Professional Documents
Culture Documents
Tbo65 71 100
Tbo65 71 100
1. ที่ความเข้มข้นของสารตั้งต้นต่ำ อัตราการเกิดปฏิกิริยาเพิ่มขึ้นเกือบเป็นเส้นตรงตามการเพิ่มของสารตั้งต้น
2. ที่ความเข้มข้นสูงขึ้น อัตราการเกิดปฏิกิริยาลดลงอย่างมาก
3. การอิ่มตัวของค่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาสามารถเอาชนะได้ด้วยการเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้น
4. จากผลการทดลอง สาร X เป็นตัวยับยั้งแบบแข่งขันของเอนไซม์ A
เฉลย
1. ถูก เพราะ ในปฏิกิริยาที่มีเอนไซม์ปริมาณคงที่ อัตราการเกิดปฏิกิริยาจะขึ้นกับปริมาณสารตั้งต้น ความ
เข้มข้นของสารตั้งต้นต่ำ เช่น 0 - 0.1 mM กราฟเกือบเป็นเส้นตรงตามการเพิ่มขึ้นของสารตั้งต้น
2. ผิด เพราะ ที่ความเข้มข้นสูงขึ้น อัตราการเกิดปฏิกิริยาไม่ได้ลดลง แต่อัตราการเพิ่มของอัตราการ
เกิดปฏิกิริยาลดลง
3. ผิด เพราะ ในภาวะที่มีความเข้มข้นของสารตั้งต้นเกินพอ เอนไซม์ทั้งหมดจะถูกเปลี่ยนไปเป็น enzyme-
substrate complex การเพิ่มความเข้มข้นของสารตั้งต้นจึงไม่สามารถเอาชนะการอิ่มตัวของค่าอัตราการ
เกิดปฏิกิริยาได้
4. ผิด เพราะ ถ้าสร้างกราฟของปฏิกิริยาที่เติมสาร X จะพบว่าค่าอัตราการเกิดปฏิกิริยาสูงสุดลดลงต่ำกว่า
อัตราการเกิดปฏิกิริยาสูงสุดในภาวะที่ไม่ได้เติมสาร X ดังนั้นสาร X จึงน่าจะเป็นตัวยับยั้งแบบไม่แข่งขัน
เฉลย
1. ผิด เพราะ จีโนม E. coli มีขนาดประมาณ 3.1x109 / 660 = 4,696,969 4.7 Mb 4,700 kb
2. ถูก เพราะ ความยาวระหว่างคู่เบสเท่ากับ 3.4 Å ดังนั้นโครโมโซมจาก E. coli มีความยาวประมาณ
4,696,969 x 3.4 Å = 1.6 mm
3. ถูก เพราะ จากจำนวนนิวคลีโอไทด์ทั้งหมดในจีโนม E. coli = 4,696,969 นิวคลีโอไทด์ และจากความยาว
เฉลี่ยของโปรตีนใน E. coli = 400 เรซิดิวส์ ซึ่งต้องมาจากลำดับเบสอย่างน้อย 1,200 นิวคลีโอไทด์
ดังนั้นจำนวนโปรตีนสูงสุดที่สามารถสร้างได้จากจีโนม E. coli จึงเท่ากับ 4,696,969 / 1,200 = 3,914 ชนิด
4. ถูก เพราะ
จีโนม E. coli มีปริมาตรประมาณ 3.14 x (0.001 m)2 x 1600 m = 0.005 m3
เซลล์ E. coli มีปริมาตรประมาณ 3.14 x (0.5 m)2 x 2 m = 1.57 m3
ดังนั้นปริมาตรภายในเซลล์ E. coli ที่มี DNA บรรจุอยู่จึงเท่ากับ 0.005/1.57 = 0.0032 หรือ 0.3% ซึ่งน้อย
กว่า 1% ของปริมาตรทั้งหมด
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. โครงสร้างนี้เจริญมาจาก ovule ที่มีการเกิดปฏิสนธิซ้อน (double fertilization)
2. เมล็ดนี้เป็น albuminous seed และจะไม่พบใบเลี้ยงในเมล็ดนี้
3. เมล็ดพืชชนิดนี้ที่ดูดน้ำเต็มที่และได้รับแสงที่ความยาวคลื่น 730 nm จะงอกได้
4. เมื่อเกิด imbibition น้ำจะถูกนำไปใช้สลาย GA3 ผ่านปฏิกิริยา hydrolysis เพื่อกระตุ้นการงอกของเมล็ด
เฉลย
1. ถูก เพราะ หลังการปฏิสนธิ ovule เจริญไปเป็นเมล็ด ภายใน ovule มี embryo sac
ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์ไข่ และ polar nuclei ที่เกิดปฏิสนธิซ้อน (double fertilization) กับ sperm
แล้วพัฒนาเป็น embryo และ endosperm ตามลำดับ
2. ผิด เพราะ ในภาพเป็นเมล็ดที่มี endosperm จึงจัดเป็น albuminous seed ซึ่งยังมีใบเลี้ยง
เพราะสามารถพบใบเลี้ยงได้ในพืชดอกทั้งที่เป็น albuminous seed และ exalbuminous seed
3. ผิด เพราะ แสงที่กระตุ้นให้เกิดการงอกเป็นแสงที่ความยาวคลื่น 660 nm ที่จะเปลี่ยน Pr ให้เป็น Pfr
แล้วจึงกระตุ้นให้เกิดการแสดงออกของยีน (สร้าง RNA) ที่นำไปสู่การงอกของเมล็ดได้
4. ผิด เพราะ น้ำที่เข้าสู่เมล็ดโดยกระบวนการ imbibition จะกระตุ้นการสร้าง GA3
และทำให้เมล็ดออกจากระยะพักได้
AB
C D
E
F
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. เซลล์บริเวณ A เจริญมาจาก cork cambium
2. เซลล์บริเวณ D มีการสะสม suberin ทำให้ไม่สามารถลำเลียงน้ำแบบ apoplast ได้
3. บริเวณ F ประกอบด้วยเนื้อเยื่อที่เจริญมาจาก ground meristem
4. พืชชนิดนี้เกิด secondary growth เนื่องจากมีการสร้าง periderm และ lenticel
เฉลย
1. ผิด เพราะ บริเวณ A คือ epidermis เจริญมาจาก protoderm
2. ผิด เพราะ จากภาพเป็น x-section ของลำต้นพืช ซึ่งเซลล์บริเวณ D คือ vascular cambium
ซึ่งไม่มีการสะสมของ suberin และไม่เกี่ยวข้องกับลำเลียงน้ำแบบ apoplast
3. ถูก เพราะ บริเวณ F คือ บริเวณ pith ประกอบด้วยเนื้อเยื่อ parenchyma เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจัดเป็น
permanent tissue ที่เจริญมาจาก ground meristem
4. ถูก เพราะ บริเวณ B คือ cork cambium และ รอยแตกที่เกิดขึ้น คือ lenticel ซึ่ง แสดงถึง secondary
growth
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. เมื่อตัด x-section ของลำต้นจะพบ interfascicular cambium
2. ในชั้น endodermis ของรากมี Casparian strip
3. เซลล์ในชั้น pericycle มี dedifferentiation
4. ในลำต้นจะพบ secondary phloem และ secondary xylem
เฉลย
1. ผิด เพราะข้าวโพดเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวไม่มี vascular cambium จึงไม่พบทั้ง fascicular และ
interfascicular cambium
2. ถูก เพราะ Casparian strip เป็นลักษณะที่พบได้ในชั้น endodermis
ของรากทั้งพืชใบเลี้ยงเดี่ยวและใบเลี้ยงคู่ และจะพบได้ง่ายกว่าในระยะที่รากยังอยู่ในการเติบโตระยะที่เป็น
primary growth
3. ถูก เพราะ จากลักษณะของรากที่แสดงมีรากแขนงแล้ว ดังนั้นจึงมีโอกาสพบ lateral root primordium
ที่เกิดจาก dedifferentiation ของเซลล์ในชั้น pericycle ได้
4. ผิด เพราะ ข้าวโพดเป็นพืชใบเลี้ยงเดี่ยวไม่มี vascular cambium ดังนั้นจึงไม่พบ secondary xylem และ
secondary phloem
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. เซลล์ที่จุดสมดุลจะมีสภาพเป็น turgid cell (เซลล์เต่ง)
2. water potential ของเซลล์ที่จุดสมดุลมีค่าเท่ากับ 0 MPa
3. osmotic potential ของเซลล์นี้ไม่เปลี่ยนแปลง
4. ที่จุดสมดุล water potential ของสารละลายน้ำตาลซูโครสมีค่าเท่ากับ water potential
ของเซลล์เมื่อเริ่มต้นการทดลอง
เฉลย
1. ถูก เพราะ เมื่อเริ่มต้นเซลล์มีค่า water potential ต่ำกว่าสารละลายน้ำตาลซูโครส และมีค่า pressure
potential เท่ากับ 0 น้ำจากสารละลายจะแพร่เข้าสู่เซลล์ และเมื่อเข้าสู่สมดุลเซลล์จะมี water potential
เท่ากับสารละลายภายนอกคือ − 0.7 MPa โดยที่มี osmotic potential คงที่ ดังนั้น เซลล์จะมี pressure
potential ที่สมดุล เท่ากับ 0.2 MPa ดังนั้นเซลล์มีลักษณะเป็น turgid cell
2. ผิด เพราะ ที่สมดุล water potential ภายในเซลล์ จะเท่ากับภายนอกเซลล์ ซึ่งเท่ากับ − 0.7 MPa
3. ถูก เพราะ ขนาดของเซลล์ไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นความเข้มข้นของสารละลายภายในเซลล์จึงคงที่ osmotic
potential คงที่ตลอดการทดลองจนถึงสมดุล
4. ผิด เพราะ สารละลายน้ำตาลมีปริมาตรมากกว่าเซลล์มาก
เมื่อเกิดการแพร่ของน้ำเข้าสู่เซลล์จะมีผลต่อความเข้มข้นของสารละลายน้ำตาลน้อยมาก ดังนั้น
ที่จุดสมดุลค่า water potential ของสารละลายน้ำตาลจะเท่าเดิมคือ − 0.7 MPa
15. การเปิดปิดปากใบควบคุมด้วยฮอร์โมนพืชและสารเคมีซึ่งเป็นสัญญาณภายในเซลล์
ในการศึกษาการเปลี่ยนแปลงความกว้างของปากใบ (stomatal aperture)
ของพืชชนิดหนึ่งเมื่อได้รับความเค็มจากเกลือแกง (NaCl) และการฉีดพ่นใบด้วย putrescine (Put)
รวมทั้งการให้สารต่าง ๆ ร่วมกับ Put และความเค็ม ได้แก่ D-Arg (ตัวยับยั้งการสังเคราะห์ Put), H2O2
และ DMTU (สารกำจัด H2O2) ได้ผลแสดงดังภาพ A และ ผลของ treatment ต่าง ๆ ที่มีต่อปริมาณ
ABA (ABA content) และการแสดงออกของยีน NCED (NCED expression level) ซึ่ง encode
ให้ยีนใน ABA biosynthesis pathway แสดงดังภาพ B
เฉลย
1. ผิด เพราะ การให้ Put เพียงอย่างเดียว stomatal aperture ไม่แตกต่างจากชุดควบคุม (ภาพ A)
2. ถูก เพราะ การชะลอการปิดปากใบด้วย Put เมื่อมีการให้ D-Arg ซึ่งเป็น Put biosynthesis inhibitor
แล้วพบว่าปากใบปิดได้เหมือนกับการได้รับ NaCl เพียงอย่างเดียว ดังนั้นจึงคาดได้ว่า การให้ Put
จากภายนอกมีผลต่อการสังเคราะห์ Put ภายในพืช และทำให้ชะลอการปิดปากใบ ไม่ได้เป็นผลจาก Put
ที่ให้จากภายนอกโดยตรงเพียงอย่างเดียว
3. ถูก เพราะ เมื่อให้ NaCl ร่วมกับ Put แล้วให้ DMTU ซึ่งเป็น H2O2 scavenger แล้วมีผลทำให้ Put
ไม่สามารถชะลอการปิดปากใบได้ แต่เมื่อให้ H2O2 เพิ่มเติม (NaCl + Put + DMTU + H2O2)
ทำให้ปากใบเปิดกว้างขึ้นได้ แสดงว่าบทบาทของ Put
ในการชะลอการปิดปากใบนี้เป็นการทำงานผ่านสัญญาณ H2O2
4. ถูก เพราะ เมื่อพืชได้รับ Put ในภาวะเค็มมีผลทำให้การแสดงออกของยีน NCED และ ปริมาณ ABA
แตกต่างจากการได้รับ NaCl เพียงอย่างเดียวอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. Sun leaves ของพืช B มี light compensation point ต่ำกว่า shade leaves
2. ที่ความเข้มแสงต่ำกว่า 600 μmol.m-2.s-1 แสงเป็นปัจจัยจำกัด (limiting factor)
ต่อการสังเคราะห์ด้วยแสง ของพืช A ไม่ว่าจะเป็น sun leaves หรือ shade leaves
3. Sun leaves ในพืช A และพืช B มี light saturation point ที่ความเข้มแสงประมาณ 1000 μmol.m-2.s-
1
RM7 BAP (2.0) + Kinetin (1.0) 13.75DEF 16.93BCDE 31.49BC 49.96B 28.03B
RM8 IAA (0.5) + Kinetin (1.0) 26.88ABC 25.29AB 29.38CD 44.69B 31.56B
RM9 IAA (0.25) + BAP (1.0) 2.97HIJ 14.64BCDE 1.71G 2.35GH 5.42EFGH
RM10 IAA (0.5) + BAP (1.0) 12.46FG 22.87ABC 0.00G 1.95GH 9.32DEF
IAA = indole-3-acetic acid, BAP = 6-benzylaminopurine
อักษรที่แตกต่างกันเหนือตัวเลขในแนวตั้งแสดงความแตกต่างทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญเมื่อทดสอบด้วย Tukey’s
HSD test ที่ P < 0.0001
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. Cytokinin ไม่เหมาะสมสำหรับการชักนำยอดของข้าวโพด
2. การเติม BAP เพียงอย่างเดียวในอาหารสูตร RM ไม่เหมาะสมสำหรับการชักนำยอดข้าวโพดทั้ง 4 พันธุ์นี้
3. การใช้ IAA ร่วมกับ BAP สามารถส่งเสริมการเกิดยอดใหม่ของข้าวโพดบางพันธุ์ได้
4. การใช้ IAA ร่วมกับ kinetin สามารถส่งเสริมการเกิดยอดใหม่ของข้าวโพดได้ทั้ง 4 พันธุ์
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. หนูทดลองที่ได้รับอาหารที่ไม่มีเอทานอลจะพบแอลกอฮอล์ในเลือดประมาณ 4 mM
2. หนูทดลองที่ได้รับอาหารที่มีเอทานอลจะมีความเข้มข้นของทั้งแอลกอฮอล์และแอลดีไฮด์ในเลือดสูงขึ้น
3. SMSP สามารถลดความเข้มข้นของแอลกอฮอล์ในเลือดของหนูทดลองได้ แต่ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า
SMSP สามารถลดความเข้มข้นของแอลดีไฮด์ในเลือดของหนูทดลองได้จริงหรือไม่
เนื่องจากความเข้มข้นของแอลดีไฮด์ในกราฟยังมีค่าใกล้เคียงกันอยู่
4. เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้ว เอทานอลส่วนใหญ่จะผ่านกระบวนการ metabolism ที่ตับด้วยเอนไซม์หลายชนิด
โดยเอนไซม์ที่สำคัญคือ alcohol dehydrogenase ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนเอทานอลให้เป็น acetaldehyde
เฉลย
1. ถูก เพราะ ภาพ 1 มีค่าความดันภายในปอด 760 mm Hg ซึ่งเท่ากับความดันบรรยากาศ
ทำให้ไม่เกิดการเคลื่อนที่ของอากาศ
2. ผิด เพราะ ภาพ 3 มีค่าความดันภายในปอดน้อยกว่า 760 mm Hg อากาศภายนอกจึงถูกดึงเข้ามา
เป็นการหายใจเข้า
3. ถูก เพราะ อักษร D คือขนาดของช่องอกขณะหายใจออก
กล้ามเนื้อกะบังลมคลายตัวทำให้ขนาดของปอดกลับมาเท่าปกติ ส่งผลให้ความดันภายในปอดเพิ่มขึ้น
เป็นการหายใจออก
4. ผิด เพราะ ค่าความดันภายในปอดของภาพ 1 = 760 มิลลิเมตรปรอท ส่วนภาพ 2 ค่าความดันมากกว่า 760
มิลลิเมตรปรอท และภาพ 3 ค่าความดันน้อยกว่า 760 มิลลิเมตรปรอท ดังนั้นค่าความดันภายในปอด B >
A>C
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. ความหนาของ endothelium ของหลอดเลือด A > C > B
2. ความดันเลือดในหลอดเลือด A มีค่าสูงกว่าความดันเลือดในหลอดเลือด C
3. หลอดเลือด C เป็นหลอดเลือดที่นำเลือดออกจากหัวใจไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
4. เมื่อพิจารณาพื้นที่ตัดขวางของหลอดเลือดทั้งหมดในร่างกาย พบว่าหลอดเลือดชนิด B
มีพื้นที่ตัดขวางน้อยที่สุด
22. ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. โครงสร้าง chordae tendineae พบที่ semilunar valve
2. SA node พบที่ interatrial septum ใกล้กับ tricuspid valve
3. หลอดเลือด coronary artery เป็นแขนงของหลอดเลือด aorta
4. บริเวณ interventricular septum เกี่ยวข้องกับการนำคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
เฉลย
1. ผิด เพราะ chordae tendineae เป็นโครงสร้างที่มีลักษณะเหมือนเส้นด้าย ซึ่งปลายข้างหนึ่งยึดอยู่กับ
papillary muscle และปลายอีกข้างหนึ่งยึดกับแผ่นลิ้น AV valve
2. ผิด เพราะ SA node อยู่ที่รอยต่อระหว่างหลอดเลือด superior vena cava และ หัวใจห้องบนขวา
3. ถูก เพราะ ascending aorta ให้แขนง เป็น right coronary artery และ left coronary artery
เลี้ยงผนังหัวใจ
4. ถูก เพราะ บริเวณ interventricular septum มีโครงสร้าง bundle of His
เกี่ยวข้องกับการนำคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. ลิงในกลุ่ม A ตายทั้งหมดภายใน 28 วันหลังได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ
2. ลิงในกลุ่ม B ไม่พบการปฏิเสธอวัยวะ
3. ในวันที่ 140 ลิงทุกตัวที่ตายในกลุ่ม B เกิดจากการปฏิเสธอวัยวะที่ได้รับการปลูกถ่าย
4. ในวันที่ 250 มีลิงในกลุ่ม B อยู่รอดและไม่ปฏิเสธอวัยวะจำนวน 1 ตัว
เฉลย
1.ผิด เพราะ จากกราฟ A ลิงในกลุ่ม A 25% สามารถมีชีวิตอยู่รอดได้เกิน 28 วัน (32 วัน)
2.ผิด เพราะ จากกราฟ B พบการปฏิเสธอวัยวะ 25% ตั้งแต่หลังวันที่ 84
3.ผิด เพราะ ในวันที่ 140 ลิงที่ได้รับสารกดภูมิกลุ่ม B ตายไป 2 ตัว มีการปฏิเสธอวัยวะเพียง 1 ตัว
4.ถูก เพราะ ในวันที่ 250 มีลิงที่ได้รับสารกดภูมิกลุ่ม B อยู่รอด 25% (กราฟ A) และไม่ปฏิเสธอวัยวะ (กราฟ
B) จึงเท่ากับลิง 1 ตัว
Reference: DOI: 10.1097/TP.0000000000002796
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. ปริมาณ nitrogenous waste ในบริเวณ n > b > c
2. การกรองของเสียออกจากเลือดจะเกิดขึ้นที่บริเวณหมายเลข 6
3. ความยาวของโครงสร้าง e มีผลต่อความเข้มข้นของน้ำปัสสาวะ
4. ถ้านำของเหลวบริเวณ l ในคนปกติ มาทดสอบกับสารละลายเบเนดิกต์ จะได้ของเหลวที่มีสีฟ้า
เฉลย
1. ผิด เพราะ ปริมาณ nitrogenous waste บริเวณ n > c > b (c คือ afferent arteriole, b คือ efferent
arteriole, n คือ distal convoluted tubule)
2. ผิด เพราะ การกรอง (filtration) ของเสียออกจากเลือดเกิดขึ้นที่ glomerulus ซึ่งอยู่ในเนื้อไตชั้นนอก
(cortex) (หมายเลข 1) ส่วนหมายเลข 6 คือ เนื้อไตชั้นใน (medulla)
3. ถูก เพราะ โครงสร้าง e คือ loop of Henle จะมีการดูดน้ำและ NaCl กลับ
ซึ่งความยาวของโครงสร้างนี้มีผลต่อความเข้มข้นของน้ำปัสสาวะ
4. ถูก เพราะ ของเหลวบริเวณ l (collecting duct) ของคนปกติ
เมื่อนำน้ำปัสสาวะมาทดสอบกับสารละลายเบเนดิกต์ จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงเนื่องจากไม่มีกลูโคส
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิดเกี่ยวกับผู้ที่มีกลุ่มอาการ PCOS
1. มี BMI ไม่แตกต่างจากกลุ่มควบคุม
2. มีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานใกล้เคียงกับกลุ่มควบคุม
3. อาจประสบปัญหาประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ทำให้มีบุตรยากกว่ากลุ่มควบคุม
4. อาจจะมีภาวะแอนโดรเจนเกิน ทำให้เกิดภาวะขนดก ผิวมันและมีสิวขึ้นมากกว่ากลุ่มควบคุม
เฉลย
1. ถูก เพราะ การเกิด action potential ที่ sciatic nerve เป็นไปตามกฎ all or none
2. ผิด เพราะ
การตอบสนองของกล้ามเนื้อโครงร่างเมื่อเพิ่มความแรงหรือเพิ่มความถี่ของการกระตุ้นจะทำให้การหดตัวข
องกล้ามเนื้อเกิดได้แรงขึ้น (wave summation)
3. ถูก เพราะ curare ส่งผลให้เกิดการยับยั้งที่ postsynaptic neuron ดังนั้นการเกิด action potential ที่
axon ของ sciatic nerve จะยังคงเกิดได้ตามปกติ แต่ไม่พบการหดตัวของกล้ามเนื้อ
4. ผิด เพราะ ที่ช่วงเวลา 100-200 msec อยู่ในระยะที่กล้ามเนื้อมีการคลายตัว
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงที่พบได้ใน muscle fiber คือ มีการดึง Ca2+ กลับไปที่ SR ทำให้ actin กับ myosin
หลุดออกจากกัน
5.
เฉลย
1. ผิด เพราะ glutamate ทำให้เกิด excitatory postsynaptic potential (EPSP) ส่วน GABA ทำให้เกิด
inhibitory postsynaptic potential (IPSP)
2. ถูก เพราะ GABA ทำให้เกิดการเปิดของ Cl- channel เกิด Cl- influx และ เกิด hyperpolarization
3. ผิด เพราะ เซลล์ B เป็น chemical synapse จึงไม่มีการทำงานของ gap junction
4. ผิด เพราะ glutamate ไม่ใช่ neurotransmitter ของ neuromuscular junction แต่ acetylcholine
ทำหน้าที่นี้
28. จากการทดลองตัดกล้ามเนื้อน่องของกบที่ถูกทำให้เป็นอัมพาตมาเลี้ยงในจานที่มีสารละลายริงเกอร์
(Ringer's solution) จำลองการกระตุ้นให้กล้ามเนื้อทำงานด้วยกระแสไฟฟ้าอย่างอ่อน
ข้อความต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. ถ้าใส่ Ca2+ ลงไปในจานเลี้ยงกล้ามเนื้อหลังเกิด synapse ในปริมาณ 2
เท่าจากสภาวะปกติ กล้ามเนื้อจะเพิ่มความแรงและความเร็วในการกระตุก (muscle twitch)
มากกว่าปกติ 2 เท่าเช่นกัน
2. ถ้าหยด acetylcholinesterase ก่อนการเกิด depolarization จะทำให้ไม่มี Ca2+ ไปจับกับ troponin
ดังนั้นเส้นใย actin จึงไม่ถูกดึงให้ขยับ
3. ถ้าลดปริมาณ Na+ ในกล้ามเนื้อน่องที่เลี้ยง จะทำให้กล้ามเนื้อมีโอกาสเกิดตะคริว (muscle cramp)
4. ในกบที่มีชีวิต กล้ามเนื้อน่องจัดเป็นกล้ามเนื้อ extensor
ขณะกบกระโดดกล้ามเนื้อนี้จะดึงให้กระดูกหน้าแข้งและน่อง (tibiofibular) และกระดูกต้นขา
(femur) เหยียดตรง ทำให้สามารถดีดตัวได้
เฉลย
1. ผิด เพราะ A คือ FSH ในเพศชายจะกระตุ้นการแบ่งเซลล์สร้างสเปิร์ม ส่วนฮอร์โมนที่ทำให้เกิด secondary
sex characteristics คือ estrogen (estradiol) หรือ อักษร C
2. ถูก เพราะ B คือ LH ซึ่งเป็นหนึ่งในฮอร์โมนที่จะถูกยับยั้งโดย cortisol และการยับยั้ง LH ส่งผลต่อการตกไข่
ทำให้ตกไข่ล่าช้า ประจำเดือนจึงมาช้ากว่าปกติ
3. ผิด เพราะ ฮอร์โมน C คือ estradiol หรือ estrogen ซึ่งหลั่งจากกลุ่ม follicle ในรังไข่ และ inhibin
มีผลยับยั้ง FSH (ฮอร์โมน A) จากต่อมใต้สมอง
4. ถูก เพราะ ฮอร์โมน D คือ progesterone ที่สามารถยับยั้งการทำงานของ prostaglandin
เพื่อลดการบีบตัวของมดลูกทำให้เอ็มบริโอฝังตัวได้
30. จากภาพ
เฉลย
1. ถูก เพราะ โครงสร้าง ก เป็น placenta ซึ่งเจริญมาจาก yolk sac และ allantois
2. ถูก ดูภาพประกอบ
3. ผิด เพราะ หลอดเลือด artery ในโครงสร้าง ข ลำเลียง deoxygenated blood ส่วน vein ลำเลียง
oxygenated blood
4. ผิด เพราะ หลอดเลือด artery ในโครงสร้าง ข ลำเลียงเลือดจาก fetus ไปยังแม่ ส่วน umbilical vein
ลำเลียงเลือดจากแม่ไปยัง fetus
(ที่มา ของภาพ https://ipscell.com/2021/06/what-is-whartons-jelly-its-possible-clinical-uses/)
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. พฤติกรรมกำรเลี้ยงดูญำติภำยในฝูงของหนูชนิดนี้จัดเป็น altruistic behavior ซึ่งเกิดขึ้นตำมหลักกำร kin
selection
2. เมื่อหนูตุ่นไร้ขนที่ถูกเลี้ยงโดยฝูงอื่นตั้งแต่อำยุยังน้อยแล้วสำมำรถส่งเสียงร้องเหมือนฝูงที่เลี้ยงได้
แสดงว่ำกำรสื่อสำรนี้เป็น innate behavior
3. กำรที่หนูตุ่นในฝูงกินมูลของนำงพญำเมื่อนำงพญำเริ่มตั้งท้อง
แสดงว่ำมีกำรสื่อสำรของหนูตุ่นไร้ขนโดยใช้สำรเคมีด้วย
4. เมือ่ นำงพญำตัวเดิมตำย ตัวเมียที่เหลือจะมีกำรต่อสู้กันเพื่อเป็นนำงพญำตัวใหม่ พฤติกรรมนี้คือ female
mate-choice behavior
เฉลย
1. ถูก เพรำะ หนูตุ่นไร้ขนในฝูงทุกตัวมีควำมสัมพันธ์กับนำงพญำ คือ เป็นลูก ดังนั้น
กำรเลี้ยงดูหนูตุ่นไร้ขนเกิดใหม่ คือกำรเลี้ยงดูน้อง ซึ่งมีควำมใกล้ชิดทำงสำยเลือด
เรียกกำรคัดเลือกแบบนี้ว่ำ kin selection
2. ผิด เพรำะ กำรส่งเสียงร้องของลูกหนูตุ่นไร้ขนสำมำรถดัดแปลงไปตำมฝูงที่เลี้ยงได้
จึงจัดเป็นพฤติกรรมที่เกิดจำกกำรเรียนรู้ (learning) ไม่ใช่พฤติกรรมที่มีมำแต่กำเนิด (innate behavior)
3. ถูก เพรำะ ฮอร์โมน estrogen
ที่อยู่ในมูลของนำงพญำจะกระตุ้นให้หนูตุ่นไร้ขนในฝูงมีพฤติกรรมตอบสนองต่อเสียงของลูกหนูตุ่นไร้ขน
เป็นกำรสื่อสำรของนำงพญำไปยังลูกฝูงโดยใช้สำรเคมีผ่ำนทำงพฤติกรรมกำรกินมูล (coprophagy)
ของหนูตุ่นไร้ขน
4. ผิด เพรำะ กำรต่อสู้กันของตัวเมียเพื่อแข่งกันเป็นนำงพญำ จัดเป็น agonistic behavior
และเมื่อได้เป็นนำงพญำแล้ว จึงแสดง female mate-choice behavior ในกำรเลือกตัวผู้เป็นคู่
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. หนูมีพฤติกรรมกำรเรียนรู้แบบ insight learning
2. พฤติกรรมของหนูในกำรทดลองนี้ได้รับอิทธิพลทั้งจำกยีนและสิ่งแวดล้อม
3. หนูที่ไม่ได้รับอำหำรเป็นรำงวัลในช่วงแรกของกำรทดลองเรียนรู้ได้ช้ำกว่ำหนูที่ได้รับอำหำรเป็นรำงวัลในช่ว
งแรก
4. พฤติกรรมนี้ของหนูและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมหลำยชนิดถูกควบคุมโดยสมองส่วน hippocampus
เฉลย
1. ผิด เพรำะ กำรทดลองนี้แสดงให้เห็นว่ำหนูสำมำรถเรียนรู้โดยเชื่อมโยงพฤติกรรมหนึ่ง ๆ
เข้ำกับกำรได้รับรำงวัล ซึ่งจัดว่ำเป็นกำรเรียนรู้แบบ operant conditioning
2. ถูก เพรำะ พฤติกรรมกำรเรียนรู้ (learning behavior) แสดงออกภำยใต้อิทธิพลของยีนและสิ่งแวดล้อม
3. ถูก เพรำะ หนูกลุ่มที่ 2 และ 3
มีจำนวนครั้งของควำมผิดพลำดเกิดขึ้นแม้ว่ำจะมีกำรให้อำหำรเป็นรำงวัลแล้ว แตกต่ำงจำกกลุ่มที่ 1
(กลุ่มควบคุม) ที่จำนวนควำมผิดพลำดลดลงทันทีหลังจำกได้รับรำงวัล
4. ถูก เพรำะ ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม สมองส่วน hippocampus เป็นส่วนหนึ่งของ limbic system
ทำหน้ำที่เกี่ยวข้องกับกำรเรียนรู้และควำมจำ
ข้อควำมต่อไปนี้ถูกหรือผิด
1. ระบบนิเวศนี้มีสิ่งมีชีวิตที่เป็น secondary consumer 3 ชนิด
2. พลังงำนที่ H ได้รับมีค่ำประมำณ 0.01 เท่ำของพลังงำนที่มีอยู่ใน B
3. สัตว์ที่พบในสำยใยอำหำรนี้มีทั้ง herbivore และ carnivore แต่ไม่พบ omnivore
4. C และ D มีควำมสัมพันธ์แบบ competition ซึ่งอำจนำไปสู่กระบวนกำร competitive exclusion ของ C
หรือ D ได้
เฉลย
1. ผิด เพรำะ ระบบนิเวศนี้มีสิ่งมีชีวิตที่เป็น secondary consumer 4 ชนิด คือ F, G, I และ H
2. ถูก เพรำะ ตำมกฎกำรถ่ำยทอดพลังงำนในโซ่อำหำร ประมำณ 10% ของพลังงำนใน trophic level
ต่ำกว่ำจะถูกถ่ำยทอดไปสู่สิ่งมีชีวิตใน trophic level ถัดไป ดังนั้น E จะได้รับพลังงำนเป็น 0.1 เท่ำของ B
และ H จะได้รับพลังงำนเป็น 0.1 เท่ำของ E ซึ่งคิดเป็น 0.01 เท่ำของ B ซึ่งเป็นผู้ผลิต (producer)
3. ผิด เพรำะ C, D และ E เป็น herbivore G, H, I และ J เป็น carnivore ส่วน F เป็นชนิดเดียวที่เป็น
omnivore
4. ผิด เพรำะ C และ D กินอำหำรชนิดเดียวกันในระบบนิเวศนี้ก็จริง แต่สำมำรถอยู่ร่วมกันได้โดยไม่เกิด
competitive exclusion เนื่องจำกมี niche differentiation หรือ resource partitioning
คือมีช่วงเวลำกำรหำอำหำรไม่ทับซ้อนกัน (ภำพที่ 2) โดยส่วนใหญ่ C หำกินในช่วงเวลำประมำณ 06:00-
13:59 น. แต่ D หำกินในช่วงเวลำประมำณ 16:00-05:59 น.