Professional Documents
Culture Documents
วัสดุศาสตร์เบื้องต้น
วัสดุศาสตร์เบื้องต้น
และสมบัติทางวัสดุศาสตร์
(Materials Science and Properties)
วัสดุศาสตร์ และสมบัติทางวัสดุศาสตร์
(Materials Science and Properties)
Metal
Composite
Ceramic Polymer
รูปที่ 1.1 ประเภทวัสดุแบ่งตามชนิด
3
บทที่ 1
โลหะ (metal/alloy)
โลหะจัดเป็นสารอนินทรีย์ (inorganic substances) ซึ่งแบ่งประเภทเป็น โลหะบริสุทธิ์
(metals) และโลหะเจื อ (alloys) ส� ำ หรั บ โลหะเจื อ จะประกอบด้ ว ยธาตุ ตั้ ง แต่ 2 ชนิ ด ขึ้ น ไป
และต้องมีธาตุโลหะอย่างน้อย 1 ชนิดเป็นองค์ประกอบ เช่น เหล็ก (iron) ทองแดง (copper)
นิกเกิล (nickel) ทอง (gold) และอาจมีธาตุที่เป็นอโลหะ (non-metals) เช่น คาร์บอน (carbon)
ออกซิเจน (oxygen) เป็นองค์ประกอบอยู่ร่วม โลหะเจือที่ใช้บ่อยในทางทันตกรรม เช่น โลหะ
เจื อ ทอง (gold alloys) เหล็ ก กล้ า (steel) โลหะโคบอลต์ - โครเมี ย ม (cobalt-chromium)
สมบั ติ โ ดยทั่ ว ไปที่ ส� ำ คั ญ ของวั ส ดุ ก ลุ ่ ม โลหะคื อ มี ค วามสามารถในการน� ำ ไฟฟ้ า (electrical
conductivity) และน� ำ ความร้ อ น (thermal conductivity) ได้ ดี มี ค วามแข็ ง แรงเชิ ง กล
(mechanical strength) และความสามารถในการขึ้นรูป (forming ability) สูง ลักษณะพื้นผิว
เป็นมันวาวและสะท้อนแสง (luster and shining) โลหะมักน�ำมาใช้ในงานโครงสร้างหรืองานทีต่ อ้ ง
รับแรง ลักษณะโครงสร้างโลหะจะเป็นผลึกชัดเจน (crystalline structure) ซึ่งอะตอมจะมีการ
จัดตัวอย่างเป็นระเบียบและมีลักษณะเฉพาะ โดยยึดอยู่ด้วยกันด้วยพันธะโลหะ (metallic bond)
ที่อะตอมของโลหะมีการใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอน (valence electron) ร่วมกัน ท�ำให้เกิดแรงดึงดูด
ระหว่างประจุไฟฟ้าตรงกันข้าม (รูปที่ 1.2) ด้วยเหตุที่มีเวเลนซ์อิเล็กตรอนเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ
และมี ก ารใช้ อิ เ ล็ ก ตรอนร่ ว มกั น ภายในโลหะจึ ง ท� ำ ให้ โ ลหะมี ส มบั ติ ดั ง กล่ า วข้ า งต้ น ได้ แ ก่
การน� ำ ไฟฟ้ า และความร้ อ นได้ ดี เนื่ อ งจากอิ เ ล็ ก ตรอนเคลื่ อ นที่ ไ ด้ ง ่ า ยและหลายทิ ศ ทาง และ
การทีโ่ ลหะมีอณ ุ หภูมหิ ลอมเหลวสูงเนือ่ งจากมีพนั ธะโลหะทีแ่ ข็งแรง โลหะส่วนใหญ่อยูใ่ นรูปของแข็ง
ยกเว้นธาตุปรอท (mercury) ซึ่งเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง และธาตุแกลเลียม (gallium) ที่เป็น
ของเหลว ที่อุณหภูมิประมาณ 30 oC
_
e
_ _ _ _ _
e e e e e
_
_ e _ _
e e e
_
e
4
วัสดุศาสตร์ และสมบัติทางวัสดุศาสตร์
(Materials Science and Properties)
5
บทที่ 1
พอลิเมอร์ (polymer)
พอลิเมอร์เป็นวัสดุที่อาจประกอบด้วยสารอินทรีย์ (organic O
6
วัสดุศาสตร์ และสมบัติทางวัสดุศาสตร์
(Materials Science and Properties)
2. เทอร์ โ มเซตติ ง พอลิ เ มอร์ (thermosetting polymers) เป็ น พอลิ เ มอร์ ที่ มี
ความแข็งแรง เพราะสายโซ่โมเลกุลเกาะยึดกันแน่นเป็นโครงข่าย หรือที่เรียกว่า เกิดการเชื่อมขวาง
(cross-link) ท�ำให้พอลิเมอร์ประเภทนี้เมื่อขึ้นรูปแล้วจะแข็งตัวเมื่อเกิดกระบวนการปฏิกิริยา
ทางเคมี (chemical reaction) และสร้างพันธะโคเวเลนต์โดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่าง
ได้ อี ก (irreversible change) ภายหลั ง การเกิ ด ปฏิ กิ ริ ย าทางเคมี ที่ ส มบู ร ณ์ แ ล้ ว ถึ ง แม้ ว ่ า
จะถูกความร้อนอีกครั้ง พอลิเมอร์ประเภทนี้มักมีสมบัติลักษณะแข็งและเปราะ เช่น พอลิเมทิล-
เมทาคริเลต (polymethyl methacrylate หรือ PMMA) อีพอกซี (epoxy) ดังรูปที่ 1.4 แสดง
ลักษณะโครงสร้างการยึดเกาะของโมเลกุลพอลิเมอร์
a. b.
7
โลหะวิทยาพื้นฐาน
(Fundamental Metallurgy Science)
โลหะวิทยาพื้นฐาน
(Fundamental Metallurgy Science)
57
บทที่ 2
Simple Body-centered
Tetragonal Tetragonal
Orthorhombic a≠b≠c
Simple Base-centered
Monoclinic Monoclinic
Triclinic a≠b≠c
Triclinic
Hexagonal a=b≠c
Hexagonal
Rhombohedral a=b=c
(Trigonal)
Rhombohedral
58
โลหะวิทยาพื้นฐาน
(Fundamental Metallurgy Science)
59
บทที่ 2
60
โลหะวิทยาพื้นฐาน
(Fundamental Metallurgy Science)
61
บทที่ 2
62
โลหะวิทยาพื้นฐาน
(Fundamental Metallurgy Science)
อุณหภูมิหลอมเหลวและอุณหภูมิเยือกแข็งของโลหะ
(melting and freezing temperature of metal)
โลหะเจือประกอบด้วยธาตุโลหะ และ/หรือธาตุอโลหะตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ดังนั้น อุณหภูมิ
หลอมเหลวของโลหะบริสุทธิ์และโลหะเจือเมื่อกลายเป็นของแข็งจึงแตกต่างกัน เนื่องจากโลหะเจือ
ประกอบด้วยธาตุหลายชนิด และธาตุแต่ละชนิดก็มีจุดหลอมเหลว (melting point) ที่แตกต่างกัน
ดังนั้น โลหะเจือจึงไม่สามารถก�ำหนดจุดหลอมเหลวได้ แต่จะก�ำหนดเป็นช่วงอุณหภูมิหลอมเหลว
(melting range) หรื อ ที่ เ รี ย กว่ า “อุ ณ หภูมิห ลอมเหลว (melting temperature)” ขณะที่
โลหะบริสุทธิ์จะสามารถก�ำหนดจุดหลอมเหลวได้ จากรูปที่ 2.3 แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่าง
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิกับเวลา เปรียบเทียบกันระหว่างโลหะบริสุทธิ์กับโลหะเจือ ขณะก่อตัว
จากโลหะเหลวเป็นสถานะของแข็ง
Temperature Temperature A
A
TL
B
Tm TS C
B C
Plateau stage D
D
Time Time
a. การเย็นตัวลงของโลหะบริสุทธิ์ b. การเย็นตัวลงของโลหะเจือ
รูปที่ 2.3 ความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิและเวลาขณะเกิดกระบวนการกลายเป็นของแข็งระหว่างโลหะ
บริสุทธิ์ (a) และโลหะเจือ (b) (Tm: melting temperature, TL: liquidus temperature,
TS: solidus temperature)
จากรู ป ข้ า งต้ น ช่ ว ง A-B เป็ น ช่ ว งที่ โ ลหะบริ สุ ท ธิ์ แ ละโลหะเจื อ อยู ่ ใ นสถานะของเหลว
เมื่ อความร้อนระบายออกและอุณหภูมิล ดลงเรื่อย ๆ จนถึงอุณ หภูมิที่จุด B ส�ำหรับโลหะบริสุทธิ์
(รูปที่ 2.3 a) จะเรียกอุณหภูมิ ณ จุดนี้ว่า “อุณหภูมิหลอมเหลว หรือจุดหลอมเหลว (melting tem-
perature (Tm) หรือ melting point)” ซึ่งอุณหภูมิ ณ จุดนี้จะมีความหมายเดียวกับจุดเยือกแข็ง
หรืออุณหภูมิเยือกแข็ง (freezing point/temperature) ของโลหะเหลว ซึ่งหมายถึงจุดอุณหภูมิ
63
บทที่ 2
ทีโ่ ลหะเหลวเริม่ ก่อตัวเป็นของแข็ง (เฉพาะโลหะบริสทุ ธิเ์ ท่านัน้ ทีจ่ ะมีจดุ หลอมเหลว หรือจุดเยือกแข็ง
ทีอ่ ณ
ุ หภูมเิ ดียวกัน) กล่าวคือ ความแตกต่างระหว่างจุดหลอมเหลวและจุดเยือกแข็งคือ จุดหลอมเหลว
เป็นจุดอุณหภูมิที่เริ่มการเปลี่ยนสถานะของโลหะแข็งเป็นของเหลว ขณะที่จุดเยือกแข็งเป็นจุด
อุณหภูมิที่เริ่มการเปลี่ยนสถานะของโลหะเหลวเป็นสถานะของแข็ง ดังนั้น จุดอุณหภูมิทั้งสองนี้
ของโลหะบริสทุ ธิจ์ งึ เป็นอุณหภูมเิ ดียวกัน นอกจากนีอ้ ณ ุ หภูมหิ ลอมเหลวยังมีความหมายเช่นเดียวกับ
อุณหภูมขิ องเหลว (liquidus temperature) ซึง่ หมายถึง อุณหภูมติ ำ�่ สุดทีท่ ำ� ให้โลหะอยูใ่ นสถานะ
ของเหลวหมด กล่ า วคื อ อุ ณ หภู มิ สู ง สุ ด ก่ อ นที่ โ ลหะเหลวจะเริ่ ม ก่ อ ตั ว เป็ น ของแข็ ง หรื อ เริ่ ม
กระบวนการนิวคลีเอชัน (first start of nucleation)
หลังจากโลหะเหลวเย็นตัวลง อุณหภูมิของโลหะบริสุทธิ์จะคงที่ในช่วง B-C ซึ่งจะเกิด
กระบวนการสร้างผลึก เรียกช่วงอุณหภูมิที่คงที่นี้ว่า “ระยะแพลตโท (plateau stage)” เนื่องจาก
เป็นช่วงทีโ่ ลหะเหลวเริม่ คายความร้อนแฝงของการหลอม (latent heat of fusion) ขณะก่อตัวเป็น
ของแข็ง (รายละเอียดหัวข้อความร้อนแฝงของการหลอม ศึกษาได้ในบทที่ 1) เมือ่ สิน้ สุดกระบวนการ
การสร้างผลึกที่เสร็จสมบูรณ์ (complete solidification) ณ จุด C โลหะบริสุทธิ์จะเย็นตัวลงสู่
อุณหภูมหิ อ้ ง (solid cooling down) จึงเรียกจุดอุณห4ูม C
64
โลหะวิทยาพื้นฐาน
(Fundamental Metallurgy Science)
Plain
Low carbon High strength
Plain
Low alloy Medium carbon
Heat treatable
Steel
High carbon Plain
Ferrous Tool
High alloy
Stainless
Metals Cast-Irons Gray iron
Ductile iron
White iron
Malleable iron
Non-Ferrous
65
บทที่ 2
66
โลหะวิทยาพื้นฐาน
(Fundamental Metallurgy Science)
67
โลหะเจือในทางทันตกรรม
(Metal Alloys in Dentistry)
โลหะเจือในทางทันตกรรม
(Metal Alloys in Dentistry)
Œł ł‘œ‘œŒłłŒł"%"DMBTTJsDBUJPO
Noble metal (wt%) Gold (wt%) Titanium (wt%)
High noble alloy ≥ 60 ≥ 40
Noble alloy ≥ 25
Titanium/Titanium alloy ≥ 85
Predominantly base alloy ≤ 25
85
บทที่ 3
86
โลหะเจือในทางทันตกรรม
(Metal Alloys in Dentistry)
Œł d ł Œ Œ ‘ œ œ Œ łł a
ł
’PS1PSDFMBJOGVTFEUPNFUBMSFTUPSBUJPO
’PS’VMMNFUBMSFTUPSBUJPO
5SBEF )JHIOPCMF /PCMF )JHIOPCMF /PCMF
OBNF "VSJVN"VSJVN8CZ 4QBSUBO p
8 )BSNPOZ ®
.JOJHPME
®
87
บทที่ 3
Œł ł ‘ ł ı œ œ‘ Œ *40 Œ œ Ø œ
h ‘Œ Łd ł ‘ ł ı œ œ‘Œ "/4*"%"4QFDJsDBUJPO
/P
5ZQF4USFOHUI )BSEOFTT :JFME .JOJNVN $MJOJDBMVTF
* *
TUSFOHUI.1BFMPOHBUJPO
1 Low Soft 80 (< 140) 18 (18) Inlays, Low stress areas
2 Medium Medium 180 (140-200) 10 (18) Inlays or Onlays
3 High Hard 270 (201-340) 5 (12) Onlays, Crowns or
Short-span bridges
4 Extra high Extra hard 360 (> 340) 3 (10) Crowns, Long-span bridges,
Partial denture framework
*
ตาม ANSI/ADA Specification No 5 จะเป็นค่า annealed strength และ annealed % elongation
Œł ł‘łıœŒŒºłdłałŁØŒØ‘œ
łŁØºØØaŒŒł"/4*"%"4UBOEBSE/P*40
.FUBMMJDNBUFSJBMTGPSsYFEBOESFNPWBCMFSFTUPSBUJPOTB
5ZQF :JFMETUSFOHUI 1SPPG &MPOHBUJPO
.1B * TUSFOHUI
BGUFSGSBDUVSF
.1B
0 – –
Including metal-ceramic crowns produced by
electroforming or sintering
1 80 18
one-surface inlays, veneered crowns.
88
โลหะเจือในทางทันตกรรม
(Metal Alloys in Dentistry)
89
บทที่ 3
90
โลหะเจือในทางทันตกรรม
(Metal Alloys in Dentistry)
ł ี า อ า หะ อ ี า (
)( ี า า า า ั ี า )
91
บทที่ 3
Œł dł Œ Œ ‘ œ Œ łł a
ł
’PS3FNPWBCMFEFOUVSF ’PS’JYFESFTUPSBUJPO
5SBEF $P$S $P$S $P$S $P$S $P$S /J$S /J$S5J
OBNF 7JUBMMJVN
®
%BO$PCBMU
®
3PCVS+FMCPOE %BO$PCBMU
®
#FGSFF 5J1MVT
,PVTIJUTV ®
1SFNJFS #POE 4UBS-PZ
® ®
N 5JMJUF ®
92
โลหะเจือในทางทันตกรรม
(Metal Alloys in Dentistry)
Œł łaŒœhdłœCBTFNFUBM
BMMPZT
$PCBMU ำห า ี ห ั ิ า ิ ะ า ิ ั หะ ือ
$ISPNJVN ำห า ี ห ั ิ า า า อ า ห อ ะ า ั อ ะ
ห า า า ิ า า ี า (
carbide formation)
$BSCPO ิ า ิ ห หะ ือ า ิ า า ิ ะ ำ ห หะ ือ
ี า าะ ิ ะ ี ิ า อ า ( %) าะ หะ
ี า อ ะะ า
/JDLFM ำห า ี ห า หะ ือ ิ ึ ำห า ี
อ ะ ิ า า า อา ั อ
.PMZCEFOVN ำห า ี ห ั ิ า หะ ือ า
อ หะ ือ ะ ิ า า า า ั อ
"MVNJOVN ือ ั ั ิ ิ ะ ิ า ั า า ึ
( ) ะ า า ( )
ห หะ ือ
#FSZMMJVN.BOHBOFTF
ำห า ี ิ ัิา า ห ( ) ะ า าา าหอ
ห ั หะ ือ
93
บทที่ 3
สมบัติที่ส�ำคัญของโลหะเจือที่ ใช้ในงานโลหะเคลือบพอร์ซเลน
(properties of alloy for porcelain fused to metal restoration)
1. องค์ประกอบ (composition)
ถึ ง แม้ ว ่ า โลหะเจื อ มี ส กุ ล จะมี ส มบั ติ ต ้ า นทานการกั ด กร่ อ นที่ ดี แ ละเกิ ด ปฏิ กิ ริ ย ากั บ
สิ่งแวดล้อมได้ค่อนข้างต�่ำ (low oxidation reaction) แต่ผลที่ตามมาคือ โลหะกลุ่มนี้มีการสร้าง
94
โลหะเจือในทางทันตกรรม
(Metal Alloys in Dentistry)
ชั้นออกไซด์ค่อนข้างต�่ำ หากจะน�ำโลหะกลุ่มนี้มาใช้ในงานครอบฟันชนิดโลหะเคลือบพอร์ซเลน
จ�ำเป็นต้องเติมธาตุบางชนิด เช่น อินเดียม หรือดีบุก เพื่อช่วยเพิ่มออกไซด์ในการเชื่อมยึดกับ
พอร์ซเลน ขณะเดียวกันหากโลหะเจือมีสกุลมีส่วนประกอบของธาตุเงินมากเกินไปอาจจะต้อง
พิจารณาถึงปัญหาการเปลี่ยนสีในชั้นพอร์ซเลน นอกจากนี้ที่โลหะเจือพื้นฐานยังเกิดปฏิกิริยาได้ง่าย
ท�ำให้ชนั้ ออกไซด์ของโลหะมีความหนา และอาจจ�ำเป็นต้องมีขนั้ ตอนการก�ำจัดออกไซด์ทหี่ นาเกินไป
ก่อนน�ำไปเชื่อมยึดกับพอร์ซเลนเพื่อให้เกิดการเชื่อมยึดที่ดี
2. สมบัติเชิงกลและเชิงกายภาพ (mechanical and physical properties)
สมบัติเหล่านี้ ได้แก่ มอดุลัสของสภาพยืดหยุ่น ความแข็งแรงคราก เปอร์เซ็นต์การยืด หรือ
ความแข็งผิว รวมถึงอุณหภูมิการหลอม (fusion temperature) จะมีผลต่อการน�ำมาใช้งาน
เช่น ความแข็งแรงคราก ซึ่งจะเป็นตัวก�ำหนดความแข็งแรงของชิ้นงานเมื่อมีแรงบดเคี้ยวมากระท�ำ
ว่าสามารถทนได้มากเท่าใดก่อนที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างถาวร ส่วนสมบัติด้านการยืด
(elongation) มี ผ ลต่ อ การขั ด แต่ ง ของชิ้ น งานและการน� ำ ไปใช้ ง าน ส่ ว นอุ ณ หภู มิ ก ารหลอม
จะสัมพันธ์กับการเกิดการคืบตัว (creep) หรือที่เรียกว่า sag deformation ขณะเผาร่วมกับ
พอร์ซเลน กล่าวคือ อุณหภูมิหลอมเหลวของโลหะจะต้องสูงกว่าอุณหภูมิหลอมของพอร์ซเลน
(fusion temperature of porcelain) เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างถาวรจากการ
คืบตัวของโลหะขณะเผาพอร์ซเลน (porcelain firing)
3. ค่าสัมประสิทธิก์ ารขยายตัวเหตุความร้อน (coefficient of thermal expansion)
ค่ า สั ม ประสิ ท ธิ์ ก ารขยายตั ว เหตุ ค วามร้ อ นระหว่ า งโลหะและพอร์ ซ เลนจะต้ อ งมี ค ่ า
ใกล้เคียงที่เหมาะสมแต่ไม่เท่ากัน เพื่อให้เกิดการเชื่อมยึดระหว่างโลหะและพอร์ซเลนทนต่อแรง
บดเคี้ยว รวมถึงอุณหภูมิขณะเผาชั้นพอร์ซเลนโดยไม่เกิดความเสียหายกับชิ้นงาน รายละเอียด
จะกล่าวต่อไป
4. สมบัติอื่น ๆ
ได้แก่ เรื่องของสีของพอร์ซเลนที่อาจมีผลมาจากองค์ประกอบของธาตุบางตัวในโลหะเจือ
หรือธาตุองค์ประกอบทีอ่ าจก่อให้เกิดการแพ้ และสมบัตกิ ารขึน้ รูป เช่น ความสามารถในการหล่อทีด่ ี
ซึ่งจะสัมพันธ์กับสมบัติเชิงกายภาพของโลหะนั้น ๆ
95
บทที่ 3
ข้อดีและข้อด้อยของโลหะเจือทองสูง
aØ aØa
า อื ึ ะห า อ ั หะ า า ือ า อ ะ อ หะ อ
า ิ า ำห ั า ะ า ิ หี า าา
ำห ึอ า า า า ื ั ำ
า า า ั อ ีา ีอ ห ิ ะ ิ า ื ั ( )
ีอ อ ั ะ ี ือ ำ า า ือ า ีอ ห หิ อ ห า
ั หะ ี
96