Professional Documents
Culture Documents
RAM1103 À À À À À À À ¡À
RAM1103 À À À À À À À ¡À
คณาจารย์ผู้เรียบเรียงเอกสารหวังใจว่าเอกสารชุดนี้จะเป็ นประโยชน์ในการเรียนการ
สอน และจะมุ่งปรับปรุงให้เป็ นตาราทีส่ มบูรณ์ ต่อไป เพื่อเสริมสร้างความเป็ น Smart Student
ของนั ก ศึก ษามหาวิท ยาลัย รามค าแหงเคีย งข้า งไปกับ ความเป็ นเลิศ ทางวิช ากา รของ
มหาวิทยาลัยสืบต่อไป
ัย
ยาล
คณาจารย์ผบู้ รรยายกระบวนวิชา RAM1103
วิท
หา
ภาษาไทยเพือ่ การสือ่ สารในการทางาน (Thai for Communication at Work)
างม
ากท
า ตจ
นุญ
ับอ
ด้ร
ย ไม่ไ
ร่โด
แพ
เผย
รือ
ยห
น่า
์จําห
ิมพ
มพ
ห้า
RAM 1103
ัย
ยาล
ทัง้ นี้ภาษาทุกภาษาจะต้องประกอบขึ้นมาจากเสียงและความหมาย (ปราณี กุลละวณิชย์และ
วิท
คณะ, 2537, หน้า78) อย่างไรก็ตามแม้ภาษาจะประกอบขึ้นมาจากเสียงและความหมาย แต่
หา
จะต้องผ่านมาถึงกระบวนการสร้างคาเสียก่อน จึงจะมีความหมายขึ้นได้ ดังเช่นในภาษาไทย
างม
ถ้าเราเปล่งเสียงพยัญชนะ ก ออกมา พยัญชนะ ก ยังไม่มคี วามหมาย เนื่องจากเป็ นการเปล่ง
ากท
เสียงเท่านัน้ ผูท้ ไ่ี ด้ยนิ ยังไม่สามารถตีความหรือทาความเข้าใจได้ว่าคือเสียงอะไร แต่เมื่อผูพ้ ดู
ได้น าเสีย งพยัญ ชะ ก ที่เ ปล่ ง ออกมานั น้ ประสมกับ สระและวรรณยุ ก ต์ ซึ่ง ในที่น้ี ส ระใน
ตจ
ภาษาไทยมีทงั ้ สิน้ 21 รูป 32 เสียง ส่วนวรรณยุกต์มี 5 เสียง คือสามัญ เอก โท ตรี จัตวา แต่
า
นุญ
เราเลือกใช้สระเพียงรูปเดียว เสียงเดียว เช่น สระ -า (สระอา) และวรรณยุกต์เพียงเสียงเดียว
ับอ
เช่นกัน คือ เสียงสามัญหรือเสียงวรรณยุกต์ท่ไี ม่ออกเสียงใดใด เมื่อนาเสียงพยัญชนะ ก มา
ด้ร
อีก า จะเห็น ได้ ว่ า ภาษาจึง เกิด มาจากการเปล่ ง เสีย งและเข้า สู่ ก ระบวนการสร้ า งค า มี
รือ
ประเภทของภาษา
์จําห
2 RAM 1103
วัจนภาษา
วัจนภาษา (Verbal Language) คือ ภาษาที่ใช้ส่อื สารโดยแสดงผ่านทางภาษาพูดหรือ
ภาษาเขียน ส่วนใหญ่มกั เป็ นการใช้ถอ้ ยคาการพูดและและการเขียนทีม่ นุษย์ได้ตกลงร่วมกันว่า
จะใช้ในสังคม รวมทัง้ ในชีวติ ประจาวัน ทัง้ นี้วจั นภาษาในสังคมไทยยังมีความสัมพันธ์กบั ระดับ
ของภาษาด้วย เนื่องจากภาษาไทยเป็ นภาษาทีม่ รี ะดับการใช้ให้เหมาะสมกับบุคคล กาลเทศะ
ัย
ยาล
และสถานการณ์ การสื่อสารด้วยถ้อยคาที่เป็ นภาษาพูดหรือภาษาเขียนจึงต้องมีระเบียบแห่ง
วิท
การใช้ภาษาทีส่ อดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ดว้ ย ตัวอย่างวัจนภาษาผ่านภาษาพูด เช่น
หา
างม
นาย ก : ไปไหนมา กินข้าวแล้วยัง ลูก
ากท
นางสาว ข : หนูไปมหาวิทยาลัยมาค่ะ พ่อ กินข้าวเรียบร้อยแล้วค่ะ
ตจ
จากประโยคสนทนาระหว่างนาย ก ผู้เป็ นพ่อกับนางสาว ข ผู้เป็ นลูกสาว จะรับทราบ
า
นุญ
ความหมายว่าผู้เป็ นพ่อได้ถามลูกสาวเกี่ยวกับการไปทาธุระรวมทัง้ ไต่ถามถึงได้รบั ประทาน
ับอ
อาหารหรือยังด้วยถ้อยคาเรียบง่าย สะท้อนถึงความเป็ นกันเอง ทางนางสาว ข ผูเ้ ป็ นลูกสาวก็
ด้ร
ผ่านภาษาเขียน
ร่โด
แพ
เผย
ชัน้ เรียนและการทบทวนบทเรียนครับ
มพ
นายรักเรียน เรียนดี
นักศึกษาชัน้ ปี ท่ี 1 คณะมนุษยศาสตร์
RAM 1103 3
ัย
ยาล
วัจนภาษาจึงเป็ นการสื่อสารที่มคี วามสาคัญต่อ การดาเนินชีวติ ประจาวัน เพราะการ
วิท
สื่อสารด้วยถ้อยคาจะเป็ นภาษาพูดหรือภาษาเขียนก็ตาม ถ้าผูใ้ ช้วจั นภาษาสามารถใช้ถ้อยคา
หา
ให้ถูกต้องตามบริบทและสถานการณ์กจ็ ะทาให้การรับทราบข้อมูลหรือเรื่องที่ประสงค์ให้ผรู้ บั
างม
สารทราบประสบความสาเร็จ ทัง้ นี้การแสดงวัจนภาษาในสังคมไทยต้องสอดคล้องกับระดับของ
ากท
ภาษาซึง่ จะได้กล่าวต่อไปด้วย
ตจ
อวัจนภาษา
า
นุญ
อวัจ นภาษา (Non Verbal Language) หรือ เรีย กอีก อย่ า งหนึ่ ง ภาษาท่ า ทาง ภาษา
ับอ
สัญ ลัก ษณ์ ซึ่ง จะมีค วามแตกต่ า งจากวัจ นภาษาตรงที่อ วัจ นภาษาจะเป็ น การใช้ ภ าษาใน
ด้ร
อีก อย่ า งหนึ่ ง ว่ า ภาษากาย (Body Language) ทัง้ นี้ ภ าษากายถือ ว่ า เป็ น เพีย งบางส่ ว นขอ
แพ
2551, หน้า 26) การแสดงอวัจนภาษามีทงั ้ สิ้น 6 ประเภท ได้แก่ เทศภาษา วัตถุภาษา กาล
ยห
การแสดงอวัจนภาษาแบบนี้จะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของบุคคลหรือสถานภาพของบุคคล
ิมพ
4 RAM 1103
ัย
ยาล
ความรูส้ กึ สดชื่น สบายตา หรือวัตถุภาษาทีส่ ่อื ผ่านทางกลิน่ เช่น กลิน่ น้ าอบน้ าปรุง จะชวนให้
วิท
นึกถึงสิง่ ลีล้ บั วิญญาณ กลิน่ ธูป ทาให้นึกถึงพิธกี รรม เป็ นต้น
หา
3.กาลภาษา หมายถึงการแสดงออกทางภาษาทีส่ ่อื ความหมายถึงเรื่องของเวลา เช่น
างม
การยืนตรงเคารพธงชาติ เวลา 08.00 น. และเวลา 18.00 น. บางตาราก็กล่าวว่ารวมถึงเวลา
ากท
สื่อสารทีผ่ สู้ ่งสารมีการสร้างความหมายพิเศษแก่ผรู้ บั สาร (ภาคภูมิ หรรนภา, 2559, หน้า 18)
ตัวอย่างทีเ่ ห็นได้จากสือ่ สังคมออนไลน์ในปั จจุบนั เช่น การจัดช่วงเวลาส่งเสริมการขาย วันที่ 2
ตจ
เดือน 2 ปี 2022 เป็ นต้น
า
นุญ
4.สัมผัส ภาษา หมายถึงการแสดงออกของภาษาทาทางในลักษณะสัมผัส ใกล้ชิด
ับอ
ขณะเดียวกันการแสดงออกของภาษาดังกล่าวนี้ก็จะมีอารมณ์ความรู้สกึ เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ด้ร
ทีส่ อดคล้องกับภาษาพูด เช่น เมื่อเห็นผูอ้ ่นื มีความสุข ผูท้ อ่ี วยพรก็กล่าวอวยพรพร้อมน้ าเสียง
์จําห
RAM 1103 5
ัย
ยาล
ความพอใจ การโบกมืออาลาหรือทักทาย
วิท
ขณะที่ตาราบางเล่มได้แยกเนตรภาษาหรือการแสดงออกผ่านทางดวงตาออกจากกาย
หา
ภาษา เช่น ภาคภูมิ หรรนภา (2559, หน้า 18) กล่าวว่า “เนตรภาษา หมายถึง ภาษาทีเ่ กิดจาก
างม
การใช้สายตาเพื่อสื่อสารอารมณ์ ความรูส้ กึ นึกคิด ความประสงค์และทัศนะบางอย่างของผู้ส่ง
ากท
สาร เช่น การสบตา การจ้องหน้า การชาเลือง” จอมขวัญ สุทธินนท์ (2564, หน้า 14) กล่าวว่า
“เนตรภาษาเป็ นภาษาที่ส่อื สารจากดวงตาเพื่อสื่ออารมณ์ ความรู้สกึ ทัศนคติ ความต้ องการ
ตจ
จากผู้ส่งสารไปยังผู้รบั สาร เช่น โดยการจ้องมอง การมอง การเหลือบมอง การชาเลืองมอง
า
นุญ
การหรีต่ า หรือการถลึงตา นอกจากนี้เนตรภาษาอาจจะมีระดับการใช้สายตาเพียง 3 ระดับก็ได้
ับอ
คือการสบตา การเบิง่ ตา การเคลื่อนไหวของดวงตา (กาญจนา โชคเหรียญสุขชัย, 2550, หน้า
ด้ร
19)
ไม่ไ
ก็ได้
รือ
นั ก ศึก ษาหัน มาโบกมือ อ าลา (อวัจ นภาษา) พร้อ มกล่ า วว่ า “ไปแล้ว นะ ไว้พ บกัน ใหม่ ”
ิมพ
(วัจนภาษา)
แต่บางครัง้ การแสดงวัจนภาษาและอวัจนภาษาก็อาจขัดแย้งกันก็ได้ ตัวอย่างเช่น ใน
ระหว่างที่นักศึกษาก าลังยืนสนทนากับอาจารย์ นักศึกษาทาวัต ถุท่ีมีน้ าหนักตกใส่เ ท้าของ
6 RAM 1103
ัย
ยาล
วิท
ระดับภาษา
หา
ภาษาไทยจัดว่าเป็ นภาษาที่มีค วามรุ่มรวยค า มีทงั ้ ค ามูล ค าประสม ค าซ้อ น ฯลฯ
างม
นอกจากนี้ยงั มีวฒั นธรรมการใช้ภาษาทีไ่ ม่เหมือนภาษาชาติอ่นื กล่าวคือการใช้ภาษาของคน
ากท
ไทยนัน้ สามารถแบ่งเป็ นระดับของภาษาได้ เพื่อแสดงถึงความเป็ นชัน้ ของภาษา หรือความมี
ระเบียบของภาษา
ตจ
ค ณ า จ า ร ย์ ส า ข า วิ ช า ภ า ษ า ไ ท ย ค ณ ะ ม นุ ษ ย ศ า ส ต ร์ แ ล ะ สั ง ค ม ศ า ส ต ร์
า
นุญ
มหาวิทยาลัยขอนแก่ น (2551, หน้า 11) ได้กล่าวถึงความหมายของระดับภาษาว่า “ระดับ
ับอ
ภาษาเป็ นเรือ่ งของความเหมาะสมในการใช้ภาษาตามความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลทีเ่ ป็ นผู้ส่ง
ด้ร
ก็ต าม ผู้ใ ช้ภาษาต้อ งรู้ด้ว ยว่าผู้ฟั งหรือ ผู้อ่านคือ ใคร มีฐานะทางสังคมสูงกว่า ต า่ กว่า หรือ
แพ
ไม่ผดิ ระดับภาษา”
รือ
ทัวไป
่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2560, หน้า 83) ได้อธิบายถึงความหมายของระดับภาษา
น่า
กาหนดให้เกิดการใช้ระดับภาษาทีแ่ ตกต่างกันด้วย
RAM 1103 7
ดัง นั ้น เมื่อ กล่ า วถึง ระดับ ภาษา ในเอกสารนี้ จ ะกล่ า วถึง การใช้ ภ าษาในระดับ ที่
สอดคล้องกับความสัมพันธ์ สถานที่ กาลเทศะระหว่างบุคคลกับบุคคล ซึ่งสามารถแบ่งได้ 3
ระดับ คือ ภาษาพูด ภาษากึง่ แบบแผนและภาษาแบบแผน
ภาษาพูด
ัย
ยาล
ภาษาพูดหรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าภาษาปาก หรือ ภาษาที่ไม่เ ป็ นทางการ คือ ระดับ
วิท
ภาษาแรกทีเ่ ราสามารถสัมผัสและรับรูไ้ ด้อย่างใกล้ชดิ เนื่องจากภาษาพูดจะเป็ นระดับภาษาที่มี
หา
การแสดงความเป็ นกันเอง เป็ นภาษาทีเ่ ราใช้ในชีวติ ประจาวัน ตลอดจนแสดงถึงสถานะของผูท้ ่ี
างม
ใช้ภาษาที่มคี วามใกล้ชิดและสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง เช่น เพื่อนสนิท พี่น้อง เป็ นต้น โดย
ากท
ปกติภาษาพูดจะเป็ นภาษาทีม่ คี วามเกลี้ยงเกลา ความเกลีย้ งเกลานี้เกิดจากการทีไ่ ม่ได้ตกแต่ง
ถ้อยคาภาษาที่ส่อื ความเป็ นทางการ คาทีป่ รากฏในภาษาพูดนอกจากเกลี้ยงเกลาแล้วจะเป็ น
ตจ
คาเรียบง่ายหรือบางครัง้ อาจมีคาทีไ่ ม่สุภาพ คาแสลง คาภาษาถิน่ เข้ามาปะปนในภาษาพูดก็ได้
า
นุญ
นอกจากภาษาพูดจะนิยมใช้ใ นการสื่อ สารผ่ านเสียงแล้ว ยังสื่อสารผ่ านสื่อสิ่งพิมพ์ได้ เช่น
ับอ
ภาษาสนทนาของตัวละครในวรรณกรรม ภาษาบทละคร ภาษาพาดหัวข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์
ด้ร
หรือสือ่ ออนไลน์
ไม่ไ
ตัวอย่างภาษาพูด เช่น
ิมพ
พี่พดู กับน้ อง
มพ
ห้า
พี่ : “ตัม้ พีจ่ ะไปซือ้ ของทีห่ า้ ง ตัม้ จะเอาอะไรทีห่ ้างไหม สบู่ ยาสีฟัน แชมพู
ตัม้ : “ไม่ละ มีหมดแล้ว ฝากซื้อโค้กมาละกัน เอ่อ อย่าไปนานล่ะ เดีย๋ วกลับมาไม่ทนั ดูซีรสี ์
เกาหลี กาลังมันส์”
8 RAM 1103
เพื่อนพูดกับเพื่อน
เพือ่ น 1 : “เฮ้ย เย็นนี้ มีนดั ล้างตาที่ ’หนามบอลมอเรา ไปปล่าว”
เพือ่ น 2 : “ได้เลยพวก กาลังคันไม้คนั มืออยู่พอดี”
ัย
ยาล
วิท
ภาษาพาดหัวข่าว
หา
างม
“สามโจ๋ซงิ่ เหยียบตีนผี ชนกันระนาว เจ็บ 2 ตาย 1 ญาติเผย คนตายพูดเป็ นลาง”
ากท
“ผ้าเหลืองร้อน ร้อนจนต้องสึก เผย ทาชัวในผ้
่ าเหลืองมานาน”
ตจ
“คู่หดู โู อ้ ดาราคู่ซป้ี ้ึ ก จับมือลงทุนเปิ ดร้านกาแฟ สไตล์ชลิ ๆ ย่านนิมมานฯ เชียงใหม่”
า
นุญ
ภาษากึ่งแบบแผน
ับอ
นอกจากนี้แบบแผนการใช้ภาษากึ่งแบบแผนส่วนใหญ่มกั จะเน้นความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลที่
เผย
เช่ น อาจารย์ก ับ นัก ศึก ษา ผู้ท่ีม าติด ต่ อ กับ หน่ ว ยงาน หรือ บางครัง้ ก็เ ป็ น การใช้ภ าษาให้
ยห
ทัวไป
่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2560, หน้า 85) ได้อธิบายเพิม่ เติมว่า
ิมพ
RAM 1103 9
ัย
ยาล
ทัวไปที
่ ่มีเ งื่อ นไขของสถานที่ กาลเทศะและความสัมพันธ์ของบุค คลเข้ามากาหนดการใช้
วิท
ขณะเดียวกันลักษณะการใช้ภาษาระดับนี้จะมุ่งกล่าวตรงไปตรงมา ไม่นิยมใช้คาที่ดูฟ่ ุมเฟื อย
หา
หรือ ใช้ถ้อ ยค าที่มีค วามไพเราะ (คณาจารย์ส าขาวิช าภาษาไทย คณะมนุ ษ ยศาสตร์แ ละ
างม
สังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น , 2551, หน้า 11) อาจจะมีเหตุผลมาจากระดับภาษากึ่ง
ากท
แบบแผนเป็ นภาษาที่มขี นั ้ ตอน มีระบบและต้องมีความระมัดระวังในการสื่อสาร แตกต่างจาก
ภาษาพูดที่สามารถใช้ได้อย่างอิสระถ้าบุคคลที่มคี วามสั มพันธ์ด้วยเป็ นบุคคลที่มคี วามสนิท
ตจ
สนมคุน้ เคย เป็ นกันเอง เรียบง่าย
า
นุญ
ตัวอย่างภาษากึง่ แบบแผน เช่น
ับอ
นักศึกษาพูดกับอาจารย์
ด้ร
ไม่ไ
การประชาสัมพันธ์การจัดประชุมวิ ชาการ
ยห
ศึก ษา-ไทยศึก ษา คือ มหาวิท ยาลัย สงขลานคริน ทร์ (ปั ต ตานี ) มหาวิท ยาลัย บู ร พา
์จําห
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จะ
ิมพ
Technology Today After Pandemic โควิด เปลี่ ย นชี ว ี - เทคโนโลยีเ ปลี่ ย นโลก ขอเชิ ญ
ห้า
10 RAM 1103
ัย
ยาล
การวิจยั คือ 1. เพื่อศึกษาวัฒนธรรมการดาเนินชีวติ แบบความปกติใหม่ผ่านภาพแทนจากเรื่องสัน้ และ 2.
เพื่อวิเคราะห์ทศั นคติของนักเขียนทีม่ ตี ่อวัฒนธรรมการดาเนินชีวติ แบบความปกติใหม่
วิท
ผลจากการวิจยั พบว่าวัฒนธรรมความปกติใหม่เป็ นรูปแบบและลักษณะการดาเนินชีวติ อย่าง
หา
ใหม่ทเ่ี ข้ามามีอทิ ธิพลต่อการดาเนินชีวติ ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 วัฒนธรรมความ
างม
ปกติใหม่มอี ยู่ทงั ้ หมด 5 ด้านคือด้านสาธารณสุข ด้านธุรกิจ ด้านการศึกษา ด้านความบันเทิงมหรสพ และ
ากท
ด้านธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม ซึ่งวัฒนธรรมความปกติใหม่ทงั ้ 5 ด้านนี้เป็ นกรอบความคิดที่ครอบคลุม
ด้า นการใช้ชีวิต ของคนในสัง คม เพื่อ ให้ค นในสัง คมมีก ารปฏิบ ัติต นและใช้ชีวิต อยู่อ ย่ า งระ มัด ระวัง
ตจ
หลีกเลี่ยงจากภาวะสุ่มเสี่ยงการสัมผัสรับเชื้อโรคโควิด -19 รวมทัง้ ยังเป็ นวิถกี ารดาเนินชีวติ อย่างใหม่ท่ี
า
สอดรับการเปลีย่ นแปลงของสังคมยุคโลกาภิวตั น์ในอีกด้านหนึ่งด้วย
นุญ
ด้านเรื่องสัน้ ที่ศึกษา นักเขียนได้นาเสนอถึง การดาเนินชีวิตของคนในสังคมเมืองช่วงที่เกิด
ับอ
อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และยังถูกตอกย้าด้วยระบบการสื่อสารแบบออนไลน์ท่เี ข้ามาแพร่หลายในวงการ
รือ
ธุรกิจ วงการบันเทิงมหรสพตลอดจนการติดต่อสื่อสารและการทางานจากบ้าน
ยห
ชีวิต ด้า นต่า ง ๆ ที่ส่ือ ความหมายการ “หยุ ด เชื้อ เพื่อ ชาติ” กล่ อ มเกลาให้ป ระชาชนปฏิบตั ิตามดังที่
ห้า
RAM 1103 13
ัย
ชีวติ อยู่รอดหรือปรับตัวได้ท่ามกลางการรอความหวังทีจ่ ะให้โควิด-19 หมดไปจากสังคมโลก
ยาล
วิท
สหะโรจน์ กิตติมหาเจริญ. รายงานวิจยั ฉบับสมบูรณ์ วัฒนธรรมความปกติใหม่ในสังคมไทย
หา
: กรณีศกึ ษาจากเรื่องสัน้ ไทยร่วมสมัย. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง, 2564.
างม
ากท
นอกจากนี้ถ้าเราพิจารณาตัวอย่างคาต่าง ๆ ที่แสดงถึงภาษาทัง้ 3 ระดับ จากตาราง
ตจ
ดังต่อ ไปนี้ จะเห็นว่าภาษาไทยของเรามีการจัดแบ่งความเป็ น “ชัน้ ” และ “ศักดิ”์ ของค าที่
สอดคล้องกับสถานภาพและบทบาททางสังคม บริบทและวัฒนธรรมของการใช้ภาษาด้วย
า
นุญ
ับอ
ตารางแสดงตัวอย่างคาบางคาในระดับภาษา 3 ระดับ
ด้ร
ย ไม่ไ
รับประทาน บริโภค
เผย
รือ
ถึงแก่อาสัญกรรม
์จําห
ถึงแก่อนิจกรรม
ิมพ
14 RAM 1103
ัย
ยาล
ฟาย ควาย ควาย กระบือ
วิท
คนใช้ ขีข้ า้ แม่บา้ น คนรับใช้ เจ้าหน้าทีด่ แู ลความ
หา
สะอาด
างม
ยาม รปภ. เจ้าหน้าทีร่ กั ษาความ พนักงานรักษาความ
ากท
ปลอดภัย ปลอดภัย
า ตจ
นุญ
ระดับภาษาเป็ นการแสดงลักษณะการใช้ภาษาของคนไทยทีม่ คี วามเป็ นระบบ รวมทัง้
ับอ
แสดงให้เห็นถึงภาษามี “ชัน้ ” และมี “ศักดิ ์” ของคาบ่งบอกถึงความมีวฒ
ั นธรรมเรื่องของภาษา
ด้ร
ภาษากึ่งแบบแผนและภาษาแบบแผนแล้ว อีกนัยหนึ่งของระดับภาษายังรวมไปถึงคาราชา
ร่โด
หน้าและพจนานุกรม
ยห
น่า
ความหมายของการสื่อสาร
์จําห
RAM 1103 15
ัย
ยาล
สัตว์ตรงที่มนุ ษย์มกี ารสื่อสารที่หลากหลายรูปแบบ ไม่มขี อ้ จากัด และอาจมีวธิ กี ารสื่อสารได้
วิท
มากกว่าสัตว์ (เสาวลักษณ์ อนันตศานต์, 2557, หน้า 137) รวมไปถึงมนุ ษย์สามารถใช้ภาษา
หา
ในการสื่อสารได้โดยมีทงั ้ วัจนภาษาและอวัจนภาษา ในขณะที่สตั ว์ก็มกี ารสื่อสารแต่เป็ นการ
างม
สื่อ สารที่มีข้อ จ ากัด ไม่ ส ามารถที่จ ะสื่อ สารได้เ ท่ า กับ มนุ ษ ย์ ขณะเดีย วกัน การสื่อ สารเป็ น
ากท
วัฒนธรรมทีเ่ กิดขึน้ ระหว่างมนุษย์กบั มนุษย์ ถ้ามนุษย์มกี ารติดต่อกับสัตว์เราจะไม่เรียกว่าการ
สือ่ สาร(คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2551, หน้า 3)
ตจ
ความหมายของการสื่อ สารจึ ง หมายถึ ง การที่ ม นุ ษ ย์ จ ะต้ อ งมีก ารติ ด ต่ อ หรื อ มี
า
นุญ
ปฏิสมั พันธ์กบั ผู้คนในครอบครัวและสังคม นับตัง้ แต่เริม่ ต้นกิจวัตรประจาวัน ทางาน เรียน
ับอ
หนังสือ ทากิจกรรม พบปะผู้คน มีการติดต่อกับผู้ค น มีการส่งข่าวสารข้ อ มูล นาเสนอและ
ด้ร
วัฒนธรรมทางภาษาด้วยเชนกัน
รือ
ยห
ความสาคัญของการสื่อสาร
น่า
16 RAM 1103
ัย
ยาล
วิท
ความส าคัญ ต่อ บุค คล กล่ าวคือ การสื่อ สารทาให้มนุ ษ ย์ส ามารถบอก
หา
กล่ าวความต้อ งการ ความรู้ส ึกของตนเองให้ผู้อ่นื ได้รบั รู้ และในทางกลับกันก็
างม
สามารถรับรูค้ วามรูส้ กึ นึกคิดและความต้องการของผูอ้ ่นื ทาให้เกิดความเข้าใจซึ่ง
ากท
กันและกัน นอกจากนี้ การสื่อสารยังทาให้มนุ ษย์ได้รบั รู้ขอ้ มูลข่าวสารจากแหล่ง
ต่าง ๆ ทาให้มคี วามรูแ้ ละโลกทัศน์ทก่ี ว้างขวาง สามารถนามาใช้ประโยชน์ในการ
ตจ
ดาเนินชีวติ และหน้าทีก่ ารงานได้
า
นุญ
ความสาคัญต่อสังคม กล่าวคือมนุษย์เป็ นสิง่ มีชวี ติ ทีต่ ้องอยู่ร่วมกันเป็ น
ับอ
สังคมซึ่งการสื่อสารสามารถทาให้มนุษย์ได้เรียนรู้ พัฒนา และสืบทอดความรูแ้ ละ
ด้ร
เข้าใจและนามาปรับปรุงตนเองได้อย่างไม่สน้ิ สุด
ย
ร่โด
ทอดต่อไปได้นนเอง ั่
ยห
น่า
องค์ประกอบของการสื่อสาร
์จําห
RAM 1103 17
ผู้ส่งสาร
ผูส้ ่งสาร (Sender) หมายถึงผูท้ ท่ี าหน้าทีใ่ นการส่งความคิด ส่งข้อมูล ส่งข่าวสารผ่านสือ่
ัย
ยาล
หรือ ผ่ า นช่ อ งทางมายัง ผู้ร ับ สาร เพื่อ ให้ผู้ร ับ สารรับ ทราบ เข้า ใจ น าไปสู่ก ารปฏิบัติต าม
วิท
วัตถุประสงค์ของสารที่ได้รบั จนประสบผลสาเร็จและสัมฤทธิ ผล ซึ่งกระบวนการส่งสารจะมี
หา
ลักษณะการส่งและรับสารทีส่ อดคล้องกัน กล่าวคือ ผูส้ ง่ สารได้สง่ สารมาเป็ นคาพูด (วัจนภาษา)
างม
เช่น พูดคุ ยอย่างไม่เ ป็ นทางการหรือ พูดคุ ยอย่ า งเป็ น ทางการ ผู้รบั สารจะรับสารและจะมี
ากท
ปฏิกริ ยิ าตอบสนองโดยรับฟั ง บางครัง้ อาจแสดงภาษาท่าทาง (อวัจนภาษา) ร่วมด้วย เช่น การ
พยักหน้า การส่ายหน้า
ตจ
ขณะเดียวกันผู้ร ับสารก็สามารถทาหน้ าที่เป็ นผู้ส่งสารได้เช่นกัน ถ้าผู้รบั สารเปลี่ยน
า
นุญ
บทบาทมาเป็ นผู้ส่งสารแทน กรณีน้ีผู้ส่งสารจะทาหน้าที่เป็ นผู้รบั สารคือหยุดรับฟั ง ทัง้ นี้ผู้ส่ง
ับอ
สารสามารถส่งสารมายังผู้รบั สารได้ทงั ้ ภาษาพูดและภาษาเขีย น ทักษะการส่งสารจะเป็ น
ด้ร
เหตุการณ์จาลอง
ร่โด
อาคาร PBB ห้องเรียนกระบวนวิชา RAM 1103 นักศึกษาชัน้ ปี ท่ี 1 กาลังนัง่ ที่เก้าอี้ รอฟั ง
แพ
ถามคาถามเกีย่ วกับบทเรียน
์จําห
การวิ เคราะห์
ิมพ
18 RAM 1103
สาร
สาร (Message) คือ ข้อ ความที่เ ป็ นถ้อ ยค า เรื่อ งราวหรือ ข้อ มูล ที่มีใ จความส าคัญ มี
เนื้อหา บางครัง้ อาจจะเป็ นภาพ สัญลักษณ์ ท่าทาง ซึ่งผู้ส่งสารจะส่งมายังผู้รบั สาร ผู้รบั สาร
เมื่อรับสารจากสื่อหรือช่องทางต่าง ๆ ก็จะนาไปสู่การคิด การแปรความหมาย จนเกิดความ
เข้าใจ นาไปสู่ความรูค้ วามเข้าใจและปฏิบตั ติ ามหรือไม่ปฏิบตั ติ าม ตัวอย่างสาร เช่น ข้อความ
ัย
ยาล
เรื่องราวที่แสดงผ่านวัจนภาษาหรือ ภาษาพูด ภาษาเขียน หรือสารประเภทภาพ เช่น ป้ าย
วิท
จราจร ป้ ายบอกทีน่ งส
ั ่ ารอง ภาพสัญลักษณ์หา้ มสูบบุหรี่ ห้ามเดินลัดสนาม เป็ นต้น
หา
างม
สื่อและช่องทาง
ากท
สื่อ และช่อ งทาง (Media and Channel) สื่อ (Media) คือ พาหะหรือ ตัวการที่จะนาสาร
เดินทางจากผูส้ ่งสารมายังผู้รบั สาร สื่อมีทงั ้ ทีเ่ ป็ นสื่อธรรมชาติ เช่น คลื่น เสียง สื่อมนุษย์ เช่น
ตจ
บุคคลผูม้ บี ทบาทเป็ นตัวแทนของสือ่ อาจจะหมายถึงผูอ้ ่านข่าว พิธกี ร สือ่ สิง่ พิมพ์ เช่น หนังสือ
า
นุญ
หนั ง สือ พิม พ์ นิ ต ยสาร วารสาร สื่อ ประดิษ ฐ์ เช่ น กระป๋ องนม ถ้ ว ยกาแฟกระดาษ สื่อ
ับอ
อิเล็กทรอนิกส์ เช่น วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ ไมโครโฟน เป็ นต้น
ด้ร
ส่งตรงไปถึงผูร้ บั สาร ช่องทางในทีน่ ้ี เช่น หนังสือ ผ้า แผ่นไม้ ลาโพง จอฉาย เป็ นต้น
ย
ร่โด
ผู้รบั สาร
แพ
คลื่น เสียงขาด ๆ หาย ๆ หรือ อุ ปสรรคอื่น ๆ ที่จ ะกล่ าวในหัว ข้อ อุป สรรคของการสื่อ สาร
์จําห
สารและผูส้ ง่ สารด้วยวัจนภาษาและอวัจนภาษา
มพ
ห้า
RAM 1103 19
จะแยกเป็ นอุปสรรคการสื่อสารจากภายในและอุปสรรคการสื่อสารจากภายนอกเพื่อให้เข้าใจ
อย่างเป็ นระบบ โดยอุปสรรคการสื่ อสารจากภายใน หมายถึงปั ญ หา การติดขัด ความ
ขัดข้องทีเ่ กิดจากระบบการสื่อสารภายใน อาจจะเป็ นผูส้ ่งสาร ผูร้ บั สารอยู่ในสภาพทีไ่ ม่พร้อม
หรือ มีค วามขัด ข้อ งที่เ กิด มาจากร่ า งกาย จิต ใจ ส่ว นอุปสรรคการสื่ อสารจากภายนอก
หมายถึงอุปสรรคที่เกิดจากปั ญหา ความขัดข้อง ความไม่ชดั เจนของสาร สื่อหรือช่องทาง ซึ่ง
ัย
ยาล
อาจจะได้รบั ผลกระทบมาจากดินฟ้ าอากาศ บริบทสภาพแวดล้อม การกระทาของมนุ ษย์และ
วิท
อื่น ๆ ทีท่ าให้เกิดอุปสรรคขึน้ มา
หา
างม
อุปสรรคการสื่อสารจากภายใน
ากท
อุปสรรคการสือ่ สารจากภายใน ในทีน่ ้คี อื บุคคลผูท้ ท่ี าหน้าทีส่ ง่ สารและรับสาร เราอาจจะ
เรียกว่าอุปสรรคการสือ่ สารจากบุคคลก็ได้ กล่าวคือบุคคลผูท้ ท่ี าหน้าทีใ่ นฐานะผูส้ ง่ สารก็ดี ผูร้ บั
ตจ
สารก็ดอี าจเป็ นผูท้ ท่ี าให้เกิดอุปสรรคการสื่อสารขึน้ มาได้ เช่น ผูส้ ่งสารไม่มคี วามพร้อมในการ
า
นุญ
ส่งสาร อาจจะเป็ นการพูดหรือการเขียน ความไม่พร้อมอาจเกิดมาจากมีเวลาเตรียมตัวอย่าง
ับอ
กระชัน้ ชิด ไม่มคี วามรูห้ รือขาดการค้นคว้าข้อมูลมาอย่างเพียงพอ หรือมีจติ ใจเป็ นทุกข์ท่เี กิด
ด้ร
เป็ นต้น
เผย
รือ
อุปสรรคการสื่อสารจากภายนอก
ยห
โดยปกติม นุ ษ ย์เ ป็ น ผู้ท่ีส ามารถปรับ อุ ณ หภู มิข องร่ า งกายตัว เองให้อ ยู่ใ นสภาพ
อากาศต่าง ๆ ได้เป็ นอย่างดี แต่ในบางขณะด้วยสภาพภูมอิ ากาศที่มคี วามผันแปรไปตามการ
เปลี่ยนแปลงของโลกก็ย่อมทาให้เกิดอุปสรรคขึน้ กับมนุ ษย์ได้ต่าง ๆ เช่น อากาศร้อนอบอ้าว
RAM 1103 21
ัย
ยาล
สารและรับสารได้ ตัวอย่างเช่น ผูอ้ านวยการโรงเรียนให้โอวาทแก่นกั เรียนชัน้ มัธยมศึกษาตอน
วิท
ปลายในวันปั จฉิมนิเทศในห้องประชุมทีเ่ ครื่องปรับอากาศไม่ทางาน ผูอ้ านวยการโรงเรียนใน
หา
ฐานะผู้ส่งสารพูดอย่างตัง้ ใจ เพื่อให้ปัจฉิมโอวาทเป็ นข้อคิดที่ดีแก่นักเรียน แต่ด้วยสภาพที่
างม
อากาศร้อนจึงทาให้ผอู้ านวยกล่าวด้วยความรวดเร็ว ส่วนนักเรียนก็ฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง
ากท
เนื่องจากอากาศในห้องประชุมร้อน ทาให้นักเรียนนัง่ ฟั งอย่างกระสับกระส่าย นักเรียนบางคน
หยิบกระดาษหรืออุปกรณ์ทส่ี ามารถบรรเทาความร้อนได้มาช่วยผ่อนคลาย
ตจ
จากพฤติกรรมของการส่งสารและการรับสารของผูอ้ านวยการและนักเรียน จะเห็นได้ว่า
า
นุญ
อุปสรรคคือสภาพอากาศทีค่ ่อนข้างร้อนในห้องประชุมโดยเครื่องปรับอากาศไม่ทางาน จึงทาให้
ับอ
ผู้อานวยการในฐานะผู้ส่งสารมีความตัง้ ใจที่จะกล่าวให้โอวาทก็ต้องเผชิญอุปสรรคกับสภาพ
ด้ร
2. บริ บทและสภาพแวดล้อม
เผย
ท าให้เ กิด ความขัด ข้อ งในการสื่อ สาร แต่ ส าหรับ อุ ป สรรคการสื่อ สารที่เ กิด จากบริบ ทและ
ิมพ
22 RAM 1103
ัย
ยาล
เสียงหนังสือตกลงมาจากชัน้ หลายเล่ ม หรือนักศึกษากาลังเป็ นผู้รบั สารจากการเป็ น ผู้อ่า น
วิท
หนังสือ ส่วนหนังสือซึ่งมีผู้เขียนเป็ นผู้ส่งสารกาลังทาหน้าที่ส่งสารหรือส่งความรู้ให้ผู้อ่านอยู่
หา
อาจจะมี นั ก ศึ ก ษาที่ อ่ า นหนั ง สื อ ด้ ว ยกั น ในโต๊ ะ ถั ด ไปพู ด คุ ย กั น หรื อ มี เ สี ย งกริ่ ง จาก
างม
โทรศัพ ท์ เ คลื่ อ นที่ ด ัง ขึ้ น มารบกวนสมาธิ เหล่ า นี้ ก็ เ ป็ นอุ ป สรรคที่ เ กิ ด จากบริ บ ทและ
ากท
สภาพแวดล้อมก่อให้เกิดอุปสรรคการสือ่ สารขึน้ ได้
ตจ
3. สาร
า
นุญ
สารคือเนื้อหาหรือรายละเอียด ข้อความ ข้อมูล ข่าวสารทีม่ คี วามสาคัญต่อการสื่อสาร
ับอ
เพราะถ้าผูส้ ง่ สารและผูร้ บั สารมาพบหน้ากัน แต่ไม่มสี ารเป็ นสิง่ เชื่อมประสานให้เกิดการรับสาร
ด้ร
สมัยกรุงศรีอ ยุธ ยาตอนต้น นัก ศึก ษาพบค าว่า “ดงง” “ที่น้นน” หรือ ค าว่า “ขดานดือ ” เมื่อ
น่า
4. สื่อและช่องทาง
มพ
สื่อและช่องทางสามารถทาให้เกิดอุปสรรคการสื่อสารได้ กล่าวคือคาว่าสื่อหมายถึง
ห้า
RAM 1103 23
ัย
ยาล
ความน่ าสนใจหรือรวดเร็วฉับไวก็อาจมีสมรรถภาพลดลง ผู้ชม ผู้รบั ฟั งข่าวก็จะได้รบั เนื้อหา
วิท
การสัมภาษณ์หรือเนื้อหาข่าวไม่ชดั เจน
หา
กรณีทอ่ี ุปสรรคการสื่อสารเกิดจากช่องทาง คาว่าช่องทางได้กล่าวไว้ในความหมายของ
างม
องค์ประกอบของการสือ่ สารไปแล้วว่าหมายถึง แหล่งหรือวิธกี ารทีท่ าหน้าทีถ่ ่ายทอดสือ่ ออกมา
ากท
ส่งตรงไปถึงผู้รบั สาร สารที่ผ่ านสื่อ จะน าเสนอผ่ า นช่อ งทางมายังผู้ร ับสาร ในที่น้ีถ้าสื่อ ไม่
บกพร่อง แต่ช่องทางมีความบกพร่องก็อาจทาให้เกิดอุปสรรคได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่นการใช้
ตจ
เสียงผ่านไมโครโฟนซึ่งเป็ นสื่อเพื่อถ่ายทอดเสียงผ่านช่องทางคือลาโพง ลาโพงคือช่องทางนา
า
นุญ
เสียงบรรยายกระจายไปถึงนักศึกษาทีน่ งั ่ ฟั งเกิดชารุด เสียงทีอ่ อกมาแตกพร่า หรือเสียงก้องไม่
ับอ
สามารถเข้าใจค าที่พูดออกมาได้ ลักษณะนี้เรียกว่าช่องทางมีความขัดข้อ ง เพราะลาโพงมี
ด้ร
อีกตัวอย่างหนึ่ง นักศึกษาสนใจอยากอ่านสารคดีเรื่องพม่าเสียเมืองของหม่อมราชวงศ์
ร่โด
เรื่องราวของพระเจ้าสีปอกับพระนางศุภยาลัตผ่านสื่อคือหนังสือ อาศัยช่องทางคือกระดาษ
รือ
24 RAM 1103
บรรณานุกรมบทที่ 1
ภาษาไทย
กาญจนา โชคเหรียญสุขชัย. (2550). การสือ่ สารเชิงอวัจนภาษา : รูปแบบและการใช้.
กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ัย
ยาล
คณะกรรมการวิชาภาษาไทยเพือ่ การสือ่ สาร ฝ่ ายวิชาบูรณาการ หมวดวิชาศึกษาทัวไป ่
วิท
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. (2560). ภาษาไทยเพือ่ การสือ่ สาร. พิมพ์ครัง้ ที่ 15.
หา
กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
างม
คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. (2552). การใช้
ากท
ภาษาไทย. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขต
พระราชวังสนามจันทร์.
ตจ
คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. (2551). ภาษากับการ
า
นุญ
สือ่ สาร. พิมพ์ครัง้ ที่ 3. กรุงเทพฯ : บริษทั พี.เพรส.
ับอ
คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
ด้ร
มหาสารคามสานักพิมพ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
ย
ภาคภูมิ หรรนภา. (2559). การเขียนเพือ่ การสือ่ สาร. พิมพ์ครัง้ ที่ 3. กรุงเทพฯ : อินทนิล.
รือ
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
น่า
กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสภา.
ิมพ
ทริปเพิล้ เอ็ดดูเคชัน.่
ภาษาอังกฤษ
Crystal, David. (2010). A little book of language. New Haven : Yale University.
RAM 1103 25
ัย
ยาล
บทที่ 1 เกี่ยวกับคาที่ใช้ในระดับภาษาปาก ภาษากึ่งแบบแผน ภาษาแบบแผน ซึ่งคาที่ใช้ใน
วิท
ระดับภาษานัน้ ยังสามารถสะท้อนถึงวัฒนธรรมและความคิดเกี่ยวกับคาได้ด้วย เพราะในคา
หา
ไทยนัน้ มีความผูกพันกับความคิดความเชื่อ มีการผสมผสานทางความความเชื่อ ตลอดจนมี
างม
ความหลากหลายทางวัฒนธรรม (สุวรรณา สถาอานันท์และเนื่องน้อย บุญยเนตร, 2542, หน้า
ากท
1) ดังนัน้ คาจึงมีความซับซ้อนนอกเหนือการลักษณะการใช้คาในภาษาไทยทัว ๆ ไป
ตจ
ความหมายของคา
า
นุญ
ในที่น้ีจะกล่าวถึงความหมายของคาอยู่ 3 ระดับ ซึ่งจะสัมพันธ์กบั การใช้ภาษาไทยใน
ับอ
การสื่อสารโดยตรงคือ คาทีม่ คี วามหมายตรง คาทีม่ คี วามหมายแฝงและคาทีต่ ้องอาศัยบริบท
ด้ร
คาที่มีความหมายตรง
ิมพ
RAM 1103 27
lexical meaning) เช่น คาว่า ดาว ในพจนานุ กรมฉบับราชบัณ ฑิต ยสถาน พ.ศ.2554 ได้ใ ห้
ความหมายไว้ว่า “น.สิง่ ทีเ่ ห็นเป็นดวงเล็ก ๆ มีแสงในท้องฟ้ าเวลามืด เช่น ดาวประจาเมือง ดาว
เหนือฯ” (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556, หน้า 431) แต่เมื่อพูดถึงคาว่าดาวในอีกความหมายหนึ่ง
กลับไม่ใช่ความหมายประจาคาอีกต่อไป นอกจากคาว่าดาวแล้วก็ยงั มีคาอื่น ๆ อีกมากมาย
เช่น เสือ หมู กล้วย กุหลาบ นกพิราบ ฯลฯ
ัย
ยาล
วิท
คาที่มีความหมายแฝง
หา
คาที่มคี วามหมายแฝงหมายถึง คาที่เราต้องเข้าใจความความหมายที่ซ่อนไว้อยู่ในคา
างม
สุ นันท์ อัญ ชลีนุกู ล (2563, หน้ า 193) กล่ าวว่าเป็ นคาที่มี “ความหมายอีกความหมายหนึ่ง
ากท
นอกเหนือจากความหมายตรงหรือความหมายประจาคา” นันแสดงว่ ่ าคาทีม่ คี วามหมายแฝงนัน้
ความจริงก็คอื คาทีม่ คี วามหมายโดยตรงมาก่อน แต่เมื่อคา ๆ นัน้ อยู่ในบริบทแวดล้อมที่อาจทา
ตจ
ให้ต้องมีการเข้าใจความหมายอื่นทีแ่ ฝงมาในบริบทแวดล้อมด้วย ดังทีไ่ ด้ยกตัวอย่างคาว่าดาว
า
นุญ
กล่าวในข้างต้น ถ้ามาวิเคราะห์นอกจากดาวจะมีความหมายตรงว่าสิง่ เล็ก ๆ ทีม่ แี สงในท้องฟ้ า
ับอ
เวลามืดแล้ว ความหมายโดยแฝงดาวยังหมายถึงบุคคลผู้มชี ่อื เสียง หรือผู้ท่ไี ด้รบั การยอมรับ
ด้ร
จากสังคม เช่น ศิลปิ น ดารา บางครัง้ คาว่าดาวอาจจะมีความหมายแฝงถึงผูท้ เ่ี ป็ นทีช่ ่นื ชม ชื่น
ไม่ไ
คา ความหมายตรง ความหมายแฝง
เผย
เสือ น.ชื่ อ สัต ว์ เ ลี้ ย งลู ก ด้ ว ยนม ในวงศ์ คาว่าเสือ หมายถึงคนที่มจี ิตใจเหี้ยมโหด
รือ
ตัวโตกว่ามาก เป็ นสัตว์กินเนื้อ นิสยั บางครัง้ มัก น าหน้ า ชื่อ เพื่อ บอกถึง ฉายา
น่า
(ราชบั ณ ฑิ ต ยสถาน, 2556, หน้ า มีหมายแฝงถึงผูช้ ายทีม่ นี ิสยั เจ้าชู้ เช่น เขา
มพ
28 RAM 1103
คา ความหมายตรง ความหมายแฝง
หมู น.ชื่อสัตว์เลี้ยงลู กด้ว ยนมหลายชนิด คาว่าหมู มีทงั ้ ความหมายแฝงที่หมายถึง
ในวงศ์ Suidae เป็ นสัตว์กบี คู่ ตัวอ้วน บุค ลิกลักษณะของคน และหมายถึง การ
จมูกและปากยื่นยาว ปลายจมูก บาน กระท าที่ มี ค วามราบรื่ น ไม่ มี อุ ป สรรค
ใช้สาหรับดุนดินหาอาหาร ฯ ปั ญหาใดใด เช่น เด็กชายตัม้ ทานขนมจน
ัย
ยาล
(ราชบั ณ ฑิ ต ยสถาน, 2556, หน้ า ตัว เป็ น หมูแล้ว วิชา RAM 1103 ข้อ สอบ
วิท
1305) ไม่หมูอย่างที่คดิ บางครัง้ ก็มกี ารนาไปใช้
หา
เป็ น ส านวนไทยก็มี เช่ น หมูใ นอวย ซึ่ง
างม
ราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายว่า “น.สิง่
ากท
ที่อ ยู่ใ นก ามือ ” หรือ หมูใ นเล้า ” หมายถึง
“น.สิง่ ทีอ่ ยู่ในเงือ้ มมือ”
ตจ
(ราชบัณฑิตยสถาน, 2558, หน้า 94-95)
า
นุญ
กล้วย น.ชื่อ ไม้ล้ม ลุ ก หลายปี ใ นสกุ ล Musa คาว่ากล้วย มีความหมาย ๆ ถึงสิง่ ของหรือ
ับอ
วงศ์ Musaceae จัดแยกออกได้เ ป็ น การกระทาอะไรก็ตามที่ได้มาอย่างง่าย ๆ
ด้ร
2 จาพวก จาพวกที่แตกหน่ อ เป็ นกอ ไม่ ต้อ งลงทุ น ลงแรงอะไรมาก เช่ น ของ
ไม่ไ
ผา
์จําห
RAM 1103 29
ตัวอย่างที่ 1
เขาชอบดื่มกาแฟ
ัย
ยาล
เขาขันขานจับใจ
วิท
เขานี้สวยจริงไว้ประดับฝาบ้าน
หา
เขาสามร้อยยอดอยู่ทป่ี ระจวบคีรขี นั ธ์
างม
ากท
ตัวอย่างที่ 2
น้องใส่เสือ้ สีแดง
ตจ
แดงไปดูหนังกับดา
า
นุญ
ใครจะลืมข้าวแดงแกงร้อนได้
ับอ
(ประสิทธิ ์ กาพย์กลอนและคณะ, 2561, หน้า 111 และหน้า 258)
ด้ร
ไม่ไ
คาที่ก่อให้เกิ ดความคลาดเคลื่อนในการสื่อสาร
ย
คาที่มีความหมายกากวม
ผูท้ เ่ี รียนภาษาไทยย่อมจะตระหนักดีว่าการสื่อสารทุกวันนี้ บางครัง้ ก็ดาเนินไปอย่างเร่ง
รีบ การสือ่ สารผ่านภาษาผ่านถ้อยคาถ้าสือ่ สารโดยใช้คาผิดความหมาย เว้นวรรคคาผิด ขาดคา
30 RAM 1103
ัย
ยาล
รถสองแถวออกไปแล้ว หรือหมายถึงบุคคลผูม้ อี าชีพขับรถสองแถวไม่ได้อยู่ ณ สถานทีต่ รงนัน้
วิท
แล้ว หรือหมายถึงคนซึง่ ใช้แทนความหมายของสิง่ มีชวี ติ ได้ขบั รถสองแถวจากไปแล้ว ตัวอย่าง
หา
ค าก ากวมอีก บางตัว อย่ า งเช่ น นายมาแล้ว ประโยคนี้ มีค วามก ากวมเพราะค าวานายมา
างม
หมายถึงนายทีม่ คี วามหมายนายจ้างหรือผูว้ ่าจ้างเดินทางมาถึงแล้ว หรือหมายถึงบุคคลทีม่ ชี ่อื
ากท
เล่นว่านายได้เดินทางมาถึงแล้ว จะเห็นว่าคากากวมเมื่อสื่อความไม่ชดั เจนก็ย่อมทาให้การ
เข้าใจผิดและอาจนาไปสูก่ ารสือ่ สารทีล่ ม้ เหลว บกพร่องได้ในทีส่ ุด
า ตจ
นุญ
คาที่มอี อกเสียงผิด เขียนผิด ความหมายเปลี่ยน
ับอ
ปั ญ หาในการสื่อ สารที่ท าให้เ กิด ความเข้า ใจผิด นอกจากจะเกิด จากการใช้ ค าผิด
ด้ร
หรือ ลากค าเข้าความของผู้ใ ช้ภ าษาหรือ ผู้ส่อื สาร เพราะเข้า ใจว่ าค า ๆ นี้ถ้าเกี่ยวข้อ งกับ
ย
เยาว์ว ยั วัยเยาว์ (แผลงมาจาก ยุว ) (ราชบัณ ฑิต ยสถาน, 2556, หน้ า 961) เมื่อ ออกเสีย ง
มพ
ออกมาจะออกเสียงว่า “เยา” ซึ่งมีความหมาย ๆ ถึง “ว.เบา, อ่อน, น้อย เช่น ราคาเยา, มักใช้
ห้า
RAM 1103 31
หรือสือ่ แต่อาจมาจากสารนันเอง ่ ตัวอย่างคาบางคา เช่น ราง กับ ลาง คาว่า “ราง” จะประกอบ
ร่วมกับคาว่า “เครื่อง” เป็ น “เครื่องราง” ส่วนคาว่า “ลาง” นัน้ ส่วนใหญ่จะเป็ นคาไทยคาโดด
ไม่ได้ไปเกาะเกีย่ วกับคาใด ยกเว้นจะไปเชื่อมโยงกับคา ๆ อื่น มีความหมายในทางเดียวกัน ใน
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 อธิบายความหมายทัง้ สองคานี้ว่า “เครือ่ งราง
น.ของทีน่ บั ถือว่าป้ องกันอันตราย ยิงไม่ออก ฟั นไม่เข้า เช่น ตะกรุด ผ้ายันต์ เหล็กไหล” ส่วนคา
ัย
ยาล
ว่า “ลาง” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 อธิบายว่า “น.สิง่ หรือปรากฎการณ์ที ่
วิท
เชือ่ กันว่าจะบอกเหตุดเี หตุรา้ ย ฯ” (ราชบัณฑิตยสถาน, 2556, หน้า 271 และ 1051)
หา
ทัง้ นี้คาว่าเครื่องราง ลาง ลางสังหรณ์ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานนี้ เมือมาใช้ใน
างม
ภาษาพูดหรือภาษาเขียน จะสังเกตได้ว่ามักใช้ผดิ เพราะเกิดจากความเข้าใจผิดในความหมาย
ากท
และลากเข้าความ อย่างเช่น เครื่องราง เราจะเข้าใจว่าเป็ นสิง่ ที่ปกป้ องคุ้มเราให้พน้ จากสิง่ ชัว่
ร้าย ก็มกั จะโยงมากับคาว่าลางที่หมายถึงการบอกเหตุดี เหตุร้าย จึงทาให้เข้าใจว่าเมื่อเป็ น
ตจ
ภาษาพูดหรือ ภาษาเขียน ต้อ งสะกดว่า เครื่อ งลาง หรือ โชคราง ไปแทน นอกจากนี้ ย ัง มี
า
นุญ
ตัวอย่างคาอื่น ๆ ที่เห็นว่ามีการเขียนผิดรูปคา หรือออกเสียงผิด ความหมายเปลี่ยนหรือไม่
ับอ
เปลี่ยน เช่น ซุบหน่ อ ไม้ เซ็นชื่อ ผัดไทย ผาสุ ก แมงมุม โลกาภิว ตั น์ ศีรษะ สีสนั เป็ นต้น
ด้ร
ร ล และคาควบกล้า อันเนื่องมาจากภาษาไทยเวลาสื่อสารเราจะมีการจาแนกความแตกต่าง
ร่โด
(ราชบัณฑิต ยสถาน, 2556, หน้า 1015) ส่วนคาว่า “เลียน” หมายถึง “ก.เอาอย่าง, ทาหรือ
์จําห
นอกจากนี้คาควบกล้าก็อาจทาให้การสื่อสารมีความคลาดเคลื่อนได้เช่นกัน คาควบกล้า
ห้า
32 RAM 1103
ัย
ยาล
ทางหนึ่งเช่นกัน
วิท
หา
การใช้คาฟุ่ มเฟื อย
างม
ค าฟุ่ มเฟื อ ยคือ อะไร ค าฟุ่ มเฟื อ ยคือ ค าที่มีค วามหมายเดียวกันมาวางไว้ใ นประโยค
ากท
เดียวกัน ทาให้คาในประโยคเพิม่ ขึน้ อย่างไม่จาเป็ น คาฟุ่มเฟื อยแตกต่างจากคาซ้อนตรงที่คา
ซ้อนนัน้ มีลกั ษณะของการซ้อนเพือ่ ความหมายและซ้อนเพือ่ เสียง แตขณะทีค่ าฟุ่มเฟื อยไม่ได้มี
ตจ
จุดมุ่งหมายดังกล่าว แต่นามาวางไว้ใกล้กนั แล้วความหมายก็ส่อื ถึง สิง่ เดียวกัน เช่น ศพผูต้ าย
า
นุญ
ยังอยู่ทโ่ี รงพยาบาล รถโดยสารประจาทางชนกัน 2 คันทุกคนตายหมดไม่มใี ครรอด โจรปล้น
ับอ
ชิงทรัพย์หนีอย่างหัวซุกหัวซุน จะเห็นว่าจากตัวอย่างประโยคดังกล่าวความหมายทีป่ รากฏใน
ด้ร
ค ามีค วามหมายเดี ย วกัน ถ้ า เราตัด ค าใดค าหนึ ง ออก ความหมายก็ ย ัง คงอยู่ ไ ม่ มีก าร
ไม่ไ
เปลีย่ นแปลง
ย
ประโยคคือคาใด
น่า
์จําห
ประโยค
ิมพ
ได้ แม้ว่าค าจะสามารถสื่อ สารให้เ ข้า ได้ แต่ถ้าเราน าค านัน้ มาประกอบสร้างเป็ นประโยค
ห้า
RAM 1103 33
ขยาย+กริยา+ส่วนขยาย+กรรม+ส่วนขยาย ลักษณะโครงสร้างประโยคเช่นนี้อาจเรียกอีกอย่าง
หนึ่งว่าประโยคความเดียว (ประสิทธิ ์ กาพย์กลอนและคณะ, 2561, หน้า 124) ตัวอย่างเช่น
ลักษณะโครงสร้างประโยค ตัวอย่างประโยค
ประธาน+กริยา เด็ก/ยิม้
ัย
ยาล
ประธาน+กริยา+กรรม แม่/ทา/กับข้าว
วิท
ประธาน+ส่วนขยาย+กริยา+ส่วนขยาย ชายหนุ่ม/ใส่เสือ้ สีขาว/นอน/สบาย
หา
ประธาน+ส่ ว นขยาย+กริย า+ส่ ว นขยาย+ นางงาม/ใส่ชุดไทย/เดินยิ้ม /อย่างสดใส/ให้
างม
กรรม+ส่วนขยาย ผูช้ ม/ทีเ่ ฝ้ ามอง
ากท
การสื่อสารด้วยประโยคเป็ นแนวทางหนึ่งทีท่ าให้การสื่อสารสามารถขับเคลื่อนไปอย่าง
ตจ
รวดเร็ว เพราะประโยคคือการสร้างความรู้สกึ นึกคิดที่ผสู้ ่งสารต้องการให้ผรู้ บั สารสามารถรับ
า
นุญ
สารและตีความ เกิดความเข้าใจอย่างรวดเร็ว ตัวอย่างเช่น ถ้าเอ่ยเพียงคาว่า “น้ า” ผู้รบั สาร
ับอ
ย่อ มไม่เ ข้าใจว่า ค าว่ า “น้ า” ในที่น้ีผู้ส่งสารต้อ งการหมายถึงสิ่งใด แต่ถ้าผู้ส่งสารนาค ามา
ด้ร
การใช้ประโยคให้ถกู ต้องตามโครงสร้างภาษาไทย
น่า
์จําห
34 RAM 1103
ัย
ยาล
ยิง่ จากสมาคมมิตรภาพ สมศักดิ ์อย่างดียงิ่
วิท
ทาการ ผู้ ร้ า ยท าการอย่ า งอุ ก อาจชิ ง ผู้ ร้ า ยอุ ก อาจชิ ง ทรัพ ย์
หา
ทรัพย์แม่คา้ ในตลาด แม่คา้ ในตลาด
างม
ผู้ร้ายชิงทรัพย์แม่ ค้า ใน
ากท
ตลาด
อยู่ภายใต้ การบริห ารงานในโรงเรีย นอยู่ การบริ ห ารงานอยู่ ใ น
ตจ
ภายใต้การนาของผู้อานวยการ การนาของผู้อานวยการ
า
นุญ
โรงเรียน โรงเรียน
ับอ
ขึน้ อยู่กบั การจะไปเรียนต่อ ต่างประเทศ ก า ร จ ะ ไ ป เ รี ย น ต่ อ
ด้ร
ของเธอ แล้วแต่การตัดสินใจของ
ย
เธอ
ร่โด
การเน้ นน้าหนักประโยคเพื่อสื่อสารอารมณ์
น่า
์จําห
RAM 1103 35
ัย
ยาล
เราสามารถใช้เสียงแสดงฐานน้ าหนักของประโยคได้ว่าจะให้ความสาคัญหรือให้น้ าหนักของ
วิท
เสียงอยู่ทค่ี าใด แต่ถา้ เป็ นภาษาเขียนแล้วนัน้ การทีจ่ ะสือ่ สารอารมณ์ค่อนข้างมีอุปสรรค เพราะ
หา
ภาษาเขียนไม่สามารถแสดงอารมณ์ผ่านน้ าเสียงในการพูดได้
างม
ประสิทธิ ์ กาพย์กลอนและคณะ (2561, หน้า 127) ได้กล่าวถึงฐานน้ าหนักของประโยค
ากท
ว่าสามารถแบ่งได้เป็ น 3 ตอน ได้แก่ตอนต้น ตอนกลางและตอนปลาย โดยน้ าหนัก ประโยคที่
มากที่สุดได้แก่ตอนปลายของประโยค น้ าหนักประโยคที่มนี ้ าหนักรองลงมาคือตอนต้น ส่วน
ตจ
น้ า หนัก ประโยคที่มีน้ อ ยที่สุ ด คือ ตอนกลาง นอกจากนี้ ก ารให้ค วามส าคัญ กับ น้ า หนักของ
า
นุญ
ประโยคไม่ว่าจะเป็ นตอนต้น ตอนกลางและตอนท้ายนัน้ ย่อมมีผลทาให้การสื่อสารสัมฤทธิ ์
ับอ
ผลได้เพราะผูร้ บั สารจะสามารถแปรความหมายได้จากการเน้นเสียงในน้ าหนัก ดังตัวอย่างเช่น
ด้ร
ไม่ไ
นิ ยมอันดับหนึ่ ง ย่ อ มได้ร ับ ค า
แพ
ความปลาบปลืม้ ดีใจแกครอบครัว
รือ
นั ก ศึ ก ษาสอบได้ เ กี ย รติ นิ ยม
ิมพ
อันดับหนึ่ ง
มพ
36 RAM 1103
ลักษณะของย่อหน้ า
ดังที่ไ ด้ก ล่ าวไปแล้ว ว่าย่อ หน้ าคือ การนาประโยคหลาย ๆ ประโยคมารวมกัน จะมีก่ี
ัย
ยาล
ประโยคหรือกีบ่ รรทัดก็ตาม ถ้าในย่อหน้านัน้ มีประโยคใจความสาคัญหรือมีความคิดสาคัญก็คอื
วิท
ย่อหน้าแล้ว เพราะย่อหน้าจะต้องสื่อความหมายที่ผู้ส่งสารต้องการจะส่งไปถึงผู้รบั สารเพียง
หา
หนึ่งความคิดสาคัญเท่านัน้ การเขียนย่อหน้าในแต่ละครัง้ จะต้องเริม่ ต้นบรรทัดใหม่และเว้าเข้า
างม
ไปทางขวามือ เขียนหรือขยายความคิดในย่อหน้ าจนความคิดที่จะอธิบายมีความแจ่ ม แจ้ง
ากท
กระจ่ า ง หรือ สิ้น สุ ด ความคิด ที่จ ะบรรยาย แต่ ไ ม่ ค วรเขีย นยาวจนเกิน ครึ่ง หน้ า หรือ หนึ่ ง
หน้ากระดาษ ควรมีการซอยย่อยย่อหน้าหรือที่เรียกว่ามีการจัดแบ่งประเด็น หัวข้อ เพื่อให้มี
ตจ
ความงามตา เหมาะสม
า
นุญ
ข้อสาคัญเวลาเขียนย่อหน้าควรให้ย่อหน้าแต่ละย่อหน้ามีความสัมพันธ์ สอดคล้องกัน
ับอ
เช่นย่อหน้าหนึ่งเขียนอธิบายถึงอาหารประเภทไข่เจียว ย่อหน้าต่อมาจะต้องกล่าวถึงวิธกี ารทา
ด้ร
ไม่ ท ราบจุ ด ประสงค์ข องผู้เ ขีย นว่ า ต้อ งการกล่ า วถึง อะไรกัน แน่ ร ะหว่ า งไข่เ จีย ว ไข่เ จีย ว
ยห
38 RAM 1103
ัย
ยาล
พอมาถึงเนื้อความทีก่ ล่าวว่า “ความจริงนัน้ การเรียนนับว่ามีความสาคัญต่อนักเรียนมาก...” จน
วิท
จบย่ อ หน้ า จะเห็น สื่อ ความหมายคนละใจความส าคัญ เพราะตอนท้า ยกลับ กลายพู ด ถึง
หา
ความสาคัญของการเรียน นักเรียนมัธยมศึ กษาตอนปลายไม่ควรทิ้งการเรียน นัน่ แสดงว่า
างม
ผูเ้ ขียนย่อหน้านี้เกิดความสับสน อาจจะมีความคิดอื่นเข้ามาแทรก คิดออกนอกเรือง หรือไม่รู้
ว่าจะเขียนอะไรต่อจากจุดมุ่งหมายจึงเขียนเป็ นความคิดอื่นแทน ลักษณะนี้จะทาให้ผอู้ ่านหรือ
ากท
ผูร้ บั สารเกิดความสับสนตามผูเ้ ขียนหรือผูส้ ง่ สารไปด้วย
า ตจ
นุญ
องค์ประกอบของย่อหน้ า
ับอ
จากตัว อย่างย่อ หน้ าที่ก ล่ าวไว้ข้างต้น มีล ักษณะขององค์ประกอบย่อ หน้ าปรากฏขึ้น
ด้ร
ศิล ปากร, 2551, หน้ า 194) ประโยคใจความส าคัญ หรือ ความคิด ส าคัญ คือ ประโยคที่ มี
แพ
กล่ าวว่าคือ ประโยคสนับ สนุ น มัก ปรากฏในตอนอภิป ราย และทาหน้ าที่น ารายละเอีย ดไป
น่า
สนับ สนุ น ประโยคใจความส าคัญ ของย่ อ หน้ า ดัง นัน้ ย่ อ หน้ า ในแต่ ล ะย่ อ หน้ า จึง มีป ระโยค
์จําห
RAM 1103 39
ัย
ยาล
กิจจาพิพฒั น์
วิท
หา
หลังจากย้อนรอยยุคก่อนประวัตศิ าสตร์กนั แล้ว คราวนี้เรากลับเข้ามาชมความงามของ
างม
วัด และสถานที่ทางประวัตศิ าสตร์ในเขตอาเภอเมือง เชียงใหม่กนั บ้าง หากใครชอบอากาศ
ากท
สดใสแสงแดดสวย ๆ แล้ว บรรยากาศของเชียงใหม่หน้าประตูท่าแพเป็ นพืน้ ที่ ๆ เหมาะกับการ
นัง่ ปล่อยความคิดและดูความเคลื่อนไหวของเมือง โดยเฉพาะในเวลาเช้า ๆ รถไม่พลุกพล่าน
ตจ
มากนัก ยังคงมีสามล้อถีบปั น่ รับผู้โดยสาร จากตลาดเข้าไปในซอยเล็กซอยน้อย เสียงบาน
า
นุญ
เลื่อนของประตูเหล็กร้านค้าที่ทยอยเปิ ด ฝั ง่ ตรงข้ามเป็ นเกสต์เฮ้าส์ เก่าแก่ท่เี ปิ ดมานาน ร้าน
ับอ
แลกหนังสือเก่า นักท่องเทีย่ วหลายคนกาลังนัง่ ละเลียดอาหารเช้า แม้ว่าจะเป็ นช่วงเวลาเร่งรีบ
ด้ร
(ศุภมิตร กิจจาพิพฒ
ั น์, 2555, หน้า 142-143)
ร่โด
แพ
44 RAM 1103
ลักษณะของการเขียนย่อหน้ าที่ดี
ัย
ยาล
การเขียนย่อ หน้ าเพื่อ สื่อ สารให้มีค วามชัด เจน กระชับ และมีค วามสอดคล้อ งกัน มี
วิท
ความสัมพันธ์กนั จะจากัดอยู่ทค่ี าหลัก 3 คานี้ คือ เอกภาพ สัมพันธภาพและสารัตถภาพ
หา
1. เอกภาพ
างม
คาว่าเอกภาพ พจนานุ กรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 (2556, หน้า 1431) ให้
ากท
ความหมายว่า “น.ความเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน; ความสอดคล้องกลมกลืนกัน” ดังนัน้ การเขียน
ย่อหน้านัน้ จะเป็ นในย่อหน้าเดียวกันก็ดี หรือหลายย่อหน้าก็ดี จะต้องมุงไปทีป่ ระเด็นความคิด
ตจ
หลัก การเขียนประโยคภายในย่อหน้าต้องสอดคล้องกัน เป็ นเหตุเป็ นผล สนับสนุ นความคิด
า
นุญ
หลักและรวมไปถึงหัวข้อเรื่อง ชื่อเรื่อง ตัวอย่างจากเรื่อง “ประพาสต้น” ในสืบตานาน สาน
ับอ
ประวัติ โดย ว.วินิจฉัยกุล
ด้ร
ไม่ไ
ประพาสต้น
ย
“ประพาสต้ น ” หมายถึง การเสด็ จ เยือ นราษฎร เป็ นการส่ ว นพระองค์ ใ นรัช สมัย
ร่โด
ของชาวบ้า นก็มีพ ระบรมราชโองการให้เ จ้า เมือ งรับ ไปจัด การ หรือ แม้แ ต่ ท รงเปลี่ย นตัว
ยห
รัชกาล
ิมพ
RAM 1103 45
2. สัมพันธภาพ
สัมพันธภาพหมายถึงความเกี่ยวเนื่องสอดคล้องหรือต่อเนื่องกัน สัมพันธภาพแบ่งได้ 2
ัย
ยาล
แบบ คือสัมพันธภาพในย่อหน้าเดียวกันและสัมพันธภาพระหว่างย่อหน้า สัมพันธภาพในย่อ
วิท
หน้าเดียวกันคือมีการจัดระเบียบความคิด โดยเรียงลาดับว่าความคิดใดมาก่อนและหลัง การ
หา
เรียงลาดับความคิดในย่อหน้าสามารถเรียงลาดับตามเหตุผล ตามเวลา ตามลาดับความสาคัญ
างม
ตามทิศทาง ทัง้ นี้อาจจะมีคาเชื่อมในย่อหน้าที่ช้ใี ห้เห็นว่า ความต่อเนื่องหรือเกี่ยวเนื่องของ
ากท
ประโยคในย่อหน้า เช่น นอกจากนี้ นอกจากนัน้ กล่าวโดยสรุป ด้วยเหตุดงั กล่าว จะเห็นได้ว่า
ตัวอย่างเช่น เป็ นต้น (คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร,
ตจ
2551, หน้า 198-199)
า
นุญ
ส่วนสัมพันธภาพระหว่างย่อหน้าคือ การเขียนย่อหน้านัน้ คงจะไม่ได้สน้ิ สุดเพียงย่อหน้า
ับอ
เดียว เพราะบางเวลาถ้าเราเขียนเขียนบทความ เขียนหนังสือ ส่วนประกอบของบทความ 1
ด้ร
แนวความคิดของสัมพันธภาพเข้ามาประสานการเขียนให้เกิดความราบรื่นต่อกัน ตัวอย่างจาก
แพ
ปลูกเรือน
์จําห
46 RAM 1103
ัย
ยาล
มะงัวไม่
่ เคยเห็นค่ะ
วิท
(ว.วินิจฉัยกุล, 2553, หน้า 30-31)
หา
างม
ย่อหน้าข้างต้นเป็ นบทความเชิงปกิณกะทีใ่ ห้สาระความรูแ้ ก่ผอู้ ่าน ภาษาทีใ่ ช้เป็ นภาษา
ากท
กึ่งแบบแผน ดังนัน้ เมื่อไม่ใช่งานเขีย นประเภทบทความวิชาการหรือหนังสือสารคดีโดยตรง
ลักษณะการเขียนย่อหน้าจะเป็ นการเขียนแบบย่อหน้าขนาดสัน้ เพื่อให้ความสาคัญต่อประเด็น
ตจ
ความคิดแต่ละย่อหน้า ๆ
า
นุญ
ตัวอย่างงานเขียนอีกเรื่องที่แสดงถึงการเขียนย่อหน้าที่มสี มั พันธภาพระหว่างย่อหน้า
ับอ
และเป็ นย่อหน้าขนาดยาว คือ งานเขียนเชิงปกิณกะอย่างสารคดีเรื่องพาเที่ยววันวานกับคุณ
ด้ร
กินอะไรก็สงกิ
ั ่ นตามใจชอบ แต่แม่ครัวจะต้องจัดอาหารแต่ละอย่างไม่ให้ซ้ากันเลย ถือเป็ นปาก
แพ
อาหารอีกจานหนึ่ง
์จําห
RAM 1103 47
3. สารัตภาพ
ัย
ยาล
สารัตภาพคือ การเน้นใจความสาคัญของย่อหน้าเพื่อ ชี้ให้เห็นว่าประเด็นความคิดใดมี
วิท
ความสาคัญ อาจจะปรากฏอยู่ใ นต าแหน่ งของประโยคใจความสาคัญ ซึ่งสามารถอยู่ไ ด้ท งั ้
หา
ตอนต้น ตอนท้าย โดยเฉพาะถ้าการเน้นประโยคใจความสาคัญอยู่ตอนท้าย ผูอ้ ่านจะสนใจมาก
างม
(คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 2551, หน้า 200)
ากท
อาจเป็ นเพราะว่ าต าแหน่ งที่อ ยู่ต อนท้า ยจะดึงดูดความสนใจผู้อ่ า นได้ดีก ว่ าต าแหน่ ง ที่อ ยู่
ตอนต้นของย่อหน้า สิง่ ทีส่ าคัญคือข้อความทีเ่ น้นย้านัน้ จะมีน้ าหนักน่าเชื่อถือและคล้ายกับเป็ น
ตจ
การกล่าวปิ ดท้ายย่อหน้าด้วย ตัวอย่างเช่นเรื่อง “มงคล” ใน ชีวติ สอนชีวติ : ปรัชญาชีวติ โดย
า
นุญ
จิตรา ก่อนันทเกียรติ
ับอ
ด้ร
มงคล
แพ
นกเทพจะมีอายุยนื ถึง 1,000 ปี เรียกตุ๊กตามงคลนี้ว่า ซิว่ ท้อ มีนยั อวยพรให้มอี ายุยนื ยาว
น่า
ตลอด และยังคงทาความดีต่อไป
มพ
48 RAM 1103
บรรณานุกรมบบทที่ 2
คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. (2551). ภาษากับการ
สือ่ สาร. พิมพ์ครัง้ ที่ 3. กรุงเทพฯ : บริษทั พี.เพรส.
คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. (2543). การใช้
ภาษาไทย 1. พิมพ์ครัง้ ที่ 4. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
ัย
ยาล
คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
วิท
มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. (2551). ศิลปะการแสดงออกทางภาษา. พิมพ์ครัง้ ที่ 6.
หา
มหาสารคามสานักพิมพ์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
างม
จิตรา ก่อนันทเกียรติ. (2541). ชีวติ สอนชีวติ . พิมพ์ครัง้ ที่ 5. กรุงเทพฯ : แพรวสานักพิมพ์.
ากท
จิตรา ก่อนันทเกียรติ. (2542). กรุสมบัตขิ องความสาเร็จ. กรุงเทพฯ : แพรวสานักพิมพ์.
ชลดา เรืองรักษ์ลขิ ติ . (2544). วรรณคดีอยุธยาตอนต้น : ลักษณะร่วมและอิทธิพล. กรุงเทพฯ :
ตจ
โครงการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
า
นุญ
ประสิทธิ ์ กาพย์กลอนและคณะ. (2561). การเตรียมเพือ่ การพูดและการเขียน. พิมพ์ครัง้ ที่ 6.
ับอ
กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
ด้ร
กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน.
ร่โด
ราชบัณฑิตยสถาน.
เผย
สร้างสรรค์บุ๊คส์
ยห
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ห้า
RAM 1103 49
องค์ประกอบของการตอบข้อสอบอัตนัย
ัย
ยาล
โดยปกติแล้วข้อสอบอัตนัยมักจะเป็ นการวัดแววความรูข้ องนักศึกษาระดับอุดมศึกษา
วิท
เนื่องจากการศึกษาในระดับอุดมศึกษาจะต้องมีการวัดผลและประเมินผลด้วยการแสดงความ
หา
คิดเห็น ทัง้ นี้คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (2558,
างม
หน้า 232) ได้อธิบายเกี่ยวกับการเขียนตอบข้อสอบอัตนัยว่าเป็ นการวัดผลและประเมินผลที่
ากท
น่าสนใจว่าการตอบข้อสอบอัตนัยคือการฝึกให้นักศึกษาเกิดการเรียนรูแ้ ละการคิดในระดับขัน้
สูง ซึ่งตัวอย่างการคิดระดับขัน้ สูง เช่น การคิดวิเคราะห์ การคิดแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์
ตจ
และการคิด สัง เคราะห์ กระบวนการคิด ดัง กล่ า วแสดงให้เ ห็น ถึง วิธีก ารแสวงหาความรู้
า
นุญ
ระดับอุดมศึกษาที่ต้องอาศัยทักษะการฟั ง การพูด การอ่านและการเขียนจากการนัง่ ฟั งค า
ับอ
บรรยายและโต้ตอบแสดงความคิดเห็นกับอาจารย์ผู้บรรยาย เก็บเกี่ยวความรู้จากการจดค า
ด้ร
1. ส่วนนา
ร่โด
ชี้น าถึง ประเด็น ที่จ ะเขีย นตอบอย่ า งกว้า ง ๆ ตัว อย่ า งเช่ น ค าถาม ๆ ถึง ตัว ละครหญิงใน
รือ
2. ส่วนเนื้ อเรื่อง
ห้า
RAM 1103 51
ัย
ยาล
เกินไปโดยไม่มสี าระสาคัญหรือปราศจากความรูท้ เ่ี กีย่ วข้องกับคาตอบ
วิท
หา
3. ส่วนสรุป
างม
ส่วนสรุปคือส่วนปิ ดท้ายหรือปิ ดเรื่องของคาตอบ การปิ ดท้ายหรือปิ ดเรืองมักจะเป็ น
ากท
การกล่าวสรุปเนื้อหาหรือประเด็นที่ผู้ตอบกล่าวในลักษณะภาพรวม บางครัง้ การสรุปก็มกี าร
แสดงความคิดเห็นของผู้ตอบแทรกในระหว่างการสรุปภาพรวมของคาตอบก็ได้ เพื่อแสดง
ตจ
น้าหนักทีห่ นักแน่นของคาตอบ
า
นุญ
ับอ
ลักษณะของข้อสอบอัตนัย
ด้ร
แบบข้อความหรืออาจจะเรียกว่าการเขียนคาตอบแบบย่อหน้าก็ได้ เพราะการเขียนคาตอบ
ร่โด
ตอบ การอ่ า น เพราะการอ่ า นจะท าให้มีค วามรู้แ ละจะน าไปสู่ก ารเขีย นเพื่อ ถ่ า ยทอด
มพ
ความคิด
ห้า
52 RAM 1103
ัย
ยาล
ตอบ กวีตอ้ งการสอดแทรกคุณธรรมเรื่องความดีตดั สินทีค่ วามประพฤติ ไม่ใช่หน้าตา
วิท
หา
ส่วนการเขียนคาตอบแบบข้อความยาวหรือย่อหน้านัน้ จะมีรายละเอียดที่เพิม่ เติมจาก
างม
การเขียนคาตอบแบบประโยค เนื่องจากการเขียนตอบข้อสอบอัตนัยแบบข้อความหรือแบบย่อ
ากท
หน้าจะต้องประมวลความรู้ วิเคราะห์ความคิดและเรียบเรียงความคิด จากนัน้ จึงเรียบเรียงคา
ตอบแบบข้อความเป็ นย่อหน้า ๆ ตามลาดับความคิด ตัวอย่างเช่น
า ตจ
นุญ
นั ก ศึ ก ษาคิ ด ว่ า วรรณกรรมเรื่ อ ง “สี่ แ ผ่ น ดิ น ” สะท้ อ นข้ อ คิ ด เกี่ ย วกับ การใช้ ชี วิต
ับอ
อย่างไร จงอธิ บาย
ด้ร
ไม่ไ
ตอบ
ย
ในการดาเนินเรื่องด้วย เช่น พ่อเปรม แม่ชอ้ ย พ่อเพิม่ คุณอุ่น คุณป้ าสาย นางพิศ หรือตัว
รือ
ข้อคิดที่ได้จากการอ่านวรรณกรรมเรื่องสี่แผ่นดินมีหลายประเด็นดังที่ผู้ตอบจะนามา
ิมพ
กล่าวอย่างสังเขป
มพ
ห้า
RAM 1103 53
ัย
ละครด้วย เช่น แม่ชอ้ ย แม่ชอ้ ยเป็ นเพื่อนชาววังกับแม่พลอย มีนิสยั สนุกสนานร่าเริง ผูอ้ ่าน
ยาล
จะรู้สกึ มีความเพลิดเพลินเวลาได้อ่านวรรณกรรมและพบกับพฤติกรรมของแม่ช้อย แต่ใน
วิท
แผ่นดินที่ 4 แม่ชอ้ ยกลับเป็ นผูร้ จู้ กั การปล่อยวางและไม่ยดึ ติดอะไรกับชีวติ ทีม่ ขี ้ึนและลง แม่
หา
ช้อยรู้จกั ความสุ ขที่เกิดขึ้นกับชีวติ ประโยคหนึ่งที่แม่ช้อ ยกล่ าวกับแม่พลอยจนทาให้แม่
างม
พลอยระลึกขึ้นได้นัน้ คือตอนที่บ้านของแม่พลอยที่ใช้ชวี ติ อยู่กบั พ่อเปรมและลูก ๆ ประสบ
ากท
กับเหตุการณ์ท่รี ุนแรงคือระเบิดลง แม่พลอยจึงมาขออยู่กบั แม่ช้อยในวังก่อนที่จะไปอยู่ ท่ี
คลองบางหลวง แม่พลอยได้พูดกับแม่ชอ้ ยเกี่ยวกับสภาพความเงียบเหงาในตาหนักและใน
า ตจ
วังว่าแม่ชอ้ ยทนอยู่ได้อย่างไร แต่แม่ชอ้ ยกลับเตือนสติแม่พลอยว่าแม่พลอยไปใช้ชวี ติ ไปทา
นุญ
อะไรต่าง ๆ มากมายข้างนอก ขณะทีแ่ ม่ชอ้ ยยังคงอยู่ทเ่ี ดิมจึงได้คุน้ เคยกับสภาพของความ
ับอ
เงียบเหงาในตาหนักและในวัง แต่ตอนนี้แม่พลอยก็มาอยู่กบั แม่ช้อยในตาหนักที่เคยอาศัย
ด้ร
กันบ้างในปั จจุบนั
ย
ร่โด
โดยผ่านมุมมองของนักเขียนเองนัน้ ยังผ่านการเล่าสภาพของพระบรมมหาราชวังที่เต็มไป
เผย
เปรียบความทรุดโทรมของวังว่าคล้ายกับโครงกระดูกของสัตว์ขนาดใหญ่ และนาเสนอผ่าน
ยห
54 RAM 1103
ัย
ยาล
คาถามของข้อสอบอัตนัย คือ จงอธิบาย จงอภิปราย จงวิเคราะห์ จงเปรียบเทียบ จงวิจารณ์
วิท
1.จงอธิ บาย หมายถึงการให้รายละเอียดอย่างชัดเจน มีการวิเคราะห์ขอ้ มูลและแสดง
หา
ความรูใ้ นการตอบอย่างกระจ่างแจ้ง บางครัง้ อาจมีภาพเข้ามาประกอบการอธิบายคาตอบด้ว
างม
2.จงอภิ ปราย หมายถึงการแสดงความคิดเห็นของผูต้ อบโดยจะต้องมีการแยกประเด็น
ากท
ที่จะเขียนตอบให้มคี วามชัดเจน จากนัน้ ผู้ตอบจะต้องแสดงความเห็นในแต่ละประเด็นอย่าง
กระจ่ า งแจ้ ง มี เ หตุ ผ ลมาประกอบค าตอบ ทัง้ นี้ ค าว่ า อภิ ป ราย ในพจนานุ ก รมฉบั บ
ตจ
ราชบัณฑิตยสถาน 2554 (2556, หน้า 1,374) ให้ความหมายว่า ก.พูดชีแ้ จงแสดงความคิดเห็น
า
นุญ
3.จงวิ เคราะห์ หมายถึงการพิจารณาและแยกข้อมูลในการตอบออกเป็ นส่วน ๆ ตอบ
ับอ
ตามประเด็นทีไ่ ด้แยกไว้ ในทีน่ ้ีจะเห็นว่ามีลกั ษณะทีค่ ล้ายกับจงอภิปราย แต่แนวการตอบของ
ด้ร
คาถามจงวิเคราะห์ ส่วนใหญ่จะให้แยกแยะ
ย
แตกต่างหรือความเหมือนกันของสิง่ ทีคาถามต้องการจะให้เปรียบ
แพ
การใช้ภาษาในการตอบข้อสอบอัตนัยส่วนใหญ่เป็ นภาษาแบบแผนหรือภาษากึ่งแบบ
ิมพ
RAM 1103 55
ัย
ยาล
สื่อสารกับผูค้ นในสังคมหรือการไปติดต่อทากิจธุระกับหน่วยงานเอกชนหรือสถานทีร่ าชการใน
วิท
บางแห่งทีต่ ้องอาศัยข้อความเชิงการเขียนเพื่อสือ่ สารความต้องการของผูส้ ง่ สารไปยังผูร้ บั สาร
หา
ดัง ที่อ รอุ ร า มุ ส ิก สาร (2559, หน้ า 122) ได้อ ธิบ ายถึง การเขีย นข้อ ความติด ต่ อ กิจ ธุ ร ะว่ า
างม
“การเขียนข้อความติดต่อกิจธุระหมายถึงการเขียนข้อความเป็ นลายลักษณ์อกั ษร ซึง่ มีเนื้อหา
ากท
เกีย่ วกับงาน ธุรกิจ หน้าที ่ สิง่ ทีต่ ้องปฏิบตั ิ ซึง่ อาจเป็ นการติดต่อ ระหวางบุค คล หน่ ว ยงาน
ราชการ หน่วยงานเอกชน หรือระหว่างหน่วยงานราชการกับหน่วยงานเอกชน”
ตจ
ส่วนใหญ่การเขียนข้อความเพื่อติดต่อกิจธุระนัน้ จะมีทงั ้ การเขียนข้อความขนาดสัน้
า
นุญ
หรือที่เรียกว่าโน้ตย่อและขนาดยาวหรือเรียกว่าบันทึกข้อความทีเป็ นกิจจะลักษณะ โดยการ
ับอ
เขียนข้อความประเภทหลังมักใช้ในหน่วยงานเอกชนและราชการ ทัง้ นี้การเขียนข้อความเพื่อ
ด้ร
น าเสนอต่ อ ผู้ บัง คับ บัญ ชา (อรอุ ร า มุ ส ิก สาร, 2559, หน้ า 132-133) ส าหรับ ในเอกสาร
แพ
การเขียนข้อความขนาดสัน้
ิมพ
56 RAM 1103
ัย
ยาล
ได้นิยามไว้ เนื่องจากการเขียนข้อความขนาดสัน้ อาจจะไม่ได้หมายถึงนักศึกษาเขียนข้อความ
วิท
ถึงอาจารย์เท่านัน้ แต่อาจจะหมายถึงการเขียนข้อความขนาดสัน้ เพือ่ สาหรับติดต่อกิจอื่นด้วย
หา
ลัก ษณะของภาษาที่ใ ช้ในการเขียนข้อความขนาดสัน้ จะเป็ นข้อความที่ส นั ้ กระชับ
างม
กะทัดรัด สามารถสื่อ สารถึง ความต้อ งการของผู้ส่งสารมายังผู้ร ับสารอย่ า งตรงไปตรงมา
ากท
นอกจากนี้ควรใช้ถ้อยคาที่สุภาพ ระดับภาษามาตรฐาน เหมาะสมกับสถานะผู้ท่รี บั ข้อความ
ด้วย ตัวอย่างการเขียนข้อความขนาดสัน้ มีดงั นี้
า ตจ
นุญ
การเขียนข้อความขนาดสัน้ ถึงอาจารย์
ับอ
เรียน อาจารย์สหะโรจน์
ด้ร
ไม่ไ
ขอแสดงความเคารพเป็ นอย่างสูง
เผย
นางสาวมีนา มานี
รือ
ยห
น่า
การเขียนข้อความบันทึกทางโทรศัพท์
์จําห
ถึง จุ๊บแจง
ิมพ
มพ
RAM 1103 57
ัย
ยาล
เพื่อเชื่อมโยงให้เข้าถึงกันและกันได้ ถ้าอุปกรณ์บางประเภทชารุด เสียหายหรือมีสภาพไม่
วิท
พร้อมใช้งาน เช่น ไฟดับ พลังงานสารองหมด การสื่อสารออนไลน์ก็จะไม่สมั ฤทธิผล ์ แต่การ
หา
เขียนด้วยข้อความลงในกระดาษนัน้ ยังคงอยู่ ดังนัน้ ความรูเ้ กีย่ วกับเรื่องของการเขียนจดหมาย
างม
จึงยังมีความสาคัญในปั จจุบนั
ากท
การเขียนจดหมาย
ตจ
จดหมายคือช่องทางการสื่อสารอย่างหนึ่งที่มมี าช้านานแล้ ว ในสมัยอดีตนัน้ เรามีการ
า
นุญ
สื่อสารอยู่ไม่ก่ปี ระเภท เช่น จดหมาย โทรเลข โทรศัพท์ (บ้าน) หรือโทรศัพท์สาธารณะ ต่อมา
ับอ
จึง มีก ารสื่อ สารผ่ า นเครื่อ งมือ การสื่อ สารที่เ รีย กว่ า โฟนลิง ค์แ ละแพคลิง ค์ และขยายมาสู่
ด้ร
จดหมายเพื่อกิ จธุระ
มพ
58 RAM 1103
ัย
ยาล
เพื่อไปทาธุระกับครอบครัว โดยนักศึก ษาจะต้องแจ้งถึงเหตุผลทีต่ อ้ งลากิจ วันและเวลาทีล่ ากิจ
วิท
ตลอดจนวันและเวลาทีน่ ักศึกษาจะกลับมาเข้าเรียนปกติ หรือถ้าเป็ นจดหมายในการติดต่อซื้อ
หา
สิน ค้า หรือ ขอทราบรายละเอีย ดของสิน ค้า ที่เ ราต้อ งการกับ ร้า นค้า ก็มีล ัก ษณะคล้า ยกับ
างม
จดหมายลากิจประการหนึ่งคือแจ้งจุดประสงค์ในการเขียนจดหมาย โดยผูเ้ ขียนจดหมายจะต้อง
ากท
แสดงความประสงค์ว่าต้องการติดต่อกับร้านค้าเพื่อต้องการสินค้าหรืออยากทราบรายละเอียด
ของสินค้าชนิดใด รายละเอียดอื่น ๆ ที่จาเป็ น เช่น ลักษณะสินค้า จานวนสินค้า ชนิดและ
ตจ
ประเภท บางครัง้ ผู้ส งซื
ั ่ ้อ สินค้าอาจได้เ ห็นสินค้าผ่ านทางเว็บไซต์ของร้า นค้า แต่ต้อ งการ
า
นุญ
สอบถามข้อมูลเพิม่ เติมก็มี
ับอ
ด้ร
จดหมายสมัครงาน
ไม่ไ
ปั จจุบนั แม้การสมัครงานจะไม่ค่อยได้ใช้รูปแบบการติดต่อสารแบบจดหมายสมัครงาน
ย
จดหมายสมัครงานเป็ นเสมือนหน้าต่างบานแรกของผู้สมัครที่เข้ามาทักทายนายจ้าง
์จําห
เพราะการส่ ง จดหมายถึง นายจ้า งนั น่ ก็ แ สดงว่ า ผู้ส มัค รมีค วามสนใจในบริษัท ห้า งร้ า น
ิมพ
หน่ ว ยงาน องค์ก ร รวมทัง้ ต าแหน่ งหน้ า ที่ ๆ เปิ ดรับสมัค ร และผู้เ ขียนจดหมายก็มีค วาม
มพ
RAM 1103 59
สมัครงานจึงเป็ นสิง่ จาเป็ นอย่างยิง่ สาหรับผูท้ ส่ี มัครงานครัง้ แรก ในบทเรียนนี้จงึ จะขอกล่าวถึง
ลักษณะและรูปแบบของจดหมายสมัครงานดังนี้
ลักษณะของจดหมายสมัครงาน จะประกอบด้วยกระดาษสีขาวสะอาด ไม่มลี วดลายใด
ใดหรือ ไม่มีเ ส้น บรรทัด และไม่ใ ช้ก ระดาษที่มีต ราหน่ ว ยงาน องค์กรด้ว ย ปกติเ วลาเขีย น
จดหมายสมัค รงานนั ้น ส่ ว นใหญ่ ม ัก จะเป็ นการพิม พ์ ผ่ า นโปรแกรม ไมโครซอฟต์ เวิร์ ด
ัย
ยาล
(Microsoft Word) อยู่แล้ว ดังนัน้ จึงไม่น่าจะมีปัญหาในการพิมพ์ แต่มขี อ้ ควรระวังคืออย่าใช้
วิท
ตัวอักษรทีม่ ลี กั ษณะสะดุดตามากเกินไป ควรใช้ตวั อักษรและขนาดทีไ่ ด้รบั ความนิยม ยกเว้น
หา
แต่บางหน่ วยงานหรือองค์กรให้ผสู้ มัครงานเขียนจดหมายด้วยลายมือ ถ้าเป็ นเช่นนัน้ ผู้สมัคร
างม
ต้องเขียนด้วยลายมือทีบ่ รรจง ไม่มรี อยขีดฆ่า ระมัดระวังเรื่องการสะกดคา รวมไปถึงการสะกด
ากท
ชื่อนายจ้างหรือผูร้ บั สมัครงาน ชื่อองค์กร หน่วยงานให้ถูกต้อง ต้องท่องจาไว้ว่าจดหมายสมัคร
งานคือหน้าต่างบานแรกทีผ่ สู้ มัครงานจะได้สร้างความประทับใจให้กบั นายจ้างหรือผู้รบั สมัคร
ตจ
การใช้ภาษาและการสะกดคาจึงนับว่าเป็ นสิง่ ทีเ่ ป็ นข้อควรพึงระวัง
า
นุญ
รูปแบบของจดหมายสมัครงานมีอยู่ 2 รูปแบบ ดังที่คณะกรรมการวิชาภาษาไทยเพื่อ
ับอ
การสื่อสาร ฝ่ ายวิชาบูรณาการ หมวดวิชาศึกษาทัวไป ่ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (2560, หน้า
ด้ร
แล้ว
รือ
60 RAM 1103
ัย
ยาล
...ไม่รบั ผมเข้าทางาน ท่านจะต้องมีความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ” หรือ “ผมมีความสามารถในการ
วิท
ทางานทีไ่ ด้รบั มอบหมายเสร็จทันในเวลา 20 นาที” การกล่าวเกินความจริง แม้จะดูเหมือนว่า
หา
เป็ นการแสดงถึงความกระตือรือร้นและความปรารถนาที่จะให้นายจ้างหรือผู้รบั สมัครเห็นถึง
างม
ความตัง้ ใจ แต่ภาษาที่ใช้ก็ส่อื ให้เห็นถึงการชี้นาให้บริษทั หน่ วยงาน องค์กรจะต้องเชื่อตาม
ากท
ถ้อยคาทีผ่ สู้ มัครเขียนมาซึ่งอาจทาให้เกิดภาพลบต่อผูส้ มัครงานได้อย่างทันที อีกทัง้ อย่าเขียน
ข้อความมาในลักษณะการขอความเห็นใจอันเนื่องมาจากปั ญหาส่วนตัว อย่ากล่าวถึงความไม่ดี
ตจ
ของอดีตหัวหน้าและสถานทีท่ างานเก่า เพราะเราอาจไม่ทราบวาทัง้ ทีท่ างานใหม่และทีท่ างาน
า
นุญ
เก่าอาจรู้จกั สนิทสนมกันหรือไม่ รวมไปถึงถ้ามีการระบุเงินเดือนในจดหมายสมัครงานก็ควร
ับอ
ศึกษาถึงอัตราและขัน้ เงินเดือนทีค่ วรได้รบั ให้เหมาะสม
ด้ร
ย ไม่ไ
ร่โด
แพ
เผย
รือ
ยห
น่า
์จําห
ิมพ
มพ
ห้า
RAM 1103 61
การเขียนประวัติย่อ
ประวัตยิ ่อหรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Resume ในการรับรูท้ วไปมั ั ่ กเข้าใจว่าเป็ นการ
เขียนอธิบายบอกเล่าถึงประวัติและผลงานที่ผู้เขียนประวัติเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับ การ
ทางานมาก่ อ น การเขียนประวัติย่อเป็ นวิธีการนาเสนอความเป็ นตัวตนในอีกลักษณะหนึ่ง
เพือ่ ให้ผวู้ ่าจ้างได้รจู้ กั ล่วงหน้าก่อนทีจ่ ะมีการเรียกสัมภาษณ์อ ย่างเป็ นทางการต่อไป
ัย
ยาล
แต่โดยความเป็ นจริงการเขีย นประวัติย่อ เป็ นการเขีย นแนะน าตัว เองเพื่อ น าไปใช้
วิท
ประโยชน์ในชีวติ ประจาวันทัว่ ๆ ไป ทัง้ การสมัครงาน การสมัครขอทุนหรือการสมัครแข่งขัน
หา
ในทักษะต่าง ๆ (อรอุรา มุสกิ สาร, 2559, หน้า 178) รวมทัง้ อาจจะหมายรวมถึงการสมัครเรียน
างม
ต่อด้วยก็ได้ ดังนัน้ การเขียนประวัติย่อ จึงไม่ได้หมายถึงแต่การแนะนาตัวเองเพือใช้ใ นการ
ากท
สมัครงานเท่านัน้ หากแต่ยงั รวมไปถึงการแนะนาตัวเองต่อกิจกรรมต่าง ๆ ทีจ่ ะต้องมีการบอก
เล่าความเป็ นตัวตนแก่ผทู้ เ่ี ราจะต้องแนะนาให้รจู้ กั ตัวตนของเราได้ทราบ
า ตจ
นุญ
ลักษณะของประวัติย่อ
ับอ
การเขียนประวัตยิ ่อคือการเปิ ดเผยประวัตสิ ่วนตัวให้กบั บุคคลหรือหน่วยงานทีเ่ จ้าของ
ด้ร
องค์ประกอบของประวัติย่อ
ิมพ
1. ข้ อ มู ล ส่ ว นตัว ที่ จ าเป็ น ผู้เ ขีย นประวัติย่ อ จะต้อ งให้ร ายละเอีย ดเกี่ย วกับ ชื่อ
ห้า
RAM 1103 63
2.ประวัติการศึ กษา การเขีย นประวัติก ารศึก ษาต้อ งดูใ ห้เ หมาะสมกับ กิจ กรรมที่
ผูเ้ ขียนประวัตยิ ่อมีความเกี่ยวข้อง เช่น นายนึกคิดสมัครเข้าทางานในตาแหน่งช่างเครื่อง นาย
นึก คิดจะต้อ งเขียนประวัติก ารศึก ษาว่าสาเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพหรือ
ประกาศนียบัตรวิชาชีพชัน้ สูง หรืออาจรวมถึงระดับอุดมศึกษาถ้านายนึกคิดสาเร็จการศึกษาใน
ระดับดังกล่าว ทัง้ นี้ไม่จาเป็ นต้องกล่าวถึงการศึกษาตัง้ แต่ระดับชัน้ ประถมศึกษา มัธยมศึกษา
ัย
ยาล
3.ประสบการณ์ ก ารท างาน ประสบการณ์ ก ารท างานหรือ ประสบการณ์ ก ารท า
วิท
กิจกรรมเป็ นส่วนหนึ่งของประวัตยิ ่อทีจ่ ะสามารถนาเสนอให้เห็นถึงภาพลักษณ์การทางานหรือ
หา
การเป็ นนักกิจกรรมของผูเ้ ขียนประวัตยิ ่อได้ ทัง้ นี้ผทู้ ม่ี ปี ระสบการณ์การทางานมาก่อนเมื่อมา
างม
สมัค รงานในต าแหน่ งที่เ ปิ ด รับสมัค ร มีการเขียนเล่ า ประวัติก ารท างานอาจทาให้นายจ้า ง
ากท
พิจารณาเป็ นพิเศษ แต่บางครัง้ การทางานหลายแห่งก็อาจเป็ นข้อเสียของผูเ้ ขียนประวัตยิ ่อได้
แม้ว่าจะต้องเปลีย่ นแปลงสถานทีท่ างานเพราะมีเหตุมาจากยังไม่ได้รบั การบรรจุ หรืออาจเป็ น
ตจ
งานช่วงเวลาสัน้ ๆ ดังนัน้ จึงควรเขียนถึงการทางานเฉพาะทีส่ าคัญ ๆ เท่านัน้
า
นุญ
4.ประสบการณ์ การทากิ จกรรม การมีประสบการณ์การทากิจกรรมก็ทาให้ผู้เขียน
ับอ
ประวัตยิ ่อได้มโี อกาสแสดงถึงความมีศกั ยภาพของตนเองสมัยเรียน ย่อมทาให้ผมู้ สี ่วนร่วมใน
ด้ร
หนึ่งต่อไป
64 RAM 1103
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคาแหงที่ให้ไว้เกี่ยวกับความหมายของคาว่าดุษฎีนิพนธ์
วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์ และการค้นคว้าอิสระว่า
ัย
ยาล
ละเอียดกว้างขวางและลึกซึ้งเป็ นไปอย่างมีระบบตามระเบียบวิธีวจิ ยั และมี
วิท
คุ ณ ภาพสูง ทัง้ ทางด้า นข้อ มูล ข้อ เท็จ จริง เนื้ อ หา การใช้ภ าษา และการ
หา
นาเสนอ
างม
(สันทนา สุธาดารัตน์ บ.ก., 2561 หน้า 1)
ากท
แต่สาหรับรายงานนัน้ แม้จะมีความหมายคล้ายกันกับวิทยานิพนธ์ ดังทีน่ วภรณ์ อุ่นเรือน
ตจ
(2560, หน้า 305) ได้สรุปสาระสาคัญของการเขียนรายงานวิชาการไว้ว่า “รายงานวิชาการเป็ น
า
นุญ
ผลจากการศึก ษาค้นคว้าเรือ่ งใดเรือ่ งหนึ ง่ อย่ างมีร ะบบและมีหลัก ฐานอ้างอิง ” หากความ
ับอ
แตกต่างน่าจะอยู่ตรงทีร่ ายงานวิชาการในระดับทีผ่ เู้ รียนต้องเรียบเรียงนัน้ เป็ นส่วนประกอบใน
ด้ร
ระดับ ปริญ ญาบัณ ฑิต ที่เ ราเรีย กว่ า ภาคนิ พ นธ์ ห รือ สารนิ พ นธ์ ก็จ ะต้อ งมีแ นวทางปฏิบัติ
แพ
เหมือนกับการทาวิทยานิพนธ์
เผย
ในเอกสารนี้จะกล่ าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับการเขียนรายงานวิชาการเพื่อประกอบ
รือ
องค์ประกอบของรายงานเพื่อประกอบการศึกษา
ิมพ
66 RAM 1103
1. ส่วนนาหรือส่วนประกอบตอนต้น จะประกอบด้วย
1.1 ปกนอก จะประกอบด้วยชื่อหัวข้อรายงาน รายชื่อผูจ้ ดั ทาหรือคณะผูจ้ ดั ทาในกรณี
ที่ได้รบั มอบหมายการทารายงานเป็ นกลุ่ม รายชื่อวิชาที่รายงานฉบับนี้เป็ นส่วนหนึ่งของวิชา
ดังกล่าว คณะและมหาวิทยาลัยที่ผู้จดั ทารายงานได้สงั กัด ภาคการศึกษา ปี การศึกษา ส่วน
ใหญ่มกั จะปรากฏเป็ นข้อความทีว่ ่า “รายงานนี้เป็ นส่วนหนึง่ ของวิชาวรรณกรรมปั จจุบนั คณะ
ัย
ยาล
มนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคาแหง ภาคการศึกษาที ่ 2 ปีการศึกษา 2565” เป็ นต้น
วิท
1.2 ใบรองปก เป็ นกระดาษเปล่าหน้าว่าง ถัดจากปกนอกเข้ามา ไม่ตอ้ งมีลวดลายหรือ
หา
สีสนั แต่งแต้ม หรือมีขอ้ ความใดใดปรากฏ
างม
1.3 คานา คือส่วนที่ผู้จดั ทาหรือคณะผู้จดั ทาจะกล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการจัดทา
ากท
รายงาน และคาขอบคุณอาจารย์ประจาวิชาหรือผู้มสี ่ว นเกี่ยวข้องที่ทาให้รายงานสาเร็จไป
ด้วยดี
ตจ
1.4 สารบัญ คือการบอกรายละเอียดของเนื้อหาทัง้ หมดในรายงานที่จดั ทา โดยจะมี
า
นุญ
การเรียงลาดับตามหัวข้อใหญ่และหัวข้อเล็กหรือหัวข้อย่อย เพือ่ ให้รายละเอียด หรือในบางครัง้
ับอ
อาจไม่ตอ้ งมีหวั ข้อเล็กหรือหัวข้อย่อยก็ได้ แต่ตอ้ งมีหมายเลขหน้ากากับอยู่ทุกหัวข้อ เพือ่ บอก
ด้ร
แต่ ล ะหัว ข้อ มีค วามสัม พัน ธ์ก ัน เพื่อ ให้เ นื้ อ เรื่อ งของรายงานต่ อ เนื่ อ ง ไม่ ส ลับ วกไปวนมา
ย
หน้ า 7) ขณะเดีย วกัน ถ้ า เป็ นรายงานที่มีข นาดสัน้ อาจไม่ ต้ อ งมีห น้ า สารบัญ บอกก็ ไ ด้
แพ
เพียงหน้าสารบัญบอกหัวข้อและประเด็นของรายงาน แต่ในรายงานบางเล่มอาจมีการแทรก
ยห
เพราะเป็ น รายงานไม่ ใ ช่ ภาคนิพ นธ์ห รือ สารนิ พ นธ์ท่ีต้อ งมีร ายละเอียดหรือ ขัน้ ตอนที่เ กิน
ขอบเขตความหมายของคาว่ารายงาน มีลลี าการเขียนที่กระชับ ชัดเจน บอกกล่าวถึงหัวข้อ
ประเด็นทีผ่ จู้ ดั ทาสนใจและจะเรียบเรียงเป็ นรายงานตรงไปตรงมา
RAM 1103 67
ัย
ยาล
กัน
วิท
2.3 สรุป คือส่วนตอนท้ายของรายงาน เป็ นการกล่าวสรุปถึงผลของการศึกษาค้นคว้า
หา
และเรียบเรียงเป็ นรายงานว่าสิง่ ทีผ่ ู้จดั ทาหรือคณะผู้จดั ทาค้นคว้าและเรียบเรียงมา ได้ความรู้
างม
และคาตอบจากการศึกษาค้นคว้าอย่างไรบ้าง ส่วนใหญ่นอกจากจะสรุปผลแล้วจะต้องมีการ
ากท
อภิปรายผลและข้อเสนอแนะให้ผู้จดั ทารายงานท่านอื่นสนใจ จะได้ศึกษาตามข้อเสนอแนะ
ต่อไป
ตจ
3. ส่วนสรุปหรือส่วนประกอบตอนท้ าย คือ ส่ว นท้ายของรายงานที่จดั ทา มักจะมี
า
นุญ
องค์ประกอบย่อย 3 หัวข้อ คือบรรณานุ กรม ภาคผนวกและดัชนี บรรณานุ กรมคือรายการ
ับอ
หนังสือตลอดจนข้อมูลออนไลน์ท่ผี ู้จดั ทาได้ไปค้นคว้าเพือมาเป็ นข้อมูลในการจัดทารายงาน
ด้ร
ภาคผนวกคือ รายละเอีย ดเพิ่ม เติม ที่ผู้ จ ัด ท าต้ อ งการเสริม ความรู้ ห รือ เสริม ข้อ มู ล ที่อ ยู่
ไม่ไ
อ่านทบทวนอีกครัง้ ในรายงาน
แพ
เผย
กระบวนการทารายงานเพื่อประกอบการศึกษา
รือ
การเขียนโครงเรื่องรายงาน การเขียนรายการอ้างอิงและบรรณานุกรม
์จําห
ิมพ
1. การเลือกหัวข้อเรื่อง
มพ
หัวข้อเรื่องหรือประเด็นในการศึกษาคือหัวใจสาคัญของการจัดทารายงาน กล่าวคือถ้ า
ห้า
68 RAM 1103
ัย
ยาล
จะอ่ า นหนั ง สือ เล่ ม นี้ ต่ อ ไปอีก ดีห รือ ไม่ นั น้ อาจจะต้ อ งอาศัย องค์ก ารอ่ า นโดยส ารวจจาก
วิท
โครงสร้างของหนังสือเพื่อกระตุ้นความสนใจด้วย คือ สารวจหน้าชื่อเรื่องและคานาของหนังสือ
หา
สารวจสารบัญ สารวจดัชนี สารวจคาชมที่ใ บหุ้มปกหนังสือ อ่านบทที่เป็ นหัวใจสาคัญ ของ
างม
หนังสือ และเปิ ดอ่านบางหน้าและอ่านสรุปหน้าท้ายเพือ่ เข้าใจสาระสาคัญ (ปรีชา ช้างขวัญยืน,
ากท
2525, หน้า 76-77)
การเลือกหัวข้อเรื่องจะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับขนาดความยาวของจานวนหน้ า
ตจ
รายงานด้วย ดังทีก่ ล่าวไปแล้วว่าการจัดทารายงานควรมีความยาวประมาณ 15-20 หน้า พิมพ์
า
นุญ
ในกระดาษสีขาวไม่มเี ส้นหรือเขียนด้วยลายมืออ่านง่ายในกระดาษรายงาน การกาหนดจานวน
ับอ
หน้าของรายงานมีผลต่อการเลือกหัวข้อเรื่อง ถ้าหัวข้อเรื่องกว้างก็อาจจะจัดทาได้ไม่เสร็จตาม
ด้ร
ได้ ว่ า หัว ข้ อ ท้ า ยสุ ด น่ า จะเหมาะสมกั บ การจัด ท ารายงานขนาด 15-20 หน้ า พร้ อ มมี
ร่โด
เพราะหัวข้อเรื่องกว้างเกินไป
เผย
รือ
2. การเขียนโครงเรื่องรายงาน
ยห
พิจารณาว่าจะกล่าวถึงเนื้อหาและประเด็นอะไรบ้าง มีการเรียงลาดับรายการความคิดก่อนและ
์จําห
กาหนดทิศทางของรายงานให้เป็ นไปตามจุดมุ่งหมายที่เราวางไว้ในตอนต้นว่าจะศึกษาอะไร
มพ
RAM 1103 69
ัย
ยาล
กาพย์กลอนและคณะ, 2557, หน้า 41) ลักษณะการเขียนโครงเรื่องนัน้ ถ้าเป็ นหัวข้อใหญ่จะอยู่
วิท
ชิดติดริมขอบ หัวข้อรองก็จะต้องเขียนย่อหน้าเข้ามาเว้าเข้ามาทางขวามือ และถ้ามีหวั ข้อย่อย
หา
ก็จะต้องย่อหน้าเข้ามาอีก อย่าให้ตรงกับหัวข้อรอง และการเขียนคาหรือข้อความกากับหัวข้อก็
างม
ต้องเว้าเข้ามาทางขวามือ
ตัวอย่างการเขียนโครงเรื่อง
ากท
ตัวละครชายในวรรณคดีไทยสมัยรัตนโกสิ นทร์
ตจ
1. บทนา
า
นุญ
2. ความหมายและความสาคัญของตัวละครชาย
ับอ
2.1 ความหมายของตัวละครชาย
ด้ร
2.1.1 บทบาทสมมติ
ไม่ไ
2.1.2 ภาพจินตนาการ
ย
2.2 ความสาคัญของตัวละครชาย
ร่โด
3. ตัวละครชายในวรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์
รือ
3.1 ขุนแผน
ยห
3.2 พระอภัยมณี
น่า
3.3 อิเหนา
์จําห
3.4 ไกรทอง
ิมพ
3.5 ระเด่นลันได
มพ
3.6 คาวี
ห้า
3.7 พระสังข์
3.8 พระเวสสันดร
4. สรุป
70 RAM 1103
ัย
ยาล
วิท
การเขียนรายการอ้างอิ งและบรรณานุกรม
หา
รายการอ้างอิงคือข้อมูล รายละเอียดเกีย่ วกับสิง่ ทีผ่ จู้ ดั ทารายงานไปสืบค้น ค้นคว้าเพือ่
างม
มาประกอบการอ้างความน่ าเชื่อถือหรืออ้างหลักฐานเพื่อสนับสนุ นการวิเคราะห์ในรายงาน
ากท
รายการอ้างอิงมีทงั ้ ข้อมูลที่เป็ นปฐมภูมแิ ละทุตยิ ภูมิ ข้อมูลที่เป็ นปฐมภูมิ เช่น จารึก ใบลาน
สมุ ด ไทย ใบจุ้ ม ใบบอก ข้อ มู ล ที่เ ป็ นทุ ติย ภู มิ เช่ น หนั ง สือ สื่อ วีดิท ัศ น์ เว็บ ไซต์ แถบ
ตจ
บันทึกเสียง เป็ นต้น
า
นุญ
การเขียนรายการอ้างอิงมีอยู่หลายวิธี เช่น การอ้างอิงแบบเชิงอรรถ การอ้างอิงแบบ
ับอ
ระบบนาม-ปี การอ้างอิงแบบเชิงอรรถเป็ นการเขียนรายการอ้างอิงทีม่ คี วามละเอียดเพราะต้อง
ด้ร
เป็ นต้น
รือ
ยห
อยู่ในวงเล็บ
RAM 1103 71
ัย
ยาล
(สหะโรจน์ กิตติมหาเจริญ, 2563, หน้า 4)
วิท
หา
ตัวอย่างการเขียนรายการอ้างอิ งแบบระบบนาม-ปี แบบที่ 3
างม
สหะโรจน์ กิต ติม หาเจริญ (2563 : 4) ได้ก ล่ า วถึง ความหมายสุ ภ าพบุ รุ ษ ไว้ว่ า “ค าว่ า
ากท
‘สุภาพบุรุษ’ ก็คอื ความเป็ นชาย (Masculinity) รูปแบบหนึ่งทีส่ งั คมประกอบสร้างขึน้ และรับรู้
ในฐานะความเป็ นชายแบบใหม่ทพ่ี ยายามรือ้ ถอนความเป็ นชายแบบชายเป็ นใหญ่”
า ตจ
นุญ
การเขียนรายการอ้างอิงแบบทีไ่ ด้รบั ความนิยมมากทีส่ ุดก็คอื การเขียนอ้างอิงแบบระบบ
ับอ
นาม-ปี เนื่องจากมีความสะดวกในการใส่ขอ้ มูลอ้างอิง ไม่ต้องกังวลเกีย่ วกับการใส่รายละเอียด
ด้ร
บางประการให้มคี วามยุ่งยาก
ย ไม่ไ
ร่โด
การเขียนบรรณานุกรม
แพ
จะต้อ งมีก ารเรีย งล าดับ ตามพยัญ ชนะและสระ คล้า ยคลึง กับ การเรีย งค าในพจนานุ ก รม
รายละเอียดของการเขียนบรรณานุกรม จะบอกสาระสาคัญของหนังสือเล่มนัน้ ๆ ได้แก่ ชื่อผู้
ิมพ
แต่ ง ปี ที่พ ิม พ์ ชื่อ เรื่อ ง เมือ งที่พ ิม พ์ ห รือ สถานที่พ ิม พ์ ส านั ก พิม พ์ บา งครัง้ การเขี ย น
มพ
72 RAM 1103
สหะโรจน์ กิต ติมหาเจริญ . (2564). วรรณกรรมปั จจุบัน (S). พิมพ์ค รัง้ ที่ 3. กรุงเทพฯ :
สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
ในกรณี ท่ีห นั ง สือ เล่ ม นั ้น เป็ นหนั ง สือ รวมบทความ จะมีก ารเขีย นรายละเอีย ดเกี่ย วกับ
บรรณานุกรมดังนี้
ัย
ยาล
สหะโรจน์ กิตติมหาเจริญ. (2556). “นางยี่เกชาย สิง่ ชารุดในยุครัฐนิยม : เรื่องเล่าชีวติ นาง
วิท
ยีเ่ กชายผ่านวรรณกรรม.” ใน นฤพนธ์ ด้วงวิเศษและปี เตอร์ เอ.แจ็คสัน , บรรณาธิการ. เพศ
หา
หลากเฉดสี : พหุวฒ ั นธรรมทางเพศในสังคมไทย, 152-175. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยา
างม
สิรนิ ธร (องค์การมหาชน).
ากท
บทความทีล่ งพิมพ์ในวารสารวิชาการ จะมีการเขียนรายละเอียดเกีย่ วกับบรรณานุกรมดังนี้
ตจ
สหะโรจน์ กิตติมหาเจริญ. 2564. “ศัตรูท่มี องไม่เห็น พ.ศ.2480-2488 : ความเจ็บป่ วยของ
า
นุญ
ประชาชนในวรรณกรรมไทย.” วารสารมนุ ษ ยศาสตร์ ฉบับบัณฑิต ศึกษา มหาวิทยาลัย
ับอ
รามคาแหง ปี ท่ี 10, ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม) : 114-131.
ด้ร
ไม่ไ
ดังนี้
ร่โด
หนังสือ 49 : 99-124.
เผย
รือ
RAM 1103 73
บรรณานุกรมบทที่ 3
คณาจารย์ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (2549).
การค้นคว้าและการเขียนรายงาน. พิมพ์ครัง้ ที่ 7. กรุงเทพฯ : โครงการเผยแพร่ผลงาน
ทางวิชาการคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. (2543). การใช้
ัย
ยาล
ภาษาไทย 1. พิมพ์ครัง้ ที่ 4. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
วิท
คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. (2551). ภาษากับการ
หา
สือ่ สาร. พิมพ์ครัง้ ที่ 3. กรุงเทพฯ : บริษทั พี.เพรส.
างม
คณาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. (2558). ภาษาไทย
ากท
เพือ่ การสือ่ สาร. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร.
คู่มอื การจัดทาดุษฎีนิพนธ์ วิทยานิพนธ์ สารนิพนธ์และการศึกษาอิสระ. (2561). กรุงเทพฯ :
ตจ
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
า
นุญ
นวภรณ์ อุ่นเรือน. (2560). ภาษาไทยเพือ่ สือ่ สารในงานอาชีพ. กรุงเทพฯ : ซีเอ็ดยูเคชัน.่
ับอ
ประสิทธิ ์ กาพย์กลอนและคณะ. (2561). การเตรียมเพือ่ การพูดและการเขียน. พิมพ์ครัง้ ที่ 6.
ด้ร
กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
ไม่ไ
กรุงเทพฯ : ราชบัณฑิตยสถาน.
แพ
ทริปเพิล้ เอ็ดดูเคชัน.่
ิมพ
74 RAM 1103
ัย
ยาล
ภาษาไทยสมัยรัตนโกสินทร์ กาหนดอายุได้ตงั ้ แต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
วิท
เจ้าอยู่หวั ซึ่งภาษาไทยในช่วงเวลาดังกล่าวเริม่ ปรากฏคายืมจากภาษาตะวันตก เนืองจาก
หา
ในช่วงเวลานัน้ อารยธรรมตะวันตกได้เข้ามามีอทิ ธิพลต่อสังคมและวัฒนธรรมไทย ในปั จจุบนั
างม
คายืมจากภาษาตะวันตกโดยเฉพาะภาษาอังกฤษใช้ในการสือ่ สารในวงกว้าง หากไม่เข้าใจก็ทา
ากท
ให้การสื่อสารเป็ นไปได้ยากลาบาก สะท้อนให้เห็นถึงปฏิสมั พันธ์ระหว่างสังคมและวัฒนธรรม
ไทยกับสังคมและวัฒนธรรมอื่น ๆ
า ตจ
นุญ
ลักษณะสาคัญของภาษาไทย
ับอ
เนื่องจากภาษาไทยมาตรฐานในปั จจุบนั เป็ นภาษาทีพ่ ฒ
ั นามาอย่างต่อเนื่องจนเกือบที่
ด้ร
ทางวิชาการ กฎหมาย เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา เป็ นต้น ทัง้ นี้ ปั จจัยด้านทีต่ งั ้ ของประเทศ
ย
1. คาภาษาไทยเป็ นคาโดด
น่า
ลัก ษณะดัง กล่ า วเป็ นลัก ษณะของการออกเสีย งพยางค์ เ ดีย วแล้ ว ค าเหล่ า นั ้น มี
์จําห
ความหมาย สือ่ สารเข้าใจได้ เช่น ล้ม ลุก คลุก คลาน ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ภาษาพูดของไทยใน
ิมพ
1) คาทีใ่ ช้เรียกเครือญาติ เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง ลุง ป้ า น้า อา ปู่ ย่า ตา ยาย ส่วนคาว่า
น้องสาว น้องชาย ลูกสาว ลูกสะใภ้ ลูกเขย จัดเป็ นคาประสม ถือเปนวิธกี ารสร้างคา เพื่อเพิม่
76 RAM 1103
ัย
ล้านในคาถิน่ เหนือ, อีสาน) ตื้อ (พันล้านในคาถิน่ เหนือ, อีสาน) ติว่ (หมื่นล้านในคาถิน่ อีสาน)
ยาล
นอกจากนี้ ในภาษาไทยถิน่ เหนือ อีสาน และภาษาลาว ยังเรียกลาดับลูกชายว่า อ้าย ยี่ สาม
วิท
หา
ไส งัว่ ลก... และเรียกลาดับลูกสาวว่า เอย อี่ อาม ไอ่ อัว้ อก...เป็ นต้น
างม
3) คาที่ใช้เป็ นสรรพนามในการสื่อสารระหว่างบุคคล คาที่ใช้แทนตัวผู้พูด ผู้ฟัง และ
ากท
บุคคลที่ 3 ในภาษาไทยมาตรฐานและภาษาไทยถิน่ อื่น ๆ รวมทัง้ ภาษาไทยนอกประเทศจะใช้
สรรพนามคล้ายกัน คาเหล่านี้เป็ นคาพยางค์เดียว หรือหากเป็ นคา 2-3 พยางค์ ก็เป็ นการ
า ตจ
ประสมคา เช่น อ้าย อี กู มึง ตู สู เจ้า ข้าเจ้า เป็ นต้น ส่วนคาสรรพนามในภาษาไทยมาตรฐาน
นุญ
ได้พฒ ั นาจนมีคาสรรพนามมากขึน้ โดยนาคาโดดมาประสมกัน แสดงถึงความนอบน้อม ความ
ับอ
ด้ร
เขียนหรือภาษาราชการ มักใช้คายืมจากภาษาบาลี-สันสกฤตเพื่อให้เกิดความสละสลวยมาก
ร่โด
ทัวไปของภาษาถิ
่ น่
รือ
เพีย้ นกันไปบ้างตามลักษณะทัวไปของภาษาถิ
่ น่
์จําห
ิมพ
ประโยค
ห้า
RAM 1103 77
ัย
แต่จะมีคาช่วยอื่น ๆ มาประกอบคานามว่ามีจานวนมาก เช่น ช้างสองเชือก ช้างหลายโขลง
ยาล
กระทิงฝูงใหญ่ ฯลฯ และเมื่อ เป็ นประธานของประโยคก็ไ ม่จ าเป็ นต้อ งเปลี่ย นรูปค าทัง้ ทัง้
วิท
หา
ประธานและกริยาของประโยคเพือ่ แสดงว่าเป็ นพหูพจน์หรือเอกพจน์อกี ด้วย
างม
ส่ว นการกและวาจก เป็ นการเปลี่ยนแปลงรูปค าที่เ ป็ น ประธานหรือ เป็ นกรรมของ
ากท
ประโยค ซึ่งต้องสัมพันธ์กบั คาที่ทาหน้าที่เป็ นกริยาของประโยคด้วย ซึ่งในภาษาไทยไม่ต้อง
เปลี่ยนแปลงรูปคาศัพท์ใด ๆ เพื่อบอกว่าคานี้เป็ นประธานหรือกรรม แต่ภาษาไทยจะใช้วธิ ี
า ตจ
เรียงค าในประโยคแทนการเปลี่ย นแปลงรูปศัพท์เ พื่อ บอกการกดังกล่ าว โดยรูปแบบขอ ง
นุญ
ประโยคในภาษาไทย ประธานจะวางไว้หน้าประโยค และอยู่หน้าคากริยาเสมอ และคาที่ทา
ับอ
ด้ร
ใหม่ เ พื่อ ใช้เ รีย กชื่อ สิ่ง ประดิษ ฐ์ใ หม่ หรือ ศัพ ท์ท างวิช าการ เช่ น ญาณวิท ยา อภิป รัช ญา
ห้า
กลศาสตร์ ปฏิวตั ิ อธิการบดี อัตลักษณ์ วัฒนธรรม มโนทัศน์ คติชน อนามัย ฯลฯ ซึ่งค าที่
ยกตัวอย่างข้างต้น ไม่ใช่คาประสมตามระบบการสร้างคาแบบภาษาคาโดด เพราะคาที่นามา
78 RAM 1103
ัย
ความหมายใหม่ คาประสมนี้เป็ นการสร้างคา และพัฒนาคาศัพท์ภาษาไทยมากทีส่ ุด เช่น แม่
ยาล
ซือ้ พริกหวาน เหล้าต๊อก บัวลอย รองเท้า ถุงมือ หาเรื่อง ฯลฯ
วิท
หา
2) คาซ้อน คือการนาคามูลมาประสมกัน เพียงแต่คามูลนัน้ มีความหมายใกล้เคียงหรือ
างม
เหมือนกัน จึงเรียกว่าคาซ้อน เมื่อนาคามูลที่มคี วามหมายใกล้เคียงหรือเหมือนกันมาประสม
ากท
กันแล้ว ต้องเกิดคาใหม่ท่มี คี วามหมายใหม่ จึงจะเป็ นการสร้างคาศัพท์ เช่น ตัดสิน ต้มตุ๋ น
ดูดดื่ม ขมขืน่ เย็นชา เยือกเย็น ถากถาง ฯลฯ
า ตจ
ทัง้ นี้ มีคาซ้อนอีกกลุ่มหนึ่งทีค่ วามหมายยังใกล้เคียงกับคามูลเดิม เพียงแต่เน้นให้หนัก
นุญ
แน่นขึน้ เช่น เร่าร้อน โยกย้าย ขัดแย้ง มืดมน เลวร้าย ดีงาม เลิศเลอ ชุกชุม ทิม่ แทง ฯลฯ
ับอ
ด้ร
สื่อความหมายได้ เช่น โมเม จี๊ดจ๊าด วอแว กุ๊กกิ๊ก ยุบยับ อ้อแอ้ ฯลฯ ส่วนคาซ้า คือการซ้า
ร่โด
4. ภาษาไทยใช้ระดับเสียงเปลีย่ นความหมายของคา
ยห
วรรณยุกต์เพื่อแปรความหมายของคาเหมือนภาษาไทยและภาษาจีน ซึ่งออกเสียงวรรณยุกต์
์จําห
เปลี่ย นไปความหมายจะเปลี่ย นทัน ที เช่ น กู กู่ กู้ ฉะนัน้ การเปลี่ย นเสีย งวรรณยุ ก ต์แ ล้ว
ิมพ
RAM 1103 79
พัฒนาการอักษรไทย
ก่อนกาเนิดอาณาจักรสุโขทัย กลุ่มคนไทยคงอยู่ตามบริเวณพื้นที่ต่าง ๆ ในประเทศ
ไทย โดยอยู่ปะปนกับกลุ่มชนชาติอ่นื ๆ เช่น มอญ เขมร ที่มอี ทิ ธิพลอยู่ในภูมภิ าคนี้ จนราว
พุทธศตวรรษที่ 16 กลุ่มคนไทยคงเริม่ มีความสาคัญ เพราะในภาพสลักนูนต่าที่ปราสาทนคร
วัด ปรากฏกองทัพสยามทีช่ ่วยกองทัพเขมรรบกับกองทัพจามปาด้วย
ัย
ยาล
เมื่อจักรวรรดิเขมรเริ่มเสื่อ มอ านาจลงในช่ วงพุทธศตวรรษที่ 18 กลุ่มคนไทยได้ต งั ้
วิท
บ้านเมืองขึน้ บริเวณพืน้ ทีต่ ่าง ๆ ของประเทศไทย กลุ่มบ้านเมืองเหล่านี้ ได้นาวัฒนธรรมมอญ
หา
และเขมรเข้ามาปรับใช้กบั วิถชี วี ติ ของตน รวมถึงอาณาจักรสุโขทัยที่นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อ
างม
ว่าอักษรไทยเกิดขึ้นครัง้ แรกในสมัยพ่อขุนรามคาแหง โดยสันนิษฐานกันว่าพ่อขุนรามคาแหง
ากท
นาเอาตัวอักษรมอญโบราณกับตัวอักษรขอมโบราณมาประยุกต์ร่วมกันจนเกิดเป็ นลายสือไทย
ลักษณะสาคัญของลายสือไทย มีดงั นี้ (จุไรรัตน์ ลักษณะศิร,ิ 2551, หน้า 85-87)
ตจ
1. พยัญชนะ พ่อขุนรามคาแหงทรงประดิษฐ์พยัญชนะไว้จานวน 39 ตัว ดังนี้
า
นุญ
ับอ
ด้ร
ย ไม่ไ
ร่โด
แพ
เผย
รือ
ยห
น่า
์จําห
ิมพ
มพ
ห้า
80 RAM 1103
4. เครื่อ งหมาย เครื่อ งหมายที่พ บเป็ น เครื่อ งหมายแทนสระ มีจ านวน 2 รูป คือ
เครื่องหมายฝนทอง และเครื่องหมายนิคหิต ส่วนเครื่องหมายประกอบการเขียนพบ 2 รูปคือ
เครื่องหมายขึน้ ต้นข้อความ และเครื่องหมายคันข้ ่ อความ
5. ตัวเลข พบ 6 ตัว คือ 1 2 4 5 7 0 ไม่พบ 4 ตัว คือ 3 6 8 9
ในส่วนของอักขรวิธขี องลายสือไทย มีรายละเอียดดังนี้ (จุไรรัตน์ ลักษณะศิร,ิ 2551,
ัย
ยาล
หน้า 97-102)
วิท
1. พยัญ ชนะและสระวางอยู่บนบรรทัดเดียวกัน และมีขนาดเท่ากัน ต่างกับอักษร
หา
ต้น แบบคือ มอญโบราณและขอมโบราณที่ว างสระไว้ร อบพยัญ ชนะคือ ข้า งหน้ า ข้า งหลัง
างม
ข้างบน และข้างล่าง ฉะนัน้ สระของลายสือไทยจึงวางอยู่ขา้ งหน้าและข้างหลังพยัญชนะเท่านัน้
ากท
2. เนื่องจากพยัญชนะทุกตัวอยู่ในบรรทัดเดียวกัน จึงไม่ปรากฏพยัญชนะตัวเชิงและ
การเขียนพยัญชนะซ้อนแบบอักษรมอญโบราณและอักษรขอมโบราณ
ตจ
3. การใช้สระ แทบทัง้ หมดของสระในลายสือไทยคือสระจม โดยมีตาแหน่งการวางต่าง
า
นุญ
ๆ คือ
ับอ
- สระอิ อี อื อุ อู เอ แอ ใอ ไอ โอ วางไว้ขา้ งหน้าพยัญชนะ ซึง่ สระอืนนั ้ ไม่ปรากฏการ
ด้ร
ว่าพระ ส่วนสระอัว หากไม่มตี วั สะกด ใช้พยัญชนะ ว สองตัว ตัวหนึ่งเป็ นไม้หนั อากาศ อีกตัว
ร่โด
4. การใช้พยัญชนะ
น่า
1) พยัญชนะต้นและสระเขียนชิดติดกัน
์จําห
2) ตัวสะกดเขียนแยกออกไปค่อนข้างชัดเจน
ิมพ
3) อักษรควบกล้า เส้นหลังของพยัญชนะตัวแรกกับเส้นหน้าของพยัญชนะตัว
มพ
ทีส่ องเขียนชิดติดกัน
ห้า
4) อักษรนา เส้นหลังของพยัญชนะตัวแรกกับเส้นหน้าของพยัญชนะตัวทีส่ อง
เขียนชิดติดกัน
82 RAM 1103
5. การใช้เครื่องหมาย
1) ไม่ปรากฏการใช้ไม้หนั อากาศ ดังนัน้ คาทีร่ ะสมด้วยสระอะ มีตวั สะกดจะใช้
พยัญชนะตัวสะกดนัน้ สองตัวแทน โดยเขียนชิดติดกัน
2) เครื่องหมายวรรณยุกต์มี 2 รูป คือ วรรณยุกต์เอกและวรรณยุกต์โท จะวาง
ไว้บนพยัญชนะต้น แต่ถ้าพยัญชนะต้นเป็ นพยัญชนะควบกล้าหรืออักษรนามักวางวรรณยุกต์
ัย
ยาล
ไว้ทพ่ี ยัญชนะตัวแรก
วิท
ต่อมาในสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ 1 (พญาลิไทย) ลักษณะของอักขรวิธมี คี วาม
หา
แตกต่างจากสมัยพ่อขุนรามคาแหง เนื่องจากหันกลับไปใช้อกั ขรวิธแี บบขอม โดยอักษรในสมัย
างม
พญาลิไ ทยได้แ พร่ไ ปยังอาณาจัก รอื่น ๆ และมีพฒ ั นาการจนเป็ นรูปแบบของตนเอง โดย
ากท
ลักษณะสาคัญของอักษรในสมัยพญาลิไทย มีดงั นี้ (จุไรรัตน์ ลักษณะศิร,ิ 2551, หน้า 108-
111)
ตจ
1. พยัญชนะ มีจานวน 40 ตัว ไม่ปรากฏตัว ฑ ฒ ฬ และ ฮ แต่พบตัว ฌ ทีเ่ พิม่ ขึน้ มา
า
นุญ
จากสมัยพ่อขุนรามคาแหง ทัง้ นี้ ได้ยกเลิกการเขียนพยัญชนะสองตัวติดกันทัง้ อักษรควบกล้า
ับอ
และอักษรนา และยกเลิกการเขียนตัวสะกดห่างจากสระหรือพยัญชนะต้น
ด้ร
2. สระ มีจานวน 25 ตัว เพิม่ ขึน้ จากเดิมอีก 4 ตัว คือ ฤ ฤา ฦ และฦา และปรากฏสระ
ไม่ไ
3. วรรณยุกต์ ยังคงปรากฏวรรณยุกต์เอกและวรรณยุกต์โทเช่นเดิม
แพ
RAM 1103 83
อักษรไทยอยุธยา
ัย
ยาล
สมเด็จ พระรามาธิบ ดีท่ี 1 ทรงสถาปนากรุ ง ศรีอ ยุ ธ ยาขึ้น ในปี พ.ศ. 1893 ซึ่ง มี
วิท
ความสัมพันธ์ทางการเมืองกับสุโขทัยและล้านนา ซึ่งสุโขทัยได้ถูกผนวกเข้าเป็ นส่วนหนึ่งของ
หา
อยุธยาในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในปี พ.ศ. 2006 (จุไรรัตน์ ลักษณะศิร,ิ 2551, หน้า
างม
135) ด้วยความสัมพันธ์ดงั กล่าว จึงเกิดการถ่ายโอนวัฒนธรรมของสุโขทัย รวมถึงรูปแบบการ
ากท
ใช้ตวั อักษรอีกด้วย โดยพัฒนาการของตัวอักษรในสมัยอยุธยา มีรายละเอียดดังนี้
ตจ
ตัวอักษรและอักขรวิ ธีในสมัยอยุธยาตอนต้น
า
นุญ
1. จานวนตัวอักษรในสมัยอยุธยาตอนต้น ทัง้ พยัญชนะและสระยังคงเหมือนกับอักษร
ับอ
สมัยสุโขทัย แต่พบการใช้เครื่องหมายไม้ยมกขึน้ เป็ นครัง้ แรก
ด้ร
ภาษาไทย
แพ
ไม้ห ัน อากาศ และเครื่อ งหมายฝนทอง เครื่อ งหมายแทนพยัญ ชนะ 1 ตัว คือ นิ ค หิต และ
น่า
เครื่องหมายประกอบการเขียน 1 ตัวคือเครื่องหมายไม้ยมก
์จําห
พยัญชนะและตัวสะกด ร่วมกับการใช้พยัญชนะตัวสะกดสองตัวแทนการใช้เครื่องหมายนี้ปะปน
มพ
อยู่เช่นเดียวกับสมัยสุโขทัย
ห้า
RAM 1103 87
ตัวอักษรและอักขรวิ ธีในสมัยอยุธยาตอนกลาง
สมัยอยุธยาตอนกลางตัง้ แต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีท่ี 2 ถึงสมัยสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช ถือว่าเป็ นช่วงเวลาที่มคี วามยาวนาน ทาให้พฒ ั นาการต่าง ๆ เป็ นไปอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงภาษาและการเขียน เริม่ ปรากฏการบันทึกลงในกระดาษฝรัง่ รวมถึงการจารึกลงบนวัสดุ
เนื้อแข็ง สมุดไทย และใบลาน โดยการบันทึกลงบนกระดาษ มักบันทึกในเรื่องการค้าขายหรือ
ัย
ยาล
หนังสือราชการ แต่หลักฐานส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะอังกฤษกับฝรังเศส ่
วิท
จานวนตัวอักษรในสมัยอยุธยาตอนกลางยังคงเท่าเดิมกับสมัยอยุธยาตอนต้น แต่มี
หา
เครื่องหมายแทนสระ 2 รูปคือเครื่องหมายไม้ไต่คู้ และเครื่องหมายฟั นหนู โดยอักษรในสมัย
างม
อยุธยาตอนกลางปรากฏอยู่ 2 รูปแบบ คืออักษรแบบธรรมดาทีส่ บื เนื่องต่อมาจากสมัยอยุธยา
ากท
ตอนต้น กับอักษรไทยย่อ เป็ นตัวอักษรที่ประยุกต์จากตัวอักษรแบบธรรมดาให้ประณีตบรรจง
มากขึ้น สันนิษ ฐานว่าได้แ บบมาจากอักษรขอมบรรจงที่ใ ช้ค วบคู่กับตัว อักษรไทยในสมัย
ตจ
สุโขทัย โดยอักษรไทยย่อพบครัง้ แรกในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และนิยมใช้อย่างมากใน
า
นุญ
สมัยสมเด็จพระนารายณ์ ตัวอักษรไทยย่อมักบันทึกเรื่องราวทีเ่ ป็ นทางการและศาสนา
ับอ
อักขรวิธใี นสมัยอยุธยาตอนกลางมีความใกล้เคียงกับอักขรวิธใี นสมัยอยุธยาตอนต้น
ด้ร
ปรากฏความแตกต่างอยู่บา้ ง เช่น
ไม่ไ
ของคาหลัง
ร่โด
สองรูป เช่น วีหาร (วิหาร) สีนค้า (สินค้า) ยีนดี (ยินดี) จีง (จึง)
รือ
ไม่มรี ะเบียบการใช้ท่แี น่ นอน เช่น หมืน (หมื่น) ตองปื น (ต้องปื น) นักหน้า (นักหนา) ถ้าใช้
วรรณยุกต์เพือ่ กากับคา มักวางวรรณยุกต์ไว้ในตาแหน่งเหมือนปั จจุบนั เช่น ถ้า ป่ า แต่เป็ นคา
88 RAM 1103
ตัวอักษรและอักขรวิ ธีในสมัยอยุธยาตอนปลาย-สมัยธนบุรี
ตัง้ แต่สมัยพระเพทราชาจนถึงสมัยสมเด็จพระที่นัง่ สุริยาศน์ อมรินทร์ ถือเป็ นช่วงที่
อยุธยาเริม่ เสื่อมถอยลงเป็ นลาดับจากปั จจัยต่าง ๆ ในด้านเอกสาร ก็ถูกทาลายไปมากจาก
สงคราม ทาให้หลักฐานในการศึกษาตัวอักษรและอักขรวิธเี หลือน้อย อย่างไรก็ตาม ในสมัย
ธนบุรกี ป็ รากฏการฟื้ นฟูดา้ นอักษรศาสตร์ทส่ี บื เนื่องมาตัง้ แต่สมัยอยุธยาตอนปลาย
ัย
ยาล
จานวนตัวอักษรในสมัยอยุธยาตอนปลาย-สมัยธนบุรี เพิม่ มาจากสมัยอยุธยาตอนกลาง
วิท
2 ตัว คือ ฑ และ ฮ ถือว่ามีพยัญชนะครบ 44 ตัว ส่วนสระเพิม่ ขึน้ จากสมัยอยุธยาตอนกลาง 5
หา
ตัว คือ สระเอะ เอียะ เอือะ อัวะ และเออะ ถือว่ ามีสระครบ 32 ตัว โดยการใช้พยัญชนะในสมัย
างม
อยุธยาตอนปลาย ปรากฏการใช้ตวั เชิงซึง่ อักขรวิธแี บบขอมปนร่วมอยู่ดว้ ย
ากท
สาหรับวรรณยุกต์ในสมัยอยุธ ยาตอนปลาย ปรากฏครบทัง้ 4 รูปคือ ไม้เอก ไม้โท
ไม้ตรี และไม้จตั วา ทัง้ นี้ ในการศึกษาทางวิชาการยังมีขอ้ ถกเถียงว่าไม้ตรีกบั ไม้จ ั ตวาเกิดขึ้น
ตจ
ในช่วงเวลาใด บางทัศนะเห็นว่าเกิดขึน้ ในสมัยอยุธยาตอนปลาย บางทัศนะเห็นว่าเพิง่ ปรากฏ
า
นุญ
ขึน้ ในสมัยธนบุรี และเริม่ ปรากฏการใช้เครื่องหมายทัณฑฆาต (การันต์) เป็ นครัง้ แรก
ับอ
รู ป แบบอัก ษรในสมัย อยุ ธ ยาตอนปลาย-สมัย ธนบุ รี ยัง คงปรากฏอยู่ 2 แบบ
ด้ร
ตอนกลาง
แพ
ตอนต้น
ยห
น่า
90 RAM 1103
ัย
ยาล
ทีส่ ุดก็เสือ่ มหายไป อักษรเฉพาะแบบมี 3 ชนิดคือ (ธวัช ปุณโณทก, 2553, หน้า 249-253)
วิท
1. อักษรอริยกะ เป็ นอักษรที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงประดิษฐ์ขน้ึ
หา
เพื่อใช้เขียนภาษาบาลีในกลุ่มพระสงฆ์ธรรมยุตกิ นิกาย รูปสัณฐานของตัวอักษรมีเค้าอักษร
างม
โรมัน (กลับหน้ากลับหลังอักษรโรมัน หรือใช้เส้นประดิษฐ์เพิม่ เติมอักษรโรมัน) อักษรอริยกะมี
ากท
พยัญชนะ 33 ตัว สระ 8 ตัว จึงใช้เขียนได้แต่ภาษาบาลีเท่านัน้ ไม่สามารถใช้เขียนภาษาไทย
ได้เพราะเสียงพยัญชนะและสระไม่ครบ
ตจ
อักขรวิธี เขียนสระไว้บรรทัดเดียวกันกับพยัญชนะ ดังนี้
า
นุญ
- สระวางไว้หลังพยัญชนะต้น
ับอ
- ถ้าเสียงสระอยู่หน้าคาใช้สระเขียนได้
ด้ร
วรรณยุกต์นนั ้ คงรูปเดิม โดยสระทีป่ รับปรุงใหม่ มีทงั ้ สิน้ 24 รูป ใช้สระเดิม 5 รูป คือ อ ฤ ฤา ฦ
ิมพ
ฦา คิดใหม่เพิม่ อีก 19 ตัว คือ อะ อา อิ อี อึ อือ อุ อู เอ แอ ไอ โอ เอา อา อัว เอีย เอือ เออ
มพ
และ เอาะ
ห้า
92 RAM 1103
ัย
ยาล
และประกาศใช้เ พียงแค่ 2 ปี คือ พ.ศ. 2485-2487 จุดประสงค์ของการเปลี่ยนอักขรวิธีใ น
วิท
ช่ ว งเวลานี้ เ นื่ อ งจากจอมพล ป. เห็น ว่ า อัก ขรวิธีแ ต่ เ ดิม นั น้ ยากแก่ ก ารอ่ า นเขีย น โดยมี
หา
หลักเกณฑ์ดงั นี้
างม
- พยัญชนะให้ตดั ออก 13 ตัว จาก 44 ตัว จึงเหลือเพียง 31 ตัว โดยตัวทีต่ ดั ออกคือ ฃ
ากท
ฅ ฆ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ศ ษ ฬ เนื่องจากเสียงซ้ากับตัวอักษรอื่น ลดความสับสนในการใช้คา
- สระให้ตดั ออก 5 ตัว จาก 34 ตัว เนื่องจากเสียงซ้ากับสระอื่น ๆ ตัวทีต่ ดั ออกคือ ใ ฤ
ตจ
ฤา ฦ ฦา
า
นุญ
- อักขรวิธี ปรับปรุงให้อ่านเขียนง่ายขึน้ ยกเลิกการเขียนซับซ้อน โดยเฉพาะคาทีเ่ ป็ น
ับอ
ภาษาบาลี-สันสกฤตเพือ่ ให้เขียนคาได้งา่ ยขึน้ เช่น วัธนธัม สมควน ภาสาไทย เป็ นต้น
ด้ร
RAM 1103 93
ัย
ราชการกับบุคคลภายนอก เฉพาะกรณีทไ่ี ม่เป็ นเรื่องสาคัญ ได้แก่
ยาล
1) การขอรายละเอียดเพิม่ เติม
วิท
หา
2) การส่งหนังสือ สิง่ ของ เอกสาร หรือบรรณสาร
างม
3) การตอบรับทราบทีไ่ ม่เกี่ยวกับราชการสาคัญหรือการเงิน
ากท
4) การแจ้งผลงานทีไ่ ด้ดาเนินงานไปแล้วให้สว่ นราชการทีเ่ กีย่ วข้องทราบ
5) การเตือนเรื่องทีค่ า้ ง
า ตจ
6) เรื่องทีห่ วั หน้าส่วนราชการระดับกรมขึน้ ไปกาหนดโดยทาเป็ นคาสังให้
่ ใช้
นุญ
หนังสือประทับตรา
ับอ
ด้ร
ย ไม่ไ
ร่โด
แพ
เผย
รือ
ยห
น่า
์จําห
ิมพ
มพ
ห้า
RAM 1103 97
ัย
นิตบิ ุคคล หรือหน่วยงานใด ๆ เพื่อวัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่งให้ปรากฏแก่บุคคลทัวไปไม่ ่
ยาล
จาเพาะเจาะจง ใช้กระดาษตราครุฑ
วิท
หา
2) รายงานการประชุ ม หมายถึง การบัน ทึก ความคิด เห็น ของผู้ม าประชุม
างม
ผูเ้ ข้าร่วมประชุม และมติของทีป่ ระชุมไว้เป็ นหลักฐาน
ากท
3) บันทึก หมายถึงข้อความที่ผู้ใต้บงั คับบัญชา หรือผู้บงั คับบัญชาสังการแก่
่
ผูใ้ ต้บงั คับบัญชา หรือข้อความทีเ่ จ้าหน้าที่ หรือหน่วยงานระดับต่ากว่าส่วนราชการระดับกรม
า ตจ
ติดต่อกันในการปฏิบตั ริ าชการ โดยปกติให้ใชกระดาษบันทึกข้อความ
นุญ
4) หนัง สือ อื่น หมายถึง หนัง สือ หรือ เอกสารใด ๆ ที่เ กิด ขึ้น เนื่ อ งจากการ
ับอ
ด้ร
ปฏิบัติง านของเจ้า หน้ า ที่ เพื่อ เป็ น หลัก ฐานในทางราชการ รวมถึง ภาพถ่ า ย ฟิ ล์ม แถบ
ไม่ไ
ชัน้ ความเร็วของหนังสือราชการ
ยห
ชัน้ ความลับ
ชัน้ ความลับของข้อมูลข่าวสารลับ แบ่งออกเป็ น 3 ชัน้ คือ
1. ลับที่สุด (Top Secret) คือข้อมูลข่าวสารลับที่หากเปิ ดเผยทัง้ หมดหรือบางส่วนจะ
ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐอย่างร้ายแรงทีส่ ุด
ัย
ยาล
2. ลับ มาก (Secret) คือ ข้อ มู ล ข่ า วสารลับ ที่ห ากเปิ ด เผยทัง้ หมดหรือ บางส่ ว นจะ
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รฐั อย่างร้ายแรง
วิท
หา
3. ลับ (Confidential) คือ ข้อ มูล ข่า วสารลับ ที่ห ากเปิ ด เผยทัง้ หมดหรือ บางส่ ว นจะ
างม
ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รฐั
ากท
การจัดทาสาเนาหนังสือราชการ
ตจ
การจัดทาสาเนาหนังสือ ราชการ โดยปกติจะจัดทาสาเนาคู่ฉบับเก็บไว้ท่ตี ้นเรื่อง 1
า
ฉบับ และสาเนาเก็บไว้ท่หี น่ วยงานสารบรรณกลาง 1 ฉบับ หากกรณที่ต้องการแจ้งให้ส่วน
นุญ
ราชการอื่นทีเ่ กีย่ วข้องทราบ ให้สง่ สาเนาให้ทราบ โดยทาเป็ นหนังสือประทับตรา
ับอ
ด้ร
ลงลายมือชื่อหรือลายมือชื่อย่อไว้ทข่ี า้ งท้ายขอบล่างด้านขวาของหนังสือ
ย
ของหนังสือ
น่า
สาเนาอิเล็กทรอนิกส์หนังสือที่หน่ วยงานสารบรรณกลางได้ส่งหนังสือด้วยระบบสาร
์จําห
ต้องเก็บเป็ นเอกสารอีก
มพ
หนังสือเวียน
ห้า
ัย
ยาล
- การเก็บ ระหว่ า งปฏิบัติ คือ การเก็บ หนั ง สือ ที่ป ฏิบัติย ัง ไม่ เ สร็จ ให้อ ยู่ ใ นความ
รับ ผิด ชอบของเจ้า ของเรื่อ ง โดยให้ก าหนดวิธีก ารเก็บ ให้เ หมาะสมตามขัน้ ตอนของการ
วิท
หา
ปฏิบตั งิ าน
างม
- การเก็บเมื่อปฏิบตั เิ สร็จแล้ว คือการเก็บหนังสือทีป่ ฏิบตั เิ สร็จเรียบร้อยแล้ว
ากท
- การเก็บไว้เพือ่ ใช้ในการตรวจสอบ คือการเก็บหนังสือทีป่ ฏิบตั เิ สร็จเรียบร้อยแล้ว แต่
ตจ
จาเป็ นจะต้องใช้ตรวจสอบเป็ นประจา ไม่สะดวกส่งไปเก็บยังหน่ วยเก็บของส่วนราชการ ให้
า
เจ้าของเรื่องเก็บเป็ นเอกเทศ โดยแต่งตัง้ เจ้าหน้าทีข่ น้ึ รับผิดชอบก็ได้ เมื่อไม่มคี วามจาเป็ นต้อง
นุญ
ใช้ตรวจสอบแล้ว ให้จดั ส่งหนังสือนัน้ ไปยังหน่วยเก็บของส่วนราชการ
ับอ
ด้ร
ความปลอดภัยแห่งชาติหรือระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ
ร่โด
ตามกฎหมายและระเบียบแบบแผนด้วยการนัน้
ยห
หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากรกาหนด
ิมพ
ให้เก็บไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี
ห้า
ัย
ในทางการเงิน เพราะได้มหี นังสือหรือเอกสารอื่นทีส่ ามารถนามาใช้อา้ งอิงหรือทดแทนหนังสื อ
ยาล
หรือเอกสารดังกล่าวแล้ว เมื่อสานักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบแล้วไม่มปี ั ญหา และไม่
วิท
หา
มีความจาเป็ นต้องใช้ประกอบการตรวจสอบหรือเพื่อการใด ๆ อีก ให้เก็บไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี
างม
ส่วนหนังสือเกี่ยวกับการเงิน ซึ่งเห็นว่าไม่มคี วามจาเป็ นต้องเก็บไว้ถงึ 10 ปี หรือ 5 ปี แล้ว แต่
ากท
กรณี ให้ทาความตกลงกับกระทรวงการคลัง
ส่วนหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ไม่มอี ายุการเก็บหนังสือ โดยปกติให้เก็บไว้ตลอดไป เว้น
า ตจ
แต่กรณีจาเป็ นต้องเพิม่ พืน้ ทีจ่ ดั เก็บในระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์หรือมีเหตุผลความจาเป็ น
นุญ
อื่นใด หากจะทาลายหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หัวหน้าส่วนราชการต้องมีคาสังให้ ่ ทาลายเฉพาะ
ับอ
ด้ร
วิธกี ารทาลายคือลบออกจากระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์และให้ลบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ท่ี
ย
ความปลอดภัยแห่งชาติ หรือระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับของทางราชการ
ิมพ
อย่างอื่น
ห้า
ัย
การติดต่อราชการให้ดาเนินการด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์เป็ นหลัก เว้นแต่
ยาล
กรณีเป็ นข้อมูลข่าวสารลับ ชัน้ ลับทีส่ ุด ตามระเบียบว่าด้วยการรักษาความลับองทางราชการ
วิท
หา
หรือเป็ นความลับของราชการชัน้ ลับที่สุดตามระเบียบสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรักษา
างม
ความปลอดภัยแห่งชาติ หรือมีเหตุจาเป็ นอื่นใดที่ไม่สามารถดาเนินการด้วยระบบสารบรรณ
ากท
อิเล็กทรอนิกส์ได้
ในกรณีทต่ี ดิ ต่อราชการด้วยระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ ให้ผสู้ ง่ ตรวจสอบผลการส่ง
า ตจ
ทุกครัง้ และให้ผรู้ บั แจ้งตอบรับเพื่อยืนยันว่าหนังสือได้จดั ส่งไปยังผูร้ บั แล้ว หากได้รบั การตอบ
นุญ
รับแล้ว ส่วนราชการผูส้ ง่ ไม่ตอ้ งจัดส่งหนังสือเป็ นเอกสารตามไปอีก
ับอ
ด้ร
ใด ๆ ได้ดว้ ยอุปกรณ์ทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น CD-ROM, Flash Drive รวมทัง้ พืน้ ทีส่ ว่ นราชการ
ห้า
ัย
ยาล
เช่นเดียวกับทะเบียนหรือบัญชีในรูปแบบเอกสาร ซึง่ ทะเบียนหรือบัญชีอเิ ล็กทรอนิกส์ จะอยู่ใน
ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์หรือจัดทาด้วยโปรแกรมต่าง ๆ เช่น Microsoft Excel, Google
วิท
หา
Sheets, Apple Numbers ฯลฯ เมื่อ มีทะเบียนหรือ บัญ ชีรูปแบบอิเ ล็กทรอนิกส์แล้ว ไม่ต้อ ง
างม
จัดทาทะเบียนหรือบัญชีใดเป็ นเอกสารอีก
ากท
การรับหรือส่งหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ให้ลงเวลาที่ปรากฏในระบบว่าส่วนราชการได้รบั
ตจ
หรือได้ส่งหนังสือไว้ในทะเบียนหนังสือรับหรือทะเบียนหนังสือส่ง แล้วแต่กรณี ไว้เพื่อเป็ น
า
หลักฐานทางราชการด้วย หากหนังสือที่ส่งทาง E-mail แล้วแตไม่สาเร็จ ให้ลงวันและเวลาที่
นุญ
ปรากฏในระบบว่าได้จดั ส่งครัง้ แรกเป็ นวันและเวลาทีไ่ ด้สง่ หนังสือ
ับอ
ด้ร
ข้อ มูล หรือ ระบบกับ ส่ว นราชการและหน่ ว ยงานอื่น ให้ข อรับ การสนับ สนุ น หรือ ขอความ
ห้า
ัย
ยาล
สาหรับภาษาที่ได้กล่าวมานี้ แม้ว่าในปั จจุบนั จะยังคงปรากฏการใช้ภาษาเหล่านี้อยู่ใน
วิท
กลุ่มชาติพนั ธุต์ ่าง ๆ แต่สงั คมไทยมีภาษาราชการอยู่เพียงภาษาเดียวคือภาษาไทย ผูค้ นทีเข้า
หา
เรียนการศึกษาในระบบจึงใช้ภาษาไทยเป็ นหลัก ทาให้กลุ่มทีใ่ ช้ภาษาอื่นค่อย ๆ ลดจานวนลง
างม
ยกเว้น กลุ่ ม ภาษามลายูท่ีย ัง คงใช้กัน มากในภาคใต้ (สตู ล ยะลา ปั ต ตานี นราธิว าส และ
ากท
บางส่วนของสงขลา) โดยเฉพาะผูท้ น่ี ับถือศาสนาอิสลาม ทัง้ นี้ ผูค้ นในอาเซียนทีเ่ ข้ามาทางาน
ในพืน้ ทีป่ ระเทศไทย สามารถใช้ภาษาเดิมของตนควบคู่กบั การใช้ภาษาไทยในการสื่อสารอย่าง
ตจ
ง่าย แต่คนไทยโดยส่วนใหญ่ใช้ได้เพียงแค่ภาษาไทยในการสื่อสาร ซึ่งอาจทาให้เกิดปั ญหาใน
า
นุญ
การทาความเข้าใจ อันอาจก่อให้เกิดปั ญหาเมื่อทางานร่วมกันได้ นอกจากนี้ แม้จะเป็ นภาษาใน
ับอ
ตระกูลเดียวกัน เช่น กลุ่มภาษามอญ-เขมร ที่ใช้กนั ในกลุ่มชาติพนั ธุ์มอญและกลุ่มชาติพนั ธุ์
ด้ร
ความหลากหลายของภาษาถิ่ น
ร่โด
ๆ มีดงั นี้
น่า
ภาษาถิน่ เหนือ เช่น แอ๊บข้าว (กล่องข้าว) ยม (เหีย่ ว,สลด) ป้ าก (ทัพพี) หนังปอง (แคบ
์จําห
ควาย)
ิมพ
ภาษาถิ่นอีส าน เช่น เว่าพื้น (นินทา) ห่าว (ตื่นตัว ) ปลาคอ (ปลาช่อ น) งึด (แปลก
มพ
ประหลาด)
ห้า
ในการรับรูข้ องคนทัวไป
่ มักเข้าใจว่าภาษาถิน่ เหนือมักใช้กนั ในภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่
เชียงราย พะเยา ลาพูน น่าน ภาคอีสาน เช่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด มุกดาหาร อุ บลราชธานี
ภาคกลาง (รวมทัง้ ภาคตะวันออกและภาคตะวันตก) เช่น สุพรรณบุรี ชัยนาท ตาก ชลบุรี
ตราด และภาคใต้ เช่น สตูล สงขลา กระบี่ ตรัง สุราษฎร์ธานี เป็ นต้น อย่างไรก็ตาม ในแต่ละ
ภูมภิ าคก็มสี าเนียงและคาทีแ่ ยกย่อยแตกต่างกันออกไปอีก รวมถึงบางพืน้ ทีท่ ม่ี กี ลุ่มคนหลาย
ัย
ยาล
กลุ่มอาศัยอยู่ เช่น นครราชสีมา ที่ปรากฏทัง้ ภาษาถิ่นกลางโคราชและภาษาถิน่ อีสาน หรือ
วิท
ฉะเชิงเทรา ทีป่ รากฏกลุ่มชาติพนั ธุ์ลาวโซ่ง ก็จะใช้ภาษาลาวโซ่งทีใ่ กล้เคียงกับภาษาถินอีสาน
หา
เป็ นต้น และในปั จจุบันภาษาถิ่นต่าง ๆ ได้ปรากฏอยู่ใ นการใช้ศพั ท์ของวัยรุ่นอีกด้วย เช่น
างม
เอาหล่าว (ภาษาถิน่ ใต้) อิหยังวะ (ภาษาถิน่ อีสาน) เป็ นต้น
ากท
ความหลากหลายของการใช้ภาษา
ตจ
การหลากคา
า
นุญ
การหลากคาคือการใช้คาทีม่ คี วามหมายอย่างเดียวกันแต่มรี ูปศัพท์ต่างกัน การหลากคา
ับอ
เป็ นสิง่ ที่แสดงคาที่มมี ากมายในภาษาไทย และยังแสดงถึงศิลปะการใช้ภาษา โดยมากแล้ว
ด้ร
การหลากค ามัก เชื่อ มโยงกับ ระดับ ความเป็ น ทางการของการใช้ภ าษา รวมถึง กาลเทศะ
ไม่ไ
ตัวอย่างเช่น
ย
มันบึง่ รถเครื่องไปหาเมีย
ร่โด
เขาขีร่ ถจักรยานยนต์ไปหาภรรยาอย่างรวดเร็ว
แพ
หรือ
เผย
หมาตัวนัน้ งับขาหล่อน
รือ
การแปรภาษา
ิมพ
ัย
ยาล
ใช้คาสแลง เน้นทีค่ วามหมายมากกว่าความสมบูรณ์ทางไวยากรณ์ เช่น หัวจะปวด ขอให้พระ
วิท
ทาโทษอย่างหนัก ชิตงั เมโป้ ง บางคามีความหมายเฉพาะกลุ่ม เช่น ตีป้อม ตัวแทงค์ ฮีล (กลุ่ม
หา
ผู้เล่นเกมออนไลน์) ผู้ส่อื สารในวัยหรือกลุ่มเดียวกันจึงจะเข้าใจความหมาย ลักษณะดังกล่าว
างม
แปรตามวัย คาสแลงเป็ นภาษาที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เกิดขึ้นและเลิก ใช้ในช่วงเวลาไม่
ากท
นานนัก แต่บางคาก็ยงั คงใช้อ ยู่ในปั จจุบัน เช่น เก๊ก หมายถึง วางท่า (มักใช้กบั ผู้ชาย) เก๋
หมายถึง ดี น่าชม ทีโ่ หล่ หมายถึง ตาแหน่งรัง้ ท้าย
ตจ
- เพศ เป็ นปั จจัยหนึ่งทีท่ าให้ภาษาต่างกัน ซึ่งในปั จจุบนั มีความหลากหลายทางเพศใน
า
นุญ
สังคมเป็ นอย่างมาก การใช้ภ าษาก็เกิดความหลากหลายตามมาด้วยเช่นกัน ในอดีตเพศเป็ น
ับอ
ตัวกาหนดว่าจะต้องใช้คาแบบใด เช่น เพศชายต้องแทนตัวเองว่าผม ส่วนเพศหญิงแทนตัวเอง
ด้ร
มีผลต่อการแปรภาษา เช่น
เผย
พรุ่งนี้ผมมีงานตอนบ่าย คงแวะไปหาคุณไม่ได้แล้ว
ยห
พรุ่งนี้ผมติดภารกิจเวลาบ่ายโมงตรง คงไม่สามารถไปพบคุณได้แล้ว
น่า
ของผู้ส่ ง สารและผู้ร ับ สารมีค วามใกล้เ คีย งกัน และมีค วามกึ่ง ทางการ และข้อ ความที่ 3
ห้า
ความสัมพันธ์ของภาษากับสังคมและวัฒนธรรมไทย
เนื่ อ งจากภาษาเป็ น ส่ว นหนึ่ ง วิถีชีว ิต และยัง เป็ น เครื่อ งมือ ที่ส าคัญ ในการถ่ า ยทอด
ความคิดของมนุษย์อกี ด้วย การศึกษาภาษาจึงเป็ นการทาความเข้าใจความคิดของคนไทยใน
แง่มุมต่าง ๆ ดังนี้
ภาษาสะท้อนคติ ความเชื่อ
ัย
ยาล
คติความเชื่อ ถือเป็ นสิ่งที่ผ่านกระบวนการคิดของมนุ ษ ย์ท่อี ยู่บนพื้นฐานของเหตุผ ล
วิท
หรือไม่กไ็ ด้ และเป็ นสิง่ ทีใ่ ช้เพื่อการดาเนินชีวติ ของมนุษย์ตามเหตุปัจจัยต่าง ๆ โดยคติความ
หา
เชื่อปรากฏอยู่ใ นทุก มิติของวิถีชีว ิต เช่น การประกอบอาชีพ ศาสนา ครอบครัว เศรษฐกิจ
างม
การเมืองการปกครอง เป็ นต้น อย่างในส่วนของความเชื่อทางศาสนา ทีค่ นไทยมีความเชื่อเรื่อง
ากท
ผีค่อนข้างเหนียวแน่และชัดเจน โดยเชื่อว่าผีสามารถบันดาลคุณโทษให้กบั ผูค้ นได้ และสะท้อน
ผ่านทางการใช้ภาษาด้วย ยกตัวอย่างการใช้สานวน เช่น
ตจ
คนดีผคี ุม้
า
นุญ
ผีซ้าด้าพลอย
ับอ
ผีถงึ ป่ าช้า
ด้ร
ผีเห็นผี
ไม่ไ
ฯลฯ
ย
โขมด ผีปอบ เป็ นต้น ต่อ มาเมื่อ สังคมไทยได้รบั คติค วามเชื่อ จากอินเดีย โดยเฉพาะพุทธ
แพ
กระท าความดี ก็จ ะได้ร ับ ผลที่ดีต ามมา แต่ ถ้ า หากกระท าชัว่ ก็จ ะได้ร ับ ผลร้ า ยตามมา
น่า
มะเกลือ มะตูม ส้มป่ อย ส้มซ่า ดองดึง หรือพันธุ์สตั ว์ ได้แก่ ตะโขง อ้น ตะเข็บ เพลี้ย กระทิ ง
เขียด รวมถึงสานวนสุภาษิตในภาษาไทยอีกด้วย เช่น
หมาเห่าใบตองแห้ง
ช้างตายทัง้ ตัวเอาใบบัวมาปิ ดไม่มดิ
ฆ่าควายอย่าเสียดายพริก
ัย
ยาล
รักวัวให้ผกู รักลูกให้ตี
วิท
ฝากเนื้อไว้กบั เสือ
หา
ฯลฯ
างม
วิถชี วี ติ ของคนไทยยังมีความผูกพันเกี่ยวกับน้ าเป็ นอย่างมาก เนื่องจากสังคมไทยเป็ น
ากท
สังคมเกษตรกรรม น้ าจึงเป็ นปั จจัยหลักทีท่ าให้ผลผลิตทางการเกษตรสมบูรณ์ และในน้ ามีผล
ต่อการดารงชีวติ ไม่ว่าจะเป็ นที่อยู่อาศัย การคมนาคม ภาษาไทยจึงสะท้อนวิถีชีวติ การอยู่
ตจ
ร่วมกับน้าของคนไทย โดยมีตวั อย่างดังนี้
า
นุญ
ฝนตกไม่ทวฟ้ ั่ า
ับอ
ฝนแปดแดดสี่
ด้ร
น้ามาปลากินมด น้าลดมดกินปลา
ย
น้าลดตอผุด
แพ
ฯลฯ
เผย
สุขใดไม่เท่าล้วงกระเป๋ าแล้วเจอตังค์
น่า
สายเปย์เซมาทางนี้
์จําห
พันห้าพีว่ ่าไง
ิมพ
ฯลฯ
ัย
ยาล
ฯลฯ
วิท
ในปั จจุบนั การสื่อสารโดยมากมักผ่านการพิมพ์ผ่านช่องทางต่าง ๆ ในสื่อออนไลน์ ซึ่ง
หา
เกิดรูปแบบของภาษาใหม่ ๆ ตามบริบทต่าง ๆ กัน หรือเกิดจากข้อผิดพลาดระหว่างพิมพ์ แต่
างม
ทัง้ ผู้รบั สารและผู้ส่งสารเข้าใจร่วมกันได้ เช่น เมพขิง ๆ (เทพจริง ๆ) ลาก่อย (ลาก่อน) หรือ
ากท
การใช้ภาษาในรูปแบบของการเปลีย่ นเสียงหรือกร่อนคาเพื่อให้การสนทนานัน้ ไม่เป็ นทางการ
จนเกินไป เช่น
ตจ
เกินปุยมุย้ (เกินไปมัย้ )
า
นุญ
เยิฟ ๆ (เลิฟ ๆ)
ับอ
ตุย (ตาย)
ด้ร
นุด (มนุษย์)
ไม่ไ
สูข่ ติ (ตาย)
ย
ถถถ (555)
ร่โด
เผือก (เสือก)
แพ
ฯลฯ
เผย
รือ
ยห
น่า
์จําห
ิมพ
มพ
ห้า
ัย
ยาล
อาบน้าร้อนมาก่อน
วิท
ฯลฯ
หา
แต่ก็ปรากฏสานวนหรือกลุ่มคาที่บ่งบอกถึงผู้อาวุโสที่ไม่ได้ทาประโยชน์ใด ๆ เช่น แก่
างม
กะโหลกกะลา ทัง้ นี้ ยังมีคาสรรพนามที่ใช้เรียกกันอย่างเป็ นทางการ เช่น คุณ ท่าน กระผม
ากท
ดิฉนั ซึง่ แม้จะให้ความรูส้ กึ ทีเ่ ป็ นทางการ แต่กห็ ่างเหินซึง่ ขัดกับลักษณะนิสยั ของคนไทยทีช่ อบ
ความเป็ นกันเอง
ตจ
ในปั จจุบนั รูปแบบความสัมพันธ์ของผูค้ นในสังคมไทยมีหลากหลาย ทัง้ ในรูปแบบของ
า
นุญ
คู่รกั ครอบครัว แต่ท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงโลกทัศน์และวิถีชีวติ
ับอ
ของผูค้ นทีม่ คี วามหลากหลาย ทาให้ความสัมพันธ์มที งั ้ แง่บวกและแง่ลบ และปรากฏออกมาใน
ด้ร
รูปแบบของการใช้ภาษา เช่น
ไม่ไ
ครอบครัวไม่ใช่เซฟโซน
ย
ป้ าข้างบ้านไม่หยุดเผือกเรื่องของเราเสียที
ร่โด
นกบ่อยจนจะเป็ นพญานกแล้ว
แพ
รอเมียพีต่ ายแล้วไลน์มาหาหนู
รือ
ฯลฯ
น่า
์จําห
ิมพ
มพ
ห้า
ัย
ยาล
คุ ณ ประโยชน์ ใ ห้ผู้ฟั ง รับ รู้แ ละเกิดการตอบสนองสัมฤทธิผ์ ลตรงตามจุด มุ่ งหมายของผู้พูด
วิท
(สวนิต และถิรนันท์ 2547, 1)
หา
กล่าวโดยสรุป การพูดจึงเป็ นรูปแบบหนึ่งในการสื่อสารทีผ่ พู้ ูดใช้เพื่อถ่ายทอดสารไปสู่
างม
ผู้ฟังตามความประสงค์ของตน ซึ่งอาจประกอบด้วยถ้อยคา รวมทัง้ บุคลิกและกิรยิ าอาการที่
ากท
ชวนให้ตดิ ตาม การพูดจึงเป็ นทัง้ ศิลป์ และศาสตร์ ทีเ่ ป็ นศิลป์ เพราะเป็ นวิชาทีต่ ้องมีการศึกษา
เล่ า เรีย น จะต้อ งหมัน่ ฝึ ก ฝนจนเกิด ความช านาญและมีค วามมัน่ ใจ สามารถพูด ได้อ ย่ า ง
ตจ
คล่องแคล่ว เป็ นไปดังใจคิ ่ ด ในส่วนที่เป็ นศาสตร์เพราะการพูดที่ดีนัน้ ย่อ มประกอบไปด้ว ย
า
นุญ
หลัก เกณฑ์แ ละวิธีก ารต่ า ง ๆ ที่ต้ อ งยึด ถือ เป็ น แนวทางเพื่อ น ามาปฏิบัติ ผู้พู ด จะต้ อ งมี
ับอ
วัตถุประสงค์ในการพูดทีแ่ น่ชดั มีการใช้ถ้อยคา น้ าเสียงและกิรยิ ามารยาททีเ่ หมาะสมกับวาระ
ด้ร
ความจริงใจและความรับผิดชอบต่อการพูดของตน
ย
ร่โด
วัตถุประสงค์ของวิ ชาการพูด
แพ
1. เพื่อ ให้ส ามารถส่ง สารไปสู่ ผู้ฟั ง ได้อ ย่ า งมีป ระสิท ธิภ าพ หากการ
รือ
สื่อสารด้วยการพูดสัมฤทธิผล ์ ย่อมทาให้ผู้พูดและผู้ฟังเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง
ยห
และโอกาสในการพูด
มพ
ัย
ยาล
ผูฟ้ ั งเกิดความเลื่อมใส ศรัทธา
วิท
หา
ความสาคัญของการพูด
างม
การพูดเป็ นเรื่องของการสือ่ ความหมายซึ่งกันและกันในสังคม จึงนับว่ามีอทิ ธิพล และมี
ากท
ความสาคัญต่อชีวติ ประจาวันเป็ นอย่างมาก โดยในที่น้ีจะขอยกความสาคัญของการพูด มา
ตจ
ชีแ้ จงพอเป็ นสังเขปดังนี้
า
1. การพูดก่อให้เกิดความเข้าใจง่ายกวาสือสารประเภทอื่น เพราะการ
นุญ
พูดต้องใช้น้ าเสียง กิรยิ าท่าทาง ถ้อยคา ตลอดจนสีหน้าแววตาของผูพ้ ูดประกอบ
ับอ
ซึง่ จะช่วยให้ผฟู้ ั งเข้าใจสารของผูพ้ ดู ได้งา่ ยกว่าการอ่านเพียงอย่างเดียว
ด้ร
ลุล่วงไปด้วยดี
เผย
ช่วยส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างบุคคลในสังคม
น่า
ระดับของการสื่อสารด้วยการพูด
การพูดถือเป็ นกระบวนการในการสื่อสารของมนุษย์ ซึ่งหากไม่นับรวมการสื่อสารกับ
ตนเองแล้ว การสื่อสารของมนุ ษย์อาจแบ่งได้เป็ น 4 ประเภทใหญ่ ๆ คือ การสื่อสารระหว่าง
บุคคล การสือ่ สารในกลุ่ม การสือ่ สารในทีช่ ุมชน และการสือ่ สารมวลชน การสือ่ สารโดยการพูด
ของมนุ ษย์จงึ สามารถแบ่งเป็ น 4 ประเภท เช่นเดียวกัน ดังนี้ (สวนิต และถิรนันท์ 2547, 12-
ัย
ยาล
14)
วิท
1. การพูดระหว่างบุคคล
หา
การพูดระหว่างบุค คลเป็ นการพูดขัน้ พื้น ฐานที่สุ ดของสังคมมนุ ษ ย์ไ ม่ว่า จะมีฐ านะ
างม
อาชีพ หรือหน้าที่การงานอย่างไรก็ตาม จาเป็ นต้องใช้การพูดในระดับนี้อยู่ตลอดเวลา เริม่
ากท
ตัง้ แต่การทักทาย การถามสารทุกข์สุขดิบ การสนทนา ไปจนถึงการถกเถียง การปรึกษาหารือ
ตจ
ลักษณะสาคัญของการพูดระหว่างบุค คลคือ ไม่มขี ้อจากัดว่าแต่ละช่ว งของการพูด
า
จะต้องใช้เวลามากน้อยเท่าไร ขึ้นอยู่กบั กาลเทศะและความเหมาะสม อาจใช้เวลาเพียง 4-5
นุญ
นาที หรือในบางโอกาสอาจใช้เวลาถึงหนึ่งชัวโมงหรื
่ อนานกว่านัน้ ก็มี
ับอ
ด้ร
การพูดระหว่างบุค คลเป็ นปั จ จัยส าคัญ ที่สุ ด ของการสร้า งมนุ ษ ยสัมพันธ์ และช่ว ย
ไม่ไ
2. การพูดในกลุ่ม
แพ
การพูดในระดับนี้ พบเห็นได้ทวไปในสถานศึ
ั่ กษา ในปั จจุบนั มักนิยมใช้วธิ ใี ห้นักเรียน
นักศึกษา อภิปรายกลุ่มเป็ นประจา ในหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ ก็ใช้การอภิปรายกลุ่มเป็ น
วิธกี ารปรึกษางาน แก้ปัญหาร่วมกัน และวางแผนร่วมกันอยู่เสมอ
3. การพูดในทีช่ ุมนุมชน
ัย
การพูดในระดับนี้เป็ นการพูดหน้าทีป่ ระชุม อาจเป็ นเพียงคนเดียวหรืออาจร่วมคณะกับ
ยาล
คนอื่นก็ได้ พูดกับกลุ่มผู้ฟังที่มจี านวนมาก จานวนผู้ฟังจะมากน้อยเพียงไรขึ้นอยู่กบั โอกาส
วิท
กาละเทศะ และเงือ่ นไขต่าง ๆ ถ้ามีคนฟั งจานวนมากก็จาเป็ นต้องใช้เครื่องขยายเสียงชวย การ
หา
พูดในทีช่ ุมนุมแบ่งได้ชดั เจนว่า ใครเป็ นผูพ้ ดู หลัก และใครเป็ นผูฟ้ ั ง
างม
ลักษณะสาคัญของการพูดในที่ชุมนุ มชนก็คอื ผู้พูดเป็ นฝ่ ายตระเตรียมเรื่องที่จะพูด
ากท
ด้ว ยความมุ่งหมายอันแน่ ชดั ว่ าต้อ งการให้เ หตุผ ลอย่ างไรแก่ผู้ฟั ง อาจจะเป็ นการพูด เพื่อ
ตจ
ถ่ายทอดความรู้ ความคิดทีม่ สี ารประโยชน์แก้ผฟู้ ั ง หรือโน้มน้าวใจกลุ่มผูฟ้ ั งให้คล้อยตาม หรือ
า
ปฏิบตั ิตามสิง่ ที่ผู้พูดชี้แนะ หรือก่อให้เกิดความสนุ กสนานแก่บรรดาผู้ ฟังอย่างใดอย่างหนึ่ง
นุญ
การพูดในทีช่ ุมนุมชนนัน้ เมื่อจบลงแล้วอาจเปิ ดโอกาสให้ผฟู้ ั งซักถามเพิม่ เติม ช่วงเวลาในการ
ับอ
พูดกาหนดไว้ค่อนข้างแน่นอน
ด้ร
ไม่ไ
กิจกรรมการพูดในที่ชุมนุ มชนมีให้เห็นอยู่ทวไป
ั ่ เช่น การปาฐกถา การอภิปรายในที่
ย
4. การพูดทางสือ่ สารมวลชน
เผย
สื่อสารมวลชนแบ่งได้เป็ น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ประเภทแรก ได้แก่ผทู้ ม่ี อี าชีพ เป็ นผูป้ ระกาศ
ยห
บริการต่าง ๆ
ห้า
การพูดทางสื่อสารมวลชนแตกต่างจากการพูดระดับอื่น ๆ ที่กล่าวมาในข้อที่สาคัญ
ที่สุด คือ สามารถพูดให้คนฟั งจานวนมากซึ่งกระจายกันอยู่ทุกทิศทางรับฟั งพร้อมกันได้ใน
ัย
ยาล
จากต้นฉบับ (ลักษณา 2536, 59-62)
วิท
1. การพูดโดยฉับพลัน (Impromtu Speech) หรือการพูดโดยไม่ มีก าร
หา
เตรียมการล่วงหน้า การพูดชนิดนี้เป็ นการพูดแบบปั จจุบนั ทันด่วนไม่มกี ารเตรียม
างม
ตัว มาก่ อ น ผู้พูดจาเป็ นต้อ งอาศัยปฏิภาณไหวพริบ ประสบการณ์ และความรู้
ากท
ความชานาญในการพูด หรือ โต้ต อบในเวลาอัน รวดเร็ว จึงมักมีผู้เ รียกการพูด
ประเภทนี้ว่า การพูดแบบกลอนสดบ้าง การพูดแบบกระทันหันบ้าง การพูดโดย
ตจ
ฉับพลันนี้มกั จะเป็ นการพูดสัน้ ๆ เช่น การกล่าวอวยพร การกล่าวตอบขอบคุณ
า
นุญ
การพูดในงานรื่นเริง งานสังสรรค์ การตอบปั ญหาบางประการ การแสดงความ
ับอ
คิดเห็นหรือให้ขอ้ คิดเล็ก ๆ น้อย ๆ เพือ่ แก้ปัญหาบางประการ
ด้ร
เป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
แพ
มีการเรียงลาดับเรื่องว่าจะพูดอะไรก่อนหลัง ไม่ทาให้การพูดวกวนและยังทาให้ไม่
มพ
ัย
ยาล
ตลอดการพูดว่าเนื้อหาสาระของเรื่องเป็ นอย่างไร มีการจัดลาดับก่อนหลังอย่างไร การขึ้นต้น
วิท
และลงท้ายเป็ นอย่างไร ซึง่ ถือได้ว่าเป็ นสิง่ สาคัญทีช่ ่วยให้ผพู้ ดู ประสบความสาเร็จในการพูด
หา
3. การพูดโดยท่องจา (Memorized Speech) ลักษณะของการพูดชนิดนี้
างม
เป็ น การพูด จากความจ า มีล ัก ษณะคล้า ยคลึง กับ การพูด โดยมีก ารเตรีย มตัว
ากท
ล่วงหน้ามาก่อน มักใช้พูดในโอกาสต่าง ๆ เช่น การกล่าวต้อนรับ การกล่าวอาลา
การรับมอบตาแหน่ ง เป็ นต้น การพูดลักษณะนี้จะต้องมีเตรียมตัวและฝึ กซ้อมมา
ตจ
เป็ นอย่างดี ผูพ้ ูดจะต้องจดจาทุกอย่างให้ได้อย่างแม่นยา มิฉะนัน้ จะทาให้การพูด
า
นุญ
สับสนหรือหลงลืมเนื้อหาได้
ับอ
การพูดโดยวิธกี ารท่องจานี้อาจก่อให้เกิดผลเสียได้ เพราะเป็ นการพูดทีผ่ พู้ ูดมักจะพูด
ด้ร
ลัก ษณะนี้ เ ป็ น อ่ า นจากร่ า งหรือ ต้ น ฉบับ ที่จ ะเตรีย มไว้ล่ ว งหน้ า โดยไม่ มีก าร
น่า
นิยมใช้ในการพูดที่ต้องการความระมัดระวังเกี่ยวกับการใช้ถ้อยคาแต่ละค าเป็ น
ิมพ
คุณสมบัติของนักพูดที่ดี
ัย
ยาล
นักพูดที่ดี จาเป็ นจะต้องพัฒนาพื้นฐานของตนเองให้มี คุณสมบัตทิ ่สี าคัญเบื้องต้น 5
วิท
ประการดังนี้ (ทินวัฒน์ 2525, 20-22)
หา
1. เป็ นนักฟั งทีด่ ี นักพูดไม่ใช่ฝึกพูดอย่างเดียว ต้องฝึกฟั งด้วย ต้องรูว้ ่า
างม
เมื่อไรควรพูดและเมื่อไรควรฟั ง การฟั งผูอ้ ่นื พูดทาให้เราได้รบั ความรูเ้ พิม่ ขึน้ หรือ
ากท
อย่างน้อยก็ได้ทบทวนความรู้เดิมทีเ่ รามีอยู่แล้ว ข้อสาคัญคือถ้าเลือกฟั งในสิง่ ที่มี
ประโยชน์กจ็ ะทาให้เพิม่ คุณค่าให้แก่ตวั เองมากขึน้
ตจ
2. ศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ นักพูดต้องศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา
า
นุญ
ความรูท้ ว่ี ่านี้นอกจากจะได้จากการฟั ง การสนทนาวิสาสะกับผูร้ ตู้ ่าง ๆ รวมถึงการ
ับอ
ฟั งข่าวแล้ว ความรู้ท่ีไ ด้จากการอ่า นก็สาคัญ การอ่านเป็ นวิธีต ักตวงความรู้ท่ี
ด้ร
คนไหนอยากฟั ง
ร่โด
อย่างไร
ห้า
ัย
ยาล
เหล่านัน้ ได้อย่างเต็มปากเต็มคา ไม่เคอะเขินอีกด้วย ผิดกันอย่างมากกับการที่ตี
วิท
ขลุมให้ผฟู้ ั งเข้าใจว่าเป็ นของตนเอง
หา
5. มีความสุขในการถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อ่นื นักพูดต้องมีความสุ ขและ
างม
ความพอใจที่จะกล่าวทอดความรู้ให้กบั ผู้ฟัง คนที่หวงความรู้ นอกจากทาให้โลก
ากท
ไม่เจริญแล้ว ก็ยงั ทาให้ตวั เองไม่เจริญอีกด้วย เพราะถ้าเราปิ ดบังไม่ยอมถ่ายทอด
หรือ ถ่ ายทอดไม่ห มด เก็บไว้หากินวันหลัง ทานองนี้ เราก็จะไม่ ขวนขวายหา
ตจ
ความรู้ใหม่ในที่สุด ความรู้เราก็เท่าเดิม นักพูดที่ดตี ้องพอใจที่จะถ่ายทอดความรู้
า
นุญ
ให้จบสิน้ ตามทีผ่ ฟู้ ั งกาหนด นอกเสียจากเวลาหรือเงือ่ นไขอย่างอื่นบังคับ เมื่อหมด
ับอ
เวลาแล้วก็แสวงหาสิง่ ใหม่ ทุกครัง้ ทีม่ โี อกาสพูดขอให้ถอื เป็ นโอกาสดีทเ่ี ราจะได้ทา
ด้ร
มารยาทในการพูด
แพ
อาการดูถูก เยาะเย้ยถากถางผูฟ้ ั ง
์จําห
เสียหายให้กบั บุคคลอื่น
ห้า
การฟัง
ัย
ยาล
เมื่ อ พู ด ถึ ง การพู ด สิ่ ง ที่ จ ะขาดไม่ ไ ด้ ก็ ค ื อ การฟั ง โดยทัว่ ไปการพู ด ย่ อ มต้ อ ง
วิท
ประกอบด้ว ยบุค คลสองฝ่ ายคือ ผู้พูดและผู้ฟั ง การฟั งจึงถือ เป็ นส่ว นประกอบสาคัญ ในการ
หา
สื่อ สารด้ว ยการพูด การสื่อ สารด้ว ยการพูด จะประสบความส าเร็ จ ไม่ ไ ด้ห ากขาดผู้ฟั ง ที่ดี
างม
นอกจากนี้ในการสื่อสารสองทาง เช่น การสนทนา หรือการอภิปรายกลุ่ม ผู้พูดก็จาเป็ นต้อง
ากท
เป็ นผู้ฟั งที่ดีด้ว ยเพื่อให้การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นสาเร็จลุ ล่ว ง ก่อ ให้เ กิดความใจ
ระหว่างกันและกัน
า ตจ
นุญ
ความหมายของการฟัง
ับอ
การฟั งคือกระบวนรับสารจากแหล่ งกาเนิดเสียง ซึ่งอาจจะเป็ นการได้ยินจากผู้พูด
ด้ร
วัตถุประสงค์ของการฟัง
ิมพ
ประการคือ
ัย
ยาล
3. การฟั งเพื่อวิพากษ์วจิ ารณ์ เป็ นการฟั งที่ก่อให้เกิดวิจารณญาณแก่
วิท
ผู้ฟังเป็ นสาคัญ ผู้ฟังจะต้องใช้ความคิดและการตัดสินใจเลือกในสิง่ ที่ควรเชื่ อและ
หา
ปฏิเสธในสิง่ ทีไ่ ม่เห็นด้วย
างม
ากท
ความสาคัญของการฟัง
ในชีวติ ประจาวันนัน้ เราจะต้องเป็ นผูฟ้ ั งในหลากหลายสถานการณ์ การมีทกั ษะการฟั ง
ตจ
ทีด่ ใี นสถานการณ์ต่าง ๆ จึงมีความสาคัญและก่อให้เกิดประโยชน์แก่ตวั เอง โดยสามารถสรุป
า
นุญ
ได้ดงั นี้
ับอ
1. การฟั งทาให้ได้รบั สาระความรูท้ เ่ี ป็ นประโยชน์ ช่วยให้ผฟู้ ั งรับรูค้ วาม
ด้ร
เป็ นไปของโลก มีค วามคิด กว้ า งไกล สามารถปรับ ตัว ทัน ต่ อ เหตุ ก ารณ์ ท่ี
ไม่ไ
ตนเอง
ยห
หนึงของคุณภาพชีวติ
์จําห
ลักษณะของการฟังที่ดี
ส าหรับ ผู้ฟั ง ที่เ ป็ น ผู้ ร ับ สารจากผู้พู ด การฟั ง เป็ น พฤติก รรมที่จ ะต้อ งมีก ารฝึ ก ฝน
ปรับปรุงทักษะ การฟั งสาคัญเท่า ๆ กับการพูด ถ้าผูฟ้ ั งรูจ้ กั ฟั งแล้วการฟั งก็จะมีประโยชน์เป็ น
อย่างมาก แต่ถา้ ไม่รจู้ กั การฟั งก็จะไม่ได้รบั ผลอะไรเลย ฉะนัน้ การทีจ่ ะเป็ นนักฟั งทีด่ ไี ด้นัน้ ย่อม
ต้องมีการฝึกฝนเพือ่ พัฒนาทักษะการฟั งอยู่เสมอ โดยลักษณะการฟั งทีด่ มี ดี งั นี้
1. เตรีย มตัว ให้พ ร้อ มทัง้ กายและจิต ใจที่จ ะฟั ง จึง จะท าให้ก ารฟั ง ได้
ประโยชน์อย่างเต็มที่
2. ปรับปรุงทัศนคติของตนเองโดยการสารวจว่าตนเองมีปัญหาในการ
ัย
ยาล
ฟั ง ด้า นใดบ้า ง การจะเป็ น นัก ฟั ง ที่ดีไ ด้นั น้ จะต้ อ งตัง้ ใจฟั ง และพยายามขจัด
วิท
อุปสรรคต่าง ๆ ทีจ่ ะเป็ นเครื่องกีดขวางการรับฟั ง
หา
3. เลือกตาแหน่งทีน่ งั ่ ให้เหมาะสม สามารถได้ยนิ เสียงผูพ้ ูดชัดเจน และ
างม
มองเห็นหน้าของผูพ้ ูด การเลือกตาแหน่งทีน่ งั ่ ฟั งมีความสัมพันธ์กบั ประสิทธิภาพ
ากท
ของการฟั งเพราะการฟั งได้ไม่ชดั เจน จับความได้ไม่หมด หรือมองไม่เห็นหน้าผู้
พูดก็สามารถทาให้ผฟู้ ั งหมดสมาธิในการฟั งได้
ตจ
4. ฟั งด้วยความอดทนและมีวจิ ารณญาณ โดยธรรมชาติคนเรานัน้ มักจะ
า
นุญ
มีพฤติกรรมชอบพูดมากกว่าฟั ง แต่ในขณะเดียวกัน มนุษย์เราก็ควรจะรับฟั งความ
ับอ
คิดเห็นของผูอ้ ่นื บ้าง ในกรณีเช่นนี้ ผูฟ้ ั งควรจะมีความอดทนทีจ่ ะรับฟั งการพูดของ
ด้ร
ประโยชน์จากการฟั งนัน้
เผย
ก่อให้เกิดปั ญญาและความรู้
ห้า
มารยาทในการฟัง
1. ผูฟ้ ั งควรฟั งด้วยความตัง้ ใจตลอดเรื่องราว เพื่อให้จบั ประเด็น
ต่าง ๆ ได้อย่างครบถ้วนและชัดเจน
2. ผู้ฟังควรมีทศั นคติท่ดี ตี ่อผู้พูด เปิ ดใจยอมรับ และใคร่ครวญ
อย่างถีถ่ ว้ นเพือ่ ทาความเข้าใจในสิง่ ทีผ่ พู้ ดู ต้องการนาเสนอโดยไม่มอี คติ
ัย
ยาล
3. หากมีขอ้ สงสัยหรือข้อโต้แย้ง ผูฟ้ ั งควรรอให้ผพู้ ูดพูดจบ หรือ
วิท
เปิ ดโอกาสให้ซกั ถาม ไม่ควรพูดขัดขณะทีผ่ พู้ ดู กาลังพูด
หา
4. หากผูฟ้ ั งฟั งแล้วเกรงว่าจะจับใจความได้ไม่หมด ให้ใช้การจด
างม
บันทึกช่วยเพือ่ ไม่ให้พลาดเนื้อหาทีค่ วามสาคัญทีผ่ พู้ ดู ต้องการนาเสนอ
ากท
5. ผู้ ฟั งคว รให้ เ กี ย รติ ผู้ พู ด คว รแสดงให้ เ ห็ น ถึ ง คว าม
กระตื อ รื อ ร้ น ในการฟั งด้ ว ยการเงยหน้ า มองผู้ พู ด ไม่ ค วรก้ ม หน้ า กด
ตจ
โทรศัพ ท์มือ ถือ คุ ยกัน หรือ ส่งเสียงรบกวน ในขณะที่ผู้พูดกาลังพูดในห้อ ง
า
นุญ
ประชุม
ับอ
6. ผูฟ้ ั งควรรักษามารยาทโดยรวมของสังคมทีพ่ งึ ปฏิบตั ิ ไม่ออก
ด้ร
ัย
ยาล
ยังช่วยให้ผู้ฟังได้รบั ประโยชน์จากเนื้อหาของเรื่องราวที่ได้รบั ฟั งอีกด้วย การพูดชนิดนี้ ผู้พูด
วิท
ต้องรูจ้ กั รักษาเวลาในการพูด ไม่ควรพูดนานเกินไป พูดให้ตรงประเด็นและมีเนื้อหาทีเ่ หมาะสม
หา
คือมีมุกตลกหรืออารมณ์ขนั สอดแทรกได้ แต่ตอ้ งไม่ใช่เรื่องหยาบโลน หรือสร้างความเสือ่ มเสีย
างม
ทางศีลธรรม
ากท
การวิ เคราะห์ผ้ฟู ัง
ตจ
ในกระบวนการสือ่ สารด้วยการพูดนัน้ ผูฟ้ ั งถือเป็ นองค์ประกอบสาคัญประการหนึ่ง ซึ่ง
า
นุญ
ผูพ้ ูดต้องคานึงถึง การวิเคราะห์ผฟู้ ั งจึงถือเป็ นปั จจัยสาคัญประการหนึ่งทีจ่ ะช่วยให้การพูดนัน้
ับอ
ประสบความสาเร็จด้วยดี ทัง้ นี้การวิเคราะห์ผฟู้ ั งประกอบด้วย
ด้ร
1.1 วัยเด็ก เป็ นวัยทีม่ ลี กั ษณะซุกซน ไม่ อยู่นิ่ง ไม่มคี วามตัง้ ใจในการฟั งเรื่องได้นาน
แพ
ๆ เบื่อ ง่าย ชอบแต่เ รื่อ งสนุ ก สนาน ตื่นเต้น อยากรู้อ ยากเห็น ชอบการรับประทาน มีพ้ืน
เผย
สนุกสนาน แฝงด้วยมุกตลก
์จําห
เหตุ ก ารณ์ บ างอย่ า ง ขาดประสบการณ์ และยัง ไม่ ต้ อ งมีค วามรับ ผิด ชอบใด ๆ และอาจ
เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามอิทธิพ ลของสิง่ รอบตัวได้ง่า ย วัยนี้จึงเป็ นวัยที่อ ยากได้รบั การ
ยอมรับ อยากทดลองสิง่ ใหม่ ๆ ชอบชีวติ โลดโผน ตื่นเต้น ครึกครืน้ ดังนัน้ การพูดกับผูฟ้ ั งกลุ่ม
นี้จึงควรคานึงถึงจิตวิทยาวัยรุ่นให้มาก ไม่ควรพูดแบบดูถูกทานองว่าผู้ฟังอายุน้อยกว่าจึงรู้
น้อย แต่ควรให้ยกย่องเกียรติและปฏิบตั กิ บั ผูฟ้ ั งกลุ่มนี้เหมือนเป็ นผูใ้ หญ่
1.3 วัย กลางคน เป็ น วัย ที่ก าลัง สร้า งเนื้ อ สร้า งตัว มีจุ ด มุ่ ง หมายในอาชีพ การงาน
พยายามทีส่ ร้างฐานะของตนเอง รักความก้าวหน้า มุ่งมันที ่ จ่ ะสร้างชื่อเสียง ยึดมันในความคิ
่ ด
และอุดมคติของตนเอง มีความคิดและประสบการณ์กว้างขวาง การพูดกับคนวัยกลางคนนี้ ผู้
ัย
ยาล
พูด จะต้อ งมีก ารเตรีย มตัว ที่ดี ใช้ค าพูด ที่เ หมาะสม กระชับ มีเ หตุ มีผ ล มีค วามหนัก แน่ น
วิท
น่าเชื่อถือ สามารถทีจ่ ะโน้มน้าวให้ผฟู้ ั งคล้ายตามความคิดเห็นของผูพ้ ดู ได้
หา
1.4 วัยชรา เป็ นวัยทีผ่ ่านชีวติ มามาก มีประสบการณ์สูง ชอบหาสิง่ ยึดเหนี่ยวจิตใจ มี
างม
ความคิดแบบอนุ ร กั ษ์นิยม เชื่อในสิง่ ที่ปฏิบตั ิได้จริง มีความระแวดระวัง สาเหตุท่เี ป็ นเช่นนี้
ากท
เนื่องจากผูส้ ูงอายุผ่านชีวติ มามาก โอกาสทีจ่ ะโน้มน้าวให้เปลีย่ นความคิดความเชื่อจะน้อยลง
เพราะมักจะยึดติดกับความเชื่อเดิม ดังนัน้ การพูดกับคนในวัยนี้จงึ ควรพูดเกี่ยวกับเรื่องความ
ตจ
ปลอดภัยในชีวติ และทรัพย์สนิ การรักษาพยาบาล สวัสดิภาพทางครอบครัวและจิตใจ เป็ นต้น
า
นุญ
2. เพศของผู้ฟัง เพศหญิงกับเพศชายนัน้ มีความสนใจ ทัศนคติ ตลอดจนรสนิยมไม่
ับอ
เหมือนกัน เพศหญิงส่วนใหญ่มกั จะสนใจในเรื่องความสวยงาม การดูแลตัวเอง หรือแฟชัน่
ด้ร
3. การศึก ษา เป็ น ปั จ จัย ส าคัญ อีก ประการหนึ่ ง ที่มีผ ลต่ อ ผู้ฟั ง การที่ผู้ฟั ง มีร ะดับ
แพ
การศึก ษาต่ า งกัน สาขาวิช าต่ า งกัน ฯลฯ ย่ อ มมีอิท ธิพ ลต่ อ ความรู้ส ึก นึ ก คิด อุ ม การณ์
เผย
ต่อเมื่อถึงวัยสมควรก็จะได้รบั การสังสอนจากโรงเรี
่ ยน รวมถึงการดาเนินชีวติ ของบุคคลนัน้ ๆ
สิง่ เหล่านี้จงึ เป็ นสิง่ ทีส่ บื ทอดทางวัฒนธรรม มีอทิ ธิพลต่อความรูส้ กึ นึกคิด ทัศนคติ ค่านิยม ทา
ให้บุคคลมีพฤติกรรมแตกต่างกันไป ดังนัน้ ผูพ้ ูดจะต้องใช้ความระมัดระวังอย่าพูดในทานองดู
ัย
ยาล
กับความสนใจของกลุ่มผูฟ้ ั ง
วิท
6. จานวนของผูฟ้ ั ง ผูพ้ ูดควรศึกษามาล่วงหน้าว่ากลุ่มผูฟ้ ั งจะมีจานวนมากน้อยเท่าใด
หา
ถ้ามีจานวนมาก ควรเตรียมวิธพี ูดให้ตรงตามรูปแบบพิธกี าร เตรียมคาขึ้นต้นให้ถูกต้องตาม
างม
แบบแผนเพือ่ ให้เกียรติแก่ผฟู้ ั ง โครงสร้างการพูดควรประกอบด้วย คานา เนื้อ หา และการสรุป
ากท
ทีไ่ ด้สดั ส่วนพอเหมาะ เรียงลาดับให้เป็ นระเบียบ ไม่สบั สน ควรเตรียมร่างทีจ่ ะพูดให้เรียบร้อย
พึงระลึกไว้ว่า ยิง่ มีผฟู้ ั งกลุ่มใหญ่เท่าใด โอกาสทีจ่ ะเข้าใจสับสนยิง่ เกิดขึน้ ได้งา่ ยเท่านัน้
ตจ
นอกจากนี้ บางครัง้ ถ้ามีผู้ฟังกลุ่มใหญ่ ผู้พูดจะต้องเตรียมอุปกรณ์ประกอบการพูด ผู้
า
นุญ
พูดควรทดสอบอุปกรณ์ประกอบการพูด เช่น โสตทัศนูปกรณ์ต่าง ๆ ว่าใช้งานได้ดี และผูฟ้ ั งทัง้
ับอ
กลุ่มสามารถมองเห็นได้ทวกั ั ่ นจริง ๆ แต่หากกลุ่มผูฟ้ ั งมีขนาดเล็กก็ต้องใช้วธิ พี ูดแตกต่างจาก
ด้ร
เป็ นกันเอง
ย
ร่โด
การวิ เคราะห์สถานการณ์ในการพูด
แพ
วิเคราะห์สถานการณ์ในการพูดด้วย ดังนี้
รือ
พูดบนพืน้ เวที หรือพืน้ ห้อง การทีผ่ พู้ ดู รูจ้ กั สถานทีท่ ต่ี นจะไปพูด จะช่วยให้เลือกการแต่งกายที่
์จําห
ัย
ยาล
3. โอกาส การพูดในแต่ละโอกาสไม่เหมือนกัน เช่น การพูดอวยพรเนื่องในงานมงคล
วิท
สมรส การพูดเนื่องในโอกาสเข้ารับตาแหน่งใหม่ การพูดอวยพรเนื่องในวันคล้ายวันเกิด การ
หา
กล่าวสุนทรพจน์ การกล่าวคาปราศรัย เป็ นต้น ผูพ้ ดู จะต้องรูจ้ กั วิธกี ารพูดและการใช้ถอ้ ยคาให้
างม
เหมาะสมกับการพูดในแต่ละโอกาส ดังจะกล่าวถึงในบทต่อไป
ากท
การเตรียมเรื่อง
ตจ
การเตรียมเรื่องเริม่ จากการเลือกหัวข้อเรื่องทีจ่ ะพูด จากนัน้ จึงวางโครงเรื่อง เพื่อให้ผู้
า
นุญ
พูดนาเสนอเนื้อได้อย่างเป็ นขัน้ เป็ นตอน ไม่สบั สนวกวน โดยโครงเรื่องนัน้ จะประกอบด้วยการ
ับอ
ปฏิสนั ถารกับผูฟ้ ั ง คานา เนื้อเรื่อง และสรุป
ด้ร
การเลือกเรื่อง
ไม่ไ
แล้ว
เผย
มีค วามเชื่อ มัน่ ในตัว เอง และไม่ เ กิด ความประหม่ า ในขณะที่พูด ซึ่ง จะช่ ว ยให้ก ารพู ด นั น้
น่าเชื่อถือยิง่ ขึน้
ัย
ยาล
วิท
การปฏิ สนั ถารกับผู้ฟัง
หา
ในการพูดนัน้ ผูพ้ ูดจะต้องกล่าวคาทักทายหรือปฏิสนั ถารกับผูฟ้ ั งก่อนที่จะกล่าวถึงเนื้อ
างม
เรื่องทีเ่ ตรียมมา โดยคาทักทายหรือปฏิสนั ถารนัน้ แบ่งเป็ น 2 ประเภทคือ (เสนาะ 2537, 18-
ากท
19)
1. คาปฏิสนั ถารที่เป็ นทางการ จะใช้กบั งานพิธี เช่น งานศาสนพิธี งานวางศิลาฤกษ์
ตจ
งานแจกวุฒบิ ตั ร คากล่าวเปิ ดงาน ฯลฯ จะใช้เรียกเฉพาะตาแหน่ ง เช่น “ท่านผู้อานวยการ
า
นุญ
คณาจารย์ และท่านผูม้ เี กียรติทงั ้ หลาย” เมื่อกล่าวคาปฏิสนั ถารจบแล้วจึงตามด้วยประโยคว่า
ับอ
“ข้าพเจ้ารูส้ กึ เป็ นเกียรติอย่างยิง่ ทีไ่ ด้มาพูดในวันนี้”
ด้ร
ฯลฯ” อยู่ดว้ ย เช่น “สวัสดีท่านผูฟ้ ั งทีเ่ คารพทุกท่าน” “สวัสดีพ่ีน้องชาวบ้านทีร่ กั ทัง้ หลาย” เมื่อ
ร่โด
เป็ นฝ่ ายเดียวกับผูพ้ ดู เช่น ท่าน พีน่ ้อง พวกเรา คุณ เพือ่ น ฯลฯ
รือ
ยห
คานา
น่า
ัย
ยาล
1.4 ขึ้นต้นด้วยการอ้างบทกวีหรือวาทะของผู้มชี ่อื เสียง บทกวีหรือวาทะที่ยกมานัน้
วิท
จะต้องเป็ นที่รู้จกั กันดีอยู่แล้ว เมื่อผูฟ้ ั งได้ยนิ ก็จะเกิดความสนใจใคร่รวู้ ่าข้อความที่ยกมานัน้ มี
หา
ความเกีย่ วข้องกับเนื้อหาทีจ่ ะพูดต่อไปอย่างไร
างม
1.5 ขึน้ ต้นให้สนุกสนาน ผูพ้ ูดอาจใช้ปฏิภาณไหวพริบ ยกเหตุการณ์บางอย่างในห้อง
ากท
ประชุมขึน้ มาทาให้ผฟู้ ั งเกิดอารมณ์ขนั หรือบางครัง้ อาจเตรียมเรื่องราวมาเล่าโดยเฉพาะ เพื่อ
ช่วยสร้างบรรยากาศและความเป็ นกันเองอย่างรวดเร็ว
ตจ
2. ข้อบกพร่องในการใช้คานา นอกจากคานาจะมีหลักในการขึน้ ต้นแล้ว ก็ยงั มีขอ้ ควร
า
นุญ
ระวังทีผ่ พู้ ดู ควรหลีกเลีย่ ง ได้แก่
ับอ
2.1 อย่าออกตัว เช่น การออกตัวว่าเตรียมตัวมาพูดไม่พร้อม หรือเป็ นผูร้ นู้ ้อยเพราะ
ด้ร
เนื้ อเรื่อง
ห้า
ัย
ยาล
การพูดถึงเหตุการณ์ทางประวัตศิ าสตร์
วิท
1.2 การดาเนินเรื่องตามลาดับสถานที่ หมายถึงการพูดโดยลาดับจากจุดใกล้ตวั ไปยัง
หา
จุดไกลตัว หรือจากทิศเหนือไปทิศใต้ วิธนี ้เี หมาะสาหรับการพูดนาเทีย่ ว การบรรยายเกี่ยวกับ
างม
สถานที่ หรือการให้ความรูท้ างภูมศิ าสตร์
ากท
1.3 การดาเนินเรื่องโดยแบ่งเนื้อเรื่องออกเป็ นหมวดหมู่ เป็ นการพูดโดยแบ่งหัวข้อ
ออกเป็ นหมวดหมู่ซ่งึ อาจจะมีทงั ้ หัวข้อใหญ่และหัวข้อย่อย การพูดเช่นนี้จะช่วยให้ผู้ฟังจดจา
ตจ
เนื้อหาได้งา่ ย ไม่สบั สน เหมาะสาหรับการบรรยายโดยทัวไป ่
า
นุญ
1.4 การดาเนินเรื่องตามเหตุและผล หมายถึงการลาดับเนื้อเรื่องด้วยเล่าจากสาเหตุ
ับอ
ไปสู่ผลลัพธ์ หรืออาจจะยกผลขึน้ มาก่อนแล้วดาเนิ นเรื่องกลับไปสู่เหตุทท่ี าให้เกิดผลนัน้ มักใช้
ด้ร
ในการพูดอภิปรายโต้วาที และการพูดชักจูงใจ
ไม่ไ
สาหรับการพูดเชิงวิชาการ หรือการรายงานผลการวิจยั
เผย
รือ
2.1 การขยายความโดยให้นิ ย ามหรือ ค าจ ากัด ความ เช่ น หากพูด เรื่อ งเกี่ย วกับ
น่า
ร้อนให้ชดั เจน
ิมพ
ัย
ยาล
กลับไปใช้ชวี ติ แบบยุคหิน เป็ นต้น
วิท
2.5 การขยายความโดยการเล่าเรื่อง เป็ นการเล่าเรื่องเพื่อเป็ นแนวเทียบสาหรับให้
หา
ผู้ฟังคิดเอาเอง โดยผู้พูดไม่ต้องอธิบายให้เห็นว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พูดอย่างไร เรื่องที่นามา
างม
เล่าอาจเป็ นนิทาน หรือเรื่องทีแ่ ต่งขึน้ ก็ได้ มักใช้ในการพูดทีม่ ุ่งให้แง่คดิ แก่ผฟู้ ั ง
ากท
2.6 การขยายความโดยการตัง้ คาถาม เป็ นการตัง้ คาถามเพือ่ กระตุ้นให้ผฟู้ ั งสนใจและ
ติดตามเรื่องทีพ่ ดู โดยผูพ้ ดู ไม่ได้ตอ้ งการการคาตอบจริง ๆ จากผูฟ้ ั ง
ตจ
2.7 การขยายความโดยการใช้โสตทัศ นู ปกรณ์ ต่าง ๆ การใช้โสตทัศ นู ปกรณ์ เช่น
า
นุญ
รูปภาพ แผนภูมิ ภาพเลื่อน ตัวอย่างของจริง แบบจาลอง ภาพยนตร์ ฯลฯ ประกอบการพูด
ับอ
นอกจากจะเป็ นการประหยัดเวลาแล้ว ยังช่วยให้เกิดความกระจ่างในเนื้อหา ทาให้ผฟู้ ั งเข้าใจ
ด้ร
ความสนใจในเนื้อหาสาระของผูพ้ ดู
ย
ร่โด
สรุป
แพ
ผูฟ้ ั งเข้าใจและจดจาได้งา่ ย
ิมพ
การพัฒนาทักษะการพูด
เพื่อให้การพูดสัมฤทธิผล์ ผู้พูดจะต้องสามารถถ่ายทอดความรู้สกึ นึกคิดของตนไปยัง
ัย
ยาล
ผูฟ้ ั ง เพื่อให้เกิดความรูค้ วามเข้าใจ หรือเพื่อเกิดความเชื่อถือและปฏิบตั ติ าม อย่างไรก็ดี การ
วิท
สื่อสารด้วยการพูดนัน้ จาเป็ นต้องใช้ภาษา ซึ่งภาษาที่ใช้ในการสื่อสารด้วยการพูดนัน้ ยังแบ่ง
หา
ออกเป็ น 2 ประเภทคือวัจนภาษาและอวัจนภาษา (ลักษณา 2536, 23-24)
างม
ากท
ภาษาในการพูด
1. วัจนภาษา (Verbal Communication) คือการสื่อสารโดยใช้ภาษาพูดหรือถ้อยคา
ตจ
ตามหลักวิชาการพูดแล้วผูพ้ ูดจะต้องรูจ้ กั ใช้ภาษาพูดซึ่งจะต้องมีการตระเตรียมและกลันกรอง ่
า
นุญ
เนื้อหาสาระทีเ่ หมาะสมเพือ่ นาเสนอต่อผูฟ้ ั ง
ับอ
2. อวัจนภาษา (Nonverbal Communication) คือการสื่อสารที่ไม่ใช้ถ้อยคา แต่เป็ น
ด้ร
ต่าง ๆ ตามไปด้วย
ิมพ
สมรรถภาพในการพูด
สมรรถภาพในการพูดเป็ นผลรวมของ ความรูแ้ ละประสบการณ์ ทักษะในการพูดและ
การคิด และความมันใจในตั ่ ว เองของผู้พูด การพัฒนาสมรรถภาพในการพูดจึงจาเป็ นต้อ ง
พัฒนาคุณสมบัตทิ งั ้ 3 ประการดังกล่าว โดยวิธกี ารพัฒนานัน้ ควรจะมีขนั ้ มีตอนและเป็ นไปตาม
หลักวิชาเพือ่ ให้เกิดประสิทธิภาพ (สวนิตและถิรนันท์ 2547, 27)
ัย
ยาล
1. การสะสมความรูแ้ ละประสบการณ์
วิท
การจะมีความรู้ค วามเข้าใจในสิง่ ที่พูดอย่างทะลุ ปรุโปร่งนัน้ ผู้พูดจาเป็ นต้อ งสังสม่
หา
ความรู้และประสบการณ์ ซึ่งต้องใช้เวลายาวนาน จากการอ่าน การฟั ง การสังเกต และการ
างม
กระทาด้วยตนเอง
ากท
1.1 การอ่าน การอ่านเป็ นช่องทางสาคัญและรวดเร็วทีส่ ุดทางหนึ่งทีจ่ ะทา
ให้เราได้รบั ความรู้ ข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อคิด ข้อแนะนา และคาสอนทีม่ คี ุณค่าต่าง
ตจ
ๆ ที่สามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ แหล่งที่รวมหนังสือสาหรับการอ่านแหล่งใหญ่
า
นุญ
ทีส่ ุดแห่งหนึ่งก็คอื ห้องสมุด ซึง่ แยกประเภทหมวดหมู่ของหนังสือไว้ ทาให้ง่ายต่อ
ับอ
การค้นคว้า อย่างไรก็ดีในปั จจุบัน เรายังสามารถเข้าถึง ข้อ มูลต่าง ๆ ผ่านทาง
ด้ร
อิน เทอร์เ น็ ต ซึ่ง มีค วามสะดวกรวดเร็ว แต่ ผู้ค้น คว้า ต้อ งมีว ิจ ารณญาณในการ
ไม่ไ
การอ่านและการฟั งควบคู่กนั ไป
ิมพ
ัย
ยาล
1.4 การลงมือกระทา หมายถึงการลงมือปฏิบตั ดิ ้วยตนเอง ซึ่งเป็ นอีกวิธี
วิท
หนึ่งที่จะทาให้ได้ความรู้ท่หี นักแน่ นแม่นยา แต่ทงั ้ นี้ต้องทาโดยรู้จกั ใช้ความคิด
หา
พิจารณา จับขัน้ ตอนให้ได้และสามารถอธิบายได้ว่าสิ่งที่ตนกระทานัน้ มีหลักการ
างม
และขัน้ ตอนอย่างไร มิใช่ทาไปตามความเคยชินอย่างเดียว การกระทาเช่นนี้จะ
ากท
เป็ นช่องทางให้เกิดความรูแ้ ละประสบการณ์ เราควรสะสมความรูด้ ว้ ยการกระทา
ให้มาก ยิง่ ถ้ามีโอกาสจะได้ความรูจ้ ากการกระทาแล้ว ไม่ควรละโอกาสนัน้ เสีย
า ตจ
นุญ
1. ทักษะการพูดและการคิด
ับอ
ทักษะ คือความคล่องแคล่วและชานิชานาญในการกระทาสิง่ ใดสิง่ หนึ่ง ทักษะในการ
ด้ร
ผูฟ้ ั ง
น่า
์จําห
ัย
ยาล
ได้
วิท
ค. การคิด แก้ ปั ญ หา เป็ น การคิด ที่มีจุ ด มุ่ ง หมายเฉพาะเจาะจง เริ่ม ตัง้ แต่ ก ารใช้
หา
ความคิดเพื่อตีวงขอบเขตของปั ญหา หากสาเหตุของปั ญหา และหาทางแก้ไขปั ญหาอันมีทงั ้
างม
ใกล้ตวั และไกลตัว ปั ญหาเฉพาะหน้าและปั ญหาทีย่ ดื เยือ้ ปั ญหาทีย่ ากและปั ญหาทีง่ า่ ย
ากท
3. ความมันใจในตนเอง
่
การพูดในบางโอกาส หากผู้พูดขาดความมันใจในตนเองย่ ่ อมจะรู้สกึ ประหม่าตื่นเต้น
ตจ
หรือเกิดอาการทางร่างกาย หัวใจเต้นแรง คอแห้ง ริมฝีปากสัน่ เสียงสัน่ ขาสัน่ มีเหงื่อไหลซึม
า
นุญ
ออกมา ฯลฯ ความประหม่าตื่นเต้นย่อ มจะบัน่ ทอนสมรรถภาพในการพูด ถ้าเกิดขึ้นอย่าง
ับอ
รุนแรงอาจทาให้ผพู้ ดู ไม่สามารถควบคุมตนเองได้
ด้ร
3.1 สาเหตุของความประหม่าตื่นเต้น
ไม่ไ
ก. มองเห็นจุดอ่อนของตนเองมากเกินควร ผู้พูดที่มองเห็นจุดอ่อนของ
ย
แสดงตนต่อหน้าคนอื่น
แพ
กลายเป็ นความประหม่าตื่นเต้นได้เช่นกัน
ห้า
ัย
ยาล
ออกไปจากตัวเรา อย่าเพ่งความสนใจมาทีต่ วั เราเองให้มากนัก
วิท
ค. หาข้อมูลเกี่ยวกับคนฟั งให้มากพอ เพื่อทีจ่ ะได้ดดั แปลงเรื่องทีเ่ ราพูด
หา
ให้เหมาะกับคนฟั งให้มากทีส่ ุด
างม
ง. ขณะที่พูด พยายามพูดกับคนฟั งให้ทวถึ ั ่ ง ยิ่งจับตาคนฟั งให้ทวถึ
ั่ ง
ากท
มากเพียงไร ความกลัวก็จะหายไป
จ. พยายามทรงตัวให้ดขี ณะพูด การทรงตัวให้สมดุลจะช่วยให้ผพู้ ูด รู้สกึ
ตจ
มันใจขึ
่ น้
า
นุญ
ฉ. ตัง้ ใจไว้ให้มนคงเสมอว่
ั่ า เราจะพยายามพูดให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจ
ับอ
และเกิดประโยชน์ทส่ี ุดเท่าทีจ่ ะทาได้
ด้ร
ไม่ไ
บุคลิ กภาพของผู้พดู
ย
ที่บ กพร่ อ งและรัก ษาสวนที่ดีไ ว้ จากนั ้น จึง น ามาทดสอบด้ ว ยการลงมือ กระท า แล้ ว จึง
รือ
ท่าทาง การสบสายตา การใช้น้ าเสียง การใช้ถ้อ ยค าภาษา ซึ่ งเป็ นสิ่งที่สงั เกตได้ชดั หรือ
มพ
และวัดผลได้ทนั ที
ัย
ยาล
วิท
หา
างม
ากท
า ตจ
นุญ
ับอ
ด้ร
ย ไม่ไ
ร่โด
แพ
เผย
รือ
ยห
น่า
์จําห
ิมพ
มพ
ห้า
2. จุดมุ่งหมายของการสนทนา
2.1 เพื่อ แลกเปลี่ย นความรู้แ ละความคิด ระหว่ า งคู่ส นทนา ท าให้มีป ระสบการณ์
กว้างขวางขึน้
2.2 ทาให้รจู้ กั นิสยั ใจคอของกันและกัน
2.3 ช่วยกระชับความสัมพันธ์ ทาให้ค่สู นทนาคุน้ เคยกันดียงิ่ ขึน้
ัย
ยาล
2.4 ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดทางอารมณ์
วิท
2.5 ช่วยให้ประสบความสาเร็จในการประกอบหน้าที่การงาน และในการดารงชีวติ
หา
ประจาวัน
างม
3. หลักของการสนทนา
ากท
3.1 ควรเลือ กเรื่อ งที่คู่ส นทนาสนใจเท่ า นัน้ โดยให้พิจ ารณาจาก เพศ วัย อาชีพ
ประสบการณ์ของคู่สนทนา หรืออาจใช้ไหวพริบในการสังเกตว่าคู่สนทนาสนใจเรื่องใดเป็ น
ตจ
พิเศษ นอกจากนี้ยงั อาจหยิบยกเอาเหตุการณ์ทก่ี าลังเป็ นทีส่ นใจขึน้ มาพูด
า
นุญ
3.2 ควรทาตัวเป็ นกันเอง ใช้คาพูดเป็ นกันเอง ยิม้ แย้มแจ่มใส เอาใจใส่ค่สู นทนา คอย
ับอ
ฟั ง คอยซักถาม ไม่พดู จาทับถมดูหมิน่ ไม่พดู ขัดคอ เว้นแต่บางครัง้ ถ้าคู่สนทนาพูดมากเกินไป
ด้ร
เย็นก็สามารถสนทนาเรื่องทัว่ ๆ ไปได้
แพ
ศัพท์วชิ าการหรือภาษาต่างประเทศหากไม่จาเป็ น
รือ
3.5 งดเว้นการสนทนาเรื่อ งส่ว นตัว หรือ การโอ้อ วดเรื่อ งของตัว เอง เว้นแต่จะถู ก
ยห
ซักถาม ก็ให้ตอบตามมารยาท
น่า
์จําห
การสัมภาษณ์
1. ความหมายของการสัมภาษณ์
ิมพ
2. จุดมุ่งหมายของการสัมภาษณ์
2.1 การสัมภาษณ์เพื่อเก็บรวบรวมไว้เป็ นข้อมูลข่าวสารและข้อเท็จจริงใหม่ ๆ เพื่อ
นาไปประกอบการศึกษาหรืออาจใช้เผยแพร่ขอ้ มูลเหล่านัน้ ไปสูส่ าธารณชน
2.2 การสัมภาษณ์เพื่อพิจารณาคัดเลือกบุคคล เช่น การสัมภาษณ์ เพื่อรับพนักงาน
ใหม่ การสัมภาษณ์ผสู้ อบชิงทุนไปศึกษาต่อต่างประเทศ การสัมภาษณ์คดั เลือกนักศึกษาใหม่
ัย
ยาล
เป็ นต้น
วิท
2.3 การสัม ภาษณ์ เ พื่อ เผยแพร่ น โยบาย เป้ า หมาย การด าเนิ น งาน และผลการ
หา
ปฏิบตั งิ านของหน่วยงาน องค์กร สถาบันต่าง ๆ ซึง่ มีผลกระทบต่อผูเ้ กีย่ วข้อง หรือมีผลกระทบ
างม
ต่อประชาชนทัง้ ประเทศ เช่น การขึน้ ค่าโดยสารรถประจาทาง การออกพระราชบัญญัตติ ่าง ๆ
ากท
2.4 การสัม ภาษณ์ เ พื่อ เผยแพร่ เ กีย รติคุ ณ ผู้ท่ีส ร้า งสรรค์ผ ลงานดีเ ด่ น หรือ ผู้ท่ีมี
ชื่อเสียงทาคุณประโยชน์แก่สงั คม เช่น นายแพทย์ผคู้ ดิ ค้นวิธผี ่าตัดเปลีย่ นหัวใจ หรือนักกีฬาที่
ตจ
ได้เหรียญทองในมหกรรมกีฬาโอลิมปิ ก
า
นุญ
3. หลักของการสัมภาษณ์
ับอ
การสัมภาษณ์ตอ้ งประกอบด้วยผูส้ มั ภาษณ์และผูถ้ ูกสัมภาษณ์ หลักของการสัมภาษณ์
ด้ร
ล่วงหน้า เช่น เรื่องทีจ่ ะทาการสัมภาษณ์ วัน เวลา และสถานทีใ่ ห้ชดั เจน เพือ่ ให้ผถู้ ูกสัมภาษณ์
แพ
มีโอกาสเตรียมตัว
เผย
ของเรื่อง
์จําห
ัย
ยาล
ง. ผุ้ถูกสัมภาษณ์ควรแสดงออกถึงความเต็มใจในการให้สมั ภาษณ์ ตัง้ ใจฟั งคาถาม
วิท
และตอบคาถามด้วยถ้อยคาทีส่ ุภาพ จริงใจ และตรงประเด็น
หา
จ. เมื่อเสร็จสิน้ การสัมภาษณ์ ผูถ้ ูกสัมภาษณ์ควรกล่าวขอบคุณทีไ่ ด้ให้โอกาสมาชี้แจง
างม
หรือเผยแพร่ขอ้ มูล
ากท
ปาฐกถา
า ตจ
1. ความหมายของปาฐกถา นุญ
พจนานุ กรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542 ได้อธิบายความหมายของ
ับอ
ปาฐกถาไว้ว่า ถ้อยคาหรือเรื่องราวทีบ่ รรยายในที่ชุมชนเป็ นต้น กล่าวโดยทัว่ ๆ ไป ปาฐกถา
ด้ร
ปาฐกถาอาจจัดแสดงหลังการรับประทานอาหารกลางวันหรืออาหารเย็น ตามสมาคม
เผย
สโมสร หรือตามโรงแรมชัน้ นาต่าง ๆ โดยเชิญผูท้ ม่ี ชี ่อื เสียงหรือผูท้ ม่ี ปี ระสบการณ์สูงซึ่งเป็ นที่
รือ
ทัวไปหรื
่ อการแสดงความคิดเห็นในข้อเท็จจริงต่าง ๆ อันจะเป็ นประโยชน์กบั ผู้ฟัง ดังนัน้ การ
น่า
์จําห
3. หลักในการแสดงปาฐกถา
ห้า
3.1 พูดให้ตรงประเด็น
3.2 เนื้อเรื่องจะต้องมีสาระ ให้ความรู้ และข้อเท็จจริงแก่ผฟู้ ั ง
ัย
ยาล
3.6 ใช้วธิ กี ารพูดทีน่ ่าสนใจทัง้ เสียง และลีลาในการพูด
วิท
3.7 ไม่พดู พาดพิงหรือกระทบกระเทียบผูอ้ ่นื ให้ได้รบั ความเสือ่ มเสีย
หา
างม
การอภิ ปราย
ากท
1. ความหมายของการอภิปราย
พจนานุ กรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542 ได้อธิบายความหมายของ
า ตจ
อภิปรายไว้ว่า พูดชี้แจงแสดงความคิดเห็น กล่าวโดยทัวไป ่ การอภิปรายหมายถึง การพูดจา
นุญ
หารือกันระหว่างคนกลุ่มหนึ่ง เพือ่ แลกเปลีย่ นประสบการณ์ ความรู้ ความคิดเห็นร่วมกัน โดยมี
ับอ
จุดประสงค์เพือ่ ช่วยกันแก้ปัญหาในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ด้ร
2. จุดมุ่งหมายของการอภิปราย
ไม่ไ
ตนเองอย่างมีเหตุผล
เผย
ตัดสินใจปั ญหาร่วมกัน
น่า
์จําห
3. ประเภทของการอภิปราย
การอภิปรายยังแบ่งออกเป็ นรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้
ิมพ
3.1 การอภิป รายโต๊ ะ กลม (Round Table Discussion) เป็ น การอภิป รายที่ผู้ ร่ ว ม
มพ
ัย
ยาล
การสรุปผลจากทีผ่ เู้ ข้าร่วมประชุมทัง้ หมดได้เสนอแนะ
วิท
3.3 การอภิปรายแบบระดมสมอง (Brainstorming Discussion) เป็ นการอภิปรายเพื่อ
หา
รวบรวมความคิดเห็นจากผูร้ ่วมประชุมให้ได้มากทีส่ ุด โดยมีการชี้ถงึ ปั ญหาและให้สมาชิกทุก
างม
คนเสนอแนะวิธกี ารแก้ปัญหานัน้ อย่างเสรี แต่ในการเสนอแนะการแก้ปัญหาของสมาชิกนัน้ จะ
ากท
ไม่ มีก ารอภิป รายถกเถีย งหรื อ โต้แ ย้ง ประเด็น ต่ า ง ๆ เมื่อ สมาชิก แสดงความเห็น ออกมา
เลขานุการทาหน้าที่จดบันทึกไว้ จากนัน้ จึงนาข้อเสนอแนะต่าง ๆ ของสมาชิกมาพิจารณาหา
ตจ
ข้อเสนอแนะทีเ่ หมาะสมและเป็ นประโยชน์ทส่ี ุดเพือ่ เป็ นแนวทางในการตัดสินใจต่อไป
า
นุญ
3.4 การอภิปรายเป็ นคณะ (Panel Discussion) เป็ นการอภิปรายที่ประกอบด้ว ยผู้
ับอ
ร่วมอภิปรายตัง้ แต่ 3-5 คน โดยผูร้ ่วมอภิปรายทุกคนเป็ นผูท้ ศ่ี กึ ษาหาความรูเ้ กี่ยวกับหัวข้อที่
ด้ร
อภิปรายแทนคนฟั ง
ร่โด
มีป ระธานเป็ นผู้ ด าเนิ น การและเป็ นตัว เชื่อ มโยงระหว่ า งผู้เ ชี่ย วชาญกับ ผู้ฟั ง หลัง จาก
น่า
แสดงความคิดเห็นกันอย่างอิสระ
ิมพ
หนึ่ ง ประกอบด้ว ยผู้แ ทนของผู้ฟั ง ประมาณ 3-4 คน อีก กลุ่ ม หนึ่ ง ประกอบด้ว ยวิท ยากร
ประมาณ 3-4 คนเช่นกัน ทัง้ สองฝ่ ายนัง่ อยู่บนเวทีหนั หน้าเข้าหากัน ผู้ร่วมอภิปรายที่ได้รบั
เลือกมาเป็ นผูแ้ ทนของผูฟ้ ั งจะเป็ นผูเ้ สนอปั ญหา หรือถามคาถาม วิทยากรจะเป็ นผูต้ อบปั ญหา
ัย
การโต้วาทีเป็ นรูปแบบการพูดที่แบ่งผู้พูดออกเป็ นสองฝ่ ายเพื่อให้มกี ารโต้แย้ง และ
ยาล
หักล้างเหตุผลของอีกฝ่ าย ซึ่งนอกจากจะใช้เหตุผลอย่างมีสาระแล้ว ผู้พูดยังจาเป็ นต้อ งใช้
วิท
ปฏิภาณไหวพริบ และวาทศิลป์ เพือ่ ดึงดูดความสนใจของผูฟ้ ั ง
หา
2. จุดมุ่งหมายของการโต้วาที
างม
2.1 เพื่อ ฝึ ก ฝนให้ผู้โต้ว าทีรู้จกั การคิด และการพูดอย่างมีเ หตุผ ล รวมทัง้ เป็ น การ
ากท
ฝึกหัดการฟั งอย่างมีวจิ ารณญาณ
2.2 เพื่อ ฝึ ก ฝนให้ รู้ จ ัก ยอมรับ ความคิด ของผู้ อ่ืน ท าให้ เ กิด ความรู้ ใ หม่ ๆ และ
า ตจ
ประสบการณ์ใหม่ ๆ นุญ
2.3 เพือ่ ฝึกความเป็ นผูน้ าและการทางานร่วมกัน
ับอ
3. องค์ประกอบของการโต้วาที
ด้ร
ถกเถียงกันได้
3.2 คณะบุคคลทีด่ าเนินการโต้วาที ประกอบด้วยประธานการโต้วาที ฝ่ ายเสนอ และ
แพ
ัย
ยาล
4.3 กระทัด รัด การก าหนดเนื้ อ ความเพื่อ สร้ า งญัต ติค วรจะเป็ นเนื้ อ ความที่ส ัน้
วิท
กระทัดรัด ไม่ควรใช้เนื้อความทีย่ ดื ยาว เพราะจะทาให้เข้าใจยาก จายาก ตีความยาก พูดก็ยาก
หา
โดยปกติจงึ นิยมตัง้ ญัตติเป็ นวลีมากกว่าประโยค
างม
4.4 ใช้ถ้อยคาบอกเล่า การสร้างญัตติเพื่อการโต้วาทีไม่ควรเป็ นคาถาม เพราะไม่ใช่
ากท
คาถามเพือ่ การตอบ แต่ควรเป็ นเนื้อความบอกเล่า คล้ายกับว่าผูพ้ ดู เสนอความคิดเห็นอย่างใด
อย่างหนึ่งแล้วมีผคู้ ดั ค้านความคิดเห็นนัน้
ตจ
4.5 มีความเป็ นเอกภาพ เนื้อความทีจ่ ะใช้สร้างญัตติเพื่อการโต้วาทีควรมีความรัดกุม
า
นุญ
ไม่มคี วามหมายหลายนัย ในญัตติเดียวกันนี้จะต้องมีเนื้อความทีเ่ ข้าใจได้เพียงแง่เดียว เพื่อที่
ับอ
การโต้วาทีจะได้มขี อบเขตชัดเจน
ด้ร
การประชุม
เผย
1. ความหมายของการประชุม
รือ
2. จุดมุ่งหมายของการประชุม
2.1 เพือ่ หาข้อเท็จจริงและแลกเปลีย่ นความรู้
ิมพ
3. ประเภทของการประชุม
3.1 การประชุ ม สามัญ หมายถึง การประชุ ม ตามก าหนดการที่ไ ด้ก าหนดไว้ต าม
ระเบียบข้อบังคับนัน้ ๆ
3.2 การประชุมวิสามัญ หมายถึงการประชุมพิเศษ หรือการประชุมอย่างรีบด่ว นที่
นอกเหนือจากกาหนดการ
ัย
ยาล
4. องค์ประกอบในการประชุม
วิท
การประชุมจะต้องประกอบด้วยบุคคลต่าง ๆ ดังนี้
หา
4.1 ประธาน มีหน้าที่ดาเนินการประชุม คอยควบคุมญัตติในการประชุม รักษาเวลา
างม
ในการประชุม และตัดสินชี้ขาดผลของการประชุม โดยผูท้ ด่ี ารงตาแหน่งประธานนัน้ ย่อมเป็ น
ากท
บุคคลทีไ่ ด้รบั ความไว้วางใจจากคณะกรรมการ
4.2 รองประธาน มีอานาจหน้าที่ เช่นเดียวกับประธาน คอยทาหน้าทีแ่ ทนประธานเมื่อ
ตจ
ประธานไม่สามารถทาหน้าทีข่ องตนในการประชุมนัน้ ๆ
า
นุญ
4.3 กรรมการ มีห น้ า ที่ เ ข้ า ร่ ว มประชุ ม และให้ ค วามร่ ว มมือ ในการประชุ ม มี
ับอ
ความสาคัญเช่นเดียวกันเพราะหากจานวนผูเ้ ข้าไปประชุมไม่ครบตามองค์ประชุมทีก่ าหนดไว้
ด้ร
ก็จะไม่สามารถเปิ ดประชุมได้
ไม่ไ
5. การบันทึกรายงานการประชุม
ยห
5 1 รายงานการประชุมดังกล่าวเป็ นของใครหรือหน่วยงานใด
์จําห
ัย
ยาล
ทัง้ นี้ การบันทึกเนื้อหาการประชุมอาจจะบันทึกทุกความเห็น ของผู้เ ข้าร่ว มประชุม
วิท
พร้อมกับตัวมติ หรือจะบันทึกโดยย่อคาพูดเฉพาะทีเ่ ป็ นประเด็นสาคัญอันเป็ นเหตุผลทีน่ าไปสู่
หา
มติพร้อมกับตัวมติกไ็ ด้
างม
ากท
การพูดทางวิ ทยุโทรทัศน์
1. ความหมายของการพูดทางวิทยุโทรทัศน์
า ตจ
การพูดทางวิทยุโทรทัศน์ ถือเป็ นการพูดทางสื่อสารมวลชน ซึ่งแตกต่างจากการพูดใน
นุญ
รูปแบบอื่น ๆ เนื่องจากมีการถ่ายทอดการพูดไปสู่ผฟู้ ั งจานวนมาก ผูพ้ ดู จะไม่สามารถปรับปรุง
ับอ
ลีลาหรือเนื้อหาในการพูดให้เหมาะสมกับผู้ฟัง เพราะไม่มโี อกาสได้เห็นการตอบสนองใด ๆ
ด้ร
โดยทัว่ ไปบุ ค คลที่จ ะมีโ อกาสได้พูด ทางวิท ยุ โ ทรทัศ น์ จ ะมีอ ยู่ 2 ประเภท คือ ผู้ท่ี
ประกอบอาชีพนี้โดยตรง เช่น นักจัดรายการ กับ ผู้ท่ไี ด้รบั เชิญให้พูดแสดงความคิดเห็นต่อ
แพ
2. การเตรียมตัวก่อนออกอากาศหรือบันทึกเทปรายการ
ยห
ัย
ยาล
3.1 รู้จกั อุปกรณ์ แ ละสัญ ญาณส าคัญ ในห้อ งส่ง เมื่อ อยู่ใ นห้อ งส่ง ซึ่งอาจะเป็ น การ
วิท
บันทึกเทปหรือออกอากาศสด ผู้พูดควรจะรู้จกั อุปกรณ์สาคัญสาหรับการพูดของตน ได้แก่
หา
ไมโครโฟน กล้องบันทึกภาพ รวมทัง้ สัญญาณแสดงการออกอากาศและการยุตใิ นห้องส่ง เมื่อ
างม
สัญญาณออกอากาศเริม่ ต้นขึน้ ผูพ้ ูดจะได้มสี มาธิจดจ่ออยู่กบั การพูด ไม่ควรต้องมาพะวงกับสิง่
ากท
อื่นรอบตัวอีก
3.2 กาหนดให้ชดั เจนว่าจะพูดกับผู้ดาเนินรายการเท่านัน้ หรือพูดกับผู้ฟังทางบ้าน
ตจ
ด้วย สาหรับรายการวิทยุ ผู้พูดไม่จาเป็ นต้องพะวงเรื่องการแสดงออกอย่างอื่นนอกจากเสียง
า
นุญ
จึงต้อ งคอยดูระยะห่ างระหว่ างต าแหน่ งที่ ต นนัง่ พูดกับไมโครโฟนให้อ ยู่ใ นระยะสม่ า เสมอ
ับอ
ไม่เ ช่นนัน้ จะท าให้ค วามดัง หรือ คุ ณ ภาพของเสียงเปลี่ย นไป อย่างไรก็ดีห ากเป็ น รายการ
ด้ร
ัย
ยาล
น้ าเสียงปกติเหมือนการพูดคุยในชีวติ ประจาวัน แต่ควรใช้ภาษาสุภาพ นาเสนอเนื้ อหาสาระที่
วิท
เป็ นประโยชน์ต่อสาธารณชน ไม่พดู เรื่องทีก่ ่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
หา
างม
การพูดในโอกาสต่างๆ
ากท
นอกจากการพูดในการทางานแล้ว ยังมีการพูดเพื่อมารยาททางสังคมที่ใช้ในโอกาส
ตจ
ต่าง ๆ เพื่อแสดงถึงความเคารพรักใคร่เพือ่ เสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์อนั ดีต่อกัน ตามแบบสากล
า
นุญ
นิยม ตัวอย่างเช่น การกล่าวแนะนา การกล่าวต้อนรับ การกล่าวอวยพร การกล่าวแสดงความ
ับอ
ยินดี การกล่าวไว้อาลัย เป็ นต้น
ด้ร
ไม่ไ
การกล่าวแนะนา
ย
ผูบ้ รรยาย คณะผูอ้ ภิปราย องค์ปาฐก เป็ นต้น โดยผูท้ ท่ี าหน้าทีใ่ นการแนะนาเรียกว่าพิธกี รหรือ
รือ
2 ควรเลือกสรรถ้อยคาทีจ่ ะพูดให้เหมาะสมกับโอกาสและสถานที่
์จําห
6. อย่าบรรยายความสนิทสนมส่วนตัวทีม่ ตี ่อผูพ้ ดู
การกล่าวต้อนรับ
เวลามีแ ขกมาเยี่ยมชมหน่ ว ยงาน ย่อ มมีการจัดพิธีต้ อ นรับ เพื่อ เป็ นการให้เ กีย รติ
รวมทัง้ เป็ นการแสดงน้ าใจไมตรีต่อแขกผูม้ าเยีย่ มชม การกล่าวต้อนรับทีด่ จี งึ มีสว่ นช่วยให้แขก
ผู้มาเยี่ยมชมรู้สกึ อุ่นใจและเป็ นกันเองกับเจ้าของสถานที่ เป็ นการเชื่อมความสัมพันธ์อ ันดี
ระหว่างกัน ซึง่ ควรมีหลักในการกล่าวต้อนรับดังนี้
ัย
ยาล
1. กล่าวถึงความยินดีทเ่ี จ้าของสถานทีไ่ ด้ตอ้ นรับผูม้ าเยือน
วิท
2. พูดถึงส่วนดีของผูม้ าเยือน อาจพูดถึงเรื่องทีบ่ ุคคลนัน้ ได้ทาคุณประโยชน์อะไรแก่
หา
สังคม หรือเคยมีผลงานอะไรมาก่อน
างม
3. กล่าวถึงความคาดหวังว่าผู้มาเยือนจะมีความสุข หรือประสบความสาเร็จในการ
ากท
สร้างความร่วมมือระหว่างกันและกัน
4. การแสดงความหวังว่าบุคคลนัน้ จะกลับมาเยีย่ มอีก
า ตจ
นุญ
การกล่าวตอบการต้อนรับ
ับอ
เมื่อแขกมีโอกาสได้มาเยีย่ มชมหน่วยงานแล้ว ก็อาจมีการกล่าวตอบการต้อนรับซึ่งควร
ด้ร
ยึดหลักดังนี้
ไม่ไ
2. กล่าวถึงความประทับใจในการมาเยีย่ มชมหน่วยงาน
ร่โด
3. กล่าวเชิญเจ้าบ้านให้ไปเยือนหน่วยงานของตนบ้าง
แพ
เผย
การกล่าวอวยพร
รือ
3. ผูพ้ ดู ควรคาถึงเวลาและเนื้อหาให้เหมาะสมตามโอกาส
การกล่าวสุนทรพจน์
การกล่าวสุนทรพจน์ เป็ นการพูดที่ใช้ในโอกาสสาคัญ เช่น การกล่าวเปิ ดการประชุม
การพบปะสโมสร การจัดนิทรรศการ โดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ สร้างความนิยม
ชมชอบให้แก่องค์กร เป็ นต้น การพูดสุนทรพจน์นนั ้ มักเป็ นการพูดคนเดียวซึง่ มีหลักการดังนี้
1. ผูพ้ ูดจะต้องเรียบเรียงถ้อยคาให้สละสลวยงดงาม ออกเสียงชัดถ้อยชัดคา ถูกต้อง
ัย
ยาล
ตามหลักภาษา
วิท
2. ผูพ้ ดู ควรพูดด้วยถ้อยคาและท่าทีทส่ี ุภาพอ่อนน้อม
หา
3. เนื้อหาทีพ่ ดู นัน้ นอกจากจะให้ความจรรโลงใจแล้ว ควรมีสารประโยชน์ถูกต้องตาม
างม
หลักความเป็ นจริง สามารถนาไปปรับคิดเป็ นแนวทางในการปฏิบตั ไิ ด้ดว้ ย
ากท
การกล่าวสดุดี
ตจ
การกล่าวสดุดมี กั ใช้ในพิธกี รรมต่าง ๆ ทีเ่ วียนมาบรรจบครบรอบ เพื่อระลึกถึงคุณงาม
า
นุญ
ความดีของบุคคลทีม่ ่อื เสียง สร้างคุณประโยชน์ หรือเสียสละเพือ่ ส่วนรวม ซึง่ แม้บุคคลดังกล่าว
ับอ
จะล่วงลับไปแล้วแต่คุณงามความดีของเขาก็ยงั คงอยู่ในความทรงจาของประชาชน ซึ่งมีหลัก
ด้ร
ดังนี้
ไม่ไ
3. กล่าวถึงคุณงามความดี ยกย่องให้เกียรติบุคคลนัน้
แพ
5. กล่าวยืนยันจะสืบทอดปณิธานหรือมรดกของบุคคลนัน้ อย่างเต็มความสามารถ
รือ
6. ให้ทุกคนแสดงการคารวะ และปฏิญาณร่วมกัน
ยห
น่า
การกล่าวอาลา
์จําห
หน่วยงาน
2. พูดถึงความสัมพันธ์อนั ดี พูดถึงความร่วมมือทีต่ นเคยได้รบั พูดถึงความประทับใจ
ทีต่ นมีต่อเพือ่ นร่วมงาน
การกล่าวไว้อาลัย
ัย
ยาล
ในงานศพผู้พูดอาจได้รบั โอกาสให้กล่าวคาไว้อาลัย โดยการกล่าวคาไว้อาลัยถือเป็ น
วิท
การให้เกียรติผตู้ าย การกล่าวคาไว้อาลัยจึงควรยึดหลักดังนี้
หา
1. พูดถึงชีวประวัตขิ องผูต้ ายเพียงสัน้ ๆ
างม
2. พูดถึงผลงานและคุณงามความดีของผูต้ าย
ากท
3. พูดถึงความห่วงหาอาลัยของผูท้ ย่ี งั อยู่
4. พูดแสดงความหวัง ขอให้ไปสูค่ ติทด่ี ตี ามความเชื่อของผูต้ าย
า ตจ
นุญ
ับอ
ด้ร
ย ไม่ไ
ร่โด
แพ
เผย
รือ
ยห
น่า
์จําห
ิมพ
มพ
ห้า
บรรณานุกรม
ทินวัฒน์ มฤคพิทกั ษ์. พูดได้-พูดเป็ น. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ: สานักพิมพ์กอ้ งหล้า, 2525.
นิพนธ์ ศศิธร. หลักการพูดต่อชุมชน. พิมพ์ครัง้ ที่ 3. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช, 2524.
ปรัชญา อาภากุล และการุณันทน์ รัตนแสนวงษ์. ศิ ลปะการใช้ภาษาการพูดการเขียน.
กรุงเทพฯ: ศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษา ฝ่ ายเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยศรีปทุม, 2540.
ัย
ยาล
ประสงค์ รายณสุข. การพูดเพื่อประสิ ทธิ ผล. กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือ มศว งานส่งเสริมวิจยั
วิท
และตารา กองบริการการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร, 2528.
หา
พชร บัวเพียร. วาทวิ ทยา กลยุทธ์การพูดอย่างมีประสิ ทธิ ผล...ในทุกโอกาส. พิมพ์ครัง้ ที่
างม
2. กรุงเทพฯ: Bj. Plate processor, 2536.
ากท
ลักษณา สตะเวทิน. หลักการพูด. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยกรุงเทพ, 2536.
สวนิต ยมาภัย และถิรนัน์ อนวัชศิรวิ งศ์. หลักการพูด หน้ าที่ชุมชน สื่อมวลชน และใน
า ตจ
องค์กร. พิมพ์ครัง้ ที่ 10. กรุงเทพฯ: ภาควิชาวาทวิทยาและสือ่ สารการแสดง
นุญ
คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิยาลัย, 2547.
ับอ
เสนาะ ผดุงฉัตร. วาทศาสตร์ ศิ ลปะเพื่อการพูด. พิมพ์ครัง้ ที่ 2. กรุงเทพฯ:
ด้ร
โรงพิมพ์จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, 2540.
ไม่ไ
นครพนม, 2546
แพ
เผย
รือ
ยห
น่า
์จําห
ิมพ
มพ
ห้า
ัย
ยาล
4) การประชาสัมพันธ์เป็ นงานทีม่ ฐี านมาจากการวิจยั (Research-based)
วิท
5) การประชาสัมพันธ์เป็ นความรับผิดชอบต่อสังคม (Socially responsible)
หา
างม
นภวรรณ ตันติเวชกุล สรุปต่อไปว่า การประชาสัมพันธ์เป็ นกระบวนการทีเ่ กี่ยวข้องกับ
ากท
การจัดการและการแสดงออกซึง่ ความรับผิดชอบต่อสังคม สนับสนุนให้เกิดการสือ่ สารแบบสอง
ทางระหว่างองค์การและกลุ่มสาธารณะที่เกี่ยวข้อง โดยการเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์เป็ น
ตจ
เครื่องมือหนึ่งของการขับเคลื่อนกระบวนการของการประชาสัมพันธ์ให้ลุล่วงไปได้ ช่วยสร้าง
า
นุญ
และรักษาความสัมพันธ์อนั ดี ระหว่างหน่วยงานและประชาชนกลุ่มต่าง ๆ ทัง้ ในแง่ของการเป็ น
ับอ
เครื่องมือเผยแพร่ขอ้ มูลให้ประชาชนทราบ การชักชวนให้ประชาชนมีสว่ นร่วม เห็นด้วยกับการ
ด้ร
ดาเนินงานของสถาบันหรือองค์การ ตลอดจนช่วยการประสานความคิดเห็นของกลุ่มประชาชน
ไม่ไ
ประชาสัม พัน ธ์แ ละวัต ถุ ป ระสงค์ท่ีใ ช้ใ นการเขีย นเพื่อ การประชาสัม พัน ธ์ท่ีส อดรับ กัน ไป
แพ
เพื่อ การสื่อ สารที่ดี มวลชนทัง้ ภายในและภายนอกองค์ก รรับ รู้ภ ารกิจ พันธกิจต่าง ๆ อัน
ยห
นามาซึงผลสาเร็จขององค์กร
ิมพ
มพ
องค์ประกอบของการประชาสัมพันธ์
ห้า
ัย
ยาล
ของสาธารณชน”
วิท
6. หน้ าที่เชิ งการจัดการ (Management Function)
หา
การประชาสัมพันธ์จะมีประสิทธิผ ลสูงสุ ด เมื่อ ถู กรวมเข้าไว้เ ป็ นส่วนหนึ่งของเรื่องที่
างม
ผู้บ ริห ารสูง สุ ด ขององค์ก รต้อ งพิจ ารณาตัด สิน ใจ งานประชาสัม พัน ธ์เ กี่ย วข้อ งกับ การให้
ากท
คาปรึกษา และการแก้ไขปั ญหาระดับสูง มิใช่เพียงการเผยแพร่ขอ้ มูลหลังจากทีไ่ ด้ตดั สินใจแล้ว
เท่านัน้
า ตจ
นุญ
วัตถุประสงค์
ับอ
การประชาสัมพันธ์ เป็ นการสร้างความสัมพันธ์อนั ดีกบั มวลชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิด
ด้ร
3. เพื่ อ สร้ า งความเข้ า ใจอัน ดี การสร้า งความเข้า ใจอัน ดีท ัง้ บุ ค ลากรภายในและ
มพ
ัย
ยาล
องค์กร ทัง้ ยังได้รบั ความร่วมมือและได้รบั การสนับสนุนกับการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์กร
วิท
4. เพื่อสนับสนุนกิ จกรรมทางการตลาด หากประชาชนกลุ่มเป้ าหมายเกิดทัศนคติท่ี
หา
ดีต่อองค์กร ชื่นชม ศรัทธา ยอมรับในตัวองค์กร เมื่อองค์กรประกอบกิจการใดทีจ่ ะหใประชาชน
างม
สนับสนุ นผลิตภัณฑ์หรือบริการ ประชาชนกลุ่มเป้ าหมายมักจะยินดีและพร้อมที่จะให้ความ
ากท
ร่วมมือเป็ นอย่างดี
การประชาสัมพันธ์ขององค์กรนอกจากจะต้องมีว ตั ถุประสงค์ท่ีชดั เจนแล้ว ยังต้อ ง
ตจ
เลือกใช้สอ่ื เพือ่ การประชาสัมพันธ์ให้ตรงกับกลุ่มเป้ าหมาย และบรรลุวตั ถุประสงค์ดงั กล่ าว
า
นุญ
ับอ
การประชาสัมพันธ์เป็ นกระบวนการ
ด้ร
เขีย นโดย John Marston (1983) ได้ ใ ห้ แ นวทางว่ า การประชาสัม พัน ธ์ เ ป็ นกระบวนการ
“RACE” ประกอบด้วย
แพ
เผย
ัย
ยาล
และสามารถติดต่อสื่อสารกับผูร้ บั สารแบบสองทางได้อย่างทันท่วงที รวมถึงสื่อสิง่ พิมพ์ต่าง ๆ
วิท
ที่ดาเนินมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็ นสิง่ พิมพ์เพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์องค์กร จดหมาย
หา
ข่าวสมาชิก Press Release เอกสารการประชาสัมพันธ์อ่นื ๆ ซึง่ มีทงั ้ ทีต่ อ้ งติดต่อและไม่ตดิ ต่อ
างม
กับสื่อมวลชนภายนอก รวมถึงนักประชาสัมพันธ์จาเป็ นต้องมีองค์ความรูเ้ กี่ยวกับการบริหาร
ากท
การจัดสรรทรัพยากร การวางแผนงาน การตรวจสอบและประกันคุณภาพ
2. มหาวิท ยาลัย หลายแห่ ง ในปั จ จุ บัน ได้จ ัด หลัก สู ต รการเรีย นการสอนโดยการ
ตจ
บู ร ณาการการประชาสัม พัน ธ์ ก ับ การโฆษณา รวมถึง การบริห ารธุ ร กิจ บางสาขา เช่ น
า
นุญ
การสือ่ สารการตลาดเชิงบูรณาการ การสือ่ สารองค์กรและการประชาสัมพันธ์ เป็ นต้น
ับอ
ด้ร
ทักษะและคุณสมบัติการเป็ นนักประชาสัมพันธ์ที่ดี
ไม่ไ
คุณลักษณะพื้นฐาน
ย
ร่โด
4. การสร้างแรงจูงใจต่อมวลชน
ยห
คุณลักษณะเฉพาะที่จาเป็ น
ิมพ
ัย
ยาล
เชื่อถือ ศรัทธาจากประชาชนในสังคม เช่น การเขียนบทความ เป็ นต้น
วิท
3. การเขียนเพื่อป้ องกันมิให้เกิดความเข้าใจผิด เขียนเพื่ออธิบาย แถลง ชี้แจง
หา
อย่างชัดเจน เพื่อให้บุคคลทัวไปเข้
่ าใจรายละเอียด ลดความคลางแคลงใจลง ในขณะเดียวกัน
างม
ควรเพิ่มความน่ าเชื่อ ถือ ให้เ กิดขึ้นกับองค์ก ร เช่น การเขียนข่าว บทสัมภาษณ์ บทความ
ากท
ประเภทแนะนา บทความประเภทอธิบาย การเขียนเหล่ านี้ค วรมีการอ้างอิงแหล่ งข้อ มูลที่
น่าเชื่อถือ
ตจ
4. การเขียนเพื่อสร้างภาพลักษณ์ท่ีดี โดยการนาจุดเด่นขององค์ก รมาสื่อ สาร
า
นุญ
เพือ่ ทาให้เกิดความเลื่อมใส ศรัทธาตามทีอ่ งค์กรต้องการ การเขียนจึงต้องเลือกสรรคาทีก่ ระตุ้น
ับอ
ความรูส้ กึ กระทบใจ มีพลังต่อผูอ้ ่าน หากทว่าไม่โอ้อวด หรือใช้ถ้อยคาโฆษณาชวนเชื่อทีเ่ กิน
ด้ร
ัย
ยาล
ต่างๆ โดยเชื่อมโยงกับผูม้ สี ว่ นได้สว่ นเสียในกลุ่มต่าง ๆ ขององค์กร
วิท
3. ความสามารถในการเข้ าถึง และการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็ นทัก ษะที่
หา
จาเป็ นสาหรับนักประชาสัมพันธ์รุ่นใหม่ เนื่องจากข้อมูลสารสนเทศในแหล่งต่าง ๆ นัน้ ช่วยทา
างม
ให้รเู้ ท่าทันการเคลื่อนไหวของสังคม กระแสทีส่ งั คมกาลังให้ความสนใจ การสืบค้นข้อมูลของ
ากท
องค์กร รวมถึงผลกระทบในด้านต่าง ๆ ของผูม้ สี ่วนได้ส่วนเสียกับองค์กร เหล่านี้อ าจนามาใช้
เป็ นข้อมูลเพือ่ การวิจยั และการวางแผนการประชาสัมพันธ์ได้ต่อไป
ตจ
4. ทักษะการวางแผนงาน เพื่อการประชาสัมพันธ์อย่างมีคุณภาพ สามารถส่งสารไป
า
นุญ
ยังกลุ่มเป้ าหมายได้อย่างถูกต้องครบถ้วน นักประชาสัมพันธ์ควรคิดวางแผนช่วงเวลาในการ
ับอ
ดาเนินกิจกรรม ช่องทางในการเผยแพร่ การใช้จ่ายงบประมาณทีอ่ ยู่ในแผนดาเนินงาน
ด้ร
กลุ่มเป้ าหมาย
รือ
ยัง ต้ อ งค านึ ง ถึ ง ด้ ว ยว่ า ในการเขีย นครัง้ นั ้น “เขีย นให้ ใ ครอ่ า น” เพื่อ เป็ นการก าหนด
์จําห
กลยุทธ์ในการสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้เกิ ดสัมฤทธิ ผล
หลักการพืน้ ฐานทีส่ าคัญในการสือ่ สารเพือ่ การประชาสัมพันธ์เพือ่ เกิดสัมฤทธิผลขึ้นอยู่
กับกลยุทธ์ใ นการสื่อ สาร รวมถึงความพร้อ มของอุ ปกรณ์ ก ารสื่อ สาร การทุ่มเทกาลัง กาย
ก าลังใจ และก าลังสติปัญ ญาเพื่อ การประชาสัมพันธ์ รวมทัง้ การการมีส ามัญ สานึกต่อ งาน
ประชาสัมพันธ์ทจ่ี ะทาให้การสือ่ สารทุกครัง้ ส่งผลไปยังกลุ่มเป้ าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
ัย
ยาล
วิท
อุปสรรคของการสื่อสารเพื่อการประชาสัมพันธ์
หา
1. ประชาชนกลุ่มเป้ าหมายมีปฏิกริ ยิ าโต้ตอบต่อเนื้อหาข่าวสารที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่
างม
กับภูมหิ ลังด้านสังคม ระดับความรู้ ประสบการณ์ รสนิยม และความเชื่อของแต่ละบุคคล
ากท
2. ทักษะความสามารถในการรับข้อมูลข่าวสารของแต่ละบุคคลทีม่ คี วามแตกต่างกัน
3. ผูร้ บั สารบางกลุ่มปฏิเสธการรับรูใ้ ดใด เนื่องจากทัศนคติทม่ี มี าก่อน กับความรู้ใหม่
า ตจ
ไม่สอดคล้อง หรือเป็ นไปในแนวทางเดียวกัน นุญ
4. บุคคลทัวไปสนใจเฉพาะแต่
่ เพียงข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับตนเองหรือกลุ่ มสังคมของ
ับอ
ตนเองเท่านัน้
ด้ร
ในสังคม
ยห
น่า
การเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์
การเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์ เป็ นวิธกี ารสื่อสารที่สามารถถ่ายทอดข่าวสาร และ
ัย
ยาล
เรื่องราวต่าง ๆ ขององค์กรไปสู่ประชาชนกลุ่มเป้ าหมายได้อย่างกว้างขวาง เป็ นจานวนมาก
วิท
โดยผ่านสือ่ ประเภทต่าง ๆ
หา
างม
วัตถุประสงค์ของการเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์
ากท
การเขีย นเพื่อ การประชาสัม พัน ธ์ มีจุ ด มุ่ ง หมายส าคัญ ในการสื่อ สารกับ ประชาชน
กลุ่มเป้ าหมายขององค์กร เพื่อส่งข่าวสาร แสดงความคิดเห็น สร้างความรู้ ความเข้าใจทีด่ แี ละ
า ตจ
ถูกต้อง เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ทด่ี ขี ององค์กร แก้ไขความเข้าใจผิดทีเ่ กิดขึน้ ดังนัน้ การเขียน
นุญ
เพือ่ ประชาสัมพันธ์ในการนาเสนอแนวคิดขององค์กรมีวตั ถุประสงค์พน้ื ฐาน 7 ประการ ได้แก่
ับอ
1. การเขียนเพื่อบอกกล่าวให้เข้าใจ
ด้ร
2. การเขียนเพื่อให้ประชาชนเกิ ดการยอมรับ
์จําห
การอ้า งอิง แหล่ ง ข้อ มู ล ที่ช ัด เจนน่ า เชื่อ ถื อ มาประกอบการเขีย น เช่ น การเขีย นข่ า ว บท
สัมภาษณ์ บทความแนะนา บทความอธิบาย เป็ นต้น
4. การเขียนเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี
มุ่งให้ประชาชนมองเห็นภาพลักษณ์ทด่ี ขี ององค์กร เกิดความเชื่อถือ ศรัทธาในตัวองค์กร
ัย
ยาล
งานเขียนชนิดนี้จงึ ต้องนาจุดเด่นขององค์กรมากล่าวถึง และอธิบายความให้ชดั เจน ผู้เขียน
วิท
ต้องเลือกใช้คาให้เหมาะสม สรรคาที่มพี ลัง พร้อมจะกระตุ้นให้เกิดความรู้สกึ คล้อยตาม วาด
หา
ภาพลักษณ์ขององค์กรจากภาษาที่เลือกสรรมาใช้ โดยจะต้องไม่กล่าวเกินกว่าความเป็ นจริง
างม
หรือ กล่ า วในท านองโอ้อ วดสรรพคุ ณ ต่า ง ๆ อัน เป็ น การโฆษณาชวนเชื่อ เช่ น ก ารเขีย น
ากท
บทความประเภทแนะนา การเขียนคาขวัญ เป็ นต้น
ตจ
5. การเขียนเพื่อแก้ไขความเข้าใจผิด
า
นุญ
มุ่งให้ประชาชนเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงจาเป็ นต้องอ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
ับอ
อธิบายเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้เข้าใจอย่างชัดเจน มีเหตุผลสอดคล้องกันอย่างมีน้าหนัก ใช้ถอ้ ยคา
ด้ร
6. การเขียนเพื่อสร้างความสัมพันธ์อนั ดี
แพ
ผู้ร่ ว มงานในองค์ก รเดีย วกัน รวมถึง เกิด ความรู้ส ึก ผู ก พัน กับ องค์ก ร เช่ น การเขีย นบท
ยห
7. การเขียนเพื่อสนับสนุนกิ จกรรมทางการตลาด
ิมพ
ัย
ยาล
สือ่ สารได้อย่างไม่มขี อ้ บกพร่อง ไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อน รวมถึงการรูว้ ตั ถุประสงค์
วิท
ในการประชาสัมพันธ์ จึงจะสามารถทาให้ผู้รบั สารเกิดความเข้าใจ เกิดทัศนคติท่ดี ตี ่อองค์กร
หา
เปลี่ยนแปลงความคิดจากเดิมที่เข้าใจผิดให้สามารถเข้าใจได้อย่างถูกต้อง ยอมรับ เลื่อมใส
างม
ศรัทธา และเกิดภาพลักษณ์เชิงบวกกับองค์กร
ากท
ประเภทของเอกสารเพื่อการประชาสัมพันธ์
ตจ
เอกสารเพื่อ การประชาสัมพันธ์ เป็ นเอกสารที่อ งค์ก รใช้เ พื่อ เป็ นสื่อ ในการเผยแพร่
า
นุญ
ข่ า วสารข้อ มู ล ขององค์ก ร โดยมีเ นื้ อ หากล่ า วถึง การเผยแพร่ ข่ า วสาร การรายงานข่ า ว
ับอ
ความเคลื่อนไหว รวมถึงการเสริมสร้างภาพลักษณ์ทด่ี ตี ่อองค์กร
ด้ร
ไม่ไ
การแบ่งประเภทของเอกสารเพื่อการประชาสัมพันธ์ตามกลุ่มเป้ าหมายของ
ย
ร่โด
การประชาสัมพันธ์
แพ
1. เอกสารเพื่อการประชาสัมพันธ์ภายใน
เผย
1.1 วารสารภายใน
รือ
1.2 จดหมายข่าว
ยห
1.3 แผ่นพับ
น่า
1.4 แผ่นปลิวและโปสเตอร์
์จําห
2. เอกสารเพื่อการประชาสัมพันธ์ภายนอก
ิมพ
2.1 ข่าวแจก
มพ
2.2 บทความ
2.3 สปอต
ห้า
2.4 วารสารภายนอก
2.5 จุลสาร
2.6 รายงานประจาปี
การแบ่งประเภทของเอกสารเพื่อการประชาสัมพันธ์ตามประเภทของสื่ อที่
เผยแพร่ดงั นี้
ัย
ยาล
1. สือ่ สิง่ พิมพ์
วิท
2. วิทยุกระจายเสียง
หา
3. โทรทัศน์
างม
4. สือ่ ดิจทิ ลั
ากท
ในทีน่ ้ีจะกล่าวถึงเฉพาะสื่อสิง่ พิมพ์ และสื่อดิจทิ ลั ซึ่งอยู่ใกล้ตวั สามารถพบเห็นได้ทวไป
ั ่ และมี
แนวโน้มในการนาไปใช้มากทีส่ ุด
า ตจ
นุญ
สื่อสิ่ งพิ มพ์
ับอ
3. บทความ (Articles)
รือ
1. การเขียนข่าวแจก
์จําห
ประชาสัม พัน ธ์ใ ช้ ใ นการถ่ า ยทอดข้อ มูล ต่ า ง ๆ ขององค์ก ร เพื่อ เผยแพร่ ไ ปยัง ประชาชน
มพ
กลุ มเป้ าหมาย โดยผ่ านสื่อ หรือ ช่อ งทาง (channel) ต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ทาให้เ รา
ห้า
นัก ประชาสัม พัน ธ์อ าจส่ง ข่า วแจกนี้ เ พื่อ ประชาสัม พัน ธ์ผ่ า นหนัง สือ พิม พ์ท่ีส ามารถ
เผยแพร่ไปได้อย่างกว้างขวางกว่าสื่ออื่น ๆ เนื่องจาก นิตยสาร วิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์
เป็ นสือ่ ทีก่ ลุ่มเป้ าหมายเลือกรับ และค่อนข้างเป็ นสือ่ ทีเ่ ฉพาะเจาะจง แตกต่างจากหนังสือพิมพ์
ที่ มีป ระชาชนโดยทัว่ ไปอ่ า น โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ง ในยุ ค ปั จ จุ บัน นี้ ข่ า วที่ เ ผยแพร่ ผ่ า น
หนังสือพิมพ์ มีทงั ้ ที่ตพี มิ พ์เป็ นฉบับดังเดิม และการเผยแพร่ผ่านระบบดิจทิ ลั ในรูปแบบของ
ัย
ยาล
หนังสือพิมพ์ออนไลน์ รวมไปถึงเว็บไซต์ต่าง ๆ ของการเผยแพร่ขา่ วทีป่ ระชาชนทัวไปสามารถ ่
วิท
เข้าถึงได้ แต่กระนัน้ ก็ต าม การเผยแพร่ข่าวแจกเพื่อ การประชาสัมพันธ์อ งค์กรนัน้ ควรจะ
หา
เผยแพร่ให้ครอบคลุมสือ่ ต่าง ๆ ทุกประเภท
างม
ข่าวแจก เป็ นข้อมูล ข่าวสาร ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกิจกรรมหรือเหตุการณ์ต่ าง ๆ ของ
ากท
องค์กรที่เกิดขึ้น โดยนักประชาสัมพันธ์ได้ส่งข่าวไปเพื่อให้ส่อื มวลชนถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร
หรือ ข้อ เท็จจริงไปยังประชาชนทัวไป ่ ซึ่งมีค วามมุ่งหมายให้อ งค์กรเป็ นที่รู้จกั เข้าใจ และ
ตจ
ยอมรับในการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ
า
นุญ
ข่าวแจก จึงเป็ นการรายงานข้อมูล ข่าวสาร หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ จากหน่วยงาน โดยที่
ับอ
เนื้อหาของข่าวจะต้องมีคุณค่า มีความน่ าสนใจจึงจะทาให้ส่อื มวลชนเผยแพร่ขอ้ มูลต่อไปยัง
ด้ร
ประชาชนโดยทัวไปในสั ่ งคมต่อไปได้
ย ไม่ไ
องค์ประกอบของข่าวแจก
ร่โด
4. มีผลกระทบ เนื้อหาสาระของข่าวส่งผลกระทบต่อสังคมส่วนรวมมากหรือน้อยประการ
ห้า
ัย
ยาล
เผยแพร่ในสื่อนัน้ ๆ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อซื้อเนื้อที่สาหรับตีพิมพ์ หรือการซื้อเวลาเพื่อ
วิท
ออกอากาศ การส่งข่าวแจกบ้างก็ได้รบั ความอนุเคราะห์ แต่บางครัง้ หากไม่ได้ตพี ิ มพ์เผยแพร่
หา
ในสือ่ มวลชนอื่น ๆ ต่อก็จะเป็ นทีย่ อมรับ และเข้าใจในวงการประชาสัมพันธ์
างม
การจัดทาและเผยแพร่ขา่ วแจกเป็ นความรับผิดชอบของหน่วยงานประชาสัมพันธ์ภายใน
ากท
องค์ ก ร หรือ มอบหมายให้ บ ริษั ท ที่ ป รึก ษาด้ า นการประชาสัม พัน ธ์ ( PR agency / PR
consultant) ทีว่ ่าจ้างไว้เป็ นผูด้ าเนินการให้
ตจ
การเขียนข่าวแจกเป็ นงานเขียนที่ต้องเสนอข้อเท็จจริง เที่ยงตรง กระชับรัดกุม และ
า
นุญ
ชัดเจน ไม่ค วรปรากฏข้อ คิดเห็น หรือ ทัศ นะใดใดของผู้เ ขียน ในเชิงโน้ มน้ าวหรือ โฆษณา
ับอ
องค์กร ทาให้งานเขียนข่าวแจกเพือ่ ประชาสัมพันธ์ในลักษณะนี้มลี กั ษณะเฉพาะตัวทีต่ อ้ งอาศัย
ด้ร
ความสาคัญของข่าวแจก
รือ
ขององค์กร
์จําห
ประเภทของข่าวแจก
1. จาแนกตามหน่ วยงาน
1.1 ข่าวแจกของหน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ
1.2 ข่าวแจกของภาคเอกชน (บริษทั ห้างร้านตาง ๆ)
ัย
1.3 ข่าวแจกของสมาคมหรือมูลนิธิ (Non-Profit Organizations)
ยาล
1.4 ข่าวแจกของบุคคล (เช่น งานศพ งานแต่งงาน งานเลีย้ งรุ่น)
วิท
2. จาแนกตามลักษณะเนื้ อหา
หา
2.1 ข่า วแจ้ง ให้ท ราบ หรือ Announcement เพื่อ แจ้ง รายละเอีย ดต่ า ง ๆ ของสิ่ง ที่
างม
เกิดขึน้ หรือมีขน้ึ เช่น นโยบาย วัตถุประสงค์กจิ กรรม การดาเนินงานต่าง ๆ ผลงาน ฯลฯ
ากท
2.2 ข่าวประกอบกิจกรรมพิเศษทางการประชาสัมพันธ์ หรือ Create News Release
มีรายละเอียดซับซ้อน ดึงดูดความสนใจ โดยมีเป้ าหมายหลักในการสร้างความนิยมต่อองค์กร
ตจ
เช่น ข่าวโครงการรณรงค์เพือ่ สังคมขององค์กรต่าง ๆ เป็ นต้น
า
นุญ
2.3 ข่าวเหตุการณ์เร่งด่วน หรือ Spot News Release เพื่อเผยแพร่กรณีมเี หตุการณ์
ับอ
เร่งด่วนทีส่ าคัญ มีผลกระทบต่อประชาชน และจาเป็ นต้องแจ้งให้สงั คมทราบอย่างรวดเร็ว อาจ
ด้ร
เป็ นต้น
2.4 ข่าวตอบโต้เหตุการณ์หรือวิกฤตการณ์ หรือ Response News Release เนื้อหา
แพ
เป็ นต้น
ยห
น่า
์จําห
หลักการเขียนข่าวแจก
การเขียนข่าวแจกควรคานึกถึง 5W 1H ประกอบด้วย Who ใคร What ทาอะไร Where
ิมพ
โครงสร้างของข่าวแจก
การเขียนข่าวทัวไป ่ รวมถึงข่าวแจก มีหลักการเขียนทีไ่ ม่แตกต่างกับการเขียนประเภท
อื่น ๆ สัก เท่าไรโดยชิ้นงานที่นาเสนอ ควรมีประเด็นที่ชดั เจน มีโครงสร้างการนาเสนอให้
เหมาะสมกับประเภทของงานเขียน และทีส่ าคัญใจความของเนื้อหา ควรมีเพียงประเด็นเดียว
เพือ่ ให้ผอู้ ่านได้รบั สารทีช่ ดั เจน ตรงตามทีผ่ เู้ ขียนต้องการสือ่ สารไปถึง
ัย
ยาล
วิท
โครงสร้างของข่าวแจก ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
หา
1. พาดหัวข่าว (Headline) เป็ นส่วนสาคัญประการแรกที่จะดึงดูดความสนใจของผูอ้ ่นื
างม
ด้วยข้อความสัน้ ๆ ทีส่ ามารถเข้าใจประเด็นได้โดยทันที การพาดหัวข่าวจึงเป็ นความท้าทาย
ากท
ประการหนึ่งของนักประชาสัมพันธ์ท่จี ะต้องสื่อความหมายได้ตรงกับเรื่องราว เข้าใจได้ด้วย
ถ้อยคาไม่มากนัก และดึงดูดให้ผอู้ ่านติดตามอ่านข่าวต่อไป
ตจ
2. วรรคนา (Lead) เป็ นส่วนทีน่ าเสนอประเด็นสาคัญของเรื่องไว้อย่างกระชับ นาเสนอ
า
นุญ
ด้ว ยมุ ม มองของผู้อ่ า นว่ า ผู้อ่ า นสนใจใคร่ รู้ใ นเรื่อ งใด หรือ ประเด็น ใดของเรื่อ งนั น้ ๆ นัก
ับอ
ประชาสัมพันธ์ควรนาเสนอและเขียนด้วยลีลาทีต่ อบสนองความสนใจของผูอ้ ่านเป็ นสาคัญ ไม่
ด้ร
3. ส่ ว นเชื่ อ ม (Neck) เป็ น ย่ อ หน้ า ที่อ ยู่ ร ะหว่ า งวรรคน าและเนื้ อ หา เพื่อ เพิ่ม เติม
เผย
จาเป็ นในการเขียนข่าวทุกครัง้
์จําห
การเขียนเนื้อ หาข่าวแจก มีรูปแบบเป็ นปิ รามิดหัว กลับ ประกอบด้ว ยย่อ หน้ าต่าง ๆ
ห้า
ัย
ยาล
สะดุดตา และดึงดูดความสนใจให้ผอู้ ่านอยากติดตามและทราบรายละเอียดเนื้อหา ไม่ควรเกิน
วิท
1 ประโยค โดยปกติจะไม่นิยมการพาดหัวรอง (sub-headline) เนื่องจากจะทาให้เนื้อหาข่าว
หา
ไม่กระชับ ขยายความออกไปโดยไม่จาเป็ น
างม
ากท
4. ความนา (Lead or Opening Paragraphs) เป็ นเนื้อหาที่สามารถตอบคาถาม 5W 1H ได้
ครบถ้วน เป็ นประเด็นสาคัญที่กล่าวถึงเนื้อหาของข่าว และสาระที่มุ่งหมายจะสื่อไปถึ งผู้อ่าน
ตจ
บรรณาธิการสามารถปรับเปลีย่ นถ้อยคาทีใ่ ช้ได้ เพือ่ ให้เหมาะสมกับสไตล์ของสือ่ นัน้ ๆ
า
นุญ
ับอ
5. รายละเอียดเนื้ อข่าว (Details) เรียบเรียงตามลาดับความสาคัญของเนื้อข่าว นาเสนอแต่
ด้ร
ด้วยตัวอักษรทีอ่ ่านได้อย่างชัดเจน
ร่โด
แพ
6. ส่ ว นท้ า ยของข่ า วแจก (Concluding the Release) ไม่ จ าเป็ นต้ อ งมีส ัญ ลัก ษณ์ ใ ดใด
เผย
คุณค่าของข่าวแจก
์จําห
ประชาชนทัวไป
่ เหมาะสมทีจ่ ะนาไปตีพมิ พ์เผยแพร่
ห้า
1. มีความสาคัญ
2. มีผลกระทบต่อคนในสังคม
3. กระตุน้ ให้ประชาชนเกิดความใคร่รู้
4. อยู่ในกระแสความสนใจ
การทาให้ข่าวแจกมีคุณค่า นักประชาสัมพันธ์จงึ ต้องนาองค์ประกอบต่าง ๆ ของข่าวมา
ัย
ยาล
ใช้ร่วมกัน โดยนามาเป็ นแนวทางเพื่อพิจารณาประเด็นสาระของข่าว ค้นหาสิง่ ทีน่ ่ าสนใจจาก
วิท
เหตุการณ์ทเ่ี กิดขึน้ กับองค์กร
หา
คุณสมบัตเิ นื้อหาของข่าวทีม่ คี ุณค่า ประกอบด้วย
างม
1. ความถูกต้อง (Accuracy) ในการนาเสนอข้อมูลทีเ่ ป็ นจริง
ากท
2. ความสมดุล (Balance) การนาเสนอข้อเท็จจริงของเนื้อหาอย่างสมบูรณ์ ครบถ้วน
3. ความเป็ นกลาง (Objective) ผูเ้ ขียนไม่แทรกทัศนะ ความคิดเห็นส่วนตัวไว้ในเนื้อข่าว
ตจ
4. ความชัดเจน กะทัดรัด (Clear and Concise) ใช้ภาษาในการสือ่ ความหมายที่กระชับ
า
นุญ
เข้าใจง่าย ไม่ก่อให้เกิดความผิดพลาดในการสือ่ สาร
ับอ
ด้ร
ย ไม่ไ
ร่โด
แพ
เผย
รือ
ยห
น่า
์จําห
ิมพ
มพ
ห้า
2. การเขียนคาบรรยายประกอบภาพ
ภาพประกอบข่าว เป็ นสิง่ สาคัญทีต่ ้องส่งไปควบคู่กบั ข่าวแจก นักประชาสัมพันธ์จงึ ต้อง
คัดสรรภาพ และบรรยายผ่านตัวอักษรได้เป็ นอย่างดี ภาพที่ดจี ะทาให้เกิดความรู้สกึ มีความ
เข้าใจได้ทนั ที จึงจาเป็ นต้องคัดสรรภาพทีจ่ ะเผยแพร่ให้ตรงตามวัตถุประสงค์
ัย
ยาล
ภาพสามารถสื่อความรู้สึกให้กบั ผู้ดภู าพได้ดงั นี้
วิท
1. ภาพทีเ่ กิดความรูส้ กึ ในเชิงบวก (positive feeling) ผูด้ ูภาพเห็นแล้วประทับใจ สดชื่น
หา
เต็มไปด้วยสุนทรีย์
างม
2. ภาพทีเ่ กิดความรูส้ กึ ในเชิงลบ (negative feeling) ผูด้ ูภาพเกิดความรูส้ กึ เศร้างหมอง
ากท
หดหู่ น่าเห็นใจ สะเทือนอารมณ์
3. ภาพทีเ่ กิดความรูส้ กึ ธรรมดา (neutral feeling) ผูด้ ภู าพไม่เกิดอารมณ์ความรูส้ กึ ใดใด
า ตจ
เป็ นกลาง นุญ
ภาพทีน่ ามาใช้เพื่อการประชาสัมพันธ์ จึงต้องเป็ นภาพทีท่ าให้เกิดความรูส้ กึ ในเชิงบวก
ับอ
มีขนาดใหญ่ เห็นส่วนทีต่ อ้ งการสือ่ สารทีส่ อดคล้องกับเนื้อข่าวได้อย่างชัดเจน โดยมีคาบรรยาย
ด้ร
ภาพถ่ายเพื่อการประชาสัมพันธ์ที่ดีควรเป็ นเช่นไร
แพ
ชัดเจนของบุคคลในข่าว
2. ภาพถ่ายเล่าเรืองราว สะท้อนเนื้อหาข่าวได้ในตัวเอง หากเป็ นภาพบุคคลก็ควรเป็ น
รือ
ยห
ภาพข่าวแบ่งเป็ นกี่ประเภท
มพ
2. ภาพข่า วกิจ กรรม เนื้ อ หาข่า วเสนอกิจ กรรมหรือ เหตุ ก ารณ์ โดยตอบค าถามใน
ประเด็น “ทาอะไร” “เมื่อใด” และ “อย่างไร” เป็ นสาคัญ ภาพข่าวที่ประกอบจึงเน้นที่กจิ กรรม
หรือเหตุการณ์ มากกว่าการเน้นทีต่ วั บุคคล
3. ภาพข่าวสถานที่ เนื้อหาข่าวต้องการนาเสนอสถานทีท่ เ่ี กิดเหตุการณ์ในข่าว โดยตอบ
คาถามในประเด็น “ที่ไหน” ภาพข่าวเน้นย้าสถานที่ อาจเป็ นภูมทิ ศั น์ ชื่อสถานที่ ป้ ายบอก
ัย
ยาล
สถานที่ แต่ทว่าภาพข่าวในลักษณะนี้นิยมใช้ในการประชาสัมพันธ์เพื่อชักจูงใจ เพื่อพรรณนา
วิท
และเพือ่ อธิบาย
หา
างม
การเขียนคาบรรยายภาพข่าวประชาสัมพันธ์
ากท
ข้อมูล รายละเอียดต่าง ๆ ทีค่ วรระบุไว้ในคาบรรยายภาพ ใช้หลักการตอบคาถาม 5W
1H แต่ไม่ตอ้ งระบุครบทุกประเด็น เลือกเฉพาะทีเ่ กีย่ วข้องกับประเด็นสาคัญทีป่ รากฏในภาพ
ตจ
การระบุวนั เดือน ปี ที่เกิดเหตุการณ์ในภาพข่าว อาจใช้ขอ้ ความว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ เมื่อ
า
นุญ
สัปดาห์ทผ่ี ่านมา โดยระบุวนั ที่ชดั เจนไว้ในวงเล็บข้างท้าย เพื่อสื่อสารกับบรรณาธิการว่าเกิด
ับอ
เหตุการณ์ข้นึ เมื่อใด แต่ละคงไว้หรือตัดทิ้ง เป็ นดุลยพินิจของบรรณาธิการ เนื่องจากบางข่าว
ด้ร
3. การเขียนบทความและสารคดีเพื่อการประชาสัมพันธ์
รือ
ลักษณะของบทความเพื่อการประชาสัมพันธ์
ยห
น่า
ให้ความรูท้ วไปแก่
ั่ ประชาชนในขอบเขตทีเ่ กี่ยข้องกับงานหรือกิจกรรมขององค์กร
ห้า
วัตถุประสงค์ของบทความเพื่อการประชาสัมพันธ์
1. เพื่อ แจ้งให้ทราบ บทความมักจะประกอบด้ว ยเนื้อ หาเกี่ยวกับการให้รายละเอียด
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่อ งที่เขียนอย่างชัดเจน ครบถ้วนทุกประเด็น เพื่อให้ผู้อ่านได้รบั ข้อมูลที่
ต้องการสือ่ สารอย่างแท้จริง
2. เพื่อ โน้ มน้ าวใจ บทความมีค วามตัง้ ใจที่จ ะให้ผู้อ่ า นเปลี่ย นทัศ นคติต ามที่ผู้เ ขีย น
ัย
ยาล
ต้องการจะถ่ายทอด การที่จะบรรลุผลเช่นนี้ได้นัน้ นอกจากที่ผู้เขียนจะให้รายละเอียด ข้อมูล
วิท
ด้านต่าง ๆ แล้วนัน้ จาเป็ นอย่างยิง่ ทีจ่ ะต้องหาหลักฐานมาใช้อา้ งอิงประกอบการเขียนให้มาก
หา
พอสมควร หาเหตุผลมาสนับสนุ นเทคนิคสาหรับการเขียนว่าต้องการโน้มน้าวใจเรื่องใด ให้
างม
ผู้อ่านตระหนัก ถึงผลดี และผลเสียที่จะเกิดขึ้น ผ่ านการใช้ภาษาที่ต้อ งกระตุ้นอารมณ์ ด้วย
ากท
เหตุผลนานาประการ
บทความจึง ไม่ เ พีย งแต่ น าเสนอข้อ มู ล หรือ ข้อ เท็จ จริง เท่ า นั ้น หากทว่ า ยัง ต้ อ งมี
ตจ
ข้อคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ทัศนคติ แนวทางแก้ไขปั ญหาที่เหมาะสมของผู้เขียนประกอบการ
า
นุญ
เขียนบทความอย่างมีหลักเกณฑ์ และมีความน่าเชื่อถือ ผูเ้ ขียนจึงต้องศึกษาเรื่องทีจ่ ะเขียนให้มี
ับอ
ความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้อง
ด้ร
ไม่ไ
ประเภทของบทความเพื่อการประชาสัมพันธ์
ย
เรื่อ งนัน้ ๆ เช่น การอธิบายความเป็ นมาของกิจกรรม ขัน้ ตอนการด าเนิ นงาน การเขีย น
เผย
ัย
ยาล
ผูอ้ ่านกระตือรือร้นในการอยากมีส่วนร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ทีเ่ ขียนไว้ในบทวิจารณ์ ผูว้ จิ ารณ์จงึ
วิท
จาเป็ นต้องเป็ นผูม้ คี วามเชีย่ วชาญในศาสตร์สาขาทีเ่ ขียนบทวิจารณ์
หา
4. สารคดี เป็ นบทความทีแ่ ตกต่างจากบทความทัวไป ่ โดยมีความยาวมากกว่า มีขอ้ มูล
างม
สนับสนุ นในการอ้างอิงมากกว่า และมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ขอ้ เท็จจริงและความเพลิดเพลินแก่
ากท
ผู้อ่านไปพร้อมกัน งานเขียนลักษณะเช่นนี้มีประโยชน์ ต่อการประชาสัมพันธ์เพราะสารคดี
นาเสนอเรื่อ งราว สามารถชัก นาความคิด จูงใจให้ผู้อ่านคิดเห็นไปในแนวทางเดียวกันกับ
ตจ
ผู้เขียนตามที่ผู้เจียนต้องการอย่างมีศลิ ปะและมีชนั ้ เชิง โดยได้รบั ความบันเทิงควบคู่ไปด้ว ย
า
นุญ
ผู้เขียนควรเลือกประเด็นที่กาลังอยู่ในความสนใจของผู้อ่านและตรงกับวัตถุประสงวค์ในการ
ับอ
ประชาสัมพันธ์เรื่องนัน้ ๆ
ด้ร
ให้ประชาชนผู้เ กี่ยวข้อ งได้ร ับทราบ เพื่อ สร้างความเข้าใจอัน ดีต่อ กัน ของทุกฝ่ าย โดยจะ
ร่โด
Public Relations)
ยห
น่า
ให้เห็นโดยทัวไปอยู
่ ่แล้วนัน้ การโฆษณาจะเป็ นการประชาสัมพันธ์อกี รูปแบบหนึ่งที่สามารถ
ิมพ
ัย
ยาล
วิท
การเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อใหม่และสื่อสังคมออนไลน์
หา
การประชาสัมพันธ์ใ นยุค นี้ มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ส่อื ใหม่ (New Media)
างม
ด้ว ยเทคโนโลยีท่ีเ ปลี่ยนไป ทาให้รูปแบบการประชาสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม การ
ากท
เข้าถึงสื่อ ต่าง ๆ ผ่ านช่อ งทางออนไลน์ ที่ส ะดวกและรวดเร็ว ทาให้ประชาชนปรับเปลี่ย น
พฤติกรรมการสื่อสารเป็ นผู้เลือกรับ ส่งต่อสื่อได้ทนั ใดบนโลกออนไลน์ ต้นทางของเนื้อหาจึง
า ตจ
ไม่ได้เป็ นองค์กรทีเ่ ป็ นเจ้าของเรื่องเท่านัน้ หากแต่ผรู้ บั สารก็มบี ทบาทเป็ นผูส้ ่งสารไปด้วยใน
นุญ
เวลาเดียวกัน ผูร้ บั สารจึงมักได้รบั การเรียกขานว่าเป็ น “ผูใ้ ช้” (user) จึงจะเหมาะสมกับบริบท
ับอ
การสือ่ สาร ซึง่ เป็ นรูปแบบของ two way communication and interactivity
ด้ร
ไม่ไ
การเขี ย นเพื่ อ การประชาสัม พัน ธ์ อ งค์ก รผ่ า นสื่ อ ใหม่ (ดัด แปลงจาก
ย
ร่โด
ออนไลน์ โดยสามารถเพิม่ เติมเนื้อหาใหม่ ๆ ได้ตามทีต่ ้องการ ทัง้ ข้อความ ภาพ ลิงก์ และสื่อ
อื่น ๆ ที่หลากหลายทัง้ เพลง คลิป หรือวิดีโออื่น ๆ ผู้อ่านบล็อกสามารถแสดงความคิดเห็น
ต่อท้ายข้อความที่ Blogger เขียนไว้ได้ และอาจได้รบั การตอบกลับในทันที
ัย
ยาล
กลุ่มเป้ าหมายหรือผูท้ เ่ี กีย่ วข้อง คุณลักษณะโดยทัวไปจึ
่ งมีความคล้ายกับ Corporate Website
วิท
หรือ เว็บไซต์บริษัท / องค์ก ร แต่เ ว็บไซต์จะมีล ักษณะการเป็ นทางการมากกว่าและมีการ
หา
ปฏิสมั พันธ์ระหว่างกันน้อยกว่าบล็อก การใช้บล็อกจะช่วยในการตรวจสอบความคิดเห็นของ
างม
บุคคลต่าง ๆ ที่มตี ่อองค์กร สินค้า หรือสิง่ ที่องค์กรดาเนินการหรือนาเสนอต่อคนกลุ่มต่าง ๆ
ากท
นอกจากนี้สามารถเข้าไปแสดงความคิดเห็นทีบ่ ล็อกของบุคคลอื่นได้ องค์กรทีใช้บล็อกควรจัด
กิจกรรมทางการตลาดและกิจกรรมทางสังคมอย่างต่อเนื่องและสม่าเสมอ เพราะไม่เช่นนัน้ การ
ตจ
ท าบล็ อ กจะไม่ ป ระสบความส าเร็ จ เนื่ อ งจากองค์ ก รจะไม่ มีข้ อ มู ล ข่ า วสารใดใด ที่ จ ะ
า
นุญ
ประชาสัมพันธ์หรือเขียนโพสต์ อย่างต่อเนื่อง ในอีกประการหนึ่ง หากสินค้าหรือบริการไม่ มี
ับอ
ความซับซ้อนพอที่ลูกค้าจะต้องการข้อมูลเพิม่ เติม หรือต้องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ
ด้ร
Twitter
์จําห
ัย
ยาล
บล็อกเกอร์เหล่านี้เป็ นผูม้ คี วามสามารถในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็ นพิเศษ สามารถเขียนเรื่องทีต่ น
วิท
ถนัดและมีผตู้ ดิ ตามจานวนมาก โดยเฉพาะเรื่องทีเ่ ชีย่ วชาญและใช้ทกั ษะการเขียนขัน้ สูง โดย
หา
อาจจัดได้ว่าเป็ นกลุ่มผูน้ าความคิดเห็น (Opinion Leader) ในสังคมปั จจุบนั
างม
นักประชาสัมพันธ์อาจเชิญบล็อกเกอร์เข้าร่วมงานแถลงข่าว หรือการเยี่ยม
ากท
เยียนองค์กรหรือไปทากิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเช่นเดียวกับสื่อมวลชน เพื่อให้บล็อกเกอร์
รับรูข้ ่าวสารและสัมผัสกับกิจกรรมขององค์กร หรือให้ทดลองใช้สนิ ค้าแล้วรีววิ หรือแสดงความ
ตจ
คิดเห็นต่อสินค้านัน้ ๆ วิธนี ้แี ตกต่างจากการทา Advertorial หรือโฆษณาเชิงประชาสัมพันธ์ใน
า
นุญ
รูปแบบของบทความทีต่ พี มิ พ์ในนิตยสารต่าง ๆ ทีน่ ักประชาสัมพันธ์เป็ นผูเ้ ขียนและซื้อเนื้อที่
ับอ
ของนิตยสาร การรีววิ สินค้าหรือบริการจึงมาจากบล็อกเกอร์ซ่ึงเป็ นคนกลาง เป็ นการสร้าง
ด้ร
ความน่ า เชื่อ ถือ ให้ก ับ องค์ก รและสิน ค้า ประการหนึ่ ง ความน่ า เชื่ อ ถือ ของบล็อ กเกอร์มี
ไม่ไ
สนับสนุนให้ชุมชนมีการแบ่งปั นความรู้และให้ความร่วมมือในการต่อยอดข้อมูลในเรื่องนัน้ ๆ
์จําห
ต่ อ ไป (Collaboration) แหล่ ง ข้อ มู ล ออนไลน์ ท่ีรู้ จ ัก กัน กว้ า งขวางในกลุ่ ม นี้ ค ือ วิกิพีเ ดีย
ิมพ
มุมโลก เช่น Google Earth ทีม่ ขี อ้ มูลการท่องเทีย่ ว การเดินทาง การจราจร ทีพ่ กั ฯลฯ ซึง่ เป็ น
ห้า
ัย
ยาล
ใจหรือการใช้สานวนเร้าใจให้เกิดความรูส้ กึ ร่วม รวมถึงควรอ้างอิงแหล่งทีม่ ขี องข้อมูลเพือ่ ความ
วิท
น่าเชื่อถือ
หา
างม
4. การประชาสัมพันธ์ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Online Social Networking)
ากท
เครือข่ายสังคมออนไลน์ หรือชุมชนออนไลน์เป็ นช่องทางการสื่อสารทีไ่ ด้รบั ความนิยมมากใน
ปั จจุบนั โดยเริม่ ต้นจากการสร้างพื้นที่เพื่อเป็ นที่ชุมนุ มของกลุ่มคนที่มี คามสนใจหรือ ความ
ตจ
ต้องการคล้าย ๆ กัน ชุมชนออนไลน์ ส่วนใหญ่จะมีนโยบายความเป็ นส่วนตัวที่ชดั เจน โดย
า
นุญ
ผูใ้ ช้บริการสามารถกาหนดได้ว่าจะให้สมาชิกคนใดเข้ามาดูหรือติดต่อกับตนเองได้ ช่วยให้เกิด
ับอ
การเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มเพือ่ นในหลายรูปแบบ เกิดปฏิสมั พันธ์สม่าเสมอต่อเนื่องจนกลายเป็ น
ด้ร
ข้อ ความ เรื่อ งราว แบ่งปั น รูปภาพ ภาพเคลื่อ นไหว การนาเนื้อ หาจากสื่อ ต่าง ๆ มาแชร์
ร่โด
จะไม่ไ ด้ใ ช้ส ินค้านัน้ อยู่ก็ต าม เครือ ข่ายสังคมออนไลน์ จึงจัดเป็ นช่องทางในการสื่อ สารกับ
ห้า
ัย
ยาล
ๆ ทัง้ ภาพ คลิป ภาพยนตร์ เพลง โดยเว็บทีน่ ิยมใช้กนั มากทีส่ ุดคือยูทูป โดยสามารถเข้าชมได้
วิท
หลายครัง้ เท่าที่ต้องการ และสามารถเข้าชมได้ตลอดเวลา องค์กรต่าง ๆ ได้นารายการหรือ
หา
เนื้อหาทีเ่ คยแพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์หรือในเว็บไซต์ขององค์กรมาเผยแพร่ซ้าอีกบนยูทูป
างม
โดยปรับเนื้อหาและรูปแบบให้เหมาะสม ทัง้ ยังสามารถสร้างกลุ่มผูต้ ดิ ตามในช่องยูทูปนัน้ ๆ ได้
ากท
ตามความสนใจ
นักประชาสัมพันธ์สามารถใช้ช่องทางยูทูปเพื่อเผยแพร่คลิปที่น่าสนใจ ดึงดูด
ตจ
ความสนใจ และถูกใจผูเ้ ข้าชม และหากได้รบั การแชร์ต่อจะทาให้คลิปนัน้ ๆ เผยแพร่ต่อไปใน
า
นุญ
วงกว้าง นับว่าเป็ นการทาการตลาดแบบบอกต่อ (Viral Clip)
ับอ
การเขีย นบทรายการรู ป แบบต่ า ง ๆ เพื่อ เผยแพร่ บ นยูทู ป หรือ สื่อ สัง คม
ด้ร
การแพร่กระจายไปสูค่ นจานวนมากต่อไป
รือ
ยห
หลักการเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อใหม่และสื่อสังคมออนไลน์
น่า
์จําห
1. หลักการเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บไซต์ (Websites)
ิมพ
ัย
ยาล
การทาเว็บไซต์มหี ลักสาคัญ 4 ประการ ประกอบด้วย
วิท
1) การกาหนดทิศทางของเว็บไซต์ เป็ นการวางแผนการตาเสนอข้อมูล กาหนด
หา
ด้วยถ้อยคาขนาดสัน้ ทีผ่ ใู้ ช้บริการสามารถเข้าใจได้รวดเร็ว
างม
เว็บไซต์ทส่ี ร้างใหม่
ากท
- เนื้ อ หา และตัว อัก ษรที่ป รากฏเป็ น การอ่ า นตามพฤติก รรมที่
คุน้ เคย จากซ้ายไปขวา จากบนลงล่าง
ตจ
- การเขียน มีขนาดไม่ยาวมากนัก แบ่งหัวข้อใหญ่ หัวข้อย่อยให้
า
นุญ
ชัดเจน แยกหน้าของหัวข้อ ไม่ควรเลื่อน scroll down เกิดนกว่า
ับอ
2 หน้า
ด้ร
เครื่องมือทีเ่ ป็ นการเขียนโค้ดด้วยภาษาคอมพิวเตอร์
เผย
ข้อ เสีย – ใช้เ วลาสร้า งนาน ผู้ส ร้า งต้อ งเป็ น ผู้ท่ีมีค วามเชี่ย วชาญ บริห าร
รือ
จัดการได้ไม่คล่องตัวมากนัก มีความยุ่งยากในการดาเนินงาน
ยห
น่า
บริหารจัดการกาหนดไว้เบือ้ งต้น
มพ
ัย
ยาล
- ก าหนดเนื้อ หาให้ต รงกับความต้องการและความสนใจของผู้มาเยี่ยมชม
วิท
เว็บไซต์
หา
- มีเนื้อหาที่ตรงกับระดับการศึกษาของผู้ท่คี าดว่าจะเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์
างม
และความเข้าใจคาศัพท์เฉพาะต่าง ๆ ร่วมกัน สามารถให้ขอ้ เสนอแนะเพื่ อการค้นคว้าข้อมูล
ากท
อื่นๆ เพิม่ เติม
- การเน้นประเด็นต่าง ๆ วางโครงสร้างของเว็บไซต์ จานวนหน้า ย่อหน้า และ
ตจ
หัวข้อต่าง ๆ ควรเกีย่ วเนื่อง กระชับ และเน้นแนวคิดสาคัญของเรื่องให้ชดั เจน
า
นุญ
- ลีลาการเขียนสะท้อนอัตลักษณ์ขององค์กร
ับอ
การประชาสัมพันธ์ผ่ านเว็บไซต์ ต้องเตรียมเนื้อหา (content) และเทคนิค การ
ด้ร
นาเสนอ วางโครงสร้างเนื้อหาให้เข้ากับระบบการจัดนาทางเพื่อให้เว็บไซต์เกิดประโยชน์อย่าง
ไม่ไ
เชื่อมต่อข้อมูลถึงกันโดยสะดวก
ยห
น่า
2. หลักการเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์ผ่านบล็อก
์จําห
ัย
ยาล
- ท าลิส ต์ห รือ รายชื่อ หัว ข้อ ย่ อ ย ๆ เพื่อ สะดวกในการอ่ า นแบบ
วิท
สแกน และจัดประเด็น เชื่อมโยงข้อมูลได้งา่ ย
หา
- ใช้ประโยคสัน้ ๆ แม้ในการโพสต์ก็ควรโพสต์ขอ้ ความสัน้ ๆ แต่
างม
ชัดเจน ตามหลักการเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์ โดยมีความ
ากท
ชัดเจนกับแนวคิดหรือประเด็นทีต่ อ้ งการนาเสนอ นาสนอให้เข้าใจ
ง่ายและตรงประเด็น
ตจ
- การเน้นย้าประเด็นที่เป็ นความสาคัญ ต้องเลือกใช้เครื่องมือเพื่อ
า
นุญ
ทาให้โดดเด่นกว่าข้อความอื่น ๆ ทัวไป ่
ับอ
- ใช้เทคนิคการจัดหัวข้อหลัก การแตกหัวข้อรองหรือหัวข้อ ย่อ ย
ด้ร
- ใช้กล่องข้อความหรือคากล่าวเพือ่ ดึงดูดความสนใจ
ร่โด
- ใช้ย่อหน้าสัน้ ๆ ในการนาเสนอประเด็นต่าง ๆ
แพ
เรื่อง
รือ
- ข้อ มูล ที่น ามาเขีย นควรเป็ น ข้อ มูล ที่มีป ระโยชน์ ผู้อ่ า นอยากรู้
ยห
ข้อมูลเรื่องนัน้ ๆ
น่า
- มีช่ อ งทางให้ผู้อ่ า นได้ต อบกลับ หรือ มีป ฏิส ัม พัน ธ์ ต่ อ กัน เพื่อ
์จําห
3) การเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์ผ่านทวิ ตเตอร์
ทวิตเตอร์กาหนดให้พมิ พ์ขอ้ มูลได้ไม่เกิน 140 ตัวอักษร ข้อความทีส่ ่งจึงต้องเน้นความ
สัน้ กระชับ ชัดเจนยิง่ กว่าช่องทางอื่น ๆ ผูเ้ ขียนต้องเลือกใช้ตวั อักษร และข้อความให้เหมาะสม
เพือ่ สามารถสือ่ สารได้ตามต้องการ
สิง่ ทีต่ อ้ งระวังในการใช้ทวิตเตอร์ คือ ไม่พมิ พ์เรื่องยาว ๆ ติดต่อกัน แล้วตัดประโยคเพื่อ
ัย
ยาล
ทวิตอย่างต่อเนื่อง เพราะอาจทาให้เกิดความเข้าใจผิดในประโยคที่ถูกตัดขึ้นไปในทวิตอื่น ๆ
วิท
บางครัง้ ผู้อ่านอาจไม่ได้อ่านจนครบทุกทวิต ทาให้การสื่อสารในครัง้ นัน้ อาจล้มเหลว หรือไม่
หา
สมบูรณ์
างม
การใช้ทวิตเตอร์ เหมาะสาหรับการส่งข่าวสารองค์กรทีเ่ กี่ยวกับการส่งเสริมการขาย การ
ากท
นาเสนอสินค้าใหม่ การจัดกิจกรรมพิเศษ การแนะนาเหตุการณ์หรือ event ทีน่าสนใจ การตอบ
คาถามหรือแก้ไขข้อสงสัย ข้อข้องใจ การเชิญชวนให้มาร่วมกิจกรรม โดยเน้นเนื้อหาที่เป็ น
ตจ
เรื่องน่ารูต้ ลอดจนประดยชน์ต่อผูต้ ดิ ตาม เพือ่ ให้เกิดการบอกต่อด้วยการ retweet
า
นุญ
ข้อควรคานึงถึงในการเขียนทวิตเตอร์
ับอ
- เขี ย นให้ ส ัน้ หรื อ Keep in Short ด้ ว ยข้ อ จ ากั ด ของจ านวน
ด้ร
ใจความ
ย
และเป็ นเครื่องมือในการติดตามประสิทธิภาพของการเผยแพร่บน
เผย
ทวิตเตอร์
รือ
- One tweet / One subject แต่ ล ะโพสต์ แต่ ล ะครัง้ ที่ท วิต ให้ มี
ยห
4) การเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์ผ่านเฟซบุก๊
การประชาสัม พัน ธ์ผ่ า นเฟซบุ๊ ก มีช่ อ งทางในการประชาสัม พัน ธ์ผ่ า น Profile ผ่ า น
Fanpage การประชาสัมพันธ์ผ่านกลุ่ ม (group) รวมถึงผ่านระบบโฆษณา และ Application
เหล่านี้เป็ นช่องทางในการส่งข้อมูลข่าวสารไปยังกลุ่มเป้ าหมาย ผ่านรูปแบบการเขียน การใช้
ภาษาที่ส่อื สารถึงกลุ่มเป้ าหมายได้อย่างเข้าใจ สามารถดึงดูดความสนใจด้วยองค์ประกอบ
ัย
ยาล
ต่างๆ นักประชาสัมพันธ์จงึ ต้องรู้จกั ธรรมชาติของสื่อสังคมออนไลน์ว่าควรส่งข้อความไม่ยาว
วิท
ใช้ภาษาและภาพทีน่ ่าสนใจ
หา
หลักการเขียนเพื่อการประชาสัมพันธ์ผ่าน Facebook (นภวรรณ ตันติเวชกุล ม.ป.ป.
างม
อ้างถึงใน พิเศศ ตันติมาลา, 2555: 11-24 11-25)
ากท
- เขียนข้อความประชาสัมพันธ์ทส่ี าคัญใน 5-7 บรรทัดแรก เฟซบุ๊กกาหนดให้เขียน
ข้อความในสถานะไม่จากัดจานวนบรรทัด แต่แสดงเนื้อหาเพียง 5-7 บรรทัด
ตจ
แรกเท่านัน้ วิธกี ารโพสต์ขอ้ มูลทีค่ ่อนข้างยาว คือ เขียนความนาทีเ่ ป็ นประโยค
า
นุญ
ง่ า ย ๆ ไม่ ย าวมากประมาณ 5 บรรทัด และไม่ ค วรเกิน 7 บรรทัด เพื่อ ให้
ับอ
ข้อความดูน่าสนใจและอ่านง่ายขึ้น ส่วนรายละเอียดข้อมูลให้เว้นบรรทัดแล้ว
ด้ร
เขีย นต่ อ ด้า นล่ า ง เมื่อ โพสต์ ข้อ ความ ข้อ มู ล รายละเอีย ดก็จ ะปรากฏ see
ไม่ไ
- ควรใส่ภาพพร้อมการโพสต์ทุกครัง้ โดยภาพต้องมีความเชื่อมโยงกับประเด็นของ
รือ
ภาพประกอบทีเ่ หมาะสมจะช่วยเรื่องความดึงดูดใจให้อ่านและขยายความเข้าใจ
น่า
- เขียนอ้างอิงแกล่ งข้อ มูล หรือ ที่มาของข้อ มูล เสมอ นอกจากเหตุผ ลเรื่อ งความ
น่าเชื่อถือ จริยธรรม และลิขสิทธิแล้ ์ ว ยังช่วยให้ผรู้ บั สารค้นหาข้อมูลเพิม่ เติมได้
อีกด้วย
- เขีย นโดยค านึ ง ถึง ความเป็ น องค์กรหรือ ตราสิน ค้า ใช้ก ารเขีย นด้ว ยลีล าและ
น้ าเสียงที่สดคล้องกับบุคลิกภาพของตราสินค้าที่กาหนดไว้ เพื่อสร้างแบรนด์
หรือความเป็ นองค์กรทีม่ ตี วั ตนชัดเจน โดดเด่น ไม่เหมือนใคร
- เขียนตอบสนองความคิดเห็นของลูกค้าหรือผู้รบั สารอย่างเหมาะสม กระตุ้นให้
เกิดปฏิสมั พันธ์ในทางบวกต่อองค์กร / ตราสินค้า
ัย
ยาล
วิท
สื่อประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางอิ นเทอร์เน็ต
หา
ข้อดี
างม
1. สามารถสือ่ สาร เผยแพร่ขอ้ มูล
ากท
ได้ในอย่างรวดเร็ว อย่างไม่มขี ดี จากัดด้านพื้นที่ โดยสามารถระบุเฉพาะตัวบุคคล รายกลุ่ม
กระทังสาธารณะ
่ โดยสื่อที่ส่งไปนัน้ จะได้รบั การตอบรับอย่างรวดเร็ว และแม่นยาด้วยสถิติท่ี
ตจ
แสดงไว้ในระบบ
า
นุญ
2. ผู้ใช้อนิ เทอร์เน็ตเป็ นผู้มบี ทบาทในการเลือกใช้ส่อื สามารถเข้าชมเฉพาะเว็บไซต์ท่ี
ับอ
ตนเองสนใจ หาข้อมูลได้มากเท่าทีต่ อ้ งการ โดยไม่มขี ดี จากับในเงือ่ นของเวลา
ด้ร
ข้อด้อย
แพ
จานวนมากบนโลกไซเบอร์
น่า
ัย
ยาล
วิท
หา
างม
ากท
า ตจ
นุญ
ับอ
ด้ร
ย ไม่ไ
ร่โด
แพ
เผย
รือ
ยห
น่า
์จําห
ิมพ
มพ
ห้า
องค์ประกอบของโปสเตอร์โฆษณา
1.รูปภาพ (Picture)
รูปภาพมีพทบาทและความสาคัญของการสือ่ ความหมายด้วยภาพมาก ซึง่ สามารถจาแนก
ข้อเด่นได้ดงั นี้
ัย
1) สะดุดตา
ยาล
2) น่าสนใจ
วิท
3) สือ่ ความหมาย
หา
4) ประทับใจ
างม
2.พาดหัว (Headline)
ากท
ในการเขียนข้อความโฆษณา จาเป็ นจะต้องมีพาดหัวเสมอเพราะพาดหัวเป็ นส่วนที่เด่น
ที่สุ ด ในข้อ ความโฆษณา มีไ ว้เ พื่อ ให้ส ะดุ ด ตาสะดุ ด ใจชวนให้ติด ตามอ่ า นเรื่อ งราวต่ อ ไป
ตจ
ลักษณะของพาดหัวทีด่ คี วรจะมีขนาดตัวอักษรโตหรือเด่น เป็ นข้อความทีส่ นั ้ กะทัดรัด ชวนให้
า
นุญ
น่าคิดหรือติมตามอ่าน
ับอ
3. ข้อความบอกรายละเอียด (Body text)
ด้ร
ัย
ยาล
สนใจ ต้อ งการ และตัดสินใจเลือกซื้อ สินค้าหรือบริการ ต้อ งใช้ภาษาที่ชดั เจน สื่อ ความได้
วิท
รวดเร็ว หรือใช้คาที่หวือหวา สะดุดตา สะดุดใจ เพราะต้องการให้ผู้บริโภคจดจาคาโฆษณา
หา
สินค้านัน้ ได้
างม
ากท
า ตจ
นุญ
ับอ
ด้ร
ย ไม่ไ
ร่โด
แพ
เผย
รือ
ยห
น่า
์จําห
ิมพ
มพ
ห้า