Professional Documents
Culture Documents
Material Ch.1 Insulation 03122023
Material Ch.1 Insulation 03122023
Material Ch.1 Insulation 03122023
บทที 1
ฉนวน
ฉนวน ฉนวนในระบบไฟฟ้ากําลัง
https://docplayer.net/docs-images/97/133447297/images/240-0.jpg
ฉนวน ฉนวนในระบบไฟฟ้ากําลัง
ฉนวน ฉนวนในระบบไฟฟ้ากําลัง
1.1 คุณสมบัติของฉนวน
1.2 วัสดุประเภทฉนวนก๊าซ
1.3 วัสดุประเภทฉนวนเหลว
1.4 วัสดุประเภทฉนวนแข็ง
1.1 คุณสมบัติของฉนวน
1. ความต้านทาน (R)
2. เปอร์มิตติวติ ี ()
3. แฟคเตอร์พลังงานสู ญเปล่าไดอิเล็กตริ ก (tan)
4. ความคงทนต่อแรงดันไฟฟ้า
I I
υd υd υd υd
υd υd υd υd
E E
υd υd υd υd
(ก) (ข)
V
เพราะว่า E = (1-3)
L
และจากสมการที 1-1 และ 1-2 จะได้
E V /L
= =
J I/A
V L
ดังนัน =
A
(1-4)
I
พืนทีหน้าตัดทีกระแสไหลผ่านก็คือ 2 rL ความยาวของเส้นทางทีกระแสไหลผ่านก็คือ dr
ความต้านทานในส่ วนเล็กๆ dR dr
dR
2 rL
b
dr b dr
R dR
a
2 rL 2 L a
r
b
ln
2 L a
Dr.techn. Norasage Pattanadech 11
2020
ค่าเปอร์มิตติวิตีของวัสดุแต่ละชนิดจะคํานวณได้จาก
o r F/m (1-7)
เมือ คือ ค่าเปอร์มิตติวิตีของวัสดุ
o คือ ค่าเปอร์มิตติวิตีของสุ ญญากาศ = 8.854×10-12 F/m
r คือ ค่าเปอร์มิตติวิตีสัมพัทธ์ของวัสดุ
r r' j r''
'
r ค่าคงทีไดอิเล็กตริ กของฉนวน
r'' สัมพันธ์โดยตรงกับค่าแฟคเตอร์กาํ ลังสู ญเสี ยไดอิเล็กตริ ก
Dr.techn. Norasage Pattanadech 14
2020
วัสดุ r วัสดุ r
Vacuum 1 Polyvinyl chloride 3.18
Air(1 atm) 1.00059 Plexiglas 3.40
Air(100 atm) 1.0548 Glass 5-1.0
Teflon 2.1 Neoprene 6.70
Polyethylene 2.25 Germanium 16
Banzere 2.28 Glycerin 42.5
Mica 3-6 Water 80.4
Mylar 3-1 Strontium titanate 310
A
C = (1-8)
d
a) b)
Polarization phenomena
a) Vacuum as a dielectric b) Polarization process
t
P( t ) P P P0 exp
E
P∞
P0
0
t
P = ( r 1) 0 E = 0 E
1 dielectric susceptibility of the medium. χ presents the ability of the material to
= r iscalled
response to electric field. P will have the same dimension as D.
An important feature of water is its polar nature. The water molecule forms an angle, with hydrogen atoms at
the tips and oxygen at the vertex. This angle formed is 104.48º as opposed to the typical tetrahedral angle of
109º. Because oxygen has a higher electronegativity than hydrogen, the side of the molecule with the oxygen
atom has a partial negative charge. Also the presence of the lone pairs tend to push the oxygen away. An
object with such a charge difference is called a dipole meaning two poles. The oxygen end is partially negative
and the hydrogen end is partially positive, because of this the direction of the dipole moment points from the
oxygen towards the center of the hydrogens. The charge differences cause water molecules to be attracted to
each other (the relatively positive areas being attracted to the relatively negative areas) and to other polar
molecules. This attraction contributes to hydrogen bonding, and explains many of the properties of water, such
as solvent action.
• สู ญเสี ยจากสภาพนําไฟฟ้า
• สู ญเสี ยจากโพลาไรเซซัน
• สู ญเสี ยเนืองจากการไอออไนเซชัน
IC IR Rs
U CP RP U
Cs
1 (Cs Rs )
2
โดยที Rp (1-9)
Rs (Cs ) 2
Cs
Cp (1-10)
1 (Cs Rs ) 2
ทํานองเดียวกัน
Rp
Rs (1-11)
1 (C p R p ) 2
1 (C p R p ) 2
Cs (1-12)
C p Rp
2 2
U U m sin t
จะได้
I I m sin t
พิจารณาวงจรสมมูลย์ของฉนวน
1
วงจรขนาน tan
R P C P
วงจรอนุกรม tan R S CS
Dr.techn. Norasage Pattanadech 30
2020
Fre
qu
re ( C) 80
o 160
(Hz) 4 10
6
510
160
p erat u 120 10 4 ency
3
uen cy
310
120
80 Temp Tem 40 10 5 (Hz
10 6 )
Freq 10 2 10 40 eratur o -40 0 10 7
0 e ( C) -80 10
-40
0 .0 4 -80 3 .8
0. 0 3 3 .6
Relative permittivity,ε
0. 0 2 3.4
0 .0 1 3.2
Dissipation factor, tan δ
0 3 .0
0
Frequency (Hz)
10-4 10-2 100 102 104 106 108 1010 1012 1014
DC step response
Ultra-low Audio-frequency
Frequency bridges
bridges Resonant
circuit
Cavities and
waveguides Refract-
ometers
AG Er
Gospe
oneurostar
e zies modernsite e
1.2 วัสดุประเภทฉนวน
ก๊าซ
ก๊าซ ฉนวนสําหรับป้องกันหม้อแปลงไฟฟ้าเนืองจากแรงดันเกิน
ก๊าซ
V = 100 % U
75 75
50 50
25 25
เส้นสนามไฟฟา
เส้นศักดิไฟฟา
V=0
ก๊าซ
Eav
* 1 (1-21)
Emax
U
Eav คื อ ค่ าเฉลี ยของสนามไฟฟ้ ามี ค่ าเท่ ากั
บ
d
ก๊าซ
การศึกษาสนามไฟฟ้านันสนามไฟฟ้าสามารถแบ่งออกเป็ น 3 ประเภท
ก๊าซ
E
III
II
X d
x Emax
d E(x)
Plane
ก๊าซ
สมการซึงจะนําไปใช้คาํ นวณหาความเครี ยดสนามไฟฟ้าทีแรงดัน
โคโรนาเริ มเกิด โดยทีสนามไฟฟ้าแห่งเรขาคณิ ตยังไม่เปลียนแปลง
Ui
Ei (1-22)
d *
R1
*sphere (1-24)
R2
เมือ R1 คือ รัศมีของทรงกลม
R2 คือ รัศมีหรื อความกว้างของระนาบ
Dr.techn. Norasage Pattanadech 49
2020
Pos. d.c.
100
Breakdown, neg. pol.
Breakdown, pos. pol.
Corona – inception.
Pos. polarity
0
0 20 40 60 80 100
η* (%)
0 10 25 50 100 250 500
D (mm)
รู ปที 1-16 ค่าแรงดันเบรกดาวน์และโคโรนาเริ มต้นของอิเล็กโตรดตามรู ปที 1-15
ทีมีระยะ d = 10 cm
Dr.techn. Norasage Pattanadech 50
ตารางที 1-6 สนามไฟฟ้า สนามไฟฟ้าสู งสุ ด และค่า η* ของรู ปทรงทัวไปทีมีใช้
ในระบบไฟฟ้าแรงสู ง
Configuration Potential E Emax Eav
η* Emax Field application
R
E max = U if d >> R 2R if d
d E max Two-dimensional Two-dimensional 2R d R >> 1 Sphere gap for HV
R field field Measurement.ect
Equal parallel
cylinders 2R
U Overhead
E max d Two-dimensional Two-dimensional E max = 2Rln[(d+2R)/R] 2Rln(d/R) if d > > 4
d R Transmission line
field field arrangements
Dr.techn. Norasage Pattanadech 51
2020
ก๊าซ
No คือ จํานวนอิเลคตรอนทีปล่อยจากแคโทดต่อวินาที
Nx คือ จํานวนอิเลคตรอนทีระยะ x จากแคโทด
I+
x d
N0 คือ จํานวนอิเลคตรอนทีปล่อยจากแคโทดต่อวินาที
N0 คือ จํานวนอิเลคตรอนทีปล่อยจากกระบวนการขันทีสองต่อ
วินาทีทีแคโทด
N0 คือ จํานวนอิเลคตรอนรวมทังหมดทีออกจากแคโทดต่อวินาที
ฉะนัน
N0 N0 N0 (1-27)
มีอิเลคตรอนเกิดขึนจากกระบวนการขันสองออกจากแคโทดเป็ น
N 0 N 0 ed 1 (1-29)
αx
No(e -1) αx
γNo(e -1)
x d
รูปที 1-18 การสร้างอิเล็กตรอนอิสระโดยกระบวนการ γ
Dr.techn. Norasage Pattanadech 57
2020
d
เงือนไขในการเกิดเบรกดาวน์ (e 1) 1
Dr.techn. Norasage Pattanadech 59
2020
ก๊าซ ความล้มเหลวของทฤษฎีทาวน์เซนต์
ทาวน์เซนต์ไม่สามารถอธิบายการเกิดเบรกดาวน์ได้ในทุกกรณี
เช่น การเกิดเบรกดาวน์ในช่องแกปกว้างๆด้วยแรงดันอิมพัลส์ฟ้าผ่าคลืนตัด
สันๆ หรื อไม่สามารถอธิบายผลของประจุคา้ ง(space charge) ซึงจําเป็ นทีจะ
ต้องใช้ทฤษฎีสตีมเมอร์มาอธิบายแทน
การเกิดโฟโตไอออไนเซชัน
ก๊าซ
1. แรงดันเบรกดาวน์ของอากาศในสนามไฟฟ้าสมําเสมอ
2. แรงดันเบรกดาวน์ของอากาศในสนามไฟฟ้าไม่สมําเสมอ
ก๊าซ
1. แรงดันเบรกดาวน์ของอากาศในสนามไฟฟ้าสมําเสมอ
ในสนามไฟฟ้าสมําเสมอ η* = 1 ดังนันจะได้ค่าแรงดันเบรกดาวน์
U b Eb d (1-34)
(Ub)min
(p.d)min p.d
รูปที 1-20 ความสัมพันธ์ระหว่าง pd กับ Ub
Dr.techn. Norasage Pattanadech 69
2020
1 2
102
3
101
Ub
4
100
10-1 -3
10 10-2 10-1 100 101 102 bar mm 103
pd
รู ปที 1-21 เส้นโค้งพาเซนของก๊าซต่างๆ 1) SF6 2) อากาศ 3) H2 4) Ne
Dr.techn. Norasage Pattanadech 70
2020
ก๊าซ 1. แรงดันเบรกดาวน์ของอากาศในสนามไฟฟ้าสมําเสมอ
ก๊าซ 2. แรงดันเบรกดาวน์ของอากาศในสนามไฟฟ้าไม่สมําเสมอ
d r (1-38)
P
r
และ
R
q (1-39)
r
1.0
0.9
0.8
η* 0.7
0.6
0.5
q=1
0.4
q=p
0.3
q=1
0.2
q =∞
q=∞
0.1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 15 20
1 1.5
p
Dr.techn. Norasage Pattanadech “PD Measurement for UG Cables” 73
ตารางที 1-9 ความสัมพันธ์ของ * กับ p และ q ของอิเล็กโตรดมีรูปทรงพืนฐาน
SPHERE CONFIGURATIONS
2r S 2r 2r S
2r S 2r
2r 2R
100
90
80
70
60
50
PRESSURE , PSIA
40 GAS
MELTING
30 POINT
SUBLIMATION
POINT
20
10
9
8
7
6
5
4
รู ปที 1-23 สถานะ SF6 ตามอุณหภูมิ
2
3
และความดัน
1
-112 -76 -40 -4 32 68 104
TEMPERATURE °F
SF6 Vapour and sublimation pressure
Dr.techn. Norasage Pattanadech 77
liquid phase gas phase
Critical point
36 45.55 ºC
pressure in bar
37.59 bar
34
32
density in kg/l
30
28 0.14
26 0.13
24 0.12
22 0.11
20 0.10
18 0.09
16 0.08
14 0.07
12 0.06
10 0.05
8 0.04
6 0.03
4 0.02
2 0.01
0
50 30 10 10 30 50 70 90 110 130
temperature in ºC
F S F
ตารางทีCritical คุณสมบัติทวไปของ
1-10density ั SF6 (ต่อ) 0.74 kg/l
Mechanical and caloric data
Gas density(20 oC, 1 bar) 6.07g/l
Liquid density (0 oC,12.65 bar) 12.56 kg/l
Solid density (-100 oC) 2.77kg/l
Viscosity (see fig.1-33)
Thermal conductivity (see fig.1-34)
Heat transfer capacity (see fig.1-32)
Acoustic velocity in SF 6
(0 oC ,1.0bar) 129.06 m/sec
Isentropic exponent(K)
The dynamic compressibility of
SF6 is particularly high on account
of the low value of the isentropic
exponent: K=1.08(30 oC, 1.0bar)
Heat of formation (Δ Hg , 25 oC)* -1221.58 ±1.0kJ/mol
Entropy of reaction (ΔSg,25 oC) * -349.01J/mol k
*for formation from rhombic and
Dr.techn. Norasage Pattanadech
Gaseous fluorine “PD Measurement for UG Cables” 84
Power and Energy Series 2020
Vapour pressure
(cf.fig. 1-24)
Temperature( ํC) -50 -45 -40 -35 -30 -25 -20 -15 -10 -5
Pressure (bar) 2.34 2.87 3.49 4.20 5.02 5.95 7.01 8.19 9.52 11.01
Temperature( ํC) 0 +5 +10 +15 +20 +25 +30 +35 +40 +45
Pressure (bar) 12.65 14.47 16.47 18.67 21.08 23.72 26.62 29.79 33.27 37.13
60 air
75 mm
40
12.5 20
voltage in kV
225
200
175
150
s 125
p = 1.0 bar
100
200 mm
air
75
50
50 mm 25
0
10 20 30 40
distance between electrodes in mm
รูปที 1-28 แรงดันเบรกดาวน์ 50 Hz ของ SF6 ภายใต้สนามไฟฟ้าสมําเสมอ เมือมีการปรับเปลียน
ความดันก๊าซ และระยะห่างระหว่างอิเล็กโตรด
Dr.techn. Norasage Pattanadech 88
2020
25 mm 51 mm
Voltage in MV
13 mm 25 mm
13 mm
64 mm
5 10 15 20 25 30
Gas pressure in bar
รูปที 1-29 ความสัมพันธ์ระหว่างค่าแรงดันเบรกดาวน์และความดันก๊าซทีระยะห่างระหว่างอิเล็กโตรดค่าต่างๆ
เปรี ยบเทียบกันระหว่าง SF6 กับก๊าซผสม N2/CO2
Dr.techn. Norasage Pattanadech 89
2020
Voltage in MV
7
6
15 mm 5
4
3 air
2
1
rk = 0.025 mm
0
1 2 3 4 5 6
Gas pressure in bar
รูปที 1-30 ความสัมพันธ์ระหว่างค่าความดันก๊าซกับแรงดันโคโรนาออนเซต
(Corona-onset voltage) ของ SF6 และอากาศ
Dr.techn. Norasage Pattanadech 90
2020
20
Voltage in kV
SF6
15
20 mm
10
air
rk 0
10-2 2 4 6 8 10-1 2 4 6 100
Radius of curvature in mm
รู ปที 1-31 ผลของรัศมีความโค้ง K ต่อค่าแรงดันโคโรนาออนเซต (Corona-onset voltage)
Dr.techn. Norasage Pattanadech 91
2020
50
SF6
30 2 bar
SF6
20
1 bar
air
10
1 2 3 5 10 20 30
Flow velocity in m/s
รูปที1-32 สัมประสิ ทธิการถ่ายเทความร้อนของอากาศและ SF6 เปรี ยบเทียบกับนํามันหม้อแปลง
Dr.techn. Norasage Pattanadech 92
2020
0.04
Viscosity in mPa-s
Temperature (oC) Viscosity ( mPa-s)
0 0.0141
25 0.0153 0.03
100 0.0186
200 0.0228
300 0.0266 0.02
400 0.0302
500 0.0335
0.01
0 200 400 600
Temperature in c ํ
temperature in K
10
9
8
7 SF6
6
5
4
3 lower limit of
2 ionisation temperature
1
1.0 0.5 0 0.5 1.0
arc radius
รู ปที 1-35 รัศมีและอุณหภูมิของอาร์ คเปรี ยบเทียบระหว่าง SF6 กับ N2
Dr.techn. Norasage Pattanadech 95
2020
50
25
Air
0 2 4 6 8 10 12
pressure in bar
รู ปที 1-36 ค่า Quenching Capacity ของ SF6, อากาศ และ SF6 ผสมกับอากาศ
Dr.techn. Norasage Pattanadech 96
2020
ก๊าซ
U = 87.8pd+0.67 kV (1-40)
100 1
80
60 2
Eb
40 3
20 4
0
10 - 2 10- 1 10 0 10 1 cm 10 2
S
รู ปที 1-37 ความเครี ยดสนามไฟฟ้าเบรกดาวน์ของก๊าชชนิดต่างๆภายใต้อิเล็กโตรดแผ่นระนาบที
อุณหภูมิ 20 oC ความดันบรรยากาศ 1013 mbar โดยที 1) คือ SF6 2) คืออากาศ 3) คือ H2 4) คือ Ne
Dr.techn. Norasage Pattanadech 100
2020
Eb 60
40
20
0
10 -2 -1
10 100 101 cm 102
r
รูปที 1-38 ความเครี ยดสนามไฟฟ้าเบรกดาวน์ของ 1) อากาศ 2) ก๊าซ SF6 ระหว่างตัวนํา ทรงกระบอกซ้อน
แกนร่ วมทีอุณหภูมิ 20 oC ความดันบรรยากาศ 1013 mbar เมือ r คือรัศมี ของทรงกระบอกเล็ก
Dr.techn. Norasage Pattanadech 101
2020
120
2
100
Ed
80
60 1
40
20
ก๊าซ
1. การใช้ SF6 เป็ นฉนวนในเซอร์กิตเบรคเกอร์
2. หม้อแปลง SF6
3. การใช้ SF6 เป็ นฉนวนใน สถานีไฟฟ้าย่อย GIS
(Gas Insulated Switchgear)
4. เปรี ยบเทียบการใช้พืนทีของสถานีไฟฟ้าย่อยGIS กับสถานี
ไฟฟ้าย่อยทีใช้อากาศเป็ นฉนวน (Air Insulated Substation, AIS)
ก๊า3.ซ การใช้ SF6 เป็ นฉนวนใน สถานีไฟฟ้าย่อย GIS (Gas Insulated Switchgear)
(ก) (ข)
รูปที1-45 SF6 กับสภาวะเรื อนกระจก
Dr.techn. Norasage Pattanadech 111
2020
(ก) (ข)
รูปที1-45 SF6 กับสภาวะเรื อนกระจก
Dr.techn. Norasage Pattanadech 112
2020
ก๊าซ
SF6 กับสภาวะเรื อนกระจก
1.3 วัสดุประเภทฉนวนเหลว
1.3.1 ประเภทของฉนวนเหลว
1.3.2 ชนิดของฉนวนเหลว
1.3.3. คุณสมบัติทางฟิ สิ กส์ โครงสร้างทางเคมี และความคงทน
ต่อแรงดันไฟฟ้าของฉนวนเหลว
1.3.4 กลไกการเกิดเบรกดาวน์ของฉนวนเหลว
1.3.5 ตัวอย่างการใช้งานฉนวนเหลว
• สารอินทรี ย ์
ได้แก่ นํามันแร่ (mineral oil) นํามันปโตรเลียม นํามันพืช
ไขมัน เรซินและ แอลฟัลส
• สารอนินทรี ย ์
ได้แก่ ไนโตรเจนเหลว อาร์กอน ออกซิเจนเหลวและ
นําบริ สุทธิ
1. นํามันปิ โตรเลียม
2. ไฮโดรคาร์บอนสังเคราะห์
3. กลอริ เนทไฮโดรคาร์บอน (Chlorinated Hydrocarbons)
4. นํามันซิลิโคน (Silicone Oil)
5. เอสเตอร์ (Esters)
6. ฉนวนเหลวชนิดอืนๆ
H2C C C H2 HC C CH
C H C C C
H2 H2 H H
(ค) แนพทิน (ง) อโรเมติกโครงสร้างวงแหวน
รู ปที 1-46 โครงสร้างโมเลกุลพืนฐานของนํามันแร่ (ฉนวนนํามัน)
Dr.techn. Norasage Pattanadech 121
2020
โครงสร้างทางเคมีของฉนวน
เหลวมีผลต่อความคงทน
แรงดันไฟฟ้าอย่างยิงโดย
โครงสร้างโมเลกุลของ
องค์ประกอบทางเคมี มีผลต่อ
การเคลือนทีของสตรี มเมอร์ ซึง
นําไปสู่การเกิดเบรกดาวน์ได้
2. ไฮโดรคาร์บอนสังเคราะห์
H CH3
C C
H CH3
2. ไฮโดรคาร์บอนสังเคราะห์
ตารางที 1-12 คุณสมบัติทางเคมีและทางไฟฟ้าของ Poly – Butyleanes
Characteristic IEC ASTM
Breakdown voltage, kV (2.5mm) 40 > 35
Dielectric dissipation factor at 90 °C ≤ 0.0005 0.0003
Resistivity Ωm at 90 °C 1.5 × 1012 > 1010
Relative permittivity at 90 °C 2.2 2.2
Neutrallzation number mg KOH/g ≤ 0.03 < 0.04
Water content (ppm) - 40
H Cl Cl H
C C C C
Cl C C C C C Cl
C C C C
Cl H H Cl
รูปที 1-48 ตัวอย่างการจัดเรี ยงโครงสร้างอะตอมของเอสกาเรล (askarels)
5. เอสเตอร์ (Esters)
1. คุณสมบัติการระบายความร้อนของฉนวนเหลว
2. โครงสร้างทางเคมีของฉนวนเหลว
3. ความคงทนต่อแรงดันไฟฟ้าของฉนวนเหลว
4. คุณสมบัติการย่อยสลายตามธรรมชาติ
Co leu
10
m
pl
m
ex oil ( 0.07 clor
po SA
l yo E P y ro
l E 10)
BS
st
14
er
8
s
Tr
5 0.06
an
sf
or
m
er
oi
l
0.05
-20 0 20 40 60 80 100 120 40 80 120 160
TEMPERATURE ํC TEMPERATURE ํC
โครงสร้างทางเคมีของฉนวนเหลวมี
ผลต่อความคงทนแรงดันไฟฟ้าอย่าง
ยิ งโดยโครงสร้ างโมเลกุ ล ของ
องค์ป ระกอบทางเคมี มี ผลต่ อ การ
เคลือนทีของสตรี มเมอร์ ซึ งนําไปสู่
การเกิดเบรกดาวน์ได้
1.1. เกิดเบรกดาวน์เนืองจากอนุภาคเจือปนของแข็ง
สิ งเจือปนของแข็งทีปะปนอยูใ่ นฉนวนเหลวอาจเป็ นอนุ ภาคตัวนําไฟเบอร์ หรื อ
ฝุ่ นละออง ภายใต้สนาม ไฟฟ้ าอนุ ภาคเจื อปนเหล่านี จะถูกเหนี ยวนําให้เกิ ดขัว
ทางไฟฟ้ าขึนมา ถ้ากําหนดให้อนุภาคฉนวนแข็งมี รู ปร่ างเป็ นทรงกลมทีรัศมี rp
และมีค่าเปอร์ มิตติวิตี εp ฉนวนเหลวมีค่าเปอร์ มิตติวิตี εliq จะเกิดแรงทางไฟฟ้ า
Fe กระทาต่ออนุภาคโพลาไรซ์
p liq
Fe r 3
E grad E
p 2 liq
liq p
1. การเกิดเบรกดาวน์ของฉนวนเหลวบริ สุทธิ
1.1. เกิดเบรกดาวน์เนืองจากอนุภาคเจือปนของแข็ง
ถ้าหาก εr › εliq แรงทีเกิดขึนจะทาให้อนุภาคเคลือนทีไปยังบริ เวณทีมีความเครี ยดสนามไฟฟ้า
สู งสุ ด ถ้า εr < εliq แรงทีเกิดขึนจะกระทําต่ออนุภาคในทิศทางตรงกันข้าม กล่าวคือจะกระทํา
ให้อ นุ ภาคเคลื อนที ไปสู่ บริ เ วณที มี ค วามเครี ย ดของสนามไฟฟ้ า ตํา พบว่าแรงที กระทําบน
อนุภาคจะเป็ น สัดส่ วนโดยตรงกับค่าเปอร์มิตติวิตีของอนุภาค ในกรณี ของอนุภาคตัวนําเจือปน
อยู่ภายในฉนวนเหลว เนื องจากค่าเปอร์ มิตติ วิตีของอนุ ภาคเข้าใกล้อินฟิ นิ ต แรงทีเกิดขึนบน
อนุภาคตัวนํา จะมีค่าตามสมการ
Fe F rp3E grad E
1.1. เกิดเบรกดาวน์เนืองจากอนุภาคเจือปนของแข็ง
2. กลไกการเกิดเบรกดาวน์เนืองจากฟองก๊าซ
ก๊าซสามารถละลายในฉนวนเหลวได้ในปริ มาณมากหรื อน้อย ขึนอยู่กบั สภาวะความดันและอุณหภูมิ ของฟองก๊าซ ใน
ฉนวนเหลว ฟองก๊าซอาจจะเกิ ดจากฉนวนทีมีคุณภาพต่าหรื อเสื อมคุณภาพ หรื อในขณะที เติมฉนวนเหลวในภาชนะ
บรรจุ ก๊าซอาจจะจับอยู่ทีผิวอิเล็กโตรดทีขรุ ขระหรื อร่ องผิวอิเล็กโตรด หรื ออาจจะ เกิ ดจากการเปลียนแปลงทางเคมี
ภายในฉนวนเหลว เนื องจากการเปลียนแปลงอุณหภูมิ ความดันและการ ชนของไอออนและอิเล็กตรอน ทาให้ฉนวน
เหลวสลายตัวเป็ นก๊าซออกมา หรื ออาจจะเกิดจากผลของการเกิดดิสชาร์ จบางส่ วนบริ เวณผิวอิเล็กโตรดทีมีความเครี ยด
สนามไฟฟ้าสูง ฟองก๊าซทีเกิดขึนเมือได้รับพลังงาน จากสนามไฟฟ้าก็จะขยายตัวยืดตามแนวสนามไฟฟ้าเพือลดพลังงาน
ศักย์ในสนามไฟฟ้า การเบรกดาวน์จะ เกิดเมือแรงดันตกคร่ อมความยาวของฟองก๊าซมีค่าเท่ากับค่าตําาสุดของเส้นโค้งพา
เชน เมือความเครี ยด สนามไฟฟ้าของฟองก๊าซมีค่าเท่ากับความเครี ยดสนามไฟฟ้าวิกฤตของก๊าซก็จะเกิดดิสชาร์จผ่านฟอง
ก๊าซ เป็ นผลให้เกิดการแยกตัวของโมเลกุลฉนวนเหลว นําไปสู่การเกิดเบรกดาวน์ได้ นอกจากสาเหตุทีกล่าวแล้ว ฟองก๊าซ
ยังสามารถเกิดทีบริ เวณทีมีความเครี ยดสนามไฟฟ้าสูงเช่น ปลายแหลมของอิเล็กโตรด เนืองจาก บริ เวณนันจะมีความร้อน
สูง ทาให้ฉนวนเหลวกลายเป็ นไอ และเกิดดิสชาร์จขึนและนําไปสู่การเกิด เบรกดาวน์ในทีสุด
2. กลไกการเกิดเบรกดาวน์เนืองจากฟองก๊าซ
3. กลไกการเกิดเบรกดาวน์จากหยดของเหลวเจือปน
2. กลไกการเกิดเบรกดาวน์เนืองจากฟองก๊าซ
3. กลไกการเกิดเบรกดาวน์จากหยดของเหลวเจือปน
1. การใช้งานฉนวนเหลวเป็ นฉนวนหลักในหม้อแปลง
2. การใช้ฉนวนนํามันในเคเบิล
2. การใช้ฉนวนนํามันในเคเบิล
ฉนวนแข็ง XLPE
ท่อสําหรับฉนวนนํามัน
1.4 วัสดุประเภทฉนวนแข็ง
1.4 วัสดุประเภทฉนวนแข็ง
1.4 วัสดุประเภทฉนวนแข็ง
1.4.1 ชนิดของฉนวนแข็ง
1.4.2 การใช้งานฉนวนแข็งในเครื องจักรกลไฟฟ้า
1.4.3 การเกิดเบรกดาวน์ในฉนวนของแข็ง
1.4.4 การใช้งานฉนวนแข็ง
8.0
0.8<=t<=3 0.95-1.30 70 35 1.5 4.0 10.0 1.0 7.0 5.0 1.0 2.0
8.0
3.0<=t 0.95-1.30 60 35 1.5 5.0 10.0 1.0 6.0 4.0 1.0 2.0
3.แก้ว
3.1 องค์ประกอบของแก้ว
•ซิลิกอนออกไซด์ 70% เป็ นองค์ประกอบหลัก
•โบรอนไตรออกไซด์ 16% เพิมคุณสมบัติทางไฟฟ้าและความ
ทนทานต่อการเปลียนแปลงทางอุณหภูมิ
•อลูมินา 0.5-0.7% เพิมความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ
•และสารชนิดอืนๆ
4. เซรามิคส์
1. เซรามิคส์ประเภทมีค่าเปอร์มิตติวิตีตํา ( εr < 12) (traditional)
ใช้ทาํ ลูกถ้วยฉนวน มีจุดหลอมเหลวสู งและทนความร้อนได้ดี
6.โพลีเมอร์
H H H H
C C C C
H H H H
n
(ก) ethylene (เมอร์) (ข) polythylene (โพลีเมอร์)
รู ปที 1-63 การเกิดขึนของโพลีเอทีลีน
H X X = CH3 Polypropylene(PP)
X = Cl Poly (vinyl chloride)(PVC)
C C X = C6H5 Polystysrene(PS)
H H X = OCOCH3
Poly (vinl acetate)(PVA)
H X Poly(vinylidline chloride)(PVDC)
X = Cl
C C X=F Poly(vinylidline fluoride)(PVDF)
X = CH 2 Polyisobutylene (butyl rubber)
H X
6.โพลีเมอร์
โครงสร้างโมเลกุลของโพลีเมอร์
1. โพลีเมอร์แบบเส้น (Linear Polymer)
2. โพลีเมอร์แบบกิง (Branched Polymer)
3. โพลีเมอร์แบบร่ างแหหรื อแบบเชือมโยง
(Network or cross linked polymer)
HDPE
LDPE
(ก) (ข)
XLPE LLDPE
(ค) (ง)
รู ปที 1-64 โครงสร้างของ HDPE , LDPE , XLPE , LLDPE
Dr.techn. Norasage Pattanadech 186
2020
6.โพลีเมอร์
โพลีเมอร์ทีใช้งานอยูม่ ีดงั นี
6.1 โพลิเอทิลีน (Polyethylene, PE)
H H
C C
H H
n
รูปที 1-65 โครงสร้างทางเคมีของ PE
Dr.techn. Norasage Pattanadech 187
2020
O C C O C C C C
H H H H n
รูปที 1-66 โครงสร้างเคมีของ Linear Polyester
C C C C C C
H H H H H H
C C C C C C
H Cl H Cl H Cl
C CH 2 CH 2 CH 2 CH 2 CH 2 N
n
รูปที 1-69 โครงสร้างทางเคมีของไนลอน
F F F F
C C C C
F F F F
รู ปที 1-70 โครงสร้างทางเคมีของ PTFE
300
f = 50 Hz
250 HARD PORCELAIN
PAPER
200
tan δ x 10-3
PVC
150
100
50
EPOXYRESIN
0
0 20 40 60 80 100 120 140 160
Temperature
รูปที 1-72 เปรี ยบเทียบค่าการสู ญเสี ยของฉนวนแข็งชนิดต่างๆทีความถี 50 Hz
Dr.techn. Norasage Pattanadech 200
ตารางที 1-42 คุณสมบัติทางไฟฟ้าของฉนวนแข็งอืนๆ
Materials tan v Breakdown
r
at 25 OC at 25 OC Stress
1 MHz ( . cm ) ( kV/mm)
( average )
Quartz glass 3.9 5 10-4 1012
Lead glass 9
Soda – lime glass 7 0.01 10 - 40
Glass ceramic 5-7 0.001 - 0.1 1012 - 1014 20 - 80
Porelain 5 0.04 1012 - 1015 20 - 30
Zirconium ceramic 7-12 0.003 20 - 30
Alumina ceramic 10 0.0005
Barium titanate ceramic 2000 – 8000 0.1
Micanite 5 -11 0.003 1014 - 1016 50 (for 1 mm specimen)
100 – 200
(for 0.1 mm specimen)
Dr.techn. Norasage Pattanadech 201
2020
conductors
stator iron
turn insulation
main insulation
semicon layer
slot wedge
CLASS H : ใช้วสั ดุจาก CLASS B ผสมกับเรซิ นชนิดอินทรี ยเ์ ช่น ซิ ลิโคน เรซิ น
รวมทังยางซิ ลิโคน
การเกิดเบรกดาวน์ในฉนวนแข็งอาจแบ่งออกตามช่วงเวลาของแรงดัน
ทีป้อน และปรากฏการณ์การเกิดเบรกดาวน์ได้ คือ
1. Intrinsic Breakdown
2. Streamer Breakdown
3. Electromechanical Breakdown
4. Edge Breakdown and Treeing
5. Thermal Breakdown
6. Erosion Breakdown
U Intrinsic Breakdown
Streamer Breakdown
Electromechanical Breakdown
Edge Breakdown and Treeing
Thermal Breakdown
Erosion Breakdown
S
รูปที 1-74 ความคงทนต่อแรงดันเบรกดาวน์ เมือจ่ายแรงดันคร่ อมฉนวนของแข็ง ระยะเวลา
ต่างๆกัน
Dr.techn. Norasage Pattanadech 213
Times and electric fields at which various electrical breakdown mechanisms are operative. Note the
lack of a clear distinction between ‘breakdown’ and ‘degradation’
Dr.techn. Norasage Pattanadech 214
2020
1. การเบรกดาวน์แบบแท้จริ ง
การเกิด Intrinsic Breakdown จะเกิดขึนได้อย่างสมบูรณ์ภายในเวลา 10-8 วินาที
ส่ วนความเครี ยดสนามไฟฟ้ามากกว่า 106 MV/cm เมืออิเล็กตรอนภายในฉนวนได้รับ
พลังงานเพียงพอทีจะข้ามช่อง gap จาก Valance Band สู่ Conduction Band ได้
1. การเบรกดาวน์แบบแท้จริ ง
การเกิด Intrinsic Breakdown จะเกิดขึนได้อย่างสมบูรณ์ภายในเวลา 10-8 วินาที
ส่ วนความเครี ยดสนามไฟฟ้ามากกว่า 106 MV/cm เมืออิเล็กตรอนภายในฉนวนได้รับ
พลังงานเพียงพอทีจะข้ามช่อง gap จาก Valance Band สู่ Conduction Band ได้
Energy Energy Energy
Conduction band
0 0 0
โครงสร้างแถบพลังงานของตัวนํา สารกึงตัวนําและฉนวน(ทีอุณหภูมิ 0 K)
Dr.techn. Norasage Pattanadech 216
2020
2. การเบรกดาวน์แบบสตรี มเมอร์
การเกิดเบรกดาวน์แบบนีจะเหมือนกับการเกิดเบรกดาวน์ในก๊าซ การเบรกดาวน์
จะเกิดขึนเมือมีอิเล็กตรอนจํานวนมากพอเรี ยงตัวทอดต่อเชือมระหว่างคาโทดกับอาโนด
3.การเกิดเบรกดาวน์จากแรงทางกลทีเกิดจากไฟฟ้า
สนามไฟฟ้าทําให้เกิดแรงกดกระทําต่อฉนวน แรงกดทีเกิดขึนเกิดจากแรงดึงดูด
ระหว่างประจุผวิ ซึ งเมือแรงนีมีค่ามากจนเกินค่าความคงทนทางกลของฉนวนจะทําให้ฉนวน
เกิดการแตกร้าวได้
(ก) แบบหูกระต่าย (Bow – tie) เกิดขึนทีเนือ (ข) แบบ Vented water treeing
ฉนวนฉนวนบริ เวณทีมีสิงเจือปน
รู ปที 1-78 ลักษณะการเกิด Water treeing
Dr.techn. Norasage Pattanadech 221
2020
การเกิดดิสชาร์จภายใน
pvc insulation
วัสดุเพียโซอิเล็กตริ ก (Piezoelectric)
วัสดุเพียโซอิเล็กตริก มีคุณสมบัติสามารถให้กาํ เนิดแรงดันไฟฟ้าหรื อเกิดขัวไฟฟ้า
ขึนภายในวัสดุ(Polarized) เมือมีแรงเค้นทางกล (Mechanical stress) มากระทํา หรื อ
เมือให้แรงดันไฟฟ้าแก่วสั ดุเพียโซอิเล็กตริ กจะทําให้เกิดความเครี ยด (Strain) ขึนใน
วัสดุ ความเครี ยดจะนิยามจากอัตราส่ วนระหว่างขนาดของวัสดุทีเปลียนไปกับขนาด
เดิม (เช่น ความยาวทียืดหรื อหดไปเทียบกับความยาวเดิม) ความเครี ยดทีเกิดขึนทําให้
วัสดุเกิดการเปลียนแปลงรู ปร่ างไปจากเดิม
วัสดุเพียโซอิเล็กตริ ก จะต้องประกอบด้วยโครงสร้างผลึกทีจะต้องมีลกั ษณะ
อสมมาตรร่ วมอยูว่ สั ดุเพียโซอิเล็กตริ กทีพบในธรรมชาติ ได้แก่ แร่ ควอร์ ท (Quartz)
ดีเกลือ (Rochelle salt) แร่ ทวั ร์ มาลีน (Tourmaline) ส่ วนวัสดุสังเคราะห์ ได้แก่
Lead zirconate-titanate: Pb (Zr, Ti)O3
P=0 P V V V