Professional Documents
Culture Documents
Stou Stou Stou Stou Stou: Morphology
Stou Stou Stou Stou Stou: Morphology
T O U โมดูลที่ 5
S OU
Morphology
อาจารย์ ดร.ศิตา เยี่ยมขันติถ าวร
T
S OU
T
S OU
T
S OU
S T
ชื่อ
วุฒิ
ตำแหน่ง
อาจารย์ ดร.ศิตา เยี่ยมขันติถาวร
ศศ.บ., M.Ed. (TESOL), M.Ed. (honours) (Linguistics),
Ph.D. (Applied Linguistics) The University of Tasmania
อาจารย์ประจำสาขาวิชาศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช
5-2 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
แบบประเมินผ ลตนเองก่อนเรียน
T
S OU
จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
1. ข้อใดให้นิยามของคำว่า วิทยาหน่วยคำ (morphology) ได้ช ัดเจนที่สุด
1. การศึกษาเกี่ยวกับระบบเสียงอย่างมีร ะบบและมีค วามหมาย
2. การศึกษาเกี่ยวกับระบบความหมายของภาษาทั้งใ นเรื่องเสียง คำและประโยค
T
3. การศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างประโยคเพื่ออ ธิบ ายกฎต่างๆ ในภาษา
S OU
4. การศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างคำซึ่งเป็นห น่วยที่เล็กท ี่สุดข องวากยสัมพันธ์
5. การศึกษาเกี่ยวกับวัจนปฏิบัติศาสตร์
2. ข้อใดต่อไปนี้แยกหน่วยคำของคำว่า “misinformation” ได้อ ย่างถูกต ้อง
1. mis-info-r-ma-tion
2. mis-in-for-ma-ti-on
T
3. mis-inform-ation
S OU
4. mis-in-for-mation
5. mis-in-for-ma-tion
3. คำในข้อใดเกิดจากการรวมกันของ root morpheme และ inflectional affix
1. likes
2. likeness
T
3. likeable
S OU
4. likely
5. likelihood
4. ส่วนเติมหน้า (prefix) ของคำว่า “appropriate” ควรเป็นคำใด เพราะเหตุใ ด
1. im เพราะเกิดหน้าเสียงฐาน bilabial
2. im เพราะมีเสียงฐาน bilabial อยู่ห ลายเสียงในคำ
T
3. im เพราะเกิดหน้าเสียงสระ
S
4. in เพราะเกิดหน้าเสียงสระ
5. in เพราะเกิดหน้าเสียงฐาน alveolar
5. คำต่อไปนี้มีทั้งหมดกี่หน่วยคำ “unnecessarily”
1. 1
2. 2
3. 3
4. 4
5. 5
Morphology 5-3
O U
6. คำในข้อใดเกิดจากหน่วยคำอิสระ (free morpheme) และหน่วยคำไม่อิสระ (bound morpheme)
มารวมกัน
T
1. friendly
S OU
2. doctor
3. computer
4. mother
5. lunchbox
7. คำในข้อใดเมื่อเติมส ่วนเติมท้าย (suffix) ที่ก ำหนดแล้วไม่เกิดก ารเปลี่ยนแปลงชนิดข องคำ
T
1. careful
S OU
2. smaller
3. goodness
4. reading
5. dangerous
8. คำในข้อใดคือคำประสมทั้งหมด
T
1. lunchbox, bedroom, roommate
S OU
2. gentlemen, bathroom, ding-dong
3. cranberry, restaurant, output
4. incorrect, carpenter, sleeping-bag
5. mother, computer, kitchen
9. คำว่า hokey-pokey เป็นค ำซ้ำประเภทใด
T
1. การซ้ำคำเดิมส องครั้ง
S OU
2. การซ้ำคำที่มีค วามหมายเดียว
3. การเล่นจังหวะ
4. การเปลี่ยนเสียงสระ
5. การเปลี่ยนพยัญชนะตัวหน้า
10. คำในข้อใดเป็นคำยืมจากภาษาฝรั่งเศส
T
1. bishop, devil, monk
S
2. hipmunk, chocolate, chili
3. music, government, dinner
4. gumbo, jazz, zebra
5. swindler, stroll, kindergarten
5-4 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
แผนผังแนวคิด
T
Morphology
S OU
• Phonologically
Conditioned Allomorphs
• Morphologically
Allomorphs Conditioned Allomorphs
T
S OU Morpheme Types Morphemes
Morpheme-Allomorph
Relationships
T
• Free and Bound
S OU
Morphemes • Compound Words
• Base and Affixes • Complex Words
Word Formation
• Derivational and • Reduplication
Inflectional • Borrowed Words
Morphemes
T
S OU
S T
Morphology 5-5
O U
แผนการสอนโมดูลที่ 5
T
Morphology
S OU
แนวคิด
1. วิทยาหน่วยคำ (morphology) เป็นสาขาหนึ่งของภาษาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างภายใน
ของคำ ส่วนหน่วยคำ(morpheme) คือห น่วยที่เล็กท ี่สุดท ี่ม ีความหมาย หากปรากฏตามลำพังไ ด้
T
เรียกว่า หน่วยคำอิสระ แต่หากปรากฏตามลำพังไ ม่ได้ จะเรียกว่า หน่วยคำไม่อ ิสระ
S OU
2. หน่วยคำย่อย (allomorph) คือ หน่วยคำที่มีความหมายเหมือนกันแต่ปรากฏในสภาพแวดล้อม
ต่างกัน หน่วยคำย่อยแบ่งออกเป็น หน่วยคำย่อยที่เกิดโดยเงื่อนไขของเสียง (phonologically
conditioned allomorphs) และหน่วยคำย่อยที่เกิดโ ดยเงื่อนไขของหน่วยคำ (morphologically
conditioned allomorphs)
3. การเกิดหน่วยคำย่อยในหน่วยคำสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายกรณีและทุกกรณีสามารถอธิบายได้
T
ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน การเกิดหน่วยคำย่อยในหน่วยคำสามารถจำแนกเหตุผลได้
S OU
4. หน่วยคำสามารถจำแนกเป็นช นิดต ่างๆ โดยใช้เกณฑ์ก ารวิเคราะห์ห รือจ ำแนกด้วยวิธตี ่างๆ คือ การ
จำแนกตามการปรากฏของหน่วยคำ การจำแนกตามหน้าที่ และการจำแนกตามการประกอบคำ
5. การสร้างคำทำให้เกิดค ำใหม่ข ึ้นใ นภาษา การสร้างคำใหม่ใ นภาษาอังกฤษทำให้เกิดค ำประเภทต่างๆ
ได้แก่ คำประสม คำประสาน คำซ้ำ และคำยืม
T
วัตถุประสงค์
S OU
เมื่อศึกษาโมดูลท ี่ 5 จบแล้ว นักศึกษาสามารถ
1. ให้นิยามของวิทยาหน่วยคำและหน่วยคำ
2. ให้นิยามของหน่วยคำย่อยและอธิบายลักษณะการเกิดหน่วยคำย่อย
3. อธิบายความสัมพันธ์ข องหน่วยคำและหน่วยคำย่อยในภาษาอังกฤษ
4. อธิบายหน่วยคำประเภทต่างๆ และแยกหน่วยคำและหน่วยคำย่อย
T
5. ระบุชนิดของคำใหม่ที่สร้างขึ้นตามโครงสร้างต่างๆ
S
5-6 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
T O U
S OU
กิจกรรมการเรียน
1. ทำแบบประเมินผลตนเองก่อนเรียนในคู่มือก ารศึกษาโมดูลท ี่ 5
2. อ่านแผนการสอนประจำโมดูล
3. อ่านสาระสำคัญ
T
4. ศึกษาเพิ่มเติมจากสื่อเสริมออนไลน์ประจำโมดูล
S OU
5. ทำกิจกรรมที่กำหนดไว้ในคู่มือการศึกษา
6. ติดตามประกาศออนไลน์
7. เข้าร ่วมการสนทนา ถามและตอบคำถาม และแลกเปลี่ยนความรู้ก ับเพื่อนนักศึกษาและอาจารย์ใ น
ห้องสนทนา
8. ทำแบบประเมินผลตนเองหลังเรียน
T
S OU
T
S OU
S T
Morphology 5-7
O U
วิทยาหน่วยคำ (morphology) เป็นการศึกษาโครงสร้างคำ และการประกอบคำในภาษาใดภาษาหนึ่ง
ได้แก่ การลงวิภัตติและปัจจัย การแปลงคำ การประสมคำ การประสานคำ การซ้ำค ำ และการซ้อนคำ รวมถึง
T
กฎหน่วยคำ และความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาหน่วยคำกับวากยสัมพันธ์และสัทวิทยา ในโมดูลนี้จะกล่าวถึง
S OU
วิทยาหน่วยคำในภาษาอังกฤษเท่านั้น
T
ต่อไ ปได้อ ีก ถ้าแ ยกจะทำให้ค วามหมายของหน่วยคำนั้นห ายไปหรือผ ิดไ ปจากความหมายเดิม แต่ห น่วยคำใดๆ
S OU
ที่เป็นอ ิสระและไม่ส ามารถแยกต่อไ ปอีกไ ด้ก ็ส ามารถเป็น ‘คำ’ (word) ได้อ ีกด ้วย ขอให้ศ ึกษาตัวอย่างการแยก
หน่วยคำ ดังตารางต่อไปนี้
คำ การแยกหน่วยคำ ความหมาย
T
dislike dis- (ไม่) like (ชอบ) ไม่ชอบ
S OU
worked work (ทำงาน) - ed เป็นส่วนเติมท้ายเพื่อ ทำงาน
แสดงอดีตกาล (ความหมายเป็นอดีตกาล)
loves love (รัก) - s เป็นส่วนเติมท้ายเมื่อประธาน รัก
เป็นเอกพจน์ (ใช้กับประธานเอกพจน์)
blackboard black (ดำ) board (กระดาน) กระดานดำ
T
disagreement dis- (ไม่) agree (เห็นด้วย) - ment เป็นส่วนเติมท้ายเพื่อ การไม่เห็นด้วย
S OU
เปลี่ยนให้เป็นคำนาม
T
5.2 หน่วยคำย่อย (Allomorph)
S
นักศึกษาได้ท ราบแล้วว ่า หน่วยคำ หมายถึงส ่วนทีเ่ล็กท ี่สุดท ีม่ คี วามหมาย แต่ย ังม อี ีกค ำหนึ่งซ ึ่งม คี วาม
สัมพันธ์กับคำว่าหน่วยคำ นั่นคือ หน่วยคำย่อย (allomorph)
หน่ ว ยค ำย่ อ ย (allomorph) คื อ ห น่ ว ยค ำจ ำนวนห นึ่ ง ที่ มี ค วามห มายเ หมื อ นกั น แ ต่ ป รากฏ ใ น
สภาพแวดล้อมต่างกัน เช่น หน่วยคำย่อยที่ทำให้คำนามเอกพจน์เป็นค ำนามพหูพจน์ ในภาษาอังกฤษสามารถ
แ ยกรูปห น่วยคำย่อยและการออกเสียงได้ 3 รูปแ บบคือ /s / /z / /ɪz/ ขอให้ศ ึกษาตัวอย่างหน่วยคำย่อยที่ท ำให้
คำนามเอกพจน์เป็นคำนามพหูพจน์ จากแผนภูมิต ่อไ ปนี้
5-8 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
คำ หน่วยคำย่อย หน่วยคำย่อยพหูพจน์
T
cats cat /s/
S OU
dogs เกิดจาก dog และ /z/
judges judge /iz/
T
หลักเกณฑ์ 2 ประการ ดังนี้
S OU
หลักเกณฑ์ที่ 1 หน่วยคำย่อยเหล่านั้นจะต้องมีความหมายเหมือนกัน เช่น หน่วยคำที่แสดงพหูพจน์
ในภาษาอังกฤษ ในคำว่า
bats จะออกเสียงไม่ก้อง /s/
dogs จะออกเป็นเสียงก้อง /z/
หน่วยคำย่อย [s] และ [z] เป็นหน่วยคำย่อยของหน่วยคำเดียวกัน เพราะแสดงความหมายเหมือนกัน
T
คือ พหูพจน์ เพียงแต่มีร ูปซึ่งในที่นี้หมายถึงการออกเสียงต่างกันเท่านั้น
S OU
หลักเกณฑ์ที่ 2 หน่วยคำย่อยเหล่านั้นจะต้องไม่เปรียบต่างกัน คือ จะไม่เกิดในสภาพแวดล้อม
เดียวกันแต่ละหน่วยคำย่อยจะมีสภาพแวดล้อมของตนโดยเฉพาะ โดยอาจเรียกว่ามีลักษณะการแจกแจงสับ
หลีกห รือป รากฏในสภาพแวดล้อมทีต่ ่างกันน ั่นเอง (complementary distribution หรือ mutually exclusive
in their environments) เช่น ตัวอย่างภาษาอังกฤษข้างต้น ในคำ bats และ dogs หน่วยคำย่อย [s] จะปรากฏ
เฉพาะท้ายคำทลี่ งท้ายด้วยเสียงพยัญชนะเสียงไม่ก ้อง ในทนี่ คี้ ือ เสียง [t] และหน่วยคำย่อย [z] จะปรากฏเฉพาะ
T
ท้ายคำที่ลงท้ายด้วยเสียงพยัญชนะเสียงก้อง ในที่นี้ คือ เสียง [g] ดังน ั้น จะเห็นไ ด้ว ่าหน่วยคำย่อยทั้งส องจะ
S OU
ปรากฏในสภาพแวดล้อมที่หลีกล้อหรือแจกแจงสับห ลีกก ัน
หน่วยคำย่อยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่
5.2.1 หน่วยคำย่อยที่เกิดโดยเงื่อนไขของเสียง (Phonologically Conditioned Allomorphs) เป็น
การกระจายรูปของหน่วยคำย่อยดังเช่นตัวอย่างของหน่วยคำ ‘s’ ในรูปพหูพจน์ดังตัวอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว
ข้างต้น การเกิดหน่วยคำย่อยที่ต่างกันของคำว่า bats ซึ่งเสียง /s/ จะออกเสียงไม่ก้อง คือ /s/ ส่วนในคำว่า
T
dogs จะออกเป็นเสียงก้อง คือ /z/ นอกจากนี้ยังเกิดการกระจายรูปของหน่วยคำย่อยโดยเงื่อนไขของเสียง
S
ดังตัวอย่างในแผนภูมิต ่อไปนี้
Morphology 5-9
O U
แผนภูมิ: การแสดงการเป็นเจ้าของของคำนาม (possessive)
T
หน่วยคำย่อยที่แสดงการเป็น
S OU
คำ หน่วยคำย่อย
เจ้าของของคำนาม (possessive)
rat’s rat /s/
bag’s เกิดจาก bag และ /z/
church’s church /iz/
T
S OU
แผนภูมิ: การเติม ‘s’ ทีค่ ำกริยาซึ่งใช้ก ับประธานเอกพจน์
หน่วยคำย่อยของการเติมหน่วยคำ ‘s’
คำ หน่วยคำย่อย
ที่คำกริยาซึ่งใช้กับประธานเอกพจน์
talks talk /s/
T
S OU
goes เกิดจาก go และ /z/
watches watch /iz/
T
หน่วยคำย่อยของการเติมหน่วยคำ
S OU
คำ หน่วยคำย่อย
‘ed’ เพื่อผันคำกริยาให้เป็นรูปอดีต
happened happen /d/
worked เกิดจาก work และ /t/
needed need /id/
S T
5.2.2 หน่วยคำย่อยที่เกิดโดยเงื่อนไขของหน่วยคำ (Morphologically Conditioned Allomorphs)
เกิดจากการเปลี่ยนรูปของคำนามจากคำนามเอกพจน์เป็นคำนามพหูพจน์ จากคำกริยาปัจจุบันกาลเป็น
คำกริยาอดีตกาล เป็นต้น ดังตัวอย่างต่อไปนี้
จากคำนามเอกพจน์เป็นคำนามพหูพจน์: man-men, child-children, deer-deer
จากคำกริยาปัจจุบันก าลเป็นค ำกริยาอดีตกาล: drink-drank, swim-swam, take-took
5-10 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
จึงกล่าวได้ว่าการวิเคราะห์หาหน่วยคำย่อย จะต้องคำนึงถึงทั้งความหมายและเสียง โดยพิจารณาว่า
T
รูปหรือเสียงใดบ้างเป็นหน่วยคำย่อยของหน่วยคำเดียวกัน ผู้ว ิเคราะห์ต ้องพิจารณาข้อมูลในภาษานั้นๆ และ
พิจารณาคำแปล หรือพิจารณาความหมายของข้อมูล เพื่อค้นหาว่าหน่วยคำย่อยใดมีความหมายเหมือนกัน
S OU
บ้าง ซึ่งแสดงว่า หน่วยคำย่อยนั้นๆ เป็นหน่วยคำย่อยของหน่วยคำเดียวกัน ต่อจากนั้นก็พยายามหาข้อสรุป
ให้ได้ว่า หน่วยคำย่อยแต่ละตัวมีต ำแหน่งที่เกิดอย่างไร หรือเรียกตามภาษาของการวิเคราะห์ห น่วยคำว่า การ
หาการกระจายของหน่วยคำย่อย
T
การวิเคราะห์ค วามสัมพันธ์ร ะหว่างหน่วยคำและหน่วยคำย่อยสามารถกระทำได้โ ดยการวิเคราะห์จ าก
S OU
วิธีการเกิด และการวิเคราะห์จากรูป (form)
5.3.1 การวิเคราะห์จากวิธีการเกิด การเกิดหน่วยคำย่อยของหน่วยคำเดียวกัน สามารถเกิดข ึ้นไ ด้ใน
หลายกรณีและทุกกรณีสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลที่ต่างกัน การเกิดหน่วยคำย่อยของหน่วยคำเดียวกัน
สามารถจำแนกเหตุผลได้ดังนี้
T
1) การกลมกลืนเสียง (Assimilation) คือ การที่เสียงกลายไปเหมือนหรือคล้ายกับเสียงที่
ตามมา หรือน ำมาข้างหน้าเพื่อค วามสะดวกในการออกเสียง ถ้าพ ิจารณาคำต่อไ ปนี้ intolerable, impossible,
S OU
illegal, incongruous, irregular จะเห็นได้ว ่ามีการใช้อุปสรรคหรือ prefix ที่ต่างกัน คือ in, im, il, iŋ และ
ir ตามลำดับ แต่อุปสรรคหรือ prefix ทั้ง 5 นั้นมีความหมายเดียวกัน คือการทำให้ความหมายของคำที่ไป
เติมม คี วามหมายตรงกันข ้ามกับค วามหมายเดิม เหตุผลทีท่ ำให้เกิดก ารกระจายของหน่วยคำดังก ล่าว ออกเป็น
5 หน่วยคำย่อยนั้นเกิดจากเงื่อนไขทางเสียง
หน่วยคำย่อย in, im, il, iŋ และ ir มีก ารกระจายทีแ่ ตกต่างกัน เพราะอิทธิพลของเสียงทีอ่ ยูร่ อบ
T
ข้าง กล่าวคือ เสียงพยัญชนะต้นของพยางค์ที่ต ามมา ทำให้ลักษณะทางสัทศาสตร์ของหน่วยคำเดิมกลายเสียง
S OU
ไปในทางภาษาศาสตร์ เราเรียกปรากฏการณ์ที่เกิดข ึ้นว ่า การกลมกลืนเสียง (assimilation) เพื่อต้องการปรับ
เสียงให้เหมือนหรือใ กล้เคียงกับเสียงที่ต ามมา นอกจากนี้ก ารกลมกลืนเสียงนั้นก ็เพื่อต ้องการให้การออกเสียง
ง่ายขึ้น หรือฟ ังแ ล้วไ พเราะขึ้น การกลายเสียงที่เกิดข ึ้นก ับ in, im, il, iŋ และ ir นี้ เราเรียกอย่างเฉพาะเจาะจง
ว่า การกลมกลืนเสียงไปด้านหลัง (regressive assimilation) ซึ่งส ามารถสรุปการกระจายของหน่วยคำย่อย
in, im, il, iŋ และ ir ได้ด ังต่อไปนี้
T
/in/ เกิดหน้าเสียงฐาน alveolar เช่น intolerable, inexpensive
S
/im/ เกิดหน้าเสียงฐาน bilabial เช่น impossible, implement
/il/ เกิดหน้าเสียงฐาน lateral เช่น illegal, illustration
/iŋ/ เกิดหน้าเสียงฐาน velar เช่น incongruous
/ir/ เกิดหน้าเสียงฐาน retroflex เช่น irregular, irrational
สรุป หน่วยคำย่อยทั้ง 5 เกิดการสับห ลีก (complementary distribution) จากกระบวนการ
ทางเสียง ถือเป็นห น่วยคำย่อยของหน่วยคำเดียวกัน
Morphology 5-11
O U
2) การแทนที่หรือ (Replacive Allomorphs) คือการเปลี่ยนเสียงสระจากตัวหนึ่งไปเป็น
สระอีกตัวหนึ่ง เช่น การทำให้คำนามเอกพจน์เป็นคำนามพหูพจน์โดยเปลี่ยนจากเสียง /æ/ ไปเป็นเสียง /e/
T
ในคำ เช่น จากเสียง /æ/ ในคำว่า man ไปเป็นเสียง /e/ ในคำว่า men หรือ จากเสียง /æ/ ในคำว่า woman
S OU
ไปเป็นเสียง /e/ ในคำว่า women หรือการทำคำกริยาในรูปป ัจจุบันก าลให้เป็นรูปอ ดีตกาล เช่น จากเสียง /i:/
เป็นเสียง /ↄ:/ ในคำ ‘see’ เป็น ‘saw’ เป็นต้น
3) หน่วยคำย่อยไม่มีรูป หรือไร้รูป (Zero Allomorph) คือการเปลี่ยนความหมายของคำโดย
ไม่มีก ารเปลี่ยนรูปห น่วยคำ การเปลี่ยนความหมายคำนามเอกพจน์เป็นค ำนามพหูพจน์โ ดยไม่มีก ารเปลี่ยนรูป
เช่น คำว่า sheep ใน two sheep = sheep + ∅
T
5.3.2 การวเิ คราะห์จ ากรปู นอกจากการวิเคราะห์จ ากวิธกี ารเกิดห น่วยคำ และหน่วยคำย่อยด้วย 3 วิธี
S OU
ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังมีอ ีกว ิธีห นึ่งซ ึ่งน ักภ าษาศาสตร์ใ ช้ว ิเคราะห์หน่วยคำ ได้แก่ การวิเคราะห์จากรูป (form)
ดังต่อไปนี้
1) รูปใดที่มีความหมายเหมือนกันและมีเสียงเหมือนกัน ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ใดให้ถือว่าเป็น
หน่วยคำเดียวกัน เช่น –ess ที่ปรากฏท้ายคำนาม actress, waitress, hostess แสดงความเป็นเพศหญิงข อง
คำนามนั้น ให้ถือเป็นห น่วยคำเดียวกัน
T
2) รูปที่มีความหมายเหมือนกันแต่มีเสียงต่างกันอาจเป็นหน่วยคำย่อยของหน่วยคำเดียวกัน
S OU
ได้ ถ้าสามารถอธิบายการแจกแจงของความแตกต่างนั้นได้ด้วยกฎเกณฑ์ของเสียง เช่น การเกิดการสับหลีก
ของเสียงในคำดังต ่อไปนี้ intolerable, impossible, illegal, incongruous, irregular จะเห็นไ ด้ว่าท ั้ง 5 คำ
ประกอบด้วย คำเติมหน้า หรือ prefix คือ ‘in, im, il, iŋ และ ir’ ซึ่งส ามารถอธิบายการเกิดข องคำเติมหน้า
ดังกล่าวได้ด้วยกฎเกณฑ์ทางเสียงและทั้งหมดมีค วามหมายเดียวกัน ดังน ั้น in, im, il, iŋ และ ir จึงถ ือเป็น
หน่วยคำย่อยของหน่วยคำเดียวกัน
T
3) รูปซึ่งมีความหมายเหมือนกันแต่มีเสียงต่างกันอันไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยกฎเกณฑ์ทาง
S OU
เสียงอาจถือเป็นห น่วยคำเดียวกันไ ด้โ ดยใช้เงื่อนไขของหน่วยคำ เช่น –en ใน ox - oxen และ child - children
4) คำบางคำในภาษาอังกฤษที่ปรากฏรูปซ้ำๆ กัน เช่น คำว่า berry ใน cranberry และ
raspberry นั้น เมื่อแยกหน่วยคำออกมาแล้ว พบว่า คำว่า cran และ rasp ไม่สามารถพบได้ที่อ ื่นเลย จึงถือว่า
คำดังกล่าวไม่สามารถแยกหน่วยคำได้
T
5.4 ชนิดของหน่วยคำ (Morpheme Types)
S
การวิเคราะห์เพื่อจำแนกชนิดของหน่วยคำในภาษาต่างๆ มีหลายวิธี เราสามารถจำแนกชนิดของ
หน่วยคำด้วยวิธีหรือเกณฑ์ต่างๆ ได้ดังนี้ คือ การจำแนกตามการปรากฏของหน่วยคำ การจำแนกตามหน้าที่
และการจำแนกตามการประกอบคำ ทั้งนี้หน่วยคำหนึ่งๆ อาจสามารถเป็นได้หลายชนิดหรือประเภท หากใช้
วิธีหรือเกณฑ์ในการวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน
5.4.1 การจำแนกตามการปรากฏของหน่วยคำ การวิเคราะห์เพื่อจำแนกชนิดของหน่วยคำอาจใช้
วิธีการวิเคราะห์จากการปรากฏของหน่วยคำ โดยพิจารณาว่าห น่วยคำนั้นๆ ปรากฏตามลำพังห รือไ ม่ โดยวิธีนี้
จะจำแนกหน่วยคำเป็น 2 ชนิด คือ หน่วยคำอิสระและหน่วยคำผูกพัน
5-12 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
1) หน่วยคำอิสระ (Free Morpheme) คือห น่วยคำที่ป รากฏตามลำพังไ ด้และมีค วามหมายใน
T
ตัวเอง เช่น dog, house, book เป็นต้น
2) หน่วยคำไม่อิสระ (Bound Morpheme) คือ หน่วยคำที่ไ ม่อ าจปรากฏตามลำพังใ นประโยค
S OU
ได้ ต้องปรากฏร่วมกับหน่วยคำอื่น เช่น im, in, il, ir ต้องปรากฏร่วมกับหน่วยคำอื่น เช่น im - impossible,
in - inexpensive, il - illegal, ir - irregular
5.4.2 การจำแนกตามหน้าที่ เราอาจวิเคราะห์ หน่วยคำโดยจำแนกตามหน้าที่ ว่า หน่วยคำนั้นๆ
เป็นห น่วยคำผัน หรือหน่วยคำคง
1) หน่วยคำผัน (Derivational Morpheme) คือ หน่วยคำที่ทำหน้าที่แปลงคำชนิดหนึ่งให้
T
เป็นอีกชนิดหนึ่ง เช่น ness - sadness เป็นการแปลงจากคำคุณศัพท์เป็นค ำนาม หรือเปลี่ยนความหมายของ
S OU
คำเดิม im- impolite
2) หน่วยคำคง (Inflectional Morpheme) หน่วยคำที่เติมเข้าไปที่ห น่วยคำที่เป็นร ากศัพท์เพื่อ
ทำให้เกิดค ำทีส่ ามารถปรากฏในประโยคและมคี วามสัมพันธ์ท างไวยากรณ์ก ับค ำอื่นๆได้อ ย่างถูกต ้อง หน่วยคำ
ประเภทนี้มักจะอยู่ในรูปของคำเติมหลังห รือปัจจัย (suffix) เช่น ในหน่วยคำพหูพจน์ s - dogs รูปอดีตกาล
ed - worked การเปรียบเทียบขั้นกว่า (comparative) er - smaller เป็นต้น
T
5.4.3 การจำแนกตามการประกอบคำ เมือ่ จ ำแนกโดยพจิ ารณาจากวธิ กี ารประกอบคำหน่วยคำสามารถ
S OU
แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ หน่วยคำหลักและหน่วยคำประกอบ
1) หน่วยคำหลัก (Base Morpheme) คือ หน่วยคำที่จ ะใช้เป็นค วามหมายหลัก กล่าวคือก าร
นำหน่วยคำตั้งแ ต่ 2 หน่วยคำมารวมกันน ั้น จะมีห นึ่งห น่วยคำเป็นห น่วยคำหลัก เช่น คำว่า cats ประกอบด้วย
2 หน่วยคำ คือ cat และ s โดยมี cat เป็นห น่วยคำหลัก
2) หน่วยคำประกอบ (Affix) คือหน่วยคำที่ไ ม่ส ามารถอยู่โ ดยลำพังไ ด้ แบ่งอ อกเป็น หน่วยคำ
T
เติมห น้าและหน่วยคำเติมหลัง
S OU
2.1) หน่วยคำเติมหน้า หรืออ ุปสรรค (prefix) คือ หน่วยคำที่ใ ช้เติมห น้าหน่วยคำอื่น เป็น
หน่วยคำที่ไม่อิสระ อาจแบ่งได้เป็น ชนิดที่ใช้นำหน้าคำนาม ชนิดที่ใช้นำหน้ากริยา และชนิดที่ใช้นำหน้าคำ
คุณศัพท์ เช่น il - illegal, ir - irregular, in - inexpensive
2.2) หน่วยคำเติมท้าย หรือปัจจัย (suffix) คือ หน่วยคำประกอบหลังหน่วยคำอื่น เป็น
หน่วยคำไม่อิสระ ใช้เติมลงหลังหน่วยคำหลัก และทำหน้าที่เปลี่ยนชนิดของหน่วยคำหลัก เช่น
S T
เปลี่ยนกริยาให้เป็นนาม correction -tion
เปลี่ยนนามให้เป็นคุณศัพท์ useful -ful
เปลี่ยนกริยาให้เป็นคุณศัพท์ lovely -ly
เปลี่ยนคุณศัพท์ให้เป็นนาม happiness -ness
Morphology 5-13
O U
ขอให้ศึกษาหน่วยคำเติมหน้า (prefix) และหน่วยคำเติมท้าย (suffix) ที่พบบ่อยในภาษาอังกฤษได้
จากตารางต่อไปนี้
T
S OU
ตัวอย่างหน่วยคำเติมหน้า (prefix) ในภาษาอังกฤษ
หน่วยคำ
หน้าที่ ตัวอย่าง
เติมหน้า (prefix)
un (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้าคำคุณศัพท์ suitable (เหมาะสม) - unsuitable (ไม่เหมาะสม)
T
หรือ คำกริยาวิเศษณ์ fairly (อย่างยุติธรรม) - unfairly (อย่างไม่ยุติธรรม)
S OU
bi (สอง) ใช้สำหรับเติมหน้าคำนาม cycle (จักรยาน) - bicycle (จักรยานสองล้อ)
en อุปสรรคตัวนี้ เติมข้างหน้าคำนามหรือ camp (ค่ายพัก) - encamp (ตั้งค่าย)
ไม่มีคำแปลเป็น คำคุณศัพท์แล้วทำให้คำนั้น sure (แน่ใจ) - ensure (ทำให้แน่ใจ)
เอกเทศ เปลี่ยนเป็นกริยา
tri (สาม) ใช้สำหรับเติมหน้าคำนาม angle (เหลี่ยม) - triangle (รูปสามเหลี่ยม)
T
cycle (จักรยาน) - tricycle (รถสามล้อ)
S OU
pre (ก่อน) ใช้สำหรับเติมหน้าคำนาม history (ประวัติศาสตร์) – prehistory
หรือกริยา (ก่อนประวัติศาสตร์)
paid (จ่าย) - prepaid (จ่ายก่อน)
mis (ผิด) ใช้สำหรับเติมหน้าคำกริยา understand (เข้าใจ) - misunderstand (เข้าใจผิด)
im (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้าคำคุณศัพท์ pure (บริสุทธิ์) - impure (ไม่บริสุทธิ์)
T
หรือ คำกริยาวิเศษณ์ politely (อย่างสุภาพ) - impolitely (อย่างไม่สุภาพ)
S OU
in (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้าคำคุณศัพท์ direct (ตรง) - indirect (ไม่ตรง)
expensive (แพง) - inexpensive (ไม่แพง)
re (อีก) ใช้สำหรับเติมหน้าคำกริยา write (เขียน) - rewrite (เขียนใหม่)
หรือคำนามที่มาจากกริยา cycle (วงจรของกระบวนการ) – recycle
T
เท่านั้น เมื่อเติมแล้วทำให้ (เข้าไปตามวงจรของกระบวนการอีกครั้ง/
S
คำนั้นมีความหมายว่า เข้าไปผลิตใหม่)
“ทำอีกครั้งหรือทำใหม่”
dis (ไม่) ใช้สำหรับเติมหน้ากริยาหรือ like (ชอบ) - dislike (ไม่ชอบ)
เติมหน้าคุณศัพท์ honest (ซื่อสัตย์) – dishonest (ไม่ซื่อสัตย์)
5-14 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
ตัวอย่าง หน่วยคำเติมท้าย (suffix) ในภาษาอังกฤษ
T
หน่วยคำเติมท ้ายในภาษาอังกฤษสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่ม ดังนี้
(1) Noun-Forming Suffixes Meaning “a person or a thing” คือ suffix ที่เติมแล้วท ำให้คำ
S OU
กลายเป็นคำนามที่ หมายถึง คน สัตว์ สิ่งของ มีดังต่อไปนี้
หน่วยคำ
ความหมาย ตัวอย่าง
เติมท้าย (suffix)
T
-an, -ian 1. person or thing that is of or belongs to American (ชาวอเมริกัน)
S OU
(ประชาชนหรือสิ่งของของประเทศนั้นๆ)
2. person skilled in or studying the subject historian (นักประวัติศาสตร์)
(ผู้ชำนาญในวิชาการ)
-ant person or thing that does the action (ผู้กระทำ) servant (คนรับใช้)
-ee person to whom the action is done trainee (คนฝึกงาน)
T
(ผู้รับการกระทำ)
S OU
-eer person concerned with (ผู้เกี่ยวข้อง) auctioneer (ผู้ประมูล)
T
S OU
-ist 1. person who believes in the ideas, Buddhist (ผู้นับถือศาสนาพุทธ)
principles, or teaching (ผู้เชื่อในความคิด
หลักการ คำสอน) guitarist (นักกีตาร์)
2. person who is skilful in (ผู้เชี่ยวชาญ)
-ster person of a certain type (คนกลุ่มเดียวกัน) youngster (กลุ่มวัยรุ่น)
S T
-y, -ie dear/ little person or thing daddy (พ่อ), auntie (ป้า)
(ผู้เป็นที่รัก สิ่งของเล็กๆ น่ารัก)
Morphology 5-15
O U
(2) Noun-Forming Suffixes คือ suffixes ที่ท ำให้ค ำกลายเป็น “คำนาม” มีด ังต ่อไ ปนี้
T
หน่วยคำ
S OU
ความหมาย ตัวอย่าง
เติมท้าย (suffix)
-acy, -cy state or quality of (ภาวการณ์) bankruptcy (การล้มละลาย)
-age activity (กิจกรรมที่เกิดขึ้น) courage (ความกล้าหาญ)
-al action (การกระทำ) arrival (การมาถึง)
T
-ance, -ence action, state or quality (การกระทำ ภาวการณ์) importance (ความสำคัญ)
S OU
existence (การดำรงอยู่)
-ary, -ery, -ry place where something is made, library (ห้องสมุด)
done or sold with (สถานที่)
-ate state (ภาวะ) electorate (กลุ่มผู้ที่มีสิทธิ
ออกเสียงเลือกตั้ง)
T
-ation, -tion, -ion action, state, condition (การกระทำ) examination (การสอบ)
S OU
-dom state of being (ภาวะ) freedom (เสรีภาพ)
-ful amount (จำนวน) handful (จำนวน 1 กำมือ)
-hood state or time of being (ภาวะ) priesthood (สมณเพศ)
-phobia fear (ความกลัว) hydrophobia (โรคกลัวน้ำ)
T
-ic, -ics arts and sciences physics (ฟิสิกส์)
S OU
(เกี่ยวกับศิลปะ หรือวิทยาศาสตร์)
-ide chemical compound (สารประกอบ) cyanide (ไซยาไนด์)
-ing action (การกระทำ) gliding (การร่อน)
-ism idea, principles or teachings (หลักการ คำสอน) Buddhism (พุทธศาสนา)
S T
-ity state, condition, quality (สภาพ คุณภาพ) humidity (ความร้อนชื้น)
-let, -ette small kind of (เล็กๆ) booklet (หนังสือเล่มเล็ก)
kitchenette (ห้องครัวเล็กๆ)
-logy, -ology principles or teaching (ศาสตร์ วิชา วิทยา) geology (ธรณีวิทยา)
-ment result of (สิ่งที่ทำ ผลของการกระทำ) management (การจัดการ)
-ness state, condition (สภาพ ภาวะ) goodness (ความดี)
-ship state or quality of (ภาวะ คุณสมบัติ) leadership (ภาวะผู้นำ)
5-16 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
(3) Adjective-Forming Suffixes คือ suffixes ที่ท ำให้ค ำกลายเป็น “คำคุณศัพท์” มีด ังต ่อไ ปนี้
T
หน่วยคำ
S OU
ความหมาย ตัวอย่าง
เติมท้าย (suffix)
-able, -ible capable of, having (เป็นไปได้) changeable (เปลี่ยนแปลงได้)
-al, -ial of, concerning, related to (เกี่ยวกับ) mental (เกี่ยวกับจิตใจ)
-an, -ean, -ian of, belonging of (เป็นของ เกี่ยวข้องกับ) American (ชาวอเมริกัน)
T
-ant, -ent causing (ทำให้เกิด...) pleasant (น่าพอใจ)
S OU
-ate full of (เต็มไปด้วย...) affectionate (ที่มีความรัก ที่
แสดงความรัก)
-ed having (มีอาการ...) surprised (ประหลาดใจ)
-en made of (ทำด้วย...) wooden (ทำจากไม้)
T
-er comparative (เปรียบเทียบขั้นกว่า) bigger (ใหญ่กว่า)
S OU
-ese belonging to, origin (เป็นของ เกี่ยวข้องกับ) Japanese (ชาวญี่ปุ่น)
-ful full of, causing (เต็มไปด้วย... ทำให้...) careful (ระมัดระวัง)
-ic, -ical connected with (เกี่ยวกับ...) atomic (เกี่ยวกับอะตอม)
-ing causing (ทำให้เกิด...) surprising (น่าประหลาดใจ)
T
-ish belonging to, having the character of childish (เป็นเด็ก มีลักษณะ
S OU
(มีลักษณะเป็น...) คล้ายเด็ก)
-ive, -ative, -itive having the quality of (มีคุณสมบัติ...) explosive (ที่ระเบิดได้)
-less without (ปราศจาก... โดยไม่มี...) careless (ปราศจากการระมัดะวัง)
-like similar to (คล้าย... เหมือน...) childlike (เหมือนเด็ก)
T
-ly like in manner, nature or appearance lovely (น่ารัก)
S
(มีลักษณะ...)
-ous, -eous, -ious causing (ก่อให้เกิด...) dangerous (ก่อให้เกิดอันตราย)
-some full of, in all (เต็มไปด้วย...) lonesome (หงอยเหงา)
-y full of, like that of (เต็มไปด้วย... มีลักษณะ rainy (ซึ่งมีฝนตก)
เหมือน...)
Morphology 5-17
O U
(4) Adverb-Forming Suffixes คือ suffixes ที่ท ำให้ก ลายเป็น “คำกริยาวิเศษณ์” มีดังต ่อไ ปนี้
T
หน่วยคำ
S OU
ความหมาย ตัวอย่าง
เติมท้าย (suffix)
-ly in a manner of (ในอากัปกิริยาที่ระบุ) quickly (อย่างเร็ว)
-ward(s) in direction of (ในทิศทาง) forwards (ไปข้างหน้า)
-wise in direction of (ในทิศทาง) clockwise (ที่หมุนตามเข็มนาฬิกา)
T
S OU
(5) Verb-Forming Suffixes คือ suffixes ทำให้ค ำกลายเป็น “คำกริยา” มีด ังต ่อไปนี้
หน่วยคำ
ความหมาย ตัวอย่าง
เติมท้าย (suffix)
-ate act as, cause to become (ทำให้) activate (กระตุ้น)
T
-ed ทำให้คำกริยาเป็นอดีต (simple past tense; looked (มองดู)
S OU
past participle)
-en to make something… (ทำให้...) whiten (ทำให้ขาว)
-ify cause; make something… (ทำ...) magnify (ทำให้เพิ่มมากขึ้น)
-ing present participle (กำลังกระทำอยู่) BE reading (กำลังอ่าน)
T
-ize (-ise) to make or put something in the stated centralize (ทำให้เป็นศูนย์กลาง)
S OU
condition (ทำให้...)
กิจกรรมที่ 1
จงแยกหน่วยคำจากคำภาษาอังกฤษที่กำหนดให้
1. unhappiness ____________________________________________________________
T
2. televisions ______________________________________________________________
S
3. painters ________________________________________________________________
4. worked ________________________________________________________________
5. technically ______________________________________________________________
6. unfortunate______________________________________________________________
7. pleasantries _____________________________________________________________
8. misidentified ____________________________________________________________
9. children's _______________________________________________________________
10. previewing _____________________________________________________________
5-18 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
11. ex-husbands _____________________________________________________________
12. unmasks ________________________________________________________________
T
13. safest __________________________________________________________________
S OU
14. inspector’s ______________________________________________________________
15. reactionaries _____________________________________________________________
T
ภาษาที่เราใช้กันอยู่ไม่ว่าจะเป็นภาษาใดก็ตามมักมีการสร้างคำศัพท์ใหม่อยู่เสมอ การสร้างคำใหม่ใน
S OU
ภาษาต่างๆ มีวิธีการมากมาย ในที่นี้จะกล่าวถึงก ารสร้างคำในภาษาอังกฤษ ในภาษาอังกฤษมีการสร้างคำใหม่
โดยวิธีการประสมคำ การประสานคำ การซ้ำค ำ และการยืมค ำ ซึ่งท ำให้เกิดค ำประสม คำประสาน คำซ้ำ และ
คำยืม ตามลำดับ
5.5.1 คำประสมหรือคำผสม (Compound Word) คือ คำที่ป ระกอบด้วยหน่วยคำอิสระ 2 หน่วยคำ
T
ขึ้นไ ป เช่น blackboard, lunchbox, housewife เป็นต้น คำประสมคือคำที่ม ีค วามหมายใหม่แ ต่ย ังม ีเค้าข อง
คำเดิมท ี่น ำมาประกอบกัน เราสามารถสรุปน ิยามของคำประสมได้ด ังนี้ คำประสมคือค ำที่เกิดจ ากการประกอบ
S OU
คำมูลที่มีความหมายต่างกันตั้งแต่สองคำขึ้นไป และมีความหมายใหม่ซึ่งใกล้เคียงกับความหมายของคำมูล
เดิม หรือมีความหมายเป็นเชิงอุปมาหรือโดยนัย แต่ยังมีเค้าความหมายของคำมูลเดิม การสร้างคำประสม
มีความมุ่งหมายเพื่อให้เกิดคำใหม่เพิ่มขึ้น เป็นค ำที่ม ีค วามหมายเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง มีรูปคำพอที่เข้าใจ
ความหมายกันได้ทั่วไป คำประสมสามารถจำแนกได้เป็นกลุ่ม ดังนี้
T
1) คำนามประสมที่เกิดจากคำนาม 2 คำประสมกัน มีลักษณะเป็นคำเดียว เขียนติดกัน หรือมี
hyphen (-) คั่น เมื่อเป็นพหูพจน์ ให้เปลี่ยนเฉพาะคำนามตัวหลัง เช่น
S OU
dining room → dining rooms = ห้องอาหาร
salesman → salesmen = พนักงานขาย
landlady → landladies = เจ้าของบ้าน
classroom → classrooms = ห้องเรียน
classmate → classmates = เพื่อนร่วมห้อง
T
2) คำนามประสมที่เกิดจากคำนามและคำอื่นผ สมกัน อาจเป็นได้ห ลายประเภท เช่น
S
Noun + Adjective Adjective + Noun
Noun + Preposition Participle (V-ing) + Noun
Noun + Preposition + Noun Verb + Preposition
จะมีลักษณะเป็นคำเดียว เขียนติดกัน หรือมี hyphen ( - ) คั่น เมื่อเป็นพหูพจน์ให้เปลี่ยน
เฉพาะคำนาม เช่น
passer-by (Noun + Preposition) → passers-by = ผู้คนที่เดินผ ่านไปมา
gentleman (Adjective + Noun) → gentlemen = สุภาพบุรุษ
looking-glass (Participle + Noun) → looking-glasses = กระจกเงา
Morphology 5-19
O U
mother-in-law (Noun + Preposition + Noun) → mothers-in-law = แม่ยาย
sleeping-bag (Participle + Noun) → sleeping-bags = ถุงนอน
T
walking-stick (Participle + Noun) → walking-sticks = ไม้เท้า
S OU
man-of-war (Noun + Preposition + Noun) → men-of-war = เรือรบ
คำประสมต่อไปนี้มักเป็นพหูพจน์ทั้งสองส่วน เนื่องจากมีความสำคัญหรือเน้นทั้งสองคำ
ดังตัวอย่าง
man-servant → men-servants = คนใช้ผู้ชาย
woman-clerk → women-clerks = เสมียนผู้หญิง
T
gentleman-farmer → gentlemen-farmers = ชาวนาผู้ชาย
S OU
woman-doctor → women-doctors = แพทย์ผ ู้หญิง
3) คำประสมที่เกิดจากคำประเภทอื่นท ี่ม ิใช่คำนามมารวมกัน มีไ ด้ด ังนี้
Noun + Adjective เช่น spoonful (ปริมาณเต็มช้อน)
V-ing + Noun เช่น washing machine (เครื่องซักผ ้า)
Adjective + V-ing เช่น dry-cleaning [(การ) ซักแห้ง]
T
Adjective + Noun เช่น greenhouse [เรือนกระจก (สำหรับป ลูกต ้นไม้)]
S OU
Adverb (Particle) + Verb เช่น output (ผลผลิต)
Verb + Adverb (Particle) เช่น drawback (ข้อเสีย)
Verb + Preposition เช่น sit-ins (ผู้นั่งป ระท้วง)
Verb + Preposition เช่น stand-bys (ตัวแทน, ตัวส ำรอง)
4) คำประสมประเภทคำซ้อน คือคำที่ป ระกอบด้วยหน่วยคำอิสระตั้งแต่ส องหน่วยคำขึ้นไป โดย
T
หน่วยคำอิสระที่จะมาประกอบกันนั้นจะต้องมีความหมายเหมือน คล้ายคลึง หรือเป็นไปในทำนองเดียวกัน
S OU
หรือต รงกันข้ามกันโดยสิ้นเชิง เราเรียกคำประสมลักษณะนี้ว ่า คำซ้อน (synonymous compound) ในภาษา
อังกฤษคำซ้อนแบบนี้จะเรียกว่า วลี (phrase) และมักจะมีคำว่า and เป็นคำเชื่อมตรงกลาง เช่น peace and
quiet, yes and no, pros and cons, ups and downs เป็นต้น
T
กิจกรรมที่ 2
S
จงสร้างคำประสมจาก part of speech ที่กำหนดให้
1. noun + noun _____________________________________________________________
2. verb + noun ______________________________________________________________
3. noun + preposition + noun __________________________________________________
4. preposition + verb _________________________________________________________
5. adjective + noun __________________________________________________________
5-20 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
5.5.2 คำประสานหรือคำผสาน (Complex Word) คือคำที่เกิดจากการนำคำตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปมา
T
ประกอบกัน อาจเป็นหน่วยคำที่เกิดอิสระไม่ได้มาประกอบกัน เช่น cranberry หรือเป็นห น่วยคำที่เกิดอ ิสระ
ไม่ได้คำหนึ่ง ประกอบกับคำที่เกิดอิสระได้อีกค ำหนึ่ง เช่น incorrect, entertainment, lovely เป็นต้น
S OU
5.5.3 คำซ้ำ (Reduplication) คือคำที่เกิดจากการออกเสียงคำเดียวกันซ้ำสองครั้ง หน่วยคำที่เป็น
องค์ป ระกอบของคำซ้ำอ าจจะเป็นหน่วยคำอิสระ หรือเป็นห น่วยคำไม่อ ิสระคือไ ม่เกิดต ามลำพัง ในภาษาอังกฤษ
คำซ้ำจะพบในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
1) การซ้ำค ำเดิมส องครั้ง (Exact Reduplications) คือค ำซ้ำท ี่ซ ้ำห น่วยคำข้างหน้าโ ดยไม่มีก าร
เปลี่ยนแปลงรูปห น่วยคำ การเกิดค ำซ้ำป ระเภทนี้ส ่วนหนึ่งเกิดจ ากการพูดข องเด็ก (baby talk) เช่น bye-bye,
T
choo-choo, night-night, no-no, pee-pee, poo-poo
S OU
2) การเล่นจังหวะ (Rhyming Reduplications) คือการสร้างคำให้เกิดเสียงคล้องจองกัน
เช่น claptrap, hokey-pokey, honey-bunny, razzle-dazzle, slim jim, super-duper, teenie-weenie,
wingding
3) การเปลีย่ นเสียงสระ (Ablaut Reduplications) คำซำ้ ท มี่ เี สียงสระไม่เหมือนกบั ค ำทตี่ อ้ งการ
ซ้ำ เช่น bric-a-brac, chit-chat, criss-cross, ding-dong, jibber-jabber, kitty-cat, knick-knack,
T
pitter-patter, splish-splash, zig-zag, honky-tonk
S OU
กิจกรรมที่ 3
จงระบุว่าคำต่อไปนี้เป็นคำประเภทใด
1. lunchbox ________________________________________________________________
T
2. entertainment ____________________________________________________________
S OU
3. ding-dong _______________________________________________________________
4. night-night ______________________________________________________________
5. businesswoman __________________________________________________________
S T
5.5.4 คำยมื (Borrowed Words) คือค ำที่ย ืมม าจากภาษาอื่น โดยการนำคำหรือก ารนำบางส่วนของคำ
ที่ม ีอยู่ในภาษาหนึ่งไ ปใช้ในอีกภาษาหนึ่ง การดัดแปลงคำที่ม ีอยู่ใ นภาษาหนึ่งม าใช้ในอีกภ าษาหนึ่ง หรือก ารนำ
เฉพาะความหมายของคำในภาษาหนึ่งม าสร้างคำใหม่ใ นอีกภ าษาหนึ่ง การยืมค ำอาจเกิดไ ด้จ ากหลายสาเหตุ เช่น
การย้ายถิ่นฐานดินแ ดนของผู้พ ูด การมีอ าณาเขตติดต่อก ัน การมีค วามสัมพันธ์ก ันข องผู้พ ูดส องภาษาขึ้นไ ปใน
ด้านการเมือง เศรษฐกิจ ศาสนา และสังคม รวมถึงค วามก้าวหน้าท างวิชาการและเทคโนโลยี ทำให้ต้องหาคำ
ใหม่มารองรับวิทยาการที่ก้าวหน้า
Morphology 5-21
O U
คำยืมในภาษาอังกฤษแบ่งอ อกได้ดังนี้
1) คำที่นำมาจากภาษาอื่นโดยไม่มีการดัดแปลงแก้ไขตัวสะกด หรือความหมายเลย (foreign
T
word) เช่น คำว่า cafè จากภาษาฝรั่งเศส
S OU
2) คำที่นำมาจากภาษาอื่นแต่มีการดัดแปลงหรือแก้ไขตัวสะกดให้ตรงกับระบบการสะกดคำใน
ภาษาของตน (loan word) เช่น คำว่า music จาก musique ในภาษาฝรั่งเศส
การติดต่อก ันของชนต่างชาติต่างภาษาในด้านต่างๆ ทั้งก ารค้า การทูต และสงคราม ทำให้เกิดก ารยืม
คำจากภาษาอื่นๆ เข้ามาใช้ในภาษาอังกฤษมากมายโดยชาวอังกฤษมักน ำคำของภาษานั้นๆ มาดัดแปลงให้เกิด
การประสานกลมกลืนกับเสียงในภาษาของตน คำจากภาษาอื่นท ี่ภ าษาอังกฤษยืมม าใช้มีด ังต ่อไ ปนี้
T
S OU
ภาษาที่ยืมมา ตัวอย่างคำยืม
ภาษาละติน (Latin) wine, street, cheese, altar, master และบางคำเป็นคำที่ภาษา
ละตินยืมมาจากภาษากรีกในคัมภีร์ไบเบิล เช่น angel, bishop,
devil, monk, church
T
ภาษาเดนนิช (Danish) fellow, husband, skip, skull, skirt, they, them, their
S OU
ภาษาสันสกฤต (Sanskrit) avatar, karma, mahatma, swastika, yoga
ภาษาเยอรมัน (German) halt, swindler, stroll, kindergarten
ภาษาฮินดี (Hindi) bandanna, bangle, bungalow, chintz, cot, cummerbund,
dungaree, juggernaut, jungle, loot, maharaja, nabob,
pajamas, punch (เครื่องดื่ม), shampoo, thug, kedgeree,
T
jamboree
S OU
ภาษาจากกลุ่มดราวิเดียน (Dravidian) curry, mango, teak, pariah
ภาษาเปอร์เซีย (Persian) check, checkmate, chess
ภาษาอาหรับ (Arabic) มักเป็นคำยืมด้านคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ อาหาร
และคำที่เกี่ยวกับความฟุ่มเฟือย เช่น bedouin, emir, jakir,
T
gazelle, giraffe, harem, hashish, lute, minaret, mosque,
myrrh, salaam, sirocco, sultan, vizier, bazaar, caravan,
S
alcohol, almanac
ภาษาแอฟริกัน (African) มักเป็นคำที่เกี่ยวกับพันธุ์ไม้และสัตว์ป่า รวมถึงวัฒนธรรมท้องถิ่น
ของแอฟริกา เช่น banana, banjo, boogie-woogie, chigger,
goober, gorilla, gumbo, jazz, jitterbug, jitters, juke(box),
voodoo, yam, zebra, zombie
ภาษาจีน (Chinese) chop suey, chow mein, dim sum, ketchup, tea, ginseng,
kowtow
5-22 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
ตาราง (ต่อ)
T
ภาษาที่ยืมมา ตัวอย่างคำยืม
S OU
ภาษาญี่ปุ่น (Japanese) geisha, hara kiri, judo, jujitsu, kamikaze, karaoke,
kimono, samurai, soy, sumo, sushi, tsunami
ภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลียน boomerang, budgerigar, didgeridoo, kangaroo
(Australian English)
ภาษาฝรั่งเศส (French) คำยืมจากภาษาฝรั่งเศสมีมากกว่าภาษาอื่นๆ เนื่องจากชาวฝรั่งเศส
T
ได้เข้ามาในประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1066 แต่การยืมคำอาจ
S OU
จะยืมการสะกดและความหมายแต่ออกเสียงต่างกัน เช่น คำว่า
restaurant และบางคำมีการนำมาดัดแปลงการสะกด เช่น
คำว่า music จาก musique คำยืมภาษาฝรั่งเศสสามารถจำแนก
ได้ดังตัวอย่างต่อไปนี้
• คำยืมในงานด้านการเมือง การปกครอง และกฎหมาย เช่น
T
government, parliament, treaty, justice, judge, court
S OU
• คำยืมด้านศาสนา เช่น sermon, baptism, religion
• คำยืมด้านอาหาร เช่น bacon, dinner, supper, beef, pork
• คำยืมเกี่ยวกับงานอดิเรก เช่น dance, music, chair
• คำยืมเกี่ยวกับอาชีพ เช่น carpenter, painter, tailor
ภาษาอิตาเลียน (Italian) คำยืมภาษาอิตาเลียน มักเป็นคำยืมประเภทดนตรี ศิลปะ และ
T
สถาปัตยกรรม เนื่องจากชาวอิตาเลียนเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงาน
S OU
ดังกล่าว เช่น piano, crescendo, colonnade, balcony,
adagio เป็นต้น
กิจกรรมที่ 4
T
จงยกตัวอย่างคำภาษาอังกฤษที่เป็นคำยืมจากภาษาต่างๆ
S
1. คำยืมจากภาษาฝรั่งเศส _____________________________________________________
2. คำยืมจากภาษาญี่ปุ่น _______________________________________________________
3. คำยืมจากภาษาฮินดี _______________________________________________________
4. คำยืมจากภาษาอังกฤษแบบออสเตรเลียน_______________________________________
5. คำยืมจากภาษาอิตาเลียน ____________________________________________________
Morphology 5-23
O U
แบบประเมินผ ลตนเองหลังเรียน
T
S OU
จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
1. ข้อใดกล่าวถึงวิทยาหน่วยคำ (morphology) ไม่ถูกต้อง
1. เป็นสาขาหนึ่งของภาษาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างภายในของคำ
2. เป็นการศึกษาหน่วยที่เล็กที่สุดของวากยสัมพันธ์
T
3. เป็นการศึกษากฎที่ใช้ในการอธิบายความสัมพันธ์ของคำแต่ละคำกับคำอื่นๆ ในภาษา
S OU
4. เป็นการศึกษาโครงสร้างคำในภาษาต่างๆ
5. เป็นการศึกษาประโยคและความหมายของภาษานั้นๆ
2. ข้อใดต่อไปนี้แยกหน่วยคำของคำว่า “miscommunication” ได้อย่างถูกต้อง
1. mis-com-mu-ni-ca-tion
2. mis-com-mu-nic-ation
T
3. mis-communicate-ation
4. mis-communi-cate-a-tion
S OU
5. mis-communi-cation
3. คำในข้อใดไม่ได้เกิดจากการรวมกันของ root morpheme และ derivational affix
1. liken
2. likes
T
3. liked
4. likewise
S OU
5. ไม่มีข้อใดถูก
4. เหตุใดส่วนเติมหน้า (prefix) ของคำว่า “possible” จึงเป็น /im/
1. เพราะเกิดหน้าเสียงฐาน velar
2. เพราะเกิดหน้าเสียงฐาน dental
T
3. เพราะเกิดหน้าเสียงฐาน lateral
4. เพราะเกิดหน้าเสียงฐาน bilabial
S
5. เพราะเกิดหน้าเสียงฐาน alveolar
5. คำต่อไปนี้มีทั้งหมดกี่หน่วยคำ “inaccessibility”
1. 1
2. 2
3. 3
4. 4
5. 5
5-24 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
6. คำในข้อใดเกิดจากหน่วยคำอิสระ (free morpheme) และหน่วยคำไม่อิสระ (bound morpheme)
T
มารวมกัน
1. policeman
S OU
2. illegal
3. apple
4. landlady
5. watchdog
7. คำในข้อใดเมื่อเติม suffix ที่กำหนดแล้วไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดของคำ
T
1. scientific
S OU
2. beautiful
3. worked
4. happiness
5. careless
8. คำในข้อใดคือคำประสานทั้งหมด
T
1. lunchbox, bedroom, roommate
S OU
2. inexpensive, entertainment, likely
3. cranberry, restaurant, output
4. zebra, tiger, giraffe
5. incorrect, carpenter, sleeping-bag
9. คำว่า jibber-jabber เป็นคำซ้ำประเภทใด
T
1. การซ้ำคำเดิมสองครั้ง
S OU
2. การเล่นจังหวะ
3. การซ้ำคำที่มีความหมายเดียวกัน
4. การเปลี่ยนเสียงสระ
5. การเปลี่ยนพยัญชนะตัวหน้า
10. คำในข้อใดเป็นคำยืมจากภาษาอิตาเลียน
T
1. dim sum, ketchup, tea
S
2. sermon, baptism, religion
3. piano, crescendo, balcony
4. karaoke, kimono, samurai
5. boomerang, didgeridoo, kangaroo
Morphology 5-25
O U
แนวตอบโมดูลที่ 5
T
S OU
แบบประเมินผลตนเองก่อนเรียน
1. 4 2. 3 3. 1 4. 4 5. 3
6. 1 7. 2 8. 1 9. 3 10. 3
T
กิจกรรมที่ 1
S OU
1. un-happy-ness
2. tele-vision-s
3. paint-er-s
4. work-ed
5. technic-ally
T
6. un-fortune-ate
S OU
7. please-ant-ri-es
8. mis-identify-ed
9. child-ren-'s
10. pre-view-ing
11. ex-husband-s
T
12. un-mask-s
S OU
13. safe-est
14. inspect-or'-s
15. re-action-ari-es
T
คำตอบจากเนื้อหา)
S
1. classroom
2. washing machine
3. son-in-law
4. uphold
5. gentleman
5-26 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
O U
กิจกรรมที่ 3
T
1. คำประสม
2. คำประสาน
S OU
3. คำซ้ำประเภทเปลี่ยนเสียงสระ
4. คำซ้ำประเภทซ้ำคำสองครั้ง
5. คำประสม
T
คำตอบจากเนื้อหา)
S OU
1. restaurant, music
2. kamikaze, karaoke
3. pajamas, punch
4. boomerang, kangaroo
5. piano, crescendo
T
S OU
แบบประเมินผลตนเองหลังเรียน
1. 5 2. 3 3. 4 4. 4 5. 4
6. 2 7. 3 8. 2 9. 4 10. 3
T
S OU
S T
Morphology 5-27
O U
บรรณานุกรม
T
S OU
จิมมี่ จี. แฮริส และธีระพันธ์ วงศ์ไทย (2516) แบบฝึกหัดการวิเคราะห์เสียงในภาษา กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์คุรุสภา
ลาดพร้าว
ดิเรกชัย มหัทธนะสิน (2518) หน่วยคำภาษาไทย กรุงเทพฯ: บูรพาสาสน์
วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ (2527) ภาษาและภาษาศาสตร์ กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธ รรมศาสตร์
สมเกียรติ ภู่พัฒน์วิบูลย์ (2529) “การวิเคราะห์หน่วยคำกับการเรียนภาษา” ภาษาและวัฒนธรรม 6/2: 61-62
T
สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพ ัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยม หิดล
S OU
สมทรง บุรุษพัฒน์ (2536) วากยสัมพันธ์ นครปฐม: สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัย
มหิดล
Eugene, A. Nida. (1974). Morphology. The University of Michigan Press.
Gregory, S. A. (1969). “Morphological Methods: Antecedents and Associates.” Technological
Forecasting, Some Techniques. Birmingham: Symposium at Aston University.
T
Miller-Merbach, H. (1976). “The Use of Morphological Techniques for OR-Approaches to Problems.”
S OU
In: Operations Research 75. Amsterdam, New York: Oxford. North-Holland Publishing
Company, pp. 127-139.
Ritchey, T. (1997). “Scenario Development and Risk Management using Morphological Field 4
Analysis.” Proceedings of the 5th European Conference on Information Systems (Cork: Cork
Publishing Company) Vol. 3: 1053-1059.
Ritchey, T. (1998). “Fritz Zwicky, 'Morphologie' and Policy Analysis”, Paper presented at the 16th
T
Euro Conference on Operational Analysis, Brussels, July.
S OU
Ritchey, T. (1998). “Morphological Analysis - A general method for non-quantified modeling.”
Adapted from a paper presented at the 16th Euro Conference on Operational Analysis,
Brussels, July.
Watts, R. D. (1969). “Some Theoretical Principles in Morphological Analysis.” Technological
Forecasting, Some Techniques. Birmingham: Symposium at Aston University.
T
Zwicky, F. (1948). “The Morphological Method of Analysis and Construction”, Courant. Anniversary
S
Volume. New York: Intersciences Publish, pp. 461-470.
. (1969). Discovery, Invention, Research-Through the Morphological Approach. Toronto: The
Macmillian Company.
5-28 ภาษาศาสตร์เบื้องต้น
T O U
S OU
T
S OU
T
S OU
T
S OU
S T