม. 1
3) แบบฝึกหัด SPARK 1 ม. 1
4) พจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษ
5) พจนานุกรมออนไลน์
6) อินเทอร์เน็ต
7) ภาพบ้าน ห้องนอน และห้องนั่งเล่น

170
2 Grammar 3b

2 ชั่วโมง

จุดประสงค์การเรียนรู้
- พูดขอและให้ข้อมูลและเขียนบรรยายสิ่งที่มีและไม่มีได้
- พูดออกคำสั่งและปฏิบัติตามคำสั่งได้
- เปรียบเทียบการใช้คำนำหน้านามในภาษาอังกฤษและภาษาไทยได้
- พูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของสิ่งของต่าง ๆ ได้

1. สาระ มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด
สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็น
อย่างมีเหตุผล
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.1 ม. 1/1 ปฏิบัติตามคำสั่ง คำขอร้อง คำแนะนำ และคำชี้แจงง่าย ๆ ที่ฟังและอ่าน
ต 1.1 ม. 1/3 เลือก/ระบุประโยคและข้อความ ให้สัมพันธ์กับสื่อที่ไม่ใช่ความเรียง (non-text
information) ที่อ่าน
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและ
ความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวชี้วัดระหว่างทาง

171
ต 1.2 ม. 1/1 สนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง กิจกรรม และสถานการณ์ต่าง ๆ
ในชีวิตประจำวัน
มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด
และการเขียน
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.3 ม. 1/1 พูดและเขียนบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อม
ใกล้ตัว

สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
กับภาษาและวัฒนธรรมไทย และนำมาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 2.2 ม. 1/1 บอกความเหมือนและความแตกต่างระหว่างการออกเสียงประโยคชนิดต่าง ๆ การใช้
เครื่องหมายวรรคตอน และการลำดับคำตามโครงสร้างประโยคของภาษาต่างประเทศ
และภาษาไทย

2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
การรู้และเข้าใจโครงสร้างภาษา ช่วยให้สามารถพูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งของใกล้ตัวได้อย่าง
ถูกต้อง

3. สาระการเรียนรู้
3.1 ทักษะเฉพาะวิชา
1) Language Features and Functions
Grammar: there is/there are
a/an – some/any
Prepositions of place
The imperative
Functions: Describing location
Where is the lamp?
On the bedside cabinet.
2) Language Skills
Speaking: พูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่มีและไม่มีในภาพ, พูดออกคำสั่ง,
พูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งของสิ่งของต่าง ๆ
Writing: เขียนบรรยายสิ่งของที่มีและไม่มีในภาพ

4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
1) ความสามารถในการสื่อสาร

172
2) ความสามารถในการคิด

5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
- ใฝ่ เรียนรู้

6. กิจกรรมการเรียนรู้

ชั่วโมงที่ 1
ขั้น Warm up
นักเรียนเล่นเกม Which room am I in? ครูให้นักเรียนคนหนึ่งสมมติว่าตนเองอยู่ในห้องหนึ่งห้อง
แล้วพูดประโยคบอกเพื่อนเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้ที่มีในห้องนั้นทีละชิ้น ให้เพื่อนในชั้น
ทายว่าเป็นห้องอะไร ถ้าใครทายถูกต้องจะได้เป็นคนพูดประโยคคนต่อไป เช่น
S1: There’s a chair in it.
S2: You are in a bedroom.
S1: No! There’s a fridge in it.
S3: You are in a kitchen.
S1: Correct!
S3: There’s a pillow in it.

ขั้น Presentation
1. ครูทบทวนการใช้ there is/there are โดยยกตัวอย่างประโยคบนกระดาน และขีดเส้นใต้คำนามหลัง
there is/there are
There is a book on the desk.
There is some orange juice in the fridge.
There are two chairs in a bedroom.
There are four books on the table.
ให้นักเรียนอ่านประโยคพร้อมกัน และบอกความหมายของ there is/there are จากนั้นครูถามว่าจะใช้
there is/there are อย่างไร (there is ใช้กับคำนามเอกพจน์และคำนามนับไม่ได้ ส่วน there are ใช้กับ
คำนามพหูพจน์)
2. ครูกำหนดคำศัพท์ จากนั้นสุ่มเรียกนักเรียนให้แต่งประโยคจากคำศัพท์ดังกล่าวโดยใช้ There is หรือ
There are แล้วครูเขียนประโยคที่นักเรียนแต่งบนกระดาน เช่น
a bed, a bedroom  There is a bed in a bedroom.
a television, a living room  There is a a television in a living room.
three chairs, a kitchen  There are three chair in a kitchen.
two pillows, a bedroom  There are two pillows in a bedroom.
3. ครูให้นักเรียนช่วยกันเปลี่ยนประโยคบนกระดานให้เป็นประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธ เช่น

173
There is a bed in a bedroom.  Is there a bed in a bedroom?
 There isn’t a bed in a bedroom.
There are three chairs in a kitchen.  Are there three chairs in a kitchen?
 There aren’t three chairs in a kitchen.
แล้วช่วยกันสรุปการทำเป็นประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธ (ประโยคคำถามให้ย้าย is, are มาขึ้น
ต้นประโยค ส่วนประโยคปฏิเสธให้เติม not (n’t) หลัง is, are) จากนั้นครูเขียนโครงสร้างบน
กระดาน
ประโยคคำถาม Is there/Are there + noun …?
ประโยคปฏิเสธ There is/There are + not (n’t) + noun …
4. หนังสือเรียน หน้า 36 Ex. 1 นักเรียนอ่านตัวอย่างประโยคในตาราง เพื่อทบทวนโครงสร้างประโยค
แล้วเติมกฎการใช้ there is, there are ให้ถูกต้อง

1 there is/there isn’t 2 there are/there aren’t


3 Is there/Are there

5. ครูทบทวนการใช้ a, an, some และ any โดยยกตัวอย่างประโยคบนกระดาน


There is a picture on the wall.
She has got a dog.
There is an orange on the table.
Tom eats an apple in the morning.
There are some books on the table.
There is some sugar in a bowl.
There aren’t any plates on the table.
There isn’t any rice in the pot.
Is there any sugar in the box?
Are there any tables in the bedroom?
ให้นักเรียนสังเกตคำนามที่ตามหลัง a, an, some, any และโครงสร้างประโยค แล้วช่วยกันสรุปวิธีใช้
- a ใช้กับคำนามเอกพจน์ที่ขึ้นต้นด้วยเสียงพยัญชนะ
- an ใช้กับคำนามเอกพจน์ที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระ
- some ใช้ในประโยคบอกเล่า ใช้กับคำนามนับได้รูปพหูพจน์และคำนามนับไม่ได้
- any ใช้ในประโยคคำถามและปฏิเสธ ใช้กับคำนามนับได้รูปพหูพจน์และคำนามนับไม่
ได้
6. หนังสือเรียน หน้า 36 Ex. 4 นักเรียนอ่านตัวอย่างประโยค แล้วเติมกฎการใช้ a/an – some/any ให้ถูก
ต้อง จากนั้นให้นักเรียนช่วยกันคิดว่าในภาษาไทยมีการใช้คำนำหน้านามในลักษณะเช่นนี้หรือไม่

174
1 a/an/some 2 any 3 any

ขั้น Practice
1. หนังสือเรียน หน้า 36 Ex. 2 นักเรียนดูภาพและเติม Is there หรือ Are there ลงในประโยคคำถาม
พร้อมทั้งตอบคำถามให้ถูกต้อง จากนั้นครูสุ่มเรียกนักเรียน 5 คู่ พูดถาม-ตอบกัน โดยให้นักเรียน
ที่เหลือช่วยกันตรวจคำตอบ

2. Are there, Yes, there are. 3 Are there, Yes, there are.
4 Is there, No, there isn’t. 5 Are there, No, there aren’t
6 Are there, No, there aren’t.

2. หนังสือเรียน หน้า 36 Ex. 3 นักเรียนเติมประโยคเกี่ยวกับห้องนอนของตนเองตามความเป็นจริง โดย


ใช้ there is, there isn’t, there are, there aren’t เสร็จแล้วครูสุ่มเรียกนักเรียนหลาย ๆ คน อ่านประโยค
ให้เพื่อนฟัง ถ้ามีจุดผิดให้นักเรียนช่วยกันแก้ไขให้ถูกต้อง

1 there is 2 there is 3 there aren’t


4 there is 5 there aren’t 6 there is
7 there aren’t 8 there are

3. หนังสือเรียน หน้า 36 Ex. 5 นักเรียนเติม some หรือ any ลงในประโยคให้ถูกต้อง เสร็จแล้วครู


สุ่มเรียกนักเรียนบอกคำตอบ และครูเฉลยคำตอบ

1 any 2 any 3 any 4 some 5 some

ขั้น Production
1. ครูแจกกระดาษ A4 ให้นักเรียนคนละ 1 แผ่น ให้นักเรียนติดภาพห้องในบ้านที่เตรียมมา ครูอาจจะ
เตรียมภาพจากนิตยสารหรืออินเทอร์เน็ตมาเผื่อสำหรับนักเรียนที่ไม่ได้เตรียมภาพมา จากนั้นให้
นักเรียนเขียนบรรยายสิ่งที่มีและไม่มีในภาพโดยใช้โครงสร้าง there is/there are ร่วมกับ a/an –
some/any
2. ให้นักเรียนจับคู่ ผลัดกันพูดถาม-ตอบเกี่ยวกับสิ่งที่มีและไม่มีในภาพของนักเรียน โดยใช้คำถาม
Is there/Are there …? เช่น Is there a sofa in your living room?
3. แบบฝึกหัด (Workbook) หน้า 22-23 Exs. 1-6 ให้นักเรียนทำเป็นการบ้าน

175
ชั่วโมงที่ 2

ขั้น Warm up
ครูแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 ทีม เพื่อเล่นเกม แล้วอธิบายว่า ครูจะพูดประโยคซึ่งมีจุดผิด ให้แต่ละทีม
แข่งกันออกมาเขียนประโยคที่ถูกต้องบนกระดาน ทีมใดเขียนเสร็จก่อนและถูกต้องจะได้ 1 คะแนน
สุดท้ายทีมที่ได้คะแนนมากกว่าจะเป็นผู้ชนะ
ตัวอย่างประโยคที่มีจุดผิด
There is some chairs in the kitchen.
Is there some pillows in the bedroom?
There is some pictures on the wall.
There are some milk in the glass.
There is any book on the table.
There aren’t some students in the class.
Are there some ice in the box?
Is there some pens in the pencil case?
ขั้น Presentation
1. ครูทบทวน prepositions of place: in, on, under, behind, next to, in front of, between โดยนำ
หนังสือไปวางยังที่ต่าง ๆ พร้อมกับพูดประโยค ให้นักเรียนพูดตาม เช่น
- วางหนังสือบนโต๊ะ พร้อมกับพูดว่า The book is on the desk.
- วางหนังสือในกระเป๋ า พร้อมกับพูดว่า The book is in a bag.
ต่อมาครูเขียนประโยคต่อไปนี้บนกระดาน
There are two pens on the desk.
There is the bone in the bowl.
My house is next to a shop.
The balls are under the sofa.
ให้นักเรียนสังเกตตำแหน่งของ prepositions of place ในประโยค แล้วครูอธิบายว่า prepositions of
place มักจะอยู่ระหว่างคำนามกับคำนาม เพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำนามที่อยู่ข้างหน้า
preposition กับคำนามที่ตามหลัง preposition
จากนั้นครูนำปากกาไปวางในที่ต่าง ๆ และถามคำถาม ให้นักเรียนบอกตำแหน่งของปากกา เช่น
T: (วางปากกาไว้บนโต๊ะนักเรียนคนหนึ่ง) Where’s my pen?
Ss: It’s on a desk.
2. ครูนำสิ่งของไปวางตามที่ต่าง ๆ ในชั้นเรียน เพื่อให้นักเรียนบอกตำแหน่งของสิ่งของ เช่น
- วางหนังสือบนโต๊ะ A book is on the table.
- วางกระเป๋ าของนักเรียนใต้โต๊ะ A schoolbag is under the table.
- วางกล่องถัดจากชั้นหนังสือ A box is next to a bookcase.
3. ครูยกตัวอย่างประโยคคำสั่งบนกระดาน

176
Close the door.
Turn off the light.
และถามนักเรียนว่าประโยคคำสั่งจะขึ้นต้นประโยคด้วยคำประเภทใด (คำกริยาช่องที่ 1) แล้วครู
อธิบายว่าเราสามารถนำ please มาวางไว้ท้ายประโยคคำสั่งเพื่อทำให้ประโยคสุภาพมากขึ้น เช่น
Close the door, please.
ต่อมาครูยกตัวอย่างประโยคคำสั่งห้าม
Don’t use the phone in the cinema.
Don’t close the door.
ให้นักเรียนสังเกตว่า ประโยคคำสั่งห้ามจะขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่าอะไร แล้วครูอธิบายว่า ประโยค
คำสั่งห้ามจะขึ้นต้นประโยคด้วย don’t และตามด้วยคำกริยาช่องที่ 1
4. ครูพูดประโยคคำสั่ง และให้นักเรียนทุกคนปฏิบัติตาม เช่น
T: Stand up.
Ss: (ยืนขึ้น)
T: Close your book.
Ss: (นั่งลง)
จากนั้นครูสุ่มเรียกนักเรียนเป็นรายบุคคลให้ปฏิบัติตามคำสั่ง เช่น
T: Nita, write your name on the board.
Nita: (เขียนชื่อตนเองบนกระดาน)
5. ครูนำเสนอการใช้ Let’s เพื่อชักชวนให้ทำบางสิ่งบางอย่าง ด้วยการยกตัวอย่างบนกระดาน เช่น
Let’s have lunch.
Let’s go shopping.
ครูถามนักเรียนว่า หลัง Let’s จะตามด้วยคำประเภทใด (คำกริยาช่องที่ 1) จากนั้นครูสุ่มเรียกนักเรียน
2-3 คน พูดประโยคที่ใช้ Let’s โดยครูกำหนดคำกริยาให้ เช่น
T: Do homework
S1: Let’s do homework.
T: Watch a film
S1: Let’s watch a film.

ขั้น Practice
1. หนังสือเรียน หน้า 37 Ex. 6 นักเรียนดูภาพ แล้วครูสุ่มเรียกนักเรียนพูดบอกตำแหน่งของลูกบอลที่
อยู่ในภาพ โดยให้นักเรียนในชั้นช่วยกันตรวจความถูกต้อง

The ball is on the box. The ball is under the box.


The ball is behind the box. The ball is next to the box.
The ball is in front of the box. The ball is between the two boxes.

177
2. ครูนำสิ่งของ 5 อย่าง ไปวางตามจุดต่าง ๆ ในชั้นเรียน แล้วสุ่มเรียกนักเรียน 5 คน ให้ยืนขึ้นถาม
ตำแหน่งของสิ่งของที่ครูนำไปวาง ให้นักเรียนในชั้นช่วยกันตอบคำถาม เช่น
S1: Where is the watch?
Ss: It’s on the book.
S2: Where is the scarf?
Ss: It’s in the handbag.
3. หนังสือเรียน หน้า 37 Ex. 7 นักเรียนดูภาพ แล้วเติม preposition ลงในข้อความให้ถูกต้อง เสร็จแล้ว
ครูสุ่มเรียกนักเรียนอ่านคนละ 1 ประโยค

1 between 2 on 3 in front of
4 in 5 behind 6 on

4. หนังสือเรียน หน้า 37 Ex. 8 นักเรียนอ่านตัวอย่างประโยคในกรอบ และระบุว่าประโยคใดเป็นคำสั่ง


คำสั่งห้าม และคำชักชวน จากนั้นให้นักเรียนดูภาพ และใช้คำกริยาที่กำหนดให้เติมประโยคให้
สัมพันธ์กับภาพ เสร็จแล้วครูเฉลยคำตอบ

1 Don’t jump 2 Let’s go 3 Come


4 Let’s dance 5 Open 6 Don’t talk

5. ครูให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 5 คน ให้สมาชิกแต่ละคนผลัดกันพูดออกคำสั่งคนละ 2 คำสั่ง ให้


สมาชิกคนอื่น ๆ ปฏิบัติตามคำสั่ง โดยแต่ละคนจะต้องไม่ออกคำสั่งซ้ำกัน ครูคอยสังเกตว่านักเรียน
พูดออกคำสั่งและปฏิบัติตามคำสั่งถูกต้องหรือไม่

ขั้น Production
1. หนังสือเรียน หน้า 37 Ex. 9 นักเรียนจับคู่กันพูดถาม-ตอบเกี่ยวกับตำแหน่งของสิ่งของต่าง ๆ ในภาพ
ตามที่กำหนด ครูเดินสังเกตขณะนักเรียนทำกิจกรรม แล้วสุ่มเรียกนักเรียนบางคู่ออกมาพูดถาม-ตอบ
ที่หน้าชั้น

A: Where is the lamp? B: On the bedside cabinet.


A: Where is the vase? B: On the bedside cabinet.
A: Where are the flowers? B: In the vase.

A: Where is the plant? B: Behind the bed.


178
A: Where are the slippers? B: Next to the bed.
A: Where is the window? B: Next to the bed.
A: Where are the books? B: In the bedside cabinet.
A: Where is the bedside cabinet? B: Between the bed and the armchair.

2. นักเรียนทำ Grammar Bank 3 ในแบบฝึกหัด (Workbook) หน้า 73 Exs. 1-5 ร่วมกันในชั้น


3. แบบฝึกหัด (Workbook) หน้า 23 Exs. 7-9 ให้นักเรียนทำเป็นการบ้าน

7. การวัดและการประเมินผล
วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การผ่าน
ตรวจการเขียนบรรยายสิ่งที่มีและไม่มี กระดาษผลงานนักเรียน ร้อยละ 60
ในภาพ
สังเกตการพูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับ แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ระดับคุณภาพ พอใช้
สิ่งที่มีและไม่มีในภาพ
สังเกตการเปรียบเทียบการใช้ แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ระดับคุณภาพ พอใช้
คำนำหน้านามในภาษาอังกฤษและ
ภาษาไทย
สังเกตการพูดออกคำสั่งและปฏิบัติ แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ระดับคุณภาพ พอใช้
ตามคำสั่ง
ประเมินการพูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยว แบบประเมินการพูด ระดับคุณภาพ พอใช้
กับตำแหน่งของสิ่งของต่าง ๆ ใน
ภาพ
สังเกตความใฝ่ เรียนรู้ แบบประเมินคุณลักษณะ ระดับคุณภาพ ผ่าน
อันพึงประสงค์

8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1) หนังสือเรียน SPARK 1 ม. 1
2) แบบฝึกหัด SPARK 1 ม. 1
3) สิ่งของต่าง ๆ เช่น นาฬิกา ปากกา หนังสือ กระเป๋ า

3 Skills 3c

2 ชั่วโมง

179
จุดประสงค์การเรียนรู้
- ตอบคำถามและพูดให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังได้
- พูดอภิปรายตามประเด็นที่กำหนดได้
- ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับแมลงและเขียนนำเสนอได้

1. สาระ มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด
สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็น
อย่างมีเหตุผล
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.1 ม. 1/4 ระบุหัวข้อเรื่อง (topic) ใจความสำคัญ (main idea) และตอบคำถามจากการฟังและ
อ่านบทสนทนา นิทาน และเรื่องสั้น
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและ
ความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.2 ม. 1/4 พูดและเขียนเพื่อขอและให้ข้อมูล และแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟังหรืออ่าน
อย่างเหมาะสม
มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด
และการเขียน
ตัวชี้วัดปลายทาง
ต 1.3 ม. 1/2 พูด/เขียนสรุปใจความสำคัญ/แก่นสาระ (theme) ที่ได้จากการวิเคราะห์
เรื่อง/เหตุการณ์ที่อยู่ในความสนใจของสังคม
สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น
มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และเป็นพื้น
ฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิ ดโลกทัศน์ของตน
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 3.1 ม. 1/1 ค้นคว้า รวบรวม และสรุปข้อมูล/ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น
จากแหล่งการเรียนรู้ และนำเสนอด้วยการพูด/การเขียน

2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
การเรียนรู้คำศัพท์เกี่ยวกับแมลง จะช่วยให้เข้าใจและบอกรายละเอียดของเรื่องที่ฟังได้ รวมถึง
สามารถนำความรู้ที่เรียนไปใช้พูด/เขียนสื่อสารและค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับแมลงได้

3. สาระการเรียนรู้
3.1 ทักษะเฉพาะวิชา
1) Language Features and Functions

180
Vocabulary: Insects (ant, flea, beetle, fly, scorpion, spider, moth, cockroach, bedbugs,
woodworm beetle)
Nouns (people, insects, creepy crawlies, smell, pieces, meals, hiding
place, spider, web, corner, castle)
Adjectives (alone, small, empty, tidy)
Pronoun (everything)
Functions: Talking about household bugs
There are bugs in every house.
Cockroaches can hide behind the fridge.
2) Language Skills
Listening: ฟังเพื่อหาข้อมูลเฉพาะ
Speaking: พูดสิ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับแมลง,
อภิปรายวิธีป้ องกันไม่ให้มีแมลงในบ้าน
Writing: เขียนให้ข้อมูลเกี่ยวกับแมลง

4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคิด
3) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1) ใฝ่ เรียนรู้
2) มุ่งมั่นในการทำงาน

6. กิจกรรมการเรียนรู้

ชั่วโมงที่ 1

ขั้น Warm up
1. นักเรียนฟังเพลงจากคลิปวิดีโอจากเว็บไซต์ https://www.youtube.com/watch?v=KwMBNJxRP_w
ครูอาจจะเปิ ดให้นักเรียนฟังเพียง 1-2 เพลง เพื่อดึงความสนใจของนักเรียนเข้าสู่บทเรียน

181
2. ครูถามนักเรียนว่า รู้จักแมลงอะไรบ้าง ให้นักเรียนช่วยกันบอกชื่อแมลงที่รู้จัก โดยสามารถพูดเป็น
ภาษาไทยได้ จากนั้นครูบอกนักเรียนว่า ในบทเรียนนี้นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับแมล แล้วครูเขียน
คำว่า insect บนกระดาน ให้นักเรียนอ่านออกเสียงตามครูพร้อมกัน 2 ครั้ง
ขั้น Pre-listening
1. นักเรียนดูภาพในหนังสือเรียน หน้า 38 แล้วครูถามว่า What can you see in this page? (Insects)
Is the boy happy? (No.)
2. หนังสือเรียน หน้า 38 Ex. 1 นักเรียนดูภาพแมลง แล้วครูเปิ ด CD ให้นักเรียนฟังคำศัพท์เกี่ยวกับ
แมลง โดยตั้งใจฟังว่าแต่ละคำลงเสียงเน้นหนักที่พยางค์ใด ครูเปิ ด CD ให้นักเรียนฝึกออกเสียงตาม
2-3 ครั้ง จากนั้นให้นักเรียนออกเสียงคำศัพท์พร้อมกัน แล้วครูสุ่มเรียกนักเรียนออกเสียงทีละคน
เมื่อนักเรียนออกเสียงได้คล่องแล้วให้ช่วยกันบอกชื่อแมลงเหล่านี้เป็นภาษาไทย
ant = มด flea = หมัด beetle = ด้วง
fly = แมลงวัน scorpion = แมงป่ อง spider = แมงมุม
moth = ผีเสื้อกลางคืน cockroach = แมลงสาบ bedbug = ตัวเรือด
woodworm beetle = ปลวก
3. นักเรียนอ่านออกเสียงคำศัพท์ในกรอบ Check these words หนังสือเรียน หน้า 38 ตามครู จากนั้นให้
ช่วยกันอธิบายความหมาย ถ้าคำใดไม่รู้ครูช่วยอธิบาย เช่น
alone (adj, adv) = without any other people (โดยลำพัง)
creepy crawlies (n) = insects (แมลง)
meal (n) = n occasion when people sit down to eat food, especially
breakfast, lunch or dinner (มื้ออาหาร)
hiding place (n) = a place where somebody/something can be hidden (ที่ซ่อน)
castle (n) = a large strong building with thick high walls and towers, built in
the past by kings or queens (ปราสาท)
tidy (adj) = having everything orderedand arranged in the right place,
or liking to keep things like this (ที่เป็นระเบียบเรียบร้อย)
4. ให้นักเรียนอ่านคำถามในหนังสือเรียน หน้า 38 Ex. 2 แล้วช่วยกันบอกคำสำคัญในคำถาม เช่น ข้อ 1
see behind fridge, cookers; ข้อ 2 find, bedroom จากนั้นให้นักเรียนลองเดาคำตอบและเปรียบเทียบ
กับเพื่อน
5. ครูบอกนักเรียนว่ากำลังจะได้ฟังเรื่อง Are you home alone? ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับแมลงที่อยู่ในบ้าน
ครูย้ำกับนักเรียนว่า ไม่จำเป็นต้องฟังออกทุกคำ ให้เน้นฟังเพื่อหาคำตอบของคำถามใน Ex. 2

ขั้น Listening

182
หนังสือเรียน หน้า 38 Ex. 2 ครูเปิ ด CD ให้นักเรียนฟัง โดยตั้งใจฟังเนื้อเรื่องส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
คำสำคัญ และจดบันทึกคำตอบ เมื่อฟังจบครูถามนักเรียนว่าตอบคำถามได้ครบหรือไม่ ครูอาจจะเปิ ด
CD ให้นักเรียนฟังอีกครั้ง เมื่อนักเรียนตอบคำถามครบแล้ว ครูขออาสาสมัครบอกคำตอบ แล้วให้
นักเรียนช่วยกันตรวจความถูกต้อง

1 Cockroaches 2 Bedbugs and moths 3 A spider


4 Woodworms 5 No.
ขั้น Post-listening
1. ครูถามนักเรียนว่า ใครเดาคำตอบถูกต้องบ้าง โดยครูถามตั้งแต่ถูก 1 ข้อ จนถึงถูกทุกข้อ
2. หนังสือเรียน หน้า 38 Ex. 3 ให้นักเรียนปิ ดหนังสือเรียน แล้วจับคู่กับเพื่อนผลัดกันพูดสิ่งที่ได้เรียนรู้
เกี่ยวกับแมลงจากเรื่องที่ฟัง ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรม แล้วสุ่มเรียกนักเรียนหลาย ๆ คน พูดให้
เพื่อนฟัง

There are bugs in every house.


Cockroaches can hide behind the fridge.
There can be bedbugs in the bed.
You can find moths in the wardrobe.
Bugs don’t like clean houses.

3. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน ช่วยกันคิดวิธีป้ องกันไม่ให้มีแมลงในบ้าน โดยให้นักเรียนใช้รูป


ประโยคคำสั่ง เช่น Clean the kitchen after cooking. Throw away rubbish every day. จากนั้นให้
ตัวแทนแต่ละกลุ่มพูดนำเสนอให้กลุ่มอื่น ๆ ฟัง หลังจากทุกกลุ่มนำเสนอแล้วครูและนักเรียนร่วมกัน
สรุปวิธีที่นักเรียนสามารถทำได้ และให้นักเรียนนำไปปฏิบัติที่บ้าน
4. ครูมอบหมายให้นักเรียนไปค้นคว้าข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับแมลงจากอินเทอร์เน็ต สารานุกรม หรือ
หนังสืออ้างอิงอื่น ๆ มา 5-6 ข้อมูล พร้อมทั้งหาภาพประกอบมมาด้วย เพื่อใช้ทำกิจกรรมในชั่วโมง
ถัดไป
5. นักเรียนทำ Language Review 3c Exs. 2-3 ในหนังสือเรียน หน้า 107 ร่วมกันในชั้น
6. แบบฝึกหัด (Workbook) หน้า 24 Exs. 1-2 ให้นักเรียนทำเป็นการบ้าน

183
ชั่วโมงที่ 2

ขั้น Warm up
1. นักเรียนดูคลิปวิดีโอจากเว็บไซต์ https://www.youtube.com/watch?v=bPOlsjWbf3c เมื่อดูจบครูให้
นักเรียนบอกชื่อแมลงที่มีในคลิป
2. ครูแบ่งนักเรียนออกเป็น 2 ทีม เพื่อเล่นเกม ให้แต่ละทีมส่งตัวแทนที่วาดภาพเก่งออกมา 1 คน เพื่อ
จับสลากคำศัพท์เกี่ยวกับแมลง และวาดภาพบนกระดาน ให้เพื่อนในทีมทายคำศัพท์ ถ้าทายถูกจะ
ได้ 1 คะแนน แต่ถ้าทายผิด อีกทีมหนึ่งจะได้สิทธิ์ทาย เมื่อเล่นเกมจบทีมที่มีคะแนนมากที่สุดจะเป็น
ผู้ชนะ

ขั้น Presentation
1. นักเรียนอ่านข้อความในกรอบ Did you know? แล้วครูถามนักเรียนว่าเคยรู้ข้อมูลนี้มาก่อนหรือไม่
2. ครูนำเสนอคำศัพท์เกี่ยวกับแมลงเพิ่มเติมโดยเขียนคำศัพท์บนกระดาน เช่น ladybird (แมลงเต่าทอง),
butterfly (ผีเสื้อ), grasshopper (ตั๊กแตน), wasp (ต่อ), dragonfly (แมลงปอ) ให้นักเรียนอ่านออกเสียง
ตามครูพร้อมกัน จากนั้นช่วยกันหาความหมายในพจนานุกรม

ขั้น Practice
1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน แล้วครูเปิ ด CD ให้นักเรียนฟังเรื่อง Are you home alone? แต่ละ
กลุ่มสรุปข้อมูลเกี่ยวกับแมลงที่ได้ฟังในรูปของ mind map
2. ครูถามคำถามเกี่ยวกับเกี่ยวกับเรื่องที่ฟัง เช่น
Which insect can you findin a wardrobe? Moths
Where can you find a spider? At the corners of the rooms.
Do woodworms like clothes? No, they like wood.

ขั้น Production
1. หนังสือเรียน หน้า 38 Ex. 4 นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ให้แต่ละกลุ่มรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ
แมลงที่สมาชิกในกลุ่มค้นคว้ามา แล้วช่วยกันเลือกข้อมูลที่น่าสนใจ 5 ข้อมูล เพื่อเขียนลงในกระดาษ
A4 พร้อมทั้งติดภาพประกอบ และตกแต่งให้น่าสนใจ จากนั้นให้แต่ละกลุ่มออกมานพเสนอผลงาน
ที่หน้าชั้น

Facts
about184
Insects live
everywhere, even The longest insect
in the Arctic and in the world is the
the Antarctic. Stick Insect.

The biggest insect


in the world is the
Acteon Beetle. Dragonflies have
been on earth for
300 million years.

A swarm of
locusts can contain
up to 28 billion
locusts.

2. แบบฝึกหัด (Workbook) หน้า 25 Ex. 4 ให้นักเรียนฟัง CD แล้วเติมข้อมูลลงในช่องว่าง


3. แบบฝึกหัด (Workbook) หน้า 25 Exs. 3, 5-6 ให้นักเรียนทำเป็นการบ้าน

7. การวัดและการประเมินผล
วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การผ่าน
ตรวจการตอบคำถามจากการอ่าน แบบฝึกหัด (Workbook) ร้อยละ 60
สังเกตการพูดสิ่งที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับ แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ระดับคุณภาพ พอใช้
แมลงจากเรื่องที่ฟัง
สังเกตการอภิปรายวิธีป้ องกันไม่ให้มี แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ระดับคุณภาพ พอใช้
แมลงในบ้าน
ประเมินการค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับแมลง แบบประเมินการสำรวจ/ค้นคว้า ระดับคุณภาพ พอใช้
และเขียนนำเสนอ
185
สังเกตความใฝ่ เรียนรู้และความมุ่งมั่น แบบประเมินคุณลักษณะ ระดับคุณภาพ ผ่าน
ในการทำงาน อันพึงประสงค์

8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1) หนังสือเรียน SPARK 1 ม. 1
2) Class Audio CDs ประกอบสื่อฯ ชุด SPARK 1 ม. 1
3) แบบฝึกหัด SPARK 1 ม. 1
4) พจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษ
5) พจนานุกรมออนไลน์
6) อินเทอร์เน็ต
7) คลิปวิดีโอ
8) สลากคำศัพท์เกี่ยวกับแมลง

4 Everyday English 3d

2 ชั่วโมง

จุดประสงค์การเรียนรู้
- อ่านออกเสียงบทสนทนาถูกต้องตามหลักการอ่านได้
- ตอบคำถามจากการอ่านบทสนทนาได้
- แต่งบทสนทนาตามสถานการณ์ที่กำหนดได้
- พูดสนทนาในสถานการณ์ที่กำหนดได้

1. สาระ มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด
สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร

186
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็น
อย่างมีเหตุผล
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.1 ม. 1/2 อ่านออกเสียงข้อความ นิทาน และบทร้อยกรอง (poem) สั้น ๆ ถูกต้องตามหลักการอ่าน
ต 1.1 ม. 1/4 ระบุหัวข้อเรื่อง (topic) ใจความสำคัญ (main idea) และตอบคำถามจากการฟังและ
อ่านบทสนทนา นิทาน และเรื่องสั้น
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและ
ความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.2 ม. 1/1 สนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง กิจกรรม และสถานการณ์ต่าง ๆ
ในชีวิตประจำวัน
สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และนำไปใช้ได้
อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 2.1 ม. 1/1 ใช้ภาษา น้ำเสียง และกิริยาท่าทางสุภาพเหมาะสมตามมารยาทสังคมและวัฒนธรรม
ของเจ้าของภาษา

สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม
ตัวชี้วัดปลายทาง
ต 4.1 ม. 1/1 ใช้ภาษาสื่อสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์จำลองที่เกิดขึ้นในห้องเรียนและ
สถานศึกษา

2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
การรู้และเข้าใจวิธีการออกเสียงสูง-ต่ำในประโยคคำถาม สำนวนภาษาที่ใช้ในการขอและให้ข้อมูล
เกี่ยวกับห้องและสิ่งของต่าง ๆ จะช่วยให้พูดสนทนาสื่อสารในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องและเหมาะ
สม

3. สาระการเรียนรู้
3.1 ทักษะเฉพาะวิชา
1) Language Features and Functions
Vocabulary: Sentences (Is Jim here?, Where’s that?, Thanks., Your room is great.,
Yes, it’s really big., Hey, whose is this guitar?, You’re very lucky.,
You’ve got everything.)
Functions: Talking about your room & your things
Wow! Your room is great!

187
Thanks. It’s quite big.
What’s this?
That’s my DVD player and that’s my computer over there.
Pronunciation: Intonation in questions
Are you a student?
Who are you?
2) Language Skills
Listening: ฟังการออกเสียงประโยค
Speaking: พูดสนทนาตามสถานการณ์ที่กำหนด
Reading: อ่านเพื่อหาข้อมูลเฉพาะ, อ่านออกเสียงบทสนทนา
Writing: แต่งบทสนทนาตามสถานการณ์ที่กำหนด

4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคิด

5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1) ใฝ่ เรียนรู้
2) มุ่งมั่นในการทำงาน

6. กิจกรรมการเรียนรู้

ชั่วโมงที่ 1

ขั้น Warm up
นักเรียนเล่นเกม Beginning with โดยครูแบ่งนักเรียนออกเป็น 5 ทีม แล้วครูบอกตัวอักษรภาษา
อังกฤษ 1 ตัว เพื่อให้แต่ละทีมบอกคำศัพท์เกี่ยวกับห้องและเฟอร์นิเจอร์/เครื่องใช้ที่ขึ้นต้นด้วยตัว
อักษรตัวนั้นมา 1 คำ ถ้าทีมใดไม่สามารถบอกคำศัพท์ได้ภายใน 5 วินาที ให้ข้ามทีมนั้นไป ทีมที่บอก
คำศัพท์ถูกต้องจะได้ 1 คะแนน ทีมที่ได้คะแนนมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะเช่น
T: Can you tell me furniture beginning with A? Team A
Team A: Science

ขั้น Presentation
1. ครูสอนการออกเสียงสูง-ต่ำท้ายประโยคคำถาม โดยเขียนประโยคคำถามต่อไปนี้บนกระดาน
Do you have lunch?
Who’s your favourite singer?

188
ครูถามนักเรียนว่า ประโยคใดเป็นคำถาม Yes/No questions ประโยคใดเป็นคำถาม Wh-questions
เมื่อได้คำตอบแล้วครูอ่านออกเสียงประโยคคำถามให้นักเรียนฟัง และถามว่าประโยคใดขึ้นเสียงสูง
ท้ายประโยค (Do you have lunch?) ประโยคใดลงเสียงต่ำท้ายประโยค (Who’s your favourite
singer?)

2. ให้นักเรียนอ่าน Study Skills ในหนังสือเรียน หน้า 39 เกี่ยวกับการออกเสียงสูง-ต่ำในประโยค


คำถาม แล้วช่วยกันอธิบาย จากนั้นครูสรุปให้ฟังว่า คำถาม Yes/No questions จะขึ้นเสียงสูงท้าย
ประโยค ส่วนคำถาม Wh-questions จะลงเสียงต่ำท้ายประโยค แล้วให้นักเรียนอ่านประโยคคำถาม
บนกระดานพร้อมกัน 2 ครั้ง และสุ่มเรียกนักเรียนอ่านทีละคน

ขั้น Practice
1. หนังสือเรียน หน้า 39 Ex. 1 ให้นักเรียนอ่านบทสนทนาระหว่าง Bill กับ Mrs Smith 2 บรรทัดแรก
แล้วครูถามว่า Is Bill at school? at Jim’s house? Who’s Mrs Smith? ให้นักเรียนช่วยกันบอกคำตอบ

Bill is at Jim’s house.


Mrs Smith is Jim’s mum.

2. หนังสือเรียน หน้า 39 Ex. 2 ครูบอกนักเรียนว่าประโยคเหล่านี้มาจากบทสนทนาระหว่างเพื่อน 2 คน


ให้นักเรียนเดาว่าบทสนทนานี้น่าจะเกี่ยวกับเรื่องอะไร แล้วครูให้นักเรียนฟังและอ่านบทสนทนา
เพื่อตรวจว่าคาดเดาคำตอบถูกต้องหรือไม่

Talking about someone’s room and things

ต่อมาครูเปิ ด CD ให้นักเรียนฟังการออกเสียงประโยค ให้สังเกตการออกสียงประโยคคำถาม แล้วครู


เปิ ด CD อีกครั้ง โดยหยุดทีละประโยคเพื่อให้นักเรียนออกเสียงตาม แล้วครูให้นักเรียนฝึกออกเสียง
ด้วยตนเอง จากนั้นแล้วช่วยกันบอกความหมายของประโยคเหล่านี้เป็นภาษาไทย
3. หนังสือเรียน หน้า 39 Ex. 3 นักเรียนอ่านประโยค 1-6 และขีดเส้นใต้คำสำคัญในแต่ละประโยค จาก
นั้นอ่านบทสนทนาเพื่อมองหาคำพ้องความหมาย (synonym) คำที่มีความหมายตรงกันข้าม
(opposite) หรือกลุ่มคำ/วลี ที่มีความหมายเหมือนกันหรือต่างกันกับคำสำคัญที่ขีดเส้นใต้ไว้ แล้วให้
นักเรียนตอบว่าประโยค 1-6 ถูกหรือผิด และครูเฉลยคำตอบ

1 F 2 F 3 T 4 T 5 F 6 T

189
4. หนังสือเรียน หน้า 39 Ex. 4 นักเรียนอ่านประโยค 1-5 แล้วอ่านบทสนทนาอีกครั้งเพื่อหาประโยคที่มี
ความหมายเหมือนกับประโยคเหล่านี้ จากนั้นครูสุ่มเรียกนักเรียนบอกคำตอบ

1 Can I talk to Jim? – Is Jim here?


2 I like your room. – Your room is great.
3 Yes, it’s huge. – Yes, it’s really big.
4 That’s great. – Fantastic!
5 Can you tell me how to get there? – Where’s that?

5. หนังสือเรียน หน้า 39 Ex. 5 ครูเปิ ด CD ให้นักเรียนฟังและอ่านออกเสียงบทสนทนาตาม จากนั้นให้


นักเรียนรวมกลุ่ม กลุ่มละ 3 คน เพื่อฝึกอ่านบทสนทนา โดยเน้นให้นักเรียนออกเสียงสูง-ต่ำให้ถูก
ต้อง ครูเดินสังเกตรอบ ๆ ชั้นเรียนเพื่อคอยช่วยเหลือ

ขั้น Production
1. หนังสือเรียน หน้า 39 Ex. 6 นักเรียนทำงานคู่ ช่วยกันแต่งบทสนทนาโดยสมมติสถานการณ์ว่าเพื่อน
กำลังจะมาเยี่ยมที่บ้าน และนักเรียนพาเพื่อนไปดูห้องของตนเอง นักเรียนสามารถใช้บทสนทนาใน
Ex. 3 เป็นต้นแบบได้ เมื่อแต่งบทสนทนาเสร็จแล้วส่งให้ครูตรวจ หลังจากรับงานคืนแล้วให้นักเรียน
ไปฝึกซ้อม เพื่อมาพูดสนทนาในชั่วโมงถัดไป

A: Wow! Your room is great!


B: Thanks. It’s quite big.
A: What’s this?
B: That’s my DVD player and that’s my computer over there.
A: Fantastic. You’re very lucky.
B: Yes, I am.

2. แบบฝึกหัด (Workbook) หน้า 26 Ex. 5 ให้นักเรียนฟัง CD แล้วเติมคำลงในช่องว่าง


3. แบบฝึกหัด (Workbook) หน้า 26 Exs. 2-3 ให้นักเรียนทำเป็นการบ้าน

ชั่วโมงที่ 2

ขั้น Warm up

190
ครูทบทวนการออกเสียงสูง-ต่ำในประโยคคำถาม ด้วยการเขียนประโยคบนกระดาน แล้วให้นักเรียน
อ่านออกเสียง เช่น
Where is your bedroom?
What insect has got a web?
Do you like sushi?
Is she a teacher?
Who is that?
Can I help you?

ขั้น Pre-speaking
1. ครูเปิ ด CD ให้นักเรียนฟังบทสนทนาในหนังสือเรียน หน้า 39 Ex. 3 แล้วอ่านตามพร้อมกัน โดย
ออกเสียงสูง-ต่ำให้ถูกต้อง และใช้น้ำเสียงให้เหมาะสมในการแสดงความรู้สึก
2. ครูให้เวลานักเรียนแต่ละคู่ทบทวนบทสนทนาที่ตนเองแต่ง เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนออกมาพูด
สนทนาหน้าชั้นเรียน

ขั้น Speaking
1. ก่อนเริ่มพูดสนทนา ครูให้นักเรียนทักทายเพื่อนและแนะนำตนเองด้วย เช่น Hi, everyone. I’m
Sunisa. Hello, my friends.
2. ครูให้นักเรียนแต่ละคู่ออกมาพูดสนทนาหน้าชั้นเรียน โดยครูอาจเรียกตามลำดับเลขที่หรือเรียกตาม
แถวที่นั่ง ขณะที่นักเรียนพูดสนทนาครูคอยสังเกตและจดบันทึก

ขั้น Post-speaking
1. ครูให้ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) เรื่องการใช้ภาษาของนักเรียน เช่น ไวยากรณ์ การออกเสียง น้ำ
เสียง กิริยาท่าทาง เพื่อให้นักเรียนนำไปปรับปรุงแก้ไขในครั้งต่อไป
2. ครูมอบหมายให้นักเรียนแต่ละคู่ไปฝึกอ่านบทสนทนาในหนังสือเรียน หน้า 39 ให้คล่อง แล้วมาอ่าน
บทสนทนาให้ครูฟังนอกเวลาเรียน
3. นักเรียนทำ Language Review 3d Ex. 4 ในหนังสือเรียน หน้า 107 ร่วมกันในชั้น
4. แบบฝึกหัด (Workbook) หน้า 26 Ex. 4 ให้นักเรียนทำเป็นการบ้าน

7. การวัดและการประเมินผล
วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การผ่าน
ประเมินการอ่านออกเสียงบทสนทนา แบบประเมินการอ่านออกเสียง ระดับคุณภาพ พอใช้
ตรวจการตอบคำถามจากการอ่าน แบบฝึกหัด (Workbook) ร้อยละ 60
บทสนทนา
ประเมินการแต่งบทสนทนาตาม แบบประเมินการเขียน ระดับคุณภาพ พอใช้
สถานการณ์ที่กำหนด

191
ประเมินการพูดสนทนาตาม แบบประเมินการแสดงบท ระดับคุณภาพ พอใช้
สถานการณ์ที่กำหนด สนทนา/บทบาทสมมติ
สังเกตความใฝ่ เรียนรู้และความมุ่งมั่น แบบประเมินคุณลักษณะ ระดับคุณภาพ ผ่าน
ในการทำงาน อันพึงประสงค์

8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1) หนังสือเรียน SPARK 1 ม. 1
2) Class Audio CDs ประกอบสื่อฯ ชุด SPARK 1 ม. 1
3) แบบฝึกหัด SPARK 1 ม. 1

คู่คิด
5 Across cultures 3e

2 ชั่วโมง

จุดประสงค์การเรียนรู้
- ตอบคำถามจากการอ่านเรื่องได้
- พูดและเขียนให้ข้อมูลเกี่ยวกับ landmarks ในประเทศไทยและประเทศอื่นได้

1. สาระ มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด
สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็น
อย่างมีเหตุผล

192
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.1 ม. 1/4 ระบุหัวข้อเรื่อง (topic) ใจความสำคัญ (main idea) และตอบคำถามจากการฟังและ
อ่านบทสนทนา นิทาน และเรื่องสั้น
มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด
และการเขียน
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.3 ม. 1/1 พูดและเขียนบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อม
ใกล้ตัว
สาระที่ 4 ภาษากับความสัมพันธ์กับชุมชนและโลก
มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็ นเครื่องมือพื้นฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และ
การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับสังคมโลก
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 4.2 ม. 1/1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการสืบค้น/ค้นคว้า ความรู้/ข้อมูลต่าง ๆ จากสื่อและแหล่ง
การเรียนรู้ต่าง ๆ ในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ

2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
การอ่านและค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับ landmarks ของประเทศต่าง ๆ จะช่วยให้เข้าใจและตระหนักถึง
ความสำคัญของสถานที่นั้นที่มีต่อคนในประเทศ

3. สาระการเรียนรู้
3.1 ทักษะเฉพาะวิชา
1) Language Features and Functions
Vocabulary: Ordinal numbers (first, second, third, ..., twenty-third)
Nouns (metal, space)
Adjectives (tall, huge, high)
Function: Describing landmarks around the world
The Eiffel Tower is in Paris.
Some parts of the Great Wall of China are 2,000 years old.
2) Language Skills
Speaking: พูดนำเสนอ landmark ตามจินตนาการ
Reading: อ่านเพื่อหาข้อมูลเฉพาะ
Writing: เขียนบรรยาย landmarks ในประเทศไทยและประเทศอื่น
3) Culture landmarks

4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน

193
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคิด
3) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1) ใฝ่ เรียนรู้
2) มุ่งมั่นในการทำงาน

6. กิจกรรมการเรียนรู้

ชั่วโมงที่ 1

ขั้น Warm up
1. ครูเขียนคำว่า landmark บนกระดาน ให้นักเรียนออกเสียงตาม 2 ครั้ง แล้วครูอธิบายความหมาย
landmark (n) = something, such as a large building, that you can see clearly from a
distance and that will help you to know where you are (จุดสังเกต)
จากนั้นให้นักเรียนช่วยกันยกตัวอย่าง landmark ในจังหวัดของตนเอง
2. ครูเตรียมภาพ landmark ของประเทศต่าง ๆ มาแสดงให้นักเรียนดู เช่น England - Big Ben,
Singapore -Merlion, America - the Statue of Liberty ให้นักเรียนบอกชื่อ landmark และบอกว่าอยู่
ในประเทศใด เช่น
T: (แสดงภาพ Big Ben) What landmark is this?
Ss: It’s Big Ben.
T: Where is it?
Ss: It’s in England.

ขั้น Pre-reading
1. หนังสือเรียน หน้า 40 Ex. 1a นักเรียนดูภาพ ครูถามว่ารู้จัก landmark เหล่านี้หรือไม่ ให้นักเรียนช่วย
กันบอกชื่อของ landmarks (the Eiffel Tower, the Great Wall of China, Buckingham Palace) จาก
นั้นให้นักเรียนช่วยกันตั้งคำถามเกี่ยวกับ landmark เหล่านี้มาสถานที่ละ 1 คำถาม แล้วครูเขียน
คำถามบนกระดาน เช่น Where is it located? What is it made of? When was it built?
2. ให้นักเรียนอ่านคำศัพท์ในกรอบ Check these words หนังสือเรียน หน้า 40 แล้วช่วยกันบอกความ
หมาย ถ้าคำใดไม่รู้ให้เปิ ดหาในพจนานุกรม
space (n) = the area outside the earth’s atmosphere where all the other planets and
stars are (อวกาศ)

194
metal (n) = a type of solid mineral substance that is usually hard and shiny and that
heat and electricity can travel through, for example tin, iron and gold (โล
หะ)
huge (adj) = extremely large (ใหญ่มาก ๆ)

ขั้น Reading
1. ให้นักเรียนฟัง CD และอ่านบทอ่านในหนังสือเรียน หน้า 40 เพื่อหาคำตอบของคำถามที่ตั้งไว้บน
กระดาน เมื่อนักเรียนอ่านจบครูถามว่ามีคำตอบของคำถามที่ตั้งไว้หรือไม่ ถ้ามี ให้นักเรียนช่วยกัน
บอกคำตอบ

1 In which country is the Eiffel Tower? (France)


2 How old is the Great Wall of China? (500-2,000 years old)
3 Who lives in Buckingham Palace? (the Queen of England)

2. หนังสือเรียน หน้า 40 Ex. 1b นักเรียนอ่านคำถามที่กำหนดให้ แล้วอ่านบทอ่านอีกครั้งเพื่อหาคำตอบ


จากนั้นครูรวบรวมคำตอบจากนักเรียน และเฉลยคำตอบ

1 The Eiffel Tower is over 100 years old.


2 It is 324 metres tall.
3 The Great Wall of China is 6,350 km long.
4 No, you can’t see it from space.
5 Buckingham Palace is in London, England.
6 There are 775 rooms in Buckingham Palace.

ขั้น Post-reading
1. หนังสือเรียน หน้า 40 Ex. 2 นักเรียนปิ ดหนังสือเรียน แล้วเขียนข้อมูลที่จำได้เกี่ยวกับ landmark ใน
ภาพ มาสถานที่ละ 1 ประโยค เสร็จแล้วครูสุ่มเรียกนักเรียนอ่านประโยคให้เพื่อนฟัง

The Eiffel Tower is in Paris.


Some parts of the Great Wall of China are 2,000 years old.
Buckingham Palace has got 775 rooms.

195
2. ครูแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน ให้แต่ละกลุ่มจินตนาการ landmark ของตนเอง พร้อมทั้ง
ตั้งชื่อ แล้วเขียนบรรยาย landmark และวาดภาพประกอบคร่าว ๆ เมื่อทำเสร็จแล้วให้ตั้งคำถามเกี่ยว
กับ landmark ของตนเองกลุ่มละ 1 ข้อ และลือกตัวแทนกลุ่มพูดนำเสนอหน้าชั้น ในขณะที่เพื่อนพูด
นำเสนอ landmark ให้กลุ่มอื่น ๆ จดบันทึกข้อมูลสำหรับตอบคำถาม
3. ครูมอบหมายให้นักเรียนไปค้นคว้าข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต สารานุกรม หรือหนังสืออ้างอิงเกี่ยวกับ
landmark ในประเทศไทยมาคนละ 2 สถานที่ พร้อมทั้งหาภาพประกอบมาด้วย เพื่อใช้ทำกิจกรรม
ในชั่วโมงถัดไป
4. นักเรียนทำ Language Review 3e Ex. 5 ในหนังสือเรียน หน้า 107 ร่วมกันในชั้น
5. แบบฝึกหัด (Workbook) หน้า 26 Ex. 1 ให้นักเรียนทำเป็นการบ้าน

ชั่วโมงที่ 2

ขั้น Warm up
1. ครูให้นักเรียนระดมสมองบอก landmark ในประเทศไทยที่นักเรียนรู้จัก แล้วครูเขียนชื่อ landmark
เหล่านั้นบนกระดาน
2. ครูนำภาพ landmark ในประเทศไทย มาแสดงให้นักเรียนดู 5-6 ภาพ เพื่อให้นักเรียนบอกชื่อ เช่น
เสาชิงช้า วัดอรุณ พระธาตุดอยสุเทพ ปราสาทหินพนมรุ้ง

ขั้น Presentation
1. ครูทบทวนเลขลำดับ (ordinal numbers) โดยแบ่งนักเรียนเป็น 2 ทีม แล้วครูพูดเลขจำนวนครั้งละ
1 จำนวน เช่น one, two, twenty ให้ทั้ง 2 ทีม แข่งกันออกมาเขียนเลขลำดับบนกระดาน เช่น first,
second, twentieth
2. ครูยกตัวอย่างบนกระดาน ดังนี้
ten  tenth thirteen  thirteenth
twenty  twentieth thirty  thirtieth
fifty-four  fifty-fourth seventy-one  seventy-first
ให้นักเรียนช่วยกันบอกหลักการเปลี่ยนเลขจำนวนเป็นเลขลำดับ แล้วครูช่วยสรุปอีกครั้ง และย้ำ
ว่าการอ่านเลขลำดับจะต้องมี the นำหน้าเสมอ เช่น the third floor, the fifth century

การเปลี่ยนเลขจำนวนเป็ นเลขลำดับ
 เลขลำดับจะเขียนเหมือนเลขจำนวน (cardinal numbers) แต่จะเติม th ข้างหลัง เช่น
four  fourth six  sixth
ยกเว้นลำดับที่ 1 (first), 2 (second), 3 (third), 5 (fifth), 9 (ninth), 12 (twelfth)
 เลขจำนวนที่ลงท้ายด้วยหลักสิบให้เปลี่ยน ty เป็น tie แล้วจึงเติม th เช่น

196
twenty  twentieth fifty  fiftieth
 เลขจำนวนที่มีมากกว่า 1 หลัก จะเขียนเป็นเลขลำดับเฉพาะหลักสุดท้าย เช่น
twenty-one  twenty-first thirty-four  thirty-fourth
 การเขียนเลขลำดับเป็นตัวเลข จะนำตัวอักษร 2 ตัวสุดท้ายของคำอ่านมาเขียนหลัง
ตัวเลข เช่น
first = 1st fourth = 4th twenty-first = 21st

ขั้น Practice
1. หนังสือเรียน หน้า 40 Ex. 3 ครูเปิ ด CD ให้นักเรียนฟังและฝึกออกเสียงเลขลำดับพร้อมกัน แล้วครู
สุ่มเรียกนักเรียนออกเสียงทีละคน จากนั้นให้นักเรียนดูข้อมูลที่กำหนดให้ และอ่านตัวอย่างการถาม-
ตอบ แล้วให้นักเรียนจับคู่กันพูดถาม-ตอบโดยใช้ข้อมูลที่กำหนด

 A: Which floor are Jane and Steve on?


B: They’re on the seventh floor.
 A: Which floor is Gina on?
B: She’s on the third floor.
 A: Which floor are Sue and Helen on?
B: They’re on the sixth floor.
 A: Which floor are Jane and Paul on?
B: They’re on the first floor.

2. หนังสือเรียน หน้า 40 Ex. 4 นักเรียนทำงานคู่ เลือก landmark ในประเทศไทยมา 1 สถานที่ จาก


ข้อมูลที่นักเรียนค้นคว้ามา แล้วเขียนข้อความสั้นๆ โดยให้มีรายละเอียดเกี่ยวกับชื่อของ landmark ที่
ตั้ง และลักษณะพิเศษของ landmark นั้น พร้อมทั้งติดภาพประกอบ

Sao Chingcha
Sao Chingcha is in Bangkok, Thailand.
It is a large swing. The posts are red.
King Rama I constructed it in 1784.
It is 21.15 metres high. It is a religious
structure used for the swing ceremony.

197
ขั้น Production
1. ครูแบ่งนักเรียนออกเป็น 4 กลุ่ม และมอบหมายให้แต่ละกลุ่มจัดบอร์ดเกี่ยวกับ landmarks ของ
ประเทศที่สนใจ โดยให้นักเรียนจัดบอร์ดนอกเวลาเรียน และในชั่วโมงถัดไปให้นักเรียนพูดนำเสนอ
landmarks บนบอร์ดให้กลุ่มอื่นฟัง
2. นักเรียนทำ Vocabulary Bank 3 ในแบบฝึกหัด (Workbook) หน้า 92-93 Exs. 1-8

7. การวัดและการประเมินผล
วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การผ่าน
สังเกตการพูดนำเสนอ landmark ตาม แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ระดับคุณภาพ พอใช้
จินตนาการ
ตรวจการเขียนบรรยาย landmark ใน กระดาษผลงานนักเรียน -
ประเทศไทย
ประเมินการจัดบอร์ดเกี่ยวกับ แบบประเมินชิ้นงาน ระดับคุณภาพ พอใช้
landmarks ของประเทศที่สนใจ
สังเกตความใฝ่ เรียนรู้และความมุ่งมั่น แบบประเมินคุณลักษณะ ระดับคุณภาพ ผ่าน
ในการทำงาน อันพึงประสงค์

8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1) หนังสือเรียน SPARK 1 ม. 1
2) Class Audio CDs ประกอบสื่อฯ ชุด SPARK 1 ม. 1
3) แบบฝึกหัด SPARK 1 ม. 1
4) พจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษ
5) พจนานุกรมออนไลน์
6) อินเทอร์เน็ต สารานุกรม หรือหนังสืออ้างอิง
7) ภาพ landmark ในประเทศไทย

198
6 Writing 3f

2 ชั่วโมง

จุดประสงค์การเรียนรู้
- ตอบคำถามและวาดภาพให้สัมพันธ์กับเรื่องที่อ่านได้
- เปรียบเทียบเสียงพยัญชนะในภาษาอังกฤษกับภาษาไทย
- พูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับบ้านของตนเองได้
- เขียนอีเมลให้ข้อมูลเกี่ยวกับบ้านของตนเองได้

1. สาระ มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด
สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็น
อย่างมีเหตุผล
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.1 ม. 1/3 เลือก/ระบุประโยคและข้อความให้สัมพันธ์กับสื่อที่ไม่ใช่ความเรียง (non-text
information) ที่อ่าน
ต 1.1 ม. 1/4 ระบุหัวข้อเรื่อง (topic) ใจความสำคัญ (main idea) และตอบคำถามจากการฟังและ
อ่านบทสนทนา นิทาน และเรื่องสั้น
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและ
ความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
199
ต 1.2 ม. 1/1 สนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง กิจกรรม และสถานการณ์ต่าง ๆ
ในชีวิตประจำวัน
มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด
และการเขียน
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.3 ม. 1/1 พูดและเขียนบรรยายเกี่ยวกับตนเอง กิจวัตรประจำวัน ประสบการณ์ และสิ่งแวดล้อม
ใกล้ตัว
สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
กับวัฒนธรรมไทยและนำมาใช้อย่างถูกต้องเหมาะสม
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 2.2 ม. 1/1 บอกความเหมือนและความแตกต่างระหว่างการออกเสียงประโยคชนิดต่าง ๆ การใช้
เครื่องหมายวรรคตอน และการลำดับคำตามโครงสร้างประโยคของภาษาต่างประเทศ
และภาษาไทย

2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
การเรียนรู้โครงสร้างของอีเมลและการแบ่งย่อหน้า จะช่วยให้สามารถเขียนสื่อสารได้อย่างถูกต้อง
และมีประสิทธิภาพ

3. สาระการเรียนรู้
3.1 ทักษะเฉพาะวิชา
1) Language Features and Functions
Vocabulary: Verbs (come, visit)
Nouns (garden, kennel, singers)
Adjective (huge)
Adverbs (anytime, downstairs)
Functions: Talking about your house & bedroom
How many rooms are there in your house?
There are seven rooms.
What colour is your bedroom?
It’s blue.
2) Language Skills
Reading: อ่านเพื่อหาข้อมูลเฉพาะ
Speaking: พูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยวกับบ้านของตนเอง
Writing: เขียนอีเมลเล่าเกี่ยวกับบ้านของตนเอง

200
4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคิด

5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1) ใฝ่ เรียนรู้
2) มุ่งมั่นในการทำงาน

6. กิจกรรมการเรียนรู้

ชั่วโมงที่ 1
ขั้น Warm up
ครูแบ่งนักเรียนเป็น 2 ทีม เพื่อเล่นเกม โดยครูนำภาพ landmarks ในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ
มาแสดงให้นักเรียนดู ให้ทั้ง 2 ทีม แข่งกันบอกชื่อของ landmark และสถานที่ตั้ง ทีมใดตอบถูกจะได้
1 คะแนน ทีมที่ได้คะแนนมากกว่าจะเป็นผู้ชนะ เช่น
T: What’s the name of this landmark? (ชูภาพวัดพระธาตุดอยสุเทพ)
Team A S1: (ยกมือขึ้น) Wat Phra That Doi Suthep, Chiang Mai
T: That’s correct. Team A gets 1 point.

ขั้น Presentation
1. ครูเขียนคำว่า thin และ this บนกระดาน แล้วออกเสียงให้นักเรียนฟังคำละ 2 ครั้ง ให้นักเรียนสังเกต
การออกเสียง th
ครูอธิบายว่าการออกเสียง th ให้ยกปลายลิ้นไปวางไว้ใกล้กับขอบฟันบน แต่อย่ายื่นปลายลิ้นออก
จากปาก และพ่นลมออกมาเป็นเสียงเสียดแทรก แล้วครูให้นักเรียนออกเสียงคำว่า thin หลาย ๆ ครั้ง
จากนั้นครูให้นักเรียนออกเสียง this ซึ่งจะออกเสียง th เป็นเสียงก้อง สังเกตง่าย ๆ ด้วยการเอามือไป
แตะที่คอบริเวณกล่องเสียงขณะออกเสียง จะรู้สึกถึงการสั่นของเส้นเสียง

การออกเสียง th ออกเสียงได้ 2 แบบ คือ เสียง /ɵ/ และ /ð/


- ออกเสียง /ɵ/ ซึ่งเป็นเสียงไม่ก้อง (voiceless) มักจะเป็นคำนามหรือคำกริยา เช่น
think, thank, birthday, teeth
201
- ออกเสียง /ð/ ซึ่งเป็นเสียงก้อง (voiced) มักจะเป็นคำที่แสดงไวยากรณ์ เช่น article,
pronouns, conjunctions ตัวอย่างเช่น the, these, this, they, then, though

2. ครูให้นักเรียนคิดว่าเสียง th เป็นเสียงที่มีในภาษาไทยหรือไม่ เมื่อได้คำตอบว่าไม่มี ครูถามต่อไปว่า


คนไทยมักจะออกเสียง th เป็นเสียงอะไร จากนั้นครูอธิบายว่า เนื่องจากเสียง th เป็นเสียงที่ไม่มีใน
ภาษาไทย คนไทยมักจะออกเสียง /s/ หรือ /t/ แทนเสียง th ที่เป็นเสียงไม่ก้อง (เสียง /ɵ/) และจะ
ออกเสียง /d/ แทนเสียง th ที่เป็นเสียงก้อง (เสียง /ð/) เพราะมีฐานที่เกิดเสียงใกล้เคียงกัน ครูย้ำว่าการ
ออกเสียงไม่ถูกต้องอาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ดังนั้น นักเรียนต้องออกเสียง th ให้ถูกต้อง
3. ครูเขียนคำศัพท์ต่อไปนี้บนกระดาน ให้นักเรียนออกเสียงคำศัพท์ทีละคู่เพื่อแยกความแตกต่าง
thin sin thin tin than Dan
thing sing thank tank they day
thick sick three tree there dare

ขั้น Practice
1. หนังสือเรียน หน้า 41 Ex. 3 ครูเปิ ด CD ให้นักเรียนฟังคำศัพท์ที่มี th แล้วฝึกออกเสียงตาม 2-3 ครั้ง
แล้วครูสุ่มเรียกนักเรียนออกเสียงทีละคน จากนั้นให้นักเรียนหาคำศัพท์ที่ออกเสียง /ɵ/ และ /ð/ เพิ่ม
เติม โดยดูการออกเสียงจากพจนานุกรม

/ɵ/: thirsty, third, three /ð/: they, them, these

2. หนังสือเรียน หน้า 41 Ex. 1 นักเรียนอ่านประโยคแรกของแต่ละย่อหน้าในอีเมล และเดาว่าอีเมลนี้น่า


จะเกี่ยวกับเรื่องอะไร แล้วให้นักเรียนอ่านอีเมลเพื่อตรวจคำตอบ

The email is about Helen’s new house.


จากนั้นให้นักเรียนอ่านคำศัพท์ในกรอบ Check these words แล้วช่วยกันบอกความหมาย โดยเดาจาก
บริบท
downstairs (adv) = to or on a lower floor of a building (ชั้นล่าง)
huge (adj) = extremely large (ใหญ่มาก)
kennel (n) = a small shelter for a dog to sleep in (บ้านสุนัข)
anytime (adv) = at a time that is not fixed (เวลาใดก็ได้)
3. หนังสือเรียน หน้า 41 Ex. 2 นักเรียนอ่านอีเมลอีกครั้ง เมื่ออ่านจบครูถามว่า Which paragraph is a
description of Helen’s room? Which paragraph is a description of the house?

202
The second paragraph is a description of Helen’s room.
The first paragraph is a description of the house.

ขั้น Production
1. นักเรียนอ่านอีเมลในหนังสือเรียน หน้า 41 Ex. 1 อีกครั้ง โดยอ่านเฉพาะย่อหน้าที่ 2 แล้ววาดภาพ
ห้องนอนของ Helen เสร็จแล้วเปรียบเทียบภาพวาดของตนเองกับเพื่อน 3-4 คน เพื่อหาคนที่วาดภาพ
ห้องนอนของ Helen ได้ถูกต้องที่สุด
2. แบบฝึกหัด (Workbook) หน้า 27 Exs. 1-3 ให้นักเรียนทำเป็นการบ้าน

ชั่วโมงที่ 2

ขั้น Warm up
ครูทบทวนคำศัพท์เกี่ยวเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ โดยวาดภาพบนกระดาน แต่วาดภาพเพียงแค่
ครึ่งเดียว เพื่อให้นักเรียนทายว่าคือคำศัพท์อะไร
T: (วาดภาพเตียง)
What is it?
Ss: It’s a bed.

ขั้น Pre-writing
1. หนังสือเรียน หน้า 41 Ex. 4 ให้นักเรียนนึกถึงบ้านของตนเองหรือบ้านในฝัน และตอบคำถามที่
กำหนด โดยเขียนคำตอบลงในสมุด เสร็จแล้วให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนผลัดกันพูดถาม-ตอบ ครูเดิน
สังเกตการทำกิจกรรมรอบ ๆ ชั้นเรียน แล้วให้นักเรียน 2-3 คู่ ออกมาพูดถาม-ตอบที่หน้าชั้น

1 Seven
2 Two floors
3 Green
4 There is a bed, a bookcase, a wardrobe, a bedside cabinet and a mirror.
5 Yes, I like it very much.

2. ครูอธิบายภาระงานในหนังสือเรียน หน้า 41 Ex. 5 ว่า นักเรียนจะได้ใช้คำตอบจาก Ex. 4 มาเขียน


อีเมลเกี่ยวกับบ้านของตนเองตามโครงร่างที่กำหนดให้ ความยาว 60-80 คำ
3. นักเรียนดูโครงร่างการเขียนอีเมลใน Ex. 5 แล้วบอกว่ามีกี่ย่อหน้า (3 ย่อหน้า) ให้นักเรียนช่วยกันระบุ
ว่าแต่ละย่อหน้าต้องเขียนอะไร

203
ย่อหน้าที่ 1 ทักทาย บรรยายรายละเอียดของบ้าน
ย่อหน้าที่ 2 บรรยายห้องนอนของตนเอง
ย่อหน้าที่ 3 ถามเกี่ยวกับบ้านของเพื่อน เขียนปิ ดท้ายอีเมล

ขั้น Writing
หนังสือเรียน หน้า 41 Ex. 5 นักเรียนเขียนอีเมลเกี่ยวกับบ้านของตนเอง โดยใช้คำตอบจาก Ex. 4
ครูย้ำให้นักเรียนเขียนตามโครงร่างที่กำหนดให้

Dear Jane,
Hi! How are you? Our house is big. There are seven rooms. The kitchen, dining
room and living room are downstairs. The living room has got a piano. Next to
the piano is an armchair and there is a carpet on the floor. Upstairs there are
three bedrooms and a bathroom.

My bedroom is small. My bedroom walls are green. There is a bed, a bookcase


and a wardrobe. Next to the bed is a bedside cabinet. There is a mirror on the
wall. I like it.
What about you? What’s your house like? Write back soon.
Anna

ขั้น Post-writing
1. นักเรียนตรวจทานงานเขียนของตนเอง โดยดูการสะกดคำ ไวยากรณ์ การใช้ capital letters การใช้
เครื่องหมายวรรคตอน ย่อหน้า และปรับแก้งานเขียนให้เรียบร้อย แล้วนำส่งครูตรวจ
2. นักเรียนทำ Self-Check 3 ในหนังสือเรียน หน้า 115

7. การวัดและการประเมินผล
วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การผ่าน
ตรวจการวาดภาพให้สัมพันธ์กับ สมุดนักเรียน -
อีเมลที่อ่าน
สังเกตการเปรียบเทียบเสียงพยัญชนะ แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ระดับคุณภาพ พอใช้
ในภาษาอังกฤษกับภาษาไทย
สังเกตการพูดขอและให้ข้อมูลเกี่ยว แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ระดับคุณภาพ พอใช้
กับบ้านของตนเอง

204
ประเมินการเขียนอีเมลเกี่ยวกับบ้าน แบบประเมินการเขียน ระดับคุณภาพ พอใช้
ของตนเอง
สังเกตความใฝ่ เรียนรู้และความมุ่งมั่น แบบประเมินคุณลักษณะ ระดับคุณภาพ ผ่าน
ในการทำงาน อันพึงประสงค์

8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1) หนังสือเรียน SPARK 1 ม. 1
2) Class Audio CDs ประกอบสื่อฯ ชุด SPARK 1 ม. 1
3) แบบฝึกหัด SPARK 1 ม. 1
4) ภาพ landmarks ในประเทศไทยและประเทศอื่น ๆ
7 ASEAN corner 3

1 ชั่วโมง

จุดประสงค์การเรียนรู้
- ตอบคำถามจากการอ่านได้
- พูดแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับบ้านของตนเองได้
- เปรียบเทียบลักษณะบ้านของประเทศทางตะวันตกกับภูมิภาคอาเซียนได้
- ค้นคว้าเกี่ยวกับบ้านแบบดั้งเดิมของไทยและเขียนนำเสนอได้

1. สาระ มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด
สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็น
อย่างมีเหตุผล
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.1 ม. 1/4 ระบุหัวข้อเรื่อง (topic) ใจความสำคัญ (main idea) และตอบคำถามจากการฟังและ
อ่านบทสนทนา นิทาน และเรื่องสั้น
มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึกและ
ความคิดเห็นอย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.2 ม. 1/1 สนทนาแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง กิจกรรม และสถานการณ์ต่าง ๆ
ในชีวิตประจำวัน
มาตรฐาน ต 1.3 นำเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยการพูด
และการเขียน
ตัวชี้วัดปลายทาง
205
ต 1.3 ม. 1/2 พูด/เขียนสรุปใจความสำคัญ/แก่นสาระ (theme) ที่ได้จากการวิเคราะห์
เรื่อง/เหตุการณ์ที่อยู่ในความสนใจของสังคม

สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
กับภาษาและวัฒนธรรมไทย และนำมาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 2.2 ม. 1/2 เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างระหว่างเทศกาล งานฉลอง วันสำคัญ
และชีวิตความเป็นอยู่ของเจ้าของภาษากับของไทย
สาระที่ 3 ภาษากับความสัมพันธ์กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น
มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเชื่อมโยงความรู้กับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และเป็ นพื้น
ฐานในการพัฒนา แสวงหาความรู้ และเปิ ดโลกทัศน์ของตน
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 3.1 ม. 1/1 ค้นคว้า รวบรวม และสรุปข้อมูล/ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น
จากแหล่งการเรียนรู้ และนำเสนอด้วยการพูด/การเขียน

2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
การเรียนรู้เกี่ยวกับลักษณะบ้านของประเทศต่าง ๆ จะช่วยให้รู้สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ
ความเชื่อ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของคนในประเทศนั้น ๆ

3. สาระการเรียนรู้
3.1 ทักษะเฉพาะวิชา
1) Language Features and Functions
Vocabulary: Verbs (suit, adapt, disappear)
Nouns (climate, stilt, pole, flood, countryside, brick, tile)
Adjective (humid)
Functions: Talking about your house
What does your house look like?
It’s big and green. It has got two floors and seven rooms.
2) Language Skills
Speaking: พูดสนทนาเกี่ยวกับบ้านของตนเอง
Reading: อ่านเพื่อหาข้อมูลเฉพาะ
Writing: เขียนบรรยายเกี่ยวกับบ้านแบบดั้งเดิมของไทย

4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
1) ความสามารถในการสื่อสาร

206
2) ความสามารถในการใช้คิด
3) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
1) ใฝ่ เรียนรู้
2) รักความเป็นไทย

6. กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้น Warm up
1. ครูและนักเรียนสนทนาเกี่ยวกับสภาพอากาศในประเทศไทยและประเทศในกลุ่มประชาคมอาเซียน
เช่น
T: What is the weather like in April in Thailand?
Ss: It is very hot.
T: Do you think what the weather like in Malaysia?
Ss: I think it is hot and wet.
2. ให้นักเรียนดูภาพบ้านในหนังสือเรียน หน้า 42 แล้วคิดว่าสภาพอากาศน่าจะเป็นอย่างไร บ้านหลังนี้
ทำจากอะไร และมีลักษณะเด่นอย่างไร

ขั้น Pre-reading
1. ครูเขียนคำว่า Traditional house บนกระดาน แล้วให้นักเรียนบอกความหมาย จากนั้นช่วยกันบอก
ลักษณะของบ้านแบบดั้งเดิมของไทย
2. หนังสือเรียน หน้า 42 Ex. 1 ครูให้เวลานักเรียน 3 นาที วาดบ้านในฝันของตนเอง เมื่อวาดภาพ
เสร็จแล้วให้นักเรียนคิดว่าบ้านในฝันของตนเองเหมาะสมกับภูมิอากาศในประเทศไทยหรือไม่ แล้ว
ครูสุ่มเรียกนักเรียน 3-4 คน พูดแสดงความคิดเห็น พร้อมทั้งแสดงภาพบ้านให้เพื่อนดูด้วย

My house is suit for climate in Thailand because it has a lot of windows.

3. ครูเขียนคำศัพท์ยากในบทอ่านบนกระดาน ได้แก่ traditional, humid, suit, climate, stilt, pole, flood,


countryside, adapt, brick, tile, disappear ให้นักเรียนอ่านออกเสียงตามครู แล้วหาความหมายใน
พจนานุกรม โดยเลือกความหมายที่สอดคล้องกับบริบทของเรื่องที่จะอ่าน
humid (adj) = shot and slightly wet (ชื้น)
suit (v) = to be right for someone or something (เหมาะสม)
climate (n) = the weather conditions that an area usually has (ภูมิอากาศ)
stilt (n) = one of a set of posts that support a building so that it is high above the
ground or water (เสาค้ำ)

207
pole (n) = a long thin straight piece of wood or metal, especially one with the
end placed in the ground, used as a support (เสา)
flood (n) = a large amount of water covering an area that is usually dry (น้ำท่วม)
countryside (n) = land outside towns and cities, with fields, woods etc. (ชนบท)
adapt (v) = to change something in order to make it suitable for a new use or
situation (ปรับให้เหมาะ, ดัดแปลง)
brick (n) = a small, hard, rectangular block used for building walls,houses etc. (อิฐ)
tile (n) = one of the flat, square piecesthat are used for coveringroofs, floors
or walls (กระเบื้อง)
disappear (v) = to stop existing (หายไป)

ขั้น Reading
หนังสือเรียน หน้า 42 Ex. 2 นักเรียนอ่านคำถามที่ให้มา เมื่ออ่านจนเข้าใจให้ช่วยกันบอกคำสำคัญ
ในคำถาม แล้วนักเรียนอ่านบทอ่านเพื่อหาเนื้อเรื่องส่วนที่เกี่ยวข้องกับคำสำคัญ เมื่อพบแล้วให้อ่าน
ประโยคหรือข้อความที่คำถามนั้นพาดพิงไปถึง หรืออาจจะอ่านข้อความแวดล้อมประมาณ 1-2
ประโยคก่อนหน้าหรือถัดไปที่มีข้อมูลพาดพิงไปถึง เมื่อเข้าใจแล้วจึงตอบคำถามที่ให้มา

1 Because cool air can flow into the houses.


2 Their houses are built on stilts.
3 I can find traditional Malaysian houses in the countryside.
4 They choose stone, brick, wood and tiles for building houses.
5 Because traditional houses are slowly disappearing.
ขั้น Post-reading
1. หนังสือเรียน หน้า 42 Ex. 3 นักเรียนอ่านคำถามพร้อมกัน ถ้ามีคำถามข้อใดที่นักเรียนไม่เข้าใจ ให้ครู
ช่วยอธิบาย จากนั้นให้นักเรียนจับคู่กันอภิปรายคำถามเหล่านี้ หรือครูอาจให้นักเรียนอภิปรายเป็นก
ลุ่ม

A: What does your house look like?


B: It’s big and green. It has got two floors and seven rooms. The first floor
built from concrete and the second floor built from wood. How about you?
A: It’s big and brown. It has one floor and four rooms. It is built from
concrete. It has a garden outside.
B: What do you like about your house?
A: I like my bedroom. And you?

208
B: Me, too. Which room do you spend the most time in?
A: Living room.
B: What do you do there?
A: I watch TV. How about you?
B: I spend the most time in the kitchen to cook.
A: Would you like to live in a traditional house?
B: Yes.
A: Why?
B: I like a house built from wood. It looks beautiful. And you?
A: Sure. I think a traditional house is cosy. The air can flow into the house.

2. ครูให้นักเรียนช่วยกันคิดว่า ทำไมลักษณะบ้านของแต่ละประเทศจึงมีความแตกต่างกัน เช่น มีสภาพ


อากาศต่างกัน มีวัฒนธรรมต่างกัน จากนั้นให้นักเรียนเปรียบเทียบว่าลักษณะบ้านของประเทศทาง
ตะวันตกแตกต่างจากลักษณะบ้านในภูมิภาคอาเซียนหรือไม่ อย่างไร
3. หนังสือเรียน หน้า 42 Ex. 4 ให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน ค้นคว้าข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตเกี่ยว
กับบ้านแบบดั้งเดิมของไทย แล้วเขียนบรรยาย พร้อมติดภาพประกอบ จากนั้นให้แต่ละกลุ่มนำเสนอ
ที่หน้าชั้น
4. ครูให้นักเรียนระดมความคิดบอกเหตุผลที่ควรอนุรักษ์บ้านแบบดั้งเดิมของไทยไว้ เช่น เพื่อใช้เป็น
แหล่งศึกษาเรียนรู้วัฒนธรรม ความเป็นอยู่ การประกอบอาชีพ เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้จักบ้านแบบ
ดั้งเดิม แล้วครูถามนักเรียนว่าเราจะมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ได้อย่างไร

7. การวัดและการประเมินผล
วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การผ่าน
ตรวจการตอบคำถามจากการอ่าน สมุดนักเรียน ร้อยละ 60
สังเกตการเปรียบเทียบลักษณะบ้าน แบบสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ ระดับคุณภาพ พอใช้
ของประเทศทางตะวันตกกับภูมิภาค
อาเซียน
ประเมินการค้นคว้าและเขียนบรรยาย แบบประเมินการสำรวจ/ค้นคว้า ระดับคุณภาพ พอใช้
เกี่ยวกับบ้านแบบดั้งเดิมของไทย
สังเกตความใฝ่ เรียนรู้และการรักความ แบบประเมินคุณลักษณะ ระดับคุณภาพ ผ่าน
เป็นไทย อันพึงประสงค์

8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1) หนังสือเรียน SPARK 1 ม. 1
2) พจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษ
3) พจนานุกรมออนไลน์

209
4) อินเทอร์เน็ต

8 O-NET practice & Fun time 3

1 ชั่วโมง

จุดประสงค์การเรียนรู้
- ทบทวนคำศัพท์และไวยากรณ์ที่เรียนมาแล้วในหน่วยการเรียนรู้ที่ 3
- เขียน quiz เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนมาแล้วได้

1. สาระ มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด
สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร
มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่าง ๆ และแสดงความคิดเห็น
อย่างมีเหตุผล
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 1.1 ม. 1/4 ระบุหัวข้อเรื่อง (topic) ใจความสำคัญ (main idea) และตอบคำถามจากการฟังและ
อ่านบทสนทนา นิทาน และเรื่องสั้น
สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม
มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างภาษากับวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา และนำไปใช้ได้
อย่างเหมาะสมกับกาลเทศะ
ตัวชี้วัดระหว่างทาง
ต 2.1 ม. 1/3 เข้าร่วม/จัดกิจกรรมทางภาษาและวัฒนธรรมตามความสนใจ

2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด

210
การรู้และเข้าใจคำศัพท์ โครงสร้างภาษา ช่วยให้พูด/เขียนสื่อสาร และเข้าร่วมกิจกรรมทางภาษาได้
อย่างเหมาะสม

3. สาระการเรียนรู้
3.1 ทักษะเฉพาะวิชา
1) Language Features and Functions
Vocabulary: คำศัพท์ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 3
Grammar: ไวยากรณ์ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 3
2) Language Skills
Listening: ฟังเพื่อหาข้อมูลเฉพาะ
Writing: เขียน quiz เกี่ยวกับเนื้อหาที่เรียนมาแล้ว

4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
1) ความสามารถในการสื่อสาร
2) ความสามารถในการคิด

5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
- มุ่งมั่นในการทำงาน

6. กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้น Warm up
1. นักเรียนเล่นเกม Bingo โดยวาดตาราง 9 ช่องลงในสมุด แล้วเขียนคำศัพท์เกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และ
เครื่องใช้ลงในตารางช่องละ 1 คำ จากนั้นครูพูดคำศัพท์ ถ้าในตารางของใครมีคำศัพท์ตามที่ครูพูด
ให้กา  ทับคำนั้น ใครกา  ติดกันครบ 3 คำ ในแนวตั้ง แนวนอน หรือแนวทแยงก่อน ให้พูดว่า
Bingo
2. ครูเตรียมสลากซึ่งเขียนคำบรรยายห้องต่าง ๆ ในบ้านไว้ เช่น There is a wardrobe in this room. A
desk is next to a bed. A chair is behind the desk. There are some pillows on the bed. There are two
windows with blue curtains. แล้วแบ่งนักเรียนออกเป็น 3 ทีม พร้อมทั้งแจกกระดาษ A4 ให้ทีมละ
1 แผ่น และให้แต่ละทีมส่งตัวแทน 2 คน ออกมาจับสลาก ครูให้เวลานักเรียนในการจดจำข้อความ
บนสลาก 15 วินาที แล้วกลับไปที่ทีมของตนเองเพื่อพูดบอกข้อความในสลากให้เพื่อนในทีมฟัง จาก
นั้นให้แต่ละทีมวาดภาพห้องตามที่เพื่อนพูดบรรยาย ทีมที่วาดภาพได้ตรงกับข้อความในสลากมาก
ที่สุดจะเป็นผู้ชนะ

ขั้น Presentation
1. ให้นักเรียนบอกไวยากรณ์ที่เรียนในหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 แล้วครูเขียนบนกระดานในรูปของ mind
map จากนั้นให้นักเรียนช่วยกันบอกโครงสร้างและวิธีการใช้

211
there is/
there are

ไวยากรณ์ a/an -
The หน่วยการ
imperative some/any
เรียนรู้ที่ 3

Prepositions
of place
2. ครูทบทวนประโยคคำสั่ง โดยสุ่มเรียกนักเรียน 3-4 คน พูดประโยคคำสั่ง และให้นักเรียนในชั้น
ปฏิบัติตาม

ขั้น Practice
1. หนังสือเรียน หน้า 44 Ex. 1 ให้นักเรียนหาคำศัพท์เกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ 20 คำ ที่ซ่อนอยู่
ในตาราง จากนั้นครูรวบรวมคำตอบจากนักเรียน

wardrobe sink cushion lamp


cooker painting bookcase curtain
fridge stairs desk bath
vase armchair pillow sofa
toilet washbasin mirror carpet

2. หนังสือเรียน หน้า 44 GAME ครูแบ่งนักเรียนเป็น 2 ทีมเพื่อเล่นเกม Hide the Ball แล้วเริ่มเล่นเกม


โดยครูนึกภาพว่าตนเองซ่อนลูกบอลไว้ในห้องใดห้องหนึ่งในภาพหน้า 35 ให้แต่ละทีมผลัดกันถาม
คำถาม Yes/No questions เพื่อหาว่าลูกบอลถูกซ่อนไว้ในห้องใด และถูกซ่อนไว้ที่ไหน ทีมใดทายถูก
จะได้ 1 คะแนน สุดท้ายทีมที่ได้คะแนนมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ เช่น

T: (ซ่อนลูกบอลไว้ในตู้เสื้อผ้าในห้องนอน)
Team A S1: Is it in the bathroom?
T: No, it isn’t.
Team B S1: Is it in the bedroom?

212
3. หนังสือเรียน หน้า 44 Ex. 2 นักเรียนทำ quiz โดยห้ามเปิ ดดูเนื้อหา เสร็จแล้วให้นักเรียนเปรียบเทียบคำ
ตอบกับเพื่อน จากนั้นครูเฉลยคำตอบ

1 F 2 T 3 F 4 F 5 F

4. หนังสือเรียน หน้า 44 Ex. 4 นักเรียนอ่านคำที่กำหนดให้ตามครู และช่วยกันบอกความหมาย จากนั้น


ให้นักเรียนอ่านเนื้อเพลงและเติมคำลงในช่องว่าง เสร็จแล้วครูเปิ ด CD ให้นักเรียนฟังเพลงเพื่อตรวจ
คำตอบ

1 buildings 2 breath 3 sights


4 places 5 holiday 6 rest

5. หนังสือเรียน หน้า 44 Ex. 5 ให้นักเรียนอ่านเนื้อเพลงอีกครั้ง และตอบคำถาม Why is home


important to the singer? ครูรวบรวมคำตอบจากนักเรียน จากนั้นให้นักเรียนเขียนบอกความรู้สึกว่า
ชอบบ้านของตนเองเพราะอะไร แล้วครูสุ่มเรียกนักเรียนบอกความรู้สึกให้เพื่อนฟัง

Home is important to the singer because, no matter where he goes, it is always


there waiting for him.
I like my home because it is a place where I feel safe and loved.

6. หนังสือเรียน หน้า 43 O-NET practice ครูให้เวลานักเรียนทำข้อสอบ เสร็จแล้วตรวจคำตอบร่วมกัน


ถ้านักเรียนไม่เข้าใจ ให้ครูอธิบายเพิ่มเติม

Ex. 1 1 c 2 b 3 a 4 b
Ex. 2 1 A b, B c 2 A c, B d 3 A b, B b

ขั้น Production
หนังสือเรียน หน้า 44 Ex. 3 นักเรียนจับคู่กัน แล้วครูแจกกระดาษให้คู่ละ 1 แผ่น ให้แต่ละคู่คิด
คำถาม quiz 5-6 ข้อ เกี่ยวกับเนื้อหาในหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 เช่น Buckingham Palace is in London.
(T) ครูให้นักเรียนเปิ ดดูเนื้อหาได้ และให้นักเรียนเขียนคำตอบไว้ด้านหลังกระดาษ เมื่อทุกคู่คิด
คำถามเสร็จแล้วให้แลกกันทำ quiz กับคู่อื่น
213
1 The piano house is in Malawi. (F)
2 You can see a sofa in a living room. (T)
3 Moths live in wardrobes. (T)
4 Spiders have got some webs. (T)
5 You can see the Eiffel Tower from space. (F)
6 The Great Wall of China is 6,350 metres long. (T)

7. การวัดและการประเมินผล
วิธีการวัด เครื่องมือ เกณฑ์การผ่าน
ตรวจการเขียน quiz เกี่ยวกับเนื้อหา - ร้อยละ 60
ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 3
สังเกตความมุ่งมั่นในการทำงาน แบบประเมินคุณลักษณะ ระดับคุณภาพ ผ่าน
อันพึงประสงค์

8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้
1) หนังสือเรียน SPARK 1 ม. 1
2) Class Audio CDs ประกอบสื่อฯ ชุด SPARK 1 ม. 1

214

You might also like