Download as docx, pdf, or txt
Download as docx, pdf, or txt
You are on page 1of 30

สารในชีวิตประจำวัน

สารเคมีในชีวิตประจำวัน.
• ในชีวิตประจำวัน เราจะต้องเกี่ยวข้องกับสารหลายชนิด ซึ่งมีสารเคมี
เป็ นองค์ประกอบ
• เราสามารถจำแนกเป็ นสารสังเคราะห์และสารธรรมชาติ เช่น สารปรุง
รสอาหาร สารแต่งสีอาหาร สารทำความสะอาด สารกำจัดแมลงและสาร
กำจัดศัตรูพืช เป็ นต้น
• ในการจำแนกสารเคมีนั้น ใช้เกณฑ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
เกณฑ์การจำแนกสารเคมี
1. สารปรุงแต่งอาหาร
2. เครื่องดื่ม
3. สารทำความสะอาด
4. สารกำจัดแมลง และสารกำจัดศัตรูพืช
5. เครื่องสำอาง

1. สารปรุงแต่งอาหาร
1.1 ความหมายสารปรุงแต่งอาหาร สารปรุงแต่ง อาหาร หมายถึง สาร
ปรุงรสอาหารใช้ใส่ในอาหารเพื่อทำให้อาหารมีรสดีขึ้น หรือ เพิ่มรสชาติ
ต่างๆ เช่น
- น้ำตาล ให้รสหวาน
- เกลือ น้ำปลา ให้รสเค็ม
- น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว ซอสมะเขือเทศ ให้รสเปรี้ยว
1.2 ประเภทของสารปรุงแต่งอาหาร แบ่งเป็ น 2 ประเภท คือ
1. ได้จากการสังเคราะห์ เช่น น้ำส้มสายชู น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสมะเขือเทศ
2. ได้จากธรรมชาติ เช่น เกลือ น้ำมะนาว น้ำมะขามเปี ยก อัญชัน เป็ นต้น

2. เครื่องดื่ม
เครื่องดื่ม หมายถึง สิ่งที่มนุษย์จัดเตรียมสำหรับดื่ม และมักจะมี
“น้ำ”เป็ นองค์ประกอบหลักบางประเภทได้คุณค่าทางโภชนาการ บาง
ประเภทดื่มแล้วไปกระตุ้นระบบประสาท และบางประเภทดื่มเพื่อดับ
กระหาย
แบ่งออกเป็ น 7 ประเภท ได้แก่ น้ำดื่มสะอาด น้ำผลไม้ นม น้ำอัดลม
เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ชาและกาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
ประเภทของเครื่องดื่ม
1) น้ำดื่มสะอาด เป็ นเครื่องดื่มที่ไม่สิ่งอื่นเจือปน เป็ นประโยชน์ต่อ
กระบวนการต่างๆ ในร่างกาย
2) น้ำผลไม้ เป็ นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์มากอย่างหนึ่ง ควรเป็ นน้ำผลไม้สด
โดยผู้ผลิตจะนำผลไม้ที่มีมากในฤดูกาลมาคั้นเอาเฉพาะน้ำ
3) นม เป็ นแหล่งสำคัญของแคลเซียมและโปรตีน ช่วยให้กระดูกเจริญ
เติบโตและแข็งแรง
4) น้ำอัดลม เป็ นเครื่องดื่มที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ประกอบด้วย
น้ำ, น้ำตาล, สารปรุงแต่งที่เรียกว่า หัวน้ำเชื้อ ซึ่งเป็ นส่วนผสมของสารที่
ให้กลิ่นและสี, และกรดคาร์บอนิกซึ่งถูกอัดเข้าในภาชนะบรรจุ บางชนิด
อาจมีส่วนผสมของน้ำผลไม้เล็กน้อย
5) เครื่องดื่มชูกำลังคือเครื่องดื่มที่ให้พลังงาน มีส่วนผสมของคาเฟอีน
(Caffeine) เทารีน (Taurine)อินโนซิทอล (Inositol) และซูโครสหรือ
น้ำตาลทราย (Sucrose) เป็ นต้นเหมาะกับกลุ่มคนที่มีความต้องการ
ทำงานอย่างต่อเนื่องเป็ นระยะเวลานาน
6) ชาและกาแฟเป็ นเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน มีผู้บริโภคเป็ นจำนวนมาก และ
มีการทำไร่ผลิตชาและเมล็ดกาแฟหลายแห่งด้วยกัน เป็ นอุตสาหกรรมชั้น
นำประเภทหนึ่ง
7) เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีเอทิลแอลกอฮอล์ผสมอยู่ ได้แก่ สุรา
แอลกอฮอล์มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง ผู้ที่กินเหล้าในปริมาณไม่
มาก จะรู้สึกผ่อนคลาย เนื่องจากแอลกอฮอล์ไปกดจิตใต้สำนึกที่
คอยควบคุมตนเองอยู่ แต่หากดื่มปริมาณมากขึ้นจะทำให้อาการเสียการ
ทรงตัว พูดไม่ชัดหรือ หมดสติในที่สุด

3. สารทำความสะอาด
3.1 ความหมายของสารทำความสะอาด สารทำความสะอาด หมายถึง
สารที่มีคุณสมบัติในการกำจัดความสกปรกต่างๆ ตลอดจนฆ่าเชื้อโรค
3.2 ประเภทของสารทำความสะอาด แบ่งตามการเกิด ได้ 2 ประเภท คือ
1) ได้จากการสังเคราะห์ เช่น น้ำยาล้างจาน สบู่ก้อน สบู่เหลว แชมพูสระ
ผมผงซักฟอก สารทำความสะอาดพื้นเป็ นต้น
2) ได้จากธรรมชาติ เช่น น้ำมะกรูด มะขามเปี ยก เกลือ เป็ นต้นแบ่งตาม
วัตถุประสงค์ในการใช้งานเป็ นเกณฑ์ แบ่งออกได้เป็ น 4 ประเภท คือ
2.1 สารประเภททำความสะอาดร่างกาย ได้แก่ สบู่ แชมพูสระผม เป็ นต้น
2.2 สารประเภททำความสะอาดเสื้อผ้า ได้แก่ สารซักฟอกชนิดต่างๆ
2.3 สารประเภททำความสะอาดภาชนะ ได้แก่ น้ำยาล้างจาน เป็ นต้น
2.4 สารประเภททำความสะอาดห้องน้ำ ได้แก่ สารทำความสะอาด
ห้องน้ำทั้งชนิดผงและชนิดเหลวสมบัติของสารทำความสะอาด สาร
ทำความสะอาด เช่น สบู่ แชมพูสระผม สารล้างจาน สารทำความสะอาด
ห้องน้ำ สารซักฟอก บางชนิดมีสมบัติเป็ นกรด บางชนิดมีสมบัติเป็ นเบส
ซึ่ง
ทดสอบได้ด้วยกระดาษลิตมัส
สารทำความสะอาด ห้องน้ำและเครื่องสุขภัณฑ์บางชนิดมีสมบัติเป็ นกรด
สามารถกัดกร่อนหินปูนที่ยาไว้ระหว่างกระเบื้องปูพื้นหรือฝาห้องน้ำ
บริเวณ เครื่องสุขภัณฑ์ ทำให้คราบสกปรกที่เกาะอยู่หลุดลอกออกมาด้วย
ถ้าใช้สาร ชนิดนี้ไปนานๆ พื้นและฝาห้องน้ำจะสึกกร่อนไปด้วย และยัง
ทำให้ผู้ใช้เกิดความระคายเคืองของระบบทางเดินหายใจและผิวหนังอีก
ด้วย
4. สารกำจัดแมลง และสารกำจัดศัตรูพืช
4.1 ความหมายของสารกำจัดแมลงและสารกำจัดศัตรูพืชสารกำจัดแมลง
และสารกำจัดศัตรูพืช หมายถึง สารเคมีที่ผลิตขึ้นเพื่อใช้
ป้ องกันการกำจัด และควบคุมแมลงต่างๆ ไม่ให้มารบกวน มีทั้งชนิดผง
ชนิดเม็ด และชนิดน้ำ
4.2 ประเภทของสารกำจัดแมลงและสารกำจัดศัตรูพืช แบ่งเป็ น 2
ประเภท คือ
1. ได้จากการสังเคราะห์ เช่น สารฆ่ายุง สารกำจัดแมลง เป็ นต้น
2. ได้จากธรรมชาติ เช่น เปลือกมะนาว เปลือกมะกรูด เปลือกส้ม เป็ นต้น

5. เครื่องสำอาง
5.1 ความหมายของเครื่องสำอาง เครื่องสำอาง หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ใช้
ทา ถู นวด โรย พ่น หยอด ใส่ อบร่างกาย เพื่อใช้ทำความสะอาดเพื่อให้
เกิดความสดชื่น ความสวยงาม และเพิ่มความมั่นใจ
5.2 ประเภทของเครื่องสำอาง แบ่งเป็ น 5 ประเภท คือ
1 ) สำหรับผม เช่น แชมพู ครีมนวด เจลแต่งผม ฯลฯ
2 ) สำหรับร่างกาย เช่น สบู่ ครีม และโลชั่นทาผิว ยาทาเล็บ น้ำยาดับ
กลิ่นตัว แป้ งโรยตัว ฯลฯ
3 ) สำหรับใบหน้า เช่น ครีม โฟมล้างหน้า แป้ งผัดหน้า ลิปสติก ดินสอ
เขียนคิ้วและดินสอเขียนขอบตา
4 ) น้ำหอม
5 ) เบ็ดเตล็ด เช่น ครีมโกนหนวด ผ้าอนามัย ยาสีฟั น ฯลฯ

1.1 ความหมายสารเเละสมบัติของสาร
สมบัติของสาร หมายถึง ลักษณะประจำตัวของสารแต่ละชนิดซึ่งแตก
ต่างจากสารอื่น เช่น กระดาษติดไฟได้ แต่แม่เหล็กไม่ติดไฟ ออกซิเจน
อยู่ใสสถานะก๊าซที่อุณหภูมิและความดันปกติ แต่น้ำเป็ นของเหลว
น้ำส้มสายชูมีรสเปรี้ยวแต่น้ำมีรสจืด น้ำมีจุดเดือด 100 เซลเซียส แต่เอ
ธานอลมีจุดเดือด 78.5 องศาเซลเซียส สมบัติของสารแบ่งออกเป็ น 2
ประเภท
1. สมบัติทางกายภาพ หมายถึง ลักษณะภายนอกของสารที่ได้จากการ
สังเกตหรือทราบได้จากการทดลองง่าย ๆ เช่น สี กลิ่น รส จุดเดือด
จุดหลอมเหลว ความแข็ง การนำไฟฟ้ า การนำความร้อน ความหนา
แน่น ความถ่วงจำเพาะ ลักษณะผลึก เป็ นต้น
2. สมบัติทางเคมี เป็ นสมบัติที่ทราบได้โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงทาง
เคมี หรือเป็ นสมบัติที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงจากสารหนึ่งไปเป็ นสาร
อื่น ๆ เช่น เหล็กเป็ นสนิม ถ่านเมื่อเผาไหม้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
สังกะสีเมื่อทำปฏิกิริยากับกรดไฮโดรคลอริกได้ก๊าซไฮโดรเจน เป็ นต้น
ตัวอย่างเช่นถ้ากำหนดสมบัติของสารให้ สามารถจัดจำพวกได้หลายวิธี ซึ่ง
ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่กำหนด
โซเดียมคลอไรด์ (เกลือแกง)
มีสถานะเป็ นของแข็ง
สมบัติของสาร
1. ความสามารถในการนำไฟฟ้ า
- ไม่นำไฟฟ้ า
2. สี
- ขาว
3. การละลายน้ำ
- ละลายได้
4. ความเป็ นกรด-เบสของสารละลาย
- กลาง
แนพทาลีน (ลูกเหม็น)
มีสถานะเป็ นของแข็ง
สมบัติของสาร
1. ความสามารถในการนำไฟฟ้ า
-ไม่นำไฟฟ้ า
2. สี
-ขาว
3. การละลายน้ำ
-ไม่ละลายน้ำ
4. ความเป็ นกรด-เบสของสารละลาย
ทองแดง
มีสถานะเป็ นของแข็ง
สมบัติของสาร
1. ความสามารถในการนำไฟฟ้ า
-นำไฟฟ้ า
2. สี
-แดงส้ม
3. การละลายน้ำ
-ไม่ละลาย
4. ความเป็ นกรด-เบสของสารละลาย

เหล็ก
มีสถานะเป็ นของแข็ง
สมบัติของสาร
1. ความสามารถในการนำไฟฟ้ า
- นำไฟฟ้ า
2. สี
เทา
3. การละลายน้ำ
-ไม่ละลาย
4. ความเป็ นกรด-เบสของสารละลาย
ปรอท
มีสถานะเป็ นของเหลว
สมบัติของสาร
1. ความสามารถในการนำไฟฟ้ า
-นำไฟฟ้ า
2. สี
-เงิน
3. การละลายน้ำ
-ไม่ละลาย
4. ความเป็ นกรด-เบสของสารละลาย

จากสมบัติของสารสามารถจัดจำพวกสารได้หลายวิธีดังนี้
1. จัดสารในตารางเป็ นหมวดหมู่โดยใช้สถานะเป็ นเกณฑ์ สามารถแบ่ง
สารออกได้ 3 กลุ่ม ได้แก่
1. ของแข็ง ได้แก่ โซเดียมคลอไรด์ แคลเซียมคาร์บอเนต แนพทา
ลีน ทองแดง กำมะถัน โซเดียมไฮดรอกไซด์ พลาสติก และเหล็ก
2. ของเหลว ได้แก่ เอธานอล น้ำเกลือ น้ำเชื่อม ปรอท และ
โบรมีน
3. ก๊าซ ได้แก่ คลอรีน คาร์บอนไดออกไซด์ และไฮโดรเจน
2. จัดสารที่กล่าวมาข้างต้นเป็ นหมวดหมู่โดยใช้การนำไฟฟ้ าเป็ นเกณฑ์
สามารถแบ่งได้ 2 กลุ่ม คือ
1. สารที่ไม่นำไฟฟ้ า ได้แก่ โซเดียมคลอไรด์ แคลเซียม
คาร์บอเนต แนพทาลีน กำมะถัน เอธานอล คลอรีน โซเดียมไฮดรอก
ไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ พลาสติก ไฮโดรเจน น้ำเชื่อม และโบรมีน
2. สารที่นำไฟฟ้ า ได้แก่ ทองแดง น้ำเกลือ เหล็ก ปรอท
3. จัดสารที่กล่าวมาข้างต้นเป็ นหมวดหมู่โดยใช้สถานะและการนำไฟฟ้ า
เป็ นเกณฑ์ สามารถแบ่งสารออกได้ 5 กลุ่ม คือ
1. ของแข็งที่ไม่นำไฟฟ้ า ได้แก่ โซเดียมคลอไรด์ แคลเซียม
คาร์บอเนต แนพทาลีน กำมะถัน โซเดียมไฮดรอกไซด์ และพลาสติก
2. ของแข็งที่นำไฟฟ้ าได้ ได้แก่ ทองแดง และเหล็ก
3. ของเหลวที่นำไฟฟ้ าได้ ได้แก่ น้ำเกลือ และปรอท
4. ของเหลวที่ไม่นำไฟฟ้ า ได้แก่ เอธานอล น้ำเชื่อม และ
โบรมีน
5. ก๊าซที่ไม่นำไฟฟ้ า ได้แก่ คลอรีน คาร์บอนไดออกไซด์ และ
ไฮโดรเจน
4. จัดสารที่กล่าวมาข้างต้นเป็ นหมวดหมู่โดยอาศัยการละลายน้ำและ
ความเป็ นกรด-เบสของสารละลายเป็ นเกณฑ์ สามารถแบ่งสารออกได้
4 กลุ่ม คือ
1. สารที่ละลายน้ำได้และมีสมบัติเป็ นกลาง ได้แก่ โซเดียมคลอ
ไรด์ เอธานอล น้ำเกลือ และน้ำเชื่อม
2. สารที่ละลายน้ำได้และมีสมบัติเป็ นกรด ได้แก่ คลอรีน
คาร์บอนไดออกไซด์ และโบรมีน
3. สารที่ละลายน้ำได้และมีสมบัติเป็ นเบส ได้แก่ โซเดียมไฮดรอก
ไซด์
4. สารที่ไม่ละลายน้ำ ได้แก่ แคลเซียมคาร์บอเนต แนพทาลีน
ทองแดง กำมะถัน พลาสติก ไฮโดรเจน เหล็ก และปรอท

1.2 ประเภทของสารเเละการจำเเนกประเภทของสาร
การจำแนกประเภทของสาร
การจำแนกสารออกเป็ นหมวดหมู่ สามารถแบ่งได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับ
เกณฑ์ในการแบ่ง เช่น
>สถานะของสารเป็ นเกณฑ์ แบ่งออกเป็ น 3 ประเภท คือ
1. แก๊ส เช่น แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ แก๊สออกซิเจน เป็ นต้น
2. ของเหลว เช่น น้ำ น้ำเชื่อม เป็ นต้น
3. ของแข็ง เช่น โลหะ พลาสติก เป็ นต้น
>การนำไฟฟ้ าเป็ นเกณฑ์ แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ
1. สารที่นำไฟฟ้ าได้
2. สารที่ไม่นำไฟฟ้ า
>ลักษณะเนื้อสารเป็ นเกณฑ์ แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ
1. สารเนื้อเดียว
2. สารเนื้อผสม

สารเนื้อเดียว
สารเนื้อเดียว คือ สารที่มองเห็นเป็ นเนื้อเดียว และถ้าตรวจสอบสมบัติ
ของสารจะเหมือนกันทุกส่วน อาจมีองค์ประกอบเดียว หรือหลายองค์
ประกอบ แบ่งเป็ นสารบริสุทธิ์และสารละลาย
1. สารบริสุทธิ์ เป็ นสารที่มีองค์ประกอบเพียงชนิดเดียว ได้แก่
ธาตุและสารประกอบ ซึ่งก็คือ สารที่เกิดจากองค์ประกอบมากกว่าหนึ่ง
ชนิด แต่มีอัตราส่วนโดยมวลของสารที่เป็ นองค์ประกอบ
- ธาตุ = ตะกั่ว ทองคำ เงิน แก๊สออกซิเจน เหล็ก แก๊ส
ไนโตรเจน เป็ นต้น ซึ่งธาตุแบ่งเป็ นโลหะ (เช่น เหล็ก ทองคำ เงิน) อโลหะ
(เช่น แก๊สออกซิเจน แก๊สไนโตรเจน) กึ่งโลหะ (เช่น อะลูมิเนียม)
- สารประกอบ = น้ำตาลทราย เกลือแกง น้ำ กรดเกลือ
เป็ นต้น
น้ำตาลทราย น้ำ

2. สารละลาย เป็ นของผสมเนื้อเดียว มีอัตราส่วนโดยมวลของ


สารที่เป็ นองค์ประกอบไม่คงที่ องค์ประกอบของสารละลาย มี 2 ส่วน คือ
1. ตัวทำละลาย คือ สารที่มีปริมาณมากที่สุดในสารละลาย
(กรณีสถานะองค์ประกอบเหมือนกัน) หรือเป็ นสารที่มีสถานะเดียวกับ
สารละลาย (กรณีสถานะองค์ประกอบต่างกัน)
2. ตัวละลาย คือ สารที่มีปริมาณอยู่น้อยในสารละลาย หรือมี
สถานะต่างจากสารละลาย เช่น
- น้ำเกลือ เป็ นสารละลาย ประกอบด้วยน้ำและเกลือ
พิจารณา น้ำเกลือ มีสถานะเป็ นของเหลว และน้ำก็มีสถานะเป็ นของเหลว
ดังนั้น น้ำจึงเป็ นตัวทำละลาย ส่วนเกลือ เป็ นของแข็ง จึงเป็ นตัวละลาย
-อากาศ เป็ นสารละลาย ประกอบด้วย
1) แก๊สไนโตรเจน ประมาณ 78%
2) แก๊สออกซิเจน ประมาณ 21%
3) แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สเฉื่อย 1%
พิจารณา อากาศมีองค์ประกอบสถานะเดียวกัน คือ แก๊ส
จึงต้องดูปริมาณสารที่เป็ นองค์ประกอบ ดังนั้น แก๊สไนโตรเจน เป็ นตัวทำ
ละลาย (มีปริมาณมากกว่า) ส่วนแก๊สออกซิเจน แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
และแก๊สเฉื่อยเป็ นตัวละลาย

ข้อควรทราบ
ตัวทำละลาย จะมีเพียงองค์ประกอบเดียว แต่ตัวละลาย
สามารถมีหลายองค์ประกอบ
สารละลาย คือ ตัวทำละลาย + ตัวละลาย
ตารางแสดงตัวอย่าง
สารละลายชนิดต่างๆ
สารละลาย สถานะ ตัวทำละลาย ตัวละลาย
1. ทองเหลือง ของแข็ง สังกะสี สังกะสี
2. เหรียญบาท ของแข็ง ทองแดง ทองแดง
3. เหล็กกล้า ของแข็ง เหล็ก เหล็ก
4. นาก ของแข็ง ทองแดง ทองแดง
5. ฟิ วส์ ของแข็ง บิสมัท บิสมัท
6. น้ำเกลือ ของเหลว น้ำ น้ำ
7. น้ำเชื่อม ของเหลว น้ำ น้ำ
8. น้ำโซดา ของเหลว น้ำ น้ำ
9. แอลกอฮอล์ ของเหลว เอทานอล เอทานอล
10. ทิงเจอร์ ของเหลว เอทานอล เอทานอล
ไอโอดีน
11. อากาศ แก๊ส แก๊สไนโตรเจน แก๊สไนโตรเจน
12. แก๊สหุงต้ม แก๊ส โพรเพน
สารเนื้อผสม
สารเนื้อผสม คือ สารที่มีองค์ประกอบมากกว่าหนึ่งส่วน สารที่
มองไม่เป็ นเนื้อเดียวหรือองค์ประกอบเดียว แต่จะสามารถเห็นเป็ น 2 องค์
ประกอบขึ้นไป
- สารเนื้อผสม แบ่งเป็ น คอลลอยด์ และสารแขวนลอย
- สารผสม แบ่งเป็ น สารละลาย คอลลอยด์ และสาร
แขวนลอย
- สารแขวนลอย คือ สารผสมที่ประกอบด้วยสารที่อนุภาค
มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่า เซนติเมตร กระจายอยู่ในสารที่เป็ น
ตัวกลางอีกชนิดหนึ่ง เมื่อทิ้งไว้จะตกตะกอน สามารถที่จะแยกอนุภาคใน
สารแขวนลอยได้โดยการใช้กระดาษกรอง
- คอลลอยด์ คือ สารผสมที่ประกอบด้วยสารที่อนุภาคมี

เส้นผ่านศูนย์กลางระหว่าง - เซนติเมตร กระจายอยู่ในสารที่


เป็ นตัวกลางอีกชนิดหนึ่ง สามารถที่จะแยกอนุภาคในคอลลอยด์ออกจาก
ตัวกลางได้โดยการใช้กระดาษเซลโลเฟนเท่านั้น ไม่สามารถใช้กระดาษ
กรองในการแยกอนุภาคได้เนื่องจากอนุภาคของคอลลอยด์มีขนาดเล็ก
กว่ารูของกระดาษกรอง

สรุปข้อแตกต่างระหว่างสารผสมกับสารเนื้อผสม
ข้อแตกต่างระหว่างสารผสมกับสารเนื้อผสม คือ สารผสมมีองค์
ประกอบตั้งแต่ 2 ส่วนขึ้นไป ซึ่งอาจจะมองเห็นเพียงส่วนเดียวหรือหลาย
ส่วนก็ได้ (ส่วนเดียว คือ มองเห็นเป็ นเนื้อเดียว ได้แก่ สารละลาย หลาย
ส่วน คือ มองเห็นเป็ นเนื้อผสม ได้แก่ คอลลอยด์ และสารแขวนลอย)
- สารผสม ต่างก็เป็ นสารไม่บริสุทธิ์ มีความแตกต่างกันใน
เรื่องขนาดของอนุภาค
- สารแขวนลอย มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของอนุภาค
มากกว่า เซนติเมตร

ตัวอย่างสารแขวนลอย

- คอลลอยด์ มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของอนุภาคอยู่

ระหว่าง - เซนติเมตร
ตัวอย่างคอลลอยด์
- สารละลาย มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของอนุภาคเล็กกว่า

เซนติเมตร

# วิธีการตรวจสอบสารผสมทั้ง 3 ชนิด ทำได้หลายวิธี ดังนี้


วิธีที่ 1
ตั้งสารตัวอย่างที่ต้องการตรวจสอบไว้ แล้วถ้าตกตะกอนก็
แสดงว่า สารตัวอย่างนั้นเป็ นสารแขวนลอย (อนุภาคขนาดใหญ่ มวลจึง
มาก ทำให้ตกตะกอน)
วิธีที่ 2
ทดสอบโดยใช้วิธีการกรองผ่านกระดาษกรองและกระดาษ
เซลโลเฟน ซึ่งกระดาษกรองสามารถกรองสารที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่
กว่า เซนติเมตรขึ้นไป และกระดาษเซลโลเฟนซึ่งสามารถกรองสารที่มี
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่กว่า เซนติเมตร

#สรุปผลการทดสอบ
1. สารแขวนลอย ไม่สามารถผ่านทั้งกระดาษกรองและกระดาษ
เซลโลเฟนได้ (อนุภาค > เซนติเมตร)
2. คอลลอยด์ ผ่านกระดาษกรองได้ แต่ไม่สามารถผ่านกระดาษ
เซลโลเฟนได้ (เซนติเมตร > อนุภาค > เซนติเมตร)
3. สารละลาย ผ่านได้ทั้งกระดาษกรองและกระดาษเซลโลเฟน
(อนุภาค < เซนติเมตร)

ข้อควรทราบ
คอลลอยด์มีลักษณะพิเศษกว่าสารผสมประเภทอื่นๆ คือ
สามารถเกิด "ปรากฏการณ์ทินดอลล์ (Tyndall Effect)"
ปรากฏการณ์ทินดอลล์ ค้นพบโดย จอห์น ทินดอลล์ (John Tyndall) นัก
วิทยาศาสตร์ชาวไอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2412
ปรากฏการณ์ทินดอลล์ คือ แสงกระทบอนุภาคของคอลลอยด์จะเกิด
การกระเจิงแสง ทำให้มองเห็นเป็ นลำแสงในคอลลอยด์นั้น โดยแสงไม่
สามารถทะลุผ่านคอลลอยด์ได้
# ประเภทของคอลลอยด์
1. เจล (gel) เป็ นคอลลอยด์ที่เกิดจากสารที่มีสถานะเป็ น
ของแข็ง เป็ นสารที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ซึ่งกระจายอยู่ในสารที่เป็ น
ตัวกลางที่มีสถานะเป็ นของเหลว และมักจะมีลักษณะที่มีความเหนียว
หนืด เช่น กาวลาเท็กซ์ แป้ งเปี ยก แยมผลไม้ต่างๆ เยลลี่ เป็ นต้น
2. โฟม (foam) เป็ นคอลลอยด์ที่อาจเกิดจากแก๊สที่กระจายอยู่
ในของแข็งและของเหลวได้
- แก๊สที่กระจายอยู่ในของแข็ง เช่น ขนมสาลี่ ฟองน้ำที่ใช้
สำหรับถูตัว เป็ นต้น
- แก๊สที่กระจายอยู่ในของเหลว เช่น ฟองเบียร์ ฟองจากผง
ซักฟอก ฟองจากโฟมล้างหน้า เป็ นต้น
3. แอโรซอล (aerosol) เป็ นคอลลอยด์ที่อาจจะเกิดจากสารที่มี
สถานะเป็ นของแข็งหรือของเหลวที่กระจายอยู่ในแก๊สได้
- ของแข็งที่กระจายอยู่ในแก๊ส เช่น ฝุ่นละอองที่กระจายอยู่
ในอากาศ กลุ่มควัน เป็ นต้น
- ของเหลวที่กระจายอยู่ในแก๊ส เช่น สเปรย์ปรับอากาศ ยา
ฆ่าแมลงชนิดสเปรย์ เป็ นต้น
4. อิมัลชัน (emulsion) เป็ นคอลลอยด์ที่เกิดจากสารที่มี
สถานะเป็ นของเหลว และไม่รวมกันเป็ นเนื้อเดียว ถูกทำให้รวมกันโดย
การเติมสารที่เป็ นอิมัลซิฟายเออร์ ซึ่งเป็ นตัวประสานให้ของเหลวทั้งสอง
รวมตัวกัน เกิดเป็ นสารที่เรียกว่า อิมัลชัน เช่น
- น้ำมันผสมกับน้ำ มีน้ำสบู่เป็ นอิมัลซิฟายเออร์
- น้ำสลัด (น้ำมันพืช น้ำส้มสายชู) มีไข่แดงเป็ นอิมัลซิฟาย
เออร์

ข้อควรทราบ
- ของเหลวที่ไม่รวมตัวกัน มารวมตัวกันได้ เรียกว่า อิมัลชัน
(emulsion)
- สารที่ทำให้เกิดการประสานรวมกัน เรียกว่า อิมัลซิฟายเอ
อร์ (emulzifier)
5. ซอล (sol) เป็ นคอลลอยด์ที่เกิดจากสารที่มีสถานะเป็ น
ของแข็ง มีโมเลกุลขนาดเล็กกระจายอยู่ในสารที่เป็ นตัวกลางที่มีสถานะ
เป็ นของเหลว เช่น น้ำแป้ ง น้ำอบไทย เป็ นต้น

แผนผังแสดงประเภทของสาร

การตรวจสอบสารบริสุทธิ์และสารละลาย
วิธีที่ 1
นำสารไประเหย โดยการให้ความร้อน (การระเหย คือ การ
ทำให้สารเปลี่ยนสถานะจากของเหลวกลายเป็ นแก๊ส)
ผลที่เกิดขึ้น ถ้ามีของแข็งเหลืออยู่แสดงว่า มีองค์ประกอบ 2 ส่วนขึ้นไป
โดยมีสถานะแตกต่างกัน (ของแข็งในของเหลว) แสดงว่าเป็ นสารละลาย
ผลที่เกิดขึ้น ถ้าไม่มีสารใดเหลืออยู่ แสดงว่า อาจเป็ นสารบริสุทธิ์ที่มีองค์
ประกอบเดียวหรือเป็ นสารละลายที่มีองค์ประกอบสถานะเดียวกัน
(ของเหลวทั้งตัวทำละลายและตัวละลาย) ดังนั้น จึงสรุปไม่ได้ว่าเป็ นสาร
ประเภทใด
วิธีที่ 2
นำสารที่ต้องการตรวจสอบไปหาจุดเดือด (สารนั้นต้องเป็ น
ของเหลว)
ผลที่เกิดขึ้น หากจุดเดือดคงที่ สารนั้นคือสารบริสุทธิ์ แต่ถ้าจุดเดือดของ
สารนั้นไม่คงที่ สารนั้นคือ
สารละลาย ซึ่งเมื่อนำอุณหภูมิกับเวลามาเขียนกราฟจะเห็นความแตกต่าง
ดังนี้

วิธีที่ 3
ถ้าสารที่นำมาตรวจสอบเป็ นของแข็ง มีวิธีการตรวจสอบ คือ
นำไปหาจุดหลอมเหลว (จุดหลอมเหลว การเปลี่ยนสถานะของสารจาก
ของแข็งเป็ นของเหลว ช่วงการหลอมเหลวคืออุณหภูมิตั้งแต่เริ่มละลายจน
สารนั้นละลายหมด)
ผลที่เกิดขึ้น
1) ช่วงการหลอมเหลวกว้าง สารนั้นเป็ นสารละลาย
2) ช่วงการหลอมเหลวแคบ สารนั้นเป็ นสารบริสุทธิ์

1.3 การเเยกสารเนื้อผสม เเละสารเนื้อเดียว


การแยกสารเนื้อเดียวและสารเนื้อผสม
การแยกสาร หมายถึง การที่แยกสารที่ผสมกันตั้งแต่ ๒ ชนิดขึ้นไปออก
จากกัน เพื่อนำสารที่ได้นั้นไปใช้ประโยชน์ตามต้องการ ซึ่งสามารถจำแนก
ได้คือ การแยกสารเนื้อผสม และการแยกสารเนื้อเดียว
สารเนื้อผสม หมายถึง สารที่มีลักษณะเนื้อสารไม่ผสมกลมกลืนกันเป็ น
เนื้อเดียวกันเกิดจาก
สารอย่างน้อย 2 ชนิดขึ้นไปมาผสมกันโดยเนื้อสารจะแยกกันเป็ นส่วน ๆ
การแยกสารเนื้อผสมอาจใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น การกรอง การใช้กรวยแยก
การใช้อำนาจแม่เหล็ก การระเหิด การระเหยจนแห้ง ซึ่งเป็ นการแยกสาร
โดยวิธีทางกายภาพทั้งสิ้น สารที่แยกได้จะมีสมบัติเหมือนเดิม
1. การกรอง
เป็ นวิธีการแยกสารออกจากกันระหว่างของแข็งกับของเหลว หรือใช้แยก
สารแขวนลอยออกจากน้ำ ซึ่งใช้กันมากในทางเคมี โดยเฉพาะในห้อง
ปฏิบัติการที่กรองสารในปริมาณน้อย ๆ การกรองนั้นจะต้องเทสารผ่าน
กระดาษกรอง อนุภาคของแข็งที่ลอดผ่านรูกระดาษกรองไม่ได้จะอยู่บน
กระดาษกรอง ส่วนน้ำและสารที่ละลายน้ำได้จะผ่านกระดาษกรองลงสู่
ภาชนะ
2. การใช้กรวยแยก
เป็ นวิธีที่ใช้แยกสารเนื้อผสมที่เป็ นของเหลว 2 ชนิดที่ไม่ละลายออกจาก
กัน โดยของเหลวทั้งสองนั้นแยกเป็ นชั้นเห็นได้ชัดเจน เช่น น้ำกับน้ำมัน
เป็ นต้น การแยกโดยวิธีนี้จะนำของเหลวใส่ในกรวยแยก แล้วไขของเหลว
ที่อยู่ในชั้นล่างซึ่งมีความหนาแน่นมากกว่าชั้น
บนออกสู่ภาชนะจนหมด แล้วจึงค่อย ๆ ไขของเหลวที่ที่เหลือใส่ภาชนะ
ใหม่
3. การใช้อำนาจแม่เหล็ก
เป็ นวิธีที่ใช้แยกองค์ประกอบของสารเนื้อผสมซึ่งองค์ประกอบหนึ่งมีสมบัติ
ในการถูกแม่เหล็กดูดได้ เช่น ของผสมระหว่างผงเหล็กกับผงกำมะถัน
โดยใช้แม่เหล็กถูไปมาบนแผ่นกระดาษที่วางทับของผสมทั้งสอง แม่เหล็ก
จะดูดผงเหล็กแยกออกมา
4. การระเหิด
คือ ปรากฏการณ์ที่สารเปลี่ยนสถานะจากของแข็งกลายเป็ นก๊าซหรือไอ
โดยไม่เปลี่ยนสถานะเป็ นของเหลวก่อน ใช้แยกสารเนื้อผสมที่เป็ นของแข็ง
ออกจากกัน โดยของแข็งชนิดหนึ่งมีสมบัติระเหิดได้ เช่น ลูกเหม็น พิมเสน
น้ำแข็งแห้ง การบูรกับเกลือแกง เมื่อให้ความร้อนการบูรจะกลายเป็ นไอ
แยกออกจากเกลือแกง ดักไอของการบูรด้วยภาชนะที่เย็นจะได้การบูร
เป็ นของแข็งแยกออกมา
5. การใช้มือหยิบออกหรือเขี่ยออก
ใช้แยกของผสมเนื้อผสม ที่ของผสมมีขนาดโตพอที่จะหยิบออกหรือเขี่ย
ออกได้ เช่น ข้าวสารที่มีเมล็ดข้าวเปลือกปนอยู่
6. การตกตะกอน
ใช้แยกของผสมเนื้อผสมที่เป็ นของแข็งแขวนลอยอยู่ในของเหลว ทำได้
โดยนำของผสมนั้นวางทิ้งไว้ให้สารแขวนลอยค่อย ๆ ตกตะกอนนอนก้น
ในกรณีที่ตะกอนเบามากถ้าต้องการให้ตกตะกอนเร็วขึ้นอาจทำได้โดย ใช้
สารตัวกลางให้อนุภาคของตะกอนมาเกาะ เมื่อมีมวลมากขึ้น น้ำหนักจะ
มากขึ้นจะตกตะกอนได้เร็วขึ้น เช่น ใช้สารส้มแกว่ง อนุภาคของสารส้มจะ
ทำหน้าที่เป็ นตัวกลางให้โมเลกุลของสารที่ต้องการตกตะกอนมาเกาะ
ตะกอนจะตกเร็วขึ้น

การแยกสารเนื้อเดียว

สารเนื้อเดียว เป็ นสารทีเกิดขึ้นโดยทั่วไป มองเห็นเป็ นเนื้อเดียวกันโดย


ตลอด แบ่งเป็ นพวก ได้แก่ ธาตุ สารละลาย และสารประกอบ ในการแยก
สารเนื้อเดียวที่อยู่ในรูปของสารละลายนั้น สามารถทำได้โดยวิธีการดังต่อ
ไปนี้
1. การระเหยจนแห้ง
ใช้ในกรณีที่ตัวถูกละลายเป็ นของแข็งและตัวทำละลายเป็ นของเหลว หรือ
ของแข็งละลายในของเหลว เช่น เมื่อนำเกลือแกงซึ่งเป็ นของแข็งมา
ละลายในน้ำจะได้ของผสมเนื้อเดียวกัน เรียกว่า สารละลายเกลือแกง ใน
กรณีที่เราต้องการแยกเกลือแกงและน้ำออกจากสาระลายเกลือแกงทำได้
โดยการนำสารดังกล่าวมาให้ความร้อน เพื่อระเหยตัวละลาย ในที่นี้คือน้ำ
ออกไป สิ่งที่เหลืออยู่ในภาชนะคือตัวถูกละลาย ที่เป็ นของแข็งในที่นี้คือ
เกลือแกง
2. โครมาโตกราฟี (Chromatography)
เป็ นเทคนิคการแยกสารเนื้อเดียวออกจากกันให้เป็ นสารบริสุทธิ์ โดยอาศัย
หลักการที่ว่า "สารแต่ละชนิดมีความสามารถในการละลายต่างกัน และ
ถูกดูดซับต่างกัน จึงทำให้สารแต่ละชนิดแยกออกจากกันได้" ดังนั้นการ
แยกสารด้วยเทคนิคโครมาโตกราฟี จึงต้องอาศัยสมบัติของสารดังนี้
2.1 สารต่างชนิดกันมีความสามารถในการละลายในตัวทำละลายชนิด
เดียวกันได้ดี ไม่เท่ากัน สารที่ละลายได้ดีจะเคลื่อนที่ไปได้เร็ว
2.2 สารต่างชนิดกันถูกดูดซับโดยตัวดูดซับได้ดีไม่เท่ากันสารที่ถูกดูดซับได้
ดีจะเคลื่อนที่ได้ช้า
2.3 สารที่ละลายในตัวทำละลายได้ดี และถูกดูดซับน้อยจะเคลื่อนที่ได้เร็ว
ไปได้ไกล
2.4 สารที่ละลายในตัวทำละลายได้น้อยและถูกดูดซับมากจะเคลื่อนที่ช้า
ไปได้ไม่ไกล
ประโยชน์ของโครมาโตกราฟี
1. ใช้ในการแยกสารเนื้อเดียวที่มีส่วนผสมหลาย ๆ ชนิด ให้ได้เป็ นสาร
บริสุทธิ์
2. ใช้ในการวิเคราะห์หาปริมาณและชนิดของสาร
3. ใช้ทดสอบหรือแยกสารตัวอย่างที่มีปริมาณน้อย ๆ ได้
4. ใช้แยกสารได้ทั้งสารที่มีสีและไม่มีสี
3. การกลั่น
เป็ นกระบวนการที่ทำให้ของเหลวได้รับความร้อนจนกลายเป็ นไอ ทำให้
แยกตัวทำละลายและตัวถูกละลายที่ต่างก็เป็ นของเหลวออกจากกันได้โโย
อาศัยความแตกต่างกันของจุดเดือด การกลั่นจะใช้ได้ผลต่อเมื่อตัวทำ
ละลายและตัวถูกละลายเดือดที่อุณหภูมิต่างกันค่อนข้างมาก(ต่างกันอย่าง
น้อย 20 ๐ C) เช่น การแยกน้ำจากน้ำทะเล การแยกน้ำจากน้ำคลอง การ
แยกน้ำจากน้ำเกลือ หรือน้ำเชื่อม เป็ นต้น
4. การตกผลึก
เป็ นกระบวนการแยกของแข็งที่ละลายในตัวทำละลายที่เป็ นของเหลว
โดยทำให้สารละลายอิ่มตัวที่อุณหภูมิสูง แล้วปล่อยให้สารละลายเย็นลง
ของแข็งจะตกผลึกออกมา

1.4 การเเยกสารที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
การแยกสารเป็ นการ
1. การกรอง เป็ นการแยกสารเนื้อผสมด้วยกระบวนการแยกของแข็งที่ไม่
ละลายในของเหลวออกจากของเหลว
2. การกลั่น
3. การระเหิด
4. การสกัดด้วยตัวทำลาย
สารรอบตัวมีสถานะของแข็ง ของเหลวและก๊าซ สารบางชนิดถ้าสังเกต
ด้วยตาเปล่า จะมองเห็นเป็ นสารเนื้อเดียวกัน เช่น สารละลายไอโอดีน
สารบางชนิดถ้ามองด้วยตาเปล่าจะสามารถเห็นเนื้อสารแยกออกมาอย่าง
ชัดเจน เช่น ขมิ้นกับปูน แต่สารบางชนิดไม่สามารถใช้การสังเกตด้วยตา
เปล่าแยกเนื้อสารได้
วิธีในการแยกสารส่วนมากที่ใช้กัน ได้แก่ การกลั่น การสกัดโดยการกลั่น
ด้วยไอน้ำ การสกัดด้วยตัวทำละลาย วิธีโครมาโทรกราฟี การตกผลึก
การกรอง การใช้กรวยแยก การระเหยแห้ง
วิธีการแยกสาร
การระเหย (Evaporation) ใช้กับสารละลายที่มีของแข็งที่ระเหยยาก อยู่
ในตัวทำละลายที่ระเหยง่าย สามารถแยกออกโดยใช้ความร้อน ดังนี้ คือ
ให้ความร้อนกับสานละลายโดยไม่ต้องควบคุมอุณหภูมิ เมื่อสารละลาย
งวดลง ต้องหยุดให้ความร้อนแล้วปล่อยให้สารละลายนั้นแข็งตัวตกผลึก
การตกผลึก (Crystallization) เป็ นวิธีการที่ทำให้สารบริสุทธ์วิธีหนึ่งที่ใช้
กัน เพราะของแข็งแต่ละชนิดมีความสามารถในการละลาย ณ อุณหภูมิ
หนึ่งไม่เท่ากัน เมื่อสารใดถึงจุดอิ่มตัวก่อนสารนั้นจะตกผลึกออกมาก่อน
จึงควรเลือกตัวทำละลายให้เหมาะสมกับสารนั้น นั่นคือควรละลายสาร
ผสมให้ได้มากที่สุดในตัวทำละลายที่ร้อน จากนั้นทำให้เย็นแล้วจึงนำไป
กรองด้วยกระดาษกรอง
การกรอง (Filltration) เป็ นวิธีแยกสารที่เป็ นของแข็งที่ไม่ละลายใน
ของเหลวโดยใช้ กระดาษกรองในการแยกสารละลาย
การกลั่น (Distillation) เป็ นกระบวนการที่ทำให้ของเหลวที่ประกอบด้วย
ตัวทำละลายและตัวถูกละลายได้รับความร้อนจนกลายเป็ นไอ เมื่อกระทบ
กับความเย็นจะเกิดการเปลี่ยนสถานะกลายเป็ นของเหลว การเปลี่ยน
สถานะของสารจากก๊าซกลายเป็ นของเหลว เรียกว่า การควบแน่น ทำให้
แยกตัวทำละลายและตัวถูกละลายที่เป็ นของเหลวออกจากกันโดยอาศัย
ความแตกต่างของจุดเดือด การกลั่นจะใช้ได้ผลเมื่อตัวทำละลายและตัว
ถูกละลายเดือดที่อุณหภูมิต่างกันค่อนข้างมาก
ปั จจุบัน ได้มีการณรงค์ในเรื่องการนำสารหรือผลิตภัณฑ์พื้นบ้านมาใช้
ประโยชน์ เช่น พืชสมุนไพรบางชนิดได้แก่ ขิง ข่า เป็ นต้น เพื่อประหยัด
การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ
การสกัดด้วยตัวทำละลาย (Solvent Extration) ใช้แยกสารเนื้อเดียวที่
เป็ นของแข็งกับของแข็ง หรือของเหลวกับของเหลวได้โดยอาศัยสมบัติ
การละลายเป็ นตัวสำคัญ ดังนั้นจึงต้องเลือกตัวทำละลายให้เหมาะสม เพื่อ
สกัดสารที่ต้องการให้ได้มากที่สุด และสกัดสารที่ไม่ต้องการให้ได้น้อยที่สุด
การสกัดโดยการกลั่นด้วยไอน้ำ(Steam Distilation) สารที่ต้องการสกัด
ต้องระเหยได้ง่าย สามารถให้ไอน้ำพาออกมาได้ สารที่สกัดได้ต้องไม่รวม
เป็ นเนื้อเดียวกับน้ำหรือต้องไม่ละลายน้ำ ถ้ารวมกับน้ำต้องเสียเวลากลั่น
อีก สารที่กลั่นได้จะอยู่รวมกับน้ำเป็ น 2 ชั้น แยกออกได้โดยใช้กรวยแยก
โครมาโทรการฟี (Chromatography) เป็ นเทคนิคอย่างหนึ่งที่ใช้แยกสาร
ผสมออกจากกันให้บริสุทธิ์ เทคนิคนี้เริ่มใช้ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2449 โดย
นักพฤกษศาสตร์ชาวรัสเซีย ชื่อมิเชล สเวต คำว่า โครมาโทกราฟี หมาย
ถึงการแยกสีที่ผสมออกจากกัน แต่ปั จจุบันสามารถพัฒนามาใช้แยกสาร
ไม่มีสีได้ และใช้ได้แม้สารนั้นมีเพียงเล็กน้อย
หลักการสำคัญของโครมาโทรการฟี คือ สารใดในของผสมละลาย
ในตัวทำละลายที่ใช้ได้ดีจะเคลื่อนที่ไปกับตัวทำละลายได้ไกล หรือดูดซับ
ไว้ได้มากหรือได้ดี ระยะทางการเคลื่อนที่ของตัวถูกละลายแต่ละชนิดกับ
ระยะทางการเคลื่อนที่ของตัวทำละลายที่เท่ากัน เมื่อนำม า
เปรียบเทียบในแต่ละชนิดของตัวถูกละลายจะเห็นความแตกต่างกัน
อัตราส่วนที่ได้เรียกว่า Rate of Flow Values หรือย่อว่า Rf
คำว่า Rf ขึ้นอยู่กับชนิดของตัวทำละลาย ชนิดของตัวดูดซับ สภาวะ เช่น
อุณหภูมิ ความกดดัน ความชื้นในอากาศ ความสามรถในการละลายของ
สารบริสุทธ์กับตัวทำละลายที่นำมาใช้ค่า Rf ของสารชนิดหนึ่งในตัวทำ
ละลายอย่างหนึ่งมีค่าคงที่ ดังนั้น เมื่อระบุ Rf ของสารใดต้องบอกชนิด
ของตัวทำละลายที่ใช้และภาวะที่ใช้ด้วย
ถ้าองค์ประกอบที่เคลื่อนที่บนตัวดูดซับ เคลื่อนที่ไปได้เท่า ๆ กันหรือ ใกล้
เคียงกันต้องแก้ไขโดยเพิ่มระยะทางให้ไกลออกไปจากจุดเริ่มต้นหรือ
เปลี่ยนตัวทำละลายใหม่ เมื่อแบ่งเทคนิคโครมาโทรกราฟตามลักษณะตัว
ดูดซับและตัวทำละลายมี 4 แบบคือ
1) โครมาโทรการาฟี แบบกระดาษ
2) โครมาโทรการาฟแบบหลอดแก้วหรือแบบคอลัมน์
3) โครมาโทรการาฟี แบบเยื่อบาง
4) โครมาโทรการาฟแบบก๊าซ - ของเหลว
วิธีโครมาโทรกราฟี ใช้ประโยชน์ทั้งทางปริมาณวิเคราะห์ และคุณภาพ
วิเคราะห์ในกรณีที่ใช้กับสารไม่มีสี อาจตรวจดดยส่องด้วยรังสีอัลตราไวดอ
เลต (UV) ถ้าสารนั้นเรืองแสงหรือพ่นด้วยไอดอดีนบนตัวดูดซับในภาชนะ
ปิ ด สารบางชนิดเมื่อถูกไอโอดีนจะให้สีน้ำตาลหรือพ่นนินไฮอดริน
(Ninhydrin) ถ้าสารนั้นมีกรดอะมิโนจะได้สีน้ำเงินปนม่วง
ข้อดีของเทคนิคโครมาโทรกราฟี
ใช้แยกสารตัวอย่างที่มีปริมาณน้อยได้โดยใช้ตัวดูดซับ
ใช้ได้ทั้งปริมาณวิเคราะห์ และคุณภาพวิเคราะห์ได้
แยกได้ทั้งสารมีสีและสารไม่มีสี
เมื่อนักเรียนได้ศึกษาวิธีการแยกสารดังกล่าว นักเรียนจะพบว่าการแยก
สารแต่ละวิธีอาศัยสมบัติของสารแต่ละชนิดเป็ นสำคัญ หากเรามีสารรอบ
ตัวมากมาย ที่เป็ นประโยชน์หรืออาจก่อให้เกิดโทษต่อมนุษย์และสิ่ง
แวดล้อม ถ้าเราได้นำความรู้ในเรื่องการแยกสารมาใช้ให้ถูกวิธีและเหมาะ
สม เราก็สามารถได้สารที่เป็ นประโยชน์มาใช้ในชีวิตประจำวัน และคัด
เลือกสารที่ไม่ต้องการหรืออาจก่อให้เกิดโทษต่อมนุษย์ และสิ่งแวดล้อม
โดยอาศัยวิธีการแยกสารได้

ศึกษาค้นคว้าจาก https://sites.google.com/site/.../khaa.../bth-
thi-2-sar-ni-chiwit-praca-wan

You might also like