Professional Documents
Culture Documents
Stou Stou Stou Stou Stou: Pragmatics
Stou Stou Stou Stou Stou: Pragmatics
T O U โมดูลที่ 8
S OU
Pragmatics
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชไมภัค เตชัสอนันต์
T
S OU
T
S OU
T
S OU
S T
ชื่อ
วุฒิ
ตำแหน่ง
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชไมภัค เตชัสอนันต์
ศศ.บ., M.A., Ph.D. (Education) University of Exeter
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาภาษาต่างประเทศ คณะมนุษยศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
8-2 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
แบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
T
S OU
จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
1. ข้อใดต่อไปนี้ไ ม่ใช่ข อบเขตการศึกษาของนักภ าษาศาสตร์ส าขาวัจนปฏิบัติศ าสตร์
1. การวิเคราะห์ความหมายถ้อยคำ
2. การศึกษาความหมายตามบริบท
T
3. การวิเคราะห์ตัวแปรทางสังคม
S OU
4. การศึกษาข้อความที่ผู้พูดเลือกใช้
5. การศึกษาความสุภาพของผู้พูด
2. ข้อใดต่อไปนี้ไ ม่ใช่ป ระเด็นสำคัญของสาขาวัจนปฏิบัติศาสตร์
1. การอนุมาน
2. สภาวะเกิดก่อน
T
3. วัจนกรรม
S OU
4. การสลับภ าษา
5. เหตุการณ์การพูด
3. ดรรชนียพจน์ (deixis) คืออะไร
1. การสันนิษฐานหรือสิ่งที่สันนิษฐานก่อนการพูดหรือเขียน
2. “การชี้” ไปที่บางสิ่งบางอย่างผ่านการใช้คำหรือข ้อความ
T
3. การใช้ความรู้เพิ่มเติมเพื่อตีความหมายโดยนัยข องผู้พูด
S OU
4. การร่วมมือของผู้ร่วมสนทนาเพื่อให้การสนทนาเหมาะสม
5. การปฏิสัมพันธ์ผ่านภาษาตามแบบแผนระหว่างผู้ร่วมสนทนา
4. สหการ (cooperation) คืออะไร
1. การสันนิษฐานหรือสิ่งที่สันนิษฐานก่อนการพูดหรือเขียน
2. “การชี้” ไปที่บางสิ่งบางอย่างผ่านการใช้คำหรือข ้อความ
T
3. การใช้ความรู้เพิ่มเติมเพื่อตีความหมายโดยนัยข องผู้พูด
S
4. การร่วมมือของผู้ร่วมสนทนาเพื่อให้การสนทนาเหมาะสม
5. การปฏิสัมพันธ์ผ่านภาษาตามแบบแผนระหว่างผู้ร ่วมสนทนา
5. สภาวะเกิดก ่อน (presupposition) คืออะไร
1. การสันนิษฐานหรือสิ่งที่สันนิษฐานก่อนการพูดห รือเขียน
2. “การชี้” ไปที่บางสิ่งบ างอย่างผ่านการใช้คำหรือข ้อความ
3. การใช้ความรู้เพิ่มเติมเพื่อตีความหมายโดยนัยข องผู้พ ูด
4. การร่วมมือของผู้ร่วมสนทนาเพื่อให้การสนทนาเหมาะสม
5. การปฏิสัมพันธ์ผ่านภาษาตามแบบแผนระหว่างผู้ร ่วมสนทนา
Pragmatics 8-3
O U
6. การอนุมาน (inference) คืออะไร
1. การสันนิษฐานหรือสิ่งที่สันนิษฐานก่อนการพูดห รือเขียน
T
2. “การชี้” ไปที่บางสิ่งบางอย่างผ่านการใช้คำหรือข ้อความ
S OU
3. การใช้ความรู้เพิ่มเติมเพื่อตีความหมายโดยนัยข องผู้พูด
4. การร่วมมือของผู้ร่วมสนทนาเพื่อให้การสนทนาเหมาะสม
5. การปฏิสัมพันธ์ผ ่านภาษาตามแบบแผนระหว่างผู้ร ่วมสนทนา
7. หลักปริมาณ หลักคุณภาพ หลักความสัมพันธ์ และหลักค วามเหมาะสม เป็นอ งค์ประกอบของอะไร
1. กฎหลักของการสนทนา
T
2. หลักการวิเคราะห์วัจนกรรม
S OU
3. กลยุทธ์ในการแสดงความสุภาพ
4. กลยุทธ์ในการรักษาหน้า
5. การวิเคราะห์ความหมายตกทอด
8. วัตถุประสงค์ข องวัจนกรรม ‘I name this ship Elizabeth.’ คืออ ะไร
1. การเตือน สั่ง และแนะนำ
T
2. การสัญญาและขอร้อง
S OU
3. การแสดงความคิดเห็น
4. การแสดงความรู้สึก
5. การประกาศ
9. ผลของวัจนกรรม ‘Have you closed the windows?’ ที่ผ ู้พ ูดคาดหวังน ่าจ ะเป็นข้อใด
1. การตอบว่ายังไม่ได้ป ิดหน้าต่าง
T
2. การเดินไ ปปิดหน้าต่างทุกบาน
S OU
3. การชี้แจงเหตุผลของความล่าช้าในการปิดห น้าต่าง
4. การถามกลับถึงความจำเป็นของการปิดห น้าต่าง
5. การปิดห น้าต่างเพียงบางบานแล้วร ีบเดินจากไป
10. ‘I was wondering whether you could turn down the television.’ ใช้ก ลยุทธ์ใ นการแสดงความ
สุภาพและการรักษาหน้าแบบใด
T
1. กลยุทธ์ในการแสดงความสุภาพด้านบวกและหน้าด ้านบวก
S
2. กลยุทธ์ในการแสดงความสุภาพด้านบวกและหน้าด ้านลบ
3. กลยุทธ์ในการแสดงความสุภาพด้านลบและหน้าด ้านบวก
4. กลยุทธ์ในการแสดงความสุภาพด้านลบและหน้าด ้านลบ
5. ไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง
8-4
แผนผังแนวคิด
Pragmatics
Pragmatics
ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
ความหมายและประเด็นสำคัญ
T
ดรรชนียพจน์
และระยะทาง
การอ้างอิงแ ละ
การอนุมาน
สภาวะเกิดก่อนและ
ความหมายตกทอด
สหการและความหมาย
ชี้บ่งเป็นน ัย
วัจนกรรมและ
เหตุการณ์พูด
ความสุภาพและ
การรักษาหน้า
S
T
ดรรชนีย- การ การ สภาวะ ความ ความหมาย วัจน- เหตุการณ์ ความ การรักษา
T
สหการ
พจน์ อ้างอิง อนุมาน เกิดก่อน หมายตก ชี้บ่งเป็นน ัย กรรม การพูด สุภาพ หน้า
ทอด
T
บริบท
O
T
บุคคล คำ ต่างๆ ใน semantics ปริมาณ ตาม ตรงตาม ด้านบวก ด้านบวก
สรรพนาม ข้อความ แบบแผน คำพูด
O U
แผนการสอนโมดูลที่ 8
T
Pragmatics
S OU
แนวคิด
1. สาขาวิชาวัจนปฏิบัติศาสตร์มีแนวคิดในการศึกษาวิเคราะห์การใช้ภาษาโดยคำนึงถึงขอบเขตและ
ปัจจัยท ี่เกี่ยวข้องกับผู้พูด (speaker) เป็นห ลัก
T
2. ผู้พ ูดใ ช้ด รรชนียพ จน์ (deixis) ในการชี้บ ่งต ัวบ ุคคล เวลา และสถานที่ท ี่ส ัมพันธ์ก ับต นเอง ทั้งนี้ข ึ้น
S OU
อยู่กับปัจจัยด ้านระยะทาง (physical distance) และระดับค วามใกล้ช ิดส นิทสนมระหว่างผู้ร ่วม
สนทนา (social distance)
3. ผู้พ ูดใ ช้ค ำหรือข ้อความอ้างอิง (reference) เพื่อท ำให้ข ้อความที่พ ูดอ อกไปกระชับ และคาดหวังใ ห้
ผู้ร่วมสนทนาอนุมาน (inference) สิ่งท ี่ต นพูดไ ด้
4. ผพู้ ูดม กี ารสันนิษฐานบางสิ่งบ างอย่างก่อนการพูด (presupposition) และสิ่งท พี่ ูดอ อกมามแี นวคิด
T
เชิงเหตุผล (entailment)
S OU
5. การสนทนาจะสำเร็จได้ต้องอาศัยการร่วมมือกัน (cooperation) โดยปฏิบัติตามกฎเกณฑ์
การสนทนาที่สมาชิกในสังคมรับรู้ร ่วมกัน และการตีความหมายชี้บ่งเป็นน ัยป ระเภทต่างๆ (impli-
cature)
6. คำ ข้อความ หรือเหตุการณ์ส นทนา (speech event) ต่างๆ ไม่เพียงแต่ส ื่อค วามหมายตามตัวอ ักษร
แต่อาจใช้เป็นว ัจนกรรม (speech acts) เพื่อใ ห้บ รรลุวัตถุประสงค์ข องผู้พ ูด
T
7. ในการสนทนาผู้พูดสามารถกำหนดระดับค วามสุภาพ (politeness) ของตนเองและการรักษาหน้า
S OU
ผู้ฟัง (face saving act) ผ่านทางภาษาและกลยุทธ์ต ่างๆ
วัตถุประสงค์
เมื่อศึกษาโมดูลท ี่ 8 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. ระบุความหมาย ขอบเขตและประเด็นส ำคัญท ี่เป็นองค์ป ระกอบของวัจนปฏิบัติศ าสตร์
T
2. ระบุดรรชนียพจน์ประเภทต่างๆ และอิทธิพลของระยะทางที่ม ีต ่อก ารใช้ดรรชนียพ จน์
S
3. อธิบายความแตกตา่ งระหว่างการอา้ งอิงแ ละการอนุมาน รวมทัง้ เครือ่ งมอื ท างภาษาทใี่ ช้ใ นการอา้ งอิง
และการอนุมาน
4. ระบุความหมายของสภาวะเกิดก่อนในสาขาวิชาภาษาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องและความหมายของ
ความหมายตกทอด
5. อธิบายหลักก ารที่ก ่อใ ห้เกิดก ารร่วมมือก ันใ นการสนทนาและความหมายชี้บ ่งเป็นน ัยป ระเภทต่างๆ
6. อธิบายขั้นตอนและประเภทของวัจน กรรมและเหตุการณ์ก ารพูด
7. ระบุกลยุทธ์ในการแสดงความสุภาพด้านต่างๆ รวมทั้งก ารรักษาหน้าผ ู้ฟ ัง
8-6 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
T O U
S OU
กิจกรรมการเรียน
1. ทำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนในคู่มือก ารศึกษาโมดูลท ี่ 8
2. อ่านแผนการสอนประจำโมดูล
3. อ่านสาระสำคัญ
T
4. ศึกษาเพิ่มเติมจากสื่อเสริมออนไลน์ประจำโมดูล
S OU
5. ทำกิจกรรมที่กำหนดไว้ในคู่มือก ารศึกษา
6. ติดตามประกาศออนไลน์
7. เข้าร่วมการสนทนา ถามและตอบคำถาม กับเพื่อนนักศึกษาและอาจารย์ใ นห้องสนทนา
8. ทำแบบประเมินผลตนเองหลังเรียน
T
S OU
T
S OU
S T
Pragmatics 8-7
O U
วัจนปฏิบัติศาสตร์ (pragmatics) เป็นสาขาย่อยของภาษาศาสตร์ท ี่เกิดขึ้นใ นช่วงปลายทศวรรษที่ 70
มุ่งการศึกษาถ้อยคำของผู้พูดและความเข้าใจของผู้พูดที่มีต่อถ้อยคำของผู้อื่น สาขาวิชานี้จึงมักเกี่ยวข้องกับ
T
การวิเคราะห์บ ทสนทนา (conversation analysis) ในด้านความหมายและประเด็นส ำคัญใ นวัจนปฏิบัตศิ าสตร์
S OU
ขอให้ศึกษาจากสิ่งที่มีผู้ให้คำอธิบายไว้ดังนี้
T
ลีช (Leech, 1983) และสเปอร์เบอร์และวิลสัน (Sperber and Wilson, 1986) กล่าวว่า นักวัจนปฏิบัติ
ศาสตร์เน้นการวิเคราะห์ความหมายหรือเจตนาของถ้อยคำในสองระดับ ระดับแ รก คือ เจตนาในการให้ข ้อมูล
S OU
(informative intent) หรือความหมายของประโยค (sentence meaning) ระดับที่สอง คือ เจตนาในการ
สื่อสาร (communicative intent) หรือค วามหมายของผู้พูด (speaker meaning)
แคสเปอร์ (Kasper, 1997) ระบุว่าความสามารถในการเข้าใจและใช้ถ้อยคำในระดับที่สองนี้นับเป็น
ความสามารถระดับวัจนปฏิบัติศาสตร์ (pragmatic competence) ซึ่งประกอบด้วยความรู้ความเข้าใจของ
T
ผู้พูดในเรื่องของระดับชั้นทางสังคมของผู้พูด ระดับความใกล้ชิดและสนิทสนมหรือห่างไกลของคนในสังคม
(social distance) รวมถึงความรู้ทางวัฒนธรรมของผู้พูดท ี่เกี่ยวข้องกับค วามสุภาพ ความหมายโดยตรงและ
S OU
ความหมายแฝงต่างๆ เป็นต้น
ยูล (Yule, 1996) แบ่งข อบเขตหลักในการศึกษา 4 ด้าน ได้แก่
1) วัจนปฏิบัติศาสตร์ คือ การวิเคราะห์ความหมายของถ้อยคำ (utterance meaning) ที่ผู้
พูดหรือผู้เขียนตั้งใจจะสื่อความ ตลอดจนการตีความของถ้อยคำของผู้ฟ ังหรือผ ู้อ ่าน กล่าวคือ นักว ัจนปฏิบัติ
ศาสตร์ไม่ศึกษาเพียงแค่ค วามหมายโดยตรงของคำ วลี หรือประโยค
T
2) วัจนปฏิบัติศ าสตร์ คือ การศึกษาความหมายตามบริบท (contextual meaning) กล่าวคือ
S OU
ความหมายของผูพ้ ูดห รือผ ูเ้ขียนในแต่ละบริบ ท (context) รวมทั้งอ ิทธิพลของบริบ ททีม่ ตี ่อภ าษาของผูพ้ ูดห รือ
ผู้เขียน
3) วัจนปฏิบัติศ าสตร์ คือ การศึกษาการอนุมาน (inference) หรือการใช้ถ ้อยคำของผู้พ ูดห รือ
ผูเ้ขียนในการสื่อค วามหมายทีไ่ กลกว่าห รือล ึกซ ึ้งก ว่าต ัวถ ้อยคำทีป่ รากฏ และความสามารถของผูฟ้ ังห รือผ ูอ้ ่าน
ในการตีความหมายที่ผู้พูดหรือผู้เขียนตั้งใจจะสื่อ (intended meaning)
T
4) วัจนปฏิบัติศาสตร์ คือ การศึกษาข้อความที่ผู้พูดหรือผู้เขียนเลือกใช้และ/หรือข้อความที่
S
ผู้พูดหรือผู้เขียนเลือกที่จะไม่ใช้ (choice) ซึ่งขึ้นอ ยู่ก ับค วามใกล้ช ิดทางกายภาพ สังคม และแนวความคิด
เพื่อค วามชัดเจนในการจำกัดค วามของวัจนปฏิบัตศิ าสตร์ ยูล (Yule, 1996) ได้เปรียบเทียบสาขาวิชานี้
กับสาขาวิชาอื่นๆ ในภาษาศาสตร์ท ี่เกี่ยวข้อง ดังนี้
วากยสัมพันธ์ มุ่ ง ศึ ก ษาความสั ม พั น ธ์ ร ะหว่ า งคำและกลุ่ ม คำและการจั ด เรี ย งลำดั บ คำและ
(Syntax) กลุ่มคำ รวมทั้งวิเคราะห์ว่าการจัดเรียงแบบใดดีหรือถูกต้องและการจัดเรียง
แบบใดไม่ดีหรือไม่ถูกต้อง
8-8 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
อรรถศาสตร์ มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรูปภาษา (form) และสิ่งต่างๆ รอบตัว (entities)
T
(Semantics) กล่าวคือ ความหมายตามตัวอักษรของคำพูด ตลอดจนมุ่งวิเคราะห์และสร้าง
S OU
ความสัมพันธ์ระหว่างข้อความกับสภาพการณ์ในโลกว่าเป็นความจริงหรือไม่
โดยไม่นำผู้พูดมาเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์
วัจนปฏิบัติศาสตร์ มุ่งศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างรูปภาษา (form) และผู้ใช้ภาษา (speaker)
(Pragmatics)
T
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าในสาขาวิชาทั้งสามนี้ วัจนปฏิบัติศาสตร์เป็นสาขาวิชาเดียวที่มีการวิเคราะห์ตัว
S OU
บุคคลที่ใช้ภ าษา แต่เนื่องจากปัจจัยท ี่เกี่ยวข้องกับม นุษย์ม ักม ีค วามไม่แ น่นอน จึงเป็นค วามยากหรือส ิ่งท ้าทาย
ของสาขาวิชานี้ ดังตัวอย่างการวิเคราะห์ของยูล (Yule, 1996: 4)
Her: So – did you? (ผู้หญิง: ดังน ั้น คุณได้ทำมั้ย)
Him: Hey – who wouldn’t? (ผู้ชาย: เฮ้ ใครบ้างล่ะจะไม่ทำ)
บทสนทนาข้างต้นเป็นตัวอย่างของการเลือกใช้ข้อความที่สั้นและกระชับโดยผู้ร่วมสนทนาคาดว่าอีก
T
ฝ่ายหนึ่งจ ะสามารถเข้าใจความหมายของ did หรือ wouldn’t ว่าห มายถึงก ารกระทำใดที่เกิดข ึ้นม าก่อนหน้าน ี้
S OU
โดยอาศัยห ลักเกณฑ์ข องภาษาและหลักว จั นปฏิบตั ศิ าสตร์ (เช่น บริบทของการสือ่ สาร หรือค วามรรู้ อบตวั ท ผี่ พู้ ดู
มีร ่วมกัน) ความหมายของบทสนทนานี้จึงย ากในการตีความสำหรับผ ู้ท ี่อ ยู่น อกสถานการณ์ข องการสนทนา
อย่างไรกด็ ี นักภ าษาศาสตร์ย ังค งสามารถวิเคราะห์ภ าษาตามแนวทางวัจนปฏิบัตศิ าสตร์ไ ด้เนื่องจากพบ
ว่ามนุษย์มีร ูปแบบการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันท ี่ส ม่ำเสมอ โดยอาจมีสาเหตุข องความสม่ำเสมอ ได้แก่
1) ความคุ้นเคยจากการเป็นสมาชิกของกลุ่มสังคมเดียวกัน ซึ่งทำให้ต้องใช้ภาษาตามความคาดหวัง
T
ของกลุ่ม เช่น ในสังคมอาหรับเมื่อมีการทักทายกันด ้วยการถามว่าส บายดีห รือไม่ คนในสังคมดังก ล่าว (insid-
S OU
ers) มักจะไม่ตอบว่าสบายดีหรือไม่สบาย แต่จะพูดคำสรรเสริญพระเจ้าแทนซึ่งมีความหมายเป็นนัยว่าดี ทั้งนี้
การตอบโดยตรงว่าสบายดี แม้จ ะใช้คำพูดที่ถูกต ้องตามหลักภ าษา ก็จ ะเป็นการบ่งบ อกได้ว่าผู้พ ูดเป็นค นนอก
(outsiders) หรือไม่ได้มาจากสังคมและวัฒนธรรมอาหรับ
2) ประสบการณ์พื้นฐานของชีวิตและความรู้รอบตัวที่ไ ม่เกี่ยวข้องกับภ าษา เช่น เราสามารถพูดว ่า
I found an old bicycle lying on the ground. The chain was rusted and the tires
T
were flat.
S
(ฉันเห็นจ ักรยานเก่าล้มอยู่ที่พ ื้น โซ่ขึ้นส นิมแ ละยางแบน)
โดยผู้พูดประโยคนี้สามารถคาดหวังว่าผู้ฟังจะรู้ว่าโซ่และยางเป็นส่วนประกอบของจักรยาน จึงไม่
จำเป็นต้องพูดโดยละเอียดว่า
I found an old bicycle on the ground. A bicycle has a chain. The chain was rusted.
A bicycle also has tires. The tires were flat.
(ฉันเห็นจักรยานเก่า จักรยานมีโ ซ่ โซ่ขึ้นส นิม และจักรยานมีย าง ยางแบน)
จึงอ าจกล่าวได้ว ่าห ากผูพ้ ูดพ ูดโ ดยละเอียดเกินไ ป แม้จ ะถูกต ้องตามหลักภ าษาแต่ผ ิดห ลักว ัจนปฏิบัติ-
ศาสตร์ ซึ่งเป็นการดูถูกผู้ฟังว่าโง่เขลาและทำให้ผ ู้ฟ ังไ ม่พอใจได้
Pragmatics 8-9
O U
นักวัจนปฏิบัติศาสตร์ให้ความสนใจศึกษาวิเคราะห์ประเด็นทางภาษาหลักๆ ดังต ่อไ ปนี้
• ดรรชนียพจน์ (deixis) และระยะทาง (distance) ดรรชนียพ จน์ (deixis) หมายถึง “การชี้”
T
ไปที่บางสิ่งบางอย่างผ่านการใช้คำหรือข้อความ เช่น คำสรรพนามระบุตัวบุคคลหรือคำวิเศษณ์บอกเวลาและ
S OU
สถานที่ เป็นต้น โดยมีป ัจจัยด้านระยะทางหรือระยะห่างทางสังคม (distance) เป็นตัวก ำหนดคำหรือข ้อความ
ที่ผู้พูดใ ช้
• การอา้ งอิง (reference) และการอนุมาน (inference) การอ้างอิง (reference) คือ การใช้ค ำพูด
ที่ช่วยให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านระบุบุคคลหรือสิ่งที่ถูกกล่าวถึงได้ ทั้งนี้ผู้ฟังหรือผู้อ่านมักต้องอนุมานหรือใช้ความรู้
เพิ่มเติมในการตีความสิ่งท ี่ผู้พูดหรือผู้เขียนกล่าวไว้เป็นน ัย (inference)
T
• สภาวะเกิดก่อน (presupposition) และความหมายตกทอด (entailment) สภาวะเกิดก่อน
S OU
(presupposition) คือ การสันนิษฐานบางสิ่งบางอย่างหรือส ิ่งท ี่ส ันนิษฐานก่อนการพูดห รือการเขียน ในขณะ
ที่ความเป็นเหตุเป็นผลของเนื้อความหรือสารนับเป็นความหมายตกทอด (entailment)
• สหการ (cooperation) และความหมายชี้บ่งเป็นนัย (implicature) การร่วมมือหรือสหการ
(cooperation) คือ การร่วมมือระหว่างผู้ร่วมสนทนาเพื่อมีส่วนทำให้การสนทนาเป็นไปด้วยความเหมาะสม
และกระชับ โดยผู้ร่วมสนทนาเข้าใจความหมายชี้บ่งเป็นนัย (implicature) ร่วมกัน ซึ่งมักเป็นความหมายที่
T
ซ่อนอยู่ ไม่ใช่ค วามหมายตามตัวอักษร
S OU
• วัจน กรรม (speech acts) และเหตุการณ์ก ารพดู (speech event) วัจน กรรม (speech acts) คือ
การกระทำผ่านการใช้ถ้อยคำ เช่น การขอโทษ การชมเชย การบ่น การสัญญา การเชิญ หรือก ารขอร้อง โดยมี
เหตุการณ์ก ารพูด (speech event) ช่วยให้กระบวนการกระทำผ่านการใช้ถ้อยคำประสบความสำเร็จ
• ความสุภาพ (politeness) และการรักษาหน้า (face saving act) ความสุภาพ (politeness) ใน
การปฏิสัมพันธ์ คือ วิธีการต่างๆ ที่ผู้พูดแสดงให้ผู้ฟ ังเห็นผ ่านคำพูดแ ละการกระทำว่าตนเองเคารพและรักษา
T
หน้าผู้ฟัง (face saving act) โดยมีป ัจจัยด้านระยะห่างทางสังคมเป็นตัวกำหนด
S OU
ขอให้ศึกษาประเด็นต่างๆ ในสาขาวิชาวัจนปฏิบัติศ าสตร์ ดังต ่อไ ปนี้
T
เป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
S
8.2.1 ดรรชนียพจน์บุคคล (Person Deixis) คือ การใช้คำสรรพนามบุรุษที่หนึ่งเพื่อระบุผู้พูดหรือ
ผู้เขียน (เช่น ผม ฉัน I, we) คำสรรพนามบุรุษที่สองเพื่อระบุผู้ฟังหรือผู้อ่าน (เช่น คุณ เธอ you) และ
คำสรรพนามบุรุษที่สามเพื่อระบุผู้ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์สนทนา (เช่น เขา เธอ มัน he, she, it) ทั้งนี้ใน
การสนทนาจะมีการสลับบทบาทระหว่างบุคคล จึงทำให้มีการสลับไปมาระหว่างบุคคลที่ระบุโดยคำสรรพนาม
บุรุษที่ห นึ่งและคำสรรพนามบุรุษที่สอง
ดรรชนีย พ จน์บ ุคคลมคี วามเชื่อมโยงกับส ถานะทางสังคมของผูร้ ่วมสนทนาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ไ ด้ ภาษา
ไทยมีการใช้สรรพนามแสดงระดับเกียรติยศในภาษา (honorifics) บ่งช ี้ความต่างในสังคม เช่น ท่าน คุณท่าน
พระคุณเจ้า ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ดรรชนียพจน์ส ังคม (social deixis)
8-10 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
นอกจากนี้ ยังมีข้อสังเกตอื่นๆ เกี่ยวกับก ารใช้ดรรชนียพจน์บ ุคคล เช่น การใช้ we อาจไม่ไ ด้หมายถึง
T
กลุ่มผู้พูดหรือผู้เขียนอย่างเดียว แต่เป็นสรรพนามที่น ิยมใช้ในการสร้างกฎเกณฑ์ให้ท ุกค นปฏิบัติต าม เช่น
We clean up the kitchen after use. (พวกเราทำความสะอาดครัวหลังก ารใช้)
S OU
ทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาไทย คำว่า We หรือ “พวกเรา” หมายถึง ผู้พูดห รือก ลุ่มผ ู้พูดเท่านั้น หรือ
ผู้พูดหรือกลุ่มผู้พูดและผู้อื่น
8.2.2 ดรรชนียพจน์สถานที่ (Spatial Deixis) คือ การใช้คำสรรพนาม ได้แก่ อันนี้ อันนั้น พวกนี้
พวกนั้น this, that, these, those ตลอดจนคำวิเศษณ์ ที่นี่ ที่นั่น here, there เพื่อระบุที่ตั้งของสิ่งต่างๆ
บนพื้นฐานของผู้พูดหรือผู้เขียน เช่น I’ll leave this here. (ฉันจะปล่อยอันน ี้ไ ว้ตรงนี้) ผู้ฟังม ักต ้องตีความ
T
ประโยคทีด่ รรชนีย พ จน์ล ักษณะนีโ้ ดยใช้บ ริบ ทเดียวกับผ ูพ้ ูดแ ละมักค ลุมเครือส ำหรับผ ูท้ ีไ่ ม่ไ ด้อ ยูใ่ นเหตุการณ์
S OU
การพูดและต้องมีก ารแปลหรืออธิบายว่า this และ here หมายถึงส ิ่งใ ดและสถานที่ใ ด
อย่างไรก็ดี ระยะทาง (distance) ที่ระบุในดรรชนียพจน์สถานที่มีทั้งระยะทางใกล้ไกลทางกายภาพ
(physical distance) ที่เป็นจริงหรืออาจเป็นระยะทางตามความรู้สึกข องผู้พ ูด เช่น ผู้ห ญิงค นนั้น อาจหมายถึง
ผู้หญิงที่อยู่ไกลออกไป หรือไม่ได้อยู่ไกลแต่ผู้พ ูดไ ม่ได้รู้สึกใ กล้ช ิดด้วย
8.2.3 ดรรชนียพจน์เวลา (Time Deixis) คือ การใช้คำวิเศษณ์ ได้แก่ ตอนนี้ ขณะนี้ เวลานี้ ตอนนั้น
T
ขณะนั้น เวลานั้น now, at this moment, at this time, then, at that moment หรือ at that time
S OU
รวมถึงก ารใช้รูปคำกริยาที่เป็นปัจจุบันใ นการบอกเวลาที่ใกล้เคียงกับปัจจุบัน เช่น
Are you joining us here tomorrow?
และรูปคำกริยาที่เป็นอดีตในการบอกเวลาที่ไกลออกไป ซึ่งสังเกตได้จากประโยคที่มีความหมาย
ใกล้เคียงกัน เช่น
I asked him whether he was joining us there the following day.
T
นอกจากนี้ รูปคำกริยาที่เป็นอดีตยังระบุถ ึงเหตุการณ์ท ี่ไ ม่เพียงแต่ไ กลออกไปในอดีต แต่ย ังไ กลจาก
S OU
ความเป็นจริงอีกด้วย ดังจะเห็นได้จากประโยคเงื่อนไขชนิดที่สาม (past unreal conditional sentences)
เช่น
If I had known you were leaving, I would have tried to stop you.
(ถ้าฉันร ู้ก่อนว่าคุณกำลังจะไปจากที่น ี่ ฉันจ ะพยายามห้ามคุณ)
S T
กิจกรรมที่ 1
ให้นักศึกษาขีดเส้นใต้คำหรือข้อความที่เป็นดรรชนียพจน์ (deictic expression หรือ indexical)
ของประโยคต่างๆ ในย่อหน้านี้ และระบุว่าแต่ละคำเป็นดรรชนียพจน์ประเภทใดและหมายถึงสิ่งใด
Talbot lives in Streetly, in the West Midlands, and currently attends a state primary school
there. She lives with her mother, Sharon, her father Gavin, a self-employed property maintenance
engineer, her brother Josh, and her sister, Mollie. Talbot sang "Over the Rainbow", her signature song,
at her grandmother's funeral, because she and her grandmother had enjoyed watching The Wizard of
Oz together. Talbot drew conf idence in Britain's Got Talent from the belief that her grandmother was
Pragmatics 8-11
O U
watching, and vowed to win the show in her memory. Despite Talbot speaking positively of the effects
of her fame, her parents spoke of a darker side, as they had to change their phone number and hire a
T
bodyguard for their daughter at this time.
S OU
8.3 การอ้างอิง (Reference) และการอนุมาน (Inference)
8.3.1 การอ้างอิง (Reference) ผู้พูดหรือผู้เขียนใช้คำและข้อความเพื่อการอ้างถึงบุคคลหรือสิ่งต่างๆ
T
อยู่เสมอ คำหรือข้อความที่ใช้เพื่อการอ้างอิง (referential expression) อาจเป็นค ำชนิดต ่างๆ ดังนี้
1) คำสรรพนาม (pronoun) เพื่อเชื่อมโยงถึงบ ุคคล สัตว์ สิ่งของ สถานที่ต ่างๆ เช่น ผม ฉัน คุณ
S OU
ท่าน เธอ เขา พวกเรา มัน อันน ั้น อันน ี้ ในภาษาไทย และ I/me/mine, you/yours, we/us/ours, they/them/
theirs, he/him/his, she/her/hers, it/its, this, that, these, those ในภาษาอังกฤษ
2) คำนามเฉพาะ (proper noun) ได้แก่ ชื่อคน สัตว์ สถานที่ต่างๆ เช่น สุนทรภู่ New York,
Harrods
3) นามวลี (noun phrase) แบ่งเป็น 2 ประเภทย่อย ได้แก่ นามวลีแบบเฉพาะเจาะจง (definite
T
noun phrase) เช่น the boy (เด็กค นนี้) this shop (ร้านนี้) และนามวลีแบบไม่เฉพาะเจาะจง (indefinite
S OU
noun phrase) เช่น a boy (เด็กคนหนึ่ง) a shop (ร้านค้าแ ห่งห นึ่ง)
4) ข้อความกำกวม (vague expression) เช่น the pink thing (ของสีชมพูน ั้น) the bulky stuff
(ของใหญ่ๆ นั่น)
8.3.2 การอนุมาน (Inference) ฟินช์ (Finch, 2000) กล่าววา่ ผูฟ้ งั ห รือผ อู้ า่ นตอ้ งมกี ระบวนการตคี วาม
หรืออ นุมาน (inference) เนื่องจากในการใช้ข ้อความอ้างอิงท ำให้ผ ูพ้ ูดห รือผ ูเ้ขียนจะประหยัดจ ำนวนคำและไม่
T
บอกสิ่งที่ต้องการจะสื่ออย่างชัดเจนทั้งหมด เพราะคาดเดาว่าผู้ฟังหรือผู้อ่านมีพื้นฐานความรู้ในเรื่องดังกล่าว
S OU
และสามารถเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ได้ การอนุมานขึ้นอยู่ก ับป ัจจัยต ่างๆ ดังนี้
1) บริบทต่างๆ ในข้อความ เช่นในบทสนทนาต่อไปนี้
A: Have you seen my passport? (คุณเห็นห นังสือเดินทางของผมไหม)
B: Have you looked in your briefcase? (คุณได้ห าดูใ นกระเป๋าเอกสารหรือย ัง)
บทสนทนาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า B คาดว่าหนังสือเดินทางของ A น่าจะอยู่ในกระเป๋าเอกสาร
T
และคำตอบของ B ทำให้ A คาดว่าเขาอาจจะพบหนังสือเดินทางในกระเป๋าเอกสาร
S
2) ข้อความที่ใช้เพื่อการอ้างอิง ไม่ว่าจะเป็นคำสรรพนาม คำนาม หรือนามวลีต่างๆ เช่น The
office nine-to-five cycle isn’t going to capture Panita, though she has slipped in and out of
the rat race since her graduation.
ผู้เขียนประโยคข้างต้นนี้คาดว่าผู้อ่านสามารถอนุมานได้ว่า she เป็นคำสรรพนามอ้างอิงถึง
บุคคลที่ก ล่าวมาแล้วคือ Panita และ the rat race เป็นน ามวลีอ้างอิงถ ึง The office nine-to-five cycle
ที่กล่าวมาข้างต้นแล้วเช่นก ัน
8-12 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
3) ความรู้รอบตัวร่วมกัน เช่น ในบทสนทนาต่อไ ปนี้
T
A: How do you know you’re a real netizen?
(คุณจ ะรู้ได้อย่างไรว่าค ุณเป็นพ ลเมืองในอินเทอร์เน็ต)
S OU
B: When all of your friends have an @ in their names!
(เมื่อเพื่อนๆ ทุกคนของคุณมีเครื่องหมาย @ ในชื่อข องพวกเขา)
บทสนทนาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า A คาดว่า B มีความรู้เพียงพอที่จะเข้าใจความหมายของ
คำว่า netizen (ซึ่งหมายถึงพลเมืองในสังคมออนไลน์) ในขณะที่ค ำตอบของ B คาดว่า A เข้าใจความหมาย
ของสัญลักษณ์ @ ที่ใช้ในชื่อผู้ใช้ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
T
S OU
กิจกรรมที่ 2
ตอบคำถามของสถานการณ์ต่างๆ ต่อไปนี้โดยใช้การอนุมาน (inference)
1. I almost wished that I hadn’t watched the television. I had to open the closet, grabbed my
raincoat, and felt so silly carrying it to the bus stop on a very sunny morning.
T
Question: What did the television tell the speaker?
S OU
Answer: ______________________________
2. No, Sweetheart, you don’t need to spend a lot of money buying me a birthday present.
Just having you in my life is the only gift I need. I’ll just drive my old rusty car to the mall and buy
myself a little present. And if the dirty nasty old car doesn’t break down, I’ll be back soon.
Question: What does the speaker actually want for a present?
T
Answer: _______________________________
S OU
3. A: So, you’re f inally leaving?
B: Seems like it.
A: Is that yes or no?
B: Unless you got some other idea.
A: I've run out of ideas. Why? Do you have any other ideas?
T
B: If I did, I wouldn’t be going, would I?
S
Question: What will happen after the conversation?
Answer: _______________________________
Pragmatics 8-13
O U
8.4 สภาวะเกิดก่อน (Presupposition) และความหมายตกทอด (Entailment)
8.4.1 สภาวะเกิดก่อน (Presupposition) ฟินช์ (Finch, 2000) แบ่งแ ยกคำนิยามของสภาวะเกิดก ่อน
T
(presupposition) ในสาขาวิชาอรรถศาสตร์และวัจนปฏิบัติศาสตร์ออกจากกัน ดังนี้
S OU
1) ในสาขาอรรถศาสตร์ (semantics) สภาวะเกิดก่อน คือ การที่ผู้ฟังหรือผู้อ่านสันนิษฐาน
ความหมายโดยนัยบนพื้นฐานความเป็นจริงจ ากข้อความที่ผ ู้พ ูดหรือผ ู้เขียนได้ส ื่ออ อกมา เช่น
สภาวะเกิดก่อนของประโยค My sister got married yesterday. คือ I have a sister.
(ผู้พูดม ีพี่ส าวหรือน้องสาว) หรือ
สภาวะเกิดก่อนของประโยค Sorry I’m late. คือ I’m late. (ผู้พ ูดม าสาย)
T
ทั้งนี้ในบางโครงสร้างทางภาษาอังกฤษ คำกริยาสามารถช่วยระบุสภาวะเกิดก ่อนได้ เช่น
S OU
สภาวะเกิดก่อนของประโยค I forgot sending the mail. คือ I sent the mail.
(ผู้พูดไ ด้ส่งจ ดหมายไปแล้ว)
สภาวะเกิดก่อนของประโยค I forgot to send the mail คือ I did not send the mail.
(ผู้พูดย ังไ ม่ไ ด้ส่งจ ดหมาย)
2) ในสาขาวัจนปฏิบัติศาสตร์ (pragmatics) สภาวะเกิดก่อน คือ การที่ผู้ร่วมสนทนาทั้งสอง
T
ฝ่ายเข้าใจความหมายโดยนัยของกันและกันจากความรู้เดิมที่ม ีร ่วมกัน เช่น
S OU
เมื่อผู้พูดถามผู้ฟังว่า Would you like some cake? It will keep you going.
สภาวะเกิดก่อน คือ ผู้พูดพอจะรู้ว่าผู้ฟังรู้สึกหิวแต่ยังไม่มีโอกาสหยุดพักรับประทาน
อาหารได้
สภาวะเกิดก ่อนในลักษณะนี้พบได้บ่อยในภาษาสื่อมวลชนและโฆษณา เช่น ในหัวข้อข ่าว
“ผลวิจัยชี้ Bing ไม่ปิ๊งอย่างที่คิด”
T
สภาวะเกิดก่อน คือ ผู้เขียนคาดว่าผู้อ ่านรู้จัก Bing ว่าเป็น search engine ที่เพิ่งพัฒนา
S OU
ขึ้นมาโดยบริษัทไมโครซอฟท์ (Microsoft) และ “ปิ๊ง” คือ ความสำเร็จที่บริษัทฯ คาดหวังไว้
โฆษณารถยนต์ยี่ห้อหนึ่งมีสโลแกนว่า Moving forward (เคลื่อนที่ไ ปข้างหน้า)
สภาวะเกิดก ่อน คือ ผูเ้ขียนคาดว่าผ อู้ ่านทราบดวี ่าส ิ่งท เี่คลื่อนทีไ่ ปข้างหน้าใ นทนี่ คี้ ือร ถยนต์
รวมทั้งเทคโนโลยีของบริษัทรถยนต์นั้น
8.4.2 ความหมายตกทอด (Entailment) คือ แนวคิดเชิงเหตุผลของประโยคหรือข้อความที่สื่อ
T
ออกมาบนพื้นฐานของสภาพความเป็นจริง (truth condition) ยูล (Yule, 1996: 33) แสดงความสัมพันธ์ข อง
S
ความหมายตกทอดในประโยค Rover chased three squirrels. ดังนี้
a) Something chased three squirrels.
b) Rover did something to three squirrels.
c) Rover chased three of something.
d) Something happened.
ทั้งนี้ลำดับก่อนหลังข องประโยค a) - d) ที่ผ ู้พูดส ันนิษฐานไว้อาจเปลี่ยนแปลงตามความหมายที่ผ ู้พูด
ต้องการจะเน้น เช่น
8-14 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
• ROVER chased three squirrels. (เน้นผู้ก ระทำ กล่าวคือ It was Rover that chased the
T
squirrels.)
• Rover chased THREE squirrels. (เน้นจำนวนสิ่งที่ถูกกระทำ กล่าวคือ Three squirrels were
S OU
chased.)
โดยในภาษาพูดสิ่งที่เน้นจะบ่งบอกโดยการลงเสียงหนักในคำที่ผู้พูดต้องการจะเน้น ซึ่งทำให้ผู้ฟัง
สามารถรับรู้ได้ว่าผู้พูดต้องการจะบอกอะไรเป็นส ำคัญ
T
กิจกรรมที่ 3
S OU
บอกสภาวะเกิดก่อน (presupposition) ของประโยคต่างๆ ดังต่อไปนี้อย่างสั้นๆ
ตัวอย่าง The police ordered the minors to stop drinking.
สภาวะเกิดก่อน (presupposition): The minors were drinking.
1. Please take me out to the park again.
2. That her dog ran away made Nathalie very sad.
T
3. It is strange that North Vietnam defeated the United States in the Vietnam War.
S OU
4. Disa wants more ice-cream.
5. Why can’t penguins fly?
T
8.5.1 สหการ (Cooperation) ไกรซ์ (Grice, 1975: 45-47) กล่าวว่าการสนทนาจะประสบความสำเร็จ
S OU
ได้ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของผู้ร่วมสนทนา โดยปกติผู้ร่วมสนทนาคาดหวังว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะปฏิบัติตามหลัก
ความร่วมมือใ นการสนทนา (cooperative principle) ซึ่งม ีก ฎหลักข องการสนทนา 4 ประการ (four maxims
of conversation) ดังนี้
1) หลักปริมาณ (Quantity) ระบุว่าผู้พูดควรให้ข้อมูลเพียงพอกับความต้องการของผู้ฟัง
ไม่น้อยหรือมากเกินความจำเป็น
T
2) หลักคุณภาพ (Quality) ระบุว่าผู้พูดควรให้ข้อมูลตามความเป็นจริง ไม่อิงกับความเชื่อของ
S
ตนเองมากเกินไ ป และไม่พูดในสิ่งที่ไม่มีหลักฐ าน
3) หลักค วามสมั พันธ์ (Relation) ระบุว ่าผ ูพ้ ูดค วรพูดใ นสิ่งท ีเ่กี่ยวข้องกับส ถานการณ์ห รือบ ริบ ท
ของการสนทนา ไม่หักเหไปพูดสิ่งอ ื่น
4) หลักค วามเหมาะสม (Manner) ระบุว า่ ผ พู้ ดู ค วรหลีกเลีย่ งคำพดู ก ำกวม ควรพดู ก ระชับ ชัดเจน
และมีลำดับการพูดที่สมเหตุสมผล
ทั้งนี้ไม่จำเป็นต้องมีการเรียนการสอนหลักของการสนทนาทั้งสี่ข้ออย่างเป็นทางการเนื่องจากเป็น
กฎเกณฑ์ที่ส มาชิกทุกคนในสังคมเรียนรู้ผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคม (socialization)
Pragmatics 8-15
O U
วอร์ดอฟ (Wardaugh, 1998: 292) ยกตัวอย่างบทสนทนา 2 บท ที่ผู้ร่วมสนทนาไม่ร่วมมือกัน
โดยผู้พูด B มีการละเมิดหลักความสัมพันธ์ (relation) หรือพูดในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องและไม่เป็นไปตาม
T
ความคาดหวังของผู้พูด A และคนทั่วไปในสังคม ดังนี้
S OU
บทสนทนา A: I wonder what time the sun rises tomorrow. คำตอบที่ผู้พูด A และคนทั่วไป
ที่ 1 (ฉันอยากจะทราบว่าพรุ่งนี้ดวงอาทิตย์จะขึ้นเวลาใด) ในสังคมคาดหวังจะเป็นการบอก
B: The sun doesn’t rise; the earth rotates. เวลารุ่งสางของวันใหม่ ไม่ใช่หลัก
(ดวงอาทิตย์ไม่ได้ขึ้น แต่โลกหมุนรอบตัวเอง) ความเป็นจริงทางดาราศาสตร์
T
บทสนทนา A: Have a nice day. เมื่อผู้พูด A อวยพร ผู้พูด B
S OU
ที่ 2 (ขอให้วันนี้เป็นวันดีนะ) ก็ย่อมคาดหวังข้อความแสดง
B: What’s a nice day? การขอบคุณหรือการอวยพรกลับ
(วันดีคืออะไร) ไม่ใช่การถามหาความหมายของ
สิ่งที่ตนได้อวยพร
T
นอกจากนี้ยูล (Yule, 1996: 36) ยังยกตัวอย่างอีกบทสนทนาหนึ่งที่ผู้ร่วมสนทนาไม่ร่วมมือกันโดย
S OU
ผู้พูดหญิง มีการละเมิดหลักปริมาณ (quantity) โดยให้ข้อมูลไ ม่เพียงพอที่ผ ู้พูดช ายต้องการ
Man: Does your dog bite? (สุนัขข องคุณกัดห รือเปล่า)
Woman: No. (เปล่า)
ดังนั้น ผู้ชายจึงเอื้อมมือไปลูบสุนัข แต่ถูกสุนัขตัวนั้นกัดมือ
Man: Ouch! Hey! You said your dog doesn’t bite.
T
(โอ๊ย เอ๊ะ ไหนคุณบอกว่าส ุนัขข องคุณไม่กัดย ังไ งล่ะ)
S OU
Woman: He doesn’t. But that’s not my dog. (สุนัขข องฉันไม่ก ัด แต่ต ัวนี้ไ ม่ใช่ข องฉัน)
โดยปกติหากผู้พูดไม่แน่ใจว่าตนเองสามารถให้ข้อมูลที่ถูกต้องตามหลักคุณภาพ (quality) หรือ
ไม่สามารถหลีกเลี่ยงความกำกวมตามหลักความเหมาะสม (manner) อาจใช้ข้อความแสดงความไม่แน่ใจ
(hedges) เช่น As far as I know/ I may be mistaken/ I’m not sure if this is right/ I guess
เพื่อส่งสัญญาณให้ผู้ร่วมสนทนาทราบ ดังตัวอ ย่างของยูล (Yule, 1996: 38) ต่อไ ปนี้
T
As far as I know, they’re married. (เท่าท ี่ฉ ันทราบ พวกเขาแต่งงานกันแ ล้ว)
S
I may be mistaken, but I thought I saw a wedding ring on her finger. (ฉันอ าจจะผิดพ ลาด
ก็ได้ แต่ฉันเห็นแหวนแต่งงานที่นิ้วของเธอ)
I’m not sure if this is right, but I heard it was a secret ceremony in Hawaii. (ฉันไ ม่แ น่ใจ
ว่าฉันพูดถูกรึเปล่า แต่ได้ยินมาว่าพวกเขาจัดพ ิธีล ับๆ ที่ฮ าวาย)
He couldn’t live without her, I guess. (ฉันเดาว่าเขาคงอยู่ไ ม่ไ ด้ถ้าไ ม่มีเธออยู่ด ้วย)
8-16 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
8.5.2 ความหมายชี้บ่งเป็นนัย (Implicature) ฟินช์ (Finch, 2000) แบ่งความหมายชี้บ่งเป็นนัย
T
(implicature) ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1) ความหมายชี้บ่งเป็นนัยตามแบบแผน (Conventional Implicature) คือ ลำดับของข้อความ
S OU
เชิงเหตุผล ตามจริง หรือเป็นธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยบริบทช่วยในการตีความ เช่น เมื่อกล่าวว่า
Some people are rich here. ย่อมมีความหมายชี้บ่งเป็นนัยว่า Some people are not rich here.
2) ความหมายชี้บ่งเป็นนัยไม่ตามแบบแผน (Non-conventional Implicature) จำเป็นต้องอาศัย
ข้อมูลต่างๆ ในบริบ ทช่วยในการตีความ เช่น ในการตีความประโยค I like you. (ฉันชอบคุณ) ขึ้นอ ยู่ก ับค วาม
สัมพันธ์ร ะหว่างผูพ้ ูดแ ละผูฟ้ ังแ ละสถานการณ์ข องการสนทนาว่าเป็นค วามชอบในลักษณะเพื่อน เพื่อนร่วมงาน
T
คนรัก หรือเจ้านายและลูกน้อง
S OU
ทั้งนี้ความหมายชี้บ่งเป็นนัยไม่ตามแบบแผนยังสามารถแบ่งออกเป็นรูปแบบย่อยได้อีกรูปแบบ
หนึ่งเรียกว่า ความหมายชี้บ่งเป็นนัยในบทสนทนา (conversational implicature) ซึ่งต้องอาศัยหลักความ
ร่วมมือใ นการสนทนา (cooperative principle) และการอนุมาน (inference) ของผูร้ ่วมสนทนาในการตีความ
เช่น
เมื่อผู้พูด A ถามว่า Did you buy any fruit? (คุณซื้อผ ลไม้มาบ้างรึเปล่า)
T
ผู้พูด B ตอบว่า I got some bananas and apples. (ฉันซ ื้อก ล้วยและแอปเปิลมา)
S OU
ซึ่งม คี วามหมายชีบ้ ่งเป็นน ัยใ นบทสนทนาว่าก ล้วยและแอปเปิลอ ยูใ่ นขอบเขตของผลไม้ท ีก่ ำหนด
ไว้ในคำถามของ A และผู้พูด B ไม่ควรพูดถึงส ิ่งอื่นท ี่ไ ม่เกี่ยวข้องกับผ ลไม้
กิจกรรมที่ 4
T
ระบุว่าผู้พูด B ละเมิดหลักของการสนทนา(maxims of conversation) ใดในสถานการณ์ต่อไปนี้
S OU
1. A: Do you think Marion is pretty?
B: Let’s just say that to me she doesn’t look healthy.
2. A: It’s very quiet. I don’t think there will be any customers today.
B: What? Not one? There must be a natural disaster nearby.
3. A: Does Tom work right now?
T
B: Well, he loves spending time at the quay every weekend.
S
Pragmatics 8-17
O U
8.6 วัจนกรรม (Speech Acts) และเหตุการณ์การพูด (Speech Event)
8.6.1 วัจนกรรม (Speech Acts) ตามทฤษฎีว ัจนกรรม (speech acts) ของออสติน (Austin, 1962)
T
คำพูดหรือข้อความสามารถบ่งบอกการกระทำได้ กล่าวคือเราใช้คำพูดเพื่อกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่
S OU
บอกกล่าวหรือให้ข้อมูล ทั้งนี้การวิเคราะห์วัจนกรรมประกอบด้วยขั้นตอน 3 ขั้นต อนดังนี้
1) วัจนกรรมตรงตามคำพูด (Locutionary Acts) คือ การพูดข ้อความใดๆ ซึ่งอ าจประกอบด้วย
ประโยคเดียวหรือหลายประโยคก็ได้
2) วัจนกรรมปฏิบัติ (Illocutionary Acts) คือ การบ่งบ อกการกระทำผ่านข้อความ (performa-
tive utterance) ตามวัตถุประสงค์ต่างๆ
T
เซิร์ล (Searle, 1977) แบ่งว ัตถุประสงค์ของการพูดอ อกเป็น 5 วัตถุประสงค์ ดังนี้
S OU
วัตถุประสงค์ ตัวอย่างข้อความ
การประกาศ ตัดสิน ประเมิน และชมเชย I pronounce you man and wife.
(declarations) (ขอประกาศให้คุณทั้งสองเป็นสามีภรรยากัน)
T
การเตือน สั่ง และแนะนำ (directives) Fragile. Handle with care.
S OU
(ระวังของแตก โปรดระมัดระวัง)
การสัญญาและขอร้อง I’ll give you a million baht if you tell me the truth.
(commissives) (ฉันจะให้คุณหนึ่งล้านบาทหากคุณบอกความจริงแก่ฉัน)
การแสดงความรู้สึก (expressives) I’m sorry.
(เช่น ขอโทษ อวยพร สาปแช่ง แสดงความยินดี (ฉันขอโทษ)
T
และท้าทาย)
S OU
การแสดงความคิดเห็น (representatives) I don’t think you’re right.
(เช่น สนับสนุนและโต้แย้ง) (ฉันไม่เห็นด้วยกับคุณ)
การแบ่งป ระเภทขา้ งตน้ น บั เป็นการแบ่งป ระเภทของวจั น กรรมตรง (direct speech acts) กล่าวคอื
รูปแบบของประโยครวมถึงคำกริยาที่ใช้สัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของวัจนกรรม แต่ในชีวิตจริงเราไม่ใช้แต่
T
วัจนกรรมตรงเสมอไป และมักใช้วัจนกรรมอ้อม (indirect speech acts) มากกว่า ซึ่งรูปแบบของประโยค
S
รวมถึงคำกริยาของวัจนกรรมอ้อมไม่สัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ของวัจนกรรม ดังตัวอย่างต่อไปนี้
8-18 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
วัจนกรรมตรงตามคำพูด วัจนกรรมปฏิบัติ
ตัวอย่างข้อความ
T
(Locutionary Acts) (Illocutionary Acts)
S OU
Your dinner is ready. อาหารค่ำพร้อมแล้ว เชิญรับประทานอาหาร
Have you called your mum? คุณโทรศัพท์หาแม่หรือยัง เตือนให้โทรศัพท์หาแม่
I had a bad day today. วันนี้เป็นวันที่แย่ของฉัน เตือนไม่ให้ผู้อื่นรบกวนหรือ
ขอความเห็นใจจากผู้อื่น
I was wondering whether you could ฉันมีความสังสัยว่าคุณจะช่วย ขอร้องให้ช่วยอธิบายการแก้โจทย์
T
help me with this math problem. แก้โจทย์คณิตศาสตร์ข้อนี้ให้ คณิตศาสตร์
S OU
ฉันไหม
T
และมีผลของวัจนกรรม (perlocutionary acts) คือ มีก ารเปิดพ ัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ
S OU
8.6.2 เหตุการณ์การพูด (Speech Event) ยูล (Yule, 1996: 56) นิยามเหตุการณ์การพูด (speech
event) ว่าเป็นการปฏิสัมพันธ์ผ่านภาษาตามแบบแผนระหว่างผู้ร่วมสนทนา โดยมีการใช้วัจนกรรมต่างๆ
เพื่อมุ่งไปสู่ผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ เช่น ถ้ามีวัตถุประสงค์ในการร้องทุกข์ (complaining) อาจ
มีการใช้ข้อความ I don’t like your way. เพื่อบอกผู้ฟังให้ทราบความรู้สึกไม่ชอบหรือไม่สบายใจกับสิ่งที่
ผู้ฟ ังก ระทำซึ่งเป็นว ัจน กรรมตรงตามคำพูด (locutionary acts) และมีว ัจน กรรมปฏิบัติ (illocutionary acts)
T
คือ การร้องทุกข์ห รือใ ห้ผู้ฟังแ ก้ป ัญหาที่เกิดขึ้น และหากผู้ฟังดำเนินการแก้ปัญหาก็นับว่ามีผลของวัจนกรรม
S OU
(perlocutionary acts)
ในหลายๆ กรณีเหตุการณ์การพูดอาจอยู่ในรูปแบบของการปฏิสัมพันธ์ที่ยาวกว่า อาจประกอบด้วย
ข้อความแวดลอ้ มหลายๆ ข้อความจนกว่าจ ะผพู้ ดู จ ะประสบความสำเร็จต ามวตั ถุประสงค์ ดังต วั อย่างบทสนทนา
จากยูล (Yule, 1996: 57)
Him: Oh, Mary, I’m glad you’re here. (แมรี่ ผมดีใจที่คุณอยู่ที่นี่)
T
Her: What’s up? (มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ)
S
Him: I can’t get my computer to work. (ผมเปิดใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ได้)
Her: Is it broken? (มันเสียหรือคะ)
Him: I don’t think so. (ไม่น่าจะเสียนะ)
Her: What’s it doing? (ตอนนี้มันทำอะไรอยู่ล่ะ)
Him: I don’t know. I’m useless with computers. (ผมไม่ทราบ ผมใช้คอมฯ ไม่เก่ง)
Her: What kind is it? (คอมฯ เครื่องนี้เป็นแบบไหน)
Him: It’s a Mac. Do you use them? (แมคอินทอช คุณใช้เป็นมั้ยครับ)
Her: Yeah. (เป็นค่ะ)
Pragmatics 8-19
O U
Him: Do you have a minute? (คุณพอจะว่างมั้ยครับ)
Her: Sure. (ว่างค่ะ)
T
Him: Oh, great. (โอ ดีมากเลยครับ)
S OU
จากบทสนทนาข้างต้น ผู้พูดชายมีวัตถุประสงค์จะขอร้องให้ผู้พูดหญิงสอนให้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์
โดยไม่ไ ด้ม ีก ารใช้ว ัจน กรรมอย่างชัดเจนแต่ผ ู้พ ูดช ายใช้ป ระโยคคำถาม Do you have a minute? เป็นป ระโยค
ตรวจสอบความเต็มใจในการให้ค วามช่วยเหลือข องผู้พ ูดห ญิง (pre-request) และคำตอบ Sure. (ซึ่งเทียบกับ
คำว่า “ว่าง” ในภาษาไทย) ของผู้พูดหญิงแ สดงถึงก ารมีเวลาและมีค วามเต็มใจที่จ ะให้ความช่วยเหลือ ดังน ั้น
จึงส ามารถกล่าวโดยสรุปไ ด้ว ่าเหตุการณ์ก ารพูด (speech event) อาจมีค วามสั้นห รือย าวก็ได้แ ละอาจมีก ารใช้
T
วัจนกรรมตรงตามคำพูดหรือวัจนกรรมปฏิบัติเพื่อใ ห้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ห รือไ ม่ก็ได้
S OU
กิจกรรมที่ 5
ระบุค วามหมายของผพู้ ดู (the speaker’s intention) และชนิดข องวจั น กรรม (type of speech acts)
1. Drop your weapon or I’ll shoot you!
T
2. I promise I’ll give it back.
S OU
3. Watch out, the ground is slippery.
4. I will try my best to be at home for dinner.
5. Ladies and gentlemen, please give me your attention.
T
8.7 ความสุภาพ (Politeness) และการรักษาหน้า (Face Saving Act)
S OU
8.7.1 ความสุภาพ (Politeness) ในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลมีค วามเกี่ยวข้องกับเรื่องของหน้า
เป็นหลัก หน้า (face) คือ ภาพลักษณ์ของปัจเจกบุคคลในที่สาธารณะ ทั้งนี้หมายรวมถึงความรู้สึก อารมณ์
และสถานะทางสังคมของบุคคล ดังนั้น ความสุภาพคือ วิธีการต่างๆ ที่ผู้พูดใช้ในการสนทนาโดยตระหนัก
ถึงค วามสำคัญของหน้าและระยะห่างทางสังคม (social distance) ของผู้ร ่วมสนทนาด้วยซึ่งจ ะปรากฏอยู่ใ น
รูปแบบภาษาที่เลือกใช้
T
กลยุทธ์ในการแสดงความสุภาพผ่านภาษามี 2 แบบ ได้แก่
S
1) กลยุทธ์ในการแสดงความสุภาพด้านบวก (Positive Politeness Strategy) คือ การร้องขอ
ให้ผู้อื่นกระทำในสิ่งที่ตนต้องการหรือแม้แต่เรียกร้องมิตรภาพจากผู้อื่น โดยใช้คำพูดและวิธีการที่ตรงไป
ตรงมา ไม่ต้องให้ผู้ฟังตีความหมายโดยนัย ทั้งนี้กลยุทธ์ประเภทนี้อาจเสี่ยงต่อการถูกปฏิเสธและการทำให้
ผู้ฟังรู้สึกไม่ด ี
2) กลยุทธ์ในการแสดงความสุภาพด้านลบ (Negative Politeness Strategy) คือ การร้องขอให้
ผู้อื่นกระทำในสิ่งที่ตนต้องการแบบอ้อมๆ โดยผู้พูดต้องใช้ความพยายามมากกว่าในการใช้คำพูดที่ค่อนข้าง
อ้อมค้อมหรือคำถามเพื่อถามความสมัครใจจากผู้ฟ ังก่อน และผู้ฟ ังต้องตีความหมายโดยนัย
8-20 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
ตัวอย่างคำพูดตามกลยุทธ์ในการแสดงความสุภาพด้านบวก (positive politeness strategy)
T
เปรียบเทียบกับต ัวอย่างคำพูดต ามกลยุทธ์ใ นการแสดงความสุภาพด้านลบ (negative politeness strategy)
มีดังนี้
S OU
ข้อความแสดงความสุภาพด้านบวก ข้อความแสดงความสุภาพด้านลบ
(Positive Politeness) (Negative Politeness)
- How about letting me go in a car with you? - I’m sorry to bother you, but I was wondering
T
(ให้ฉันติดรถไปด้วยแล้วกันนะ) if you could give me a lift?
S OU
(ขออภัยที่รบกวนค่ะ แต่เป็นไปได้มั้ยถ้าฉันจะขอ
อาศัยรถไปด้วย)
- OK if I wait here? - May I wait here?
(ขอรอที่นี่แล้วกันนะ) (ขออนุญาตรอที่นี่ได้ไหมคะ)
T
8.7.2 การรักษาหน้า (Face Saving Act) ในชีวิตประจำวัน คนในสังคมจะมีการคาดหวังในเรื่อง
S OU
ภาพลักษณ์ข องตนในขณะที่ป ฏิสัมพันธ์กับผ ู้อ ื่น กล่าวคือ มีค วามต้องการให้ผ ู้อ ื่นท ี่ป ฏิสัมพันธ์ด ้วยรักษาหน้า
ของตน (face wants) ซึ่งความต้องการให้ผู้อ ื่นร ักษาหน้าใ นการสนทนามี 2 ชนิด ได้แก่
1) หน้าด้านบวก (Positive Face) คือ ความต้องการการยอมรับจากผู้อ ื่นเพื่อใ ห้สามารถเข้าร ่วม
เป็นส มาชิกใ นสังคมได้ รวมถึงค วามต้องการให้ผ ูอ้ ื่นช อบและมสี ่วนรับร ูว้ ่าต นต้องการอะไร โดยการใช้ข ้อความ
ที่ก่อให้เกิดการรักษาหน้า (face saving act)
T
2) หน้าด้านลบ (Negative Face) คือ ความต้องการที่จะเป็นอิสระ เพื่อให้สามารถกระทำตาม
S OU
ที่ต นต้องการได้ และไม่อ ยู่ภ ายใต้อ ิทธิพลหรือก ารบังคับข องผู้อ ื่น โดยการใช้ข ้อความที่ก ่อใ ห้เกิดก ารไม่ร ักษา
หน้า (face threatening act)
อย่างไรก็ดี คำพูดหรือข้อความที่ก ่อใ ห้เกิดก ารไม่ร ักษาหน้า (face threatening act) สามารถ
แก้ไขหรือบรรเทาลงด้วยการใช้ข้อความที่ก่อให้เกิดการรักษาหน้า (face saving act) ดังตัวอย่างจากยูล
(Yule, 1996: 61)
S T
Him: I’m going to tell him to stop that awful noise (loud music) right now! face threatening act
(ผมจะไปบอกให้เขาหยุดเสียงดนตรีบ้าๆ นั่นเดี๋ยวนี้)
Her: Perhaps you could just ask him if he is going to stop soon because face saving act
it’s getting a bit late and people need to get to sleep.
(ฉันว่าคุณน่าจะถามเขาดีๆ ว่าจวนจะเลิกหรือยัง เพราะว่าตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว
และชาวบ้านต้องเข้านอน)
Pragmatics 8-21
O U
สถานการณ์ในบทสนทนาข้างต้นคือสองสามีภรรยารู้สึกรำคาญเสียงดนตรีที่ดังมาจากข้างบ้าน
ในเวลาดึก ผู้พูดชายตั้งใจจะบอกให้เพื่อนบ้านหรี่เสียงดนตรีด้วยคำพูดแ ละวิธีท ี่เป็นร ูปแบบของการข่มขู่แ ละ
T
แสดงการไม่ให้เกียรติหรือไม่รักษาหน้า (face threatening act) ซึ่งแ สดงให้เห็นถึงห น้าด ้านลบ (negative
S OU
face) คือ ความเป็นอิสระและไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของผู้ใ ด ในขณะที่ใ ห้ผู้พูดห ญิงเสนอแนะให้ใ ช้ค ำพูดแ ละ
วิธีการที่สุภาพ (face saving act) เพื่อรักษาหน้าเพื่อนบ้าน เนื่องจากยังค งต้องการการยอมรับแ ละมิตรภาพ
จากผู้อื่น
T
กิจกรรมที่ 6
S OU
วิเคราะห์คำพูดต่อไปนี้ตามหลักของการรักษาหน้า และใส่ตัวอักษรหน้าประโยคใต้หัวข้อที่
ถูกต้อง
1. a. I don’t care if you clean it up or not, please do let your dog shit in front of my house.
b. Today we came home from shopping to f ind your dog’s poop in front of our house.
Could you please pick it up afterward?
T
2. a. It’s not wise to do that. Perhaps we could just have a word with him this evening. I
S OU
think he should understand.
b. The asshole neighbour blocked our drive way again–we can’t get our car out now and
he’s not home. I think I ought to shell his car with eggs and then do some poo and
place it on the bonnet or something!
T
S OU
Face threatening act Face saving act
1.
2.
S T
8-22 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
กิจกรรมที่ 7
T
ตอบคำถามต่อไปนี้
S OU
1. วัจนปฏิบัติศาสตร์คืออะไร
2. นักวัจนปฏิบัติศาสตร์ศึกษาวิเคราะห์อะไรบ้าง
3. ดรรชนียพจน์ (deixis) มีความสำคัญอย่างไร และแบ่งออกเป็นประเภทใดบ้าง
4. การอ้างอิง (reference) แตกต่างจากการอนุมาน (inference) หรือไม่ อย่างไร
5. สภาวะเกิดก่อน (presupposition) และความหมายตกทอด (entailment) มีความเกี่ยวข้องกัน
T
หรือไม่ อย่างไร
S OU
6. การร่วมมือระหว่างผู้ร่วมสนทนา (cooperation) เกิดขึ้นได้อย่างไร
7. วัจนกรรม (speech acts) สามารถแบ่งตามเกณฑ์ใดบ้าง และแต่ละเกณฑ์แบ่งได้กี่ประเภท
อะไรบ้าง
8. ความสุภาพ (politeness) และหน้า (face) มีความสัมพันธ์กันอย่างไร
T
S OU
T
S OU
S T
Pragmatics 8-23
O U
แบบประเมินผลตนเองหลังเรียน
T
S OU
จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
1. ข้อใดต่อไปนี้เป็นหน้าที่ของนักภาษาศาสตร์สาขาวัจนปฏิบัติศ าสตร์ (pragmatics)
1. การวิเคราะห์ข้อความที่ผู้พูดเลือกใช้
2. การศึกษาการสลับภ าษาของผู้พูด
3. การวิเคราะห์การสร้างคำของผู้พูด
T
4. การศึกษาพื้นฐานทางสังคมของผู้พูด
S OU
5. การศึกษาปัจจัยท างวัฒนธรรมของผู้พ ูด
2. ข้อใดต่อไปนี้เป็นประเด็นส ำคัญข องสาขาวัจนปฏิบัติศ าสตร์
1. ตัวแปรทางสังคม
2. พื้นฐานวัฒนธรรม
3. สภาวะเกิดก่อน
T
4. การสลับภาษา
5. การเปลี่ยนแปลงภาษา
S OU
3. ข้อใดต่อไปนี้มีดรรชนียพจน์ (deixis) ครบทั้งส ามประเภท
1. Handle with care.
2. I’m here now.
3. Sorry, I’m late.
T
4. Put it there.
5. See you tomorrow.
S OU
4. ข้อใดไม่นับเป็นกฎหลักของการสนทนา (maxims of conversation) ตามหลักสหการ (cooperation)
1. หลักปริมาณ
2. หลักคุณภาพ
3. หลักความสัมพันธ์
T
4. หลักความเหมาะสม
5. หลักความสุภาพ
S
5. สภาวะเกิดก่อน (presupposition) ของ ‘I can’t eat anymore.’ คืออ ะไร
1. I have eaten something.
2. I should eat less.
3. I have had nothing yet.
4. I used to eat more.
5. I once ate less.
8-24 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
6. เราสามารถอนุมาน (inference) จากคำถามของ B ในบทสนทนาต่อไปนี้ไ ด้ว่าอย่างไร
T
A: Have you booked the ticket?
B: When is the deadline?
S OU
1. B does not want to book the ticket now.
2. B will book the ticket after the deadline.
3. B will not book the ticket.
4. B should have booked the ticket.
5. B has not booked the ticket yet.
T
7. ข้อใดมีการใช้ข้อความแสดงความไม่แน่ใจ (hedges)
S OU
1. I’m not an expert but you might want to try restarting your computer.
2. There must be something wrong with the hardware of your computer.
3. You should use Windows Vista instead of Windows 7.
4. The operation system on your computer is the cause of the problem.
5. You should restart your computer, and the problem will just disappear.
T
8. วัตถุประสงค์ข องวัจน กรรม ‘The trash people are coming. Have you taken the trash out?’ คือ
S OU
อะไร
1. การเตือน สั่ง และแนะนำ
2. การสัญญาและขอร้อง
3. การแสดงความคิดเห็น
4. การแสดงความรู้สึก
T
5. การประกาศหรือตัดสิน
S OU
9. ผลของวัจน กรรม ‘The trash people are coming. Have you taken the trash out?’ ทีผ่ ูพ้ ูดค าดหวัง
น่าจะเป็นข้อใด
1. การตอบว่ายังไม่ได้น ำขยะออกไปนอกบ้าน
2. การรีบนำขยะออกไปทิ้งใ นถังขยะนอกบ้าน
3. การชี้แจงว่าทำไมยังไม่ได้นำขยะออกไปนอกบ้าน
T
4. การถามกลับถึงความจำเป็นใ นการนำขยะออกไป
S
5. การรีบเดินจากไปโดยไม่ได้นำขยะออกไปนอกบ้าน
10. ‘Turn the bloody music off!’ ใช้กลยุทธ์ใ นการแสดงความสุภาพและการรักษาหน้าแ บบใด
1. กลยุทธ์ในการแสดงความสุภาพด้านบวกและหน้าด ้านบวก
2. กลยุทธ์ในการแสดงความสุภาพด้านบวกและหน้าด ้านลบ
3. กลยุทธ์ในการแสดงความสุภาพด้านลบและหน้าด ้านบวก
4. กลยุทธ์ในการแสดงความสุภาพด้านลบและหน้าด ้านลบ
5. ไม่มีคำตอบที่ถูกต้อง
Pragmatics 8-25
O U
แนวตอบโมดูลที่ 8
T
S OU
แบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
1. 3 2. 4 3. 2 4. 4 5. 1
6. 3 7. 1 8. 5 9. 2 10. 3
T
กิจกรรมที่ 1
S OU
Talbot lives in Streetly, in the West Midlands, and currently attends a state primary school
there. She lives with her mother, Sharon, her father Gavin, a self-employed property mainte-
nance engineer, her brother Josh, and her sister, Mollie. Talbot sang “Over the Rainbow”, her
signature song, at her grandmother’s funeral, because she and her grandmother had enjoyed
watching The Wizard of Oz together. Talbot drew confidence in Britain’s Got Talent from the
T
belief that her grandmother was watching, and vowed to win the show in her memory. Despite
S OU
Talbot speaking positively of the effects of her fame, her parents spoke of a darker side, as they
had to change their phone number and hire a bodyguard for their daughter at this time.
there = ดรรชนียพจน์สถานที่ (spatial deixis) หมายถึง in Streetly
she = ดรรชนียพจน์บุคคล (person deixis) หมายถึง Talbot
they = ดรรชนีย พจน์บุคคล (person deixis) หมายถึง Talbot’s parents
T
at this time = ดรรชนีพจน์เวลา (time deixis) หมายถึง at the time when the paragraph
S OU
was written
กิจกรรมที่ 2
1. It told the speaker that it was going to rain on that day.
2. She wants a new car.
T
3. B is leaving.
S
กิจกรรมที่ 3
1. I have been taken out to the park before.
2. Nathalie’s dog ran away.
3. North Vietnam defeated the US in the Vietnam War.
4. Disa has eaten some ice-cream.
5. Penguins cannot fly.
8-26 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
กิจกรรมที่ 4
T
1. หลักความสัมพันธ์ (relation) ผู้พ ูดพ ูดใ นสิ่งท ี่ไ ม่เกี่ยวข้องกับบ ริบ ทของการสนทนา โดยหักเหไป
พูดสิ่งอื่น
S OU
2. หลักคุณภาพ (quality) ผู้พ ูดอิงกับค วามเชื่อของตนเองมากเกินไ ป และพูดใ นสิ่งที่ไ ม่มีห ลักฐ าน
3. หลักความเหมาะสม (manner) ผู้พ ูดพ ูดก ำกวม ทำให้ต อบคำถามไม่ช ัดเจน
กิจกรรมที่ 5
ให้นักศึกษาระบุความหมายของผู้พูด (the speaker’s intention) และชนิดของวัจน กรรม (type of
T
speech acts)
S OU
1. The speaker’s intention: To order and threaten the listener
Type of speech act: Directives
2. The speaker’s intention: To make a promise
Type of speech act: Commissives
3. The speaker’s intention: To warn the listener of possible danger
T
Type of speech act: Directives
S OU
4. The speaker’s intention: To make a promise
Type of speech act: Commissives
5. The speaker’s intention: To ask the audience for cooperation
Type of speech act: Commissives
T
กิจกรรมที่ 6
S OU
Face threatening act Face saving act
1. a b
2. b a
T
กิจกรรมที่ 7
S
1. วัจนปฏิบัติศาสตร์ (pragmatics) คือ สาขาย่อยของภาษาศาสตร์ท ี่มุ่งก ารศึกษาถ้อยคำของผู้พูด
และความเข้าใจของผู้พูดที่มีต ่อถ้อยคำของผู้อ ื่น
2. บทสนทนา (conversation analysis) โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหมายหรือเจตนาของถ้อยคำ
ในระดับเจตนาในการสื่อสาร (communicative intent) หรือความหมายของผู้พูด (speaker meaning)
ซึ่งประกอบด้วยความรู้ความเข้าใจของผู้พูดในเรื่องของระดับชั้นทางสังคมของผู้พูด ระดับความใกล้ชิดและ
สนิทสนมหรือห่างไกลของคนในสังคม (social distance) รวมถึงค วามรู้ทางวัฒนธรรมของผู้พูดท ี่เกี่ยวข้อง
กับความสุภาพ ความหมายโดยตรงและความหมายแฝงต่างๆ
Pragmatics 8-27
O U
3. ดรรชนียพจน์ (deixis) สามารถสื่อความหมายได้มากกว่าปริมาณถ้อยคำหรือข้อความที่ผู้พูดใช้
คำหรือข้อความที่เป็นดรรชนียพจน์ (deictic expression หรือ indexical) แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก
T
ได้แก่ ดรรชนียพจน์บ ุคคล (person deixis) ดรรชนียพจน์ส ถานที่ (spatial deixis) และดรรชนียพ จน์เวลา
S OU
(time deixis)
4. แตกต่างกัน การอ้างอิง (reference) คือ การใช้คำพูดที่ช่วยให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านระบุบุคคลหรือสิ่ง
ที่ถูกกล่าวถึงได้ การอนุมาน (inference) คือ การที่ผ ู้ฟ ังใ ช้ความรู้เพิ่มเติมใ นการตีความสิ่งท ี่ผ ู้พูดห รือผ ู้เขียน
กล่าวไว้เป็นนัย
5. สภาวะเกิดก ่อน (presupposition) คือ การสันนิษฐานบางสิ่งบ างอย่างหรือส ิ่งท ีส่ ันนิษฐานก่อนการ
T
พูดห รือก ารเขียน ในขณะที่ความหมายตกทอด (entailment) คือ แนวคิดเชิงเหตุผลของประโยคหรือข ้อความ
S OU
ที่สื่อออกมาบนพื้นฐานของสภาพความเป็นจริง (truth condition)
6. การร่วมมือของผู้ร ่วมสนทนาเกิดขึ้นเมื่อผ ู้ร่วมสนทนาปฏิบัติต ามหลักความร่วมมือใ นการสนทนา
(cooperative principle) ซึ่งมีก ฎหลักข องการสนทนา 4 ประการ (four maxims of conversation)
1) หลักปริมาณ (quantity) ระบุว่าผู้พูดควรให้ข้อมูลเพียงพอกับความต้องการผู้ฟัง ไม่น้อย
หรือมากเกินความจำเป็น
T
2) หลักคุณภาพ (quality) ระบุว่าผู้พ ูดค วรให้ข้อมูลต ามความเป็นจริง ไม่อ ิงกับค วามเชื่อข อง
S OU
ตนเองมากเกินไป และไม่พูดในสิ่งท ี่ไม่มีหลักฐาน
3) หลักความสัมพันธ์ (relation) ระบุว่าผู้พูดควรพูดในสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์หรือ
บริบทของการสนทนา ไม่หักเหไปพูดสิ่งอื่น
4) หลักความเหมาะสม (manner) ระบุว่าผู้พูดควรหลีกเลี่ยงคำพูดกำกวม ควรพูดกระชับ
ชัดเจนและมีลำดับการพูดที่สมเหตุสมผล
T
7. แบ่งต ามเกณฑ์วัตถุประสงค์และการใช้วัจนกรรมในชีวิตจริง ดังนี้
S OU
1) แบ่งต ามวัตถุประสงค์ได้ 5 ประเภทได้แก่
• การประกาศ ตัดสิน ประเมิน และชมเชย (declarations)
• การเตือน สั่ง และแนะนำ (directives)
• การสัญญาและขอร้อง (commissives)
• การแสดงความรู้สึก (expressives) (เช่น ขอโทษ อวยพร สาปแช่ง แสดงความยินดี
T
และท้าทาย)
S
• การแสดงความคิดเห็น (representatives) (เช่น สนับสนุนแ ละโต้แ ย้ง)
2) แบ่งต ามการใช้วัจนกรรมในชีวิตจริงได้ 2 ประเภท ได้แก่
• วัจนกรรมตรง (direct speech acts) กล่าวคือ รูปแบบของประโยครวมถึงคำกริยา
ที่ใช้สัมพันธ์กับวัตถุประสงค์ข องวัจนกรรม
• วัจนกรรมอ้อม (indirect speech acts) มีรูปแบบของประโยครวมถึงคำกริยาของ
วัจนกรรมอ้อมไม่สัมพันธ์ก ับวัตถุประสงค์ข องวัจนกรรม
8. ความสุภาพ (politeness) ในการปฏิสัมพันธ์ คือ วิธีก ารต่างๆ ที่ผ ู้พ ูดแ สดงให้ผ ู้ฟ ังเห็นผ่านคำพูด
และการกระทำว่าตนเองเคารพและรักษาหน้าผู้ฟ ัง (face saving act)
8-28 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
แบบประเมินผลตนเองหลังเรียน
T
1. 1 2. 3 3. 2 4. 5 5. 1
S OU
6. 5 7. 1 8. 1 9. 2 10. 2
T
S OU
T
S OU
T
S OU
S T
Pragmatics 8-29
O U
บรรณานุกรม
T
S OU
Austin, J. L. (1962). How to Do Things with Words. New York: Oxford University Press.
Finch, G. (2002). Key Concepts in Language and Linguistics. (2nd ed). New York, NY: Palgrave
Macmillan.
Grice, H. P. (1975). “Logic and Conversation”, in Cole, P. & Morgan, J. (Eds.) Syntax and Semantics
3: Speech Acts. New York: Academic Press.
T
Kasper, G. (1997). Can Pragmatic Competence Be Taught? (Network #6: http://www.lll.hawaii.edu/
S OU
sltcc/F97NewsLetter/Pubs.htm), a paper delivered at the 1997 TESOL Convention.
Leech, G. (1983). Principles of Pragmatics. London: Longman.
Sperber, D. & Wilson, D. (1986). Relevance: Communication and Cognition. Oxford: Blackwell.
Searle, J. (1969). Speech Acts. Cambridge: Cambridge University Press.
Wardhaugh, R. (1998). Sociolinguistics. (3rd ed). Oxford: Blackwell.
T
Yule, G. (1996). Pragmatics. Oxford: Oxford University Press.
S OU
T
S OU
S T
8-30 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
T O U
S OU
T
S OU
T
S OU
T
S OU
S T